Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Year: 2019

เอ๊ะ นี่ครูหรือหมาป่า ด่า *&^#$&+X$% จนลืมสอน
Learning Theory
13 February 2019

เอ๊ะ นี่ครูหรือหมาป่า ด่า *&^#$&+X$% จนลืมสอน

เรื่องและภาพ KHAE

“พวกเธอมาเตะบอลในห้องได้ไง ทำกระจกแตกอีก โตป่านนี้แล้ว ยังเล่นไม่เข้าเรื่อง”

“ทำอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน ไปทำรายงานมาใหม่เลยส้มส้ม ใช้ไม่ได้”

“เป็นเด็กอย่าเถียงเวลาครูพูด”

“ถึงบอกไป ครูก็ไม่เข้าใจหรอก”

“หนูโง่จะตาย ใครจะไปทำได้”

ปัจจัยของความรุนแรงที่มาจากภาษาที่เราใช้จนเห็นเป็นธรรมดาโดยไม่รู้ตัว รูปประโยคที่เต็มไปด้วยการกล่าวโทษ ตัดสินตีความ วิจารณ์ และจัดประเภท และมีนัยยะว่าคนที่ไม่ทำตามความต้องการของเรามีความผิด หรือสถานการณ์ที่ไม่เป็นดังใจเราก่อความทุกข์

และประโยคเหล่านี้มักเกิดขึ้นในห้องเรียน

เพราะอะไร?

ระบบใครอำนาจเหนือกว่าเป็นใหญ่ (Dominant System)

สังคมที่หล่อหลอมให้คนมองโลกด้วยบรรทัดฐานดีชั่ว ถูกผิด เก่งโง่ เป็นธรรมดาที่ต้องใช้การทำโทษหรือให้รางวัลเป็นเครื่องมือเพื่อบริหารอำนาจตัดสิน สังคมแบบนี้คือ ระบบใครอำนาจเหนือกว่าเป็นใหญ่ (Dominant System) หมายความว่าคนมีสถานะเหนือกว่าจะใช้อำนาจนั้นควบคุม ‘เหนือ’ ผู้อื่นแทนที่จะเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียม

ในสังคมนี้ เราจะเห็นพ่อแม่มีอำนาจในบ้าน คุณครูอาจารย์มีอำนาจที่โรงเรียน หรือเจ้านายมีอำนาจในบริษัท สามารถออกคำสั่ง ชี้ถูกผิด และตัดสินผู้อยู่ใต้อำนาจอย่างลูกหลาน นักเรียน ลูกจ้างเสมอมา

สังคมแบบนี้สอนให้เราวัดประเมินการกระทำกับคำพูดคนอื่นอยู่ตลอดว่าใครดีหรือไม่ดี ทำถูกหรือทำผิด จึงไม่แปลกที่ทุกคนต่างก็เรียนรู้ที่จะมองโลกด้วยสายตาแห่งการประเมินตัดสินเช่นกัน

ภาษาที่ตัดสินคนอื่นว่าผิดหรือโง่

ดร.มาร์เชล บี. โรเซนเบิร์ก (Marshall B. Rosenberg) ผู้ก่อตั้งและอำนวยการศูนย์การศึกษาเพื่อการสื่อสารอย่างสันติ สังเกตว่า ภาษาที่เราใช้สื่อสารก็เป็นตัวการหนึ่งที่ผสมโรงให้ความสัมพันธ์ของผู้คนในระบบ Dominant เต็มไปด้วยการแสดงออกทางความรุนแรงในความสัมพันธ์ เช่น ออกคำสั่ง ประเมินตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นว่าดีหรือร้ายอยู่ตลอดเวลา ยิ่งในโรงเรียน คนที่ด้อยอำนาจกว่าคือนักเรียน ต้องเป็นฝ่ายถูกตัดสิน บังคับ และกดความต้องการที่แท้จริงเพื่อให้ครูถูกใจ

โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งถูกบีบให้กดความต้องการเท่าไหร่ แรงต่อต้านยิ่งก่อตัวมากขึ้นเท่านั้น เกิดเป็นการต่อต้าน อาการขบถ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ครูมองว่าเด็กมีนิสัยเกเร ดื้อ และลงเอยด้วยการทำโทษในที่สุด

สิ่งสำคัญที่สุดที่นักเรียนต้องเรียนรู้แทนที่จะเป็นการพัฒนาทักษะชีวิตและองค์ความรู้ จึงกลับเป็นการเรียนรู้ว่าทำยังไงจึงจะได้รับคำชม และทำยังไงจึงจะไม่ถูกต่อว่า ครูจึงกลายเป็นหมาป่าโดยไม่รู้ตัว

Tags:

จิตวิทยาการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)วัยรุ่นเทคนิคการสอน

Author & Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Social Issues
    เปิดเทอมใหม่ อย่าเพิ่งสอนวิชาการ เยียวยาเด็กและเพื่อนครูด้วยกันก่อน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Learning Theory
    ห้องเรียนไม่ใช่สมรภูมิรบ: ครูสงบศึกได้ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenager
    จะทำอย่างไรเมื่อลูกวัยรุ่นของคุณ ‘กลอกตา’ ใส่?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”
EF (executive function)
12 February 2019

อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เด็กอายุระหว่าง 4-7 ขวบควรได้ทำงาน เหตุเพราะนี่คือช่วงวัยริเริ่มสิ่งใหม่ (Initiation) ตามทฤษฎีพัฒนาการของอิริค เฮช อิริคสัน (Eric H Erikson 1902-1994)

การทำงานเป็นกิจกรรมที่เด็กเล็กจะได้พัฒนาการใช้นิ้วมือ 10 นิ้ว ระหว่างทำงานเด็กจะได้ฝึกฝนความสามารถในการตั้งใจจดจ่อ (focus) ไม่วอกแวก (not distract) และรู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน (delayed gratification) นอกจากนี้ยังได้บริหารความจำใช้งาน (working memory) และคิดวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหาระหว่างการทำงาน (problem solving)

การทำงานมี 3 ชนิด คือ ทำงานอาชีพช่วยเหลือพ่อแม่ทำงาน ทำงานบ้านประจำวัน และทำงานอาสาสมัคร

กล่าวเฉพาะเด็กเล็ก เราควรให้เขาได้ฝึกการทำงานบ้าน มากน้อยตามเวลาที่มีและกำลังความสามารถ เด็กโตควรช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานอาชีพได้บ้าง สำหรับวัยรุ่นนอกเหนือจากงานอาชีพแล้วควรมีโอกาสได้ทำงานอาสาสมัครด้วย

การทำงานบ้านช่วยพัฒนาความจำใช้งานได้อย่างไร?

ความจำใช้งานเป็นความจำเฉพาะกิจ มิได้คงอยู่ตลอดเวลาเหมือนความจำระยะสั้น (short-term memory) หรือความจำระยะยาว (long-term memory) ความจำใช้งานจะปรากฏขึ้นเป็นการชั่วคราวเพื่อให้เจ้าตัวได้ใช้ในการทำงานจนกระทั่งบรรลุเป้าหมาย หลังจากบรรลุเป้าหมายแล้วความจำใช้งานจะหายไป

ตอนที่ความจำใช้งานผุดบังเกิดขึ้นมา ความจำใช้งานจะกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับสมาธิ (attention) คือสมาธิตั้งมั่นเพื่อทำงานจนเสร็จ สมาธิจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยประคับประคองให้ความจำใช้งานยังคงอยู่ตลอดช่วงเวลาที่กำลังทำงาน จนกว่าจะเสร็จ เด็กที่สมาธิไม่ดีนักมักจะประคองความจำใช้งานได้ไม่นาน เดี๋ยวก็ทำหล่นหายไปอีก เด็กที่สมาธิไม่ดีนักจึงทำงานไม่เสร็จเสียที พอความจำใช้งานหายไปก็หันไปสนใจสิ่งอื่น

การทำงานบ้านจึงมีผลพลอยได้สำคัญคือช่วยให้เด็กมีสมาธิ

ความจำใช้งานเป็นของที่มีความจุ ความจุ (capacity) ของความจำใช้งานในแต่ละชั่วขณะมีจำกัด มิใช่มีเหลือเฟือหาขอบเขตมิได้ รวมทั้งอุโมงค์ที่ความจำใช้งานจะไหลไปหาสมองส่วนหน้า prefrontal cortex ก็มีความกว้างที่จำกัดด้วยเช่นกัน

เมื่อความจุมีจำกัด เวลาเด็กทำงานชิ้นเดียวตรงหน้า เด็กมักจะบริหารความจำใช้งานได้ง่าย ต้องทำอะไรอย่างไรเป็นขั้นเป็นตอน ค่อยๆ คิดไปทำไปได้อย่างง่ายๆ พลันที่เด็กมีงาน 2 อย่างให้พะวง เช่น งานบ้านต้องทำ ทำแล้วยังต้องทำการบ้านต่ออีก เช่นนี้ความจำใช้งานเกี่ยวกับงานบ้านที่ทำและความจำใช้งานเกี่ยวกับการบ้านที่ทำจะเริ่มแย่งเนื้อที่กันภายใต้ความจุที่จำกัด

หากเด็กต้องทำงานบ้านหลายอย่างพร้อมกัน ความจำใช้งานเกี่ยวกับวิธีทำงานบ้านแต่ละอย่างจะเริ่มแย่งความจุกันและกันทำให้สมาธิถูกแบ่งแยกตามไป เด็กที่ทำงานมากกว่าหนึ่งอย่างได้พร้อมกันจึงต้องมีความจุของความจำใช้งานมาก ควบคู่กับสมาธิที่ดีมากด้วย จึงจะสามารถทำงานทุกงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จ

ในทิศทางตรงข้าม การจ่ายงานจำนวนมากให้เด็กๆ จึงเท่ากับการฝึกฝนให้เขาบริหารความจุของความจำใช้งาน และบริหารสมาธิไปในตัว

เด็กสมัยใหม่จำเป็นต้องมีความสามารถทำงานได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันโดยที่สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานทุกงานได้ด้วย

เช่น ระหว่างเขียนรายงานก็สามารถคุยกับเพื่อนผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ รวมทั้งเช็คอีเมล์ ติดตามข้อมูลข่าวสารในโซเชียลมีเดีย และดูโทรทัศน์ไปพร้อมกัน การที่เขาจะมีความสามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันจนกระทั่งเสร็จทุกงานจำเป็นต้องมีความจุของความจำใช้งานมาก

ซึ่งจะมากได้ด้วยการทำงานบ้านตั้งแต่เล็ก

ความจำใช้งานเป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้ การให้เหตุผล และการคิดซับซ้อน (learning, reasoning, complex thinking) ทั้งหมดนี้สร้างจากการทำงานบ้านหลากหลายอย่างในเวลาที่กำหนด เรียนรู้ที่จะทำงาน คิดหาเหตุผลเมื่อพบปัญหา และคิดซับซ้อนเมื่อพบงานยากๆ หลายงานพร้อมๆกัน ถ้าความจำใช้งานดีมีความจุมาก งานต่างๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย

นอกเหนือจากความจุแล้วยังมีเรื่องขนาดของอุโมงค์ หากอุโมงค์ที่ความจำใช้งานจะไหลไปสมองส่วนหน้าแคบเป็นคอขวด เช่นนี้ความจำใช้งานจะติดขัดไม่สามารถไหลไป การทำงานมากๆ อย่างสม่ำเสมอจะเพิ่มขนาดของอุโมงค์นี้

แต่อุโมงค์ที่ว่ามิได้มีอยู่จริง เป็นเพียงโมเดลของความจำใช้งานเท่านั้น

เพื่อให้สามารถอธิบายเรื่องความจำใช้งานได้อย่างกระจ่าง Baddeley & Hitch ได้เสนอโมเดลของความจำใช้งานขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1974 โมเดลที่คนทั้งสองเสนอนี้ได้แบ่งความจำใช้งานออกเป็น 3 ส่วน

ส่วนที่ 1 เรียกว่า central executive เป็นส่วนบัญชาการกลาง

ส่วนที่ 2 เรียกว่า phonological loop เป็นส่วนนำเข้าข้อมูลด้านเสียง

และส่วนที่ 3 เรียกว่า visuospatial sketchpad เป็นส่วนที่ใช้จัดการข้อมูลด้านภาพและช่องว่าง

สองส่วนหลังนี้มิได้เป็นส่วนปฏิบัติการจริงๆ แต่ก็มีผลกระทบต่อความรวดเร็วของความจำใช้งาน

Baddeley ได้เสนอส่วนที่ 4 ในอีก 25 ปีถัดมา คือโมเดลของความจำใช้งานปี 2000 เขาเรียกส่วนที่ 4 นี้ว่า episodic buffer ทำหน้าเสมือนดินแดนเป็นกลางที่ใช้เชื่อมต่อกับความจำระยะยาวและบูรณาการส่วนประกอบอื่นๆ ของระบบประสาทส่วนกลางเพื่อให้สมองสามารถบริหารความจำใช้งานอย่างดีที่สุด

ถึงตรงนี้ควรเข้าใจว่าความจำใช้งานมิใช่สสารที่จับต้องได้ การแบ่งส่วนประกอบของความจำใช้งานเป็น 4 ส่วนเช่นนี้เป็นเพียงโมเดลที่ถูกสร้างขึ้น เพื่ออธิบายว่าความจำใช้งานเกิดขึ้นได้อย่างไร และเด็กๆ จะช่วยทำให้มันดียิ่งๆ ขึ้นได้อย่างไรด้วยการเล่นและการทำงาน

Tags:

อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาพัฒนาการปฐมวัยงานบ้าน งานครัว งานสวนประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่านเถอะนะ ง่ายจะตายชัก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

วาดลายเส้นลากใจเขามาใส่ใจเรา กับการ์ตูนสีเทาๆ ของ ‘มุนินฺ’
Life classroom
10 February 2019

วาดลายเส้นลากใจเขามาใส่ใจเรา กับการ์ตูนสีเทาๆ ของ ‘มุนินฺ’

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ซิกเนเจอร์อย่างหนึ่งของการ์ตูนมุนินฺคือความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่มุนินทร์ยอมรับว่าไม่ได้โตมาในครอบครัวอบอุ่น เรื่องราวทั้งหมดเขียนจากความ ‘ไม่มี’ ด้วยซ้ำ
  • “เราจึงรู้สึกว่าเราอยากเขียนมันออกมา” และอยากทำให้ลายเส้นการ์ตูนมุนินฺไปถมช่องว่างในครอบครัวที่ห่างขึ้นเรื่อยๆ เพราะต่างคนต่างยังมองในมุมตัวเอง
  • จนถึงวันที่มีลูกเป็นของตัวเอง มุนินทร์ถึงได้รู้ว่า “ไม่มีพ่อแม่คนไหนสมบูรณ์แบบ” 
ภาพ: มุนินฺ

เพราะทุกลายเส้นที่วาด มีความหมายซ่อนอยู่

จึงทำให้ มุนินทร์ สายประสาท เจ้าของการ์ตูนลายเส้นน่ารัก นามปากกา ‘มุนินฺ’ วัย 31 ยังคงยึดและมั่นคงกับการเป็นนักวาดการ์ตูนยาวนานถึง 10 ปี

แต่ถึงแม้จะชื่นชอบการวาดการ์ตูนมากแค่ไหน ถ้าย้อนกลับไปได้ มุนินทร์ก็ไม่เคยคิดจะประกอบอาชีพเป็นนักวาดการ์ตูนอย่างจริงจัง เพราะใจยังนึกหวั่นถึงภาพของนักเขียนการ์ตูนที่ต้องกินข้าวกับก้างปลาตามการ์ตูนขายหัวเราะที่ยังติดตาติดใจไม่หาย 

จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญก่อนเข้ามหาวิทยาลัย มุนินทร์ตัดสินใจมองหาคณะที่มีทั้งศาสตร์ศิลป์กับวิทยาศาสตร์ร่วมกัน จนตกลงเลือกเรียนด้านสถาปัตยกรรม

จากที่เคยจับดินสอวาดแต่การ์ตูนตั้งแต่มัธยมต้น มุนินทร์ก็ต้องหันมาวาดตึก วาดอาคาร ออกแบบเชิงสถาปัตกรรมมากขึ้น มุนินทร์บอกว่าการได้เข้ามาเรียนด้านนี้มีแต่ความสนุก ได้ฝึกการคิด ฝึกทักษะการออกแบบ และการใช้ไอเดียใหม่ๆ ซึ่งมีรายละเอียดที่จริงจังมากกว่าการวาดการ์ตูนที่เธอถนัดอยู่แล้ว

แล้วเริ่มวาดการ์ตูนจริงจังตั้งแต่เมื่อไร

ย้อนกลับไปตอนเรียน ปี 4 เราได้เริ่มวาดการ์ตูนจริงจัง เพราะแฟนแนะนำให้ลองส่งการ์ตูนที่ไปสำนักพิมพ์ แล้วงานของเราก็ได้ตีพิมพ์ เลยทำมาต่อเนื่องไปจนเรียนจบ แต่ ณ ตอนนั้นยังไม่คิดว่าจะเบนเข็มไปจริงจัง

พอเรียนจบ ก็ได้มีโอกาสทำงานเป็นสถาปนิกที่โครงการหมู่บ้าน แต่ทำอยู่แค่ 2 เดือน (หัวเราะ) เพราะมีบางอย่างทำให้รู้สึกว่ามันเครียดมากไป อยู่กับการ์ตูนเรารู้สึกสบายใจกว่า

มันเป็นช่วงที่ต้องชั่งใจ เพราะเราไม่มั่นใจเลยว่าอาชีพนี้จะมั่นคงไหม แล้วไหนจะครอบครัวอีก ถ้าเราจะไปทำอาชีพนักเขียนการ์ตูนเขาคงไม่โอเค ช่วงแรกก็ยังสับสนว่าจะยังไงดี แต่ว่ามันก็มีจุดเปลี่ยนที่เรารู้สึกว่าต้องตัดสินใจ

ต้องพิสูจน์ตัวเองไหม

เราใช้การวาดการ์ตูนหาเงินเลี้ยงตัวเองตั้งแต่ปี 4 เลยรู้สึกว่า ถ้างั้นลองทำมันจริงๆ จังๆ ดูไหม ดูว่ามันจะสามารถเป็นงานที่มั่นคงได้หรือเปล่า เลยไปคุยกับที่บ้านว่าขอเวลาพิสูจน์ 1 ปี จนเขาเห็นว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้ ดูแลครอบครัวได้ งานทุกอย่างส่วนหนึ่งมันขึ้นอยู่กับวินัย เราไม่ใช่คนที่เคร่งมากแต่ด้วยความที่เราชอบงานนี้ เราจะอยากทำมันและใช้เวลาไปกับมันเยอะๆ เลยกลายเป็นวินัย

ช่วงเวลาเป็นบทพิสูจน์ โดยทำให้เห็นและไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด

ตอนที่เราขอพิสูจน์ตัวเองกับคุณย่า เรารู้สึกว่านั่นเป็นการพูดที่จริงจังที่สุดแล้วในชีวิต และเขาก็คงเห็นว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้ ดูแลพ่อแม่ได้ ดูแลครอบครัวได้ เห็นเรามีความรับผิดชอบมากขึ้น บวกกับช่วง 1 ปีที่พิสูจน์ตัวเอง เราก็มีงานออกมาอยู่ตลอด มีหนังสือที่หน้าร้าน ครอบครัวเห็นว่าเราไม่ได้ทำเล่นๆ ถูกตีพิมพ์ออกมาขายทั่วประเทศ ไปออกงานหนังสือ เขาเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดขึ้น

การ์ตูนที่เริ่มเขียนช่วงแรกๆ ต่างกับตอนนี้อย่างไร

ตอนแรกเริ่มเขียนการ์ตูนจบในตอนแล้วอาศัยการไปรวมเล่มกับนักเขียนคนอื่นๆ บ้าง บางครั้งโทนเนื้อเรื่องของเรามันโดดออกมา จนถึงเวลาที่เรารู้สึกว่ามีแนวทางของตัวเองแล้ว เริ่มมีฐานแฟนมากขึ้น รวมเล่มทำเองดีกว่า ก็ทำมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้

การ์ตูนช่วงแรกๆ มันเป็นตัวเองมาก เพราะเราเขียนจากเรื่องของตัวเอง เขียนไปตามวัย แต่ไม่ได้มีความท้าทายที่จะเขียนอะไรใหม่ๆ หรือว่าสร้างจักรวาลใหม่ขึ้นมา

พอเวลาผ่านไป ด้วยความที่เรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวเรามันไม่ได้หวือหวาหรือคึกคักเหมือนสมัยที่เราเป็นเด็กแล้ว เพื่อนเราก็ไม่ค่อยมีความรัก ไม่ค่อยหวือหวา แต่งงานมีลูกแล้ว เราก็เลยเริ่มมีโอกาสที่จะได้ทำสิ่งที่ชอบ คือ ได้ใช้จินตนาการ สร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ สร้างโลกของตัวของละครใหม่ๆ ซึ่งมีความต่างจากช่วงแรก  เรารู้สึกว่าปัจจุบันเราทำได้เยอะขึ้น ได้เป็นตัวเองมากขึ้นจากเมื่อก่อน

การเขียนเรื่องของตัวเองกับการสร้างเรื่องมาใหม่ ยากง่ายต่างกันไหม

พูดยากนะ ถ้าเขียนจากตัวเองหรือเรื่องที่เราไปฟังมา หรือเรื่องที่เพื่อนมาดราม่าใส่ แล้วเราเอามาเป็นแรงบันดาลใจ อันนั้นจะง่ายเพราะเหมือนมันรู้สึกเอง แค่เอามาบิดเพิ่มนิดหน่อยแล้วมันก็ถ่ายทอดไปได้เลยจากความรู้สึกเราที่มันเกิดขึ้นไปแล้ว  

ยกตัวอย่างในหนังสือ ‘ประโยคสัญลักษณ์’ เรื่องแรกของเล่มแรก  เป็นเรื่องจริงของเพื่อน ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ยังมีความเป็นวัยรุ่นอยู่ เพื่อนเราไปเจอความรักที่ไม่ชัดเจนก็มาร้องไห้ระบายให้เราฟัง เราก็ฟังและเก็บรายละเอียด เก็บสิ่งเหล่านี้แล้วเอามาคิดว่าจะขยายต่อว่ามันจะเป็นเรื่องราวอย่างไรได้บ้าง

เราเจอสเตตัสของเพื่อนเราคนนี้ที่บอกว่า ถ้าเลือกได้จะไม่ไปอยู่ตรงนั้น แล้วเรารู้สึกว่า โห คำนี้ถ้าเราไม่เจอเองเราไม่มีทางคิดได้หรอก คำแบบนี้ หรือความรู้สึกแบบนี้ เราฟังแล้วเรารู้สึกได้ว่ามันแย่แค่ไหน เราก็เลยเก็บๆ มาแล้วเอามาทำเป็นเรื่อง เริ่มนึกย้อนกลับไปถึงความสัมพันธ์แบบนี้ค่ะ ก็เอามารวมๆ กัน

แต่ว่าเรื่องที่สร้างขึ้นมาใหม่มันต้องสมมุติอะไรขึ้นมาหลายอย่าง แล้วต้องจำลองตัวเองว่าไปเจอแบบนั้นจะรู้สึกยังไง แล้วมันก็มีตัวละครหลายตัว มันก็เป็นเรื่องที่ยาก

ถ้ามันเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ต้องทำการบ้านเพิ่มอย่างไร

จริงๆ แล้วมันจะมีบางส่วนที่เป็นชิ้นส่วนของตัวเรา ในตัวละครแต่ละตัว มันมีความเป็นเราอยู่ตัวละนิดหน่อย หรือว่า เราเคยมีเพื่อนแบบนี้ คนรักแบบนี้ พ่อเราเป็นคาแรคเตอร์แบบนี้ แต่ละส่วนที่เราเคยเจอมาเราก็สามารถเอาไปใส่ได้ นอกเหนือจากนั้น ส่วนตัวเป็นคนชอบดูหนัง แล้วจะชอบเก็บรายละเอียดที่มันทำให้เรารู้สึกเวลาดู คือจะดูว่าซีนแบบนี้นะ อารมณ์แบบนี้ ภาพแบบนี้ สีหน้าแบบนี้มันจะทำให้รู้สึกยังไง

ตอนนี้นักอ่านของมุนินฺเป็นใคร

ส่วนใหญ่ก็เป็นแฟนรุ่นแรกๆ ที่โตมาด้วยกัน มันก็เลยเริ่มกลายเป็นช่วงวัยทำงานและครอบครัว แต่ว่าด้วยเรื่องใหม่ๆ ที่เราทำออกมาอย่างประโยคสัญลักษณ์ มันก็สามารถดึงเด็กๆ วัยรุ่นเข้ามาได้ ตอนนี้ก็เลยเริ่มตั้งแต่ ม.ปลาย มหาวิทยาลัย และก็วัยทำงาน

ทำไมงานของมุนินฺมักอยู่ในรูปแบบความสัมพันธ์ต่างๆ เช่น ความรักวัยรุ่น พ่อแม่ เพื่อน

เริ่มจากการที่เราเป็นคนชอบเล่าเรื่อง เราอยากเล่าอะไรสักอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่มันก็เป็นเรื่องที่เกิดกับเรา เรื่องคนรอบข้างเรา เรื่องเรากับครอบครัวด้วย ความที่เป็นครอบครัวขยายด้วยมั้ง มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย มันมีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์หลายๆ แบบในครอบครัว แล้วเราก็เป็นคนที่ชอบสังเกต ชอบเก็บรายละเอียดเลยมีเรื่องที่จะเล่าเยอะ เราเป็นคนที่ชอบคุย เพื่อนจะมาระบาย เราก็จะเห็นความสำคัญไม่ใช่แค่เรื่องที่เกิดกับเรา มันเห็นของคนอื่นด้วย

เราไม่ได้คิดเลยว่าเราจะต้องมาเขียนแนวนี้เพื่อให้คนสนใจ-ไม่เลย แต่เพราะมันเริ่มจากที่เราอยากเล่าเรื่องของตัวเอง  

อย่างเรื่อง ลูกกับแม่ ที่เคยเขียนเมื่อนานมาแล้ว เป็นเรื่องที่แม่โทรมาหาลูกสาวแล้วลูกสาวไม่ค่อยรับสาย แล้วแบบ…มันเกิดกับตัวเองและเรารู้สึกแบบ เออว่ะ ทำไมเรารู้สึกแบบนี้วะ แม่โทรมาแล้วทำไมเราต้องแบบ ‘โทรมาอีกแล้ว’ รู้สึกไม่อยากรับ แต่ตอนที่เราเป็นลููก เป็นเด็กๆ เขาไม่เคยที่จะ ignore เสียงของเราเลยนะ เราคิดได้เราก็แบบ เราอยากเล่า เราอยากให้คนที่ยังนึกไม่ได้หรือเป็นเหมือนเราได้อ่าน ก็คงจะดีกับเขานะถ้าเขาไปอ่าน ก็เลยเป็นว่า พอเขียนแบบนี้บ่อยๆ เข้า คนที่อ่านเขาก็อินเนื่องจากมันเป็นประสบการณ์ที่มันเมือนที่บ้าน เราก็เขียนแบบนี้มาเรื่อยๆ

วางเป้าหมายของแต่ละเรื่องไว้ว่าอย่างไรบ้าง

ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเรื่องแนวครอบครัว หรือเรื่องดราม่าที่เราเขียน ส่วนใหญ่เราคาดหวังจะให้คนอ่านรู้สึกอะไรขึ้นมา คิดอะไรได้หรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทัน เพราะว่าเราเซนซิทีฟเรื่องครอบครัว พอเราคิดได้เราก็หวังว่ามันจะเกิดเอฟเฟ็คท์แบบนั้นกับคนอ่าน เราโอเคมากที่เขาอ่านแล้วมันลิงค์กับตัวเขาได้ ส่วนเขาจะทำอะไรไหมก็คือไม่รู้แล้ว

แค่มันได้ทำงานกับคนอ่าน ให้เขาได้คิดว่าจะยังไงต่อ ก็เวิร์คแล้ว  

งานที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ จุดยากที่สุดคืออะไร

จุดยากคือการหว่านล้อมให้คนรู้สึกเชื่อเพื่อไปให้ถึงจุดพีคของเรื่อง ถ้าเกิดว่าเขาไม่เชื่อ ไม่รู้สึกว่ามันจริง ระหว่างทางเขาอ่านไปเรื่อยๆ พอไปถึงจุดพีคมันจะไม่ได้อะไรเลย จะไปไม่ถึง เพราะเขาจะรู้สึกว่ามันปลอม

วิธีของเราคือ จะค่อยๆ พาตัวละครไปถึงตรงนั้น พาคนอ่านไปถึงตรงนั้นด้วยอย่างกลมกลืนมากๆ ซึ่งมันต้องอาศัยหลายอย่าง ทั้งความเป็นธรรมชาติของไดอะล็อกที่พูดคุยกัน หรือเหตุการณ์บางอย่างที่มันจะลิงค์กับคนอ่าน

เราเชื่อเรื่องความสมจริงของบทสนทนา ของเหตุการณ์ มากกว่าความสมจริงของฉาก ส่วนตัวนอกจากคำที่เขียนแล้วเราอยากให้เขาใส่บ้านของเขาลงไป ใส่โรงเรียนของเขา ใส่ห้องนอนเขา ใส่อะไรที่มันเป็นประสบการณ์ของเขาเข้าไป ตรงนี้ มันเป็น space ที่ลิงค์กับเขาได้ง่าย

ทั้งหมดมันทำให้คุณเชื่อตรงนั้นก่อนที่จะไปถึงจุดที่สำคัญของเรื่อง

ทำอย่างไรให้การ์ตูนของเรามีจุดพีค จนทำให้คนอ่านหยุดชะงัก

อันนี้ตอบยาก จริงๆ น่าจะเป็นการสั่งสมประสบการณ์เดิมที่สะสมมาจากการดูหนังเป็นส่วนมาก เรารู้สึกว่าการเขียนการ์ตูนมันเหมือนภาพยนตร์ คือเวลาที่เรารู้สึกอะไรบางอย่างกับหนัง มันจะประกอบหลายๆ อย่าง ทั้งเพลง ทั้งเรื่องราวที่มันถ่ายทอดมาทั้งหมดจนมาถึงจุดที่มันพีค เราก็เลยใช้หลักการเดียวกันในการที่จะทำไปให้ถึงตรงนั้น

ส่วนเรื่องที่มันพีค อันนี้ตอบยาก (นิ่งคิด) ถ้าอันไหนที่มันรู้สึกกับเราแล้วเราค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะทำให้คนอ่านรู้สึกได้ด้วย เช่น ที่เราคุยกับเพื่อนแล้วเพื่อนเล่าเรื่องนี้มาแล้วเรารู้สึกว่าอันนี้ดีเราก็เอามาเก็บไว้แล้วก็ไปเขียน แต่อาจจะปรับให้มันมีรายละเอียดของยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไป ผสมกับประสบการณ์เดิมของเราที่มีอยู่ เอามารวมๆ กัน

การดูหนังกับการวาดการ์ตูน เหมือนหรือแตกต่าง แล้วมันมีวิธีสื่อสารที่เหมือนกันไหม

ส่วนตัวเรามองว่า เราเขียนนิยายภาพที่มีบรรยากาศคล้ายๆ กับภาพยนตร์มากกว่า คือบทพูดอาจจะไม่ได้เยอะ แต่ว่าเน้นบรรยากาศเน้นอารมณ์ เน้นการสื่อสารด้วยการแสดงออกของตัวละครทั้งสอง

แล้วเรากลายเป็นคนที่มาถ่ายทอดนิยายภาพได้แบบให้มีอารมณ์ที่ใกล้คียงกับในหนัง แม้การ์ตูนเราจะไม่มีเสียงหรือ sound ประกอบเวลาคนอ่าน แต่เบื้องหลังคือ เราใช้เสียงจริงๆ ในการเขียน คือเวลาเราทำต้นฉบับจะต้องฟังเพลงที่เราเลือกมา เป็นเพลงที่เราหลงๆ ไปเจอแล้วเก็บไว้ เช่น เพลงนี้เข้าเพลลิสต์ของเล่มนี้ดีกว่า ถึงเวลาที่เราทำงานเราก็เปิดเพลลิสต์นี้กล่อมเราไปเรื่อยๆ เลย มันก็จะสร้างอารมณ์ให้กับเรา สุดท้ายแล้วไม่รู้มันจะมีส่วนมันไปถึงคนอ่านไหม แต่เราเชื่อว่าการอ่านถึงจะไม่มีเสียงแต่ว่ามันเกิดจากตัวเราที่ถูกกล่อมด้วยเพลงนั้นๆ ไปแล้ว

สังเกตว่า ตอนจบของการ์ตูนมุนินฺ มักไม่สรุป แต่จะเป็นปลายเปิดให้คนนำไปคิดต่อ จินตนาการต่อเอาเอง เป็นความตั้งใจของมุนินฺหรือเปล่า

จริงๆ แล้ว มีหลายเรื่องที่เป็นแบบนั้น คือเป็นความตั้งใจจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เรารู้สึกว่าอยากให้มันไปทำงานต่อ เราสร้างตัวละคร สร้างโลกขึ้นมาแล้ว คิดว่ามันสามารถไปทำให้คนคิดต่อได้โดยใช้ประสบการณ์ของเขาร่วมด้วย อันนั้นเท่ากับศิลปินได้โบนัสแล้ว แต่จริงๆ แล้วเวลาที่เราให้ตัวละครมันสดใส ไม่ได้ขาวหรือดำทีเดียว

ตัวละครเราเทาๆ ไม่ได้ขาวหรือดำไปซะทีเดียว เพราะว่าเวลาเราดูหนังเรารู้สึกว่าแต่ละตัวละครมันมีเหตุผลของมันในการกระทำนั้น เราก็เลยเอาตรงนี้มามีส่วนด้วย

ในฐานะผู้เขียนเองก็คิดว่าไม่ได้มีหน้าที่ที่จะไปตัดสินว่าคนนี้ดีหรือไม่ดีด้วยหรือเปล่า

ใช่ค่ะ ยิ่งเดี๋ยวนี้มันค่อนข้างเซนซิทีฟมากเลยในการตัดสินอะไรบางอย่างในโลกโซเชียล เมื่อไหร่ที่มีการเริ่มตัดสินอะไรแล้วมันก็จะตามมาด้วยดราม่าอะไรสักอย่าง แต่เราก็พยายามที่จะให้เห็นอะไรหลายๆ มุมของตัวละครที่เราสร้างขึ้นมา เพราะว่ามันสร้างมาจากส่วนประกอบของคนที่มีอยู่จริงๆ ในชีวิตเรา ซึ่งแต่ละคนก็มีดีบ้างไม่ดีบ้าง

ซึ่งเชื่อว่าแต่ละคนมีเหตุผลในการกระทำนั้นๆ หรือคิดแบบนั้น?

ใช่ค่ะ

มองความสัมพันธ์ในครอบครัวปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร

ส่วนตัวเราคิดว่ามันยังมีความคิดเหมือนเดิม ยังมีความคลาสสิกของครอบครัวไทยอยู่ ซึ่งจริงๆ แบบนี้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ความเป็นลูกของแม่ โตแค่ไหนแม่ก็ยังรู้สึกว่านี่คือลูกนะ ซึ่ง ตะวันตกไม่อินอยู่แล้ว หรือทำไมเราถึงอินซีรีส์เกาหลีจังเลย เพราะมันมีดราม่าเรื่องครอบครัวเหมือนกัน

มันเป็นความคลาสสิกที่เรายังสามารถเล่นกับมันได้เรื่อยๆ อาจจะมีอะไรใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา เช่น เดี๋ยวนี้แม่กับลูกเป็นเพื่อนกันมากขึ้นนะ อันนี้เราก็ได้หยิบมาเขียน แต่ยังไงของเก่าก็ยังอยู่

แล้วคิดว่ารูปแบบความสัมพันธ์ในครอบครัวมันมีความห่างมากขึ้นไหม

ถ้ามองจากตัวเองก็รู้สึกว่าห่าง ขึ้นกับว่าเป็นใครที่อ่าน หรือ ทุกวันนี้ทุกคนมีช่องว่างในครอบครัวมากขึ้นหรือเปล่า คือเราเห็นแหละว่ามีแต่เรายังไม่ได้ปักใจเชื่อว่าอันนี้มันจะส่งผลให้รูปแบบรอบครัวมันเปลี่ยนไป

เราคิดว่ามันเป็นส่วนที่ดีด้วยนะที่เราสามารถหยิบเป็นประเด็นที่ถ่ายทอดเรื่องนี้ได้ แต่ว่ายังไม่ได้หยิบมาเขียนแบบจริงๆ จังๆ

การเป็นคุณแม่ (ของลูกชายวัย 6 เดือน) มีผลต่อการวาดการ์ตูนไหม

ต้องบอกแบบนี้ก่อนว่าตอนที่เราเขียนเรื่องครอบครัว มันไม่ได้เกิดจากการที่เราเกิดในครอบครัวที่อบอุ่นนะ มันเกิดจากการที่เราไม่มีด้วยซ้ำ เราขาดอะไรบางอย่าง และเรารู้สึกว่าเราอยากเขียนมันออกมา

ช่วงเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 40 พ่อแม่มีปัญหาหลายๆ อย่าง ทำให้ตั้งแต่ช่วงเด็กจนถึงวัยรุ่น เราเลยต้องไปอยู่ในความดูแลของอา ของย่า แต่พ่อแม่คือรากฐานที่สำคัญของตัวคนเราจริงๆ เพราะว่าเขาเลี้ยงเราตอนเด็ก ทุกคนมีส่วนในการเติบโตของเรา ทั้งที่เราเคยพยายามดีเฟนด์มัน ด้วยความที่เป็นครอบครัวขยายมันก็จะมีความแบบอะไรคานๆ งัดๆ กันอยู่…ประมาณนี้

พอเราได้เป็นแม่ก็เลยไม่ได้ตอกย้ำว่าครอบครัวในอดีตคือสิ่งที่ดีงาม ความอบอุ่นที่มันเกิดขึ้น ณ ตอนนี้ มันไม่ได้ตอกย้ำหรือทำเราให้ลึกซึ้งมากขึ้นในส่วนที่เราขาดไป แต่มันก็ทำให้เรามองอีกแบบนึง เรามองว่าสิ่งที่เราไม่มีในอดีตเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นไปอีก  

การที่เราได้เป็นแม่ เรารักลูก แต่มันไม่ได้เพิ่มดราม่าหรือความละเอียดอ่อน มันกลายเป็นว่าเราเจอความชินมากๆ ในการเป็นแม่ อันนี้อาจจะเพราะเรากำลังอยู่ในช่วงแรกของการมีลูกด้วย  มันมีความยากของช่วงนี้อยู่ ขณะเดียวกันมันก็มีหน้าที่และความชินในทุกวัน ไม่ได้มีมุมที่ละเอียดอ่อน หรือเราคือคนที่ต้องซัพพอร์ตลูกทุกอย่างในช่วงนี้นะ ตรงนี้มันคือหน้าที่และความรับผิดชอบที่เราต้องทำมันให้ดีที่สุดในทุกๆ วัน

เราไม่ได้ต้องการให้ลูกมาคืนอะไรให้เรา แค่เขาเกิดมา เขาต่างหากที่ให้เราแล้ว ตรงนี้เราคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ธรรมดาเลยนะ

อยู่กับความจริงและมีสิ่งที่ต้องทำทุกวันใช่ไหม

ใช่ค่ะ และต้องเข้าใจมากขึ้น แต่ก่อนคนเรามีลูกเพราะอะไรเราไม่รู้นะ แต่สมัยนี้การที่เราจะมีลูกหรือไม่มีมันเป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้นะ การที่จะเลือกที่จะมี สิ่งนี้มันจึงกลายเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบแล้วนะที่เราจะต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด มันไม่ใช่เรื่องของบุญคุณ

เขาจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเขา ให้เราได้เลี้ยง เขาก็เป็นความสุขของเรามาเรื่อยๆ ทุกวัน จนเราไม่ได้รู้สึกว่าเราอยากได้อะไรจากเขา คือเราไม่ได้เชื่อในกลไกที่ฉันทุ่มเทเลี้ยงเธอมานะเธอต้องตอบแทนกลับมาให้ฉัน

นี่คือสิ่งที่เราคิดได้ มันก็เลยกลายเป็นผลที่ทำให้เราไม่ได้คิดว่าเราคือคนให้ เราจึงไม่ได้รู้สึกว่าโตขึ้นมาเขาต้องให้อะไรเรา เพราะว่าการที่มีเขาก็คือเขาให้เราแล้วตั้งแต่วันนั้น เป็นสิ่งที่เราเลือกว่าเราอยากจะได้เอง

พอมองไปข้างหน้า เราไมได้คิดว่าโตขึ้นลูกต้องทำอะไรให้ หรือต้องเป็นอย่างไร คือเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เราไม่ได้ไปผูกอะไรกับเขา อาจจะเพราะว่าประสบการณ์ของเราตอนเด็ก ที่เราอาจจะได้รับไม่มากพอ แต่เมื่อเราโตขึ้น พ่อกับแม่กลับต้องการจากเรา ขณะที่เราไม่ต้องการอะไรจากเขา แต่เรากลายเป็นฝ่ายที่เราต้องให้ ทั้งที่ในอดีตเราไม่ได้รับ และเราก็จะมีคำถามจากเรื่องนี้มาโดยตลอดเลย ถามว่าอะไรคือการให้ อะไรคือการรับ

พอมีลูก เราก็ได้คำตอบสำหรับตัวเอง เราไม่ได้คิดว่าคำตอบนี้จะถูกสำหรับทุกคน เราคิดว่าลูกให้เราแล้วตั้งแต่วินาทีที่เขาเกิดมา ให้เราแล้วและให้มากขึ้นเรื่อยๆ เราเข้าใจพ่อแม่มากขึ้น และเรารู้สึกได้ถึงการพยายามแค่ไหนก็ไม่สมบูรณ์แบบของการเป็นพ่อแม่ คือก่อนที่เราจะคลอดเราก็อยากเป็นนั่นเป็นนี่ให้ลูก แต่ว่าเราก็รู้สึกว่ามันยังไม่สมบูรณ์ เขาน่าจะได้ดีกว่านี้

มันทำให้เรามองย้อนกลับไปตอนพ่อกับแม่ สิ่งที่เขาเคยไม่ได้ให้เรา หรือสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราขาด อาจจะเป็นเพราะเขาทำเต็มที่แล้วแต่ว่ามันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย คือทุกอย่างมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว

มันก็ทำให้เราใส่ใจเขา (พ่อแม่) มากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้เอาไปเขียนการ์ตูนตอนช่วงที่ใกล้ๆ คลอด เราเข้าใจในมุมของพ่อแม่ที่แบบทำดีที่สุดแล้วนะ ณ ตอนนั้นเราก็อยากบอกเขาจริงๆ ว่าเราเข้าใจแล้วนะว่าเขารู้สึกอย่างไร

การวาดการ์ตูนจะช่วยเข้าไปเสริมหรือเพิ่มเติมอะไรได้บ้างในสถาบันครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์

น่าจะเป็นเรื่องที่เราพูดถึงช่องว่างอะไรบางอย่างในครอบครัว ซึ่งเราพยายามสอดแทรกประเด็นแบบนี้อยู่ในการ์ตูนเรื่องใหม่ที่เราเขียน คิดว่ามันจะน่าจะมีส่วนที่ทำให้ทุกคนได้เห็นมุมของคนอื่นๆ แล้วก็จะได้เข้าใจมากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้ไปตัดสินว่า ‘เฮ้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้’ เพียงแต่ว่าเราจะไม่บอกตรงๆ เราแค่ทำให้เห็นว่ามันมีอะไรบางอย่างในเรื่องราวของคนคนหนึ่ง

เราจะคิดเสมอว่า ในชีวิตของคนเรา ไม่ว่าเรื่องอะไรจะเกิดขึ้น เรามักเข้าใจในมุมของตัวเอง แล้วคนอื่นก็จะกลายเป็นคนร้าย เพราะว่าเรามองเห็นแค่หนังที่เราเล่นเป็นนางเอก แต่เราไม่เคยมองในมุมของคนอื่น

เลยอยากจะฉายให้เห็นในมุมคนอื่นบ้าง ว่าเขาก็มีมุมมอง มีสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ น่าจะไปเสริมช่วยในความสัมพันธ์ที่ยังมีช่องว่างอยู่ได้

ทำไมถึงเชื่อพลังของการบอกแบบเนียนๆ มากกว่าบอกแบบตรงๆ

การบอกตรงๆ เราเจอมันอยู่เยอะมากแล้วในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น โฆษณาหรือการเสพคำคม คือเราแทบไม่ต้องใช้ความคิดอะไรเลย แทบไม่รู้สึกเลยด้วย ก็เลยคิดว่าการบอกเนียนๆ มันค่อนข้างที่จะได้ผลมากกว่าในการค่อยๆ ทำให้คนรู้สึก ให้คนเห็น มันได้ผ่านสมองเขา ได้ให้เขาคิดต่อ ไม่ใช่การเสิร์ฟพร้อมทาน

Tags:

นักเขียนนักวาดหนังสือการเติบโต

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Book
    ห้องสมุดแห่งบาเบล : ภาพลวงตาของความหมาย

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

  • Book
    แปดขุนเขา – คือขุนเขาลูกไหน…ในใจคุณ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    The Fall: การร่วงหล่นของตัวตน สู่การแตกสลาย และเผยโฉม “มนุษย์สองหน้า” ที่อยู่ภายใน

    เรื่อง เจษฎา อิงคภัทรางกูร

  • Book
    หนทางเดียวที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งรัก คือ ฝึกรัก

    เรื่อง ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ขนิษฐา ธรรมปัญญา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เปลี่ยนภาระ ให้เป็นพลัง: วิจัยชุมชนชิ้นโบแดงมหกรรมเยาวชนสตูล
Creative learning
8 February 2019

เปลี่ยนภาระ ให้เป็นพลัง: วิจัยชุมชนชิ้นโบแดงมหกรรมเยาวชนสตูล

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ The Potential

  • มหกรรมเยาวชนสตูล ตอน ‘เยาวชนทนแลม้ายด้าย’ เป็นเพียง ‘ยอด’ ภูเขาน้ำแข็ง เป็นงาน Showcase แสดงผลงานและการเรียนรู้ของเยาวชนจำนวน 13 พื้นที่ 7 โครงการ แต่ส่วน ‘ฐาน’ ของภูเขาน้ำแข็ง คือวิธีคิด หรือกระบวนการทำงานของ ‘โหนดสตูล’ และ กลุ่มพี่เลี้ยงต่างหาก คือ ‘รูปธรรม’ ที่ต้องพูดถึง และ ถูกคลี่เพื่อศึกษา
  • เพราะคนทำงานคุ้นกับระบบวิจัย กระบวนการคิดวิเคราะห์จากการหาข้อมูลความรู้ จึงใช้วิธีเดียวกันนี้กับเยาวชนในโครงการ active citizen กลุ่มเป้าหมายเป็นทั้งเด็กในและนอกระบบ ด้วย 3 วิธีสำคัญคือ ‘เดินตามเด็ก, เดินพร้อมเด็ก และ หนุนให้เด็กเดิน’
  • สำคัญที่สุด มันคือการศึกษา ‘นอกห้องเรียน’ ผู้สนับสนุนไม่ใช่ครู แต่เป็นคนในชุมชนและทรัพยากรในบ้านเกิดพวกเขาเอง

คีย์เวิร์ดของงาน มหกรรมเยาวชน ‘ทนแลม้ายด้าย’ (Rise Up the Chance) จังหวัดสตูล ในครั้งนี้ มี 3 คำสำคัญที่ต้องพูดถึงคือ งานวิจัย, การศึกษานอกระบบ และ ราชาน้ำท่อม! 

ก่อนจะว่ากันถึงคำสำคัญดังกล่าว ขอกลับไปกล่าวถึงที่มาของงานมหกรรมในครั้งนี้ก่อนว่า ที่จริงแล้วชื่อเต็มของงานคือ มหกรรมเยาวชนพลเมืองสร้างสรรค์สตูล ครั้งที่ 1 ตอน เยาวชน ‘ทนแลม้ายด้าย’ Give youths a chance, Rise up the chance จัดขึ้นวันที่ 26-27 มกราคม 2562 ณ โรงเรียนอนุบาลสตูล

จุดประสงค์อย่างเป็นทางการของงานคือ 

  • หนึ่ง-เพื่อสื่อสารผลงาน ความคิด ความเชื่อ ต่อกระบวนการทำงานของเยาวชนและโดยเยาวชนเอง 
  • สอง-สื่อสารประเด็น ‘กลไกชุมชน’ เพื่อพัฒนาเยาวชนจังหวัดสตูลแก่สาธารณชน กลไกที่ว่าก็คือ ‘คนใน’ ที่เรียกว่า โค้ช หรือ พี่เลี้ยง ซึ่งผู้ที่สวมบทบาทดังกล่าวคือ ชาวบ้าน ผู้ปกครอง หรือ กลุ่มทำงานกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่เด็กให้ความไว้ใจ และส่วนใหญ่ไม่ใช่ครูในโรงเรียน 
  • สาม-ทั้งหมดนี้ดำเนินงานบนฐานความเชื่อที่ว่า พื้นที่การเรียนรู้ครั้งนี้จะเปิดโอกาส เปิดประตูงานเยาวชนจังหวัดสตูล

จุดประสงค์ข้างต้นเป็นสิ่ง ‘นามธรรม’ และมหกรรมเยาวชนที่เพิ่งจบไปเป็นเพียง ‘ยอด’ ของภูเขาน้ำแข็ง เป็นงาน Showcase ที่เด็กๆ จำนวน 13 พื้นที่ 7 โครงการ นำโครงการของตัวเองมาจัดแสดง หวังปลุกกระแสการเปิดพื้นที่ เปิดโอกาสในการพัฒนาเยาวชนให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบพัฒนาบ้านเมือง แต่ส่วน ‘ฐาน’ ของภูเขาน้ำแข็ง หรือ วิธีคิด หรือกระบวนการทำงาน ‘ทีมศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสตูล’ หรือที่เรียกกันว่า ‘โหนดสตูล’ และกลุ่มพี่เลี้ยงต่างหาก คือ ‘รูปธรรม’ ที่ต้องพูดถึง และ ถูกคลี่เพื่อศึกษา

ซึ่งกระบวนการทำงานและวิธีคิดนี้เอง ที่เกี่ยวพันกับคำสำคัญ 3 อย่าง คือ งานวิจัย, การศึกษานอกระบบ และ ราชาน้ำท่อม!

เบื้องหลังมหกรรมเยาวชน ‘ทนแลม้ายด้าย: งานวิจัย, การศึกษานอกระบบ และ ราชาน้ำท่อม

“งาน active citizen สตูลไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ เรามีบทเรียน มีทุน มีทรัพยากรคนจากการลงไปขับเคลื่อนให้เกิดการทำวิจัยในพื้นที่ ไปเป็นพี่เลี้ยงและโค้ชให้ชาวบ้าน… อย่าว่าแต่ทำวิจัยเลย บางคนยังเขียนคำว่า ‘วิจัย’ ไม่ถูก ไปชวนเขาให้มาทำวิจัยได้ 

“จากนั้นเราผลักระบบวิจัยเข้าโรงเรียน ขยาย (วิธีวิจัย) ไปยังโรงเรียนปอเนาะ โรงเรียนปฐมวัย โรงเรียนมัธยม มัสยิด แต่ทั้งหมดนั้นคือเด็กในระบบ แล้วกับเด็กนอกระบบล่ะ?

“ใช่ไหมว่าวิธีคิดที่เราพบในการพัฒนาเด็กปัจจุบันมี 3 วิธี คือ ส่งเข้าโรงเรียน สายปกครองส่งเข้าสถานบำบัด สายศาสนาส่งไปสอนศาสนา แต่ ‘วิธีทำงานกับเด็กนอกระบบ’ โดยไม่ใช่ 3 วิธีที่ว่าล่ะ คืออะไร?”

คือเสียงของ สมพงษ์ หลีเคราะห์ หรือ บังพงษ์ ผู้ประสานงานศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสตูล (โหนด) กล่าวเปิดงานมหกรรมเยาวชน โดยมีรถมอเตอร์ไซค์ 3 คันยืนแสดงตัวงามสง่าคล้ายประกาศว่า ‘นี่คือสัญลักษณ์ของเยาวชน’ อยู่ด้านหลัง

สมพงษ์ หลีเคราะห์ หรือ บังพงษ์

ทั้งหมดนั้น สมพงษ์ต้องการกลับไปอธิบายว่า การพัฒนาเยาวชนโดยเฉพาะ ‘เด็กนอกระบบ’ -ผู้ซึ่งกำลังเปิด ตระเตรียม และอธิบายงานวิจัยของพวกเขาอยู่ขณะนี้- ไม่ได้มีวิธีเดียวคือส่งเข้าสถานบำบัด หรือเข้ากระบวนการปกครอง แต่คือพื้นที่ โอกาส และการสนับสนุนจากคุณอำนวย (facilitator) 

ซึ่งตลอด 1 ปีของการทำงานในโครงการ active citizen จังหวัดสตูล โหนดสตูลเลือกใช้ ‘วิธีวิจัย’ สิ่งที่พวกเขาถนัดและมีทุนอยู่เดิม เข้าทำงานกับทั้งเด็กในและนอกระบบ ซึ่งเด็กนอกระบบที่ว่า บังพงษ์นิยามว่าคือ ‘ราชาน้ำท่อม’ และทำงานด้วยกลยุทธ์ 3 อย่างคือ 

‘เดินตามเด็ก, เดินพร้อมเด็ก และ หนุนให้เด็กเดิน’ 

“ขั้น ‘เดินตามเด็ก’ ทีมพี่เลี้ยงต้องไปหาเด็ก อยู่กับเขา พูดคุยกับเขาจนเขาไว้ใจ พอเขาไว้ใจก็ชวนทำกิจกรรม ขั้นตอนนี้ผมเรียกว่า ‘เดินพร้อมเด็ก’ เดินพร้อมเด็กไปปลูกป่า ถางป่า หรือไปทำกิจกรรมที่จะเดินไปพร้อมกันกับเขา ขั้นตอนสุดท้าย ‘หนุนให้เด็กเดิน’ ก็คือการชวนเขาทำโปรเจ็คท์ ทำโครงการ ซึ่งในโครงการเราก็ใช้วิธีวิจัยอีก เรียกว่า RDM หรือ Research Development Movement” บังพงษ์อธิบาย 

ขณะที่ สุทธิ สายสุนีย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล ที่ปรึกษาโครงการ และในนามของผู้ปฏิวัติการสอน ปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยการนำเครื่องมือวิจัยเพื่อท้องถิ่นมาเป็นฐานการเรียนรู้ อธิบายความสำคัญของการใช้ RDM ในโครงการว่า 

“การทำข้อมูลในส่วนที่เรียกว่า RDM คือการที่เด็กลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูล ทำให้เขารู้จักผู้เฒ่าผู้แก่ รู้จักทรัพยากร รู้จักชุมชน รู้จักปัญหา รู้จักทุนดีๆ ของชุมชน แล้วจึงรวมกันขึ้นโปรเจ็คท์ของเขาเอง โดยมีพี่เลี้ยงเป็นคนกำกับและช่วยให้คำปรึกษาอยู่

สุทธิ สายสุนีย์

“เมื่อขึ้นโปรเจ็คท์แล้วและอยู่ในช่วงพัฒนากิจกรรม กลับไปติดตามความคืบหน้าจะเห็นเลยว่าเด็กเหล่านี้สร้างเครื่องมือ เรียนรู้จากประสบการณ์ สร้างอิมแพคที่เกิดขึ้นจากการทำงาน คือไปร้อยเรียง ไปเชื่อมโยงกับผู้นำศาสนาในชุมชน กับคนในชุมชน กับเครือข่ายคนทำงานแล้วแต่โครงการที่เขาทำงานอยู่ เช่น หน่วยงานที่ดูแลป่าเลน น้ำตก อุทยานต่างๆ ไม่รวมกิจกรรมที่ทำงานด้านภูมิปัญญาดั้งเดิม เช่นการละเล่นต่างๆ อีกเยอะมาก” 

อย่างที่กล่าวไปแล้วตอนต้นว่า โครงการนี้เป็นการทำงานบนฐานวิจัยของเด็กนอกห้องเรียน อันแปลว่าคนที่จะผลักดันและอยู่กับเด็กไม่ใช่ครูในห้องเรียน แต่คือ พี่เลี้ยง หรือ โค้ช ในชุมชน 

“ทำไมเราถึงพุ่งไปที่ ‘ระบบพี่เลี้ยง’ อาจเพราะผมเริ่มทำงานกับชุมชนที่ทำแบบนี้ตั้งแต่ปี 40 จึงตั้งต้นด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ การทำงานกับชุมชนที่เข้ามาร่วม เด็กจะมีพี่เลี้ยงอยู่ในชุมชน แม้คนนอกออกไป คนในยังอยู่ และยังมีบทบาทในการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เข้ามากับคนในชุมชน 

“ส่วนพี่เลี้ยงทำงานยังไง?  ทำหน้าที่ ‘สร้างโอกาส’ และเป็น ‘คุณอำนวย’ หรือ facilitator ทำให้เด็กคิด ทำกิจกรรม และช่วยเติมศักยภาพ เช่น เด็กอยากทำละคร ก็หาคนมาช่วยทำละคร เด็กอยากร้องเพลง พี่เลี้ยงหาครูมาช่วยคิดทำนองให้” บังพงษ์อธิบาย 

ขณะที่ ผอ.สุทธิ กล่าวยืนยันว่า

“อย่าเชื่อว่าเราต้องใช้ครูในราชการอย่างเดียว มีครูนอกโรงเรียนอีกเยอะ มีภูมิปัญญาอีกมาก มีอีกหลายภาคส่วนเข้ามาทำตรงนี้ได้ และถ้าเรามองเป้าเดียวกัน เล็งไปที่เด็กและเยาวชน และมองว่าต่างเป็นเจ้าภาพร่วม เชื่อว่าพลังเหล่านี้จะถูกหนุนเสริมและสานต่อได้”

ถึงตรงนี้ หลายคนอาจตั้งคำถาม โครงการดังกล่าว ‘จริง’ หรือไม่ ถ้าจริง เป็นจริงกับเด็กนอกระบบกี่เปอร์เซ็นต์กัน? 

จริงหรือไม่ และจริงกับเด็กกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าวัดเป็นคำตอบเชิงปริมาณ ความจริงที่ว่าคงไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่หลุดออกนอกระบบทั้งหมด แต่หากวัดผลเชิงคุณภาพ เสียงสะท้อนผ่านน้ำตาของผู้ปกครองในวันงาน กระทั่งรอยน้ำตาและเสียงสะอื้นจากเด็กผู้ชายตัวโตๆ ในช่วงถอดบทเรียน อาจถูกบันทึกและวัดค่าในระเบียบวิจัยได้ 

เสียงสะท้อนจากอดีต ‘ราชาน้ำท่อม’

กีรีน-สากีรีน เส็นสมมาตร จากโครงการศึกษาความเปลี่ยนแปลงของป่าชายเลน บ้านท่าน้ำเค็มใต้ และ อันวาร์ นาเคณฑ์จากโครงการหาแนวทางสร้างการเรียนรู้ด้านดนตรีปันจักสีลัตชุมชนบ้านทุ่ง คือวัยรุ่นสองคนจากเยาวชนร่วมร้อยในโครงการ active citizen และเป็นอดีตวัยรุ่นที่เข้าข่าย ‘ราชาน้ำท่อม’ อย่างที่บังพงษ์กล่าวไว้ 

ทั้งคู่คือเยาวชนที่ออกจากระบบการศึกษา เคยมีประวัติเสพยา และเป็นนักบิด (ชาวบ้านเรียกว่า ‘แว้น’) วันนี้พวกเขาไม่ได้มองว่าอดีตเหล่านั้นเป็นเรื่องน่ารังเกียจ กลับกัน พวกเขาใช้ประวัติศาสตร์ของตัวเองยืนยันว่าการเปลี่ยนเพื่อทำให้เส้นทางอนาคตทอดไกลและมั่นคงกว่า ทำได้จริงถ้ามีคนให้โอกาส

กีรีนเล่าว่า 5 ปีก่อนใช้สารเสพติด น้ำท่อมคือยาประจำตัว เมื่อมีโครงการ ‘คนรักท่าแพ’ พัฒนาป่าชายเลนเข้ามาชักชวนให้เป็นหนึ่งในทีมทำงาน และเนื่องจากกีรีนและพ่อมีอาชีพประมงป่าชายเลนอยู่แล้ว การเข้าไปร่วมวงทำงานจึงไม่ใช่สิ่งที่เขาลังเล แต่กีรีนไม่ได้เดินเข้าไปทันที เพียงแต่เข้าไปทำเมื่อจังหวะอำนวย 

ปีแรกของการทำงานเขาไม่ได้เลิกยา แต่เมื่อคนทำงานไม่รังเกียจ ทำงานให้เห็นเป็นต้นแบบ และสนับสนุนให้เค้าทำงานและช่วยให้เลิก จึงเป็นเหตุให้กีรีนถอนตัวจากสารเสพติดในที่สุด 

“ลูกชายของป้าผมเคยติดยา ประธานเยาวชนคนแรกเค้ามาชวนให้พี่ผมเข้าร่วมโครงการจนเลิกได้ เราอยากทำให้ได้เหมือนพี่คนนี้ พอเลิกได้ เราก็อยากชวนคนอื่นเลิกให้ได้เหมือนที่เราอยู่ในจุดนี้ด้วย” กีรีนเล่าและอธิบายว่า พอเข้าไปทำงานจึงได้พบเห็นคนอีกหลายกลุ่ม นั่นเป็นจุดเล็กๆ ที่ทำให้เห็น ‘คนต้นแบบ’ ของตัวเอง 

เพราะเคยใช้สารเสพติด (ที่เขาจำกัดความว่า ‘หนัก’) และเลิกได้ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ใครต่อใครเรียกเขาว่า ‘ท่านนายกเยาวชน’ กีรีนใช้ฐานใจในฐานะอดีตสมาชิกน้ำท่อมสร้างเครือข่ายวัยรุ่นแบบฉบับของตัวเอง เป็นเพื่อนกับสมาชิกเหล่านั้นเพื่อชวนให้เข้ามาเปลี่ยนแปลงและทำงานชุมชนได้ ทั้งยังเป็นคนที่เชื่อมต่อกับกลุ่มทำงานผู้ใหญ่ เช่น พี่เลี้ยง และ โหนดได้ด้วย 

ประสบการณ์จาก ‘ราชาน้ำท่อม’ และ ‘สิงห์นักบิด’ อีกคนคือ อันวาร์ เส้นทางชีวิตของเขาคล้ายกีรีน คือใช้สารเสพติดและแว้นรอบเมือง ต่อเมื่อโหนดในชุมชนเริ่มทำงาน พี่เลี้ยงเริ่มเข้ามา ‘หาเด็ก’ อันวาร์คือหนึ่งในคนที่พี่เลี้ยงในชุมชนสนใจ และชักชวนให้เข้าโครงการเรียนรู้ด้านดนตรีปันจักสีลัตชุมชน (ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า)

จากคนที่ไม่เข้าร่วมประชุมในครั้งแรก (เพราะหลับ!) กลายเป็นผู้ประสานงานหลักของโครงการตัวเอง ความรับผิดชอบคือสิ่งที่อันวาร์ให้ความสำคัญ น้ำท่อมจึงถูกลืม ความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะกับ ม๊ะ หรือ แม่ของอันวาร์ดีขึ้นอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ 

ม๊ะสะท้อนว่า ช่วงที่ลูกชายใช้สารเสพติด คนในหมู่บ้านต่อว่าคนเป็นแม่ สถานการณ์ในบ้านมีแต่ความเคร่งเครียด โดยเฉพาะความสัมพันธ์พ่อลูก ม๊ะถึงกับน้ำหนักลดไปหลายกิโลกรัม 

“เขาอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมาก (เน้นเสียง) รอบบ้านไม่เหลือใครเลย มีลูกเพื่อนอยู่สองสามคน (ที่ไม่ใช้ยา) ม๊ะเหมือนจะเสียคนไปเลยกับการต่อสู้ มันท้อเหมือนกันเนอะ… คนเป็นแม่

“จนวันหนึ่งมีประชุมโครงการ จากที่เคยฟังลูกเล่าว่าไปทำอะไรมา เราคิดว่าสิ่งที่ลูกทำเป็นสิ่งเล็กๆ แค่ไปเข้าค่าย วันนั้นเป็นครั้งแรกของม๊ะที่ได้เข้าไปประชุมกับลูก ม๊ะก็นั่งฟัง ‘อ๋อ… นี่เอง ที่ลูกไปเข้าค่าย’ ม๊ะได้นั่งฟัง พี่เลี้ยงพูด ที่บังเชษฐ์ (พิเชษฐ์ เบญจมาศ ผู้ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จังหวัดสตูล) พูด มันรู้สึกมีความหวัง เหมือนมีแสงสว่างในใจของแม่ (ยิ้ม) ว่าถ้าลูกเราจับสิ่งนี้สำเร็จ มันต้องมีอะไรสักอย่างเกิดในตัวเขา

“เรามองลูกเราทุกวัน ลูกเราไม่ได้โง่ ลูกเราแค่ยังหาตัวเองไม่เจอ แม่ก็มีศรัทธาแบบนั้นนะ ถ้าลูกเราค้นหาตัวเองเจอ มันต้องดีกว่านี้ พอเขาได้รับโครงการนี้ เขาหมกมุ่นกับเรื่องนี้ เมื่อเช้า (วันเตรียมงาน) เขาเครียดนะ ร้องไห้เลย เดินมากอดม๊ะ เขาบอก ‘ผมไม่ไหว ผมทำไม่ได้’ ม๊ะบอก ‘ผมทำเต็มที่แล้ว ได้แค่ไหนแค่นั้น สิ่งที่ผมทำเต็มที่ นั่นดีที่สุดแล้ว นี่แค่ก้าวแรกของเราเอง’” วันนี้ม๊ะเล่าโดยไม่มีน้ำตา มีแต่รอยยิ้ม 

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ตัวอย่างของเสียงสะท้อน ผลลัพธ์ที่ประเมิน ‘ความจริง’ ไม่ได้ในเชิงปริมาณ แต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่ทำนอกสถานศึกษา ทำนอกห้องเรียน ย่อมเกี่ยวเด็กๆ ที่ถูกมองว่า ‘ไม่ได้เรื่อง’ ให้ ‘เป็นเรื่อง’ ขึ้นมาได้ และมันมีคุณค่าต่อชีวิตเล็กๆ หลายคน 

“คำว่าพลเมือง ผมคิดว่ามันคือ ‘พลัง’ ของเมือง แต่ที่ผ่านมาพลเมืองเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นภาระของเมือง เริ่มต้นเลย คือการเปลี่ยนมุมมองของผู้ใหญ่ เปลี่ยนจาก ‘ภาระ’ เป็น ‘พลัง’ และมีแต่ ‘โอกาส’ และ ‘อำนวย’ เท่านั้นที่จะสร้างพลเมืองขึ้นมาได้” เสียงของบังพงษ์กล่าวปิดท้ายงาน

Tags:

project based learningอีเวนต์Research Base Learning(RBL)สตูลสมพงษ์ หลีเคราะห์สุทธิ สายสุนีย์active citizen

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    “นาข้าวอัลฮัม” โรงเรียนรู้ของเยาวชนที่ตำบลเกตรี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    โรงเรียนอนุบาลสตูล ที่นี่เด็กๆ เลือกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningCharacter building
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

  • Creative learning
    ชวน ‘ราชาน้ำท่อม’ ไปปลูกป่าด้วยวิถีวิจัย การศึกษาที่ชุมชนออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

“เจอปัญหาแล้วสู้ ไม่ดูดาย” คืนสปิริตลำพูนสู่เยาวชน
Creative learning
7 February 2019

“เจอปัญหาแล้วสู้ ไม่ดูดาย” คืนสปิริตลำพูนสู่เยาวชน

เรื่องและภาพ The Potential

  • ‘สืบฮีต สานฮอย ฮ้อยกำกึ๊ด คนฮักหละปูน’ งานบุญประจำปีชาวหละปูน ที่คนทำงานแอบผลักประเด็นพลังเยาวชนหละปูนเข้าไป หนึ่งในความตั้งใจของคนทำงานคือต้องการสื่อสารถึงพลังเยาวชนให้กับผู้ใหญ่ใจดีได้รู้และร่วมกันผลักดันทำงานต่อ ขณะเดียวกัน ก็หวังอยากส่งต่อและเห็น ‘สปิริต’ ให้ละอ่อนลำพูนสืบสานต่อไป
  • 15 โครงการ 8 พื้นที่ คือโครงการจากประชากรเยาวชนที่จัดแสดงในงานวันนั้น ไม่ใช่แค่การเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้ปล่อยของ แต่เป็นพื้นที่ให้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เรียนรู้จากกันและกันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ด้วย

งาน ‘สืบฮีต สานฮอย ฮ้อยกำกึ๊ด คนฮักหละปูน’ ครั้งที่ 2 คืองานประจำจังหวัดที่รวมเอางาน “บุญตานข้าวใหม่ ปู๋จาพระธาตุเจ้าหริภุญชัย” และงาน “พลังเยาวชนคนหละปูน” จัดขึ้นพร้อมกัน ณ วัดพระธาตุหริภุญชัยวรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน ณ วันที่ 19-20 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา ภายใต้โครงการพัฒนาองค์กรระดับจังหวัดเพื่อสร้างพลเมืองเยาวชน นับเป็นการจับมือร่วมกันทำงานหลายภาคส่วน นำโดย สถาบันวิจัยหริภุญชัย มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ มูลนิธิสยามกัมมาจล

แม้เป็นงานบุญประจำปี แต่ผู้จัดก็ซ่อนโจทย์ไว้ในงาน นั่นคือ การส่งต่อ ‘สปิริตลำพูน’

‘สปิริตลำพูน’ ในที่นี้หมายถึงจิตวิญญาณของความเป็นคนลำพูน การรู้จักและภูมิใจในรากเหง้า เห็นคุณค่าของภูมิปัญญา ฮีตฮอย และการไม่นิ่งดูดายต่อปัญหาของบ้านเมือง

แต่การส่งต่อ ‘สปิริต’ นั้นไม่ง่ายเพราะปัจจัยความเปลี่ยนแปลงทั้งภาวะความเป็นเมืองที่ต่างคนต่างอยู่และทำงาน เมืองอุตสาหกรรม ปัญหาสารเคมี การเกษตร สิ่งแวดล้อม ปัญหาการศึกษา และความมั่นคงในครอบครัว

ท่ามกลางปัญหาเหล่านี้ คำถามคือ ผู้ใหญ่จะส่งต่อ ‘สปิริตลำพูน’ ที่ไม่นิ่งดูดาย ให้เยาวชนลุกขึ้นมาร่วมรับผิดชอบอย่างไร?

“ต้องเล่าก่อนว่า เดิมทีวัดพระธาตุหริภุญชัยฯ จะมีพญาข้าวเปลือกอยู่คู่กับวัดพระธาตุ แต่พญาข้าวเปลือกนี้หายไปเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ปีที่แล้วเราจัดทำพญาข้าวเปลือกขึ้นใหม่ซึ่งทำจากไม้ขนุน และได้ฟื้นฟูประเพณีการแห่พญาข้าวเปลือกขึ้น ซึ่งจะจัดขึ้นทุกๆ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือนสี่เป็ง

“ถามว่าทำไมปีนี้จึงชูงานเยาวชนขึ้นร่วมกับงานตานข้าวใหม่นี้? ต้องเล่าอีกเช่นกันว่า เดิมทีสถาบันหริภุญชัยทำงานกับละอ่อนในนามเครือข่ายเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูนอยู่แล้ว แต่การทำงานขาดหายไปเพราะเด็กๆ โตขึ้น การเชื่อมต่อระหว่างกันก็หายไประยะหนึ่ง พอทางโครงการ active citizen เข้ามาชวนมูลนิธิฯ ให้ร่วมทำงานด้านเยาวชน จึงเอื้อให้เราได้กลับมาฟื้นฟูเครือข่าย และถือเป็นโอกาสดีที่จะสานต่อโครงการ

“อีกประเด็นคือ และเพราะเมืองลำพูนเองได้ชื่อว่าเป็นเมืองอายุยืน เป็นเมืองที่มีผู้สูงอายุมากติดอันดับต้นๆ ของประเทศ เป็นโอกาสอันดีที่จะสร้างเด็กรุ่นใหม่ขึ้นมาทำงาน” คือคำอธิบายถึงจุดประสงค์และที่มาที่ไปของงานมหกรรม จากหนึ่งในแม่งานอย่าง วันเพ็ญ พรินทรากุล ผู้ประสานงานศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดลำพูน

ในฐานะแม่งาน ผู้ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดลำพูน หรือที่เรียกว่า ‘โหนด’ จังหวัดลำพูน คนทำงานกับเยาวชนและพี่เลี้ยงมาตั้งแต่จุดสตาร์ท วันเพ็ญเล่าว่าการเดินทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะไม่ใช่การทำงานกับเยาวชนที่มีแต้มต่อทางสังคม

“เด็กที่ทำโครงการกับเรา เป็นเด็กกลุ่มเสี่ยงราว 80 เปอร์เซ็นต์ เด็กที่เรียบร้อยหรือพร้อมหน่อย มีแค่ 10-20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เราจึงหวังว่าโครงการนี้จะไปสร้างโอกาส สร้างพื้นที่ สร้างภูมิคุ้มกันบางอย่างให้กับละอ่อนได้” วันเพ็ญอธิบาย

15 โครงการ 8 อำเภอ คือโครงการและประชากรเยาวชนที่มาจัดแสดงงานในวันนั้น แม้ 80 เปอร์เซ็นต์ของเด็กในโครงการจะเป็นเยาวชนที่วันเพ็ญห่วงใยเป็นพิเศษ แต่พลังที่เด็กๆ แสดงในวันนี้ เข้าตาและได้ใจผู้ใหญ่หลายคนในงาน

“มันสนุกมากที่ได้ยินน้องๆ ทุกพื้นที่เล่าให้ฟังว่าทำไมเขาถึงทำ มันยากไหม สนุกตรงไหน เรียนรู้อะไร จบโครงการแล้วจะทำอะไรต่อ แววตาที่เป็นประกายของน้องๆ ทำให้เรารู้เลยว่าหน้าที่ของผู้ใหญ่อย่างเราคือการทำให้คนรุ่นใหม่มีประกายตาแห่งความสนุก ตื่นเต้น ภาคภูมิใจแบบนี้

“สำหรับสังคมไทย เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นอกจากทำให้สังคมนี้เป็นสังคมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาศักยภาพเด็กเยาวชนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย ที่พวกเขาจะได้เติบโตและใช้ศักยภาพของเขาได้เต็มที่” ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. สะท้อนบนเวทีเปิดการแสดงตอนกลางคืน

ขณะที่ ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล กล่าวเช่นกันว่า “อยากแสดงความยินดีกับคนจังหวัดลำพูนว่าท่านมีลูกหลานที่เก่งกล้าสามารถ ความสำคัญของโครงการที่น้องๆ ทำอยู่ที่ ‘ได้ทำ’ และมันมีความหมายเนื่องจาก ‘ผู้ใหญ่ทั้งหลายให้โอกาส’

“น้องๆ ได้เรียนรู้ชุมชนของตัวเอง จากที่เคยเห็นก็มาทำความเข้าใจ และจากที่เข้าใจก็เลือกโครงการมาทำจนสำเร็จ หลายโครงการอยากจะเลิกหลายรอบ เจอปัญหาแต่ก็สู้และอดทน เราอยากเห็นคนรุ่นใหม่ที่เวลาเจอปัญหา แล้วสู้แบบน้องๆ

“และนี่คือเป็นการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่เขาไม่ได้จากในโรงเรียน โจทย์ที่เขาดึงจากชุมชนเป็นโจทย์ชีวิตจริงแท้ๆ เราได้เรียนรู้กับมัน การที่จะต้องแก้ปัญหาก็เป็นการแก้ปัญหาจากเรื่องจริง สำเร็จจริง และเอามาใช้ประโยชน์ได้จริงในชุมชน”

คีย์เวิร์ดเรื่อง ‘คนรุ่นใหม่’ และ ‘การเรียนรู้ในศตวรรษที่21’ คือโจทย์เดียวกับที่คนทำงานอย่างวันเพ็ญเห็น อย่างที่เธอให้นิยามว่า ‘ละอ่อนทุกวันนี้ แม้นั่งอยู่กับที่ แต่เขาไปทั่วโลก’ คุณูปการของโครงการนี้สำหรับเธอ จึงเป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้ใหญ่ได้เรียนรู้โลกของเด็ก และยังเป็นพื้นที่ให้ละอ่อนเอง ก้าวเข้ามาเรียนรู้วิธีคิดของผู้ใหญ่ เพื่อหวังว่านั่นจะเป็นโอกาสในการส่งต่อ ‘สปิริต’ ชาวหละปูนต่อไป

“เราทำงานกับเยาวชนมาเกือบปี นอกจากเห็นว่าเขามีศักยภาพอย่างไร ยังเป็นโอกาสของผู้ใหญ่อย่างเราด้วยที่จะใช้พลังเยาวชนมาหนุนเสริมและสืบทอดประเพณี”

ความคาดหวังของวันเพ็ญบรรลุผลแน่นอน หลักฐานคือจากทั้งหมด 15 โครงการ ละอ่อนหละปูนทำโครงการเกี่ยวกับวัฒนธรรมอยู่ 12 โครงการ ที่เหลืออีก 3 โครงการเป็นประเด็นทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

ด้าน ชีวัน ขันธรรม หัวหน้าโครงการและผู้จัดการมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อท้องถิ่น หนึ่งในทีมพัฒนาเยาวชน ‘โหนด’ จังหวัดลำพูน กล่าวถึงความคาดหวัง

“เราคาดหวังจากงานมหกรรมไว้สองส่วน ส่วนแรก-เราต้องการสร้างการเรียนรู้ในการบริหารจัดการเรื่องยากและใหญ่ ซึ่งจริงๆ แล้วมันใหญ่เกินตัวเขานะ มันไม่ใช่การทำงานแค่คนหรือสองคน แค่ทีมหรือสองทีม แต่เป็นงานใหญ่ที่เยาวชนทั้ง 15 พื้นที่เข้ามาช่วยกันทำงาน ยิ่งงานใหญ่ก็ยิ่งยาก ซึ่งผมคิดว่างานแบบนี้เหมาะเป็นแบบฝึกหัดสำหรับเด็กในช่วงท้ายโครงการ หลังจากที่เขาผ่านการเรียนรู้ในโครงการของแต่ละโครงการมาแล้ว

“สอง-ต้องการ ‘สื่อสาร’ พลังและสาระจากฝีมือของเด็ก พวกเขาต้องสื่อสารการทำงานตั้งแต่เริ่มพัฒนาโครงการจนกระทั่งจบโครงการ เด็กๆ ต้องสื่อสารให้คนลำพูน ทั้งผู้ใหญ่ เครือข่ายภาคีที่ทำงานเยาวชน สื่อสารที่มาในงานให้เขาเห็นพลังและศักยภาพตรงนี้ ซึ่งเราหวังว่า นอกจากเห็นผู้ใหญ่ใจดีมาเห็น ยังอยากเข้ามามีส่วนร่วมกับเราด้วย”

ชีวันกล่าวถึงงานเบื้องหลังมหกรรมที่สำคัญอีกส่วน ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน ‘กลไก’ การทำงานของเด็กและเยาวชน คือ ‘พี่เลี้ยง’

“แม้งานนี้จะเป็นงานเยาวชน แต่กระบวนการพัฒนาที่เราทำคู่ขนานไปกับเยาวชน คือการพัฒนาศักยภาพพี่เลี้ยงไปด้วย การที่พี่เลี้ยงจะหนุนเด็กให้เกิดการเรียนรู้และบรรลุคุณลักษณะที่วางไว้ ต้องมีการออกแบบ ดีไซน์ ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาพี่เลี้ยงไม่น้อยกว่าการพัฒนาเยาวชนเลย จะถือว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งในบทเรียนงาน active citizen ลำพูนปีที่หนึ่งเลยก็ว่าได้” ชีวันกล่าว

‘สืบฮีต สานฮอย ฮ้อยกำกึ๊ด คนฮักหละปูน’ คืองานบุญประจำปีชาวหละปูน ที่คนทำงานแอบผลักประเด็นพลังเยาวชนหละปูนเข้าไปด้วย หนึ่งในความตั้งใจของคนทำงานคือต้องการสื่อสารถึงพลังเยาวชนให้กับผู้ใหญ่ใจดีได้รู้และร่วมกันผลักดันทำงานต่อ ขณะเดียวกัน ก็หวังอยากส่งต่อและเห็น ‘สปิริต’ ละอ่อนหละปูนไปด้วย

งานนี้ ปลุกพลังชาวลำพูนได้จริงมั้ย? – เราถาม

“ในระดับพื้นที่ พี่ว่ามันสร้างความตื่นตัวให้คนในชุมชนได้พอสมควรนะ แรกๆ มันอาจไม่เห็นอะไรเลย ไม่เห็นแกนนำ ไม่เห็นพี่เลี้ยง แต่ท้ายที่สุดมันส่งพลัง พอคนหนึ่งเข้ามาจัดการ ก็ส่งพลังให้คนอื่นมาจัดการต่อ ผู้ใหญ่ในชุมชนอยู่นิ่งไม่ได้

“อย่างคนที่มาในวันนี้ เฉพาะคนที่มาดูเด็กฟ้อนก๋ายลาย บ้านนั้นก็มากันเกือบสี่สิบคน ครูยกกันมาเกือบทั้งโรงเรียน จากเดิมที่ครูบอกว่า ‘ไม่เอาแล้ว เหนื่อย ไม่อยากทำแล้ว’ แต่พอเห็นเด็กตั้งใจ เด็กอยากทำ ไม่มีใครมาส่งก็ร้องได้ แบบนี้มันสร้างพลังนะ เด็กๆ อยู่ไกลจากที่จัดงานไปสองร้อยกว่ากิโล ก็ไม่เป็นไร เราไปรับมาเอง

“เราเห็นการเปลี่ยนแปลงกับเด็กบางคน จากที่ไม่เคยสนใจ จากที่แสบๆ แค่เห็นเขาเปลี่ยนแปลง รับผิดชอบสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ก็สร้างความภูมิใจให้กับเรา ไม่น่าเชื่อนะ (หัวเราะ)”

ขณะที่ชีวันตอบคำถามเดียวกันว่า “ความคาดหวังที่ตั้งใจไว้ก่อนทำงานและคิดว่าบรรลุผล คือการเปลี่ยนแปลงในตัวเยาวชนลำพูน เห็นหลายคนกลับมาสนใจเรียนรู้บ้านตัวเอง ภาคภูมิในชาติพันธุ์ ภาคภูมิในภูมิปัญญา แต่สิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดตั้งแต่แรก แต่มาเห็นชัดขึ้นในภายหลัง คือ ‘กลไก’ ที่จะขยับงานเยาวชนจังหวัดลำพูนต่อไป”

เราได้แต่ช่วยกันหวังว่า จะเห็นงาน ‘ละอ่อนหละปูน’ เป็นที่ที่สอง สาม สี่ … และเกิดขึ้นกับหลายภูมิภาคทั่วไทย

Tags:

active citizenproject based learningศิลปหัตถกรรม

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    หน้าร้อนสานเข่งใส่หอม หน้าฝนสานตระกร้าเก็บเห็ด: วิชาของเด็กบ้านสันตับเต่า

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชุมชน : เด็กๆ สงสัย คิดค้น และเขียนด้วยตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ที่บ้านไม้สลี เด็กๆ ที่นี่ ปั่นฝ้าย ย้อมสี และทอผ้า ใส่กันเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Learning Theory
    เรียนอย่างไรให้ ‘ความรู้ท่วมหัว ยังเอาตัวรอด’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

มนุษย์นักเรียนกับสิ่งที่ไม่เคยบอก
Dear Parents
7 February 2019

มนุษย์นักเรียนกับสิ่งที่ไม่เคยบอก

เรื่อง

  • 1 ใน 6 เสียง ของเด็กนักเรียนชั้น ม.ปลาย บอกในสิ่งที่ไม่เคยบอกว่า “อยากขอแค่เวลาว่างมากขึ้น เพราะเวลาว่างหลักๆ ใช้ไปกับการเรียนซะส่วนใหญ่ ถ้าคิดๆ ดูก็ใช้ชีวิตกับการเรียนไปแล้ว 60 เปอร์เซ็นต์”
  • วันหยุด-ที่ไม่เคยได้หยุด เพราะเด็กๆ ต่างเห็นตรงกันว่าทุกเวลา ‘มีค่า’ ถ้าเลือกได้จึงขอใช้เวลาเหล่านี้ทุ่มไปกับการเรียนพิเศษ หาความรู้เพิ่มเติม มากกว่าไปเที่ยวเล่น
  • คำถามที่ตามมาคือ ทำไมแค่การเรียนในห้องเรียนถึงไม่เพียงพอ? ทำไมเด็กๆ ถึงใช้เวลาในสถาบันเรียนพิเศษใกล้เคียงกับเวลาในห้องเรียนหลัก
เรื่อง: ชนม์นิภา เชื้อดวงผุย/อสรา ศรีดาวเรือง

ถ้าพูดถึงช่วงเวลาวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดตามเทศกาลสำคัญต่างๆ นั่นคงจะหมายถึงช่วงเวลาที่ทุกคนมักใช้ไปกับการพักผ่อน ไม่ขอแบกรับข้อมูลอะไรมาใส่ในหัวอีก แต่ช่วงวันเหล่านี้กลับดูเหมือนเป็นเพียงแค่วันธรรมดาของเด็กหลายๆ คน เพราะยังมีเด็กนักเรียนบางกลุ่มที่พวกเขาใช้วันเวลานอกโรงเรียนไปกับการเรียนพิเศษเพื่อช่วงชิงเก้าอี้ในคณะและมหาวิทยาลัยที่ใจหวัง แม้กระทั่งวันเด็กในช่วงต้นปีที่ผ่านมา พวกเขายังคงมุ่งหน้าไปเรียนด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป บ้างก็เพราะกังวลว่าการสอบ GAT-PAT จะถูกเลื่อนให้เร็วขึ้น บ้างก็ลืมไปแล้วว่าวันเด็กเคยสนุกอย่างไร

เวิ้งหนึ่งในย่านลาดพร้าว เราพบกับเหล่านักเรียนจากหลากหลายสถาบันที่มุ่งหน้าจากโรงเรียนเพื่อมาเรียนพิเศษอีกครั้งในช่วงเย็นของวันธรรมดา หมุดหมายคือ ‘วิสุทธานี’ เวิ้งที่รวบรวมสถาบันการเรียนการสอนที่เด็กๆ สามารถเลือกลงคอร์สวิชาตามความสนใจ เพื่อนำไปต่อยอดการเรียนและการสอบสู่ความฝันในอาชีพที่พวกเขาตั้งใจไว้ เราพบนักเรียนตั้งแต่เด็กมัธยมต้นที่กำลังค้นหาตนเอง ไปจนถึงเด็กมัธยมปลายที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมสอบ GAT-PAT ที่ถูกเลื่อนมากระชั้นขึ้น

ใช่ พวกเขาคือเด็กที่กำลัง พยายาม เพื่อสร้างความปลอดภัยในอนาคตที่กำลังจะมาถึง และใช่อีกนั่นแหละที่พวกเขาคือเด็กที่เลือกและถูกเลือกให้ละทิ้งช่วงเวลาในแบบที่เด็กๆ หลายคนมี

The Potential จึงอยากชวนมาฟังเสียงของเด็กๆ กลุ่มนี้ เสียงที่พวกเขาไม่เคยพูด หรือเคยพูดไปแล้ว ผู้ใหญ่ไม่ได้รับฟัง

นายเตชินท์ เพชรา อายุ 16 ปี (ปันปัน)
โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
คณะที่อยากเรียน: บัญชี หรือ นิติศาสตร์
ปันปัน – เริ่มเรียนพิเศษตั้งแต่ชั้น ป.4 จนตอนนี้ย่างเข้าสู่ชั้น ม.4 ความที่ปันปันมีทักษะของการเรียนเลข บวกกับครอบครัวที่มีพี่ชายเรียนนิติศาสตร์และคุณพ่อที่ทำงานในศาลปกครอง ทำให้ ปันปัน มีความสนใจในสาขาวิชานิติศาสตร์และบัญชี แม้ส่วนหนึ่งในตัวเลือกอาชีพของปันปันจะได้รับอิทธิพลจากครอบครัว แต่ปันปันก็ไม่ได้รู้สึกว่านั่นคือกรอบ กลับกันเขามีความพยายามที่จะค้นหาตัวตนผ่านความฝันที่ตั้งไว้ทั้งสอง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีเสียงที่อยากส่งไปสู่ครอบครัวเช่นกัน

“อย่าเปรียบเทียบการเรียนของเรากับเด็กคนอื่น มันทำให้ตัวผมรู้สึกไม่เก่ง เรื่องการเรียนการสอนก็อยากบอกว่าอย่าคิดว่าเด็กรู้ทุกเรื่องแล้ว ปล่อยให้เราตะลุยโจทย์อย่างเดียว เพราะบางคนก็ยังไม่เคยเรียนมาก่อน”

นายณัฐภัทร มั่นเจริญโชติ อายุ 16 ปี (อันดา) 
โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
คณะที่อยากเรียน: แพทยศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
อันดา – อีกหนึ่งเด็กหนุ่มที่เริ่มเรียนพิเศษด้วยเพราะอยากเสริมทักษะวิชาการเพื่อความฝันในการเป็นแพทย์หรือวิศวกร ด้วยความฝันของอันดาทำให้เขาเลือกที่จะสละเวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปกับการเรียน ทั้งในรั้วของโรงเรียนและในห้องเรียนพิเศษ “อยากเรียนแพทย์ไม่ก็วิศวะ เพราะเราคิดว่าเป็นอาชีพที่มั่นคงดี อาชีพที่มั่นคงสำหรับเราคงเป็นอาชีพเกี่ยวกับความสวยความงามหรือศัลยแพทย์ เพราะคนเดี๋ยวนี้ชอบดูแลตัวเอง แต่ผมอยากเป็นแพทย์ แต่จะแพทย์อะไรค่อยเลือกอีกที”

อันดาก็คืออีกหนึ่งคนที่มีเสียงอยากจะส่งต่อไปยังคนรอบข้าง และครอบครัว

“อยากให้มีเวลาว่างมากขึ้น เพราะเราไม่ค่อยมีเวลาว่าง หลักๆ เราใช้เวลาไปกับการเรียนซะส่วนใหญ่ ถ้าคิดๆ ดูก็ใช้ชีวิตกับการเรียนไปแล้ว 60 เปอร์เซ็นต์ อาทิตย์หนึ่งเราเรียนแทบทุกวัน แต่ละวันเราเลิกเรียนประมาณหนึ่งทุ่ม มันค่อนข้างเหนื่อย”

นางสาวธัญสุดา ประเสริฐวิทยา ม.4 (บุ๊ค)
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
คณะที่อยากเรียน: แพทยศาสตร์
บุ๊ค – ด้วยความถนัดทางทักษะวิทย์-คณิต บุ๊คจึงเริ่มความฝันในการเป็นหมอมาตั้งแต่เด็ก และมุมานะในการเรียนโดยนอกจากเรียนในห้องเรียนแล้ว หลังเลิกเรียนเธอจึงขอครอบครัวมาเรียนพิเศษ ทั้งช่วงเย็นของวันธรรมดาและบางครั้งในวันเสาร์อาทิตย์ “หนูขอครอบครัวมาเรียนพิเศษอาทิตย์ละประมาณสามวัน และอ่านหนังสือหนักมากในช่วงสอบ เพราะหนูอยากเป็นหมอมาตั้งแต่เด็กๆ แต่พอโตขึ้นก็เริ่มไม่แน่ใจเพราะยากมาก”

ก่อนหน้าวันเด็กหนึ่งวัน เราได้มีโอกาสชวนบุ๊คคุยถึงเรื่องการเรียน ความฝัน และวันที่เธอต้องการจากครอบครัว “ถ้าให้บอกอะไรกับผู้ใหญ่ ก็คงอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆ บ้าง อยากไปภาคเหนือภาคใต้ หนูแค่อยากไปเที่ยวไกลๆ นอกจากการไปเที่ยวห้างที่อยู่แค่ในกรุงเทพฯ ไปเที่ยวกับใครก็ได้ แต่จริงๆ อยากไปกับครอบครัวมากกว่า เพราะหนูไม่ต้องเสียเงินเองค่ะ”

นายก้องภพ ระดมสุข ม.4 (ก้อง)
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
คณะที่อยากเรียน: วิศวกรรมศาสตร์
ก้อง – ด้วยความฝันที่อยากเป็นวิศวกร ก้องจึงมาเรียนพิเศษที่นี่เช่นเดียวกับบุ๊ค ในหนึ่งวันเขาใช้เวลาช่วงเช้าจนเกือบถึงช่วงเย็นไปกับการเรียนรู้ในโรงเรียน และช่วงเย็นถึงค่ำไปกับการเรียนในห้องเรียนสอนพิเศษ คล้ายๆ กับเพื่อนๆ หลายคนในห้องเรียนที่ต่างก็เรียนพิเศษเช่นกัน ชีวิตเด็กนักเรียนในกรุงเทพฯ ของก้อง ทำให้เขาถูกฝึกจากครอบครัวในเรื่องของการใช้เงินโดยเริ่มจากการฝึกให้เงินเป็นรายอาทิตย์จนถึงรายเดือน การถูกฝึกเช่นนี้ทำให้เขาได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดจากการจัดการกับเงินและเรียนรู้ที่จะแก้ไข ก้องจึงอยากส่งเสียงไปยังครอบครัว ในเรื่องที่เขาไม่ค่อยได้กล้าบอก

“สำหรับผม คงเป็นเรื่องเงิน เพราะผมได้เงินเป็นรายเดือน บางเดือนก็ถูกหักไปกับค่านั่นนี่ ผมอยากบริหารจัดการเงินให้ชัดเจนและสม่ำเสมอ ให้เขากำหนดมาเลยว่าจะให้เท่าไร ให้มันตายตัว เพราะผมคิดว่าเราโตพอที่จะจัดการกับมันได้”

นายคณิน พงษ์ชนวงศ์ อายุ 17 ปี
โรงเรียนอุดมศึกษา (ลาดพร้าว)
คณะที่อยากเรียน: วิศวกรรมศาสตร์ (โยธา)
สองหนุ่มเพื่อนซี้จากชั้น ม.6 คณินและภูวดลแท็กทีมมาเรียนพิเศษที่นี่เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านจากวัยมัธยมสู่รั้วมหาวิทยาลัย และด้วยเหตุการณ์ก่อนหน้านี้จากกระแส #เลื่อนเลือกตั้ง สู่กระแส #ทวงคืนวันสอบ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับเขาทั้งสอง เสียงนี้จึงไม่ใช่แค่เสียงของพวกเขาทั้งสองเท่านั้น แต่เป็นเสียงที่เพื่อนหลายๆ คนในชั้นเรียนของพวกเขา ไปจนถึงเสียงที่เด็ก ม.6 ทั้งประเทศอยากบอกเช่นเดียวกัน

“เรื่องการเลื่อนสอบ GAT-PAT ผมอยากบอกว่าทำอะไรก็นึกถึงลูกๆ หลานๆ พวกเขาเรียกเราว่าอนาคตของชาติ แต่ว่าตอนนี้เขาทำแต่อนาคตของตัวเอง เห็นเพียงอนาคตของตัวเองเท่านั้น”

นายภูวดล พรรณวังชี อายุ 17 ปี
โรงเรียนอุดมศึกษา (ลาดพร้าว)
คณะที่อยากเรียน: นิเทศศาสตร์
“ผมก็…เหมือนที่เพื่อนพูดแหละครับ ผมพูดไม่ค่อยเก่ง ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่อยากพูดอะไร เพราะพูดไปเขาก็ยังมองเราเป็นเด็กอยู่”

Tags:

ระบบการศึกษาการสอบTCAS

Author:

Related Posts

  • Early childhood
    ไม่ให้สอบเข้า ป.1 แล้วจะให้ทำอย่างไร

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    หลงทางกว่า TCAS คือ การศึกษาที่วนอยู่ในเขาวงกต

    เรื่อง

  • Social Issues
    3 นาทีกับ TCAS

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Dear Parents
    เด็กม.6ก็มีหัวใจ อย่าให้ความหวังของผู้ใหญ่ทับเด็กตาย

    เรื่องและภาพ KHAE

ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล
Voice of New Gen
6 February 2019

ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

เรื่อง

‘ครูพล’ คุณครูวิชาสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน เพราะครูพลเชื่อว่า

1.ครูทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงประเทศ

2. ห้องเรียนคือสนามต่อสู้ทางความคิด ให้เด็กๆ เห็นทางเลือกใหม่ คำตอบใหม่ ที่ไม่จำเป็นต้องมีเพียงหนึ่งเดียว

3. การศึกษาคือเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เด็กๆ คิดและออกแบบสังคม

4. หนังสือหรือตำรา คือ เนื้อหาที่ครูต้องตีความใหม่ กระตุ้นให้เด็กๆ ต้องตั้งคำถาม ถกเถียง และต่อยอด ไม่ย้ำและย่ำอยู่กับของเดิม

และ

5. การศึกษาคือ อำนาจ

อำนาจที่จะ ‘ไม่สอน’ … ครูพล-อรรถพล ประภาสโนบล คิดเช่นนั้น

Tags:

ครูระบบการศึกษาประชาธิปไตยกลุ่มพลเรียนอรรถพล ประภาสโนบล

Author:

Related Posts

  • Social Issues
    เมื่อครู คือ ผู้ทำงานทางการเมือง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

SEX EDUCATION 5 เรื่องกับครูสอญอ มัครินทร์
Social IssuesMovie
6 February 2019

SEX EDUCATION 5 เรื่องกับครูสอญอ มัครินทร์

เรื่อง

เรื่อง: สัญญา มัครินทร์

ภาพยนตร์ทุกเรื่องบนโลกนี้ล้วนมีประเด็นเกี่ยวกับเพศอยู่ในนั้นเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมองเห็นมันในมิติไหน

5 หนังที่เลือกมา เป็นหนังที่กล่าวถึงประเด็นเรื่องเพศ ในช่วงเด็กก่อนวัยรุ่น วัยรุ่นตอนต้น และวัยรุ่น ได้น่าสนใจ พอที่จะให้เราได้กลับมาทบทวน ตั้งคำถามกับตัวเอง หรือถามเอากับสังคมว่า ‘เพศศึกษา’ ควร ‘เป็น’ หรือ ‘อยู่’ อย่างไร ให้เหมาะกับการเปลี่ยนแปลงและวุฒิภาวะของคนในสังคม

รักจัดหนัก Love, Not Yet (ไทย: 2011)

หนังไทยและเป็นหนังวัยรุ่น ดูปีและวันเวลาที่สร้างนั้นผ่านไปเพียง 7 ปี ประเด็นเรื่องเพศ เซ็กส์ และวัยรุ่นในหนังดูเบาบางลงไปหลายเท่า เมื่อสื่อและโลกของยุคสมัยนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ในมิติต่างๆ มากมาย จนเราเองมองว่าประเด็นเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดา เคยชิน และเป็นปกติไปแล้ว

ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าเนื้อหาหรือสารของหนังจะดูอ่อนด้อยเบาบางลงไปตามยุคสมัย เพราะสารที่หนังจะสื่อ ยังคงแข็งแรง ร่วมยุค ร่วมสมัย

รักจัดหนัก ต้องการเล่นประเด็นความรักความสัมพันธ์ของวัยรุ่นที่พูดถึงเซ็กส์อย่างตรงไปตรงมา พูดถึงวัยรุ่นด้วยน้ำเสียงและท่าทีของคนรุ่นเดียวกัน ด้วยสายตาการมองโลกที่ก้ำกึ่งระหว่างความเป็นเด็กและผู้ใหญ่ โดยหนังไม่พยายามเทศน์ บอก หรือสอนอะไรมาก แต่ให้คนดู โดยเฉพาะวัยรุ่นคิดเอง

หนังเล่าเรื่องถึงวัยรุ่น 3 กลุ่ม ผ่านหนังสั้น 3 เรื่อง 3 รส

  • เรื่องที่ 1 ไปเสม็ด  

เมื่อแอนกับวิท คู่รักวัยรุ่น ม.6  ‘ไปเสม็ด’ แล้วก็ ‘เสร็จ’ กันจริงๆ แต่พอกลับมากรุงเทพฯ แล้วเรื่องมัน ‘ไม่เสร็จ’ ง่ายๆ น่ะสิ เพราะแอนสงสัยว่าตัวเองน่าจะท้อง จนเริ่มเครียด จิตตก ส่วนวิทจิตตกยิ่งกว่า เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ต้องไปแข่งขันกีฬาหมากรุก

หนังเล่าเรื่องได้แสบ คัน และเสียดสีดีนัก เมื่อพยายามทำให้วิทเป็นเด็กที่เก่งด้านการใช้ความคิด รู้จักคิดวางแผน ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง เห็นได้จากที่วิท เลือกเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ ตอบคำถามอย่างฉะฉาน สอบสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัยอย่างเป็นผู้ใหญ่ และน่าจะมีชั้นเชิงเพราะเป็นคนเล่นหมากรุกมือรางวัล แต่วิทดันมาตกม้าตายเมื่อมีเซ็กส์แบบไม่รู้จักป้องกัน และไม่ได้คิดไกล (ห่า) อะไรเลย

  • เรื่องที่ 2 เป็นแม่ เป็นเมีย

ม่อนกับอิ๋ง คู่รักหนุ่มนักมวยอนาคตไกลกับสาวสวยดาวโรงเรียน ทั้งคู่อยู่กินด้วยกันและไม่ยอมออกจากบ้านมาหลายเดือนแล้ว เพราะม่อนมันดันไปทำให้อิ๋งท้อง ฝ่ายหญิงเลยอับอายขายขี้หน้าไม่ขอออกจากบ้านจนกว่าจะคลอด แต่วันแห่งความลับก็ถูกเปิดเผย เมื่อคนแห่แหนมาซื้อของในบ้านของอิ๋งที่เป็นร้านอาหารตามสั่งประจำหมู่บ้านช่วงที่แม่และพ่อของเธอไม่อยู่ร้าน

ท่าทีในการเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ ตลกร้ายและขำมากๆ หนังสะท้อนชีวิตจริงที่เราพบเห็นได้ไม่ยาก สำหรับเด็กท้องตั้งแต่อยู่ในวัยเรียน วุฒิภาวะความเป็นเมียเป็นแม่ ก็เอาอะไรแน่นอนไม่ได้หรอกกับวัยแบบนี้ สิ่งที่ตลกร้ายมากกว่าในหนังก็คือ มนุษย์เพื่อนบ้านที่มีความเผือก ทั้ง นักเรียน ครู นักปฏิบัติธรรม นักศึกษา หรือแม้แต่วินมอ’ไซค์ ก็บ้าๆ บอๆ วุฒิภาวะก็พอๆ กับคนที่กำลังจะเป็นแม่และเมีย

  • เรื่องสุดท้าย ทอมแฮ้ง

นัท ทอมสวยหล่อและเป็นนักบาสประจำโรงเรียน ชีวิตพลิกผันเมื่อมีปาร์ตี้บ้านเพื่อน แล้วเธอดั๊นนน… พลาดท่าผิดผีมีอะไรกับเพื่อนผู้ชาย และแจ๊คพ็อต… ดันท้องซะงั้น จากนั้นความดราม่าก็กระหน่ำมาเหมือนพายุปลาบึก เธอต้องตัดสินใจว่าจะเก็บลูกไว้หรือจัดการเอาออก

ซีนแม่ลูกคุยกัน (จินตหรารับบทเป็นแม่) ออกมาเพียงสองซีน แต่บารมีของนางทำให้หนังดูมีพลังและเห็นบทบาทความเป็นแม่ลึกซึ้ง เห็นหัวอกของความเป็นหญิงในฐานะเหยื่อ (จากขี้ปากสังคม) จากอารมณ์ชั่ววูบและสถานการณ์พาไป

การเป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย (นะ) ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องรัก และฮอร์โมนที่ชวนให้กายและใจคึกคักกับเรื่องเซ็กส์ ก็ยิ่งเหนื่อยไปกันใหญ่ จะเอาไงดีล่ะวัยรุ่น งั้นหายใจลึกๆ ดูลมหายใจอุ่นๆ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้วกันเนอะ… จบ.

Tomboy (ฝรั่งเศส: 2011)

ลอร่า เด็กหญิงวัย 10 ขวบ ที่มีความห้าวเหมือนเด็กผู้ชายมาก ทั้งหน้าตา ทรงผม รูปร่าง เธอพึ่งย้ายบ้านมาใหม่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน และลิซ่า คือเพื่อนใหม่คนแรกของเธอ ชวนเธอเข้ากลุ่ม โดยที่เพื่อนใหม่ส่วนใหญ่ในกลุ่มนั้นเป็นผู้ชาย ลอร่าเลือกแนะนำตัวเองด้วยชื่อที่เป็นชายว่า ‘มิคาเอล’

ลิซ่า และลอร่า (ในนามมิคาเอล) เตะบอล แก้ผ้าเล่นน้ำ ถ่มน้ำลาย ชกต่อย ลอร่าเนียนเป็นเด็กผู้ชายได้ดี แต่ก็กระอักกระอ่วนใจไม่น้อยกับธรรมชาติความเป็นหญิงของเธอ โดยเมื่อต้องอยู่กับเพื่อนชายลิงทะโมนและความสัมพันธ์กับเพื่อนหญิงที่เธอหลงรักอย่างลิซ่า เธอ (ลอร่า/มิคาเอล) ต้องเลือกระหว่างปิดบัง หรือเปิดเผยความจริง ก่อนที่ภาคการศึกษาใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น…

เป็นหนังที่พูดถึงเรื่องเพศอีกเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ผ่านตัวละครในวัยเด็กที่ต้องต่อสู้กับความเป็นชายและหญิงในตัวเอง แม้เธอจะมีครอบครัวที่อบอุ่นทั้งพ่อ แม่ และน้องสาว ต่างเข้าใจและเปิดใจรับในธรรมชาติที่เธอเป็น แต่กรอบของสังคมก็ยังมีกรอบเรื่องเพศ* ขีดเส้นแบ่งความเป็น ‘ชาย’ หรือ ‘หญิง’ อยู่ดี

“ถ้าเธอเป็นผู้หญิง แล้วเธอจูบเขามันทุเรศมาก”

“ใช่ มันน่าขยะแขยง”

คือบทสนทนาของเด็กๆ ที่สะท้อนถึงมุมมองต่อเพศสภาพของพวกเขา  

ซื่อสัตย์กับตนเอง – ฉันเป็นใคร หากเรายอมรับและมั่นใจในการเป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เราก็จะได้เป็นในแบบที่เราเป็น

Juno (อเมริกา: 2007)

จูโน เด็ก ม.ปลายสุดเฟี้ยววัย 16 ที่คิดว่าตัวเองโตแล้วนั้น ดันท้องด้วยความบังเอิญจากการมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนสนิทของเธอเป็นครั้งแรก แต่เธอเลือกแล้วที่จะไม่ทำแท้งเหมือนคนทั่วไป จูโนเลือกที่จะอุ้มท้องลูกของตัวเองและมั่นหน้าเดินท้องป่องไปโรงเรียนแบบปกติ ทั้งที่สายตาคนในโรงเรียนไม่ได้มองเธอแบบคนปกติด้วยซ้ำ แต่เธอก็หาได้สนใจไม่ เพราะความเข้าใจและกำลังใจที่ดีจากครอบครัวและคนรอบข้าง ทำให้เธอเด็ดเดี่ยวและหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับลูกของเธอ

เป็นหนังที่พูดถึงคุณแม่วัยใสและการท้องในวัยเรียน ที่ ‘feel good’ มาก นอกจากเราจะเห็นวัฒนธรรมการเปิดกว้างเรื่องเพศของสังคมอเมริกันแล้ว เรายังเห็นทางออกของปัญหาที่เป็นมิตรกับทุกฝ่าย หนังไม่ได้โทษใครหรือหาคนผิด ประเด็นที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ความเป็นวัยรุ่นของจูโนที่มักคิดเสมอว่าตัวเองโตแล้ว รู้ดีทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องของความรักและชีวิตคู่ เธอจึงค่อยๆ ได้เรียนรู้สิ่งนี้ขณะที่กำลังอุ้มท้องตลอด 9 เดือน

“เป็นไปได้มั้ยที่เราจะรักกันตลอดไป?” จูโน ถามพ่อด้วยท่าทีแบบคนที่ผ่านโลกมาน้อย และนั่นอาจจะเป็นจุดที่จูโนได้กลับมาทบทวน และลดอีโก้ของตัวเอง

ย้อนกลับมาดูระบบการศึกษาไทย เราเองก็เปิดโอกาสให้เด็กที่ท้องมาเรียนได้เหมือนกันนะ แต่สภาพจิตใจของคนท้องต้องเข้มแข็งมากๆ เพราะสังคมไทยเรา… เอาเข้าจริงมักจะเหยียบย่ำซ้ำเติมคนที่ผิดพลาด มากกว่าให้กำลังใจหรือให้โอกาสกัน

หรือระบบการศึกษาไทยควรจะปฏิรูปตัวเองในการจัดการเรียนการสอนเรื่องเพศศึกษาอย่างเหมาะสมและทันการณ์ ไม่ต้องมาแก้ปัญหาปลายทางอย่างที่เป็น

15+ ไอคิวกระฉูด (ไทย: 2017)

เอาจริงตอนดูหนังตัวอย่าง เราไม่อยากดูเลยนะ คิดว่ามันคงเป็นหนังไร้สาระ ตลก ทะลึ่ง เอาฮา บันเทิง เบาสมองแน่ๆ แต่เมื่อมีโอกาสได้ดูแล้ว โอเคเลยในฐานะหนังเกี่ยวเพศศึกษาและการข้ามพ้นวัย แบบ ‘coming of age’ แม้ตัวบทหนังและการแสดงจะตั้งใจเล่นใหญ่ ดูขาดๆ เกินๆ และพยายามประดิษฐ์คำคมเท่ๆ จนขาดความเป็นธรรมชาติ แต่เอาเป็นว่า มันเป็นหนังที่สะท้อนมุมมองและวิธีคิดของวัยรุ่นตอนต้นได้อย่างน่าสนใจ และทำให้เราย้อนกลับไปนึกถึงตัวเองตอนวัยเท่ากันในครั้งอดีต หรือจะเรียกว่าเป็นวัยหมกมุ่นกับเรื่องเซ็กส์ก็ว่าได้ แล้วหนังเรื่องนี้ก็สะท้อนวิธีคิดแบบนี้ได้ดี

หนังว่าด้วยเด็กวัยรุ่นชาย 3 คน อายุ 15-16 เป็นจอมหื่น บ้ากาม ตัวละครหนุ่มหนึ่งคนนามว่า ‘ฉลาดเลิศ’ ดันไปชอบสาวสุดคาวาอิ ที่ชื่อ ‘เชอร์รี่’ ซึ่งเธอไม่ชอบฉลาดเลิศเลย แต่เธอดันไปตั้งคำท้าว่า ถ้าแก๊งของฉลาดเลิศชนะการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ เธอจะยอมเป็นแฟนกับฉลาดเลิศ ซึ่งมันไม่มีทางแน่ๆ ทางออกเดียวที่จะชนะครั้งนี้ได้ก็คือ ต้องกลั่นแกล้งเพื่อนสาวหัวหน้าห้องที่เรียนเก่งที่สุดนามว่า ‘สุดารัตน์’ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมที่อยู่กับเชอร์รี่ ให้ทำเธอพลาด เสียสมาธิ แล้วแพ้การแข่งขันโครงงานไปซะ ซึ่งวิธีกลั่นแกล้งทั้งหลายก็หนีไม่พ้น ‘เรื่องฮอร์โมน’ ล้วนๆ และแน่นอนว่าฮอร์โมนกับวัยรุ่นตอนต้น มันอลวนน้อยซะที่ไหน

หนังดูสนุก เพลินๆ ฮากับมุขที่ขำบ้าง เเป้กบ้าง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายซะทีเดียว ที่น่าสนใจคือสาวๆ ตัวประกอบสุดเซ็กซี่ทั้งรุ่นใหญ่เน็ตไอดอลในตำนานอย่างบอลลูน (พินทุ์สุดา ตันไพเราะห์) และสาวสุดสะบึ้มรุ่นน้องอีกเพียบที่มาเสริมทับความฟินและความฮา ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ก็อดคิดถึงหนังแนวทะลึ่งอย่าง Sex is Zero กับ JUNO ไม่ได้ เดาว่าผู้กำกับคงได้แรงบันดาลใจมาจากสองเรื่องนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

นอกจากนี้หนังยังเล่าถึงอำนาจของผู้หญิงที่ปรากฏผ่านตัวละครหลัก อย่างสุดารัตน์ หรือครูสอนวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีอิทธิกับตัวละครอื่นๆ อย่างมาก แต่หนังก็ยอมอ่อนข้อให้กับผู้ชายอย่าง ฉลาดเลิศ ในท้ายที่สุด

ตัวหนังจะเต็มไปด้วยบรรยากาศของการเรียนรู้ คิดแบบวิทยาศาสตร์ หาเหตุและผล ตั้งคำถาม สังเกต และทดลอง ข้อมูลเชิงทฤษฎีมากมายกับสิ่งมีชีวิตและประเด็นเพศศึกษา แต่เรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ ความผิดพลาดของคน หลายอย่างนั้นเหตุและผลแทบจะใช้ไม่ได้ ซึ่งตัวหนังเองก็พูดถึงประเด็นนี้ได้ดี

“ชีวิตไม่ได้เริ่มต้นตอนอายุเท่าไหร่ แต่ชีวิตเริ่มต้นตอนคิดได้เมื่อไหร่”

มันอาจจะหมายถึงประสบการณ์และวุฒิภาวะ ที่ยังคงเป็นตัวบอกการเติบโตและข้ามพ้นวัยของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ หรือการใช้ชีวิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็คือการทดลอง และการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นเอง

XXY (Argentina: 2007)

เป็นภาพยนตร์อาร์เจนตินาที่เปิดโลกทัศน์เราในเรื่อง ‘คนที่มีอวัยวะทั้งสองเพศในตัวคนเดียว’ มากเมื่อ 12 ปีที่แล้ว

หนังเล่าเรื่องของ ‘อเล็กซ์’ วัย 15 ปีผู้มีรูปลักษณ์ภายนอกดูเป็นผู้หญิง แต่ความจริงแล้วเธอมีอวัยวะเพศชายอยู่ด้วย (Intersex คนสองเพศ:กะเทย) เธออยู่กับพ่อผู้เป็นนักชีววิทยารับผิดชอบดูแลเต่าทะเล ส่วนแม่ของเป็นแม่บ้าน ครอบครัวของเธอเพิ่งย้ายจากประเทศอาร์เจนตินามาอยู่ที่หมู่บ้านชายทะเลในอุรุกวัย เพื่อหนีห่างจากสังคมที่ตัดสินและไม่ยอมรับในเพศสภาพของอเล็กซ์ แม่ของเธอเองก็ให้เธอกินยากดฮอร์โมนเพศชาย เพราะอยากได้ลูกสาวและเลี้ยงดูอเล็กซ์แบบลูกสาวมาตลอดเช่นกัน

การมาเยือนของเพื่อนแม่ในวันหนึ่ง นั่นคือครอบครัวที่มีลูกชายเป็นเกย์ชื่อ ‘อัลวาโร’ ติดตามมาด้วย อัลวาโรดันไปมีอะไรกับอเล็กซ์ -ผู้หญิงที่มีอวัยวะเพศชาย เข้า อเล็กซ์เป็นฝ่ายรุก ส่วนอัลวาโรก็ยินดีกับการเป็นฝ่ายรับ ความสับสนและความสัมพันธ์ที่มันดูยุ่งเหยิงจึงเกิดขึ้น-ดังความประสงค์ของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ที่เหมือนจัดแจงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว

หนังสะท้อนทัศนคติของคนต่อเพศสภาพและเพศวิถีของผู้มีความหลากหลายทางเพศ จากสังคมและครอบครัวเองที่อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทั้งอเล็กซ์และอัลวาโร จะต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกสำคัญและน่าสับสนของชีวิต ว่าจะเป็นในแบบเราหรือจะแคร์ความคิดของคนอื่น

12 ปีผ่านไป ดูเหมือนสังคมโลกจะเปิดใจยอมรับกับความหลากหลายทางเพศมากยิ่งขึ้น เพราะโลกนี้ไม่ได้มีแค่ชายกับหญิง แต่แน่นอนว่ายังมีพื้นที่อีกหลายพื้นที่ยังจำกัดและปิดรับเรื่องนี้อยู่ แต่หากมองพ้นเพศสภาพไปแล้ว เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ผู้เท่าเทียมกัน

*เพศสภาพ (gender) เพศที่ถูกกำหนดและควบคุมโดยสังคม มีแค่ความเป็นหญิงและชาย

เพศวิถี (sexuality) เพศที่นิยามและไม่จำกัดตามกรอบสังคม มีเรื่องอัตลักษณ์ของปัจเจก และนัยที่ต้องการหลุดพ้นจากการครอบงำและการบังคับของสังคม)

Tags:

Sexuality Education(เพศวิถีศึกษา)เทคนิคการสอนภาพยนตร์กลั่นแกล้ง(bully)สัญญา มัครินทร์เพศ

Author:

Related Posts

  • How to get along with teenager
    คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Learning Theory
    เรากลับมาเรียนเพศศึกษาในห้องได้หรือยัง เมื่อเรื่องยุติตั้งครรภ์อยู่ในหนังสือเรียนชั้น ม.3

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Learning Theory
    SEX EDUCATION ควรรู้ของเด็กวัย 5-8 ปี

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning TheoryEducation trend
    SEX EDUCATION: เป้าหมายห้องเรียนเพศศึกษา จากอนุบาลถึงมัธยม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า
Family Psychology
4 February 2019

ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

เคยไหม…ทั้งที่เป็นห่วงและหวังดี แต่ใช้คำพูดไม่ถูก กลายเป็นดุด่าลูกซะงั้น

หยุดแปลงร่างเป็นหมาป่าด้วย การเรียบเรียงประโยคแล้วสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication) เพื่อตัดดราม่า ไม่อ้อมค้อม ตรงไปตรงมา และลดอาการบาดเจ็บจากคำพูดเชือดเฉือน

ด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
1. บอกเฉพาะสิ่งที่เห็น
2. บอกความรู้สึก
3. บอกความต้องการ
4. ขอร้องให้ทำในสิ่งที่เป็นรูปธรรมชัดเจน

ทั้งหมดเพื่อคืนความสุขให้ครอบครัว

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยจิตวิทยาการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)

Author:

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Family Psychology
    3 ขั้นตอนเช็คลูก ก่อนไปหาจิตแพทย์/นักจิตวิทยา

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Family Psychology
    ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก – ประโยคที่เด็กอยากได้ยินมากที่สุด

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน
Family Psychology
1 February 2019

THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

เรื่องและภาพ SHHHH

“ช่วงปีของวัยเด็กไม่ได้สูญหายไปไหนเลย แต่เป็นเหมือนรอยเท้าของเด็กที่เหยียบลงบนซีเมนต์เปียก ซึ่งแปลว่ามันถูกประทับไปตลอดชีวิต” ประโยคหนึ่งจากหนังสือ Childhood Disrupted : How Your Biography Becomes Your Biology, and How You Can Heal (บาดแผลทางใจที่เราประสบในวัยเด็ก ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยและโรคเรื้อรังเมื่อเราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไร และเราจะเยียวยามันด้วยวิธีใด)

ใจความสำคัญของหนังสือเล่มนี้ คือ ประสบการณ์ในวัยเด็กทำให้เรากลายเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เราเป็นอยู่ได้อย่างไร แม้เราจะผ่านวิกฤติต่างๆ ในชีวิตมากมายจนเราเข้มแข็ง และเรียนรู้ที่จะอยู่รอดอย่างปลอดภัย แต่ความจริงอีกด้าน เราก็ค้นพบว่า ความเครียด การสูญเสียและประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็กที่เราต้องเผชิญช้ำๆ ได้ส่งผลทางชีวภาพในแบบที่ก่อปัญหาสุขภาพให้เราในตอนโตด้วย

ผลทางชีวภาพที่สั่งสมมาทำให้มีแนวโน้มจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอย่างเช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคภูมิต้านตนเอง โรคปวดกล้ามเนื้อและโรคซึมเศร้า นอกจากนั้นอดีตยังเป็นตัวกำหนดรูปแบบของความสัมพันธ์รัก หรือรูปแบบการเลี้ยงดูลูกๆ ให้เติบโต

ถ้าวันนี้คุณกำลังเผชิญกับปัญหาทางสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บเรื้อรังต่างๆ หรือมีความรู้สึกปั่นป่วนต่อบทบาทต่างๆ ในชีวิต เช่น เป็นพ่อแม่ที่มักมีอารมณ์รุนแรงเสมอเวลาที่ลูกของคุณทำอะไรผิดพลาดบ่อยๆ เป็นเจ้านายที่ไม่ค่อยพอใจกับลูกน้องที่ไม่ค่อยกระตือรือร้น หรือมีความสัมพันธ์กับคู่ครองด้วยความระแวงว่าจะถูกทอดทิ้ง ไม่รู้สึกถึงความมั่นคงในความสัมพันธ์

หนังสือ Childhood Disrupted เล่มนี้จะพาเราล้วงและค้นจิตใจตัวเองได้ลึกและไกล เพื่อจะไปพบว่าที่สุดแล้วเราจะเจอ ‘ทางออก’ ไม่ใช่ทางตัน

Tags:

ปม(trauma)การเติบโตAdverse Childhood Experiences(ACE)จิตวิทยา

Author & Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Social Issues
    ในวันที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสังคมไม่โอเค : คุยกับสมภพ แจ่มจันทร์ Knowing Mind

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • Healing the trauma
    ปมฝังลึกที่หลงลืมไป อาจไม่เคยสูญหายและยังมีผลกับเราอยู่?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Adolescent Brain
    พรากลูกจากพ่อแม่ สร้าง ‘ความเครียดที่เป็นพิษ’ และทำลายสมองตลอดชีวิต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Relationship
    TOP 5 ครูพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเราพองโตที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel