Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: July 2019

คุณจะนอนเล่นมือถือบนโซฟา หรือลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปหาเป้าหมายของตัวเอง
Life Long Learning
26 July 2019

คุณจะนอนเล่นมือถือบนโซฟา หรือลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปหาเป้าหมายของตัวเอง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • สตีเฟน ดูนิเยร์ ชายวัย 50 ปี บอกอย่างตรงไปตรงว่าไม่ใช่คนเก่ง และเป็นคนสมาธิสั้น โฟกัสสิ่งใดได้ไม่เกิน 5-10 นาที ทำให้เกรดที่ได้คงเส้นคงวามาตลอดคือ C กับ C- เขาจึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับศักยภาพ (Potential) ของตัวเอง
  • การย่อยงานชิ้นใหญ่ ออกมาเป็นงานชิ้นเล็กๆ เพื่อการจัดการบริหารที่ได้ง่ายขึ้น ตามด้วยการลงมือทำ แล้วลองปรับปรุง เปลี่ยนแปลงทีละนิด นี่คือวิธีที่ทำให้ดูนิเยร์หาเป้าหมายของตัวเองเจอ
  • ชายสมาธิสั้น ผู้ไม่สามารถโฟกัสกับอะไรได้นานคนนี้ กลายมาเป็นคนสร้างสรรค์โปรเจคศิลปะ เจ้าของกินเนสส์เวิลด์เรกคอร์ดส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ศาสตราจารย์ นักวางแผนยุทธศาสตร์ โค้ช และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะเขาลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปหาเป้าหมาย แทนที่จะใช้เวลานอนอยู่บนโซฟา ดูทีวี เลื่อนหน้าจอมือถือไปมา

โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว!

เราได้ยินคำกล่าวนี้บ่อยแค่ไหน?

“บ่อยมากกกกกกกกกกกกกกกก” เชื่อว่านี่เป็นคำตอบในใจหลายๆ คน

แม้จะหามาตรวัดความเร็วของการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ แต่ยุคสมัยทำให้มุมมองความคิดของผู้คนต่างออกไปจากเดิมอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะวิธีคิดเรื่อง ‘ความสำเร็จ’

ความสำเร็จไม่ได้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับตัวเลขในบัญชีเท่านั้น แต่รวยเร็ว ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ลาออกจากงานประจำแล้วจะรวย กลายเป็นเป้าหมาย (goal) ที่สร้างกระแสกดดันคนรุ่นใหม่ และคนยุคใหม่ ให้ไขว่คว้าและวิ่งเข้าหาความสำเร็จแบบดังกล่าว

เรามองผลสำเร็จที่ปลายทาง มากกว่าวิธีการไปถึงเป้าหมาย หรือกระบวนการให้ได้มาซึ่งความสำเร็จนั้น

นี่ยังไม่นับรวมความเครียดและความกังวล เมื่อค้นหาตัวเองไม่เจอ และไม่รู้ว่าความหลงใหล หรือ passion ของตัวเองคืออะไร ในขณะที่ใครๆ ก็บอกว่า ต้องรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร แล้วลงมือทำอย่างมี passion ถึงจะสำเร็จ ซึ่งก็จริง…แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน?

วันนี้ The Potential มาชวนทุกคนลองคิด แล้วลงมือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำในแต่ละวันทีละนิด เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงศักยภาพของตัวเอง เพราะเราเชื่อมั่นว่าคุณทำได้!

ผู้ชายคนหนึ่งชื่อ สตีเฟน ดูนิเย่ร์ (Stephen Duneier) ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนักที่จะนิยามชายวัย 50 ปีคนนี้ ขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้จักเขาตอนไหน แล้วตอนนั้นเขาสนใจทำอะไรอยู่

บางคนนิยามว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ขณะที่หลายคนรู้จักเขาในบทบาทศิลปินจัดวาง (installation artist) ที่สร้างสรรค์ชิ้นงานขนาดใหญ่มานักต่อนัก หรือแม้แต่ผู้คลั่งไคล้กิจกรรมโลดโผนกลางแจ้ง เป็นศาสตรจารย์ นักวางแผนยุทธศาสตร์ โค้ช ผู้นำทางธุรกิจ นักเขียน นักพูด หรือ หนึ่งในบุคคลที่ได้รับการบันทึกจากกินเนสส์เวิลด์เรกคอร์ดส์ (Guinness World Records)

ถ้าถามดูนิเย่ร์ เขาจะบอกว่า “ไม่สำคัญว่าคนจะรู้จักเขาในฐานะไหน แต่วิธีการที่นำไปสู่การตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งของเขา (an approach to decision making) เปลี่ยนเขาจากคนที่เคยมีปัญหาติดขัด แม้กระทั่งกับการทำเรื่องธรรมดาๆ ในชีวิต มาเป็นผู้ชายที่ทำอะไรก็ได้ และประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำอย่างต่อเนื่อง บางอย่างเป็นความฝันที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็ทำให้เป็นจริงได้”

เมื่อวิธีเดิมๆ ไม่เวิร์ค ต้องกล้าเปลี่ยน

บนเวที TEDxTucson เมื่อ 2 ปีก่อน ณ เมืองทูซอน ทางใต้ของรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ดูนิเย่ร์ ขึ้นพูดในหัวข้อ “How to Achieve Your Most Ambitious Goals” หรือ วิธีการไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุดของตัวเอง

สิ่งที่ ดูนิเย่ร์ ทำและแนะนำให้ทุกคนลองทำ เป็นวิธีการที่ใครๆ ก็ทำได้  เขาบอกว่าเราทุกคนสามารถทำในสิ่งที่อยากทำ และคว้าเป้าหมายที่ฝันไว้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ (talent) หรือมีความพิเศษ (magical skill) ใดๆ ติดตัว เขาย้ำ ถึงตัวเองอยู่หลายครั้งว่า เขาไม่ใช่คนเก่ง แถมยังเป็นคนสมาธิสั้น ที่ไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานเกิน 5-10 นาที และเป็นเด็กที่ทำคะแนนได้เกรด C กับ C- มาอย่างคงเส้นคงวา

แต่เมื่อโตขึ้น เขาตัดสินใจเปลี่ยน… “ถ้าอยากเปลี่ยนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราต้องเปลี่ยนวิธีการ (approach)”

เมื่อใช้วิธีการเรียนแบบเดิม แล้วทำได้แค่เกรด C กับ C- เขาต้องเปลี่ยนวิธีเรียน ดูนิเย่ร์ คิดกับตัวเอง

ดูนิเย่ร์ ยกตัวอย่างประสบการณ์ตรง เมื่อได้รับโจทย์ให้เตรียมอ่านบทความ 5 บทก่อนเข้าห้องเรียน

แทนที่คิดว่าต้องอ่าน 5 บท หรือ 1 บท เขาเริ่มต้นจากการประเมินศักยภาพของตัวเอง สำหรับคนที่โฟกัสได้แค่ 5-10 นาทีอย่างเขา 3-4 ย่อหน้าสำหรับการอ่านแต่ละครั้งคือคำตอบ เขายอมรับว่า หลังจากอ่านจบแต่ละครั้ง เขาก็หันไปสนใจทำอย่างอื่น เช่น เล่นเกม โยนห่วง หรือวาดรูป แล้วกลับมาอ่านใหม่

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับศักยภาพของตัวเอง แม้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่ทำอย่างต่อเนื่อง ทำให้จากนั้นเป็นต้นมา เขากลายเป็นนักเรียนเกรด A และ A+ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในสาขาการเงินและเศรษฐกิจด้วยเกียรตินิยม

แต่นั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ความสำเร็จเดียวในชีวิตของเขา จากการลงมือทำด้วยวิธีการดังกล่าว

ดูนิเย่ร์ ย้ำว่า เราต้องสร้างความเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวัน แล้วลงมือทำทีละเล็กทีละน้อยในทุกๆ วัน (The marginal adjustment/ improvement  to your daily life)

ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก แล้วเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

จากการพิสูจน์ด้วยตัวเองมานักต่อนัก อย่างน้อยๆ ก็ร่วม 20 ปี ดูนิเย่ร์บอกว่า ไม่ว่าเป้าหมายจะใหญ่แค่ไหน การทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้แน่นอน ‘ย่อยงานชิ้นใหญ่ ออกมาเป็นงานชิ้นเล็กๆ ที่สามารถบริหารจัดการได้ง่ายขึ้น ลงมือทำ แล้วลองปรับปรุง เปลี่ยนแปลงทีละนิด’

ตั้งแต่ราวปี 2001 เป็นต้นมา ดูนิเย่ร์ นำวิธีการนี้มาใช้อย่างต่อเนื่องในอาชีพของเขา ทั้งในบทบาทนักลงทุนที่ทำงานให้กับธนาคารแห่งอเมริกา หัวหน้าฝ่ายการตลาดเกิดใหม่ บริษัท เอไอจี ในระดับโกลบอล และงานด้านการลงทุนและการจัดการกลยุทธ์ในบริษัทชั้นนำระดับโลกอีกมากมาย

“ในเมื่อวิธีการนี้ใช้กับการเรียนของผมได้ ใช้กับการทำงานของผมได้ ก็ต้องใช้กับชีวิตส่วนตัวของผมได้เหมือนกัน” ดูนิเย่ร์ กล่าวถึงวิธีคิดของเขา

ดูนิเย่ร์ เล่าว่า ช่วงหนึ่งของการทำงานในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เขาใช้เวลาเดินจากบ้านไปทำงานประมาณ 45 นาที นั่นเท่ากับ

1 ชั่วโมงครึ่งต่อวัน

7 ชั่วโมงครึ่งต่อสัปดาห์

30 ชั่วโมงต่อเดือน 

และ 360 ชั่วโมงใน 1 ปี

จากที่เคยใช้เวลาเหล่านั้น เดินฟังเพลงจาก iPod ไปเรื่อยๆ ทุกวันจนถึงที่ทำงาน วันหนึ่งดูนิเย่ร์ ตัดสินใจเดินเข้าร้านค้า ซื้อแผ่นซีดีสอนภาษาเยอรมัน 33 ชุด ดาวน์โหลดเก็บใส่ไว้ใน iPod

แต่เพราะรู้ว่าตัวเองเป็นคนสมาธิสั้น ไม่มีวินัยมากพอ ซึ่งอาจเหมือนคนอื่นทั่วๆ ไป ถึงจุดหนึ่งเขาอาจเปลี่ยนโหมดการฟังจากบทเรียนภาษากลับมาฟังเพลงได้อีก เพื่อไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เขาจึงลบเพลงทั้งหมดออกจากเครื่อง ความรู้จักตัวเองทำให้เขาตัดสินใจทำสิ่งที่ควรทำ

ภายใน 10 เดือน ดูนิเย่ร์ ฟังซีดีสอนภาษาไปทั้งหมด 3 รอบ แล้วเดินทางไปยังกรุงเบอร์ลิน เยอรมันนี เพื่อเข้าเรียนคอร์สภาษาเยอรมันเข้มข้น 16 วัน

“หลังจากจบคอร์ส ผมให้ลูกกับภรรยามาเจอผมที่เบอร์ลิน เพื่อที่เราจะได้เที่ยวต่อด้วยกัน ผมพูดภาษาเยอรมันกับคนท้องถิ่น นั่นทำให้ลูกผมประหลาดใจมาก…ผมไม่ได้ทำอะไรที่พิสดารเลย แต่สิ่งที่ผมทำคือ การเปลี่ยนและปรับปรุงสิ่งเล็กๆ ที่ทำในทุกๆ วัน”

ยังไม่พอ เขายังไม่หยุดแค่นี้ ดูนิเย่ร์ ทดลองทำสิ่งต่างๆ มากมาย เพื่อท้าทายศักยภาพของเขา ไม่ว่าจะเป็น

นักแข่งรถ ขับเฮลิคอปเตอร์ ปีนเขา เทรคกิ้ง กระโดดร่ม ปั่นจักรยานล้อเดียว เดินทรงตัวบนลวดเส้นเดียว ฯลฯ เขาบอกว่าชื่นชอบกีฬากลางแจ้ง และเพราะความตั้งใจลดน้ำหนัก เลยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของตัวเอง  

นอกจากนี้ผู้ชายสมาธิสั้นที่ยังคงไม่สามารถโฟกัสกับการทำอะไรได้นานคนนี้ ยังได้หันมาถักนิตติ้ง จนสร้างสรรค์โปรเจคศิลปะจัดวางขนาดใหญ่มากมาย และยังเป็นเจ้าของกินเนสส์เวิลด์เรกคอร์ดส์ แขนงใหม่ หลังจากถักโครเชสี่เหลี่ยมที่ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาได้ โดยใช้เวลา 2 ปี 2 เดือนกับอีก 17 วัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นดูนิเย่ร์ ได้รับการปฏิเสธจากกินเนสส์ฯ อยู่หลายครั้ง เพราะไม่มีแขนงงานโครเชอยู่ในบันทึกมาก่อน แต่เขาก็ขออุทรณ์และทำได้สำเร็จ

“คุณจะนอนอยู่บนโซฟา ดูทีวี เลื่อนหน้าจอมือถือไปมา เล่นเฟซบุ๊คอยู่ในบ้าน หรือจะเลือกวางทุกอย่างลง แล้วเปิดประตูออกไป ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ไม่สำคัญว่าเป้าหมายคุณคือการทำอะไร แต่มันต้องเริ่มจากการลงมือทำทีละเล็กทีละน้อย คุณไม่มีทางขึ้นไปพิชิตยอดเขาได้ ถ้าคุณไม่เริ่มจากก้าวที่ลุกออกมาจากโซฟาตัวนั้นในบ้านของคุณ”  

เรื่องราวของ ดูนิเย่ร์  ไม่ต่างจาก โนวัค ยอโควิช (Novak Djokovic) นักเทนนิสมือวางอันดับหนึ่งของโลกคนปัจจุบันชาวเซอร์เบีย กว่าจะขึ้นมาเป็นมือวางอันดับหนึ่งของโลก เขาเคยเผชิญช่วงเวลาที่หนักหนามากที่สุดเวลาหนึ่งในชีวิต สถิติตั้งแต่ปี 2011 ถึงปี 2016 ยอโควิช คือ นักกีฬาเทนนิสที่เอาชนะได้ยากมาก แต่ในช่วงปีก่อนหน้านั้น เขามีปัญหาเรื่องอาการหมดแรงระหว่างแข่งขัน ซึ่งนักโภชนาการส่วนตัว ดร.อิกอร์ เจโตเชวิก (Dr.Igor Cetojevic) บอกว่า เกิดขึ้นจากระบบการย่อยอาหารไม่สมดุล

ผลจากการตรวจเลือดพบว่าร่างกายของยอโควิชไม่ถูกกับกลูเตน (Gluten) ข้าวสาลี ผลิตภัณฑ์จำพวกนม (Dairy Products) รวมถึงมะเขือเทศ ด้วยเหตุนี้ ณ ช่วงเวลานั้น เพื่อให้กลับมาเป็น 1 ใน 5 มือวางลำดับต้นๆ ในวงการเทนนิสให้ได้อย่างมั่นคง ยอโควิชมีแรงกระตุ้นและแรงจูงใจแห่งความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมการกินอาหาร เขาตัดอาหารจำพวกขนมปังและชีสออกจากเมนูการกิน แต่ผลลัพธ์ของความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายไม่ได้เกิดขึ้นอย่างถาวรในทันที แม้จะรู้สึกดีขึ้นหลังจากลงมือควบคุมอาหารในช่วงแรกก็ตาม

ยอโควิช ใช้เวลาฟื้นตัวอยู่ 12 เดือน ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเมนูอาหารจนเหมาะสมกับตัวเอง และฟิ้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายด้านอื่นๆ จนกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้น รู้สึกตื่นตัว และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทางกายและทางใจ แล้วเขายังคงทำอย่างนั้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นนักเทนนิสมือวางอันดับหนึ่งที่ยากจะต่อกรได้อย่างสง่างาม

นี่คือ ผลของการสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตทุกวันจนกลายเป็นความสำเร็จ ส่วนชื่อเสียงและเงินทองเป็นผลพวงที่ได้จากความอดทนและความพยายามอย่างต่อเนื่อง

แน่นอนว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยอำนวยความสะดวก สร้างความสบาย และตอบสนองความต้องการได้มากมาย แต่ความสำเร็จที่สร้างแรงพลังให้ชีวิต อาจไม่ใช่จำนวนตัวเลขในบัญชีเสมอไป แต่เป็นความสำเร็จจากการเอาชนะตัวเอง และสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองได้ จากสิ่งที่ลงมือทำในทุกๆ วัน

ทั้งดูนิเย่ร์ และยอโควิช แสดงให้เห็นว่า การมี passion หรือความหลงใหล คือ การเดินหน้าลงมือทำสิ่งที่สนใจหรืออยากทำอย่างต่อเนื่อง แล้วเติม passion ใส่การลงมือทำนั้นทุกวันๆ หากอดทนได้มากพอ วันหนึ่งเค้าลางความสำเร็จย่อมแจ่มชัดขึ้น 

ที่สำคัญความสนใจหรือความฝันที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องมีเพียงอย่างเดียว เหมือนอย่างที่ดูนิเย่ร์ท้าทายตัวเองด้วยความสนใจใหม่ๆ อยู่เสมอ แล้วไม่จำเป็นว่าต้องมีเงินเท่านั้นถึงจะทำได้ เพราะความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแห่งยุคสมัย ได้สร้างสรรค์พื้นที่และช่องทางให้เราเข้าไปศึกษาเรียนรู้ได้ โดยไม่กระทบเงินในกระเป๋า

“A journey of 1000 miles starts with just 1 step.”
การเดินทางนับพันไมล์ เริ่มต้นจากก้าวแรกที่ย่างเดิน

อ้างอิง
How to Achieve Your Most Ambitious Goals
To Multiply Your Productivity by 1000% — Adopt These Super Simple Rituals
Here’s What Novak Djokovic Eats In A Day

Tags:

Gritแรงจูงใจในตัวเอง(Self motivation)คาแรกเตอร์(character building)ชีวิตการทำงาน

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Character building
    สอนให้เด็กเห็นคุณค่าสิ่งที่มี ขอบคุณยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาจะเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    หาก Grit คือความเพียร แต่จะเพียรพยายามในเรื่องที่ไม่อินมากๆ ได้อย่างไร?

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • How to enjoy life
    พอกันทีถ้าต้องทำงานไปแบบใจเฉาๆ ปลุกไฟในตัวเราให้พร้อมทำงานกันเถอะ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

CONNECT TO THE FUTURE: “มันต้องไม่เป็นอย่างนี้” เปลี่ยนอนาคตด้วยการไม่ทนอีกต่อไป
Social Issues
25 July 2019

CONNECT TO THE FUTURE: “มันต้องไม่เป็นอย่างนี้” เปลี่ยนอนาคตด้วยการไม่ทนอีกต่อไป

เรื่อง

  • จับประเด็นน่าสนใจจาก 5 คน 5 อาชีพที่ไม่ดูดายโลก ไม่ละเลยสังคม และลุกขึ้นมาแก้ ‘มัน’ ด้วยตัวเอง
  • การศึกษา สิ่งแวดล้อม ความยุติธรรม สาธารณสุข และ สิทธิ คือ ‘มัน’ ที่เข้าขั้นวิกฤติ และนี่คือสิ่งที่ 5 คนนี้ลุกขึ้นมาทำให้เห็น
  • ด้วยหวังว่าในอนาคต ความหลากหลายจะกลายเป็นความแข็งแกร่ง
เรื่อง: อิชย์อาณิคม์ ชิตวิเศษ
ภาพ: ทีมสื่อสาร งาน Connect Fest เพราะความหลากหลายทำให้เรามาเจอกัน

“แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?”

คำถามธรรมดาๆ นี้ สังเกตน้ำเสียงดีๆ สิ่งที่ต้องการอาจไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นอารมณ์ปะปนด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับว่า ‘มัน’ ในประโยคนั้นคืออะไร

แต่ประโยคนี้คือจุดเริ่มต้น ดึง 5 คน 5 สายอาชีพ ที่ต่างก็มี ‘มัน’ เป็นของตัวเอง ซึ่งมาเจอกัน ในงานเสวนา Connect to The Future เพราะความหลากหลายทำให้เรามาเจอกัน ณ มิวเซียมสยาม เมื่อ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

เพื่อแชร์และตอบคำถามให้มากกว่า ‘ทำไม’ แต่ไกลไปจึงจุดที่ว่า “เราจะแก้มันได้อย่างไร”

‘มัน’ คือการศึกษา

เปิดวงเสวนาโดย ต่าย-ภนิธา โตปฐมวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง A-chieve ธุรกิจเพื่อสังคมด้านการศึกษา ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนที่ปรึกษาให้เด็กๆ มัธยมตอนปลายได้ค้นหาตัวตนและความต้องการมา 9 ปีแล้ว

‘มัน’ ของต่าย คือ การศึกษา

9 ปีที่แล้ว A-chive เริ่มต้นมาจากการที่ต่ายได้พูดคุยกับเพื่อนและคนรอบตัวถึงความฝัน ความต้องการในชีวิตของแต่ละคน แล้วพบกับคำตอบที่ชวนให้สิ้นหวังและหดหู่ว่า “มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก”

ตรงกันข้าม เมื่อเธอได้พูดคุยในเรื่องนี้กับเพื่อนต่างชาติ แววตาพวกเขากลับเป็นประกายวิบวับ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ซึ่งทำให้ต่ายต้องหันกลับมาถามตัวเองว่า “มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางก่อนที่เราจะเรียนจบ” และนำมาสู่คำถามที่ว่า

“มันเกิดอะไรขึ้นกับระบบการศึกษาที่ควรจะทำให้เราเห็นความต้องการของตัวเอง”

A-chieve จึงถือกำเนิดขึ้น ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เด็กได้พบเจอกับตัวตน แต่ยังสร้างกระบวนการในการตรวจสอบตัวเองว่า “ถ้าหากปัจจัยเงื่อนไขมันเปลี่ยนแล้วเขาควรจะทำอย่างไร และเขาควรจะมีจุดยืนอย่างไรกับมัน?”

A-chieve ตั้งต้นจากการเป็นกลุ่มเล็กๆ เข้าไปอยู่ร่วมกับเด็กวัยรุ่นในช่วงเวลาที่ต้อง “ตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต” ช่วยให้พวกเขาเผชิญแรงกดดันทั้งของตัวเองและรอบข้างให้น้อยที่สุด จนนำไปสู่การค้นพบเส้นทางของแต่ละคน

ต่ายได้เรียนรู้หลายอย่าง หนึ่งในนั้นที่สำคัญ คือ การสร้างพื้นที่ให้เด็กได้แสดงออกซึ่งตัวตนของเขาได้อย่างเต็มที่โดยไม่ถูกใครตัดสิน และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เด็กกล้าหันหลังกลับไปพูดคุยและบอกความต้องการกับพ่อแม่ รวมทั้งเผชิญแรงกดดันที่ตัวเองสร้างขึ้น

การค่อยๆ เติบโตขึ้นไปพร้อมกับเด็ก และการค่อยๆ ก่อร้างสร้างตัวขององค์กร ทำให้ A-chieve กลายมาเป็นอาชีพหลักของต่าย ที่สามารถสร้างรายได้เลี้ยงปากท้องตัวเองและครอบครัวไปพร้อมๆ กับการช่วยเหลือเด็กรุ่นใหม่ในสังคมให้เติบโตอย่างแข็งแรง ไปเป็นคนที่รู้จักและเลือกที่จะทำตามเป้าหมายของตัวเองได้

‘มัน’ คือสิ่งแวดล้อม

มีเรื่องราวมากมายที่ประกอบสร้างเป็นตัวตนให้กับ ดร.อ้อย-สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ มหาบัณฑิตจากอังกฤษ ให้กลับมาเริ่มต้นงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและเข้าร่วมกับมูลนิธิโลกสีเขียวมาตลอด 24 ปีจนถึงปัจจุบัน

ความสนิทสนมของ ดร.อ้อยกับสิ่งแวดล้อม เริ่มจากการที่ตนเองเติบโตมากับความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเยอะมาก จากภาพในตอนเด็ก พบเห็นแต่ความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อม จนกลายมาเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สร้างผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทำให้เธอต้องก้าวเข้ามาทำงานด้านนี้อย่างจริงจัง

งานที่ ดร.อ้อยทำในมูลนิธิโลกสีเขียวคือ ‘สิ่งแวดล้อมศึกษา’ หนึ่งในกิจกรรมที่คนรู้จักคือ ‘นักสืบสายน้ำ’ ที่คอยตรวจเช็คสายน้ำจากต้นน้ำสู่ปากน้ำชายทะเล กับ ‘นักสืบสายลม’ ที่คอยตรวจเช็คสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ว่าอากาศมีทิศทางและความแปรปรวนอย่างไร งานนี้มีไอเดียว่า

“อยากจะให้คนอ่านธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่มันอยู่รอบตัวเนี่ย ได้เหมือนกับอ่านหนังสือ”

สิ่งที่ทำให้ ดร.อ้อยริเริ่มงานชิ้นนี้ มาจากสมัยที่เธอยังเรียนอยู่อังกฤษ ในเวลานั้นเรื่องภาวะโลกร้อนเพิ่งจะเริ่มได้พื้นที่ในสื่อกระแสหลัก พร้อมกับการตั้งคำถามจากคนในสังคมว่า “มันเป็นข่าวจริงหรือเปล่า?” ทำให้เกิดการก่อตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ที่รวมเอานักวิทยาศาสตร์จากทั่วทุกมุมทั่วโลกเข้ามาเป็นคณะกรรมการเพื่อทำข้อมูลเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนฉบับแรก

โดยข้อมูลทั้งหมดถูกรวบรวมจากประชาชนคนทั่วไปที่สนใจในธรรมชาติ ชอบดูนกชมไม้ ว่าพวกเขาเริ่มเห็นความผิดปกติอะไรบ้างในสภาพแวดล้อมรอบตัว ทั้งการเพาะพันธุ์ วิถีชีวิต แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับเมื่อ 100 ปีก่อน ซึ่ง BBC เป็นผู้ริเริ่มโครงการนี้

“BBC ที่คอยเปิดประเด็นให้ผู้คนตามติดชีวิตสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น แมงมุม ปลวก หรือการทำรังของนกบางชนิด แล้วให้ส่งข้อมูลต่างๆ เข้ามา”

ทั้งปรากฏการณ์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ส่งเข้ามา นำมารวบรวมเป็นบทสรุปที่แสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศของโลกในช่วงเวลา 100 ปีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน

พอเรียนจบ กลับมาเมืองไทย สิ่งที่ ดร.อ้อยเห็นคือ ข้อมูลเรื่องสิ่งแวดล้อมที่มีน้อยมาก และส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ความรู้

“แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ สังคมเรายังขับเคลื่อนด้วยความเชื่อของคนเพียงไม่กี่กลุ่มที่เป็นนักวิชาการ ทั้งๆ ที่สายตาที่เรามองเห็นมันไม่ใช่ ทำไมเราไม่เชื่อในสิ่งที่สายตาเราเห็น”

ดร.อ้อยจึงก่อตั้งกลุ่ม ‘นักสืบสายน้ำ’ ขึ้นมาเพื่อสอนให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ถึงชีวิตภายในหนองน้ำ ซึ่งผลตอบรับก็คือ การได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากเครื่องมือ

“สองคือ เปลี่ยนมุมมองความคิดของเด็กที่เข้าร่วมกลุ่ม ที่หลังจากเข้าร่วมกิจกรรม พวกเขาต่างรู้สึกตื่นเต้นและตกหลุมรักไปกับโลกของสายน้ำที่แปลกตาแต่ไม่แปลกไปจากโลกบนบกเลย”

ดร.อ้อยบอกว่า นี่อาจจะพอเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ เพราะหลังจากทุกคนผ่านสนามนักสืบสายน้ำแล้ว เด็กส่วนใหญ่ต่างก็ก้าวเข้าสู่การทำงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนับแต่นั้นเป็นต้นมา

‘มัน’ คือ การแพทย์และสาธารณสุข

มีคนจำนวนไม่น้อยในสังคมที่ได้รับมุมมองใหม่ๆ หรือลุกขึ้นมาทำสิ่งใหม่ๆ จากการอ่านหนังสือ เช่นเดียวกับ หมอนิล-นายแพทย์มารุต เหล็กเพชร นายแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ผู้ขับเคลื่อนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพรุใน บนเกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา ให้ก่อตั้งโรงพยาบาลในแบบที่ชาวบ้านเป็นศูนย์กลางได้สำเร็จเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

จุดเริ่มต้นของการมาเป็นหมอนิลมาจาก การที่เขาชอบอ่านหนังสือ ชอบศึกษาเรื่องของผู้คนในหลากหลายพื้นที่ จนกระทั่งเขาได้พบกับหนังสือเล่มหนึ่งที่พูดถึงระบบการแพทย์ไทยที่ยังไม่ไปถึงไหน นั่นจึงทำให้เขาอยากเรียนหมอ เพื่อจะแก้ปัญหาระบบสาธารณสุขภายในประเทศ

“ความทุกข์อย่างหนึ่งที่พบเจอตอนเรียนหมอคือ ตอนที่เราต้องไปราวด์วอร์ดในชั้นคลินิก ปี 4-6 ตอนนั้นผมเรียนที่โรงพยาบาลพระพุทธชินราช ด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลศูนย์ฯ ทำให้คนเยอะมาก ญาติต้องนอนใต้เตียง ภาพที่เห็นคือ ทุกคนไม่มีความสุขเลย แล้วคนที่ไม่มีความสุขที่สุดเลยคือคนไข้ แม้อาจารย์จะบอกว่า หายแล้ว กลับบ้านได้ ผมก็กลับเห็นสายตาที่ว่างเปล่าของคนไข้ว่า ‘ฉันหายแล้วเหรอ ทำไมฉันไม่มีความสุขเลย’ ภาพทั้งหมดตลอด 3 ปีทำให้ผมคิดว่า มันต้องมีความผิดพลาดอะไรบางอย่างในสาธารณสุขไทยแน่นอน”

หมอนิลจึงคิดหาหนทางที่จะออกแบบโรงพยาบาลร่วมกับคนในชุมชนว่า “โรงพยาบาลที่ทุกคนต้องการควรจะเป็นแบบไหน?” เขาจึงเลือกไปเป็นหมอเวชศาสตร์ครอบครัวที่เกาะยาวใหญ่ ซึ่งขณะนั้นกำลังจะสร้างโรงพยาบาลพอดี ทำให้เขาเริ่มคิดหาวิธีปรับเปลี่ยนรูปแบบของโรงพยาบาล ผ่านการจัดงาน Charity Fair ทุกๆ ปีเพื่อเรี่ยไรเงินสนับสนุนเข้าโรงพยาบาล ปรับปรุงให้โรงพยาบาลมีความทันสมัยและพร้อมต่อความต้องการของชาวบ้านจริงๆ

จากการอยู่ร่วมและเรียนรู้กับชุมชนบนเกาะยาวใหญ่ หมอนิลพบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นมุสลิมและมีความสนิทชิดเชื้อกันอย่างมาก หากใครป่วยใกล้เสียชีวิต คนในชุมชนก็จะต้องรวมตัวกันมาละหมาด สวดขอดุอาให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัย และนั่นทำให้ความคิดของหมอนิลเปลี่ยนไป

“ผมเคยคิดและเชื่อว่าความจริงทางการแพทย์นั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ทุกคนจะต้องฟังเราที่เป็นหมอ แล้วยิ่งเราเป็นข้าราชการเนี่ย มันก็จะยิ่งกดทับ มันเลยทำให้โรงพยาบาลกลายเป็นพื้นที่ที่กดทับในแง่ของมิติทางวัฒนธรรม จิตวิญญาณที่เราควรจะใส่ใจมัน ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ที่ทำให้โรงพยาบาลเป็นที่ที่มันแค่รักษา แต่ไม่ได้ดูแลใคร”

การทำงานหลายปีที่เกาะยาวทำให้หมอนิลคิดว่าความเชื่อเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะความเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิเท่ากัน

“ทุกคนมีสิทธิกำหนดชีวิตตัวเองได้ ทั้งระบบการศึกษา สาธารณสุข เมื่อเราไม่ใช้ความเป็นอำนาจนิยม ทำให้อำนาจมันเป็นแนวราบ ซึ่งมันก็ย้อนไปถึงรากฐานการทำงานว่าเราต้องเคารพคนอื่น ซึ่งเวลาที่ต่อสู้มามันก็ยาวนาน แม้ว่าหลายเรื่องเราจะเห็นชัดๆ ว่ามันผิดทั้งกฎหมาย ผิดทั้งระเบียบ แต่ที่เราเห็นคือ สิ่งที่ผิดมันกลายเป็นสิ่งที่ถูกได้ เมื่อมันได้รับฉันทามติจากหลายๆ คน”

‘มัน’ คือความยุติธรรม

การที่ใครสักคนจะลุกขึ้นเพื่อเปลี่ยนแปลง หรือทำอะไรสักอย่าง ส่วนใหญ่มักจะต้องมาจากจุดพลิกผันของชีวิต เช่นเดียวกับหญิง-จุฑามาส ศรีหัตถผดุงกิจ บัณฑิตนิติศาสตร์ใหม่หมาดจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ที่เคยใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมที่มีหน้าที่ชี้ขาดความถูกผิดอย่าง ผู้พิพากษา แต่วันนี้งานของหญิงคือ เอ็นจีโอช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเหมือง

การเปลี่ยนเส้นทางชีวิตครั้งนี้มาจาก ตอนที่หญิงเข้าร่วมกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัย ภายใต้ชื่อ ‘กลุ่มดาวดิน’ ที่ลงพื้นที่ทำงานและเรียนรู้ประเด็นปัญหาของกลุ่มคนรักบ้านเกิด จังหวัดเลย ซึ่งได้รับผลกระทบต่อน้ำฝน น้ำดื่ม และน้ำใช้ เพราะอยู่ในพื้นที่รอบเหมืองทองคำและเขื่อนไซยาไนด์

“ตอนที่ชาวบ้านพาเราขึ้นไปดูเหมืองที่เขาขุดเอาทองไปเรียบร้อยแล้ว แล้วเหลือแต่ซากที่เป็นภูเขา ทำให้เราก็สะเทือนใจมากว่า สุดท้ายเขาตักตวงทุกสิ่งออกไปจากหมู่บ้าน ไม่ได้คืนอะไรกลับมาเลย มันก็เลยทำให้เราสนใจว่า กฎหมายที่เราเชื่อว่ามันยุติธรรมจริงๆ แล้วมันเป็นยังไงกันแน่”

“พอเรารู้ แล้วจะให้เราหยุด เราทำไม่ได้ พอเราได้เห็น เรารู้สึกว่าต้องทำต่อ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมันไม่เคยถูกแก้ไขเลย”

หญิงจึงหันมาทำงานร่วมกับชุมชน โดยให้ความรู้กับชาวบ้านเกี่ยวกับเรื่องสิทธิว่า เขามีสิทธิ์ทีจะเลือกได้ คัดค้านได้ตามหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น เรื่องการทำเหมือง จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สิ่งแวดล้อม พ.ร.บ.แร่ หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญเองที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังต้องสร้างความเข้มแข็งในชุมชน ให้ชาวบ้านกล้าที่จะออกมาใช้สิทธิในรูปแบบต่างๆ ได้

“สิ่งหนึ่งที่หญิงเห็นจากการทำงานในส่วนนี้คือ การสู้ เขาไม่เคยถอย หมายถึงเขาไม่ยอมจำนนกับสิ่งที่ถูกกดทับ สิ่งที่ไม่ถูกต้อง สิ่งที่เขาแสดงให้เห็นมันก็กลายมาเป็นพลังของเราเหมือนกัน”

‘มัน’ คือสิทธิและความตระหนัก

“ไม่เจอกับตัวไม่รู้หรอก” ประโยคนี้มักจะถูกหยิบมาใช้บ่อยครั้งกับสิ่งที่ทำร้ายเรา แต่คนรอบข้างไม่ได้เข้าใจไปกับเราด้วย

แต่ประโยคนี้เป็นจุดเริ่มต้นให้ จอห์น-วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ หันมาสนใจข่าวสารบ้านเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเมืองและการใช้อำนาจของรัฐที่จะส่งผลกระทบต่อตัวเองและประชาชน จนเกิดเป็นรายการ ‘เจาะข่าวตื้น’ และรายการ ‘คุยหาเรื่อง’

จอห์นเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกให้จ่ายภาษีย้อนกลับหลายล้าน จากการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้เขาตั้งคำถามกลับไปยังรัฐว่า “เงินภาษีของเราถูกเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง?” เขาจึงทำรายการ ‘เจาะข่าวตื้น’ ขึ้นมาเพื่อต้องการให้เพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยและคนรุ่นราวคราวเดียวกันหันมาสนใจข่าวสารการใช้อำนาจของรัฐบ้าง

แต่หากจะเล่าแบบปกติธรรมดาก็คงไม่มีใครสนใจ จอห์นเลยเลือกนำเสนอผ่านการเสียดสี ประชดประชันเพื่อให้มีคนมาสนใจแล้วนำไปแชร์ นำไปเล่าต่อ รวมทั้งทำให้คนหันมารู้สึกตื่นตัวและปวดแสบปวดร้อนเวลาได้อ่านข่าวเหล่านี้ จนต้องกดแชร์ต่อทุกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้น ในช่วงแรกรายการกลับไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่นัก

“ยอมรับว่า หลายๆ ครั้งก็ท้อนะว่า ทำไมคนมันยังออกมาเป่านกหวีดกันอยู่ หรือทำไมยังเอาดอกไม้ไปให้รถถัง ไม่รู้สึกหรือว่า การทำรัฐประหาร มันคือการล้มล้างการปกครอง จริงๆ แล้วมันคืออันนี้ต่างหาก หลักการข้อเท็จจริงมันเป็นแบบนี้”

แต่ความหวังของจอห์นก็เพิ่มขึ้น เมื่อในช่วงเวลา 3-4 ปีผ่านมา เขาได้เห็นการตื่นตัวของคนรุ่นใหม่ ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำไปและที่หลายคนกำลังจะทำอยู่ คนสนใจและตระหนักมากขึ้น ความสิ้นหวังที่เคยมีก็หายไป กลายเป็นกำลังใจใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามา

แม้ว่าการมาทำรายการเสียดสีสังคมการเมืองจะทำให้งานในวงการบันเทิงและกลุ่มเพื่อนของจอห์นค่อยๆ หายไป แต่เขาไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านั้นมากนัก เพราะสิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือ เวลาจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์เองว่า สิ่งที่เขาพูดไป จะกลายเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ว่าใครในสังคมก็เห็นได้จริง

“ผมเชื่อว่าเวลามันจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง เพียงแต่ว่าร่นเวลามันหน่อยได้ไหม ด้วยเสียงของเรา”

สำหรับจอห์น การสนับสนุนที่ดีต้องไม่หยุดที่การรีทวีต หรือการแชร์ แต่ต้องแสดงความคิดเห็นของเราออกไปในโลกกว้างด้วยได้เหมือนกัน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาส่งเสียง แล้วสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง

ถึงจะต่าง ‘มัน’ และต่างที่มา สิ่งที่ทั้งห้ามีเหมือนกัน คือ กำลังใจที่ยังคงเต็มเปี่ยมในการผลักดัน ขับคลื่อนสังคมในแบบที่ตนถนัดและเชี่ยวชาญ

….เพราะความหลากหลายคือความแข็งแกร่ง

Tags:

สิ่งแวดล้อมแพทย์สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์นพ.มารุต เหล็กเพชรระบบการศึกษาพลเมืองงานเสวนา

Author:

Related Posts

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    LSED SYMPOSIUM 2019: สัมมนาวิชาการครบรอบ 5 ปี คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ.

    เรื่อง The Potential

  • Everyone can be an Educator
    TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Learning Theory
    แก้ปัญหาวัยรุ่นด้วยงานอาสา: ถูกยอมรับ ทำให้เห็นคุณค่าและศักยภาพที่มีอยู่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    ‘นิทาน’ ภูมิคุ้มกันสมาธิสั้นและซึมเศร้า พ่อแม่ทุกคนคือนักเล่าของลูก

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”
EF (executive function)
23 July 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

หากคิดว่าความคลั่งไคล้แผ่นเพลงโมซาร์ตสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์จะเป็นเรื่องสุดท้าย ลองอ่านเรื่องการสอดไอพอดเข้าไปในช่องคลอดของคุณแม่ตั้งครรภ์เพื่อเปิดเพลงกระตุ้นความฉลาดของลูกน้อยเสียก่อน

ข้อเขียนนี้แปล ถอดความ เก็บความ เขียนใหม่ และเขียนเพิ่มเติมจากบทความเรื่อง ‘Can You Super-Charge Your Baby?’ ของ Erik Vance ตีพิมพ์ในวารสาร Scientific American ฉบับพิเศษ Your Inner Genious, winter 2019 หน้า 72-77

บทความเริ่มต้นดังนี้ เมื่อลูกชายของ เซ็ธ พอลแล็ค อายุได้ 1 ขวบ เขาและภรรยา เจนนี แซฟแฟรน เดินทางไปที่ร้านขายของเด็กใกล้บ้านในเมดิสัน พวกเขาต้องการยางไว้ให้ลูกกัดแค่นั้น ไม่มีอะไรพิเศษ แค่ช่วยบริหารเหงือก แล้วเขาก็พบสินค้าที่ต้องการที่เขียนเอาไว้ว่า “เสริมสร้างกล้ามเนื้อปากและพัฒนาการด้านภาษา”

พ่อแม่ทั่วไปน่าจะสนใจสินค้าชิ้นนี้มาก พัฒนาการทางภาษาเชียวนะ ไม่มีใครอยากให้ลูกพัฒนาการล่าช้า ทุกบ้านกลัวที่สุดคือลูกพูดช้า แต่พอลแล็คและแซฟแฟรนไม่ใช่พ่อแม่ทั่วไป พวกเขาจบปริญญาเอกด้านจิตวิทยาพัฒนาการ และแซฟแฟรนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการทางภาษา

“พวกเราดูยางชิ้นนี้ แล้วก็สตั๊นท์ไป บ้าหรือเปล่านี่ เคี้ยวของเย็นชืดแบบนี้หนึ่งชิ้นถึงกับส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา!”

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของสินค้าที่ไม่มีงานวิจัยรองรับ เรามีช่องว่างระหว่างงานวิจัยที่เชื่อถือได้กับของเล่นกระตุ้นพัฒนาการมากมาย พ่อแม่ทั่วไปย่อมอยากให้ลูกของเราเร็วกว่า ฉลาดกว่า ประสบความสำเร็จมากกว่า แต่มักหลงลืมไปว่าของเย็นชืดชิ้นหนึ่งไม่ทำอะไรวิเศษได้ขนาดนั้นแน่ๆ

พ่อแม่ตัวเป็นๆ เทียบกับของเย็นชืดชิ้นหนึ่ง เรามองข้ามสามัญสำนึกเช่นนี้ไปได้อย่างไร?

แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ว่าถ้าเด็กได้เล่นอะไรสักอย่างในจังหวะที่ถูกต้องเขาจะพัฒนารุดหน้า นี่คือแนวคิดที่ตั้งอยู่บนฐานเรื่องนั่งร้านแห่งพัฒนาการที่ Lev Vygotsky (1896-1934) เรียกว่า Zone of Proximal Development (ZPD) แปลไทยว่าพื้นที่ของขอบเขตพัฒนาการ (คำแปลไทยได้จากหนังสือความรู้ฉบับพกพา จิตวิทยาเด็ก สุภลัคน์ ลวดลาย และ วรัญญู กองชัยมงคล แปล สำนักพิมพ์ Bookscape 2561 หน้า 201) อย่างไรก็ตามขอให้สังเกตด้วยว่าเด็กเป็นประธานของประโยค

เขาเป็นผู้พัฒนาและเขาเป็นผู้กำหนดจังหวะก้าวของการพัฒนาเสมอ

ของเล่นเพื่อพัฒนาการและการศึกษาในอเมริกาเหนือมีมูลค่า 4,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 และยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บนความเป็นจริงที่ว่าพ่อแม่ชาวอเมริกันวิตกกังวลได้ทุกเรื่อง เราให้นมแม่สั้นเกินไปไหม หรือว่าให้นานเกินไป เราเอาลูกเข้าโรงเรียนไหนดี เมื่อไรดี ทุกคนพะวงมากเรื่องลูกคลานช้านั่งช้า ยืนช้า เดินช้า หรือพูดช้า ของเล่นเด็กเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการถูกผลิตออกมาเพื่อลดความวิตกกังวลนี้

อ่านประโยคนี้ดีๆ เพื่อลดความวิตกกังวลนี้ มิใช่เพื่อพัฒนาการเด็ก

เร็วกว่ามิได้แปลว่าจะดีกว่า เป็นคำเตือนที่พ่อแม่ทั่วไปควรใส่ใจ ตัวอย่างเรื่องการเปิดเพลงโมซาร์ตจากแผ่นเสียงคุณภาพดีเป็นที่นิยมกันมากในยุคหนึ่ง ก่อนที่จะพัฒนาต่อมาเป็นแผ่นแปะหน้าท้องเพื่อให้ทารกในครรภ์ได้ยินชัดเจนขึ้นโดยปราศจากเสียงรบกวน ถึงวันนี้เรามี ‘เบบี้พอด’ ที่ใช้สอดเข้าไปในช่องคลอดของมารดานับจากวันแรกที่ปฏิสนธิด้วยคำอวดอ้างว่ากระตุ้นพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสารเริ่มได้ตั้งแต่วันแรก

เป็นความจริงที่ดนตรีมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก แต่ไม่มีหลักฐานว่ามีผลอย่างเดียวกันต่อตัวอ่อน (fetus) ผู้ผลิตสินค้าได้ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสารฉบับหนึ่งว่าดนตรีในช่องคลอดกระตุ้นตัวอ่อนได้มากกว่า แต่ไม่มีข้อยืนยันว่าความมากกว่านั้นจะนำไปสู่เด็กที่ฉลาดกว่า

อ่านถึงตรงนี้ก็ไม่แปลกใจที่ฝรั่งก็นิยมเครื่องรางของขลังเช่นกัน อย่าว่าแต่ดนตรีในช่องคลอดจะไม่นำไปสู่เด็กที่ฉลาดกว่าเลย แต่อะไรที่มากไปจะนำไปสู่อะไรกันแน่ น่าจะสังวรณ์กันเอาไว้ให้มาก

การพูดเป็นพัฒนาการสำคัญ นำไปสู่พัฒนาการด้านการคิดและความจำใช้งาน เด็กที่มีคลังคำมากกว่ามักจะมีพัฒนาการด้านการคิดและความจำใช้งานมากกว่า อย่างไรก็ตามเราพบว่าเด็กแต่ละคนมี ‘ระยะฟูมฟัก’ ก่อนการเบ่งบานของการพูดต่างๆ กัน จริงหรือเปล่าที่ว่าพูดเร็วกว่าจะฉลาดกว่า?

งานวิจัยชิ้นหนึ่งในโอไฮโอในปี 1982 ตอบว่าจริง พูดเร็วกว่าไอคิวสูงกว่า แต่เมื่อนักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ทบทวนรายงานชิ้นนี้ด้วยการควบคุมตัวแปรด้านเศรษฐานะใหม่อีกครั้งหนึ่ง พบว่าไม่จริงที่พูดเร็วกว่าไอคิวจะสูงกว่า มากไปกว่านี้คือพบว่ารหัสไปรษณีย์ (zip code) ต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญ!

ความยากจน ขาดสารอาหาร ความรุนแรง สามประการนี้ก่อความเครียด และความเครียดกระทบพัฒนาการด้านภาษาด้วยการทำให้พูดช้า (delayed speech) เราพบปรากฏการณ์นี้ในครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจน

ความรุนแรงนี้มาจากพ่อแม่ที่ทะเลาะกัน หรืออยู่ด้วยกันโดยไม่พูดกัน สิ่งแวดล้อมเช่นนี้ แอพกี่แอพหรือแผ่นเพลงกี่แผ่นก็ช่วยเหลืออะไรมิได้ เด็กพูดได้ด้วยการมีคนพูดด้วยเท่านั้น มิใช่เครื่องมือสอนหรือเร่งการพูดแต่อย่างใด

แคธี เฮิร์ช พาเซ็ค นักจิตวิทยาการพัฒนาการจากมหาวิทยาลัยเทมเปิลและอดีตประธาน International Congress of Infant Studies พูดถึงสินค้าที่ชื่อ Your Baby Can Read สำหรับเด็กอายุ 3 เดือนถึง 5 ปี ซึ่งประกอบด้วยแฟลชการ์ด วิดีโอ และหนังสือที่อ้างว่าช่วยส่งเสริมการอ่าน ผู้ผลิตสินค้านี้ชื่อโรเบิร์ต ทิตเซอร์ ซึ่งได้ทดลองใช้เครื่องมือนี้กับลูกสาวสองคนตั้งแต่ครั้งยังเป็นทารก โดยที่บริษัทได้เผยแพร่เทปเสียง งานวิจัยที่ไม่ได้ตีพิมพ์ แผ่นกราฟ และหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ เพื่อการโฆษณา

ไม่เพียงเฮิร์ช พาเซ็ค ที่บอกว่าเครื่องเล่นนี้มิได้ช่วยอะไร หน่วยงาน Federal Trade Commission (FTC) ยังได้ฟ้องร้องทิตเซอร์สองคดีด้วยข้อหาการค้าที่มิชอบ

ของเล่นก็เหมือนวิตามิน ต้องมีพอเพียงแต่มากไปมิได้ช่วยอะไร

มากกว่ามิได้ช่วยอะไรคือปัญหาที่เรารู้กันอยู่แล้วนั่นคือแย่งเวลาของพ่อแม่ตัวเป็นๆ ไป แทนที่เราจะได้แตะเนื้อต้องตัวกันมากขึ้นภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่ากว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันก็น้อยอยู่แล้ว ยังเอา ‘ของเล่น’ สารพัดมาขวางทางเราเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นคลิป การ์ด หรือแอพใดๆ ที่อ้างว่าเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ

นักกฎหมายจาก FTC ได้ติดต่อ ซูซาน นิวแมน นักพัฒนาการด้านภาษาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์คให้ทำการวิจัยเปรียบเทียบเด็ก 61 คนที่ได้รับการส่งเสริมการอ่านด้วย Your Baby Can Read กับเด็กที่ไม่ได้รับ 56 คน ด้วยวิธีที่เรียกว่า randomized controlled study และตีพิมพ์ผลการวิจัยในวารสาร Journal of Educational Psychology เปรียบเทียบ 14 ตัวชี้วัดพบว่าผลที่ได้ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามควรบันทึกไว้ว่าพ่อแม่ของเด็กที่ได้รับการกระตุ้นด้วยสินค้าชิ้นนี้ยืนยันว่าแตกต่าง

ทิตเซอร์จ่ายค่าปรับ 800,000 ดอลลาร์ แต่ทุกวันนี้เขายังคงผลิตและขายการ์ด วิดีโอ และหนังสือในชื่อ Your Baby Can Learn ต่อไป เขาอธิบายว่าเด็กๆ ได้ ‘ดู’ หนังสือ แล้วการดูหนังสือมันไม่ดีตรงไหน

เราอยากได้ของเล่นที่ช่วยให้ลูกได้เข้าฮาร์วาร์ด เดวิด บาร์เนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาคณิตศาสตร์สำหรับเด็กได้ทดลองใช้แฟลชการ์ด วิดีโอ เกม และหนังสือการ์ตูนเพื่อฝึกให้ลูกของตนเองบวกลบเลขได้เร็ว เขาพบว่ามันได้ผลแต่แลกมาด้วยทัศนคติไม่ชอบคณิตศาสตร์ตามมาด้วย เขาให้ความเห็นว่าลูกสาวบวกลบเลขได้เร็วขึ้นด้วยเทคนิคด้านการจำมากกว่าที่จะเข้าใจกลไกของคณิตศาสตร์จริงๆ

ยังมีต่อ

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความที่เกี่ยวกับการเล่นของ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ที่นี่:
อ่าน เล่น ทำงาน: พลังของการเล่นสร้าง EF
อ่าน เล่น ทำงาน: ห้ามเล่น = หยุดการสร้างสมองของคุณหนูๆ
อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร
อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร
อ่าน เล่น ทำงาน: เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่
อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ
อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นปาของดีอย่างไร? ดีตรงปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด

Tags:

EFและการศึกษาการเล่นประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงาน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: EF ของหุ่นยนต์ หรือจะสู้ EF ของเด็ก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ห้ามเล่น = หยุดการสร้างสมองของคุณหนูๆ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เช็คอาการ แบบไหนไปหานักจิตวิทยา หนักหนาแค่ไหนไปหาจิตแพทย์?
Family Psychology
23 July 2019

เช็คอาการ แบบไหนไปหานักจิตวิทยา หนักหนาแค่ไหนไปหาจิตแพทย์?

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • แบบไหนไปหานักจิตวิทยา แล้วหนักหนาแค่ไหนถึงต้องไปหาจิตแพทย์ ? คุยกับ ‘เม’ เมริษา ยอดมณฑป นักจิตวิทยาเด็กและครอบครัว เจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ ช่วยอธิบายความเหมือนและแยกความต่างระหว่างนักจิตวิทยากับจิตแพทย์ 
  • พ่อแม่-เด็กเล็ก-วัยรุ่น ทุกคนมีปัญหาสุขภาพจิตได้หมด จึงเป็นที่มาของการเปิด ‘ห้องเรียนครอบครัว’ เพื่อให้การบำบัดเชิงกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและให้ความรู้ครอบครัวโดยใช้จิตวิทยาเชิงบวก
  • “เราไม่สามารถอ่านใจใครได้ เราไม่ได้รักษาเพียงคนไข้จิตเวช เราไม่ได้มีคำตอบให้กับทุกปัญหา” คุณเมบอกว่า ถึงที่สุดแล้ว นักจิตวิทยาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองและเข้าใจผู้อื่นด้วยใจที่เป็นกลาง
ภาพถ่าย: เฉลิมพล ปัญณานวาสกุล

ทุกวันนี้ความเครียด โรคซึมเศร้า ปัญหาสุขภาพจิต เป็นเรื่องใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงาน วัยรุ่น พ่อแม่ เด็กเล็ก ทุกคนสามารถมีปัญหาสุขภาพจิตได้ แม้สังคมยอมรับและเปิดกว้างกับการไปรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ว่าเป็นเรื่องปกติมากขึ้น แต่ก็อาจมีความเข้าใจผิด ความกลัว หรือสับสนว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรขอคำปรึกษา? พ่อแม่คาดหวังมากเกินไป หรือเป็นแค่ความเอาแต่ใจของเด็ก? แล้วมันหนักหนาขนาดต้องไปหาหมอเลยหรือเปล่า?

อีกหนึ่งทางเลือกช่วยรักษาอาการทางใจคือ “นักจิตวิทยา” ที่พร้อมเป็นเพื่อนเคียงข้างรับฟังทุกปัญหา แล้วนักจิตวิทยาแตกต่างกับจิตแพทย์อย่างไร เขาจะช่วยเราบรรเทาอาการทางใจได้อย่างไร ห้องเรียนครอบครัวคืออะไร ‘เม’ เมริษา ยอดมณฑป เจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ จะมาอธิบายใฟ้ฟัง

“นิตยสารการเลี้ยงลูกและตำราเลี้ยงเด็กของคุณหมอต่างๆ” คือหนังสือเล่มโปรดของเม มาตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือออก 

“เราสนใจเรื่องพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย มันน่าแปลกใจที่ผู้ใหญ่อย่างคุณหมอรู้ว่าเด็กต้องการอะไร นอกจากนั้น เมื่อเราชอบ ยิ่งทำให้อยากรู้เกี่ยวกับพัฒนาการ พฤติกรรมของเด็ก”

จนจบ ป.6 จากโรงเรียนเน้นวิชาการทั่วไป ด.ญ.เมริษา จึงเดินเข้าไปบอกพ่อแม่เองว่าต้องการไปเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนทางเลือก พ่อแม่ก็เป็นห่วงว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่

“แล้วที่ผ่านมา เมเคยทำให้เป็นห่วงเรื่องการเรียนไหม” เมื่อคำตอบคือไม่ ด.ญ.เมริษาก็ได้ย้ายโรงเรียนสมความตั้งใจ 

มัธยมปลาย เมมีโอกาสสำรวจความชอบและความสนใจของตัวเองเสมอๆ ตั้งต้นจากการที่โรงเรียนเปิดโอกาสให้นักเรียนชั้น ม.4 ไปฝึกงานที่ตัวเองสนใจในช่วงปิดเทอม ตอนนั้นเมสนใจอาชีพจิตแพทย์ และได้ลองฝึกงานแพทย์ในต่างจังหวัด จนรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะ เพราะกลัวการที่คนไข้อาเจียนมาก (Emetophobia) จึงหันหัวเรือมาที่ ‘นักจิตวิทยา’ 

“น่าจะตรงกับเราเพราะเป็นเรื่องกระบวนการ การติดตามผลต่อเนื่องระยะยาว เห็นพัฒนาการอย่างใกล้ชิดของคนไข้ ตรงกับใจเรามากกว่า” 

จบปริญญาตรีจากคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมไปศึกษาต่อปริญญาโท ด้าน Early Intervention in Psychosis หรือ การป้องกันแทรกแซงก่อนเกิดจิตเวช ที่ King’s College London (KCL) ประเทศอังกฤษ

ปัจจุบัน เมริษา วัย 27 เป็นนักจิตวิทยาเด็กและครอบครัว ก่อตั้งพื้นที่เล็กๆ ร่วมกับ ‘มาร์ค’ สิริสักก์ เจริญรวิภักดิ์ นักกิจกรรมบำบัด ชื่อ ‘ห้องเรียนครอบครัว’ เพื่อให้การบำบัดเชิงกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและให้ความรู้ครอบครัวโดยใช้จิตวิทยาเชิงบวก

และเป็นเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะ ‘เพื่อน’ แปลกหน้า ผู้เคียงข้างและรับฟัง

“นักจิตวิทยาคือคนแปลกหน้าที่พร้อมเป็นเพื่อนร่วมทาง ในวันที่เรายังไม่เจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” คุณเม นิยามไว้เช่นนี้

การป้องกันแทรกแซงก่อนเกิดจิตเวช ที่คุณเมเรียนจบมา มีเนื้อหาคร่าวๆ อย่างไร

ถ้าเป็นสมัยเรียน ‘Early Intervention in Psychosis’ คือการให้การแทรกแซง (ช่วยเหลือ) ป้องกันก่อนการเกิดโรคทางจิตเวช ซึ่งก็คือการทำงานเชิงรุกเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ที่มีแนวโน้มเสี่ยง/มีอาการเริ่มแรกของจิตเวช (First Symptoms of Psychosis) โดยใช้การบำบัดผ่านเครื่องมือทางจิตวิทยา เช่น การให้คำปรึกษา (counselling) การปรับเปลี่ยนความคิดเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 

ประเทศอังกฤษ เขาบอกว่ารายจ่ายที่รัฐบาลจะต้องจ่ายให้กับโรงพยาบาลของผู้ป่วยจิตเวชหรือยาผู้ป่วยจิตเวชมันมหาศาลมาก เลยตั้งศูนย์ Early Intervention มาเพื่อป้องกัน คัดกรองเบื้องต้น (screening) ก่อน ยังไม่เป็น ไม่เป็นไร แต่คุณมีแนวโน้ม เช่น ปัจจัยเสี่ยง ครอบครัว พ่อแม่เป็นโรคซึมเศร้า ลูกก็ควรจะเข้ามาเจอกับเราละ หรือสามารถที่จะทำอะไรเพื่อป้องกันได้ ก็เข้าไปตามโรงเรียน แล้วก็ให้โปรแกรมว่าต้องมีนักจิตวิทยาที่โรงเรียนนะ เพื่อช่วยเหลือเบื้องต้นไม่ให้มันเลยเถิดถึงขั้นต้องกินยาหรือเข้าโรงพยาบาล เพราะโรคจิตเวชเมื่อเป็นแล้วไม่หายขาด ถ้าร่างกายจิตใจอ่อนแอ ในอนาคตก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก

ส่วนแนวทางการทำงานปัจจุบันคือ ‘Early Intevention’ อธิบายสั้นๆ เราทำงานเชิงป้องกัน หมายถึง ป้องกันตั้งแต่เด็ก เช่น 5 ปี โรคสมาธิสั้น หรือโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเข้าสังคม ส่วนใหญ่เราจะพบปัญหากับเด็กประมาณ 5-6 ปี เพราะเด็กอนุบาลยังช่วยเหลือตัวเองไม่เป็น พัฒนาการด้านสังคมบางอย่างยังไม่พัฒนา แต่เด็ก ป.1 ขึ้นไป จะมีการนั่งเรียน สื่อสารกับเพื่อน การทำโครงงาน เลยทำให้การวินิจฉัยโรคจะเกิดชัดในช่วงนี้ 

ความแตกต่างระหว่างจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคืออะไร

1. การเรียนต่างกัน นักจิตวิทยาเรียนเป็นวิทยาศาสตรบัณฑิต หรือบางทีก็เป็นศิลปศาสตร์ ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยและหลักสูตร แต่จิตแพทย์ต้องจบแพทย์ แล้วเรียนต่อเฉพาะทางด้านจิตแพทย์

บางที่ถ้าเป็นจิตเวชผู้ใหญ่อาจจะเรียนจำนวนปีน้อยกว่าจิตแพทย์เด็ก เช่นที่สหรัฐอเมริกา จิตแพทย์เด็กจะเรียนนานกว่า แต่ถ้าเป็นนักจิตวิทยา ในเมืองไทยจบปริญญาตรีสาขาจิตวิทยาคลินิก แล้วฝึกงานจบก็ไปสอบ license ได้ หรือบางทีก็จบ ปริญญาตรีแล้วไปต่อปริญญาโท เช่นที่มหิดล (คณะแพทยศาสตร์ สาขาจิตวิทยาคลินิก) ฝึกงานจบแล้วก็สอบ license ได้ แต่ของเมไปเรียนโทที่อังกฤษ ทางเดียวที่จะสอบ license ได้คือจบปริญญาเอก​ Doctoral of Clinical Psychology เท่านั้น

2. ถ้าเป็นจิตแพทย์ ชัดๆ เลยคือสามารถจ่ายยาได้ แต่นักจิตวิทยาจ่ายยาไม่ได้ ยกเว้นบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เฉพาะรัฐนิวเม็กซิโกและหลุยส์เซียนา นักจิตวิทยาคลินิกสามารถจ่ายยาได้ แต่ที่ประเทศไทยไม่ได้เด็ดขาด

3. แพทย์สามารถสั่ง process บางอย่างที่ต้องใช้เครื่องมือได้ เช่น ECT-Electroconvulsive Therapy เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ช็อตไฟฟ้า (วิธีการรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นต่ำผ่านสมองในระยะเวลานั้นๆ เพื่อกระตุ้นให้สารสื่อประสาทภายในสมองกลับมาหลั่งตามปกติ) แต่นักจิตวิทยาทำไม่ได้ แต่นักจิตวิทยาจะใช้เครื่องมือในเชิงบำบัด (therapy) คนไข้มากกว่า เช่น การพูดคุย (counselling), play/art therapy กับเด็ก, psycho therapy ฯลฯ การบำบัดจะมีหลายทฤษฎีมากๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะถนัดสายไหน ซึ่งเมจะไปทางด้านเด็ก ตอนจบปริญาโทเลยเรียนต่อด้าน play therapy เหมือนไปเรียนเครื่องมือเพื่อช่วยเยียวยา บรรเทา และช่วยป้องกันแทรกแซงก่อนเกิดจิตเวชในเด็ก

4. แพทย์จะให้คำวินิจฉัยได้ เช่น คุณเป็นโรคอะไร แต่นักจิตวิทยาจะช่วยคัดกรองโรค (screening test) เพื่อตัดข้อบ่งชี้ว่าไม่ใช่โรคนี้นะ ตัดข้อที่เป็นไปได้ทั้งหมดเพื่อช่วยแพทย์วินิจฉัยได้ชัดเจนว่าเป็นโรคนี้แน่ๆ ถ้าอธิบายสั้นๆ แบบโรคทางกายว่า คุณน้ำมูกไหล ไม่ได้เป็นเพราะไซนัสหรือเป็นภูมิแพ้นะ แต่เป็นเพราะว่าคุณเป็นหวัด คือนักจิตวิทยามีหน้าที่ตัดเรื่องไซนัส ภูมิแพ้ออก แล้วแพทย์ก็วินิจฉัยว่าเป็นหวัด

เพราะนักจิตวิทยาอาจจะมีเวลาสังเกตและประเมินคนไข้มากกว่าจิตแพทย์ จึงมีโอกาสมองคนไข้แบบองค์รวมมากขึ้น

ถ้าสงสัยว่าตัวเองจะเป็นซึมเศร้า เราสามารถไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา คนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวได้ไหม หรือจำเป็นต้องไปควบคู่กัน

นำมาสู่ข้อ 5 ค่ะ จิตแพทย์จะดูว่าอาการนี้เป็นซึมเศร้าหรือเปล่า ระดับความรุนแรงเป็นอย่างไร คือจิตแพทย์ นักจิตวิทยาจะอยู่ในโซนนี้เลย ถ้าโรคมันรุนแรง (severe) มาก ในลักษณะ brain injury สมองได้รับความกระทบกระเทือน ส่งผลให้สารเคมีในสมองหลั่งผิดปกติ จนส่งผลต่อบุคลิกภาพ (personality) หรือโรคที่ค่อนข้างร้ายแรงที่เกิดชัดเจนทางร่างกายซึ่งส่งผลต่อจิตใจ/จิตใจส่งผลต่อร่างกายแล้ว ถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย จิตแพทย์ต้องดูแลก่อน อาจจะต้องใช้ยาปรับสารเคมีในสมองด้วย หรือจะต้องแอดมิท จิตแพทย์ก็ต้องดูแล

แต่พอแพทย์ดูแลจนดีระดับหนึ่งแล้ว คนไข้สามารถรับฟังและควบคุมตนเองได้ดีระดับหนึ่ง เมื่อคนไข้ต้องการกลับไปใช้ชีวิตปกติ ระยะนี้นักจิตวิทยาจะมาช่วยดูแล คล้ายๆ ว่า ถ้าคนโดนรถชนมา แพทย์จะดูแลให้พ้นขีดอันตราย แต่พอจะให้กลับไปเดินได้ก็เป็นงานของนักกายภาพบำบัด ก็คือนักจิตวิทยา

ดังนั้นจิตแพทย์และนักจิตวิทยาต้องทำงานร่วมกัน แพทย์จะได้รับการสอนว่าจะต้องรักษาอาการที่อันตรายต่อคนไข้ก่อน เหมือนถ้าเราเป็นแผลมาแพทย์ต้องเย็บเดี๋ยวนี้ แล้วหลังจากนั้นการช่วยให้คนไข้ปรับตัวเข้าสู่ชีวิตปกติ นักจิตวิทยาจะมาช่วย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้าน ความสัมพันธ์กับผู้อื่น/ครอบครัว, ปรับตัวเข้าสู่สังคม, ปรับความคิดเพื่อปรับพฤติกรรม เป็นต้น

มีจิตแพทย์ที่สามารถทำหน้าที่เป็นนักจิตวิทยาได้ด้วยไหม

งานของเราอาจจะเป็นชิ้นเดียวกันแต่คนละขั้นตอน คนไข้คนเดียวกันแต่ดูแลคนละช่วงเวลา

จิตแพทย์จะเรียนมาเพื่อรักษา เช่น เรื่องของสารเคมีในสมอง แพทย์บำบัดรักษาได้ แต่ในระยะยาว การที่จะปรับคนคนหนึ่งให้เข้าสู่สังคม จะมีมากกว่านั้น เช่น การสื่อสาร เข้าใจคนอื่น การปรับตัวสู่สังคม/ความสัมพันธ์/ความหมายของการมีชีวิตอยู่ เพื่อช่วยให้เขาไม่กลับสู่วงจรเดิมที่เลวร้ายอีก นักจิตวิทยาจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในส่วนนี้

ลงลึกถึงเนื้องานของนักจิตวิทยา น่าจะเริ่มจากการฟังก่อนใช่ไหมคะ

จริงๆ การฟังเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะมนุษย์เราเกิดมาเพื่อพูด การฟังมีหลายระดับ เช่น การฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening) , การฟังธรรมดา 

ถ้าเราอยากจะฟังเพื่อช่วยเขาแก้ปัญหาก็เป็นการฟังในระดับทั่วไปหรือระดับธรรมดา เช่น ลูกมาปรึกษาแม่ว่าหนูมีปัญหาเรื่องทำโครงงาน อันนี้เราก็ฟังเขาแล้วก็ช่วยคิด แม่ว่าลองทำแบบนี้ไหม 

การฟังระดับธรรมดาจะใส่ความเป็นตัวเองลงไปด้วย เช่น ข้อแนะนำหรือใส่ความเห็นของเราลงไป ถามว่ามีประโยชน์ไหม ก็มีประโยชน์ในกรณีที่เขาขอความช่วยเหลือและให้ช่วยแก้ปัญหา แต่มันจะไม่มีประโยชน์และอาจจะเป็นผลเสียมากถ้าเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือหรือแก้ปัญหา อันนั้นอาจต้องเป็นการฟังแบบ deep listening 

กรณีนี้เขาต้องการให้ฟังเพื่อบรรเทา ต้องการระบายออก ไม่ต้องการความเห็นเรา เช่น ถ้าคนไข้คนหนึ่งจะฆ่าตัวตาย แล้วมาบอกว่า เฮ้ย มันเหนื่อยมากเลย ชีวิตไม่ไหวแล้ว แล้วเราไปพูดว่าแกต้องสู้สิ ฉันยังสู้มาได้แล้วเลย เขาก็บอกว่า เราสู้มาเต็มที่แล้วแกไม่เห็นเหรอ คือบางครั้งเราเอาตัวเราไปตัดสินว่าเขายังสู้ไม่พอ ทั้งๆ ที่เขาสู้มานานแล้ว ความเข้มแข็งทางใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่าใช้ตัวเราตัดสินใคร

การดูแล้วก็ตัดสินโดยใช้ความเห็นเรา นั่นคือการฟังแบบธรรมดา แต่ถ้าเป็น deep listening เราจะคิดว่าเขามีเหตุจำเป็น มีเหตุผลที่จะต้องทำแบบนั้น ดังนั้น deep listening คือเคียงข้างอย่างปราศจากอคติ เราเป็นกระจก อันนี้จะเป็นหน้าที่นักจิตวิทยาส่วนใหญ่ เราฟังแล้วสะท้อนในสิ่งที่จำเป็นและสำคัญเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายมองเห็นตัวเองและปัญหาได้ชัดเจนขึ้น

ทำไมการมองเห็นตัวเอง จะช่วยให้เขาแก้ปัญหาของตัวเองได้

คนไข้อาจจะเหมือนพายเรืออยู่ในอ่าง แต่เขาไม่รู้ตัว ถ้าเราเป็นกระจกสะท้อนให้เขามองเห็นตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาจะรู้ตัวและหาวิธีขึ้นมาจากอ่างนั้นเอง 

แล้วทำไมเราไม่ช่วยเขาให้ขึ้นมาเลยล่ะ? การที่เขาขึ้นมาเอง ตัวเขาได้เลือก (individual choice) และทำมันเอง เขาจะกลายเป็นผู้ควบคุมชะตาชีวิตของเขาเอง ไม่ใช่เรา แต่เราจะเคียงข้างจนกว่าเขาจะเจอคำตอบหรือแสงสว่าง

deep listening จึงเป็นการเคียงข้าง รับฟัง และสะท้อนตัวตนของเขา อันนี้จะเป็นการบำบัดอย่างหนึ่งด้วยซ้ำ เพื่อให้คนไข้รู้ตัวว่าเขาเป็นยังไง

deep listening จึงต่างกับการฟังเพื่อช่วยแก้ปัญหา เราไม่ได้ให้ความเห็นหรือแนวทางใดๆ เลย เพราะแต่ละคนมักมีคำตอบในใจ และรอที่จะเดินไปหาคำตอบนั้น เพียงแค่เวลานี้เขายังไม่พร้อมเดินไปข้างหน้า แต่มันมีประโยชน์กับคนที่ต้องการระบายออก บางทีเราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าคนที่มาอยู่ข้างๆ เรา

อาจารย์จะชอบยกตัวอย่างว่า คนหนึ่งกำลังจะฆ่าตัวตาย มีเพื่อนสองคนเดินเข้ามา เพื่อนคนแรกบอกว่า เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไปวัดกับเรา มันดีขึ้นแน่นอน เชื่อเราสิ กับคนที่สองมาแล้วพูดแค่ว่า อืม มันเหนื่อยเนอะ แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่าแกจะทำอะไรเราจะอยู่ข้างๆ แกเอง นั่นคือคำที่นักจิตวิทยาใช้

ในกรณีที่เราประเมินแล้วว่า เขามีแนวโน้มจะทำร้ายตัวเองจริงๆ (มีอุปกรณ์พร้อมหรือเราสู้แรงเขาไม่ได้) เราจะติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลแผนกฉุกเฉินทันที หรือ พาเขาไปโรงพยาบาลทันที)

วิธีทั้งสองให้ผลแตกต่างกันอย่างไร

แม้เพื่อนทั้งสองจะหวังดีกับเพื่อนคนนี้ทั้งคู่ แต่เพื่อนคนแรกนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ซึ่งข้ามขั้นตอนและยังไม่เหมาะสมกับเวลาดังกล่าวเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามวิธีการแก้ปัญหาก็ควรจะเกิดจากเจ้าตัวเลือกเอง เราควรเพียงเสนอทางเลือก แต่ไม่ควรยัดเยียดแนวทางของเราให้ใคร

‘การนั่งสมาธิ’ เป็นอีกหนึ่งในวิธีการแก้ปัญหาที่ดีเพื่อให้เรามีสติรู้เท่าทันอารมณ์และจัดการอารมณ์นั้นได้ดีขึ้น นอกจากนี้มีอีกหลายๆ วิธีแก้ปัญหาที่สามารถช่วยเราได้ และได้ผลระยะยาว

แต่ ณ ขณะที่คนคนหนึ่งกำลังจะฆ่าตัวตาย สิ่งที่คนคนนั้นต้องการอาจจะไม่ใช่ ‘วิธีแก้ปัญหา’ แต่เป็น ‘การรับฟัง’ และ ‘การเคียงข้าง’ เพื่อเยียวและบรรเทาความหนักหนาทางใจก่อน จากนั้นเราจะมุ่งช่วยชีวิตคนคนนี้ 

จิตแพทย์สามารถช่วยจ่ายยาปรับสารเคมีในสมองก่อน หลังจากนั้นจึงมาหาทางออกร่วมกัน นักจิตวิทยาอาจจะช่วยเสนอทางเลือกต่างๆ ระหว่างทางก็ช่วยกันปรับเปลี่ยนความคิด สะท้อนตัวตนให้เขามองเห็นตัวเองและปัญหาได้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้เขาได้เลือกวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่นักจิตวิทยาที่จะเลือกให้กับเขา

วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด สำหรับแต่ละคนอาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้ แต่วิธีนั้นนำพาเราไปสู่ ‘ตัวตนที่เราชอบมากขึ้น’ เรารักและเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้นก็เพียงพอแล้ว

เมื่องานของนักจิตวิทยาเริ่มจากการฟัง แต่ละเคสก็จะมีวิธีการบำบัดที่แตกต่างออกไป อยากให้คุณเมเล่าเนื้องานคร่าวๆ ให้ฟัง

บางครั้งเด็กไม่พร้อม แต่ผู้ใหญ่คาดหวังให้เขาพร้อม

งานเราคือการเข้าหา บางทีก็แค่อยู่เฉยๆ เช่น วันนี้ เด็กบางคนไม่พร้อมเรียน เราก็โอเค หนูไม่พร้อมเรียน พร้อมเมื่อไหร่หนูก็ลุกขึ้นมา เราไม่ได้เร่งรัด มันเป็นขั้นตอนที่เร่งรัดไม่ได้ แต่ถ้าเกิดความสัมพันธ์แล้วมันจะเกิดไปตลอด แปลว่าเราพูดอะไร มันเกิดการเชื่อใจ เกิดการวางใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเราจะไม่ทำร้ายเขา เราจะไม่ทำอะไรที่เขาจะรู้สึกแย่ หลายคนไม่เชื่อใจใคร เข้ามาเขาก็นั่งเงียบๆ แล้วก็นั่งเขี่ยโต๊ะ เราก็นั่งดูเขา บางทีเราสะท้อนผล เขาเขี่ยมา เราก็เขี่ยมั่ง เขาก็หันมาดูว่าเราทำอะไร สักพักเขาลองจับหน้า เราก็จับหน้าบ้าง เขาก็ดู 

เราให้ความสนใจเขาร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ไม่ใช่แบบอึดอัด เป็นการสะท้อนและสร้างความสัมพันธ์ทางกาย บางทีไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่เรื่องของการฟัง เป็นการรับมือว่าเขามีตัวตนนะ เขาคือตัวตนที่มีค่าที่สุดในห้อง เขาได้รับความสนใจร้อยเปอร์เซ็นต์จากเรา อันนี้คือในเด็กนะ ในผู้ใหญ่จะไม่เหมือนกัน

ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่ เขาจะเข้ามาหาเราแล้วพูดเยอะมาก สิ่งที่เขาจะไม่พูดเลยคือสิ่งที่เก็บไว้ในใจ จะพูดทุกอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ในใจ จนกว่าเขาจะเชื่อใจเรา เขาจะพูดสิ่งนั้นออกมา

แต่ในเด็กตรงกันข้าม ถ้าเขาไม่อยากพูดก็จะไม่พูดออกมาเลย ซื่อตรงกับความรู้สึก เด็กจะดีตรงที่เราสามารถเข้าถึงเขาง่ายกว่า ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ ไม่อยากทำก็จะพูดเลยว่าไม่อยากทำ ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่การจะทำให้เด็กเชื่อใจเรา ต้องใช้เวลา และเราต้องเฟิร์ม ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กทำอะไรก็ได้ อะไรที่เป็นกรอบของเรา เช่น ไม่ปีนโต๊ะ เราก็แค่บอกว่า ลงมาค่ะ แล้วจับเขาลงมา หรือเด็กบางคนที่เข้ามา เขาพยายามทำร้ายตัวเอง ก็พูดชัดๆ ไปเลยว่าครูเมจะกอดหนูไว้ จนกว่าครูเมจะแน่ใจว่าหนูจะไม่ทำให้ตัวเองเจ็บ ถ้าหนูพร้อมครูเมจะปล่อย

พอเด็กเริ่มเชื่อใจ ขั้นที่สองคือจับคู่ตัวเรากับความสุข ความสนุก เช่น เจอหน้าเราก็ เฮ้ย เดี๋ยวจะได้เล่นอะไรสนุกๆ แล้ว อันนี้ใช้กับพ่อแม่ก็ได้ คือจับคู่ตัวเรากับสิ่งที่มันสนุก ถ้าตัวเราไม่สนุกหาอะไรที่เด็กชอบแล้วเอามาเล่นกับเรา ทุกครั้งที่จะเล่นปราสาททรายจะต้องมีครูเม ทุกครั้งที่จะเล่นของเล่นชิ้นนี้ต้องมีแม่ ทุกครั้งที่จะอ่านหนังสือเล่มโปรดจะต้องมีเรา

พอเขารู้สึกว่าความสุข สนุกมันคู่กับเรา เราจะเริ่มสอนเขาได้ละ เริ่มจากสอนในสิ่งที่ง่ายๆ ก่อน แล้วค่อยเริ่มกลางๆ ระดับเดียวกับเขา แล้วค่อยพัฒนา เราไม่ได้เอาเกณฑ์มาตรฐานมาเริ่มกับเขา แต่จะดูว่าเขามีพื้นเท่าไหนก็เริ่มเท่านั้นไปก่อน

แต่ถ้าเป็นเรื่องการรับฟัง เราจะเริ่มจากการไม่ถามคำถาม เขาอยากเล่าอะไรเราฟัง แล้วเขาถามอะไรเรา เราจะพยายามสะท้อนสิ่งที่สำคัญกลับไป (reflection)

เด็กๆ ส่วนใหญ่ที่เจอจะไม่ค่อยคุยกับพ่อแม่ แต่พอมาเจอเรา เขาก็รู้สึกอยากจะคุยเพราะ หนึ่ง เรารักษาความลับเป็น สอง เราไม่ตัดสินเขา เราฟังอย่างเป็นกลาง เวลาเขาบอกว่าอย่าบอกพ่อแม่นะ เราก็บอกว่ามีข้อแม้ข้อเดียวคือถ้ามันไม่เป็นอันตรายต่อคนอื่นหรือตัวเอง ครูเมก็จะไม่บอก นี่เป็นจรรยาบรรณ 

เป็นการรักษาความลับ คำไหนคำนั้น เรารักษาสัญญาเสมอ เช่น เด็กบอกว่า อาทิตย์หน้าอยากอ่านนิทานเล่มนี้เราจะไม่มีวันลืม การรักษาสัญญาทำให้เด็กเชื่อใจเรา

หนึ่งเริ่มสร้างความสัมพันธ์ สองจับคู่ความสุข ขั้นตอนหลังจากนั้นคืออะไร

ขั้นแรกสร้างความสัมพันธ์ สองจับคู่ตัวเรากับสิ่งที่มีความสุข สามเริ่มจากดีมานด์ที่เล็กไปสู่ดีมานด์ที่ใหญ่ สี่คือเรื่องของคำไหนคำนั้น แล้วสุดท้ายคือเรื่องของการรอคอยและอดทน แปลว่าถ้าเราทำซ้ำๆ แล้วผลยังไม่เกิด ก็จงทำต่อไป แต่ถ้าไม่ได้ผลที่ดี เราก็ต้องมาคิดทบทวนแล้วว่าสิ่งที่เราทำไปมันมีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า หรือมีอะไรที่ต้องต่อยอดหรือเปล่า 

คนไข้ที่เข้ามาหาคุณเม มาได้อย่างไรบ้าง

ก่อนเปิดห้องเรียนครอบครัว เราก็ติดต่อไปที่โรงเรียนว่าเราขอเข้าไปทำเวิร์คช็อปกับพ่อแม่ได้ไหม ประจวบเหมาะว่าเขากำลังต้องการพอดี เคสแรกคือเด็กวัยรุ่น ม.4-ม.5 พ่อแม่ไม่เชื่อใจลูก ค่อนข้างสอดส่องทุกกระเบียดนิ้ว เด็กเลยไม่อยากกลับบ้าน ไปอยู่บ้านเพื่อนแล้วไม่กลับบ้านเลย แต่เขาเป็นเด็กเรียนดี เรานัดเขาที่สยาม คุยกัน จนเขาเชื่อใจ ยอมกลับบ้าน ขอให้พ่อทำตาม สุดท้ายเด็กคนนี้ก็ดีขึ้น ไม่ต้องการเราแล้ว

จากนั้นก็เป็นวัยรุ่นที่เป็นสมาธิสั้น เขามีปัญหาการปรับตัวเข้ากับสังคม เราเลยคุยกับพ่อแม่เขาว่าเราไม่สามารถช่วยให้ลูกฉลาดขึ้นหรือทำงานวิชาการเก่งขึ้นนะ แต่ให้เขามีความสุขกับชีวิตเขามากขึ้น โอเคไหม ถึงแม้ว่าเขาจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ พ่อแม่ก็โอเค

เราช่วยให้เขาค้นหาตัวเองเจอ เพราะการที่เขาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ บางทีสังคมนั้นอาจจะไม่ได้เหมาะกับเขาแต่เราพยายามฝืนดันเขาเข้าไปในสังคมเล็กๆ อย่างมหาวิทยาลัย พ่อแม่ก็เลยเก็ทว่าจริงๆ เขาดันลูกเข้าไปในสังคมที่ไม่ใช่ตัวเขาเลย ตอนนี้ก็ดีขึ้น จากนั้นเขาก็เลยบอกปากต่อปากไปว่าครูเมสามารถช่วยเด็กๆ ได้ เด็กๆ ค่อนข้างเชื่อใจกันแล้วก็ไปคุยกับเพื่อน เพื่อนเขาก็มาเจอเรา

แต่ที่มันไปได้ น่าจะเป็นเคสเด็กเล็กที่ได้มาจากการไปทำเวิร์คช็อปเรื่องเล่นกับธรรมชาติ เด็กอนุบาลสองคนหนึ่งไม่กล้าเหยียบหญ้า เราก็ เอ๊ะ มันเกิดอะไรขึ้น จริงๆ การที่เด็กไม่กล้าเหยียบหญ้ามีหลายสาเหตุ หนึ่งคือขาดประสบการณ์ สองคือปรับตัวกับสภาพแวดล้อมไม่ได้ แล้วเขาค่อนข้างเป็นเด็กขี้อายมากแต่อารมณ์รุนแรง คุณแม่เลยพามาหาเรา จากนั้นก็เข้ามาเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่คือปากต่อปาก

ที่เข้ามาก็มีทั้งพ่อแม่และเด็ก?

เพราะเราเน้นสอนพ่อแม่ คือถ้าเด็กมาเรียน พ่อแม่ต้องมาเรียนด้วย นั่งคุยกับพ่อแม่เป็นชั่วโมง ช่วงหลังๆ เริ่มรู้สึกเหนื่อย พ่อแม่อาจจะมองว่าเหมือนไปส่งลูกเรียนเฉยๆ ไม่ได้เหรอ ทำไมตัวเองต้องมานั่งเรียนด้วย

ที่เมืองไทยพ่อแม่จะชินกับศูนย์ที่เป็นเนิร์สเซอรี ที่เรียนพิเศษ ที่ส่งเด็กไว้แล้วพ่อแม่ก็ไป แต่พอมาเจอเราพ่อแม่จะงงๆ เราให้พ่อแม่ทำการบ้าน เช่น ทำตารางเวลาของลูกกับที่บ้านมา เหมือนไม่สะดวก ไม่มีทางลัดให้เขา ไม่เห็นผลลัพธ์เร็วๆ พ่อแม่ผู้ปกครองก็เลือกไปที่อื่น เพราะเมเน้นกระบวนการที่เกิดในความคิด ในเนื้อตัว ซึ่งจะยั่งยืนกว่าเน้นผลลัพธ์ แต่มันเกิดช้ากว่า บางทีไม่ทันใจพ่อแม่

เพราะเราเน้นลงมือทำ พ่อแม่ต้องมาทำกับเรา “เปลี่ยนลูก พ่อแม่ต้องเปลี่ยนด้วย” ส่วนพ่อแม่ที่อยากให้ลูกเปลี่ยน โดยที่ตัวเองไม่ต้องเปลี่ยนอะไร มันทำไม่ได้ หรือถ้าทำได้จะไม่ยั่งยืน

เมเรียนเป็น Family Counselling – เรียนทั้งระบบครอบครัวมา เรารู้ว่าถึงจะเปลี่ยนเด็กได้ เขาก็จะเปลี่ยนแค่ที่นี่ ดีกับเรา แต่พอกลับบ้านไปเขาก็เหมือนเดิม ปู่ย่าตายายก็ยังป้อนข้าว เด็กก็อ้าปากรอรับข้าวเหมือนเดิม 

ถึงจุดไหนที่พ่อแม่ควรสงสัยได้แล้วว่า แบบนี้เพียงพอที่จะเดินเข้าไปหานักจิตวิทยาหรือยัง

หนึ่ง เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติสุข คือเรามีช่วงเวลาที่ทุกข์มากกว่าช่วงที่มีความสุข ในหนึ่งวันเราว้ากไปซักกี่หน ความจริงหนึ่งครั้งต่อวันก็ถือว่าเยอะแล้ว

สอง เราไม่สามารถจัดการลูกเราได้ เราไม่สามารถควบคุมตัวเองให้มีสมาธิหรือรู้สึกปล่อยวางได้ แค่นี้ก็ปรึกษาได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเกิดปัญหาใหญ่โตว่าลูกทำอะไรที่อันตรายต่อตัวเอง หรือจริงๆ ไม่มีอะไรเลย แต่มาขอคำแนะนำในการเลี้ยงลูกก็ได้ เราค่อนข้างยินดี

ส่วนใหญ่นักจิตวิทยาจะดีใจมากถ้าพ่อแม่ให้ความสำคัญกับพัฒนาการเด็กหรือว่าอยากรู้แนวทางในการเลี้ยง เราเอาลูก เอาวิถีชีวิตของเรามาปรึกษา เราก็จะได้ลักษณะการเลี้ยงดูที่เหมาะสมกับครอบครัวเรา แต่เราก็บอกว่าที่ให้คำแนะนำไปบางทีมันเหมาะกับครอบครัวคุณแม่นะ แต่ไม่เหมาะกับครอบครัวอื่น แค่เด็กก็ไม่เหมือนกันแล้ว 

ก่อนจะมาหานักจิตวิทยา คนในครอบครัวจะช่วยอะไรก่อนได้ไหม ​

แม่ส่วนใหญ่ เจอปัญหาลูกไม่ฟัง ไม่ว่าจะทำพฤติกรรมอะไรก็จะไม่ฟัง ไม่ทำตามคำสั่ง ดังนั้น ข้อแรกต้องดูว่าเด็กไม่ฟังเรามาจากสาเหตุอะไรบ้าง หนึ่งเราคาดหวังเกินวัย เกินความสามารถเขาหรือเปล่า เช่น คาดหวังให้ลูกเงียบ นั่งฟัง อันนี้อาจจะไม่ตรงวัยเขาละ แสดงว่าอาจจะผิดที่เรา ไม่ใช่ผิดที่ลูก

สอง ถ้าคาดหวังตรงตามวัยเขา แต่เขาก็ยังไม่ฟัง เช็คได้เลยว่าความสัมพันธ์ของเรากับลูกช่วงนี้เป็นยังไง มีช่วงเวลาดีๆ กับเขามากกว่าช่วงที่ไม่ดีหรือเปล่า ถ้าไม่มีให้รีบสร้างช่วงเวลาดีๆ เพราะถ้าเด็กรู้สึกรักหรือรู้สึกดีกับใคร เขาจะค่อนข้างฟัง คือพิสูจน์มาด้วยตัวเองว่า เด็กๆ เวลาอยู่กับเราเขามีความสุข ต่อให้ขอให้เขาทำสิ่งที่ไม่ชอบ เขาก็ยินดีทำ พร้อมที่จะเรียนรู้

ข้อสุดท้าย เช็คว่าเขามีอาการทางกายอะไรหรือเปล่า พัฒนาการเขาปกติหรือไม่ เพราะเด็กที่พัฒนาการล่าช้ามักประสบปัญหาในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เขามีปัญหาพฤติกรรม เช่น ช่วงนี้ผื่นขึ้นเลยหงุดหงิด หรือฟันขึ้น ฟันโยก หรือไม่สบาย ปวดหู อะไรแบบนี้ มันก็ส่งผลต่อจิตใจเหมือนกัน เช่น เวลาผู้หญิงเราเมนส์มาก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น เราก็ต้องเช็คด้วยว่ามีอะไรทางร่างกายที่ทำให้ลูกเรารู้สึกไม่ดีหรือเปล่า

ถ้าเช็คสามข้อนี้แล้วยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ปรึกษานักจิตวิทยาก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แก้แค่ข้อแรกกับข้อสองก็โอเคแล้ว

สามข้อนี้แก้กันได้ในบ้าน?

ใช่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้น แล้วที่สำคัญคือแนวทางเลี้ยงดูเป็นไปในแนวทางเดียวกันหรือเปล่า ไม่ใช่ปู่ย่าเลี้ยงแบบนึง พ่อแม่เลี้ยงอีกแบบนึง เด็กเกิดความสับสนในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ก็ทำให้เขาทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมหรือทำในสิ่งเราไม่ได้ต้องการเหมือนกัน 

เด็กที่เข้ามาบำบัด มีหลากหลายเคส คุณเมพอจะอธิบายอาการคร่าวๆ ได้ไหมคะ

ตอนนี้จะเป็นเด็กอนุบาลส่วนใหญ่ เพราะ early intervention เราเชื่อว่า ในเด็ก 3-6 ขวบกราฟ EF ในสมองจะพุ่งขึ้นจะชัดมาก แต่หลังจากนั้นจะเริ่มเรียบ ตรงนี้คือช่วงพัฒนาการสมองเด็กที่จะใส่อะไร จะเปลี่ยนอะไร มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น เราบอกให้เขาเปลี่ยนวันนี้ พรุ่งนี้เขาก็เปลี่ยนแล้ว แต่ถ้าเด็กเจ็ดขวบขึ้นไป เราบอกเขาวันนี้ อาจจะใช้เวลามากกว่าสี่เท่าถึงจะเปลี่ยน 

ส่วนใหญ่จะบอกพ่อแม่ที่เป็นเด็กเล็กเลยว่าให้รีบมา เราจะได้รีบปรับกัน เพราะว่าก่อนหกปียังไม่วินิจฉัยโรค ส่วนใหญ่จะวินิจฉัยว่าเป็นสมาธิสั้น เป็นออทิสซึม อันนั้นถ้าบางอย่างเกิดจากพฤติกรรม เกิดจากสภาพแวดล้อม เราเปลี่ยนเขาก่อนจะเป็นโรค ป้องกันได้ ครูเมจะเน้นและพุ่งเป้าไปที่เด็กเล็ก เด็กบางคนไม่มีความสุขกับการไปโรงเรียน เพราะเขาทำอะไรไม่ได้เหมือนเพื่อน พฤติกรรมถดถอย แต่พ่อแม่ไม่ทำอะไร รอจนหกปีแล้วค่อยทำ ความมั่นใจมันเสียไปแล้ว ดังนั้นเราก็เลยเน้นช่วงนี้ ถ้าเราทำได้จะเปลี่ยนเขาไปเลย เปลี่ยนพ่อแม่ด้วย

ส่วนในเด็กโต บุคลิกภาพและตัวตนเขาเริ่มชัดเจนแล้ว เรียกว่ามันแทบจะเสถียรแล้ว สิ่งที่เราทำได้คือ ทำยังไงให้เขามีความสุขกับชีวิตปกติ และทำสิ่งต่างๆ ที่ควรทำได้ตามวัยของเขา

เด็กเล็กส่วนใหญ่ที่เข้ามาคุณเม มาด้วยสาเหตุอะไรบ้าง

ส่วนใหญ่มาด้วยปัญหาเอาแต่ใจ พ่อแม่อยากเสริมความมั่นใจลูก

แต่จริงๆ การเอาแต่ใจก็เกิดจากการที่พ่อแม่ไม่มีตารางเวลา ไม่มีวินัยที่บ้าน และไม่ให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองตามวัย เลยเอาแต่ใจ เพราะรู้สึกว่าต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา แต่พอพึ่งพาคนอื่น คนอื่นทำไม่ได้ตามที่เขาต้องการและทำไม่ทันใจ เขาก็เลยหงุดหงิด เอาแต่ใจ 

การที่ช่วยเหลือตัวเองได้ก็เป็นการสร้างความมั่นใจเวลาไปโรงเรียน เช่น เด็กเช็ดก้นไม่ได้ก็อั้นอึ เด็กบางคนอั้นอึมาทั้งวันเพื่อมาอึที่คาบครูเม เพราะอึที่นี่รู้สึกปลอดภัย ดังนั้นการช่วยเหลือตัวเองไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าทำไม่ได้มันส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ ต่อความสุขของเขา 

พ่อแม่ไม่รู้ว่าที่ลูกไม่มั่นใจเวลาไปเจอคนแปลกหน้า ไม่กล้าเข้าไปคุย เพราะไม่ให้ลูกช่วยเหลือตัวเองเลย ดังนั้นเด็กที่ไม่ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่มีความมั่นใจอยู่แล้ว อยู่ดีๆ จะให้ไปผูกเชือกรองเท้าต่อหน้าเพื่อน เขาทำไม่ได้

รวมถึงพ่อแม่ที่ชอบสั่ง ไม่ให้ลูกได้คิดอะไรเลย …มีอยู่ครั้งหนึ่ง แม่พาลูกมาหาพร้อมบอกว่า “ลูกไม่กล้าคิด ไม่กล้าแสดงออก” ตั้งแต่เข้าห้องมาสั่งประมาณ 20 คำสั่งได้ ลูกถอดรองเท้า เอานี่ใส่ไว้ตรงนี้ ถอดถุงเท้า ม้วนด้วย วางที่ชั้นนี้นะ แล้วเดินเข้าไปเช็ดเท้าก่อน ไปล้างมือ ไปฉี่ ปิดประตู ในความเป็นจริง ถ้าแม่ท่านนี้ให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเอง และลดการใช้คำสั่งลง ลูกคงกล้าคิดและแสดงออกมากกว่านี้  

คุณเมวิเคราะห์ได้ไหมว่า ทำไมพ่อแม่ถึงทำให้ลูกมีพฤติกรรมแบบนี้

เรารู้ว่าพ่อแม่สมัยเบบี้บูมเมอร์เป็นกังวลเรื่องปากท้องแล้วก็เรื่องมีงานดีๆ ทำ เป็นที่นับหน้าถือตา ดังนั้นจะไม่ให้ลูกทำอะไร ตั้งใจเรียนอย่างเดียว เขาจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือตัวเอง เพราะเขา (พ่อแม่) เชื่อในระบบดีๆ องค์กรดีๆ แล้วลูกจะเป็นใหญ่เป็นโตได้เอง เขาไม่ได้สร้างลูกมาเพื่อให้คิดเองเป็น แต่สร้างลูกมาเพื่อตอบสนองระบบ เพราะฉะนั้นลูกที่เป็นเจนเอ็กซ์ เจนวายก็จะตอบสนองต่อระบบ เราถูกสอนว่าต้องเข้าโรงเรียนดี มหาวิทาลัยชื่อดัง องค์กรที่มีชื่อเสียงจะทำให้ลูกดี ไม่ได้เชื่อในตัวลูก ไม่ได้เชื่อว่าลูกเรามีดีอยู่แล้วโดยไม่ต้องมีตราสัญลักษณ์มาทาบบนตัวของลูก

มาถึงตอนนี้ที่พ่อแม่คือเจนเอ็กซ์ เจนวาย?

เมจึงเข้าใจเลยว่า เพื่อนที่บอกว่าคิดไม่เป็น จริงๆ ไม่ใช่คิดไม่เป็นหรอก มันพยายามคิดแล้วแต่คิดไม่ออก เราไม่ใช่ไม่ขยันแต่เราไม่รู้เลย แปลกมาก แล้วการเลี้ยงดูสมัยเบบี้บูมเมอร์คือผู้ใหญ่ถูกเสมอ เราก็เลยไม่ค่อยมีข้อกังขาอะไร ฟัง

พอเป็นยุคเราเป็นพ่อแม่ก็ก้ำกึ่ง ใจหนึ่งก็อยากฟังลูก อีกใจเราก็โตมาแบบโดนสั่งมา แล้วเราจะต้องทำยังไง พอสับสนปุ๊บก็ทำไม่ดีสักทาง จะสั่งก็ไม่สั่งเลย จะฟังก็ไม่ฟังเลย ก็เลยทำให้เด็กสับสนว่าสรุปพ่อแม่จะเอายังไงกับฉัน ที่สำคัญคือเราไม่รู้ว่าเด็กเดี๋ยวนี้จะต้องทำอะไรมากขึ้นกว่ารุ่นเรามากเลยนะ เช่น เขามีไอแพด สมัยเราอย่างมากก็มีทีวี มีช่วงเวลา 7-10 โมงเช้าคือเวลาการ์ตูน แต่เด็กยุคนี้ดูได้ 24 ชม. 

แล้วบางอย่างมันเร็วกว่าสมองพ่อแม่ยุคเจนเอ็กซ์เจนวาย เด็กเล่นสไลม์ คืออะไร สกุชชี่ราคาแพง มันมีเรื่องของวัตถุนิยม เลียนแบบดาราตั้งแต่ยังเล็ก แบบที่พ่อแม่ตามไม่ทัน ยิ่งโลกแคบยิ่งเร็วเท่าไหร่ เรายิ่งตามไม่ทัน

เบบี้บูมเมอร์กินเวลานานมาก เจนเอ็กซ์เจนวายเริ่มแคบลงมานิดนึง แต่เจนแซด เจนอัลฟ่าคือแคบแค่นี้เอง (ทำมือแคบจริงๆ) ต่างกันแค่ห้าปีก็คือเปลี่ยนเจนแล้ว ถามว่าความรู้ที่เราไม่อัพเดทเลย เราจะตามลูกเราทันไหม 

ที่ต้องอัพเดทจริงๆ คือเรื่องรายละเอียด แต่โครงสร้างความรู้จริงๆ มันไม่ได้อัพเดท คือพัฒนาการเด็กที่คุณหมอแต่ละท่านพูดว่า ถ้าเรารู้พัฒนาการเด็ก รู้ภารกิจว่าเด็กต้องทำอะไรแต่ละวัย เราก็จะเลี้ยงเขาได้อย่างเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง รู้แค่หลักก็พอ โดยเฉพาะ ‘หลักพัฒนาการเด็ก’ เพื่อจะรู้ว่า อะไรสำคัญ/ไม่สำคัญในช่วงวัยดังกล่าว วัตถุ/ของเล่น/เทคโนโลยี ไม่ผิด ผิดที่พ่อแม่นำมาให้เด็กในวัยที่ไม่เหมาะสมต่างหาก

ผ่านเคสและให้คำปรึกษามาเยอะ เชื่อว่าจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเองก็ต้องการการบำบัดเหมือนกัน จะทำอย่างไร

เราไม่เรียกว่าบำบัด เราเรียกว่าช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมก็มี supervisor ทุกวันนี้ก็ยังคุยสไกป์กัน คุยว่าเจอปัญหาอะไร มีอะไรติดค้าง เมเป็นเพอร์เฟ็คชันนิสต์ ชอบความสะอาด ชอบความเนี้ยบ แต่เราไปเจอเด็กที่ดูยุ่งเหยิง ไม่มีระเบียบมาก (messy) มากๆ บางทีเราก็เผลอทำหน้าหงิกหน้างอ เราก็ต้องมาระบายให้อาจารย์ฟังว่า เป็นวิธีการที่ทำให้เราปรับตัวปรับใจ (refresh) ตัวเองจนเราพร้อมรับเคส อารมณ์เหมือนเครื่องยนต์ เวลาเราใช้ไปมากๆ เราก็ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไม่ใช่ว่าใช้ไปเรื่อยๆ

หลักหนึ่งที่นักจิตวิทยาจะมีให้กับผู้มารับคำปรึกษา (client) เราไม่ใช้ sympathy หรือความสงสาร เพราะการที่เราสงสารแปลว่าเราเห็นอีกฝ่ายด้อยกว่าเรา เราไม่ควรรู้สึกเช่นนั้น เพราะเมื่อใดที่เรารู้สึกว่าเราเหนือกว่าใคร เราจะตัดสินอีกฝ่ายและเราจะเผลอควบคุมดูแลสั่งสอนเขาไปด้วย

แต่เราจะใช้หลัก empathy คือความเห็นอกเห็นใจหรือการร่วมรู้สึกไปกับเขา เราพยายามทำความเข้าใจอย่างเป็นกลางมากกว่าไปตัดสินอีกฝ่าย เช่น เขามาหาเรา เขาเหนื่อยใจมามาก เราจะรับฟัง และพยายามทำความเข้าใจว่ามันเป็นยังไงมากกว่าที่จะไปบอกว่า เฮ้ย ทำแบบนี้สิ เราไม่ทำเช่นนั้น แต่เราจะพยายามลองนึกถึงว่า ถ้าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ของเขาดูจะเป็นอย่างไร (put yourself in his/her shoes) แม้จะไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่แค่รู้สึก รับรู้ร่วมกัน 

สมมุติว่าเราโดนตี เจ็บแน่ๆ จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเห็นคนไข้โดนตีมา เราไม่ต้องไปตีตัวเอง แต่เราแค่รับรู้ว่าเขาโดนตี มันจะเป็นยังไง ไม่ได้ไปสงสารเขา มองเขาว่าเออ คงซนมากเลย มองเขาอย่างเข้าใจแบบคนระดับเดียวกัน ซึ่งทำไม่ได้ง่าย เพราะส่วนใหญ่เราจะชินกับการสงสาร เช่น เห็นขอทานเราก็สงสารละ เรามองเขาด้อยกว่า แล้วเราจะมองว่าเรื่องที่เขาเจอมันเล็กนิดเดียว ทำไมเอามาเป็นปัญหาในชีวิตได้ แต่ถ้ามองแบบ empathy ปัญหามันหนักนะ อันนี้อาจจะยากเหมือนกัน เมก็ฝึกอยู่

อย่างไรก็ดี ยังมีขอบเขตกำหนดพื้นที่ส่วนตัวของ client กับ therapist อยู่ เราจะไม่ได้ถลำเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ เราต้องมีขอบเขตว่าเราจะช่วยได้เต็มที่ในส่วนของเรายังไง

เช่น เราจะไม่พยายามรับของ สมมุติวันนี้เป็นวันเกิดหรือวันนี้พ่อเสียชีวิต เราจะไม่เอาเรื่องนี้ไปคุยด้วย คือเราไม่ใช่คนในชีวิตเขา เราเป็นนักบำบัด และเราควรรักษาขอบเขต (boundary) ของเราไม่ให้ล้ำเส้น client หรือให้ client เข้ามาในชีวิตเรามากเกินไป

วิธีป้องกันตัวเองไม่ให้จมไปกับเรื่องราวของ Client มีอะไรบ้าง

เขียนบันทึก บางทีเราเจออะไรเยอะๆ หนักๆ แล้วเราก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง เราเขียนทุกอย่างที่อยู่ในหัวเราออกมา แล้วค่อยๆ เรียบเรียงว่า เช่น ถ้าเราเจออะไรเยอะๆ เราก็เขียนไปเลย เฮ้ย เครียดว่ะ วันนี้รู้สึกเศร้า บอกไม่ถูก แล้วค่อยๆ โยงไปว่าเกิดจากอะไร เราก็จะค่อยๆ เข้าใจตัวเอง ดังนั้น นักจิตวิทยาจำเป็นต้องเข้าใจในเรื่องของตัวเองเยอะๆ

ตอนเรียนจิตวิทยา เราเรียนเพื่อทำความเข้าใจตัวเอง พอเข้าใจตัวเองชัดเจน แล้วมันจะเข้าใจคนอื่น ถ้าเราเป็นกระจกที่ขุ่นมัว เราจะไม่สามารถสะท้อนอะไรไปได้เลย

เราไม่สามารถอ่านใจใครได้ เราไม่ได้รักษาเพียงคนไข้จิตเวช เราไม่ได้มีคำตอบให้กับทุกปัญหา เพราะนักจิตวิทยาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองและเข้าใจผู้อื่นด้วยใจที่เป็นกลาง เราจะไม่ยอมแพ้ต่อผู้ที่มาหาเรา และเราจะเคียงข้างกันไปจนสุดทาง หากอีกฝ่ายยินดีและอนุญาตให้เราทำเช่นนั้น

Tags:

จิตวิทยานักจิตวิทยาเมริษา ยอดมณฑป

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Family PsychologySocial Issues
    รายรับน้อยลง ต้องประหยัดมากขึ้น: คุยกับลูกเรื่องการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว เรื่องของผู้ใหญ่ควรให้เด็กเกี่ยว เขาจะเติบโตขึ้น

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Early childhood
    ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’

    เรื่อง

ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4
Voice of New Gen
22 July 2019

ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

เรื่อง

  • Algolaxy แอพพลิเคชั่นสื่อการเรียนการสอนเรื่องอัลกอริธึม (Algorithm) เพื่อเป็นสื่อการสอนในวิชาใหม่ ‘วิทยาการคำนวณ’ โดยสามนวัตกรหน้าใสจากโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ 
  • Algolaxy พัฒนาไปถึงจุดที่ใช้งานได้จริงพร้อมให้ดาวน์โหลดทั้งใน Google Play และ App Store, ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากเวที TICTA (Thailand ICT Awards) 
  • “เนื้อหาอัลกอริธึมมีเยอะมาก ต้องพยายามเลือกเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันมาสอนเด็ก นำมาประยุกต์ว่าจะทำยังไงให้เขาเข้าใจได้ง่ายๆ เห็นภาพ และไม่ไกลเกินตัวเขาเพื่อจะได้รู้ว่าอัลกอริธึมมันอยู่ในชีวิตเรา”
เรื่อง: กิติคุณ คัมภิรานนท์, มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2561 คงไม่มีนักเรียนชั้นไหนเครียดไปกว่าน้อง ป.1 ป.4 และพี่ ม.1 ม.4 อีกแล้ว เพราะนั่นคือปีแรกที่พวกเขาต้องเผชิญกับวิชาบังคับใหม่จากกระทรวงศึกษาธิการที่ชื่อ ‘วิชาวิทยาการคำนวณ’ และไม่ใช่เพียงนักเรียนหรอกที่มึนตึ้บกับวิชานี้ คุณครูที่จับพลัดจับผลูต้องมาสอนวิชานี้ก็มึนไม่ต่างกัน หนึ่งในนั้นคือ ‘ครูฝ้าย’ ศรา หรูจิตตวิวัฒน์ แห่ง โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์

เพราะนี่คือวิชาใหม่แกะกล่องสำหรับระดับประถมและมัธยม ครูเองก็ไม่เคยสอน ตำราที่ได้มาก็ยากแสนยาก สอนไปสอนมาก็งงกันไปทั้งคาบ ทั้งครูทั้งนักเรียน

แต่แทนที่จะนั่งงง ครูฝ้ายจึงเปลี่ยนวิกฤตินี้เป็นโอกาส…

หญิง-สุภาวดี ภูสนาม, ปังจัง-ณาฌา หิรัญญาการ และ เหม่เหม้-จีรนันท์ อนันต์ประภากรณ์

เมื่อนวัตกรหน้าใสอย่าง หญิง-สุภาวดี ภูสนาม (ม.6), ปังจัง-ณาฌา หิรัญญาการ (ม.6) และ เหม่เหม้-จีรนันท์ อนันต์ประภากรณ์ (ม.4) กำลังหาหัวข้อทำโครงงานอยู่ ครูฝ้ายจึงไม่รอช้า เสนอให้ทีมทำสื่อการเรียนการสอนวิชานี้ขึ้นมาใหม่ นำความยากมายีใหม่ให้ง่ายขึ้นสำหรับครู และสนุกขึ้นสำหรับนักเรียน

ฟังดูแล้วน่าสนุก แต่เมื่อได้ลงมือทำจริง 3 นวัตกรหน้าใสของเราก็พบว่า การทำเรื่องยากให้ง่ายนั้น…ไม่ง่ายเลย

ภารกิจทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย

คนเราเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งใด ย่อมมีพื้นฐานความเข้าใจในสิ่งนั้นเป็นอย่างดี นักพัฒนาที่สามารถพัฒนานวัตกรรมและตอบโจทย์ผู้ใช้ ส่วนใหญ่จึงมักเริ่มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวหรือเป็นสิ่งที่เขาสนใจ ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์อยู่ในชีวิตประจำวัน

3 สาวแห่งโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ หญิง-ปังจัง-เหม่เหม้ ก็เป็นเช่นนั้น ในฐานะนวัตกรที่ยังเป็นนักเรียน การหาหัวข้อผลงานที่ผ่านๆ มาของพวกเธอจึงเน้นไปที่เรื่องการศึกษา โดยเฉพาะการสร้างโปรแกรมสื่อการเรียนรู้วิชาต่างๆ เพื่อตอบสนองผู้ใช้ที่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนนักเรียนเหมือนๆ กับเธอ หากแต่สำหรับผลงาน Algolaxy แอพพลิเคชั่นสื่อการเรียนการสอนเรื่องอัลกอริธึม (Algorithm) ในครั้งนี้ เป็นความต้องการจากผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักเรียน หนำซ้ำยังอยู่ใกล้ตัวพวกเธอมาก จนคาดไม่ถึง

“เราจะทำผลงานส่งประกวด NSC ตั้งใจว่าอยากทำโปรแกรมที่เป็นสื่อการเรียนรู้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะทำเกี่ยวกับวิชาอะไรดี ลองถามครูฝ้ายซึ่งเป็นที่ปรึกษาโครงงานว่ามีวิชาอะไรที่น่าสนใจ ครูฝ้ายบอกว่ามีวิชาใหม่คือวิชาวิทยาการคำนวณ ยังไม่มีใครทำสื่อการเรียนรู้วิชานี้ เลยหาเนื้อหามาลองทำ” หญิงเล่าถึงที่มาของหัวข้อผลงาน ซึ่งเกิดมาจากครูฝ้ายที่อยู่ในฐานะผู้ใช้โดยตรง

“อัลกอริธึมมันเกี่ยวกับเรื่องลำดับความคิด ขั้นตอนการทำงาน ที่ผ่านมาถ้าอ่านแต่ตัวอักษรจะเข้าใจยาก เลยมองว่าถ้าทำเป็นสื่อการเรียนการสอนน่าจะเป็นประโยชน์มาก เพราะครูหลายคนก็เพิ่งเริ่มต้นสอนวิชานี้เหมือนกัน” ครูฝ้ายสำทับ

Algolaxy จึงตั้งต้นขึ้นมาเพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมาย 2 กลุ่ม หนึ่งคืออาจารย์ที่สอนวิชาอัลกอริธึม และอีกหนึ่งคือนักเรียนที่เรียนวิชานี้

โจทย์ของทีมในการพัฒนาผลงานเพื่อตอบสนองผู้ใช้กลุ่มอาจารย์ คือการพัฒนาโปรแกรมที่มีเนื้อหาวิชาอัลกอริธึมที่ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นงานหนักสำหรับ 3 สาวและครูฝ้ายเอง ที่ต้องไปศึกษาเก็บข้อมูลความรู้เกี่ยวกับอัลกอริธึมทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก เพื่อออกแบบเนื้อหาโปรแกรม พร้อมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหานั้นๆ ด้วยการขอความช่วยเหลือจากผู้รู้

“ด้วยความที่เป็นวิชาใหม่ เราจึงต้องเริ่มศึกษาตั้งแต่พื้นฐาน แต่เราก็อยากให้แอพพลิเคชั่นนี้ครอบคลุมเนื้อหาเชิงลึกมากกว่าแค่ระดับพื้นฐาน เราจึงไปขอความรู้จากอาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และรุ่นพี่ศิษย์เก่าเซนต์ฟรังฯ ที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยในสาขาที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยมาเทสต์เนื้อหา ทั้งลำดับความรู้และความถูกต้อง” ปังจังอธิบายกระบวนการค้นคว้าและตรวจสอบข้อมูลของทีม

โจทย์อีกข้อของทีมในการพัฒนาผลงานเพื่อตอบสนองผู้ใช้กลุ่มนักเรียน ก็คือการทำเนื้อหาที่ยากให้ง่ายขึ้น ซึ่งนอกจากการนำเสนอด้วยรูปแบบแอนิเมชั่น 2 มิติแล้ว การเลือกสรรและแปรรูปเนื้อหาวิชาให้เชื่อมโยงถึงชีวิตประจำวันของเด็กนักเรียน ก็เป็นสิ่งที่ทีมเลือกทำ แม้จะเป็นงานที่หนักเอาเรื่องไม่น้อย

“เนื้อหาอัลกอริธึมมันมีเยอะมาก พวกหนูต้องพยายามเลือกเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันมาสอนเด็ก นำมาประยุกต์ว่าจะทำยังไงให้เขาเข้าใจได้ง่ายๆ เห็นภาพ และไม่ไกลเกินตัวเขา เขาจะได้รู้ว่าอัลกอริธึมมันอยู่ในชีวิตเรา แต่เราไม่รู้ว่าถ้าใช้มันแล้วจะทำให้ชีวิตดีขึ้น เช่น การคิดเป็นลำดับ ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่างเราต้องคิดเป็นสเต็ปในหัว 1 2 3 4 แล้วเราจะรู้ว่าในลำดับเดียวกันอันไหนควรทำก่อนหรือหลัง” หญิงยกตัวอย่าง

“มันยากตรงการคิดแบบฝึกหัด เพราะพอเราเข้าใจแล้ว เราต้องปรับให้คนอื่นเข้าใจตามเราให้ได้ด้วย พยายามที่จะทำให้เข้าใจง่ายที่สุด เช่น เรื่องการจัดเรียงตัวเลขจากน้อยไปหามาก มันมีหลายวิธีมากเลย จะทำให้เขารู้ได้ยังไงว่าการจัดเรียงแบบนี้มันชื่อว่าอะไร กระบวนการไหนดีกว่าหรือเร็วกว่า จากเนื้อหาในหนังสือเราก็แปลงเป็นรูปภาพ ทำเป็นแบบฝึกหัดให้เขาได้ทำ” ปังจังเสริมถึงความยากที่ทีมต้องฟันฝ่ามาด้วยกัน

ลงลึกกับผู้ใช้ แก้ใหม่วันต่อวัน!

Algolaxy ถูกพัฒนาส่งเข้าประกวด NSC ตามที่หญิงและปังจังตั้งใจ โดยแรกทีเดียวนั้นหญิงรับหน้าที่เขียนโค้ด รุ่นพี่อีกคนหนึ่งรับหน้าที่ทำกราฟิก ส่วนปังจังช่วยงานทั้ง 2 ส่วน กระทั่งผลงานต่อยอดมาสู่โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 ปังจังก็หันมารับงานกราฟิกเต็มตัว ส่วนเหม่เหม้เข้ามาช่วยหญิงเขียนโค้ด

“ที่เรามาทำต่อกล้าฯ เพราะอยากได้คำแนะนำเพิ่มเติม และอยากให้ผลงานเอาไปใช้ได้จริงๆ ตอน NSC ยังไม่ได้เอาไปใช้จริง ก็ต้องปรับเยอะมาก เหมือนเป็นเวอร์ชั่นใหม่เลย (หัวเราะ) หลักๆ ก็คือปรับเนื้อหาให้เข้าใจง่ายขึ้น เพิ่มแบบฝึกหัด และแก้ UI UX” หญิงเล่าพลางอมยิ้ม

เหตุแห่งการปรับแก้งาน แน่นอนว่าด้านหนึ่งมาจากกรรมการและทีมโค้ช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่อง UI UX

“มีแก้งานจากที่พี่เขาคอมเมนต์มา ทั้งเรื่องการปรับโลโก้ไอคอนของแอพฯ ที่ไม่สื่อว่าเป็นแอพฯ อะไร ปรับแก้ปุ่ม Tutorial ให้มีความชัดเจนมากขึ้น หลักๆ มันคือ UI UX ที่พี่เขาบอกว่าเราใช้ปุ่มหลากหลายเกินไป อย่างปุ่ม Next ก็จะมีทั้งแบบเป็นวงกลมและลูกศร เขาก็ให้เราทำให้เป็นรูปแบบเดียวกัน” ปังจังอธิบาย

กับอีกด้านหนึ่งนั้นมาจากกลุ่มผู้ใช้ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของทีมนี้ที่ทำงานร่วมกับผู้ใช้อย่างเหนียวแน่น ทั้งในระดับเชิงกว้างและเชิงลึก

“เรามีกระบวนการทำงานร่วมกับผู้ใช้ตลอด หลังจากไปรีเสิร์ชกับพี่ๆ ศิษย์เก่าจนได้เนื้อหามาออกแบบแอพฯ เราก็เอาแอพฯ กลับไปให้พี่ๆ กลุ่มเดิมเทสต์อีก รวมถึงกลุ่มผู้ใช้อื่นๆ ด้วย เช่น คุณครูในเครือเซนต์ปอลฯ (คณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร แขวงประเทศไทย ปัจจุบันมีโรงเรียนในสังกัด 22 แห่ง) และที่สำคัญคือกลุ่มนักเรียนชั้น ม.4 ซึ่งต้องเรียนวิชาอัลกอริธึมนี้โดยตรง” ครูฝ้ายเล่าพลางหันมองเหม่เหม้ ในฐานะที่เป็นกลุ่มผู้ใช้โดยตรง

“หนูใช้โปรแกรมนี้ในการเรียนการสอนจริง ซึ่งมันเข้าใจง่ายขึ้นเยอะมากๆ แล้วหนูยังลองเอาไปให้เพื่อนที่โรงเรียนเก่าลองใช้ด้วย เป็นการขายของนิดนึง (หัวเราะ) เพื่อนก็บอกว่าดี เพราะแต่เดิมเรียนยากมาก ครูให้อ่านหนังสือแล้วสอนแต่เนื้อหาเพียวๆ ไม่มีภาพไม่มีเหตุการณ์ประกอบ เพื่อนเขาก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเรียนไปทำไม และไม่เข้าใจว่าเอาไปใช้อะไรได้บ้าง” เหม่เหม้เล่าด้วยรอยยิ้ม

ไม่เพียงแค่ทดลองใช้เฉยๆ เท่านั้น แต่ทีมยังยกระดับกระบวนการทดลองใช้ไปถึงขั้นใช้เป็นเครื่องมือในการสอบเก็บคะแนนจริง ในวิชาวิทยาการคำนวณเลยทีเดียว

“เราจะคิดโจทย์ขึ้นใหม่เพื่อการสอบโดยเฉพาะ เพราะเราใช้แอพฯ นี้ในการเรียนและการสอบวัดผลเก็บคะแนนจริงๆ ซึ่งเหมือนเราได้รีเช็คแอพฯ ไปในตัว เช่น ถ้ามีบั๊กข้อหนึ่งก็ต้องรื้อกันใหม่” ครูฝ้ายเล่า

ด้วยความที่ใช้ในการสอนและการสอบจริงกับนักเรียน ม.4 ทั้งโรงเรียน ก็ทำให้ทีมจำเป็นต้องกระตือรือร้นในการรับฟังข้อผิดพลาดและเร่งแก้ไขแอพฯ แบบวันต่อวัน เพราะว่า… 

“ทันทีที่เจอบั๊กเราต้องแจ้งหญิงให้แก้เลย เพราะวันรุ่งขึ้นมีสอนอีกห้องหนึ่ง เราไม่อยากให้ห้องต่อๆ ไปเฟลถ้าต้องมาเจออีก ดังนั้นเราจะแก้เป็นสัปดาห์ๆ ไปเลย เนื้อหามี 8 บท ก็เทสต์ 8 สัปดาห์ และแก้ตลอด 8 สัปดาห์ ต้องทำอย่างนี้เพราะเจตนาของเราคือต้องการให้มันใช้ได้จริงๆ ทำให้เด็กเข้าใจเนื้อหา ไม่อยากให้เด็กรู้สึกว่าเรียนเรื่องนี้แล้วยาก เรียนเรื่องนี้แล้วไม่ได้ใช้ พอแอพฯ มันใช้ได้จริงเราก็ภูมิใจ” ครูฝ้ายยิ้มท้ายประโยค

ด้วยกระบวนการตามติดผลจากผู้ใช้จริงนี่เอง ที่ทำให้ทีมสามารถพัฒนาแอพฯ ได้สมบูรณ์อย่างรวดเร็ว

“วิธีนี้ทำให้การทำงานเร็วขึ้นมาก เพราะต้องแก้แบบวันต่อวัน อย่างสอนวันพฤหัสบดีเสร็จปุ๊บต้องแก้ให้เสร็จทันเช้าวันศุกร์เพราะมีเรียนอีกห้อง ช่วงแรกๆ จะเหนื่อยหน่อยเพราะเจอบั๊กเยอะมาก ก็แก้มาจนห้องหลังๆ จะไม่ค่อยเจอบั๊กแล้ว” หญิงเล่าอย่างร่าเริง

ด้วยความทุ่มเทและตั้งใจจริง ผลประโยชน์ก็ตกแก่ผู้ใช้กลุ่มนักเรียน ซึ่งส่วนใหญ่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า แอพฯ นี้ช่วยให้เรียนรู้อย่างสนุกและเข้าใจวิชาวิทยาการคำนวณมากขึ้น 

“ด้วยรูปแบบของเกม ทำให้สนุกเพลิดเพลิน ทำให้เราตั้งใจทำมันมากขึ้นและจดจำได้มากขึ้น ถือเป็นการเรียนรู้ไปด้วยระหว่างที่เล่นเกม ช่วยให้เราคิดอย่างมีขั้นตอน รู้จักวางแผน รอบคอบในการลงมือทำอะไร” คือหนึ่งเสียงจากนักเรียน ม.4 โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ ที่ได้ทดลองใช้แอพฯ นี้

และนอกจากกลุ่มนักเรียนแล้ว ยังรวมไปถึงกลุ่มอาจารย์ในเครือเซนต์ปอลฯ ที่ได้นำไปทดลองใช้แล้วให้ฟีดแบ็คกลับมาในทางที่ดีไม่ต่างกัน

“ในการประชุมครูในเครือเซนต์ปอลฯ มีการอบรมเรื่องวิทยาการคำนวณพอดี เราจึงคิดว่าเป็นโอกาสที่ดี จึงนำแอพฯ ไปแนะนำให้คุณครูจาก 22 โรงเรียนได้ลองใช้ พร้อมทั้งแจกซีดีให้คุณครูนำไปลองใช้กับนักเรียนที่โรงเรียนต่อ และขอให้ครูส่งฟีดแบ็ค เช่น อัดคลิปวิดีโอส่งกลับมา ซึ่งฟีดแบ็คส่วนใหญ่ก็บอกว่าดี และให้กำลังใจกันเยอะ” ปังจังเล่าอย่างมีความสุข

“เป็นสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะกับคุณครูที่อยากให้นักเรียนไปศึกษาเองก่อนเบื้องต้นแล้วค่อยกลับมาเรียนในห้องเรียน หรือใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนในห้องเรียนโดยใส่ลงไปในคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ให้นักเรียนหาความรู้ในห้องเรียน จดใส่สมุด มาทำโปรแกรมเองได้ หรือสมมุติผู้เรียนเรียนในห้องแล้วเขาไม่เข้าใจตัวเนื้อหา บางคนอาจจะไม่ชอบ เด็กบางคนสมาธิสั้น ไม่ถนัดเรื่องการอ่านเนื้อหาที่เป็นหนังสือมากๆ ถ้าได้โปรแกรมนี้เข้ามาช่วยจะทำให้เขามีสมาธิอยู่กับตรงนี้มากขึ้น” คือหนึ่งในความเห็นจากคุณครูโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ ที่ได้ทดลองใช้

ขณะที่คุณครูจากโรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ ก็ให้คำชื่นชมไม่ต่างกันว่า “ประโยชน์ของแอพพลิเคชั่นนี้ ดูจากวัตถุประสงค์ของผู้จัดทำ เนื้อหาเป็นการเสนอเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยี การฝึกให้รู้จักลำดับขั้นตอนการคิด หรือที่เราเรียกว่าอัลกอริธึม สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานของการนำไปพัฒนาโปรแกรมได้ในอนาคต ครูคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียวในการจัดทำบทเรียนนี้ขึ้นมา”

เมื่อความสำเร็จสะท้อนกลับเข้าตัว

การทำงานร่วมกับผู้ใช้ โดยเฉพาะในมิติของการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้จริงและเร่งปรับแก้ผลงานให้ดีที่สุดเพื่อผู้ใช้กลุ่มต่อๆ ไป ไม่อาจปฏิเสธเลยว่านี่คือกระบวนการทำงานที่หนักหนาสาหัสไม่น้อยสำหรับนวัตกรหน้าใสวัยเรียนเช่น 3 สาว

อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธว่าความทุ่มเทที่ทั้งสามทุ่มลงไปในการพัฒนาผลงาน นอกจากจะทำให้ Algolaxy พัฒนาไปถึงจุดที่ใช้งานได้จริง รอการขยายผลไปสู่ผู้ใช้ในวงกว้าง รวมไปถึงได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จากประกวด TICTA (Thailand ICT Awards) และได้สิทธิไปแข่ง APICTA (Asia Pacific ICT Alliance) ต่อที่ประเทศจีนแล้ว ความสำเร็จของผลงานก็หมุนทวนย้อนกลับมาสู่ตัวพวกเธอเอง ในแง่ของพัฒนาการรายบุคคลที่เกิดจากกระบวนการทำงานหนัก

“สำหรับหนูไม่คิดว่าเราต้องมาแก้งานสัปดาห์ต่อสัปดาห์ (หัวเราะ) อย่างที่เข้าต่อกล้าฯ ปีก่อนๆ จะทำอาทิตย์ละครั้งช่วงเสาร์อาทิตย์ ทำเรื่อยๆ ไม่ได้กำหนดเป้าหมาย แต่งานนี้ครูฝ้ายสอนเสร็จปุ๊บหนูต้องมาแก้ให้ทันวันถัดไป มันก็ค่อนข้างตื่นเต้น ต้องทำให้ทัน เพราะมันคือการนำไปใช้งานจริงกับผู้ใช้ ได้ฝึกความรับผิดชอบอย่างเข้มข้นมาก (หัวเราะ) และได้เห็นฟีดแบ็คจริงๆ เวลาที่ครูนำแอพฯ ไปสอนน้องๆ มันมีคำชมกลับมาที่เราโดยตรง ก็รู้สึกภูมิใจ” หญิงเล่าอย่างอารมณ์ดี 

ก่อนที่ปังจังจะเล่าในส่วนของตัวเองว่า

“การทำแอพฯ นี้สอนหนูหลายอย่าง ที่เด่นที่สุดน่าจะเป็นเรื่องกระบวนการทำงาน แอพฯ อื่นๆ หนูจะเร่งทำรวดเดียวตอนใกล้ส่ง (ยิ้ม) เวลาเกิดปัญหาก็จะแก้ไม่ทัน เหมือนเรือแล่นเร็วๆ แล้วเจอพายุก็ล่มง่าย แต่งานนี้เหมือนเรือที่แล่นสม่ำเสมอ ปลอดภัยกว่า”

และแน่นอนว่าเหนืออื่นใด ก็คือ ทั้งสามได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกับผู้ใช้อย่างแท้จริง

“ก่อนเข้าค่ายหนึ่งหนูยังไม่รู้เลยว่า UI UX คืออะไร (หัวเราะ) ตอนทำโปรแกรมครั้งแรกคิดว่าก็แค่ออกแบบแล้วทำออกมาเลย แต่จริงๆ มันต้องถามความเข้าใจของผู้ใช้ ถามเนื้อหาจริงๆ ว่าสามารถใช้ได้จริงหรือเปล่า ไม่ใช่เข้าใจเองคนเดียว” เหม่เหม้เล่าถึงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น

“ต้องใส่ใจให้กับผู้ใช้ด้วย ให้เขามีความสุข นำงานที่เราทำมาไปใช้อย่างมีความสุข” ปังจังสรุปความด้วยรอยยิ้มสดใส

จากวิกฤติสู่โอกาส จากความยากสู่ความง่าย ถึงวันนี้ 1 ปีผ่านมา ‘วิชาวิทยาการคำนวณ’  ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปทั้งสำหรับคุณครูและนักเรียนในเครือเซนต์ปอลฯ เมื่อมีตัวช่วยชั้นดีอย่าง Algolaxy

เช่นเดียวกับตัวนวัตกรหน้าใสทั้งสามของเรา ที่เติบโตขึ้นมากจากกระบวนการพัฒนาผลงานอย่างหนักหน่วงเกินวัยตลอดปีที่ผ่านไป สะท้อนให้เห็นว่าความสำเร็จของผลงานไม่เทียบเท่าความสำเร็จของคนทำงาน 

และมากกว่าความจริงที่ว่า การทำเรื่องยากให้ง่ายนั้น…ไม่ง่าย ก็คือแรงบันดาลใจที่ว่า ไม่มีอะไรยากเกินไป…ถ้าเราตั้งใจจะทำ!

‘Algolaxy’ แอพพลิเคชั่นสื่อการเรียนการสอนเรื่องอัลกอริธึม (Algorithm) สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย นำเสนอในรูปแบบแอนิเมชั่น 2 มิติ ประกอบด้วยเนื้อหา 3 บทเรียน ได้แก่ Solving, Structure และ Algorithm พร้อมแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนเพื่อวัดพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน

สามารถดาวน์โหลดได้ที่:
Google Play: https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sf.Algolaxy&hl=th
App Store: https://itunes.apple.com/th/app/algolaxy/id1342678531#?platform=ipad

สมาชิกทีม: นางสาวสุภาวดี ภูสนาม (หญิง) ม.6, นางสาวณาฌา หิรัญญาการ (ปังจัง) ม.6, นางสาวจีรนันท์ อนันต์ประภากรณ์ (เหม่เหม้) ม.4 โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์ กรุงเทพฯ

ที่ปรึกษาโครงการ: อาจารย์ศรา หรูจิตตวิวัฒน์ (ครูฝ้าย)

Tags:

เทคนิคการสอนAIโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมนวัตกร

Author:

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    VOCABY เกมฝึกและจำคำศัพท์ จากเด็กๆ ที่เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen21st Century skills
    ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

5E: คิดจริง ทำจริงแบบผู้ประกอบการ
Character building
19 July 2019

5E: คิดจริง ทำจริงแบบผู้ประกอบการ

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Entrepreneurship คือ อะไร ?

ให้เข้าใจง่ายๆ หมายถึงหลักสูตรที่ส่งเสริมการเรียนรู้ความเป็นผู้ประกอบการ เรียนรู้อย่างมีเป้าหมายในธุรกิจ ผู้เรียนจะต้องไม่กลัวปัญหา มองเห็นโอกาส มีไอเดียแปลกใหม่และรู้วิธีนำไอเดียนั้นมาสร้างนวัตกรรมหรือบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ได้

Entrepreneurship มี 5E เป็นพื้นฐาน นั้นคือ

  • Environment 

กระตุ้นให้สนใจสิ่งแวดล้อม ความเป็นไปรอบตัวหรือชุมชนที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ และคอยตั้งคำถามว่า “ทำอะไร” “ทำอย่างไร” “ทำเมื่อไร” “เพราะอะไรจึงทำ”

  • Economy 

ฝึกให้ติดตามความเป็นไปทางเศรษฐกิจผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง ธุรกิจใดกำลังรุ่ง-ร่วง  ธุรกิจใดบ้างน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า และธุรกิจเหล่านั้นดำเนินการอย่างไร

  • Entrepreneurs  

สร้างแรงจูงใจจากวิสัยทัศน์และประสบการณ์ตรงของผู้ประกอบการ เช่น อะไรคือแรงจูงใจในการหาโอกาส  พลิกปัญหาเป็นไอเดียหรือนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างไร 

  • Enterprise 

เปิดโอกาสให้ค้นหาตัวตน จุดแข็งจุดอ่อน เป้าหมาย ความใฝ่ฝัน ลักษณะนิสัยเมื่อต้องทำงานกับคนอื่น และจิตสำนึกต่อเพื่อนมนุษย์ สิ่งแวดล้อม โลก

  • Entreplexity 

ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนได้นำความรู้แต่ละด้าน และศักยภาพเฉพาะของตนทั้งหมดมาผสมผสานผ่านการลงมือทำจริง 

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ผู้ประกอบการ(entrepreneurship)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

SCAFFOLDING: ครูผู้เป็น ‘นั่งร้าน’ ช่วยเด็กๆ สร้างตึกของตัวเองให้แข็งแรง
Learning Theory
18 July 2019

SCAFFOLDING: ครูผู้เป็น ‘นั่งร้าน’ ช่วยเด็กๆ สร้างตึกของตัวเองให้แข็งแรง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Scaffolding วิธีการเรียนรู้ที่ครูเปรียบเหมือน ‘นั่งร้าน’ ที่เป็น ‘ตัวช่วย’ ให้เด็กๆ ก่อร่างสร้างตึกของตัวเองระหว่างที่โครงสร้างตึกยังไม่ถูกวาง หรือ ในวันที่เขายังไม่รู้ว่าจะเรียนยังไง ไปถึงความรู้นั้นอย่างไร
  • ‘นั่งร้าน’ จัดวางตัวเองอยู่ตรงกลางระหว่าง ‘การเรียนรู้ที่ง่าย’ กับ ‘การเรียนรู้ที่ยาก’ เพราะพื้นที่กลางๆ แบบนี้ จะยิ่งช่วย ‘บูสต์’ หรือผลักดันให้ผู้เรียนพัฒนาหรือขับเคลื่อนตัวเองไปสู่จุดหมายได้
  • ครู ผู้เป็นนั่งร้าน ต้องช่วยลดความกังวล บรรเทาความท้อแท้ หรือความรู้สึกด้านลบขณะเด็กๆ ต้องเผชิญหน้ากับการเรียนรู้ที่พวกเขารู้สึกยากลำบาก มองให้ทะลุว่าเด็กๆ ต้องการตัวช่วยอะไรเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ

Scaffolding วิธีการเรียนรู้ที่ครูเปรียบเหมือน ‘นั่งร้าน’ ที่เป็น ‘ตัวช่วย’ ให้เด็กๆ ก่อร่างสร้างตึกของตัวเองระหว่างที่โครงสร้างตึกยังไม่ถูกวาง หรือ ในวันที่เขายังไม่รู้ว่าจะเรียนยังไง ไปถึงความรู้นั้นอย่างไร และเมื่อโครงสร้างแข็งแรงดีแล้ว นั่งร้านจะถูกถอดออก และต่อไปเด็กๆ จะเรียนรู้ต่อเนื่องได้ด้วยตัวเอง

‘นั่งร้าน’ ต้องมอบบทเรียนที่ไม่ง่ายเกินไป ไม่ยากเกินไป เพื่อท้าทายให้ผู้เรียนยังไปต่อและไม่ล้มเลิกกลางทาง หัวใจของ Scaffolding ยังต้องช่วยลดความกังวลหรือความรู้สึกด้านลบขณะเด็กๆ เผชิญหน้ากับการเรียนรู้ที่รู้สึกว่ายากลำบาก ครูรู้ว่าเด็กๆ ต้องการตัวช่วยอะไรเพื่อให้เขาไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ

ในระหว่างการเรียนรู้ เด็กๆ อาจผ่านช่วง ‘การเรียนรู้ที่ง่าย’ เป็น comfort zone ในขณะที่บางช่วงต้องผ่าน ‘การเรียนรู้ที่ยาก’ หรือ stress zone ซึ่งเป็นช่วงที่เขาขยายขอบเขตความรู้ตัวเองไม่ได้ ณ จังหวะนี้เขาต้องการครู ผู้เป็น ‘นั่งร้าน’ ช่วยสนับสนุนให้เขาข้ามผ่านการเรียนรู้ที่ยาก ยกระดับการเรียนรู้ของตัวเองขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งได้ เรียกกระบวนการนี้ว่า Scaffolding

‘นั่งร้าน’ จึงจัดวางตัวเองอยู่ตรงกลางระหว่าง ‘การเรียนรู้ที่ง่าย’ กับ ‘การเรียนรู้ที่ยาก’

The Zone of Proximal Development ระยะทางระหว่างความรู้เดิม กับ ความรู้ที่มากขึ้นหลังถูกพัฒนา

เพื่อขยายความและยกตัวอย่างวิธีการทำ Scaffolding จำเป็นต้องอธิบายแนวคิดเบื้องหลังของคำ นั่นคือมโนทัศน์การเรียนรู้เรื่อง The Zone of Proximal Development หรือ ZPD พัฒนาโดย วีกอตสกี (Lev Vygotsky, 1896-1934) นักจิตวิทยาชาวรัสเซียกลุ่มพุทธิปัญญานิยม

ZPD ว่าด้วย ‘ระยะทาง’ ระหว่างความรู้เดิมที่ตัวเด็กมี (level of independent development) กับ ความรู้ที่เด็กๆ จะถูกพัฒนาก็ต่อเมื่อได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุน (level of potential development) จากครู สังคม เพื่อน หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในรูปแบบต่างๆ วีกอตสกีเชื่อว่าเด็กที่อยู่ในระยะ ZPD ควรได้รับความช่วยเหลือด้วยบทเรียนที่ไม่ยากเกินไปจนเด็กๆ สับสน ท้อจนอยากล้มเลิก (stress zone) แต่ต้องไม่ง่ายเกินไปจนทำให้เด็กๆ ติดอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย (comfort zone)

‘พื้นที่กลางๆ’ แบบนี้ จะยิ่งช่วย ‘บูสต์’ หรือผลักดันให้ผู้เรียนพัฒนาหรือขับเคลื่อนตัวเองไปสู่จุดหมายได้

โดยระยะการเรียนรู้ของ ZPD เด็กๆ จะพัฒนาได้ด้วยปัจจัยการเรียนรู้ 3 ปัจจัย ดังนี้

  • A More Knowledgeable Other: การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญที่รู้จริงในด้านนั้นๆ
  • Social Interactions: เรียนรู้ผ่านปัจจัยหรือบริบททางสังคม
  • Scaffolding: วิธีสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อให้เด็กๆ ผ่านระยะ ZPD ไปได้

แม้ Scaffolding จะเป็นหนึ่งในปัจจัยการเรียนรู้ที่พูดถึงโดยวีกอตสกี แต่ต้องขีดเส้นใต้ว่าผู้ที่ใช้คำว่า ‘นั่งร้าน’ เป็นที่แรกคืองานของ David Wood, Jerome S. Bruner และ Gail Ross ในปี 1976

Scaffolding: หากไม่มี ‘นั่งร้าน’ ผู้เรียนไม่อาจพัฒนาความรู้ไปถึงจุดหมายได้

สรุปอีกครั้ง Scaffolding คือวิธีการ ‘หลากหลาย’ ที่เป็น ‘ตัวช่วย’ หรือ ‘หน้าที่สนับสนุน’ ให้เด็กคนหนึ่งพัฒนาความรู้ความสามารถ ‘ในจุดที่ตัวเองยืนอยู่’ ไปจนถึงจุด level of potential development และเป็นการทำหน้าที่ของครูในวันที่เด็กไม่รู้ว่าจะไปถึงจุดหมายนั้นอย่างไร

เปรียบวิธีการที่ครูเป็น ‘นั่งร้าน’ ที่ช่วยให้เด็กๆ ก่อร่างสร้างตึกของตัวเองระหว่างที่โครงสร้างยังไม่ถูกวาง (ยังไม่รู้ว่าจะเรียนยังไง ไปถึงความรู้นั้นได้อย่างไร) เป็นจุดการเรียนรู้ที่ ถ้าเด็กๆ ไม่ได้รับการสนับสนุนแล้ว ก็คงไปยังจุดหมายนั้นหรือผ่านพื้นที่ ZPD ไม่ได้ และเมื่อโครงสร้างแข็งแรงดีแล้ว นั่งร้านจะถูกถอดออก และเด็กๆ จะเรียนรู้ต่อเนื่องไปได้ด้วยตัวเอง เมื่อถึงตอนนั้น หน้างานของครูจะค่อยๆ ลดลง

เพื่อกลับไปอธิบายว่า Scaffolding เป็นทางสายกลางของการสอนได้อย่างไร อยากอธิบายด้วยงานวิจัยของ Wood โดยเขาทำงานกับคุณแม่จำนวนหนึ่งในปีนั้น โดยให้คุณแม่ช่วยเด็กๆ สร้างโมเดลจำลอง 3 มิติ จัดกลุ่มการดูแลของคุณแม่ส่วนใหญ่ 3 แบบดังนี้

  • การสนับสนุนทั่วไป เช่น “ตอนนี้ลูกต้องทำต่อแล้วนะ”
  • สนับสนุนโดยลงรายละเอียด เช่น “ลองใช้บล็อก 4 ตัวนี้ดู”
  • อธิบายวิธีการภาพรวม เช่น แสดงให้เห็นว่าการต่อชิ้นส่วนเข้าด้วยกันทำยังไง

ผลวิจัยแสดงว่า วิธีที่ทำให้เด็กๆ สร้างโมเดลจำลองสำเร็จนั้นไม่ตายตัวและไม่ได้ใช้แค่วิธีใดวิธีหนึ่ง คุณแม่ที่ประสบความสำเร็จมักใช้วิธีหลากหลายตามแต่สถานการณ์ที่เด็กๆ กำลังเจอ เช่น เมื่อเด็กๆ กำลังทำได้ดี คุณแม่จะให้คำแนะนำ อย่างน้อยที่สุด เมื่อเด็กๆ ติดขัด คุณแม่จะให้คำแนะนำที่ลงรายละเอียดกระทั่งเด็กๆ ไม่สับสนและทำต่อได้ กล่าวได้ว่า Scaffolding ก็คือการสนับสนุนเด็กๆ เมื่อถึงช่วงที่พวกเขาต้องการและทำอย่างถูกจุด – บทเรียนไม่ยากเกินไป ไม่ง่ายเกินไป ซึ่งหากพวกเขาไม่ได้รับ เด็กๆ อาจไปไม่ถึงจุดที่ตั้งใจไว้ได้

อีกหนึ่งคำอธิบายโดย ดร.แคโรล ทอมลินสัน (Dr.Carol Ann Tomlinson) และ เจย์ แมคทิค (Jay McTighe) สองนักการศึกษาในประเด็น Scaffolding เสนอวิธีการ Scaffolding ไว้ดังนี้

  • ความชัดเจน: งานหรือโปรเจ็คท์ที่ครูให้ต้องชัดเจน รวมถึงการทำงานย่อยแต่ละโปรเจ็คท์ก็ต้องมีฟังก์ชั่นของมันชัดเจน และรู้ว่างานแต่ละชิ้นจะไปจบหรือรวมตัวกันเพื่อจุดประสงค์อะไร
  • ความเหมาะสม: งานหรือโปรเจ็คท์นั้นต้องยากและท้าทายพอ วิธีคิดของครูในการออกงานหรือโปรเจ็คท์นั้นต้องคิดไว้เสมอว่า ลำพังเด็กคนเดียวอาจทำไม่สำเร็จ แต่ต้องพึ่งการสนับสนุนบางอย่างจากครู
  • โครงสร้าง: ครูอธิบายโครงสร้างและปัญหาให้ผู้เรียนเห็นก่อนอย่างแจ่มชัด
  • ความร่วมมือ: หน้าที่ของครูไม่ใช่การประเมินหรือให้คะแนน แต่เป็นการให้ความร่วมมือ และครูควรตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของนักเรียนให้ช่วยอะไรก็ตาม ครูควรช่วยก็ต่อเมื่อเด็กๆ กำลังพยายามแก้ปัญหาอยู่
  • การฝังหรือผนึกความรู้: นั่งร้านจะถูกรื้อออก ก็ต่อเมื่อครูเห็นแล้วว่าเด็กๆ ฝังหรือผนึกความรู้ลงไปในเนื้อในตัวของพวกเขาแล้ว

นั่งร้านต้องทำหน้าที่สร้างความอุ่นใจ

ขีดเส้นใต้ว่า หนึ่งในเป้าหมายของ Scaffolding ครู ผู้เป็นนั่งร้าน ต้องช่วยลดความกังวล บรรเทาความท้อแท้ หรือความรู้สึกด้านลบขณะเด็กๆ ต้องเผชิญหน้ากับการเรียนรู้ที่พวกเขารู้สึกยากลำบาก มองให้ทะลุว่าในช่วงเวลานี้ เด็กๆ ต้องการตัวช่วยอะไรเพื่อให้เขาไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ

และให้อย่าง ‘พอดี’ อาจเรียกว่านี่คือความท้าทายสูงสุดของ Scaffolding

โดย Wood ให้คำนิยามเฉพาะของ Scaffolding ไว้ว่า ผู้สอนจะต้อง…

  • เพิ่มเติมหรือรักษาความอยากรู้อยากลองของเด็กๆ ในการพัฒนาศักยภาพหรือขณะการเรียนรู้
  • ช่วยคลี่คลายสถานการณ์การเรียนรู้หรือทำให้มันง่ายขึ้นได้
  • เจาะจงรายละเอียดหรือให้คำแนะนำที่ถูกจุดและชัดเจน
  • ช่วยคลี่คลายความกังวลของเด็กๆ
  • อธิบาย ‘ภาพรวม’ วิธีการหรือปัญหาที่เขากำลังเจอให้เห็นภาพ

ตัวอย่างวิธีการ Scaffolding

อันที่จริง Scaffolding มีหลากหลายวิธี อย่างที่กล่าวไปว่ามันคือการรวบรวมวิธีการสนับสนุนหลายอย่างตามแต่สิ่งที่ผู้เรียนต้องการขณะนั้น

แต่วิธีคิดเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในภาพรวม Scaffolding มีไอเดียใหญ่ๆ ว่า มันคือการตัดย่อยเนื้อหาในภาพรวม ดึงเนื้อหาออกเป็นก้อนเล็กๆ ให้เด็กเรียนรู้ จากนั้นจึงช่วยสนับสนุนให้เรียนรู้ด้วยวิธีคิดแบบ Scaffolding ในแต่ละพาร์ท ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพการ Scaffolding ดังนี้

1. เริ่มต้นบทเรียนด้วยเวอร์ชั่นง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แล้วค่อยเพิ่มความซับซ้อนของเนื้อหาเมื่อเห็นว่าเด็กๆ พร้อมเรียนรู้ขั้นตอนถัดไปแล้ว

ตัวช่วยคือ ครูซอยเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ หรือคิดง่ายๆ ว่า ซอยเนื้อหาที่เป็น ‘ซีรีส์’ ให้เป็น ‘มินิซีรีส์’ เพื่อช่วยให้เด็กๆ ไต่ระดับการเรียนรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ และการเรียนรู้แต่ละมินิซีรีส์ ผู้สอนคอยเช็คว่าเด็กๆ เข้าใจคอนเซ็ปต์แต่ละก้อนไหม ให้เวลาเด็กๆ เพื่อฝึกหรือพัฒนาความคิดกับเนื้อหาในมินิซีรีส์นั้นๆ และหากเจออุปสรรค ครูอธิบายภาพรวมว่าแก้ได้อย่างไร และอธิบายด้วยว่า ทักษะที่เด็กๆ ฝึกฝนอยู่นั้นนำไปใช้แก้ปัญหาเรื่องอื่นๆ ได้อย่างไร

2. ผู้สอนอธิบายคอนเซ็ปต์เรื่องที่จะสอนให้เห็นภาพ เห็นปัญหา เห็นทางเลือกต่อวิธีแก้ปัญหาให้เด็กๆ เลือกหยิบไปใช้ได้

วิธีการนี้เหมือนการ overview ให้เห็นภาพก่อนสอน อาจใช้สไลด์ กราฟิก อธิบายปากเปล่า หรือวิธีการใดๆ เพื่อให้นักเรียนเห็นภาพ สังเกตว่าในข้อนี้คือการ ‘ถ่ายทอดความรู้’ วิธีคลาสสิกที่ครูหลายคนยังเลือกหยิบกลับมาใช้ได้

3. ให้ตัวอย่างอย่างเป็นรูปธรรม

ก่อนปฏิบัติหรือทดลองแต่ละครั้ง ผู้สอนให้ตัวอย่างรูปธรรม และอธิบายว่าตัวแปรแต่ละอย่างสำคัญอย่างไร หากเป็นการทดลองวิทยาศาสตร์ ครูอาจทำให้เห็นเป็นตัวอย่างก่อนได้ วิธีคิดในข้อนี้เพื่อทำให้นักเรียนเห็นภาพรวม

4. ก่อนการสอน ครูอธิบายคำศัพท์ยากๆ ที่นักเรียนจะเจอจากบทเรียน

ครูลิสต์คำศัพท์ที่นักเรียนจะเจอในบทเรียนและคิดว่าเป็นคำที่พวกเขาจะสงสัยกับมันแน่ๆ ครูอาจชวนพูดคุยถึงความหมาย พูดคุยเกี่ยวกับบริบทในคำศัพท์นั้นๆ เวลาเด็กๆ ต้องทำงานหรือหาความรู้ในเรื่องนั้น พวกเขาจะมั่นใจและคุ้นเคยกับประเด็น เมื่ออ่านไม่ติดขัด ก็ยิ่งช่วยให้เขาเข้าใจเรื่องที่ศึกษาได้ดีขึ้น

5. ครูอธิบายเป้าหมายการเรียนรู้แต่ละซีรีส์และมินิซีรีส์

นอกจากอธิบายเป้าหมาย ครูต้องอธิบายขั้นตอนการเรียนรู้ที่วางไว้ทีละขั้นให้เด็กๆ เข้าใจ อธิบายวิธีการให้คะแนนและประเมินผล เมื่อเด็กๆ รู้เหตุผล รู้วิธีการเรียน รู้วิธีการประเมิน พวกเขาจะเข้าใจเหตุผลที่ครูให้งานแต่ละครั้ง วิธีการนี้สำคัญในแง่การลดความกังวลของเด็กๆ จากความไม่รู้ว่ากำลังเรียนอะไร จะประสบความสำเร็จในวิชานี้ต้องมีวิธีการอะไรบ้าง ขั้นตอนนี้ทำให้พวกเขาเห็นภาพรวม รู้และวางแผนตัวเองได้

6. ทุกครั้งที่จะเริ่มซีรีส์หรือมินิซีรีส์ของบทเรียนใหม่ ครูอธิบายว่าบทเรียนที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับบทเรียนใหม่อย่างไร

นอกจากนี้ควรอธิบายว่าทักษะที่นักเรียนได้จากบทเรียนที่ผ่านมา จะมีผลหรือนำไปใช้กับบทเรียนต่อไปหรืองานครั้งต่อไปได้อย่างไร

ที่มา:

edglossary.org

simplypsychology.org

edutopia.org

researchgate.net

ascd.org

Tags:

Scaffoldingครูเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    ‘นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว’ ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ด้วย Active Learning

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    ย่อยของยาก ซอยเป้าหมายให้ง่าย ครูช่วยได้ด้วย SCAFFOLDING

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์
Healing the traumaFamily Psychology
17 July 2019

เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • พ่อแม่ทุกคนมีปมบาดแผลที่ซ่อนอยู่ ปมนั้นเกิดประสบการณ์วัยเด็ก แต่การจะข้ามผ่านไปได้ ไม่ใช่การเก็บซ่อนหรือพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึก แต่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจในตนเอง ทบทวนและยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงให้ได้ จึงจะสามารถมองบาดแผลเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนโดยไม่นำปมปัญหามากำหนดเส้นทางชีวิต
  • ปมบาดแผลคือความทรงจำที่หลงเหลือจากเหตุการณ์สะเทือนใจในอดีต ซึ่งส่งผลต่อความคิด สภาพจิตใจ การมองโลก โดยสมองมนุษย์ตอบสนองต่อประสบการณ์ด้วยกลไกการจัดเก็บความทรงจำ 2 แบบคือ ความทรงจำโดยปริยาย และ ความทรงจำชัดแจ้ง 
  • ถ้าปมนี้ไม่ถูกสะสางจะเกิดภาวะความย้อนแย้งของพ่อแม่ (parental ambivalence) ได้ แม้จะรักลูกแต่ก็กลับอดทนกับการเลี้ยงลูกไม่ได้ ทำให้รู้สึกฝืน แสดงออกมาเป็นการเฉยชา เกิดอาการปั้นปึ่งใส่ลูกโดยไม่ตั้งใจ ผลที่ตามมา ลูกอาจมีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นศัตรูของพ่อแม่ และเติบโตไปเป็นพ่อที่ไม่มีความอดทนต่อลูก

‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ หมายความว่าพ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น คำกล่าวนี้สะท้อนว่า พ่อแม่เลี้ยงลูกจากบทเรียนที่ตนเองเคยประสบ มองเห็นหรือเข้าใจโลกอย่างไรก็ถ่ายทอดไปสู่ลูกอย่างนั้น

ดังนั้นการจะปลูกฝังเลี้ยงดูให้ลูกมองโลกอย่างเปิดกว้างและเข้าใจ มีพลังใจอันงดงามเต็มเปี่ยมที่จะรับมือกับชีวิต ตัวพ่อแม่เองต้องมีทัศนคติเชิงบวก ยอมรับและเข้าใจประสบการณ์เลวร้ายที่ตนเองเคยพบก่อนจึงจะสามารถถ่ายทอดความรักความอบอุ่นมั่นคงปลอดภัยและพลังใจให้กับลูกได้

พ่อแม่บางคนอาจแบกรับปมบาดแผลบางอย่างมาจากประสบการณ์ในวัยเด็ก การถูกทอดทิ้ง ขาดความอบอุ่น หรือถูกทารุณ บาดแผลทางกายใจที่ได้รับมาจากครอบครัวหรือการต้องทนเก็บกดความรู้สึกบางอย่างเช่น ความโกรธแค้น ความกลัว หรือความน้อยเนื้อต่ำใจ ถ้าไม่เคยเปิดหัวใจยอมรับเพื่อเยียวยาสะสาง เข้าใจ ให้อภัย ปมปัญหาที่ติดค้างจากอดีตมีแต่จะขมวดแน่นขึ้นและเหนี่ยวนำเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยบาดแผลคนนั้นให้กลายเป็นพ่อแม่ที่พร้อมจะสร้างบาดแผลแบบเดียวกันกับลูกเหมือนกับที่ตนเองเคยได้รับ

ตัวอย่างเช่นเด็กที่ถูกพ่อแม่ผละไปข้างนอกโดยไม่บอกกล่าวเพราะกลัวร้องงอแง จะเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัย หวาดระแวงฝังใจว่าจะถูกทิ้ง ยิ่งถ้าถูกผู้ใหญ่ในบ้านดุหรือห้ามไม่ให้ร้องไห้อีก นอกจากความกลัวถูกทิ้ง ยังถูกซ้ำเติมด้วยการผลักไสไม่เห็นใจ เด็กก็จะรับมือความเศร้าของตนเองโดยการเก็บกดความรู้สึกไว้แทน

พ่อแม่ที่ในวัยเด็กถูกทอดทิ้งในลักษณะนี้ เมื่อต้องแยกจากลูกจะเกิดอาการ panic เพราะจิตประหวัดไปถึงคราวที่ตนเองถูกทิ้งมาก่อน ความเครียดส่งผ่านไปสู่ลูก ลูกเองก็จะเครียดเมื่อต้องห่างแม่ด้วยเช่นกัน วนลูปไปเป็นลูกโซ่ 

การจะข้ามผ่านปมปัญหาได้นั้นไม่ใช่การเก็บซ่อนหรือพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึกไปจากความจริงที่เกิดขึ้น พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจในตนเอง (self-understanding) ทบทวนและยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง (reflecting) ให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถมองบาดแผลเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนโดยไม่นำปมปัญหาเหล่านั้นมาเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิต

การลบล้างปมบาดแผลในใจของพ่อแม่คือหนึ่งในคำแนะนำการเลี้ยงลูกจากหนังสือ Parenting from the Inside Out อันเป็นผลงานการจับปากกาเขียนร่วมกันระหว่างผู้อำนวยการเนิร์สเซอรีที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านแม่และเด็กซึ่งคลุกคลีกับเด็กๆ มากว่า 40 ปี แมรี ฮาร์ทเซล (Mary Hartzell) กับ คุณหมอ แดเนียล เจ. ซีกัล (Daniel J. Siegel) จิตแพทย์เด็กประจำมหาวิทยาลัยศูนย์การแพทย์แห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียหรือ UCLA ที่ผสมผสานความรู้ด้านการเลี้ยงลูก ทั้งจากแง่มุมความผูกพันปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวเข้ากับศาสตร์ความรู้ทางประสาทวิทยาว่าด้วยกลไกการทำงานของสมอง และจิตซึ่งทั้งสองด้านส่งผลต่อพัฒนาการทางกายใจตลอดเส้นทางการเติบโตของเด็ก 

บาดแผลที่ได้รับจากครอบครัว (Left over Issues)

ฮาร์ทเซล ผู้ซึ่งคลุกคลีกับเด็กๆ หลายสิบชีวิตในเนิร์สเซอรี และเข้าใจการเลี้ยงเด็กเป็นอย่างดี ก็พบว่าในบทบาทความเป็นคุณแม่ เธอเองก็มีบาดแผลในใจที่ได้รับจากแม่จอมเจ้ากี้เจ้าการและส่งต่อบาดแผลเดียวกันนั้นไปยังลูกโดยไม่รู้ตัว

ครอบครัวฮาร์ทเซลมีพี่น้องทั้งหมด 9 คน ทุกครั้งที่แม่ลูกต้องยกโขยงกันไปซื้อรองเท้าใส่ไปโรงเรียน แม่จะเคร่งเครียดและเจ้ากี้เจ้าการกับการเลือกรองเท้าของลูกๆ ทุกคนให้คุ้มค่า คุ้มราคามากที่สุด ติดที่เท้าของเธอเป็นไซส์มาตรฐานจึงมักได้รองเท้า sale เสมอ ในขณะที่พี่ๆ บางคนใส่เบอร์ธรรมดาไม่พอดีจึงมักได้คู่ที่แพงและแตกต่าง เธอน้อยใจแต่ก็รับรู้ว่าแม่เครียดเพียงใดที่ต้องจ่ายเงินจำนวนมากทุกครั้งที่พาไปซื้อรองเท้า

เมื่อเธอกลายเป็นคุณแม่ลูกสอง คิดว่าการพาลูกๆ ไปช็อปปิ้งกันกะหนุงกะหนิงคงเป็นช่วงเวลาแสนสุข แต่กลับกลายเป็นว่า เธอถอดแบบแม่ที่เจ้ากี้เจ้าการของตัวเองในอดีตมาเป๊ะๆ ติมันไปซะทุกอย่างจนลูกหมดสนุกและลงเอยที่ “แม่ก็เลือกเองเลยแล้วกัน” ออกไปช็อปปิ้งด้วยกันครั้งใด ต้องเหนื่อยหน่ายใจด้วยกันทุกครั้ง

กระทั่งวันหนึ่งเมื่อลูกถามตรงๆ ว่า “ตอนเป็นเด็กแม่ไม่ชอบเวลาได้ออกไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่เหรอครับ?” เพียงเท่านั้น ฮาร์ทเซลก็ถึงบางอ้อ ภาพความทรงจำอันอลหม่านที่แม่ของเธอหัวหมุนในวงล้อมของลูกๆ กับรองเท้ากองพะเนินก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง 

ใช่แล้ว! ความเครียดขมึงทึงที่แม่ส่งผ่านมาถึงเธอว่าเธอไม่มีสิทธิเลือกรองเท้าตามอำเภอใจยังคงหลอกหลอนฝังแน่นอยู่ในใจ เธอเดินตามแพทเทิร์นของแม่มาทั้งดุ้น เคร่งเครียดและเจ้ากี้เจ้าการอย่างเดียวกันกับที่แม่เธอทำ

การค้นพบปมฝังใจนี้โดยบังเอิญ ทำให้ฮาร์ทเซลได้กลับไปทบทวนทำความเข้าใจตัวเอง สามารถแยกแยะสถานการณ์ที่เกิดในอดีตของตัวเองออกจากปัจจุบัน และเกิดการตระหนักรู้จนในที่สุดสามารถก้าวข้ามปมบาดแผลมาได้

ปมความรู้สึกเก็บกด (Unresolved Issues)

ปมความรู้สึกเก็บกดมักรุนแรงกว่าบาดแผลที่พ่อแม่ถ่ายทอด เพราะต้นตอปัญหาเกิดภายในจิตใจจากความสัมพันธ์หรือประสบเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจมากจนถึงขนาดรู้สึกสิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยากในชีวิต หวาดกลัว พลังชีวิตถูกกัดกร่อน เช่น การที่ลูกถูกทอดทิ้งในลักษณะที่ซับซ้อนรุนแรงกว่าข้างต้น คือถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตตามลำพังเพราะแม่ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ถูกส่งต่อเวียนตามบ้านญาติไปเรื่อยๆ พร้อมกับสภาพจิตใจแห้งแล้ง ไม่มั่นคง ขาดความอบอุ่น

เด็กที่เติบโตด้วยปมความรู้สึกนี้ฝังใจมายาวนานโดยไม่เคยสะสางความรู้สึกตนเอง ก็จะเติบโตไปเป็นแม่ที่เข้าหาลูกยาก ไม่สามารถสร้างความผูกพันเพราะตัวเองไม่เคยได้รับเช่นกัน

คุณหมอซีกัลเองก็แชร์ว่าเขามีปมความรู้สึกเก็บกดแบบนี้เช่นกัน ความหวาดกลัวรุนแรงจะปะทุขึ้นทุกครั้งเมื่อเห็นลูกร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุ คุณหมอเล่าว่าวันหนึ่งขณะพาลูกชายตัวน้อยไปปิกนิก จู่ๆ เมื่อลูกเริ่มร้องไห้ อาการหวาดผวารุนแรงอย่างประหลาดก็จู่โจม เหงื่อซึมสองมือ แม้รู้ว่าควรปลอบลูก แต่ยังไงๆ ก็ทำไม่ได้ เกิดความรู้สึกอยากเดินหนีไปซะดื้อๆ

คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าในวัยเด็กเขาเคยประสบเหตุการณ์อะไรหนอจึงหวาดผวากับเสียงร้องไห้นี้ เดาว่าอาจเป็นเพราะพ่อแม่เคยปล่อยให้ร้องไห้อย่างนี้ละมังแต่ก็จำไม่ได้ เพราะสมองของเด็กเล็ก กลไกการทำงานของสมองส่วนความจำยังพัฒนาไม่เต็มที่ แต่แม้จะพยายามทำความเข้าใจตัวเองเพียงใดกลับไม่สามารถเยียวยาอาการหวาดผวามือสั่นเมื่อได้ยินเสียงลูกร้องให้บรรเทาลงไปได้เลย แถมยังหนักขึ้นทุกครั้งจนกลายเป็นความรู้สึกต่อต้านการอยู่กับลูก

แม้พยายามทำความเข้าใจตัวเองแต่อาการก็ไม่หายไป เพราะเขายังไม่ค้นเจอเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอของปมอย่างแท้จริง จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อลูกร้อง เขาไม่เดินหนีอีกต่อไป พยายามหาคำตอบโดยการหลับตาเพ่งไปที่ความกลัวที่ผุดขึ้นในใจอย่างจดจ่อ ไม่เบนความสนใจไปจากเสียงร้องของลูก เสียงลูกน้อยร้องไห้จ้า คุณหมอหลับตามองไปที่ใจตัวเองว่าเขากำลังกลัวอะไรกันแน่

ภาพที่เห็นด้วยใจกระจ่างชัด เสียงกระจองอแงไม่ได้มาจากลูก แต่มาจากคนไข้เด็กที่ร้องสุดเสียงด้วยพิษไข้และเจ็บปวดที่เขากับเพื่อนกุมารแพทย์เมื่อครั้งยังเป็นแพทย์ฝึกหัดกำลังตรึงแขนเล็กๆ นั้นเพื่อเจาะเลือด ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นท่ามกลางเสียงเด็กร้อง สิ่งที่คุณหมอต้องทำระหว่างปฏิบัติหน้าที่รักษาเด็กๆ ที่เจ็บป่วยเหล่านั้นคือการเก็บกดความรู้สึกสงสารเห็นใจ ความรู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุให้เด็กร้องไห้เพราะต้องทำงาน (รักษา) ให้เสร็จ ตลอดการฝึกหัด คุณหมอโฟกัสเฉพาะแค่ประสบการณ์ที่ดีโดยลืมไปว่ามีความเจ็บปวดที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้ลึกสุดใจ

มาวันนี้เขาพบแล้วว่าต้นตอความหวาดกลัวในใจไม่ได้มาจากเสียงร้องของลูกน้อยตรงหน้า แต่เป็นเสียงสะท้อนที่ก้องมาจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจในคราวนั้น

ทำไมปมนี้ถึงเพิ่งมาปรากฏเอาเมื่อตอนได้ยินลูกร้องไห้ ก็เพราะปัจจัยที่กระตุ้นการระลึกความทรงจำที่เป็นปมนี้ คือการได้ประสบกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำนั้น (อยู่กับเด็กที่กำลังร้องไห้) มีแก่นของประสบการณ์พ้องกับความทรงจำ (เด็กร้องไห้) จังหวะชีวิตที่ต้องทำบางอย่างดังที่เคยทำในความทรงจำหรือเจอบุคคลที่อยู่ในความทรงจำที่เป็นปมนั้นอีกครั้ง หรือสภาพจิตใจขณะระลึกความทรงจำพ้องกันกับเมื่อตอนเกิดปมปัญหา (รู้สึกทุกข์ใจเมื่อเด็กร้องไห้)

ด้วยความที่เป็นจิตแพทย์ คุณหมอซีกัลอธิบายกลไกการทำงานของสมองที่เกี่ยวพันกับความทรงจำที่เป็นปมบาดแผลว่า การที่เขาจำอะไรไม่ได้ในตอนแรกเป็นเพราะจิตของเขาค้นหาความทรงจำที่เกิดกับตนเองเชิงเหตุการณ์ในห้วงเวลาต่างๆ (เรียกว่า autobiographical memory-จะกล่าวถึงต่อไป) ในขณะที่ช่วงเวลาการเป็นแพทย์ฝึกหัดไม่ได้ถูกเข้ารหัสเป็นความทรงจำลักษณะนี้ เพราะในตอนนั้นกลไกเพื่อความอยู่รอดของเราจะเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเรื่องที่เราหวาดกลัวโดยอัตโนมัติ ความเครียดจะไปหลั่งฮอร์โมนบางอย่างที่ขัดขวางการทำงานของสมองส่วนที่ผนึกความทรงจำด้าน autobiographical ผลคือสมองของเขาในขณะทำหน้าที่แพทย์ฝึกหัดจอมเย็นชาผนึกความทรงจำเลวร้ายนั้นมาในรูปแบบจิต (ศัพท์เทคนิคเรียกว่า mental modes) คือความรู้สึกผิด หวาดกลัว หดหู่ โดยไม่มีรายละเอียดของเหตุการณ์อยู่เลย 

คุณหมอมองว่า ปมบาดแผลนี้น่าจะถูกสะสางไปตั้งแต่เขาฝึกงานจบ ถ้าหากเขาหยุดคิดทบทวนกับตัวเองสักหน่อยว่าเด็กเหล่านั้นเจ็บและกลัวขนาดไหน ภายใต้หน้ากากความเย็นชานิ่งเฉยของคุณหมอนั้นตัวเองกลัดกลุ้มและเป็นทุกข์มากเพียงใด ให้อภัยตัวเองว่าที่ทำไปเพราะจำเป็นต้องรักษาชีวิตหนูน้อยเหล่านั้น

มาบัดนี้เมื่อความรู้สึกที่ถูกกดไว้ปะทุขึ้นในต่างวาระต่างโอกาส เขาในฐานะพ่อต้องทำความเข้าใจพร้อมกับต่อสู้กับกลไกความอยู่รอดที่พยายามผลักให้หนีจากเสียงร้องและหลีกเลี่ยงการเข้าไปรับรู้ความเปราะบางของลูก ซึ่งโน้มนำให้แสดงพฤติกรรมที่สามารถทำร้ายจิตใจลูก

หนทางการสะสางปมนี้ คุณหมอใช้วิธีพยายามเล่าย้อนความทรงจำช่วงเป็นแพทย์ฝึกหัดให้เพื่อนฟังและจดบันทึกอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจอย่างตรงไปตรงมาเมื่อได้ยินเสียงลูกร้องไห้ อาการทางกายเช่น ปั่นป่วนในช่องท้อง คลื่นไส้ ครั่นเนื้อครั่นตัว และมือสั่น เกิดขึ้นทุกครั้งที่พยายามเข้าไปเยียวยาต้นตอความกลัวนั้น

เขาอธิบายว่าวิธีระบายความรู้สึกที่กดไว้ผ่านการพูดและเขียนช่วยให้เขาค่อยๆ ยอมรับตัวเองทีละนิด ตระหนักได้ว่าในห้วงขณะนี้เขาไม่ใช่คุณหมอที่กำลังปฏิบัติภารกิจ ลูกร้องไห้เพราะความเปราะบางและต้องการที่พึ่งเป็นธรรมชาติของเด็ก เขาเปิดรับบทบาทหน้าที่พ่อที่สามารถปลอบโยนลูกและเป็นอิสระจากความรู้สึกผิดบาปที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้ในลิ้นชักความทรงจำได้เสียที

คุณหมอชี้ว่าถ้าปมนี้ไม่ถูกสะสางจะเกิดภาวะความย้อนแย้งของพ่อแม่ (parental ambivalence) ได้ คือ แม้จะรักลูกแต่ก็กลับอดทนกับการเลี้ยงลูกไม่ได้ ความรู้สึกฝืนทนจะส่งผ่านไปยังลูก โดยแสดงออกมาเป็นการเฉยชาต่อความรู้สึกของลูกหรือออกอาการปั้นปึ่งใส่ลูกโดยไม่ตั้งใจ

ผลที่ตามมาคือ ลูกอาจมีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นศัตรูของพ่อแม่ติดตัว และเติบโตไปเป็นพ่อที่ไม่มีความอดทนต่อลูกอย่างที่เขาเคยได้รับการปฏิบัติมาเช่นกัน

ถอดรหัสความทรงจำ สะสางปมปัญหา

กล่าวได้ว่าปมบาดแผลคือความทรงจำที่หลงเหลือจากเหตุการณ์สะเทือนใจในอดีตซึ่งส่งผลต่อความคิด สภาพจิตใจ การมองโลกความเป็นไปในปัจจุบัน การทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสมองส่วนจัดเก็บความทรงจำอาจเป็นกุญแจไขไปสู่คำตอบว่าทำไมเราจึงสั่งสมปมบาดแผลเหล่านั้นไว้ในใจและทำอย่างไรจึงจะลบล้างเยียวยามันได้

ตั้งแต่แรกเกิด สมองก็สามารถตอบสนองสภาวการณ์รอบตัวได้แล้วโดยเซลล์ประสาทในสมองที่เรียกว่า neuron แลกเปลี่ยนคลื่นสัญญาณระหว่างกัน การเชื่อมต่อกันของเซลล์ก่อเกิดเป็นกลไกที่ทำหน้าที่จดจำและแตกแขนงเป็นโครงสร้างส่วนต่างๆ ที่เชื่อมโยงหน้าที่แตกต่างกันไว้ ทั้งหมดทั้งปวงของกลไกสมองที่ก่อร่างขึ้นนั้นคือจิตใจ (mind) นั่นเอง

และเพราะกลไกการเชื่อมต่อของเซลล์เกิดเป็นวงจรการทำงานในสมองและความทรงจำเกิดขึ้นด้วยการตอบสนองต่อประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นพัฒนาการสมองและจิตใจของบุคคลนั้นๆ จึงได้รับอิทธิพลมาจากประสบการณ์ที่ได้รับนั่นเอง 

สมองตอบสนองต่อประสบการณ์ด้วยกลไกการจับเก็บความทรงจำ 2 แบบคือ 

  • ความทรงจำโดยปริยาย (Implicit Memory)
  • ความทรงจำชัดแจ้ง (Explicit Memory)

ความทรงจำโดยปริยาย เป็นความทรงจำที่เป็นข้อมูลซึ่งถูกจัดเก็บผ่านการทำงานทางจิต (mental models) ไม่ผ่านสมองส่วนคิดตริตรอง จิตบันทึกมาเฉพาะความรู้สึกล้วนๆ มาโดยไม่มีพื้นเรื่องราวเหตุการณ์มาด้วยและเป็นไปโดยไม่รู้ตัว เช่น เด็กที่แม่คอยอยู่ฟูมฟักดูแลจะ ‘จดจำ’ ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เมื่อรู้สึกกลัว กลไกทางจิตที่จดจำความผูกพันนั้นก็จะสั่งการให้ร้องหาแม่โดยอัตโนมัติ กล่าวกันว่าความทรงจำประเภทนี้อาจเกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นทารกน้อยในครรภ์เลยก็ว่าได้

การจดจำด้วยจิตนี้เปรียบเสมือนเลนส์แว่นตาที่เหนี่ยวนำการมองเห็นและพฤติกรรมที่มีต่อโลกรอบตัวของบุคคล เราจะค่อยๆ พัฒนาวิธีการมองโลกและตัวตนแรกเริ่มขึ้นจากความทรงจำโดยปริยายนี้ บางครั้งปมบาดแผลที่เกิดจากเหตุการณ์สะเทือนใจบางอย่างอาจถูกจัดเก็บเป็นความทรงจำแบบนี้ได้ด้วยการหลั่งฮอร์โมนบางตัวด้วยความกลัวหรือเครียดถึงขีดสุด รวมทั้งกลไกเอาตัวรอดของร่างกายที่เบนความสนใจไปจากความกลัว (เช่นกรณีของคุณหมอ) ด้วยเหตุนี้จึงมีพ่อแม่หลายคนที่คิดและแสดงออกทางลบด้วยปมบาดแผลจากอดีตโดยไม่รู้ตัวหรือให้นึกสาเหตุเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

ความทรงจำชัดแจ้ง เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นเมื่อสมองส่วนที่ชื่อว่า Hippocampus พัฒนาเมื่อเด็กอายุได้ 2 ขวบ สมองส่วนนี้ทำหน้าที่จัดเก็บความทรงจำเป็นความหมายหรือความรู้ด้านต่างๆ (Semantic Memory / Factual Memory) เช่น รู้จักคำว่าพ่อแม่ กิน หิว นับเลข หรือ จำ ก-ฮ ได้ กับทั้งสามารถจำรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตนเองประสบตามช่วงเวลา (Autobiographical Memory) เช่น เข้ามหาวิทยาลัย เรียนจบ บวช แต่งงาน ภรรยาตั้งครรภ์ เป็นต้น

ความทรงจำ Autobiographical Memory นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับการทำงานของสมองส่วนหน้าสุดที่อยู่หลังกะโหลกหน้าผากเรียกว่า Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Hippocampus ซึ่งเริ่มพัฒนาเมื่อเข้าขวบปีที่ 2 นั่นเอง ดังนั้น สาเหตุที่เราจดจำเหตุการณ์ตอนแบเบาะหรือช่วงก่อนสองขวบไม่ได้เลย (ทางการแพทย์เรียกว่าช่วง childhood amnesia) มาเริ่มจำได้คลับคล้ายคลับคลาเอาก็เมื่อช่วงเข้าโรงเรียนแล้ว และความทรงจำในช่วงนั้นก็กระท่อนกระแท่น เช่น จำได้ว่าโดนหมากัดแต่ก็ลงรายละเอียดได้ไม่แน่ชัด นี่ก็เป็นเพราะสมองส่วนที่สามารถเก็บความทรงจำที่เป็นรายละเอียดช่วงเวลาได้เพิ่งเริ่มทำงานตอนสองขวบ

นอกจากสมองส่วน Prefrontal Cortex ทำหน้าที่จดจำเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเอง มันยังทำหน้าที่คิดตริตรองการเข้าใจความรู้สึกตนเอง (self-awareness) การเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (mindsight) การเลือกตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างเหมาะสม (response flexibility) และการยับยั้งชั่งใจ (regulation of emotions) ด้วย

ความรู้ตรงนี้สำคัญกับพ่อแม่มาก! เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าลูกในวัยเบบี๋สามารถรับรู้ความรู้สึกผูกพัน มั่นคง อบอุ่น ปลอดภัยได้แม้สมองจะยังไม่สามารถจำเหตุการณ์เป็นเรื่องราวเลยด้วยซ้ำ (ด้วยความทรงจำโดยปริยาย) 

ดังนั้น การให้ลูกได้รับความอบอุ่นและสร้างความผูกพันในช่วงเริ่มต้นของขวบปีจึงมีความสำคัญมากเท่าๆ กับการสร้างความทรงจำทางประสบการณ์ที่ดี อันเป็นพื้นฐานอันแข็งแกร่งมั่นคงสำหรับพัฒนาการทางใจที่จะกอปรรูปร่างเป็นตัวตนของเขาต่อไปในอนาคต

ในขณะเดียวกัน การจะสะสางเยียวยาปมบาดแผลของพ่อแม่ได้ก็เกี่ยวพันกับความสามารถในการเข้าถึงความทรงจำที่เป็นต้นตอเหล่านั้นด้วย เช่น จากเคสของคุณหมอซีกัล ประสบการณ์ช่วงเป็นแพทย์ฝึกหัดส่งผลกระทบต่อการบันทึกความทรงจำแบบชัดแจ้ง ความเครียดสุดจิตสุดใจในขณะนั้นบล็อกสมองส่วน Hippocampus ไม่ให้ทำงานเต็มที่ กลไกเอาตัวรอดเบนสติสัมปชัญญะออกจากความทุกข์ ความทรงจำที่เป็นต้นเหตุของปมเฉพาะที่ทำให้ผู้ป่วยร้องไห้จึงถูกบันทึกผ่านจิตใจในรูปความทรงจำโดยปริยาย แทนที่จะเป็นความทรงจำแบบชัดแจ้ง คุณหมอจึงรู้สึกต่อต้านการแสดงความอ่อนโยนเมตตากับเด็กโดยนึกถึงสาเหตุไม่ออก เมื่อจับเศษเสี้ยวความทรงจำทางความรู้สึกนั้นมาทำความเข้าใจที่มาที่ไปและสถานการณ์แวดล้อมของมัน เกิดกระบวนการที่สมองส่วน Prefrontal Cortex เข้ามาประมวลความทรงจำโดยปริยายที่เก็บไว้ คุณหมอก็เกิดความเข้าใจในตนเอง จนสามารถสะสางคลี่คลายปมความรู้สึกที่ถูกกดทับไว้ผ่านการตระหนักรู้ในที่สุด 

พ่อแม่ทุกคนมีปมบาดแผลติดตัวกันมาไม่มากก็น้อย ถ้าไม่สะสางคลี่คลายปม บาดแผลที่หลงเหลือติดค้างก็จะถูกถ่ายทอดเป็นวัฏจักรต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า พ่อแม่ที่เข้าใจตัวเองยิ่งเลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ การตั้งสติชั่วขณะหนึ่งเพื่อทบทวนปฏิกิริยาที่เราจะตอบสนองกับลูกคือหนทางยับยั้งการสร้างปมบาดแผลต่อเนื่อง การถักทอสายใยพ่อแม่ลูก ความอบอุ่นผูกพันในครอบครัวเริ่มต้นได้จากการโอบกอดปมบาดแผลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง เรียนรู้แง่มุมที่สวยงามของมันด้วยความเข้าใจและยอมรับ

ที่มา:

Daniel J. Siegel, M. a. (2004). How We Remember: Experience Shapes Who We Are . In Parenting from the Inside Out (pp. 1-30). New York: tarcherperigee.

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Parenting from the Inside Out

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • BookFamily Psychology
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน
Learning Theory
15 July 2019

ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

เด็กมักไม่เข้าใจประชาธิปไตย ? ประชาธิปไตยเป็นเรื่องไกลตัวเด็ก ? จริงหรือ…?

ในเมื่อห้องเรียนคือโลกจำลองของสังคม ห้องเรียนจึงกลายเป็นพื้นที่ที่นักเรียนเรียนรู้ประชาธิปไตยได้ยอดเยี่ยมที่สุด

และครูมีบทบาทสำคัญในการสอนเรื่องประธิปไตยให้นักเรียนได้ โดยผ่านวิธีง่ายๆ เช่น การให้นักเรียนผลัดกันได้ทดลองเป็นหัวหน้าห้อง เพื่อให้เด็กไม่รู้สึกยึดติดกับอำนาจและสอนให้เขาฝึกตัวเองให้เป็นผู้นำและผู้ตามไปพร้อมๆ กัน หรือการใช้กระดาษโพสต์อิท (Post-it) เป็นตัวแทนเสียงของนักเรียน เพราะสิ่งที่เป็นฐานคิดแรกของเรื่องประชาธิไตย นั่นคือ การทำให้นักเรียนทุกคนสามารถออกเสียงของตัวเองออกมา สามารถพูดข้อเสนอแนะของตัวเองได้ หรือถ้าครูทำอะไรไม่ถูกต้อง นักเรียนก็สามารถเขียนบอกผ่านกระดาษได้

อ่านบทความ ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน ได้ ที่นี่

Tags:

ครูพลเมืองเทคนิคการสอนประชาธิปไตย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    อยากเห็นเด็กๆ โตเป็นพลเมืองที่ดี การเมืองต้องเป็นเรื่องที่พูดได้ เถียงได้ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ PHAR

  • Learning Theory
    ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

เกตุวดี MARUMURA: แม้พื้นที่น้อย แต่ PUBLIC SPACE ในญี่ปุ่นกว้างมาก
Space
12 July 2019

เกตุวดี MARUMURA: แม้พื้นที่น้อย แต่ PUBLIC SPACE ในญี่ปุ่นกว้างมาก

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • คุยกับ เกตุวดี Marumura ในประเด็นพื้นที่สาธารณะ ในฐานะอดีตนักเรียนทุนญี่ปุ่น อาจารย์มหาวิทยาลัยและนักเขียนที่มีผลงานมากมายเกี่ยวกับญี่ปุ่น 
  • public space อยู่แทบทุกที่ในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ในเมือง คอนโดสูง หรือชุมชนต่างจังหวัด 
  • สิ่งที่ทำให้ public space ในญี่ปุ่นเข้มแข็ง สรุปคร่าวๆ ได้ 4 ข้อ คือ 1. วัฒนธรรมการเรียนรู้ ที่ปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ผ่านวิธีการสอนจากครอบครัว 2. สถาบันอื่นๆ ไม่ว่าจะโรงเรียน ชุมชนหรือภาคเอกชน มีนโยบายการส่งเสริมให้ public space แข็งแรงขึ้น 3. รัฐบาลและท้องถิ่นมองเห็นความสำคัญและสนับสนุนให้เกิด public space เสมอ 4. ระบบเศรษฐกิจและการตลาดที่ไม่ทอดทิ้ง public space

ทำไมเราไม่แปลกใจเมื่อเห็นเด็กญี่ปุ่นเดินทางไปไหนมาไหนเองคนเดียว หรือกับกลุ่มเพื่อน ด้วยขนส่งสาธารณะที่ดีทั้งรถประจำทางและรถไฟ 

ทำไมแม่ๆ ถึงต้องตื่นเช้า ทำข้าวกล่องหรือเบนโตะให้ลูกไปกินที่โรงเรียนทุกมื้อกลางวัน 

ทำไมเทศกาลชมดอกซากุระจึงเป็นเรื่องสำคัญและถูกยกระดับให้เป็นกิจกรรมของครอบครัว ทุกๆ โกลเด้นวีค (เทศกาลวันหยุดยาวประจำปี)

และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย ญี่ปุ่นมีพื้นที่น้อยกว่า 1.5 เท่า และมีประชากรมากกว่าถึง 2 เท่า 

ญี่ปุ่นสร้างวัฒนธรรมเหล่านี้ได้อย่างไร ทำไมถึงหา ‘พื้นที่สูดหายใจ’ ได้มากกว่า 

คุยกับ ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ (เกด) อดีตนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ผู้ใช้ชีวิตในช่วงวัยเรียนมหาวิทยาลัย ตรี-โท-เอก นานกว่า 8 ปี เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต จนพบว่าสิ่งที่ทำให้หลงใหลไปกับประเทศนี้ นอกจากรอยยิ้มและความใจดีของคนแล้วคือหลักคิดการทำธุรกิจแบบยั่งยืน 

ทั้งหมดนี้ดุนหลังให้มาเป็นอาจารย์ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีผลงานด้านการเขียนออกมาให้เห็นอีกมากมาย ภายใต้ชื่อ เกตุวดี Marumura

จุดเริ่มต้นกับการไปเรียนที่ญี่ปุ่น

เมื่อ 20 ปีที่แล้วก่อนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เรารู้สึกว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเสน่ห์มากๆ ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้จักญี่ปุ่นมากนัก แต่ถือว่าเป็นประเทศในเอเชียที่พัฒนามาก จีนเองก็ยังไม่ผงาดและยังไม่โดดเด่นเท่าญี่ปุ่น ซึ่งคนไปเรียนต่อในยุคนั้น ส่วนใหญ่มักเลือกทางอเมริกา-ยุโรป มากกว่า แต่เรากลับรู้สึกว่าคนเลือกไปฝั่งนั้นเยอะมากแล้ว อีกอย่างมีความคิดว่าแนวคิดแบบฝรั่งจะเอามาประยุกต์ใช้กับบ้านเราได้จริงหรือ ก็เลยอยากลองเลือกอะไรที่แตกต่าง 

ตอนเด็กมีฝันอะไร ทำไมต้องไปเรียนถึงญี่ปุ่น

อยากพัฒนาประเทศ อยากเป็นนายกรัฐมนตรี (หัวเราะ) อยากทำให้ประเทศดีขึ้น เราจะรู้สึกเศร้าเวลาเห็นคุณยายสูงอายุมานั่งขายพวงมาลัย อีกอย่างหนึ่งคือคุณพ่อ-คุณแม่ ทำงานบริษัทญี่ปุ่นเลยคุ้นเคยกับญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็ก ตัวการ์ตูนญี่ปุ่น ขนมญี่ปุ่น เรารู้สึกว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใกล้ตัวเรา บวกกับความชอบส่วนตัวเราด้วย และอยากออกไปเรียน ตัดสินใจไปเรียนที่นู่น 

ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นตัวไหน 

(หัวเราะ) บอกไปก็อายเหมือนกัน เราชอบ ‘เครยอนชินจัง’ นอกจากความตลกของการ์ตูนเรื่องนี้ เรารู้สึกว่าการ์ตูนชินจังสามารถเล่าชีวิตของคนญี่ปุ่นออกมาได้อย่างมาก ขนาดตัวเราเองที่ไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งนาน ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันมีวันเนื้อลดราคา แต่เรารู้เรื่องนี้ได้จากการอ่านการ์ตูนชินจัง หรือว่าถั่วนัตโตะ (ถั่วหมัก) ที่เจอในการ์ตูน เราไม่คิดว่าคนญี่ปุ่นจริงๆ เขาจะชื่นชอบและรับประทานกันได้มากขนาดนี้ เพราะสมัยนั้นคนก็รู้จักแค่ซูชิ เทมปุระ ไม่มีใครพูดถึงถั่วหมัก หรือแม้กระทั่งชุดนักเรียนที่เห็นในการ์ตูนมันก็ดูน่ารักไปหมด ทุกอย่างมันดูว้าวและถ่ายทอดชีวิตคนญี่ปุ่นออกมาได้เป็นอย่างดี

พอไปสัมผัสญี่ปุ่นจริงๆ มันเหมือนหรือต่างจากที่เราอ่านมาจากการ์ตูนไหม

เหมือนนะ แต่มันเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราจริงๆ เช่น เรารู้ว่าคนญี่ปุ่นขยัน แต่พอไปอยู่จริงๆ เขาขยันมาก เราเคยอยู่ชมรมดนตรีเล่นกีตาร์ มันมีงานแสดงแค่คอนเสิร์ตเล็กๆ จัดแสดงในโรงเรียน แต่เขาซ้อมกันอย่างดี ซ้อมกันเอาเป็นเอาตาย เช้ายันเย็น มันเลยทำให้เรารู้สึก “อ๋อ ไอ้ที่เขาบอกว่าคนญี่ปุ่นขยัน มันต้องขยันประมาณนี้เนอะ” ทำให้เราซึมซับและเห็นภาพชัดขึ้นมากกว่า

เพราะเหตุผลใดบ้างถึงทำให้เขามีวัฒนธรรม ‘มุ่งมั่น’ แบบนี้

หลักๆ น่าจะเป็นเพราะการศึกษา เป็นวิธีสอนคนแบบญี่ปุ่น วิธีสอนของพ่อแม่ญี่ปุ่นมีความต่างกับที่ไทยเล็กน้อย พ่อแม่ไทยจะห่วงลูก ดูแลดี ส่วนพ่อแม่ญี่ปุ่นจะปล่อยให้เด็กคิดเอง ทำเองค่อนข้างมาก สื่อและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ก็มีส่วน ในละครไทย พระเอก-นางเอก รักกันแง่งอนกัน น่ารักๆ แต่ญี่ปุ่นละครแทบทุกเรื่องมักจะมีเรื่องอาชีพแฝงอยู่ในเนื้อเรื่อง เช่น ทนายความที่สู้เพื่ออะไรบางอย่าง หรือ นายธนาคารที่สู้เพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ละครเอง inspire เราตลอดเวลา

สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเห็นเฉดของการทำงานในแต่ละอาชีพ เช่น พนักงานขายคอนโด เราคิดว่ามันไม่น่าสนใจ แต่ญี่ปุ่นสามารถทำให้เห็นว่าผู้ขายคนนี้เข้าใจ user ได้ขนาดไหน เข้าใจความต้องการที่ไม่มีใครเห็นได้ และทำมุมมองออกมาได้อย่างน่าสนใจ เราคิดว่าด้านสื่อ และสิ่งแวดล้อม จะทำให้คนญี่ปุ่นขยัน ทำให้มองเห็นว่าทุกอาชีพมีเป้าหมาย

อย่างที่สอง คือการสอนของพ่อแม่ญี่ปุ่น มันจะมีคำพูดติดปากของแม่ญี่ปุ่นที่มักจะบอกลูกว่า ‘กัมบารุ’ หมายถึง ‘พยายามนะ-สู้สู้นะ’ แทนที่จะชมว่า ลูกเก่ง การชมเด็กด้วยคำว่าพยายามนะ จะทำให้เด็กมีความรู้สึกอยากพยายามเข้าไปอีก

อย่างที่สาม ครูในญี่ปุ่นเองก็มักจะไม่ค่อยชม หรืออวยเด็กมาก ยิ่งกรณีที่เด็กโตแล้ว เช่น เด็กมัธยม เด็กมหาวิทยาลัย หากเด็กคนไหนเก่งและทำได้แล้ว ก็จะนิ่งๆ ไว้ อยากให้เด็กทำได้อีก หากเด็กยังทำไม่ได้ก็จะเข้าไปช่วยฝึกจนเด็กทำได้ด้วยตัวเอง

บทบาทของครูเอง ก็สำคัญในการสร้างคน เราคนไทย ชินกับการที่คุณครูสั่งให้เราทำการบ้าน ทำรายงานส่ง บางที ครูก็พาเราไปทัศนศึกษาใช่ไหมคะ ครูญี่ปุ่นก็ทำ แต่รูปแบบจะแตกต่างนิดหนึ่ง

ตัวอย่างเช่น วันนี้ครูญี่ปุ่นจะพาเด็กไปทัศนศึกษา ใครอยากรู้อะไร อยากดูอะไร ไปหาข้อมูลมาและเขียนเส้นทางออกมาเสนอครูได้เลย ซึ่งวิธีการนี้ไม่ใช่การสั่งให้เด็กเดินตามครู เด็กจะคิด ได้วางแผน ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองสนใจจริงๆ นี่คือสิ่งที่เป็นจุดต่าง เมื่อเด็กญี่ปุ่นโตขึ้นมากลายเป็นว่า เขาจะสนุกกับการหาข้อมูล สนุกกับการคิด สนุกกับการลงมือทำ กล้าคิดกล้าทำมากขึ้น โดยเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองชอบ และจะนำพาความขยันเข้ามาเองเหมือนกับว่าเด็กญี่ปุ่นถูกเลี้ยงมาโดยให้พื้นที่มาตั้งแต่แรกเลย

แล้วในแง่ของครอบครัวญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง 

ตอบโดยทั่วๆ ไป ญี่ปุ่นมีความน่ารักอย่างหนึ่ง คือ คุณแม่ญี่ปุ่นมักจะทำอาหารให้ลูก ดูได้จากซีรีส์ญี่ปุ่น จะเห็นฉากทำอาหาร ทำให้ตัวเองทาน ทำให้ลูก ทำให้สามี ถ้าเด็กคนไหนที่หิ้วข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อไป ครูจะตั้งข้อสังเกตแล้วว่าที่บ้านเด็กสถานการณ์โอเคดีไหม ทำไมแม่ถึงไม่ทำเบนโตะให้ลูก 

ส่วนการกดดันในเรื่องเรียน เราเชื่อว่าในญี่ปุ่นมีคุณแม่หลายแบบ 1. แม่ที่ปูทุกอย่างในชีวิตให้ลูก (education mama) อยากให้เรียนจบสูงๆ ส่งเรียนกวดวิชา อยากให้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ เข้าทำงานบริษัทใหญ่ๆ แต่ด้วยความที่ญี่ปุ่นเขาให้เกียรติคนทุกอาชีพอยู่แล้ว ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นพนักงานดับเพลิง คุณต้องเรียนไม่เก่ง 

เพียงแต่ว่าช่วงเศรษฐกิจไม่ดี พ่อแม่หลายๆ คน ก็อยากให้ลูกทำงานราชการมากขึ้น เพราะงานราชการ เงินเดือนมั่นคง ไม่ได้ถึงขั้นต้องบังคับลูกให้เป็นอาชีพใด 

เราว่าพ่อแม่เด็กไทยมีผลต่อความคิดลูกมากๆ จากประสบการณ์ที่เคยเห็น ลูกอยากทำงานแบบนี้ พ่อแม่ก็จิ้มเลยให้ไปเข้าบริษัทนี้นะ แต่ญี่ปุ่นไม่ถึงขั้นนั้น ยังปล่อยให้เด็กเลือกเองอยู่บ้าง 

การมอบ space ให้ลูกแบบครอบครัวญี่ปุ่น คือการให้ลูกพึ่งพาตนเอง มันมีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง 

แล้วแต่วัฒนธรรมเลยค่ะ เขาก็ชินแบบนี้ ของไทยเราก็พึ่งพิงกัน พ่อแม่ดูแลลูกสุดๆ แล้วพอพ่อแม่แก่ ไม่ไหวจริงๆ ลูกก็มาดูพ่อแม่สุดๆ ซึ่งญี่ปุ่นก็จะประหลาดใจว่า เฮ้ย เราตักข้าวให้พ่อแม่ ญี่ปุ่นจะไม่ขนาดนั้น พ่อแม่ก็ตักเองสิ พ่อแม่ก็พยายามช่วยตัวเองด้วยนะ ไม่อยากให้ใครมายุ่ง อยากพึ่งพาตัวเองให้ได้ คิดคนละแบบกัน 

นิสัยการรู้จักพึ่งพาตัวเอง ใช่การสอนให้ลูกรู้จักทำความสะอาดห้องเรียนเอง เดินไปโรงเรียนเอง โตขึ้นมาก็แยกไปอยู่เอง หรือเปล่า? 

ใช่ค่ะ พยายามไม่รบกวนคนอื่น ญี่ปุ่นพื้นที่เล็กกว่าไทย 1.5 เท่าแต่ประชากรมากกว่าไทย 2 เท่า พื้นที่เขามีจำกัดมาก การที่เราใช้ชีวิตโดยไปสร้างความลำบากให้คนอื่น มันเป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่น่ารัก แค่เอาอาหารกลิ่นเหม็นมาทานในห้องพักกลางวัน ก็ไม่มีใครกล้าทำแล้วเพราะกลัวว่ากลิ่นจะไปรบกวนคนอื่น 

ทุกอย่างถูกคิดมาด้วยความคิดว่า อย่ารบกวนคนอื่นนะ สมมุติเรายืนอยู่ในรถไฟ แล้วคนอื่นเอาเท้ามาเหยียบเรา เราจะเป็นฝ่ายขอโทษนะ ขอโทษที่ฉันวางเท้าไม่ดี ที่ไปรบกวนการเดินของคุณ คือขอโทษทั้งสองฝ่าย แต่ฝ่ายที่โดนเหยียบแทนที่จะโมโห ก็ขอโทษด้วย 

หรือเด็กวิ่งเล่นในรถไฟ แม่จะดุ อย่ารบกวนคนอื่นสิลูก เป็นแม่ไทยอาจจะบอกว่าอย่าวิ่ง แต่แม่ญี่ปุ่นจะพูดชัดเลยว่า อย่ารบกวน ทำอะไรต้องระวัง นึกถึงคนอื่นด้วยนะ แล้วจะมีวิธีการสอนให้เราคิดถึงคนอื่นตลอดเวลาจริงๆ 

เวลาไปงานแต่ง ปกติคนไทยก็ไปขอซองหน้างาน ญี่ปุ่นต้องซื้อซองใหม่ ซองต้องสวยงาม ต้องใช้พู่กันเขียนชื่อ ถ้าเขียนไม่สวยก็ให้ที่ร้านเขียนให้ เงินใส่ซอง ก็ต้องแลกธนบัตรใหม่เพราะเป็นการแสดงความยินดีกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของคู่บ่าวสาว มีความจุกจิกแบบนี้เราต้องคอยนึกถึงฝ่ายตรงข้ามตลอดๆ 

เด็กๆ ก็จะถูกสอนเวลาไปบ้านคนอื่น ถอดรองเท้าบ้านใคร ต้องกลับรองเท้าแล้วหันออกนะ ไม่อย่างนั้นเจ้าบ้านจะมาหยิบรองเท้าให้เราแล้วกลับให้ มือเขาจะเลอะ เราก็ต้องกลับเอง เมืองไทยเราใครจะถอดก็ถอดไป ใส่กลับก็ใส่ไป แขกก็จัดการของแขกเอง ญี่ปุ่นพยายามทรีต อีกฝ่ายก็เกรงใจ ไม่อยากให้ทรีตมากจนเกินไป ดูเป็นความมีเยื่อใยต่อกันและกัน 

มีความเกรงใจแต่ก็มีเยื่อใยซึ่งกันและกัน – ภายใต้แนวคิดแบบนี้ เหตุผลคืออะไร 

มันคือการอยู่ร่วมกัน แล้วประเทศเขาภัยพิบัติเยอะมาก เดี๋ยวสึนามิ เดี๋ยวแผ่นดินไหว ถ้าเขาไม่รู้จักกัน ไม่อยู่ร่วมกันได้ ต่างคนต่างอยู่มันไม่รอดหรอก นึกถึงภาพบ้านเราตอนน้ำท่วมก็ได้ค่ะ หรือสึนามิ ยังจำได้เลย ฝรั่งมาเข้าแถวบริจาคเลือด คนทุกชาติ ทุกชนชั้นมาช่วยกัน เวลาเกิดภัยพิบัติที มันทำให้คนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนะ แล้วมันทำให้เขารู้สึกมีสายสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ในทางกลับกันเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น เพราะเวลาประสบภัยคนอื่นช่วยเรา คนอื่นประสบภัยเราก็ไปช่วยเขา 

public space หรือพื้นที่ให้คนใช้ร่วมกันของญี่ปุ่นมีมากแค่ไหน

มาก (ลากเสียงยาว) เยอะกว่าไทยมากเลย สวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ ดีไซน์อาร์ท หน้าคอนโดก็ยังต้องมีพื้นที่สวนเลย 

ที่ให้ความสำคัญ เพราะเขาวางผังเมืองและมองว่าทุกคนเท่าเทียมกัน วิธีคิดนี้สำคัญมาก จำได้ว่าภาพคนญี่ปุ่นไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มีลานจอดของซูเปอร์คาร์ เราก็ชี้ให้ดูว่าเฮ้ย ยูดูสิ ลานจอดรถหรูมากเลย ญี่ปุ่นไม่มีเนอะ เขาก็บอกเออ ไม่มี แล้วก็ถามว่าทำไมต้องสร้างลานจอดซูเปอร์คาร์ พอบอกว่ามันจอดหน้าห้างแล้วมันเท่ แล้วห้างเราหาที่จอดยาก เขาพูดมาคำหนึ่ง เจ็บมากเลย ว่า ถ้าเป็นห้างญี่ปุ่น เราจะไม่พยายามกันพื้นที่พิเศษให้คน แต่พยายามหาว่าทำอย่างไรให้รถทุกคันได้มีสิทธิจอด 

มันเป็นระบบศักดินาที่เราค่อยๆ สร้างขึ้นมา ใครจ่ายเยอะ มีบัตรเครดิต เราก็จะมีสิทธิพิเศษให้ ลัดคิวให้ แต่ญี่ปุ่นจะคิดกลับกันว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนได้บริการที่ดีหมด เท่าเทียมกัน 

มันเป็นการเอาพื้นที่ส่วนกลางไปให้คนที่เค้ามีสิทธิบางอย่าง แปลว่าถ้าฉันไม่จ่ายเงินเยอะ แล้วฉันไม่มีสิทธิเหรอ มันต่างกันตั้งแต่มายด์เซ็ตแล้วว่าญี่ปุ่นทุกคนเท่าเทียมกัน แปลว่า public space ทุกคนมีโอกาสใช้ร่วมได้ ถึงขั้นที่บริษัทเอกชนหลายแห่งเอาพื้นที่ตัวเองไปทำ public space เพราะเขารู้สึกว่า เขาจะอยู่ไม่ได้เลยถ้าไม่มีชุมชนคอยช่วย

ญี่ปุ่นสอนหลักที่เรียกว่า ซัมโปโยชิ-หลัก 3 ได้ มาตั้งแต่โบราณว่า คนขายได้ ลูกค้าได้ สังคมได้ เคยถามคนญี่ปุ่นว่าทำไมต้องมีสังคม เขาบอกว่า ถ้าเราดีแต่คนในชุมชนเกลียดเรา เขาอาจไม่อยากให้ลูกมาทำงานในบริษัทเราก็ได้ อาจไม่อยากให้ลูกค้าคนอื่นมาซื้อของในบริษัทเราก็ได้ เราก็จะอยู่ลำบาก 

(อย่างตอนนี้ แถวบ้านเรามีตลาดนัดตอนกลางคืนแห่งหนึ่งมาเปิด รถเยอะมาก ติดมาก แท็กซี่จอด ยึดเลนหนึ่งไปเลย นักท่องเที่ยวจีนอีก จนทางเท้าไม่มีทางเดิน ทุกวันเรานั่งคิดว่าเมื่อไหร่ตลาดนัดนี้จะไป ถ้าหนักเข้า ชาวบ้านแถวนั้นอาจถึงขั้นรวมตัวประท้วง แล้วธุรกิจเขาอาจไปไม่ได้เลยนะ) นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชุมชนจึงสำคัญ 

ญี่ปุ่นคิดว่าการที่เราไปอยู่ อาจรบกวนคนในชุมชนก็ได้ ฉะนั้นเราต้องใส่ใจและทำยังไงให้คนในชุมชนอยู่ได้ด้วย เราก็จะอยู่ได้ด้วย 

public space ที่สร้างโดยบริษัทต่างๆ มีอะไรบ้าง

บริษัทรับรีโนเวทบ้านที่จังหวัดคานากาวะ ชื่อ ซากุระจูทาขุ บริษัทกันออฟฟิศส่วนหนึ่งเป็นห้องเล็กๆ เปิดให้เป็น public space มีพนักงานมาเฝ้า ใครจะเดินไปกินชา กาแฟ มีชมรมมานั่งพูดคุยกันก็ได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย แขวนป้ายหน้าห้องว่า ใครอยากใช้ห้องน้ำ ยินดีต้อนรับ อยากจัดงานอะไรก็มาจัดที่ space นี้ได้ บางทีเชิญเชฟมาสอนทำอาหาร ซึ่งไม่เกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ต้องมาใช้บริการรีโนเวทบ้านก็ได้ แต่พอเขาทำดีแบบนี้ คนก็นึกถึงเขาดี บอกต่อกัน เวลาใครรีโนเวทบ้าน ก็จะนึกถึงเขาเป็นคนแรก เขาก็จะได้ด้วย 

โรงเรียนสอนขับรถยนต์ในญี่ปุ่นอีกที่ที่เคยไป มีพื้นที่ให้คนฝึกขับรถ และช่วงต้นปีเขาจะปิดลานนี้ให้คนในชุมชนมาออกร้าน คิดค่าเช่าร้านแค่ 100 เยน แล้วเอาเงินนี้ไปบริจาคให้คนสนุก ทำอาหารขาย ได้มาเจอหน้ากัน กลายเป็น festival เล็กๆ ถ้าเมืองไทย ไม่ใช่ห้าง นึกไม่ออกเลยนะ บริษัทไหนทำแบบนี้ อย่างมากเราก็ส่งเงินเป็นสปอนเซอร์ แต่เราไม่ค่อยสร้างพื้นที่

อีกที่ โรงงานผลิตวุ้น คิดว่าจะทำอย่างไรให้คนมาเที่ยวเมืองเล็กๆ เลยสร้างสวนดอกไม้ มีร้านอาหารที่ใช้ผงวุ้น คิดว่าถ้านักท่องเที่ยวเดินทางมากินที่นี่ และแวะซื้อของ คนในชุมชนก็น่าจะมีรายได้ด้วย วิน-วิน

แนวคิดเหล่านี้มีมานานแค่ไหน

หลักคิดซัมโปโยชิ มีมากว่า 400 ปีก่อนแล้วตั้งแต่สมัยเอโดะ แนวคิดที่ต้องดีกับสังคม แต่รูปแบบอาจเป็น public space เริ่มจากพ่อค้าเมืองโอมิ จังหวัดชิกะ ที่เป็นต้นแบบห้างไดมารู คนจะสงสัยว่าทำไมตระกูลนี้ประสบความสำเร็จจัง ก็ย้อนกลับไปดูในเผ่านี้คือ ทุกคนจะมีหลัก 3 ได้ ไม่ใช่แค่ฉันดี ลูกค้าต้องได้ สังคมต้องได้ด้วย 

public space ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กๆ มีอะไรบ้าง

ระดับเบสิคคือสวนสาธารณะหน้าคอนโด ทุกคอนโดต้องมี จะกลายเป็น community space ให้คนได้มาเจอหน้ากัน ยิ่งคนที่มีลูกวัยเดียวกันก็ทักทาย คุ้นเคยกัน ลูกโตไปโรงเรียนด้วยกัน พึ่งพากัน เป็นสิ่งที่ public space ให้ 

ระดับเมือง ทุกเมืองมีห้องสมุด ทุกคนไปยืม เพราะตอนเด็ก มีวิชาหนึ่ง ตอนปิดเทอมฤดูร้อน ชื่อวิชาวิจัยอิสระ เด็กจะไปหาหัวข้ออะไรก็ได้ที่ตัวเองสนใจ ไปวิเคราะห์ หาข้อมูล ส่วนหนึ่งไปหาที่ห้องสมุด เด็กจะรู้จักไปห้องสมุดเมือง ยืมหนังสือหาข้อมูล โตขึ้นมาก็ติดเป็นนิสัย ห้องสมุดดูง่าย ใครๆ ก็ยืมได้ คนดูแลก็เป็นอาสาสมัครที่เกษียณแล้ว 

ศูนย์การเรียนรู้ เช่น มิไรคัง (Miraikan) National Museum of Emerging Science and Innovation พิพิธภัณฑ์ด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมสมัยใหม่แห่งชาติ จะสอนเรื่องวิทยาศาสตร์สำคัญอย่างไร โดยนำเสนอสนุกๆ ขยับขึ้นมาเป็นพิพิธภัณฑ์ แบบเก็บค่าเข้าชม ติดโปสเตอร์ทั้งเมือง จนทำให้เรารู้สึกอยากไปดู อยากไปเรียนรู้ ไม่ได้แปลว่าศิลปะเข้าหายาก ไม่ต้องรู้ทฤษฎีอะไรแต่มันก็สนุกแล้ว 

บ้านเก่า รัฐบาลท้องถิ่นจะเข้าไปซื้อ รีโนเวท หาคนดูแล และ educate คน ทำให้คนเห็นความสำคัญของบ้านแบบนี้มากขึ้น 

พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมสมัยใหม่แห่งชาติมิไรคัง

‘วิชาวิจัยอิสระ’ เป็นความพยายามเชื่อมโยงโรงเรียนกับ public space หรือเปล่า

เป็นวิชาที่เด็กญี่ปุ่นทุกคนต้องเรียน ไปหาข้อมูลแล้วมาพรีเซนต์หน้าห้อง ซึ่งเราจะทำไก่กาไม่ได้เพราะเพื่อนทั้งห้องดูเราอยู่ เรียนตั้งแต่ประถม บางคนก็ทำเรื่องแมลงของเรา ไปนั่งพลิกฝาท่อ ดูแมลง มีอะไรที่ไหนบ้าง ในเมือง แล้วไปห้องสมุดเพื่อหาว่าแมลงตัวนี้ชื่ออะไร แล้วกลับมาเขียนรายงาน วาดรูป

หลักสูตรโรงเรียนประถมญี่ปุ่นเป็นอย่างไร

แทบจะไม่ต่างกับไทยเลย แต่ที่ต่างกันคือวิธีการสอน เด็กมีอิสระในการคิด ติดตามสิ่งที่สนใจมากกว่า โตขึ้นมาเขาก็จะรู้ว่าชอบอะไร ชอบรถไฟ crazy มากๆ จำรถไฟได้หมดประเทศ

พอโตเป็นผู้ใหญ่ ยัง crazy อยู่ จะหาความรู้เพิ่มยังไงดี อะ มีพิพิธภัณฑ์รถไฟ บริษัทเอกชนก็ทำวารสารเกี่ยวกับรถไฟ มันโตไปด้วยกันทั้งสาย กลายเป็นว่ายิ่งอยู่ ก็ยิ่งเจอสิ่งที่ชอบและยิ่งอิน ยิ่งอยากสนุกในการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ 

เด็ก ม.ปลายญี่ปุ่น จะกดดันกว่า แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว จะผ่อนคลายมากขึ้น ต่างจากบ้านเรา? 

เด็กไทย ถ้าเป็นเด็กมหาวิทยาลัยก็ยังกดดันอยู่นะ เพราะเกรด เกียรตินิยมยังสำคัญ เข้าทำงานบริษัทยังดู แต่ญี่ปุ่นไม่ดูเพราะรู้สึกว่าความรู้มหา’ลัย ไม่สามารถเอาไปใช้ในบริษัทได้ แต่ละบริษัทจะมีองค์ความรู้และทักษะที่ต่างกันมาก บริษัทญี่ปุ่นจะรับเด็กจบอะไรก็ได้แต่ขอให้ความคิดทัศนคติเหมือนกันเป็นหลักมากกว่า 

แล้วบรรยากาศในห้องเรียนไทยกับญี่ปุ่นต่างกันอย่างไร

เมืองไทยเราสอนให้เด็กเข้าใจ ตำรายาก ทฤษฎียาก อาจารย์จะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่าย คลาสสนุก แต่ญี่ปุ่นจะสอนให้ล้มลุกคลุกคลานแล้วคิด อาจารย์ไม่สอนเท่าไหร่ จะถีบให้เราไปคิด เช่น เราโดนให้เปรียบเทียบรายได้บริษัทยางรถยนต์ 4 เจ้า ทำกราฟมา แล้ววิเคราะห์จากข้อมูลที่เราทำ คือจะชี้จุดให้คิดเอง 

ตอนเรามาสอน ป.โท เด็กก็ยังบอกว่าทำยังไงดี บอกมาเลย ต้องเขียนแผนยังไง ซึ่งอาจารย์ญี่ปุ่นจะกัดฟัน ไม่บอก ไปคิดเอง แล้วในทางกลับกันถ้าเด็กไม่คิดมา โหย จะโดนเยอะ แบบเสียเวลาผม 

เป็นความท้าทายของอาจารย์ที่เรียนแบบญี่ปุ่นมา แล้วกลับมาสอนนักศึกษาไทย?

กลายเป็นว่าเรากลับสอนให้เขาคิดและสนุกนะคะ พอเจอคำตอบ สีหน้าเขาจะเปลี่ยนไปเลย ‘อ้อ มันเป็นอย่างนี้เอง’ เราว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับครูไทย และสนุกกว่าการสอนให้ท่องจำ สำหรับผู้สอน การสอนท่องจำมันง่ายมากเลย แต่สอนให้เขาคิด คนสอนจะเหนื่อย กว่าเขาจะคิดถึงตรงนั้น

กลับมาเรื่อง public space ทำไมพื้นที่สาธารณะในญี่ปุ่นถึงแข็งแรง เหตุผลหนึ่งคือ ประชาชนเสียภาษีเสียค่อนข้างสูงใช่ไหม

เพราะญี่ปุ่นโครงสร้างรัฐที่สนับสนุนให้เราทำเพื่อสังคม เพื่อคนอื่น เขากระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ของไทยรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง เมืองโกเบ แผ่นดินไหวทั้งเมือง ท้องถิ่นจะทำยังไงเพื่อฟื้นฟู ของเราอาจต้องรอกระทรวงนิดนึง แต่ญี่ปุ่นให้อำนาจกับท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นรู้จักตัวเองดีที่สุด เชื่อใจเขาให้เขาไปคิดเองทำเอง 

สมมุติจะทำอะไรบางอย่างในเมือง เช่น จะปรับเมืองให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว จะต้องมีกระบวนการพูดคุยกันก่อน รัฐบาลท้องถิ่น ชาวบ้าน เจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านอาหาร มาคุยกันว่าถ้าทำโปรเจ็คท์นี้จะแฮปปี้ไหม สมมุติว่า เราจะทำให้เมืองนี้เป็นเมืองแห่งชาเขียว ทุกคนได้โจทย์ไป เจ้าของโรงแรมทำเครื่องดื่มชาเขียว ร้านอาหารทำบะหมี่รสชาเขียว ทุกอย่างก็จะไปทิศทางเดียวกัน กลับกันกับบ้านเราที่ต่างคนต่างทำ

ตรงข้ามกับรัฐไทย ที่ไม่ได้ทำหน้าที่รัฐบาล รัฐบาลค่อยเข้ามาแก้เวลาเอกชนแก้ปัญหาเองไม่ได้ เราจะเอื้อให้คนที่มีอำนาจเหมือนกัน คดีเสือดำ นาฬิกา เราก็ยังช่วยคนที่มีอำนาจ มันกลายเป็นว่าทุกคนต้องมีอำนาจ มีเงินเยอะ เพื่อ protect ตัวเอง แต่ญี่ปุ่น รัฐบาลมีหน้าที่จัดสรรปันส่วนให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ และอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

คุณจอดรถเกะกะ ตำรวจมาแล้ว ไม่รับใต้โต๊ะ ไม่รับทิป เพราะมันคืองานเขา รายได้เขาสูงโดยไม่ต้องรับเงินพวกนี้ ของไทย ค่าตอบแทนน้อย ตำรวจก็ลำบาก พอคนไม่เคารพตำรวจ จอดรถเกะกะ public ก็เดือดร้อน จะมาบอกให้เราคิดถึงคนอื่นก็ลำบากนะ ที่จอดรถน้อย ไม่มีที่จอดเป็นที่เป็นทาง เราต้องตะเกียกตะกายนึกถึงตัวเองก่อน แค่นี้ฉันก็จะตายอยู่แล้ว คนนั่งรถเมล์ทุกวันทำไมจะไม่อยากนั่งแท็กซี่หรือขับรถ เพราะรถเมล์มันแย่มาก ขณะที่ประเทศอื่น อย่างตอนเราไปเดนมาร์ก เห็นโปรเจ็คท์ดีไซน์รถเก็บขยะ เขาให้ดีไซเนอร์มาออกแบบรถขยะ ที่ทำให้คนเก็บขยะทำงานได้ง่าย ถังขยะไม่เกะกะ รกเมือง ทำยังไงให้เป็น public space ที่คนมาใช้งานจริงๆ 

public space ต้องเป็นทั้งโครงสร้างและจิตใจ?

ต้องถามว่าทำไปเพื่ออะไร เพื่อตัวเองหรือคนอื่น public space คือการทำเพื่อคนอื่น ชุมชนแฮปปี้ 

ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็เข้าสู่สังคมสูงวัย มี public space อะไรที่ช่วยเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตบ้าง

มีมหาวิทยาลัยที่เปิดเป็น Live Long Education ตอนที่เราเรียนอยู่ที่เมืองโกเบ (Kobe) มีวิทยาลัยเล็กๆ ชื่อว่า Silver College ที่หมายถึงผมสีเงินหรือผมหงอก เป็นโรงเรียนของผู้สูงวัย รับสอนตอนเช้า ตอนบ่ายก็จิบชา นั่งคุยกัน หากิจกรรมให้ผู้สูงวัยทำ จะมีแขนงต่างๆ เช่น การเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศอื่น เราเคยไปสอนที่นี่ สอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย รวมถึงแขนงที่เรียนเกี่ยวกับดูแลสุขภาพตัวเอง

หรือในกรณีบ้านที่มีผู้สูงอายุอยู่ลำพัง บางครั้งผู้สูงอายุเสียชีวิต ท้องถิ่นก็จะเข้ามาดูแล อาจจะเปิดบ้านหลังนั้นให้คนเช่าในราคาย่อมเยา และส่วนใหญ่ผู้ที่เข้าไปเช่า คือเด็กวัยรุ่น เด็กรุ่นใหม่ ที่อยากจะเรียนรู้วิถีชีวิต ทำนา เพื่อดึงคนเข้าท้องถิ่นอีกด้วย 

แต่จากข่าวที่ปรากฏมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในบ้าน เป็นเพราะผู้สูงอายุญี่ปุ่นรู้สึกเกรงใจและไม่อยากรบกวนคนอื่นด้วยหรือเปล่า

ส่วนหนึ่ง คนญี่ปุ่นอยู่กันอย่างไม่รบกวนใคร ไม่อยากรบกวนลูกหลาน ซึ่งความสัมพันธ์ก็จะไม่ได้ใกล้ชิดเหมือนกับครอบครัวไทย ส่วนการพยายามลดปัญหาตรงนี้ ก็มีอาสาสมัครในท้องถิ่นที่จะคอยเข้าไปดูแลผู้สูงอายุ เพราะลูกหลานอาจจะเข้าไปทำงานในเมือง 

ความฝันที่อยากเปลี่ยนแปลงประเทศ ยังอยากจะทำมันอยู่ไหม

ก็เปลี่ยนในแบบฉบับตัวเอง ได้สอนหนังสือ เขียนคอนเทนต์ ให้ผู้ประกอบการหรือลูกศิษย์มีหลักการ เพื่อไปต่อยอดให้ดีกับชุมชน ดีกับพื้นที่ อาจจะง่ายกว่าการเปลี่ยนรัฐบาลด้วยซ้ำ

ญี่ปุ่นทำให้เราเปลี่ยนอย่างไรบ้าง

เปลี่ยนมาก จากคนที่ชอบแข่งขัน ทุกอย่างต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องเป็นผู้นำ ต้องเป็นประธานเชียร์ เราไดรฟ์ตัวเองเพื่อให้ได้ที่หนึ่ง แต่พอเราไปญี่ปุ่น แต่ก่อนที่เราเคยคิดถึงแต่ตัวเอง จิตใจค่อนข้างแข็งกร้าว ญี่ปุ่นทำให้เราได้รับจิตใจที่ดีกลับมามหาศาล อยู่ดีๆ ป้าข้างบ้านก็ยกเสื้อผ้าลูกสาวให้เรา พอเราได้รับมากก็ทำให้เราอ่อนโยนขึ้นในระดับหนึ่ง จนเราอยากเป็นผู้ให้กับคนอื่นบ้าง

Tags:

กฤตินี พงษ์ธนเลิศพลเมืองญี่ปุ่นpublic space

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Voice of New Gen
    MAYDAY! เราฝันให้คนกรุงเทพฯ รักพื้นที่สาธารณะเหมือนรักห้องนอนตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Space
    หนึ่งวันที่ฉันเบื่อห้าง ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง ใน PUBLIC SPACE

    เรื่อง BONALISA SMILE

  • Space
    PUBLIC SPACE …WHERE ARE YOU?

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Space
    BOOK RE:PUBLIC การเมืองเป็นเรื่องต้องพูด จะเกลียดกันบ้างก็ได้ ไม่มีปัญหา

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Early childhoodEducation trend
    ทำไมพ่อแม่ญี่ปุ่นถึงไว้ใจ ให้เด็กเล็กเดินทางโดยลำพัง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel