Skip to content
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    RelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the trauma
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก

Year: 2019

การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง: ครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์
21st Century skillsSocial Issues
28 October 2019

การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง: ครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • จับประเด็นสำคัญจากวงคุย ‘การศึกษาที่แตกต่าง’ ผ่านคนหลายวงการหลากอาชีพ ร่วมพูดถึง ‘การเรียนรู้’ ในเหลี่ยมมุมอาชีพตัวเอง
  • เป็นวงคุยไฮไลต์ในงานครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีโจทย์สำคัญคือ การเรียนรู้ที่มีคุณค่า
  • และการเรียนรู้ที่มีคุณค่า ต้องมาจากการศึกษาที่แตกต่าง

หากจำกันได้ เมื่อ 4 ปีก่อนมีพาดหัวข่าวชวนตื่นใจเรื่องหนึ่งคือ โรงเรียนน้องใหม่อย่างโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประกาศว่าที่นี่ไม่มียูนิฟอร์มนักเรียน มีจุดยืนว่าการเรียนการสอนจะพุ่งเป้าไปที่การหล่อเลี้ยงอัตลักษณ์ ความสร้างสรรค์ และจินตนาการของนักเรียนให้ถึงที่สุด ซึ่งนั่นตามมาด้วยการออกแบบการศึกษาโดยนักการศึกษารุ่นใหม่แบบยกเครื่อง – เวลาผ่านไปไวราวโกหก เพียงพริบตาที่นี่ก็ครบรอบ 4 ปีและกำลังจะเปิดรับนักเรียนชั้นมัธยมเร็วๆ นี้แล้ว

เช่นเดียวกันกับคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ – ในฐานะผู้รับผิดชอบและร่างหลักสูตร และในฐานะหนึ่งในองค์ขับเคลื่อนการศึกษา – ที่วันนี้ครบรอบ 5 ปีอย่างเป็นทางการ ผลิตบัณฑิตทั้งปริญญาตรีและโทแล้วราว 1,000 คน

ในวาระครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ เปิดบ้านชวนคนทำงานด้านการศึกษามาชุมนุมเปิดห้องเวิร์คช็อป วงคุย และนิทรรศการการศึกษาจากหลากองค์กร โดยหนึ่งในวงคุยน่าสนใจคือวงคุยเปิดงานหัวข้อ ‘การศึกษาที่แตกต่าง’ ผ่านคนหลายวงการหลากอาชีพ ร่วมพูดถึง ‘การเรียนรู้’ ในเหลี่ยมมุมอาชีพตัวเอง ดังนี้

ดร.เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการ Thai PBS

ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก

อธิษฐาน์ คงทรัพย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

และ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ (นิ้วกลม) นักคิดนักเขียน

การเรียนรู้ของคุณพ่อที่เป็นครู: พื้นที่ตรงกลางระหว่าง Programming World กับ Emerging World

แม้ ดร.เดชรัต มักถูกแนะนำต่อท้ายชื่อ/นามสกุลว่า  ‘อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์’ แต่ทุกครั้งที่ขึ้นเวทีหรือแนะนำตัว เขามักกล่าวเสมอว่าการเรียนรู้ส่วนใหญ่ของเขามักมาจาก ‘ลูกๆ’ รวมกับประสบการณ์อยู่กับนิสิต/นักศึกษาในยุค disruptive world – เวทีนี้ก็เช่นกัน

ดร.เดชรัต เสนอประเด็นการศึกษาที่แตกต่างในมุมของคุณพ่อและครูว่า การศึกษาในไทยหรือแม้แต่ในระดับโลก กำลังเผชิญกับความแตกต่างของการเรียนรู้ 2 อย่างคือ

การเรียนรู้แบบ programming world หรือการศึกษาที่ถูกกำหนดกรอบ เซ็ตโปรแกรม กำหนดคุณค่าและวิธีการเรียนรู้บางอย่างด้วยวิธีคิดที่ว่า ‘อยากให้ทุกคนคล้ายกัน’ กับ การเรียนรู้แบบ emerging world หรือความเชื่อว่าคนเราแตกต่างหลากหลาย มีความสนใจไม่เหมือนกัน การเรียนรู้ของคนเราควรเป็นแบบปัจเจก

แต่ไม่ว่าจะเป็นโลกอย่าง programming หรือ emerging ดร.เดชรัตเชื่อว่าพื้นที่การเรียนรู้กลางๆ จะมีปัจจัยร่วม 4 อย่าง จาก 4S คือ Scale, Scope, Speed และ Style

  • Scale – จำนวนผู้เรียนต่อการเรียนรู้หนึ่งๆ ที่แตกต่าง
  • Scope – ขอบเขตการเรียนรู้ที่แตกต่าง
  • Speed – ความสามารถในการเข้าใจเนื้อหาในระดับที่แตกต่าง
  • Style – วิธีการเรียนรู้ที่แตกต่าง

เมื่อต้องเชื่อมความเข้าใจการเรียนรู้แบบนี้เข้าสู่ ‘Scale’ ห้องเรียน ดร.เดชรัตเสนอแนวคิด ซึ่งยกเครดิตว่าวิธีคิดนี้เขาเรียนรู้จากลูกชายอีกทีหนึ่งว่า การอำนวยการสอนต้องเห็นเป้าหมายว่าจะพาทั้งห้อง/คลาส ไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ รู้ว่าจะมีวิธีพาไปอย่างไร ด้วยวิธีการอะไร และสุดท้าย ต้องดู learning mode หรือบรรยากาศในห้องเรียนหรือผู้เรียนด้วย

การเรียนรู้ของนักการสื่อสาร: เป้าหมายสูงสุดคือทำให้สื่อมวลชนเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ดร.วิลาสินียกตัวอย่างงานวิจัยชิ้นหนึ่ง นำเสนอโดย ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ในรายการคิดยกกำลังสองออกอากาศทางช่องไทยพีบีเอส ระบุว่าจากผลสำรวจคนไทย 6,000 คนอายุ 15-35 ปี ส่วนใหญ่บอกว่า ความรู้ที่มีอยู่ขณะนี้จะใช้ประโยชน์ได้ราว 14 ปี และความรู้ที่ว่าส่วนใหญ่เห็นว่ามาจากการศึกษาในระบบ ขณะที่คนในประเทศเพื่อนบ้านบอกว่าความรู้ที่มีทุกวันนี้อาจใช้ได้จริงแค่ราว 6 เดือนเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนในประเทศเพื่อนบ้านเห็นว่าความรู้ทุกวันนี้มีอายุสั้นลง และพวกเขาต้องเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลา

นี่เป็นสิ่งที่ ดร.วิลาสินี ตั้งคำถามอย่างเป็นกังวลว่า เพราะเหตุใดเราจึงไม่ต้องเรียนรู้? เราไม่กระหายใคร่รู้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?

ในฐานะผู้อำนวยการโทรทัศน์สาธารณะ เธอย้ำว่านี่คือเป้าประสงค์ขององค์กรที่ต้องการทำให้สื่อสารมวลชนในปัจจุบันไม่ใช่แค่การรายงานข่าวและเหตุการณ์ในสังคม ท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงตลอดหรือที่เราเรียกกันว่าเป็นยุค disruptive world สื่อมวลชนต้องเขยิบตัวเองเพื่อสร้างและสนับสนุนให้คนลุกขึ้นมาสร้างการเรียนรู้ เป็น inform citizen และท้ายที่สุด ต้องเป็นสื่อที่สร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับผู้ชมได้

ต่อประเด็นการเรียนรู้ท่ามกลางความหลากหลายและโลกที่เปลี่ยนเร็วในปัจจุบัน ดร.วิลาสินีให้ความเห็นว่าการศึกษา ไม่ว่าจะในรูปแบบใด การศึกษาในระบบหรือพื้นที่การเรียนรู้อื่นๆ อย่างเช่นสื่อสารมวลชน จำเป็นต้องทำให้ผู้เรียนเกิด soft skill อย่างการรู้จักตัวเอง การทำงานเป็นทีม การพัฒนาคน สำคัญที่สุด ดร.วิลาสีนีเห็นว่าต้องสร้างการเรียนรู้ในแง่ conceptual worker หมายถึง การเห็นภาพรวมทั้งหมด และรู้ว่าจะสร้างการเรียนรู้อย่างไร

การ (สร้างการ) เรียนรู้ของเด็กๆ ที่ก้าวพลาด: การเรียนรู้ที่ไม่ควรถูกทำเฉพาะตอนปลายน้ำ

คุณทิชา หรือ ป้ามล มักพูดเสมอว่า เด็กที่อยู่ในบ้านกาญจนาภิเษก – สถานควบคุมเยาวชนชายหลังคำพิพากษาที่ไร้กำแพง ไม่มียูนิฟอร์ม ไม่มีไม้กระบอง ไม่บังคับให้กราบกรานผู้คุม และอื่นๆ ที่คล้ายตรวนล่องหน – เป็นเยาวชนก้าวพลาดที่มาจากสังคมหักพังและระบบการศึกษาที่ล้มเหลว

แม้หลายคนจะบอกว่าเด็กที่อยู่ในสถานควบคุมยากจะกลับตัวหรือไม่มีใครเชื่อมั่นว่าจะกลับตัวและเรียนรู้ได้ แต่ ‘บ้านกาญจนาฯ’ ไม่เชื่อเช่นนั้น ภายใต้คำว่า ‘คุกเด็ก’ ที่นี่สร้างการเรียนรู้ให้เกิดในบ้าน เชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ว่า ทุกคนพัฒนาและเรียนรู้ได้

ที่บ้านกาญจนาฯ ทุกวันเด็กๆ ต้องวิเคราะห์ข่าวที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์หรือคลิปข่าว พวกเขาต้องดูหนังและวิเคราะห์ตัวละคร โดยหลายครั้งทีมงานตั้งใจเลือกประเด็นทั้งหนังและข่าวให้ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุพาให้พวกเขาเข้ามาในบ้าน ปิดท้ายด้วยการเขียนไดอารีก่อนนอนทุกคืนว่าวันนี้พวกเขาทำอะไร และรู้สึกอย่างไรในแต่ละวัน

แค่เฉพาะ 3 ประเด็นข้างต้น นี่คือกระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้ได้คิด (อย่างหนัก) วิเคราะห์ทุกเหลี่ยมมุมชีวิตและอธิบายออกมาอย่างเข้าอกเข้าใจ ทั้งหมดนี้คือการเรียนรู้ที่ ‘ถูกออกแบบ’ ให้ผู้เรียนทำงานกับความคิดตัวเองอย่างหนัก หมดจด และชัดเจน

“มีครั้งหนึ่ง ขออนุญาตเอ่ยถึง ‘กรณีแพรวา’ เราให้เขาวิเคราะห์ข่าวนี้และนำไปสู่ประเด็นถกเถียงในบ้านอย่างจริงจังมาก เด็กคนนึงพูดเลยว่า ข่าวนี้ทำให้เค้าเข้าใจว่าแม้จะมีเงินทองแค่ไหนแต่ก็ซื้อสิทธิของคนไม่ได้ พอเด็กคนหนึ่งคิดได้ขนาดนี้ นั่นแปลว่าการก่ออาชญากรรมครั้งที่สองของเขาอาจถูกตัดออกไปจากความคิด แต่เป็นการตัดที่มาจากความเข้าใจของเขาเอง” ป้ามลกล่าว

ป้ามลย้ำว่า การออกแบบการเรียนรู้แบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเฉพาะที่บ้านกาญจนาฯ เพราะการทำงานทางความคิดในบ้านหลังนี้ย่อมเจอกับแรงเสียดทานทั้งจากตัวเองและสังคมที่มาก แต่หากโรงเรียนออกแบบการเรียนรู้ที่ที่ทำให้เขาเข้าใจตัวเอง การเรียนรู้ที่เด็กไม่รู้สึกโง่ เป็นส่วนเกิน หรือรู้สึกว่าไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย การก้าวพลาดของเด็กในสังคมย่อมน้อยลง

การเรียนรู้ของนักจัดการเรียนรู้ พื้นที่ปลอดภัยที่หล่อเลี้ยงชีวิตและความสุขของผู้เรียน

ก่อนที่เจ้าบ้านอย่าง อ.อธิษฐาน์ หรือครูเปิ้ล จะพูดถึงบทบาทของนักจัดการศึกษา ครูเปิ้ลกล่าวต่อจากป้ามลว่า ไม่ใช่แค่เด็กในบ้านกาญจนาฯ ที่เป็นผู้แพ้ในระบบ แม้แต่เด็กที่ยังอยู่ในระบบโรงเรียนก็ยังแพ้เพราะการศึกษาที่เหลื่อมล้ำและสภาพความกดดันแข่งขันในสังคม และยังไม่ใช่แค่เด็กหรือผู้ปกครองที่อึดอัด แต่ตัวครูเองก็ทนไม่ไหวกับระบบที่รัดรึงและรุงรังเช่นนี้

ทั้งหมดนี้ก็เป็นที่มาแห่งโจทย์ของคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ และ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คือ ‘การเรียนรู้ที่มีค่า’ การบ่มเพาะบุคลากรนักออกแบบการเรียนที่เข้าใจเรื่องการเรียนรู้ โรงเรียนก็ต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่จะดำรงไว้ซึ่งความสร้างสรรค์ จินตนาการ ความกล้าหาญ ที่ติดตัวมากับเด็กทุกคนไว้ได้

ครูเปิ้ลเล่าว่า ที่ผ่านมาคณะฯ ไม่ได้ทำงานแค่ผลิตบัณฑิตในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ยังมีโครงการที่ทำงานกับเครือข่ายข้างนอก เช่น โครงการก่อการครู ที่ตั้งต้นด้วยความปรารถนาสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ ที่ไม่ใช่แค่สร้างสมรรถนะของครูและผู้เรียน แต่มุ่งไปสู่การพาคนกลับมาพบคุณค่าความหมายของตัวเอง และรู้ว่าคุณค่าและความหมายที่ตัวเองมีจะส่งต่อหรือสร้างสรรค์ให้ผู้อื่นอย่างไร

แต่ครูเปิ้ลย้ำว่าการจะทำทั้งหมดนี้ได้ ครูเองก็ต้อง ‘ส่งเสียง’ ได้อย่างเป็นอิสระ ซึ่งเท่ากับว่าโครงสร้างการศึกษาต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ครูด้วยเช่นกัน

การเรียนรู้ของนักเขียน

ปิดท้ายด้วยคุณสราวุธ หรือ ‘นิ้วกลม’ ด้วยเรื่องเล่าเรื่องการเรียนรู้ของตัวเองตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน

เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่โตมากับการล่อหลอกให้ ‘กลัว’ ของครู เขาเคยกลัวการตอบคำถามผิดและรู้สึกว่าการเรียนรู้คือ ‘การเดาใจครู’ แต่วันหนึ่งในคาบศิลปะซึ่งเรียนกับครูฝึกสอน แม้ว่าคาบนั้นเพื่อนของเขาจะบอกว่าการลงสีของเขาจะไม่สวยและไม่เหมือนเพื่อน แต่ครูคนนั้นกลับไม่ว่าและบอกว่าเขาใช้วิธีเดียวกับ ‘ปิกัสโซ่’ เลย นั่นเป็นจังหวะแรกที่ทำให้เขายิ้มกริ่มและบอกตัวเองในใจว่า ‘ปิกัสโซ่นี่ใครวะ?’ แต่อย่างไรก็ตาม…

“การเรียนมันอิสระได้นะ และไม่จำเป็นต้องเดาใจครูเลย”

การเรียนรู้ฉบับเปลี่ยน ‘ความเข้าใจต่อการเรียนรู้’ ของเขายังมีอีกหลายเรื่องและหลายจุดเวลา เช่น การเข้าเป็นนิสิตคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ที่ทำให้ได้เรียนรู้ท่ามกลางบรรยากาศของความคิดสร้างสรรค์ การเข้าห้องสมุดมหาวิทยาลัยที่ทำให้ได้พบหนังสือมากมายและทำให้เข้าใจว่า ‘ความจริงมีหลายรูปแบบ’ หรือ การเดินทางไปอินเดีย ที่ได้พบกับ รูป รส กลิ่น เสียง และชีวิตคนจริงๆ นั่นก็คือการเรียนรู้ให้หมกมุ่นกับตัวเองน้อยลงและอยู่กับชีวิตคนอื่นให้มากขึ้น และอีกหลากการเรียนรู้ แม้การจีบใครสักคนราว 7 ปีแต่ไม่ได้รับรักตอบ นี่ก็เป็นบทเรียนเรื่องการ ‘เปลี่ยน หรือ ไม่เปลี่ยนใจ’ ที่ทำให้อัตตาของเขาลดลง

ภายใต้เรื่องเล่าอบอุ่นและเคล้าเสียงหัวเราะ นิ้วกลมตบประเด็นการเรียนรู้ในความเห็นของเขาว่า เขาขอแยกการเรียนรู้อย่างหยาบเป็น 2 ประเด็น นั่นคือการเรียนรู้ที่มาจาก สมอง และการเรียนรู้ที่มาจาก หัวใจ

‘สมอง’ อาจทำให้เราหมกมุ่นและอยู่กับตัวเอง แต่ ‘หัวใจ’ ทำให้เราใจกว้าง เข้าใจและเห็นความทุกข์คนอื่น เมื่อเห็นความทุกคนอื่น อาจสะท้อนกลับให้เราเข้าใจความหมายของตัวเองเพื่อที่จะทบทวนว่าเราอาจใช้ความสามารถของตัวเองกลับไปช่วยคนอื่นได้มากขึ้น

ก่อนจะวางไมค์จริงๆ เขาเห็นว่าความน่าสนใจของการเรียนรู้คือเส้นบางๆ ระหว่าง ‘ความรู้’ กับ ‘ปัญญา’ ขึ้นอยู่กับใครจะให้น้ำหนักกับอะไร แต่เขาให้น้ำหนักคำหลัง หากการศึกษาที่สร้าง ‘ปัญญา’ ให้เกิดแก่มนุษย์ได้ เราคงเป็นคนที่มี ‘หัวใจ’ เข้าใจและใจกว้างที่จะใช้ปัญญาของเรากับผู้อื่นมากขึ้น

Tags:

เดชรัต สุขกำเนิดวิลาสินี พิพิธกุลระบบการศึกษา21st Century skillsงานเสวนาทิชา ณ นครอธิษฐาน์ คงทรัพย์

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • 21st Century skills
    อมรวิชช์ นาครทรรพ: ใช้ทัพเล็กสู้การศึกษา ซุ่มตีทีละเรื่อง “นี่คือรัศมีที่ผมทำได้ก่อนตาย”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Social Issues
    “คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    อยากให้ลูกมีวินัยในตัวเอง แต่จะสร้างอย่างไรหากไม่มี ‘ตัวเอง’ ตั้งแต่ต้น?

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET
Growth & Fixed Mindset
25 October 2019

ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • สรุปวิธีสร้างความสัมพันธ์ 3 รูปแบบ: ครูกับศิษย์ ครูกับเพื่อนร่วมวิชาชีพ และครูกับพ่อแม่ ให้คุณครูนำไปใช้เพื่อสร้าง Growth Mindset ให้กับเด็กๆ
  • บทบาทของครูมีมากกว่าสอนหนังสือ เพราะในกระบวนการเปลี่ยนแปลง Mindset อย่างองค์รวมจำเป็นต้อง ‘โค้ช’ ไปถึงพ่อแม่ด้วย
  • อย่ามองข้ามการสนทนาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนครูฉันมิตร เพราะความสัมพันธ์เป็นรากฐานสำคัญต่อการสร้าง Growth Mindset 
  • หมดเวลาสำหรับการพัฒนาเด็กๆ แบบ ‘ตัวใครตัวมัน’ แล้ว เพราะพื้นที่การเรียนรู้ของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน

การสร้าง Growth Mindset หรือการเปลี่ยนเด็กให้เชื่อในศักยภาพของตนเอง จะทำได้นอกจากชี้ให้เขารู้ว่าพลังที่เขามี ทำอะไรได้บ้างแล้วนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ต้องแน่นแฟ้นมากพอที่จะเข้าไปเขย่าศรัทธาความเชื่อในพลังการเปลี่ยนแปลงตนเองให้กระจ่างชัดได้ 

แอนนี บร็อค (Annie Brock) และ ฮีเธอร์ ฮันด์ลีย์ (Heather Hundley) สองครูผู้ร่วมกันเขียนหนังสือ ‘The Growth Mindset Coach’ บอกว่าบทบาทของครู นอกจากมีหน้าที่เปลี่ยน mindset ลูกศิษย์ให้คิดแบบเติบโตผ่านการบ่มเพาะบรรยากาศการเรียนรู้ในห้องเรียน ยังมีขอบเขตไกลเกินกว่านั้น การมีพื้นที่เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อนครู (Professional Learning Community) และการเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับพ่อแม่เด็กๆ ที่บ้าน ก็ถือเป็นอีกแรงเสริมหนึ่งที่ผลักดันการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ของเด็กๆ ให้เป็นไปอย่างยั่งยืนได้จริง 

บทความนี้สรุปวิธีสร้างความสัมพันธ์ 3 รูปแบบ: ครูกับศิษย์ ครูกับเพื่อนร่วมวิชาชีพ และครูกับพ่อแม่ ให้คุณครูนำไปใช้กันได้แบบไม่กั๊ก

สร้างพื้นที่เปี่ยมรักในห้องเรียน

ครูสามารถสำรวจตนเองด้วยแบบประเมินที่วัดแนวโน้มความเป็น Growth / Fixed Mindset ของการสร้างสัมพันธ์กับนักเรียนตามตัวอย่างคำถามนี้

ด้วย 5 วิธีผูกสัมพันธ์กับเด็กๆ ในชั้นเรียน ต่อไปนี้ เราเชื่อว่าครูจะสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของพวกเขาได้ดีขึ้น

1. ครูศรัทธาในความสามารถของพวกเขา 

หัวใจของ Growth Mindset คือความเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำได้ด้วยความพยายาม ขยันและอดทน แต่ถ้าในชั้นเรียนเด็กไม่รู้สึกว่าครูเชื่อมั่นในตัวเขา คงเป็นเรื่องยากที่เขาจะเชื่อในตัวเองเช่นกัน ครูจำเป็นต้องแสดงออกว่าเชื่อมั่นจากใจจริงและพร้อมจะสนับสนุนเคียงข้างเขา เช่น เอ่ยชมเมื่อเห็นเขาพยายามและไม่ปล่อยผ่านข้อผิดพลาดหรือซ้ำเติม แต่ให้คำแนะนำไปปรับปรุงแก้ไข

บนเวที TED Talk เพียร์สัน (Pierson) เผยเคล็ดลับในการปลุกความเชื่อมั่นของเด็กๆ ว่า ในช่วงโฮมรูมเธอจะให้ชั้นเรียนกล่าวคำปลุกใจทุกวันว่า 

“ฉันเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ฉันมาที่นี่เพื่อจะเป็นคนที่ดีขึ้นเก่งขึ้น ฉันมีศักยภาพและเข้มแข็ง ฉันคู่ควรกับการศึกษาที่นี่ตอนนี้ ฉันมีหน้าที่ มีคนที่อยากให้เขาภูมิใจและมีเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง” 

เธอเชื่อว่าถ้าเด็กๆ พูดกับตัวเองแบบนี้ทุกวัน มันจะซึมซาบเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเขา และอีกทางหนึ่งเธอต้องการแสดงให้เด็กๆ รู้ด้วยว่าเธอเชื่อมั่นในตัวพวกเขาเป็นที่สุด

2. ครูมีอัธยาศัยดีและเป็นกันเองมากพอที่เด็กๆ เข้าถึงได้ 

ครูที่วางตัวห่างเหินเข้าถึงยาก เสมือนมีกระดาษแปะกลางหน้าผากว่า “ไปเล่นกันตรงโน้น อย่ายุ่งกับฉัน” นักเรียนจะไม่กล้าเข้าหา

ถ้าทำได้ ครูลองเข้าหานักเรียน ถามไถ่เรื่องที่พวกเขากำลังสนใจหรือข้อมูลความเป็นอยู่ทั่วไป เช่น บ้านอยู่แถวไหน ครอบครัวทำอะไร อยู่กันกี่คน บางคนพ่อแม่หย่าร้าง อาศัยอยู่กับยาย หรือบางคนไม่สบายมีโรคประจำตัว การถามสารทุกข์สุกดิบหรือแม้แต่แบ่งปันข้อมูลของตัวเองที่ให้ประโยชน์กับเด็กๆ เช่น ประสบการณ์ตอนทำงานพิเศษช่วงวัยรุ่นหรือการวางแผนออมเงิน ช่วยให้ครูสามารถสร้างความสนิทสนมใกล้ชิดและไว้วางใจได้

3. ครูให้เสียงสะท้อนที่สร้างพลัง

ความสัมพันธ์มีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำหรือชี้ข้อปรับปรุงให้เด็กๆ รู้ เพราะฟีดแบ็คที่ครูหวังดีอาจไปกระตุ้นให้เด็กๆ ต่อต้านได้ถ้ายังสนิทกันไม่มากพอ ถ้าครูกับศิษย์ไว้วางใจกันในระดับหนึ่งและเขารู้ว่าครูให้คำแนะนำด้วยความเชื่อมั่นในพลังความสามารถของพวกเขา ไม่ได้ตัดสินว่าเขาอ่อนด้อยหรือโง่กว่าคนอื่น เมื่อนั้นเสียงสะท้อนจากครูจึงจะมีพลังในการเปลี่ยนแปลง

ถ้ายังไม่สนิทกันมากพอ ครูอาจต้องใช้วิธีพูดคุยให้คำแนะนำกับศิษย์แบบตัวต่อตัวเพื่อจะได้สร้างความสนิทไปในตัว หรือเปิดช่วงสนทนารายสัปดาห์ในชั้นเรียนให้ทุกคนอัพเดตแบ่งปันกันว่าใครมีปัญหาตรงไหนเรื่องใดบ้างและเพื่อนๆ หรือครูสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร

4. ครูสนใจความพยายามมากกว่าผลคะแนน

เปลี่ยนจากสอบเพื่อวัดเกรด มาสร้าง ‘ตัวชี้วัดความพยายาม’ แทน ‘ตัวชี้วัดระดับความสามารถ’ จัดการเรียนการสอนที่โฟกัสการเรียนรู้โดยให้เด็กๆ มีประสบการณ์ผ่านงานยากๆ ให้ผิดพลาดเพื่อแก้ไขเรียนรู้ ครูช่วยตั้งเป้าหมายและกระตุ้นความเชื่อมั่นพยายามเพื่อให้พัฒนาจากเกรดที่แล้วมา

5. นักเรียนควรรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้ครู

ครูที่เดินเข้าห้องมาแล้วนักเรียนเงียบกริบหรือเดินผ่านกลุ่มไหนเป็นอันวงแตก เพราะในสายตาเด็กๆ เขาไม่รู้สึกปลอดภัยกับครู แจคเคอลีน เซลเลอร์ (Jacqueline Zeller) อดีตคุณครูและนักวิจัยประจำ Harvard Graduate School of Education ชี้ว่า “เด็กที่รู้สึกปลอดภัยในห้องเรียนจะเรียนรู้ได้ดีกว่า” ความรู้สึกปลอดภัยนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อครูแคร์ความรู้สึกเขาไม่ว่าจะทำผิดพลาดเช่นไร พร้อมจะปกป้อง รับฟัง และจับมือให้เขาลุกขึ้นแก้ไขบทเรียนนั้น โดยไม่ประจานความผิดเพื่อไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

อยากเชิญชวนให้ครูทุกคนลองตั้งเป้าหมายกระชับความสัมพันธ์กับนักเรียนเป็นรายสัปดาห์ด้วยหลัก SMART: Specific, Measurable, Attainable, Realistic, Timely หรือ เป้าหมายชัด-วัดความคืบหน้าได้-ทำอย่างไรให้บรรลุเป้าหมาย-มีใครหรือข้อมูลใดซัพพอร์ตได้-ทำภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น เป้าหมายคือทุกวันตลอดสัปดาห์นี้ ฉันจะคุยกับนักเรียนคนละ 2 นาที ให้ครบทุกคนเรื่องสัพเพเหระนอกห้องเรียนของเขา เราจะได้สนิทกันมากขึ้น

หรือถ้ายังนึกไอเดียเจ๋งๆ ไว้สร้างสัมพันธ์กับเด็กๆ ไม่ออก เรามีกิจกรรมหลากหลายแบบที่ครูสามารถนำไปใช้ในห้องเรียนมาแบ่งปันดังนี้

  • Finding Common Ground เป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับเล่นในช่วงเปิดปีการศึกษาเพื่อ break the ice วิธีคือเริ่มด้วยครูบอกสิ่งที่ชื่นชอบและทุกคนที่เหลือในห้องที่ชอบเหมือนกันยกมือ ไล่เรียงไปแต่ละคนจนครบ (เลือกหัวข้อสนุกๆ ที่เป็นเรื่องนอกโรงเรียน เช่น กีฬา แนวเพลง ดาราคนโปรด ละคร หรือนักร้อง) 
  • Lunch Buddies นัดกินมื้อเที่ยงกับนักเรียนตัวต่อตัวโดยสุ่มจับสลากหรือเวียนตามเลขที่ 
  • Two-Minute Check-ins หาโอกาสเหมาะๆ สัก 2 นาทีช่วงก่อนเข้าเรียน หลังเลิกเรียนหรือพักเบรกเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบนักเรียน (โดยเฉพาะคนที่มีปัญหา) ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน  
  • Just Say Yes ผ่อนปรนและ ‘say yes’ เมื่อนักเรียนขออนุญาตทำอะไรที่มาจากไอเดียแหวกแนวสร้างสรรค์หรือต้องการโดดเด่นไม่ซ้ำใคร เช่น ขอใช้ปากกาสีเขียวในการสเก็ตช์ภาพแทนดินสอ หรือแต่งตัวชุดจัดเต็มมารายงานหน้าห้อง 
  • ทักทายหน้าประตูทุกเช้า ถึงเป็นวิธีที่ไม่แปลกใหม่แต่ใช้ได้ผลตลอด! 
  • กิจกรรม Get to Know You ล้อมวงแนะนำตัวพร้อมตั้งกติกาสนุกๆ เช่น ใบ้ตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของชื่อด้วยท่าทาง
  • ใช้สัญญาณมือหรือคำพูดที่เป็นรหัส ครูกับนักเรียนตกลงกันแต่เนิ่นๆ ช่วงเปิดเรียน เช่นถ้าครูปรบมือ 3 ครั้ง หมายความว่าทั้งห้องที่กำลังจ้อกแจ้กจอแจต้องอยู่ในความเงียบพร้อมฟังเรื่องสำคัญ 
  • ตั้งกฎประจำชั้น เช่นในชั้นเรียนจะไม่ตะโกนหรือพูดเสียงดังใส่กันด้วยอารมณ์ ชั้นเรียนจะเริ่มตรงเวลาและปล่อยตรงเวลาเป๊ะทุกครั้ง กฎเหล่านี้สร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งครูเองต้องเคารพและทำตามอย่างเคร่งครัดด้วย

นอกจากกิจกรรมสร้างสัมพันธ์ที่นำไปปรับใช้ บรรยากาศในห้องเรียนก็ควรเป็นไปอย่างอบอุ่นส่งเสริมความเชื่อมั่นในการเรียนรู้ ในThe Growth Mindset Coach เปรียบเทียบบรรยากาศห้องเรียนเอาไว้ 3 แบบ 

บอกอยู่กลายๆ ว่าทางสายกลางแบบสร้างสรรค์นั่นแหละดีที่สุด ไม่หย่อนยานหรือเคร่งเครียดกับกฎระเบียบจนเจ้ากี้เจ้าการมากเกินไป ต้องให้ผู้เรียนพบกับสิ่งท้าทายศักยภาพและสร้างข้อผิดพลาดเสียบ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งบทเรียน

Connect กับพ่อแม่ของเด็ก

แน่นอนว่าแต่ละบ้านเอาใจใส่เลี้ยงดูลูกๆ ไม่เหมือนกัน บางบ้านไม่ได้ให้น้ำหนักกับผลการเรียนมากไปกว่าเห็นลูกเล่นสนุกทำกิจกรรมอย่างมีความสุข ต่างจากหลายบ้านที่ยึดผลการเรียนเป็นตัวแปรสำคัญของอนาคต ชนิดปล่อยผ่านไม่ได้เลยสักเทอม ปัญหาสำหรับครูหลายคนจึงไม่ใช่แค่สงสัยว่าควรสื่อสารพัฒนาการของศิษย์ ‘อย่างไร’ ให้ผู้ใหญ่ที่บ้านทราบ แต่อยู่ที่ว่า ‘แค่ไหน’ จึงจะพอดีด้วย

งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเมื่อปี 2014 โดย แมทธิว เอ. คราฟต์ (Matthew A. Kraft) กับ รอดด์ โรเจอร์ส (Rodd Rogers) ศึกษาการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อรายงานผลการเรียนของเด็กที่เก็บหน่วยกิตไม่ครบและอาจเรียนไม่จบเป็นรายสัปดาห์ให้พ่อแม่ 2 กลุ่ม

กลุ่มแรกเป็นข้อความที่รายงานถึงพัฒนาการเชิงบวกของเด็ก ส่วนอีกกลุ่มส่งข้อความชี้จุดที่นักเรียนควรแก้ไขพัฒนาเพื่อให้ได้คะแนนดีมากกว่านี้ ผลออกมาว่าการส่งข้อความรายงานพ่อแม่ช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ สามารถเก็บหน่วยกิตตามกำหนดได้เพิ่มขึ้น 6.5 เปอร์เซ็นต์ ลดโอกาสเด็กเรียนไม่จบได้ถึง 41 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งในกลุ่มที่พ่อแม่ได้รับรายงานให้แก้ไขข้อบกพร่องเด็กมีพัฒนาการและสามารถเก็บหน่วยกิตได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึง 9 เปอร์เซ็นต์  

รายงานนี้กำลังบอกเราว่า

  • การสื่อสารให้ผู้ใหญ่ที่บ้านทราบถึงพัฒนาการของเด็กๆ ไม่จำเป็นต้องยืดยาวหรือจัดประชุมเป็นเรื่องเป็นราวเสมอไป อย่างในวิจัยนี้ ส่งข้อความมือถือสั้นๆ ให้ผู้ปกครองสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ผลลัพธ์ก็เป็นที่น่าพอใจแล้ว
  • ครูบอกจุดที่นักเรียนควรแก้ไขดีกว่าแค่ชื่นชม และจะให้ผลดีที่สุด ควรรายงานทั้งส่วนดีและให้คำชี้แนะไปพร้อมกันเลยว่าควรพัฒนาเพิ่มเติมตรงไหน และพ่อแม่มีส่วนร่วมได้อย่างไรบ้าง เช่น

“น้องข้าวแกงเป็นตัวของตัวเองและมีมนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นยอดเยี่ยม คิดสร้างสรรค์และมีอารมณ์ขัน ในสัปดาห์นี้น้องกำลังพยายามทำความเข้าใจเรื่องบัญญัติไตรยางค์ ถึงจะยังไม่ค่อยแตกฉานแต่มีความพยายามดีมาก คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยเสริมความรู้ด้วยการพาเขาไปจ่ายตลาดแล้วให้ช่วยคิดเงินบ่อยๆ ค่ะ”

อย่างนี้แล้ว บทบาทของครูมีมากกว่าสอนหนังสือ เพราะในกระบวนการเปลี่ยนแปลง Mindset อย่างองค์รวมจำเป็นต้อง ‘โค้ช’ ไปถึงพ่อแม่ด้วย แครอล ดเวค (Carol Dweck) นักจิตวิทยาการเรียนรู้ผู้เขียน Mindset บอกว่า “ถ้าพ่อแม่อยากให้ของขวัญล้ำค่ากับลูก จงสอนให้เขารักความท้าทาย ตื่นเต้นกับความผิดพลาด สนุกสนานที่ได้พยายามและตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้ต่อไปไม่รู้จบ”

อย่างไรก็ตาม การส่งข้อความทางโทรศัพท์อาจเป็นแค่น้ำจิ้มเล็กๆ ในยุคสมัยที่มีช่องทางโซเชียลอีกเป็นพะเรอเวียนที่ครูสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ ลองอัพรูปบรรยากาศห้องเรียนลง IG หรือ Facebook และติด Hashtag #ป.4/2ห้องครูวารี ลงคลิปกิจกรรมเสริมทักษะลง YouTube เป็นระยะๆ หรือที่สะดวกและแพร่หลายสุดน่าจะเป็นการตั้งกลุ่ม Line ไว้คอยส่งข่าวสารกิจกรรมในโรงเรียนหรืออัพเดตแลกเปลี่ยนตารางกิจกรรมกันระหว่างคุณครูกับพ่อแม่ 

ถักทอสัมพันธ์ที่สนับสนุนเกื้อกูลกันระหว่างเพื่อนครู

การสนทนาพาทีกับเพื่อนครูฉันมิตรเป็นรากฐานของความสัมพันธ์อันมีค่ายิ่งในสถาบันหรือองค์กรการศึกษา ยิ่งกับการสร้าง Growth Mindset ด้วยแล้ว นั่นหมายถึงบุคลากรในโรงเรียนเองก็ต้องเปิดกว้างและพร้อมที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะเด็กๆ จะไม่มีทางขยับขยายความคิดให้เติบโตได้ด้วยแนวทางการเรียนรู้ซ้ำเก่าไม่เปลี่ยนแปลง

การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่ต่างฝ่ายต่างนำมาใช้ในการเข้าถึงใจลูกศิษย์หรือวิธีสอนที่แปรเนื้อหาวิชายากๆ ให้เป็นเรื่องย่อยง่ายสำหรับเด็กจะช่วยยกวัฒนธรรมองค์กรให้เอื้อกับการหลอมรวมการเรียนรู้ของทั้งครูและนักเรียนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน  

อีกเช่นเคย เรามีวิธีสร้างสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนครูหรือชุมชนการเรียนรู้ทั้งในและนอกโรงเรียนมาแชร์กัน 

  • Mentoring น้อมรับคำวิจารณ์หรือข้อเสนอแนะจากครูคนอื่นอย่างเปิดกว้างและแบ่งปันความคิดเห็นของเราอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน
  • PLC Groups สร้างหรือเข้าร่วมชุมชนการเรียนรู้เชิงวิชาชีพ (Professional Learning Community) กับผู้คนซึ่งทำงานด้านการศึกษาหลากหลายสาขาเพื่อเชื่อมโยงถึงแหล่งข้อมูลการเรียนรู้และโอกาสแลกเปลี่ยนวิทยายุทธ์เพื่อสร้าง Growth Mindset ให้เติบใหญ่ขยายเป็นวงกว้างในสังคมและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน
  • Committees หมั่นเข้าร่วมประชุมครู อย่าคิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อเพราะที่นั่นเราจะมีโอกาสได้พูดคุยหารือกับครูที่มีเป้าหมายและความคิดเหมือนกันกับเรา 
  • PBL Planning ออกแบบและวางแผนการจัดการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม โดยหลอมการเรียนรู้ในระดับชั้นเดียวกันให้มีหลากหลายมิติวิชา หรือนำนักเรียนหลายระดับชั้นหรือต่างหลักสูตรมาเรียนรู้ร่วมกันเพื่อผสานทักษะที่แตกต่างและฝึกการทำงานร่วมกันทั้งนักเรียนและตัวผู้สอนเอง 
  • Cooperative Teaching สอนร่วมกับครูท่านอื่นเพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ๆในห้องเรียนและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคนิคการสอนซึ่งกันและกัน โดยอาจกำหนดเป็นช่วงเวลาหนึ่งเทอมหรือระยะเวลาสั้นๆ
  • Book Clubs เลือกหนังสือที่เปิดมุมมองความคิดทางการศึกษาใหม่ๆ ให้ครูทุกคนในโรงเรียนได้อ่านแล้วมานั่งล้อมวงวิพากษ์ประเด็นความคิดความรู้สึกที่ได้จากหนังสือร่วมกัน นอกจากจะก่อให้เกิดบทสนทนาที่เป็นโอกาสให้เรียนรู้ร่วมกันยังเสริมเพิ่มพลังมิตรภาพระหว่างเพื่อนครูไปพร้อมกันด้วย
  • Interpersonal Relationships อย่าปิดตัวเองด้วยการไม่ make friends กับครูคนไหนเลยที่โรงเรียน และหัวข้อสนทนากับเพื่อนครูก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องในโรงเรียนเสมอไป สัมพันธภาพในโรงเรียนไม่จำเป็นต้องเป็นวิชาการจ๋า แต่คือการสร้างความสัมพันธ์ที่สามารถสนับสนุนเกื้อกูลกันฉันมิตร
  • Interest Inventories เริ่มปีการศึกษาด้วยการสำรวจความสนใจของครูในโรงเรียนแบบเปิดเพื่อให้ครูแต่ละคนทราบข้อมูลของกันและกันในเบื้องต้น นี่อาจเป็นการจุดประกายให้ครูที่มีความชอบเหมือนกันแต่ยังไม่เคยทำงานร่วมกันได้พัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้

หมดเวลาสำหรับการพัฒนาเด็กๆ แบบ ‘ตัวใครตัวมัน’ แล้ว เพราะพื้นที่การเรียนรู้ของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน โครงข่ายความสัมพันธ์ของครูจำเป็นต้องแผ่กิ่งก้านให้ครอบคลุมทั่วถึงครอบครัวที่บ้านและเป็นปึกแผ่นในองค์กร เพื่อสร้างกลไกการเปลี่ยนแปลงให้ไปในทิศทางเดียวกัน

พึงระลึกเสมอว่า “ตัวฉัน นักเรียน และบุคลากรทุกคนคือสมาชิกคนสำคัญของชุมชนการเรียนรู้แห่งนี้” ใครเลยจะรู้ว่าพลังสร้างสรรค์การเรียนรู้และพัฒนาตนเองของเด็กๆ ซึ่งสามารถพลิกฟื้นการศึกษาให้ก้าวไปข้างหน้า แท้จริงแล้วอยู่ในมิตรภาพและสายสัมพันธ์ที่มีครูเป็นผู้ถักทอนี่เอง 

Tags:

ครูเทคนิคการสอนGrowth mindsetพ่อแม่

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed Mindset
    สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ก็สอน GROWTH MINDSET เด็กๆ ได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Growth & Fixed Mindset
    แผนการสอน สร้าง GROWTH MINDSET ครูต้องคิดว่าเด็ก ‘ทำ’ ได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ
Learning Theory
23 October 2019

ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

เรื่องและภาพ The Potential

หัวใจของการศึกษา คือ เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

ครูสามารถสร้างการเรียนรู้แบบนี้ได้ผ่าน ‘ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์’ หรือ Experiential Learning Theory (ELT) โดย ดร.เดวิด เอ. โคล์บ (Dr.David A. Kolb) นักทฤษฎีการศึกษา

ผ่านวงจร 4 ขั้นตอนง่ายๆ ตามหลักการของ ELT ภายใต้แนวคิดว่าคนเรามีรูปแบบการเรียนรู้อยู่ 4 โหมดซึ่งหมุนเป็นวงจร สลับสับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ได้แก่

Experiencing – เรียนรู้ข้อมูลผ่านการมีประสบการณ์และการลงมือทำ เน้นการเรียนรู้ที่เด็กได้คิดเองทำเอง

Reflecting – นำข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้มาทบทวน ใคร่ครวญ เช่น จดบันทึก ประชุมกันในทีม

Thinking – คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ออกมาจากขั้นที่ 1 และ 2 สรุปออกมาเป็นแนวทางปฏิบัติ

Acting – ลงมือทำจากความรู้ใหม่ที่ได้ แล้วเรียนรู้ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนควรปรับปรุง

ทั้ง 4 วงจรคือ 1 วงจรการเรียนรู้ แต่วงจรการเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เมื่อจบ 1 วงจรแล้ว ก็ได้เวลาเรียนรู้ให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ EXPERIENTIAL LEARNING: 8 ข้อครูควรรู้ เมื่อจัดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์

Tags:

ครูเทคนิคการสอนGrowth mindsetExperiential Learning Theory(ELT)

Author & Illustrator:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1
EF (executive function)
22 October 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ชื่อเรื่องว่าอ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ เป็นความพยายามที่จะเขียนถึงประโยชน์ของการอ่านนิทานให้ลูกฟังอย่างเป็นระบบอีกครั้งหนึ่ง และเชื่อได้ว่าหลังจากนี้อีกไม่นานก็จะไม่สมบูรณ์อีกเพราะงานวิจัยวิทยาศาสตร์ด้านสมองก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง นับวันเรายิ่งอธิบายได้มากขึ้นว่าเพราะอะไรการอ่านนิทานให้ลูกฟังจึงมีประโยชน์

มิใช่สักแต่ว่าพูดลอยๆ ได้ว่ามีประโยชน์ แต่ทำไมถึงมีประโยชน์

เพราะอะไรจึงว่าเขียนอย่างไรก็ไม่มีวันสมบูรณ์ เหตุผลหนึ่งคือเพราะจำนวนเซลล์ประสาท (neurons) ในสมองของคนเรามีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละเซลล์มีเส้นประสาท (nerves) ออกจากตัวเองไปรับสัญญาณประสาทมาจากเซลล์ประสาทอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน เกิดเป็นจุดเชื่อมต่อ (synapses) ของเซลล์ประสาทจำนวนยิ่งกว่านับไม่ถ้วน

และเพราะการอ่านหนังสือ 1 คำ รูปภาพในหนังสือนิทานประกอบภาพสำหรับเด็ก 1 ภาพ กระทบต่อเซลล์ประสาทและจุดเชื่อมต่อเหล่านี้นับไม่ถ้วน ประโยชน์จึงนับไม่ถ้วนตามไปด้วย

หลายปีที่บรรยายและเขียนหนังสือ ผมพบว่าตะครุบเนื้อหาเรื่องการอ่านได้ไม่หมดเสียทีจริงๆ ด้วย ประโยชน์ของการอ่านนิทาน 1 ข้อสามารถแตกออกได้เป็นอีกหลายข้อเหมือนเซลล์ประสาท และอีกหลายข้อนั้นสามารถแตกออกไปหรือย้อนกลับมาเพิ่มพลังให้กันและกันได้อีกหลายข้อจนกระทั่งจัดหมวดหมู่ก็ไม่ค่อยจะได้อีกด้วย พูดง่ายๆ ว่าประโยชน์ทั้งทางด้านจิตวิทยา ชีววิทยา และสังคมศาสตร์มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันตลอดเวลา

เอาแค่เรื่องจำนวนของจุดเชื่อมต่อ เราพบเรื่อยๆ ว่าตำราแต่ละเล่มไม่เคยเขียนตรงกัน เหตุผลคือเราก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคนเรามีจุดเชื่อมต่อมากเท่าไรกันแน่ ยกตัวอย่างตำรา Executive Function เล่มหนึ่งที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2018 เขียนว่าเรามีเซลล์ประสาทหนึ่งแสนล้านตัว (100 billion neurons) ซึ่งแต่ละตัวสามารถแตะกับเซลล์ประสาทอีก 10,000 ตัว ทำให้เรามีจุดเชื่อมต่อได้มากถึงหนึ่งพันล้านล้านจุด (1 quadrillion synapses) ในขณะที่บทความหนึ่งในนิตยสาร Scientific American ฉบับเดือนกรกฎาคม 2019 เขียนว่าเรามีเซลล์ประสาทหนึ่งแสนล้านตัว (100 billion neurons) และจุดเชื่อมต่อหนึ่งร้อยล้านล้านจุด (100 trillion synapses) อธิบายได้ว่าจำนวนจุดเชื่อมต่อที่ต่างกันมากมายนี้เป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมองเด็กกับสิ่งแวดล้อม มากกว่าเยอะกว่า

คืออ่าน เล่น ทำงานมากกว่า มีจุดเชื่อมต่อมากกว่า

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ขอขยายความก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อเรื่อง คือเรื่องคำว่า ‘ก่อนนอน’ ผมมักเขียนและพูดเสมอว่าอ่านนิทานก่อนนอน ไม่ค่อยจะพูดหรือเขียนว่าอ่านนิทานเฉยๆ เท่าไรนัก เหตุผลหนึ่งคือเราใส่ใจมากเรื่องจังหวะ (rhythm) ดังที่ทราบกันว่าเด็กๆ เรียนรู้ชีวิตด้วยจังหวะมากกว่าคำสั่งสอน

เช่น เด็กที่เรียนรู้ว่าในหนึ่งวัน เรามีจังหวะชีวิตที่สำคัญ 4 จังหวะ คือ กิน กิน กิน และนอน และถ้าเขาควบคุมตนเองให้เรียบร้อยใน 4 จังหวะนี้ได้ เขาควบคุมตนเองได้ทั้งหมด เรื่องนี้มิได้โม้ ชาวตะวันตกเลี้ยงลูกให้ช่วยเหลือตนเองเท่านี้จริงๆ จากนั้นเด็กๆ จะมีโอกาสได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเองค่อนข้างมาก และตบตนเองให้เข้ารูปเข้ารอยทีละเรื่องสองเรื่องได้เอง โดยไม่ต้องปากเปียกปากแฉะเหมือนบ้านเรา

เราไล่ป้อน 3 มื้อ แล้วปล่อยปละละเลยเรื่องเวลาเข้านอน ผลที่ได้คือเละทุกเรื่อง

การอ่านนิทานก่อนนอนมีประโยชน์ตรงที่เราได้ใช้เวลาอ่านนิทานก่อนนอนเป็นการกำหนดจังหวะที่ 4 นี้ให้ตรงเวลาทุกคืน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ปีละประมาณ 300-360 คืน ที่เราจะได้คือจังหวะการนอนที่ชัดเจน และมากกว่านี้คือแม่/พ่อที่มีอยู่จริง

บ้านที่อ่านนิทานก่อนนอน และเริ่มต้นอ่านตรงเวลา เช่น สองทุ่มครึ่งตรง (สองทุ่มยังไม่ถึงบ้าน ดึกกว่าสามทุ่มถือว่าดึกเกินไปสำหรับเด็กเล็ก) พ่อและแม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเข้าห้องนอนพร้อมลูก วางมือถือ ปิดเครื่อง แล้วอ่านนิทาน 3-5 เล่มโดยไม่มีอะไรรบกวนเลย 30 นาทีทุกคืน เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้จากความสม่ำเสมอและต่อเนื่องยาวนานว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าพ่อแม่จะปรากฏตัวตรงเวลาเสมอ และสิ่งมีชีวิตทั้งสองนั้นมีอยู่จริง ความมีอยู่จริงเป็นจุดกำเนิดของจิตวิทยาพัฒนาการทุกขั้นตอนที่จะติดตามมาดังที่เรียกว่า บันได 7 ขั้นสู่ศตวรรษที่ 21

การอ่านนิทานก่อนนอนยังมีประโยชน์ข้อที่สองคือ ช่วยเตรียมคลื่นสมองการนอนให้เข้าที่ก่อนเข้าสู่โหมดการนอนที่มีคุณภาพ หลังจากสนุกสนานมาทั้งวัน หรือถูกดุด่าว่าตีมาทั้งวัน เวลา 30 นาทีก่อนเข้านอนกับเสียงของพ่อแม่จะช่วยสงบคลื่นสมองให้เข้าที่เข้าทางเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การนอนหลับ

การนอนหลับของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ระยะคือระยะไม่ฝันและระยะฝัน (Non-REM & REM sleep) เมื่อคนเรานอนหลับจะเข้าสู่ระยะไม่ฝันระยะที่ 1 ก่อน จากนั้นจะผ่านระยะที่ 2-3-4 แล้วเข้าสู่ระยะฝันรอบที่ 1 จากนั้นจะลัดขั้นตอนเข้าสู่ระยะไม่ฝันระยะที่ 2-3-4 แล้วเข้าสู่ระยะฝันรอบที่ 2 เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

เวลาตั้งแต่เริ่มหลับจนถึงระยะฝันรอบแรกใช้เวลา 70-90 นาที โดยที่ระยะฝันรอบแรกกินเวลาประมาณ 5 นาที ส่วนระยะฝันรอบที่สองจะเกิดขึ้นหลังจากการนอนหลับประมาณ 3 ชั่วโมงและกินเวลาประมาณ 10 นาที เด็กๆ มักไม่มีระยะฝันรอบที่ 1

หลังจากระยะฝันรอบที่สองแล้ว กระสวนของวงจรการนอนนี้จะเกิดขึ้นทุก 90 นาทีโดยที่ระยะฝันจะนานขึ้นเรื่อยๆ อาจจะนานได้ตั้งแต่ 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมง คนเรามักจะจำได้เฉพาะความฝันเรื่องสุดท้าย คือเลขสามตัว

จะเห็นว่าการนอนหลับและความฝันมีรูปแบบจำเพาะและเด็กๆ ต้องการการนอนที่ดี ดังนั้นการอ่านนิทานก่อนนอนจะช่วยให้คลื่นสมองสงบลง เข้าที่ แล้วเคลื่อนตัวเข้าสู่ระยะต่างๆ ของการนอนอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

จบคำนำ

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน ของคุณหมอเรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่าน เล่น ทำงาน : อ่านนิทาน
อ่าน เล่น ทำงาน : เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมากของ ‘นิทานก่อนนอน’
อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

Tags:

การอ่านพัฒนาการEFนิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงาน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

LSED SYMPOSIUM 2019: สัมมนาวิชาการครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ.
Social Issues
22 October 2019

LSED SYMPOSIUM 2019: สัมมนาวิชาการครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ.

เรื่อง The Potential

รายละเอียดโดย คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปีการก่อตั้ง คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเชิญร่วมงานสัมมนาวิชาการ LSEd Symposium 2019 & TSS Open-house ‘การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง’ ‘Meaningful Learning -Transforming Education’ วันที่ 25-26 ตุลาคม 2562 เวลา 9.00-16.00 น. ณ อาคาร SC3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

เวทีที่จะฉายภาพของการศึกษาไทยในปัจจุบันผ่านการนำเสนอแนวคิด นวัตกรรม และเทคนิคการจัดกระบวนการเรียนรู้ในรูปแบบที่แตกต่างหลากหลายไปจากระบบการศึกษากระแสหลักที่ทุกคนคุ้นเคย ผ่านเวทีเสวนาและการบรรยายที่รวบรวมมุมมอง วิสัยทัศน์และจิตวิญญาณของผู้ที่ทำงานด้านการขับเคลื่อนการศึกษา

สัมมนาวิชาการที่แบ่งปันองค์ความรู้จากงานวิจัยและการปฏิบัติงานของผู้ที่ทำงานด้านการพัฒนาการเรียนรู้ในสาขาต่างๆ ตลอดจนของคณาจารย์ของคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ และโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การอบรมเชิงปฏิบัติการหลากหลายหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและการพัฒนามนุษย์ในมิติต่างๆ จากวิทยากรชั้นนำ ทั้งในแวดวงวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ทำงานด้านการศึกษา ภาคประชาสังคม ตัวแทนครูจากโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ และคณาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ คณาจารย์โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่นำเอาประสบการณ์จริงในการทำงานของตนเองมาเชื่อมร้อยเป็นกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้เข้าร่วมอบรม

นอกจากนี้ ภายในงาน ยังมีการแสดงจากนักเรียนโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และงาน ‘เปิดบ้าน’ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อแนะนำแนวทางการจัดการศึกษาของโรงเรียน ทั้งในรูปแบบเวทีเสวนา การอบรมเชิงปฏิบัติการและห้องเรียนจำลอง เพื่อสัมผัสกระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียนอีกด้วย

นำเสนองานวิจัย พื้นที่การเรียนรู้ Active Citizen มีผลต่อสำนึกพลเมือง และ การเปลี่ยนแปลงทางสมองอย่างไร

งานนี้ มูลนิธิสยามกัมมาจล ในฐานะทีมทำงานโครงการ Active Citizen หนุนเสริมเยาวชนให้ทำโครงการในพื้นที่ชุมชนตลอด 8 ปี เปิดห้องชวนคุยประเด็น ‘การสร้างจิตสำนึกพลเมืองของเยาวชนและทักษะการคิดเชิงบริหารและการกำกับตัวเองไปสู่เป้าหมายในวัยรุ่นด้วยการทำโครงการเพื่อชุมชนและการโค้ช’ วันที่ 26 ตุลาคม 2562 เวลา 13.00 – 15.00 น. ณ ห้อง 326 อาคารเรียนรวม S23 มธ. ศูนย์รังสิต

เวทีนี้ดำเนินการในโครงการ 2 ประเด็นคือ

  • รายงานการสร้างจิตสำนึกพลเมืองของเยาวชนด้วยการทำโครงการเพื่อชุมชนและการโค้ช (coach) โดยทีมวิจัยคณะวิทยาการจัดการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ.
  • การทำโครงการเพื่อชุมชนที่มีผลต่อสมอง สู่ทักษะการบริหารจัดการตัวเองและการกำกับตัวเองไปสู่เป้าหมายของวัยรุ่น (EF) โดยรองศาสตราจารย์ ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล
รายละเอียดกิจกรรม
13.00 – 13.15 น.แนะนำโครงการ Active Citizen ซึ่งเป็น social lab ของมูลนิธิฯ ในการพัฒนาตัวอย่างการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะของเยาวชน โดย คุณปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล
13.15 – 13.35 น.การสร้างจิตสำนึกพลเมืองของเยาวชนด้วยการทำโครงการเพื่อชุมชนและการโค้ช (coach) โดย ทีมวิจัยคณะวิทยาการจัดการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ.
13.35 – 13.45 น.แลกเปลี่ยนมุมมอง 10 นาที
13.45 – 14. 05 น.การทำโครงการเพื่อชุมชนที่มีผลต่อสมอง สู่ทักษะการบริหารจัดการตัวเองและการกำกับตัวเองไปสู่เป้าหมายของวัยรุ่น (EF) โดยรองศาสตราจารย์ ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล
14.05 – 14.25 น.ปัจจัยและเงื่อนไขในการออกแบบการเรียนรู้ที่นำไปสู่ความสำเร็จในการสร้างพลเมืองเยาวชนในแต่ละพื้นที่ โดย โค้ชและทีมออกแบบกระบวนการเรียนรู้โครงการ Young Active Citizen 4 จังหวัด (สงขลา สมุทรสงคราม ศรีสะเกษ น่าน)ข้อเสนอการนำบทเรียนไปปรับใช้ในบริบทต่างๆ ของการจัดการเรียนรู้โดย นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ
14.25 – 15.00 น.แลกเปลี่ยนมุมมอง 10 นาที

Tags:

ระบบการศึกษาactive citizenงานเสวนา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • 21st Century skills
    อมรวิชช์ นาครทรรพ: ใช้ทัพเล็กสู้การศึกษา ซุ่มตีทีละเรื่อง “นี่คือรัศมีที่ผมทำได้ก่อนตาย”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • 21st Century skillsSocial Issues
    การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง: ครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    ศราวุธ แก้วบุตร: นับหนึ่งที่ครูเดลิเวอรี วันนี้คือครูเต็มตัวผู้เข้าถึงปมในใจเด็ก

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Everyone can be an Educator
    TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Social Issues
    หลงทางกว่า TCAS คือ การศึกษาที่วนอยู่ในเขาวงกต

    เรื่อง

‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก
Character building
21 October 2019

‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning How to Learn เป็นหนึ่งในคอร์สเรียนออนไลน์ (Massive Open Online Courseware: MOOC) ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก
  • ทำไมเราต้องเรียนรู้ ‘วิธีการเรียนรู้’? เพราะถ้าเราเข้าใจการทำงานและธรรมชาติของสมองก่อน เราจะรู้ว่าเวลาไหน เราควรเรียนรู้แบบใด
  • ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เวลาที่เราคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งแทบตาย กลับคิดไม่ออก แต่พอไม่คิด…กลับคิดออกซะอย่างนั้น

เราพูดถึงการเรียนรู้กันอยู่บ่อยครั้ง หลายครั้งที่บอกว่า การเรียนในห้องเรียนทุกวันนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ช่วยสร้างการเรียนรู้ที่ดีเท่าไรนัก เพราะเน้นการเรียนท่องจำจากตำรา ขาดการฝึกปฏิบัติที่กระตุ้นพัฒนาการทางสมอง

แต่เมื่อไม่มีทางเลือก เราจะหาการเรียนรู้ที่ใช่ ได้จากไหน? 

คำถามนี้ทำให้นึกถึงคำตอบของ ‘แปลน’ รามิล กังวานนวกุล เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่เรียนโฮมสคูลมาทั้งชีวิต The Potential บุกไปสัมภาษณ์แปลนถึงโรงเล่น อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ที่ที่แปลนเติบโตและได้เรียนรู้จากสิ่งต่างๆ รอบตัว ที่ที่แปลนเสาะหาสิ่งที่สนใจและอยากเรียนรู้ด้วยตัวเอง

แปลนบอกว่า ‘การเล่น’ คือ การเรียนรู้ที่ดีอย่างหนึ่งเพราะเมื่อได้เล่นก็เท่ากับได้ลอง ได้คิด และได้ลงมือทำ กระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่นของแปลนตั้งแต่เด็กจนย่างเข้าสู่วัยรุ่น สะท้อนให้เห็นพัฒนาการของระบบคิด การวิเคราะห์แยกแยะ ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งความคิดสร้างสรรค์

แปลนย้ำว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ การเรียนรู้ที่ ‘เหมาะสม’ กับตัวเอง และต้องเป็นสิ่งที่ ‘ชอบและทำแล้วสนุก’

เมื่อถอดรหัสการเรียนรู้ของแปลน ซึ่งเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการเรียนนอกระบบที่สร้างการเรียนรู้ในตัวผู้เรียนได้จริง กระบวนการเรียนรู้แบบแปลนสอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ และการฝึกฝนการเรียนรู้ที่ทุกคนนำไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาตัวเองได้ทันที

เรียนแบบไหนถึงเรียนรู้ได้จริง

เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า การเรียนแบบไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับเรา เราจะชอบ ไม่ชอบ สนุกหรือไม่สนุกกับการเรียนเรื่องอะไร จนกว่าจะได้ลอง ได้คิด และได้ลงมือทำด้วยตัวเองก่อน

เดวิด โคล์บ (David Kolb) นักทฤษฎีการศึกษาชาวอเมริกันได้เสนอทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ ที่เรียกว่า Experiential Learning Theory (ELT) ไว้ตั้งแต่ปี 1984 พูดถึง Learning Cycle หรือวงจรการเรียนรู้ 4 ขั้นตอนซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ได้แก่

หนึ่ง การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง (Concrete Experience)

ขั้นแรกของการเรียนรู้เกิดขึ้นจากการ ‘ลงมือทำ’ อะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะทำคนเดียวหรือร่วมกันในกลุ่มเพื่อน หรือพ่อแม่ชวนลูกเล่น โคล์บ ย้ำชัดว่า การเรียนรู้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการดูหรืออ่านเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่างเช่น การทำอาหาร เราคงไม่สามารถทำอาหารได้ดี หั่นผักเฉือนเนื้อได้คล่องจากการอ่านหนังสือคู่มือทำอาหารเท่านั้น

สอง การสะท้อนคิด (Reflective Observation)

คือ การให้เวลาอย่างเพียงพอกับการทบทวน ไตร่ตรอง หรือแลกเปลี่ยนถกเถียงเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทำลงไปแล้ว ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแห่งการตั้งคำถาม เพื่อให้ได้ย้อนนึกถึงสิ่งที่ทำว่า ทำอะไร และเกิดอะไรขึ้นบ้าง? เช่น

เด็กๆ เข้าไปทัศนศึกษา พบเห็นอะไรบ้าง? ได้คุยกับใครบ้าง? คุยเรื่องอะไร?

เด็กๆ ได้ทำขนมอะไร ขนมมีส่วนประกอบอะไรบ้าง?

เล่าขั้นตอนการทำให้ฟังหน่อย เริ่มจากทำอะไรก่อน-หลัง?

ระหว่างทำกิจกรรมรู้สึกชอบ/ไม่ชอบอะไร?

มีปัญหาอะไรบ้างไหม? แล้วแก้ปัญหายังไง?

ยกตัวอย่างกลับมาที่เรื่องการทำอาหาร ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการชิม ลองชิมฝีมือตัวเอง ลองให้คนอื่นชิม และเปิดรับฟีดแบ็ค แล้วนำไปสู่การสรุปอีกครั้งในขั้นตอนที่ 3

นอกจากการตั้งคำถามให้ตอบแล้ว ยังสามารถใช้วิธีการเขียนตอบคำถาม เขียนเล่าเรื่อง หรือให้สะท้อนความรู้สึกอย่างอิสระได้ด้วย วิธีการเขียนแบบนี้เป็นคนละเรื่องกับการให้ตอบคำถามประเมินกิจกรรม

สาม การสรุปผลด้วยตัวเอง (Abstract Conceptualization)

นอกจากสรุปผลสิ่งที่ได้ลงมือทำในขั้นตอนที่ 2 ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาเพื่อประมวลผล แล้วสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่ (ที่ผู้เรียนได้เรียนรู้) ด้วยผู้เรียนเอง ซึ่งองค์ความรู้ใหม่นี้เกิดขึ้นจากความเข้าใจไม่ใช่การท่องจำ เพราะผู้เรียนได้ลงมือทำและคิดทบทวนด้วยตัวเองในสองขั้นตอนแรกมาแล้ว แน่นอนว่าบางคนสามารถสังเคราะห์สิ่งที่เรียนรู้ออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่บางคนอาจใช้เวลานานกว่า ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละคนว่าเชื่อมโยงกับสิ่งที่ทำมากแค่ไหน 

และสี่ การนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปฏิบัติใหม่ (Active Experimentation)

ขั้นตอนนี้ คือ การทดลองทำซ้ำ แล้วพัฒนาต่อยอด ยกตัวอย่างเช่น การปรับอาหารสูตรเดิมให้อร่อยขึ้น หรือพลิกแพลงเกิดเป็นเมนูใหม่ที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อนอย่างที่เชฟชอบทำกัน

หรือกรณีของแปลน เขาสนใจเรื่องแมลงตั้งแต่อายุราว 4 ขวบ ทดลองเลี้ยงและสตัฟฟ์แมลงไว้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ด้วงกว่าง แมงป่อง ตัวบึ้งหรือแมงมุมทารันทูลาที่หลายคนบอกว่ามีนิสัยดุร้าย ย้อนไปตอนนั้น ใครๆ ก็มองว่าแปลนน่าจะเติบโตไปเป็นนักกีฏวิทยา…แต่ไม่ใช่

แปลน บอกว่า แมลงเป็นจุดเริ่มต้นที่เชื่อมโยงไปยังความสนใจเรื่องอื่น

กระบวนการเรียนรู้ของแปลนได้ผ่านขั้นตอนที่ 1, 2 และ 3 แล้วนำไปสู่ขั้นตอนที่ 4 เมื่อเขานำประสบการณ์และทักษะไปปรับใช้กับการทำสิ่งใหม่ๆ ที่สนใจอยู่เสมอ เช่น เปิดธุรกิจทำร้านออนไลน์จำหน่ายอะไหล่และอุปกรณ์สำหรับจักรยาน ชื่อ ‘14bike’

การดัดแปลงใส่กลไกให้กับของเล่นพื้นบ้านที่หลายคนมองว่าเชย ให้มีลูกเล่น น่าเล่น และน่าสนใจมากขึ้น รวมถึงการผลิตสื่อโฮโลแกรม 3 มิติที่ช่วยให้การเรียนเนื้อหาสาระหนักๆ เข้าใจง่ายและน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าเก่า เช่น โฮโลแกรมเกี่ยวกับฝิ่นและประวัติความเป็นมาของฝิ่น โฮโลแกรมส่งเสริมการอ่านไว้ใช้งานที่ห้องสมุด และโฮโลแกรมฉายภาพพระทองคำเชียงแสน เป็นต้น

และล่าสุด การเปิดเมคเกอร์ สเปซ (Maker Space) พื้นที่ที่อนุญาตให้เด็กและเยาวชนในชุมชนได้เข้ามาออกแรงความคิด และใช้อุปกรณ์งานช่างทดลองทำโปรเจ็คท์ต่างๆ 

วงจรการเรียนรู้จากประสบการณ์ Experiential Learning Theory อย่างไม่รู้จบ

ฝึกฝนวิธีการเรียนรู้ (Learning How to Learn)

ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์ของ เดวิด โคล์บ ฉายภาพรวมให้เห็นขั้นตอนการเรียนรู้ที่เป็นแนวทางสำหรับผู้เรียนในภาพกว้าง เป็นแนวทางจัดการศึกษาที่ได้รับการยอมรับและนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วโลก เช่น บรรจุในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับของนิวซีแลนด์และสิงคโปร์

อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถฝึกฝนการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและเจาะลึก เพื่อเติมเต็มศักยภาพของแต่ละคนได้อีก ในยุคที่แหล่งการเรียนรู้ไร้ขีดจำกัด

Learning How to Learn เป็นหนึ่งในคอร์สเรียนออนไลน์ (Massive Open Online Courseware: MOOC) ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก (ยอดลงทะเบียน ณ วันที่ 23 กันยายน 2019 อยู่ที่ 1,797,793 คน) โดยคอร์สเริ่มเปิดสอนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2014 ในเว็บไซต์ Coursera.org มีอาจารย์ผู้สอน 2 คน ได้แก่

บาร์บารา โอคลีย์ (Barbara Oakley) ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยโอคแลนด์ มิชิแกน ที่มีส่วนร่วมวิจัยงานหลายแขนง ทั้งด้านการศึกษาด้วย STEM การศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ และ การฝึกฝนการเรียนรู้

และ เทอร์เรนซ์ เซนาวสกี (Terrence Sejnowski) ผู้บุกเบิกด้านประสาทวิทยาการคำนวณ ที่ได้รับการยอมรับทั้งด้านการแพทย์และวิศวกรรม ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ สถาบันวิจัยซอล์คเพื่อการศึกษาชีววิทยา (Salk Institute of Biological Studies) สถาบันที่ผลิตนักวิทยาศาสตร์ระดับรางวัลโนเบลมาแล้วถึง 11 คน

เนื้อหาหลักสูตร Learning How to Learn อ้างอิงงานวิจัยด้านประสาทวิทยา (Neuroscience) ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองมนุษย์ จึงเป็นบทเรียนที่เชื่อถือได้ทั้งในทางทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ก่อนผลิตหลักสูตรออนไลน์นี้ บาร์บาราบอกว่า เธอเคยท้าทายศักยภาพตัวเอง ฝึกฝนการเรียนรู้ด้วยวิธีการลักษณะนี้มาก่อน

บาร์บาราเกลียดวิชาคณิตศาสตร์แต่ชอบภาษาศาสตร์มาก เมื่อไม่มีเงินเรียนหนังสือ เธอจึงตัดสินใจเข้าทำงานกับกองทัพสหรัฐเพื่อโอกาสในการเรียน เธอได้เรียนภาษารัสเซียและออกไปปฏิบัติหน้าที่ จนกระทั่งเมื่ออายุ 26 ปี เธอหันมาเรียนคณิศาสตร์อย่างจริงจัง จนจบปริญญาเอกด้านวิศวกรรมในที่สุด

เมื่อคนที่เอาแต่สอบตกวิชาคณิตศาสตร์อย่างเธอ เรียนจบปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์ได้ คนอื่นก็ต้องทำได้ หากรู้วิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง

สลับโหมด เปลี่ยนสมอง

เคยไหม…คิดแทบตายกลับคิดไม่ออก แต่พอไม่คิด…กลับคิดออกซะอย่างนั้น!!

เกิดอะไรขึ้นในสมองของเรา?

การคิดออก/ได้คำตอบเวลา ‘ไม่ได้คิด’ หรือ ไม่ได้หมกมุ่นกับเรื่องนั้นแล้ว แสดงให้เห็นการทำงานของสมอง 

หลายครั้งที่คิด คิดจนเหนื่อย เลยต้องหยุดคิด แต่ขณะที่เราคิดว่าเราหยุด เบื้องหลังสมองก็ยังทำงานครุ่นคิดกับเรื่องนั้นอยู่อย่างไม่รู้ตัว ภาวะนี้เรียกว่าความคิดใน diffuse mode

บาร์บาราอธิบายว่า โดยปกติสมองมีรูปแบบการทำงานในกระบวนการเรียนรู้อยู่ 2 สภาวะ คือ diffuse mode และ focus mode (การครุ่นคิดอย่างตั้งใจ)

สมองมนุษย์ทำงานใน focus mode ได้ดีและรวดเร็วกับเรื่องที่คุ้นเคยหรือเคยทำมาก่อน ยกตัวอย่าง คณิตศาสตร์ เช่น การบวกลบเลขที่ไม่ซับซ้อน หรือการท่องสูตรคูณ ที่ท่องได้ติดปาก เป็นต้น

แต่เมื่อเจอโจทย์ยาก focus mode ก็จอด!

คราวนี้การสร้าง diffuse mode ช่วยได้ ที่บอกว่าต้องสร้าง เพราะความคิดทั้งสองโหมดนี้ไม่สามารถทำงานได้ในเวลาเดียวกัน

diffuse mode เกิดขึ้นเมื่อรู้สึกผ่อนคลาย การทำให้สมองอยู่ในภาวะพัก (neural resting stage) เช่น เดินเล่น วิ่งเล่น ปั่นจักรยาน ออกกำลังกาย อาบน้ำ หรือนอนหลับ หากเปรียบเทียบ diffuse mode ก็เหมือนภาวะที่สมองมีพื้นที่อิสระในการคิดมากกว่า focus mode 

ทำให้ระบบคิดหลุดออกจากรูปแบบเดิมๆ ที่เคยคิดเคยทำ สมองจึงพยายามเชื่อมโยงข้อมูล และประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามาในกระบวนการคิด

ดังนั้น การเรียนรู้ที่ดีจะเกิดขึ้นหากผู้เรียนบาลานซ์ focus mode และ diffuse mode ให้เกิดขึ้นสลับไปสลับมาอย่างต่อเนื่องได้ ผู้เขียนขอเรียกว่า การเรียนรู้แบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หรือ ค่อยๆ ทำ ซึ่งจะพูดถึงอย่างละเอียดในหัวข้อถัดไป

เปลี่ยนจาก ‘เดี๋ยวค่อยทำ’ เป็น ‘ค่อยๆ ทำ’

‘เดี๋ยวค่อยทำ’ กับ ‘ค่อยๆ ทำ’ ออกเสียงเผินๆ ฟังดูไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ในทางปฏิบัติให้ผลลัพธ์ต่างกันมหาศาล จากการศึกษา พบว่า การเรียนรู้อะไรสักอย่าง อย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปตามแผนหรือแบบมีเป้าหมาย จะสร้างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพกว่าการอัดเนื้อหาหรือตะบี้ตะบันทำในเวลาสั้นๆ (cramming) เพราะการค่อยๆ เรียน ค่อยๆ ทำ ทำให้สมองจดจำสิ่งที่เรียนรู้นั้นได้ดีและถาวรกว่า วิธีการนี้ใช้ได้กับการเรียนรู้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การทำงานอดิเรก เช่น การฝึกเล่นเครื่องดนตรี ฝึกเต้น ฝึกร้องเพลง ฝึกทำอาหาร ฯลฯ

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลงมืออ่านหนังสือให้จบ 20 รอบในหนึ่งวัน สมองไม่สามารถจดจำหรือทำงานได้ดีเท่าอ่านหนังสือวันละ 1 รอบเป็นเวลา 20 วัน จึงไม่น่าแปลกที่การหักโหมอ่านหนังสือแค่ 1 วันก่อนสอบ ทำให้ผลการสอบพังพับไม่เป็นท่า เพราะเมื่อหลับตื่นขึ้นมาแล้วอาจรู้สึกว่าจำอะไรไม่ได้เลย

วิธีการสร้างความจำระยะยาว (long term memory) ต้องใช้ spaced repetition หรือ spaced rehearsal ด้วยการค่อยๆ อ่านสะสม ก่อนสอบอ่านทบทวนซ้ำๆ วันละนิดเป็นเวลาอย่างน้อย 7-14 วัน การศึกษา พบว่า ยิ่งอยู่กับเรื่องนั้นนานเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสจำได้มากขึ้นเท่านั้น

เทคนิคการเรียนรู้อย่างหนึ่งที่อยากแนะนำ มาพร้อมชื่อเก๋ๆ Pomodoro Technique เป็นแนวทางฝึกปฏิบัติสำหรับผู้เรียนที่อยากพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของตัวเอง แบบค่อยๆ ทำแต่ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง และเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนสมาธิสั้น เพราะ Pomodoro Technique เป็นเทคนิคที่ใช้เวลาสั้นๆ สร้างการเรียนรู้ แล้วมีสมองของเรานี่แหละเป็นตัวช่วยนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาปะติดปะต่อกัน

เทคนิคการจัดการเวลานี้ คิดค้นโดย ฟรานเซสโก ซีริลโล (Francesco Cirillo) ในปี 1980s แล้วถูกนำมาพูดถึงจนเป็นที่รู้จักอีกครั้งในหลักสูตร Learning How to Learn ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย แค่…

หนึ่ง ปิดช่องทางหันเหความสนใจ เช่น เก็บมือถือให้ห่างจากโต๊ะ ปิดทีวี หรือบางคนอาจชอบอยู่ในที่เงียบๆ ก็สามารถหามุมสงบๆ ของตัวเองได้

สอง โฟกัสด้วยการตั้งใจจดจ่อกับการอ่านหรือสิ่งที่ทำให้ได้ 25 นาที (สร้าง focus mode)

สาม พักเบรกผ่อนคลาย เดินเล่น จิบกาแฟ ฯลฯ 5 นาที (สร้าง diffuse mode)

และ สี่ ควบคุมตัวเองให้ได้ กลับมาโฟกัสกับสิ่งที่ทำอีก 25 นาที แล้วพัก 5 นาที ทำแบบนี้ไปจนครบ 4 รอบ รอบที่ 4 พักยาวได้ 30 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ diffuse mode อย่างแท้จริง

ระยะเวลาที่ใช้โฟกัสปรับได้ตามความเหมาะสม สำหรับคนสมาธิสั้นอาจมองว่า 25 นาทีนั้นนานและยาก ปรับเอาให้ถูกจริตตามสถานการณ์และตัวบุคคล อาจลดเหลือ 20 นาที หรือเพิ่มขึ้นหากทำได้

นอกจากนี้ การเปลี่ยนคำพูดบอกกับตัวเองก็ช่วยปรับภาวะของสมองได้ ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะบอกว่า “ฉันจะทำการบ้านให้เสร็จภายใน 25 นาที” ฟังดูแล้วกดดันตัวเอง จนเวลาผ่านไป ทำเท่าไรก็ทำไม่เสร็จเพราะคิดไม่ออก ให้ตั้งเป้าบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะทำการบ้านอย่างตั้งใจสัก 25 นาที” แทน เพื่อให้ focus mode ที่เกิดขึ้นไม่เต็มไปด้วยแรงกดดันที่มากเกินพอดี

ทบทวน ไม่เท่ากับ อ่านซ้ำ ฟังซ้ำ ทำซ้ำ ตรงที่เดิม

เมื่อเอ่ยถึงการทบทวนบทเรียน เรานึกถึงอะไร?

กลับไปอ่านหนังสือซ้ำอีกครั้ง? กลับไปอ่านตรงปากกาไฮไลท์เพื่อย่นเวลา? ฯลฯ

การทบทวนที่บาร์บาราบอกไว้คือการ recall หรือ นึกย้อนถึงสิ่งที่ได้เรียน ได้อ่าน ได้ฟังหรือได้ทำ โดยยังไม่ต้องกลับไปอ่าน ฟัง หรือทำซ้ำ ส่วนนี้สอดคล้องกับวงจรการเรียนรู้ 4 ขั้นตอนของโคล์บในข้อที่ 2 และ 3

 ยกตัวอย่างเช่น ลองตั้งคำถามเพื่อทบทวนว่า

  • อะไรเป็นใจความสำคัญ (main idea) คอนเซ็ปท์ หรือสิ่งที่โดดเด่นจากเรื่องที่อ่าน/ฟัง/ทำ?
  • ถ้าต้องอธิบายให้คนอื่นฟัง จะเริ่มอธิบายจากส่วนไหน และอธิบายว่าอย่างไร?

ลองเรียบเรียงด้วยภาษาและความเข้าใจของตัวเอง อาจใช้การพูดหรือการเขียน แล้วแต่ถนัด วิธีการ

นี่เป็นการเรียกคืนข้อมูลกลับเข้าสู่กระบวนการคิดของสมอง ช่วยให้เราไม่ตกหลุมพรางและคิดไปเองว่า เข้าใจเรื่องนั้นดีแล้ว (Illusion of competence) ทั้งที่จริงๆ เกิดขึ้นเพราะสมองรู้สึกคุ้นชิน กับหนังสือเล่มเดิมที่เคยอ่านผ่านตา จากประโยคที่เคยไฮไลท์ไว้เป็นสีสัน และจากเสียงที่เคยฟังมาก่อน 

เราไม่ได้บอกว่าการอ่านทบทวน การขีดไฮไลท์ การฟังหรือการทำซ้ำ ไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อทำเสร็จแล้ว การสร้างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่า คือ การทบทวนด้วยความเข้าใจของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจจริงๆ ว่าส่วนไหนจำได้ จำไม่ได้ ส่วนไหนเข้าใจจริงๆ หรือยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วค่อยกลับไปอ่าน/ฟัง/ทำ อีกครั้งในส่วนที่ขาดหายไป

นอกจากนี้ การทบทวนที่ดีควรทำในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เพื่อปรับสมองให้ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วในสภาพแวดล้อมที่ต่างออกไป ช่วยลดความตื่นเต้น และทำให้สมองทำงานได้ดีเมื่อเข้าห้องสอบ

 “Wisdom is not a product of schooling but of the life-long attempt to acquire it”.

– Albert Einstein 

“ปัญญาไม่ใช่ผลผลิตของการศึกษา แต่มาจากความพยายามทั้งชีวิตเพื่อให้ได้มันมา”

– อัลเบิร์ต ไอสไตน์

Fun Fact!

การนอนหลับอย่างเพียงพอ จะช่วยให้สมองจัดเก็บข้อมูลสำคัญที่ได้เรียนรู้ในแต่ละวันได้ดี และสำคัญมากในการรักษาความจำในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยคัดกรองการจำสิ่งที่ไม่จำเป็นออกได้ด้วย ดังนั้น การให้สมองได้พักด้วยการนอน หลังจากการเรียน อ่านหนังสือหรือจากการทำกิจกรรมฝึกฝนทักษะต่างๆ จะช่วยให้จำสิ่งที่เรียนรู้ได้ดี และสร้างการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องต่อไปได้งานวิจัยทางสมองมากมายเห็นตรงกันว่า ช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตเด็ก คือช่วงที่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึง 5 ปีแรก เพราะช่วงแรกนี้สมองของเด็กจะสร้างการเชื่อมต่อของนิวรอนเกิน 1 ล้านครั้งต่อวินาที หมายความว่า เซลล์ประสาทสามารถสร้างเครือข่ายเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้ ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางสมอง แต่เมื่อโตขึ้นเราควรหาทางกระตุ้นสมองด้วยวิธีการต่างๆ เพราะเซลล์ในสมอง หากไม่ถูกใช้งานจะเสื่อมและตายลงเรื่อยๆ

การออกกำลังกาย มีประโยชน์กว่าอาหารเสริมหรือยาบำรุงใดๆ ที่มีสรรพคุณบำรุงสมอง เพราะการออกกำลังกายช่วยกระตุ้นสมอง ทำให้เซลล์สมองใหม่ที่เติบโตขึ้นอยู่รอดและแข็งแรง การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และความจำ

หมายเหตุ:
MOOC คือหลักสูตร (course) ที่เรียนออนไลน์ (online) จากระบบที่เปิดให้ใช้งานฟรี (open) และรองรับผู้เรียนจำนวนมาก (massive) ผู้เรียนสามารถเชื่อมต่อเข้าไปดูวิดีโอการบรรยาย เข้าไปฝึกปฏิบัติ ทำแบบทดสอบแบบฝึกหัด หรือเข้าไปร่วมสนทนากับผู้เรียนอื่นๆ ได้

คอร์สเรียนออนไลน์ Learning How to Learn คลิก , MOOC ในประเทศไทย คลิก 

ติดตามทฤษฏีการเรียนรู้จากประสบการณ์ เดวิด โคล์บ เพิ่มเติม ได้ที่
อ้างอิง
David Kolb
The Ultimate Skill: Learning How to Learn
สรุปบทเรียน Learning How to Learn
barbaraoakley

Tags:

เทคนิคการสอนExperiential Learning Theory(ELT)การเล่นครูคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Learning Theory
    สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

กล้าดี D.I.Y: พาสองมือสร้างธรรมชาติ ปั้นกระถางต้นไม้รักษ์โลกด้วยตัวเอง
Voice of New Gen
18 October 2019

กล้าดี D.I.Y: พาสองมือสร้างธรรมชาติ ปั้นกระถางต้นไม้รักษ์โลกด้วยตัวเอง

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์ ภาพ บัว คำดี

  • กล้าดี D.I.Y ผลงานกระถางสำเร็จรูปจากวัสดุธรรมชาติ สู่การสร้างจุดขายที่ให้ลูกค้ามีส่วนในการปั้นกระถางรักษ์โลกขึ้นมาด้วยตัวเอง 
  • ความท้าทายของโครงการอีกหนึ่งอย่างคือ กล้าดี D.I.Y ยังต้องน่าซื้อน่าใช้ พร้อมผลิตเป็นสินค้าขายในท้องตลาดได้จริง
  • เพราะไม่มีต้นไม้ต้นไหนที่โตใหญ่มาตั้งแต่เกิด มนุษย์เองก็เช่นนั้น เด็กๆ เจ้าของไอเดียกระถาง กล้าดี D.I.Y ต้องเปิดรับความรู้ที่เหมาะสม และทดสอบความรู้ด้วยการทดลองทำจริง และเติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กับผลงานที่พัฒนา
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

กระถางพลาสติกสำหรับเพาะกล้าไม้โดยทั่วไปแม้จะแข็งแรง แต่ก็มักสร้างปัญหาเวลาที่ต้องย้ายกระถางเพื่อนำกล้าไม้ไปปลูกลงดิน เพราะต้องใช้วิธีกระแทกก้นกระถาง บ้างก็ต้องเขย่าจนรากขาดดินกระจาย กล้าไม้ที่ควรจะโตก็กลับไม่รอดไปอย่างน่าเสียดาย

กล้าดี D.I.Y จึงเกิดขึ้นจากความคิดและฝีมือของน้องๆ มัธยมต้นจาก โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี แทนที่จะต้องมานั่งปวดหัวกับปัญหาการย้ายกระถางกล้าไม้ลงดิน มันคงดีและน่าสนุกกว่า ถ้าเราสามารถปั้นกระถางจากวัสดุธรรมชาติที่ย่อยสลายได้เพื่อใช้เพาะกล้า เวลาย้ายลงดินก็ย้ายไปทั้งกระถาง สะดวกสบายกว่า และกล้าไม้ก็ไม่มีความเสี่ยงที่จะตายระหว่างการเดินทางจากกระถางไปสู่ดินด้วย

ต่อไปนี้คือเรื่องราวของต้นกล้าที่โตในกระถาง ทั้งต้นกล้าที่เป็นพันธุ์ไม้จริงๆ และต้นกล้าในความหมายเปรียบเปรยถึงน้องๆ ที่โตดีเพราะกระถางนั้นมีรู

เปลี่ยนแนวคิดโลกกรีน เป็นผลิตภัณฑ์น่าสนุก

จุดเริ่มต้นของ กล้าดี D.I.Y นั้นมาจากการทำโครงงาน ‘การศึกษาวัสดุธรรมชาติที่เหมาะสมกับการปลูกต้นกล้าเพื่อทดแทนถุงพลาสติกดำและกระถางพลาสติก’ ของ คิม-ชุติชัยกิจสุวรรณรัตน์, การ์ตูน-สุชานรี พรธานิศกุล และ มิ้นต์-ญภา วังกรานต์ ในโครงการ Smart Class ของโรงเรียนสงวนหญิง ซึ่งทั้งสามรับช่วงโครงงานต่อมาจากรุ่นพี่ที่ได้ริเริ่มโครงการไว้อีกทอดหนึ่ง

ก่อนจะเป็น กล้าดี D.I.Y ที่ให้ผู้ใช้ประดิษฐ์กระถางด้วยตัวเองสมชื่อนั้น กระถางในเวอร์ชั่นแรกนั้น ทีมนำถั่วลิสงมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตขึ้นรูปกระถางแบบพร้อมใช้ ซึ่งผลงานผ่านเวทีการประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC) ก่อนที่ทีมจะได้แรงสนับสนุนจากอาจารย์ที่ปรึกษาให้เข้าร่วมต่อยอดผลงานในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 ซึ่งได้เปลี่ยนผลงานของทั้งสามให้มีจุดขายมากขึ้น

ส่วนกล้าดี D.I.Y เวอร์ชั่นล่าสุดเป็นชุด D.I.Y. ที่ประกอบด้วยเปลือกถั่วลิสง ตัวประสาน แม่พิมพ์ ไม้คน พร้อมคู่มือวิธีการ ลูกค้าที่ซื้อไปสามารถปั้นกระถางถั่วลิสงขึ้นมาเองได้ง่ายๆ และช่วยให้เวลาย้ายต้นกล้าลงดินสะดวกสบายขึ้น

“กระถางทำจากวัสดุธรรมชาติ มีถั่วลิสงเป็นธาตุอาหารให้พืชในตัวด้วย ปกติแล้วถ้าปลูกในถุงพลาสติกหรือกระถางดำ เราต้องย้ายต้นไม้จากกระถางไปปลูกลงดิน แต่ของเราไม่ต้องย้ายกระถาง ปลูกลงไปในดินได้เลย ลดปัญหาเรื่องรากขาด ดินแตก ต้นพืชตาย” มิ้นต์เสริมความ

อย่างไรก็ตาม กว่าที่ผลงานจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ คิม-การ์ตูน-มิ้นต์บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันไม่ใช่ง่ายๆ เพราะการเปลี่ยนรูปแบบผลงานหมายถึงงานหนักที่เพิ่มขึ้น จนทั้งสามต้องชวน นุ่น-พิชาพร ทรัพย์สวนแตง, ปัน-อธิปัญญ์ เทพทอง และ นันท์-นภัสนันท์ กลับสงวน เข้ามาเสริมทัพ

บน: การ์ตูน นุ่น มิ้นต์ นันท์ ล่าง: คิม ปัน

ทำวิจัยเชิงพาณิชย์ ของต้องดีและต้องขายได้!

กว่าจะได้กล้าดี D.I.Y เวอร์ชั่นแรกมานั้น ทีมเองก็ต้องทำวิจัยในรูปแบบของการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในการหาสูตรของส่วนประกอบต่างๆ ที่ลงตัวให้สามารถขึ้นรูปเป็นกระถางถั่วลิสงได้ ซึ่งนั่นก็ถือว่ายากแล้ว

แต่ความยากของ D.I.Y เวอร์ชั่นล่าสุดคือการวิจัยเพื่อตอบโจทย์เชิงพาณิชย์ กล่าวคือการวิจัยสัดส่วนและออกแบบผลิตภัณฑ์ของวัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบในการทำกระถาง เพื่อให้ลูกค้าซื้อไปทำเองได้ ซึ่งเหมือนจะง่าย แต่เอาจริงๆ แล้วไม่ง่าย ทั้งในแง่ของส่วนประกอบและดีไซน์ของผลิตภัณฑ์

“ตอนแรกที่ทำโครงงานเราจะขายแค่ตัวกระถาง แต่พอเปลี่ยนเป็นชุด D.I.Y. ให้ลูกค้าทำเอง ก็ต้องคำนึงถึงผู้ใช้มากขึ้นว่าเขาจะปั้นกระถางได้ไหม เขาจะขึ้นรูปยากไหม เราก็ต้องปรับให้เป็นวิธีปั้นกระถางให้ง่ายพอสำหรับคนที่ไม่เคยทำด้วย” นันท์เกริ่นถึงความกังวลใจของทีม

ขณะที่มิ้นต์ช่วยจะเสริมว่า “มันยากตรงที่เหมือนเอางานของเราไปให้ลูกค้าทำ เราต้องคำนึงถึงลูกค้า ต้องคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่อยากให้เขาหงุดหงิดจนไม่อยากทำ ต้องให้เขารู้สึกสนุกไปกับงานของเรา”

จากข้อกังวลข้างต้นนั้น ทีมก็เจอปัญหาจริงๆ ในตอนทดลองทำออกมาเป็นผลิตภัณฑ์แล้ว

“ตอนแรกเราใส่ภาชนะตัวประสาน (กาว) แยกไว้ในถุงซิปล็อค แต่พอเอามาเทใส่แม่พิมพ์เพื่อผสมตัวประสานกับวัสดุธรรมชาติ ตัวประสานรีดออกมาจากถุงได้ไม่หมด อัตราส่วนจึงเพี้ยน ทำให้ขึ้นรูปไม่ได้ เราก็ต้องมาทดลองสูตรกันใหม่ ทำยังไงจะแก้ปัญหานี้ได้ โค้ชก็แนะนำให้เอาตัวประสานใส่ในแม่พิมพ์ไปเลย แล้วค่อยเอาวัสดุธรรมชาติมาใส่ผสมกันทีหลัง ซึ่งกว่าจะทำได้ตามสูตรก็ต้องทดลองกันหลายสิบครั้ง ทดลองไปเรื่อยๆ หาสาเหตุไปเรื่อยๆ ไม่กาวน้อยไป น้ำก็ยังไม่พอ ค่อยๆ ปรับสูตรทีละนิดจนลงตัว” มิ้นต์ยิ้มหลังเล่าจบ

หลังจากพัฒนาจนลงตัว ทีมก็นำผลิตภัณฑ์ไปให้ผู้ใช้ได้ทดลองใช้ ซึ่งกลุ่มผู้ใช้นั้นมีทั้งนักเรียนและคุณครูที่โรงเรียนสงวนหญิง รวมไปถึงผู้ปกครอง โดยนอกจากนำเสนอผลิตภัณฑ์แล้ว ทีมยังมีการเก็บข้อมูลแบบสอบถามเพื่อประเมินความพอใจของผู้ใช้ ทั้งในด้านแพ็คเกจจิ้งและความสะดวกสบายในการใช้ ซึ่งส่วนใหญ่มีเสียงตอบรับไปในทางดี

และกระบวนการนี้ก็ทำให้ทีมได้เรียนรู้ถึงการทำงานร่วมกับผู้ใช้ว่ามีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการพัฒนาผลงานไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์

“งานอื่นเราให้แค่กลุ่มเล็กๆ ได้ทดลองใช้ เช่น กรรมการ แต่พอเราทำผลิตภัณฑ์ที่มีคนซื้อ เราต้องขยายกลุ่มทดลองให้หลากหลายมากขึ้น และเรียนรู้เรื่องการรับฟังเขา เข้าใจเขา ฟังมุมของเขาว่าต้องการอะไร เพราะเราเป็นคนทำเราทำได้ เขาอาจจะทำไม่ได้ เราต้องฟังเขาแล้วปรับให้สะดวกกับเขามากที่สุด” นันท์เล่าอย่างกระตือรือร้น

เป็นต้นไม้ในกระถางที่มีรู

คนที่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วนั้น ยากที่จะพัฒนาตนเองได้ เพราะต่อให้ใครป้อนความรู้ใหม่ๆ ให้ถึงที่ก็ล้นออกนอกแก้วเสียหมด แต่สำหรับทีมกล้าดี D.I.Y พวกเขาไม่ใช่น้ำเต็มแก้ว และก็ไม่ใช่แค่น้ำไม่เต็มแก้วด้วย แต่เป็นเหมือนกล้าไม้ในกระถางที่มีรู

หากกล้าไม้จะเจริญเติบโตได้ด้วยการอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของดินที่หมาดนุ่ม ซึมซับน้ำใหม่ในปริมาณที่พอเหมาะ และปล่อยทิ้งน้ำเสียออกทางรูกระถางเพื่อเหลือที่ว่างให้อากาศฉันใด มนุษย์ก็พัฒนาตนเองได้จากการเปิดใจสร้างพื้นที่ให้พร้อมรับการเรียนรู้ เลือกซึมซับความรู้ที่จำเป็นและเหมาะสม และที่สำคัญคือ ปล่อยทิ้งความทะนงตนและความพลาดหวัง เพื่อเหลือที่ว่างให้จินตนาการและความฝันฉันนั้น

นั่นเองคือสิ่งที่ทีมกล้าดี D.I.Y ทำ

“เรารับฟังและแก้ตามคำแนะนำของโค้ชตลอด ซึ่งมันต้องแก้หลายครั้งมาก ก็รู้สึกเหมือนกันว่าทำไมไม่บอกให้แก้ทีเดียวไปเลย (หัวเราะ) แต่เราก็ต้องย้อนมองความเป็นจริงว่าผลงานเรามันยังไม่ดีพอจริงๆ พี่เขาช่วยเราพัฒนา เราก็ต้องยอมรับความคิดเห็นเขา เขาก็เปิดใจให้เราเสนอ ก็แชร์กัน ทำให้ผลงานออกมาดีที่สุด ซึ่งพี่โค้ชก็ทำให้ผลงานมันดีกว่าที่เราคิดไว้เยอะมาก เกินกว่าที่เราคาดหมายตั้งแต่แรก เป็นสิ่งที่สอนเราว่าทำอะไรก็แล้วแต่อย่าท้อ พยายามรับฟังความคิดเห็นคนอื่นแล้วมาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายได้อย่างสวยงาม แม้ต้องเปลี่ยนสูตรบ่อย เหมือนที่โธมัส เอดิสัน ทำเป็นพันๆ ครั้ง มันไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นการค้นพบสิ่งใหม่” นันท์กล่าวพร้อมยิ้มสดใส

“จากที่คิดแค่ว่านำเสนอคุณครูในชั้นก็จบ ไม่คิดว่าจะแข่งขันหรือพัฒนาต่อ การเข้าโครงการต่อกล้าฯ เหมือนเป็นกำไรของพวกเรา นอกจากพัฒนาผลงานได้เกินจากที่คิดไว้ ยังได้ความรู้เยอะมาก และเป็นความรู้ที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ในห้องเรียน ทั้งการตลาด UX-UI (User Experience ประสบการณ์ผู้ใช้/User Interface โครงสร้างหรือรูปร่างหน้าตาที่ช่วยให้การทำ UX สมบูรณ์และพร้อมใช้) การสร้างช่องทางสื่อสารกับลูกค้า ทำคิวอาร์โค้ด เปิดแฟนเพจตามที่พี่โค้ชแนะนำ ก็มีคนติดตามสนใจงานเรามากขึ้น และมีคนสั่งซื้อแล้วด้วย” มิ้นต์เสริมอย่างร่าเริง

เพราะไม่มีต้นไม้ต้นไหนที่โตใหญ่มาตั้งแต่เกิด ทุกต้นล้วนต้องเคยผ่านการเป็นเมล็ดเล็กๆ ที่บอบบางมาก่อน มนุษย์เองก็เช่นนั้น เมื่อเปิดรับความรู้ที่เหมาะสม และทดสอบความรู้ด้วยการทดลองทำจริง ความเติบโตก็เกิดขึ้น พร้อมๆ กับผลงานที่พัฒนาขึ้น

เหมือนเช่น กล้าดี D.I.Y จากผลงานกระถางสำเร็จรูปจากวัสดุธรรมชาติ สู่การสร้างจุดขายที่ให้ลูกค้ามีส่วนในการปั้นกระถางรักษ์โลกขึ้นมาด้วยตัวเอง และที่สำคัญคือ งานนั้นขายได้จริงผ่านช่องทาง Facebook Fan Page: Kladee DIY และมีโอกาสที่จะเติบโตยิ่งขึ้นไปอีก

นี่คือความเติบโตของกล้าดี D.I.Y และแน่นอนว่าคือการเติบโตของกล้าพันธุ์ดีทั้ง 6 ชีวิตด้วย

“จากกระถางที่ขายตามตลาดทั่วไป พอได้เข้าโครงการฯ ได้พัฒนามาเรื่อยๆ จากกระป๋องที่มีไม้ลุ่ยๆ ค่อยๆ พัฒนาให้มีถุง มีโลโก้ มันสวยขึ้นมาก ดีใจที่ผลงานมีคนที่สนใจและซื้อไปใช้” การ์ตูนกล่าวอย่างมีความสุข

“งานนี้มีความหมายสำหรับเราทุกคน เป็นผลงานที่มาจากมือเราเอง เราเริ่มต้นมันมาแล้วผลงานได้ไปอยู่ในมือคนอื่น คนอื่นได้ใช้ผลงานที่มาจากความคิดเรา รู้สึกภูมิใจที่เรามาไกลมาก จากผลงานที่ตั้งใจแค่นำเสนอครูให้จบๆ ไป กลายมาเป็นผลงานที่คนอื่นเอาไปใช้ ภูมิใจที่เขาได้ใช้ผลงานของเรา” มิ้นต์เผยความรู้สึก

“ผลงานของเราอาจจะไม่ได้ถูกใจทุกคน แต่เราทำด้วยความใส่ใจ” นันท์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เราทุกคนเริ่มจากศูนย์และตั้งใจทำให้ดีที่สุด หวังว่าคนที่นำผลงานไปใช้จะมีความสุข สนุก ใช้ได้จริง ที่ผ่านมาเราไม่ยอมแพ้ สู้ทำจนถึงที่สุด ไม่ปิดกั้นความคิดตัวเอง และอย่าปิดกั้นความคิดเห็นคนอื่น ถ้าเราทำอะไร ทุกคนทั่วโลกจะได้ใช้มัน นั่นคือความคิดที่เป็นบวกจะทำให้ผลงานออกมาดีและสร้างสรรค์ ถึงวันนี้ต้องบอกว่า กล้าดี D.I.Y เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ส่วนต่อกล้าฯ ได้ให้สิ่งที่จะอยู่ไปตลอดชีวิตค่ะ (ยิ้ม)

Tags:

สิ่งแวดล้อมD.I.Yโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรม

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ยิ่งเปรี้ยว ยิ่งเสีย ชะลออายุปลาส้มด้วย ‘ศิริส้ม’ ของเด็กมัธยมปลาย

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    INSHELTER ราวตากผ้าอัจฉริยะ นวัตกรรมที่เกิดจากความขี้เกียจ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

การศึกษา ‘ป้า’ ออกแบบเองได้: ทองคำ เจือไทย นักวิจัยปูแสมที่เสกท้องร่องเป็นห้องเรียน
Life Long Learning
18 October 2019

การศึกษา ‘ป้า’ ออกแบบเองได้: ทองคำ เจือไทย นักวิจัยปูแสมที่เสกท้องร่องเป็นห้องเรียน

เรื่อง The Potential

ที่แม่กลอง ความรู้อยู่ที่ ‘ท้องร่อง’ ไม่ใช่ห้องเรียน

ทองคำ เจือไทย คุณป้านักวิจัยวัย 67 เชื่อว่าความรู้จริงๆ เกิดจากการลงมือทำ และพื้นที่เรียนรู้สำคัญคือ ชุมชน โดยเฉพาะถ้า… 

เริ่มจากความสงสัยว่าทำไมอาชีพจับปูแสมถึงหายไปจากชุมชน สู่การลงมือพาเด็กในโรงเรียนหาคำตอบแบบบ้านๆ ออกไปคุยกับคนจับปู ไปศึกษาชีวิตปู ไปดูว่าปูอยู่อย่างไร กินอะไร แล้วทำไมมันถึงหายไป

จากนั้นถอดบทเรียนจากข้อมูล วิเคราะห์ให้เห็นปัญหา นำพาไปสู่การรู้สาเหตุ ถอดรหัสเพื่อแก้ไข และในที่สุด…ปูแสมก็กลับบ้าน – แม่กลอง

ทั้งหมดทั้งมวลคือกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กๆ ผ่านการลงมือทำ และไปสัมผัสประสบการณ์จริง โดยไม่ต้องเปิดตำรา

แล้วป้าได้อะไร? ป้าบอกว่า “นี่คือชีวิตของฉัน” ที่จะไม่ยอมอยู่กับที่และดักดาน

และนี่คือการศึกษาที่ (ป้า) ออกแบบเอง

Tags:

ทองคำ เจือไทยactive citizenGrowth mindsetGritสิ่งแวดล้อมนักวิจัย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง’ สร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้โอกาสเติบโต : ราฎา กรมเมือง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New GenSocial Issues
    บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    สวนกง…เพราะหาดคือชีวิต

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Life Long Learning
    ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ: โค้ชแห่งแม่กลอง ผู้ใช้สวน-แม่น้ำ-ชุมชนเป็นโรงเรียนรู้ตลอดชีวิต
Everyone can be an Educator
17 October 2019

ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ: โค้ชแห่งแม่กลอง ผู้ใช้สวน-แม่น้ำ-ชุมชนเป็นโรงเรียนรู้ตลอดชีวิต

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

  • สวน แม่น้ำ ชุมชน คือวัตถุดิบสำคัญที่ ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ ผู้บริหารโครงการ Active Citizen ของสมุทรสงครามและราชบุรี นำมาใช้ในห้องเรียนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่แม่กลอง
  • ตั้งต้นจากเรื่องใกล้ตัวที่เขาสนใจ คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ผ่านการทำโครงการ หรือ Project Based Learning แบบไร้การบังคับให้เลือกหัวข้อ โค้ชหรือพี่เลี้ยงทำหน้าที่เพียงกระตุ้นต่อม ‘เอ๊ะ’ ช่วยชี้แนะและพาให้เขาได้สัมผัสกับเรื่องราวในชุมชน
  • หัวข้อทั้งหมดล้วนใกล้ตัว อย่าง น้ำขึ้นน้ำลง พระจันทร์ขึ้น หรือดวงอาทิตย์ตก เพราะสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเขามากที่สุดนี่แหละคือชีวิตในอนาคตของพวกเขา
  • จากการได้ลงมือทำ ผลที่ตามมาคือ การเท่าทันปัญหาแบบมีเหตุมีผล คิดวิเคราะห์ได้ แก้ปัญหาเป็น มีความคิดสร้างสรรค์ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีความซับซ้อนสูง

หากพูดถึง องค์กรพัฒนาเอกชน (Non Government Organization-NGO) ที่ทำงานประเด็นการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นในลุ่มแม่น้ำแม่กลองและจังหวัดข้างเคียง ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ หรือ ธเนศ ผู้บริหารโครงการ Active Citizen ของสมุทรสงครามและราชบุรี คือชื่อลำดับต้นๆ บนทำเนียบคนทำงาน ในฐานะนักออกแบบการเรียนรู้ด้วยวัตถุดิบในชุมชน ธเนศไม่ใช่แค่ ‘ครู’ นอกห้องเรียนของเด็กๆ แต่ในสายตาคนทำงาน เขาคือมือหนึ่งในการสร้างเครือข่ายคนทำงานในพื้นที่และรู้ว่าจะทำให้เครือข่ายเหนียวแน่นได้อย่างไร

ธเนศ – ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ

บ่ายวันอาทิตย์ริมแม่น้ำแม่กลอง The Potential ฉกตัวธเนศจากห้องเวิร์คช็อปเด็กๆ ในโครงการ Active Citizen ชวนคุยถึงวิธีคิดและการออกแบบโครงการที่เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้พัฒนาตัวเองผ่านการทำโครงการ (Project Based Learning) เป็นการเรียนรู้ที่ทำให้ได้มีประสบการณ์จริงจากเรื่องใกล้ตัวในชุมชน และไม่ได้ล้าหลังดั่งภาพจำเวลาพูดถึง ‘การทำงานชุมชน’ เขาเชื่อว่านี่คือพื้นที่การเรียนรู้ที่สร้างทักษะชีวิตจากประสบการณ์จริง เป็นพื้นที่ติดอาวุธ ‘การคิดเชิงระบบ’ (Thinking Systems Thinking) ในเยาวชนอย่างได้ผล

ก่อนจะว่ากันถึงตรงนั้น ธเนศเท้าความกลับไปราวปี 40 ท่ามกลางวิกฤติฟองสบู่ที่ทำให้เขาและคนจำนวนหนึ่งกลับบ้าน ธเนศคล้ายคนส่วนใหญ่ที่ออกจากแม่กลองเพื่อไปเรียนหนังสือในเมืองหลวง เมื่อกลับบ้านมาได้พบกับคนทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและด้านเยาวชน จับมือพาเขาทบทวนที่มาที่ไปในบ้านเกิดตัวเอง สิ่งที่เคยเป็นเรื่องธรรมดาอย่างรสชาติของน้ำที่แตกต่างตามช่วงเวลา (น้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม) ไปจนถึงเหตุผลการล่มสลายของอาชีพชาวสวนในแม่กลอง ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า แม้มีความรู้ได้ใบปริญญา แต่ไม่เคยมีช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกับความรู้จากเรื่องใกล้ตัว

การได้กลับบ้าน การมีผู้ใหญ่ในแม่กลองพาทบทวนสถานการณ์ตรงหน้า มีคนมาบอกถึงวิกฤติที่เกิดแล้วและกำลังจะเกิดต่อไป ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองหนักๆ ว่า การศึกษาแบบไหนที่จะทำให้คนไม่เพิกเฉยกับองค์ความรู้ภูมิปัญญาชุมชน ทรัพยากรของแม่กลองทั้งธรรมชาติและคนจะเป็นอย่างไรหากไม่มีคนลุกขึ้นมาทำงานเพื่อสร้างความเข้มแข็งที่เริ่มจากคนใน และอะไรคือตัวแปรที่จะทำให้สถานการณ์ที่ว่ามานี้ไม่เกิดหรือเกิดน้อยที่สุด

คำตอบคือ …คน ต้องมีสักคนที่ลุกขึ้นมาทำงานกับทรัพยากรบุคคล กับเยาวชน อย่างน้อยๆ เขาอยากเป็นคนนั้น

นั่นคือจุดตั้งต้นที่ทำให้เขาก้าวเข้ามาทำงานพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่แม่กลอง

สถานการณ์เยาวชนในแม่กลองช่วงเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ (ปี 2543) เป็นอย่างไร

ต้องเล่าย้อนถึงวิกฤติแม่กลองที่ทำให้คนแม่กลองจำนวนหนึ่งเข้ากรุงเทพฯ รวมถึงพี่เข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ตอน ม.3 คือวิกฤติน้ำเค็มรุกเข้าพื้นที่เมื่อปี 2525 ทำให้อาชีพสวนตาล สวนผลไม้ สวนมะพร้าว มันล่มสลาย หลายคนเปลี่ยนอาชีพหรือออกไปทำงานในเมือง แต่ว่าตอนนี้ระบบนิเวศน้ำกลับเป็นปกติ แต่ถามว่าเราเข้าใจถึงวิกฤติน้ำในครั้งนั้นไหม ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ

น้ำเค็มเกิดจากการสร้างเขื่อนที่กาญจนบุรี ประกอบกับเหตุการณ์ภัยแล้งในช่วงนั้น น้ำที่เคยไหลมาดันน้ำเค็มไม่ให้เกินที่อัมพวาจึงไหลมาไม่ได้ น้ำเค็มทะลักเข้าไปในสวนทำให้อาชีพเกษตรกรขณะนั้นล่มสลาย แต่มันเป็นการเกิดขึ้นเฉพาะช่วงเวลานั้น หลังเขื่อนเก็บน้ำได้แล้วมันก็กลับมาเหมือนเดิม แต่ระหว่างนั้นคนย้ายถิ่นฐาน คนเปลี่ยนวิธีคิดไปหมดแล้ว ตอนนั้นมันมีความคิดเกิดขึ้นกับชาวบ้านแล้วว่าต้องส่งลูกเรียนสูงๆ เพราะอาชีพเกษตรกรไปไม่รอด เลี้ยงตัวเองไม่ได้ อย่างบ้านพี่แม้จะพอมีฐานะและเลือกที่จะไม่ย้ายไปที่อื่น เราก็กลายเป็นคนที่มีหนี้สิน เสียที่ดินเพราะเราไม่เข้าใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงพวกนี้

ทีนี้ปัญหาพวกนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะผู้ใหญ่ เมื่อพ่อแม่ไปทำงานกรุงเทพฯ ทำงานที่โรงงานต่างจังหวัด ทิ้งเด็กไว้กับปู่ย่าตายาย ซึ่งเด็กก็ถูกส่งให้ไปเรียนหนังสือท่ามกลางปัญหาสภาพเศรษฐกิจ ทุกคนไขว่คว้าอยากเรียนสูงๆ โดยละทิ้งภูมิปัญญา ละทิ้งเรื่องราวอาชีพเกษตรในท้องถิ่น พี่เองก็ถูกสอนเลยว่าต้องเรียนสูงๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องกลับมาทำอาชีพแบบนี้ ฉะนั้นเด็กถูกปลูกฝังเรื่องนี้มาตลอด รถตู้เข้ากรุงเทพฯ เต็มหมดในวันเสาร์-อาทิตย์เพราะเด็กถูกส่งไปเรียนพิเศษในเมือง วัยรุ่นหรือวัยกลางคนในแม่กลองจะหายไปเพราะย้ายตัวเองไปอยู่ที่อื่นหมดเลย ที่เหลืออยู่เป็นคนแก่หรือวัยรุ่นวัยกลางคนที่อาจมีคุณภาพน้อย เพราะคนเก่งๆ ถูกส่งเข้าไปอยู่ในเมืองหมด เราเลยรู้สึกว่าเรื่องเด็กเยาวชน การดูแลฐานทรัพยากรเป็นเรื่องสำคัญมาก

นอกจากสถานการณ์ทรัพยากรคนรุ่นใหม่ในแม่กลองที่ส่อแววไม่สู้ดี มีเหตุผลอื่นอีกหรือเปล่าที่สะกิดให้คุณให้ความสำคัญกับงานพัฒนาเยาวชน

ตอนนั้นมีโครงการหนึ่งที่เรียกว่า ‘ชีวิตสาธารณะท้องถิ่นน่าอยู่’ โดย อาจารย์ขวัญสรวง อติโพธิ (อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากรและนักเขียนบทความอิสระ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาเมืองและพัฒนาสังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม) ลงมาทำงานเรื่องชีวิตสาธารณะท้องถิ่นน่าอยู่ แม่กลอง มีวีดิทัศน์เรื่องหนึ่งซึ่งสะท้อนชีวิตส่วนตัวของเรามาก คือพูดถึงการมองแม่กลอง พูดถึงอาชีพในแม่กลองว่าเป็นอาชีพที่เด็กไม่ได้สนใจแล้ว ทำให้เราตั้งคำถามว่า ที่เด็กไม่สนใจเพราะเขาไม่รู้รึเปล่า ไม่รู้เหมือนที่เราไม่รู้ตอนย้ายออกไปเรียนที่กรุงเทพฯ เราไม่รู้ว่าบ้านเรามีคุณค่าอะไร โครงการนี้ทำให้พี่รู้สึกว่า “ไม่รู้ล่ะ แต่ฉันต้องทำงานให้เยาวชนรู้เรื่องพวกนี้” ปลูกฝังให้เขารักบ้านเกิด ให้เข้าใจว่าบ้านเกิดมีดีอะไร

วิธีคิดที่อยากให้เด็กเข้าใจบริบทชุมชนและเห็นคุณค่า นำมาซึ่งการออกแบบกระบวนการเรียนรู้อย่างไร

สมัยยังทำโครงการเยาวชนรักแม่กลอง เราพาเด็กเรียนรู้เกี่ยวกับแม่น้ำและสร้างเครือข่ายของกลุ่มให้เข้มแข็ง แต่พอทำไปได้ระยะหนึ่งกลุ่มเยาวชนรักแม่กลองก็ซบเซา เพราะเป็นธรรมดาที่เมื่อเด็กโตขึ้นก็ต้องออกไปเรียนต่อในเมืองหรือไปทำงานข้างนอก เลยทำให้เราต้องกลับมาคิดว่าหากอยากให้กิจกรรมมันดำเนินอย่างต่อเนื่อง ถ้าอยากสร้างเด็กรุ่นใหม่ให้มีจิตสำนึกทางสังคมติดตัวเขาไปตลอดไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนนั้นต้องทำยังไง จนมาเจอ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล ในโครงการ Active Citizen ที่สนใจทำงานเยาวชนในประเด็นชุมชน เลยเป็นที่มาของการออกแบบโครงการทั้งหมด คือเป็นความสนใจส่วนตัวและของโครงการด้วย

วิธีการออกแบบคือ ให้เยาวชนเลือกเรื่องที่ตัวเองสนใจมาทำโครงการ ออกแบบให้เด็กเรียนรู้บ้านเกิดและท้องถิ่นตัวเอง การเรียนรู้คือการต้องลงไปสัมภาษณ์ ไปพูดคุย ทำกิจกรรมกับผู้ใหญ่ในชุมชน การเรียนรู้เรื่องราวในท้องถิ่นก็ต้องเป็นเรื่องที่เขาสนใจ ไม่บังคับว่าเขาต้องทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ นึกถึงตัวเราเอง เรื่องที่เราไม่สนใจเราก็ไม่ใส่ใจ แต่เรื่องที่เราสนใจก็จะมุ่งมั่นใส่ใจทำ เหน็ดเหนื่อยเท่าไรก็อยากจะทำ เขาใช้เวลา 3-4 เดือนทำโครงการ และจะมีทีมโค้ชเป็นพี่เลี้ยงให้

หน้าที่สำคัญของโค้ชคืออะไร ทำไมการเรียนรู้ลักษณะนี้ต้องมีโค้ช

การทำให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้และทำงานในชุมชนจนสำเร็จและเกิดการเรียนรู้นั้น หัวใจสำคัญคือต้องมีคนคอยกระตุ้น ตั้งคำถาม ให้โอกาส และคอยแนะนำ ให้เขาได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนในชุมชน สำคัญคือการได้ลงมือทำ ได้สัมผัสกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเองตามความสนใจของเขา

เนื่องจากเด็กๆ ส่วนใหญ่เติบโตมากับการอยู่ในห้องเรียนมากกว่าการได้สัมผัสเรื่องราวในชุมชน เขาอาจยังไม่มีมุมมองและยังไม่เล็งเห็นคุณค่าของสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว เหมือนเราเป็นคนทำหน้าที่กระตุ้นต่อม ‘เอ๊ะ’ ช่วยชี้แนะและนำพาให้เขาได้สัมผัสกับเรื่องราวในชุมชน เราเรียกคนคนนี้ว่า ‘โค้ช’ หรือพี่เลี้ยง และโค้ชก็อาจมีได้ในหลายๆ ระดับด้วย

สามปีแรกออกแบบให้เด็กเรียนรู้จากการทำโครงการชุมชน โครงการปีนี้ ออกแบบการเรียนรู้ของเด็กอย่างไร

ในช่วงโครงการปีแรกๆ ที่เราใช้กระบวนการเรียนรู้ ลงมือปฏิบัติ เรียนรู้สรุปบทเรียนเป็นระยะๆ ถามว่าทั้งหมดนี้ใช้กระบวนการแบบวิจัยไหม จริงๆ มันก็เป็นกระบวนการวิจัยแบบหนึ่งแล้วนะ แต่อาจไม่ได้เน้นย้ำที่จุดเริ่มต้นการพัฒนาโจทย์วิจัยที่เน้นการกระตุ้นให้เด็กตั้งคำถาม แบบ… ให้มี ‘เอ๊ะ’ ก่อนในช่วงเริ่มต้น ที่ผ่านมาจะเป็นไปในลักษณะที่ …ถ้าเด็กอยากทำอะไรก็เปิดพื้นที่ให้เขาลงมือทำ ลงมือปฏิบัติ ลงไปหาความจริง

แต่ภายใต้กระบวนการวิจัยในปีนี้ เราเริ่มที่การตั้งโจทย์ปัญหาก่อน กระตุ้นต่อม ‘เอ๊ะ’ ให้โตขึ้น หลังจากนั้นเขาจะต้องค้นหาวิธีการเพื่อหาข้อมูลและต้องออกแบบกระบวนการวิจัย ออกแบบวิธีการลงไปเก็บข้อมูล ออกแบบวิธีการลงไปพูดคุย เอาข้อมูลไปวิเคราะห์เสียก่อนแล้วจึงค่อยบอกว่าจะแก้ปัญหาหรือหาทางออกกับเรื่องนี้ยังไง

ทำไมปีนี้จึงเน้นใช้เครื่องมือวิจัยให้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม

เพราะงานวิจัยเป็นเครื่องมือที่เห็นผล เท่าทันปัญหาแบบมีเหตุมีผล และในสังคมยุคใหม่ที่เราต้องการคนที่มีทักษะศตวรรษที่ 21 ที่ต้องคิดวิเคราะห์ได้ แก้ปัญหาเป็น มีความคิดสร้างสรรค์ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีความซับซ้อนสูง ถ้าเขาไม่มีข้อมูลรอบด้าน ไม่มีวิธีคิดอย่างเป็นระบบหรือวิธีชั้นสูง เขาจะอยู่ยาก เพราะจะเห็นแค่ปรากฏการณ์แต่ขาดเหตุขาดผล เครื่องมือวิจัยไม่ได้ถูกใช้แค่นักศึกษาปริญญาตรี โท เอก แต่ใช้กับงานวิจัยในชาวบ้านและในเยาวชน ทำให้เป็นคนที่มีคุณภาพ มีเหตุมีผล คิดเป็น แก้ปัญหาเป็น มีวิจารณญาณในการตัดสินใจทางเลือกทางออกในการใช้ชีวิตในสังคมที่มันซับซ้อนตรงนี้ได้

เวลาได้ยินคำว่าทำงานชุมชน หลายคนติดภาพการทำงานที่ล้าหลัง เด็กที่อยู่ในชุมชนต้องไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของโลกแน่ๆ แต่ฟังกระบวนการแล้วตรงกับเรื่องการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์และทักษะที่เด็กได้ในสมัยใหม่เลย

เราอาจเห็นว่าคนในชุมชนไม่เปลี่ยนแปลง ไม่พัฒนา ทำอะไรเหมือนเดิม แต่ลืมไปว่าเด็กรุ่นใหม่เขาเติบโตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง อยู่กับเทคโนโลยีที่ต้องเรียกว่าคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเอาจริงๆ เราเรียนรู้กับเรื่องภายนอก ละเลยการเรียนรู้เรื่องพื้นฐานที่เขาเองเดินผ่านไปมาทุกวัน น้ำขึ้นน้ำลง พระจันทร์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก งานวิจัยให้คนเข้าไปหาความจริงที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเขามากที่สุดนี่แหละคือชีวิตในอนาคตของเขา

อยากให้ขยายภาพความเชื่อมโยงระหว่างการทำโครงการในชุมชน กับ ทักษะที่จะเกิดกับเด็กๆ

เวลาเด็กไปคุยกับชาวบ้าน ถ้าเด็กไม่มีทักษะตั้งคำถาม ไม่มีวิธีคิด ฟังไปก็ได้แค่รับรู้ ภายใต้โครงการ Active Citizen เราฝึกให้เด็กตั้งโจทย์ เด็กต้อง ‘เอ๊ะ’ ตั้งคำถามต่อสิ่งที่เห็นแล้วลงไปหาคำตอบ ลงไปอยู่กับความจริงในพื้นที่

มากกว่านั้นคือเมื่อเด็กลงไปหาผู้ใหญ่ เขาจะได้ฝึกอยู่กับคนที่แตกต่างหลากหลาย ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ความสัมพันธ์ต่อธรรมชาติกับคน ความสัมพันธ์ต่อเทคโนโลยีที่เด็กจะเอาไปใช้ในการที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เขาจะไปเผชิญ เรากำลังพาเด็กไปเผชิญสิ่งที่เขาไม่เคยเจอในห้องเรียน นี่คือทักษะชีวิต ปัจจุบันเด็กไม่มีทักษะชีวิตเพราะมีคนวางเส้นทางให้เขาเดินหมดเลย เขาไม่เคยผ่านความท้าทาย ผ่านความยากลำบาก แต่โครงการ Active Citizen ที่เรากำลังทำผ่านงานวิจัยพาเขาผ่านความท้าทาย ทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น ทำให้เขาเปิดโลกกว้างไม่ใช่อยู่ในตำราอย่างเดียว ทำให้เขา ‘เอ๊ะ’ และ ‘อ๋อ… มันเป็นแบบนี้นี่เอง’ ด้วยตัวเอง

ความท้าทายหนึ่งของโครงการคือการทำงานกับเด็กๆ ที่ไม่ได้มีแต้มต่อทางสังคม อยากให้ช่วยขยายภาพเด็กๆ ที่เข้ามาเรียนรู้ในโครงการ

ด้วยพ่อแม่ต้องออกไปทำมาหากิน ทำสวน ออกไปทำงานข้างนอก ค่าใช้จ่ายในชีวิตมันเยอะ ฉะนั้นเขาต้องปากกัดตีนถีบ พ่อแม่ทำอาชีพเดียวไม่พอ นอกจากทำสวนก็ต้องออกไปทำงานข้างนอกด้วย ขณะเดียวกันเด็กในชุมชนก็ต่างคนต่างอยู่ อยู่กับทีวี คอมพิวเตอร์ เงิน เวลาเด็กอยู่ในชุมชน ภาพคือเช้าไปโรงเรียน เย็นกลับบ้าน บางทีไม่ได้เจอพ่อแม่เพราะออกไปทำงาน กลับถึงบ้านเด็กก็หลับไปแล้ว มิติความสัมพันธ์แบบนี้ในสมุทรสงครามมีปัญหาเยอะมาก ขณะเดียวกันเรายังมีปัญหาเรื่องครอบครัวแตกแยก หย่าร้าง เด็กอยู่กับปู่ย่าตายายซึ่งมีความแตกต่างทางอายุอยู่ เด็กกับผู้ใหญ่อาจเรียนรู้คนละยุค เลยทำให้มันมีปัญหาในมิติพวกนี้

พอไปโรงเรียน การเรียนรู้ในปัจจุบัน เด็กอาจจะไม่ได้ถูกถ่ายทอดให้มีทักษะที่เราว่ามา ครูเองก็ติดเงื่อนไขต้องสอนให้ครบตามเวลา สอนตามหลักสูตร มันก็ไม่มีคนฝึกทักษะชีวิตให้เด็ก ฉะนั้นการที่เด็กเข้ามาสู่กระบวนการที่เราทำ Active Citizen เลยทำให้เด็กกลุ่มหนึ่ง เรียกว่าสัก 50 เปอร์เซ็นในโครงการเลยก็ได้ที่มีคาแรคเตอร์ไม่กล้าคิดไม่กล้าแสดงออก มีภาวะของความกังวล กลัว สับสน หรือคนที่เป็นพี่เลี้ยงเองก็ยังไม่ได้ถูกฝึกให้เข้าใจบริบทสังคมใหม่ แรกๆ เด็กก็จะไม่อยากทำโครงการ ภาระเรื่องเรียนก็เยอะ บางคนมีปัญหาส่วนตัว เด็กที่โตหน่อยก็ต้องไปทำงานหารายได้พิเศษวันเสาร์อาทิตย์ คนดูแลโครงการจึงต้องทำมากกว่าการหาเด็ก

ด้วยกระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียน และทำงานกับเด็กที่อาจไม่พร้อมอย่างที่คุณอธิบาย พบการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

จากบทเรียน 3 ปีที่ผ่านมา เราเห็นเลยว่าถ้าเด็กผ่านกระบวนการที่เข้มข้นต่อเนื่องและมีผู้ใหญ่ที่เข้าใจ มีพี่เลี้ยงที่เข้าใจ เขามีทักษะการคิดแก้ปัญหา ไม่อ่อนแอ สู้ การเรียนดีขึ้น รับผิดชอบ มีวินัย อะไรพวกนี้มาหมดเลย ขณะเดียวกันมันส่งผลต่อการเรียนด้วยนะ คุณครูตกใจมากบอกว่าที่ผ่านมาเด็กคนนี้ไม่ใส่ใจเรื่องการเรียน แต่พอผ่านโครงการกลับพบว่าเขาเรียนดีขึ้น มีวินัยมากขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น ครูเบาใจขึ้น

เรียกได้ไหมว่าการทำงานในลักษณะนี้คือการสร้างโครงข่ายความคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) วิธีหนึ่ง อยากให้ช่วยขยายความคำว่า ‘ความคุ้มครองทางสังคม’ และอธิบายว่าโครงการทำหน้าที่นี้ได้อย่างไร

ปัจจุบันเด็กๆ ส่วนใหญ่ต้องเผชิญปัญหาที่มาพร้อมกับโลกยุคใหม่ สังคมเทคโนโลยี และระบบเศรษฐกิจที่บีบรัดครอบครัว ทำให้ครอบครัวต้องใช้เวลาเพื่อการหาเลี้ยงชีพ ชุมชนต่างคนต่างอยู่ ผิดกับสภาพการณ์จากอดีตที่ครอบครัวเป็นพื้นฐานในการสร้างและพัฒนาการให้เด็ก รวมถึงการที่คนในชุมชนก็เป็นส่วนสำคัญในการดูแลเด็ก จากเงื่อนไขนี้เองจึงต้องมีการผลักดันให้เกิดกลไกเข้ามาช่วยปกป้อง คุ้มครองเด็ก ซึ่งเราเรียกกลไกนี้ว่า ‘กลไกคุ้มครองทางสังคม’ หลายครั้งเรามองปัญหาที่ปลายเหตุ เช่น พอไม่มีพ่อแม่ผู้ปกครองดูแลเราก็ให้ทุน เด็กมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมเราก็เอาเขาไปเข้าค่าย ไปฝึกอบรม และเอาทุนให้เขา แต่ลืมไปว่ากลไกการปกป้องคุ้มครองทางสังคมมันต้องสร้างตั้งแต่ตอนที่เด็กเกิดมา ต้องมีกระบวนการปกป้องตั้งแต่ต้นทาง หมายถึงการทำให้คนในสังคมชุมชน พ่อแม่ คนในครอบครัว หน่วยงานต่างๆ ให้เขาเข้าใจว่าการปกป้องคุ้มครองเด็กมีกระบวนการอย่างไร

หลายครอบครัวดูแลเด็กโดยการให้วัตถุ ให้เงิน ให้ความรู้ในแง่การส่งไปเรียน แต่ไม่เคยให้ความสัมพันธ์ ความเอาใจใส่ดูแล ไม่เข้าใจว่าที่แท้เด็กต้องการอะไรกันแน่ จริงๆ วัตถุอาจไม่ใช่สิ่งที่เด็กต้องการ แต่เด็กอยากได้คนที่ดูแลเอาใจใส่ ให้คำแนะนำ เป็นเพื่อนคู่คิด เป็นคนคอยให้คำแนะนำ แต่กลไกแบบนี้มันอยู่ตรงไหน? ถ้าครอบครัวทำได้ไม่ดีพอ มันจะมีกลไกอื่นไหม เช่น คนในชุมชน อบต. หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษาที่เข้าใจเรื่องนี้ และไม่ใช่ทำกันเป็นส่วนๆ แต่ต้องทำแบบเข้าใจร่วมกัน ฉะนั้นโครงการที่เราจะทำ เรากำลังจะหากลไกการปกป้องคุ้มครองทางสังคมไม่ใช่บอกว่านี่เป็นหน้าที่บ้านพักเด็ก นี่เป็นหน้าที่ อบต. ต้องทำสภาเด็ก ส่วนนี้คือหน้าที่ผู้ปกครอง นี่คือหน้าที่ครู และทั้งหมดทำแยกส่วนกัน ไม่ใช่

ทำไมงานพัฒนาเด็ก ไม่ได้พัฒนาเด็กอย่างเดียวแต่ต้องทำงานกับพี่เลี้ยง ครู คนในชุมชน อบต. ด้วย

โครงการมาแล้วก็ไป ประเด็นคือ ถ้าเราสร้างแกนนำชุมชน สร้างเจ้าหน้าที่ อบต. สร้างครู สร้างเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐที่เข้าใจเรื่องแบบนี้ร่วมกัน ทำยังไงให้เขาทำแบบนี้อย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องเป็นโครงการก็ได้แต่ทำในชีวิตประจำวัน ต้องมีเวที มีการประชุม มีการมาพูดคุยกันถึงสถานการณ์แล้วออกแบบร่วมกัน ที่ผ่านมาคณะกรรมการคุ้มครองเด็กประชุมกันแค่เพื่อดูงบประมาณ แต่ไม่ได้คิดว่าขณะนี้สถานการณ์เด็กเป็นยังไงและจะมีกระบวนการเพื่อทำงานอย่างไร สิ่งที่เราทำคือ เราจะสร้างคนเหล่านี้เพื่อให้เขาเป็นทีมเพื่อทำเรื่องการปกป้องคุ้มครองเด็กจริงๆ

กระบวนการคือต้องเอาพี่เลี้ยงมาอยู่กับเด็ก เรียนรู้กับเด็ก พัฒนาเด็กไปพร้อมกัน เราทำคนเดียวไม่มีทางสำเร็จ แต่ต้องสร้างปัจจัยเหล่านี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ เราทำต่อเนื่องปีสองปี พอโครงการจบ แล้วเด็กกลุ่มนี้ลุกขึ้นมาและเดินต่อ มันจะเกิดความยั่งยืน แต่ถ้าโครงการมาปีสองปีแล้วหยุดมันก็ไม่ต่อเนื่อง แต่ถ้าเราเซ็ตระบบแบบนี้ได้และทำอย่างต่อเนื่อง มันจะมีกลไกแบบนี้ทั้งในหมู่บ้าน ตำบล จังหวัด ในอนาคตพี่ว่ากลไกพวกนี้ต้องเกิดต่อเนื่อง เป็นตัวอย่างให้เขามาดูว่า กลไกปกป้องคุ้มครองเด็กที่เป็นระบบ มันต้องแบบนี้ แยกส่วนไม่ได้

จากความตั้งใจแค่อยากทำงานเยาวชนให้เห็นคุณค่าองค์ความรู้ใกล้ตัวที่บ้านเกิด ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ใช่อย่างที่ตั้งใจไว้ไหม เดินมาไกลเกินความตั้งใจของตัวเองหรือเปล่า

ไม่เกินความคาดหมายนะ เป้าหมายของพี่คือวันหนึ่งต้องมีคนรุ่นใหม่ที่ถึงจะไม่ได้อยู่กับเรา ไม่ได้ทำงานกับเรา แต่เขาก็ถูกติดตั้งความคิดนี้ในชีวิต วันหนึ่งที่เขาต้องเผชิญอะไรบางอย่าง เขาจะเผชิญมันได้อย่างมั่นใจ ขณะเดียวกัน ถ้าบ้านเมืองนี้มีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ คนเหล่านี้พร้อมจะมาช่วย มาดูแล เราอาจพัฒนาเด็กได้ปีหนึ่งแค่ร้อยคน แต่เราเชื่อว่าหนึ่งร้อยคนที่มาทำ จะสร้างคนต่อไปอีกเป็นพันๆ

Tags:

active citizenproject based learningโคชชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    “ครูในชุมชน” อีกขุมกำลังและระบบนิเวศในการดูแลลูกหลาน กับทักษะ 5 ด้านที่ควรมี: ฉบับฮาวทู

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Everyone can be an Educator
    ‘ป้าหนู’ แห่งสงขลาฟอรั่ม: เด็กที่เติบโตจากชายหาด ท้องทะเล และแผ่นดินเกิด จะงอกงามเป็นพลเมืองโลก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ซูเปอร์แมว : โคชคนแกร่ง เปลี่ยนเด็กเสี่ยงเป็นเด็กสร้างสรรค์

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    “เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก
Healing the trauma
16 October 2019

ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • สภาวะที่สามนอกจาก ‘fight or flight’ สู้หรือหนี คือ freeze – ภาวะถูกแช่แข็ง ในระยะยาวสมองจะถูกตั้งโปรแกรมให้ตอบสนองต่อความเครียดได้ง่าย มีเซนส์ของ ‘บาดแผลทางใจ’ ที่นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าโดยเฉพาะกลุ่ม PTSD และมีผลทำให้เป็นคนชะงักงันทางอารมณ์ 
  • ภาวะถูกแช่แข็งมักเกิดกับเด็กได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เด็กที่ไม่มีอำนาจต่อรองและไม่รู้จะหนีจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะสู้อย่างไร หนีไปไหน ไม่สามารถยินดียินร้ายหรือเข้าอกเข้าใจ (empathy) ในสถานการณ์อื่นๆ ได้ นับเป็นความรู้สึกที่อึดอัดและกลายเป็นเกลียดที่ตัวเองไม่มีความรู้สึกแบบนั้น

หลายคนคุ้นหูกับคำและสภาวะ ‘fight or flight’ จะสู้หรือจะหนี กลไกป้องกันตัวที่ถูกสั่งการจากสมองทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว (เช่นเดียวกับเวลาคนยกโอ่งน้ำหนีเวลาไฟไหม้ได้) แต่ภายใต้ความซับซ้อนและทรงพลังของสมอง ยังมีอีกหนึ่งกลไกป้องกันตัวยืนหนึ่งระหว่าง fight กับ flight อีก นั่นคือภาวะที่สาม… freeze

freeze – ภาวะ (สมอง) ถูกแช่แข็ง ไม่สู้ ไม่หนี คล้ายสำนึกคิดเข้าสู่สภาวะอัมพาตไปบางขณะ และให้เซนส์ของ ‘บาดแผลทางใจ’ มันเป็นภาวะที่รู้สึก (อย่างไม่ทันได้คิดเป็นกระบวนการ มันเกิดขึ้นเร็วมากและอย่างอัตโนมัติ) ว่าสู้ไม่ได้แน่นอนแต่ก็ไม่รู้จะหนีไปพึ่งใคร ไม่มีใครในโลกที่คุณจะวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือ ปลอบโยนบรรเทาให้รู้สึก ‘ปลอดภัย’ ได้อีกแล้ว และหากเราเข้าสู่โหมดนี้ตลอดเวลา สมองอยู่ในภาวะเครียดไม่เคยได้พัก คอลติซอลหรือฮอร์โมนแห่งความเครียดท่วมท้นในสมองอยู่ตลอด นั่นหมายถึงสมองถูกตั้งโปรแกรมให้อ่อนไหวต่อความเครียดได้ง่าย ตื่นตัวเร็ว และเลิกรากับมัน (หยุดเครียด) ได้ยาก

กล่าวโดยคร่าว freeze – เป็นภาวะที่ในระยะยาวจะทำให้สมองเราตั้งโปรแกรมให้ตอบสนองต่อความเครียดได้ง่าย เกิดกับเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ มีเซนส์ของ ‘บาดแผลทางใจ’ ที่นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าโดยเฉพาะกลุ่ม PTSD (สภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง) และมีผลทำให้เป็นคนชะงักงันทางอารมณ์ 

การทำงานของสมอง ระหว่าง fight-สู้ กับ flight-หนี

ก่อนจะว่ากันถึงภาวะแช่แข็ง freeze ขออธิบายการทำงานของสมองระหว่าง fight กับ flight เสียก่อน

ในช่วงที่คุณถูกกดดัน คุกคาม หรือตกอยู่ในสถานการณ์เครียดขึ้งและต้องตั้งรับ – ในที่นี้ขอพูดถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างคนกับคน – หากคนตรงหน้าเป็นคนที่คุณรู้สึกว่าพอจะต่อสู้ได้ ไม่ว่าจะทางอำนาจหรือร่างกายก็ตามที่ทำให้หลุดพ้นจากสภาวะความกลัวบางอย่างในใจได้ คุณจะเข้าไปอยู่ในสภาวะ ‘สู้’ (fight mode) กรณีนี้ ระบบประสาทซิมพาเทติค (Sympathetic Nervous System-SNS) ส่วนหนึ่งของระบบประสาทอัตโนมัติจะควบคุมการทำงานอวัยวะที่ ‘อยู่เหนืออำนาจจิตใจ’ (เรามักรู้จัก SNS แง่ที่คนยกโอ่งน้ำได้ในยามไฟไหม้) สั่งงานให้อะดรีนาลีนหลั่ง ทำให้คุณพร้อมต่อสู้และมีเซนส์แห่งความหวังว่าจะชนะ กรณีตรงข้าม คุณประเมินแล้วว่าคู่กรณีตรงหน้ามีอำนาจเหนือกว่า ร่างกายจะสั่งให้คุณ ‘หนี’ (flight mode) อวัยวะในร่างกายทำงานคล้ายกันในแง่จะเพิ่มพลังให้คุณหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่ก็เต็มเปี่ยมด้วยหวังว่าจะหนีได้ 

แต่ในภาวะที่ ไม่รู้จะหนีไปไหนและสู้ไปก็แพ้ ทำให้เราเข้าสู่สภาวะที่สามนั่นคือ freeze การแช่แข็ง ตรงนี้เองที่สมองกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนความเครียด (คอลติซอล) นอกจากนี้ไฮโปธาลามัส (ศูนย์บัญชาการด้านอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ ความดัน การเต้นของหัวใจ สมดุลร่างกายอย่าง หิว/อิ่ม/นอนหลับ) ยังสั่งการแกนตอบสนองความเครียด HPA (ไฮโปธาลามัส-ต่อมใต้สมอง-ต่อมหมวกไต) ให้ตื่นตัวตลอดเวลาด้วย

อย่างไรก็ตาม เวลาที่เกิดความเครียด สมองเราจะมีระบบปฏิบัติการเพื่อคลี่คลายความเครียดได้เองและอัตโนมัติ ถ้าระบบประสาทซิมพาเทติค คือระบบที่สั่งการให้ร่างกายตั้งรับและทำให้เกิดความเครียด ระบบประสาทพาราซิมพาเทติค (Parasympathetic Nervous System-PN ทำงานนอกเหนืออำนาจจิตใจเช่นเดียวกับระบบประสาทซิมพาเทติค) ก็จะส่งสัญญาณลงมาปฏิบัติการให้ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติหรือภาวะผ่อนคลายได้ในเวลาต่อมา

แต่ตรงนี้เอง ผู้ที่ต้องตั้งรับและเข้าสู่สภาวะแช่แข็งตลอดเวลา เครียดตลอดเวลาและไม่ได้พัก อาจมีผลทำลายสมดุลความเครียดในร่างกายและเปลี่ยนโครงสร้างสมองได้

สู้ไม่ได้ หนีไม่ไหว: ความน่ากลัวของภาวะแช่แข็งในวัยเด็ก

ที่ต้องพูดถึงที่สุดคือ สภาวะนี้มักเกิดกับเด็กได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ลองคิดดูหากคุณอยู่กับพ่อที่ติดแอลกอฮอล์ แม่ที่เพิกเฉยไม่แสดงความรู้สึกต่อคุณ ไม่ว่าจะสนใจ/ไม่สนใจ พอใจ/ไม่พอใจ ไม่เคยแสดงความรักและมักดุด่าใส่อารมณ์กับคุณอยู่เสมอ (ไม่ว่าจะหวาดกลัวอำนาจของสามี หรือสัมภาระเก่าที่ถูกเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่เพิกเฉยต่อความรู้สึกเช่นกัน) เด็กที่ไม่มีอำนาจต่อรองและไม่รู้จะหนีจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะสู้อย่างไร หนีไปไหน สถานการณ์แบบนี้ทำให้เด็กเข้าสู่ภาวะ freeze ได้ง่าย …ง่าย กว่าผู้ใหญ่มาก

ประการต่อมา ผู้ที่อยู่ในภาวะ freeze – ในที่นี้ขอพูดถึงภาวะที่เกิดในเด็ก สิ่งที่ตกค้างคือเด็กคนนั้นจะกลายเป็นคนที่ชะงักทางอารมณ์ ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งรอบตัว

“ถ้าสมองส่วนหนึ่งบอกว่า ‘จงไปหาแม่’ แต่ก้านสมองบอกว่า ‘จงหนีไป’ มันเป็นความย้อนแย้งทางชีวภาพที่ไม่สามารถแก้ไขได้ (…) วงจรสมองถูกกระตุ้นด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เด็กไม่อาจทำทั้งสองอย่างนี้พร้อมกัน จิตใจของเด็กแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะวงจรทั้งสองพยายามทำหน้าที่ไปด้วยกันและผสานกัน แต่ไม่สามารถทำได้”

คือคำพูดของนายแพทย์ แดน ซีเกล จิตแพทย์เด็กเจ้าของหนังสือ ‘Brainstorm: The Power and Purpose of the Teenage Brain’ อ้างอิงในหนังสือ ‘Childhood Disrupted: How Your Biography Becomes Your Biology, and How You Can Heal’ โดย ดอนนา แจ็คสัน นากาซาวะ (หน้า 184) โดยในหนังสือเล่มนี้ยกกรณีตัวอย่างของผู้ที่วัยเด็กตกอยู่ในภาวะแช่แข็งและบอกว่า พวกเขาไม่สามารถยินดียินร้ายหรือเข้าอกเข้าใจ (empathy) ในสถานการณ์อื่นๆ ได้ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดและกลายเป็นเกลียดที่ตัวเองไม่มีความรู้สึกแบบนั้น 

แดน ซีเกล, หนังสือ ‘Brainstorm: The Power and Purpose of the Teenage Brain’

นอกจากนี้ภาวะ freeze ยังถูกพูดถึงว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า (ที่เป็นผลจากภาวะเซนซิทีฟต่อความเครียดได้ง่าย ตื่นตัวตลอดเวลา และท่วมท้นไปด้วยฮอร์โมนความเครียดอย่างคอลติซอลต่อเนื่อง) โดยเฉพาะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) สภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง

การเยียวยาและความเชื่อในพลังแห่งการมีตัวตน

ข้อมูลข้างต้นอาจฟังดูหดหู่และคล้ายถูกต้องคำสาป – เพียงเพราะเกิดมาอยู่กับครอบครัวที่มีปัญหาและขาดพร่อง และแม้ความรู้ชุดนี้จะบอกว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและสถาปัตยกรรมสมอง แต่ก็มีข้อเท็จจริงอีกประการเช่นเดียวกันว่าสมองเราปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาและทำได้อย่างทรงพลัง

ประการแรก – หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่ามีบาดแผลทางใจในวัยเด็กและเข้าข่ายภาวะแช่แข็งอยู่บ่อยครั้ง การเข้ารับคำปรึกษาหรือช่วยเหลือจากมืออาชีพนับเป็นความจำเป็น นอกจากนักบำบัดมืออาชีพจะช่วยคลี่คลายสางสัมภาระเก่าของคุณ ปัจจุบันยังมีเครื่องมือหลากหลายตั้งแต่ศิลปะบำบัด วาดบำบัด เพลงบำบัด ให้เลือกและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน สำคัญที่สุด ปัจจุบันที่ความรู้เรื่องนี้ถึงพร้อม ไม่มีใครตีตราอีกแล้วว่าบาดแผลทางใจคือเรื่องผิดบาปและหรือคุณเป็นคนผิดปกติ – เพราะต้องไม่ลืมว่าเราต่างมีปมด้วยกันทั้งนั้น

งานวิจัยทางประสาทสมองปัจจุบันบอกว่า การขยับเขยื้อนร่างกายควบคู่ไปกับการหยุดพักและฝึกสมาธิ ทั้งในแง่การทำสมาธิจริงๆ การเล่นโยคะ ไทกงชี่กง หรือการทำงานกับร่างกายด้วยสมาธิอื่น ยืนยันว่าความสงบในช่วงการทำสมาธิช่วยลดภาวะเครียดในสมอง (ลดคอลติซอล) ได้จริง และการกลับมาโฟกัสที่ความรู้สึกยังทำให้เกิดการฟื้นฟูสมองส่วนอารมณ์และความรู้สึกทำงาน ทั้งหมดรวมกันมันช่วยลดภาวะอักเสบทางสมองได้ 

สอง – ในกรณีที่คุณเห็น อยู่ใกล้ หรือมีส่วนรับผิดชอบชีวิตของเด็กคนหนึ่ง หากพบเห็นเหตุการณ์ที่เข้าข่ายทารุณกรรมทางจิตใจและร่างกาย การแจ้งให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างเร็วที่สุดนับเป็นสิ่งที่ไม่ควรลังเล หรือ มันอาจจะเป็นคุณก็ได้ที่จะเป็นที่พึ่ง – แม้เพียงคนเดียวในโลกของเด็กคนหนึ่ง ก็นับเป็นการเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือที่ทรงพลังได้ เพราะในภาวะแช่แข็ง มันคือการไม่รู้ว่าจะสู้หรือหนีไปพึ่งใคร หากเด็กรู้ว่ามีใครอีกคนที่เขาจะหนีไปพึ่งพิงหรือรู้ว่าสู้แล้วจะมีคนคอยซัพพอร์ตและอยู่ข้างเขา เท่านี้โลกของเด็กคนหนึ่งก็เปลี่ยนได้ 

ย้ำอีกครั้ง – เพียงหนึ่งคนที่เห็นว่าเขามีตัวตน และเป็นที่พึ่งให้เรา ‘หนี’ มาหาคุณได้ เพียงเท่านั้นก็เป็นการเปลี่ยนแปลงและโอกาสที่ยิ่งใหญ่แล้ว

Tags:

ภาวะถูกแช่แข็ง (Freeze)พ่อแม่ซึมเศร้าปม(trauma)ความรุนแรงAdverse Childhood Experiences(ACE)ความกลัว (Fear)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Family Psychology
    ADVERSE CHILDHOOD EXPERIENCES: บาดแผลรุนแรงทางใจในวัยเด็กมีผลต่อโรคเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaBook
    CHILDHOOD DISRUPTED : บาดแผลในวัยเด็ก สาเหตุของความป่วยไข้เมื่อเติบโต

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

  • Relationship
    VICARIOUS TRAUMA: โรคซึมเศร้าของคนเป็นครู

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Let Them Theory: ปล่อยคนอื่นไปตามทางของเขา แล้วหันกลับมาดูแลสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือตัวเราเอง
  • The Anxious Generation EP3: เมื่อการเลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ ต้องแลกมากับสมองและพัฒนาการของเด็กที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
  • Alpha Generation EP.10 สายสัมพันธ์วันนี้ กำหนดสายสัมพันธ์ในอนาคต ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่พ่อแม่ของลูกได้
  • ‘เรียนวิทย์ให้เวิร์ก’ กับโครงงานที่เด็กออกแบบเอง: กะทิ – เจได เจ้าของเหรียญทองแดง GENIUS Olympiad 2025
  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel