Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: May 2019

คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?
Family Psychology
14 May 2019

คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • เด็กจำนวนหนึ่งมีอาการคล้ายกันคือ มักพูดเสียงดังเหมือนตะโกนแม้อยู่ในสิ่งแวดล้อมปกติ, มีลักษณะการสื่อสารทิศทางเดียว คือ พูดฝ่ายเดียวด้วยเสียงดัง และ ไม่ฟังกันและกัน ข้อสังเกตนี้คล้ายกับบุคลิกบางอย่างที่เกิดจากการถูกเพิกเฉย ละเลย และไม่สนใจ และนี่อาจเป็นจุดตั้งต้นของบาดแผลในตัวเด็ก พัฒนาสู่ภาวะซึมเศร้าหรือมีปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรมอื่นในที่สุด
  • ชวนนักศิลปะบำบัด พญ.พัชรินทร์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง พูดถึงข้อสังเกตดังกล่าว พร้อมเล่าถึงหน้าที่ของนักศิลปะบำบัด และกระบวนการศิลปะจะเยียวยาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายของตัวเองได้อย่างไร
  • “การที่ไม่มีใครได้ยินเรามันกระทบแรงมากเลยนะ การรู้สึกแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก บางครั้งเหมือนเราไม่มีตัวตน ซึ่งมันสั่นคลอนการมีอยู่ของเรามากๆ ซึ่งนั่นกระทบกระเทือนต่อการเติบโตของ self เราด้วยว่าจะโตหรือไม่โต พอ self เราโตไม่ได้เพราะการมีหรือไม่มีอยู่ของเรามันไม่ชัดเจน เราไม่สามารถเอาศักยภาพของเราออกมาใช้ได้เต็มที่”

หนึ่งในผู้ร่วมเสวนา ‘ทำไมเด็กอนุบาลจึงไม่ควรสอบเข้า ป.1’ ท่านหนึ่ง – พญ.พัชรินทร์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง ในฐานะนักศิลปะบำบัด มูลนิธิศิลปะบำบัด (Art Therapy Foundation) ตั้งข้อสังเกตหนึ่งจากประสบการณ์การทำงานของตัวเองว่า…

ปัจจุบันมีเด็กเข้ามารับการรักษาที่มูลนิธิศิลปะบำบัดจำนวนมากขึ้นและอายุน้อยลงเรื่อยๆ จำนวนหนึ่งมีอาการคล้ายกันคือ มักพูดเสียงดังเหมือนตะโกนแม้ว่าจะอยู่ในสิ่งแวดล้อมปกติ, มีลักษณะการสื่อสารทิศทางเดียว คือ พูดออกมาฝ่ายเดียวด้วยเสียงดัง และ การตอบสนองจากภายนอกไม่มีช่องทางกลับเข้าไป เรียกง่ายๆ ว่าไม่ฟังกันและกัน ข้อสังเกตนี้ดูคล้ายกับบุคลิกบางอย่างที่เกิดจากการถูกเพิกเฉย ละเลย และไม่สนใจ และนี่อาจเป็นจุดตั้งต้นของบาดแผลในตัวเด็ก พัฒนาสู่ภาวะซึมเศร้าหรือมีปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรมอื่นในที่สุด

เพราะอยากรู้ต่อว่า ลำพัง ‘อาการพูดเสียงดัง’ และ ‘พูดอย่างไม่มีใครฟังใคร’ – อาการเล็กน้อยที่เราคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ภายใต้ภูเขาน้ำแข็งของพฤติกรรมนี้ ในมุมของนักจิตวิทยา มีคำอธิบายอย่างไร

The Potential ชวนคุณหมอพัชรินทร์คุยต่อในเรื่องนี้ ทั้งประเด็นภาวะซึมเศร้าในเด็กจากข่าว ได้ฟังเรื่องของคนใกล้ตัวว่าเป็นภาวะนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และในอายุที่น้อยลงเรื่อยๆ

มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เพราะอะไร และการแก้ปัญหาควรเริ่มต้นจากไหน อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ‘นักศิลปะบำบัด’ คือใคร มีหน้าที่อะไร และกระบวนการศิลปะจะเยียวยาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายของตัวเองได้อย่างไร

ไฮไลต์ของบทความชิ้นนี้ คือ ความเพิกเฉยของพ่อแม่ในรูปแบบหลากหลาย ทั้งละทิ้ง เพิกเฉยความต้องการของลูก กระทั่งชี้สั่งให้ลูกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทั้งหมดทั้งมวลนั้น มันกระทำลึกลงไปในระดับตัวตนอย่างไร

ปัญหาซึมเศร้าอาจเป็นแค่ปลายเหตุ ต้นเหตุคือ การไม่มี ‘self’ หรือ ‘ราก’ แห่งตัวตนต่างหาก ที่กำลังเน่าเฟะ

สถานการณ์ซึมเศร้าในเด็ก

เราเห็นเด็กมีภาวะซึมเศร้าอายุน้อยลงเรื่อยๆ และพบเห็นได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในวงการแพทย์ มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่

เราเห็นเด็กอายุน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพฤติกรรมหรืออารมณ์ เด็กเริ่มมีปัญหาและไปหาจิตแพทย์เด็กที่โรงพยาบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณคนไข้เยอะขึ้นทุกโรงพยาบาล ตอนนี้ถ้าจะอยากพบจิตแพทย์เด็กที่จุฬาฯ ต้องรอคิว 6 เดือน หมายถึง ถ้านัดเจอหมอครั้งแรก กว่าจะได้เจอคืออีก 6 เดือนนะ ต้องทำใจเลย

ที่จำนวนคนไข้เด็กไปพบจิตแพทย์มากขึ้น เป็นเพราะเด็กมีอาการเพิ่มปริมาณขึ้น หรือ ผู้ใหญ่มีความรู้มากขึ้น เลยพาเด็กไปพบจิตแพทย์

เป็นได้หลายอย่างนะคะ สังคมมีความรู้มากขึ้น คนรับข้อมูลข่าวสารมากขึ้นว่า “อ๋อ นี่คือปัญหานะ แก้ได้นะถ้าพบจิตแพทย์” ส่วนหนึ่งก็จะไปหาหมอ อีกส่วนหนึ่งก็จะแบบ “ไม่หรอก ไม่ได้เป็นอะไรหรอก” ซึ่งเราเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า denial หรือใจไม่ยอมรับสิ่งที่เกิด กระทั่งวันหนึ่งที่รับมือไม่ไหวแล้ว เช่น ลูกอยากฆ่าตัวตาย จึงจำใจต้องพาไปพบแพทย์ ต้องไปหาความช่วยเหลือไม่งั้นจะบานปลายไปมากกว่านี้ อีกประการคือ คนสมัยนี้เปิดใจกับการไปพบจิตแพทย์มากขึ้นด้วย ถึงแม้จะยังไม่เยอะ แต่ก็เปิดใจและยอมไปมากขึ้น

คุณหมอเคยพูดในเสวนา ‘ทำไมเด็กอนุบาลจึงไม่ควรสอบเข้า ป.1’ มีผู้ปกครองพาเด็กช่วงปฐมวัยเข้ามาทำศิลปะบำบัดเพิ่มขึ้น ข้อสังเกตหนึ่งคือ เด็กมีอาการร่วมคล้ายกันคือ ‘พูดเสียงดัง’ และ ‘ไม่มีใครฟังใคร’ เรื่องนี้เป็นปัญหาอย่างไร เกี่ยวอะไรกับอาการซึมเศร้าในเด็ก

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เด็กที่ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แต่รวมถึงเด็กที่อยู่รอบตัวเราด้วย เช่น ตอนที่ลูกสาวหมออายุ 3-4 ขวบ เวลาหมอไปรอรับเขาที่สนามหญ้าในโรงเรียน เด็กๆ จะกรูกันเข้ามาเล่นด้วย พอเรานั่งลงปุ๊บ เด็กแวดล้อมเราเต็มไปหมด ทุกคนแย่งกันมาเล่าเรื่องของตัวเองให้หมอฟัง เด็กๆ ไม่ได้รู้ว่าหมอเป็นใคร รู้แค่ว่านี่คือแม่ของมะลิ ชอบมาเล่นกับแม่ของมะลิ แม่ของมะลิชอบมานั่งรอและนั่งฟังเด็กๆ คุยกันไม่รีบไปไหน แรกๆ รู้สึกดีจัง ได้รับความสนใจมากมายจากเด็กๆ

แต่พอถึงจุดหนึ่งสังเกตได้ว่า เด็กที่วิ่งเข้ามาหา แต่ละคนอยากเล่าเรื่องของตัวเองแต่ไม่มีใครฟังใคร ทุกคนอยากเป็นเสียงที่ดังที่สุดเพื่อให้เราได้ยิน จึงเริ่มมีคำถามในใจว่า “อะไรกันเนี่ย เด็กๆ เป็นอะไร?” “ทำไมไม่เล่าเรื่องแบบนี้ให้พ่อแม่ของตัวเองที่บ้านฟัง?” สถานการณ์ของเด็กๆ เดี๋ยวนี้คือ ไม่มีใครฟังกัน และแต่ละคนก็จะเสียงดังขึ้นๆ

ลองนึกดู สถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับเราตอนไหนได้บ้าง? เวลาเรากำลังง่วนอยู่กับอะไรสักอย่างแล้วมีคนเข้ามาถามอะไร เราอาจไม่ได้ยินเสียง คนคนนั้นจึงยังคงทำงานต่อไป หลังจากนั้นเราจะพบว่าคนที่เข้ามาหาเราคนนั้นจะเปล่งเสียงให้ดังขึ้นเพื่อให้เราได้ยิน และถ้าตอนนั้นเราใส่หูฟังอยู่ เราก็จะยังไม่ได้ยินเสียงของเขา ระดับเสียงของเขาก็จะดังขึ้นๆ อีก และเมื่อเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดเป็นประจำเหมือนที่เราสันนิษฐานว่าเกิดกับเด็กๆ ที่เราพบเจอ

ในที่สุดเด็กๆ เหล่านี้ก็จะพูดด้วยระดับเสียงประมาณนี้เป็นปกติ คือตะโกนให้ผู้ใหญ่ฟัง ให้ครูฟัง เป็นมาตรฐาน เป็นนิสัย และมันยากมากที่จะเอา (ระดับเสียง) ลง เพราะในสถานการณ์ปกติ มันไม่มีใครฟังเขา หมอเคยเจอลูกของญาติที่เป็นแบบนี้ เราบอกเขาว่า “ลูก เรานั่งใกล้ๆ กัน พูดเบาๆ นิดนึง” เขาก็พูดเบาๆ ได้สองประโยคแล้วก็กลับไปพูดเสียงดังใหม่ นี่คืออาการนะ นี่คืออาการ (ย้ำ) อาการของการที่ไม่มีคนได้ยินเขา

การพูดเสียงดัง เป็นปัญหาที่ตรงไหน?

การที่ไม่มีใครได้ยินเรามันกระทบแรงมากเลยนะ การรู้สึกแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก บางครั้งเหมือนเราไม่มีตัวตนอยู่ มันสั่นคลอนการมีอยู่ของเรามากๆ เลย ซึ่งนั่นกระทบกระเทือนต่อการเติบโตของ self เราด้วยว่าจะโตหรือไม่โต พอ self เราโตไม่ได้เพราะการมีหรือไม่มีอยู่ของเรามันไม่ชัดเจน เราไม่สามารถเอาศักยภาพของเราออกมาใช้ได้เต็มที่

มันเป็นเรื่องร้ายแรง เทียบกับเด็กที่สูญเสียคนในครอบครัวหรือคนที่รัก แม้มี trauma แต่ self เขาไม่ถูกกระทบนะ เขาจะยังมี self ชัดเจน แต่มีแผล นึกออกไหม? มันไม่เหมือนกันนะ การไม่มี self กับการมี self ที่มีแผล

self ที่มีแผล ยังมีตัวตนอยู่ ฉันรู้ฉันยังมีอยู่ ฉันยังมีคุณค่า เพียงแต่ฉันสูญเสียบางอย่างที่รักมากไป มันเป็นรอยแหว่งในใจ แต่ฉันรู้ว่าฉันต้องเดินต่อไป แต่นี่คุณค่าในตัวเองไม่มี เพราะหา self ไม่เจอ ไม่มีกำลัง ไม่มีความสามารถไปทำอะไรกับใครได้ เพราะตัวฉันไม่มีอยู่ เรียกว่าเป็นปัญหาทางปรัชญาที่ใหญ่มาก

ระยะยาว เด็กที่ไม่มี self เขาจะเป็นอย่างไร

ก็ลอยๆ เขาจะไม่มีจุดหมายของชีวิต ไม่รู้ว่าวันๆ หนึ่งจะอยู่ไปทำไม สิ่งที่ง่ายที่สุดเมื่อตื่นขึ้นมาคือทำนี่ (หยิบมือถือ)

พฤติกรรมแบบไหนที่ทำลาย self เด็ก

การทอดทิ้ง การเพิกเฉย นี่คือสิ่งที่ร้ายแรงที่สุด ร้ายแรงกว่าการทุบตีอีกนะ ถ้าการทุบตี คุณต้องมี self อยู่ให้ทุบ แน่นอนว่า self เจ็บปวดเพราะถูกทุบ แต่ในการถูกทุบ self รู้และชัดถึงการมีอยู่ของตัวเองเพราะตัวเราเจ็บปวด แต่การถูกทอดทิ้ง การเพิกเฉย ไม่มี self เหลือให้รู้สึกเลย

ทอดทิ้งแบบไหน? ไม่สนใจ ไม่รับฟัง ไม่ไยดี แบบนี้คือการทอดทิ้งไหม

มีได้หลายดีกรี ถ้าทอดทิ้งแบบ ทิ้งไปเลย แม่คลอดลูกออกมาแล้วโยนทิ้งถังขยะ นี่คือทอดทิ้ง เป็นกรณีที่เลวร้ายมากของเด็กที่เติบโตมาในสถานสงเคราะห์ เขาจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองไม่มีค่า เพราะแม้แต่แม่ตัวเอง แม่แท้ๆ ก็เอาไปทิ้ง ไม่มีใครรัก ไม่มีคุณค่าใดๆ การมีอยู่หรือไม่ ไม่รู้สึกต่างกัน คนเหล่านี้จำนวนหนึ่งจะอยู่ไปแบบวันต่อวัน แต่ละวันไม่มีความหมาย นี่คือแบบ extreme

แต่แบบที่เราอยากพูดถึงคือลูกของเรานี่แหละ เราไม่ฟังความคิดเห็นของลูก ไม่ฟังความต้องการของลูก ลูกอยากจะทำแบบนี้ก็ไม่ให้ทำ หมอเห็นเด็กหลายคนในโรงพยาบาล พ่อแม่ไม่ยอมให้ลูกใช้กรรไกร เดี๋ยวจะบาดเจ็บ เป็นห่วง แม้ลูกจะโตจนรู้เรื่องแล้ว เรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเองได้แล้ว แต่ในความหวาดหวั่นของพ่อแม่ ไม่สามารถปล่อยให้ลูกทำตามที่อยากทำ พ่อแม่จึงเข้ามาตีกรอบและกำหนดให้อยู่ในแนวทางที่พ่อแม่เชื่อว่าดี เชื่อว่าสบาย เชื่อว่าปลอดภัย

แต่ธรรมชาติของคนโดยเฉพาะในช่วง 2 ขวบแรก เด็กจะสัมผัสรับรู้ความต้องการของตัวเองมากขึ้น เด็กจะเริ่มพูดว่า “ไม่” ถ้ามีลูกมีหลานจะเริ่มเห็นเขาพูด “ไม่” “ไม่เอา” ไม่นั่น ไม่นี่ เพื่อแสดงความรู้สึกของตัวเอง คำว่า “ไม่” หมายความว่าอะไร? ไม่ได้หมายความว่าของที่เราหยิบยื่นให้นั้นไม่ดี แต่ในมุมของเด็กคือ “ฉันอยู่ตรงนี้นะ” “ฉันมีตัวตนของฉัน และฉันกำลังพูดในสิ่งที่แตกต่างจากเธอ” คือการบอกว่า ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันมีอยู่ นี่คือจุดเริ่มต้นของการมี self และมันก็จะพัฒนาต่อในปีถัดๆ ไป

ถ้าเราเป็นผู้ใหญ่สมัยก่อน เราก็จะห่วงนู่นห่วงนี่ ไม่ให้เด็กทำนู่นทำนี่ เด็กก็ถูกจำกัดไว้แค่นี้ แสดง self ของตัวเองได้แค่นี้นะ แม่ทำข้าวไข่เจียวให้กินก็ต้องกินข้าวไข่เจียวห้ามร้องกินอย่างอื่น ห้ามมีความคิดเห็น

ทีนี้เด็กก็จะเรียนรู้และเข้าใจสถานการณ์ที่จำกัดผ่านผู้ใหญ่ที่อยู่รอบตัวเขา ผู้ใหญ่ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเด็กคือคนที่มีอิทธิพลมาก เพราะอะไร? เช่น เด็กเล็กๆ ยังยืนด้วยตัวเองไม่ได้ พ่อแม่ยังต้องหาอาหารมาให้ ปกป้องคุ้มครองให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เหล่านี้คือสิ่งที่เด็กยังต้องพึ่งพ่อแม่เพื่อความอยู่รอด ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาของพ่อแม่ตั้งแต่เล็กๆ ว่า พ่อแม่อยากได้แบบนี้นะ พ่อแม่คาดหวังแบบนี้นะ ถ้าอยู่กับพ่อแม่ต้องกินข้าวไข่เจียวไป

แต่เมื่อไรที่โตพอ เมื่อไรที่ออกนอกบ้านได้ เขาจะไม่ยอมถูกจำกัดแบบเดิม เขาจะเป็นอีกคนเพราะเขาไม่สามารถเก็บกัก self ของตัวเองให้จมอยู่ใต้ข้อจำกัดเดิมได้ นี่คือความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคนที่ต้องรู้สึก ที่ต้องการสัมผัสตัวตนของตัวเองรวมทั้งความต้องการของตัวตนของตัวเองให้ได้ เพราะฉะนั้นเวลาออกนอกบ้านไปเด็กจะมีพฤติกรรมอีกแบบ เช่น เราอาจเคยได้ยินครูบ่นว่าตอนเด็กอยู่ที่โรงเรียนดื้อมาก แต่พ่อแม่ก็ไม่เชื่อ “มันดื้อตรงไหน อยู่บ้านออกจะน่ารักเรียบร้อย ว่าง่าย พูดอะไรก็ทำตาม” เพราะว่าเด็กพัฒนาตัวตนแบบสองมาตรฐานหรือสองภาษาขึ้นมา ภาษาหนึ่งเขาใช้พูดกับพ่อแม่ เพื่อที่เขาจะยังคงปลอดภัยอยู่ในการดูแลของพ่อแม่อยู่ อีกภาษาเอาไว้แสดงตัวตนเมื่อออกมาสู่โลกภายนอก

แต่ปกติแล้วคนเรามีได้หลายบุคลิก แต่การแสดง self ของตัวเองที่บ้านไม่ได้จนต้องไปหาและแสดง self ตัวเองที่อื่น แบบนี้เป็นปัญหาและส่งผลอย่างไร

เด็กแว้นหรือสก๊อยคือตัวอย่างหนึ่ง เวลาที่เขาเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ พ่อแม่ไม่อนุญาต พ่อแม่ไม่ฟังความเห็น สั่งอย่างเดียว self มันก็ทนไม่ไหว ต้องไปมีตัวตนที่อื่น พอไปแว้น เพื่อนๆ ตบมือกันใหญ่ บอกว่าเจ๋ง ว่าดี ว่ากล้า แบบนี้ self ฟูขึ้นมาเลย ความเป็นตัวตนมันชัด แม้กระทั่งนักเรียนที่ไปตีกับคู่อริทั้งที่ไม่รู้จักกัน พอหนังสือพิมพ์ประกาศว่า โรงเรียนนี้ นักเรียนคนนี้ ชื่อนี้ๆ self ชัดมากใช่ไหมคะ? ทั้งชื่อทั้งภาพมันอยู่ตรงนั้น การปรากฏตัวของเขามันชัดมาก นี่คือสิ่งที่ตอบความรู้สึกข้างใน ทำไมเขาต้องทำขนาดนั้น? เพราะเขาไม่ได้จากที่บ้าน และไม่ได้รับมากี่ปีแล้ว?

การที่พ่อแม่จัดการให้ลูกเรียนอย่างนั้นอย่างนี้ ถือเป็นการเพิกเฉยอย่างหนึ่งไหม

ใช่ มันคือการเพิกเฉย มันคือการ abuse กัน การที่พ่อแม่ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่มีอำนาจเหนือเด็กอยู่แล้วไม่ว่าจะด้านใด เป็นผู้ที่กำหนดความเป็นความตาย ความปลอดภัย เป็นผู้มอบสิ่งของจำเป็นสำหรับการเติบโตของเด็ก พ่อแม่อยู่ในฐานะที่ยิ่งใหญ่มาก

ถ้าเป้าหมายการเลี้ยงลูกคือให้ลูกเติบโตเบ่งบานขึ้นมา แต่มีพ่อแม่ครอบอยู่อย่างนี้ (ทำมือเป็นต้นไม้ – มือข้างหนึ่งตั้งศอก กางฝ่ามือออกเป็นใบไม้ใหญ่ อีกข้างกำหลวมๆ เป็นต้นไม้เล็ก ลักษณะคล้ายต้นไม้ใหญ่แผ่ใบครอบต้นไม้ต้นเล็ก) สมมุตินี่เป็นต้นไม้ ถ้าเราให้ระยะ ให้พื้นที่กัน ต้นไม้ต้นนี้ (ต้นไม้ต้นเล็ก) ก็จะได้แสง ได้ปุ๋ย

แต่ถ้าพ่อแม่เข้ามาครอบมาก ต้นไม้ต้นเล็กจะไม่ได้น้ำ ไม่ได้ปุ๋ย ไม่ได้แดด ฝนตกลงมาก็ได้ฝนไม่เต็มที่ ปุ๋ยที่อยู่ในดินก็โดนรากของต้นใหญ่ดูดไปหมด ต้นนี้ก็แคระแกร็น โตไม่ได้เพราะถูกครอบอยู่ ไม่สามารถเป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นได้แค่ต้นไม้เตี้ยๆ ต้นหนึ่ง และเป็นได้แค่ติ่งของต้นไม้ต้นนี้ (ต้นใหญ่)

การไม่ฟัง ก็อยู่ในคำว่าเพิกเฉย?

พ่อแม่คนหนึ่งอาจทำพฤติกรรมได้หลายแบบที่เป็นการเพิกเฉยต่อความต้องการหรือต่อความสนใจของลูก

ลูกอยากเรียนอันนี้/ไม่ได้ ลูกต้องเรียนอันนั้น ขณะเดียวกันก็สร้างเงื่อนไขว่าถ้าลูกเรียนวิชาที่แม่ต้องการ แม่จะซื้อขนม ซื้อของให้ นี่อาจเป็นกลไกที่แม่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่แม่ต้องการ แต่เสร็จแล้วมันไปมีผลกระทบกับลูก แม้ลูกจะยังไม่ได้เลือกทำสิ่งที่อยากทำ แต่ลูกได้เรียนรู้ว่าถ้าอยากได้อะไรหรืออยากจะอยู่อย่างสงบก็ต้องเอาใจใครบ้าง เด็กจะมีทักษะบางอย่างของตัวเองขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้

ในที่สุดเมื่อแม่ได้สิ่งที่ต้องการ แม่จะหันมาดูและแสดงความพอใจ ซึ่งความใส่ใจที่แม่มีให้ในจังหวะนี้เด็กจะสัมผัสและให้ค่าสูงมาก ถึงแม้จะต้องได้มาด้วยกระบวนการแบบนี้แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่มีค่า… มีค่ามากสำหรับเด็กที่ตัวตนอยู่ไหนก็ไม่รู้

พูดแบบนี้ได้ไหมว่า ทำแบบนี้ได้ความสนใจจากแม่ แต่ self ของลูกไม่ถูกตอบสนอง?

มันก็เป็นการแสดงให้ self รู้อีกทางว่า self มีอยู่นะ แต่ภายใต้เงื่อนไขนี้ คือ คุณไม่อาจเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง คุณมีตัวตนอยู่ได้เฉพาะภายใต้เงื่อนไขของฉัน (แม่)

ในวงการจิตแพทย์เด็ก พูดถึงปัญหาด้านพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็กด้านอื่นๆ ในประเด็นใดอีกบ้าง

จริงๆ มีปัญหาหลายอย่างเลย มีปัญหาอื่นที่ซ่อนอยู่และยังไม่มีกลไกไปจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การทารุณกรรมเด็กในบ้าน หรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กแล้วไม่มีหน่วยงานตรงเข้าไปดูแล เช่น คนในครอบครัวเด็กเสียชีวิต โรงเรียนไม่มีกลไกอะไรรองรับ แค่รับรู้ แสดงความเสียใจกับพ่อแม่ แต่ไม่มีใครพูดหรือถามอะไรกับเด็ก ให้เด็กลาเรียนไปทำพิธีกรรมทางศาสนา แต่ไม่มีนักจิตวิทยาหรือกลไกอะไรเข้าไปดูแล

การสูญเสียนี้ทำให้เด็กเกิดบาดแผล (trauma) มากน้อยแค่ไหน? เด็กรับมือได้ไหม ไหวไหม ปรับตัวได้ไหม? ไม่มีใครเข้าไปดูแล มีเด็กจำนวนหนึ่งที่อยู่ในสถานการณ์การสูญเสียแบบนี้แล้วซึมเศร้า เรียนหนังสือไม่ได้ ไม่มีสมาธิ จน 6 เดือนไปแล้วแม่รู้สึกว่าเริ่มไม่ไหว ลูกเริ่มไม่โอเค พูดน้อยลง ถามอะไรก็ไม่ตอบ ข้าวไม่กิน ต้องพาไปหาหมอ ไปหาหมอเด็กก่อน หมอเด็กค่อยบอกว่าให้ไปหาจิตแพทย์ มีเรื่องแบบนี้อยู่เยอะ

ไม่แน่ใจว่าเป็นข้อสังเกตที่จริงหรือไม่ แต่พบว่าอาการซึมเศร้า พบในเด็กที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ

ใช่ เด็กลงเรื่อยๆ และเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ลดลง มีงานวิจัยในไทย ทำในเด็ก ม. 4-6 วิธีทำคือ ไปดูว่ากลุ่มตัวอย่างที่สุ่มมา 382 คน จากสองโรงเรียน ในจำนวนนี้มีคนเป็นโรคซึมเศร้ากี่คน ตัวเลขออกมาประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งใน 17 เปอร์เซ็นต์มาจากครอบครัวที่มีการเลี้ยงดูแบบครอบงำอยู่เยอะมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาเป็นอันดับสองคือครอบครัวที่เพิกเฉย ไม่สนใจ ทอดทิ้ง อยากทำอะไรก็ทำ ไปไหนก็ไป อันดับสามคือ ครอบครัวที่ตามใจ ตามใจเหมือนจะดี แต่ไม่มีขอบ สมมุติว่า อยากเล่นน่ะ ไม่อยากกลับบ้าน โอเคแม่ให้ 5 นาทีนะ พอผ่านไป 5 นาทีแล้วยังอยากเล่นอยู่ เถลไถลในสนามเด็กเล่น แม่บอก โอเคๆ เล่นไปๆ ให้อีกๆ ต่อเวลาไปได้เรื่อยๆ แบบนี้ไม่มีขอบเขต การตามใจแบบนี้ไม่เป็นผลดี เพราะเด็กไม่เรียนรู้ว่าขอบอยู่ตรงไหน แล้วมันจะเกิดปัญหากับเรื่องอื่นๆ ที่มันต้องการการรับรู้เรื่องขอบเขต

ศิลปะบำบัด

นักศิลปะบำบัดคือใคร ทำหน้าที่อะไรบ้าง

ในกรณีที่เราคุยกันคือปัญหาเรื่อง self นี้ นักศิลปะบำบัดจะให้พื้นที่ ให้ self ของเขาได้มีที่อยู่ ทั้งที่อยู่ในห้องบำบัดและที่อยู่บนงานศิลปะ การที่เขาวาดอะไรลงไป ปาดพู่กันลงไป มันคือหลักฐานการมีอยู่ของเขาทั้งนั้นเลย

เรารับฟังเขาว่ามันคืออะไร งานศิลปะที่เขาสร้างขึ้นมาเรื่องราวมันเป็นยังไง เราจะไม่ correct เขา ไม่บอกว่า “ทำไมต้นไม้เป็นสีฟ้าไม่เป็นสีเขียว” ก็ต้นไม้ของฉันอยากเป็นสีฟ้าน่ะ นักศิลปะบำบัดจะไม่ตั้งคำถามเรื่องเหล่านั้น แต่จะยอมให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น

นักศิลปะบำบัดจะให้พื้นที่สร้างศิลปะและรับฟัง?

เราอยู่ตรงนั้นเพื่อรับรู้การมีอยู่ของคนข้างหน้า รับรู้ได้ด้วยอะไรบ้าง? ด้วยการฟังและถามคำถามที่แสดงให้เห็นว่าเราฟังอยู่นะ เราพยายามทำความเข้าใจอยู่ เรากำลังติดตามเรื่องราวนี้อยู่ การกระทำแบบนั้นทำให้เจ้าตัวสัมผัสถึงการมีอยู่ของตัวเองได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ การมีอยู่ตรงนี้ กำลังหายใจแบบนี้ ตาชื้นๆ คู่นี้มีความรู้สึกอะไรอยากเล่าให้เราฟังไหม? ไม่ได้ฟังเฉพาะแค่สิ่งที่เขาบอก แต่ฟังและสัมผัสถึงสิ่งที่มีอยู่แม้ยังไม่ได้บอกด้วย

นักศิลปะบำบัดคือนักจิตวิทยาที่ใช้ศิลปะเป็นจุดเชื่อมระหว่างคนไข้กับคุณหมอ?

จะพูดแบบนั้นก็ได้เพราะมันคือการทำจิตบำบัดแบบหนึ่งผ่านศิลปะ

จริงๆ ศิลปะเป็นมากกว่าเครื่องมือ โอเคว่ามันเป็นเครื่องมือที่เราใช้ทำความรู้จักกัน แล้วต่อจากนั้นศิลปะจะให้พื้นที่ให้ self ได้ออกมาข้างนอก ได้แสดงตัวตน และมันจะเป็นหลักฐานการมีอยู่ด้วย อันนี้เป็นมากกว่าเครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์หมอกับคนไข้แล้วนะ เพราะอันนี้เลยไปถึงการเยียวยาซ่อมแซมความรู้สึก

และนอกจากนี้ยังเอาไปใช้เป็นฐานข้อมูล เป็นวัตถุพยาน เช่น กรณีที่เด็กถูก abuse มา เราไปทำศิลปะบำบัดแล้วเด็กเล่าว่า คนที่ทำร้ายเขาคือใคร อยู่ที่ไหน บันทึกของนักศิลปะบำบัด รวมทั้งชิ้นงานศิลปะที่เกิดขึ้น สามารถใช้เป็นวัตถุพยานและศาลก็รับฟังด้วย

มันออกมาได้อย่างไร เราอาจจะเสแสร้งวาดหรือมีเทคนิคบิดเบือนไม่ให้ใครอ่านออก ทำไมศิลปะจึงสะท้อนใจเราได้ขนาดนั้น

ถ้าเราเป็นศิลปิน เรามีเทคนิคเยอะแยะมากมายที่จะกลบเกลื่อนไม่ให้ใครเห็นว่าเรากำลังรู้สึกอะไรได้ แต่คนทั่วๆ ไปไม่ได้มีทักษะแบบนั้น สิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดที่ออกมาโดยปราศจากความสามารถหรือทักษะ คือสิ่งที่จริงที่สุด มันจะเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ที่เราไว้วางใจกัน เราเชื่อในกันและกันและรู้สึกถึงความปลอดภัยที่อยู่ในห้อง อย่างเช่นห้องนี้มีผนังเป็นแบบ double wall จะไม่มีคนข้างนอกได้ยินเราคุยกัน เป็นจุดตั้งต้นของความรู้สึกปลอดภัยที่เรามอบให้ แล้วต่อจากนั้นเราก็สร้างความไว้วางใจผ่านศิลปะกันอีก

ถามว่ากระบวนการเกิดขึ้นได้อย่างไร นี่ถ้าเล่าออกมาเป็นคำพูดมันไม่เหมือนสัมผัสเอง กระทั่งอัดวิดีโอแล้วเปิดให้ดู หลายคนก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรในห้องบำบัดหรือในบรรยากาศตอนนั้น มันไม่ใช่กระบวนการที่ทำครั้งเดียวจบ เป็นกระบวนการระยะยาว จะบอกว่าเป็นอะไรดี? (นิ่งคิด)

เป็นการที่คนสองคนเข้ามาอยู่ในห้องเดียวกัน สูดอากาศเดียวกัน แลกเปลี่ยนอากาศกัน ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายและปลอดภัย การรับรู้ระหว่างคนสองคนมีอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ มันคือจุดเริ่มต้นที่คนหนึ่งรู้ว่าตัวเองมีอยู่ พร้อมกันนั้นก็รับรู้การมีอยู่ของอีกคนที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย เมื่อได้แลกเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์กัน คนหนึ่งรู้ว่าอีกคนหนึ่งอยู่ตรงนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เขาได้เป็นตัวเอง ในท่าทีที่ง่ายและสงบของนักบำบัด คนคนนั้นเรียนรู้ที่จะไว้ใจ คนคนนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปิดบังคนคนนี้ เพราะนี่คือพื้นที่ที่เขาได้เป็นตัวเองอย่างแท้จริง เป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครตัดสินใคร และเป็นพื้นที่ที่เขาจะรับการดูแล ไม่ว่าเรื่องอะไร

เมื่อมันเป็นแบบนั้นแล้ว คนคนนั้นก็ไม่รออีกต่อไปที่จะเปิดเผยเรื่องราวไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรที่มันรบกวนเขาอยู่ มันจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องแสแสร้งหรือทำเทคนิคอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้ therapist หลงทางหรือตีความผิดๆ เพราะมันไม่มีประโยชน์และเป็นการเสียโอกาส

ถ้า walk in เข้ามาที่สำนักงาน กระบวนการหรือขั้นตอนการบำบัดเป็นอย่างไรบ้าง

กระบวนการมาตรฐานคือ ขั้นแรกจะเป็นการสกรีนก่อน เริ่มจากทำความรู้จักกัน ดูว่าเคมีตรงกันไหม ถ้าเคมีไม่ตรงกันเราอาจแนะนำให้ไปหา therapist คนอื่น หรืออาจดูเรื่องความเสี่ยงบางอย่าง เช่น ที่นี่จะไม่รับทำงานกับคนที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เพราะสำนักงานเราตั้งอยู่ที่ชั้น 5 นี่คือข้อจำกัดหนึ่ง หรือ ถ้ามีคนไข้คนหนึ่งเข้ามาพบหมอ ปรากฏว่าคนไข้หน้าเหมือนแฟนเก่าหมอมากเลย สมมุติว่าเรื่องเก่าข้างในของหมอยังไม่จบ หมอก็ไม่อยากรับนะ (หัวเราะ) เพราะความรู้สึกเก่าๆ ที่มีมันจะกวนเรา ทำให้เราเอียง ทำให้เราทำงานบำบัดได้ไม่ดีเท่าที่ควร พอผ่านขั้นตอนการสกรีนแล้ว กระบวนการจะเป็นแบบ tailor made เลย เป็นการออกแบบโปรแกรมเฉพาะเพื่อทำงานกับคนคนนั้น โดยเฉพาะออกแบบบนฐานทฤษฎีจิตบำบัดและศิลปะบำบัด เลือกวัสดุให้สอดคล้องกับบุคลิกของคนไข้ และใช้เป้าหมายที่ตกลงร่วมกันมากำหนดเป็นปลายทาง ความที่เป็นแบบ tailor made จึงไม่มีกระบวนการกำหนดตายตัวว่าทำอันนี้ก่อนค่อยทำอันนั้น

คนที่มาทำศิลปะบำบัดมักเป็นกรณีไหนบ้าง อายุเท่าไร หรือยังไม่ป่วยแต่มาทำศิลปะบำบัดได้ไหม

ยังไม่ป่วยก็มี ไม่มีความสุขในชีวิตก็มา สงสัยว่าทำไมตัวเองไม่สบายตัวไม่สบายใจ ทั้งที่ไม่มีภาระอะไรแล้ว เพิ่งเกษียณอายุ ลูกโตแล้ว มีบ้าน มีครอบครัว ลูกหลานก็ดี ทำไมฉันถึงไม่มีความสุข? แบบนี้มาทำศิลปะบำบัดก็มี

กรณีที่เราสามารถเชื่อมโยงสาเหตุความทุกข์ได้ง่ายๆ มันก็ชัดอยู่แล้ว เช่น คนไข้โรคมะเร็ง เด็กที่ถูกกระทำทารุณกรรมมา คนที่อยู่ในคุก แน่นอนว่าไม่มีความสุข แต่เหล่านี้เป็นแค่ปลายทาง นักศิลปะบำบัดจะทำไปถึงต้นทางว่าที่มาคืออะไรบ้าง รากของเรื่องนี้คืออะไร และประเมินว่ามันแก้ไขได้ไหม ถ้าแก้ไขได้ ตรงไหนที่ทำได้บ้าง ตรงไหนแก้แล้วจะช่วยให้ตรงอื่นคลี่คลายด้วยเราจะทำตรงนั้นก่อน

หลายคนพาเด็กๆ มาทำศิลปะบำบัด เพราะคิดว่าเป็นการทำศิลปะ เป็นวิธีการที่ยอมรับได้มากกว่าการพาลูกไปพบจิตแพทย์?

เป็นอคติในใจคน แม้ว่าปัจจุบันคนจะเปิดใจมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มากพอ มีคนอีกจำนวนมากปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอะไร ไม่มีอะไรร้ายแรง เดี๋ยวลูกโตก็หาย เลยปล่อยให้เรื้อรัง

มีคนส่วนหนึ่งที่รู้สึกว่าปล่อยไม่ได้แต่ยังไม่อยากไปหาจิตแพทย์ เลือกมาหานักศิลปะบำบัดด้วยความเข้าใจของตัวเองว่า “เออ มาทำศิลปะให้ผ่อนคลาย พอหายเครียดแล้วก็ดี” แต่นี่ไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องว่าศิลปะบำบัดคืออะไร แต่เขาเลือกทางนี้เพราะเขาเชื่อแบบนี้

แต่การทำศิลปะบำบัดไม่ใช่การทำงานเพื่อความผ่อนคลาย?

ซีเรียสค่ะ เพราะเราเข้าไปถึงรากของปัญหา รากที่เน่าๆ มันไม่สวยงามนะ สมมุติว่าทำงานไปสักพักแล้วค้นพบว่า ตอนนั้นคนไข้เราสองขวบ ไม่มีใครอยู่บ้านแล้วมีใครสักคนมาทำอนาจารเขา เรื่องใหญ่นะ เรื่องหนัก เรื่องที่ต้องทำงานต่อไป ไม่ใช่เรื่องผ่อนคลาย

ในกรณีที่พ่อแม่พาลูกมาทำศิลปะบำบัด แล้วพ่อแม่ต้องทำศิลปะกับลูกด้วยไหม

แล้วแต่ว่าเรากำลังเยียวยาอะไรอยู่ ถ้าเราเยียวยาความสัมพันธ์ ก็จำเป็นต้องให้แม่หรือพ่อเข้ามาเพื่อมีความสัมพันธ์ (interaction) กันในลักษณะที่เฮลตี้ (healthy) เรากำลังทำโมเดลหรือต้นแบบใหม่เพื่อให้เขาเอากลับไปใช้ที่บ้าน เพราะตอนที่เขา (พ่อแม่ลูก) อยู่บ้าน เขามีความสัมพันธ์ลักษณะหนึ่งที่มันไม่เฮลตี้ มันทำร้ายกันและกัน การที่เขามาอยู่ห้องบำบัดด้วยกัน เริ่มมีวิธีคิด มีวิธีการมองแบบใหม่ มองเห็นลูกในมุมอื่นซึ่งตัวเองไม่เคยเห็น อะไรแบบนี้

การทำงานเยียวยาเด็กคนหนึ่ง จะไปจบที่ตรงไหน

เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ด้วย ขึ้นกับว่านักบำบัดสามารถโน้มน้าวหรือทำให้พ่อแม่เปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะอะไร? เพราะเด็กมาหานักบำบัดแค่อาทิตย์ละหนึ่งชั่วโมง แต่เขาอยู่กับพ่อแม่เยอะกว่านั้น อิทธิพลของพ่อแม่ยังเยอะอยู่มาก ถ้านักศิลปะบำบัดโน้มน้าวให้พ่อแม่ถอยออกมาได้ (ทำมือรูปต้นไม้) หุบใบของตัวเอง ไปกางตรงอื่น อย่ามาครอบ อย่ามาบัง ถ้านักบำบัดทำตรงนี้สำเร็จ ต้นนี้ก็โตได้ นี่คือภาพที่อยากให้เห็นว่าเราไม่ได้ทำงานกับเด็กฝ่ายเดียว

ทุกวันนี้พ่อแม่เข้าบำบัดไหม

ยาก ส่วนมากพ่อแม่พาลูกมาแล้วบอกว่าลูกมีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองต้องเข้ามาเปลี่ยนแปลงอะไรด้วย

เหมือนเอาลูกมาหาหมอ คิดว่าเดี๋ยวหมอจะรักษาลูก?

ใช่ ให้ลูกมารักษา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง ทุกคนไม่อยากรู้สึกว่าตัวเราเองเป็นปัญหา ว่าเราบกพร่องหรืออะไรสักอย่าง รักษาลูกไปก่อน แล้วบางทีเราก็มีวิธีมองว่าที่ลูกมีปัญหาแบบนี้เพราะพ่อมันน่ะสิ เพราะปู่ย่า หรืออะไรอย่างอื่น ผลักไปให้คนอื่น

ระดับพ่อแม่ อ่านเด็กผ่านศิลปะได้หรือเปล่า

คุณไม่ต้องเรียนศิลปะเพื่ออ่านเขาจากงาน คุณอ่านเขาได้โดยตรง ลูกคุณอยู่ตรงนั้นให้คุณอ่าน เขาเดินมาหา เขาต้องมีอะไรอยากบอก ดูตาเขาสิ ตาเขาเศร้าหรือเบิกโตแบบดีใจ เท่านี้คุณก็รู้แล้วว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องสนุกหรือน่ากลัวน่าเบื่อหน่าย

ฟังลูกแล้วมองเข้าไปในตาของเขา สัมผัสความรู้สึกที่เคล้าอยู่ในน้ำเสียงของเขา ลองสมมุติตัวเองว่าเป็นเด็กอายุเท่าเขา แล้วเราก็จะเข้าใจ

ใส่ใจและสร้างพื้นที่ปลอดภัยแบบนักบำบัดทำ?

ใช่ พอเด็กคนหนึ่งเข้ามาก็ต้องทำตัว available ไม่ใช่ไปนู่นก่อน เดี๋ยวแม่ทำนี่ก่อน เดี๋ยวครูทำนู่นก่อนแล้วค่อยว่ากัน ส่วนมากเด็กแต่ละคนรู้กาลเทศะ ถ้าเขาไม่ได้มีเรื่องอะไรจะเกี่ยวข้องกับเรา เขาไม่มากวนเราหรอก เป็นเรื่องธรรมชาติที่เด็กๆ จะอยากมีปฏิสัมพันธ์กับใครสักคน เพราะเป็นการหาโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้โลกเรียนรู้ความสัมพันธ์ ถ้าเราไม่ทำตัวให้ว่างสำหรับเขา เดี๋ยวเขาก็ไปหาคนอื่น ก็เลือกเอาว่าจะให้เขาเรียนรู้จากเราหรือให้เขาไปหาเอาเองข้างหน้าแล้วแต่โชคชะตาจะพาไป

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยจิตวิทยาศิลปะบำบัดพญ.พัชรินทร์ สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Family Psychology
    3 ขั้นตอนเช็คลูก ก่อนไปหาจิตแพทย์/นักจิตวิทยา

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Learning TheoryFamily Psychology
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning TheoryEarly childhood
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

พัฒนาการ 8 ด้าน จากการออกไปเรียนใกล้ๆ ธรรมชาติ
Learning Theory
14 May 2019

พัฒนาการ 8 ด้าน จากการออกไปเรียนใกล้ๆ ธรรมชาติ

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • การเรียนรู้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมธรรมชาติ หรือ Outdoor Learning ช่วยกระตุ้นพัฒนาการ 8 ด้าน คือ สมาธิ เครียดน้อยลง มีวินัยในตัวเอง กระฉับกระเฉง แข็งแรง กระตือรือร้น สนุกจะเรียนรู้ และมีส่วนร่วมซึ่งกันและกัน
  • ลองนึกภาพเด็กๆ ที่ตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว สังเกต สงสัย และพบเห็นสิ่งน่าสนใจใหม่ๆ ในบรรยากาศที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติ สิ่งเหล่านั้นยังช่วยให้นักเรียนอยากมีส่วนร่วม มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และกล้าทดลองสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่างจากบรรยากาศเดิมในห้องเรียน

เว็บไซต์ Frontiers in Psychology – ฐานข้อมูลที่รวบรวมวารสารว่าด้วยจิตวิทยาทุกแขนงเอาไว้ด้วยกัน เผยแพร่ผลงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนแนวทางการสอนแบบใกล้ชิดธรรมชาติ ซึ่งไม่เพียงเป็นครั้งแรกของการรวบรวมหลักฐานที่สนับสนุนแนวทางการสอนดังกล่าวไว้ด้วยกันทั้งหมด แต่ยังแสดงให้เห็นว่าจำเป็นเพียงไร ที่โรงเรียนต้องตระหนักถึงความสำคัญอันใหญ่หลวงในการปลูกฝังเยาวชนที่กำลังจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตให้เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

ในขณะที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตการณ์สิ่งแวดล้อมและสภาวะอากาศแปรปรวนเช่นทุกวันนี้ จำเป็นหรือยังที่เด็กควรได้รับการปลูกฝังความรู้ความเข้าใจเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล (cause and effect) กับธรรมชาติที่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งและอาศัยพึ่งพิง

นอกจากการสอบและความสำเร็จของผลคะแนน ครูต้องสอนให้พวกเขามองธรรมชาติว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและใส่ใจที่จะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไว้ให้คงอยู่ต่อไปด้วยเช่นกัน

ดร.หมิง คูโอะ (Ming Kuo) อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แห่งมหาวิทยาลัยอิลินอยส์ สหรัฐอเมริกา และทีมวิจัย ซึ่งศึกษาค้นคว้าหัวข้อการเรียนรู้นอกห้องเรียน หรือที่เรียกว่า Outdoor Learning ตั้งเป้าหมายที่จะลบล้างการยึดถือแนวการสอนในห้องเรียนแบบเดิมๆ ของพ่อแม่และโรงเรียนที่กวดขันให้อาจารย์อัดความรู้ในชั้นเรียนและบีบให้นักเรียนทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการเตรียมสอบ

อาจารย์คูโอะมองว่าแนวคิดนี้มีแต่จะสร้างผลเสียจากการที่เด็กเครียด หงุดหงิด และขาดแรงจูงใจในการรับเนื้อหาความรู้จนเรียนไม่รู้เรื่อง ในขณะที่งานวิจัยจำนวนมากบ่งชี้ว่าการพานักเรียนออกไปเปิดประสบการณ์ท่องธรรมชาตินอกห้องเรียน หรือสอนในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ เช่น การพาไปทัศนาจรในป่า พาชมพืชพรรณต้นไม้ในสวนของโรงเรียน หรือดูการเจริญเติบโตของกบในบึง ช่วยกระตุ้นพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยด้านการเรียนรู้นอกห้องเรียน ทีมวิจัยของอาจารย์คูโอะพบว่าการเรียนรู้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมธรรมชาตินอกห้องเรียนนั้นช่วยกระตุ้นพัฒนาการนักเรียนถึง 8 ด้านด้วยกันคือ

  • มีสมาธิจดจ่อดีขึ้น
  • เครียดน้อยลง
  • รู้จักวินัยต่อตัวเอง
  • การเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉงมากขึ้น
  • สมรรถภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น
  • กระตือรือร้นในการเรียนรู้
  • มีความสุขและสนุกที่จะเรียนรู้
  • มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

ผลการวิจัยที่เชื่อถือได้จากงานศึกษานับร้อยชิ้นถูกเผยแพร่ออกมาหักล้างแนวทางการเรียนแบบดั้งเดิมอย่างชัดเจนว่า เด็กที่ผ่านกระบวนการสอนแบบใกล้ชิดธรรมชาติ (nature-based instruction) ทำคะแนนสอบได้สูงกว่าและมีอัตราการสำเร็จการศึกษามากกว่าเด็กที่ถูกสอนแต่ในห้องเรียน

อาจารย์คูโอะพบว่าปัญหาน่าหนักใจยิ่งกว่าผลเสียจากความเคร่งเครียดในห้องเรียนที่ครูสอนเพื่อให้ไปสอบแบบเดิมๆ ก็คือ การที่พ่อแม่ผู้ปกครองและตัวนักเรียนกลับยึดติดกับคะแนนสอบมากจนเกินไปเสียเอง

ผลบวกจากการเรียนรู้นอกห้องเรียนไม่เพียงกระตุ้นให้นักเรียนมีผลการเรียนดีขึ้น

ลองนึกภาพเด็กๆ ที่ตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว สังเกต สงสัย และพบเห็นสิ่งน่าสนใจใหม่ๆ ในบรรยากาศที่แวดล้อมด้วยธรรมชาติ สิ่งเหล่านั้นยังช่วยให้นักเรียน อยากมีส่วนร่วม มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และกล้าทดลองสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่างจากบรรยากาศเดิมในห้องเรียน

ดังนั้น เด็กที่เรียนรู้นอกห้องเรียนจึงมีโอกาสพัฒนาทักษะการดำเนินชีวิตในสังคมควบคู่ไปด้วยเช่นกัน แคทเธอรีน จอร์แดน (Catherine Jordan) อาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยมินเนโซตา สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำวิจัยร่วมกับอาจารย์คูโอะอธิบายเสริมว่า ผู้เข้าร่วมวิจัยและนักสังเกตการณ์ในการศึกษาของเธอจำนวนไม่น้อยรายงานว่า กระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยสร้างความอดทน ทักษะการคิดแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความเป็นผู้นำ ทีมเวิร์ค และความยืดหยุ่นให้พวกเขาอีกด้วย เหล่านี้เป็นทักษะและคุณลักษณะสำคัญในการเรียนรู้เพื่อดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพในศตวรรษที่ 21

อย่างนี้แล้ว โรงเรียนและนักการศึกษาควรหันมาทบทวนแนวทางการสอนและจัดกระบวนการเรียนรู้โดยให้เพิ่มกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ออกไปเรียนรู้และอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติในสัดส่วนที่มากขึ้น สร้างพื้นที่สีเขียวในรั้วโรงเรียนด้วยการปลูกต้นไม้ หรือสวนธรรมชาติ และสอดแทรกการเรียนการสอนที่ใช้ธรรมชาตินอกห้องเรียนเป็นพื้นที่เรียนรู้มากขึ้น อย่างน้อยที่สุด แค่ลองพานักเรียนออกมานั่งสมาธิก่อนเข้าเรียนทุกเช้าในสวนร่มรื่น ก็สร้างความแตกต่างขึ้นได้แล้ว

อ้างอิง
Outdoor learning really does boost children’s academic performance and development.

Tags:

สิ่งแวดล้อมeco literacyโรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Creative learning
    ไม่อย่า ไม่ห้าม ในห้องเรียนท้องฟ้ากับวิชาต้นไม้

    เรื่องและภาพ BONALISA SMILE

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Creative learningSpace
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
EF (executive function)
14 May 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ข้อเขียนต่อไปนี้เก็บความแล้วเขียนขึ้นใหม่จากหนังสือ ‘The Development of Working Memory in Children’ เขียนโดย Lucy Henry สำนักพิมพ์ Sage ปี 2012 ต่อจาก ตอนที่แล้ว (อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติ ความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน)

ส่วนประกอบที่ 2 ของระบบความจำใช้งานเรียกว่า visuospatial sketchpad หมายถึงแผ่นกระดานเขียนภาพ

ตอนที่แล้วเราได้พูดถึงส่วนประกอบที่ 1 คือ phonological loop ซึ่งทำหน้าที่บันทึกความจำด้านเสียงเอาไว้นานประมาณ 2 วินาทีก่อนที่จะเลือนหายไปหากมิได้ทวนคำซ้ำ เราจึงได้เห็นเด็กพูดคนเดียวเพื่อทบทวนความจำตนเอง และเห็นเด็กพากย์ตัวเองขณะเล่นหรือทำงาน

ตอนนี้เรามาดูความจำด้านภาพ ความจำด้านภาพมี 2 ส่วน หนึ่งคือภาพของวัตถุที่เห็น ได้แก่ขนาด รูปทรง สี พื้นผิว สองคือตำแหน่งที่อยู่ ที่ว่างโดยรอบ การเปลี่ยนตำแหน่ง บางตำราจัดให้มีส่วนที่สามด้วยคือความเร็วในการเปลี่ยนตำแหน่ง เหล่านี้ประกอบขึ้นเป็นความจำด้านภาพ

ปัญหาของความจำด้านภาพเป็นเหมือนความจำด้านเสียงตรงที่สามารถเลือนหายไปได้หากไม่มีการทวนซ้ำ แต่ปัญหาที่หนักหนากว่าคือคนเราไม่มีระบบทวนซ้ำด้านภาพที่ชัดเจนเท่ากับการทวนคำด้านเสียง เด็กๆ เปล่งเสียงได้แต่ ‘ปล่อยภาพ’ มิได้

พบว่าคุณสมบัติของภาพที่เห็นนั้นเองที่กำหนดความยากง่ายของการจำ ได้แก่ลักษณะที่ภาพนั้นเกิดขึ้น เกิดขึ้นได้เองหรือเกิดขึ้นเป็นผลต่อเนื่องจากอีกเหตุการณ์หนึ่ง พูดง่ายๆ ว่าภาพแต่ละภาพที่เกิดขึ้นรอบตัวมีลักษณะเป็นเหตุ-ปัจจัยกันอย่างไร อย่างไรก็ตามลักษณะเช่นนี้ทำให้เกิดการจำผิดพลาดได้ด้วย เช่น เห็นภาพรถชนเด็กกับตา เด็กต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นแน่ แต่แท้จริงแล้วเด็กอาจจะตัวสูงไม่พ้นหน้ารถและยังยืนยิ้มอยู่หน้ารถที่เบรกทันก็เป็นได้ เป็นต้น

จะเห็นว่าความจำด้านภาพเป็นส่วนสำคัญแต่ไม่มีกลไกทวนซ้ำนอกเหนือไปจากการฝึกฝน นี่คือเหตุผลที่การอ่านหนังสือนิทานประกอบภาพให้เด็กฟังอาจจะมีประโยชน์เหนือกว่าการเล่านิทานให้เด็กฟัง เพราะหนังสือนิทานประกอบภาพนั้นมีภาพ ภาพคือวัตถุ อวกาศ การเคลื่อนที่ และเวลา (อย่าลืมว่าเพราะมีการเคลื่อนที่จึงเกิดเวลา)

ในขณะที่การเล่านิทานเสริมสร้างจินตนาการแต่ดูเหมือนจะได้ไปเพียงการฝึกฝนความจำด้านเสียง เพราะภาพนั้นมิได้เกิดจากการมองเห็นแต่เกิดจากจินตนาการ

ไม่ว่าภาพหรือเสียงจะเลือนหายไปในเวลาประมาณ 2 วินาที แต่ลำดับของเสียงและภาพจะยังคงอยู่และลื่นไหลไปจนกว่าจะจบเล่มนี่คือเหตุผลหนึ่งที่บอกว่าเพราะอะไรการอ่านนิทานประกอบภาพให้ลูกฟังจึงเป็นการบริหารความจำใช้งาน บริหารความจำใช้งานเท่ากับการบริหารองค์ประกอบทั้งสองส่วนคือ phonological loop และ visuospatial sketchpad ทุกคืนๆ จนกว่าจะถึงวันที่เด็กลุกขึ้นนั่ง ‘เล่น’ แล้วตามด้วยยืน ‘ทำงาน’ ในที่สุด

มีงานวิจัยที่พบต่อไปว่าคนเราสามารถจำการออกเสียงที่ไม่ซ้ำกันได้ดีกว่าเสียงที่ซ้ำกัน ข้อค้นพบนี้สร้างความแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะเรามักคิดว่าเด็กๆ จำคำกลอนได้ดีกว่าถ้อยคำพรรณนา

เช่น ทดลองให้อ่าน “ก ร ย ณ ป ค ฮ ง ธ ฆ” เปรียบเทียบกับให้อ่าน “ไก่ เรือ ยักษ์ เณร ปลา ควาย ฮูก งู ธง ระฆัง” เราพบว่าเมื่ออ่านจบแล้วให้ทวนคำ คนส่วนมากจะจดจำได้มากกว่าหากอ่านแบบหลัง จะเห็นว่านี่มิใช่เรื่องของคำคล้องจองแต่เป็นเรื่องของการให้ภาพแก่เสียง กล่าวคือระบบความจำใช้งานได้จับคู่ให้เสียงและภาพเข้ามาใกล้กันเพื่อง่ายต่อการจำ

มีงานวิจัยที่พบต่อไปว่าคำยาวๆ มักจำยากกว่าคำสั้นๆ ความข้อนี้สอดคล้องกับสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่ และน่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ในตอนเริ่มต้นของชีวิต

เช่น ทดลองให้อ่าน “ปัญจวัคคี ปรากฏการณ์ ปรัศวภาควิโลม ประวัติศาสตร์อนาคต ปฏิวัติรัฐประหาร” เทียบกับการอ่านคำว่า “ปลาทอง ประโยชน์ ปฏิเสธ ปุปะ ปูม้า” พบว่าการอ่านแบบหลังจำได้ดีกว่า

นอกเหนือจากนี้ยังพบอีกด้วยความเร็วในการอ่านมีผลต่อความจำใช้งานที่นานขึ้น ยิ่งคนเราอ่านเร็วมากเท่าไร ระบบความจำใช้งานกลับทำงานได้ดีขึ้น สามารถยืดความจำใช้งานออกไปมากขึ้น (working memory span) โดยที่ความสัมพันธ์นี้เป็นการแปรผันตรงอย่างง่ายๆ

ความรู้ข้อนี้สำคัญ ลองนึกภาพเกมคอมพิวเตอร์สำหรับเด็กเล็กเกมหนึ่ง เกมนี้ประกอบด้วยแผ่นสี่เหลี่ยมจตุรัสจำนวน 20 แผ่นบนหน้าจอ เด็กคลิกที่แผ่นใดแผ่นนั้นจะหมุนอีกด้านออกมาปรากฏเป็นภาพภาพหนึ่ง เช่น เป็นภาพปู ลิง ม้า ดาวแดง เรือ เป็นต้น ภาพจะปรากฏขึ้นมาเพียง 1-2 วินาทีแล้วพลิกกลับด้านหายไป เด็กจะคลิกสุ่มในตอนแรกแต่เริ่มจำภาพและตำแหน่งของภาพ เด็กเริ่มบริหารความจำด้านภาพแล้วคลิกภาพที่เหมือนกันขึ้นมา การจับคู่ที่ถูกต้องทำให้ภาพนั้นเลือนหายไป บัดนี้เหลือ 18 แผ่น เด็กจะคลิกเร็วขึ้นๆ ด้วยความจำใช้งานที่ดีขึ้นๆ จับคู่ภาพที่เหมือนกันในสองตำแหน่งได้แม่นยำขึ้น แผ่นภาพหายไปอีกลดเหลือ 16 14 12 10 8 6 4 2 และ 0 GAME OVER

แปลกแต่จริงที่เด็กคลิกเร็วมากเท่าไรกลับทำเวลาได้ดีขึ้นเท่านั้น ในทางตรงข้ามเด็กที่คลิกช้าและพยายามจดจำว่าภาพไหนอยู่ที่ไหนกลับทำเวลาทั้งหมดได้ช้ากว่า จะเห็นว่าความเร็วของการจดจำภาพแปรผันตรงตามความคงอยู่ของความจำใช้งาน

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งกับความจำด้านเสียงและความจำด้านภาพนี้ทำให้เราได้รู้จักองค์ประกอบที่ 3 ของความจำใช้งานคือส่วนบริหารกลาง central executive ที่จะได้กล่าวถึงต่อไป

แต่ตอนนี้เราทบทวนเรื่องที่เกิดในบ้านอีกครั้งหนึ่ง

เราพบว่าเด็กที่ทำอะไรชักช้า ไม่เสร็จเสียที จะเป็นไปตามเส้นกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วในการทำงานและระยะเวลาของความจำใช้งาน กล่าวคือยิ่งทำงานช้าความจำใช้งานยิ่งแย่ ยิ่งร่ำไรงานยิ่งไม่เสร็จ ยิ่งโอ้เอ้ยิ่งไม่รู้ว่าขั้นตอนต่อไปต้องทำอะไร

แปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว เพียงห้าขั้นตอนในตอนเช้าเด็กหลายคนทำไม่ได้ เด็กที่ทำเร็วทำได้ เด็กที่ทำช้าเรื่องมักจะเนิ่นนานออกไป แต่มิใช่เพราะ “ช้าเป็นเต่า” ดังที่เราคิดกัน แต่เป็นเพราะความจำใช้งานของเขาอยู่ไม่เกิน 2 วินาที กว่าจะเสร็จหนึ่งก็ลืมเสียแล้วว่าอีกหนึ่งคืออะไร และเมื่อพ่อแม่เอ็ดตะโรเครื่องจักรที่ว่าด้วยความจำใช้งานยิ่งติดขัด

การใช้ตารางกิจวัตรจะช่วยแปรความจำใช้งานให้เห็นเป็นภาพบนกระดาน แปรงฟันเสร็จให้ล้างหน้า พ่อแม่ลงไปช่วยประกบและกำกับตั้งแต่แรกเพื่อให้ความเร็วในการแปรงฟันสูงขึ้นกลับจะทำให้เขาจำขั้นตอนต่อไปคือล้างหน้าได้ดีขึ้น นี่คือเหตุผลที่เราต้องสละเวลาลงไปกำกับงานเด็กเมื่อพบว่าลำพังการสั่งด้วยวาจาเด็กคนนั้นทำไม่ได้

อ่านถึงตรงนี้ อย่าลืมที่เขียนตอนกลางของบทความ กลับไปอ่านนิทานก่อนนอนเสียดีๆ

Tags:

EFนิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานการอ่านความจำใช้งานพัฒนาการ

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติ ความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เพราะติ่งและเต้นอย่างจริงจัง VICTORY CREW คว้าแชมป์โลกคัฟเวอร์ BLACKPINK
Voice of New Gen
13 May 2019

เพราะติ่งและเต้นอย่างจริงจัง VICTORY CREW คว้าแชมป์โลกคัฟเวอร์ BLACKPINK

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Victory Crew วงคัฟเวอร์แดนซ์ เจ้าของรางวัลชนะเลิศการแข่งขันเต้นคัฟเวอร์เพลง KILL THIS LOVE เพลงสุดฮิตของ BLACKPINK
  • 4 สาว นักเต้น ล้วนเริ่มต้นเต้นจากการเป็นติ่ง เมื่อชอบจึงกลายมาเป็นแฟนคลับ ซ้อมหนัก และฝึกฝน จนคว้าแชมป์โลกได้ในที่สุด
  • “การเต้นคือการได้สื่อสารสิ่งที่อยู่ภายในใจในความคิดของเราออกมาด้วย บางทีเราอยากถ่ายทอดความคิดความรู้สึกที่ซับซ้อนแต่ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เราสามารถใช้การเต้นเป็นตัวสื่อความรู้สึก ทั้งท่าเต้น เพลง หรือเนื้อเพลง หนูรู้สึกว่าการเต้นสามารถถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้หมดโดยที่เราไม่ต้องพูดอะไรเลย”
ภาพ: ธเนศร์ แก้วดวงดี

เรามาถึงตอนที่เด็กสาวทั้งสี่คนกำลังซ้อมเต้นกันเบาๆ ที่ลานหน้าห้องสตูดิโอสถาบัน Dance Zone

ใกล้ๆ กันมีลูกโป่งหลายใบสีชมพูกับดำจัดเป็นช่อใหญ่ ลูกโป่งสีชมพูใบใหญ่สุดมีคำแสดงความยินดีกับทีม Victory Crew – เจ้าของรางวัลชนะเลิศการแข่งขันเต้นคัฟเวอร์เพลง KILL THIS LOVE เพลงสุดฮิตของ BLACKPINK เกิร์ลกรุ๊ปค่าย วายจี เอนเตอร์เทนเมนต์ จากเกาหลีใต้ที่โด่งดังสุดๆ

เช่นเดียวกันกับ มะยา-นภัสสวรรค์ ประทุมเมศร์ พี่ใหญ่วัย 17 ปี และ เพา-เพาพะงา การุณนราพร, โมมาย–ภัคภร เอี่ยมทัพ, เอ็ม-เอมิลี่ บี หลิง ตัน วัย 16 ปีที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนี้

“จริงๆ พวกหนูไม่คิดว่าจะได้ด้วยซ้ำ เพราะยอดวิวของเรานิดเดียวเอง” โมมายบอก ด้วยความที่คะแนนในการตัดสินมาจากทีมงานจากวายจีครึ่งหนึ่ง และจากยอดวิวใน YouTube อีกครึ่งหนึ่ง และย้อนกลับไป วิดีโอของพวกเธอมียอดวิวแตะ 6,000 กว่าเท่านั้น “คนอื่นได้กันไปตั้งหลายแสนวิว”

แต่ตอนนี้ยอดวิววิดีโอของพวกเธอก็ทะลุหลักล้านวิวไปไกลแล้ว ล่าสุดทางค่ายวายจีก็ยังประกาศว่าจะใช้คลิปวิดีโอผลงานของทีมไปเปิดโชว์เป็นส่วนหนึ่งในคอนเสิร์ตใหญ่ของ BLACKPINK ด้วย – คงไม่ต้องถามความดีใจ เพราะพวกเธอยิ้มกันจนแก้มปริ

หลังจากนั่งลง พวกเธอฮัมเพลง Kill This Love กันเบาๆ

“เป็นบลิงค์กันทุกคนเลยหรือเปล่า” (BLINK คือชื่อเรียกแฟนเพลงหรือ ‘ติ่ง’ ของ BLACKPINK) เราถาม

“เป็นค่า” สี่เสียงตอบประสานกันเสียงดัง ตามด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น

ทำไมถึงชอบ BLACKPINK

เอ็ม : เขามีสไตล์ที่ไม่เหมือนเกิร์ลกรุ๊ปทั่วไป มีเสน่ห์ของตัวเองทั้งแนวเพลงและตัวศิลปิน

โมมาย : เพลงดึงดูดเราค่ะ ความสามารถแน่นมาก

เพา : ชอบลิซ่าค่ะ (ลลิษา มโนบาล – คนไทยคนเดียวใน BLACKPINK) หนูเห็นเคป๊อปหลายวงมีคนไทยเหมือนกันแต่ไปไม่ไกลเท่าลิซ่า และเขามีความสามารถสูง หนูมองเขาเป็นไอดอลเลย

มะยา : วงนี้มีเสน่ห์มีสไตล์ของตัวเอง ท่าเต้นแข็งแรงทำให้เราสามารถเอาท่าเขามาปรับเป็นท่าของเราได้

อ่านคอมเมนต์ในยูทูบแล้วคิดอย่างไรกับความเห็นแย่ๆ ต่อคลิปของเรา

โมมาย : พวกเราฟังแค่เรื่องที่จริง เรายอมรับและเก็บมาปรับปรุง เช่น แรงในการเต้นอาจจะยังไม่สุด มีจังหวะไม่พร้อมกันบ้างในบางครั้ง อันนั้นก็ยอมรับเพราะเราซ้อมกันน้อยด้วย
เพา : ใช่ แค่ประมาณ 4-5 วัน ซ้อมกันแค่วันละ 2-3 ชั่วโมง หลังเลิกเรียนบ้าง ช่วงในคลาสเรียนเต้นบ้าง

บางคอมเมนต์บอกว่า เราได้รางวัลเพราะเป็นคนไทย

ทุกคน : มันตลกมากเลย

มะยา : เรื่องพวกนี้มันวัดกันไม่ได้หรอกค่ะ อยู่ที่ความสามารถมากกว่า แต่เราไม่ได้ใส่ใจกับความเห็นแบบนี้เพราะคิดว่าเป็นอคติที่ใครต่างก็มี เรารับแต่คำติติงที่สามารถเอามาพัฒนาการเต้นของตัวเองได้ดีกว่า

อยากให้เล่าถึงที่มาของการถ่ายทำวิดีโอประกวด

โมมาย : ถึงไม่มีการประกวดเราก็ตั้งใจจะถ่ายทำวิดีโอเพลงนี้กันอยู่แล้ว พวกเราช่วยกันแกะท่าเต้นของทั้งเพลงก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาซ้อมกันเอง ทั้งการเต้นและลิปซิงค์ ต้องทำเองหมดทุกอย่างเพราะครูประจำทีมย้ายไปสอนที่ฟินแลนด์

มะยา : ทุกครั้งที่มีการประกวด เราจะส่งวิดีโอร่วมแข่งด้วยตลอด ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะประสบความสำเร็จและพวกเราเองก็ไม่คาดหวังด้วย เราคิดแค่ว่าให้คนอื่นๆ ได้มีโอกาสเห็นฝีมือเราบ้าง ส่วนการถ่ายทำวิดีโอ ยกให้ครูเหน่ง (ปริญญา จิตตะวงค์) เลยค่ะ ครูเป็นเหมือนโปรดิวเซอร์ คอยควบคุมดูแลเรื่องนี้ ส่วนพวกเราก็รับหน้าที่ดูแลเรื่องการซ้อม ลิปซิงค์ ท่าเต้น และเสื้อผ้าหน้าผม – ซึ่งถ้าโป๊ไปก็จะโดนไล่ให้ไปเปลี่ยนใหม่

ครูเหน่ง : ปกติแล้วหลังเรียนจบแต่ละเพลง ผมจะเข้าไปดูว่าท่าเต้น ความแข็งแรงของเด็กๆ ผ่านหรือยัง ถ้าผ่านแล้วเราจะทำมิวสิควิดีโอให้ ถือเป็นโปรไฟล์ของทั้งตัวเด็กและสถาบัน โดยไม่ได้เจาะจงว่าจะทำประกวด เพียงแต่ครั้งนี้เพลง Kill This Love มันดังมากผมจึงต้องทำการบ้านมากกว่าเดิม ดูโทนดูอารมณ์ดูการเจาะคาแรคเตอร์ทั้งสี่คนแล้วเอามาประยุกต์ใช้ โดยไม่จำเป็นต้องถอดแบบวิดีโอต้นฉบับมาเป๊ะๆ ใช้เวลาถ่ายทำจริงๆ ราว 4-5 ชั่วโมง ประมาณ 6-7 เทค และเด็กๆ ก็เต็มที่ อดทนถ่ายจนเสร็จ

โมมาย : พวกเราสู้ค่ะ (ยิ้ม)

ทั้งสี่คนเข้าสู่โลกของการเต้นกันนานหรือยัง

มะยา : พวกเราเคยเรียนเต้นกันมาในหลายที่หลายแนว รู้จักกันมาเรื่อยๆ จนมารวมตัวกันที่แดนซ์โซน แต่ละคนต่างก็มีพื้นฐานการเรียนเต้นมานานและค่อนข้างแข็งแรงกันเลยทีเดียว อย่างตัวหนูเองก็เริ่มเต้นบัลเลต์ตั้งแต่ 3 ขวบ ต่อด้วยแนวแจ๊ส คอนเทมโพรารี สตรีทแดนซ์ ฮิปฮอป พอเต้นมาเรื่อยๆ ก็เริ่มสนใจการเต้นคัฟเวอร์ เพราะรู้สึกว่ามันสนุกดีที่ได้ลิปซิงค์ตามศิลปินเกาหลี ตอนนี้ก็พยายามจะเต้นให้ได้ครบทุกแนวเพราะมันก็จะเป็นทักษะติดตัวต่อไปในฐานะแดนเซอร์มืออาชีพ

โมมาย : ตอน 8 ขวบ หนูขอให้แม่พาไปเรียนเพราะชอบดูคนอื่นเต้น แต่หนูเริ่มจากแจ๊สไม่ใช่บัลเลต์ จากนั้นก็ขยับไปเรียนแนวอื่นๆ ด้วย

เอ็ม

เอ็ม : หนูเริ่มตอน 10 ขวบ แต่เริ่มจากความเป็นติ่งเกาหลีก่อน แค่ดูวิดีโอเคป๊อป เห็นเขาเต้นคัฟเวอร์ก็เลยบอกแม่ให้พาไปเรียนเต้นหน่อย จากนั้นก็พัฒนาตัวเองมาเรื่อย

เพา : หนูเริ่มตอนประมาณ 5-6 ขวบเพราะแม่อยากให้ไปเรียนพัฒนาบุคลิกภาพ (ทุกคนหัวเราะครืน) พอไปเรียนหลายๆ ปีเข้าก็เริ่มชอบ ทำให้ขยับจากบัลเลต์ไปเป็นแจ๊ส คอนเทมโพรารี ก่อนจะเริ่มมาสนใจการเต้นแบบสตรีทและคัฟเวอร์

การเต้นมีเสน่ห์อย่างไร เคยมองภาพตัวเองในอนาคตที่ไม่ได้เต้นบ้างไหม

(มองหน้ากัน ส่ายหัว)

มะยา : คิดไม่ออกเลย การเต้นเป็นวงการที่เข้าแล้วออกไม่ได้

โมมาย : นอกจากร่างกายจะไม่ไหวจริงๆ

มะยา

มะยา : การเต้นคือการได้สื่อสารสิ่งที่อยู่ภายในใจในความคิดของเราออกมาด้วย บางทีเราอยากถ่ายทอดความคิดความรู้สึกที่ซับซ้อนแต่ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เราสามารถใช้การเต้นเป็นตัวสื่อความรู้สึก ทั้งท่าเต้น เพลง หรือเนื้อเพลง หนูรู้สึกว่าการเต้นสามารถถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมาได้หมดโดยที่เราไม่ต้องพูดอะไรเลย

โมมาย : หนูเคยลองหันไปทำอย่างอื่น เช่น วาดรูป ถึงจะรู้สึกดีแต่มันไม่มีความสุขเท่ากับตอนที่เราเต้น ทำให้เราอยู่กับการเต้นได้นานมากกว่า สมมุติมีเรื่องอะไรคั่งค้างใจอยู่ก็ระบายออกทางการเต้นแทน

เอ็ม : หลายครั้งที่เห็นนักออกแบบท่าเต้นในยูทูบยิ่งผลักดันให้หนูพยายามพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะท่าเต้นของไอดอลที่เราชื่นชอบ ทำให้เราอยากเต้นเก่งมากขึ้นอีกเรื่อยๆ

มะยา : มีบางช่วงที่เราอยากย้ายไปลองทำอย่างอื่นดูว่าจะรุ่งหรือเปล่า หนูเคยไปทางงานเบื้องหลัง เป็นพิธีกร ทั้งที่เคยคิดว่าอยากทำงานเบื้องหลังมาก แต่พอได้มาทำจริงๆ กลับไม่มีความสุขเลย พอถึงช่วงพักก็แอบไปเต้นอยู่คนเดียว สุดท้ายเราก็หนีการเต้นไปไหนไม่ได้ เพราะเราหลงรักมันหัวปักหัวปำไปแล้ว

เคยมีใครในชีวิตที่พูดว่าสิ่งที่เราทำมันไร้สาระบ้างไหม

เอ็ม : ไม่มีเลยค่ะ (ทุกคนร้อง “โห โชคดีมาก”)

เพา : เป็นคนที่บ้านหนูเองนี่แหละค่ะ ด้วยความเป็นคนรุงรังของตัวเองทำให้ไม่ค่อยบอกพ่อแม่เวลามีงานเต้น ทำให้เขาโมโหแล้วขู่ว่าถ้าทำตัวอย่างนี้ก็จะไม่ให้เต้นแล้ว

โมมาย

โมมาย : เพื่อนพ่อค่ะ เขาอคติกับการเต้นทุกประเภทมาก ตอนที่ลูกสาวของเขาอยากเรียนเต้นบ้างเขาก็เริ่มมาพูดกับพ่อแม่หนูว่าเลิกส่งลูกสาวไปเรียนเต้นได้แล้ว ดีที่พ่อกับแม่ไม่ใส่ใจคำพูดเหล่านั้น

มะยา : ของหนูเป็นญาติๆ ฝั่งพ่อค่ะ ช่วงนั้นที่หนูต้องสอบจบ ม.6 ผู้ใหญ่หลายคนก็บอกว่าให้เลิกเต้นแล้วไปเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อน การเต้นมันไร้สาระเอาไปทำอะไรกินไม่ได้ หนูก็ยิ้มๆ แต่ในใจคิดว่า ‘ไม่อะ ฉันไม่เลิกเต้น’

ปกติคิดท่าเต้นกันเองหรือเปล่า และใครเป็นคนคิด

ทุกคนชี้ตรงไปที่ มะยา

มะยา : (ยิ้ม) เวลาฟังเพลง หนูจะฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในนั้น ทุกครั้งที่ฟังร่างกายจะขยับไปเอง อาจเป็นเพราะทักษะที่เราเรียนเต้นมาเยอะบวกกับความหลงใหลในการเต้นของตัวเองด้วย เพราะตัวหนูเองลงทุนกับความรู้เรื่องการเต้นไว้มาก ทั้งเรียนเต้น เวิร์คช็อปบ่อยๆ ไปลองเข้าสตูดิโออื่นที่คิดว่าจะมอบประสบการณ์กับท่าเต้นใหม่ๆ ให้เราได้อยู่ตลอด ทุกท่าที่ออกมาเหมือนหนูไม่ได้บังคับเพลง แต่เพลงกำลังควบคุมให้หนูคิดท่าตามนั้นมากกว่า

ลิซ่าเป็นหนึ่งในไอดอลที่หลายคนยึดเป็นแรงบันดาลใจในการไล่ตามความฝัน แล้วความฝันของแต่ละคนคืออะไรบ้าง

มะยา : ความฝันของหนูเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ค่ะ ทั้งนักออกแบบท่าเต้นระดับโลก หรือเป็นแดนเซอร์ให้ศิลปินต่างประเทศ บางทีก็อยากเป็นครูด้วย ความฝันยังไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่ แต่ยังไม่หลุดไปจากเส้นทางการเต้นแน่นอน อย่างน้อยหลังจากนี้หนูก็กำลังไปตามเส้นทางโดยที่สมัครทุนไปเรียนด้านการเต้นโดยตรงกับ Korean National University of Arts ที่เกาหลีใต้ค่ะ

โมมาย : หนูอยากทำเบื้องหลัง เป็นครีเอทีฟโปรดิวเซอร์ อยากสนับสนุนการเต้น อยากผลิตวิดีโอหรือผลงานออกมาให้คนอื่นได้เห็นเหมือนครูเหน่ง หรืออาจเป็นแดนเซอร์ควบคู่กันไปด้วย

เพา

เพา : หนูเองก็ยังไม่แน่ใจหรอกค่ะ แต่ก็นึกถึงตัวเองในแบบที่เลิกเต้นแล้วไม่ออกจริงๆ

เอ็ม : ไม่ต่างกันค่ะ อะไรก็ได้ที่จะทำให้หนูได้เต้นต่อไปเรื่อยๆ

คิดอย่างไรกับความคิดที่บอกว่าเรียนจบมัธยมแล้วต้องตรงเข้ามหาวิทยาลัยเลย

มะยา : (ส่ายหน้า) จริงๆ ถึงตอนนี้ความคิดแบบนี้ควรเปลี่ยนได้แล้ว เรามักคิดว่าเรียนจบแล้วต้องเข้ามหาวิทยาลัย หางานทำ แต่หนูคิดว่ามันไม่จำเป็นต้องเรียงตามรูปแบบนี้ก็ได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเราค้นพบว่าตัวเองชอบ หลงใหลกับอะไร และยินดีจะอยู่กับมันไปชั่วชีวิตมากกว่า ส่วนมหาวิทยาลัย เราจะเข้าไปเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ที่เราอยากหาความรู้เพิ่มเติม

บางทีผู้ใหญ่จะชอบถามว่าจบ ม.6 แล้วจะไปเรียนที่ไหนต่อ เหมือนกดดันเบาๆ ว่าเราต้องเข้ามหาวิทยาลัยนะ แต่หนูรู้สึกว่าเราหยุดพักค้นหาตัวเอง พอมั่นใจจริงๆ แล้วจะได้ไม่เสียเวลาดีกว่า ถ้าทุกคนลองเปิดใจกับเรื่องการศึกษาของเด็กๆ มองให้กว้างกว่าเส้นทางที่เคยเป็นมาก็คงจะดี

Tags:

เกาหลีใต้ติ่งวัยรุ่นศิลปะการแสดง

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • How to get along with teenager
    Teenage Burnout : ภาวะหมดไฟในวัยรุ่นวัย (หมด) ฝัน

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    จากติ่งเกาหลีสู่ Active Citizen: ลำโพงขนาดใหญ่ผู้ขับเคลื่อนประเด็นสังคมและการเมือง

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่เคยชอบพี่เบิร์ดอย่างไร ลูกก็ชอบ BLACKPINK อย่างนั้น: นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

    เรื่อง

  • Creative learningCharacter building
    ออกจากป้อม ROV มานั่งล้อมวงเล่นดนตรีพื้นเมือง

    เรื่องและภาพ The Potential

ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?
How to get along with teenager
13 May 2019

ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

การมีความรู้สึกรักและชอบใครสักคนนั้นเป็นสิ่งที่ดีเสมอ ถ้าสามารถบริหารความรู้สึกของตัวเองให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมได้ เพราะความรู้สึกเชิงบวก จะทำให้สุขภาพจิตเราดีมากขึ้นใช้ชีวิตได้แบบมีพลังมากขึ้น

แต่ถ้าบางครั้งเผลอใช้ความรู้สึกเชิงบวกในทางที่ผิด เช่น การขโมยพ่อแม่เงินไปซื้อบัตรคอนเสิร์ต

  1. สิ่งที่พ่อแม่ควรทำหลังจากตั้งสติได้ คือ‘ตัด ลด งด’ สิทธิที่ควรจะได้ วิธีนี้ได้ผลชะงัดมากกว่าการ ลงโทษด้วยการ ‘ตี’ 

อ่านบทความจาก นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ เพิ่มเติมได้ที่นี่

Tags:

วัยพรีทีน (Preadolescence)เกาหลีใต้การลงโทษวัยรุ่นศิลปินวินัยเชิงบวก

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    เพราะติ่งและเต้นอย่างจริงจัง VICTORY CREW คว้าแชมป์โลกคัฟเวอร์ BLACKPINK

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    ลงโทษแค่หลาบจำ ลูกจะกลับมาทำอีก ‘หนุนเสริมเชิงบวก’ เวิร์คกว่า เขาจะรู้ผิดถูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘WHITE MOUNTAIN, BLACK WATER’ ถ้าน้ำมีชีวิต เสียงมันจะเป็นยังไงนะ
Voice of New Gen
11 May 2019

‘WHITE MOUNTAIN, BLACK WATER’ ถ้าน้ำมีชีวิต เสียงมันจะเป็นยังไงนะ

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • คุยกับสาวไทยและหนุ่มจีนจากรั้ว NYC เจ้าของโปรเจ็คต์ White Mountain, Black Water งาน Interactive Sound Installatio ที่ไอเดียหลักคือการใช้น้ำสร้างเสียงดนตรีผ่อนคลาย
  • ทั้งคู่เริ่มต้นจากความสงสัยว่า ถ้าน้ำมีชีวิต เสียงมันจะเป็นยังไงนะ
  • “รบกวนเปิดเสียงด้วยนะ” ประโยคประกอบคลิปนี้ในทวิตเตอร์ ทำให้หลายคนอยากเจอและรู้จักสองคนนี้ที่ทำให้เรารู้จัก ‘เสียง’ ของน้ำ
ภาพ: วันนภา โภคกุลกานนท์, Chenhe Zhang

(รบกวนเปิดเสียงด้วยนะ) 

‘White Mountain, Black Water’ เป็น Interactive Sound Installation ที่เราทำกับเพื่อนเมื่อต้นปี ได้แรงบันดาลใจมาจาก Water Pachinko ของ Hara Kenya ไอเดียหลักคือการให้ผู้ชมได้ใช้น้ำในการสร้างเสียงดนตรีเพื่อความผ่อนคลาย

White Mountain Black Water from Nick Chenhe Zhang on Vimeo.

เป็นข้อความพร้อมคลิปสั้นๆ ที่ใส่แคปชั่นไว้ว่า วิธีการเล่นคือหยดน้ำสีดำลงบนกระดานตรงไหนก็ได้ตามใจชอบ เสียงของเครื่องดนตรีที่ตั้งค่าไว้จะเล่นโน้ตตามตำแหน่งของน้ำบนกระดาน โดยฝั่งซ้ายจะเป็นเสียงกระดิ่งลม ขวาเป็นเสียงพิณ และส่วนล่างจะเป็นเสียงน้ำหยด มี Backing Track เป็นเพลงเอื่อยๆ หน่อย ให้อารมณ์เหมือนอยู่ใน Zen Garden

ข้อความสองย่อหน้านี้เป็นของ Yves (@msyves) ชื่อในโลกทวิตเตอร์ของ ‘อีฟ’ วันนภา โภคกุลกานนท์ นักศึกษาปริญญาโทคณะ Interactive Telecommunication Program จาก New York University (NYC) วัย 28 ปี และนี่เป็นส่วนหนึ่งของวิชา Music Interaction Design ที่อีฟทำร่วมกับ ‘นิค’ Nick Chenhe Zhang เพื่อนชาวจีนวัย 30 ที่ถูกรีทวิตและได้รับหัวใจนับไม่ถ้วนหลังจากได้ชมภาพและฟังเสียงแล้ว 

“ถ้าน้ำมีชีวิต เสียงมันจะเป็นยังไงนะ” 

เป็นความสงสัยตั้งต้นของโปรเจ็คต์ White Mountain, Black Water นี้ พอดีกับที่อีฟกลับมาพักผ่อนและอยู่กับครอบครัวที่เมืองไทย The Potential จึงชวนทั้งคู่คุยทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน…

และวิธีการค้นหาความชอบของตัวเอง ที่ไม่จำเป็นต้องรีบและเร็ว 

‘อีฟ’ วันนภา โภคกุลกานนท์ และ ‘นิค’ Nick Chenhe Zhang

งาน ‘White Mountain, Black Water’ ที่เป็น Interactive Sound Installation มีที่มาอย่างไร

อีฟ: ตอนนั้นหารือกับนิคว่าจะทำอะไรเป็น Final Project พอดีนิคไปอ่านหนังสือดีไซน์ของ อาจารย์ฮาระ เคนยะ (Hara Kenya) เห็นงานที่ชื่อ Water Pachinko (https://bott2013studio.wordpress.com/2013/09/12/kenya-hara-water-pachinko/ ) แล้วชอบ เลยเอามาให้เราอ่านต่อ แล้วคุยกันว่าเออ นั่งดูน้ำไหลแล้วมันสงบดีเนอะ เพลินด้วย ตอนนั้นก็พยายามคิดในมุมที่ว่า น้ำแต่ละหยดมันก็ไหลในความเร็วและทิศทางที่แตกต่างกัน เหมือนแต่ละหยดมีชีวิตของมันเอง มันจะส่งเสียงแบบไหนกันนะ ถ้าเราสามารถทำให้ movement ที่แตกต่างกันของน้ำสร้างเสียงได้ก็น่าจะน่าสนใจ เลยตกลงกันว่าอยากจะสร้างอะไรที่ทำให้คนได้มองน้ำไหลไปด้วย แล้วก็ได้ฟังเสียงดนตรีจากน้ำไปด้วย 

นิค: งานของอาจารย์ฮาระ เขาใช้แผ่นบอร์ดคล้ายๆ กันวางไว้ให้น้ำไหลลงมาเหมือนพินบอล ผมกับอีฟคิดด้วยกันว่าถ้าน้ำมันร้องเพลงได้ เสียงมันจะเป็นยังไงนะ มันให้ความรู้สึกผ่อนคลายแค่ได้มอง การได้ติดตามการเคลื่อนไหวของเสียงน่าจะทำให้คนดูยิ้ม มีความสุข เราออกแบบเสียงให้สร้างความสงบและเรียบลื่น จากการไหลของน้ำ

ชื่อ White Mountain, Black Water มาจากบ้านเกิดผมที่ประเทศจีน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มณฑลเฮหลงเจียง ที่มี Ever White Mountain (ภูเขา) และ Black Dragon River (แม่น้ำ) มันคือชื่อของหุบเขาและแม่น้ำที่ไหลผ่าน รูปแบบของงาน installation คือ น้ำที่ไหลลงมาจากหุบเขา เหมือนผ้าแคนวาสสีขาว กับ น้ำสีดำ มันสัมพันธ์กับศิลปะการใช้พู่กันของเอเชียตะวันออก และน้ำสีดำก็คือเส้นสายที่มีชีวิต เต้นรำ กำลังร้องเพลงอยู่ใน white mountain 

“ไอเดียหลักคือการให้ผู้ชมได้ใช้น้ำในการสร้างเสียงดนตรีเพื่อความผ่อนคลาย” ทำไมถึงสนใจไอเดียนี้

อีฟ: ตอนที่นั่งดูน้ำไหลบนแผ่นกระดานเรารู้สึกว่ามันเพลินมากๆ เพื่อนคนอื่นก็ชอบเดินแวะมาหยดเล่นบ่อยๆ ตอนนั้นคุยกันว่าถ้าใช้เสียงที่มันฟังสบายๆ ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย ก็น่าจะเข้ากับงานชิ้นนี้นะ ตอนออกแบบเสียงเลยตั้งเป้าว่าอยากให้คนที่มาเล่นได้ความรู้สึกเหมือนไปนั่งอยู่ในสวนญี่ปุ่นหรือภูเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่าน โดยหา reference ของเสียงที่เลือกมาใช้จากพวกเครื่องดนตรีญี่ปุ่น 

นิค: เราคิดแค่ว่าเสียงน่าจะทำงานได้ดีด้วยความสวยงามของ installation ความสงบ และ การทำสมาธิ ทั้งหมดมันคือเสียงจากระบบดิจิตอล

แต่เราอยากให้คนรู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติ เราได้ยินเสียงหยดน้ำ น้ำไหลอยู่ทุกๆ วัน มันคือหนึ่งในเสียงที่เราคุ้นเคยมากที่สุด แต่ถ้ามันทำได้มากกว่านั้น มันจะยังเป็นแค่เสียงจากน้ำอยู่ไหม

สภาพสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความกดดัน เครียด แข่งขัน ไม่ผ่อนปรนให้กับตัวเอง – ความคิดตรงนี้มีผลหรือมีส่วนช่วยให้อีฟกับนิคเลือกทำงานนี้ด้วยหรือเปล่า

อีฟ: จริงๆ ไม่ได้คิดแง่นี้มาก่อนเลยค่ะ แค่อยากสร้างอะไรที่คนใช้เวลากับมันได้เรื่อยๆ เพลินๆ และรู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับมันเท่านั้น เพราะจุดประสงค์พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะใช้ในทาง therapy เลยไม่ได้ทำรีเสิร์ชเรื่องสภาพสังคมเลย แต่ถ้าคนฟังรู้สึกว่ามันช่วยให้ผ่อนคลายได้มากพอที่จะปล่อยวางความเครียดได้ชั่วคราวเราก็จะดีใจมากๆ ค่ะ

นิค: อย่างที่อีฟว่า ผมอยากมอบอะไรที่มากกว่า life moment และให้เขาจินตนาการว่าตัวเองกำลังอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีและอบอุ่น ภายในเวลาไม่กี่นาที่ได้ดูและฟังงานของเรา แม้ว่าเขาจะกลับไปหาที่เดิมที่กดดันและเต็มไปด้วยการแข่งขัน เขาจะยังคงเก็บอารมณ์ที่ดีและทัศนคติเชิงบวกเอาไว้

อยากให้เล่าย้อนไปถึงชีวิตช่วงก่อนมาเรียนต่อปริญญาโทคณะ Interactive Telecommunication Program

อีฟ: จริงๆ ใช้ชีวิตแบบค่อนข้างจับฉ่ายมากๆ เลยค่ะ แทบไม่มีการวางแผนเลย เนื่องจากครอบครัวค่อนข้างปล่อยมาก อยากทำอะไรก็ทำ ประกอบกับตอนนั้นก็ไม่แน่ใจเรื่องความชอบและความต้องการของตัวเองด้วย ใช้ชีวิตแบบสับสนมาตลอด ลองทำนู่นทำนี่มั่วไปหมดแล้วก็ทำไม่ได้ดีสักอย่าง เรียกว่าเป็นคนห่วยๆ เลยก็ได้

ย้อนกลับไปสมัย ม.ปลายเลือกเรียนศิลป์ฝรั่งเศส เพราะคิดว่าน่าจะสนุก แต่พอเรียนจริงๆ ไม่ค่อยเอนจอย ช่วงมหาวิทยาลัยมีลังเลระหว่างนิเทศกับบริหาร และสุดท้ายก็เลือกเรียนบริหาร (หลักสูตร 5 ปีควบตรี–โท) เพราะคิดว่าจบมาแล้วได้ช่วยทำงานที่บ้านด้วย แต่หลังจากเรียนไปพักหนึ่งก็รู้แล้วว่ามันไม่เหมาะกับเรา ตลอดสามปีครึ่งเป็นการเรียนที่ซัฟเฟอร์มากๆ เพราะเราไม่ได้มีความสนใจจะเรียนรู้ด้านนี้จริงๆ พอจบตรีเลยตัดสินใจลาออกไม่ต่อโท และไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ ระหว่างที่เรียนอยู่ก็มีโอกาสทำงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น เป็นดีเจในคลับ รับถ่ายรูป ทำโชว์รูมเสื้อผ้า 

ทำให้เริ่มรู้ว่า จริงๆ แล้วเราแฮปปี้กับงานที่เราได้เป็นคนสร้างอะไรสักอย่าง ได้ใส่ไอเดียตัวเองลงไป แต่พอเรียนจบคอร์สภาษา เราต้องหางานประจำทำ เพราะวีซ่านักเรียนหมดแล้วจะอยู่ญี่ปุ่นต่อไม่ได้ ตอนนั้นเพื่อนมาชวนให้ไปทำงานด้วย เป็นงานรับวางแผนการผลิตและแผนการตลาดให้ Hardware Startup ตอนแรกก็ลังเลเพราะเป็นงานติดต่อลูกค้า ทำรีเสิร์ช เขียน business plan ที่ไม่อยากทำสุดๆ แต่สุดท้ายก็ตกลงเพราะอยากอยู่ญี่ปุ่นต่อ ถือเป็นความโชคดี เพราะงานนี้ทำให้เราได้มีโอกาสไปดูงานด้าน technology & media หลายๆ ที่ จนได้ไปรู้จักกับนักศึกษามหาวิทยาลัยโตเกียวกลุ่มหนึ่ง เขาทำวิจัยเรื่องการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกับอุตสาหกรรมแฟชั่น ทำศูนย์การค้าแบบ virtual reality ให้จำลองภาพเหมือนเราได้เดินซื้อของ ลองเสื้อผ้าโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปจริงๆ 

ตอนนั้นเลยเริ่มคิดว่าอยากศึกษาด้านนี้เพิ่มเติม เลยลองถามคนอื่นและหาข้อมูลว่ามันมีที่ไหนที่สอนเทคโนโลยีควบกับ UX Design บ้าง รุ่นพี่คนไทยที่เรียนอยู่ที่คณะ Interactive Telecommunication Program (ITP) ที่ NYC บอกว่าให้ลองมาดูคณะเขาสิ มีสอนเขียนโค้ด ต่อวงจร สำหรับทำงานศิลปะกับงานดีไซน์ เราน่าจะชอบ ตอนนั้นบริษัทส่งไปทำงานที่นิวยอร์คพอดี พี่เขาก็พาทัวร์คณะ โมเมนท์นั้นทำให้เรามองงานศิลปะกับเทคโนโลยีเปลี่ยนไปเลย และเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย นี่แหละ เราหาสิ่งที่เราอยากทำเจอแล้ว พอกลับมาถึงญี่ปุ่นเราก็รีบเตรียมเอกสารสมัครเรียนเลย

นิค: ผมจบปริญญาตรีด้าน recording engineering ผมชอบศิลปะ ชอบอ่านการ์ตูน มาตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นมาก็เล่นดนตรี บวกกับเคยมีประสบการณ์ทำงานในพิพิธภัณฑ์และโรงละคร ยิ่งได้สะสมทักษะและความรู้เชิงสุนทรียศาสตร์ด้านศิลปะและสื่อต่างๆ 

เป้าหมายของผมคือการสื่อสารกับผู้คนด้วยผลงานของผม ผมอยากที่จะทำให้ผู้ชมมีความสุขและคิดแบบมีความหมาย 

อีฟอธิบายคร่าวๆ ว่า ITP คือ Art + Engineering เน้นใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสร้างงานดีไซน์และงานศิลปะ อยากให้ช่วยขยายความเพิ่มเติมว่า Art กับ Engineer อยู่ด้วยกันได้อย่างไร

อีฟ: เรารู้สึกว่าเรามีเรื่องในใจที่อยากจะ express เยอะมาก แต่เราหาทางแสดงมันออกมาไม่ได้ เราเป็นคนเขียนไม่เก่ง วาดรูปไม่เป็น เล่นดนตรีไม่รอด ทำกราฟิกไม่ได้ ถ่ายรูปก็งั้นๆ เหมือนไม่มีอะไรที่พอจะเป็นสื่อกลางในการแสดงความเป็นตัวของตัวเองหรือถ่ายทอดเรื่องราวในหัวเราได้เลย

เราชอบคิดตลอดว่าการทำงานศิลปะหรืองานดีไซน์มันเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป เราไม่สร้างสรรค์พอ เราไม่มีความสามารถพอ แต่ตอนที่ได้ไปเยี่ยมชม ITP ได้เห็นคนทดลองทำนู่นทำนี่กัน มันทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย ไอเดียต่างๆ ที่เราเคยมีแต่คิดว่าทำไม่ได้หรือไม่รู้จะทำออกมาในรูปแบบไหน เราจะสามารถเรียนรู้และทำมันให้สำเร็จได้ที่นี่ ถ้าเราหา tools ที่เหมาะสมกับตัวเองเจอ เราก็สามารถสร้างงานได้เหมือนกัน

นิค: ผมคิดว่ายุคของดิจิตอลอาร์ตมันมาถึงแล้วและไปได้อีกไกล ด้วยแรงส่งของเทคโนโลยี ศิลปะ และงานดีไซน์ ที่ช่วยยกระดับและทำให้สิ่งที่แต่ก่อนเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ และ ITP คือทุกอย่างที่ผมบอกมา มันมีศิลปะและการดีไซน์ทุกๆ แง่มุม และยังรวมเอาเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของไอเดียที่ไม่ว่าจะบ้าหรือน่าสนใจเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งหมดนี้มันคือสิ่งที่ผมลงลึกและสนใจ 

ตอนที่เลือกเรียนโทด้านนี้ ระหว่าง ‘อยากทำ’ (สิ่งที่ชอบ/มีความสุขที่ได้ทำ) กับ ‘อยากเป็น’ (อาชีพในอนาคต) ความอยากแบบไหนทำให้เราเลือก

อีฟ: ตอนที่ตัดสินใจมาเรียนเราโฟกัสแค่สิ่งที่อยากทำและอยากเรียนรู้ก่อน คิดแค่ว่าเราจะได้อะไรจากการมาเรียนที่นี่ ยังไม่ได้คิดไปถึงว่าจบมาแล้วต้องทำอาชีพอะไร จริงๆ แล้วจนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่แน่ใจ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าอนาคตอยากจะเป็นอะไรกันแน่ แต่การที่ได้มาอยู่ที่นี่มันทำให้เราได้มีโอกาสค้นหาตัวเอง ได้ลองทำสิ่งที่อยากลอง เราค่อยๆ รู้จักตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการคิดและทำงานในแต่ละครั้ง ซึ่งเราเชื่อว่าสุดท้ายแล้วในปลายทาง สิ่งที่อยากทำและอยากเป็นมันคือสิ่งเดียวกัน

นิค: เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมต้องการทำ ผมอยู่ในวัฒนธรรมจีนและเอเชียตะวันออกที่เข้มข้นมากๆ ผมอยากจะเอาสิ่งเหล่านี้มาใส่ในงาน พยายามค้นหาวิธีที่ทำให้วัฒนรรมและเทคโนโลยีมันไปด้วยกัน แล้วหีบห่อมันด้วยของง่ายๆ ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ผมเชื่อว่ามันต้องมีทางเข้าถึงคนทั่วไป ให้จิตใจเขามี empathy 

คณะนี้จบออกมาทำงานอะไรกันบ้าง

อีฟ: จริงๆ ทำอะไรก็ได้ที่เราอยากทำเลยค่ะ อาจจะฟังดูกว้างไป แต่เราคิดว่าการที่คนเลือกมาเรียนที่นี่ก็เพราะว่ามันฟรีมากๆ นี่แหละ ถ้าแบ่งกลุ่มใหญ่ๆ จะดูเหมือนว่ายังวนเวียนอยู่ในหมวดหมู่ของ technologist, ดีไซเนอร์และศิลปะ แต่ถ้าลงรายละเอียดก็จะมีงานหลายแขนงมากๆ เช่น visual artist, performing artist, AR/VR designer, game designer, creative director, UI/UX designer, creative programmer, นักพัฒนาแอพ, DJ, sound designer, งานนวัตกรรมแฟชั่น, นักเขียน, เป็นอาจารย์ หรือเริ่มทำธุรกิจของตัวเองไปเลย

นิค: ศิลปินด้านเสียง, นักวิชาการ, นวัตกร, นักปั้น, คนทำแอนิเมชั่น, ทำงานโรงละครบรอดเวย์, นักเล่าเรื่อง ฯลฯ

มันมีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่เรียนรู้เร็ว มันคือความรู้ทุกอย่างที่ไปได้ทุกทาง 

ถ้าน้องๆ อยากเรียนคณะนี้ ต้องทำหรือเตรียมตัวอย่างไร ควรชอบหรือมีคุณสมบัติอย่างไร เพราะ Art กับ Engineer มันเหมือนอยู่คนละฝั่งกัน

อีฟ: สำหรับเรา สิ่งเดียวที่คิดว่าสำคัญจริงๆ สำหรับการเรียนที่ ITP คือควรจะพอรู้บ้างว่าตัวเองอยากทำอะไร เพื่อที่จะได้ใช้ resource และเวลาให้คุ้มค่าที่สุด ตัวโปรแกรมเองออกแบบมาให้คนที่ไม่มีพื้นฐานทั้งสองด้านสามารถเรียนได้อยู่แล้ว อีฟเองเรียนบริหารมา ไม่มีความรู้ทั้งด้านโค้ดและดีไซน์เลย แต่ก็ได้อาจารย์และเพื่อนๆ คอยให้คำแนะนำจนสามารถทำโปรเจ็คต์ให้สำเร็จได้ 

เพื่อนในคณะก็มีตั้งแต่ดีไซเนอร์ นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร โปรแกรมเมอร์ สถาปนิก ผู้กำกับ นักวาดการ์ตูน ช่างแกะสลัก นักดนตรี นักเต้น นักมายากล จะเห็นได้เลยว่าไม่ได้มีข้อจำกัดว่าจะต้องมีคุณสมบัติแบบเฉพาะเจาะจงค่ะ ถ้าคิดว่าสนใจคณะนี้ก็ลองตามเสพหรือศึกษาดูงานด้านนี้เยอะๆ ก็ได้ จะได้พอคิดออกว่าเราต้องการอะไรจากที่นี่ และจะโฟกัสกับอะไรเป็นหลัก

นิค: ทำพอร์ตโฟลิโอที่เกี่ยวกับงานออกแบบหรืองานอะไรก็ได้ก่อนหน้านี้ แต่ทำออกมาอย่างสร้างสรรค์ และหาข้อมูลเรื่องคอร์สต่างๆ ดูงานของศิษย์เก่าและปัจจุบัน เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ คิดว่าอยากทำหรือสร้างสรรค์อะไรด้วยทักษะที่พร้อมจะเรียนใน ITP ถ้ามีก็ลุยเลย มันจะทั้งบ้าและน่าจดจำตลอด 2 ปีที่เรียน

คนไม่น้อยยังคิดว่า Art กับ Engineer อยู่คนละฝั่งกัน เลยอยากถามนิคกับอีฟว่า เวลาเรียนมันไปด้วยกันได้ดีมั้ย

อีฟ: จริงๆ ตอนนี้เรารู้สึกว่าศาสตร์ทั้งสองนี้มันเกือบๆ จะเป็นเรื่องเดียวกันไปแล้วค่ะ (หัวเราะ) สำหรับเรา ยิ่งมีเครื่องมือมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีโอกาสร้างสรรค์งานได้หลากหลายมากขึ้น เหมือนกับเวลาวาดรูปที่มีวัสดุ มีเครื่องมือให้เลือกหลายชนิด บางคนวาดมือไม่ถนัดก็วาดในคอมเอา กรณีเดียวกัน ถ้าเราเรียนรู้เทคโนโลยีและสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือได้อย่างคล่องแคล่วมากพอ เราก็ยิ่งมีโอกาสที่จะค้นหาวิธีการนำเสนอไอเดียได้น่าสนใจได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเราว่าสองอย่างนี้มันเติมเต้มซึ่งกันและกันมากๆ

นิค: 100 ปีก่อน ศิลปะ/งานออกแบบกับเทคโนโลยีอาจอยู่คนละฟากกัน แต่ตอนนี้มันไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีกแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างคือเทคโนโลยี ทุกอย่างถูกคำนวณโดยคอมพิวเตอร์ เพราะมันหมายถึงความไวกว่า ถูกต้องกว่า และเป็นไปได้มากกว่า 

การเรียนศิลปะแบบ intergrated (ผสม) แบบนี้ เป็นไอเดียที่ดีมาก ถ้าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ที่อยากจะสร้างนวัตกรรรมสักอย่างที่เป็นงานศิลปะ การแสดง หรือรูปแบบอะไรก็ได้ที่น่าสนใจ คุณจะรู้สึกเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำเพราะคุณจะมีทักษะของการโค้ด มีความรู้ด้านโปรแกรมมิ่งที่มันจำเป็นมากๆ และถ้าคุณคือศิลปินที่ไม่โอเคกับสื่อแบบดั้งเดิม อยากค้นหาทางของตัวเอง ITP เหมาะกับคุณ 

แล้ววิชา Music Interaction Design ที่มาของโปรเจ็คต์ ‘White Mountain, Black Water เรียนอะไรบ้าง

อีฟ: วัตถุประสงค์หลักของวิชานี้คือการทำ sound ที่ interactive ค่ะ จะเป็นในรูปแบบไหนก็ได้ เพื่อนในคลาสก็มีทั้งสร้างเครื่องดนตรี, performance, ทำเกมที่เกี่ยวกับเสียง, ทำเว็บไซต์สอนร้องเพลงให้ตรงคีย์ หรือทำ sound visualization คลาสนี้จะไม่ค่อยสอน เน้นการแชร์ไอเดียและให้ฟีดแบ็คกันและกันมากกว่า แต่ละสัปดาห์อาจารย์จะเชิญศิลปินและดีไซเนอร์ด้าน sound มาพูดเกี่ยวกับโปรเจ็คต์ที่เขาทำ 

มีคนสนใจงานของอีฟและนิคในทวิตเตอร์มากๆ รู้สึกอย่างไร ถึงขั้นเป็นแรงบันดาลใจในการวางอนาคตเลยไหมคะ และคิดว่าเพราะอะไร คนถึงสนใจเยอะขนาดนี้

อีฟ: ตอนที่เราได้เห็นคอมเมนท์หลายคนบอกว่าฟังเสียงแล้วรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ ฟังก่อนนอนแล้วเพลินจนหลับง่ายขึ้น ดีใจมากค่ะ ส่วนใหญ่งานที่เราทำมักจะเป็นงานที่ personal มากๆ พอเห็นว่างานชิ้นนี้เป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ด้วยเราก็ดีใจ จริงๆ เราไม่เคยคิดว่างานศิลปะจะต้องมีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าจะต้องมีคุณสมบัติแบบไหนบ้าง แต่ต่อไปเราก็อยากทดลองทำอะไรที่มีความ critical และพูดถึงปัญหาสังคมให้มากขึ้นค่ะ ไม่ใช่แค่งานที่เล่าเรื่องราวของตัวเองอย่างเดียว

ส่วนสาเหตุที่คนสนใจ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะความตื่นเต้นที่ได้เห็นสิ่งที่เราเจอจนชินตาทุกวัน เช่น น้ำ แต่ behave แปลกไปจากที่เราคุ้นเคย

นิค: แพลนแรกต่อจากนี้คือ อยากจะพัฒนาเวอร์ชั่นสองให้สเกลใหญ่ขึ้น และลองใช้สีให้มากกว่าขาว ดำ

ผมดีใจมากที่คนชอบ ปลื้มใจมากๆ และรู้สึกดีมากที่คนฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายไปกับมัน โดยส่วนตัวผม งานชิ้นนี้มันได้แรงบันดาลใจจากชีวิตประจำวัน วัฒนธรรมและปรัชญาตะวันออก จากนี้ผมจะศึกษาและค้นคว้าเรื่องปรัชญา วัฒนธรรม และความงามของเอเชียตะวันออกมากและลงลึกยิ่งขึ้น

การเรียนควบหรือข้ามสายกันไปมาสุดๆ แบบนี้ โดยส่วนตัวอีฟกับนิค มันมีข้อดีหรือจุดแข็งอะไรบ้าง เพราะตอนนี้หลายคณะในเมืองไทยยังแบ่งกันตามสายอยู่เลย

อีฟ: โดยส่วนตัวไม่คิดว่าการแบ่งสายอย่างชัดเจนจะเท่ากับไปปิดกั้นการเรียนรู้อีกศาสตร์นึงนะคะ เพียงแค่เขาออกแบบมาเน้นให้เราศึกษาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับคน ว่าต้องการอะไรจากการเลือกเรียนในแต่ละโปรแกรมมากกว่า จริงๆ เราคิดว่าหลักสูตรการเรียนการสอนทั่วๆ ไปมันมีการ integrate ทั้งสองศาสตร์ไว้ด้วยกันอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ต้องรู้แนวคิดพื้นฐานของทั้งคู่ เพราะสำหรับเรามันเป็นสิ่งที่ควบคู่กันไปมากกว่าอยู่ตรงข้ามกัน

ข้อดีของการเรียนโปรแกรมข้ามสาย มันเหมือนเวลาเอาแม่สีหนึ่งมาผสมแม่สีอีกอันหนึ่ง แล้วเกิดเป็นสีใหม่ๆ ยิ่งเปิดรับศาสตร์อื่นๆ ได้เยอะเท่าไหร่ ความเป็นไปได้มันก็ยิ่งมากและหลากหลายขึ้น เรายิ่งศึกษามาก เราก็จะยิ่งมีเครื่องมือและวิธีในการทำให้เราเลือกใช้สร้างงานได้มากขึ้น

นิค: มืออาชีพคือการตระหนักในไอเดียทางศิลปะของตัวเอง เรามี toolbox ที่เจ๋งกว่าที่คิดเสมอ เราสามารถยกระดับวิธีเดิมๆ ได้ด้วยการใช้เทคโนโลยี บางครั้งเทคนิคใหม่ๆ มาจากการที่คุณกล้าใช้ไอเดียศิลปะ บางครั้งคุณอาจจะจมไปกับไอเดียมหาศาล และการไปให้ถึงจุดหมายเดียวกันมันก็มีหลายวิธีมากๆ และบางครั้งคุณอาจจะท้อที่จะทำให้สิ่งที่คุณเรียนอยู่มันสมดุลกันได้อย่างไร 

สำหรับผม เทคนิคก็คือเทคนิค มันมีเครื่องมือเยอะมากที่สร้างสรรค์ศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นปากกา แปรงทาสี เปียโน แต่มุมมองที่สำคัญที่สุด คือ ความคิด และสื่อความคิดนั้นออกมาอย่างไร 

Tags:

นวัตกรรมดนตรีศิลปะบำบัดวันนภา โภคกุลกานนท์Nick Chenhe Zhang

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • How to get along with teenager
    เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี กับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Social Issues
    สู้วิกฤตฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ด้วยการทำเครื่องฟอกอากาศ DIY

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Unique Teacher
    สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

    เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Voice of New Gen
    NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

“อย่าสอนให้รู้ แต่จงสอนให้คิด” ห้องเรียนชีวิตเด็กน้ำท่อม
Character building
10 May 2019

“อย่าสอนให้รู้ แต่จงสอนให้คิด” ห้องเรียนชีวิตเด็กน้ำท่อม

เรื่องและภาพ The Potential

“ลุกขึ้นออกจากจุดที่ต่ำ แล้วลุกขึ้นมาทำเพื่อสังคม”

เพราะต้องการให้เด็กน้ำท่อม เปลี่ยนแปลงตัวเอง

สมพงษ์ หลีเคราะห์ หรือ บังพงษ์ ตระหนักถึงความสำคัญของ ‘วิชาชีวิต’ ในหมู่บ้าน จึงต้องการเปลี่ยนเยาวชนในจังหวัดสตูล ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น งานวิจัย การดูแลเรื่องทรัพยากร และการเรียนรู้นอกห้องเรียนภายใต้ชุมชน

“ผู้ใหญ่ต้องเลิกสอนเด็กได้แล้วว่า ไม่เรียนหนังสือแล้วจะเอาอะไรไปสอบ”

Tags:

active citizenproject based learningResearch Base Learning(RBL)สตูลสมพงษ์ หลีเคราะห์

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Education trend
    โรงเรียนอนุบาลสตูล ที่นี่เด็กๆ เลือกเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningCharacter building
    เดินเท้าแกะรอยเมล็ดพันธุ์ เพื่อพบ ‘มะตาด’ ต้นสุดท้ายในบ้านควน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ปันจักสีลัตแห่งบ้านทุ่ง จังหวัดสตูล กระบวนเรียนรู้ที่มาจากสถานการณ์จริง

    เรื่องและภาพ potential-test-user

  • Creative learning
    ชวน ‘ราชาน้ำท่อม’ ไปปลูกป่าด้วยวิถีวิจัย การศึกษาที่ชุมชนออกแบบเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    เปลี่ยนภาระ ให้เป็นพลัง: วิจัยชุมชนชิ้นโบแดงมหกรรมเยาวชนสตูล

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ The Potential

เข็นวัยแสบขึ้นภูเขาอย่างเข้าใจและให้เวลา: ‘หมอมิน’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ
How to get along with teenager
10 May 2019

เข็นวัยแสบขึ้นภูเขาอย่างเข้าใจและให้เวลา: ‘หมอมิน’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • คุยกับ หมอมิน จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ เจ้าของเพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา และที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการให้กับบทละครเรื่อง วัยแสบสาแหรกขาด
  • ถอดบทเรียน 5 ปัญหาสุขภาพจิตในเด็กจากละครเรื่อง ‘วัยแสบสาแหรกขาด’ 1. เด็กกรี๊ด ร้องอาละวาดเอาแต่ใจ (temper tantrum) 2. ความหลากหลายเพศ (gender creative) 3. วัยรุ่นที่มีภาวะออทิซึม (autism) 4. วัยรุ่นที่มีลักษณะยึดติดความสมบูรณ์แบบและยอมรับความผิดพลาดไม่ได้ มีความกดดันจากการเรียน (perfectionism) 5. วัยรุ่นติดเกม (gaming addiction)
  • ทั้ง 5 ปัญหาในละครช่วยสะท้อนสังคมได้ดี แต่พบว่ายังมีอีก 3 โรคทางจิตเวชที่เด็กเป็นมากที่สุดคือ โรควิตกกังวล โรคสมาธิสั้น และ Conduct disorder หรือพฤติกรรมผิดกฎเกณฑ์ เบียดเบียนทำให้คนอื่นเดือดร้อน
  • ทางออกของปัญหาของผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิต ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป ภูมิคุ้มกันสำคัญที่สุดที่พ่อแม่ปกป้องลูกได้คือ ‘การให้เวลา’

เริ่มตั้งแต่การติดตามดูละคร วัยแสบสาแหรกขาด ในภาคแรก แล้วนำเหตุการณ์มาเขียนเป็นบทความสั้นๆ ย่อยออกมา เล่าให้เข้าใจง่าย เผยแพร่ลงพื้นที่เพจของตัวเอง จนมีคนตามอ่าน ตามแชร์

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ พญ.เบญจพร ตันตสูติ หรือ หมอมิน ผู้ที่ทำงานเป็นจิตแพทย์และวัยรุ่น มานานถึง 10 ปี กลายมาเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการให้กับบทละครเรื่อง วัยแสบสาแหรกขาด ซีซั่น 2

ในบทละครวัยแสบสาแหรกขาด ซีซั่น 2 คุณหมอทำงานมีส่วนร่วมอย่างไรบ้าง

จริงๆ ไม่ได้เป็นทางการนักมีโอกาสได้ไปเจอผู้จัดละคร คุณเอิร์น นิธิภัทร และทีมงาน ตามงานเสวนา คุณเอิร์นชื่นชอบที่จะทำละครแนวครอบครัวอยู่แล้ว หลังจากนั้นได้ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิตของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ในละครเรื่อง ‘คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจฟรุ้งฟริ้ง’ จนมาถึงละครเรื่อง ‘วัยแสบสาแหรกขาดภาค 2’ มีเรื่องเคสเด็กที่มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชในละคร เช่น เด็กเอาแต่ใจตัวเอง ชอบกรี๊ดโวยวาย ที่เกิดจากการตามใจ การเลี้ยงดูที่ขัดกันระหว่างผู้เลี้ยงดู เด็กที่ถูกพ่อแม่กดดันเรื่องการเรียน เด็กเหล่านี้จะเกิดปัญหาสุขภาพจิตแบบไหนและมีที่มาที่ไปจากอะไรบ้าง ก็ได้คุยกับทีมงานเขียนบทละครบ้าง แต่ไม่ได้ช่วยตรวจบทอย่างละเอียด ละครเรื่องนี้มีผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษามากมาย หมอเป็นเพียงหนึ่งในนั้น

หมอรู้สึกชื่นชมและดีใจ ที่มีผู้จัดละครที่อยากจะทำละครเกี่ยวกับปัญหาเด็ก วัยรุ่น ครอบครัว เพราะเท่าที่ผ่านมา เรายังไม่ค่อยเห็นหรือเห็นละครที่ทำประเด็นแบบนี้ค่อนข้างน้อย ยิ่งละครที่ลงลึกในประเด็นปัญหาเด็กและวัยรุ่นในเชิงลึกด้วย ที่ผ่านมาอาจจะมีอยู่บ้าง เช่น ซีรีส์ Project H จาก GDH ที่เคยพูดเรื่องวัยรุ่นที่เป็นซึมเศร้า วัยรุ่นที่เป็นออทิซึม และซีรีส์ฮอร์โมน ที่พูดถึงประเด็นปัญหาสุขภาพจิตในวัยรุ่น เช่น ปัญหาการใช้ยาเสพติด พฤติกรรมทางเพศ เป็นต้น

ในฐานะที่เคยดูละคร วัยแสบสาแหรกขาด มาทั้งสองซีซั่น มีจุดเหมือนกัน ต่างกัน ตรงไหนบ้าง

ที่หมอเห็นและรู้สึก ภาคแรกจะมีการนำเสนอในประเด็นกว้างๆ เกี่ยวกับเด็ก วัยรุ่นและครอบครัว แต่ยังไม่ลงลึกไปถึงปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคทางจิตเวชของเด็ก นำเสนอเป็นปัญหาของเด็กทั่วๆ ไป ยังไม่ถึงกับการเจ็บป่วยเป็นโรค

แต่พอมาในภาค 2 หมอว่ามีการลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น มีการนำเสนอเรื่องของโรคที่เป็นโรคเฉพาะมากขึ้น เช่น วัยรุ่นที่มีภาวะออทิซึม, วัยรุ่นที่มีความกดดันจากการเรียนจนมีอาการทางกาย จนเป็นไฮเปอร์เวนติเลชั่น (hyperventilation syndrome) อาการแพนิค วิตกกังวล รวมถึงประเด็นที่ลงลึกและเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่างวัยรุ่นที่ไม่ชอบในเพศตัวเอง อยากและรู้สึกอยากเป็นเพศตรงข้าม

บุ๊ค อุ่น วีหนึ่ง ใบพัด ลูกพีท – ภาพจากละครวัยแสบสาแหรกขาด ซีซั่น 2

สิ่งที่หมอให้คำปรึกษากับทีมผู้จัด หมอไม่ได้อ่านบททั้งหมด แต่มีการคุยกันกับทางทีมผู้เขียนบทว่าเขาอยากนำเสนอเคสเด็กและวัยรุ่น ทั้ง 5 เคส นั่นคือ 1. เด็กกรี๊ด ร้องอาละวาดเอาแต่ใจ (temper tantrum) 2. ความหลากหลายเพศ (gender creative) 3. วัยรุ่นที่มีภาวะออทิซึม (autism) 4. วัยรุ่นที่มีลักษณะยึดติดความสมบูรณ์แบบและยอมรับความผิดพลาดไม่ได้ มีความกดดันจากการเรียน (perfectionism) 5. วัยรุ่นติดเกม (gaming addiction) คำถามต่อมาคือเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาประมาณนี้ เขาจะมีลักษณะแบบไหน และปัจจัยที่นำมาสู่ปัญหา สิ่งแวดล้อม อาจเติบโตมาจากครอบครัว พ่อแม่ หรือผู้ปกครองแบบไหนได้บ้าง หมอจะเป็นผู้ให้คำปรึกษาโดยใช้ข้อมูลทางวิชาการรวมถึงประสบการณ์ที่คุณหมอเคยเจอ

เคสเด็กและวัยรุ่นทั้ง 5 สาเหตุที่ทำให้เกิดและทางออกคืออะไร

เคสแรก: ‘ลูกพีท’ เด็กที่มีลักษณะเอาแต่ใจ กรี๊ดโวยวายอาละวาด หรือทางการแพทย์เรียกว่า temper tantrum

จริงๆ ปัญหาเด็กกรี๊ด โวยวายอาละวาด เป็นเรื่องที่พบได้ตามปกติในเด็กเล็กๆ เพราะเด็กเล็กจะมีลักษณะการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง หากผู้ปกครองเข้าใจและจัดการได้ดีอาการเหล่านี้ควรค่อยๆ น้อยลงไปและดีขึ้นเมื่อเด็กเข้าชั้นประถม ช่วงอายุประมาณ 6 ขวบ เพราะเป็นช่วงวัยที่เด็กจะเริ่มเข้าใจเหตุผลมากขึ้น แต่ในกรณีลูกพีทมีอาการต่อเนื่องจนโตและอาการรุนแรงมาก เมื่อถูกขัดใจจะร้องโวยวายอย่างหนัก และทำลายข้าวของด้วย

ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาการที่เป็นเรื่องการเลี้ยงดู นั่นคือ ลูกพีทโตมากับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัวจนไม่มีเวลา คุณตาคุณยายจึงเป็นผู้เลี้ยงลูกพีทแทน ซึ่งคุณตาคุณยายเลี้ยงหลานอย่างตามใจ ขาดการฝึกระเบียบ ไม่ได้สอนให้เด็กรู้จักอดทนรอคอย อยากได้อะไรก็ได้ และอุปนิสัยคุณแม่เป็นคนอารมณ์ร้อน หงุดหงิด และมักใช้อารมณ์ ตะโกน โวยวาย เวลาไม่พอใจอยู่เสมอ อาจทำให้ลูกพีทซึมซับและเกิดการเลียนแบบ

เมื่อถูกตามใจตลอด ไม่เคยถูกขัดใจ แถมพอกรี๊ดโวยวายก็มีคนตามใจมากขึ้น สุดท้ายเขาเรียนรู้ว่าจะมีคนตอบสนองในสิ่งที่ต้องการเมื่อกรี๊ด เด็กก็จะใช้วิธีนี้ต่อไป เมื่อไปอยู่โรงเรียนเวลาไม่พอใจก็กรี๊ดใส่เพื่อน ใส่ครู เพื่อให้ทุกคนทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ

เคสที่สอง: ‘วีหนึ่ง’ เด็กวัยรุ่นหญิง ชั้น ม.6 คุณแม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเหมือนกัน การเลิกกันของพ่อแม่ไม่ดีเท่าไหร่ คือฝ่ายพ่อนอกใจไปมีครอบครัวใหม่ จึงทำให้แม่ไม่พอใจมาก แม่มีปมในใจเรื่องพ่อนอกใจเกิดเป็นความต้องการที่จะเลี้ยงลูกของตัวเองให้ดีกว่าลูกของพ่อกับครอบครัวใหม่ ทำทุกทางให้ลูกตัวเองต้องดีกว่า เก่งกว่า สอบเข้าแพทย์ให้ได้ แม้วีหนึ่งจะเป็นเด็กเก่งมาก แต่ถึงแม้จะเก่งอย่างไร วีหนึ่งก็ยังเป็นเด็กธรรมดาที่ต้องการความเข้าใจ คล้ายๆ กับว่าเขาถูกกดดัน ถูกทำให้รู้สึกว่าจะต้องเรียนให้เก่งตลอดเวลา ถึงจะเป็นที่พอใจของแม่

เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ความรู้สึกกดดันมันเหมือนลูกโป่งที่ถูกอัดลมแน่นจนแตก เมื่อมาถึงช่วงที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย เธอถูกคาดหวังให้สอบติดแพทย์ให้ได้ โดยที่ลึกๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่าวีหนึ่งอยากเป็นหมอหรือเปล่า ที่สำคัญวีหนึ่งไม่กล้าพูดความรู้สึกในใจกับใคร ไม่ยอมรับ แต่ยิ่งปฏิเสธความกดดันก็กลายเป็นความเครียด ทำให้เกิดกลไกที่จิตใจพยายามหาทางออก กลายเป็นอาการทางกายอย่างที่เราเห็นในละคร นั่นคือ อาการมือสั่น ตัวสั่น หายใจเร็ว มือจีบเกร็ง เป็นลม คล้ายๆ กับอาการของ hyperventilation syndrome และ อาการแพนิค

เคสที่สาม: ‘บุ๊ค’ เด็กชายวัยรุ่นที่โตมาในครอบครัวพ่อแม่ที่เลิกกัน แม่ไปทำงานที่ร้านอาหารในต่างประเทศเพื่อส่งเงินให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนดีๆ ส่วนพ่อทำงานกะดึก ไม่ค่อยได้ใช้เวลากับลูกมากเท่าไรนัก

บุ๊คจึงไม่ค่อยสนิทสนมกับทั้งพ่อและแม่ มีความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน และลึกๆ เป็นเด็กขี้เหงา โดดเดี่ยว ไม่ค่อยมีเพื่อน จึงหาทางออกโดยการเล่นเกมออนไลน์ ได้เจอเพื่อนในเกม ทำให้บุ๊ครู้สึกตัวเองเป็นที่ยอมรับ มีคนสนใจ ความรู้สึกเติมเต็มมากขึ้น บุ๊คใช้เวลาเล่นเกมอย่างหนัก ไม่นอน ไม่กินข้าว จนทำให้มีปัญหาตามมา

ปัญหาเด็กติดเกมนั้น นอกจากเราจะมองที่ตัวของเกมเองแล้ว เราต้องมองไปถึงสาเหตุว่า ทำไมเขาถึงติดเกม? เด็กติดเกมที่หมอเจอหลายคน มักมีปัญหาความสัมพันธ์กับพ่อแม่หรือเพื่อนที่ไม่ค่อยดีนัก รวมถึงขาดการให้ระเบียบวินัยในบ้าน พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาทำกิจกรรมร่วมกัน ให้เด็กเล่นเกมหรือเข้าถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตามใจชอบโดยขาดการควบคุมด้วย

เคสที่สี่: ‘ไออุ่น’ วัยรุ่นผู้หญิงที่ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นผู้หญิง รังเกียจลักษณะความเป็นผู้หญิง เช่น ไม่อยากมีหน้าอก พยายามเอาผ้ามารัดหน้าอกของตัวเอง ไม่ชอบใส่กระโปรง ไม่ชอบแต่งหน้าทาปาก หรือทำอะไรแบบผู้หญิง

พ่อแม่ของไออุ่นเลิกกัน ไออุ่นอาศัยอยู่กับแม่ ซึ่งพ่อของไออุ่นมักแสดงพฤติกรรมตำหนิ ดูถูก พูดจาไม่ดีถึงความเป็นผู้หญิงของแม่เสมอๆ พ่อมีฐานะค่อนข้างดี ส่วนแม่ทำธุรกิจแล้วล้มเหลวหลายครั้ง แม่มักให้ไออุ่นไปขอเงินพ่อมาให้แม่ ตรงนี้อาจทำให้อุ่นรู้สึกลึกๆ ว่าแม่อ่อนแอ ไม่เก่ง ส่งผลให้มีความไม่ภูมิใจและไม่พึงใจในเพศหญิงของตัวเอง โดยเฉพาะเวลาที่คนอื่นมาย้ำ หรือมาจี้ว่าจะเป็นเหมือนแม่ยิ่งไม่ชอบ

แต่ก็ต้องเน้นว่าการที่เด็กมีความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นเด็กชายอยากเป็นหญิง หรือเด็กหญิงอยากเป็นชายนั้นอาจไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ เพราะพ่อแม่มักมาถามหมอว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกผิดหรือเปล่า จริงๆ ยังไม่มีการศึกษาวิจัยชัดเจนว่าเกิดจากปัจจัยการเลี้ยงดู แต่ปัจจัยร่วมมักเป็นเรื่องของพันธุกรรม พื้นอารมณ์ หรือปัจจัยทางชีวภาพที่เกี่ยวข้อง

เคสที่ห้า: ‘ใบพัด’ วัยรุ่นชายที่เป็นออทิซึมแบบไฮฟังก์ชั่น พ่อแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และคุณอารับมาอยู่ด้วย มีปัญหาเรื่องการเลี้ยงดูที่ตอนแรกอาไม่เข้าใจพฤติกรรมออทิซึมของใบพัด คือสื่อสารได้ มีระดับสติปัญญาดี แต่ปัญหาหลักของออทิซึมคือ ปัญหาการเข้าสังคม การมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ปัญหาพฤติกรรมยึดติดและซ้ำซากบางอย่างที่ดูแปลก ทำให้มีปัญหากับเพื่อนในโรงเรียน ถูกเพื่อนแกล้ง และต้องใช้เวลาในการปรับตัวมากในการอยู่ในสังคม

เมื่อเรารู้สาเหตุ ลักษณะอาการ จาก 5 เคสนี้ เราควรทำอย่างไรกับเขาต่อ

หมอคิดว่าเด็กที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตและจิตเวช วิธีดูแลรักษาอาจจะต้องแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ตัวเด็ก ครอบครัว และ โรงเรียน รวมถึงสังคมรอบข้าง

ตัวเด็กเอง ดูว่าเขามีความผิดปกติในลักษณะไหน หากป่วยเป็นโรคที่จำเป็นต้องใช้ยารักษา ก็ต้องใช้ยาร่วมกับการทำจิตบำบัดในกรณีจำเป็น

ส่วนต่อมาคือครอบครัว ถ้าเราดูละครเรื่องนี้จะเห็นว่าครอบครัวมีความสำคัญมาก เป็นส่วนที่จะช่วยทำความเข้าใจ หรือบางครั้งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ก็ได้ ดังนั้นครอบครัวควรเข้าใจไม่ใช่แค่ปัญหา แต่ต้องเข้าใจถึงที่มาที่ไปของปัญหาด้วย ซึ่งบางทีผู้ใหญ่ในครอบครัวเองอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันผู้ใหญ่ก็มีความสามารถที่จะช่วยให้เด็กพ้นปัญหาได้อีกด้วย โดยเฉพาะ ถ้าผู้ใหญ่มีปัญหาส่วนตัว ก็ต้องดูแลเยียวยาพ่อแม่ด้วย เช่น พ่อแม่อาจเครียด ซึมเศร้า ถ้าไม่ช่วยพ่อแม่ เด็กก็อาจจะไม่ดีขึ้น เพราะเด็กต้องไปอยู่กับครอบครัว

คุณหมอช่วยยกตัวอย่างการดูแลแก้ไข จากปัญหาเด็กในละครวัยแสบฯ

ทางออกของปัญหาของผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตและจิตเวช เด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป มีหลักการกว้างๆ ในทางปฏิบัติเราต้องสังเกตว่าแต่ละคน แต่ละเคส ใครเหมาะสมกับวิธีการแบบไหนและอย่างไร

อย่างเช่น ปัญหาเด็กติดเกม หากพ่อแม่มีความเข้าใจ มีเวลา ทำกิจกรรม ทำให้ลูกรู้สึกว่าเรารักเขา ไม่ได้ทอดทิ้ง มีกฎระเบียบอย่างสมดุลในการเข้าถึงเกม ก็จะช่วยลดปัญหาไปได้มากขึ้น

เช่นเดียวกับกรณีของความหลากหลายทางเพศ พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจในตัวลูก พ่อแม่ทุกคนย่อมหวังดี คิดว่าการที่ลูกมีเพศที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิดจะทำให้ลูกใช้ชีวิตลำบาก จึงมีความพยายามและความเป็นห่วง ที่จะทำให้ลูกเป็นไปตามสังคม แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่ลูกต้องการมากที่สุด คือ การยอมรับและเข้าใจของคนใกล้ชิด โดยเฉพาะพ่อแม่ คนสำคัญที่มีผลต่อจิตใจเขา ถ้าคนสำคัญเข้าใจและยอมรับ แม้จะเจอปัญหาจากคนอื่นๆ เขาจะมีกำลังใจในการเผชิญหน้ากับอุปสรรคได้มากกว่า

และในความเป็นจริง ไม่มีใครยืนยันด้วยว่า เป็นเพศไหนถึงจะมีความสุขกว่ากัน แต่ที่สำคัญคือ ความรู้สึกชอบตัวเองได้ ยอมรับและเข้าใจตัวตน ไม่ต้องปิดบังเสแสร้ง ซึ่งความรู้สึกชอบตัวเองจะมาจากผู้ใหญ่ใกล้ชิดยอมรับและมองเห็นคุณค่าอย่างที่เขาเป็น

เมื่อดูละครแล้วควรตกตะกอนกับมันอย่างไร

มีคุณแม่คนหนึ่งบอกกับหมอว่า เขาดูละครเรื่องนี้กับลูก ลูกบอกว่าตรงนี้ๆ เหมือนที่เขารู้สึกอยู่เลย ทำให้แม่เข้าใจในตัวลูกเขามากขึ้น ละครไม่ได้มุ่งเฉพาะปัญหาของเด็กแต่ละคน แต่ทำให้เห็นว่าผู้ใหญ่ พ่อแม่ ตายาย ครู นักจิตวิทยา ต่างมีปัญหาเป็นของตัวเอง สิ่งที่ทุกคนต้องการคือความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกัน การช่วยเหลือไม่ได้มุ่งแค่ตัวเด็ก แต่ต้องคำนึงถึงการช่วยพ่อแม่ ช่วยครู คนรอบๆ ตัวเด็ก เพราะทุกคนมีผลและเป็นปัจจัยต่อการช่วยเด็กอีกทีหนึ่ง

หมอว่าละครพาเราไปถึงจุดที่บอกว่าทุกคนมีปัญหา คนดูไม่ว่าจะเป็นครู หรือพ่อแม่ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย อย่าละเลยตัวเอง อย่าลืมไปว่าตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องได้รับการดูแล ถ้าเรายังไม่พร้อม ก็ไม่สามารถช่วยเหลือเด็กได้

เคสในละครมากกว่าครึ่ง มักมีครอบครัวที่พ่อแม่เลิกกัน การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรืออยู่กับคุณตาคุณยาย สภาพเหล่านี้มีผลทำให้เด็กมีปัญหาด้วยหรือเปล่า

จริงๆ แล้วโดยทั่วไปเด็กที่มีปัญหาสุขภาพจิตแล้วมาหาหมอ ไม่ได้มาจากครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือพ่อแม่เลิกกัน ส่วนใหญ่พ่อแม่ก็ยังอยู่ด้วยกันนี่แหละ หมอคิดว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับบรรยากาศของบ้านมากกว่า

ถ้าเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อเลี้ยงเดี่ยว แต่สามารถจัดบรรยากาศในบ้านได้ดี ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น มีเวลาให้เด็กเพียงพอ เด็กก็คงไม่มีปัญหา ในทางกลับกัน พ่อแม่ที่อยู่ด้วยกันแต่ทะเลาะกันทุกวัน มีความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน ไม่มีเวลา เลี้ยงเด็กด้วยทีวี แทบเล็ต มือถือ ก็อาจจะเกิดปัญหาได้แม้ว่าจะไม่ได้เลิกกันก็ตาม

ดังนั้น ลูกจะมีปัญหาหรือไม่ คงไม่ได้เกิดจากการที่มีแม่เลี้ยงเดี่ยว-พ่อเลี้ยงเดี่ยว มันไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น

5 เคสนี้ ในละคร สะท้อนปัญหาของเด็กไทยได้จริงๆ หรือเปล่า

จริงๆ 5 ปัญหาที่ละครยกขึ้นมาก็ทำได้ดีและช่วยสะท้อนสังคมได้ แต่จริงๆ แล้วมีปัญหาอีกหลายอย่าง ที่อยากให้ละครเรื่องอื่นๆ ช่วยนำเสนอ ยกตัวอย่างการสำรวจในเด็กมัธยมประมาณ 3,000 คนเมื่อประมาณปี 2559 ที่ตีพิมพ์ในวารสารกรมสุขภาพจิต พบว่าโรคที่เจอในเด็กไทยมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ โรควิตกกังวล โรคสมาธิสั้น และ Conduct disorderหรือ เด็กมีพฤติกรรมผิดกฎเกณฑ์ เบียดเบียนทำให้คนอื่นเดือดร้อน

แล้วสาเหตุโรคเหล่านี้คือจากอะไร

ปัญหาทางสุขภาพจิตและจิตเวชในเด็กและวัยรุ่น เกิดได้จากสาเหตุหลากหลาย เป็นเรื่องของ biological ปัจจัยจากชีวภาพ สมองบางส่วน หรือพันธุกรรมผิดปกติบางอย่าง และ psychosocial เรื่องของจิตสังคม ได้แก่ การเลี้ยงดูจากครอบครัว เหตุการณ์ในชีวิต สิ่งแวดล้อมต่างๆ

การดูแลให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต สำหรับเด็กแต่ละคนต้องใช้เวลาติดตามอย่างยาวนาน คุณหมอต้องทำงานกับพ่อแม่ เด็ก หรือครอบครัว มากกว่ากัน

หมอจะเฉลี่ยและให้ความสำคัญเท่าๆ กัน เพราะเรารู้สึกว่าทั้งสองส่วนมีความสำคัญ ต้องดูไปแต่ละเคส แต่ละปัญหาว่าควรจะทำงานกับใครมากกว่า บางเคสเราอาจต้องทำงานกับพ่อแม่และครอบครัวมาก เช่น เด็กเล็กที่ดื้อเพราะการเลี้ยงดูที่ตามใจไม่เหมาะสม ก็ต้องทำงานกับพ่อแม่และครอบครัวเด็กมากกว่า ส่วนเด็กที่โตหน่อยมีปัญหาซึมเศร้า มีปัจจัยเกี่ยวข้องคือมีความคิดแง่ลบค่อนข้างมาก เราก็ต้องทำงานกับตัวเด็กมากหน่อย ทำจิตบำบัดเพื่อปรับเปลี่ยนความคิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น

ปัจจุบันมีเด็กวัยรุ่นที่มีแนวโน้มจะซึมเศร้า เข้ามาเดินเข้ามาปรึกษาเยอะขึ้นไหม

มีเข้ามามากขึ้น ในลักษณะที่เด็กเองขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ ให้พ่อแม่ผู้ปกครองพามาหาหมอ เพราะเขารู้สึกเครียด ซึมเศร้า ซึ่งเราได้คุยกับเพื่อนๆ จิตแพทย์ด้วยกันพบว่าก็เป็นเหมือนกัน

หมอว่าที่เป็นอย่างนี้ เพราะเด็กมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย ที่วัยรุ่นเข้าถึงได้มากขึ้น เขาสามารถเสิร์ชหาข้อมูลด้วยตัวเอง อีกทั้งก็ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีก เช่น ความกดดันตามยุคสมัย การแข่งขัน ความคาดหวัง สิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดการเปรียบเทียบ

สำหรับเด็กที่กำลังรู้สึกซึมเศร้า คุณหมอมีคำแนะนำเบื้องต้นอย่างไรบ้าง

เราจะคุยกับเด็กก่อนเพื่อประเมินว่าถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าหรือยัง บางอาการอาจจะเป็นความเครียดที่จัดการไม่ได้ หมอก็จะช่วยรับฟังและแก้ไขหาทางออก ถ้าเป็นโรคซึมเศร้าอาจต้องรับประทานยาควบคู่ คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับคนที่ซึมเศร้าไม่มาก พยายามดึงตัวเองออกจากความรู้สึกความเครียดและเรื่องแย่ๆ พยายามหาอะไรทำ มีศัพท์ทางจิตบำบัด คือ behavioral activation หมายถึงการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ออกกำลังกาย งานอดิเรก แต่เป็นสิ่งที่ไม่ทำให้ตัวเองเป็นอันตรายหรือเดือดร้อน อาจจะต้องฝืนตัวเอง พยายามเท่าที่ได้ แต่การไปจมอยู่กับความซึมเศร้าตรงนั้นโดยไม่ทำอะไรจะทำให้ยิ่งแย่

แต่ถ้าความซึมเศร้าไม่ดีขึ้น คุยกับใครที่ไว้ใจ ทำอะไรไม่ได้ เสียการงาน การเรียน บางครั้งรู้สึกแย่มากถึงขนาดไม่อยากอยู่ อยากทำร้ายตัวเอง ควรรีบมาพบจิตแพทย์

นี่จึงเป็นความตั้งใจของคุณหมอ ทำให้ตัดสินใจเปิดเพจขึ้นมา?

ใช่ค่ะ หมออยากสื่อสารสิ่งเหล่านี้

แล้วคุณหมอมีวิธีการสื่อสารข้อมูลอย่างไรให้ง่าย

หมอก็จะคิดว่าถ้าหมอเป็นคนอ่าน คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ เขาคงอยากอ่านอะไรที่เข้าใจ อ่านแล้วไม่เบื่อ เราจะไม่ใช้คำศัพท์ที่ยาก จะใช้คำที่ง่ายๆ อาจจะเขียนเหมือนเล่าอะไรให้ฟัง พยายามคิดว่าถ้าเราเป็นคนอ่านเราอยากจะอ่านแบบไหน

อีกอย่างหมอจะเขียนในสิ่งที่หมอรู้สึกชอบด้วย บางครั้งก็จะมีคนมาบอกให้หมอเขียนเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ถ้าหมอไม่ถนัดหรือไม่อิน หมอก็จะไม่เขียน เพราะมันจะไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ เราจะเขียนในสิ่งที่เราเชื่อจริงๆ

เรื่องที่คุณหมอชอบส่วนใหญ่เป็นเรื่องแบบไหน

เรื่องที่หมอรู้สึกว่าเขียนได้เรื่อยๆ ทั้งเรื่องสุขภาพจิต หรือเรื่องครอบครัว การเลี้ยงลูก ก็จะอิงมาจากภาพยนตร์ ละครหรือหนังสือที่หมออ่าน

และอาจจะเขียนจากประสบการณ์ตรงที่เราเคยเจอจากเคสต่างๆ ที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาและอยากบอกคนอ่าน ว่าเราเจอแบบนี้เยอะนะ

ยกตัวอย่างหน่อยได้ไหมคะ

ตอนเปิดเพจใหม่ๆ เป็นช่วงที่ซีรีส์ฮอร์โมนออกอากาศ เราก็จะเขียนประเด็นสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นคล้ายๆ กับเรื่องวัยแสบฯ มีหนังสือของหมอที่รวมบทความวิเคราะห์ตัวละครในฮอร์โมนออกมาด้วย

คนที่ติดตามเพจส่วนใหญ่เป็นใคร และมักจะปรึกษาปัญหาอะไรบ้าง

พ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ ปัญหามักเป็นเรื่องการเลี้ยงลูก ปัญหาแบบนี้ควรทำแบบไหนอย่างไร ในขณะเดียวกันบางทีวัยรุ่นเองก็ส่งคำถามเข้ามา ว่าเขามีปัญหาแบบนี้ควรทำอย่างไรดี

ความตั้งใจหนึ่งของคุณหมอในการทำเพจ ก็เพื่อที่จะลดปริมาณคนที่เข้ามาปรึกษาด้วยใช่หรือเปล่า เพราะถ้าเขามีความรู้ก็จะสามารถช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือครอบครัวได้ก่อนที่จะมาหาจิตแพทย์ ประกอบกับจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นในประเทศไทยก็ขาดแคลนด้วย

ใช่ค่ะ ทำเพจตอนแรกมีแนวคิดว่าคนไข้เยอะแต่จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นยังมีน้อย ถ้าเราทำในเชิงส่งเสริมป้องกันก็น่าจะลดปริมาณคนไข้ไปได้บ้าง หรือว่าทำให้ความรุนแรงของปัญหาน้อยลงได้บ้าง

ทราบว่าการให้คำปรึกษาโดยเฉพาะกับเด็กจะรีบร้อนไม่ได้ต้องใช้เวลา แต่ละเคสใช้เวลานานแค่ไหน

ถ้าเป็นเคสใหม่ ปกติครั้งแรก เราจะให้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซักประวัติตรวจประเมินต่างๆ ทางสุขภาพจิต วินิจฉัย ให้การดูแลรักษา และนัดติดตามแต่ละครั้งไปเรื่อยๆ

ที่เคสจิตเวชต้องใช้เวลานาน เพราะทุกปัญหามีที่มาที่ไป เป็นชีวิตที่ผ่านมาของเขา ปัญหาที่เด็กดื้อบางครั้งเราไม่ได้เห็นปัญหาแค่เฉพาะหน้า แต่เป็นปัญหาตั้งแต่เด็กเกิดมาแล้ว เป็นปัญหาเรื่องการเลี้ยงดู เกี่ยวข้องกับคนมากมาย ทั้งคุณพ่อคุณแม่ปู่ย่าตายาย โรงเรียน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องใช้เวลาเยอะ เพราะเราต้องวิเคราะห์รอบด้านแบบองค์รวม

ตอนเลือกเรียนมีปัญหาหรือข้อสงสัยอะไรบ้าง จนทำให้เลือกเรียนเป็นจิตแพทย์

โดยส่วนตัวก็ไม่ได้มีปัญหาหรือสงสัยอะไร แต่ก็รู้สึกว่าเพื่อนๆ หรือเด็กที่เราเคยเจอตอนเราเรียนมีปัญหาที่เกี่ยวกับครอบครัวค่อนข้างเยอะ

ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าถ้าเราได้ช่วยเด็กคนหนึ่งก่อนเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันก็อาจจะไม่สายเกินไปที่เราจะช่วยเขาให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพจิตที่ดีและมีความสุข

คุณหมออยากเรียนหมอตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า

ตอนมัธยมยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร เคยอยากเรียนอักษรศาสตร์ เพราะชอบอ่านหนังสือ สนใจประวัติศาสตร์ แต่อาจจะเป็นเพราะพ่อแม่ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังหรือมาบังคับอะไร แต่บางทีก็แนะนำว่าเรียนแบบนี้ก็ดีนะ เราก็ลังเล ประกอบกับเคยดูงานที่โรงพยาบาลก็เห็นว่าการเป็นหมอก็น่าจะโอเคเหมือนกันนะ ได้ช่วยคน เราน่าจะชอบ ก็เลยเลือก

คุณหมอเคยผ่านการสอบไม่ติด เคยเป็นคนแพ้ ผิดหวัง เลยอยากชวนคุณหมอคุยเรื่องการศึกษาในระบบแพ้คัดออกที่เวทีมีแต่ผู้ชนะ ตรงนี้สร้างผลกระทบหรือก่อปัญหาในตัวเด็กมากน้อยแค่ไหน

ใช่ค่ะ หมอก็เคยสอบไม่ติด ตอนนั้นไปสอบเตรียมอุดมฯ เข้า ม.4 แต่สอบไม่ได้ ตอนนั้นก็เสียใจเหมือนกัน คุณพ่อก็ให้กำลังใจพาไปดูหนังที่โรงหนังสกาล่า จำได้เลย จำได้ว่ารู้สึกเสียใจแต่ไม่นานคงเพราะพ่อแม่ไม่ได้กดดันและให้กำลังใจ

เรารู้สึกว่าในระบบการศึกษาการสอบก็ยังมีบทบาทอยู่ แต่หมอคิดว่าก็ต้องดูความพร้อมของเด็กแต่ละคนด้วยถ้าเป็นเด็กโตก็ค่อนข้างโอเค แต่ถ้าเป็นเด็กเล็ก เด็กอนุบาลที่ต้องสอบเข้า ป.1 แล้วต้องไปสอบแนววิชาการมากๆ คิดว่าเด็กเล็กยังไม่เหมาะสำหรับการแข่งขันและไม่จำเป็นต้องผ่านการสอบแบบนี้ ควรมีเกณฑ์คัดเลือกแบบอื่นมากกว่า

โอเคอาจจะมีเด็กเล็กบางคนทำวิชาการได้เพราะพัฒนาการเร็ว แต่เด็กที่ทำไม่ได้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เก่งหรือไม่ฉลาด บางครั้งเขาไม่พร้อม ระบบการสอบเข้าแบบนี้อาจทำให้เด็กมีความเครียด ยิ่งพ่อแม่หลายคนเครียดกว่าเด็กที่สอบอีก ซึ่งทำให้เด็กเครียดไปด้วย

ถ้าเด็กโตอาจมีความพร้อมกว่า แต่ไม่ว่าเด็กเล็กหรือวัยรุ่น สิ่งที่ทำให้เด็กผ่านความกดดันทางการเรียนไปได้คือความเข้าใจของพ่อแม่ การที่ลูกผิดพลาดพ่อแม่ไม่ได้ซ้ำเติม ไม่ต้องซีเรียสกับผลลัพธ์ที่เป็นคะแนนสอบมาก เน้นความพยายามตั้งใจดีกว่า สำหรับพ่อแม่หมอ ตอนหมอสอบไม่ติด เขาก็ผิดหวัง แต่หมอรับรู้ได้ว่าเขาเข้าใจและแบ่งปันความรู้สึกกับเราได้

นอกจากพาไปดูหนัง คุณพ่อปลอบใจว่าอะไร

จำไม่ได้เป็นคำพูด คุณพ่อไม่ใช่คนที่พูดเก่ง แต่หมอรับรู้ได้ แล้วการพาไปดูหนังกันสองคน ทั้งที่ตามปกติเราไม่เคยไปดูหนังกันสองคนมาก่อน สิ่งนี้ทำให้เรารู้ว่าเขาให้ความสำคัญกับเรา เขาเข้าใจเราในตอนนั้น

เคยย้อนกลับไปถามตัวเองไหมว่าตอนนั้นคุณหมอเสียใจเพราะอะไร เพราะสอบไม่ติดหรือเพราะทำให้พ่อแม่เสียใจ

คงเสียใจที่เพื่อนๆ กลุ่มเดียวกันกับเราส่วนใหญ่สอบเข้าไปกันเกือบหมด จะเป็นแบบนี้มากกว่า สำหรับพ่อแม่ ตอนนั้นพ่อแม่หมอก็ไม่ได้เป็นคนกดดันหมอเรื่องการเรียนอยู่แล้ว เลยไม่ได้รู้สึกว่าจะทำให้พ่อแม่เสียใจหรือผิดหวังมากมาย

นอกจากความเข้าใจของพ่อแม่ที่ทำให้เด็กฟื้นตัวเร็ว แล้วในวัยรุ่นที่กำลังเสียใจกับความผิดพลาดเรื่องเรียน อยู่แต่กับตัวเอง จะมีวิธีการดึงตัวเองหรือฟื้นกลับมาสู้ยังไงได้บ้าง

วัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่ร่างกายเติบโตเกือบเท่าผู้ใหญ่ แต่ยังขาดประสบการณ์ชีวิต แถมบางคนไม่เคยได้ผิดหวังอะไร พอทำผิดพลาดหรือผิดหวังสักครั้งอาจเกิดความกระทบกระเทือนมาก

หมออยากจะบอกว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมชาติ ความเสียใจเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันก็จะผ่านไป ยอมรับความรู้สึกที่เกิด คุยกับคนที่ไว้ใจ ตั้งเป้าหมายใหม่ หาอะไรทำ

ประสบการณ์ความผิดพลาดครั้งนี้ อาจทำให้เราเข้มแข็งได้เร็วเวลามีครั้งหน้า ถ้าผ่านไปได้มันก็เป็นเหมือนวัคซีนสร้างภูมิต้านทาน ส่วนใหญ่ในชีวิตข้างหน้าการทำงานเรายังต้องเจออะไรที่ยากและผิดพลาดมากกว่าตอนที่เรายังเป็นนักเรียน

ความแตกต่างระหว่าง ‘โรคซึมเศร้า’ และ ‘โรคอยากซึมเศร้า หรือแค่เศร้า’ เราจะดูและตรวจสอบตัวเองได้อย่างไร โดยเฉพาะวัยรุ่น

หมอไม่อยากให้ใช้คำว่า ‘โรคอยากซึมเศร้า’ เพราะบางครั้งมันเป็นเหมือนการตีตราว่า “เฮ้ยเธอไม่ได้เศร้า แต่เธออยากเศร้า อยากจะเรียกร้องความสนใจหรือเปล่า” ไม่มีใครอยากเศร้าหรอก ทุกคนอยากมีความสุข

เรามักพบว่าในโลกโซเชียลหรือสังคมจริงๆ เด็กที่บอกว่าตัวเองซึมเศร้า อยากไปพบจิตแพทย์ อาจจะมีคนมาบอกว่า “ไม่ได้เป็นหรอก คิดไปเอง เธอแค่อ่อนแอ แค่เรียกร้องความสนใจ” หมอไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

บางครั้งคนที่ซึมเศร้าไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เป็นมันคืออะไร แต่มันเป็นความรู้สึกแย่ ไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นการที่เด็กมาบอก มีความรู้สึกว่าอยากจะไปปรึกษาจิตแพทย์ หมายถึงเขาขอความช่วยเหลือ มันเป็นสิ่งที่โอเคกว่าเขาไม่บอกใคร และไปหาทางออกที่ผิด

สำหรับการแยกโรคซึมเศร้ากับอารมณ์เศร้าเฉยๆ ถ้าเป็นโรคก็อาจจะมีความผิดปกติในการใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือการเรียนอย่างรุนแรง มีความคิดไม่อยากอยู่ อยากตาย แต่ถ้าเศร้าธรรมดา ก็อาจยังทำงานได้ เรียนได้ ยังทำอะไรที่ฉันชอบอยู่ได้ ไม่ถึงกับมีความคิดอยากฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเอง คือถ้ามันเลยจุดและมีผลต่อการใช้ชีวิตของเรา ก็อาจจะต้องเฝ้าระวังว่ามันเป็นภาวะหรือโรคซึมเศร้าหรือเปล่า ไม่แน่ใจก็พบจิตแพทย์ดีกว่า

คำว่าจิตวิทยาและเด็กมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และช่วยอธิบายกันและกันได้อย่างไร

บางครั้งผู้ใหญ่ชอบคิดว่าเด็กไม่น่าจะมีปัญหาสุขภาพจิตหรือโรคจิตเวชหรอก เพราะเด็กอายุแค่นี้เอง น่าจะมีความสุขสนุกสนาน แต่จริงๆ เด็กและวัยรุ่นก็มีปัญหาทางสุขภาพจิต เด็กก็เครียดเป็น ดังนั้นเรื่องของจิตวิทยาและจิตเวชในเด็กก็ยังมีความสำคัญที่เราจะต้องทำความเข้าใจ

มีการศึกษาที่บอกว่า ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพจิตที่ดีได้ มักผ่านช่วงเวลาการเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตดีมาก่อน เพราะฉะนั้นเรื่องจิตวิทยาเด็กจึงมีความสำคัญ

Tags:

การหย่าร้างพญ.เบญจพร ตันตสูติซึมเศร้าวัยรุ่นแบบแผนทางความสัมพันธ์กลั่นแกล้ง(bully)ซีรีส์การลงโทษ

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • สื่อสารเพื่อเยียวยาหัวใจ สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้น้อง: วันวิสาข์ มาเมือง พี่เลี้ยงอาสา มูลนิธิยุวพัฒน์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Dear ParentsMovie
    Sex Education: ความเข้าใจเรื่องสิทธิ์เนื้อตัวไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ครอบครัวต้องหยุดสร้างทัศนคติ Victim blaming

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Creative learning
    “วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ครูปุ้ย วรีย์ สืบสมุท: ใช้ ‘บอร์ดเกม’ เสกคาบว่างในวิชาแนะแนวให้หายไป
Unique Teacher
9 May 2019

ครูปุ้ย วรีย์ สืบสมุท: ใช้ ‘บอร์ดเกม’ เสกคาบว่างในวิชาแนะแนวให้หายไป

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • ครูปุ้ย วรีย์ สืบสมุท หนึ่งในครูจากโครงการก่อการครู รุ่น 1 ครูปุ้ยคือครูแนะแนวที่ไม่เคยปล่อยให้ว่างเพราะใช้บอร์ดเกมเป็นเครื่องมือเรียนรู้ 
  • เป้าหมายของการเรียนรู้ผ่านบอร์ดเกม ไม่ใช่แค่ความสนุก เพราะกว่าจะได้บอร์ดเกมสักชิ้น นักเรียนต้องแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ช่วยกันคิด ค้นคว้าข้อมูล ผ่านการถกเถียง ใช้ความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ ใช้ทักษะหลายอย่างรวมกัน เพื่อช่วยกันตกตะกอนว่าสุดท้ายแล้วกลุ่มจะทำบอร์ดเกมออกมาแบบไหน 
  • การเป็นครูในยุคนี้ นอกจากเป็นผู้ให้ความรู้ ครูจะต้องเป็นผู้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเด็กด้วย” ครูปุ้ยไม่ใช่แค่กล่าวไว้แต่ลงมือทำทุกๆ วัน 
ภาพ: หนังสือครูปล่อยแสง

หากย้อนไปค้นลิ้นชักแห่งความสงสัยในวัยเด็ก น่าจะมีไม่น้อยที่สงสัยว่า “ทำไมครูแนะแนว…ดูว่างจัง”  

ไม่ต่างจาก ครูปุ้ย วรีย์ สืบสมุท ที่เคยพยักหน้าเห็นด้วยกับประโยคนี้ เเต่พอได้เข้ามาทำงานเป็นครูจริงๆ กลับทำให้ ‘ครูปุ้ย’ ครูแนะแนวจากอ่างทองคนนี้ อยากกลับไปถอนคำพูด ถอนความคิดในวัยเด็กของตัวเองทิ้งไปไกลๆ 

ครูปุ้ย คือ ครูแนะแนวโรงเรียนอ่างทองปัทมโรจน์วิทยาคม โรงเรียนขนาดใหญ่ในจังหวัดอ่างทอง บรรจุนักเรียนหลายพันคน ตั้งแต่ชั้น ม.1-ม.6 แต่กลับมีครูแนะแนวเพียง 2 คน หนึ่งในนั้นคือครูปุ้ย ที่รับผิดชอบสอนเด็กๆ ชั้นมัธยมต้น 

นอกจากภารกิจหลักอย่างสอนหนังสือแล้ว สารพัดหน้าที่ที่ครูคนหนึ่งต้องรับผิดชอบยังมีอีกร้อยแปด ครูปุ้ยต้องทำทั้งงานสวัสดิการ งานพัสดุ จัดการเอกสารทุนจากมหาวิทยาลัย ทุน กยศ. ให้คำปรึกษาเด็ก จัดสอบ รวมถึงงานธุรการต่างๆ 

แต่สารพันงานหยุมหยิมเหล่านี้ ไม่สามารถขังครูปุ้ยให้อยู่แต่ในกรอบได้ 

บอร์ดเกม คือ เครื่องมือเรียนรู้

การเดินทางนอกกรอบครั้งสำคัญของครูปุ้ย คือ การเข้ามาร่วมอบรมในโครงการ ‘ก่อการครู’ เมื่อปีที่แล้ว

เหตุผลในการก้าวเข้ามาร่วมในโครงการก่อการครูของครูปุ้ย อาจจะแตกต่างจากเพื่อนครูคนอื่น เพราะครูจำนวนไม่น้อยต่างเข้ามาเพราะอึดอัดกับปัญหาระบบการศึกษา อยากหาทางออกเพื่อนำกลับไปแก้ไข และอีกมากเข้ามาเพื่อเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่หาไม่ได้ในโรงเรียน 

ครูปุ้ยจัดอยู่กลุ่มหลัง เพราะไม่ได้มาพร้อมกับปัญหาหรือภาระครูที่เกินแบก แต่มาพร้อมกับดักชิ้นใหญ่ที่เข้ามาขวางจนคลำหาทางออกไม่ได้ นั่นคือเสียงในหัวที่เริ่มตั้งคำถามดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า

“สิ่งที่เราสอน เด็กได้ประโยชน์จริงๆ ไหม และการที่เราให้เด็กไปแบบนี้ เด็กได้เอาไปใช้จริงๆ หรือเปล่า”

ครูปุ้ยจึงอยากฉุดตัวเองออกจากหลุมพรางให้ได้เร็วที่สุด พร้อมๆ กับการกลับมาสำรวจตัวเอง ตั้งคำถามกับตัวเองว่าอยากเปลี่ยนอะไรบ้างข้างใน 

‘มิตรภาพ ความรู้ เครื่องมือการสอน’ คือของขวัญ 3 ชิ้น ที่ครูปุ้ยได้รับกลับไป จากการตัดสินใจเข้าโครงการ

และโครงการนี้ ครูปุ้ยได้ทำความรู้จักกับบอร์ดเกมเป็นครั้งแรกจาก ‘ห้องเรียนออกแบบเกมเพื่อการเรียนรู้’ 

นอกจากความสนุก ความเพลิดเพลินที่เกิดขึ้นแล้ว ครูปุ้ยเล็งเห็นประโยชน์หลายอย่างจากบอร์ดเกม ประกอบกับภารกิจที่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการสอนวิชาแนะแนว คือ การทำให้เด็กลงมือสำรวจตัวเองให้เป็น เพื่อให้เขาได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ครูปุ้ยจึงเลือกเอาบอร์ดเกมเข้ามาปรับใช้

เกมค้นหาตัวตน หนึ่งในตัวอย่างบอร์ดเกมที่ครูปุ้ยเห็นจากโครงการ ทำให้ตกหลุมรักเครื่องมือเรียนรู้ชิ้นนี้และเชื่อว่าตัวเองจะตัดสินใจไม่ผิด

วิธีแสนง่าย เพียงแค่การ์ดเป็นตัวดำเนินเกม เปิดภาพของอาชีพต่างๆ จากนั้นให้อาศัยการอธิบายลักษณะของอาชีพนั้นๆ สุดท้ายแล้วเกมนี้จะพาให้เด็กไปรู้จักอาชีพอื่นๆ จากเดิมที่เขาเคยเห็น ที่สำคัญได้สำรวจตัวเองว่าเหมาะกับงานนั้นหรือไม่ ผ่านคำอธิบายลักษณะงาน

“ไอเดียการนำเอาบอร์ดเกมมาช่วยสื่อสารและอุดช่องโหว่ เริ่มเกิดขึ้นตอนนั้น เราคิดว่าเกมมันไปตรงกับวิชาที่เราสอนเลย” ครูปุ้ยจึงไม่ลังเลที่จะหยิบฉวยเครื่องมือนี้มาเปลี่ยนห้องเรียน

เมื่อไอเดียเกิดขึ้น ขั้นต่อไปคือลงมือ ครุปุ้ยผสมผสานเกมลงในการสอนหนังสือ และพบว่าบอร์ดเกมช่วยคลี่คลายปัญหาหลายๆ อย่างได้ เกมค้นหาตัวตน ช่วยทำให้เด็กๆ ได้ความรู้ ความเข้าใจ ผ่านการเล่น ส่งผลให้เด็กจดจำข้อมูล โดยไม่ต้องเปิดหนังสือสอน ได้รู้จักอาชีพและได้รู้จักตัวเองมากขึ้นผ่านการ์ดไม่กี่ใบ

หากย้อนไปถึงช่วงแรกที่ครูปุ้ยนำบอร์ดเกมเข้ามาใช้ในห้องเรียน ครูปุ้ยไม่ได้สอนก่อนว่าจะต้องทำอะไรก่อน เป็นลำดับขั้น 1-2-3-4

แต่ครูปุ้ยเปิดพื้นที่ให้เด็กลงมือทดลองทำบอร์ดเกมด้วยตัวเองเลยทันที ผลปรากฏว่าเด็กๆ เกือบทุกคนรู้จักบอร์ดเกมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเกมการ์ด เกมเศรษฐี เกม Werewolf ทำให้พวกเขาตื่นเต้น สนใจ และอยากลงมือทำบอร์ดเกมของตัวเอง  

“ไม่ว่ากระบวนการเรียนรู้แบบไหนก็ตาม ถ้าเอาแต่บอก โดยที่ไม่ให้เด็กลงมือ เขาไม่มีทางเรียนรู้ได้แน่นอน นี่คือโจทย์ตั้งต้นทำให้เราใช้บอร์ดเกมสอนเขา”

บอร์ดเกม ล้วงใจเด็ก

ในคาบแนะแนว ครูปุ้ยเริ่มต้นให้เด็กๆ ออกแบบเกม โดยเอาปัญหาสังคมมาเป็นตัวตั้งต้น ตัวอย่าง ‘เกมเพศเศรษฐี’ ที่เด็กกลุ่มหนึ่งคิดขึ้นมา โดยมีวิธีเล่นเหมือนเกมเศรษฐีทั่วไป ผู้เล่นต้องเดินตามจำนวนที่ทอยลูกเต๋าได้ เมื่อไปตกที่ช่องไหนก็ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศให้ถูกต้อง

ดูเหมือนง่าย…แต่ครูปุ้ยชวนคิดต่อว่า กว่าที่เด็กๆ จะได้คำถามแต่ละข้อ พวกเขาต้องช่วยกันคิด ค้นคว้า เพื่อนำข้อมูลไปสร้างเกม โดยแต่ละขั้นตอนต้องผ่านการถกเถียง ใช้ความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ ขนทุกทักษะเท่าที่มีมาใช้อย่างคุ้มค่า เพื่อช่วยกันตกตะกอนว่าสุดท้ายแล้วกลุ่มจะออกมาในรูปแบบไหน 

นี่ต่างหากที่เป็นเป้าหมายสำคัญ

“บอร์ดเกมทำให้เราเห็นหลายๆ อย่าง ในตัวเด็ก เขาอยากทำเรื่องเพศก็ให้ทำ อยากทำเรื่องอาหารก็ให้ทำ เราไม่บังคับ ให้ทำบนพื้นฐานของการอยากรู้ก็พอ ซึ่งเกมทำให้รู้ว่าเด็ก ม.1 เขาสนใจปัญหาเรื่องเพศอยู่นะ แล้วทำไมเขาคิดแบบนั้นได้ เราจะสอนเขาอย่างไรต่อไป ซึ่งถ้าไม่เล่นผ่านเกม ครูก็ไม่มีทางรู้เลย”

นอกจากความสนุก ยังได้ฝึกใช้ทักษะ แน่นอนเด็กๆ ต่างภูมิใจ เพราะพวกเขารู้สึกเป็นเจ้าของผลงาน 

ย้อนกลับไปวันแรกที่โยนโจทย์ให้ เด็กๆ หลายกลุ่มเกาหัว เพราะไม่รู้จะออกแบบบอร์ดเกมเกี่ยวกับปัญหาสังคมอย่างไร รู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว ยาก ทำไม่ได้ แต่ครูปุ้ยเมื่อเปิดพื้นที่อิสระ ให้เด็กๆ ได้รวมกลุ่มกันหลายๆ คน จึงทำให้ความเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ 

พลังของการสอนแบบไม่สอน

การสอนแบบไม่สอน สำหรับครูปุ้ยมองได้สองมุม การทำบอร์ดเกมทำให้ตัวครูได้เรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก บางครั้งครูรู้เลยว่า ‘เราไม่ได้รู้มากไปกว่าเด็กนักเรียนเลย’ บางเรื่องเราอาจไม่เชี่ยวชาญเท่าพวกเขาด้วยซ้ำ บางความรู้ เด็กสมัยนี้เขาสามารถหาข้อมูลได้ดีกว่าครูด้วยซ้ำ

“การเป็นครูในยุคนี้ นอกจากเป็นผู้ให้ความรู้ ครูจะต้องเป็นผู้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเด็กด้วย ครูต้องเป็นโค้ชตบความรู้ที่เด็กๆ มีอยู่ในตัวเขาให้เข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นเท่านั้นเอง” ครูปุ้ยบอก

อย่างที่บอกว่าครูสอนนักเรียนในชั้น ม.1 และ ม.3 ดังนั้นวิธีที่จะทำให้วัยรุ่นรู้สึกชอบและสนุกไปกับบทเรียน คือการโยนความท้าทายเข้าไปในวง เขาจะรู้สึกอยากเอาชนะ อยากทำให้ได้ 

“นี่เป็นสิ่งที่เด็กชอบ แต่ไม่ใช่เราจะทำอย่างนี้ได้ตลอด ก็ต้องมีพาร์ทของการทบทวนตัวเองควบคู่กันไป” 

อย่าแค่ ‘สอนๆ ไปเหอะ’ แต่จงสนุกกับมัน

จริงๆ แล้ว การนำบอร์ดเกมมาประยุกต์ในการสอน ไม่ใช่ความตั้งใจแรก ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาแนะแนวเลย ในหนึ่งเทอมครูปุ้ยจะตั้งและเปลี่ยนโจทย์ของตัวเองไปเรื่อยๆ ส่งผลให้รูปแบบกิจกรรมการสอนไม่ได้ตายตัว

“สมมุติครูไปเจออะไรมา แล้วคิดว่าวิธีนี้เหมาะสมและนำไปใช้เป็นเครื่องมือการสอนได้ ครูก็จะนำไปใช้ในห้องเรียน” ทำให้ที่ผ่านมามีกิจกรรมการสอนหลายอย่างเกิดขึ้นในวิชาแนะแนวของครูปุ้ย

ยกตัวอย่าง ‘หัวข้อการทบทวนตัวเอง’ ในเทอมที่ผ่านมา ครูปุ้ยบอกว่า ตัวเองได้ออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียนมากขึ้น ได้มีโอกาสเห็นกิจกรรมหลายกิจกรรมผ่านเพื่อนครูด้วยกัน ครูก็นำมาประยุกต์ใช้ในห้องเรียนของตัวเอง

“เคยไปเจอกับกลุ่มครู Achieve School ได้บทเรียนเรื่องตุ๊กตาขนมปัง ที่มีเป้าหมายให้เด็กได้ทบทวนตัวเอง ครูก็นำมาปรับใช้ ทำให้เด็กรู้จักตัวเอง เช่นเดียวกับบอร์ดเกม ครูว่ามันตอบโจทย์เรื่องความคิดสร้างสรรค์และฝึกการค้นคว้าข้อมูลของเด็กได้ ซึ่งในปีต่อๆ ไป ถ้าครูไปเจอเครื่องมือใหม่ๆ วิธีการสอนในห้องมันก็จะเปลี่ยนตาม”

ทั้งหมดทั้งมวล สามารถสรุปได้ไหมว่า คุณครูทุกคนควรจะต้องแอคทีฟ และไม่จมอยู่กับตำราเดิมๆ ?

สำหรับครูปุ้ย คงไม่กล้ายืนยันว่าประโยคนี้ถูกต้องทั้งหมด เพราะคิดว่าครูหลายคนต่างก็ขวนขวายที่จะหาความรู้ใหม่ๆ และหวังดีกับเด็กอยู่เสมอ แต่อาจจะติดกรอบอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถยืดหยุ่นได้เท่าที่ควร 

ถ้าถามในมุมครูแนะแนว “การสอนแบบเดิมๆ ในคาบกิจกรรม มันไม่สนุกหรอก ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีสอน คนที่จะเบื่ออาจจะไม่ใช่เด็ก แต่คือครูเองนั่นแหละ”

“เราไม่อยากรู้สึกว่า ต้องสอนๆ ไปเหอะ หรือแค่สอนไปให้จบๆ เพราะมันจะทำให้ครูไม่สนุกไปกับเด็ก”

เมื่อปรับความคิดได้ ครูปุ้ยจึงพร้อมจะเรียนรู้และออกไปเจออะไรใหม่ๆ เพื่อนำสิ่งนั้นมาทดลองปรับใช้และเรียนรู้ไปกับนักเรียน เพราะนี่คือสิ่งที่จะทำให้ ‘ครูมีความสุขในการสอน’

กรอบคะแนนคือกับดัก

แน่นอนว่าถ้าเบื้องบนมีคำสั่งหรือต้องการเห็นภาพโรงเรียนต้องเป็นแบบไหน ความกดดันต่อครูและเด็กก็จะเป็นแบบนั้น

และเป็นเรื่องยากที่ครูหรือเด็กจะหลีกเลี่ยงไม่ทำตาม แต่ครูปุ้ยอยากให้ปรับมุมมอง มองว่าโจทย์ที่ควรนึกถึงไม่ใช่การต่อต้าน แต่ “เราจะทำอย่างไรให้สามารถทำในสิ่งที่เบื้องบนต้องการ ไปพร้อมๆ กับความต้องการข้างในของนักเรียนและครูได้” 

ครูปุ้ยยอมรับว่าตัวเองโชคดีในระดับหนึ่ง ที่วิชาแนะแนว ยังพอมีพื้นที่ยืดหยุ่นให้ได้ออกแบบกิจกรรมการสอน แต่ครูจะหยุดไม่ได้ เพราะถ้าทุกอย่างหยุด ครูหยุด ทุกอย่างที่ทำมามันไม่ได้สนุกอีกแล้ว

แม้ว่าวิชาแนะแนวจะไม่ได้มีข้อสอบวัดผลคะแนนเหมือนกับวิชาอื่นๆ แต่เป้าหมายหลักที่ต้องทำให้ได้ในแต่ละเทอม คือการพาเด็กออกมาสำรวจตัวเอง โฟกัสกับตัวเอง ทบทวนและวางแผนเพื่อตัวเอง เพราะปัญหาที่เด็กไทยประสบอยู่ทุกวันนี้ คือการไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าชอบอะไร

 

“วิชาครูไม่มีคะแนน จะทำ/ไม่ทำ จะเรียน/ไม่เรียน ก็เรื่องของเธอ ชีวิตของพวกเธอ ครูต้องการแค่ให้เธอวิเคราะห์ตัวเอง เพื่อการเรียนต่อของเธอ ถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีใครช่วยได้” ครูปุ้ยบอกประโยคนี้กับเด็กอยู่เสมอ

เด็กนักเรียนมักตั้งคำถามกับครูว่า ‘ครูคะ หนูเรียนต่ออะไรดี’ คำตอบเดียวที่ครูปุ้ยให้ได้คือ ‘ไม่รู้’

ฉะนั้นสิ่งเดียวที่ครูแนะแนวอย่างครูปุ้ยทำได้ คือการทำให้นักเรียนตอบคำถามนั้นให้ได้ด้วยตัวเอง 

ตำราไม่เคยสอน การแพ้-ชนะ

ถ้าถามว่านอกจากบอร์ดเกม ครูปุ้ยเคยใช้เครื่องมือใดในการสอนนักเรียน ครูเล่าให้ฟังว่าเคยใช้ ‘เกมการ์ดโค้ชชิ่ง’ โดยวิธีการเล่นคือ ครูจะเปิดการ์ดทีละใบ แม้การ์ดใบนั้นจะเป็นรูปเดียวกัน แต่สิ่งที่เด็กแต่ละคนสะท้อนมุมมองกลับมา ย่อมต่างกัน ครูจึงมีหน้าที่ดึงความคิดข้างในของเด็กๆ ออกมาให้ได้ ทำให้เขาพูด ดุนหลังให้แสดงความคิดเห็น

ประโยชน์อีกอย่างของเกมนี้ จะช่วยทำให้เด็กๆ ได้รู้จักความคิดลึกๆ ของตัวเอง ที่ถึงแม้เขาจะโตเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว แต่บางครั้งอาจจะไม่เคยได้คุยกับตัวเองเลย ครูจึงพาเด็กๆ ไปสำรวจความคิดชุดนั้น ให้เขาฝึกโค้ชความรู้สึกของตัวเอง ครูมีหน้าที่เพียงโยนคำถาม เพื่อสุดท้ายแล้วเขาจะได้ตอบคำถามในใจตัวเองได้

บอร์ดเกมก็เช่นกัน ประโยชน์ของมันมีมากมาย เด็กได้ละวางโทรศัพท์มือถือ แล้วพาตัวเองกลับมาอยู่ในวงสนทนา ได้ค้นคว้าความรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นทักษะสำคัญอย่างมากในยุคนี้

สุดท้ายแล้วการเล่นเกม ย่อมมาพร้อมกับความท้าทาย…

“เด็กๆ วัยนี้เขาจะรู้สึกตื่นเต้น เพราะได้ขยับตัว และจะยิ่งสนุกยิ่งขึ้นเมื่อสิ่งที่เขากำลังทำอยู่สร้างความท้าทาย เกมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ย่อมมีผู้แพ้-ผู้ชนะ เด็กๆ ทุกคนจะได้เรียนรู้ความผิดหวังและความดีใจไปพร้อมๆ กัน จากการเล่นบอร์ดเกม…

นี่คือสิ่งที่ตำราก็สอนเขาไม่ได้” ครูปุ้ยย้ำ 

Tags:

บอร์ดเกมวรีย์ สืบสมุทเทคนิคการสอนก่อการครู

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Voice of New Gen
    Deschooling Game ถอดวิธีคิดคนสร้างเกม ออกแบบประสบการณ์อย่างไรให้รู้สึกรู้สมจนอยากเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Creative learning
    MAGICAL CLASSROOM: ครูทุกคนต่างมีเวทมนตร์ในตัวเอง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Transformative learning
    ละครเวทีของเด็กสาธิต มธ. ห้องเรียนจริงบนเวทีจำลอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ออกไปเรียนรู้ อย่าอยู่แค่ในห้องเรียน
Creative learning
8 May 2019

ออกไปเรียนรู้ อย่าอยู่แค่ในห้องเรียน

เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

สิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ที่แท้จริงคืออะไร ?

บางครั้ง ‘ห้องเรียน’ ก็ไม่ใช่คำตอบเดียวและคำตอบสุดท้ายสำหรับการเรียนรู้ เพราะ ‘การเรียนรู้’ เกิดได้ทุกที ทุกเวลา ไม่อยู่เพียงแค่ในตำราเท่านั้น

สิ่งที่เราจะต้องทำคือช่วยให้เด็กมีความสามารถและพร้อมเรียนรู้ได้ในทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเขาเป็นครูผู้มอบบทเรียนอันล้ำค่าให้ โดยเป้าหมายของการเรียนรู้ คือข้อมูล ความสัมพันธ์ ประสบการณ์ ทักษะ ตลอดจนความล้มเหลว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพราะในชีวิตมนุษย์ทุกคนย่อมต้องผ่านและเผชิญหน้ากับมัน

Tags:

Creative Deschooling

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Kru Jo
    Social Issues
    จากครูปกครองสุดเฮี้ยบที่ผลักเด็กจากระบบการศึกษา สู่ครูนางฟ้าที่สื่อสารด้วยหัวใจ: ครูโจ-วิฑูลย์ แซมสีม่วง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Kru Lisa
    Social Issues
    “การเป็นครูแปลว่าต้องดูแลเด็กตั้งแต่จิตใจ” ครูลีซ่า-นูริทรา แปแนะ ครูนางฟ้าที่ใช้การสื่อสารเชิงบวก รับฟังและอยู่เคียงข้าง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    Cultural Ecology(1): เครื่องมือทางศิลปะที่จับมือชุมชน เสนอศิลปะดั้งเดิมในเงื่อนไขใหม่ สร้างคนลูกผสมที่มี critical mind

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    คนไม่มีความรู้=คนไม่มีอำนาจ?

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘นิ้วกลม’ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์: ถ้าประเทศนี้…ไม่มีโรงเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel