Skip to content
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Transformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent Brain
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)

Year: 2019

เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน
Creative learningCharacter building
15 August 2019

เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

เรื่องและภาพ The Potential

  • ใช่แต่เพียงผู้ใหญ่ที่มักโหยหาบรรยากาศเก่าๆ ของวิถีชีวิตริมคลอง เด็กๆ บ้านควนก็รักและผูกพันกับสายน้ำใน ‘คลองมำบัง’ เช่นกัน ยิ่งเมื่อเวลาเปลี่ยน คลองแปรสภาพ ก็ถึงเวลาที่เยาวชนต้องอาสาลุกขึ้นมาเรียนรู้ ฟื้นฟูพันธุ์ไม้และสายน้ำแห่งนี้ให้กลับมาสมบูรณ์เช่นวันวานอีกครั้ง 
  • ‘อนุรักษ์’ คำสวยที่พูดเมื่อไรก็รื่นหูเมื่อนั้น แต่จะอนุรักษ์อย่างไรในเมื่อเด็กๆ แทบไม่รู้จักชื่อต้นไม้ จุดตั้งต้นของโครงการจึงกลับไปเริ่มที่ ‘ลงพื้นที่เก็บข้อมูลแกะรอยพันธุ์ไม้’ คุณูปการนอกเหนือจากการฟื้นคลองมำบัง คือการค้นพบต้นไม้หายาก ‘ต้นมะตาด’ เฉพาะที่บ้านควนก็มีเหลืออยู่แค่ต้นเดียว จึงนำไปสู่การอนุรักษ์ต้นตะมาดให้เป็นอัตลักษณ์ของชุมชนต่อไป

“เราลงเล่นน้ำในคลองมาตั้งแต่เด็กๆ กระโดดน้ำเล่นกันสนุกสนาน” กุ้งเล่าให้ฟัง ขณะที่เกดช่วยเสริมว่า “คนสมัยโบราณก็มักล่องเรือล่องแพไปส่งของในเมืองกัน แต่ตอนนี้น้ำในคลองสกปรกและแคบลงจนจะกลายเป็นคู ช่วงฝนตกหนักน้ำจะท่วม พอฤดูแล้งน้ำในคลองก็แห้งขอดจนล่องเรือไม่ได้ ต่างจากสมัยก่อนที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าล่องเรือได้ทั้งปี อีกอย่าง… เดี๋ยวนี้น้ำทะเลหนุนสูง นำเค็มไหลเข้ามาในคลองทำให้น้ำจืดกลายเป็นน้ำกร่อย ส่งผลให้ระบบนิเวศในคลองเสียอีก

“เมื่อก่อนจะมีต้นไม้อยู่ริมคลองตลอดเส้นทาง แต่ตอนนี้ทางองค์การบริหารส่วนตำบลมาทำตลิ่ง เขื่อนกั้นน้ำ จึงต้องรื้อถอนต้นไม้ริมคลองทิ้ง ต้นไม้น้อยลง ความร่มรื่นก็หายไป สัตว์เช่น ลิง ไม่มีที่อยู่อาศัย เริ่มเข้ามาก่อกวนตามบ้าน มาหาของกิน ชาวบ้านก็เดือดร้อน”

คือเสียงของเด็กๆ อย่าง กุ้ง-พิยดา ฮะอุรา เยาวชนชุมชนบ้านควน ตำบลบ้านควน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เล่ารายละเอียดของ ‘คลองมำบัง’ ทางน้ำสายหลักของเมืองสตูล แม่น้ำที่พวกเขาเติบโตและผูกพันมาตั้งแต่วัยเยาว์ ให้ฟัง

หลายคนอาจถอดใจและยอมรับสภาพคูคลองและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่ไม่ใช่กับเยาวชนกลุ่มนี้ เพราะเมื่อมีผู้ใหญ่ใจดีหยิบยื่นโอกาส พวกเขาก็พร้อมเดินหน้าพลิกฟื้นคืนคลอง ทำโครงการศึกษาและอนุรักษ์พันธุ์พืชริมคลองมำบังเพื่อชุมชนโดยทีมงานประกอบไปด้วย กุ้ง และ เกศ-เกศรา กาลีโลน, อัสมา สุมาตรา, ฮาน่า-อทิตยา หมื่นศรีรา, มีดา-อานิดา ดาลีโลน, นาน่า-อันลีน่า โส๊ะประจิน, อาตีกะห์ เสีรีรักษ์ และ สุนิสา หมัดเดน พวกเขาบอกเหตุผลว่าเพราะต้องการอนุรักษ์พันธุ์ไม้และพันธุ์พืชที่เกิดขึ้นเฉพาะถิ่นในบริเวณริมคลองบ้านควนให้อยู่กับเยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษา และยังมองว่าการทำโครงการนี้จะช่วยสร้างการเรียนรู้และปลูกจิตสำนึกให้กับชาวบ้านในชุมชนได้เห็นถึงความสำคัญของป่าไม้พันธ์ุไม้ริมคลองมำบังของชุมชนบ้านควนด้วย 

“ต้นไม้ริมคลองเริ่มหายไปเยอะเนื่องจากมีการทำตลิ่งป้องกันการกัดเซาะริมน้ำ เหตุผลที่เขาทำตลิ่งก็เพราะเวลาน้ำท่วม ต้นไม้หรือกิ่งไม้ที่หักลงคลองจะไหลไปกีดขวางทางน้ำ แต่พวกเรามองว่าต้นไม้มีความคงทนอยู่ได้นานและยั่งยืนกว่าคอนกรีต ทั้งยังให้ความร่มรื่น ป้องกันการกัดเซาะได้ เราจึงสนใจเรื่องพันธุ์ไม้” ทีมงานบอกเหตุผล

นอกจากต้องการแก้ปัญหาสูญเสียต้นไม้จากการก่อสร้างตลิ่งแล้ว การเลือกทำโครงการของเยาวชนบ้านควน ยังมาจากการประเมินศักยภาพการทำงานของกลุ่มและประโยชน์ในการต่อยอดขยายผลของโครงการในอนาคตด้วย

“เดิมทีพวกเราสนใจการฟื้นฟูคลอง แต่ด้วยความสามารถของเราคงทำทั้งหมดไม่ได้ บังเชษฐ์ (พิเชษฐ์ เบญจมาศ โค้ชของโครงการฯ) แนะนำว่าเราควรเริ่มศึกษาที่จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งมีให้เลือก 3 ทาง คือ หนึ่ง-พันธุ์ปลาในคลอง สอง-พันธุ์ไม้ริมคลอง และ สาม-สัตว์ที่บินได้ริมคลอง 

“ซึ่งพอมาวิเคราะห์ศักยภาพของทีม เราจึงตัดสินใจเลือกศึกษาพันธุ์ไม้ริมคลอง เนื่องจากมีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะการสำรวจพันธุ์ปลาในคลอง คิดว่ายากเกินไป ส่วนสัตว์ที่บินได้ก็คงไม่มีความสามารถพอที่จะสำรวจได้หมด” กุ้งเล่าที่มาของการตัดสินใจทำโครงการ

สำหรับความเห็นของผู้ใหญ่หลายฝ่าย พวกเขาให้ความสนใจในแนวคิดการอนุรักษ์ต้นไม้ เนื่องจากเชื่อมโยงไปสู่กิจกรรมท่องเที่ยวเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ไม้ริมคลองได้ในอนาคต หรืออาจเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักเรียน นักศึกษา หรือนักท่องเที่ยวได้

ลงพื้นที่สำรวจ แกะรอยพันธุ์ไม้

แต่เนื่องจากคลองมำบังเป็นคลองที่มีความยาว ทีมเยาวชนจึงต้องประชุมวางแผนการทำงาน เริ่มจากการกำหนดขอบเขตระยะทางในการสำรวจและอนุรักษ์พันธุ์ไม้ โดยเลือกศึกษาเก็บข้อมูลจากเขตฉลุงถึงบ้านควน ลงไปถึงหมู่ 5 รวมระยะทาง 1.7 กิโลเมตร ก่อนจะแบ่งงานหาข้อมูลและลงพื้นที่สำรวจ 

“ปัญหาแรกของการเดินสำรวจคลองคือ ทุกคนไม่รู้จักต้นไม้เลย เราพยายามหาข้อมูลพันธุ์ไม้จากอินเทอร์เน็ตหรือจากหน่วยงานอื่นๆ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มหายังไงดี” อัสมากล่าว

เมื่อเด็กๆ แทบไม่มีความรู้เรื่องต้นไม้ บังเชษฐ์จึงได้ชี้แนะแนวทางว่า ให้เริ่มต้นเรียนรู้จากการสังเกต ต้องรู้ว่าใบไม้ ดอก ผล รูปร่างเป็นเช่นไร แล้วลองไปค้นคว้าหาชื่อ เวลาลงพื้นที่ให้เอาสารานุกรมพันธุ์ไม้ไปด้วยเพื่อจะใช้เปรียบเทียบได้

สมุด ปากกา กล้องถ่ายรูป และสารานุกรม จึงกลายเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญ ที่พวกเขาต้องพกพาลงไปในการสำรวจแทบทุกครั้ง 

“เวลาลงพื้นที่เราบันทึกจำนวนต้นไม้ที่เจอ แล้วก็ถ่ายรูปลักษณะของใบ ดอก ผล ถ้าลงพื้นที่บนบกก็ต้องพกหนังสือไปด้วย เมื่อเจอต้นไม้จะเปิดหนังสือแล้วเทียบดูกับต้นไม้จริงเลย ก่อนลงไปสำรวจทีมจะประชุมกันก่อนว่า วันนี้จะเก็บข้อมูลระยะทางเท่าไหร่ ใครทำหน้าที่อะไร เช่น อัสมาเขียนชื่อต้นไม้ คนนี้นับจำนวนต้นไม้ เทอร์โบกับซุนช่วยกันวาดแผนที่คลอง นอกจากนี้จะนับจำนวนตลิ่งในระยะทางที่สำรวจด้วย ใช้เวลาสำรวจอยู่หลายวัน เนื่องจากมีต้นไม้บางต้นที่เรามองจากบนฝั่งไม่เห็น ก็ต้องลงไปสำรวจในน้ำด้วย” อัสมาเล่าบรรยากาศช่วงลงสำรวจพื้นที่ให้ฟังด้วยแววตาเป็นประกาย

ข้อมูลที่บันทึกได้จากการสำรวจจะถูกนำมาใช้เป็นฐานในการค้นคว้าหาชื่อพันธุ์ไม้ สรรพคุณทางยา และจำแนกพันธุ์ไม้โบราณ ผ่านการสืบค้นจากอินเทอร์เน็ต และข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล กรมป่าไม้ เป็นต้น แต่แหล่งข้อมูลชั้นดีที่ขาดไม่ได้คือ ผู้เฒ่าผู้แก่ของชุมชน

“เนื่องจากคนที่อาศัยริมคลองส่วนใหญ่เป็นมุสลิม จึงมักบอกชื่อต้นไม้เป็นภาษามลายูเพราะไม่รู้ว่าต้นไม้ชนิดนี้เรียกในภาษาไทยว่าอะไร เราจึงไปหากำนันก่อนเลย เพื่อถามว่าเมื่อก่อนต้นไม้บริเวณริมคลองมีต้นอะไรบ้าง” ทีมงานบอกวิธีเก็บข้อมูล

ผลจากการมุ่งมั่นสำรวจพันธุ์ไม้ริมคลอง ทำให้วันนี้เยาวชนบ้านควนได้เริ่มต้นสร้างองค์ความรู้เรื่องพันธุ์ไม้ให้แก่ชุมชนของตนเอง และที่พิเศษคือการค้นพบต้นไม้โบราณคือ ‘ต้นมะตาด’ ต้นไม้หายากในปัจจุบัน เฉพาะที่บ้านควนก็มีเหลืออยู่แค่ต้นเดียวเท่านั้น จึงนำไปสู่การอนุรักษ์ต้นตะมาดให้เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน  

“พันธุ์ไม้ริมคลองที่พบตอนนี้มี ต้นมะเดื่อ ตะแบก เต่าร้างแดง มะตาด ประดู่ หว้าหิน แล้วก็มีต้นไม้อื่นๆ ที่ยังต้องค้นข้อมูลเพิ่มเติมประมาณ 20 ชนิด ซึ่งหากได้ข้อมูลครบก็คิดว่าจะทำเป็นสารานุกรมชื่อพันธุ์ไม้ริมคลองมำบังที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง” ทีมงานเล่าเป้าหมายปลายทางของงานที่ทำ

จัดกิจกรรมค่าย ปลูกจิตสำนึกรักษ์

เมื่อโครงการเริ่มเป็นรูปธรรม ทีมงานก็เริ่มเห็นแนวทางในการอนุรักษ์ฟื้นฟู เช่น การปลูกต้นไม้เพิ่มเติมในบางจุด ต้นไม้ต้นไหนที่ขึ้นเองได้ตามธรรมชาติก็ปล่อยให้ฟื้นฟูตัวเอง ต้นไม้ที่ใกล้สูญพันธุ์ก็ช่วยกันหาวิธีดูแลและขยายพันธุ์เพิ่มเติม 

ระหว่างที่ทีมงานขะมักเขม้นกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูให้ต้นไม้ริมคลองมำบังกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง ทีมงานยังจัดกิจกรรมส่งต่อความรู้เรื่องพันธุ์ไม้ที่พวกเขาสืบค้นมาให้เด็กและเยาวชนในชุมชนรับรู้ 

“เหตุผลที่พวกเราจัดค่ายอนุรักษ์พันธุ์ไม้ขึ้น เพราะต้องการให้เด็กๆ ในชุมชนเห็นถึงความสำคัญของต้นไม้ เกิดจิตสำนึกในการดูแลรักษาชุมชน และทำโครงการต่อยอดจากพวกเรา เราวางแผนการเรียนรู้ไว้ทั้งหมด 5 ฐาน แต่ละฐานเน้นการทำความรู้จักต้นไม้ เช่น เดินสำรวจ ลงเรือ ใช้สะพานลิง ชิมน้ำสมุนไพรที่ทำจากต้นไม้ริมคลอง บังเชษฐ์มักเน้นเสมอว่า ควรจะต้องคิดกิจกรรมที่สนุกไม่น่าเบื่อ” ทีมงานเล่าแนวคิดการจัดค่าย

แม้จะมีข้อกังวลเรื่องงบประมาณในการจัดค่าย แต่พวกเขาก็พยายามช่วยกันระดมเงินทุน ทำจดหมายขอความอนุเคราะห์จากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าจะผ่านพ้นไปด้วยดี โดยสิ่งที่คาดหวังจากกิจกรรมในครั้งนี้คือการมีส่วนร่วมของเยาวชนและชุมชนในการดูแลรักษาต้นไม้ริมคลองมำบังให้มีมากขึ้น 

ส่วนปัญหาเรื่องการรื้อถอนต้นไม้เพื่อสร้างตลิ่งริมคลองในอีก 2-3 ปีข้างหน้านั้น ทีมยังได้มีการหารือร่วมกับทาง อบต. เรื่องการปลูกต้นไม้ทดแทนการสร้างตลิ่ง และการจัดทำโมเดลจากดินน้ำมัน และวาดภาพบนผืนผ้า เพื่อสื่อสารรณรงค์ให้ทุกคนเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมก่อนและหลังการก่อสร้างตลิ่ง โดยในอนาคตอาจจะมีการศึกษาข้อดีข้อเสียของการสร้างตลิ่งเพิ่มเติม 

มากกว่าอนุรักษ์ คือ ‘เรียนรู้ พัฒนา’

ผลสำเร็จที่ก่อเกิดจากโครงการสำรวจพันธุ์ไม้ริมคลองมำบัง ไม่เพียงชุมชนจะมีฐานข้อมูลสำคัญที่นำไปสู่การอนุรักษ์ฟื้นฟู เพื่อคืนระบบนิเวศอันสมดุลให้กับทุกชีวิตริมคลอง ผลพลอยได้ที่สำคัญมากไปกว่านั้น คือการที่เยาวชนได้พัฒนาก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง 

มีดาเล่าว่า การทำโครงการให้ประสบการณ์กับเธอหลายอย่าง โดยเฉพาะทักษะการพูด

จากที่เมื่อก่อนไม่กล้าพูดเท่าไร ตอนนี้กล้าพูด กล้าถาม กล้าสงสัย และสามารถนำมาปรับใช้ในการเรียน เช่น สงสัยเวลาครูสอน

เช่นเดียวกับเกดที่บอกว่า โครงการทำให้เธอกล้าแสดงความเห็น และช่างสังเกตมากขึ้น 

“ช่วงแรกๆ เรามานั่งฟัง ไม่พูด ไม่อะไร แต่ปัจจุบันกล้าพูด กล้าออกไปหน้าชั้นเรียน จนคุณครูทักว่ากล้าพูดมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีความรู้เกี่ยวกับต้นไม้มากขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยรู้เลยว่าต้นไม้ริมคลองมีต้นไม้อะไรบ้าง ไม่เคยสงสัยเลยว่าต้นไม้นี้ชื่ออะไร ตอนนี้เวลาไปไหนมาไหนจะสังเกตมากขึ้น” 

จากความร่วมแรงร่วมใจทำงาน ร่วมเผชิญปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ยังสอนให้พวกเขารู้จักการทำงานเป็นทีม มีการวางแผน และมีความเป็นผู้นำมากขึ้น 

อัสมาบอกว่า เมื่อก่อนเธอคิดว่าคนที่จะทำโครงการได้ต้องเป็นผู้ใหญ่ ไม่คิดเลยว่าเด็กๆ จะทำได้ โครงการนี้ทำให้กล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา กล้าคิด ได้ฝึกลงมือทำเอง บริหารกันเอง ได้ฝึกทำงานอย่างเป็นระบบ เมื่อก่อนทำงานแบบไม่มีการวางแผน เดี๋ยวนี้ทำอะไรจะต้องวางแผนก่อน ต้องแบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน เพราะถ้าไม่แบ่งหน้าที่มันก็จะสะเปะสะปะ บางครั้งความคิดไม่ตรงกัน พวกเธอก็จะใช้การลงมติว่าสิ่งใดที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังได้ประสบการณ์นำไปใช้เวลาเรียนในมหาวิทยาลัย ที่สำคัญคือโครงการทำให้เธอได้ฝึกวินัยในตัวเองมากยิ่งขึ้น และรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆ ได้ เพราะแต่ละคนมีบุคลิก มีนิสัยแตกต่างกัน อยู่ที่เราจะปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้ยังไง 

โครงการสำรวจพันธุ์ไม้และอนุรักษ์คลองมำบัง อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่จุดประกายให้เยาวชนและคนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสายน้ำแห่งนี้ให้หวนคืนกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็นับเป็นโอกาสให้เมล็ดพันธุ์เล็กๆ แห่งบ้านควนได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาตนเอง เพื่อเติบโตเป็นไม้ใหญ่ที่จะผลิดอกออกผลสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนและสังคมต่อไป 

Tags:

active citizenproject based learningสิ่งแวดล้อมResearch Base Learning(RBL)สตูล

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

  • Creative learningCharacter building
    ‘ขยะวิทยา’ ตลอดชีวิต ของเด็กๆ คลองโต๊ะเหล็ม จังหวัดสตูล

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    ชวน ‘ราชาน้ำท่อม’ ไปปลูกป่าด้วยวิถีวิจัย การศึกษาที่ชุมชนออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learningCharacter building
    วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่าเลน เจอคุณปู่โกงกางและสัตว์น้ำตัวเล็กๆ

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    “อย่าสอนให้รู้ แต่จงสอนให้คิด” ห้องเรียนชีวิตเด็กน้ำท่อม

    เรื่องและภาพ The Potential

เรากลายเป็นคนที่ ‘ไม่ตั้งคำถาม’ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน
Character building
14 August 2019

เรากลายเป็นคนที่ ‘ไม่ตั้งคำถาม’ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • งานวิจัยพบว่าเด็กเล็กจะตั้งคำถามราว 200 ข้อ/2 ชั่วโมง แต่เมื่อโตขึ้น พวกเขาตั้งคำถามไม่เกิน 10 ข้อ/2 ชั่วโมง คำถามคือพลังของความอยากรู้อยากเห็นที่เกิดมาพร้อมกับพวกเขา …หายไปไหน?
  • สตาร์ทอัพและองค์กรธุรกิจทั่วโลกต่างมองหา ‘ความสงสัยใคร่รู้’ เป็นหนึ่งในคาแรคเตอร์ทีมงาน ไม่ใช่แค่ ‘ทำงาน’ แต่ร่วมกันเปลี่ยนแปลงองค์กร 
  • การบ่มเพาะและใช้ประโยชน์จากความสงสัยใคร่รู้ไม่ใช่แค่เปิดให้ถาม แต่ห้องเรียนต้องเป็นพื้นที่ฝึกตนให้เด็กกล้าตั้งคำถาม ฝึกให้รู้ว่าควรจะหาคำตอบอย่างไรเพื่อมาตอบสิ่งที่ตัวเองตั้งไว้ และรู้ว่าควรตอบคำถามไหนก่อนเพื่อจะถามคำถามต่อไปได้ 

บางส่วนจากหนังสือ The Hungry Mind: The Origins of Curiosity in Childhood (ใจที่โหยกระหาย: จุดเริ่มต้นความสงสัยใคร่รู้ในวัยเด็ก) โดย ดร.ซูซาน เอนเกล (Susan Engel)* คณะจิตวิทยาแห่งวิทยาลัยวิลเลียมส์ (Williams College) ผู้ศึกษาเรื่อง ‘ความสนใจใคร่รู้’ ในเด็กกว่า 12 ปี เขียนถึงวันที่เธอทำความรู้จักกับสัญชาตญาณแห่ง ‘ความสงสัยใคร่รู้’ ที่มาจากสิ่งแวดล้อมและบทบาทของครู (แต่เนื้อหาในเล่มบอกเล่าถึงการพัฒนาเจ้า ‘ความสงสัยใคร่รู้’ จากบุคคลหลากหลายรอบตัว) ไว้ตอนหนึ่งว่า

หน้า 107-108:
“ตอนอายุ 7 ขวบ ฉันต้องย้ายจากห้องเรียนเล็กๆ ในฟาร์มที่บ้าน แล้วไปเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนที่ค่อนข้างมีวิสัยทัศน์ก้าวหน้าแห่งหนึ่ง วันที่สองในโรงเรียนใหม่ จะเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์อย่างจริงจังร่วมกับเพื่อนนักเรียนอายุราว 6-7 ปี ขณะที่ทุกคนนั่งประจำที่ บนโต๊ะข้างหน้ามีวัตถุทรงสี่เหลี่ยมสีขาว 6 ชิ้นตั้งเรียงกันเป็นแถว ทันใดนั้น ‘ครูโทนี’ ครูวิทยาศาสตร์ประจำคลาสถามขึ้นว่า ‘นี่คืออะไร?’

“พวกเรามองไปที่อาจารย์ด้วยความงุนงง เพราะเอาจริงๆ เราต่างรู้กันว่าเวลาที่ครูถามอะไร พวกเขารู้คำตอบอยู่แล้วทั้งนั้น แต่ครูโทนีไม่ได้พูดอะไรต่อ นั่นทำให้เรามองไปที่ ‘วัตถุสีขาว’ นั้นอีกครั้ง พูดออกไปพร้อมกันอย่างง่ายๆ ว่า ‘กระปุกน้ำตาลไง’ ครูโทนีถามกลับ ‘ใช่จริงๆ เหรอ?’ พวกเรายิ่งงงกันไปใหญ่ ก็ครูรู้อยู่แล้วนี่นาว่า ใช่… มันคือกระปุกน้ำตาล แต่ในเมื่อครูถามค้างไว้เช่นนั้นและยังจะให้ยืนยันคำตอบ เราจึงจำเป็นต้องยืนยันว่าสิ่งที่พวกเราคิดนั้นใช่หรือไม่ ซึ่งบางทีเราอาจจะผิดก็ได้

“พวกเราเริ่มตรวจสอบเจ้ากระปุกสีขาว หยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ ในห้องเริ่มได้ยินเสียง ‘ฟุดฟิด’ ของเพื่อนในห้องที่เอาหน้าเข้าไปสูดกลิ่นมัน บางคนจับวัตถุสี่เหลี่ยมพลิกคว่ำเพื่อสังเกตทุกด้านของตัวกระปุก บางคนเขย่ากระปุกเพื่อเช็คว่าเสียงของมันเป็นอย่างไร ส่วนฉัน ตัดสินใจทดสอบด้วยประสาทรับรสที่ดีที่สุด ลองเอาลิ้นไปแตะๆ เพื่อชิมรส – ฉันยอมเสี่ยง ก็ถ้ามันไม่ใช่กระปุกน้ำตาลอย่างที่คิดไว้ล่ะ? แต่โชคดีที่สัมผัสหวานๆ อันคุ้นเคยปรากฏขึ้นที่ปลายลิ้นเสียก่อน

“ ‘ใช่แล้วล่ะ นี่คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทำ’ ในที่สุดครูโทนีก็พูดขึ้นมา ‘นักวิทยาศาสตร์จะสังเกต และตอนนี้พวกคุณก็กำลังสังเกตด้วยประสาทสัมผัสครบทั้ง 5 เลยนะ’

“ฉันไม่เคยลืมเรื่องราวในคลาสนั้น ทำไมน่ะเหรอ? ไม่หรอก ไม่ใช่เพราะมันสนุกมากกว่ากิจกรรมอื่น มีเรื่องราวสนุกๆ อีกเยอะเกิดขึ้นกับฉันตอนเรียน และไม่ใช่ว่าบทเรียนในคลาสนั้นยากกว่าวิชาอื่นๆ อันที่จริงบทเรียนวันนั้นมันง่ายและออกจะตรงไปตรงมาด้วยซ้ำ แต่เพราะฉันทำมันด้วยความสงสัย ฉันอยากรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เราจะเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นเวลาที่เริ่มต้นจากความกระหายอยากรู้

“แต่เอาเข้าจริง เด็กส่วนใหญ่ถูกคาดหวังว่าพวกเขาต้องเรียนรู้ อย่างน้อยๆ ก็ด้วยเหตุผล 3 อย่างนี้: พวกเขากลัวว่า ถ้าไม่เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ จะเกิดอะไรขึ้นตามมา เด็กๆ อยากได้รางวัลจากการยอมเรียนรู้ หรือไม่ก็… พวกเขาถูกสอนว่า การเรียนมันสำคัญสำหรับอนาคตนะ ชีวิตเราจะไม่ลำบากถ้าเราขวนขวายเล่าเรียน”

นานก่อนที่ทักษะในศตวรรษที่ 21 จะระบุให้คาแรคเตอร์อย่าง curiosity เป็น 1 ใน 16 ทักษะจำเป็นหมวด Character Qualities – กลุ่มทักษะด้านคุณสมบัติ คุณลักษณะ หรือ นิสัย ที่คนคนหนึ่งจะมีเพื่อแก้ปัญหาในโลกอนาคตที่จะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ 

ความกระหายใคร่รู้เกี่ยวข้องกับโลกอนาคตที่จะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร

ในบทความเรื่อง Why Curious People are Destined for the C-Suite วาร์เรน เบอร์เกอร์ (Warren Berger) – ผู้เขียนบทความอ้างอิงคำตอบของ ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) ประธานบริหาร (ซีอีโอ) บริษัทเดลล์ (Dell Inc.) บริษัทผลิตฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์จากรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ว่า “คุณสมบัติอะไรที่มองหาในตัวพนักงานเดลล์?” ซีอีโอเดลล์กล่าวว่า 

“I would place my bet on curiosity.”
– ผมคงจะยอมเสี่ยงกับคาแรคเตอร์ ‘ความสงสัยใคร่รู้’

คำตอบของเดลล์มาจากงานสำรวจความเห็นของ PwC 2015 ถึงความเห็นของผู้บริหารในประเด็นธุรกิจ โดยทำการสำรวจกับซีอีโอหลากหลายวงการกว่า 3,200 คน และเดลล์คือหนึ่งในซีอีโอพันกว่าคนที่เลือกคาแรคเตอร์ ‘ความสงสัยใคร่รู้’ เป็นคาแรคเตอร์สำคัญที่คนในวงการธุรกิจมองหาในคนทำงาน

แม้นี่เป็นผลการสำรวจเมื่อปี 2015 แต่ก็ตีความได้อีกเช่นกันว่าประเด็นนี้คนในแวดวงธุรกิจได้ไฮไลต์ให้เป็นวาระเด่นไปล่วงหน้าหลายปีแล้ว – ย้อนกลับไปได้ไกลกว่านั้นอีกคือกว่ายี่สิบปีก่อน Walt Disney ก็ประกาศว่าบริษัทจะปรับโครงสร้างการทำงานที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ด้วยเหตุผลว่า “เพราะพวกเราเป็นพวก ‘กระหายใคร่รู้’ และมันนำทางเราไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่” ไม่นับรวมบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Netfilx หรือ Airbnb ที่โอบรับความคิดว่าองค์กรพวกเขาขับเคลื่อนด้วย ‘ความสงสัยใคร่รู้’ เช่นกัน 

และหากย้อนไปดูต้นกำเนิดของธุรกิจสตาร์ทอัพรุ่นใหม่หลายๆ องค์กร เราจะเห็นจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งในคนทำงานเสมอนั่นคือ ‘ความสงสัยใคร่รู้’ ที่นำทางไปสู่ ‘นวัตกรรมใหม่ๆ’ ทั้งทางความคิดและเทคโนโลยี ขณะที่เจ้าพ่อด้านการศึกษาอย่าง โทนี วากเนอร์ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการคนแรกของ Harvard Innovation Lab มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยังระบุในหนังสือของเขา Creating Innovators: คู่มือสร้างนักนวัตกรรมเปลี่ยนโลก ไว้ด้วยว่าคุณสมบัติที่จำเป็นที่สุดในการเป็นนวัตกรที่ประสบความสำเร็จ หนึ่งในนั้นคือ ‘ความสงสัยใคร่รู้’ 

ในปัจจุบันที่องค์กรทั้งเล็กและใหญ่ถูก ‘disrupted’ อยู่เสมอ ความสงสัยใคร่รู้ – คนที่มักตั้งคำถามและนำไปสู่โอกาสที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ – คือหนึ่งในคาแรคเตอร์ของ disrupter (ผู้กระทำการ disrupt) มากกว่าจะเป็น disruptee (ผู้ถูก disrupt) และต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงอีกเช่นกันว่าปัจจุบัน เรามี disrupter อยู่ทั่วทุกมุมถนน!

ไม่ใช่แค่ ‘ถามไปงั้นๆ’ แต่ห้องเรียนต้องประคองและฝึกให้เด็กตั้งคำถามคมคายขึ้นเรื่อยๆ

กลับไปที่เอนเกล ในฐานะนักจิตวิทยาและนักวิจัย เธอใช้เวลากว่า 12 ปีเพื่อศึกษาคุณสมบัติ ‘ความสงสัยใคร่รู้’ ในเด็กโดยเฉพาะ เธอเล่าความสำคัญตั้งต้นจากงานวิจัย – อันที่จริงมันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทุกคนทราบกันดี เพียงแต่เราอาจลืมมันไป และคิดว่ามันไม่สำคัญ ว่า…

เด็กเกิดมาพร้อมความกระหายใคร่รู้ที่จะเรียนรู้โลกรอบตัวตลอดเวลา ไม่มีทางเลยที่จะหยุดยั้งเด็กอายุ 2 ขวบไม่ให้อยากรู้ ไม่ให้ถามในสิ่งที่เขาสงสัย จากงานวิจัยของเธอพบว่า

เด็กเล็กจะตั้งคำถามราว 200 คำถามต่อ 2 ชั่วโมง แต่เมื่อโตขึ้น พวกเขาตั้งคำถามไม่เกิน 10 คำถามต่อ 2 ชั่วโมง คำถามคือ พลังของความสงสัยใคร่รู้ที่เกิดมาพร้อมกับพวกเขา (เรา) …หายไปไหน?

“มันชัดเจนเลยว่าเราไม่ได้ทำในสิ่งที่เราทำได้ เราไม่ได้ท้าทายเขา ไม่ได้ encourage ความอยากรู้อยากเห็นที่จะออกไปผจญภัย ซึ่งนี่ (ความสงสัยใคร่รู้) คือหัวใจแห่งการเรียนรู้นะ” เอนเกลอธิบาย

มันหายไปไหน? ใช่หรือไม่ว่า… พอถึงวัยหนึ่ง เราจะถมึงทึงบ่อยขึ้นเมื่อได้ยินคำถาม (ที่เรามองว่า) ซ้ำซากและถี่ถ้วนจากเขา หรือครูในห้องกำหนดเวลาถามตอบ เพื่อเอาเวลาที่มีค่าไป ‘อธิบาย’ และให้นักเรียน ‘เขียน/จด/ท่อง’ ความรู้

มันไม่ใช่แค่การ ‘ตั้งคำถามทั่วไป’ แต่การบ่มเพาะและใช้ประโยชน์จาก curiosity เธอมองว่าห้องเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยเพื่อสร้างคุณลักษณะนี้ ต้องเป็นพื้นที่ฝึกตนให้เด็กกล้าตั้งคำถาม ฝึกให้รู้ว่าควรจะหาคำตอบอย่างไรเพื่อมาตอบสิ่งที่ตัวเองตั้งไว้ และ รู้ว่าควรตอบคำถามไหนก่อนเพื่อจะถามคำถามต่อไปได้

และเมื่อรู้ว่าจะตั้งคำถามคมๆ ดีๆ ยังไง นี่คืออิฐก้อนแรกแห่งการศึกษา “คนช่างสงสัยคือหัวใจของการศึกษา” – เอนเกลว่าไว้

เพราะเมื่อคุณสงสัยในบางสิ่ง คุณจะลงลึกกับการค้นหาคำตอบ ใช้เวลากับมันอย่างไม่ลดละแม้หลายคนจะค้านว่ามันไม่จำเป็น อย่างจับต้องได้ที่สุด คุณจำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในสิ่งที่คุณหลงใหลได้แม้ไม่พยายามจดจำ (ทั้งที่บางบทเรียนท่องแค่ไหนก็ยังไม่เข้าหัว หรือลืมได้ภายในสิบวินาทีหลังเดินออกจากห้องสอบ) มันเป็นความใคร่รู้จากภายในที่ให้ตายยังไงก็ไม่มีใครมาตั้งโปรแกรมความอยากรู้นี้ให้เกิด นอกจากความปรารถนาที่เกิดขึ้นภายในตัวคุณเอง อย่างมองไม่เห็น เรามักมองว่าคนที่หลงใหลและทำอะไรด้วยความใคร่รู้ คนนั้นมีเสน่ห์แบบอธิบายไม่ถูก!

อย่างไม่อาจแยกได้ ความสงสัยใคร่รู้ curiosity จุดประกายความหลงใหล passion และอยู่ในเนื้อตัวของคำว่า purpose 

passion และ purpose สองคาแรคเตอร์สำคัญที่นักการศึกษาพูดกันว่า นี่คือจุดมุ่งหมายของการศึกษาในศตวรรษที่ 21!

สุดท้าย… นั่นสินะ เรากลายเป็นคนที่ไม่ตั้งคำถาม ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน?

อ้างอิง
Why Curious People Are Destined for the C-Suite
The Importance Of Being Curious

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsการฟังและตั้งคำถามความสงสัยใคร่รู้(Curiosity)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learningCharacter building
    ‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • 21st Century skills
    กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

หนึ่งวันที่ฉันเบื่อห้าง ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง ใน PUBLIC SPACE
Space
13 August 2019

หนึ่งวันที่ฉันเบื่อห้าง ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง ใน PUBLIC SPACE

เรื่อง BONALISA SMILE

วันหยุดทีไร ทำไมไม่ไปที่อื่นนอกจากห้างสรรพสินค้า

ตอบอย่างเร็วๆ ที่สุดคือ มีครบ จบที่ห้างเดียว

แต่ถ้ามองลึกลงไปกว่านั้น จริงหรือไม่ว่า เราไม่มีที่ไป โดยเฉพาะพื้นที่สาธารณะ หรือ Public Space ในความหมายของสถานที่ที่ทุกคนเข้าถึงและใช้ร่วมกัน ผ่านหลากหลายกิจกรรม หรือจะนั่งนอนเฉยๆ ก็ย่อมได้

อ่านความหมายเพิ่มเติมของ Public Space ได้ที่นี่ สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

Tags:

พลเมืองpublic space

Author:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Space
    มิวเซียมสยาม: (อยากให้) การมาพิพิธภัณฑ์คือเรื่องปกติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Space
    เกตุวดี MARUMURA: แม้พื้นที่น้อย แต่ PUBLIC SPACE ในญี่ปุ่นกว้างมาก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Space
    PUBLIC SPACE …WHERE ARE YOU?

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Space
    PUBLIC SPACE แห่งอัมสเตอร์ดัมที่เด็กไม่เป็นส่วนเกิน

    เรื่องและภาพ ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

  • Unique Teacher
    ศุภรัช จรัสเพ็ชร์: ตื่นเช้ามา ‘ครูบอม’ อยากไปสอนเด็กๆ ทุกวัน

    เรื่อง

NEW YEAR GOAL: เทมั้ย หรือไปต่อ?
Social Issues
9 August 2019

NEW YEAR GOAL: เทมั้ย หรือไปต่อ?

เรื่องและภาพ SHHHH

ลดความอ้วน ทยอยอ่านหนังสือที่ซื้อมา ปลูกต้นไม้ กินอาหารคลีน ออกกำลังกาย …สารพัดเป้าหมายที่ตั้งใจจะทำตั้งแต่ต้นปี

ผ่านไปแล้วครึ่งปี status ของคุณคือข้อไหน

ก. ทำทุกอย่างตามเป้าหมาย ไม่พลาด (หัวเราะอย่างภูมิใจ)
ข. ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง (งานยุ่งจริง)
ค. โอ้ย เหลือตั้ง 4 เดือนกว่าจะหมดปี ไว้ค่อยเริ่มเดือนหน้า (แหม คนเราต้องมี goal ทุกปีสิ)
ง. ไว้ปีหน้าแล้วกัน เท!! (ขอเหตุผลดีๆ 3 คำ)

Tags:


Author & Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Relationship
    Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroomSocial Issues
    ‘ผิดเป็นครู’ เรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทุกคนสามารถลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าได้เสมอ: รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    เมื่อข่าวร้ายถาโถม การถนอมหัวใจตนเองคือการต่อลมหายใจของความหวัง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์

  • Relationship
    แม้แผลใจจะยังไม่หายดี แต่เธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีได้นะ

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    ความตายขับเคลื่อนชีวิต (2): เมื่อการระลึกถึง ‘ความตาย’ ทำให้เข้าใจความหมายของ ‘ชีวิต’

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

11 วิธี ฝึกเด็กๆ พร้อมเป็นผู้นำ
Character building
9 August 2019

11 วิธี ฝึกเด็กๆ พร้อมเป็นผู้นำ

เรื่อง The Potential ภาพ antizeptic

‘ภาวะความเป็นผู้นำ’ หรือ Leadership 1 ใน 16 ทักษะในศตวรรษที่ 21 (21st century skills) หมวด Character Qualities – กลุ่มทักษะด้านคุณสมบัติ, คุณลักษณะ หรือ นิสัย ที่คนคนหนึ่งจะมีเพื่อแก้ปัญหาในโลกอนาคตที่จะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

ท่ามกลางบทความแนะนำสร้างความเป็นผู้นำฉบับ ‘How to’ นับพันจากสื่อมวลชนทุกแขนง คาริน เฮิร์ท (Karin Hurt) และ เดวิด ดาย (David Dye) นักพูดและเทรนเนอร์ระดับโลกเรื่องภาวะผู้นำ และเจ้าของหนังสือรางวัล Winning Well : A Manager’s Guide to Getting Results Without Losing Your Soul แนะนำ 11 วิธีสร้างภาวะผู้นำให้เด็กๆ แบบเข้าใจง่าย สร้างสรรค์ และน่าหยิบยืมทดลองไปใช้

มีทั้งหมด 11 วิธีด้วยกัน

1. สร้างบทบาทให้เด็กเป็น ‘ผู้ให้’ 

สร้างสถานการณ์ให้เค้าได้แบ่งปันสิ่งของ และชวนคิดชวนคุยด้วยว่าเค้าคิดอย่างไรกับการให้แบบนี้ เพื่อให้เห็นอกเห็นใจผู้คนที่มีสถานการณ์ไม่เหมือนตัวเอง

2. พูดกับเค้าเหมือนพูดกับผู้ใหญ่ 

คุยเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองกับเด็กได้เลย วิธีนี้จะพัฒนาทักษะการฟังและเคารพมุมมองของผู้อื่น

3. ให้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมตัดสินใจปัญหาครอบครัว

ลือกสถานการณ์ที่ต้องการการตัดสินใจ ชวนเด็กๆ ลงความเห็น ระหว่างพูดคุย ทุกคนต้องรับฟังกันจริงๆ

4. สร้างบรรยากาศการอ่าน

ชวนเด็กๆ คุยเรื่องคาแรกเตอร์และความสัมพันธ์ของผู้คนในหนังสือ เพื่อให้เด็กเข้าใจบทบาทและมุมมองของผู้คนหลากหลาย

5. พาเด็กๆ ไปทำงานด้วย

มอบหมายงานให้เด็กบริหารจัดการจริง ผู้ใหญ่ต้องอธิบายกระบวนการให้ฟังอย่างชัดเจน ถามความเห็นเพื่อให้เด็กออกแบบการทำงาน วิธีนี้สร้างความมุ่งมั่นและการปรับตัวยืดหยุ่น

6. ยอมรับเวลาคุณทำผิด

ชวนคุยเวลาคุณทำอะไรผิดพลาด ให้เด็กรู้ว่าไม่มีใครเพอร์เฟค แต่ความผิดพลาดคือบทเรียน ทุกวัยยังต้องเรียนรู้เพื่อเติบโตอยู่ทุกวัน

7. แวดล้อมด้วยคนที่มีภาวะผู้นำ

เพราะเด็กๆ ไม่เรียนจากการสั่งสอน แต่เค้าจะเป็นในสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็น เป็นอย่างสิ่งแวดล้อมที่พวกเค้าอยู่

8. ให้เป็นผู้กล่าวต้อนรับเวลามีงานที่บ้าน

วิธีนี้ทำให้เด็กๆ ต้องรู้จักทุกคน ออกแบบว่าจะต้องร่างสุนทรพจน์สั้นๆ อย่างไร ไม่ใช่แค่มิตรไมตรีแต่ความมั่นใจที่ได้ทำอะไรด้วยตัวเองย่อมเกิดขึ้น

9. สร้างเครือข่าย

ไม่ใช่แค่รู้จักคนมาก แต่การรู้ว่าเครือข่ายสำคัญ มาพร้อมกับความสัมพันธ์เรื่องความซื่อสัตย์ต่อกลุ่ม ซึ่งสำคัญมากต่อการทำงานเป็นทีม

10. ช่วยเด็กหาอัตลักษณ์ของตัวเอง

ช่วยเด็กๆ หาpassion ด้วยการชวนคุยหรือเขียนถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ เด็กๆ รู้ว่าเค้าจะพูดในสิ่งที่ต้องการ นี่คือการรู้จักตัวเอง

11. ถามคำถามที่เฉียบคม

เช่น ‘ถ้าไม่ทำวิธีนี้ ทำวิธีอื่นได้มั้ย?’ คำถามชวนคิดและไม่ชี้นำเหล่านี้จะช่วยร่างกรอบความคิดให้ชัดเจน และเด็กๆ เองจะได้นำทักษะของผู้นำข้อนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย

หมายเหตุ : อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่  11 วิธีสร้างสิ่งแวดล้อมให้เด็กเป็นผู้นำ: เคารพตัวเอง มุ่งมั่น ยืดหยุ่น ตัวอย่างนิสัยข้างในที่เด็กๆ จะได้

ที่มา:

letsgrowleaders.com

Tags:

21st Century skillsภาวะผู้นำ(leadership)คาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • Creative learning
    การพัฒนาคนคือ ‘งาน craft’ การศึกษาจึงต้องไร้พรมแดน: พิเชษฐ์ เบญจมาศ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    11 วิธีสร้างสิ่งแวดล้อมให้เด็กเป็นผู้นำ: เคารพตัวเอง มุ่งมั่น ยืดหยุ่น ตัวอย่างนิสัยข้างในที่เด็กๆ จะได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    10 ทักษะผู้นำของคนในวงการไซเบอร์ ที่โลกอนาคตต้องการ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

กวิ๊: ดริปกาแฟ หมักเหล้าบ๊วยแบบโลกไม่สวยแต่ยั่งยืน
Everyone can be an Educator
8 August 2019

กวิ๊: ดริปกาแฟ หมักเหล้าบ๊วยแบบโลกไม่สวยแต่ยั่งยืน

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • กวิ๊-อำนวย นิยมไพรเวศน์ เกษตรกรปกาเกอะญอ บ้านหนองเต่า ที่เชื่อมั่นในการต่อสู้ด้วยข้อมูล ใช้บทธา (บทกวีในภาษาปกาเกอะญอ แปลว่า ชาวปกาเกอะญอใช้เป็นเครื่องมือสอนวิถีการใช้ชีวิตให้ลูกหลาน) เป็น soft power สร้างความเข้มแข็งจากภายในชุมชน
  • กวิ๊ ไม่เคยหยุดอยู่กับที่ทดลองทำเกษตรหลายด้านด้วยความความหลงใหล ทั้งการหมักเหล้าบ๊วย ทำพิซซ่าโฮมเมด และพัฒนาเมล็ดพันธุ์กาแฟ
  • “แล้วการมาซื้อกาแฟของผม คุณไม่ได้แต่จะมาซื้อกาแฟ เราจะเป็นพี่น้องกัน คุณมีอะไรดีเยอะแยะ องค์ความรู้ที่คุณมีก็มาแบ่งปันกัน เราไม่ได้คิดแค่เรื่องธุรกิจ แต่เราคิดว่าเราจะเป็นเพื่อนหรือเป็นพี่น้องกันยาวนานได้อย่างไร” นี่คือมุมมองและไอเดียวิธีคิดของกวิ๊ต่อการทำการตลาดเกษตรแบบคนรุ่นใหม่

“หาอะไรแถวนี้มาทำพิซซ่าได้นะ”

ประโยคเรียบๆ แทรกวงสนทนาของผู้มาเยือนที่กำลังตาหยีอยู่กับรสเปรี้ยวของเสาวรสสด กวิ๊-อำนวย นิยมไพรเวศน์ เกษตรกรปกาเกอะญอรุ่นใหม่เดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ โพกผ้าบนศีรษะคล้ายเชฟญี่ปุ่น เขาเอ่ยชวนให้เก็บผักพื้นถิ่นและหาวัตถุดิบสนุกๆ รอบบ้านสำหรับมื้อเย็นที่กำลังใกล้เข้ามา เรานัดแนะกันไว้แล้วว่าจะอบพิซซ่าเตาถ่านกินกันที่บ้านของเขา

แดดบ่ายอุ่นตามความสูงของภูเขา อุ่นเหมือนเอามืออังข้าวหุงสุกใหม่ๆ สายลมผสมความเขียวของแปลงผักและธรรมชาติรอบๆ เราเพิ่งทอดทิ้งความร้อนอ้าวในตัวเมืองเชียงใหม่อย่างไม่ไยดีเพื่อมาหาอากาศดีแบบไม่ประนีประนอมที่หมู่บ้านหนองเต่า ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง หนึ่งในชุมชนปกาเกอะญอที่มีทั้งคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และวิถียั่งยืนตามปรัชญาดั้งเดิมและร่วมสมัยของสองกาลเวลา

“บ้านกวิ๊นี่มันฮิปสเตอร์จริงๆ”

ชาวแก๊งจากเมืองใหญ่แซวกันว่านี่คือความ slow life แบบไม่เกรงใจนิตยสาร Kinfolk ในขณะที่กำลังม่วนใจอยู่กับกาแฟดริปที่คนแปรรูปยืนห่างออกไปแค่ราว 20 เมตร เราสังเกตเห็นว่าบ้านกวิ๊มีเตาอบทรงเห็ด ดริปเปอร์ที่ทำจากดินภูเขาไฟ เขาออกแบบครัวไม้ไผ่เล็กๆ สไตล์ญี่ปุ่น ชั้นบนเป็นเหล้าบ๊วยโฮมเมดรสละมุน เดินออกไปไม่ถึง 10 ก้าวก็เจอศาลาริมน้ำที่เดินไปหย่อนใจได้อย่างสงบ

เขายิ้มบางๆ รับคำแซวและสายตาค้อนอ่อนๆ จากผู้มาเยือนโดยดีทุกรอบ

บ้านหนองเต่า บ้านที่เขาชอบ ชอบมากจนไม่อยากจากไปไหนไกลตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่ส่งไปเรียนหนังสือที่สันป่าตองตอนประถม 3 ได้ไม่นานก็ขอกลับมาเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน มัธยมต้นพยายามอีกครั้งที่จะออกไปไกลจากชุมชน มัธยม 3 ลองไปเรียนไกลถึงลำพูนได้แค่เดือนเดียว แต่ความพยายามกลายเป็นศูนย์เพราะเขากลับมาเรียนที่บ้านอีกจนได้ ด้วยเหตุผลเดิมๆ ที่ว่า “ผมชอบอยู่บ้าน”

“พอเรียน ม.ปลายปุ๊บ ผมก็คิดว่าต้องมีรายได้ ผมเรียนไปด้วย ทำงานเก็บเงินไปด้วย ไปทำงานวัดซึ่งเขาจะให้ปั้นปูนเป็นซุ้มดอกไม้ ซุ้มประตูรูปดอกบัว มีญาติพี่น้องชวนผมไปทำเป็นรายวัน ยุคนั้นชุมชนก็เข้มข้นเรื่องกิจกรรมในชุมชน ปัญหาทรัพยากรและกฎหมายทับที่นะ ผมก็ไปๆ มาๆ อยู่กับกลุ่มหนุ่มสาวและเครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) เพื่อร่วมกิจกรรมแล้วกลับมาทำงาน เก็บเงินซื้อรถมอเตอร์ไซค์ได้บ้าง

“ผมปั้นปูนตามวัดอยู่ทุกวัน ทั้งวัน ตั้งแต่ 8 โมงถึง 5 โมง เลยคิดตามว่าถ้าอยู่บ้านแล้วทำงานตั้งแต่ 8 โมง-5 โมงเย็น งานที่บ้านน่าจะสำเร็จได้ดีเลย ถ้าเราทำแบบนี้เต็มๆ 1 ปี มันจะเหลือให้เรากินเยอะแยะมากมาย ทำไมเราไม่ทำ”

กวิ๊คิดถึงบ้านแบบไม่ดราม่า ไม่มีน้ำตา มีแต่แรงของวัยเยาว์และแพชชั่นที่อยากเห็นการเกษตรยั่งยืนเติบโตขึ้นในชุมชน เพราะปัญหาทรัพยากรขาดแคลนเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และโลกไม่มานั่ง slow life กับคนที่หมุนตามมันไม่ทัน

เขาเติบโตมาจากการเห็นประเพณีดั้งเดิมของปกาเกอะญอมีสีสัน เกิดมาในวันที่ทรัพยากรยังอุดมสมบูรณ์เพราะทุกคนจัดสรรกันได้อย่างเป็นสัดเป็นส่วน วันนี้การรู้เท่าทันธรรมชาติและตัวเองน้อยลง พื้นที่ทำกินและวิธีการทำกินของพี่น้องปกาเกอะญอเริ่มน่าเป็นห่วง

ยุคสมัยและวิถีที่เปลี่ยนไปส่งผลให้เกษตรกรถูกบีบให้ทำการเกษตรเชิงเดี่ยว บางบ้านใช้สารเคมีเข้มข้น แต่สภาพความเป็นอยู่กลับล้นไปด้วยหนี้สินเพราะปลูกตามพืชเศรษฐกิจที่ได้รับการส่งเสริม พันธุ์นี้ไม่สำเร็จก็ส่งเสริมพันธุ์ใหม่ เกษตรพันธสัญญาเริ่มสร้างเงื่อนไขที่ห่างไกลจากความยุติธรรมที่เกษตรกรพึงได้รับ

เมื่อปัญหาเริ่มมาเคาะประตูว่าคนรุ่นใหม่ที่หนองเต่าเริ่มไม่อยู่บ้าน การเกษตรยั่งยืนเริ่มยืนยาก กิจกรรมในชุมชนและพิธีกรรมเริ่มซีดจางไปเพราะไม่มีพลังเยาวชนสานต่อ ในปี 2547 ก่อนที่จะกลับบ้านจริงๆ จังๆ กวิ๊ทำงานอยู่ที่ อบต.แม่วิน ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เขียนแผนแม่บทและลงไปช่วยตามหมู่บ้านต่างๆ ยาวนานอยู่ 3 ปี จะได้มีเวลากลับบ้านก็แค่วันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น

เขาจึงตัดสินใจว่าถึงเวลาที่ต้องกลับสักที

แต่การกลับบ้านก็ไม่ใช่งานง่าย เขาไม่มีอำนาจอะไรที่จะสั่งให้ใครเชื่อจากปากเปล่าได้ว่าเกษตรอินทรีย์คือคำตอบ

กลับบ้านมาทำกาแฟ แต่ตอนนั้นยังชงกาแฟดริปไม่เป็นเลย

“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย…” เขาหยุดคิด

“ในฐานะที่เราเรียนหลักสูตรสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นจากมหาวิทยาลัยชีวิต (สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน (สพช.) ในปัจจุบัน) มาแล้ว การกลับมาไม่ใช่แค่ชุมชนยอมรับ ปัญหาใหญ่คือตัวเองและครอบครัว ตัวเองจะทำอะไร คิดอะไร แล้วครอบครัวเป็นยังไง ผมบอกเลยว่ากว่าครอบครัวจะเข้าใจเรื่องเกษตรอินทรีย์ต้องใช้เวลา กว่าเขาจะเห็นและปรับตัวได้ มันกลายเป็นว่าเราเองก็ผ่านอะไรมาขนาดนี้ แล้วคนอื่นล่ะ”

อาสาสมัครเพื่อสังคมสู่ชุมชนบ้านเกิด รุ่นที่ 1 เล่าว่า เขาเข้าร่วมกลุ่มหนุ่มสาวของชุมชนตั้งแต่อายุ 15 ปี เฝ้ามองเหตุการณ์ที่เครือข่ายลุ่มน้ำวางกับเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือร่วมกันต่อสู้คัดค้านประกาศเพิ่มพื้นที่ป่าอุทยานทับที่อยู่อาศัยที่ดินทำกิน และป่าชุมชนเมื่อปี 2537

กวิ๊-อำนวย นิยมไพรเวศน์

กวิ๊เชื่อในการต่อสู้ด้วยข้อมูล ใช้บทธา (ธา ในภาษาปกาเกอะญอ แปลว่า บทกวี ชาวปกาเกอะญอใช้เป็นเครื่องมือสอนวิถีการใช้ชีวิตให้ลูกหลาน) เป็น soft power สร้างความเข้มแข็งจากภายในชุมชนเพื่อมาคัดค้านกับระบบ

“ชาวบ้านถูกส่งเสริมให้ปลูกพืชเมืองหนาว ต้องสร้างโรงเรือน ใช้เวลานานกว่าจะคืนทุน จะออกมาก่อนก็ไม่ได้เพราะเป็นเกษตรพันธสัญญา”

2 ปีก่อนพี่น้องชาวปกาเกอะญอเริ่มมีการปล่อยพื้นที่ทำกินให้เช่า ซึ่งชาวบ้านต่างถิ่นมาเช่ากันหนาตาเพื่อปลูกสตรอเบอร์รี แต่เพราะว่าพื้นที่ที่นี่ไม่เหมาะทั้งสภาพดินและภูมิอากาศ พืชบางชนิดจึงติดเทรนด์อยู่ปีสองปีแล้วไม่ได้รับการปลูกต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือเมื่อผู้เช่าย้ายออกไป พื้นที่ของชาวบ้านก็เสียหาย ดินเสื่อม เคมีและขยะเต็มพื้นที่

“เราส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ การทำไร่หมุนเวียน แต่มันทำเป็นรายได้เป็นกอบเป็นกำได้ยาก พอมองว่าพืชตัวไหนที่ทำรายได้ได้เยอะก็จะเป็นพืชที่ถูกส่งเสริมให้ปลูก แต่เขาชี้แจงมาเลยว่าถ้าจะทำอินทรีย์ต้องปลูกแบบนี้ๆๆ ไม่ได้บอกว่าเกษตรกรต้องตัดแต่งหรือแปรรูปอย่างไร ดังนั้นองค์ความรู้เหล่านั้นเกษตรกรไม่มี และพืชที่ส่งเสริมไม่ใช่พืชดั้งเดิมของเกษตรกร เขาจะเป็นคนทำตลาดให้ พอขายไม่ได้ก็นำพืชตัวใหม่มาให้ปลูก

“ตอนผมมีไอเดียเรื่องการพัฒนากาแฟ ผมกลับมาคุยใหม่กับชาวบ้านอีกรอบหนึ่ง แต่ชาวบ้านบอกผมว่า ถ้าจะให้ทำตามอีกเนี่ยไม่เอาแล้วนะ เพราะมันไม่ประสบความสำเร็จ เราเลยบอกว่าการทำกาแฟสมัยใหม่มันมีเครื่องช่วย หรือไม่ใช้เครื่องก็ได้ มีวิธีแบบ dry process (การแปรรูปแบบแห้ง) เก็บมาตาก แต่เกษตรกรเคยชินกับการถูกส่งเสริมและเก็บขายอย่างนั้นไปแล้ว

“ผมเคยเก็บขายนะ เขาก็ให้เก็บไปเล่ยไปเท่ยน่ะ จะเก็บยังไงก็ขายได้ไง ไม่ใช่ว่าเก็บวันนี้แล้วไปขายเลยนะ ทิ้งไว้จนเน่าน่ะ ถ้าเราเก็บกาแฟไว้ในกระสอบปุ๊บมันจะมีสีดำ แดง เขียว ใส่กระสอบสักสองคืน มันจะกลายเป็นสีเดียวกันหมด เขาไม่ได้เอื้อให้เราพัฒนากาแฟที่มีคุณภาพ หรือสอนว่าอายุของต้นกาแฟจะยั่งยืนได้ยังไง”

เรานึกถึงรสชาติกาแฟดริปที่เขาชงให้ดื่มอย่างตั้งใจเมื่อบ่าย กวิ๊และโอชิ จ่อวาลู ลูกพี่ลูกน้องนักสู้ที่โตมาด้วยกันนั่งหมุนเครื่องคั่วเมล็ดกาแฟจนกลิ่นหอมไหม้ปลายฟุ้งไปทั่ว

“ผมตั้งคำถามว่าทำไมเราต้องมาทำเรื่องกาแฟ ผมทำกาแฟมา 10 ปีนะ บ๊วยอีก 7 ปี คำว่ากาแฟเนี่ย ผมไม่ได้คิดแต่เรื่องธุรกิจอย่างเดียว กาแฟอยู่ใต้ร่มไม้ได้ในสวนของคนนั้นคนนี้ แล้วพอเราปลูกไปปุ๊บ มันอยู่เป็น 100 ปี ยังมีต้นกาแฟที่พ่อแม่ปลูกให้หลงเหลืออยู่ ซึ่งตอนแรกผมก็ยังไม่รู้ว่าจะไปขายที่ไหนนะ เพราะยังไม่มีตลาด ตอนนั้นกาแฟอะเมซอน สตาร์บัคส์ก็เกิดขึ้นแล้ว ลองมาดูเรื่องตลาดอินทรีย์ ปรากฏว่าก็ยังไม่คึกคักนะ ยังไม่มีใครพูดถึงกันเลย แต่ช่วงนั้นมีตลาดปลอดภัยของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เขาเปิด เลยลองเอากาแฟเข้าไปขาย ลองชงแบบ moka pot (เครื่องชงกาแฟบนเตา) เพราะเขาไม่ให้ใช้ไฟฟ้า แล้วเราเองก็เน้นเรื่องการรักษาทรัพยากรด้วย”

10 ปีที่แล้วอุปกรณ์ดริปกาแฟในเมืองไทยยังหาไม่ได้ง่าย กวิ๊จึงอาศัยอาจารย์ชาวญี่ปุ่นที่มาดูงานที่หมู่บ้านหนองเต่านำเข้ามาให้ เขาเอ่ยติดตลกว่าแรกๆ ยังดริปกันไม่เป็นเลย กาแฟจืดชืด แต่ปรากฏว่ามีคนมามุงดูกันเยอะมาก

“ตอนแรกก็งงว่าเขาจะมาซื้อกาแฟกันหมดเลยเหรอ ไม่ใช่ เขามาถาม มาคุยว่ากาแฟทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ แล้วหาอุปกรณ์พวกนี้ได้ที่ไหน กาดริปอะไรพวกนี้ เรียนที่ไหน แม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เข้ามาถาม ตอนนั้นเมืองไทยยังไม่เข้มข้นเรื่องกาแฟร้อนเพราะคนไทยกินกาแฟเย็นกันหมด เราก็ทำไปเรื่อยๆ จนคนที่กินกาแฟชอบ”

จากผู้บริโภคที่ดื่มกาแฟเป็นแก้วๆ ตลาดก็เริ่มกว้างขึ้นจนมีคนมาซื้อเมล็ดเป็น 200 กิโลกรัม เทรนด์เติบโตจนกวิ๊คิดไอเดียเรื่องระบบสมาชิก และคิดว่าจะกระจายกล้าออกไปทั้งตำบลแม่วิน แต่ปรากฏว่าชาวบ้านก็ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกกาแฟอีก แจกกล้าเป็น 200,000 ต้น และประวัติศาสตร์ของการทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวก็ซ้ำรอยเดิมๆ

เมื่อเราทำการเกษตรเชิงปริมาณปุ๊บ ทรัพยากรถูกทำลายมากที่สุด เราพูดถึงการที่ต้นน้ำถูกทำลาย มีการแย่งชิงน้ำ แล้วก็มีการบุกรุกพื้นที่เพิ่ม ชาวบ้านนิยมปลูกผักระยะสั้น 20 วันก็ตัดขาย อย่างเรื่องกาแฟ ปีหนึ่งเก็บได้แค่รอบเดียวก็จริง แต่ลองคิดดูถ้าเราทำไร่หมุนเวียนไปด้วย เดือนมีนาคม เมษายน ผมแปรรูปบ๊วย เดือนพฤษภา มิถุนา กรกฎา ปลูกข้าว เดือนสิงหา กันยา ข้าวก็กำลังออกรวงเขียวเลยนะ รวมทั้งพลับกับอโวคาโดด้วย เดือนกันยา ตุลา เกี่ยวข้าวนะ ส่วนเดือนพฤศจิกาและธันวา ก็ทำกาแฟ แล้วนี่ผมพูดถึงแต่ไม้ผลนะ ยังไม่ได้พูดถึงผัก และเรื่องการทำตลาด

“โอเค เรายอมรับว่าชาวปกาเกอะญออาจไม่ถนัดเรื่องการตลาด แต่บ้านเรามีเครือข่ายเกษตรฯ เยอะแยะ สมมุติว่าผมมีสมาชิกอยู่ 5 คน แต่ละคนปลูกกาแฟในพื้นที่ไม่เหมือนกัน การดูแลไม่เหมือนกัน การจะแปรรูปก็ไม่เหมือนกัน ก็หาพ่อค้ามา 5 คน ชอบกาแฟของเกษตรกรคนไหนก็ซื้อของคนนั้น”

“แล้วการมาซื้อกาแฟของผม คุณไม่ได้แต่จะมาซื้อกาแฟ เราจะเป็นพี่น้องกัน คุณมีอะไรดีเยอะแยะ องค์ความรู้ที่คุณมีก็มาแบ่งปันกัน เราไม่ได้คิดแค่เรื่องธุรกิจ แต่เราคิดว่าเราจะเป็นเพื่อนหรือเป็นพี่น้องกันยาวนานได้อย่างไร”

ห้องครัวสำหรับทุกคน

พิซซ่าจำนวน 4 ถาดปะปนกันอยู่ในท้อง โฮมเมดและกรอบอร่อยด้วยวัตถุดิบสดๆ หลายชิ้นจากบ้านหนองเต่า อบในเตาฮิปสเตอร์ทรงเห็ดด้านนอกบ้าน ถาดแล้วถาดเล่า เรานั่งมองเขาจุดเตาถ่านอย่างเป็นธรรมชาติ

‘เมอล่อ’ ภาษาปะกาเกอะญอแปลว่า ห้องครัว ครัวกะทัดรัดของหนุ่มชาวปกาเกอะญอมีดีไซน์น่าสนใจ โต๊ะประกอบอาหารตั้งตรงกลาง ด้านบนมีโครงไม้ไผ่ไว้แขวนอุปกรณ์ครัวที่ห้อยลงมาแล้วดูอาร์ตบอกไม่ถูก เขยิบไปด้านหลังอีกหน่อยเป็นที่ล้างจาน ด้านบนมีกองทัพโหลเหล้าบ๊วยที่คนเมืองได้แต่มองแล้วกะพริบตาปริบๆ และที่น่าสนใจคือเตาย่างมินิมอลที่ดูยังไงๆ ก็เหมือนอยู่ในชุมชนชนบทของญี่ปุ่น

‘เมอล่อ’ ภาษาปะกาเกอะญอแปลว่า ห้องครัว ครัวกะทัดรัดของหนุ่มชาวปกาเกอะญอมีดีไซน์น่าสนใจ โต๊ะประกอบอาหารตั้งตรงกลาง ด้านบนมีโครงไม้ไผ่ไว้แขวนอุปกรณ์ครัวที่ห้อยลงมาแล้วดูอาร์ตบอกไม่ถูก เขยิบไปด้านหลังอีกหน่อยเป็นที่ล้างจาน ด้านบนมีกองทัพโหลเหล้าบ๊วยที่คนเมืองได้แต่มองแล้วกะพริบตาปริบๆ และที่น่าสนใจคือเตาย่างมินิมอลที่ดูยังไงๆ ก็เหมือนอยู่ในชุมชนชนบทของญี่ปุ่น

“ทุกคนมาเห็นเตาไฟนี้แล้วบอกว่าเหมือนของญี่ปุ่น แต่ผมปฏิเสธว่ามันไม่ใช่ แค่เพราะครัวปกาเกอะญอไม่เคยเผยแพร่ออกไป ทุกคนก็เลยไม่เห็น เราแค่เอาตัวห้อยมาประยุกต์ ญี่ปุ่นเขาจะมีที่ห้อยขึ้นๆ ลงๆ ไว้ห้อยหม้อ ส่วนด้านบนตรงนี้เป็นที่เก็บเมล็ดพันธุ์ของปกาเกอะญอ เรียกว่า ‘เส่อกิเตอ’ จะมีสองชั้นหรือสามชั้นก็แล้วแต่”

เชฟกวิ๊เล่าเรียบๆ ขณะที่เสียบหมูหมักโรสแมรีและปิ้งเสิร์ฟให้เราเป็นพักๆ

“ผมบอกเลยว่าห้องครัวนี้ไม่ได้เกิดจากการที่ผมชอบทำอาหาร แต่ว่าเกิดจากการที่ผมมองว่าเราจะต้องสร้างพื้นที่ พืชเมืองหนาวไม่ใช่พืชดั้งเดิม ผมเลยกินไม่เป็น ผมเลยคิดว่าเขาส่งเสริมให้เราปลูกขายแล้วเรากินไม่เป็นปุ๊บ เราก็จะมีแต่ใส่ยาให้มันสวย เราเองก็ไม่ได้มีองค์ความรู้เรื่องอาหารหรือเรื่องผัก อาจจะไปเรียนกับเชฟ หรือเชิญเชฟจากที่ต่างๆ ให้มาสอนเราที่นี่ก็ได้ และการที่เขาจะมาสอนที่นี่อาจจะต้องมีพื้นที่แลกเปลี่ยน ครัวเราจะไม่ใช่แค่ครัวใหม่ๆ มีความเป็นครัวเก่าดั้งเดิมบ้าง เปลี่ยนแปลงนิดหน่อย ส่วนความเป็นสมัยใหม่ก็คือเตาแก๊ส คอนกรีต ไม่ใช่ว่าสร้างแต่ครัวดั้งเดิมปกาเกอะญอ ครัวไม่ได้มีแค่ไม้ไผ่ แต่มีไม้ ดิน ปูน ไม้ฝาเชอร่า ผสมผสานอยู่ในนี้”

เชฟชี้ให้ดูแต่ละจุดที่เขาตั้งใจดีไซน์ให้ห้องครัวเล็กๆ เป็นมากกว่าพื้นที่แห่งการประกอบอาหาร

อยากชักจูงหนุ่มสาวกลับบ้าน ต้องไปหาความรู้ข้างนอกเพิ่มเติม

ความกังวลของเขาฉายชัดตั้งแต่ตอนที่เล่าเรื่องปัญหาทรัพยากร การเกษตรเชิงเดี่ยวที่เริ่มเติบโตแทนที่วิถีเกษตรอินทรีย์ ปัญหาใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคือคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยนิยมกลับบ้านมาพัฒนาพื้นที่ของพ่อแม่ บ้างตัดสินใจขายที่ บ้างก็ประกอบอาชีพอื่นๆ ในเมืองตามค่านิยมและสิ่งแวดล้อมที่เป็นพลวัต หรือบ้างก็เลือกทางเดินเคมีเข้มข้น

แน่นอนว่าถ้าวัดจากบทสนทนาที่พูดคุยกันมายาวนาน ไอเดียอุดมคติคืออยากให้น้องๆ กลับมาทำการเกษตรวิถียั่งยืนที่บ้าน แต่กวิ๊ก็เข้าใจเช่นกันว่าคอนเซ็ปท์ของความยั่งยืนสามารถปรับใช้กับใครก็ได้ที่สนใจจะทำมันจริงๆ

“เขาอาจจะเป็นข้าราชการที่ไม่มีเวลาด้วยซ้ำ ถ้าสมมุติเป็นครู เขาไม่ต้องทำเกษตรก็ได้ แต่ส่งต่อความรู้สู่นักเรียนได้ นักเรียน 10 คนอาจจะเกิดไอเดียสัก 5 คนก็ได้ ตอนนี้พืชหลายตัวก็ยังถูกส่งเสริมอยู่ เกษตรกรก็ยังเป็นหนี้อยู่ จ่ายหนี้ไม่หมดซะทีแม้ว่าจะมีกองทุนหมู่บ้าน เขาต้องมองว่ารายได้ของเขาพอไหม ปีหนึ่งต้องจ่ายเท่าไหร่ ตอนนี้ถ้าเฉลี่ยทุกหมู่บ้านคือมีรายได้เข้ามา ถ้าพูดถึงตัวเลขมันเยอะมาก ทั้งจากอาชีพเกษตรกรรม รับจ้างหรือเป็นข้าราชการ แต่ว่าก็จ่ายออกไปเยอะมากเหมือนกัน”

นักศึกษาชาวญี่ปุ่นมาเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่หมู่บ้านหนองเต่าทุกปีเพราะเป็นวิชาเลือกเสรีที่มหาวิทยาลัย กวิ๊เป็นพี่เลี้ยงและใช้บ้านเป็นฐานเรียนรู้ควบคู่ไปด้วย เขาเกิดไอเดียว่าถ้าอยากพัฒนาผลิตภัณฑ์และองค์ความรู้ที่จะชักจูงหนุ่มสาวปกาเกอะญอให้ทำเกษตรอินทรีย์ร่วมสมัย เขาจำเป็นต้องไปหาความรู้ข้างนอกมาเพิ่มเติมความแข็งแกร่ง

และ อบต.แม่วินก็ไม่ใช่จุดหมายอีกต่อไป เพราะครั้งนี้เขาไปเรียนรู้ไกลถึงญี่ปุ่น จากการคุยกับอาจารย์ชาวญี่ปุ่นเล่นๆ ว่าน้องๆ มาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้ว พี่เองก็อยากไปแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่นู่นบ้าง

“อาจารย์ก็เลยจัดให้เลย”

คล้ายฉากตัวเอกในการ์ตูนญี่ปุ่นตั้งปณิธานไว้แน่วแน่แล้วผูกผ้าคาดหัวเตรียมตัวออกเดินทาง กวิ๊ตีตั๋วไปเรียนคนเดียวในช่วงฤดูหนาว เมืองโอซาก้าและเกียวโตต้อนรับเขาด้วยความรู้เรื่องกาแฟและบ๊วยที่เจ้าตัวระบุไว้ว่าต้องการศึกษาเพื่อนำมาพัฒนาบ้านหนองเต่าและเครือข่าย

“เวลาที่คนญี่ปุ่นทำธุรกิจกาแฟ เขาคิดกันเป็นตันๆ แต่เราทำได้แค่ปีละ 500 กิโลกรัม เขาส่ายหัวเลยเพราะมันน้อยมาก ของเขานำเข้าปีหนึ่ง 20-30 กว่าตัน หรือ 1 ตู้คอนเทนเนอร์น่ะ แต่เราเข้าไปสำรวจไอเดียของเขา กาแฟของเขา 20 กว่าตันเมื่อมาถึง ถึงแม้จะเป็นกาแฟอินทรีย์ก็ต้องฆ่าเชื้อ ในโรงงานมีกระสอบเต็มไปหมด หุ่นยนต์เต็มไปหมด มีแต่มือน่ะ หยิบนู่นหยิบนี่”

เสียงหัวเราะของเขาเศร้าระคนสดใส

“ผมไปดูเรื่องวิธีการทำบ๊วยของเขาด้วย ที่ญี่ปุ่นเขาตั้งเป็นสหกรณ์บ๊วยเลย ไปหมู่บ้านชุมชนที่ปลูกบ๊วยเยอะที่สุด ผมเอาเหล้าบ๊วยขวดเล็กๆ ที่ผมทำไปด้วยนะ ผมตั้งใจไว้เลยว่าไปแล้วต้องได้กิ่งบ๊วยพันธุ์นั้นพันธุ์นี้มา มีเม็ดสีเขียว แดง ชมพู ซึ่งก็ได้มานะ แต่มันออกคนละฤดู ออกคนละฤดูไม่พอ เม็ดสีชมพูนี่มันกินไม่ได้อีก (หัวเราะ) แต่ว่าผมได้ไปที่วัดบ๊วยที่เกียวโต มีนักศึกษาญี่ปุ่นไปขอให้สอบผ่านตามความเชื่อ แล้วบ๊วยที่วัดนั้นก็ตัดแต่งเป็นไม้ประดับยาวลงมาเหมือนไม่ใช่ต้นบ๊วยแล้วน่ะ ตัดแต่งเป็นทรงอย่างดี

“เราเลยคิดว่าบ๊วยเนี่ย ไม่ใช่เอาแค่ลูกมาอย่างเดียว พื้นที่ไหนที่ไม่ออกลูกอาจจะใช้เป็นไม้ประดับก็ได้ ดอกเขาก็เอามาทำเป็นชา บ๊วยลูกเล็กๆ ของญี่ปุ่น ลูกละ 100 บาท แต่สรรพคุณยอดเยี่ยม เราแลกเปลี่ยนกันชิมเหล้าบ๊วย ของเขานี่มีบ๊วยตั้งแต่ 1 ปี 2 ปี 15 ปี 20 ปี เก็บไว้ ผมเลยบอกว่าบางขวดพอทำที่เมืองไทยแล้วรสชาติไม่เหมือนกัน เขาเลยเอารสชาติต้นตำรับของญี่ปุ่นมาให้ลองชิม”

เขาเลยเริ่มจากทำกินเองก่อน ยาบ๊วย บ๊วยเค็ม บ๊วยหวาน น้ำบ๊วย มองถึงการปลูกไม้ผลระยะยาวและวิเคราะห์ออกมาว่าการทำเกษตรยั่งยืนน่าจะเหมาะสมกว่า คือปลูก 1 รอบแล้วก็ดูแลต่อโดยไม่ต้องพลิกหน้าดินหรือปลูกเพิ่มเยอะแยะมากมาย สายตาเราเหลือบมองขวดเหล้าบ๊วยที่เรียงรายอยู่บนชั้นด้านบน

“ผมไปที่ศาลากลางเพื่อปรึกษาเรื่องการทำบ๊วย บอกว่าผมมีวัตถุดิบแบบนี้ เป็นเกษตรกร แนะนำตัวว่ามีบ๊วยแล้วจะทำเป็นเหล้าบ๊วยได้ไหม เขาก็พูดออกมาเลยว่าไม่ได้ กฎหมายไทยไม่อนุญาตให้ทำ ผมก็บอกว่าไม่ได้เอาเหล้าเถื่อนที่ไหนมา เอาเหล้าที่ถูกกฎหมายมาใส่ เขาก็บอกว่าไม่ได้ คุยกันไปคุยกันมาจริงๆ เขาบอกว่าคุณต้องมีเงินทุน 500 ล้าน ผมคิดเลยว่านี่คือระบบที่เอื้อให้กับนายทุน เรานี่เกือบจะเอาเหล้าบ๊วยออกมาให้เขาแล้วนะ (หัวเราะ)

“ที่ผมมาทำเรื่องกาแฟด้วยนี่ผมไม่ได้มองแค่เรื่องทรัพยากร แต่มองถึงคนรุ่นใหม่ด้วย เขาอาจจะกลับมา คนรุ่นใหม่ที่ไปทำงานหรือไปเรียนหนังสือกินกาแฟกับขนมปัง พ่อของเขามีก็มีสวน การที่เขาออกไปทำงานได้กินกาแฟแบบนั้น เขาจะมีใจกลับมาดูแลต้นกาแฟของเขาไหม ที่นี่ผมจะเป็นคนรับซื้อ แปรรูปให้ ถ้าคุณสนใจจะมาทำจริง คุณไม่ต้องไปขายที่ไหน มาเป็นสมาชิกกับผม ตั้งเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนด้วยกัน

“ทำไมเราถึงต้องทำเป็นวิสาหกิจ หรือห้างหุ้นส่วนฯ เพราะถ้าเราไม่เป็นวิสาหกิจชุมชน เราคุยกับ อบต. และเกษตรอำเภอยากมาก ห้างหุ้นส่วนสามารถส่งกาแฟไปญี่ปุ่น 50 กิโลกรัมได้ แต่ถ้าลูกค้าบอกว่าต้องการ 200 กิโลกรัม ห้างหุ้นส่วนจะส่งไม่ได้เพราะต้องเป็นบริษัท แต่เวลาทำธุรกิจ พื้นฐานของพวกเราไม่เคยพูดกันถึงเรื่องพวกนี้เลยไง คนรุ่นใหม่จึงต้องทำความเข้าใจองค์ความรู้ตรงนี้ด้วย”

หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มแปรรูปและผลิตกาแฟอินทรีย์เลพาทอ (Lapato) เล่าเรื่องเคล้ากับลมกลางคืน เตาถ่านข้างๆ ไฟมอดไปนานแล้ว

“เราอาจจะเริ่มต้นจากมุมเล็กๆ ในศาลาที่ผมใช้เป็นที่ทำรายงานเมื่อก่อนตอนเรียนหนังสือ มันไม่ใช่แค่ที่ของผม ทุกคนก็มาใช้ได้ สมมุติถ้าหลานผมมานั่งทำการบ้าน เขาจะพาเพื่อนมาด้วย แล้วจะกินน้ำผลไม้สักแก้วหนึ่งไหม นั่นคือเราจะไม่สอนเขาโดยตรง สอนแบบอ้อมๆ ว่าแก้วนี้เป็นน้ำเลมอนที่มาจากสวนของพ่อคุณนะ ต้นนั้นน่ะ เขากินแล้วเขาจะได้เห็นค่าของของที่อยู่ใกล้บ้านเขา จะแยกได้ว่ารสชาติของแท้กับไม่แท้มันแตกต่างกันอย่างไร

“ต่อไปเขาได้กินกาแฟสักแก้วหนึ่ง จะได้กลับมาปลูกกาแฟในพื้นที่ของตัวเอง แล้วเราจะไม่หยุดแค่เครื่องดื่ม เราต้องมีเครือข่ายที่แต่ละคนทำแตกต่างกัน”

ศาลาหลังนั้นอาจจะไม่ได้เป็นแค่ร้านกาแฟ แต่เป็นสภากาแฟ คนมาคุยมาแลกเปลี่ยน 5 คน คนอาจจะกินกาแฟ 3 คน อีก 2 คนไม่กิน แต่มีองค์ความรู้อื่นมาแลกเปลี่ยน

“ตรงนั้นอาจจะเป็นบาร์ เป็นโต๊ะกินกาแฟ ห้องกลางจะเป็นห้องเก็บอุปกรณ์หรือตัวโชว์กาแฟ ห้องถัดมาจะเป็นเครื่องคั่ว cupping (การชิมทดสอบกาแฟ) ว่ารสชาติเป็นอย่างไร นั่นก็คือเราอยากให้คนในชุมชนที่ไม่กินกาแฟ และไม่เป็นสมาชิกมาเรียนรู้ที่นี่ เขาจะได้กลับไปทำเอง จะขายก็ได้ ไม่ขายก็ได้ แต่ว่าเขาจะมีองค์ความรู้พวกนี้ติดตัว บางคนเกิดไอเดียอาจจะพัฒนาต่อได้อีก

“ทุกคนบอกว่าที่นี่เป็นศูนย์เรียนรู้เหรอ ผมบอกว่าศูนย์ไม่เอาแล้ว เอาหนึ่ง สอง สาม ผมว่ามันเป็นฐาน ฐานที่มั่นคง ต้องยืน ต้องยึดให้ได้ ผมไม่ได้รู้อะไรทั้งหมด ทุกคนสามารถมาแลกเปลี่ยนกันที่นี่ได้ เราจะไม่มองหน้ากันแล้วพูดถึงแต่สินค้า เราจะมองกัน เราจะคุยกัน เราจะพูดถึงเรื่องความเป็นพี่น้อง ความเป็นครอบครัวเดียวกัน”

เรามองหน้ากัน จากนั้นเขาก็โยนประเด็นที่น่าสนใจ

“ที่ญี่ปุ่น คนรุ่นใหม่ก็กลับไปอยู่บ้านน้อยเหมือนกันนะ”

หลังจากไปเจอนวัตกรรมหุ่นยนต์ในโรงงานกาแฟและอุตสาหกรรมบ๊วยขนาดใหญ่ที่ญี่ปุ่น เราสงสัยว่าเขาเอาแง่มุมอะไรมาปรับใช้ภายใต้สเกลที่แตกต่างกันอย่างมากของขนาดธุรกิจ

“ที่แตกต่างกันคือ ถึงแม้ที่ดินจะไม่ค่อยมี แต่รัฐบาลญี่ปุ่นเขาส่งเสริมเกษตรกร หาตลาดให้ อุปกรณ์ก็มีให้ เมืองไทยมีที่ดิน ปลูกได้ แต่ตลาดไม่มี รัฐบาลไม่ส่งเสริม ผมไปแค่ไม่กี่วันก็รู้แล้วว่าต้องไปเรียนรู้เพิ่ม ผมจะต้องกลับไปดูเรื่องพลับที่ญี่ปุ่นต่อ เลยหาข้อมูลว่าพลับของญี่ปุ่นออกช่วงไหน ไปดูเรื่องการแปรรูปพลับของญี่ปุ่น เช่น อุณหภูมิการตากพลับแห้งต้องเท่าไหร่ หรือน้ำส้มพลับที่ใช้จากพลับฝาด ดีไม่ดีน้ำผลไม้พลับอาจจะเกิดขึ้นได้”

“ปรัชญาของปกาเกอะญอกับของญี่ปุ่นมีความคล้ายกัน เช่น คนญี่ปุ่นบอกว่ากินบ๊วยต้องได้รสชาติบ๊วย กินอะไรให้ได้รสชาตินั้น แล้วพื้นที่เขาน้อยเหมือนกับชนเผ่าปกาเกอะญอสมัยก่อน ต้นบ๊วยไม่ต้องเป็นไร่ คุณดูแลสามสี่ต้นที่มีให้ดี ถ้าคุณดูแลมันจริงๆ คุณแทบจะไม่มีเวลาให้กับตัวเองเลย ช่วงนี้เก็บ ช่วงนี้ดูแลให้น้ำ ช่วงนี้ตัดแต่ง ออกดอก วนเวียนอยู่นั่นแหละ”

นอกจากนี้กวิ๊ยังเล่าเรื่องการไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศจีนเพราะมีทุนให้คนรุ่นใหม่ได้ไปเป็นเวลา 1 เดือน กลุ่มคนไฟแรงจากพม่า จีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียมารวมตัวกันถกเถียงกระแสของประเทศตัวเอง เขาไปสำรวจการสร้างพื้นที่ให้เกษตรกรรุ่นใหม่มาเรียนรู้แล้วพบว่าระบบสหกรณ์ของจีนยิ่งใหญ่มาก แม้ว่าจีนจะประชากรเยอะและทำเคมีเข้มข้นแต่ก็สามารถส่งออกผลผลิตที่ดีออกมาได้ หรือไปอินโดนีเซียด้วยเงินของตัวเองแล้วเรียนรู้การปลูกกาแฟพันธุ์ทริปิก้าในพื้นที่ที่ทำการเกษตรอย่างสร้างสรรค์ แต่พื้นที่ที่ทำการเกษตรเชิงปริมาณ เคมีก็สูงลิ่วไม่แพ้กัน

“มันไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่มีปัญหา ที่จีน ญี่ปุ่นเขาก็มีภัยพิบัติ มีปัญหาเหมือนกัน”

ออกไปข้างใน

เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า เขาไปญี่ปุ่นแค่ 10 กว่าวันแต่กลับมาเล่าได้เหมือนไปอยู่เป็นปี? เราเลยถามกลับว่า แล้วการออกไปข้างนอกจำเป็นขนาดนั้นหรือเปล่า

“อาจจะไม่ถึงขั้นจำเป็นแต่ว่าสำคัญ คุณไม่ต้องไปที่ประเทศพัฒนาก็ได้ ประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ๆ ก่อนก็ได้แล้วค่อยขยายไป คุณจะรักประเทศของคุณ ชุมชนของคุณเพิ่มขึ้น หรือคิดพัฒนาชุมชนได้เยอะ”

กวิ๊บอกว่าตอนที่เขาอยู่อินโดนีเซีย เกษตรกรที่นั่นก็เป็นชนเผ่าเหมือนกัน แต่พืชเศรษฐกิจเขายังไม่เข้าถึง ทำงานแค่ครึ่งวัน ตอนเช้าอยู่ที่แปลง ตอนบ่ายอยู่กับครอบครัว

“เราไปเรียนรู้เรื่องกาแฟแต่ไม่ค่อยได้คุยเรื่องกาแฟหรอก คุยกันเรื่องธรรมชาติ เรื่องวิถีชีวิต ภูมิปัญญา”

จึงเกิดคำถามสำคัญต่อว่าถ้ามีพี่น้องที่ทำการเกษตรในรูปแบบของตัวเองในท้องถิ่น และยึดวิถีดั้งเดิม เขาก็สามารถอยู่อย่างยั่งยืนได้ไหม

“การทำเกษตรมันเกี่ยวข้องกับทุกเรื่อง ทุกวันนี้มีงานวิจัยออกมาให้ส่งเสริมการเพาะปลูกพืชเมืองหนาว แต่ว่าเกษตรกรลืมไปว่าโลกมันเปลี่ยนไปนะ มันหนาวน้อยลง อยู่ข้างนอกมันร้อนจะตาย แล้วในอนาคตข้างหน้า ธรรมชาติอาจจะลงโทษเรา ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น คนที่จะอยู่รอดได้คือต้องมีความหลากหลาย ทุกคนเลยต้องมีสวนที่หลากหลาย

“เราเลยต้องกลับย้อนไปดูว่าไร่ของเรามีอะไรบ้าง พืชผักเมื่อก่อนมีอะไรบ้าง เขาทำ 1 ปี กิน 2 ปี หรืออาจจะเก็บเมล็ดพันธุ์อีกปีหนึ่งได้ เราต้องพูดถึงเรื่องการผลิตเมล็ดพันธุ์แล้ว ในดินในไร่มันมีอะไรบ้าง เขาก็ปลูกเผือกนี่ แล้วบนดินล่ะ ผักเยอะแยะ เราก็กินไม่ใช่เหรอ ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งก็มีผักอีก พืชเมืองหนาวจะอยู่ชั้น 3 แต่ถ้าเป็นกาแฟจะอยู่ชั้น 4 ชั้น 5 แล้วถามว่าแต่ละชั้นน่ะกินฤดูไหน กาแฟ ผลไม้เก็บช่วงพระจันทร์เต็มดวงเพราะสะสมธาตุอาหารดีที่สุด รสชาติดีที่สุด แล้วข้างแรมล่ะ ธาตุอาหารลงดิน พวกเผือก พืชที่มีหัว เหล่านี้คือภูมิปัญญาทั้งหมด แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาจะมีการเก็บรวบรวมไว้เป็นข้อมูลออกมา ซึ่งของปกาเกอะญอจะอยู่ในบทธา เราต้องเอามาปรับใช้ให้ได้”

แสดงว่าวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมก็สำคัญ?

“ผมคิดว่าการคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเป็นเรื่องที่ยาก แต่ชาวปกาเกอะญอจะมีคำว่าน้ำบ่อหน้า น้ำบ่อหลัง คือเราจะไม่มีแต่อะไรใหม่ๆ ในขณะเดียวกันเราก็จะไม่มีแต่อะไรเก่าๆ สองอย่างนี้เราจะผสมมันอยู่ด้วยกันได้อย่างไร

“ทำไมผมถึงชูเรื่องเกษตร มองเรื่องการจัดการทรัพยากร ซึ่งตอนแรกก็ยังไม่ได้มองเรื่องการศึกษานะ แต่ว่าพอทำแล้วมันเกี่ยวข้องกันหมด เช่น ถ้าเรายังใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้วทรัพยากรไม่ดี รอบโรงเรียนมีแต่เคมี นักเรียนก็ไม่มีความสุข ยังไม่พอ อย่างเรื่องอาหารกลางวันเด็กก็ยังไม่ปลอดภัยเลย พ่อแม่ถูกส่งเสริมให้ใส่เคมีเต็มที่ลงไปในผักเพื่อขายที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ครูก็เอาผักพวกนี้มาให้เด็กกิน ทำไมมันไม่ส่งจากบ้านไปโรงเรียน แล้วเคมีมันหายไปจากกลางทางเหรอ (หัวเราะ)

“ผมว่ามันเกี่ยวข้องกัน เขาบอกว่าการศึกษาเดี๋ยวนี้ต้องรู้เท่าทัน เรียนรู้ให้เยอะ เรียนอะไร? การเกษตร ธรรมชาติและการศึกษามันเชื่อมโยงกัน ถ้าคนรุ่นใหม่แต่งงานมีลูก ต้องส่งลูกไปโรงเรียน ต้องมีค่าใช้จ่าย คนรุ่นใหม่ก็ต้องรู้ว่าจะจัดการศึกษาของลูกอย่างไร รูปแบบไหน ถ้าลูกคุณไปเรียนหนังสือ คุณจะวางแผนชีวิตให้ลูกยังไง การศึกษาทางเลือกไหม แล้วคุณคิดว่าอนาคตของลูกคุณไม่เกิดขึ้นในโรงเรียนได้ไหม พ่อแม่เป็นคนสอนเองได้ไหม พื้นที่ที่ลูกจะได้วิ่งเล่นมีไหม ทุกวันนี้วิ่งไปเล่ยไปเท่ยไม่ได้นะ ยาฆ่าหญ้านะ ต้องใส่รองเท้าบูทอย่างดีนะ (หัวเราะ)”

เราคุยกันจนมืดค่ำ รอบกายเงียบสงบและอากาศบริสุทธิ์ ปกาเกอะญอหนุ่มบอกว่าวิถีเกษตรยั่งยืนมันสุนทรียะ การสู้กับตัวเองที่จะใช้ชีวิตแบบนี้และสู้เพื่อคนอื่นด้วยก็ถือเป็นสุนทรียะเช่นเดียวกัน เขาไม่ได้อยู่ในโลกเพียงลำพัง

แม้ครั้งหนึ่งคนในชุมชนจะมองว่าเขาเป็นคนบ้าที่ลุกขึ้นมาทำการเกษตรและวางคอนเซ็ปท์ที่ไม่คุ้นเคย แต่กวิ๊ก็ผ่านช่วงเวลาของการเดินทางกลับบ้านมาพิสูจน์ให้ครอบครัวเชื่อใจ ผ่านความวูบไหวของการดริปกาแฟไม่เป็นเมื่อ 10 ปีก่อน มาจนถึงตอนนี้ที่เขาก็ยังคิดหาทางแปรรูปพลับที่ออกผลอยู่เต็มสวนแต่ไม่ค่อยมีใครทำอะไรกับมันมากนัก หวังให้คนรุ่นใหม่หรือรุ่นใดก็ตามลองมากินกาแฟ หรือชนจอกเหล้าบ๊วยด้วยกันบ้าง

“ถึงแม้ว่าผมจะทำกาแฟ แต่วันหนึ่งก็กินแค่แก้วเดียวล่ะมั้ง (หัวเราะ) เมื่อก่อนผมคาดหวังกับชุมชน กับคนนั้นคนนี้สูงเกินไป โดยที่ผมไม่รู้ว่าผมเองก็ทำไม่ได้ ผมเลยใช้คำว่าถอยหลังไปข้างหน้า ทุกวันนี้เส้นที่เราจะเดินมันมีเยอะมาก แล้วทุกคนก็เดินหน้าจนไม่คิดจะหยุด ไม่คิดจะถอยไปตั้งหลัก เราอาจจะถอยไปตั้งหลักบ้างแล้วก็ไปต่อ ผมจะต้องทำตัวเองเป็นฐาน เป็นพื้นที่ที่ทำให้เขาเห็น

“กาแฟที่นี่ผมเปิดให้กินตลอด บางวันผมบอกว่าอย่ามาชิมแต่ฝีมือผมสิ คุณลองมาดริปเองก็ได้ แล้ววันหลังผมจะขอไปกินดริปของคุณที่บ้านคุณบ้าง”

Tags:

อำนวย นิยมไพรเวศน์เกษตรกรผู้ประกอบการ(entrepreneurship)สิ่งแวดล้อมปกาเกอะญอชาติพันธุ์

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Unique Teacher
    เรียนรู้เพื่ออยู่ร่วม อยู่รอด และอยู่อย่างมีความหมาย ในห้องเรียนที่กว้างเท่าผืนป่า : ‘ครูหนุ่ม-นิติศักดิ์’ ศูนย์การเรียนหญ้าแพรกสาละวิน

    เรื่อง ศากุน บางกระ

  • Voice of New GenCreative learning
    กีฬาเยาวชน ‘เบ๊อะบละตู’ : สนามนี้ไม่ได้มีไว้ชนะ แต่ชวนปกาเกอะญอรุ่นใหม่รักษาสิทธิดูแลป่า

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Everyone can be an Educator
    ‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    เคาะประตูบ้าน ส่งต่อเพลงซอและนิทาน สืบสานต่อโดยละอ่อนปกาเกอะญอ

    เรื่องและภาพ The Potential

อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน2) เด็กต้องการการสบตาและการเล่นกับพ่อแม่ตัวเป็นๆ มากกว่าสิ่งใด
EF (executive function)
6 August 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน2) เด็กต้องการการสบตาและการเล่นกับพ่อแม่ตัวเป็นๆ มากกว่าสิ่งใด

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

หากคิดว่าความคลั่งไคล้แผ่นเพลงโมซาร์ทสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์จะเป็นเรื่องสุดท้าย ลองอ่านเรื่องการสอดไอพอดเข้าไปในช่องคลอดของคุณแม่ตั้งครรภ์เพื่อเปิดเพลงกระตุ้นความฉลาดของลูกน้อยเสียก่อน

ข้อเขียนนี้แปล ถอดความ เก็บความ เขียนใหม่ และเขียนเพิ่มเติมจากบทความเรื่อง ‘Can You Super-Charge Your Baby?’ ของ Erik Vance ตีพิมพ์ในวารสาร Scientific American ฉบับพิเศษ Your Inner Genious, winter 2019 หน้า 72-77

​ต่อจากตอนที่แล้ว

​“ถ้าลูกของดิฉันเดินได้เมื่ออายุ 10 เดือนแทนที่จะเป็น 13 เดือน เขาจะได้เป็นหนึ่งในทีมนักวิ่งเร็วกว่าคนอื่นหรือเปล่า?” เป็นคำถามของ คาเรน อดอล์ฟ นักจิตวิทยาเด็กที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค “การเร่งพัฒนาการของกล้ามเนื้อจะมีผลระยะยาวหรือเปล่า?”

ถัดจากเรื่องการเร่งพัฒนาการด้านภาษาและคณิตศาสตร์ด้วยสินค้าที่โฆษณาว่าเร็วกว่าดีกว่าในตอนที่แล้ว ตอนนี้เรามาดูเรื่องการเร่งพัฒนาการของกล้ามเนื้อ

​เราพบว่าเราสามารถเร่งให้ทารกนั่ง คลาน และเดินได้จริงๆ เรื่องนี้ทำได้ไม่ยากแต่ประโยชน์ที่ได้จะคุ้มค่าจริงหรือเปล่า ในปี 1935 นักจิตวิทยามัยร์เทิล แม็คกรอว์ ได้ฝึกทารกคนหนึ่งของเขาให้ว่ายน้ำ ปีน และเล่นสเก็ตในขณะที่ปล่อยให้ลูกแฝดอีกคนหนึ่งนั่งคลิปแบบที่ทารกทั่วไปจะได้นั่งกันอีกนาน เขาพบว่าเมื่อถึงเวลาลูกแฝดคนที่สองนี้ทำได้ทุกอย่างที่อีกคนหนึ่งทำ

​การเร่งพัฒนาการของกล้ามเนื้อนี้มิได้มีผลเฉพาะกล้ามเนื้อแต่มีผลต่อความคิดอ่านด้วย เด็กที่นั่งได้เร็วกว่าจะเอื้อมมือคว้าของได้ไกลกว่า เด็กที่เดินได้เร็วกว่าจะสำรวจโลกได้ไวกว่า มองในแง่นี้เร็วกว่าย่อมดีกว่า อย่างไรก็ตามพัฒนาการด้านการคิดมิได้มาจากพัฒนาการกล้ามเนื้อที่เร็วกว่าเพียงอย่างเดียว นั่งเร็วยืนเร็วกว่าแล้วจะฉลาดกว่าจึงมิใช่แน่ๆ

คาเรน อดอลฟ์ เล่าต่อไปว่านักวิ่งทาราอูมารา (Tarahumara) ที่เม็กซิโกเริ่มวิ่งตั้งแต่อายุน้อยแต่ไม่มีใครคลานหรือเดินเร็วกว่าเด็กทั่วไป ทุกวันนี้เธอทำงานที่คาจิกิสถานที่ซึ่งแม่มัดลูกไว้กับตัวทั้งวันก็ไม่พบว่าเด็กจะเดินช้ากว่าเด็กทั่วไป ประการหลังนี้ชวนให้นึกถึงชาวเขาบ้านเราที่กระเตงลูกบนตัวออกไปทำไร่ทั้งวัน น่าสนใจมากว่าเด็กเหล่านี้เดินช้าหรือเปล่า แต่เท่าที่เห็นด้วยตาเปล่าพวกเขาวิ่งเร็วมากบนไหล่เขาและหยุดกึ้กได้เมื่อถึงหน้าผา

ถึงปัจจุบันไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนการ supercharge เด็กเล็กว่าจะมีประโยชน์อะไร แต่มีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับการละเล่นพื้นฐานว่ามีประโยชน์มากมายแน่ อาหารสำคัญต่อร่างกาย การเล่นคืออาหารของจิตใจ การเล่นพัฒนาการภาษา การคิด มิติสัมพันธ์ และเสริมสร้างพรสวรรค์ด้วยกลไกที่นักวิทยาศาสตร์พยายามทำความเข้าใจ (แปลว่ายังไม่เข้าใจ)

ของเล่นสองชนิดที่ถูกกล่าวขวัญมากคือบล็อกไม้และเลโก้ ของเล่นสองชิ้นนี้เสริมสร้างความฉลาดด้านมิติสัมพันธ์แน่ๆ และในบางรายงานเสริมสร้างความสามารถด้านคณิตศาสตร์ด้วย ผลการศึกษานี้ไม่น่าแปลกใจเพราะของเล่นสองชิ้นนี้ช่วยให้เด็กรู้จักสิ่งที่เรียกว่ารูปทรง การเปลี่ยนตำแหน่ง และแรงดึงดูดโลก ซึ่งก็คือพื้นฐานของฟิสิกส์

นึกภาพเด็กคนหนึ่งเล่นรถตักดินของเล่นบนกองทรายดูเถิด เขาจะฟิสิกส์ขนาดไหน มันน่าดูชมมาก

จะมีการเรียนรู้เรื่องแรงดึงดูดโลกอะไรที่สนุกสนานยิ่งกว่าการปีนอีกเล่า

เด็กคนหนึ่งสามารถใช้ขันเก่าๆ ตักทรายขึ้นมาเทลงไป แล้วทำซ้ำๆ เช่นนั้นได้นานสองนานโดยไม่เบื่อ เพราะอะไร เพราะเขาสนุกที่ได้เห็นปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ด้วย ‘ฝีมือ’ ของตนเอง คำสำคัญจึงเป็นคำว่าฝีมือ เขาเล่นกองทราย ต่อบล็อกไม้ ขัดใจก็ปา สร้างเสร็จก็เตะทิ้ง หรือถ้ารวยพอจะเล่นเลโก้ ทุกคนกำลังเรียนรู้ฟิสิกส์กันทั้งนั้น

หนึ่งในฟิสิกส์ที่เข้าใจยากและซับซ้อนคือเรื่อง ‘เวลา’ 

ดิมิตรี คริสทาคิส ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันได้อธิบายข้อเสียของการที่ปล่อยให้ทารกหรือเด็กเล็กดูหน้าจอว่ามิใช่เพราะจำนวนเวลาที่ดูเท่านั้นที่ต้องระวัง แต่เป็นเพราะความเร็วของการเปลี่ยนภาพด้วย เกมสมัยใหม่ โฆษณาและการ์ตูนยุคใหม่มีการเปลี่ยนภาพหน้าจอที่รวดเร็ว ความเร็วนี้จะไปกำหนด ‘จังหวะ’ ของสมองเหมือนกับที่เครื่องเคาะจังหวะเมโทรนอม (metronome) ทำกับนักดนตรี

ทารกและเด็กจะสร้าง “เวลาที่เคลื่อนที่เร็วเกินไป” ขึ้นมาบนโลก จะเห็นว่าทารกและเด็กเล็กมิได้อยู่ภายใต้กฎทางฟิสิกส์ เขาสร้างกฎทางฟิสิกส์ขึ้นมาเอาเองต่างหาก

การกำหนดจังหวะของโลกเร็วเกินไปนี้เองทำให้พวกเขาสมาธิสั้น

การปล่อยให้เด็กวิดีโอคอลกับปู่ย่าตายายจึงเป็นเรื่องทำได้เพราะปู่ย่าตายายมิใช่การ์ตูน ดังนั้นท่านกรุณานั่งคุยให้เรียบร้อยอย่าทำเว่อร์มากไป

​ดิมิตรี คริสทาคิส ได้วิจัยในหนูทดลองโดยใช้กลูตาเมท (glutamate) ซึ่งเป็นสารในสมองที่ตอบสนองต่อการเรียนรู้และความจำเป็นตัวบ่งชี้ เขาพบว่าหนูที่ถูกกระตุ้นมากเกินไปจะมีความทนทานต่อโคเคนมากกว่าหนูทั่วไป ความรู้ข้อนี้มิได้แปลว่าเด็กติดจอจะติดยาในเวลาต่อมา แต่เขาพบว่าร้อยละ 10 ของเด็กที่ดูจอก่อน 2 ขวบเมื่อสิบปีก่อนจบลงด้วยการติดยา

กลไกหนึ่งของยาเสพติดคือมันทำให้จังหวะของโลกช้าลง ช้าลงมากพอที่พวกเขาจะก้าวทันได้

ทั้งหมดที่เขียนมามิได้บอกว่าของเล่นเด็กทันสมัยมีโทษ แต่เรามีคำถามเรื่องประโยชน์คุ้มค่า และเรามิอาจปฏิเสธความจริงที่ว่าเด็กต้องการการสบตาจากพ่อแม่ และการเล่นกับพ่อแม่ตัวเป็นๆ มากกว่าอย่างอื่น

กลับไปที่ตอนต้นของบทความนี้ เมื่อสองสามีภรรยาพบยางกัดสำหรับทารกเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา พวกเขามิได้ซื้อของเล่นชิ้นนี้มาแต่ไปซื้อขนมปังแช่แข็งถุงละ 99 เซ็นต์กลับไปให้ลูกกัดเล่นเพื่อนวดเหงือกแทน

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความที่เกี่ยวกับการเล่นของ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ที่นี่:
อ่าน เล่น ทำงาน: พลังของการเล่นสร้าง EF
อ่าน เล่น ทำงาน: ห้ามเล่น = หยุดการสร้างสมองของคุณหนูๆ
อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร
อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร
อ่าน เล่น ทำงาน: เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่
อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ
อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นปาของดีอย่างไร? ดีตรงปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด
อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”

Tags:

การเล่นประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษา

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ห้ามเล่น = หยุดการสร้างสมองของคุณหนูๆ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

พอกันทีถ้าต้องทำงานไปแบบใจเฉาๆ ปลุกไฟในตัวเราให้พร้อมทำงานกันเถอะ
How to enjoy life
6 August 2019

พอกันทีถ้าต้องทำงานไปแบบใจเฉาๆ ปลุกไฟในตัวเราให้พร้อมทำงานกันเถอะ

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ฟองซ่าของโซดามีวันหมดไปฉันใด ภาวะหมดไฟล้วนมาเยือนทุกคนได้ฉันนั้น
  • การหาแรงจูงใจใหม่ๆ เพื่อปลุกไฟให้กลับมาเป็นสิ่งที่ควรทำ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกเคว้งคว้างคล้ายคนกำลังจมน้ำในคลองตื้นๆ มาบั่นทอนจิตใจและคุณค่าในตัวเอง
  • บทความชิ้นนี้มีคำแนะนำ 3 วิธีจุดไฟให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง แนะนำโดย ศาสตราจารย์อายีเลท ฟิชบัค ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมศาสตร์และการตลาดที่ทำวิจัยศึกษาการสร้างแรงจูงใจ the University of Chicago’s Booth School of Business

การมีแรงจูงใจในตัวเองหรือ Self-Motivation นั้น ไม่ใช่จะมีกันทุกคน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถรักษามันไว้ไปตลอดเส้นทางชีวิตการทำงานของคนหนึ่ง ฟองซ่าของโซดามีวันหมดไปฉันใด ภาวะหมดไฟล้วนมาเยือนทุกคนได้ฉันนั้น บางคนยืนอยู่จุดสูงสุดของพีระมิด รู้ทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง หมดความท้าทาย หมดเป้าหมาย หมดไฟในการทำงาน การเปลี่ยนงานอาจเป็นตัวเลือกสุดท้าย

แต่ถ้าวัยและสายงานไม่อำนวยเช่นนั้น การหาแรงจูงใจใหม่ๆ เพื่อปลุกไฟให้กลับมาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกเคว้งคว้างคล้ายคนกำลังจมน้ำในคลองที่ตื้นแสนตื้นมาบั่นทอนจิตใจและคุณค่าในตัวเอง

บทความนี้ขอหยิบยกวิธีจุดไฟในการทำงานให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง แนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมศาสตร์และการตลาดที่ทำวิจัยศึกษาการสร้างแรงจูงใจ ศาสตราจารย์อายีเลท ฟิชบัค (Ayelet Fishbach) แห่ง the University of Chicago’s Booth School of Business มาเล่าสู่กันฟัง

1.ระบุเป้าหมายให้เจาะจง

เช่น ตั้งเป้ายอดขายให้ชัดๆไปเลยว่าจะเพิ่มลูกค้าให้มากขึ้นเป็น 10 เจ้าต่อเดือนแทนที่จะตั้งเป้าว่ายอดต้องเพิ่มจากเดิมแบบหลักลอย เมื่อระบุเป้าเจาะจงชัดเจนอย่างนี้จะทำให้เราโฟกัสไปที่การบรรลุเป้าหมายเพียงอย่างเดียว

นอกจากเป้าหมายชัดเจน แรงจูงใจจากตัวเองที่เป็นการได้ทำตามฝัน ได้ทำสิ่งที่รัก อาจนำไปหาเป้าหมายได้ง่ายกว่าแรงจูงใจภายนอกเช่น ภาวะจำยอมตามหน้าที่ ความคาดหวังจากที่บ้าน ความเกรงใจ หรือเงินค่าจ้างก็ตามที แต่ถึงอย่างนั้น เอาเข้าจริงหลายคนอาจค้านสุดตัวว่า ฉันเป็นคนประเภทเงินซื้อไม่ได้ ถ้าไม่ ‘มากพอ’ (ซึ่งแปลว่า เงินซื้อฉันได้ถ้ามากพอ) ทุกวันนี้เลยต้องทนทำงานที่เบื่อหน่ายมาเป็นสิบปีเพราะโบนัสที่บริษัทจ่ายตอนสิ้นปีมันยากจะปฏิเสธจริงๆ

จุดนี้อาจารย์ฟิชบัคอธิบายว่า เป็นเรื่องสุดแสนจะธรรมดาที่แรงจูงใจภายนอกที่คุ้มค่าบางอย่างสามารถมีอิทธิพลเหนือความต้องการที่แท้จริงของเราได้ ความฝันที่จะเป็นเจ้าของคอฟฟี่ช็อปเล็กๆ อาจถูกแรงจูงใจในรูปของความมั่นคง ความสุขสบาย ค่าผ่อนบ้านผ่อนรถ ค่าเทอมลูก ฝังกลบซะมิด ดังนั้นจะว่าไปแล้วพื้นที่ของแรงจูงใจภายในที่เป็นความสุขจากการเป็นตัวของตัวเองและเห็นคุณค่าของมัน กับฝั่งที่เป็นแรงจูงใจภายนอกซึ่งสนองตอบความต้องการทางสังคม อีโก้ ก็เลยแทบกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ บางทีอาจไม่สำคัญเท่าไหร่ว่าแรงจูงใจมาจากตัวเราเองหรือภายนอก ค้นหาเป้าหมายให้ได้คือสิ่งสำคัญกว่า คำถามที่ต้องหมั่นตั้งกับตัวเองเสมอคือ “เรากำลังทำสิ่งที่ทำอยู่นี้เพื่ออะไร และเพื่อใคร”

2. หาแรงจูงใจที่จะนำไปสู่เป้าหมายให้ดี

ไม่ผิดเลย ถ้าแรงจูงใจจะเป็นเงินเดือน ตำแหน่ง เกียรติยศ และความมั่นคงในชีวิตที่มันคุ้มค่าพอ ในเมื่อสู้อุตส่าห์ลงทุนฝึกฝนร่ำเรียนมาเพื่อรับผิดชอบงานความเสี่ยงสูง หรืออาชีพเฉพาะทางที่อาศัยความเชี่ยวชาญพิเศษ อย่างแพทย์ วิศวกรเคมี หรือนักบิน มาลองปฏิบัติตามคำแนะนำที่อาจารย์ฟิชบัคบอกว่านอกจากจะช่วยให้เราสร้างแรงจูงใจให้ชีวิตมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วยังทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นด้วย

ข้อแรก คือ อย่าเอาแต่ไล่ตามสิ่งจูงใจจนทำงานแค่ให้เสร็จเร็วที่สุด มากที่สุดจนละเลยประสิทธิภาพ เซลล์ที่ตั้งหน้าตั้งตาขายเอายอดจำนวนลูกค้าให้ถึงเป้าแต่ไม่สนความพึงพอใจด้านบริการก็อาจต้องเสียลูกค้าไปอยู่ดี

ข้อสอง อย่าสร้างแรงจูงใจที่หักล้างเป้าหมายที่วางไว้ เช่น ถ้าให้รางวัลตัวเองที่ลดน้ำหนักสำเร็จเป็นไก่ทอด BonChon เซ็ทใหญ่กับบิงซู After You ก็เท่ากับว่าที่เพียรพยายามออกกำลังกายและคุมอาหารมาเต็มที่กลับสูญเปล่าเอาตอนท้ายสุด

ข้อสาม หาแรงจูงใจที่ท้าทายแต่เป็นไปได้ เช่น ถ้าเป้าหมายอยู่ที่การออมเงินให้ได้หนึ่งล้านภายในอายุสามสิบ รางวัลใหญ่ของลอตเตอรี่อาจยั่วใจกว่าการซื้อสลากออมสินหรือลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลก็จริง แต่โอกาสถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่นั้นเป็นไปได้ยากกว่ามาก

ข้อสี่ หาแรงจูงใจที่ทำให้เราไม่คิดล้มเลิกกลางคัน เช่น วางเดิมพันกับภารรยาว่าถ้าเลิกบุหรี่ไม่สำเร็จ จะอดหอมแก้มลูกไปทั้งปี

3. หมั่นเช็คไฟในตัวเอง

เมื่อครั้งแรกเริ่มยังไฟแรง แต่อีกหลายปีต่อมาไฟริบหรี่ใกล้ดับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรู้สึกอิ่มตัวว่าไม่สามารถเรียนรู้หรือพัฒนาตัวเองไปได้ไกลกว่านี้ อาจารย์ฟิชบัคแนะว่า

ข้อหนึ่ง แบ่งเป้าหมายใหญ่ออกเป็นเป้าหมายย่อย เช่น จากตั้งเป้ายอดขายรายปี แบ่งย่อยเป็นรายสัปดาห์ว่าต้องทำยอดให้ได้เท่าไหร่ ความสำเร็จจากเป้าหมายย่อยจะเป็นกำลังใจให้ก้าวสู่เป้าหมายต่อไปจนบรรลุเป้าหมายในที่สุด

ข้อสอง เช็คตัวเองเสมอว่าเราเข้าใกล้เป้าหมายแค่ไหน เหมือนการสะสมแต้มบัตรเครดิตไปแลกซื้อของที่หมายตาไว้ เราสะสมได้แล้วกี่แต้มและเหลืออีกกี่แต้มจะครบเป้า

ข้อสาม หาแรงบันดาลใจหรือแบบอย่างจากไอดอลที่เรานับถือหรือคนเก่งที่มีทัศนคติดี มองคนเก่งรอบตัวแล้วสังเกต เรียนรู้จากเขาว่า เขาบริหารจัดการเวลาและตัวเองอย่างไรจึงยังชิวกับงานกองพะเนินอยู่ได้ เขาวางเป้าหมายให้ตนเองอย่างไรและทำไมถึงมีไฟกับมันได้ขนาดนั้น

ข้อสี่ ให้คำแนะนำกับผู้อื่นดูบ้าง วิธีนี้อาจารย์ฟิชบัคชี้ว่าช่วยให้คนหมดไฟผ่านพ้นอาการตีบตันในการทำงานและกอบกู้ความมั่นใจในตัวเองได้ดีที่สุด เมื่อให้คำแนะนำผู้อื่น ตัวเราเองก็ได้ใคร่ครวญปัญหาที่เจอในมุมมองของคนนอก เราอาจมองเห็นทางออกใหม่ และวางแผนอนาคตให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

แรงจูงใจในการทำงานคือเชื้อเพลิงที่ช่วยหล่อเลี้ยงไฟในการทำงานให้ยังมีพลังแข่งขันต่อสู้กับความยากลำบาก อุปสรรค หรือแม้แต่ความเบื่อหน่ายเพื่อเรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไปได้ การรักษาแรงจูงใจไว้ให้ได้จะช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาตกต่ำยามที่ความเหนื่อยล้าเข้ามาบดบังเป้าหมายที่แท้จริง

และด้วยหลักยึดจากเทคนิคข้างต้นนี้ เราจะไม่ปล่อยตัวให้จมอยู่กับหนทางตัน แต่จะสามารถหาเชื้อไฟใหม่ๆ ผลักดันตัวเองให้ก้าวย่างอย่างมั่นคงไปสู่จุดที่มุ่งหวังในทางใดทางหนึ่งตราบใดที่ชีวิตยังไม่หมดลมหายใจ

อ้างอิง
เรียบเรียงจากบทความเรื่อง How to Keep Working When You’re Just Not Feeling It

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ชีวิตการทำงานแรงจูงใจในตัวเอง(Self motivation)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • Life Long Learning
    คุณจะนอนเล่นมือถือบนโซฟา หรือลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปหาเป้าหมายของตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Creative learningCharacter building
    ‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character building
    รู้อะไรก็ไม่สู้ ลองดูแล้ว ‘ลงมือทำ’

    เรื่อง

11 วิธีสร้างสิ่งแวดล้อมให้เด็กเป็นผู้นำ: เคารพตัวเอง มุ่งมั่น ยืดหยุ่น ตัวอย่างนิสัยข้างในที่เด็กๆ จะได้
Character building
5 August 2019

11 วิธีสร้างสิ่งแวดล้อมให้เด็กเป็นผู้นำ: เคารพตัวเอง มุ่งมั่น ยืดหยุ่น ตัวอย่างนิสัยข้างในที่เด็กๆ จะได้

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • หากมอง ‘ภาวะผู้นำ’ ลึกลงไปในแง่ลักษณะเฉพาะ หรือ อุปนิสัย (trait) การมีภาวะผู้นำหมายถึง ข้างในคุณต้องเป็นคนที่รู้จักตัวเอง, เคารพตัวเอง, มีมิตรไมตรี, มุ่งมั่น, สนใจใคร่รู้, ปรับตัวยืดหยุ่น, มีความฉลาดทางอารมณ์, ยุติธรรม สำคัญที่สุด มีพลังงานบางอย่างทำให้คนอยู่ใกล้มอบความเคารพไว้วางใจให้
  • 1 วิธีสร้างความเป็นผู้นำ และตีความกลับไปว่า วิธีดังกล่าวนี้ สร้างอุปนิสัยภายในอะไรให้พวกเขา

‘ภาวะความเป็นผู้นำ’ หรือ Leadership 1 ใน 16 ทักษะในศตวรรษที่ 21 (21st century skills) หมวด Character Qualities –กลุ่มทักษะด้านคุณสมบัติ, คุณลักษณะ หรือ นิสัย ที่คนคนหนึ่งจะมีเพื่อแก้ปัญหาในโลกอนาคตที่จะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

ทำไม ‘ภาวะความเป็นผู้นำ’ จึงสำคัญในศตวรรษที่ 21

คำอธิบายทั่วไปจากสภาเศรษฐกิจโลก หรือ world economic forum อธิบายว่า เพราะโลกในอนาคต (อันที่จริงต้องบอกว่าคือโลกในปัจจุบัน!) เชื่อมโยงถึงกัน เส้นพรมแดนประเทศพร่าเลือน เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว กระทั่งความรู้ก็มีอายุสั้นลงเรื่อยๆ

ในภาวะการณ์เช่นนี้ ระดับทั่วไป – มนุษย์จำเป็นต้องยืดหยุ่น อดทนต่อความขึ้งเครียดกดดันจากการทำงาน ยอมรับความหลากหลายทางความคิดและวัฒนธรรม เฉพาะหมวดการทำงาน – ซึ่งไม่มีใครรู้ว่างานในอนาคตจะเป็นไปในรูปแบบไหน ทักษะผู้นำจะเข้ามารับใช้เรื่องความสัมพันธ์กับผู้คน

ไม่เท่านั้น โลกต้องการผู้นำที่มาพร้อมกับไอเดียใหม่ๆ พร้อมจะยอมเสี่ยง พร้อมสร้างแรงบันดาลใจ พร้อมจะหากลยุทธ์ใหม่ในโลกเพื่อท้าทายการทำงานที่เปลี่ยนเร็ว ขนาดใหญ่ และซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ  

ที่อยากชวนพูดคุยไม่ใช่แค่การ ‘สร้าง’ ภาวะผู้นำ แต่ลึกลงไปในระดับภายใน คนที่เป็นผู้นำมักมีสายตาแบบไหน นิสัยเล็กๆ น้อยๆ อะไรที่ทำให้คนเรามีภาวะผู้นำ

Psychology Today นิตยสารด้านจิตวิทยาอธิบายภาวะผู้นำในแง่ cognitive science – วิทยาศาสตร์พุทธิปัญญา หรือกล่าวได้ว่าเป็นการศึกษาวิทยาศาสตร์ในแง่สหวิทยา ตั้งแต่ด้านภาษาศาสตร์ มานุษยวิทยา จิตวิทยา รวมทั้งวิทยาศาสตร์สมอง ว่า…

หากมอง ‘ภาวะผู้นำ’ ลึกลงไปในแง่ลักษณะเฉพาะ หรือ อุปนิสัย (trait) การมีภาวะผู้นำหมายถึง ข้างในคุณต้องเป็นคนที่รู้จักตัวเอง, เคารพตัวเอง, มีมิตรไมตรี, มุ่งมั่น, สนใจใคร่รู้, ปรับตัวยืดหยุ่น, มีความฉลาดทางอารมณ์, ยุติธรรม สำคัญที่สุด มีพลังงานบางอย่างทำให้คนอยู่ใกล้มอบความเคารพไว้วางใจให้

ซึ่งทั้งหมดนี้ท้าทายว่า เราจะสร้าง ‘คาแรคเตอร์’ ‘อุปนิสัย’ หรือ ‘ลักษณะเฉพาะ’ ภายในของคนให้มีและเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ยีนหรือพันธุกรรมกำหนดคาแรคเตอร์ส่วนตัวจริงหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าสภาพแวดล้อม พื้นที่ที่เราเติบโต เอื้อและสร้างให้เรามีภาวะผู้นำ… อย่างไรมากกว่า 

11 วิธีสร้างภาวะผู้นำให้เด็กๆ

ท่ามกลางบทความแนะนำฉบับ ‘How to’ นับพันจากสื่อมวลชนทุกแขนง คาริน เฮิร์ท (Karin Hurt) และ เดวิด ดาย (David Dye) นักพูดและเทรนเนอร์ระดับโลกเรื่องภาวะผู้นำ และเจ้าของหนังสือรางวัล Winning Well : A Manager’s Guide to Getting Results Without Losing Your Soul แนะนำ 11 วิธีสร้างภาวะผู้นำให้เด็กๆ แบบเข้าใจง่าย สร้างสรรค์ และน่าหยิบยืมทดลองไปใช้ 

คาริน และ ดาย อาจไม่ได้ตีความไปถึงอุปนิสัยภายใน แต่ผู้เขียนอยากลองตีความลึกลงไปว่า แต่ละวิธีจะกลับไปสร้างคุณลักษณะภายในอย่างไร 

1. สร้างสภาพแวดล้อม สร้างบทบาทให้เด็กได้เป็น ‘ผู้ให้’: สร้างสถานการณ์ให้เค้าได้แบ่งปันสิ่งของ แต่จะไม่ได้ให้บทบาทอย่างเดียว แต่ชวนคิดด้วยว่าพวกเค้าคิดอย่างไรกับการให้แบบนี้ เวลาที่แบ่งสิ่งของ ให้ตั้งคำถามว่า ทำไมเค้าถึงให้ บทบาทการให้จึงจะนำไปสู่ทำให้เด็ก sense เรื่อง การเห็นอกเห็นใจผู้คนที่มีสถานการณ์ไม่เหมือนตัวเอง

2. พูดกับเขาเหมือนพูดกับผู้ใหญ่: เด็กๆ ฉลาดกว่าที่คุณเห็น คุยกับเขาได้เลยเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ชวนเขาคุยถึงคนที่มีบทบาทแตกต่างจากพวกเขา วิธีนี้จะพัฒนาทักษะการฟังและเคารพมุมมองของผู้อื่น

3. ให้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมตัดสินใจปัญหาครอบครัว: เลือกปัญหาหรือสถานการณ์บางอย่างที่ต้องการการตัดสินใจ ชวนให้เด็กๆ ได้ร่วมลงความเห็น ระหว่างพูดคุย พ่อแม่มอนิเตอร์วงคุยทำให้ทุกคนรับฟังกันจริงๆ เพื่อตัดสินใจร่วมกันได้ 

เช่นกัน วิธีนี้สร้างคาแรคเตอร์ของการ ‘ฟังอย่างลึกซึ้ง’ (deep listening) ลองคิดดูว่าจะดีแค่ไหนถ้าผู้นำของคุณมีคุณสมบัติการเป็นผู้ฟังที่ดี ฟังอย่างตั้งใจ นอกจากทำให้คุณรู้สึกว่าได้รับความเคารพไม่ตัดสินแล้ว ความเห็นทั้งหมดของเรายังถูกนำไปพัฒนาต่อยอดได้ 

4. สร้างบรรยากาศการอ่าน: ไม่ใช่แค่อ่าน แต่ชวนเด็กๆ คุยเรื่องคาแรคเตอร์และความสัมพันธ์ของผู้คนในหนังสือ ข้อนี้คล้ายกับข้อ 2 นั่นคือความเข้าใจบทบาทและมุมมองของผู้คนหลากหลาย หากตีความเรื่อง trait การอ่านมอบสายตาแห่งความ ‘เข้าอกเข้าใจ’ (empathy) ให้กับผู้นั้นได้เสมอ 

5. พาเด็กๆ ไปทำงานกับคุณ ให้บทบาทเขาทำงานจริง:  พาเขาไปทำงานจริงกับคุณได้เลย และมอบหมายงานที่เป็นรูปธรรมให้เขาบริหารจัดการจริง ที่ทั้งคู่แนะนำคือพ่อแม่ต้องอธิบายกระบวนการให้พวกเขาฟังอย่างชัดเจนแล้วจึงถามความเห็นเพื่อให้เขาอธิบายวิธีคิดต่อรูปแบบที่พวกเขาเลือกทำ

ชัดเจนว่าวิธีนี้สร้างความมุ่งมั่นและการปรับตัวยืดหยุ่น เพราะทุกการทำงานไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน การยืดหยุ่นเปลี่ยนวิธีคิดในการทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคย่อมเกิดขึ้นเสมอ และนี่ตรงกับพื้นฐาน 3 อย่างของ EF (working memory, inhibit, shift) ในเรื่อง shift การปรับตัวยืดหยุ่น 

6. ยอมรับเวลาคุณทำผิด: ชวนคุยเวลาคุณทำอะไรผิดพลาด เด็กๆ ต้องรู้ว่าผู้ใหญ่ทำผิดกันแบบไหน ให้เขารู้ว่าไม่มีใครเพอร์เฟ็คท์ แต่ทุกคนที่พลาดจะมีบทเรียนเพื่อเรียนรู้ หนึ่งในวิธีสร้างคาแรคเตอร์การเป็นผู้นำที่ดีให้เด็ก คือให้เห็นว่าคุณเองก็ยังเรียนรู้เพื่อเติบโตอยู่ทุกวันด้วย

ข้อนี้ผู้เขียนตีความว่าเด็กๆ จะเคารพตัวเองและมีสายตาแห่งความยุติธรรม เพราะเมื่อเด็กๆ ไม่มีทัศนคติลบต่อความผิดพลาด ในเวลาที่เขาทำผิด เขาจะกล้ายอมรับอย่างตรงไปตรงมา 

7. แวดล้อมด้วยคนที่มีภาวะผู้นำ: เพราะเด็กๆ ไม่เรียนจากการสั่งสอน แต่เขาจะเป็นในสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็น เป็นอย่างสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ การแวดล้อมเด็กๆ ด้วยผู้คนที่มีวิสัยทัศน์แบบผู้นำเป็นวิธีการเรียนรู้เรื่องนี้ที่แยบยลอีกทางหนึ่ง 

8. ให้เป็นผู้กล่าวต้อนรับเวลามีงานที่บ้าน: ในวันรวมญาติ งานปาร์ตี้ที่จะมีคนมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเยอะๆ ให้เด็กได้เป็นผู้กล่าวต้อนรับหรือเปิดวงอาหาร หรือการคิดบทพูดว่าพวกเขาดีใจแค่ไหนที่ทุกคนมารวมกันในที่แห่งนี้

เฮิร์ทและดายไม่ได้อธิบายว่าวิธีการนี้ดีอย่างไร แต่ผู้เขียนทึกทักเอาเองว่า วิธีการนี้ทำให้เด็กๆ ต้องรู้จักผู้ที่มาร่วมงานทุกคน กำกับตัวเองและบทบาทว่าจะต้องร่างสุนทรพจน์สั้นๆ อย่างไร ไม่ใช่แค่มิตรไมตรีและความสนใจใคร่รู้ในตัวแขกที่จะเกิดกับเด็กๆ แต่ความมั่นใจในความคิดและการแสดงออกย่อมเกิดขึ้น

9. สร้างเครือข่าย: การทำให้เด็กๆ เห็นความสำคัญของเครือข่ายไม่ใช่แค่รู้จักคนมาก แต่มาพร้อมกับความสัมพันธ์เรื่องความซื่อสัตย์ต่อกลุ่ม ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากต่อการทำงานเป็นทีม 

10. ช่วยเด็กหาอัตลักษณ์ของตัวเอง: ต้องไม่ลืมช่วยเด็กๆ ค้นหาความหลงใหลของพวกเขา วิธีการง่ายๆ คือชวนเขาคุยหรือเขียนถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ เฮิร์ทและดายไม่ได้กล่าวไว้อีกเช่นกัน แต่ข้อนี้ผู้เขียนเห็นว่า มันไม่สำคัญเลยว่าเด็กๆ จะชอบหรือมี passion ต่อสิ่งที่เขาบอกว่าชอบในวันนี้มากหรือยาวนานแค่ไหน สำคัญคือ เด็กๆ รู้ว่าเขาจะพูดในสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ตัวเองรู้สึกชอบและหลงใหลได้ในปัจจุบัน ถ้ากลับไปเรื่อง trait ที่อธิบายข้างต้น นี่คือเรื่องเดียวกับการรู้จักตัวเอง

11. คำถามที่เฉียบคม: ‘ถ้าไม่ทำวิธีนี้ ทำวิธีอื่นได้ไหม?’ ‘ทำไมวิธีนี้ถึงเวิร์คล่ะ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม?’ คำถามเหล่านี้ไม่ชี้นำ แต่ชวนคุ้ยตะกอนความคิดของเด็กๆ ให้ฟุ้งขึ้น คำถามที่ชาญฉลาดและเอื้อให้เด็กๆ ได้คิด จะช่วยร่างกรอบความคิดให้ชัดเจนขึ้น และเด็กๆ เองจะได้วิธีการเหล่านี้-ถามให้คิด ไม่ชี้นำ ทักษะของผู้นำส่วนใหญ่ ไปใช้ในชีวิตประจำวันด้วย

กล่าวอีกครั้ง เราจะสร้าง ‘คาแรคเตอร์’ ‘อุปนิสัย’ หรือ ‘ลักษณะเฉพาะ’ ของคนให้มีและเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ยีนหรือพันธุกรรมกำหนดคาแรคเตอร์ส่วนตัวจริงหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าสภาพแวดล้อม พื้นที่ที่เราเติบโต เอื้อและสร้างให้เรามีภาวะผู้นำอย่างไร… นี่เป็นตัวแปรที่สำคัญมากกว่า

กล่าวอีกครั้ง เราจะสร้าง ‘คาแรคเตอร์’ ‘อุปนิสัย’ หรือ ‘ลักษณะเฉพาะ’ ของคนให้มีและเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ยีนหรือพันธุกรรมกำหนดคาแรคเตอร์ส่วนตัวจริงหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าสภาพแวดล้อม พื้นที่ที่เราเติบโต เอื้อและสร้างให้เรามีภาวะผู้นำอย่างไร… นี่เป็นตัวแปรที่สำคัญมากกว่า

ที่มา:

psychologytoday.com/

psychologytoday.com/

letsgrowleaders.com/

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsภาวะผู้นำ(leadership)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    การพัฒนาคนคือ ‘งาน craft’ การศึกษาจึงต้องไร้พรมแดน: พิเชษฐ์ เบญจมาศ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    11 วิธี ฝึกเด็กๆ พร้อมเป็นผู้นำ

    เรื่อง The Potential ภาพ antizeptic

  • 21st Century skills
    10 ทักษะผู้นำของคนในวงการไซเบอร์ ที่โลกอนาคตต้องการ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

ภารกิจสร้างวงโยฯ​ และการเรียนรู้ครั้งใหม่วัย 51 ของครูผู้เล่นดนตรีไม่เป็น
Life Long LearningUnique Teacher
5 August 2019

ภารกิจสร้างวงโยฯ​ และการเรียนรู้ครั้งใหม่วัย 51 ของครูผู้เล่นดนตรีไม่เป็น

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • ครูบลู ครูสอนดนตรีระดับมัธยม โรงเรียนวัดสะแกงาม ได้รับภารกิจใหญ่จากผู้อำนวยการให้สร้างวงโยธวาทิตขึ้นมา แม้จะสอนดนตรีเป็นวิชาหลัก แต่การทำวงโยฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย ครูบลูเริ่มต้นจากศูนย์ ต้องนั่งเรียนรู้เรื่องดนตรีและเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดไปพร้อมเด็กๆ 
  • แม้อีก 9 ปี ครูบลูจะเกษียณอายุราชการ แต่ไม่เคยคิดหยุดเรียนรู้ การได้มาทำวงโยฯ ช่วยเคาะสนิมทำให้ครูอยากเรียนอีกครั้ง โดยเลือกเรียนต่อในระดับปริญญาโท ด้านดนตรีในคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
  • “สิ่งสำคัญคือเราไม่ได้หวังว่าจะต้องเป็นวงโยฯ ที่เก่งที่สุด ในฐานะครูแค่ให้เขารู้สึกว่าช่วงชีวิตหนึ่งตอนที่เขาอยู่มัธยมเขาได้เป็นนักดนตรี เขาเคยเล่นดนตรีก็พอ” ภารกิจสร้างวงโยฯ ครั้งนี้ นอกจากเติมเต็มตัวครูเองแล้ว ยังช่วยให้เด็กๆ ค้นหาตัวเอง เพิ่มทักษะด้านดนตรี ประโยชน์คือเด็กๆ อาจใช้ดนตรีต่อยอดเป็นอาชีพในอนาคตได้

เสียงเครื่องเป่าจากเด็กๆ วงโยธวาทิตโรงเรียนวัดสะแกงาม ย่านพระราม 2 ดังขึ้นบริเวณหน้าห้องดนตรีเป็นประจำทุกวันหลังเลิกเรียน โดยมี ‘ครูบลู’ อัฒฑวินทร์ ธนเดชสำราญพงษ์ วัย 51 ครูประจำวิชาดนตรีระดับมัธยมต้น เป็นผู้ฝึกซ้อม 

แต่กว่าเครื่องดนตรีแต่ละชนิดจะประกอบกันเป็นวง – ไม่ใช่เรื่องง่าย

ใครจะรู้ว่าเสียงดนตรีที่เกิดขึ้นทุกวันหลังเลิกเรียน เกิดจากครูผู้สอนที่ไม่มีความรู้เรื่องดนตรีมาก่อน ย้อนไปหลายปีที่แล้ว ครูบลูได้รับโจทย์ใหญ่จากผู้อำนวยการโรงเรียนให้ฟอร์มวงโยธวาทิตขึ้นมา โดยมีระยะเวลากำหนดให้หนึ่งปีเท่านั้น จากครูเบ็ดเตล็ดที่สอนมาแล้วทุกวิชา งานช่าง เกษตร สังคม ภาษาไทย แม้ทุกวิชาที่กล่าวมาจะไม่ใช่ทางถนัด แต่ครูก็ตั้งใจและทำมันออกมาให้ดีที่สุด 

ครูบลูจบเอกโขน จากวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ และหลงใหลในการวาดรูป แม้ปัจจุบันจะเบนเข็มกลับเข้ามาสอนในแขนงศิลปะ แต่วิชาดนตรีที่ครูรับผิดชอบ ทำให้ครูต้องเรียนรู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา โดยลงทุนไปเรียนต่อปริญญาโท ด้านดนตรี คณะดุริยางคศาสตร์โดยเฉพาะ

ภารกิจสร้างวงโยธวาทิตครั้งนี้พาครูบลูไปเคาะสนิมการเรียนรู้ของตัวเองในวัยใกล้เกษียณ ครูต้องทำความรู้จักเครื่องดนตรีแต่ละชนิด ที่สำคัญนอกจากเรียนดนตรีเพื่อเล่นให้เป็นแล้ว ยังต้องเรียนการเป็นผู้สอนดนตรีอีกด้วย และความทุ่มเทครั้งนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ในที่สุดโจทย์ที่ผู้อำนวยการมอบหมายให้ก็ลุล่วง ครูบลูทำให้วงโยธวาทิตเกิดขึ้นจริง-และตอนนี้กำลังมีวงโยฯ รุ่นสอง

อะไรทำให้ครูผู้นี้ ไม่กลัวที่จะเริ่มเรียนรู้ครั้งใหม่ในวัยใกล้เกษียณ

ทำไมถึงเลือกเรียนนาฏศิลป์ แล้วเข้ามาทำงานเป็นครูได้อย่างไร

เป็นเรื่องบังเอิญ เพราะเราชอบเรียนวาดรูป อยากวาดรูป คิดว่าการเรียนในวิทยาลัยนาฏศิลป์คงได้เรียนวาดรูปด้วย แต่ชีวิตคงถูกขีดไว้แล้ว จึงได้เข้าเรียนด้านนี้เลย แต่เราชอบนะ ชอบศิลปะอยู่แล้ว 

ไม่ได้อยากเป็นครูเลยนะ เป็นคนไม่ได้มีความคาดหวังในชีวิตขนาดนั้น ไม่อายที่จะบอกว่าเราเป็นคนไม่คิดอะไรเยอะ ย้อนไปตอนปี 2534 สอบบรรจุเป็นครูได้ในโรงเรียนสังกัด กทม. แห่งหนึ่ง พอได้สอนจริงแล้วรู้สึกว่า อาชีพครูไม่ใช่ทางของเรา อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นยังเป็นเด็กจบใหม่ วิธีการคิดและการทำงานแบบผู้ใหญ่มันไม่เข้ากับเรา จึงตัดสินใจลาออกไปทำงานที่โรงละคร จากนั้นก็ผันตัวไปทำงานออร์แกไนซ์อยู่สักพัก จากนั้นก็ฟอร์มทีมทำงานเกี่ยวกับนาฏศิลป์และดนตรีไทย 

การที่เราตัดสินใจลองทำหลายๆ อย่าง อย่างไม่รีบร้อน เพราะเราอยากเรียนรู้ก่อน คิดว่าชีวิตเรายังมีโอกาสเลือกได้อีกเยอะ หากวันหนึ่งเราอยากกลับมาเป็นครูอีกครั้ง สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดจะเป็นต้นทุนให้เรา 

จนปี 2540 เราตัดสินใจกลับเข้ามาสอบบรรจุครูที่โรงเรียนวัดสะแกงาม นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็เป็นครูมา 21 ปีแล้ว

ตอนเป็นครูครั้งแรก เห็นอะไร ทำไมต้องทบทวนกับตัวเองว่า ‘ครูเป็นอาชีพที่เหมาะกับเราหรือไม่’

เห็นความแตกต่าง เรามีเพื่อนครูที่สอนอยู่โรงเรียนเอกชน สอนอยู่ในโรงเรียนมัธยม สอนอยู่ในโรงเรียนนาฏศิลป์ แต่ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เราพบว่าเด็กไม่มีอะไรเลย โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ในเขตรอบนอก ยังคงมีปัญหาและความไม่พร้อมอย่างยิ่ง แต่พอได้ทดลองไปทำงานอื่น เวลา 6 ปีผ่านไป เราเข้าใจอะไรมากขึ้น จึงอยากกลับมาเป็นครูอีกครั้ง

พอชีวิตได้พลิกมารับบทบาทครูอีกครั้งเป็นอย่างไรบ้าง

การเป็นครูในสังกัด กทม. ในยุคนั้น เราต้องสอนหลายวิชามาก ครูใหญ่มีคำสั่งให้สอนอะไรก็ต้องสอนให้ได้ (หัวเราะ) เพราะครูขาดแคลน จำได้ว่าอาทิตย์แรกเคยไปสอนเด็กอนุบาล จากนั้นขยับมาสอน ป.1-ป.2 สอนวิชาการงานและอาชีพ สอนงานประดิษฐ์ สอนพละ เราสอนได้หมดขอแค่มีหนังสือ จน 4 ปีผ่านไป ได้ขยับขึ้นมาสอนเด็กมัธยม แต่ก็ยังไม่ได้สอนวิชาตรงเอกที่เราจบมา เฉียดไปสอนเกษตร สอนภาษาไทยบ้าง 

สมัยนั้นยังไม่มีการปฏิรูปการศึกษาอย่างชัดเจน แค่มีหนังสือเรียนเป็นคู่มือและสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์ไปก็เพียงพอสำหรับยุคนั้น แต่สิ่งที่เราพยายามเสริมคือเรื่องทักษะชีวิต เราจะบอกเด็กและผู้ปกครองทุกรุ่นเสมอว่า “ครูบลูอาจจะสอนหนังสือไม่เก่งนะ แต่สอนทักษะชีวิตพอใช้ได้”

ทักษะชีวิตเรื่องอะไรบ้าง

การอยู่ร่วมกัน การใช้ชีวิตกับผู้อื่น เพราะความคาดหวังของเด็กขยายโอกาสทางการศึกษาในสังกัด กทม. ด้วยคาแรคเตอร์ของเด็กอาจจะไม่ได้คาดหวังทางวิชาการมากนัก ส่วนใหญ่ที่เข้ามาเรียนคือเด็กในชุมชนรอบๆ ครูขอให้เขาอยู่รอด อยู่เป็น จนจบ ม.3 จากนั้นเขาจะไปต่อเทคนิค เรียน ปวช. เรียนอาชีวะก็ปล่อยไปตามทางเขา หรือถ้าใครไปต่อสายสามัญได้จะถือว่าดีมากๆ ในยุคนั้น

ดังนั้นสิ่งที่เราพยายามเน้นคือมุมมองต่อการวางแผนชีวิตตัวเอง เมื่อคุณเรียนมา 3 ปีแล้ว คุณจะไปทางไหนต่อ? โดยใช้วิธีคุยกับเด็กๆ อย่างเปิดใจตั้งแต่เขาอยู่ ม.1 เหมือนเราเป็นครูแนะแนว เราวางตัวเองไม่ใช่แค่ครูประจำวิชา เป็นทั้งเพื่อน เป็นพี่ เป็นพ่อแม่ เป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากให้เป็น

ปัจจุบันครูได้กลับมาสอนในวิชาที่ตัวเองจบมาแล้วหรือยัง

ตอนนี้สอนวิชาดนตรีเป็นหลักแล้ว แต่ก็ไม่ได้สอนในลู่วิชาที่เราจบมาโดยตรงอย่างนาฏศิลป์

ฉะนั้นการเป็นครูสอนดนตรี จึงเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ครูอยากทำวงโยธวาทิตขึ้นมาหรือเปล่า

การเกิดขึ้นของวงโยฯ เป็นเรื่องที่จักรวาลจัดสรรขึ้นมา (หัวเราะ) เราไม่เคยรู้มาก่อน ก่อนหน้านี้โรงเรียนวัดสะแกงามไม่เคยมีวงโยฯ วันดีคืนดีมีรถขนอุปกรณ์ดนตรีมาส่งที่ห้องดนตรี เราก็เซ็นรับแบบงงๆ จากนั้นเราก็ไปแจ้งผู้อำนวยการโรงเรียนว่า “มีเครื่องดนตรีมาส่งแล้วนะ ผอ. จะให้ใครดูแลในส่วนนี้” ผอ. ก็หันมาบอกว่า “ให้เรานั่นแหละเป็นผู้ดูแล” จังหวะนั้นเราก็ “โอ๊ย จะทำได้อย่างไร ไม่ได้จบมา สอนไม่เป็น เล่นดนตรีไม่เป็น” ผอ. จึงใช้วิธีจ้างครูข้างนอกมาสอนก่อน 1 ปีโดยที่ให้เราเรียนรู้ไปกับเด็ก เผลอๆ อาจจะเรียนหนักกว่าด้วยซ้ำ

สมมุติเด็กเรียนการเป่าเครื่องดนตรี แต่เราต้องเรียนการสอนการเป่าอีกที เวลาว่างๆ ก็ต้องมาฝึกเป่าเครื่องดนตรีนั้นให้เป็น อย่างน้อยก็ให้มันมีเสียงออกมาให้ได้

ถึงแม้เริ่มต้นจากความไม่รู้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปต้องจริงจังขึ้น ครูบลูใช้วิธีการฟอร์มวงอย่างไร

จากวันแรกเราใช้วิธีหว่านประกาศรับสมัครเด็ก ตอนนั้นแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่รู้ว่าจะมีเด็กมาสมัครไหม เพราะไม่มีตัวอย่างให้เขาเห็น ปรากฏว่ามีเด็กสนใจ 20 กว่าคน เราก็รับหมดทุกคน ใครอยากเล่นเครื่องอะไรก็จับจองได้เลย 

ในช่วงแรก ผอ. จึงให้ ‘ครูกบ’ ซึ่งเป็นทหารจากกองดุริยางค์มาช่วยฟอร์มวงก่อนเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งในเวลานั้นเราก็ต้องเรียนรู้ไปพร้อมเด็ก เราต้องเรียนรู้เครื่องดนตรีทุกชนิด รวมๆ ก็เป็น 10 ชนิด ความยากคือเด็กหนึ่งคนต้องเรียนรู้ดนตรีหนึ่งเครื่อง แต่คนเป็นครูผู้สอนต้องเรียนรู้ทุกเครื่อง ซึ่งแต่ละเครื่องมีรายละเอียดต่างกัน เป่าต่างกัน ใช้นิ้วกดต่างกัน เสียงไม่เหมือนกัน เรามีเวลาแค่ 1 ปีเรียนรู้กับครูกบ ถ้าครูกบไปแล้ว เราจะต้องเป็นคนฟอร์มวงให้เด็กวงโยฯ รุ่นต่อไป 

ณ เวลานั้น รู้สึกกลัวหรือกดดันไหม?

ไม่กลัว คิดอย่างเดียวว่าต้องทำให้ได้ ตอนเด็กๆ เรียนกับครูกบ เราก็นั่งเรียนไปด้วย นั่งดูว่าครูกบสอนอย่างไร ถ่ายทอดอย่างไร สมมุติตัวเราเป็นผู้เรียนเอง สิ่งหนึ่งที่เห็นคือครูวงโยฯ มักจะดุ เป็นเพราะเขาอยากให้เด็กเล่นเครื่องดนตรีได้ไวๆ จนเผลอลืมไปว่าการเรียนดนตรีมันยาก พอตัวเรามาเริ่มต้นเรียนใหม่จริงๆ จึงทำให้รู้ว่าดนตรีมันยากจริงๆ ด้วย ฉะนั้นเราจึงกลายเป็นครูวงโยฯ ที่ไม่ดุเลย เพราะเราเข้าใจว่ามันยาก เข้าใจแล้วว่าทำไมเด็กถึงเป่าไม่ได้ 

แล้วในแง่ของเด็กๆ ระหว่างการเรียนดนตรีกับครูบลูกับครูกบ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

เราพยายามเช็คตัวเองตลอด แต่จะไม่เปรียบเทียบ อีกแง่หนึ่งก็พยายามทำให้เด็กเข้าใจว่าทำไมครูกบต้องดุ การเป็นครูในสายทักษะ ไม่ใช่แค่สอนจบแล้วแยกย้าย มันต้องคลุกคลี มันมีความผูกพัน เราอยู่กับเด็กตลอด ถ้าเป่าไม่ได้ เล่นดนตรีไม่ได้ ต้องพยายามเข้าใจ

นอกจาก ‘ความยาก’ ในการทำวงโยฯ ครูบลูพบปัญหาอะไรอีกบ้าง

มีแค่ความยากอย่างเดียว แต่เราแก้ปัญหาโดยการฝึกตัวเองให้เล่นดนตรีให้ได้ ซึ่งเด็กวงโยฯ รุ่นแรกไม่น่าห่วงเพราะมีครูกบช่วย แต่รุ่นต่อไปเราต้องดูแลทั้งหมดเอง การฟอร์มวงในวันที่ไม่มีครูกบแล้ว มันก็ยากนะสำหรับเรา เราใช้วิธีคล้ายเดิมในการเริ่มต้นใหม่ แต่จะไม่กดดันให้เด็กเล่นดนตรีเป็นเร็วๆ เพราะเข้าใจว่ามันยาก ให้เวลาเด็ก แล้วก็ให้เวลาตัวเอง

พอเห็นเด็กเล่นเครื่องดนตรีได้ เพราะเราสอน ครูรู้สึกอย่างไร

โอ้โห มันพราวด์มากเลย รู้สึกว่า ฉันก็ทำได้ (หัวเราะ)

ส่วนใหญ่งานที่วงจะเล่นก็เป็นงานโรงเรียนทั่วไป งานวันพ่อ วันแม่ งานต้อนรับผู้ว่าฯ ตามแต่ใครจะเรียกใช้งาน ซึ่งพอเราฟอร์มวงไปสักพัก เริ่มเข้าที่เข้าทาง ก็เริ่มรู้สึกอยากลงประกวด 

ตอนนั้นมีเวทียามาฮ่าลูกทุ่งคอนเทสต์ เราก็เตรียมวงและส่งเข้าประกวด แต่ถ้าให้เทียบกับวงอื่น วงเราเล็กและอ่อนประสบการณ์ที่สุด ซึ่งใครจะเรียกว่าเป็นวงไม้ประดับก็ไม่เป็นไร เราไม่ได้หวังรางวัลยิ่งใหญ่ เพราะโลกไม่ได้เดินเข้ามาหาเด็ก แต่เรากำลังพาเด็กเดินเข้าไปหาโลก สุดท้ายจะไม่ได้รางวัลก็ไม่เสียใจ 

เราแค่อยากพาเด็กมาสัมผัสโลกของคนดนตรี ให้เด็กๆ ได้รู้ว่าโลกดนตรีมันเป็นอย่างไร รวมไปถึงพาไปเจอพี่ๆ น้องๆ ในสายดนตรี 

เพื่อไม่ให้มันน่าเบื่อ ครูดีไซน์การสอนวงโยฯ แบบฉบับตัวเองอย่างไร

โดยปกติเราเริ่มเรียนทีละเสียง ให้เด็กรู้สึกคุ้นกับเสียง หัดฟัง เมื่อเริ่มคุ้นชินก็ลงมือเป่า ตรงนี้จะเป็นจุดยาก ศักยภาพแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นการที่จะทำให้เด็กสนุกเราก็เล่นดนตรีไปกับเขา เอาโน้ตเพลงมาหลายๆ เพลง แต่หยิบแค่บางส่วนมาเล่น แต่ไม่เต็มเพลง เช่น โน้ตเพลงหนูมาลี ง่ายๆ ให้เขาสนุก และรู้สึกไม่ยากเกินไป

สิ่งสำคัญคือเราไม่ได้หวังว่าจะต้องเป็นวงโยฯ ที่เก่งที่สุด ในฐานะครูแค่ให้เขารู้สึกว่าช่วงชีวิตหนึ่งตอนที่เขาอยู่มัธยมเขาได้เป็นนักดนตรี เขาเคยเล่นดนตรีก็พอ

เพราะเด็กบางคนไม่เคยถูกคาดหวังทางวิชาการ แต่พอเขามาเล่นดนตรี เขากลับทำได้ ทำให้เขารู้สึกว่า “หนูทำอย่างอื่นได้นะ” “หนูมีค่านะ” มันมีผลต่อตัวเด็กมาก ครูไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าหนูจะเก่งในเรื่องนี้ที่สุดในโลกหรือเปล่า แต่สนใจเรื่องราวระหว่างทางที่อยู่ด้วยกันว่ามันจะเป็นอย่างไร มีอะไรที่ก้าวหน้าขึ้นบ้าง หนูพัฒนาตัวเองไปไกลได้แค่ไหนนับจากวันแรกที่มาเรียน

แล้วในแง่ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ระหว่างครูบลูกับเด็กวงโยฯ เป็นอย่างไร

โห มันเกิดอะไรขึ้นเยอะมากนะ ในแง่สถานที่ห้องดนตรีก็เหมือนบ้านของเขา หลังจากเขาเลิกเรียน เป็นเวลาที่ซ้อมดนตรี แต่ก่อนจะซ้อมเขาจะกิน เล่น นอน หรือทำการบ้านก่อนก็ตามสะดวก ทุกอย่างมันเกิดในบ้านหลังนี้ ส่วนความสัมพันธ์ของครู มันมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย เพราะเราใช้เวลาอยู่กับเขามากกว่าครูในวิชาอื่นๆ  

ช่วยยกตัวอย่างเด็กนักเรียนที่เข้ามาอยู่ในวงโยฯ เขาเติบโต พัฒนา หรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

มีเด็ก 4 คน ที่เขาจบไปจากวงโยฯ ได้รับเหรียญทองจากการประกวดแข่งขันที่เซี่ยงไฮ้ 

อีก 2 คนที่ไม่ได้เรียนต่อวิทยาลัยนาฏศิลป์ ไปเรียนต่อในสายสามัญ แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งดนตรี สิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจจะไม่ใช่การสร้างหรือพัฒนาวินัยในตัวเอง แต่การที่เขาได้เข้ามาอยู่ในวงโยธวาทิตมันจะช่วยเขาในการค้นพบตัวเองมากกว่า ทำให้เขารู้ว่าเขาชอบอะไร ทำอะไรได้บ้าง และยังมีอีกหลายๆ คน ที่แม้ไปเรียนที่อื่น แต่เราก็ยังมีความผูกพันให้กัน 

เด็กบางคนเข้ามาอยู่ในวงโยฯ เขากลับค้นพบว่าตัวเองชอบเล่นกล้อง ก็ผันไปเป็นช่างภาพ บางคนเรียนไม่จบเพราะไม่มีทุนเรียนต่อ แต่เขายังใช้วิชาดนตรีในการหาเลี้ยงชีพ หรือบางคนเรียนไม่จบแต่เขาก็มีเป้าหมาย มุ่งมั่นที่จะใช้ทักษะดนตรีที่มีเข้าไปสมัครเป็นทหาร เพื่อจะได้ลงเหล่าดุริยางค์ 

ผลที่เกิดขึ้นแบบนี้ มันสำคัญแค่ไหนสำหรับความเป็นโรงเรียนขยายโอกาส

มันช่วยเติมอะไรให้เด็กได้เยอะ อย่างน้อยๆ เขาได้ประโยชน์จากการที่เขาได้อยู่กับดนตรี ไม่ได้เรียนรู้แค่วิธีการเล่นดนตรี แต่การที่เด็กคนหนึ่งได้อยู่ใกล้ใครเขาจะซึมซับวิธีการคิดแบบคนคนนั้นไปด้วย 

เช่นเดียวกับที่เราไปเรียนปริญญาโท ในคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ซึ่งเราไม่เคยคิดจะเรียนปริญญาโทมาก่อน แต่พอมาทำวงโยฯ ก็ตัดสินใจไปเรียนต่อในด้านนี้ โดยก่อนเรียนเราลังเลอยู่พักหนึ่ง เตรียมตัว หาข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันที่เราจะไปเรียน มีการปรึกษาเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เป็นครูดนตรีด้วยกัน (เขาทราบดีว่าเราไม่ได้จบดนตรีมา เมื่อมีปัญหาก็จะได้รับความช่วยเหลืออยู่เสมอ) ซึ่งทุกคนเชียร์ให้ไปเรียนต่อ

พอได้ไปเรียนจริงๆ เรารู้สึกได้รับประโยชน์มาก นอกจากเทคนิค วิชาความรู้ เราซึมซับวิธีคิดอื่นๆ มาจากครู ซึ่งไม่ต่างจากเด็กๆ ที่มาอยู่กับเรา เขาก็คงซึมซับจุดนี้ได้เหมือนกัน 

อะไรที่ทำให้ครูลังเล และรู้สึกว่าไม่ต้องเรียนต่อ

เพราะในทุกวันของเรา มันมีหลายๆ สิ่งที่ทำให้รู้สึกมีคุณค่าตลอด เราพอใจในคุณค่าของความเป็นครูแล้ว เลยไม่ได้รู้สึกอยากไปเป็นอย่างอื่น ที่รู้สึกพอใจกับชีวิตความเป็นครูแล้ว มันอยู่ที่มุมมองเล็กๆ น้อยๆ เช่น แค่เราสามารถจัดการไม่ให้เด็กทะเลาะกันได้ มันก็ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่าในทุกๆ วัน 

แล้วทำไม สุดท้ายครูถึงตัดสินใจไปเรียนต่อ

เพราะ ‘เด็ก’ เพราะเราอยากสอนเขาให้ดีๆ อยากมีวิธีการสอนที่ถูกต้อง อยากให้มันออกมาดีที่สุด เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เพราะอย่างที่บอก ปีนี้อายุ 51 แล้ว อายุราชการที่เหลือก็คงไม่ได้กลับมาสอนอีกแล้ว 

การไปเรียนต่ออย่างจริงจังครั้งนี้ ช่วยอะไรเด็กได้บ้าง

ได้ครับ เราได้รู้ว่าเราจะต้องสอนดนตรีเขาอย่างไร เราได้ทบทวนตัวเอง การจะเป็นครูสอนดนตรี มันจะต้องเข้าใจดนตรี มีจิตวิทยาด้านดนตรีประกอบด้วย ก็จริงที่บางอย่างเราอาจจะสอนได้ บรรลุตามวัตถุประสงค์ แต่มันผิดหลักการ ให้เข้าใจง่ายๆ แทนที่เราจะสอน 1-2-3-4-5 จนถึง 10 แต่เรากลับสอน 5-4-3-1-2 แม้จะถึง 10 เหมือนกัน แต่มันผิดหลักวิธีการสอนดนตรี

การเรียนรู้ครั้งใหม่ของครูบลู ช่วยเติมเต็มอะไรในตัวครูเองบ้าง

เติมเต็ม ต้องมีความคาดหวังไหม? (หัวเราะ) เราคาดหวังให้มีเทคนิคดีๆ เพื่อนำมาสอนดนตรีเด็กๆ ซึ่งมันตอบโจทย์แล้ว แต่สิ่งที่เติมเต็มต่อจากนี้มันมีเยอะเลย โลกทัศน์ของเราเปิดกว้าง เราไปเรียนกับคนที่เป็นครูดนตรีจริงๆ เราได้รู้จักคนมากมาย ได้รู้จักครูที่สอนดนตรีในมหาวิทยาลัย ได้รู้จักครูที่สอนวงโยฯ ชนะอันดับหนึ่งของประเทศ เราโชคดีที่ได้รู้จักคนเครือข่ายเหล่านี้ นี่เป็นของแถมที่เกิดขึ้น

รู้สึกมั่นใจขึ้นไหม อารมณ์ในการสอนวงโยฯ ของครูบลูเปลี่ยนไปอย่างไร ระหว่างก่อนไปเรียน-หลังไปเรียน

ก่อน-หลัง ไปเรียน ไม่ต่างกัน เรารู้สึกสนุกกับการทำวงโยฯ อยู่แล้ว แต่หลังจากได้ไปเรียนต่อ ป.โท เมื่อเราเจอปัญหาที่เราไม่สามารถผ่านไปได้ เราสามารถปรึกษาคนอื่นได้ และนำเทคนิคเหล่านั้นมาปรับใช้ให้เข้ากับเด็กและวงของเรา

สนุกไหม ได้กลับไปเรียนอีกครั้ง

สนุกมากเลยครับ

ไม่มีความกลัวหรือกังวลใจบ้างเลยหรือ เช่น อายุ

ไม่เลยๆ เราเป็นคนชอบเรียนอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เราอยู่ที่นี่ อยู่ที่โรงเรียนขยายโอกาส แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เราไม่ได้อยากจะไปสอบหรือต้องการเลื่อนขั้นไปไหน เป้าหมายอย่างเดียวที่ทำให้ไปเรียน เพื่อกลับมาสอนความรู้กับเด็กแค่นั้น ส่วนเรื่องอายุ ไม่มีปัญหา ตอนไปเรียนเราอายุประมาณ 45 ปี ซึ่งเท่ากับเพื่อนๆ ที่ไปเรียน เพียงแต่เขาเรียนปริญญาเอก 

วงโยฯ ในฝันของครูบลู หน้าตาเป็นอย่างไร

(หัวเราะ) แค่เป็นวงที่ครูและนักเรียน รู้สึกสนุกกับการเล่นดนตรีก็พอแล้ว 

ต้องมีความสุขด้วยไหม

แต่เวลาทำอะไรแล้ววัดจากความสุข ก็อาจจะสำเร็จได้ง่าย แต่ความลึกซึ้ง ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างกัน มันยากนะ 

สมมุติเราทำอะไรด้วยกันอยู่บนความสุข เราจะจำช่วงเวลานั้น จำรอยยิ้มได้ แต่ถ้ามันทุกข์ เรียนดนตรีแล้วเครียด กลับไปก็มีแต่เหนื่อยล้า มีแต่ความกดดันจะต้องทำให้ได้ มันคงไม่ใช่ทางของเรา รวมถึงคงไม่ใช่ทางที่เด็กน่าจะชอบด้วย 

ดังนั้นจะบอกกับเด็กเสมอ ‘เรียนก่อนค่อยเลือก’ เรียนให้รู้ว่าไม่ใช่ ไม่เป็น ไม่เอา ไม่ชอบ ไม่อยู่ ไม่มีความสุข ก็ไม่ว่ากัน เลิกเรียนได้ แต่ต้องค้นหาตัวเองต่อไป

ที่ครูบลูมีความสุข เพราะครูสอนดนตรี ไม่ได้สอนวิชาการหรือเปล่า

ครูทุกคนมีภาระหนักเป็นของตัวเอง การเรียนในวิชาดนตรีไม่ได้แปลว่าละทิ้งวิชาการ การเรียนดนตรีมีการสอบ การตัดเกรด ดังนั้นครูหนีงานวิชาการไม่ได้อยู่แล้ว ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักสูตรที่กำหนด จริงๆ แล้วครูที่สอนวิชาการก็สามารถสร้างความสุขในแบบตัวเองได้ แต่ต้องหาวิธีเป็นของตัวเอง มีอย่างเดียวที่เราโชคดีกว่าคือการทำวงโยฯ หรือการสอนดนตรี มันเพิ่มโอกาสทำให้เราใกล้ชิดกับเด็กขึ้นเท่านั้นเอง

ความหมายของคำว่า ‘เรียนรู้’ แบบฉบับครูบลูคืออะไร

ทุกอย่าง อย่างไม่มีขีดจำกัดด้วย ทุกอย่างคือการเรียนรู้หมด ครูเองก็ต้องเรียนรู้จากเด็กตลอดเวลา ไม่ใช่แค่เขามาเรียนความรู้กับเราเพียงอย่างเดียว เราต้องอยู่กับเขา ทำงานกับเขา ต้องเรียนรู้เด็กทุกคน นิสัยใจคอ สิ่งที่เขาชอบ-ไม่ชอบ การใช้ชีวิตของเขา เรียนรู้เพื่อให้เข้าใจเด็กแต่ละคน 

เทคนิคการเรียนรู้ของเราคือการบอกด้วยเองอยู่เสมอว่า ‘เราอายุ 18’ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่า ในวันที่เราอายุ 18 ตอนนั้นคิดและรู้สึกอย่างไร เวลาเราเห็นเด็กทำอะไรแปลกๆ หรือทำอะไรนอกลู่นอกทาง เราจะได้ทบทวนเพื่อเข้าใจว่าเขาทำแบบนั้นเพราะอะไร

Tags:

โรงเรียนดนตรีอัฒฑวินทร์ ธนเดชสำราญพงษ์

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Movie
    Better  Days: ชีวิตใครบางคนคงไม่แตกสลาย ถ้าทุกคนหยุดการบูลลี่ก่อนที่จะมันจะกลายเป็นอาชญากรรม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    สอนให้เด็กรู้ว่าอารมณ์ไม่ใช่ผู้ร้าย เรียนรู้และเข้าใจตัวเองผ่านดนตรี: กฤษดา หุ่นเจริญ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ชุติมา ซุ้นเจริญ

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์
  • ‘ผิดเป็นครู’ เรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทุกคนสามารถลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าได้เสมอ: รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ
  • Gen Z กับ แชทบอท: เพราะโลกเปลี่ยวเหงา เราจึงไขว่คว้าความสัมพันธ์เสมือนจริง
  • The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา
  • ‘เพราะเด็กในวันนี้คือคนขับเคลื่อนประเทศในวันหน้า’ มายด์เซ็ตที่ถูกต้องของระบบการศึกษานอร์เวย์: ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel