Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: November 2019

นิศาชล คำลือ: ถึงอวกาศจะไม่มีอากาศ แต่ทำให้อยากหายใจเพื่อค้นหาดาวดวงต่อไป
Life classroomVoice of New Gen
13 November 2019

นิศาชล คำลือ: ถึงอวกาศจะไม่มีอากาศ แต่ทำให้อยากหายใจเพื่อค้นหาดาวดวงต่อไป

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ‘กิ๊ก’ นิศาชล คำลือ คือ เด็กสาวอายุ 18 ปีที่ลาออกจากโรงเรียนตอน ม.5 เพราะตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรพรากเวลาไปจากตัวเองอีกแล้ว 
  • กิ๊ก เป็นเด็กสาวที่เอาคาบการโคจรของบริวารดาวยูเรนัสมาเป็นเสียงดนตรีเมื่อตอนอายุ 17 ปี
  • กิ๊กยอมรับว่าเป็นโรคซึมเศร้า ย่างเข้าปีที่สอง และกิ๊กมาพร้อมรอยแผลจากการกรีดบริเวณข้อมือ…จำนวนนับไม่ถ้วน
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

“เพราะมีเหตุจึงมีผล เพราะมีผลจึงเข้าใจ เพราะเข้าใจจึงอภัย”

เพราะประโยคนี้ของเธอ ทำให้เราตัดสินใจนัดหมาย ‘กิ๊ก’ นิศาชล คำลือ หนึ่งในกำลังสำคัญของทีม SPACETH.CO เพื่อทำความรู้จักให้มากกว่านี้ 

นี่คือโปรไฟล์คร่าวๆ ของกิ๊กที่เรารู้ล่วงหน้า ก่อนได้เจอหน้ากันจริงๆ 

  • เป็นเด็กสาวอายุ 18 ปีที่ลาออกจากโรงเรียนตอน ม.5 เพราะตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรพรากเวลาไปจากตัวเองอีกแล้ว 
  • เป็นเด็กสาวที่เอาคาบการโคจรของบริวารดาวยูเรนัสมาเป็นเสียงดนตรีเมื่อตอนอายุ 17 ปี
  • เจ้าตัวกำลังซ้อมเข้มเพื่อขึ้นเวที TED xYOUTH@Bangkok 2019 กลางเดือนนี้

และนี่คือข้อมูลระหว่างการสนทนา ที่ทำให้เราคิดว่าต้องเดินหน้าคุยต่อ ซึ่งเป็นการตัดสินใจไม่ผิด

  • กิ๊กยอมรับว่าเป็นโรคซึมเศร้า ย่างเข้าปีที่สอง
  • พร้อมรอยแผลจากการกรีดบริเวณข้อมือ…จำนวนนับไม่ถ้วน

“เพราะมีเหตุจึงมีผล เพราะมีผลจึงเข้าใจ เพราะเข้าใจจึงอภัย” กิ๊กยังยืนยันเช่นนั้น

‘กิ๊ก’ นิศาชล คำลือ

ตั้งแต่เล็ก กิ๊กเป็นเด็กอย่างไร 

แก้ผ้าวิ่งเล่นน้ำ ตอนเด็กเราอยู่กับย่า ย่าเลี้ยงแบบใช้ความรุนแรง เราโดนทั้งรองเท้าตบหน้า สายยางฟาดเข้าที่ลำตัว ตอนนั้นเราเจ็ดขวบเองนะ ก็จะหนีไปหลังบ้านที่คนไม่ค่อยไป แต่ตรงนั้นมันจะมองเห็นท้องฟ้าชัดมาก 

ทุกครั้งเวลาหนูร้องไห้หนูก็จะมองขึ้นท้องฟ้า เหมือนมันเป็นแค่สิ่งสวยงามเดียวในชีวิต ณ ช่วงนั้น หนูก็เลยชอบท้องฟ้ามาก ชอบสีท้องฟ้า ชอบมาตลอด มันก็เลยเป็นความสุข ที่ทำให้เรารู้สึก peaceful 

มันปลอบเราหรือเปล่า

น่าจะ ด้วยสี ด้วยอะไร มันก็เลยทำให้เรารู้สึกได้รับการปลอบประโลม เพราะว่าตอนนั้นมันก็ไม่มีใครปลอบเราด้วยไง เราเองก็ไม่ได้รับการปกป้องจากใคร

แล้วความชอบในวิทยาศาสตร์ อวกาศ มันมาตอนไหน

วันหนึ่งไปเริ่มอ่านหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ตอนนั้นจำอะไรไม่ได้หรอก จำได้แค่เซอร์ไอแซค นิวตัน เราประหลาดใจตรงการค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาจากแค่แอปเปิลหล่นใส่หัวเนี่ยนะ แต่เราก็ยังไม่ได้ศึกษาลงลึกอะไร 

แต่ถ้ามาชอบจริงๆ เริ่มจากคณิตศาสตร์ก่อน มันเป็นวิชาของเหตุและผล แล้วเราก็เป็นคนที่ค่อนข้างมีเหตุผลในระดับหนึ่ง เราเลยทำมันออกมาได้ดี แต่เริ่มชอบแบบ crazy จริงๆ คือช่วง ม.ปลาย เพราะว่าเราไม่อยากเรียนวิชาอื่นเลย เวลาครูวิชาอื่นเข้ามาสอนก็จะนั่งเมื่อย บางทีลงไปนอนกับพื้น หลับด้วย เรารอเรียนอยู่สองวิชาคือคณิตกับฟิสิกส์ 

เราชอบฟิสิกส์ เพราะมันเป็นเหตุเป็นผล เช่น เรามีแรงเท่านี้ กระทบไปกับผนังเท่านี้ ผนังจึงสะท้อนแรงออกมาเท่านี้ มันไม่มีคำว่าซับซ้อน มันมี process ของมัน แต่ตอนนั้นเรายังเป็นเด็กหลังห้องอยู่นะ เราเริ่มทิ้งคำว่าเกรดไปแล้ว เพราะรู้สึกว่าเกรดมันตัดสินเราไม่ได้ เราเกินกว่าเกรดจะมาวัด กูแม่งเจ๋งกว่านั้น 

แล้วครูไม่ว่าเหรอ

ว่าค่ะ แต่หนึ่ง ด้วยความเป็นเด็กห้อง gifted ครูเขาจะไม่ค่อยกล้าว่า สอง ด้วยความที่เป็นเรา ครูก็ไม่ค่อยกล้าว่าอีก ว่าหลายรอบแล้วมันก็ยังเป็นแบบเดิม เขาเลยปล่อย

ความเป็นเรามันเป็นอย่างไร

ผู้ใหญ่จะพูดว่าเถียง แต่เราใช้คำว่า discuss ด้วยเหตุผล อ้าวแล้วทำไมต้องเป็นแบบนี้ ถ้าครูตอบไม่ได้ว่าทำไม แปลว่าครูไม่มีเหตุผลที่จะมาบังคับเรา ฉะนั้นมันก็เป็นการบังคับที่ไม่สมเหตุสมผล แล้วทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งของคุณ 

คำถามอะไรที่เราถามครูไปแล้ว ครูตอบไม่ได้

“อะไรอยู่นอกเอกภพ” ซึ่งมันมีทฤษฎีอยู่ว่าอาจจะมีเอกภพในเอกภพ หรือพวกสสารมืด หรือมิติคู่ขนาน แต่ครูเขามองว่าเราคงไม่สามารถเข้าใจอะไรพวกนั้นได้ เขาก็ตอบว่าไม่มี ยังไม่มีใครค้นพบ เขาก็ยังให้คำตอบไม่ได้ แล้วเราแบบ มันต้องมีดิวะ ในเมื่อน้ำมันอยู่ในแก้ว แก้วมันอยู่บนโต๊ะ โต๊ะมันอยู่ในร้าน เราก็เลยรู้สึกไม่เข้าใจ ตอนนั้น (ม.1) เราจึงไม่เอาดาราศาสตร์เลยนะ ทำไมมันย้อนแย้งจัง แต่พอโตมาเราก็เข้าใจนะทำไมมันย้อนแย้ง เพราะว่าทฤษฎีหลายๆ อย่างมันยังรอการพิสูจน์ 

พอเรามีโอกาสได้ไปทำงานกับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ให้เด็กทำโปรเจ็คต์ดาราศาสตร์ออกมา ด้วยความที่เราทิ้งดาราศาสตร์ไปตั้งแต่ ม.1 ตอนนั้นเรารู้ตัวว่า ถ้าเราไม่เข้าใจ แล้วเราไม่ชอบ ไม่เสร็จแน่นอน เราก็เลยหาอะไรบางอย่างที่เราชอบ เลยไปเจอแนวคิดหนึ่งในยุคเรอเนส์ซองส์ (Renaissance) คือการทำให้คาบบริวารของดาวยูเรนัสเป็นเสียงดนตรี โดยเอาคาบการโคจรมาเป็นเสียงดนตรี เอาโน้ตมาเล่นตามความถี่ของมันเท่านั้นเอง

คนอื่นบอก “เจ๋งจังเลย” แต่เราว่าไม่เจ๋งนะ คนเขาคิดได้ตั้งแต่ยุคเรอเนส์ซองส์แล้ว มันแค่ไม่มีคนทำ แต่คนก็สนใจ ได้ออกสื่อ กลายเป็นที่รู้จักในแวดวงวิทยาศาสตร์ เราก็เลยได้มีโอกาสไปต่อ

ตอนที่ทำโปรเจ็คต์ เราได้รู้จักคน อย่าง อาจารย์มติพล ตั้งมติธรรม (นักวิชาการ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) ซึ่งเรารักมากเลย เรารู้สึกว่า พระเจ้า! ครูบนโลกนี้มันไม่ได้น่าเบื่อไปทุกคนนี่หว่า เราก็เลยเปิดใจรับฟังคำพูดของผู้ใหญ่มากขึ้น เขาทำให้เรารู้ว่า โลกนี้ไม่ได้มีแค่นั้น เราเริ่มรู้ว่าเราชอบอะไร อยากทำอะไร 

แล้วเราเจอคำถามหนึ่งของพี่หวาย พิสิฏฐ นิธิยานันท์ (แฟนพันธ์ุแท้ดวงดาว) เขาถามเราว่า โตไปอยากทำอะไร เป็นคนแรกที่ถามเลย เพราะว่าคนอื่นเขาจะถามว่าโตไปอยากเป็นอะไร เราไม่รู้ แต่อันนี้เรามีคำตอบให้ทันทีเลยว่า

ในวงการดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อวกาศ มันกำลังโตเร็วมาก เราค้นพบและเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แทบทุกวัน มันเหมือนน้ำหลาก นี่เป็นครั้งแรกที่เราอยากจะกระโดดลงไปในน้ำแล้วไหลไปกับมันเลย ทั้งที่เมื่อก่อนเราชอบเซฟโซน แต่เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของวิทยาศาสตร์อวกาศ ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็ตาม  

 ย้อนถาม ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนกลางคัน (ม.5)

เราเริ่มคิดมาสักพักว่า คุ้มไหมวะ ค่าเทอม มันก็ไม่ได้แพงอะไร เรามองว่า เงินน่ะ ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่เราก็รู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่เราจ่ายไป จู่ๆ เราก็นึกออกว่า เฮ้ย เวลาชีวิตนี่หว่า ที่หายไป ชิบหายแล้ว คิดคำนวณเลยว่าเสียไปกี่ปี เอาเวลาชีวิตไปลงทุน คุ้มไหม ไม่คุ้มแล้ว ทำยังไง เอาคืนไม่ได้ ทีนี้ก็เลยไม่ไป เวลาชีวิตต้องไม่พรากจากเราไปอีกแล้ว เลยส่งไลน์ไปบอกครูที่ปรึกษา

วันที่ตัดสินใจไปโรงเรียนวันสุดท้าย ก็คือบอกเพื่อน มึง กูลาออกแล้วนะ บอกทั้งห้องเลย พวกมันก็ยังเล่นกันอยู่ มีคนเชื่อแค่คนเดียว เพื่อนบางคนก็อยากออกกับเรา เราก็ว่าถามว่า มึงเจอหรือยังว่ามึงจะไปทางไหน ถ้าทางที่มึงจะไปมันอยู่ในระบบมึงก็เดินไป อยู่ในระบบนี่แหละ มันไม่ได้ผิดอะไร แต่ถ้าทางที่มึงเจอมันไม่ได้อยู่ในระบบ มึงก็ออก

มีมาตรการยับยั้งมากน้อยแค่ไหน ทั้งจากโรงเรียน พ่อแม่

พ่อแม่ก็โวยวาย เข้ามาดึงผ้าห่ม บอกว่าไปโรงเรียนเถอะลูก เราก็แบบ ก็บอกว่าไม่ไปแล้วไง จะสอบเทียบเอา เขาไม่เข้าใจแต่เขาทำอะไรไม่ได้ เราเอาแต่ใจมาก ทางโรงเรียนก็จะมีครูที่ปรึกษาที่เป็นครูที่เรารักและเคารพมาก เขาก็บอกให้ใจเย็นๆ แต่ครูคนนี้เขามีความเชื่อในตัวเราว่าเราจะทำได้ ตอนที่เข้าไปคุยกับรองผู้อำนวยการ ก็ถามว่าหนูจะดร็อปไว้ก่อนไหม แล้วปีหน้ามาเรียน ให้พักจิตพักใจให้สงบก่อนก็ได้

เราก็ปฏิเสธ เขาก็ถามต่อ ถ้าหนูสอบ (มหาวิทยาลัย) ไม่ได้ล่ะ? หนูคิดว่าหนูสอบได้ หนูจะสอบให้ได้ 

ครูที่ปรึกษาเราเขาเคยบอกว่านี่เป็นข้อดีของเธอ ตรงที่เธอมั่นใจว่าเธอจะทำได้แล้วเธอก็จะตั้งใจทำมันจนได้ 

การที่เรามีใครสักคน ที่เขาเชื่อมั่นใจตัวเราว่าเราทำได้ มันสำคัญกับเรามากน้อยแค่ไหน

จริงๆ เขาคุยกับเราในเชิงที่ไม่ได้เป็นครูที่สอนอย่างเดียว เขาถามว่าเราคิดยังไง เราก็ไม่ได้เห็นตรงกันไปทั้งหมด แต่โชคดีตรงที่เขารับฟังแล้วเคารพในการตัดสินใจของผู้อื่น มันก็เลยทำให้เรารู้สึกดีกับเขา 

พอรู้ว่าเวลาเราเอากลับคืนมาไม่ได้  รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร กิ๊กทำอะไรต่อหลังจากออกจากโรงเรียน

ตอนนั้นคิดว่า ถ้าจะสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยเลยคงไม่ทัน ฉะนั้นเราเลยคิดว่า งั้นเราจะเข้าปีหน้า แล้วหนึ่งปีจะเอาเวลาไปทำอะไรวะ คืออยากหาประสบการณ์ แต่ก็ยังอยากอยู่ในแวดวงอวกาศ วิทยาศาสตร์ เราก็รู้จักกับพี่เติ้ล (ณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน-บรรณาธิการ SPACETH.CO) เลยทักไปของานทำ แล้วก็ได้งานมาทำแบบงงๆ 

จริงๆ การเรียนก็สำคัญ แต่เรายังไม่แน่ใจว่ามันโอเคกับเราไหม คิดว่าลองทำงานดูก่อน ถ้าไม่ได้ยังไงเดี๋ยวว่ากัน เพราะตั้งแต่เด็กหนูไม่เคยมีเป้าหมายแบบเพื่อนเลย อยากเข้าจุฬาฯ อยากเข้าธรรมศาสตร์ หนูไม่เคยอยากเข้าที่ไหน เท่ากับอยากเรียนอะไร 

เราอยากเรียนวิศวะแอโร (วิศวกรรมการบินและอวกาศ) จริงๆ แอบคิดไว้หลายอย่าง กฎหมาย จิตวิทยา โน่นนี่นั่น เราอยากเรียนหลายอย่าง เพราะเราเองก็ชอบหลายอย่าง เราก็ทำได้ดีหลายอย่างด้วย เราก็เลย สัส เรียนทีเดียวหลายอย่างไม่ได้เหรอวะ (หัวเราะ) ก็เดี๋ยวลองดู

แต่ช่วงเวลานี้คือ ทำงาน เก็บเงิน แล้วก็หาประสบการณ์ ชีวิตประจำวันตอนนี้คือ เขียนงาน

ตอนนี้หนูทำให้ตัวเองเป็นเครื่องผลิตคอนเทนต์ เราจะต้องได้วันละคอนเทนต์ แล้วให้บรรณาธิการสี่คนตรวจงานเรา ไม่ผ่านส่งมาแก้ ทำ ส่งอีก แล้วมันจะทำให้เราได้ความรู้ใหม่ๆ ด้วย 

ที่บอกว่าเป็นเครื่องจักรผลิตงานเขียน วินัยสำคัญกับเรามากน้อยแค่ไหน

สำคัญมาก (ลากเสียง)

แล้วกิ๊กมีวินัยยังไงบ้าง

ไม่มีค่ะ (หัวเราะ) มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เราต้องมีความกระเตื้องในตัวเอง แล้วด้วยความที่เราอยู่บ้าน ไม่มีคนบังคับ เราจะทำเมื่อไรก็ได้ 

วินัยเราไม่ค่อยมี แต่เราพยายามจะมีความรับผิดชอบต่อมัน โอเค อาจจะไม่ได้วันละคอนเทนต์อย่างที่ตั้งใจ แต่ว่าเราจะใส่ใจเรื่องคุณภาพคอนเทนต์มากกว่า หนึ่ง เราอยากจะให้งานมีลายเซ็นเรา คนอ่านจะรู้แล้วว่านี่ของกิ๊กแน่เลย แล้วเราอยากนำเสนอสื่อที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ไม่ยุยงใครไปทางใดทางหนึ่ง เพราะว่าวิทยาศาสตร์ก็คือวิทยาศาสตร์ นำเสนอข้อเท็จจริง

วันไหนที่เราไม่อยากเขียนงาน เราก็จะแอบเล่นเกม แอบอ่านหนังสือ บางครั้งก็เป็นหนังสือที่เป็นหนังสือวิชาการ เราอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก หนูอ่านฟิสิกส์ ม.ปลาย ตั้งแต่ ป.4

ใครเป็นคนบอกให้อ่าน หรืออยากอ่านเอง

อยากอ่านเอง เราไปเห็นหนังสือพี่สาวที่เขาไม่ได้ใช้แล้ว เป็นฟิสิกส์ มันเป็นฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เราหยิบฟิสิกส์มาอ่านก่อน เราก็พอจะเข้าใจสมการง่ายๆ มันก็จะมีรูปอธิบาย ที่คือ f นี่คือ m นี่คือ a อ๋อมันเป็นอย่างนี้เหรอ เราก็เริ่มอ่าน แต่มันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรขนาดนั้น

ส่วนตัวกิ๊กคิดว่า ทักษะอะไรที่กิ๊กยังขาดและยังต้องพัฒนาเรื่อยๆ

ความรับผิดชอบ โดนด่าตลอด เรารู้นะว่าเรายังไม่ได้เขียนงาน แต่ว่าเราก็ยังผลัดไปเรื่อยๆ ดูหนังอีกสักเรื่องแล้วกันน้า อีกสักเรื่องแล้วกันน้า เราจะติดเอาแต่ใจตัวเอง ว่าอยากทำอะไรทำ ซึ่งมันมีทั้งทางที่ดีและไม่ดี พอเราไม่มีความรับผิดชอบเราก็จะโดนว่าบ่อย ว่างานนี้มึงพูดแล้วว่ามึงจะไป มึงต้องไปนะ ไม่ใช่ว่า ไม่ไปแล้วได้ไหม อันนี้เป็นสิ่งที่อยากพัฒนามากๆ เลย ซึ่งเราคิดว่าเราจะสามารถทำได้ดีกว่านี้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น

ความรู้สึกของคนอื่น สำคัญต่อเรามากน้อยแค่ไหน

เมื่อก่อนแทบจะไม่เลย ตอนนี้ก็คือคิดเยอะขึ้นมากๆ เพราะว่า ไม่ว่าจะเป็นข่าวในสังคม หรือตัวเราเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา มันทำให้เรารู้สึกว่าการแสดงความคิดเห็นทางลบ แค่คุณพิมพ์เสร็จ คุณลืมด้วยซ้ำว่าคุณเคยมาเมนท์ แต่มันอาจจะฆ่าคนคนหนึ่ง หลอนคนคนหนึ่งไปตลอด

ความรู้สึกคนที่เรารู้จัก คนที่เราเจอในชีวิต ค่อนข้างสำคัญมาก แต่ถ้าเป็นความรู้สึกของใครก็ไม่รู้เราก็จะไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ เขาไม่ใช่คนที่เรา communicate ด้วยตลอด 

ถามเรื่องรอยแผลที่ข้อมือได้ไหม

หนูเคยมีแฟนคนหนึ่ง ความสัมพันธ์มันคือ toxic relationship ตอนนั้นเราเป็นโรคซึมเศร้าจน…พยาบาลฉุกเฉินก็จำหน้าได้หมดแล้ว กรอกยานอนหลับเข้าไป ยามันก็ยัดอยู่ในคอ จนเรารู้สึกว่า สิ่งที่รักษาเราได้ มีสองอย่าง คือยากับสภาพแวดล้อม เขาเรียกพ่อกับแม่ไปคุยเลยนะ ว่าเนี่ย อย่าไปว่าลูกนะ เพราะว่ามันก็เป็นโรคที่ลูกเองก็ไม่ได้ตั้งใจเป็น 

ในสภาพแวดล้อมหนูก็มีเขา (อดีตแฟน) ซึ่งเขาเป็น toxic เราก็ยังคงอดทน จนเรารู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว พอดีกว่า เราก็บอกเขา แล้วก็มีเหตุการณ์ภาพหลุดที่โพสต์ลงในไอจีเราเอง ซึ่งเราโดนเพื่อนหลายๆ คนเอาไปพูด ขุดคุ้ยรูปต่างๆ ที่เขา (อดีตแฟน) โกหกว่ามีและบอกว่าเป็นคนปล่อยไป

เรื่องภาพ เราเป็นคน self esteem ต่ำ ก็เลยยอมแลกทุกอย่างเพื่อความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นความไว้ใจในความไม่รู้ของเรา ยังคงหลอกหลอนเราอยู่ เหตุการณ์หลังจากนั้นมันคือ victim blaming และ cyber bully จากเพื่อนเราเอง 

เรารู้สึกว่า มันแทบจะฆ่าคนคนนึงได้เลย ตอนนั้นหนูก็แทบจะตาย แต่มันก็ผ่านมาได้ เพราะมีหลายคนช่วย เพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ เขาก็ยังอยู่กับเรา เราก็เลยมองว่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมีรูปรูปนั้นขึ้นมา เราก็เลยไม่ได้สนใจ เราให้อภัยนะ แต่ที่เราให้อภัย เราเข้าใจ เพราะคุณเป็นอย่างนี้ไง คุณถึงทำแบบนี้กับเรา แต่ว่าสิ่งที่ผิดก็คือสิ่งที่ผิด ทุกอย่างที่ผิดเราดำเนินตามกฎหมายหมดนะ เราแค่เข้าใจ เราจะไม่แบกก้อนหินแห่งความโกรธแค้นให้ปวดหลังต่อไป

อีกส่วนสำคัญที่ทำให้เราผ่านมาได้ คือจิตแพทย์ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้เราให้อภัยก็จริง แต่เราฝันร้ายเดิมๆ ซ้ำๆ เราฝันว่าเราตาย นั่งแท็กซี่อยู่แล้วป้ายบอกทางหล่นมาทับ หรือในฝันเราโดนข่มขืนโดยเพื่อน โดยคนใกล้ชิด แล้วมันจะสลับกันอยู่อย่างนี้ เราก็จะฝันอะไรอย่างนี้ซ้ำๆ ทุกคืน

แล้วเราก็ไปขอยานอนหลับกับหมอ ขอให้กินแล้วหลับไม่รู้เรื่องเลย เขาก็ถามว่ามีอะไร ปกติเราเป็นคนไม่ค่อยเล่าอะไรให้หมอฟัง แต่ครั้งนั้นมันรู้สึกว่า มันต้องเล่า เราบอกว่า เราตื่นมาทุกครั้งกับความรู้สึกรังเกียจร่างกายตัวเอง รังเกียจผิวหนัง รังเกียจรูปร่าง เขาเป็นคนฟังคนแรกที่ไม่ตัดสิน แต่ตั้งคำถามแทนว่า แล้วเราให้อภัยตัวเองหรือยัง น้ำตาเราก็ไหลเลย เออว่ะ ยัง 

เราให้อภัยทุกคนเลย แต่ลืมคนคนเดียวคือตัวเอง เราเลยรู้สึกเศร้าที่ให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นคนสุดท้ายทุกทีเลย ทำไมวะ เลยตั้งต้นใหม่ ฉันก็ยังเป็นคนหาเหตุผลเหมือนเดิม พยายามเข้าใจและให้อภัยคนอื่นเหมือนเดิม แต่จะรักและเคารพตัวเองให้มากกว่านี้ ถ้าเกิดว่ามันผิด มันมีทั้งเขาผิด เราผิด ไม่ว่าเราจะผิดยังไง เราก็ต้องให้อภัยตัวเองให้ได้ 

อย่างกิ๊กนี่เป็นภาวะซึมเศร้าหรือเป็นโรคซึมเศร้า

เป็นโรคซึมเศร้าค่ะ จะสองปีแล้ว

ยังคงไปหาจิตแพทย์อยู่เป็นระยะๆ?

ใช่ค่ะ ต้องอัพเดตยา แต่เราก็ยังโอเค คือช่วงนี้มันดีขึ้นมาก แต่ก็มีดาวน์ๆ บ้างนิดหน่อย แต่ก็ปกติ เราเลิกฆ่าตัวตายแล้ว เพราะมันไม่ตายสักที

เราเหนื่อยเหลือเกินจากการฆ่าตัวตาย อยู่ก็ได้ ก็อยู่ไปเรื่อยๆ จริงๆ เราไม่รู้หรอกว่า เราจะตายวันพรุ่งนี้หรือเปล่า เราก็เลยคิดว่าเราอยากทำสิ่งที่เราอยากทำ เราก็เลยปล่อยตัวเองให้ทำสิ่งที่อยากทำ เพราะว่ามันคือความสุขเบื้องต้นในจิตใจเรา 

มีทั้งสิ่งที่เราอยากทำระยะสั้น เพื่อที่จะรู้สึกว่า ตื่นมาฉันต้องทำอันนี้ แต่เราก็แอบวางแผนระยะยาวไว้ มีแผนให้กับชีวิตในหลายๆ ทาง

เคยหันกลับไปมองหรือสาเหตุตอนเด็กไหม ว่าทำไมเราโตมากับแผลแบบนี้

ตลอด มันก็คือความเจ็บปวดของครอบครัวที่ไม่พร้อม เราต้องพูดตรงๆ ว่ามันเกิดจากทั้งพ่อและแม่ มันเกิดจากการที่พ่อใช้ความรุนแรง เกิดจากแม่ที่เอาแต่นอนร้องไห้ เกิดจากการที่ทั้งคู่ปล่อยให้ toxic relationship มันดำเนินมาจนถึงสิบสามปี ทั้งหมดนี้มันก็หล่อหลอมเด็กคนนึง แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกเมื่อเราไปส่งต่อ แผลมันเกิดขึ้นตลอด เราทำบ้าง เขาทำบ้าง 

ที่บอกว่าชอบมองบนท้องฟ้า เหมือนว่าท้องฟ้ามันทำหน้าที่ปลอบเราอยู่ เคยคิดเชื่อมโยงไหมว่าท้องฟ้าในวันนั้นมันส่งผลที่ทำให้เราสนใจอวกาศในวันนี้หรือเปล่า

 เราว่าไม่ใช่ ท้องฟ้าในวันนั้นเรามองมันแค่ความสวยงาม เป็นความสวยที่ส่งต่อความรู้สึกให้กับเรา

แต่ที่เรามาสนใจท้องฟ้า อวกาศ เพราะเรารู้สึกว่า ยิ่งเรารู้เยอะ เรายิ่งเป็นส่วนหนึ่งของอวกาศ เราทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และเราต่างเป็นส่วนหนึ่งของอวกาศ เรารู้สึกว่า มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน เราไม่เคารพในศาสนา แต่เราเคารพในธรรมชาติ เคารพในฟิสิกส์ อวกาศ

ที่บอกว่า อวกาศมันแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวของทุกสิ่ง เพราะว่าสิ่งอื่นมันแตกแยกหรือเปล่า เราเลยรู้สึกว่า อวกาศนี่แหละ มัน Unique มันเป็นหนึ่งเดียว

ทุกอย่างมันคือก้อนๆ หนึ่ง เพียงแต่ว่าคนนี้อาจจะมองในมุมนี้ อีกคนมองในมุมนี้ ซึ่งมันก็ไม่ผิดนะที่ทุกคนจะมองก้อนพวกนี้ต่างกันออกไป แต่ในทางวิทยาศาสตร์ โลก ดวงอาทิตย์ ทุกอย่างมันเคยเป็นก้อนเดียวกัน มนุษย์ก็เคยเป็นก้อนเดียวกันอยู่ในน้ำ ก่อนที่มันจะแตกวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ เราอยากรู้ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ เลยมองหาจุดเริ่มต้นของอวกาศ โลก มนุษย์ ฯลฯ มองย้อนกลับไปเรื่อยๆ มันมีเหตุผล หนูชอบที่มันอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว มันน่าเชื่อถือ เราเลยชอบมัน 

คำว่า ‘อวกาศ’ ของเรามันไม่ใช่แค่วิชาดาราศาสตร์ วิชาฟิสิกส์ วิชาคณิตศาสตร์ แต่มันเป็นทุกอย่างอยู่ในคำว่าอวกาศ

มนุษย์แบบกิ๊ก เกิดมาเพื่ออะไร

สำหรับหนู หนูเกิดมาเพื่อตาย คนเราเกิดมาก็ต้องตายกันทุกคนแหละ แต่ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า ระหว่างทาง เกิดไปจนถึงก่อนตาย เราทำอะไรบ้าง

ในระหว่างทาง สิ่งที่เราตั้งใจไว้คือ เราจะทำอะไรก็ได้ให้ตัวเรามีความสุขมากที่สุด โดยที่ไม่ต้องไปเบียดเบียนเพราะการเบียดเบียนคนอื่นมันก็ไม่ใช่ความสุขสำหรับเราเหมือนกัน 

เราอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วงการอวกาศมันเติบโตไปได้ เพื่อหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อคนรุ่นหลังนั่นแหละ ทุกวันนี้เรากำลังหาดาวที่มันคล้ายโลก จุดประสงค์ก็คือการอพยพมนุษยชาติ เพราะว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ดวงอาทิตย์ก็เหมือนกัน จากการศึกษาวิวัฒนาการดาวฤกษ์แล้ว ถ้ามันเกิดซูเปอร์โนวาจริงๆ เราอาจจะสูญพันธุ์ จึงต้องย้ายไปดาราจักรอื่นๆ ที่เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ นี่คือหนึ่งในภารกิจการค้นหา มันจะทำให้มนุษย์มีชีวิตต่อไปได้เรื่อยๆ ดำรงพันธุ์กันไปได้เรื่อยๆ

เราอยู่ไม่ถึงดวงอาทิตย์ระเบิดหรอก แต่เราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการค้นหา (ยิ้ม) 

Tags:

ซึมเศร้าความรุนแรงการจัดการอารมณ์วิทยาศาสตร์นิศาชล คำลือ

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    นักจิตวิทยาโรงเรียน “น้องร้องไห้ เราจะนั่งฟัง ลูบหลัง ตบไหล่ ให้เขาไม่ลืมเห็นใจตัวเอง”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Healing the trauma
    ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    เพราะผู้ใหญ่กลั่นแกล้งและไม่เคารพกัน เด็กๆ จึง BULLY ตาม

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

“วันวัน ทำอะไร? เมื่อไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน” จากคุณแม่โฮมสคูล
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
12 November 2019

“วันวัน ทำอะไร? เมื่อไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน” จากคุณแม่โฮมสคูล

เรื่องและภาพ สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • บทความนี้เป็นการเล่าสู่กันฟัง จากประสบการณ์เฉพาะครอบครัวของผู้เขียน ช่วยขยายความเข้าใจว่าเมื่อพ่อแม่ไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียนเรียน พวกเขามีการเรียนรู้อย่างไร เพราะการไม่ไปโรงเรียนไม่ได้แปลว่าไม่เรียนรู้
  • การเล่นกับนิทานเป็นสองอย่างที่สำคัญกับวัยอนุบาล เพราะการได้เล่นอย่างเต็มที่คือการเตรียมพร้อม ของสมอง ของกล้ามเนื้อ ของอารมณ์ ของการเข้าสังคม เพื่อเข้าสู่การเรียนรู้ในวัยประถม
  • “12 ปีที่เลี้ยงลูกโดยไม่ส่งไปโรงเรียนทำให้แต่ละวันของทั้งเราและลูกหมดไปอย่างรวดเร็ว มีกิจกรรมทำมากมาย สำคัญที่สุดคือทุกกิจกรรมเป็นกิจกรรมที่ทำให้ลูกมีความสุข เป็นกิจกรรมที่ลูกสนใจ”

สารพัดคำถามจะประเดประดังเข้ามา เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดว่า “จะไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน” หรือ ถ้าจะเรียกอีกอย่างคือ ให้ลูกเรียนแบบ Home School นั่นเอง นอกจากคำถามข้างบนแล้ว พ่อแม่ที่ไม่ส่งลูกไปโรงเรียนมักจะถูกตั้งคำถามบ่อยๆ คือ

ไม่ไปโรงเรียนแล้วจะไม่โง่เหรอ

ไม่ไปโรงเรียนแล้วจะมีสังคมได้อย่างไร

ไม่ไปโรงเรียนแล้ว วันวัน จะทำอะไร

ฯลฯ

ตลอด 12 ปีที่เลี้ยงลูกเอง นอกจากไม่เอาไปฝากย่ายายแล้ว ก็ยังไม่เอาไปฝากเนิร์สเซอรี ไม่เอาไปฝากอนุบาล และไม่เอาไปฝากครูที่โรงเรียนด้วย ซึ่งพบว่า “วันวันหนึ่ง เด็กมีอะไรทำมากมาย” มากจนเวลาทั้งวันก็แทบจะไม่พอ งั้นลองมาดูกันก่อนว่า เมื่อเด็กไม่ไปโรงเรียนแล้ว… วันวัน ทำอะไร?

สิ่งที่จะเล่าสู่กันฟังนี้ต้องบอกก่อนว่า เป็นประสบการณ์เฉพาะครอบครัวล้วนๆ สิ่งที่ครอบครัวเราทำไม่ได้แปลว่าจะดีที่สุด และไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะกับอีกครอบครัวหนึ่ง และยังไม่ได้เท่ากับว่าถ้าเราทำได้แล้วคนอื่นต้องทำได้ด้วย ไม่ใช่และไม่จริง เพราะแต่ละครอบครัวมีปัจจัยและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน

เรามีโอกาสได้พูดคุยกับพ่อแม่หลายคนที่ไม่อยากให้ลูกไปโรงเรียน แต่เงื่อนไขหลายอย่างก็ทำให้ทำ Home School ไม่ได้ เราเข้าใจเงื่อนไขเหล่านั้นดี ไม่ว่ากัน แต่การเรียนรู้แบ่งปันกันจะทำให้เรานำบางอย่างไปปรับ นำไปประยุกต์ให้เข้ากับเงื่อนไขของตัวเองได้ ถ้าคิดว่าสิ่งนี้มันดี

เราเป็นครอบครัวนักกิจกรรมและทำกิจกรรมสำหรับเด็กอยู่แล้ว งานของเราคือการคิด สร้างสรรค์กิจกรรมสารพัดแบบมาให้ลูกหลานของใครก็ได้ ได้มาสนุกด้วยกัน ได้เรียนรู้และมีพัฒนาการตามวัย เพราะฉะนั้นเมื่อตัดสินใจทำ Home School กับลูก สำหรับเราจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหากิจกรรมให้ลูกทำ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราขอแยกช่วงวัยของลูกออกเป็น 3 ช่วง แบบนี้นะคะ เพราะแต่ละช่วงไม่เหมือนกัน คือ

  • ช่วง 4-6 ขวบ คือช่วงที่ส่งไปเข้าอนุบาล  

ช่วงแรกเกิดจนถึงช่วงอนุบาล เป็นช่วงที่พ่อแม่ทุกคนทราบดีว่าเป็นช่วงวัยทองของสมอง ช่วงนี้เป็นช่วงวางพื้นฐานสำคัญให้ลูก อยากให้ลูกเติบโตมาอย่างไรช่วงนี้  มีส่วนสำคัญมาก การเล่นกับลูก การใช้เวลาคุณภาพกับลูกจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

  • ช่วง 7-9 ขวบ ช่วงประถมต้น

ช่วงวัยนี้เป็นวัยที่เริ่มต้องเรียนรู้การเข้าสังคม เริ่มต้องมีเพื่อนบ้างแล้ว การเล่น หรือกิจกรรมต่างๆ กับลูกก็สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่วิชาการต่างๆ ได้ ทั้ง บวก ลบ อ่าน เขียน เพื่อเป็นฐานทางวิชาการให้ลูก แต่จะมากน้อยขนาดไหนขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัว แต่ยังไงก็ยังต้องผ่านกิจกรรมที่ลูกสนใจ

  • ช่วง 10-12 ขวบ ช่วงประถมปลายที่พวกเขาเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น

ช่วงวัยนี้ การจัดการเรียนรู้เริ่มมาจากลูกมากกว่าครึ่ง เพราะเขาจะมีความเป็นตัวเองชัดขึ้น เขาจะบอกเองว่าสนใจอะไร อยากเรียนรู้อะไร บางเรื่องก็สนใจแนวลึก ใช้เวลานาน บางเรื่องก็สนใจแป๊บๆ พ่อแม่ทำหน้าคอยกำกับทิศทาง อย่าให้หลุด อย่าให้หลงทางมากเกินไป

4-6 ขวบ ส่งไปเข้าเรียนอนุบาล

สำหรับช่วงวัยอนุบาล ในทางกฎหมายแล้วเป็นช่วงวัยที่ไม่ได้บังคับให้ต้องเข้าโรงเรียน ความจริงแล้วจะไม่ส่งเข้าอนุบาลก็ไม่ผิดกฎหมาย หากเป็นบ้านเรียนยังไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ที่ต้องมีห้องเรียนอนุบาลนั่นเพราะว่าเป็นเงื่อนไขของครอบครัวมากกว่า คือ หนึ่ง-ครอบครัวต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก กับ สอง-ไม่รู้จะเล่นอะไรกับลูก ไม่รู้จะเลี้ยงดูอย่างไร

แต่ความจริงแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กต้องการพ่อแม่มากที่สุด การที่ได้อยู่กับคนที่รัก ลูกจะรู้สึกมั่นคง รู้สึกปลอดภัย การรู้สึกปลอดภัยจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการส่งผลต่อชีวิตในอนาคตข้างหน้า ต่างกับการต้องรีบปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแปลกหน้าในห้องเรียนอนุบาลทั้งที่ยังไม่พร้อม

สำหรับเราแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่พ่อแม่ควรใช้เวลากับลูก เล่นกับลูกให้มากที่สุด เล่น เล่น เล่น ให้เต็มที่ เพื่อให้พร้อมทั้งจิตใจ และร่างกาย

แล้ววันวัน เล่นอะไรบ้าง?

วัยนี้เป็นวัยที่เล่นด้วยง่ายมาก อะไรก็ได้ขอแค่มีเวลาเล่นกับเขา การเล่นของเด็กวัยนี้คือการเล่นเพื่อให้เกิดจินตนาการ เด็กต่างมีวิธีเล่นของตัวเอง ยังไม่ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากนัก เราจึงมักเห็นเด็กวัยนี้เล่นบนกองทรายเดียวกัน แต่เล่นกันคนละเรื่องไม่เกี่ยวกัน

พ่อแม่จึงทำหน้าที่แค่เป็นผู้อำนวยการเล่นให้มีพื้นที่เล่นที่ปลอดภัย อยู่ข้างๆ เขา บางครั้งก็ร่วมเล่น บางครั้งก็ถอยห่าง

สำหรับครอบครัวเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เราจึงสรรหาของเล่นกันสารพัด และโดยส่วนใหญ่การเล่นเหล่านั้นก็อยู่ในงานของเราอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยาก

เล่น และ เล่านิทาน

เล่น กับ นิทาน เป็น 2 อย่างที่สำคัญกับวัยนี้มาก เราอ่านนิทานกันทุกวัน (จริงๆ อ่านตั้งแต่ 4 เดือนในท้อง) อ่านอะไร อ่านอย่างไร ค่อยว่ากันอีกตอน แต่อ่านทุกวันและถือเป็นกิจกรรมหนึ่งในการส่งเสริมพัฒนาการของลูกในวัยนี้ จะอ่านก่อนนอน อ่านตอนเช้า ตอนบ่ายแล้วแต่สะดวก ของเราอ่านเรื่อยๆ แต่ที่เป็นประจำคือ ก่อนนอนทั้งตอนหัวค่ำและตอนกลางวัน ให้ลูกนั่งตักเปิดทีละหน้าอ่านให้ฟัง หรือจะนอนด้วยกัน เปิดทีละหน้าและอ่านเสียงดังฟังชัด แต่แฝงความรักอยู่ในนั้น รับรองคุ้มค่า

แต่เวลาที่สำคัญสำหรับวัยนี้คือ ช่วงเช้าที่เราจะได้เล่นด้วยกัน เล่นในชีวิตประจำวัน เช่น ทำกับข้าวง่ายๆ ด้วยกัน ด้วยการช่วยหยิบจับส่งของให้ เล่นกับหน้าที่การงานของพ่อแม่ เราทำอะไรลูกก็อยู่ด้วย เรากวาดบ้านก็ต้องมีไม้กวาดอันเล็กให้ลูกด้วย ระบายสีด้วยกัน หากระดาษแผ่นใหญ่ๆ สีแท่งใหญ่ๆ ละเลงสีกันโดยไม่ต้องตีกรอบ ทำไมต้องใหญ่? เพราะกล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรงพอที่จะจับสีแท่งปกติ และยังไม่สามารถบังคับให้อยู่ในกรอบได้ จึงต้องให้เขาละเลงอย่างอิสระเพื่อฝึกกล้ามเนื้อ

นอกจากนี้งานของเราสามารถเลี้ยงลูกไปด้วยได้ ไปทำกิจกรรมกับเด็ก ลูกก็เป็นเด็กคนหนึ่งที่ร่วมกิจกรรม เล่นกับของรอบตัว เล่นน้ำ เล่นฟอง เล่นดิน เล่นทราย บ้านใครทำสวนก็เอาลูกเข้าสวนไปด้วยได้ นั่นคือโลกใหม่ของลูกทั้งหมด หรือจะซื้อของเล่นส่งเสริมพัฒนาการมาเล่นกับลูกก็ไม่ผิด นี่เป็นเพียงแค่ครึ่งวัน พอตกบ่ายก็นอน เราต้องสร้างนิสัยการนอนให้ลูกให้ได้ด้วยนะ เพราะนั่นคือช่วงเวลาที่ดีของสมองลูก (และของเราด้วย ฮ่าๆ)

สิ่งที่เราจะเห็นได้ชัดเจนมากเมื่อเราให้เวลาในการอ่านนิทานกับลูก เล่นกับลูก และทำโน่นนี่กับลูกในช่วงวัยนี้มากพอ อย่างแรกคือ การปรับตัวเข้ากับสังคมได้อย่างไม่เป็นปัญหา ลูกสามารถเล่นสนุกได้กับคนทุกวัย ไม่มีอาการตื่นคน เมื่อเล่นกับน้องก็ดูแลได้ พอเล่นกับพี่ก็มีอาการอ้อนพี่ เพราะรู้ว่าทำได้ เมื่อไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ลูกไม่เคยที่จะไม่เข้าร่วม ไปร่วมกิจกรรมกับพี่ๆ ได้สบายๆ โดยไม่งอแงติดพ่อแม่ โดยไม่ต้องดันหลัง เพราะเขารู้ว่าเมื่อเขาเลิกเล่นกลับมาเขาก็เจอเราเสมอ

การอ่านนิทานช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่านได้เป็นอย่างดี อันนี้เห็นผลชัดเจนจนวัยรุ่นเลย และน่าจะตลอดชีวิต นอกจากนี้การอ่านยังช่วยเพิ่มทักษะการอ่านออกได้อย่างเป็นธรรมชาติ ลูกสามารถอ่านหนังสือออกตั้งแต่ 7 ขวบกว่า โดยไม่เคยฝึกสะกดคำแบบในโรงเรียน แต่อ่านออกจากการจดจำ จนวันหนึ่งความอยากอ่านที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เขาขอให้เราฝึกเขาสะกดคำให้มากขึ้น เพื่อจะได้อ่านหนังสือเล่มที่ยากขึ้นได้ด้วยตัวเอง เขาอ่านออกเร็วเพราะความอยากอ่าน ไม่ใช่ถูกบังคับให้อ่านออกเร็ว อันนี้เป็นสิ่งที่เห็นชัดเจน อีกอย่างคือพัฒนาการทางร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมือที่พร้อมจะจับดินสอเขียนหนังสือโดยไม่ต้องบังคับให้ฝึกเขียนทั้งที่กล้ามเนื้อยังไม่พร้อม

การได้เล่นอย่างเต็มที่ในช่วงวัยนี้ คือภาระหน้าที่สำคัญของเด็ก การได้เล่นอย่างเต็มที่ในวัยนี้คือการเตรียมพร้อม ของสมอง ของกล้ามเนื้อ ของอารมณ์ ของการเข้าสังคม เพื่อเข้าสู่การเรียนรู้ในวัยประถม

ถ้าลูกต้องเข้าโรงเรียนเขาก็จะเข้าเรียนประถมอย่างคนที่มีความพร้อม และสำหรับเด็กที่ไม่ไปโรงเรียน ก็เป็นช่วงวัยที่เขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว วัยนี้จึงไม่ใช่วัยที่จะเอาเขาไปจับดินสอเขียนตามเส้นประ เพราะกล้ามเนื้อมือเขายังไม่แข็งแรง ยังไม่ถึงเวลา ฉะนั้นการสนับสนุนให้เด็กได้เล่น ได้ทำหน้าที่ของเขา ก็คือภาระของผู้ใหญ่ด้วย

วัยประถมต้น 7-9 ขวบ

วัยประถมต้น 7-9 ขวบ เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยประถม จริงๆ กิจกรรมที่เราทำกับลูกแต่ละวันก็ยังเหมือนเดิม คืออ่านนิทาน หาของเล่นมาเล่นกัน แต่การเล่นของเด็กวัยนี้เริ่มต่างจากเดิม เริ่มสนใจที่จะเล่นกับเพื่อน รอเพื่อนกลับมา เล่นสร้างบ้าน เล่นบทบาทสมมุติ เราสามารถสอนคณิตศาสตร์กับลูกผ่านการเล่นได้ เช่น การเอาจิ๊กซอว์ (อย่างอื่นก็ได้ที่เป็นของเล่น) มานับ นับเป็นกองเท่ากัน เอามารวมกัน แยกออกจากกอง อะไรแบบนี้ก็ช่วยให้ลูกเข้าใจความหมายของการบวก ลบ คูณ หารได้ไม่ยากเลย เล่นเทถั่ว เททราย เข้าใจเรื่องน้ำหนัก เล่นแบบทำจริง เช่นการทำอาหารด้วยกัน คำนวณปริมาณวัตถุดิบง่ายๆ ก็ได้คณิตศาสตร์แล้ว

เราให้ลูกเรียนภาษาไทยผ่านการอ่านนิทาน เรียนคณิตศาสตร์ผ่านการเล่น เรียนศิลปะในงานของพ่อแม่ และเริ่มไปเรียนกับครูในสิ่งที่เขาสนใจเพิ่มขึ้น ซึ่งการไปเรียนกับครูก็แค่สัปดาห์ละ 3-4 ชั่วโมงเท่านั้นและมักเป็นช่วงบ่าย เพราะช่วงเช้าเป็นเวลาที่เขาต้องทำกิจรรมกับครอบครัวเหมือนเดิม สำหรับครอบครัวเราเรียนแค่ 3 อย่างคือ เปียโน ศิลปะ และภาษาอังกฤษ แต่หากบ้านไหนพ่อแม่เก่งภาษาอังกฤษอยู่แล้วก็คุยภาษาอังกฤษกับลูกไปได้เลย ไม่ต้องไปเรียนก็ได้ แต่ถ้าเราไม่เก่งพอก็ให้ครูช่วยได้

เมื่อลูกเริ่มอ่านคล่อง เขียนได้ (สำหรับลูกเรานั้นอ่านคล่องตั้งแต่ 7 ขวบกว่าๆ แต่เป็นความคล่องที่มาจากการอ่านเยอะ ไม่ได้มาจากการผสมสระแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นเขาจะยังเขียนไม่คล่อง) วิถีชีวิตของลูกก็จะขลุกอยู่กับการอ่านมากขึ้น ขยับจากการอ่านนิทานมาเป็นวรรณกรรม ช่วงนี้แหละที่ลูกจะเริ่มขอให้สอนผสมสระ เพราะอยากอ่านคำยากๆ ในวรรณกรรมได้ด้วยตัวเอง ช่วงนี้สิ่งที่เราทำคือการกำหนดให้เขามีกิจวัตรประจำ

เช่น เมื่อจัดการชีวิตประจำวันเสร็จแล้วต้องเขียนบันทึกทุกวัน ทำแบบฝึกหัด ซึ่งก็เป็นแบบฝึกหัดที่หาซื้อจากร้านหนังสือทั่วไป เพียงแต่เลือกความยากง่ายให้เหมาะกับลูกของเรา ไม่ง่ายเกินไปจนลูกรู้สึกไม่ท้าทาย หรือยากเกินไปจนท้อ แบบฝึกหัดพวกนี้จะช่วยเสริมวิชาการบางอย่างที่กระทรวงต้องการ แต่อาจไม่ได้จำเป็นในชีวิตมากนัก ซ้อมดนตรี หรือจะวาดภาพก็ได้ กิจกรรมเหล่านี้ทำในช่วงเช้า

ช่วงบ่ายเป็นช่วงไปเรียนกับครูหรือไปว่ายน้ำ แต่ถ้าวันไหนไม่เรียนกับครูก็เป็นช่วง free time ซึ่งเขาจะเล่นกับเพื่อน (ตอนเย็นเพื่อนๆ กลับจากโรงเรียน) หรือจะดูหนังก็ได้ ช่วงนี้เริ่มทำตารางกิจวัตรประจำวันให้เขาทำได้แล้ว แม้จะเป็นเด็กไม่ไปโรงเรียนแต่ก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบที่ต้องทำประจำด้วยเช่นกัน อ๋อ… หากแบ่งงานบ้านง่ายๆ ให้เขาทำเป็นกิจวัตรด้วยจะดีมาก เช่น กวาดระเบียงบ้านทุกเช้า เก็บห้องเล่นของตัวเอง ให้อาหารแมว เป็นต้น แค่นี้ก็หมดวันแล้ว บางวันเวลาไม่พอด้วยซ้ำ มีอะไรให้ทำอีกมาก

ช่วงนี้จะเริ่มเห็นตัวตนบางอย่างของลูกชัดเจนขึ้น เช่น เป็นคนประนีประนอม หรือเป็นคนชน ยอมหัก ไม่ยอมงอ เป็นต้น ลูกจะเรียนรู้ว่าถ้าเจอเพื่อนแบบนี้ต้องมีปฏิสัมพันธ์แบบไหนถึงจะเล่นกันได้โดยไม่ทะเลาะกัน วิเคราะห์ประเมินเพื่อนที่เล่นด้วยให้ฟังบ่อยๆ เราก็แค่ฟังและถามต่อเพื่อให้เห็นวิธีคิดของลูก สนุกดี

ส่วนเรื่องทักษะการอ่านจะยิ่งชัดเจนขึ้น เปลี่ยนจากการฟังหรืออ่านนิทานมาเป็นวรรณกรรมเด็ก ไม่ติดรูปภาพแล้ว แต่สนใจเนื้อเรื่อง ฟังได้ยาวๆ ช่วงที่อ่านเองได้ก็อ่านวรรณกรรมไทยเรื่องยาวๆได้ อยู่กับหนังสือได้ทีละหลายชั่วโมง จนต้องให้พักมาทำอย่างอื่นบ้าง การอ่านทำให้มีสมาธิ ส่งผลให้เวลาเรียนศิลปะ หรือดนตรี ซึ่งต้องใช้สมาธิเช่นกันจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา

ส่วนผลจากการเล่นจากการทำกิจกรรมด้วยกันก็จะเห็นชัดขึ้น เมื่อลูกขอไปเรียนคณิตศาสตร์กับครู

“คุณแม่ทำยังไงลูกถึงเข้าใจคอนเซ็ปต์คณิตศาสตร์ครับ ผมสอนเด็กๆ สิ่งที่ยากคือ เด็กไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ แต่น้องเข้าใจ ที่เหลือคือทักษะ แค่ทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ ก็เพียงพอแล้วครับ” สิ่งที่ครูสะท้อน ย้ำภาพการเล่นเทถั่ว การเล่นแบ่งจิ๊กซอว์เป็นกอง กองละเท่าๆ กัน เหล่านี้เป็นการทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์คณิตศาตร์แบบไม่รู้ตัว

วัยประถมปลาย 10-12 ขวบ

ช่วงนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก

วัยประถมปลาย 10-12 ขวบ ช่วงนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะเป็นช่วงที่ตารางเวลาต่างๆ ต้องมาจากความสนใจของเขาเป็นหลัก เราอยากให้ทำก็ไม่ได้หมายความเขาจะสนใจ จึงเป็นช่วงที่เราต้องพูดคุยกันเยอะ เพราะเขาก็มีความเป็นตัวเองชัดเจนขึ้น กิจวัตรในแต่ละวันสำหรับเด็กที่ไม่ไปโรงเรียนก็ยังคงไว้ที่ช่วงเช้าเหมือนเดิม คือดูแลตัวเอง ทำงานบ้าน แล้วทำงานตัวเอง ทำแบบฝึกหัดมากขึ้น แบบฝึกหัดก็ต้องยากขึ้นตามช่วงวัย บันทึกสิ่งที่เรียนรู้มา หรือกำหนดหัวข้อในการเรียนรู้ หากมีการบ้าน เช่น ซ้อมดนตรี วาดภาพ หรือภาษาอังกฤษ ก็ทำในช่วงนี้

ช่วงบ่ายไปเรียนกับครู กลับมาเล่นกับเพื่อนตอนเย็น ช่วงค่ำต้องอ่านหนังสือ อ่านภาษาอังกฤษกันก่อนนอน หรือบางวันเด็กก็จะมีเรื่องที่ตัวเองสนใจอยากทำก็ใช้เวลาทั้งวันในการหาข้อมูลลงมือทำสิ่งเหล่านั้นได้ ใช้อินเทอร์เน็ตได้ เพราะช่วงนี้เขาก็เริ่มใช้เทคโนโลยีเพื่อความบันเทิงเป็นแล้ว นี่ก็เป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่เราต้องเหน็ดเหนื่อยกับการให้เขาจัดการเวลาให้ลงตัว ลงตัวบ้าง ไม่ลงตัวบ้าง แต่ละครอบครัวก็หาสารพัดวิธีเพื่อสิ่งนี้

ช่วงวัยนี้เขาก็เริ่มไปทำงานกับพ่อแม่แบบรับผิดชอบงานเต็มตัวได้แล้ว เพราะฉะนั้นบางช่วงที่เขาไปทำงานด้วยได้ก็ใช้โอกาสแบบนี้ให้ลูกเรียนรู้และฝึกความรับผิดชอบฝึกความอดทนได้เลย วัยนี้พ่อแม่จึงไม่ใช่ผู้ออกแบบกิจกรรมแล้ว ลูกจะเป็นคนกำหนดกิจกรรม แต่พ่อแม่ทำหน้าที่ช่วยดู เติมและเตือนให้ทำตามกิจกรรมที่วางไว้ ที่ว่าง่ายก็ตรงนี้ และยากก็ตรงนี้อีกเช่นกัน

เมื่อถึงช่วงวัยนี้ เราจะเห็นชัดแล้วว่าลูกเป็นคนแบบไหน ชอบอะไร สำหรับลูก เราเห็นชัดว่าถ้าเป็นเรื่องที่ชอบจะสู้ไม่ถอย มีทักษะในการหาข้อมูลที่หลากหลาย และมีความกล้ามาก เช่น กล้าเดินทางด้วยรถไฟฟ้าคนเดียวตอนอายุ 12 กล้าที่จะไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศระยะสั้นๆ กับเพื่อน โดยผ่านความคิดถึงบ้านได้ สิ่งเหล่านี้น่าจะมีผลจากที่เราทำให้เขามั่นใจมาตลอดว่าเราอยู่กับเขาเสมอ ไม่เคยผลักดันให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบหรืออึดอัดใจ

ไม่ไปโรงเรียนไม่ได้แปลว่า ไม่เรียนรู้

ส่วนคำถามอื่นๆ “ไม่ไปโรงเรียนจะโง่ไหม” เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้คงได้คำตอบแล้วว่า โง่ หรือ ไม่โง่ การไม่เข้าไปนั่งเรียนในห้องสี่เหลี่ยมวันละ 8 ชั่วโมงไม่ได้แปลว่าไม่ได้เรียนรู้อะไร ไม่ได้แปลว่าอยู่เฉยๆ ในทางกลับกันการไปนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดความรู้หรือไม่รู้ โง่หรือฉลาดของเด็ก

เด็กบางคนฝึกอ่านฝึกเขียนตั้งแต่ 4 ขวบ อ่านคล่องตั้งแต่ไม่เข้าประถม 1 แต่ไม่มีทักษะสนใจใฝ่รู้ที่จะอ่าน ที่จะเขียน แล้วจะอ่านออกเร็วไปเพื่ออะไร เด็กบางคนอ่านออกช้ามากแต่พออ่านได้กลายเป็นหนอนหนังสือ สนใจใคร่รู้ อยากอ่าน อยากลงมือทำ เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย เราจะเอาความเก่งของอีกคนมาเปรียบเทียบกับอีกคนไม่ได้เลย การเรียนรู้แบบ Home School จึงเป็นการจัดการเรียนรู้เฉพาะบุคคล เฉพาะครอบครัวจริงๆ

โง่ หรือ ฉลาด ใครกันแน่เป็นคนถือมาตรวัด?

คำถามสุดท้าย “ไม่ไปโรงเรียนแล้วจะมีสังคมได้อย่างไร” อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับครอบครัวว่าจัดการเรียนรู้อย่างไร ถ้าเก็บลูกไม่ให้สุงสิงกับใครก็ไม่มีสังคมไม่ว่าจะไปโรงเรียนหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าฝึกให้เขาเข้าสังคมเป็น เด็กทุกคนก็สามารถสร้างเพื่อนได้ ถ้าเพื่อนหรือสังคมที่ไม่ใช่แค่คนวัยเดียวกัน เพื่อนของเด็กไม่ไปโรงเรียนจึงมีหลากหลายวัยมาก และในชีวิตจริงในสังคมเราก็ไม่สามารถคบแต่คนวัยเดียวกันเท่านั้น เราต้องอยู่ร่วมกับคนหลายวัย และนั่นคือความจริง

12 ปีที่เลี้ยงลูกโดยไม่ส่งไปโรงเรียนทำให้แต่ละวันของทั้งเราและลูกหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีกิจกรรมทำมากมาย สำคัญที่สุดคือทุกกิจกรรมเป็นกิจกรรมที่ทำให้ลูกมีความสุข เป็นกิจกรรมที่ลูกสนใจ

เขาอ่านหนังสือเพราะอยากอ่าน เขาฝึกเขียนเพราะอยากบันทึก เขาเล่นดนตรีเพราะอยากเล่น เขาเล่นกับเพื่อนก็เพราะเขาอยากเล่นเช่นกัน ความอยากจึงเป็นแรงผลักให้เขาพร้อมกระโจนเข้าหาสิ่งที่เขาอยากเรียนรู้อย่างเต็มกำลัง

เหมือนที่นักการศึกษาชาวเยอรมันเคยกล่าวไว้ว่า ลูกธนูที่ถูกเหนี่ยวอย่างเต็มแรงก่อนปล่อยออกจากคันธนู ย่อมจะไปได้ไกลกว่าและแรงกว่าลูกธนูที่มีแรงเหนี่ยวไม่มากพอ

สุมณฑา  ปลื้มสูงเนิน  คุณแม่นักกิจกรรม ที่ทำงานกับเด็กมาตลอด  นำวิชาความรู้ทั้งหมดที่ทำมาใช้ในการเลี้ยงลูกแบบ Home School  เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพต่างกันและห้องเรียนของเด็กคือโลกทั้งใบไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยม

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)โฮมสคูล

Author & Photographer:

illustrator

สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

คุณแม่นักกิจกรรม ที่ทำงานกับเด็กมาตลอด นำวิชาความรู้ทั้งหมดที่ทำมาใช้ในการเลี้ยงลูกแบบ Home School เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพต่างกันและห้องเรียนของเด็กคือโลกทั้งใบไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยม

Related Posts

  • Creative learning
    แค่ไม่คิดว่ามันเป็นวิชา: 5 ห้องเรียนของบ้านเรียนทางช้างเผือก

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    มิรา ชัยมหาวงศ์: ขีดเส้นใต้การเป็นแม่ ‘ตัวตนเป็นของลูก ไม่ใช่ของแม่’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง
BookLearning Theory
11 November 2019

วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

บันทึกชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน นี้ ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง มีปัญหาการเรียน และเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู ผมคิดว่าสาระในหนังสือเล่มนี้ เป็นชุดความรู้ที่เหมาะสมต่อ ครูเพื่อศิษย์ ที่สอนนักเรียนที่มีพื้นฐานขาดแคลน ผมเข้าใจว่าในประเทศไทยนักเรียนกลุ่มนี้เป็นนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ

บันทึกที่ 24 สร้างการเรียนอย่างเห็นคุณค่านี้ เป็นบันทึกที่ 3 ใน 4 บันทึก ภายใต้ชุดความคิดสร้างความเอาใจใส่ของนักเรียน (engagement mindset) ตีความจาก Chapter 17: Engage Students for a Deeper Buy-In

สาระหลักของบันทึกนี้คือ เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง หากนักเรียนเข้าเรียนด้วยสมองที่อยู่กับกิจกรรมเพียงครึ่งๆ กลางๆ ผลการเรียนรู้ก็จะครึ่งๆ กลางๆ ด้วย โดยที่สมองมีการเปลี่ยนแปลงน้อย สภาพที่สมองอยู่กับการเรียนเต็มร้อย เป็นสภาพที่นักเรียนเรียนเพราะเห็นคุณค่า ครูจึงต้องเริ่มต้นการสอนด้วยการทำให้นักเรียนเห็นคุณค่าของการเรียนนั้น นักเรียนต้องตอบคำถาม “ทำไม” ได้ ทำไมจึงต้องเรียนบทเรียนนี้

เปลี่ยนจากเรียนตามครู (Compliance Learning) เป็นเรียนตามที่ตนต้องการ (Choice Learning)

การเรียนรู้ในห้องเรียนมี 2 แบบ คือ เรียนแบบจำใจ (compliance learning) กับเรียนเพราะชอบ เพราะอยากเรียน (choice learning) นักเรียนจำนวนไม่น้อย ตกอยู่ในกลุ่มแรก เป็นหน้าที่ของครู ที่จะต้องย้ายกลุ่มนักเรียน ไปไว้ในกลุ่มหลังให้หมด เพื่อให้เกิดการเรียนที่ทรงพลัง และจารึกเข้าไปในสมองของนักเรียน รวมทั้งเพื่อให้บรรยากาศในห้องเรียนมีชีวิตชีวา มีความสุข

การเรียนแบบจำใจเรียนของนักเรียน เป็นตัวบั่นทอนชีวิตครู เพราะเมื่อนักเรียนไม่เข้าใจ ครูก็ต้องสอนซ้ำ สมมุติว่า ครูต้องสอนซ้ำวันละ 10 นาที ก็เท่ากับปีละกว่า 25 ชั่วโมงที่ครูต้องทำงานเพิ่มโดยไม่จำเป็น

ครูที่เริ่มคาบเรียนด้วยการกระตุ้นความตื่นตัว (arousal) โดยให้แก้ปัญหา ให้เล่นเกม หรือเล่าโจ๊ก ช่วยให้สมองตื่นตัวพร้อมเรียน คือสมองตื่น ว่องไว และอยู่ในสภาพที่มีฮอร์โมนเพื่อการเรียนรู้หลั่งออกมา แต่ยังไม่ใช่สภาพสมองที่หิวการเรียน ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า buy-in และเห็นคุณค่าของการเรียน (relevance) ที่สมองตอบคำถาม “ทำไม” ได้ ทำไมจึงต้องเรียนบทเรียนนี้

ผมขอเพิ่มเติมว่า สมองมนุษย์มีความฉลาดอยู่ในตัว คือรู้จักผ่อนพัก เพื่อให้สมองไม่เหนื่อยเกินไป หากตอบคำถาม “ทำไม” ไม่ได้ หรือตอบได้ไม่ชัดเจน สมองจะเข้าสู่สภาพ ‘เกียร์ว่าง’ และจะไม่จำบทเรียนนั้น

เพื่อให้ครูนำนักเรียนเข้าสู่สภาพพร้อมเรียน มีแรงบันดาลใจต่อการเรียน ครูต้องเข้าใจ 3 ขั้นตอนของการเตรียมพร้อม คือ ขั้นเริ่มต้น (set up) ขั้นอยากเรียน (buy-in) และขั้นเห็นคุณค่า (relevance)

เตรียมความพร้อม 3 ขั้นตอน: เริ่มต้น อยากเรียน และเห็นคุณค่า

จะเห็นว่า ผู้เขียนแยกแยะการเตรียมความพร้อมต่อการเรียนของนักเรียน ละเอียดออกไปถึง 3 ขั้นตอน โดยที่ต้องไม่สับสน หรือปนขั้นตอนดังกล่าว เครื่องมือ 3 ขั้นตอนนี้จะได้ผลดีต้องการ ‘ตัวช่วย’ 4 ประการคือ (1) ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับนักเรียน (2) บรรยากาศในห้องเรียน (3) ความคาดหวังของนักเรียนต่อผลสำเร็จในการเรียน และ (4) ความสัมพันธ์ของครู กับตัวช่วยทั้ง 3 ประการข้างต้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างสภาพจิตใจ หรือสภาพสมองของนักเรียน ที่พร้อมเรียนสูงสุด

เริ่มต้น (setup)

อาจเริ่มต้นด้วยเครื่องมือปลุกเร้าความตื่นตัว (arousal) เช่นใช้คำถามกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น “นักเรียนอยากทำการทดลองที่สนุกสุดๆ ไหม” หรือ ปลุกเร้าด้วยท่าทีกระตือรือร้นของครู “ว้าว ครูรู้สึกตื่นเต้นที่จะสอนตอนนี้มาก ทุกคนกรุณายืนขึ้น…”

เขาแนะนำประโยคต่อไปนี้

“ครูมีเรื่องสำคัญให้นักเรียนทำ กรุณายืนขึ้น” แรงดึงดูดคือ ความอยากรู้อยากเห็น (curiosity)

“ครูกำลังจะบอกบางเรื่องที่จะทำให้นักเรียนแปลกใจ” แรงดึงดูดคือ ความคาดหวัง (anticipation)

“ทุกคนกรุณายืนขึ้น เรากำลังจะทำการทดลอง เมื่อเสียงดนตรีเริ่มขึ้น ให้เดินไปแตะโต๊ะที่ไม่ใช่โต๊ะของตัวเอง 5 โต๊ะแล้วยืนรอคำสั่งต่อไป”

การปลุกเร้าขั้นเริ่มต้นนี้สำคัญมาก หากนักเรียนยังคงง่วงเหงาหาวนอน กระบวนการเตรียมความพร้อมอีก 2 ขั้นตอนต่อไป จะไม่ได้ผล ในขั้นตอนแรกนี้ หวังผลให้การไหลเวียนเลือดเพิ่มขึ้น และเพิ่มสารเคมีเพื่อการเรียนรู้ในสมอง

อยากเรียน (buy-in)

เป้าหมายของขั้นตอนนี้ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจความหมายของสิ่งที่กำลังจะเรียน คือตอบคำถาม “ทำไม” ได้ ทำไมจึงต้องเรียนบทเรียนนี้ เป็นการดึงความสนใจเข้าสู่บทเรียน และพร้อมเข้าสู่การเตรียมความพร้อมขั้นตอนต่อไป เครื่องมือของขั้นตอนนี้ คือคำพูดของครูต่อไปนี้

“ขอให้ทุกคนหายใจเข้าออกยาวๆ ถ้านักเรียนพร้อมที่จะเรียนสิ่งที่น่าพิศวง จงกระทืบเท้าสองครั้ง” แรงดึงดูดคือการเรียนรู้

“นี่คือปัญหาธรรมดาๆ ที่ไม่เคยมีลูกศิษย์ของครูคนใดเคยแก้ปัญหาได้ภายใน 3 นาที ครูให้เวลา 3 นาที ให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนที่นั่งติดกัน ช่วยกันทำโจทย์ พร้อม? เริ่ม!” แรงดึงดูดคือ การทำงานเป็นทีม เพื่อแก้โจทย์อย่างรวดเร็ว ซึ่งนักเรียนคนก่อนๆ ไม่เคยทำได้

“ต่อไปนี้คือความรู้ที่จะช่วยให้นักเรียนได้เกรดที่อยากได้” แรงดึงดูดคือเกรดที่สูงขึ้น

“ครูมีงานให้ทำที่จะช่วยให้นักเรียนไม่ต้องใช้เวลาอ่านหนังสือนานๆ เป็นงานที่ใช้เวลาไม่กี่นาที พร้อมหรือยัง” แรงดึงดูดคือ จะมีเวลาเล่นกับเพื่อนมากขึ้น

“เรามาเรียนรู้วิธีที่จะช่วยให้นักเรียนจำเรื่องราวได้ดีขึ้นในช่วงสอบ โดยใช้เวลาเรียนลดลง ดีไหม” แรงดึงดูดคือ ทำข้อสอบได้ง่ายขึ้น และลดเวลาเรียนลง

หลักการคือ ให้นักเรียนได้ชิมเรื่องราวการเรียนรู้ส่วนหนึ่ง ก่อนจะเรียนบทเรียนทั้งหมด

เห็นคุณค่า (relevance)

ในสองขั้นตอนแรก เป็นการปลุกสมองและร่างกายให้ตื่น ตามด้วยการกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น ความคาดหวัง และความท้าทาย ต้องตามด้วยขั้นตอนที่สาม คือการเห็นคุณค่าหรือความหมายของบทเรียน ซึ่งจะทำให้การเตรียมความพร้อมมีผลระยะยาว

คุณค่าที่ดึงดูดนั้นเรียนเปลี่ยนไปตามวัย เด็กอายุ 5 ขวบ เน้นที่ความรู้สึกมั่นคง และสนุก สำหรับนักเรียนอายุ 15 ปี เน้นที่การได้รับการยอมรับจากเพื่อน และรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง

เขาแนะนำแรงขับเคลื่อนความรู้สึกเห็นคุณค่า 10 ตัว เป็นแรงขับเคลื่อนจากภายในตัวเอง 5 ตัว และแรงขับเคลื่อนผ่านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น 5 ตัว ดังต่อไปนี้

แรงขับเคลื่อนภายใน

  1. สร้างความมั่นคงปลอดภัย (security)
  2. ให้ความเป็นอิสระ (autonomy)
  3. สร้างอัตลักษณ์ (identity)
  4. ให้ความรู้สึกว่าทำได้ดี (mastery)
  5. เชื่อมโยงกับเป้าหมายชีวิตในมิติที่ลึก (deep meaning)

แรงขับเคลื่อนผ่านปฏิสัมพันธ์

  1. สถานะทางสังคม
  2. ผูกมิตร
  3. มีคุณค่า
  4. เชื่อมโยงสู่เป้าหมายยิ่งใหญ่
  5. พิสูจน์ตัวเอง

หลักการคือ เราอาจสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากการมีตัวกระตุ้น แต่หากจะให้สนใจระยะยาว เราต้องเห็นคุณค่าหรือความหมายต่อตัวเรา

ใช้ตัวช่วยดึงดูด

การสร้างความสนใจเรียนของนักเรียน ในเบื้องต้น เน้นการสร้างพลัง (energy) และสร้างแรงส่ง (momentum) แต่จะให้นักเรียนรักเรียนต่อเนื่อง ต้องให้นักเรียนเห็นคุณค่าอย่างชัดเจน ของการเรียน ต่อชีวิตของตนเองในขณะนั้น และตามช่วงอายุของนักเรียน

ตัวช่วยดึงดูดนักเรียนสู่การเห็นคุณค่าของการเรียนต่อชีวิตของตนเอง มีมากมายหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม การเคลื่อนไหว (kinesthetic-ช่วยให้นักเรียนได้จับ คลำ โยน เล่น สิ่งของนั้น), กลุ่มวัสดุสิ่งของ (สำหรับเอามาโชว์), กลุ่มการท่องเที่ยว (ออกไปนอกห้องเรียน ไปยังบางสถานที่ เพื่อเรียนรู้), กลุ่มดนตรี (ใช้ดนตรีแสดงประเด็นการเรียนรู้), กลุ่มทัศนศิลป์ (สร้างโปสเตอร์เพื่อบอกเป้าหมายการเรียนรู้ หรือบอกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น), กลุ่มการละคร (แสดงท่าทางที่สะท้อนความคิดหรือเหตุการณ์), กลุ่มงานอดิเรก (ให้นักเรียนแชร์งานอดิเรกของตน เมื่อเรียนมาถึงเรื่องนั้น), กลุ่มเสรี (autonomy-อนุญาตให้นักเรียนแสดงความเชื่อมโยงของเรื่องที่เรียนกับชีวิตของตนได้โดยอิสระ), กลุ่มกิจกรรมตามเทศกาล (เชื่อมโยงกับเรื่องราวตามข่าว), กลุ่มสร้างกล่องลับ (ภายในกล่องมีสาระการเรียนรู้ที่กำลังเรียน), กลุ่มออกแบบภายใน (ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการจัดห้องให้เหมาะต่อการเรียนรู้สาระนั้นๆ), กลุ่มเครื่องแต่งกาย (แต่งตัวตามตัวละครในเรื่องที่เรียน)

ตัวช่วยดึงดูดให้เห็นว่าการเรียนมีคุณค่าเชื่อมโยงกับชีวิตจริงในนักเรียนระดับอนุบาลถึง ม.6 มีมากกว่า 50 อย่าง และมีบอกไว้ในหนังสือ ‘Teach Like a Pirate’ (Burgess, 2012) และ ‘How to Motivate Reluctant Learners’ (R. Jackson, 2011) โดยมีตัวอย่างตัวดึงดูดทางสังคมในนักเรียนระดับประถมและมัธยม ดังในตารางข้างล่าง

มีครูมัธยมในสหรัฐอเมริกา ผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ใช้การบรรลุระดับคะแนนสำหรับการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน เป็นแรงดึงดูดคุณค่า นอกจากนั้น ครูท่านนี้ยังใช้คะแนนคณิตศาสตร์ของโรงเรียนใกล้ๆ ที่มีผลการเรียนดีกว่า มาเป็นตัวเปรียบเทียบและกระตุ้นให้นักเรียนช่วยกันเอาชนะโรงเรียนที่สมมุติว่าเป็นคู่แข่งนั้น ครูท่านนี้ได้ชื่อว่าเป็นครูคณิตศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จสูง

ใช้คำถาม

เขาแบ่งระดับคำถามเป็น good questions กับ great questions และบอกว่า good questions ช่วยกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น การเห็นคุณค่า และการใคร่ครวญสะท้อนคิด ส่วน great questions ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศของห้องเรียน และอาจถึงกับเปลี่ยนชีวิตของนักเรียน การใช้คำถาม หรือการถาม-ตอบ ในชั้นเรียน ที่ทำอย่างถูกต้อง ช่วยเพิ่ม effect size ของผลการเรียนสูงถึง 0.81 โดยที่กิจกรรมนี้ต้องการ การมีส่วนร่วม ความรู้สึกปลอดภัยที่จะถาม การมีเป้าหมายที่ความเข้าใจที่ลึก และการดำรงสัมพันธภาพที่ดี ตรงนี้ผมขอขยายความว่า ในส่วนของครู ต้องไม่ตั้งคำถามแบบไล่ต้อนให้จนมุม ต้องตั้งคำถามแบบหนุนการเรียนรู้ ในส่วนของนักเรียน นักเรียนต้องรู้สึกสบายใจที่จะถาม โดยไม่กลัวถูกเยาะเย้ยว่าโง่

เขาแนะนำว่า คำถามมี 5 ประเภท ได้แก่

  • คำถามเพื่อตรวจสอบความรู้เดิม (discovery questions) ใช้เมื่อพบว่ามีนักเรียนบางคนไม่เข้าใจ หรือเรียนล้าหลังเพื่อนๆ อาจตั้งคำถามในทำนอง “อธิบายให้ครูและเพื่อนๆ ฟังหน่อย ว่าเธอมีความรู้เกี่ยวกับน้ำขึ้นน้ำลงอย่างไรบ้าง”
  • คำถามที่ช่วยยกระดับการเรียนรู้ (essential questions) มี 2 แบบ (1) ช่วยให้เข้าใจกว้างขึ้น เช่น “ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงมีผลอย่างไรต่อชีวิตมนุษย์” (2) ช่วยให้เข้าใจสาระที่เรียนอย่างถูกต้องชัดเจน
  • คำถามที่ช่วยการสรุปสาระการเรียนรู้ เช่น “สาระการเรียนรู้สำคัญในคาบนี้มีอะไรบ้าง”
  • คำถามที่ช่วยการขยายความ ก่อนใช้คำถามชนิดนี้ควรถามคำถามเชิงสรุปสาระการเรียนรู้ และได้คำตอบที่ชัดเจนเสียก่อน ตัวอย่างคำถามเช่น “ความรู้ที่เรียนในวันนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างไรบ้าง”
  • คำถามเพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐาน (evidence-gathering questions) ใช้ในกรณีที่นักเรียนกำลังถกเถียงกัน หรือแบ่งจุดยืนออกเป็นหลายฝ่าย “บอกครูได้ไหมว่าหลักฐานที่แสดงว่าข้อโต้แย้งของเธอถูกต้องมีอะไรบ้าง” “ฝ่ายตรงข้ามจะโต้แย้งว่าอย่างไร ทำไม” “เธอมีข้อเท็จจริงอะไร ที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มี”

วิธีสร้างบรรยากาศตั้งคำถามและตอบคำถามอย่างคึกคักสนุกสนานทำได้หลายแบบ เช่นเขียนคำถามไว้บนกระดานหน้าชั้น เขียนชื่อนักเรียนแต่ละคนลงกระดาษม้วนใส่ลงในกล่อง ให้นักเรียนอาสาสมัครเป็นผู้จับชื่อนักเรียนที่จะเป็นผู้ตอบ (หากจับได้ตัวเอง ให้จับใหม่) หากนักเรียนที่ถูกขานชื่อตอบไม่ได้ ครูบอกว่าให้เวลาคิดอีกสองสามนาที แล้วจับชื่อนักเรียนคนอื่นต่อไป หลังจากนั้นจึงกลับมาให้นักเรียนคนเดิมตอบ

เมื่อนักเรียนตอบ ครูควรตั้งคำถามต่อ “รู้ได้อย่างไรว่าคำตอบที่ให้เป็นคำตอบที่ถูกต้อง” เมื่อนักเรียนตอบ ครูกล่าวคำขอบคุณ และบอกว่า “ครูชื่นชมที่เธอช่วยทำให้การเรียนรู้มีชีวิตชีวา ช่วยบอกครูอีกนิดได้ไหมว่า …”

ครูต้องตั้งคำถามด้วยความรัก ให้เกียรตินักเรียนในด้านที่เขาต้องการการยอมรับนับถือจากเพื่อนๆ ห้ามทำให้นักเรียนเสียหน้าหรืออับอายเป็นอันขาด หลักการสำคัญคือ ‘ค้นหาให้พบ’ ‘ค้นหาเพิ่ม’ และผลักดันต่อ ด้วยท่าทีให้เกียรติ และให้คุณค่าต่อสิ่งที่นักเรียนรู้ และความเจริญก้าวหน้าของนักเรียนแต่ละคน

วิจารณ์ พานิช

11 พ.ค. 62

อ่านบทความ วิจารณ์ พานิช สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน เพิ่มเติมได้ ที่นี่

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนการฟังและตั้งคำถามสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลนครู

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Unique Teacher
    “ไม่ได้ชี้นำแต่ถามให้คิด” ห้องที่เรียนจากคำถาม เกม และสิ่งที่ผู้เรียนสงสัย

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    “เรารักนักเรียนนะ แต่เราแสดงออกไม่เป็น” เปลือยชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดราวบทหนังสือของครูเฮง

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • 21st Century skills
    3 คำยอดฮิตที่คุณครูใช้กระทุ้งบรรยากาศการคิดของนักเรียนได้ตลอดกาล

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

จักรยาน นิทาน โต๊ะกินข้าว บ้าน รถ เวลาทองของลูกอยู่ได้ทุกที่ แค่มีพ่อแม่
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
8 November 2019

จักรยาน นิทาน โต๊ะกินข้าว บ้าน รถ เวลาทองของลูกอยู่ได้ทุกที่ แค่มีพ่อแม่

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • ในยุคที่พ่อแม่ทุกคนต้องทำงานเช้าจรดเย็น การเลี้ยงลูกโดยผ่านการมีกิจกรรมร่วมกันสม่ำเสมอ บางครั้งก็ทำไม่ได้
  • บทความนี้ช่วยให้เห็นความแตกต่างในการเลี้ยงลูกของ 4 ครอบครัวหลากหลาย พ่อที่เป็นหมอ พ่อที่เป็นนักร้อง แม่นักเขียนสารคดี และพ่อแม่ที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย รวมถึงถอดวิธีการออกแบบ ‘เวลาทอง’ ตามสไตล์แต่ละครอบครัว
  • เพราะเวลาทองของลูกเกิดขึ้นได้ทุกที บนโต๊ะกินข้าว ในบ้าน บนรถ ใช้หน่วยวัดเป็นความรู้สึกระหว่างกัน ไม่ใช่ปริมาณมากหรือน้อย
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล, ณขวัญ ศรีอรุโณทัย

เลี้ยงลูก 1 คน พ่อแม่ต้องใช้เวลามากเท่าไร?

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เคยบอกไว้ว่าคำแนะนำประเภท ‘พ่อแม่ที่ดี คือพ่อแม่ที่มีเวลาให้ลูกมากๆ เป็นคำแนะนำประเภทน่ารำคาญ’ ยิ่งในยุคที่พ่อแม่ต้องทำงานเช้าจรดเย็น ชีวิตเต็มไปด้วยความหนัก เหนื่อย เจอปัญหาต่างๆ ที่ยุ่งยากเกินกว่าจะควบคุม คำแนะนำนี้จึงใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป

แล้วพ่อแม่จะอยู่อย่างไร จะเลี้ยงลูกอย่างไร ในภาวะปากกัดตีนถีบเช่นนี้

The Potential คุยกับ 4 ครอบครัวหลากหลาย พ่อที่เป็นหมอ พ่อที่เป็นนักร้อง แม่นักเขียนสารคดี และพ่อแม่อาจารย์มหาวิทยาลัย เพื่อค้นหาความแตกต่างในการเลี้ยงลูก และถอดวิธีการออกแบบ ‘เวลาทอง’ ตามสไตล์แต่ละครอบครัว

เพราะคำว่า ‘เวลาทอง’ หมายถึงคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ 

พ่อหมอ

‘เวลาทอง’ ของครอบครัว คุณหมอแป๊ะ หรือ ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ไม่ได้วัดด้วยหน่วยเวลาหรือนาที แต่ใช้ความรู้สึก สีหน้า กับความพอใจ

เมื่ออาชีพการงานคือการดูแลคนไข้ รักษาความเจ็บป่วย เวลาของคุณพ่อลูก (สาว) สอง อาจไม่แน่นอน แต่ที่แน่นอนกว่าคือเวลา ‘คุณภาพ’ แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย 

ผศ.นพ.ธนพันธ์ ชูบุญ

“มันไม่ต้องเป็นตัวเลข เอาความรู้สึกพอ เมื่อไรที่ลูกต้องการเรา เราก็…ลูกรอได้ไหมอีกสองชั่วโมง จะเสร็จแล้ว ถ้าหากเขายังแฮปปี้อยู่ก็โอเค เขาโตมากับการที่เราต้องตรวจคนไข้นอกเวลา มีคลินิก ตอนเช้าเราก็ตื่นมาไปเดินเล่นกับเขา ไปส่งที่โรงเรียน แล้วก็ไปทำงาน จากนั้นรับลูกไปส่งที่บ้าน แล้วก็ไปคลินิก คลินิกเปิดสี่โมงครึ่งถึงสองทุ่ม หมอเจ้าของร้านไปถึงคลินิกเกือบหกโมง ก็ต้องบอกกันก่อนว่า ช่วงเวลานี้ผมต้องไปรับไปส่งลูก เป็นต้น ฉะนั้นมันก็ยังมีเวลาของมันอยู่ คือ แบบว่า คลินิกผมมีคนไข้นิดเดียว (หัวเราะ)”

ช่วงลูกๆ ยังเล็ก คุณหมอใช้เวลานั้นสร้างฐานะไปด้วย คุณหมอเรียกสถานการณ์ช่วงนั้นว่าปากกัดตีนถีบ

“ทุกช่วงฐานะมันก็มีความรู้สึกปากกัดตีนถีบทั้งนั้น ผมก็ปากกัดตีนถีบในเลเวลผม ถ้าคิดว่ามันเป็นปัญหา มันเป็นปัญหาทั้งหมดเลยนะ ก็แก้ๆ กันไป คนเป็นหมอถึงจะยุ่งมาก แต่เราก็กลับบ้าน ถูกไหม เราก็กินข้าว มีเวลาอาบน้ำกับลูก เล่นกับลูก อ่านหนังสือกับลูก สอนการบ้าน”

คุณหมอยืนยันว่ายุ่งจริง แต่ไม่ทุกวัน อาจมีบางคนเป็นอย่างนั้น แต่คุณหมอแป๊ะเลือกที่จะไม่เป็นอย่างนั้น ด้วยการส่งต่อเวร

“หมอที่ทำงานทั้งวันทั้งคืน อาจจะดีต่อคนไข้หรืออาจจะไม่ดีก็ได้นะ เพราะหมอที่ไม่ได้พักผ่อน คุณภาพของการดูแลและการคิดอะไรต่างๆ ก็ด้อยกว่าหมอที่พักผ่อนดีๆ”

เดือนๆ หนึ่ง วันที่ยุ่ง 24 ชั่วโมงอาจมี 2-3 วัน แต่ครอบครัวก็รู้ว่านี่คืองาน

“ผมไปทำงาน ลูกก็ต้องรู้แล้ว นี่คือเวลาทำงาน อ้อ เวลานี้พ่อไปคลินิก แล้วเดี๋ยวสองทุ่มพ่อจะกลับมา แล้วพ่อก็อยู่บ้านจนถึงเช้า วันนี้พ่ออยู่เวร หายไปทั้งคืนเลย ตื่นเช้าก็ตื่นไม่รอด ส่งลูกไปโรงเรียนก็หน้าเหมือนศพ ก็ต้องรู้ว่า เมื่อคืนพ่ออยู่เวร เป็นต้น เด็กๆ ก็ต้องเรียนรู้บทบาทอันนี้นะครับ“

“แต่เวลาไม่อยู่เวร โรงพยาบาลก็ต้องรู้ว่า นี่คือเวลาของเรา” คุณหมอย้ำ

ชั่วโมงทำการของคุณพ่อจึงไม่แน่นอน แต่พอจะสรุปได้คร่าวๆ ดังนี้

ช่วงที่ลูกยังเป็นเด็กเล็กๆ – หกโมงเช้า คุณพ่อรับหน้าที่พาลูกสาวไปเดินรอบอ่างเก็บน้ำใกล้บ้านพัก เมื่อโตหน่อยก็พาไปซ้อนท้ายจักรยาน คุยกันสัพเพเหระ ไม่มี topic ใดๆ ทั้งสิ้น ชวนดูนก ดูกิ้งก่า ดูต้นไม้ ดูดอกไม้ เรียกว่าอะไรอยู่รอบตัวก็ดูได้ทั้งนั้น 

“เมื่อไรที่เราต้องคิดว่าจะคุยอะไรกับลูกนะ ผมว่ามันเป็นสิ่งที่เฟลมากเลยอะ ยกเว้นเรื่องบางเรื่องที่เราอยากจะให้เขารู้จริงๆ และเป็นทักษะที่จำเป็น เช่น เรื่องเซ็กส์ แต่เราไม่ได้ตั้งเป็น topic ว่าต้องพูดแบบไหน เราก็ต้องรอโอกาสสวยๆ เช่น ปั่นจักรยานอยู่ เห็นหมามันติดเป้งกัน มันขึ้นขี่กัน เราก็บอก ลูกดูเร็ว มันกำลังจะมีลูก เริ่มต้นก่อน แล้วเดี๋ยวมันก็จะต่อยอดไปเอง”

เช่นเดียวกัน เวลาอ่านนิทาน งานนี้ต้องถึงมือคุณพ่อ พ่อผู้ไม่เคยเล่านิทานอย่างปกติเลยสักครั้ง เพราะลูกเล่นของครอบครัวอยู่ที่พ่อหมด

“ไม่เคยอ่านนิทานปกติ อ่านแล้วต้องใส่อารมณ์ของนิทาน อารมณ์ของการเล่าเรื่อง ฉะนั้นช่วงเวลาที่ลูกนอนจะเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก”

“เรามีหนังสือนิทานในบ้านเยอะมาก บางคืนก่อนนอนอาจจะอ่านกันถึงสามเรื่อง ถ้าเรื่องไหนเป็นสัตว์ พ่ออาจจะเป็นสัตว์ หรือมาเป็นสัตว์ในนิทานกันทั้งพ่อทั้งลูก พูดคุยกันประสาสัตว์ อย่างเช่นเรื่อง ‘กุริกุระ’ พ่อจะเป็นหนู และเมื่อถึงเวลาที่เป็นเหมือนท่อนฮุคในนิทาน กร๊อบแกร๊บกรุ๊บกรั๊บ กุริกุระ ถึงเวลานี้ ลูกจะช่วยเรา หรืออีกเรื่องหนึ่ง ‘ยักษ์อุฮิอะฮะกับแมวสิบเอ็ดตัว’ เอิ่ม…กี่ตัวก็ชักไม่แน่ใจ มันหลายปีมาแล้ว ผมจะเป็นยักษ์ ลูกเป็นแมว อะไรอย่างนี้ คืออยากจะบอกว่า นี่มันคือเวลาทองมาก หลับตานึกภาพออกไหม พ่อนอน ลูกคนโตหนุนแขนขวา ลูกคนเล็กหนุนแขนซ้าย แล้วอ่านหนังสือไปด้วยกัน เวลาเปลี่ยนหน้าหนังสือ ก็จะมีมือยื่นมาเปลี่ยนให้ เพราะพ่อทำไม่ได้”

แต่ระหว่างที่อ่านๆ อยู่ ก็จะมี ‘คิวแทรก’ ที่เรียกว่า “คนไข้มาห้องคลอด” เป็นระยะๆ คุณพ่อก็ต้องกัดฟันไปเพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงรับฝากครรภ์พิเศษเพื่อสร้างฐานะ

“รู้สึกหงุดหงิดใจเหมือนกัน เริ่มรู้สึกแล้วว่าการไปทำคลอด ฝากพิเศษ มันน่าจะไม่ใช่ชีวิตที่เราชอบเท่าไร แต่มันต้องทำ เพราะมันคือรายได้ที่จะมาซัพพอร์ตครอบครัว จนวันหนึ่งมันถึงจุดแตกหักของการรับฝากพิเศษ ผมต้องไปทำคลอด ตอนนั้นลูกคนโตสามขวบกว่าบอกว่า พ่อไปอีกแล้วเหรอ มันเจ็บมากเลย เลยบอกว่าจากนี้ไป พ่อจะไม่รับฝากพิเศษอีกแล้ว เลิกเลย”

ถามคุณหมออีกรอบ ‘เวลาทอง’ ของครอบครัวคือตอนไหน

“มันทองตลอดเลย (ตอบทันที) หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในรถ คุยกัน คุยได้ทั้งวัน แต่พอมันโตขึ้น มันก็พยายามที่จะไม่คุยกับเรา ฉะนั้นคุยกันให้เรียบร้อย คุยกันให้เยอะๆ ไปก่อน จะได้ไม่ขาดอะไร เขาจะรู้ว่าเรามีเวลาให้เขาเมื่อไร เท่าไร”

ไม่ใช่แต่ในบ้าน เวลามีงานนอกสถานที่ ครอบครัวชูบุญจะไปกันเป็นแพ็คเกจตลอดเวลา

“เวลาผมมีประชุมที่ไหน จะต้องมีลูกและเมียปรากฏตัวเสมอ เมียผมไม่ไปประชุมที่ไหนเลยนะตอนลูกผมเล็กๆ หรือเมื่อไรที่เขามีประชุมเราก็จะไป ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการได้ไปด้วยกัน ร้อนหนาวแค่ไหนไปตลอด เวลาหนาว เราเอาลูกมาอยู่ในเสื้อแล้วก็รูดปิด คอมันโผล่มาเหมือนลูกจิงโจ้เลย (ยิ้ม) ฉะนั้นทั้งชีวิต พ่อให้ลูกหมดเลย หมายความว่าช่วงเวลานอกการทำงานนะ”

ทำไมถึงเชื่อพลังของการให้และพลังของการใช้เวลาร่วมกัน?

“ก็เราให้เขาเกิดมาแล้วไหมล่ะ เราก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของเขา เท่านั้นเองครับ”

แม่นักเขียนสารคดี

ก้อย-จันทร์เคียว รัตนโยธา นักเขียนสารคดี เป็นคุณแม่ของน้องยินดีวัย 11 ปีที่เลี้ยงลูกเองตั้งแต่วันแรกที่ออกจากโรงพยาบาล และเป็นแม่บ้านที่ลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกเองเต็มเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีพี่เลี้ยงผลัดเปลี่ยน ลูกกินนมแม่ตั้งแต่เกิดจนถึง 3 ขวบ ปราศจากขวดนมใดๆ 

ก้อย-จันทร์เคียว รัตนโยธา 

“ดังนั้นในช่วง 3 ปีแรกแม่และลูกจะตัวติดกันเกือบตลอดเวลา เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร คิดอย่างไร จนถึงวันที่เขาเริ่มไปโรงเรียน หลังจากกลับจากโรงเรียนลูกมักจะเล่าเรื่องที่โรงเรียนหรือเรื่องที่เขารู้หรือสงสัยให้ฟังเสมอ” 

ทุกๆ เช้า น้องยินดี-ลูกชาย จะตื่นนอนเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวเองโดยแม่เตรียมชุดให้ และเตรียมอาหารเช้า ก่อนจะส่งไม้ต่อให้คุณพ่อเป็นสารถีไปส่งที่โรงเรียน 

มื้อเช้าคุณแม่เตรียมจะเป็นอาหารง่ายๆ อาจเป็นกับข้าวที่แบ่งมาจากมื้อเย็นเมื่อวาน ข้าวปั้น หรือซีเรียลใส่นม 

กลางวันแม่อยู่บ้านทำงาน ราวบ่ายสามโมงก็จะเตรียมตัวออกไปรับลูกที่โรงเรียน แล้วกลับมาทำอาหารค่ำ 

“หน้าที่ประจำวันของลูกที่ต้องรับผิดชอบคือเติมน้ำจากเครื่องกรองน้ำลงขวดน้ำดื่ม บางครั้งอาจช่วยล้างจาน หรือมีส่วนร่วมในการทำเมนูที่เขาคิดสูตรเอง อย่างไข่ม้วนแฮมชีส” 

วันธรรมดาที่ต้องไปโรงเรียนยินดีจะมีเวลาเล่นเกมคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะเป็นการอ่านหนังสือส่วนใหญ่เป็นหนังสือสารคดีเกี่ยวกับรถชนิดต่างๆ หรือเล่นของเล่นเลโก้รถหรือเลโก้แบบกลไกฟันเฟือง บางครั้งก็ต่อช่วยกันจิ๊กซอว์ ระหว่างนั้นพ่อแม่ดูข่าวทีวี บางทีลูกก็ชอบดูคลิปต่างๆ บนแทบเล็ตภายใต้สายตาและการควบคุมเวลาอยู่ห่างๆ ของแม่

“เวลามีประเด็นทางสังคมเรามักจะคุยกันดูทิศทางความคิดและทัศนคติที่เขาแสดงความคิดเห็นกับเรื่องต่างๆ เพราะคิดว่าการที่เด็กจะเติบโตไปเป็นมนุษย์คนหนึ่งนั้น ทัศนคติสำคัญที่สุด สำคัญกว่าความเก่งทางวิชาการหรือความสามารถพิเศษอื่นๆ” 

นอกจากเวลาแล้ว เนื้อหาที่พ่อแม่ลูกคุยกันก็สำคัญ 

“ก่อนนอนจะชวนคุยเรื่องทั่วไป วันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อนที่โรงเรียนเป็นอย่างไร อาหารกลางวันกินอะไร อร่อยไหม ให้เขารู้สึกว่าสนใจเรื่องราวรอบตัวเขา หลายครั้งลูกเล่าถึงการบูลลี่การแกล้งกันในโรงเรียนรวมถึงการแก้ปัญหาของเขา และเล่าประเด็นอื่นๆ ที่เราเองก็นึกไม่ถึง” 

ท่าทีในการคุยทุกเรื่อง บ้านนี้ปฏิบัติกับลูกอย่างเพื่อน ไม่ซักไซ้จ้ำจี้จ้ำไชหรืออยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง คุยด้วยน้ำเสียงบรรยากาศสบายๆ ให้ลูกวางใจและอยากเล่าเอง 

“ให้เขารู้ว่าไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเขาสามารถเล่าให้พ่อแม่ฟังได้ทุกเรื่อง” 

ทั้งหมดนี้คือ เวลาทองของบ้านยินดี ที่ไม่ได้หมายความแค่ชั่วโมงแห่งความสุข

“เวลาทองอาจจะไม่ได้หน้าตายิ้มแย้มตลอดเวลา เวลาทองคือช่วงเวลาที่ลูกรู้สึกปลอดภัย ได้พูดคุยกันถึงเรื่องต่างๆ บางครั้งอาจไม่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของเราเลยก็ได้ แต่เราจะรู้ถึงทัศนคติของเขาที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหน”

ส่วนเวลาทองแบบจับต้องได้คือครอบครัวมักหาโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศ หรือเที่ยวธรรมชาติ เที่ยวทะเล เดินภูเขากางเต็นท์นอนปีหนึ่งราว 3-4 ทริป ได้เหนื่อยด้วยกันหัวเราะด้วยกัน ช่วยกันกางเต็นท์ทำอาหาร นั่นคือเวลาทอง

แต่พ่อแม่บ้านนี้ก็มีช่วงที่ไม่มีเวลาเหมือนกัน 

“อย่างน้อยที่สุดได้กอดลูก ถามไถ่ถึงเรื่องที่เขาพบเจอระหว่างวัน เรื่องราวดีหรือไม่ดี รู้สึกอย่างไร ต้องการให้แม่ช่วยจุดไหน ได้บอกราตรีสวัสดิ์ส่งลูกเข้านอน เขาจะรู้สึกปลอดภัย นอนหลับอย่างมีความสุข” 

ให้เวลาทองกับลูกแล้ว คุณแม่บ้านนี้ก็ไม่ลืมที่จะมีนาทีทองของตัวเอง 

“ช่วงเวลาที่ผ่อนคลายมากที่สุดคือช่วงเตรียมอาหารค่ำให้สมาชิกในบ้าน เรารู้ว่าแต่ละคนชอบกินอะไร เวลาลูกได้กินอาหารฝีมือแม่รสชาติอร่อย เขาจะพูดขอบคุณทุกครั้งและให้คะแนน 5 ดาว จานชามที่ลูกกินจนเกลี้ยงก็ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ” 

ด้วยความเป็นนักเขียนสารคดี บางครั้งคุณแม่ก็ลากิจชั่วคราวไปเที่ยวต่างประเทศบ้าง เพราะแม่ย่อมมีชีวิตเป็นของตัวเองด้วย โดยเฉพาะช่วงปิดเทอม ยินดีจะเดินทางไปหาปู่ย่า และจะกลับมาพร้อมความเปลี่ยนแปลงแทบทุกครั้ง

“หนึ่ง ปู่ย่าไม่เหงา สอง เด็กได้ช่วยปู่ย่าทำงานอื่นๆ สาม พ่อแม่มีเวลาเป็นของตัวเอง สี่ ทุกครั้งที่ลูกกลับมาบ้านหลังจากช่วงปิดเทอมแค่สั้นๆ เราจะพบว่าเขาโตขึ้นกว่าเดิมเสมอ” 

พ่อนักร้อง

โป้-ปิยะ ศาสตรวาหา หรือ โป้ Yokee Playboy เบื้องหน้าเขาคือนักร้องหนุ่มที่ใช้ผลงานเพลงครองใจใครหลายคน เมื่อเวลาหมุนไปได้พาให้เขาเติบโตจากนักร้องหนุ่มกลายเป็นมนุษย์พ่อของลูกสาววัย 7 ขวบอย่างเต็มตัว แต่การสวมบทบาทที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยหรือท้อเลยสักครั้ง

เขายืนยันเสมอว่าลูกคือสิ่งที่ทำให้มีความสุข และเขาคือคุณพ่อที่ให้ความสำคัญกับเวลา เพราะเวลาทำให้เขารู้จักลูก เวลาคือสิ่งที่ช่วยให้พ่อสามารถสร้างประสบการณ์ให้กับลูกได้ 

โป้-ปิยะ ศาสตรวาหา

“ตลอดชีวิตของผมทำงานมาตลอด วันหนึ่งเราเริ่มรู้สึกว่าทำไมเราไม่เติมเต็มสักที หาเงินมาได้ก็ไม่รู้สึกสุขเหมือนที่เราอยากเป็น เราเริ่มตั้งคำถาม จากนั้นก็หาคำตอบ แต่ไหวตัวช้าไปนิดนึง มาเจอคำตอบใกล้ๆ อายุขึ้นหลักสี่แล้วพบว่า เราต้องการมีครอบครัว

“ในความทรงจำ ไม่รู้ทำไมผมไม่เคยจินตนาการเลยว่าตัวเองจะมีลูกชาย ผมอยากมีลูกสาวมาตลอด ตอนที่เล่นโชว์เพลงในช่วงนั้น อยู่ดีๆ บางครั้งก็บ้าบอถึงขั้นตะโกนบนเวทีว่า “ผมอยากมีลูกสาวววว” ในเมื่ออยากมีลูกเราก็ต้องหาแม่พันธุ์ ตอนที่ผมเจอภรรยา ผมคุยกับเขาเลยว่าตอนนี้ผมกำลังหาแม่พันธุ์อยู่นะ คงเป็นความโชคดีที่ภรรยาเขาคงงงๆ ว่านี่เรากำลังจีบเขาอยู่หรืออะไร จนในที่สุดเราได้คบกันสร้างครอบครัวและมีลูกด้วยกัน”

กิจกรรมแต่ละวันของพ่อโป้และน้องชินา-ลูกสาว ดูคล้ายกับครอบครัวอื่นๆ เริ่มจากการตื่นนอน ไปโรงเรียน กลับจากโรงเรียน วิ่งเล่น กินข้าว แล้วเข้านอน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้แต่ละวันไม่ซ้ำกันคือลีลาและน้ำเสียงในการเล่านิทานของ ‘คุณพ่อ’

“ผมขอไล่จากช่วงเวลาเข้านอนก่อน ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ผมจะมีหน้าที่อุ้มน้องจากรถขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นสองแล้วพาลูกนอน ถ้าเขาไม่หลับระหว่างทางกลับบ้าน เราก็จะเป็นคนอาบน้ำให้เขาด้วย ช่วงเวลาก่อนนอนทุกคืน ผมจะเป็นคนเล่านิทานให้เขาฟังก่อนหนึ่งเรื่อง ซึ่งนิทานเหล่านั้นจะเป็นนิทานที่ผมแต่งเองทั้งหมด โดยแต่งจากความสนใจของลูก เช่น ตอนนั้นเขากำลังสนใจเกี่ยวกับการ์ตูนฮีโร่ เช่น แบทแมนแแอนด์โรบิ้น เราก็หยิบจับเอาตรงนั้นมาเล่าเป็นเรื่องราวที่เข้าใกล้ตัวเขาได้ง่าย เช่น ลูกรู้ไหม จริงๆ แล้วพ่อเป็นเพื่อนกับแบทแมนนะ แต่พ่อไม่เคยบอกใคร เราสร้างเรื่องราวไปเรื่อย พอเขาฟังเขารู้สึกสนุก มันกระตุ้นจินตนาการ

“ผมเริ่มเล่านิทานให้เขาฟังตั้งแต่เล็กๆ ในช่วงแรกคุณแม่จะเป็นคนพาเล่า แต่หลังๆ ไม่รู้ทำไม น้องอาจจะชอบความตื่นเต้นเลยมาให้คุณพ่อเล่าให้ฟังแทน ซึ่งพ่อก็จะเล่าในสไตล์ exotic พ่อเป็นเพื่อนกับแบทแมน แบทแมนมาเยี่ยมพ่อตอนนี้ที่ลูกยังแบเบาะอยู่ จริงๆ แบทแมนไม่ถูกกับซูเปอร์แมน เพราะซูเปอร์แมนงาบไอศกรีมของแบทแมนไป ซึ่งพอเราเล่าแบบนี้ ลูกดูจะชอบมากๆ (หัวเราะ)

“พอเราส่งลูกเข้านอนแล้ว ตื่นเช้ามาจะเป็นหน้าที่ของแม่ คุณแม่จะพาไปส่งโรงเรียน เพราะพ่อตื่นสาย (ต้องขอขอบคุณภรรยาด้วยครับ-หัวเราะ) แต่ก็มีบ้างที่พ่อไปด้วย พอถึงช่วงเวลาบ่ายๆ เป็นเวลาเลิกเรียน พ่อแม่จะไปรับเขาจากโรงเรียนมาที่นี่ (ร้านอาหารที่เป็นกิจการของครอบครัว) จากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ลูกจะได้เล่นหรือทำการบ้าน โดยพ่อจะใช้เวลานี้ทำงานเพลงไปด้วย จากนั้นในช่วงเย็นก็จะเข้าสู่ลูปเดิม” 

หากถามถึงระดับความสนิทของสองพ่อลูก โป้ตอบอย่างหนักแน่นไว้ว่า เราทั้งคู่เรียกได้ว่าคุยภาษาเดียวกันเลย

“ด้วยความที่เราหน้าตาแบบนี้ ภรรยาบอกว่าผมเป็นผู้ช้าย ผู้ชาย คนป่ามากๆ เรามีความกังวลที่จะเล่นกับลูก ไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับเด็กผู้หญิงอย่างไร ไอ้เราก็เริ่มน้อยใจลูก เราจึงต้องหาทางเข้าหาเขา เริ่มจากสังเกตสิ่งที่เขาทำก่อน ตอนนั้นเขาสนใจตุ๊กตา ผมเลยเอาตุ๊กตาของเขามาเล่นสวมตัวเองเข้าไป ทำให้ตุ๊กตามีชีวิตแล้วบีบเสียงให้เล็กๆ คุยกับเขา ‘สวัสดีค่ะ ทำอะไรคะเนี่ย’ (หัวเราะ)”

โป้พาย้อนไปตอนที่น้องชินาอายุ 2 ขวบ “จำได้ว่าน้องชอบทำหน้าตาตามผม เวลาเรามองหน้ากันผมคิดว่าเขาเป็นเด็กที่รู้เรื่องแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อผมสักคนแม้กระทั่งแม่เขา แววตาของลูกทำให้ผมรู้สึกประหลาด อาจจะเป็นเรื่องที่ฟุ้งซ่านก็ได้ แต่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ” 

การเป็นมนุษย์พ่อช่วยเติมเต็มให้โป้อ่อนโยนมากขึ้น 

“ตั้งแต่มีลูกผมรู้สึกมีฮอร์โมนผู้หญิงเพิ่มขึ้นนะ (หัวเราะ) ผมมีความสุขทุกวันตั้งแต่เขาเกิดมาเป็นลูก (ยิ้ม)” นี่จึงเป็นเหตุผลให้เขากลายเป็นคุณพ่อที่ค่อนข้างไหวตัวกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกมากๆ 

“เวลาผมมองลูกเหมือนผมได้นั่งมองตัวเองในร่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ย้อนไปในตอนนั้น คุณเคยอยากรู้อย่างไร อยากจะเจออะไร ไม่ชอบอะไร คุณจะพยายามพาเด็กคนนี้ (ซึ่งก็คือตัวคุณเอง) ไปทิศทางไหน ในแบบฉบับไหน

“ผมตั้งใจตั้งแต่จะมีลูก ผมจะเลี้ยงลูกให้โตขึ้นเป็นคนอารมณ์ดี 7 ปีที่ผ่านมา น้องโตขึ้นเป็นเด็กอารมณ์ดีจริงๆ ข้อนี้ถูกใจพ่อมาก เขาทะเล้นเหมือนพ่อ เขาเป็นเด็กอ่อนโยน จิตใจดี” 

“เราสองพ่อลูกจะจอยเวลาด้วยกันมักเป็นตอนเช้าในวันหยุด อาจเป็นเพราะเขาเห็นพ่อทำงานก๊องแก๊งๆ อยู่ใน(ห้องซ้อม)บ้านตลอด เขาเลยสนใจอยากรู้ว่าพ่อทำอะไร พ่อทำอาชีพอะไร เขาจะมาเล่นนู้นนี้เล่นนี้อยู่บ่อยๆ ซึ่งบ้านเราโตมากับเสียงเพลงอยู่แล้ว เพราะพ่อเป็นนักร้อง ตอนเล็กๆ เราก็จะร้องเพลงเสริมทักษะภาษาให้เขา ส่วนนี้มันจึงบ่มเป็นนิสัยของการฟังเพลง ทำให้ชินากลายเป็นเด็กที่มีเซนส์ในดนตรี”

การที่เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาแล้วเขาเป็นอย่างไร นอกจากอัตลักษณ์ที่ติดตัวมาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้ชัดเจนขึ้น นั่นก็น่าจะเป็นเวลาของพ่อแม่ที่อยู่กับเขา ความสุขของครอบครัวที่สุดคือการได้ใช้เวลาด้วยกัน – พ่อโป้เชื่อแบบนั้น

“การสร้างประสบการณ์ให้ลูกเป็นสิ่งดี ฉะนั้นคุณอย่าไปปิดกั้นมันเลย ปล่อยไปตามธรรมชาติ บางครั้งก็ปล่อยให้เจอปัญหาคุณจะได้สอนเขา มหาอาณาจักรสังคมทั้งหลาย ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ คือ บ้าน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้าน สุดท้ายจะส่งผ่านออกไปมีผลกระทบต่อตัวเขาทุกอย่าง

“สำหรับบ้านผม ผมไม่มีข้ออ้างสำหรับการเลี้ยงลูก ต่อให้ชีวิตหนัก เหนื่อย แค่ไหนก็ตาม บางครั้งผมบ้างานมากๆ ทำงานติดกันนานๆ มันจะมีช่วงเวลาที่สะดุ้งแล้วรู้สึกว่าเราใช้เวลานานเกินไปแล้ว ไปอยู่กับลูกบ้างดีกว่า”

ฉะนั้นเมื่อถามถึงหน้าตาของเวลาทอง – พ่อโป้ตอบเต็มคำเลยว่า เวลาทองคือทุกเวลาที่เขาได้ใกล้ชิดกับลูก

“เวลาที่เราได้อาบน้ำให้เขา ล้างก้นให้เขา มันสั้นมากๆ ผมอยากให้คุณพ่อทุกคนไหวตัวทันเหมือนผม อยากให้รีบกันหน่อย เพราะช่วงเวลานี้มันผ่านไปแล้วคือผ่านไปเลย เงินทองที่คุณหามาได้มากเท่าไร มันซื้อช่วงเวลาตรงนี้ไม่ได้ ผ่านไปแล้วผ่านไปเลย หมดแล้วหมดเลย ตอนนี้ผมพยายามแง้มประตูบานนี้กับลูกสาวอยู่ ไม่อยากให้มันปิดเร็ว”

พ่อแม่อาจารย์มหาวิทยาลัย

“ครอบครัวเราให้ความสำคัญกับลูกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หลังจากมีลูกแล้วมันไม่ใช่ชีวิตคู่ มันคือชีวิตคี่ (หัวเราะ) คือเราไม่เคยฝากลูกไว้กับใครแล้วไปเดทกัน 2 คน ไม่ได้ว่าครอบครัวอื่นนะคะ แต่เรามีความสุขมากกว่าที่จะได้อยู่พร้อมหน้ากัน 3 คน”

แม่มะเหมี่ยว-วราลี ยอดสุรางค์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พ่อแทน-ปฏิพล ยอดสุรางค์ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ทั้งคู่เป็นพ่อแม่ของน้องทามะ ลูกสาววัย 5 ขวบ ที่ร่าเริง สดใส และคุยเก่ง

ภาพจำเดิมของวิชาชีพอาจารย์ ดูเหมือนจะมีชีวิตที่ยุ่งยาก ไม่มีเวลา เพราะต้องง่วนอยู่กับตำราและเตรียมการสอน แต่ชีวิตของพ่อแทนและแม่มะเหมี่ยวไม่ได้เป็นเช่นนั้น

แม่มะเหมี่ยว-วราลี ยอดสุรางค์ และ พ่อแทน-ปฏิพล ยอดสุรางค์

“ทุกอาชีพก็มีความหนัก เหนื่อยต่างกันไป จริงๆ แล้วการเป็นอาจารย์ ถ้าวางแผนดีๆ เราจัดสรรเวลาได้แน่นอน เพราะเราทำงานราชการมีเวลาชัดเจนอยู่แล้ว เพื่อนๆ หลายคนบอกว่า เราโชคดีที่บ้านกับที่ทำงานใกล้กัน และโรงเรียนลูกอยู่ใกล้กัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องเครียดกับรถติด” พ่อแทนบอก

พ่อแทนเล่าย้อนไปตอนน้องเด็กๆ ทามะเป็นเด็กที่เติบโตที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะช่วงเวลานั้นทั้งพ่อและแม่มีภารกิจเรียนต่อที่นั่น น้องมีโอกาสได้อยู่ในเนิร์สเซอรีในญี่ปุ่น ซึ่งการอยู่ที่นั่นทำให้พ่อแทนและแม่มะเหมี่ยวเห็นความแตกต่างด้านเวลาอย่างชัดเจน 

“จริงๆ เราสามารถทำงานต่อที่นั่นได้เลยแต่มันต้องเหนื่อยแน่ๆ ด้วยวัฒนธรรม ธรรมเนียม ญี่ปุ่นจะเข้มงวดเรื่องวินัย แต่ก็อาจจะตามด้วยความเครียด ทุกอย่าง strict ไปหมด เขาไม่ได้ยืดหยุ่นมากพอ ถึงแม้ญี่ปุ่นจะมีสวนสาธารณะมากมายแต่พ่อแม่ต้องทำงานหนัก ลูกก็ไม่มีโอกาสได้ไปเล่นอยู่ดี” จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ย้ายกลับมาที่ประเทศไทย และเข้าเรียนอนุบาลในโรงเรียนไทย 

โดยกิจวัตรประจำวันแต่ละวันตั้งแต่ตื่นจนเข้านอนของสามชีวิต เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้า พ่อแทนจะตื่นก่อนเพื่อลุกขึ้นมาเตรียมอาหาร ทำกับข้าวให้ลูก และเตรียมตัวออกจากบ้านไปโรงเรียนและไปทำงานกันพร้อมหน้าพร้อมตา โดย ‘จักรยาน’

“ด้วยความที่โรงเรียนห่างจากหน้าบ้านไม่ไกล เราก็จะขี่จักรยาน หรือจะขี่สกู๊ตเตอร์ หรือจะติดรถแม่ไปก็ได้ แล้วแต่ลูกจะเลือก” 

ระหว่างทางไปรับไปส่ง พ่อแทนใช้ช่วงเวลานี้พูดคุยและรับฟังเรื่องเล่าจากน้องทามะทุกเรื่อง 

“อย่างที่บอกเขาอยู่ในวัยชอบพูด เขาเป็นเด็กพูดเก่ง มันไม่มีแพทเทิร์นขนาดว่าวันนี้พ่อแม่จะต้องถามอะไร คุยอะไร หรือต้องเล่าเรื่องอะไรกัน แต่พื้นฐานน้องเป็นเด็กช่างคุย เขาจะมีเรื่องมาเล่า เรื่องโม้ของเขา เช่น เรื่องกลุ่มเพื่อนในห้องของเขา หรือวันนี้คุณครูดุ วันนี้เจอตุ๊กแกของครู ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงไม่จริง แต่ก็ฟังไป ปล่อยให้เขาเล่าตามจินตนาการของตัวเอง”

พอในช่วงเย็น หลังเลิกเรียนคุณพ่อจะไปรับน้องและปล่อยให้เขาวิ่งเล่นที่สวนในโรงเรียนก่อน จากนั้นก็พากันกลับเข้าบ้าน เตรียมตัวทำกับข้าว รอคุณแม่กลับบ้าน ระหว่างที่พ่อทำกับข้าว ลูกก็จะใช้เวลาเล่นอะไรของเขาไปเรื่อยเปื่อย จากนั้นก็กินข้าวด้วยกัน พูดคุยกัน และก็ถึงช่วงเข้านอน

“ตามปกติไม่รู้ว่าบ้านอื่นใช้เวลากินข้าวนานแค่ไหน แต่บ้านเรากินข้าวนานประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะช่วงเวลานี้คือที่เวลาที่เราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน”

ดังนั้นเมื่อถามว่าเวลาทองของครอบครัวนี้คือช่วงเวลาไหน พ่อแทนตอบว่า

“สำหรับผมมันไม่ได้ซีเรียส ครอบครัวของเราไม่ได้กำหนดเวลาเป๊ะๆ ว่าคือเวลานี้ ต้องทำอะไร แค่เราคุยกัน อยู่พร้อมหน้า เราใช้เวลาอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยกันนาน เรากินข้าวเป็นชั่วโมง เพราะเป็นช่วงเวลาที่กินไปคุยไป”

เช่นเดียวกับแม่มะเหมี่ยวที่บอกว่า “เวลาทองคือเวลาที่เราทำกิจกรรมร่วมกับลูก ไม่จำเป็นต้องเป็นการเล่นอย่างเดียว”

เพราะบ้านไม่มีลูกจ้าง เวลาทำงานบ้าน ลูกก็จะมาช่วยทำด้วย นี่คือหลักการที่ช่วยให้ลูกสนุกไปพร้อมพ่อแม่ หรือเวลาที่คุณพ่อคุณแม่นัดเจอกับเพื่อนตัวเอง แม่มะเหมี่ยวก็จะให้ลูกตามไปด้วย เพราะนั่นคือวิธีที่ทำให้ลูกรู้สึกว่า ‘เขาสนิทกับเรานะ’ พอเขาไปเล่นตามสนามเด็กเล่นกับเพื่อนเขา เขาก็อยากให้เราไปเล่นด้วย อยากให้เราเป็นส่วนหนึ่งของเขา ให้เราวิ่งไล่พวกเขาเป็นผีบ้าง ยักษ์บ้าง แค่เรามีเวลาที่ได้อยู่ร่วมกับลูก มีช่วงเวลาที่สนุกด้วยกัน ลูกมีเวลาเล่นอย่างเต็มที่ในวัยเขา 

นี่แหละคือเวลาทอง

อ่านบทความ เวลาทอง โดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ ที่นี่

Tags:

ปิยะ ศาสตรวาหาวราลี ยอดสุรางค์จันทร์เคียว รัตนโยธาปฏิพล ยอดสุรางค์คาแรกเตอร์(character building)ธนพันธ์ ชูบุญ

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Character building
    HOPE อย่าหมดหวังในตัวเองนะวัยรุ่น

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์เลวร้าย ‘ความยืดหยุ่น’ สิ่งที่ต้องมีในโมงยามนี้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

MIND-BODY MEDICINE ปรับใจเยียวยากาย: ศาสตร์การบำบัดที่ทำให้คนกลับมาเข้าใจตัวเอง
How to enjoy lifeBook
7 November 2019

MIND-BODY MEDICINE ปรับใจเยียวยากาย: ศาสตร์การบำบัดที่ทำให้คนกลับมาเข้าใจตัวเอง

เรื่อง ภาพ บัว คำดี

  • หนังสือ ‘Mind-Body Medicine ปรับใจเยียวยากาย’ โดย นายแพทย์วิโรจน์ ตระการวิจิตร นำเสนอทางเลือกใหม่ในการกลับมาดูแลกายและใจของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง โยคะ ดนตรีบำบัด ศิลปะบำบัด ละครบำบัด รวมถึงการเขียนด้วย แต่นอกเหนือกิจกรรมทั้งมวล ต้องการให้ทุกคนกลับมาตระหนักรู้ในตนเองว่าอะไรคือสิ่งที่ยังกวนใจเราอยู่ทุกวัน เพื่อที่จะดูแลใจของเราให้แข็งแรงอยู่เสมอ
  • สอดคล้องกับความเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ที่บอกว่า ศิลปะบำบัดจะเป็นการสร้างงานศิลป์ที่เน้นไปที่การเยียวยาจิตใจของคน โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องความสวยงาม หรือความเหมือนในตัวแบบ การวาดภาพก็คือภาพสะท้อนสภาวะของใจเรา
เรื่อง: วีระวัชร์ มงคลโชติ

ลจากการสำรวจสถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตของคนไทยจากกรมสุขภาพจิต ซึ่งสำรวจทุก 5 ปี ในปี พ.ศ. 2551 พบว่าคนส่วนใหญ่มีสุขภาพจิตอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่เกือบ 1 ใน 5 เสี่ยงต่อการมีปัญหาสุขภาพจิต และกว่าแสนรายต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล  ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2556 พบว่าคนไทยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีปัญหาสุขภาพจิตประมาณ 7 ล้านคน

สถิติข้างต้นชวนให้ผมนึกถึงวันรวมรุ่นคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมได้นั่งพูดคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งทำงานเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา เขาบอกว่าการนัดคิวปรึกษากับนักจิตวิทยาต้องรออย่างน้อย 2 สัปดาห์หรือบางทีก็เป็นเดือน

“เดี๋ยวนี้เด็กปีหนึ่งหลายคน พอเข้ามหาวิทยาลัยได้ ก็มารับบริการเต็มไปหมด” พี่คนนี้ย้ำกับผมเช่นนั้น

บทสนทนาวันนั้นกับสถิติจากท้ายเล่มของหนังสือ ‘Mind-Body Medicine ปรับใจเยียวยากาย’ โดย นายแพทย์วิโรจน์ ตระการวิจิตร หรือ หมอคิม ตอกย้ำถึงความเร่งด่วนของปัญหาสุขภาพจิตที่ต้องได้รับการแก้ไข

หากร่างกายของเราเสื่อมสภาพลงจนเกิดเป็นโรคต่างๆ ได้ จิตใจก็ย่อมไม่แตกต่างกัน และหากจิตใจของเราสามารถ ‘เจ็บป่วย’ ได้เช่นเดียวกับร่างกาย การรักษาให้หายก็ย่อมเป็นไปได้เช่นเดียวกัน หลังจากวันที่ได้คุยกับรุ่นพี่คนนั้น ผมยังมีคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจว่า…

ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญอย่างนักจิตวิทยาการปรึกษาที่มีอยู่นี้ไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือกลุ่มคนที่มีปัญหา เราพอจะมีทางจัดการกับปัญหาสุขภาพจิตอย่างไรได้อีกบ้าง? 

ผมใช้เวลาหลังเรียนจบออกตามหาเครื่องมืออื่นๆ โดยส่วนใหญ่หมดเวลากับการศึกษาและปฏิบัติธรรมทางพุทธศาสนาเป็นหลัก สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเองคือ ‘ความสมดุล’ เป็นสิ่งที่ศาสตร์ตะวันออกให้ความสำคัญอย่างมาก เส้นทางชีวิตจากการศึกษาตามหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดความเชื่อทางตะวันตกก็สอดรับกับเส้นทางชีวิตของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คล้ายผมเดินทางมาพบกับ ‘ทางเลือก’ ในการดูแลกายและใจของตัวเองนอกเหนือไปจากวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบัน

เนื้อหาภายในเล่มเรียบเรียงผ่านประสบการณ์ของนายแพทย์วิโรจน์ ที่ต้องเผชิญกับอาการปวดท้องจากโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่เป็นตั้งแต่วัยเด็กและสืบเนื่องยาวนานมากว่า 20 ปี ความรู้ทางการแพทย์ที่เขามียังไม่เพียงพอจะทำให้รอดพ้นจากความทุกข์ทรมานที่ต้องเผชิญ สุดท้ายคุณหมอพบว่าหนึ่งในสาเหตุที่เป็นตัวปัญหาที่สุดแท้จริงแล้วคือ ‘ความเครียด’ ของเขาเอง

การเดินทางค้นหาวิธีเยียวยารักษาตัวเองได้นำพาคุณหมอมาพบกับศาสตร์ ‘ศิลปะบำบัด (Art Therapy)’ หนึ่งในสาขาของการแพทย์สายจิต (Mind-Body Medicine) ซึ่งเน้นการดูแลสุขภาพโดยผ่านกลไกทางด้านจิตใจ ร่างกาย และสังคมสิ่งแวดล้อม คุณหมอนำเสนอ 5 วิธี โดยแบ่งเป็น 5 บทในหนังสือ ได้แก่ 

  1. วาดภาพ วาดใจ 
  2. ดนตรีบำบัดสร้างสมดุลชีวิต 
  3. ศิลปะการเคลื่อนไหวร่างกาย 
  4. เขียนเยียวยาชีวิต 
  5. ละครบำบัดรักษาจิต ซึ่งได้คุณสุภัฏ สิกขชาติ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายความคิดสร้างสรรค์ ผู้เรียนรู้ชีวิตจริงผ่านกระบวนการละครบำบัด มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์

ก่อนเริ่มต้นพูดถึงวิธีการบำบัดในแต่ละข้อ คุณหมอได้พูดถึงกลุ่มบุคคล 6 กลุ่ม ที่เหมาะกับการใช้ศิลปะบำบัด ได้แก่ ผู้ป่วยเด็ก, ผู้ป่วยสูงอายุ, ผู้ป่วยโรคเอดส์, ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง, ผู้ป่วยระยะสุดท้าย และบุคลากรทางการแพทย์

นอกจากนี้ เนื้อหาในหนังสือยังมีการอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะการกล่าวถึงกระบวนการทำงานของสมองและฮอร์โมนในร่างกาย ทั้งยังมีการอ้างอิงถึงนักจิตวิทยาและจิตแพทย์หลายคนที่ทำงานวิจัยเพื่อสร้างกระบวนการในการบำบัดเยียวยาที่คุณหมอได้หยิบยกกระบวนการบำบัดที่ผ่านประสบการณ์มาด้วยตัวเองเพื่อให้ผู้อ่านทำความเข้าใจเนื้อหาภายในหนังสือเล่มนี้ โดยมีการรับรองอย่างเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ สืบค้นเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่สนใจต่อยอดในการเรียนรู้หรือนำมาประยุกต์ใช้ช่วยเหลือเยียวยาต่อไป

ความแตกต่างของศิลปะบำบัดกับการสร้างงานศิลปะทั่วไปก็คือ ศิลปะบำบัดจะเป็นการสร้างงานศิลป์ที่เน้นไปที่การเยียวยาจิตใจของคนคนนั้น ซึ่งจะไม่เกี่ยวกับเรื่องความสวยงาม หรือความเหมือนในตัวแบบ การวาดภาพก็คือภาพสะท้อนสภาวะของใจเรา

คุณหมอบอกเล่าถึงประสบการณ์การเรียนวาดภาพในคอร์ส ‘สีน้ำวิปัสสนา’ ที่ โรงเรียนธรรมชาติ บ้านริมน้ำ จังหวัดนครปฐม โดยเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่แสง การมองเห็น ความเข้ม การลงสี การผสมสี เป็นต้น และนอกเหนือจากขั้นตอนการฝึกฝนดังกล่าว คุณหมอยังได้มีโอกาสสำรวจความคิดและความรู้สึกของตนเองผ่านการวาด และภาพที่ถูกวาดได้แสดงอุปนิสัยและความรู้สึกนึกคิดของผู้วาด ณ ขณะนั้นอีกด้วย

เช่นเดียวกับการวาดภาพที่เราไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปินผู้ช่ำชอง ดนตรีบำบัด ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเยียวยาโดยปรับใช้ให้ผู้บำบัดได้ฝึกเล่นดนตรีอย่างง่ายเพื่อเป็นการผ่อนคลาย และปรับสมดุลของสารสื่อประสาทในสมองซึ่งส่งผลดีต่อทั้งร่างกาย และจิตใจ คุณหมอได้นำเสนอหนังสือ ‘มหัศจรรย์ one to five ไม่มีใครในโลก เล่นเปียโนไม่ได้’ ซึ่งเป็นวิธีการอย่างง่ายในการฝึกฝนการเล่นเปียโนที่คุณหมอเลือกเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในการเยียวยาตัวเอง

ในส่วนของศิลปะการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่เน้นการเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอและด้วยท่วงท่าที่ถูกต้องเหมาะสม จะสามารถพัฒนาสมรรถนะทางร่างกายอันจะส่งผลต่อการหลั่งสารเคมีที่ทำให้สมองตื่นตัว และสร้างเส้นใยประสาทเพิ่มขึ้น โดยคุณหมอได้เลือกนำเสนอการออกกำลังกายด้วยการ ‘วิ่ง’ ที่ทำได้ง่าย ได้ทั้งความทนทาน, ความแข็งแรง และการทรงตัวยืดหยุ่น ตามด้วย ‘ชี่กง’ ศาสตร์การแพทย์ของจีนในการบริหารพลังงานในร่างกายให้เกิดความสมดุล และ ‘โยคะ’ หนึ่งในศาสตร์การแพทย์จากอินเดียที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน

อีกหนึ่งวิธีที่ต้นทุนต่ำ ใช้เวลาน้อย ยืดหยุ่น ทำเป็นส่วนตัวหรือแบ่งปันคนอื่น รวมถึงทำที่ไหนก็ได้คือ การเขียน ที่ใช้ในการเยียวยา เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในตัวเอง แก้ปัญหาชีวิต พัฒนาเติบโต และส่งเสริมสุขภาวะทางกาย และใจอีกด้วย คุณหมอได้ยกตัวอย่างวิธีการเขียนบางส่วน เช่น การเขียนระบายความทุกข์ ความเศร้า อารมณ์ด้านลบออกมา (expressive writing), การเขียนตามแนว Personality and Human Relations (PRH) และการเขียนตามแนวทางของเวอร์จิเนีย ซาเทียร์ (Satir Model)

สุดท้ายหนึ่งในเครื่องมือที่ผมชื่นชอบคือ ละครบำบัด ที่รวบรวมเอาองค์ความรู้หลายสาขาเข้าด้วยกัน และเน้นไปที่การให้ผู้บำบัดได้มีโอกาสแสดงออกด้วยตัวตนผ่านบทบาทที่หลากหลายโดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะการแสดงมาก่อน และสามารถจัดกระบวนการได้ทั้งในแบบเดี่ยวและกลุ่มอีกด้วย คุณสุภัฏได้ถ่ายทอดมุมมองที่น่าสนใจที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์ในชีวิตของตัวเองที่แสดงถึง ‘การสวมบทบาทในชีวิตประจำวัน’ เหมือนกับการที่เราเป็นนักแสดงในโรงละครที่ชื่อว่าชีวิตมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก เพื่อเรียกร้องให้ตนได้รับการดูแลเอาใจใส่ด้วยรูปแบบวิธีการที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ภูมิหลังประสบการณ์ของแต่ละคน ทั้งนี้คุณสุภัฏได้ยกตัวอย่างครูละครบำบัด 3 ท่าน ได้แก่ ครูกิล (Gil Alon), โจเอล กลัค (Joel Gluck) และ อมิต รอน (Amit Ron)

บทบาทของหนังสือเล่มนี้คือ การนำเสนอทางเลือกใหม่ในการกลับมาดูแลกาย และใจของตนเอง ซึ่งมีวิธีการหลากหลายให้ผู้อ่านได้เลือกหยิบนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตได้อย่างเหมาะสม

ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การกลับมาตระหนักรู้ในตนเองว่าอะไรคือความไม่สมดุลที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของเรา มีอะไรที่ยังกวนใจเราอยู่ทุกวัน อะไรบางอย่างที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไปในชีวิต เพื่อที่จะดูแลใจของเราให้แข็งแรงอยู่เสมอ

และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ การมีใครสักคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง และคอยรับฟังเราในวันที่เราต้องการกำลังใจ และการสนับสนุน 

เอิธ-วีระวัชร์ มงคลโชติ คนรุ่นใหม่ที่สนใจศาสตร์การค้นหาตัวเอง ศึกษาธรรมะทุกรูปแบบคู่ไปกับศาสตร์จิตวิทยาและวิทยาศาสตร์สมอง แม้เรียกตัวเองว่าเป็นนักศึกษาธรรมะ แต่ระหว่างการศึกษาทางธรรมเขาก็พาตัวเองไปเรียนรู้ทุกศาสตร์ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาสาสมัคร Teach for Thailand, เข้าร่วมโครงการด้านธุรกิจเพื่อสังคมและได้ไปดูงานเรื่อง Design Thinking ที่ซิลิคอนวัลเลย์ ควบคู่ไปกับการสร้างเครือข่ายให้คนรุ่นใหม่มีเครื่องมือในการเข้าใจตัวเอง ปัจจุบันเอิธเป็นฟรีแลนซ์ที่มักสร้างโปรเจ็คท์ให้คนรุ่นใหม่มารวมตัวกันทำประเด็นทางสังคม โดยใช้การตระหนักรู้ในตัวเองเป็นเครื่องมือทำงานทั้งภายในและส่งออกไปภายนอก

Tags:

ซึมเศร้าหนังสือศิลปะบำบัด

Author:

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Book
    ‘ขอโทษ’ คำพูดติดปากจากบาดแผลที่พ่อแม่ทำให้รู้สึกผิดเสมอ: คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด

    เรื่อง อัฒภาค

  • Book
    โลกหม่น – คนเหงา : มูราคามิ กับมนุษย์ introvert

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • How to get along with teenager
    นักจิตวิทยาโรงเรียน “น้องร้องไห้ เราจะนั่งฟัง ลูบหลัง ตบไหล่ ให้เขาไม่ลืมเห็นใจตัวเอง”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Space
    “ออกไปชมพิพิธภัณฑ์” ใบสั่งยาจากทีมแพทย์แคนาดา ใช้ศิลปะเยียวยาร่างกายและจิตใจ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นBook
    บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

พันธุกรรมไม่สำคัญเท่าการเลี้ยงดู ความเอาใจใส่ของพ่อแม่กำหนดบุคลิกของลูกได้
Family Psychology
6 November 2019

พันธุกรรมไม่สำคัญเท่าการเลี้ยงดู ความเอาใจใส่ของพ่อแม่กำหนดบุคลิกของลูกได้

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • นักวิจัยสัตว์สังเกตพฤติกรรมของลิงที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์ พบว่า ถ้าลิงถูกเลี้ยงแบบขาดแม่ (peer-raised) โดยเฉพาะตัวที่สืบต่อพันธุกรรมไม่ดีบางอย่างมา มักแสดงลักษณะพันธุกรรมนั้นพร้อมกับพฤติกรรมผิดปกติ แต่เมื่อนำแม่ลิงเข้ามาดูแลลิงกลุ่มนี้ ปรากฏว่าลักษณะทางพันธุกรรมนั้นสงบลงและลิงมีพฤติกรรมดีขึ้น 
  • สอดคล้องกับผลวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กแห่งมหาวิทยาลัยมินเนโซตา พบว่า เด็กที่มีความผูกพันแบบไม่มั่นคง-ครึ่งๆ กลางๆ เมื่อโตขึ้นจะกลายเป็นเด็กที่ลังเลและวิตกกังวล ขาดความเด็ดเดี่ยว 
  • โจทย์สำคัญของพ่อแม่ คือ เราจะมีวิธีเลี้ยงลูกอย่างไรให้เขามีพัฒนาการทางกายใจที่ดี หลังจากรับพันธุกรรมบางอย่างที่ติดตัวหลังจากเขาเกิดมา

ตามธรรมชาติแล้วทารกจำเป็นต้องพึ่งพาใครสักคนที่จะมอบความรัก ความอบอุ่น ดูแลเอาใส่ใจเขาเพื่อความอยู่รอด พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดอาจเป็นตัวเลือกแรกสุด หรืออาจเป็นญาติพี่น้องซึ่งเป็นผู้ใหญ่ใจดีสักคนเข้ามาทำหน้าที่ผู้เลี้ยงดู สุดแล้วแต่เหตุผลของชีวิต อย่างน้อยที่สุดเจ้าหนูต้องได้รับความรักความอบอุ่นเพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยเป็นสุขหรือมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ฐานที่มั่น’ (secure base) เพื่อให้เขากล้าออกไปเรียนรู้อย่างอุ่นใจและมีที่พักพิงอันปลอดภัยซึ่งเขาสามารถกลับไปหาได้เสมอ

นี่คือสาระสำคัญจาก ทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ของ จอห์น โบวล์บี (John Bowlby) นักจิตวิทยาและนักจิตวิเคราะห์ ซึ่งอธิบายหลักการเอาไว้ว่า สมองของทารกถูกตั้งโปรแกรมอัตโนมัติให้เรียกร้องถวิลหาความรู้สึกปลอดภัยเป็นสุข ผ่านการดูแลเอาใส่ใจ เข้าใจและตอบสนองความต้องการอย่างรวดเร็วฉับไวจากผู้เลี้ยงดูหลัก (primary caregiver -ซึ่งอาจไม่ใช่พ่อแม่ก็ได้) ตามที่เขาคาดหวังอย่างเสมอต้นเสมอปลาย 

แนวทางของโบวล์บี ทำให้โรงพยาบาลและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเปลี่ยนวิธีปฏิบัติต่อผู้ป่วยเด็ก จากเดิมที่เคยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนผู้ดูแลเด็กเพื่อไม่ให้เกิดความเศร้าหมองเมื่อต้องกลับบ้านหลังเสร็จสิ้นการรักษา เปลี่ยนเป็นจัดให้มี ‘ผู้ดูแลหลัก’ ดูแลเด็กเป็นคนๆ ไปเพื่อพัฒนาความใกล้ชิดและผูกพัน ผลคือเด็กมีอัตราการรอดชีวิตและหายป่วยมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

งานศึกษาอื่นๆ ที่อิงทฤษฎีนี้ยังระบุด้วยว่า เด็กควรต้องได้รับการตอบสนอง ดูแลใกล้ชิดจากผู้เลี้ยงดู เขาจึงจะเกิดความผูกพันอันเป็นก้าวแรกสู่พัฒนาการที่ดีด้านสังคม อารมณ์ และความสามารถในการเรียนรู้ และยิ่งสำคัญมากในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก เพราะมันจะเป็นต้นแบบของปฏิสัมพันธ์ที่เขานำไปใช้กับเพื่อนๆ และสั่งสมความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่จะออกไปเรียนรู้สำรวจโลกรอบตัว เขาจึงจะสามารถรับมือกับความเครียดและอารมณ์อย่างสมดุล เข้าใจและยอมรับตนเอง ตลอดจนสร้างสัมพันธภาพที่มีคุณค่าความหมายในอนาคตได้

พันธุกรรมไม่สำคัญเท่าการเลี้ยงดู

นักวิจัยสัตว์ชื่อ สตีเฟน ซูโอมี (Stephen Suomi) สังเกตพฤติกรรมของลิงพันธุ์ rhesus ที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์ที่สุดสายพันธุ์หนึ่งแล้วพบว่า ถ้าลิงถูกเลี้ยงแบบขาดแม่ (peer-raised) โดยเฉพาะตัวที่สืบต่อพันธุกรรมไม่ดีบางอย่างมา มักแสดงลักษณะพันธุกรรมนั้นพร้อมกับพฤติกรรมผิดปกติ แต่เมื่อนำแม่ลิงเข้ามาดูแลลิงกลุ่มนี้ปรากฏว่าลักษณะทางพันธุกรรมนั้นสงบลงและลิงมีพฤติกรรมดีขึ้น แต่เมื่อแยกแม่ลิงออกมาอีกครั้ง ลักษณะพันธุกรรมเดิมก็กลับมา ปฏิกิริยาทางเคมีของสารสื่อประสาทเปลี่ยนแปลงไป จนสุดท้ายลิงมีความผิดปกติทางอารมณ์และเข้าสังคมไม่ได้

ผลการศึกษานี้เป็นเครื่องยืนยันว่าการเลี้ยงดูมีผลต่อการปรากฏลักษณะทางพันธุกรรมว่าจะแสดงออกมาหรือไม่และอย่างไร กล่าวคือการเลี้ยงดูเอาใจใส่จากพ่อแม่ช่วยระงับการแสดงออกของพันธุกรรมลบและการขาดการเอาใจใส่กระตุ้นให้มันแสดงออกมา

นับเป็นการทบทวนข้อถกเถียงของงานศึกษาที่แล้วมาเสียใหม่ ซึ่งผู้วิจัยมักศึกษาอิทธิพลของพันธุกรรมกับประสบการณ์แบบเดี่ยวๆ แล้วโต้กันไปมาว่า เหตุผลอย่างหนึ่งอย่างใดมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของบุคคลมากกว่ากัน (Nature vs Nurture) ทั้งที่ทั้งสองต่างเป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคน

แม้พันธุกรรมมีส่วนกำหนดการทำงานของสมองและควบคุมกลไกระดับโมเลกุลเซลล์โดยสั่งการให้ยีนทำงานหรือไม่ก็ได้ หรือจะเปิดปิดตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งยังสะท้อนไปถึงพฤติกรรมที่แสดงออก แต่ในขณะเดียวกันประสบการณ์ก็เป็นเบ้าหลอมให้คนคนหนึ่งปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เขาพบผ่านด้วยเหมือนกัน ซึ่งหากมองตามตรงแล้ว พันธุกรรมและประสบการณ์ต่างมีผลกระทบซึ่งกันและกัน เช่น กระบวนการปรับโครงสร้างสมองในช่วงวัยรุ่นจะมีการลดจำนวนเซลล์ประสาทลง (pruning) ตามธรรมชาติ แต่กระบวนการนี้อาจเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดความเครียดมากเกินไปด้วยเช่นกัน

สำหรับพ่อแม่ สรุปง่ายๆ ได้ว่า สมองถูกออกแบบมาให้พัฒนาตนเองอย่างสมบูรณ์แข็งแรงอยู่แล้ว อยู่ที่เราจะเลี้ยงเขาอย่างไรให้มีพัฒนาการทางกายใจที่ดีโดยสิ่งที่อาจรับช่วงต่อทางพันธุกรรม (เช่น นิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เป็นคนอ่อนไหว เจ้าอารมณ์ หรือขี้หงุดหงิด) จะไม่เป็นอุปสรรคกับการเติบโตผลิบานของชีวิต

ความรักความผูกพันอันมั่นคงจึงเป็นคำตอบสุดท้ายที่ครอบคลุมนิยามการเลี้ยงลูกอย่างมีคุณภาพได้ตรงไปตรงมาที่สุด

เลี้ยงลูกผูกพัน

เพราะธรรมชาติของสมองจำเป็นต้องมีการเรียนรู้เพื่อเติบโตและปรับตัว การเลี้ยงลูกให้เกิดความผูกพันจึงเป็นตัวแปรหนึ่งของพัฒนาการ เพราะเหตุผลข้างต้นที่เด็กจำเป็นต้องรู้สึกมั่นคงปลอดภัยจากฐานที่มั่นภายในตนเองเสียก่อนจึงจะกล้าก้าวไปสู่โลกกว้าง 

มาดูกันดีกว่าว่าในสมองของเด็กๆ นั้นเขาพัฒนาความผูกพันป็นลำดับขั้นจากการสื่อสารปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ได้อย่างไร

ขั้นที่หนึ่ง ปรับจูน (Attunement) คือ กระบวนการที่สมองฝั่งขวาของลูกเรียกร้องการเชื่อมต่อกับพ่อแม่ผ่านการรับส่งภาษากายซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอารมณ์ความรู้สึกให้รู้ และรอคอยว่าพ่อแม่จะตอบสนองเขาอย่างไร เขาจะรู้สึกว่าได้รับการตอบสนองก็ต่อเมื่อพ่อแม่เข้าใจสิ่งที่ตนต้องการและตอบสนองทางการสบตา สีหน้า น้ำเสียง สัมผัส สอดคล้องในจังหวะเวลาที่เหมาะเจาะพอดี (contingent communication) 

ขั้นที่สอง ภาวะสมดุล (Balance) เด็กเกิดความรู้สึกสมดุลกายใจจากการได้รับการตอบสนองและถูกเข้าถึง สังเกตได้จากวงจรการตื่นและนอนหลับที่เหมาะสม ปฏิกิริยาที่มีต่อความเครียด อัตราการเต้นของหัวใจ การย่อยและการหายใจ นักประสาทวิทยาอธิบายว่าตัวชี้วัดเหล่านี้เกี่ยวพันกับการมองเห็นแม่ในสายตาด้วย สมองเด็กเล็กจะตึงเครียดเมื่อไม่เห็นแม่อยู่ในสายตาเป็นเวลานาน และมีผลให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ บกพร่อง

ขั้นสุดท้าย ภาวะเชื่อมโยงสอดประสาน (Coherence) เด็กรู้สึกเป็นปึกแผ่นจากการเชื่อมโยงต่อติดกับผู้เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ สมองมีเสถียรภาพในการรับรู้และเข้าใจประสบการณ์พร้อมกับปรับตัวตามสิ่งแวดล้อมได้อย่างปกติสุข 

แมรี เอนสเวิร์ธ (Mary Ainsworth) ศิษย์คนใกล้ชิดของ จอห์น โบวล์บี ต่อยอดทฤษฎีความผูกพันโดยจำแนกลักษณะความผูกพันที่เด็กจะมีต่อพ่อแม่ที่มีวิธีเลี้ยงดูแตกต่างกันดังนี้ 

ลักษณะของความผูกพันที่เป็นผลจากการเลี้ยงดู

ลักษณะความผูกพันที่ลูกมีต่อพ่อแม่
การเลี้ยงดูที่ได้รับ
ความผูกพันแบบมั่นคง (secure)ได้รับการเอาใจใส่และตอบสนองความรู้สึกอย่างเข้าใจและถูกจังหวะเวลาสม่ำเสมอต่อเนื่อง 
ความผูกพันแบบไม่มั่นคง – ห่างเหิน (avoidant)ถูกเลี้ยงดูแบบทิ้งขว้าง ไม่ใส่ใจอารมณ์ความรู้สึกและถูกเมินเฉยเมื่อเรียกร้องต้องการ
ความผูกพันแบบไม่มั่นคง – ครึ่งๆ กลางๆ (ambivalent)เลี้ยงดูแบบเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งสนใจ บางครั้งละเลย หรือตอบสนองแต่ไม่ตรงกับที่ต้องการ
ความผูกพันแบบไม่มั่นคง – สับสน (disorganized) เลี้ยงดูด้วยความรุนแรงหรือใช้อารมณ์เกรี้ยวกราด ข่มขู่ให้กลัว

ในงานศึกษาดังกล่าว เอนสเวิร์ธให้ชื่อว่า ‘ทารกกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย’ โดยนำเด็กวัยหนึ่งขวบกับแม่เข้ามาในห้องซึ่งมีของเล่นมากมายกับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง จากนั้นให้แม่เด็กเดินออกไป ปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังกับคนแปลกหน้าสักพักแล้วค่อยให้แม่เด็กกลับเข้ามาเพื่อสังเกตพฤติกรรม

เด็กที่มีความผูกพันแบบมั่นคง 

เด็กที่มีความผูกพันแบบมั่นคงรู้สึกกลัวตอนที่แม่ไม่อยู่ แต่เมื่อแม่กลับมาก็รีบวิ่งไปหาแสดงความใกล้ชิด สงบลงในชั่วเวลาสั้นๆ และกลับไปเล่นสนุกได้ใหม่ เพราะได้รับความเอาใจใส่จากผู้ใหญ่แบบคงเส้นคงวาและเสมอต้นเสมอปลาย การมีแม่อยู่ใกล้ๆ เป็นตัวการันตีเพียงพอแล้วว่าเขาจะปลอดภัย

เด็กที่มีความผูกพันแบบห่างเหิน 

เชื่อหรือไม่ว่าเด็กที่มีความผูกพันแบบหมางเมินห่างเหิน ไม่แสดงอาการร้อนหนาวใดๆ เมื่อแม่เดินออกจากห้อง เขายังเล่นของเล่นต่อจนเมื่อแม่กลับมาก็ไม่ยี่หระ เหมือนกับจะบอกเป็นนัยๆ ว่า “ที่ผ่านมาจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ต่างกันนี่” แต่อย่างไร ผลจากการวัดอัตราการเต้นของหัวใจพบว่า แม้แสดงออกว่าไม่แคร์ แต่ภายในเต็มไปด้วยความเครียดและการกลับมาของแม่ช่วยให้สงบลง 

เด็กที่มีความผูกพันแบบครึ่งๆ กลางๆ

เมื่อแม่เดินออกไปจากห้อง เด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยพ่อแม่ที่เดี๋ยวก็สนใจ เดี๋ยวก็ปล่อยปละจนเกิดความไม่มั่นใจว่าเขาพึ่งพาพ่อแม่ได้จริงไหม เมื่อแม่กลับเข้ามาในห้องจะรีบวิ่งถลาเข้าหาอย่างขวัญเสีย ปลอบเท่าไหร่ก็ไม่หยุดร้องและเกาะแม่แจจนไม่กลับไปเล่นต่อ 

เด็กที่มีความผูกพันแบบสับสน

เด็กกลุ่มสุดท้ายในงานศึกษาของเอนสเวิร์ธ คือกลุ่มที่แสดงพฤติกรรมพลุ่งพล่านปั่นป่วน เมื่อแม่กลับมาก็รีบเข้าไปหาแต่แล้วก็ผลักแม่แล้ววิ่งหนี บางคนนอนกลิ้งไปกับพื้น หรือเข้าทุบตีแม่ พฤติกรรมส่วนใหญ่คือแวบแรกที่เห็นแม่กลับมาจะแสดงความดีใจ แต่เมื่อแม่เข้าใกล้ก็เกิดความกลัว

เด็กกลุ่มนี้ถูกขยายความในการศึกษาของ แมรี เมน (Mary Main) กับ อีริค เฮสเส (Erik Hesse) อาจารย์ด้านจิตวิทยาแห่ง University of California, Berkeley ต่อมาว่าพฤติกรรมที่แสดงออกลักษณะนี้เกิดจากการได้รับการตอบสนองที่ข่มขู่คุกคามหรือถูกพ่อแม่ฟาดงวงฟาดงาใส่เมื่อเขาเรียกร้องต้องการ เด็กสับสนทั้งในตัวเองและกับพ่อแม่เพราะที่พักพิงเดียวของเขากลับกลายเป็นที่มาของมหันตภัยเลวร้ายด้วยเช่นกัน

เด็กแสดงออกกับผู้อื่นโดยอิงจากความผูกพันในครอบครัว

เด็กที่เติบโตจากการเลี้ยงดูแบบหมางเมินห่างเหินหรือเอาแน่เอานอนไม่ได้ จะปรับวิธีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ให้กลมกลืนกับสิ่งที่ตนได้รับ แล้วสร้างรูปแบบความสัมพันธ์กับคนอื่นโดยอิงจากความผูกพันกับครอบครัวนั่นเอง กับที่บ้านเป็นอย่างไร กับครู เพื่อน หรือคนรัก ก็เอาแพทเทิร์นเดียวกันไปใช้ เมื่อความเชื่อฝังรากลึกเกินหยั่ง เขาก็จะเอาแต่อยู่กับโลกที่มันแห้งแล้ง ปราศจากความรู้สึกและเหมาว่าผู้คนไม่อาจเปิดเผยอารมณ์ระหว่างกันได้ (ผูกพันแบบห่างเหิน) หรือโลกนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจนไว้วางใจใครไม่ได้เลย (ผูกพันแบบครึ่งๆ กลางๆ)

ส่วนเด็กที่พัฒนาความผูกพันแบบสับสน พ่อแม่นอกจากไม่ตอบสนองความต้องการเขา ยังแสดงปฏิกิริยาที่ทำให้เขาหวาดกลัวแบบไร้ทางออก (fright without solution) ความผูกพันประเภทนี้มักพบในเด็กที่ถูกพ่อแม่ทำทารุณทุบตี หรือครอบครัวที่ใช้ยาเสพติดและขว้างปาอารมณ์ฉุนเฉียวใส่ลูกเป็นประจำ

อย่าว่าแต่ความรู้สึกปลอดภัยไม่มี เด็กไม่อาจแม้แต่จะสร้างคุณค่าในตัวตนได้เพราะไม่สามารถยึดโยงสายสัมพันธ์กับพ่อแม่ เกิดภาวะย้อนแย้ง สับสนที่รู้สึกกลัวพ่อแม่ทั้งที่ใจใฝ่หาความอบอุ่นปลอดภัยจากพวกเขา

งานวิจัยที่ศึกษาพัฒนาการทางสมองของเด็กกลุ่มนี้ พบว่าพวกเขามีพัฒนาการสมองบกพร่อง บ้างมีขนาดเล็กกว่ามาตรฐานในช่วงวัยเดียวกัน บ้างพบว่าเซลล์ที่เป็นสะพานเชื่อมสมองฝั่งซ้ายขวาไม่สมบูรณ์ทำให้สมองทั้งสองฝั่งไม่ประสานงานกัน บางคนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ดีใจก็จะดีใจสุดกู่จนกลายเป็นล้นเพราะสารสื่อประสาทตัวหนึ่งที่ชื่อ GABA ไม่ทำงาน

ทั้งหมดนี้มีสาเหตุจากฮอร์โมนความเครียดซึ่งเด็กหลั่งออกมาเวลาตื่นกลัว ปัญหาที่ตามมาคือเด็กมีปัญหาในการเรียนและเข้าสังคมไม่ได้ และที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือมีแนวโน้มในการใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นด้วย 

ซึ่งเมื่อสืบสาวต่อไปแล้วก็พบว่า พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบนี้มักมี ปมปัญหาค้างคา (unresolved trauma) ที่สืบต่อมาจากรุ่นพ่อแม่ตนเองเช่นกัน แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ทุกคนที่มีปมปัญหาจะสร้างความผูกพันแบบสับสนกับลูกไปเสียหมด ตราบใดที่เขายังแสดงความรักและเมตตาให้ตนเองและลูกมากพอ 

อาจารย์อลัน ซรูเฟ (Alan Sroufe) ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กแห่งมหาวิทยาลัยมินเนโซตาทำการศึกษาผลกระทบระยะยาวว่าลักษณะความผูกพันในเด็กที่เข้าร่วมงานวิจัยของเอนสเวิร์ธ ส่งผลให้เขาเติบโตไปเป็นอย่างไร โดยเก็บข้อมูลการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กวัยเดียวกัน เพื่อนๆ มองเด็กเหล่านี้เช่นไร และพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่คนในบ้านอย่างไรบ้าง ผลออกมาว่า 

  • เด็กที่มีความผูกพันแบบมั่นคง โตไปแล้วมีความเป็นผู้นำสูง
  • เด็กที่มีความผูกพันไม่มั่นคง-แบบห่างเหิน เพื่อนที่โรงเรียนไม่อยากคบหาผูกมิตร
  • เด็กที่มีความผูกพันไม่มั่นคง-แบบครึ่งๆ กลางๆ กลายเป็นเด็กที่ลังเลและวิตกกังวล ขาดความเด็ดเดี่ยว
  • เด็กที่มีความผูกพันไม่มั่นคง-แบบสับสน เข้ากับคนอื่นไม่ได้และควบคุมอารมณ์ไม่เป็น 

ลักษณะความผูกพันที่เด็กพัฒนาขึ้นจะส่งผลถึงชุดพฤติกรรมที่เด็กใช้โต้ตอบกับพ่อแม่และฝังจำจนเป็นบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว เมื่อเติบโตขึ้นมาเขาก็จะส่งต่อแพทเทิร์นความสัมพันธ์นั้นไปยังคนรอบตัวและแม้แต่ครอบครัวที่เขาสร้างเองด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อเท็จจริงจากงานศึกษาที่น่าสนใจ อยากแบ่งปันคุณแม่คุณพ่อและผู้ใหญ่ที่มีเด็กๆ ในบ้านลองทบทวนอยู่สองประเด็น 

หนึ่ง แม้เราจะสามารถเยียวยาบาดแผลทางความรู้สึกที่เด็กได้รับจากการเลี้ยงดูที่เลวร้ายได้ แต่ยังไม่มีงานใดรับรองว่าความเสียหายที่เกิดกับเซลล์สมองจากภาวะความเครียดจะฟื้นคืนกลับมาดีได้ดังเดิม หรือมีวงจรการเชื่อมต่อใหม่ที่ทดแทนหน้าที่เดิมได้หรือไม่ 

สอง ลักษณะความผูกพันที่เด็กพัฒนาขึ้นกับพ่อหรือแม่นั้นอาจไม่เหมือนกัน พ่อแบบหนึ่ง แม่แบบหนึ่ง และลักษณะนั้นๆ ก็ไม่ได้ถาวรยืนยาวไปตลอดชีวิต เพราะคนเราทุกคนมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันไปตามช่วงเวลา ดังนั้นลักษณะของความผูกพันที่เกิดขึ้นแล้วสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเรากับลูกผูกพันแบบมั่นคงอยู่แล้วจงรักษาความสัมพันธ์ไว้ให้เสมอต้นเสมอปลาย แต่ถ้าที่ผ่านมายังทำได้ไม่ดีพอ ก็ไม่มีคำว่าสายที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้เกิดขึ้น

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)Parenting from the Inside Outทฤษฎีความผูกพัน(Attachment Theory)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • BookFamily Psychology
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Learning TheoryEarly childhood
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

อมรวิชช์ นาครทรรพ: ใช้ทัพเล็กสู้การศึกษา ซุ่มตีทีละเรื่อง “นี่คือรัศมีที่ผมทำได้ก่อนตาย”
21st Century skills
5 November 2019

อมรวิชช์ นาครทรรพ: ใช้ทัพเล็กสู้การศึกษา ซุ่มตีทีละเรื่อง “นี่คือรัศมีที่ผมทำได้ก่อนตาย”

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ปาฐกถา Human Wanted:การเรียนรู้ใหม่เพื่อฟื้นคืนความเป็นมนุษย์ โดย ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ช่วยกระตุกพ่อแม่ ครอบครัว ครู โรงเรียน เด็ก ร่วมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางการศึกษาหันกลับมาตั้งคำถามกับสิ่งที่เป็นอยู่ว่าตอบโจทย์การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และความเป็นมนุษย์ของผู้เรียนแล้วหรือยัง
  • “คุณต้องเรียนไม่จบ” คือคำสำคัญของปาฐกถา เพราะ ปัจจุบันและอนาคต ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว ไม่พออีกต่อไปในโลกที่เรียกร้องทักษะแบบ multi skill และการเรียนไม่รู้จบแบบน้ำที่ไม่เคยเต็มแก้ว 
  • วัย 59 ปีของอาจารย์ ยังทำงานด้านการศึกษาต่อไป เป้าหมายไม่เปลี่ยนแต่ซอยให้เล็กลง สู้แบบทัพเล็ก ยึดทีละหัวเมือง เพราะนี่คือ “รัศมีที่ผมทำได้ก่อนตาย”
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

“คุณต้องเรียนไม่จบ” ประโยคสั้นๆ ของ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ในงาน LSEd Symposium 2019 เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อเริ่มต้นปาฐกถา Human Wanted: การเรียนรู้ใหม่เพื่อฟื้นคืนความเป็นมนุษย์ อาจทำให้หลายคนงงปนสงสัย

แต่ในงาน LSEd Symposeum 2019 ซึ่งเต็มไปด้วยคนหลากวงการที่สนใจเรื่องการศึกษา คนฟังจำนวนมากจึงไม่ตกใจ ซ้ำยังเข้าใจด้วยว่า คำว่า ‘เรียนไม่จบ’ ของ อ.อมรวิชช์ หมายความว่าอย่างไร 

“เรียนแบบออกนอกลู่นอกทางมันจำเป็น ต้องเปลี่ยน mindset กันหมด ตอนนี้คนเรียนไม่จบแต่รู้มากกว่า ได้เปรียบกว่ามาก ผมพูดในระดับ conceptual ไม่ได้พูดถึงระดับปฏิบัติ คุณจะเอาปริญญาตามระบบ ก็ทำไป แต่คุณต้องเรียนไม่จบ” 

เรียนไม่รู้จบ อ.อมรวิชช์ หมายความว่าอย่างนั้น เพราะปัจจุบันและอนาคต ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว ไม่พออีกต่อไปในโลกที่เรียกร้องทักษะแบบ multi skill 

“อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่างผม เด็กๆ ก็ไม่ปลื้มแล้วนะ ทำงานบริษัทเหรอ ขอดูก่อนแล้วกัน จริงๆ เขาอยากเป็นนายตัวเอง หาธุรกิจเหมาะๆ ไม่จำเป็นต้องรีบประสบความสำเร็จแต่เขากำลังคลำโจทย์ในชีวิตเขาอยู่”​

แล้วทำไม ‘เด็กสมัยนี้’ ต้องเรียนต้องรู้อะไรกันนักหนา? ในฐานะนักวิชาการและอาจารย์ที่ทำงานด้านการศึกษามาทุกระดับจนเกษียณ อ.อมรวิชช์ ชี้ว่า เพราะบริบทที่เปลี่ยนไป โลกเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ทำอะไรได้เยอะแยะ แต่การทำอะไรได้ เขาจำเป็นต้องรู้ก่อน 

“เด็กจึงคาดหวังจากการศึกษาเยอะ เขาอยากเรียนอะไรก็ได้ที่มั่นใจว่าจะทำให้บรรลุเป้าหมายในชีวิต มีทางเลือกให้ทำงานได้หลายแบบ”​

และการเรียนรู้เพื่อคืนความเป็นมนุษย์จะตอบโจทย์เด็กและตลาดได้ 

ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ

การเรียนรู้ที่จะคืนความเป็นมนุษย์ได้ต้องมาจากโรงเรียนที่มีความเป็นมนุษย์

โรงเรียนที่มีความเป็นมนุษย์สูงในความเห็นของ อ.อมรวิชช์ แบ่งได้ 4 แบบ คือ 

1. ไม่แข่ง ไม่กดดัน ไม่มีเกรด

2. ไม่มีวิชาแบบเดิม มีแต่ชุดความรู้ ชุดทักษะ 

3. ไม่มีเวลากำกับ ไม่มีภาคการศึกษา เรียนไปเรื่อย แต่ละความรู้ แต่ละทักษะ ไม่ต้องใช้เวลาเท่ากัน วัดที่การทำงานได้ ใช้ความรู้เป็น

4. ไม่มีหลักสูตรตายตัว ไม่ให้จบการเรียนรู้ อยากได้ประกาศหรือปริญญาก็จะให้ แต่อย่าหยุดเรียนรู้ เรียนข้ามศาสตร์เป็นเรื่องปกติ

“เป็นไปได้ไหมที่นิสิต นักศึกษาเข้ามา 2 ปีแรกยังไม่ต้องเลือกคณะ เรียนพื้นฐาน soft skill เหมือนกันหมด มีเวลาหาตัวเองให้เจอ แต่บางคนอาจไปลงวิชาเลือกบางโมดูล ค่อยไปเลือกเอาตอน ปี 3 ปี 4 เพื่อฝึกทักษะวิชาชีพ”

soft skill ของ อ.อมรวิชช์ มีแค่สองอย่างคือ พูดรู้เรื่อง กับ เขียนรู้เรื่อง 

“ทักษะที่ไม่ว่าทำอาชีพอะไร เขาได้ใช้แน่ คือ พูดรู้เรื่อง เขียนรู้เรื่อง นอกจากนั้นก็อยู่กับชาวบ้านได้ ปรับตัวเก่ง กล้าตัดสินใจ แก้ปัญหาเป็น แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว เพราะการพูดเก่ง เขียนเก่งบอกอะไรหลายอย่าง บอกความช่างคิด การค้นคว้า ความเที่ยงธรรม อคติ กระทั่งสำนึกต่อสังคม” 

ในโลกที่กำกวม เขาต้องคิดเป็น

“คน 6,000 ล้าน ประกาศตัวว่าไม่มีศาสนา แต่พบว่า คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมมที่ดีกว่าคนที่ประกาศว่ามีศาสนา อันนี้ผมอ้างอิงจากงานวิจัย ถ้าจะถามว่าทำไม อาจเพราะศาสนามีพิธีกรรมให้ปฏิบัติยึดถือ แต่สิ่งที่คนไม่มีศาสนายึดถือคือ จริยธรรม เช่น ไม่ชอบให้ใครทำอะไรกับเรา ก็ไม่ควรทำอย่างนั้นกับเขา เป็นต้น” 

ปรากฏการณ์ข้างต้นคือหนึ่งในตัวอย่างที่บอกว่าโลกปัจจุบันและอนาคต ไม่มีขาวจัด ดำจัด ระนาบความถูกผิดไม่ตรงแบบไม้บรรทัดอีกต่อไป 

“เวลาสอนลูกศิษย์ผมจะยกโจทย์กำกวมไว้ก่อน เช่น โจทย์เรื่องการทำแท้ง คิดอย่างไร ปรากฏว่าห้องแตกเป็นสองเสียงเท่าๆ กันด้วย เสียงหนึ่งคือมันบาป ทำให้คนเราสำส่อน นั่นโน่นนี่ คือการทำลายชีวิต ถ้าคุณให้กำเนิดมาแล้วคุณก็ต้องรับผิดชอบ กับอีกซีก เห็นด้วยว่าเป็นการแก้ปัญหาสังคม เด็กเกิดมาไม่มีคนดูแล คุณภาพชีวิตต่ำ” 

แต่สองเสียงนี้ต้องเงียบไปเมื่อมีเสียงสามเข้ามา

“มีอีกกลุ่มหนึ่งมา ทำให้เกิดการชี้ขาดได้ เขาบอกว่าในฐานะที่เป็นผู้หญิง ถ้าเขาจะต้องเริ่มต้นชีวิตความเป็นแม่ เขาอยากจะได้รับเกียรติและสิทธิในการตัดสินใจเองว่าจะเป็นแม่เมื่อไหร่ อย่ามาพรากสิทธินี้ไปจากเขา ถ้าเขายังไม่พร้อม เขาก็มีสิทธิที่จะทำแท้งและควรเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของเขาด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ข้างไม่เห็นด้วยเถียงไม่ออก”

อ.อมรวิชช์ เปรียบเทียบกับสังคมที่ปะปนไปด้วยความเป็นจริงที่ฟันธงไม่ได้ 

“ถึงได้บอกว่าโลกมันกำกวมเต็มไปหมด รัฐบาลนี้ก็กำกวม เราจะอยู่กับมันอย่างมีความสุขได้อย่างไร เราก็แค่ยอมรับมันสิ ไม่ต้องรีบตัดสินก็ได้ ไม่โลกสวยนะ แต่อยู่กับสิ่งที่มันมี เช่น ฝนตกคนหนึ่งบอกเย็น แต่อีกคนบอกเปียก”

พ่อแม่ต้องปรับ Mindset

นอกจากโลกใบใหญ่จะกำกวมแล้ว โลกใบเล็กอย่างพ่อแม่ก็ตีเส้นรอบวงจนขยับตัวไปไหนไม่ได้ 

หมวกอีกใบที่สวมคือ ที่ปรึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี อ.อมรวิชช์ ยกตัวอย่างการนับหนึ่งซึ่งแทบจะติดลบด้วยซ้ำของ สาขาวิศวกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ของสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) 

“ประกาศวันแรกเลยว่าเราเป็นวิศวะที่ไม่มี กว. หรือใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมนะ เพราะเราจะผลิตวิศวะอีกแบบซึ่งไม่ตรงกับมาตรฐานใดๆ ของ กว. เลย เราจะทำ AI ทำหุ่นยนต์ เพราะนั่นคือแนวโน้มของโลก เราไม่ห่วงเลยว่าลูกคุณจะตกงานเพราะมีความต้องการสูงมาก แต่พ่อแม่ทุกคนต้องการใบประกอบวิชาชีพ เราก็บอกให้ไปทะเลาะกับ กว. เอาเอง แต่เรารับรองได้ว่าลูกคุณจะเรียนอย่างมีความสุข เรียนอย่างท้าทาย เรียนในสิ่งที่เขาชอบ ที่แน่ๆ ลูกคุณไม่ตกงานแน่นอน”  

สิบปีผ่านไป ตอนนี้วิศวกรรมฯ บัณฑิตที่จบจากคณะนี้ก็ยังไม่มีใครได้ กว. แต่ก็ไม่มีพ่อแม่คนไหนตั้งคำถามแล้วเช่นกัน 

“การเปลี่ยนแปลงการศึกษามันต้องใช้เวลา เช่นเดียวกันใครบอกว่าเด็กจะต้องจบปริญญาก่อนถึงจะมีงานทำ มัธยมก็ได้ถ้าคิดว่าพร้อมและมีทุน ถึงเวลาที่เราควรนิยามการศึกษาและการเรียนรู้ใหม่ว่าไม่ใช่บันไดเป็นขั้นๆ อย่างเดิมอีกต่อไป คุณเข้าแล้วออกจากการศึกษาเมื่อไหร่ก็ได้ ถึงใช้คำว่าเรียนไม่จบ แต่เรียนในสิ่งซึ่งออกไปใช้งานได้เลย เรียนในสิ่งที่ทำให้ค้นพบตัวเอง เรียนในสิ่งที่ค้นพบทักษะร่วม เรียนการบริหารจัดการที่ได้ใช้ในชีวิต” 

จัดทัพใหม่ รบกับการศึกษาแบบกองโจร

อ.อมรวิชช์ในวัย 59 ถึงจะเกษียณแล้วแต่ในนามบัตรยังระบุว่าเป็นที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ ที่ปรึกษาวิชาการโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

นั่นหมายความว่าอาจารย์ก็ยังเรียนไม่จบเช่นกัน 

แต่เป้าหมายของอาจารย์ก็ไม่เปลี่ยนไป 

“เป้าหมายไม่เปลี่ยน แต่เป้าหมายเล็กลง ไม่โลภมากแล้ว (ยิ้ม)” 

ด้วยความที่ทำงานด้านการศึกษามาทุกระดับ ถึงได้รู้ว่ามันยาก โดยเฉพาะระดับนโยบาย ทำมาก็หลายครั้ง อาจารย์ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่สำเร็จสักครั้ง มีอำนาจและผลประโยชน์เข้ามาขัดขวางทุกครั้งไป 

“เลยมาทำกับสถาบันการศึกษา กับโรงเรียน มันเป็นรัศมีที่ผมพอจะทำได้ก่อนตาย ถึงจะเล็กก็ไม่ได้แปลว่าผลกระทบน้อย แต่ทำแล้วมันเห็นผลจริงๆ” 

จะใช้คำว่าเปลี่ยนยุทธศาสตร์การทำงานก็ได้ ในเมื่อเราเคยเอาทัพใหญ่มาเผชิญหน้า ตีกันเท่าไหร่ก็ต่างคนต่างแพ้ สู้หันมาใช้การรบแบบกองโจรดีกว่า

“ใช้ทัพเล็ก ซุ่มตีทีละเรื่อง ยึดพื้นที่ทีละหน่อย วางเป้าให้เล็กลงแต่ทำให้ลึก ยึดพื้นที่แล้วไม่เสียไปแบบป่าล้อมเมือง อย่างที่ครูไฟแรงทำกันอยู่ ใจสู้และทำได้จริง” 

เหมือนฝนตกอยู่แต่เราจะข้ามถนน จะรอฝนหายค่อยข้ามก็ได้ หรือดูจังหวะรอฝนซาเล็กน้อย 

“ยอมเปียกหน่อย แต่เราก็ข้ามกันได้ใช่ไหม (ยิ้ม)”  

Tags:

ระบบการศึกษา21st Century skillsงานเสวนาอมรวิชช์ นาครทรรพ

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • 21st Century skills
    Learning Analytic ระบบวิเคราะห์สไตล์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่ากำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน: นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ (2)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • Social Issues21st Century skills
    การเรียนรู้ที่มีค่า การศึกษาที่แตกต่าง: ครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Everyone can be an Educator
    TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2
EF (executive function)
5 November 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เนื้อหาที่จะได้อ่านต่อไปนี้สรุปความจากคำบรรยายให้แก่คณะครูจำนวนประมาณ 500 คนที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ วันที่ 8 ตุลาคม 2562 ที่เมืองทองธานี จัดโดยสำนักพิมพ์แปลนฟอร์คิดส์ ซึ่งได้กรุณาช่วยทำสไลด์นิทานหลายเรื่องประกอบคำบรรยายทางวิชาการ

อ่านนิทานได้อะไร?

1. สร้างแม่ที่มีอยู่จริง (mother)

เด็ก 1 คนต้องการมนุษย์ 1 คนเพื่อใช้เป็นเสาหลักของพัฒนาการ มิได้ต้องการวานร (เช่น ทาร์ซาน) หรือหมาป่า (เช่น เมาคลี) แต่ต้องการคน คนนั้นควรเป็นแม่เพราะแม่ได้ทำหน้าที่นี้มา 9 เดือนแล้วมีความได้เปรียบทางชีววิทยา

อย่างไรก็ตามหากแม่ทำหน้าที่นี้มิได้เพราะเหตุใดก็ตาม เช่น ตายหรือทิ้งลูก พ่อ 1 คน (ซึ่งมีเพศสภาพและเพศวิถีอะไรก็ได้) หรือพี่เลี้ยงเด็กกำพร้า 1 คนสามารถทำงานนี้ได้ รวมทั้งในกรณีที่ครอบครัวหย่าร้าง พ่อ 1 คนหรือแม่ 1 คนก็พอเพียง อย่ามัวแต่ทนเพียงเพราะกลัวลูกมีปัญหา ทะเลาะและตบตีกันให้ลูกเห็นทุกวันเขาจะมีปัญหามากกว่ามาก หรือในกรณีครอบครัวแตกกระสานซ่านเซ็น (เพราะทั้งพ่อและแม่ไปทำงานหรือหย่าร้างแล้วทั้งสองฝ่ายต่างทิ้งลูกเอาไว้ตรงกลาง) ปู่ย่าตายายเพียง 1 คนก็ทำหน้าที่นี้ได้ สำคัญคือคนคนนั้นต้องมีอยู่จริง

ความมีอยู่จริง (exist) ได้จากการเลี้ยงดูด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ (consistently) และต่อเนื่อง (continuously) แต่เนื่องจากในความเป็นจริงมีพ่อแม่น้อยคนมากที่จะมีเวลาเลี้ยงลูกด้วยตนเองตลอดทั้งวัน พ่อแม่จำนวนมากต้องไปทำงานแล้วฝ่าการจราจรกลับถึงบ้านมืดค่ำ การอ่านนิทานก่อนนอนตรงเวลาทุกคืนจะเท่ากับการประกัน (assurance) ว่าพ่อแม่จะปรากฏตัวที่หน้าห้องนอนและบนเตียงนอนตรงเวลาอย่างแน่นอน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ปีละประมาณ 300-360 วัน เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้จากจังหวะ (rhythm) การปรากฏตัวของท่านว่าท่านมีอยู่จริง

มิใช่มนุษย์ล่องหน

2. สร้างสายสัมพันธ์ (attachment)

เด็กจะพัฒนาได้เมื่อเขาล่ามสายสัมพันธ์เอาไว้กับเสาหลักคือแม่ จากนั้นเขาจะเดินจากไป ในระยะแรกเขาจะหันกลับมาเป็นระยะๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเสาหลักไม่หายไปไหน ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปเขาจะไว้ใจแม่ซึ่งอยู่ข้างหลังเสมอ ตามด้วยไว้ใจโลก เขาสามารถเดินห่างไปมากขึ้นด้วยความมั่นใจว่าเขาจะไม่ถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นในจักรวาลก็ตาม

จักรวาล (universe) อยู่ในหนังสือนิทาน แม้ว่าสภาพทางภูมิศาสตร์จะเป็นห้องนอน ไม่ว่าจะมีแอร์หรือไม่มีแอร์ พ่อรวยหรือแม่จน แต่เด็กมิได้อยู่ในห้องนอนเขาอยู่ในเล่มหนังสือคือจักรวาล อย่างไรก็ตามเขาจะออกมาจากจักรวาลเป็นครั้งๆ เพื่อเงยหน้าดูหน้าแม่ เพื่อให้แน่ใจว่าแม่มีอยู่จริงและยังคงอยู่ มิใช่เปิดเทปแล้วหนีไปไหน เมื่อมั่นใจแล้วเขาจะผลุบลงไปในเล่มหนังสืออีกครั้งหนึ่ง แล้วเข้าๆ ออกๆ อยู่เช่นนั้น

สายใยบางๆ ที่ล่ามลูกไว้กับแม่คือสายสัมพันธ์ วันนี้ผจญภัยในจักรวาลหนังสือ วันหน้าจึงพร้อมเผชิญภัยในโลกแห่งความเป็นจริง (reality)

3. ตัวตน (self)

เด็กสร้างตัวตนเป็นขั้นตอนที่ 3 ต่อเนื่องจากการสร้างแม่และสร้างสายสัมพันธ์

เมื่อตั้งครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์คุณภาพอยู่นาน 9 เดือน มีสายรก (placenta) ที่ดีคอยส่งอาหารและวิตามินไปให้แก่ตัวอ่อน (fetus) ตัวอ่อนค่อยๆ เจริญเติบโตเป็นทารก (infant) ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่ด้วยสายรกที่จับต้องได้และมองเห็นด้วยตาเปล่า สูติแพทย์ตัดสายรกนี้ทิ้งเมื่อคลอด

กระบวนการทางจิตวิทยาทำซ้ำตนเองอีกครั้งหนึ่ง เมื่อทารกออกมาสู่โลกภายนอกเขาต้องสร้างแม่ที่มีอยู่จริงก่อน (ถ้ามีร่างกายของแม่อยู่ให้สร้าง) แล้วสร้างสายสัมพันธ์ล่ามตนเองไว้กับแม่ (ถ้าแม่จะรู้จักอยู่กับที่ให้ผูก) จากนั้นด้วยแม่ที่ชัดและสายสัมพันธ์ที่แข็งแรง ทารกจึงจะสร้างตนเองเป็นบุคคลใหม่เมื่อ 3 ขวบ แล้วแยกตนเองออกไปเป็นบุคคลอิสระหลังจาก 3 ขวบ (separation-individuation)

ตอนที่แม่อ่านหนังสือนิทานก่อนนอน ทารกนอนแอบอิงข้างๆ เขายังมีอายุไม่ถึงสามขวบ เขามิใช่บุคคลอิสระแต่อยู่ระหว่างการสร้างตัวตน ตัวตนของเขาและตัวตนของแม่เป็นหนึ่งเดียว เวลาเขาดำดิ่งลงไปในจักรวาลซึ่งอยู่ในหนังสือ ส่วนหนึ่งของคุณแม่ตามลงไปด้วย อยู่ด้วยกันเป็นเพื่อนกัน แม้ว่าแม่จะหลับไปแล้วก็ตาม

หน้าที่อ่านนิทานก่อนนอนเป็นเรื่องที่คุณพ่อทำได้ง่ายมาก ก็แค่อ่านหนังสือออก และถึงแม้ท่านจะเหนื่อยจากงานและหลับคาหนังสือ ไม่นับว่าอ่านผืดผืดเถิกเถิก ตามหนังสือก็ตาม ลูกนำบางส่วนของตัวตนของท่านดำดิ่งลงไปในเล่มหนังสือด้วยเสมอ ตัวตนที่ติดกันทั้งในห้องนอนและในจักรวาลหนังสือนั้นเองจะช่วยให้ตัวตนของเขามีความชัดเจนและแข็งแกร่งมากขึ้นทุกวัน

ตัวตนคืออะไร ตัวตนคือประธานของประโยค เอาไว้กิน นอน เดิน วิ่ง แล้วผจญภัยไปในโลกนับจากนี้ ถ้าตัวตนชัดเขาจึงมีตัวตนให้ดูแล ถ้าตัวตนไม่ชัดเขาไม่รู้จะดูอะไร เงยหน้ามองแม่ก็ไม่มีอยู่จริง ก้มหน้าดูร่างกายของตนเองก็ไม่เห็นจะมีเหมือนกัน ดังนั้นจะเหลวแหลกอย่างไรก็ไม่ต่างกันในเมื่อมันไม่มีอยู่แล้วตั้งแต่แรก

4. เป็นตัวเอก (protagonist)

เพราะเด็กเห็นตนเองเป็นศูนย์กลาง (egocentricism) เขาจึงพร้อมที่จะสวมรอย (identify) ตัวเอกในหนังสือนิทาน ไม่ว่าตัวเอกนั้นจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ก็ตาม

ตัวตนจะเป็นประธานของประโยค ตัวเอกก็จะเป็นประธานของประโยคเช่นกัน ตัวเอกผจญภัยเข้าไปในหนังสือ ไม่ว่าจะบนบก ใต้น้ำ ท้องฟ้า อวกาศ นรก หรือสวรรค์ ตัวตนของลูกก็ไปด้วย จึงมีคำกล่าวว่าจะห้องนอนหรือห้องขังก็ขังลูกเรามิได้ถ้าเขารักการอ่านหนังสือ และไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดในอนาคตเขาจะหนีลงไปในหนังสือได้เสมอๆ

ยังมีต่ออีกหลายสิบข้อ

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน ของคุณหมอเรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน
อ่าน เล่น ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมากของ ‘นิทานก่อนนอน’
อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน–สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน–สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

Tags:

EFนิทานทฤษฎีความผูกพัน(Attachment Theory)ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานการอ่านพัฒนาการ

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติ ความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

MAYDAY! เราฝันให้คนกรุงเทพฯ รักพื้นที่สาธารณะเหมือนรักห้องนอนตัวเอง
Voice of New Gen
4 November 2019

MAYDAY! เราฝันให้คนกรุงเทพฯ รักพื้นที่สาธารณะเหมือนรักห้องนอนตัวเอง

เรื่อง The Potential

  • เริ่มต้นจากความฝันเล็กๆ อยากให้ผู้คนหันมาสนใจและรักพื้นที่สาธารณะเหมือนห้องของตัวเอง MAYDAY! ผู้สร้างสรรค์ป้ายรถเมล์กว่า 500 ป้าย ที่เต็มไปด้วยฟังก์ชั่นการใช้งาน รูปแบบของงานดีไซน์ที่เน้นสร้างความเข้าใจ ย่อยของยากให้ง่าย และไม่ทำให้ป้ายรถเมล์เป็นเรื่องน่าเบื่อ
  • ความน่าสนใจของกลุ่ม MAYDAY! คือกระบวนการทำงานกับภาครัฐ ที่ขึ้นชื่อว่าหิน เต็มไปด้วยกฏระเบียบยิบย่อย แต่พวกเขาก็ทำจนได้
  • Public space ของ MAYDAY! ต้องมีคนอยู่ในนั้น ระบบขนส่งสาธารณะจึงต้องเป็นมิตรมากที่สุด
เรื่อง: รุ่งรวิน แสงสิงห์, ณขวัญ ศรีอรุโณทัย
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล, Mayday

เมื่อความฝันเล็กๆ นั้นพ่วงมาด้วยภารกิจอันยิ่งใหญ่ การรวมตัวในนาม MAYDAY! เพื่อสานต่อความฝันและผลักดันกิจกรรมต่อสังคมให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบนท้องถนนจึงเกิดขึ้น

ถ้าใครที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณสถานที่แลนด์มาร์คของกรุงเทพมหานคร แล้วบังเอิญเหลือบไปเห็น ป้ายรถเมล์ดูดีที่มีกราฟิกดีไซน์ที่รสนิยมผิดหูผิดตา แต่ใช้งานได้จริงและมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่มากกว่าป้ายสีน้ำเงินแบบดั้งเดิมที่คุ้นตา นั่นหมายความว่า เหล่านักเดินทาง ผู้ใช้ขนส่งสาธารณะได้พบกับป้ายรถเมล์ของกลุ่ม MAYDAY! เข้าแล้ว

แน่นอนว่ากว่าจะกลายมาเป็นป้ายรถเมล์ที่มีฟังก์ชั่นครบครันทั้งการบอกสายรถ เส้นทาง บอกป้ายต่อๆ ไป บนดีไซน์ที่เน้นการใช้งานและความสวยไม่เหมือนใคร กลุ่ม MAYDAY! จะต้องเจอกับงานหินและโหดหลายแง่มุม

ทีมงาน The Potential จึงบุกไปเยี่ยมกลุ่ม MAYDAY! และพูดคุยกับมันสมองของกลุ่มอย่าง อุ้ม-วิภาวี กิตติเธียร นักออกแบบผังเมืองที่ผันตัวและอาสาทำเรื่องใหญ่อย่างการเปลี่ยนเมืองโดยเริ่มต้นจากความฝันเล็กๆ อย่าง การทำให้ผู้คนหันมารักพื้นที่สาธารณะให้เหมือนกับรักห้องนอนตัวเอง

ไม่แน่ว่าหลังจากอ่านบทสัมภาษณ์นี้จบ หลายๆ คนอาจจะเริ่มอยากสานต่อความฝันเล็กๆ ของตัวเองก็เป็นได้…

คุณอุ้มเล่าที่มาที่ไปของคนในทีมให้ฟังได้ไหม

จริงๆ ในทีมค่อนข้างมีความหลากหลาย มาจากเครือข่ายเดียวกันเลยค่ะ เราเริ่มต้นจากโฮสเทล (Once Again Hostel – ที่ตั้งของออฟฟิศ) ที่เป็นออฟฟิศของทีม ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนกัน เรามานั่งคุยๆ กันจนกระทั่งวันหนึ่งรู้สึกว่าเราอยากทำเรื่องรถเมล์ให้มันจริงจัง เลยรวมตัวมาเป็น MAYDAY! อย่างที่เห็น 

อุ้ม-วิภาวี กิตติเธียร

MAYDAY! ก่อตั้งขึ้นมาครั้งแรกในช่วงที่มีงานพระราชพิธีพระบรมศพ รัชกาลที่ 9 โซนนี้ (กรุงเทพฯ ชั้นใน/ที่ตั้งโฮสเทล) มีคนเดินทางมาเยอะมากๆ เราก็เลยพากันคิดว่า เราพอจะช่วยอะไรบางอย่างได้ไหม ก็เลยเกิดเป็นป้ายรถเมล์ขึ้นมาก่อนอย่างแรก ถือว่าเป็นอาสาสมัคร (volunteer) ก็ได้ 

คนที่อยู่ใน MAYDAY! เริ่มต้น เรามีกราฟิกดีไซเนอร์ คนทำคอนเทนต์ วิศวะ และก็ตัวอุ้ม ที่เป็นนักออกแบบผังเมือง ส่วนใหญ่เริ่มจากเรื่องง่ายๆ เลย คือ ‘อิน’ กับประเด็นที่เรากำลังทำ ตอนที่อุ้มเข้ามาทำงานนี้อุ้มก็เพิ่งรู้ว่ามันมีแฟนคลับรถเมล์ไทย เพิ่งรู้ว่ามันมีแฟนคลับรถไฟฟ้า แล้วคนกลุ่มนี้มีจำนวนไม่น้อยเลย อีกกลุ่มก็เป็นสายกราฟิก 

อีกกลุ่มที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นอีกคือ คนที่ทำกราฟิกและอยู่ในบริษัทเอเจนซี เขาบอกว่า โจทย์ของการทำงานบริษัทเอเจนซีคือต้องทำเอาใจลูกค้าในสิ่งที่พวกเขาไม่เชื่อว่ามันดี เขาเบื่อ เขาก็เลยรู้สึกว่าพอมาทำงานตรงนี้มันมีคุณค่า ทำแล้วได้ถ่ายทอดให้สาธารณะเห็นและเป็นสิ่งที่เขาเชื่อ เขาแฮปปี้มากเลย 

เราก็รู้สึกว่าเราโชคดีที่คนทำกราฟิกกับสื่อสารมือดีหลายๆ คนมาอยู่ในทีม

เวลาที่เราเจอปัญหาที่คิดไม่ออก เราก็เอาคนอื่นมาช่วยคิด เราทำงานร่วมสมาคมกราฟิกดีไซเนอร์ (สมาคมนักออกแบบเรขศิลป์ไทย – ThaiGa) บ่อยมาก ป้ายมันจัดข้อมูลยากมาก วิธีการทำงานของคนในทีมก็จะคล้ายๆ กับการพัฒนาหน้าตาแอพพลิเคชั่น เช่น ไอโฟนออก ios ใหม่ เราจะทำยังไงให้คนเรียนรู้ได้ภายในห้านาที ดังนั้นการออกแบบ user interface ที่เชื่อมกับ user experience จึงสำคัญมาก เราเลยดึงองค์ความรู้มาใช้กับงานป้ายรถเมล์ เราได้นักออกแบบเก่งๆ เข้ามาทำงานกับเราเยอะมาก เพราะโจทย์มันยากมาก แต่กลายเป็นว่ามีแต่คนอยากทำ

แสดงว่าทางทีมก็เพิ่งจะเริ่มต้นได้ไม่นานนี้เอง?

 3-4 ปี จริงๆ ปัจจุบันเราก็ออกป้ายรถเมล์เวอร์ชั่นที่ 4 แล้ว ตอนนี้ก็กำลังผลิตและติดตั้งทั่วกรุงเทพฯ อีก 500 ป้าย ในสายตาก็ยังมองว่า เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นอยู่เพราะยังมีอีกหลายๆ พื้นที่ หลายๆ รูปแบบ ขนส่งสาธารณะที่เราจะทำไม่จบได้ง่ายๆ แต่กระบวนที่ผ่านมาของเราก็เก็บข้อมูลไป มีรูปแบบ โครงสร้างที่เป็นระบบมากขึ้น ก็ถือว่า เราค่อนข้างมาไกลพอสมควรแล้ว ถ้านับจากการเริ่มต้นในฐานะอาสาสมัครจนกลายมาเป็นอาชีพ เป็นองค์กรที่สามารถจ้างคนได้ ก็ถือว่าเริ่มต้นมาหลายก้าวพอสมควร

MAYDAY! ผันตัวจากการเป็นอาสาสมัครไปเป็นพาร์ทเนอร์ที่ทำงานร่วมกับภาครัฐได้อย่างไร

จริงๆ เป็นเพราะเพื่อนกลุ่มปั่นจักรยานที่เคยทำงานร่วมกับ กทม. เขามาเห็นงานที่เราทำ เลยแนะนำว่า ให้ลองไปคุย ไปเสนอดูไหมล่ะ แล้วทาง กทม. เองก็เปิดมากๆ เหมือนกัน เขาก็อนุญาตให้เราเข้าไปคุยไปเสนอไอเดียได้ในช่วงแรก

รอยต่อระหว่างสเกลการทำป้ายรถเมล์ในช่วงที่เป็นอาสาสมัคร จนกระทั่งกลายมาเป็น MAYDAY ที่ทำงานร่วมกับภาครัฐ จัดการอย่างไรกับความท้าทายที่เข้ามา

การขยายสเกลของงานมันคือ การเพิ่มข้อมูลที่ซับซ้อนมากขึ้น ส่วนไหนที่แก้เองไม่ได้ก็ต้องหาคนที่แก้ไขได้มาช่วย เราก็ตามหาคนที่สนใจและทำได้มาช่วย ยิ่งเราออกมาทำแบบนี้ เราก็ค้นพบว่า ยังมีคนอีกมากที่เขามีความสนใจ มี passion ที่อยากช่วยพัฒนาเมือง

คุณอุ้มกับทีมเคยคุยกันไหมว่าอยากเห็นกรุงเทพฯ เป็นแบบไหน

เราก็ไม่ได้ถึงกับคุยกันในทีม แต่เรามีอุดมการณ์ของทีมคือ Small Changes Big Move เพราะพวกเราไม่ใช่นักวิชาการ หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่จะคอยบอกว่าโครงสร้างพื้นฐานของเมืองจะต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เราทำได้ในส่วนของ small change เปลี่ยนแปลงเล็กๆ ง่ายๆ เปลี่ยนแปลงได้เลย

อีกเรื่องหนึ่งที่เราทำกันก็คือ ทุกๆ แอคชั่นจะต้องมีกระบวนการการมีส่วนร่วมของคนอยู่ด้วย เราจะไม่คิดอะไรเอง ทำอะไรเองคนเดียว แล้วก็ไม่ติ๊ต่างเอาเอง ไม่ใช่ไปดูงานจากข้างนอกมาและมองว่าเปลี่ยนแปลงแบบนี้มันจะดี แต่เราต้องถามคนมาช่วยกันคิดช่วยกันครีเอท 

อีกแง่หนึ่ง เราเบื่องานอีเวนท์ประเภท ‘ประเทศชาติจะดีได้อย่างไร’ เราเบื่อ เพราะคุยๆ ไปก็เท่านั้น สุดท้ายก็ไม่เปลี่ยน เราเลยมองว่า ทุกๆ การมีส่วนร่วมที่เราทำ จะต้องมีผลลัพธ์ออกมา แม้ผลลัพธ์จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม 

ถ้าเป็นงานที่มันไม่น่าจะมีผลลัพธ์ออกมา เราก็ไม่ทำ สำหรับอุ้ม ประเทศชาติหรือเมืองควรเป็นยังไง ในสายตาอุ้มคือ เราอยากให้คุณค่าพื้นที่ส่วนรวมมากกว่าพื้นที่ส่วนตัว เราไม่ควรที่จะให้อภิสิทธิ์คนมากขึ้นเรื่อยๆ หรือมีที่จอดรถพิเศษๆ เพิ่มมากขึ้น

อุ้มมองว่า พื้นที่ส่วนรวมควรจะมีคุณค่า สวนสาธารณะไม่ควรจะมีรั้วไหม รถเมล์ควรจะได้ไปก่อนรถส่วนตัวไหม คนจำนวนมากควรจะได้สิทธิมากกว่าคนที่ใช้ของคนเดียวไหม มันก็จะทำให้เมืองสามารถขับเคลื่อนไปด้วยกันมากขึ้น 

คำว่าหวงแหนสิทธิมันก็จะไม่ได้อยู่ที่เราแล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องสาธารณะ คุณค่าสำหรับอุ้มมองว่า อยากให้เกิดขึ้นและอยากให้เมืองเป็น เรารักพื้นที่สาธารณะเหมือนพื้นที่ห้องนอน

ฝันที่ว่ามา มันจะเป็นความฝันที่ดูยากเกินไปหรือเปล่า เพราะ Public Space ของคนไทยที่ดีพอจะทำให้ผู้คนหันมารักมันเหมือนห้องนอนที่บ้านนั้นไม่ค่อยมี

พอเอาเข้าจริงๆ sense of belonging (ความรู้สึกเป็นเจ้าของ) ของคนไทยสูงมากๆ เลยนะคะ การที่ทุกคนมาเวิร์คช็อปร่วมกับ MAYDAY! นั่นแปลว่าทุกคนรู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน เรื่องที่ดีมันคืออะไร เพียงแต่อาจจะไม่มีช่องให้คนร่วมกันแก้ปัญหา หรือเวลาที่สามารถจะทำให้มันเกิดขึ้นได้ เขาถึงได้มาร่วมเวิร์คช็อป มาแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะประเด็นต่างๆ มันอาจจะไม่ต้องถึงกับขนาดว่า ทุกเช้าฉันจะตื่นมากวาดถนนหน้าบ้าน เพียงแค่ทิ้งขยะลงถังง่ายๆ มันส่งผลทั้งนั้น ถ้าพาหมาไปเดิน หมาอึก็เก็บหน่อยไหม มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตมากมาย

ฟังจากที่เล่า MAYDAY! ทำงานบนพื้นฐานของการพูดคุย นอกจากภาครัฐอย่าง กทม. แล้ว เข้าไปคุยกับใครอีกบ้าง

เราเข้าไปคุยกับผู้ใช้งาน เหมือนเราจัดเวิร์คช็อป ก็จะมีตั้งแต่คุณลุงที่อายุ 65 นั่งรถเมล์มาตั้งแต่เป็นหนุ่ม ไปจนถึง เด็ก ม.3 ชาวต่างชาติ เห็นเราจัดเวิร์คช็อปก็อยากเข้ามาช่วย แต่เราก็เข้าใจว่า การจัดงานสเกลนี้มันยังไม่ครอบคลุมคนทั้งหมด แต่ผลที่ได้จากการเวิร์คช็อปเราก็พยายามจะนำเสนอต่อสาธารณะให้ได้มากที่สุด

ถ้าเราไปทำงานกับระบบขนส่งประเภทหนึ่ง เราต้องกวาดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเขาให้หมดจริงๆ

เพราะปัญหาหนึ่งของการทำงานประเด็นโครงสร้างพื้นฐานคือ แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เขาไม่ยอมคุยกัน ต่างคนต่างทำ เคยเห็นสะพานลอยกับถนนที่มันไม่เชื่อมกันไหมคะ เราเลยรู้สึกว่าเราควรจะคุยกันก่อนที่เราจะทำอะไร สองคือ แม้ว่าเขาจะไม่ฟัง ไม่ปฏิบัติ อย่างน้อยก็รับรู้หน่อยนะว่าเราจะทำสิ่งนี้ พยายามคุยกันให้ได้มากที่สุด

เราคุยกันตั้งแต่ คนขับรถสองแถว ป้าร้านรถเข็นที่อยู่วินรถสองแถว เพราะเรารู้สึกว่า มันเป็นพื้นที่สาธารณะ ถ้าเราเปลี่ยนอะไรนิดเดียวมันมีผลกระทบทันที การกวาดเอาส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาอยู่ในกระบวนการรับรู้ร่วมกัน อย่างน้อยมันช่วยลดแรงเสียดทานกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น แม้จะช้าไปบ้าง แต่อุ้มก็มองว่าช้าแต่ชัวร์น่าจะดีกว่า

ตอนที่พูดถึงหน่วยงานต่างๆ ว่าเขาไม่ค่อยได้รับรู้ร่วมกัน เราจะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไร

จริงๆ มันยากมาก ถือเป็นเรื่องท้าทายที่มีความเป็นการเมืองอยู่สูง ยกตัวอย่างเช่น ป้ายรถเมล์หนึ่งป้าย มันมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ทั้งหมด 3 หน่วยงาน หนึ่งคือขนส่งทางบก จะเป็นผู้ระบุตำแหน่งป้าย สองคือ กทม. ถ้าอยู่ในพื้นที่ กทม. ตัวป้ายก็จะเป็นสมบัติของ กทม. สามคือ สายสัมปทานรถเมล์ที่วิ่งโดย ขสมก. ปัญหาก็คือ บางจุด กรมขนส่งบอกว่าควรปักป้าย กทม. ปัก แต่ปักผิดจุด ปัญหาหยุมหยิมแบบนี้เกิดเพราะเขาไม่ค่อยได้คุยกัน ประสานงานยากมาก เราจึงพยายามที่จะบอกทุกคนว่าเรากำลังทำอะไร

บางทีมันก็มีความรู้สึกเจ็บช้ำเหมือนกัน เพราะไม่ใช่ทุกหน่วยงานรัฐจะเปิดใจ สมมุติว่าทุกหน่วยงานเปิดใจ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนในหน่วยงานจะเปิดตาม ของแบบนี้ต้องใช้เวลา ค่อยๆ เริ่มไป แต่เราก็รู้สึกว่าดีกว่าไม่ทำ เราไม่อยากตัดใครออกจากระบบการทำงานของเรา เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้ามันไม่เกิดการทำงานร่วมกันจริงๆ การเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อที่หลายคนอยากให้เป็นมันคงไม่เกิดขึ้น

การพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นทักษะคนละแบบกับการแก้ปัญหาแบบพื้นฐานที่เคยเรียนในโรงเรียนด้วยใช่ไหม

ก็เป็นทักษะอีกแบบ เหมือนเราประท้วงแต่ไม่ได้ลงถนน เราค่อยแทรกซึมให้เขาฟังเรา เรามองว่าการแสดงท่าทีแบบต่อต้านไปเลยมันก็ให้ผลลัพธ์อีกอย่าง การที่เราไม่เห็นด้วยนะ คุณมาช่วยเราคิดหน่อยสิ มันก็จะเป็นการทำงานอีกแบบที่ทำให้คนมีส่วนร่วมเข้าไปเปลี่ยนเมืองทำงานร่วมกับรัฐไปเลย

กลยุทธ์ของ Small Change Big Move! ที่เข้าไปแทรกซึมในหน่วยงานของภาครัฐและมีอำนาจต่อรองขึ้นเรื่อยๆ MAYDAY! ทำอย่างไร

จริงๆ งานที่เราทำถ้าดูที่ฐานทักษะของเรา เรามีนักออกแบบกราฟิก มี project-co มีคนทำคอนเทนต์ มี planner ที่ทำงานวิจัย การทำงานเชิงเทคนิคของ MAYDAY! มีลักษณะคล้ายกับบริษัทเอเจนซีบริษัทหนึ่งเลย ซึ่งบริษัทเอเจนซีจะมีคนทำคอนเทนต์ที่ทำประเด็นสื่อสารเก่งมาก เราจึงสร้างข้อต่อรองง่ายๆ คือ ทุกคอนเทนต์ต้องดัง พอมันดังรัฐบาลก็ฟัง เพราะตอนนี้เขากลัวโดนด่า ป้ายรถเมล์ทุกป้ายที่เราทำต้องดัง ต้องมีอิมแพค เราคุยกับน้องในทีมว่า พี่ขอป้ายนี้ให้ดังนะ สังเกตดูจากเพจของเรา เราขายโฆษณาน้อยมาก เราเลือกแล้วเลือกอีก แต่อิมแพคของความดังที่ว่า มีหน้าที่เพื่อต่อรองหน่วยงานภาครัฐเป็นหลัก เราก็จะเอายอด engage ให้เขาดู โพสต์นี้คนดูห้าแสนคนนะคะ (หัวเราะ) เราก็อาศัยมวลชนนี่แหละ

ตอนนี้ MAYDAY! ทำอะไรอยู่บ้าง ได้ยินว่ากำลังจะมีการปฏิรูปรถเมล์ โครงการที่กำลังดำเนินการอย่างการติดตั้งป้ายรถเมล์ 500 ป้ายจะกระทบหรือเปล่า?

ตรงนี้ก็จะเป็นความเจ็บปวดอีกอย่างหนึ่ง เพราะโปรเจ็คท์ 500 ป้ายรถเมล์นั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว ปรากฏว่าทำไปได้ราวเดือนกว่า กรมขนส่งทางบกบอกจะปฏิรูปสายรถเมล์ กทม. ก็เลยบอกกับเราว่าถ้าอย่างนั้นก็หยุดไปก่อน ค่อยทำใหม่กลางปีหน้า รอมันนิ่งก่อน 

แต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนใหม่อีกแล้ว ทาง กทม. ก็เลยกลับมาคุยกับเรา ว่าให้เดินงานต่อเลย ซึ่งเวลามันก็เหลือน้อย เราก็เลยต้องรับคนมหาศาลมากๆ ให้มาช่วย 

การปฏิรูปในครั้งนี้เป็นการกำหนดนโยบายเมืองที่ให้รถเมล์เป็น feeder ของระบบรางเป็นหลัก ต่อไปมันจะไม่มีรถเมล์วิ่งขนานไปกับรถไฟฟ้าแล้ว จะเป็นนั่งรถไฟฟ้าแล้วต่อรถเมล์ให้เข้าไปถึงบ้าน มันพอเข้าใจได้เรื่องการปฏิรูปนะ หลายฝ่ายเขาก็คุยกันมาตั้งนานแล้วว่ามันจะต้องเกิดประโยชน์ แต่ว่าเรื่องของการสื่อสาร เรื่องเลขสายที่พยายามเปลี่ยน มันสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ถ้าคิดมาดีกว่านี้คนก็จะเข้าใจง่ายกว่านี้ 

แต่ละอย่างไม่ง่ายเลย ทำไมทีม MAYDAY! ถึงยืนหยัดอยู่ได้

เวลาที่คุยกันในทีมมันจะมีหลายฉากนะ เช่น เอ๊ะ อันนี้ใช่งานของเราไหม หรือว่าเป็นงานของภาครัฐ จริงๆ เราไม่ได้เชื่อในกระบวนมากเท่าผลลัพธ์ อย่างเช่น เฮ้ย! สิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันเป็นเกมการเมืองของใครรึเปล่า 

เราก็จะคุยกันเสมอว่า ภายใต้เกมการเมืองที่จะมีหรือไม่มีก็ตาม สุดท้ายเราจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่จะอยู่ต่อในระยะยาวให้กับเมืองได้ไหม อุ้มเชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์มันสามารถเปลี่ยนได้จากโครงสร้างต่างๆ เช่นสิ่งก่อสร้างของเมือง อันดับแรกเราต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานของเมืองให้ได้ก่อน

ด้วยตัวงานที่ MAYDAY! ทำ สามารถเลี้ยงตัวเองได้ไหม

ได้นะ เพราะเราผลักดันจนถึงขั้นที่ทาง กทม. เห็นคุณค่าของการออกแบบแล้ว อย่างกลุ่มดีไซเนอร์เขาจะปลื้มมากๆ เพราะว่าหน่วยงานรัฐในช่วงที่ผ่านๆ มามักจะไม่ค่อยให้ความสำคัญหรือคุณค่ากับงานออกแบบเลย เขาก็จะ… แค่นี้ก็พอ สีสันสดใสก็พอ พอเราดันไปจนถึงมีการเขียน TOR (Team of Reference – เอกสารกำหนดจากผู้ว่าจ้าง) ระบุว่ามันมีค่าออกแบบนะ ทุกคนก็ดีใจมาก เพราะเราก็สามารถจัดการทรัพยากรได้ดีมากขึ้น แต่มันก็ไม่ถึงกับว่าทำให้เรารวยกับสิ่งนี้ได้ อุ้มรู้สึกว่า คนที่ยอมทำงานเพื่อสาธารณะ ก็น่าจะเลี้ยงชีพด้วยงานนั้นได้ เป้าหมายของเราก็คงไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่โต แต่จะเป็นบริษัทที่รวมคนที่อยากจะทำงาน มี passion ให้อยู่ได้

จากที่สังเกตเร็วๆ คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยใช้ระบบขนส่งมวลชนเท่าไหร่ เทรนด์การเดินทางก็จะเป็นไปในลักษณะของการใช้บริการบริษัทขนส่งสตาร์ทอัพ อย่างการเรียก Grab Taxi / Grab Bike กันมากขึ้น แล้วความต้องการที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมคนผ่านโครงสร้างเมืองมันจะเป็นไปได้ยังไง

จริงๆ มันมีคำศัพท์เฉพาะเรียกด้วยนะ ก็คือ paratransit เป็นระบบกึ่งสาธารณะ ซึ่งระบบกึ่งสาธารณะมักจะเกิดในเมืองที่ระบบขนส่งสาธารณะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าประเทศที่รถเมล์ขนส่งคนได้แบบ door to door แบบนี้คือมีประสิทธิภาพ แต่บ้านเรายังทำไม่ได้ มันก็จะมีระบบรับส่งระหว่างทางเพิ่มขึ้นมา เช่น shuttle bus ระหว่างคอนโดกับรถไฟฟ้า วินมอเตอร์ไซค์ ฯลฯ ตรงนี้ก็เป็นความท้าทายที่พร้อมจะทำให้เรื่องของ public space การใช้ของสาธารณะหายไป

อีกเรื่องคือ คนที่มีรถยนต์ส่วนตัว เพราะทุกวันนี้คนออกรถกันง่ายมากๆ ระบบส่วนตัวมันกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ระบบขนส่งสาธารณะมันก็เริ่มสู้ไม่ได้ ต้นทุนของการเดินทางด้วยระบบสาธารณะมันไม่ใช่แค่ถูกกว่าเร็วกว่า แต่ยังมีเรื่องของความสะดวกสบายรวมอยู่ด้วย เหมือนเรายอมเลือกรถติดมากกว่านั่งรถเมล์เปียกเหงื่อกลับบ้าน

แต่สุดท้าย สิ่งที่เราทำ เรามีอยู่สองอย่าง คือคนที่รู้สึกสะดวกสบายในพื้นที่ส่วนตัว ได้ขยับเข้ามาในพื้นที่สาธารณะมากยิ่งขึ้น สองคือ คนที่อยู่ในพื้นที่สาธารณะเดิม จะทำอย่างไรให้เขาสะดวกสบายได้มากขึ้น

แม้สถิติคนใช้รถเมล์ลดลงเรื่อยๆ แต่ทุกวันนี้ยังมีคนกว่า 3 ล้านคนที่ใช้รถเมล์ต่อวัน เขาต้องผจญภัยกับความ surreal หลายรูปแบบมากๆ ไม่รู้ว่าวันนี้จะเจออะไร ไม่รู้ว่าคนขับจะตีกันหรือเปล่า บางครั้งบนรถเมล์หนึ่งคันก็เป็นเหมือนครอบครัวหนึ่งหลัง มีพ่อแม่ลูก เลี้ยงลูกอยู่บนนั้น เราก็เลยรู้สึกว่า การทำให้มันดีขึ้นได้ ไม่ใช่มองว่า สักวันฉันรวย ฉันจะขับรถของตัวเอง แต่ทำให้เขารู้สึกว่า ขนส่งสาธารณะมันตอบโจทย์ชีวิตของเขาได้ และทำให้คนที่อยู่ในระบบส่วนตัวรู้สึกขึ้นมาในวันหนึ่งว่า การเดินทางสาธารณะมันตอบโจทย์ได้นะ

Public Space ในความคิดของคุณอุ้มควรเป็นยังไง?

จริงๆ มันก็กลับไปเรื่องที่ว่า หน่วยงานเกี่ยวข้องคุยกับผู้ใช้งานน้อยเกินไป ทุกวันนี้สวนสาธารณะ ห้องสมุด หรือทุกอย่างที่ตั้งขึ้น ตั้งขึ้นเพราะดัชนีชี้วัดว่าเมืองจะต้องมี โอเคเรามีแล้วนะ มีแล้ว แต่ฟังก์ชั่นการใช้งานมันกลับไม่ใช่ public space ของเราไม่เคยมีคนอยู่ในนั้น อย่างเช่นป้อมมหากาฬที่โดนรื้อไปก็เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดที่บอกว่าเมืองต้องมีพื้นที่สาธารณะ ก็เลยถูกรื้อ แต่คำถามคือ ฟังก์ชั่นของตัวสวนที่สร้างขึ้น คนได้ใช้มากน้อยแค่ไหน แค่จะวิ่งออกกำลังกายก็ยังไม่สามารถทำได้เลย บางครั้งก็ปิดรั้วด้วยซ้ำ

เมืองสร้างมันขึ้นมา เพราะดัชนีต้องการให้มันมี แต่ข้างในมันไม่มีคน

แค่มีสีเขียวมันแปลว่าดีขึ้นแล้วเหรอ เพราะสวนสาธารณะตามที่ดัชนีชี้วัดต้องการจะให้มีก็เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน แต่สิ่งที่ได้… คำถามคือพัฒนาชีวิตของคนหรือเปล่า ถ้าคิดให้ลึกลงไปก็จะเห็นภาพการใช้งานของคน มันสำคัญ ทำไมหอสมุดเมืองกรุงเทพฯ (ห้องสมุดสาธารณะตั้งอยู่บนสี่แยกคอกวัว) มันใช้ยากจัง

แล้ว MAYDAY! กับ Public Space มีความเกี่ยวข้องกันแค่ไหน?

แทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ยกตัวอย่าง ตอนที่เราเริ่มทำโฮสเทล ชาวบ้านรอบๆ เขาก็งงว่าตรงนี้มันเคยเป็นโรงพิมพ์เก่านี่นา แล้วทำไมอยู่ๆ มีคนมาเดินเข้าเดินออก เรามองว่าไหนๆ เราก็สามารถดึงคนมาตรงนี้ได้แล้ว เราก็อยากจะโตไปด้วยกันกับชุมชน ฝาบาตรที่เห็นตรงนี้ (ชี้ไปที่ผนัง) เราก็ไปสั่งชุมชนบ้านบาตรให้ทำให้ เราไม่ได้มองว่าไปอุดหนุนของชุมชนแล้วมาขายต่อนักท่องเที่ยวนะ เพราะทำแบบนี้มันไม่ใช่ฟังก์ชั่นจริงๆ ของการทำงาน

อย่างการซักผ้า ซักรีดของแขกในโฮสเทลเราจะเน้นส่งให้ป้ารอบๆ เป็นคนซักให้ ตอนนี้ทั้งซอยก็กลายเป็น ซอยแห่งการซักผ้าไปแล้ว (หัวเราะ)

เราจะไม่ขายอาหารที่ซ้ำกับบริเวณย่าน ไม่ขายในเรตราคาที่ซ้ำ ถ้าแขกอยากไปกินอาหารที่มัน local หน่อยๆ เราแนะนำไปกินข้างๆ ตลอด ไม่ขายเหล้า ไม่ขายเบียร์ ให้ร้านขายของชำข้างๆ เขาอยู่ได้ เรารู้สึกว่ามันคือการเกื้อหนุนกันและอยากให้คนในชุมชนโตไปพร้อมๆ กัน แม่บ้านทุกคนในโรงแรมก็มาจากชุมชนบริเวณนี้

เราเริ่มต้นจากวิธีคิดแบบนี้ เวลาเราเดินมาทำงาน แค่ถึงปากซอย เราก็รู้สึกว่าเออ…นี่บ้านเรา เราก็อยากจะขยายสเกลไปจนเห็นป้ายรถเมล์แล้วก็รู้สึกว่า ถึงบ้านเราละ (หัวเราะ)

Tags:

วิภาวี กิตติเธียรนักออกแบบdesign thinkingpublic space

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    จุฤทธิ์ กังวานภูมิ: เปลี่ยนย่านตลาดน้อย คนในต้องอยู่สบาย บ้านถึงจะกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Voice of New Gen
    CROSSS: นักออกแบบที่สนุกกับการฟัง ‘ความฝัน’ ชวนคนทะเลาะ เพราะทุกคนต้องมีส่วนร่วม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Voice of New Gen
    ฮอมสุข สตูดิโอ: แค่เห็นปลาว่ายอยู่ในคลองแม่ข่าสักตัว เราก็ดีใจแล้ว

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    CONNEXT KLONGTOEY : เรื่องจริงของ ‘เด็กคลองเตย’ ผ่านแฟชั่น แร็ป ภาพถ่ายและลายสัก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน
How to get along with teenager
1 November 2019

เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

คุณเชื่อไหมว่า วัยรุ่นเป็นวัยที่เต็มไปด้วยสารพัดปัญหาชีวิตมากที่สุด ? – ไม่จริงหรอก เพียงแต่วัยนี้เขามีปัญหาเร็วกว่าตามจังหวะโลกที่เร็วกว่ามาก  ‘นีท’ เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ นักจิตวิทยาโรงเรียน บอกว่า เราไม่สามารถเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเด็ก แล้วบอกว่าปัญหามันแค่นี้เอง

“วัย 12-15 คือวัยที่สมองส่วนหน้าหรือสมองส่วนเหตุผล ยังทำงานไม่เต็มที่เท่ากับสมองส่วนกลางที่ทำงานด้านอารมณ์ เมื่อปัญหาเข้ามา เขาอาจยังไม่รู้วิธีแก้ พ่อแม่ ครู และคนใกล้ชิดแค่เริ่มต้นจากความเข้าใจ ไม่พูดว่า “ทำไมแค่นี้ทำไม่ได้” 

“อย่าคิดว่าเขาแก้ปัญหาเองได้ เขาคือเด็กที่แค่เปลี่ยนจากประถมไปมัธยมเท่านั้นเอง” 

และนี่คือ 4 ขั้นตอนเปิดใจ รับฟังวัยรุ่น โดยไม่ตัดสิน – 4 ภูมิคุ้มกันป้องกันซึมเศร้า แบบนักจิตวิทยาโรงเรียน

อ่านสัมภาษณ์เพิ่มเติมนักจิตวิทยาโรงเรียนได้: ที่นี่

Tags:

ซึมเศร้าวัยรุ่นจิตวิทยาการฟังและตั้งคำถามการจัดการอารมณ์นักจิตวิทยาครูแนะแนว

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Life classroom
    BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Life classroom
    SELF-COMPASSION: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้วัยรุ่น

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel