Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

TALK LIKE TED – สื่อสารอย่าง ‘TED TALK’ ในวันที่มีแต่คนพูด ไม่มีคนฟัง
Everyone can be an Educator
29 November 2018

TALK LIKE TED – สื่อสารอย่าง ‘TED TALK’ ในวันที่มีแต่คนพูด ไม่มีคนฟัง

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ป.4 หรือผู้ใหญ่ ก็สามารถทอล์คให้เหมือน TED ได้ ถ้ามีไอเดีย!
  • ทีม curator ไม่ใช่คนเขียนสคริปต์ให้ speaker แต่เป็นผู้ลับเหลี่ยมให้ไอเดียคมขึ้น
  • เวที TED Talk คือลำโพงขยายเสียงให้ไอเดียดังขึ้นมา เพราะเชื่อว่าเมื่อไอเดียถูกส่งต่อ จะเกิดแอ็คชั่นบางอย่าง จนกลายเป็นมวลพลังงานขับเคลื่อนสังคม

แม้จะจบไปแล้วสำหรับเวที TEDxBangkok 2018 ที่แปลงโฉมเวทีทอล์คให้กลายเป็นสนามเด็กเล่า พาเหล่าบรรดาเด็กที่อายุไม่ถึง 20 ปี ขึ้นมาแสดงพลังไอเดียของพวกเขา (ไปฟังเรื่องที่เด็กๆ อยากเล่าได้ ที่นี่) 

แต่กว่าจะเป็นหนึ่งทอล์คบนเวที…ไม่ง่าย ทำอย่างไรให้คำพูดเพียงสิบกว่านาที เข้าไปนั่งนิ่งและตกตะกอนอยู่ในใจของผู้ชมและผู้ฟังได้ 

และความน่าสนใจของเวทีนี้คือ ทุกอย่างไม่ได้ตั้งต้นที่ ‘คน’ แต่อยู่ที่ ‘ประเด็น’ พลังและประสิทธิภาพของการสื่อสาร (communication) จึงจะได้ทำหน้าที่ของมันอย่างถึงที่สุด

ยืนยันโดย ‘อิม’ พชร สูงเด่น หนึ่งในทีม Story Curator หรือผู้ดูแลประเด็นประจำเวที TEDxBangkok ที่อาสาเข้ามาทำงานนี้โดยเริ่มต้นจากความชอบ จากวันนั้นถึงวันนี้ ผ่านไป 2 ปี วันนี้-เธอบอกว่า

“หัวใจยังเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ทำ”

อิม-พชร สูงเด่น

ทำความรู้จักกับ TED

TED (เทด) คือชื่อของเวทีพูดสาธารณะ เราจะเห็นกันได้บ่อยๆ คือ TEDx (เทดเอ็กซ์) ซึ่งหมายถึง การไปเปิดเวทีตามพื้นที่ต่างๆ ถ้าในประเทศไทยก็มี TEDxChiangMai – TEDxBangkok – TEDx KhonKaen ฯลฯ หรือลึกลงไปในระดับสถาบันศึกษา ตามมหาวิทยาลัย TEDxCU (จุฬาลงกรณ์) – TEDxSU (ศิลปากร) รวมถึงเวทีตามหัวเมืองต่างๆ เช่น TEDxCharoenkrung (เจริญกรุง) ซึ่งการมีเวทีพูด TED ในพื้นที่ต่างๆ เช่นนี้ เป็นเครื่องมือในการรวมประเด็นที่เกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ ให้ใหญ่และแข็งแรงขึ้น ส่งเสริมให้คนในพื้นที่หรือชุมชนมีเวทีสื่อสาร และช่วยกันออกแบบแก้ไขปัญหาให้เหมาะสมกับชุมชนของตัวเองมากที่สุด

เวทีแห่งหัวใจอาสา

TED เป็นองค์กรที่ใช้อาสาสมัครมาทำงานทั้งหมด เป็น non-profit ที่แท้จริง คนที่เข้ามาทำไม่ได้รับค่าตอบแทน แต่การเป็นอาสาสมัครเช่นนี้มีพลังบางอย่างซ่อนอยู่ เรานึกถึงทอล์คหนึ่งในปี 2016 ของ โอ๊ต ชยะพงส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Bangkok Swing ที่เคยบอกไว้ว่า “คุณอยากทำอะไรในช่วงเวลา 2 ทุ่ม ทำแบบไม่ต้องการผลตอบแทนจากมัน” ซึ่งการเป็นอาสาสมัครเข้ามาทำ TED ของเรามันตอบตรงนี้ได้ บางคนมาทำเพราะชอบคอนเทนต์ บางคนมาเพราะชอบดีไซน์ ชอบออกแบบ หรือบางคนคิดว่าพื้นที่ตรงนี้มันสนุก เป็น playground ของเขา ก็เข้ามาได้

ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ฉากหน้าเวทีหรืองาน event อย่างเดียว แต่พื้นที่เบื้องหลังคือพื้นที่สำหรับปล่อยของ เป็นคุณค่าระหว่างทางของ TED ที่หลายคนอาจจะไม่รู้

“สำหรับเราเบื้องหลังการเตรียมงานถึง 3- 6 เดือน มันให้คุณค่ากับอาสาสมัครที่มาทำงานด้วยกันเยอะมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครยอมมาทำงาน (ฟรี) อะไรแบบนี้หรอก”

อะไรทำให้เข้ามาเป็นอาสาสมัคร

ต้องบอกก่อนว่าแค่ inspiration อย่างเดียวมันไม่พอ บางคนกรอกใบสมัครเพราะอยากทำงานสะท้อนสังคมแบบขึงขัง แต่ความเซอร์ไพรส์ที่เขาจะได้รับกลับไปคือความสนุกในการทำงาน เราได้ลองทำหลายๆ อย่าง ที่ไม่เคยทำในงานประจำวัน

“เราเคยทำงานสาย NGO มาก่อน เวที TED ทำให้เราได้กระโจนตัวเองเข้าหาคอนเทนต์ เจอคนที่พูดเรื่องอื่นๆ ที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะเรื่องนวัตกรรม เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ ซึ่งเราไม่มีวันได้ยินได้จากโลกของ NGO มันก็เป็นความสนุก ตื่นเต้นที่เราโหยหา”

หรืออย่างบางคนชอบงานดีไซน์ ชอบการออกแบบ อยากทำนิทรรศการ แต่งานประจำวันไม่เอื้อให้ทำได้ เวที TED จึงกลายเป็นสนามเด็กเล่นให้เขาได้มาทดลองเล่น หรือบางคนอายุ 40 ปีแล้ว แต่ใช้พื้นที่ตรงนี้กลับมาเล่น กลับมาลุยกับคนอายุ 20 อีกรอบ

พอได้เข้ามาร่วมทำทอล์คกับ TED มัน ‘ว้าว’ ไหม

เราเข้ามาเพราะความชอบคอนเทนต์ล้วนๆ ปกติชอบฟัง TED อยู่แล้ว ตอนแรกที่เข้ามามันไม่ได้ว้าวอะไร พอลงทำงานกับทีมจริงๆ มันว้าวมาก! ทีม curator ที่มีหน้าที่ดูแลเนื้อหาของทอล์ค มีตั้งแต่คนที่เป็น ดอกเตอร์ปริญญาเอก เรียนสายวิทยาศาสตร์ เป็นบรรณาธิการนิตยสาร เป็นนักศึกษาปริญญาเอกงานวิจัย คนทำงานโปรดักชั่นทีวี หรือเด็กที่จบสถาปัตย์ มันหลากหลายมาก ซึ่งทุกคนมองโลกคนละเลนส์ พูดคนละภาษา คนละความสนใจ ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยคิดเลยว่ามันมีการมองโลกคนละเลนส์อยู่ด้วยซ้ำ

“พอมาทำงานร่วมกันแล้ว มันว้าวมาก มันทำให้เราเฉือนเลนส์สายตาตัวเองไปทีละนิด แล้วเห็นทางอื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ”

การที่ทีมมีความหลากหลายเช่นนี้ มันส่งผลอย่างชัดเจนต่อทอล์คที่จะออกมา เพราะถ้าให้คนเดียวคิด ผลออกมาก็จะเป็นแบบเดียวเหมือนกันหมด “ทอล์คนั้นก็จะกลายเป็นทอล์คเลนส์เดียว ความหลากหลายนี่แหละ จะทำให้ทอล์คแต่ละอันค่อยๆ คมขึ้นเรื่อยๆ จากการดีเบตของคนเบื้องหลังจากคนหลายกลุ่ม”

การทำงานบนความต่าง วุ่นวายแค่ไหน จัดการอย่างไร

มันก็มีความยากบ้างในกรณีการซิงค์ (เชื่อม) ความสนใจ เพราะทุกคนมีสิ่งที่คิดว่าสำคัญต่างกัน ดังนั้นการดึงจุดร่วมของทีมจึงเป็นเรื่องยาก เราไม่ได้ทำทอล์คเพื่อตอบสนองความสนใจของใครในทีม แต่เราทำเพื่อกลุ่มผู้ฟังที่ต้องการรับสารจริงๆ มันเป็นงานปฏิบัติที่ต้องเอาตัวเองออกมาให้น้อยที่สุด มองผ่านสายตาคนอื่นให้มากขึ้น จุดที่เราเคยมองว่ามันยาก สุดท้ายเราจะตื่นเต้นไปกับมันมากกว่าว่า ‘เฮ้ย ทำไมคนนี้คิดแบบนั้น ทำไมคนนั้นคิดแบบนี้’

กว่าจะมาเป็นงาน TED Talk ต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง

TED เป็นเวทีที่สะท้อนสังคมมาก จึงมีความเป็นประชาธิปไตยสูงมาก เลยทำงานช้ามาก (หัวเราะ) ประชาธิปไตยมันเดินไปได้ช้าอยู่แล้ว เพราะเราต้องฟังทีมทั้งหมด แต่ข้อดีของการที่มันค่อยๆ กระเตื้องแบบอืดอาดนี้ คือ มันจะไม่มีใครบาดหมางกัน เพราะไม่มีใครหลุดไประหว่างทาง ไม่มีใครมาทำงานด้วยความรู้สึกฝืนหรือโดนบังคับ ทุกคนไหลลื่นไปกับความช้านี้ เราจะไม่รู้สึกโดนถีบออกจากกลุ่ม

ฉะนั้นวิธีการทำงานก็คือ เมื่อมี theme เสนอมา ต้องมาเคาะกันต่อว่ามันหมายถึงอะไร ทีมแรกที่ลงมือทำงานก็คือ curator ที่เข้ามาดูแลเนื้อหาว่ามีอะไรสอดคล้องไปกับ theme

“เราไม่ได้เอาตัว speaker นำ ไม่ได้มองว่าใครดัง ใครพูดเก่ง แล้วไปเชิญเขาขึ้นมาพูด แต่เอาไอเดียหรือความคิดเป็นแก่นหลัก ดูก่อนว่าใครสอดคล้องกับ theme นั้น จากนั้นค่อยคัดเลือกคนที่คิดว่าเหมาะสมจะขึ้นมาทอล์ค”

แต่ก็ยังไม่จบ เพราะต้องดีเบตกันอีกหลายรอบ สมมุติมีการโยนเรื่องมาว่าจะนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับ ‘ขนส่งมวลชน’ ก็ต้องคัดเลือก speaker มาก่อน จากนั้นก็ลงไปรีเสิร์ชทั้งหมด ว่าแต่ละคนมีมุมไหนที่น่าสนใจบ้าง แล้วมันครบ ตรงกับความหลากหลายบนเวทีหรือไม่ ฉะนั้นงานมันก็จะช้ามาก แต่จะไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วยกับคำตอบปลายทาง เพราะทุกคนได้ช่วยกันขบคิดมาแล้ว

ที่ว่าช้า ช้าแค่ไหน

ทีมงานเบื้องหลังรวมแต่ละฝ่ายมีประมาณ 50 คน โดยปกติเวที TED จัดขึ้นปีละครั้ง แต่ละปีก็มี theme ที่ไม่ซ้ำกัน 50 คนก็ 50 ความคิด การเตรียมงานเบื้องหลังจึงใช้เวลาประมาณเป็นปี

เราจะรู้ได้ไงว่า Speaker คนไหนขึ้นทอล์คได้หรือไม่ได้

คนชอบมองว่านี่คืองานทอล์ค ดังนั้น speaker บนเวทีต้องพูดเก่ง แต่ความจริงทักษะการพูด หรือ presentation skill จะเป็นเรื่องแรกๆ ที่ตัดทิ้งเลย เรื่องหลักที่จะโฟกัสคือไอเดีย ไอเดีย และไอเดียอย่างเดียว!

ก่อนที่ speaker แต่ละคนจะขึ้นเวที ทีม curator จะเข้าไปพูดคุยในเบื้องต้นทั้งหมดก่อน ชื่อของ speaker หลายคน อาจจะเด่นดังในโลกอินเทอร์เน็ต พอไปคุยแล้วรู้สึกประเด็นช้ำ ไม่ได้มีมุมอื่นเลย เราก็ไม่เลือก แต่บางคนเป็นคนธรรมดาไม่ใช่คนเด่นคนดัง แต่พอไปคุยแล้วรู้สึกว้าว น่าคุยต่อ และเรื่องของเขาสอดคล้องกับหัวข้อที่เราตามหา เราก็จะเลือกเขา

สมมุติทุกคนรู้ดีเรื่องเดียวกันหมด แล้วเราจะเลือกใครขึ้นไปทอล์คบนเวที

ฐานะของเวที TED ไม่ใช่ผู้ตัดสินว่าอันนี้ใครถูกหรือผิด เวทีนี้เน้นการโยนประเด็นให้คนฟังคิดต่อและตัดสินใจด้วยตัวเอง ในการเลือก speaker คนหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าเขาเก่งหรือดีที่สุด แต่เขาเหมาะที่จะพูดเรื่องนี้ในช่วงเวลานั้น speaker บางคนเราอาจจะคุ้นหน้า แต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาสามารถพูดเรื่องนี้ได้ด้วย สิ่งที่จะช่วยกรองว่าใครจะได้ขึ้นไปพูด คือจังหวะและช่วงเวลา การที่เราไม่ได้เลือกเขาขึ้นเวทีไม่ได้แปลว่าเขาพูดไม่เก่งหรือประเด็นไม่ดี

ถ้ามีไอเดีย แต่พูดไม่เก่ง จะทำอย่างไร

เราขอยกตัวอย่าง แวน – จากเพจ Mayday ที่นำเสนอเกี่ยวกับเรื่องรถเมล์ไทย แวนเป็นคนขี้อายมาก เป็นคนทำงานที่พูดไม่เก่ง แต่เราเชื่อว่าไอเดียที่อยู่ในหัวเขา และความทุ่มเทที่แวนมีให้กับเรื่องนั้นจะช่วยส่งให้ทอล์คออกมาดีในที่สุด เพราะเรื่องที่ออกมาจากคนที่มีประสบการณ์ ผ่านการเล่าด้วยอารมณ์อะไรบางอย่าง มันจะไปรีเลทกับผู้ฟังได้เสมอ

แล้วสำหรับคนฟัง เราเชื่อว่า คุณไม่ต้องการนักพูดที่จำสคริปต์ได้เป๊ะๆ คุณแค่ต้องการวิธีการเล่าเพื่อดึงให้ตัวเองมีส่วนร่วมด้วยเท่านั้น สุดท้ายแล้ว การเล่าที่ดีอาจไม่ใช่การพูดเก่ง แต่เป็นการทำให้ไอเดียไปเกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมกับผู้ฟังมากที่สุด

อย่างที่บอกว่าไอเดียต้องนำมาก่อน แล้วความธรรมชาติจะออกมามากที่สุด การวางโครงเรื่องให้ speaker ไม่ใช่การทำบทสคริปต์ แต่คือการวางหัวข้อไว้ว่าจะต้องพูดอะไรบ้าง เท่าที่เราทำงานมาไม่มี speaker คนไหนที่พูดตามบทเป๊ะๆ เลย แต่สิ่งที่ได้คือความสด-ความจริง อีกอย่างถ้าขึ้นไปทอล์คแบบนักวิชาการจ๋า จะกลายเป็นว่าไอเดียนั้นผู้ฟังจับต้องไม่ได้ทันที

ช่วยยกตัวอย่างได้ไหม

เรื่องของพาย – พายขึ้นมาทอล์คเรื่องแม่ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ซึ่งเราคิดว่า การขึ้นมาเล่าประเด็นเรื่องแม่ตัวเองไม่สบาย มันจะใหญ่พอที่จะขึ้นเวที TED หรือไม่ ผ่านการดีเบตกันล้านแปดรอบ (หัวเราะ) จนสุดท้ายพบแก่นที่พายอยากสื่อสาร พาเราเข้าไปแตะหัวใจหลักของความสัมพันธ์ในครอบครัว การรักษาสมดุลระหว่างชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์กับแม่ เราเชื่อว่าเรื่องนี้น่าจะสร้างประสบการณ์ร่วมกับคนในสังคมปัจจุบันได้

ประเด็นบนเวที TED ในประเทศไทย มันไปไกลได้แค่ไหน?

เราพยายามทำให้มันไกลได้มากที่สุด ถ้ายกตัวอย่างเรื่องวัฒนธรรม โจทย์คือจะพูดในแง่ไหน เราจะเอาอาจารย์โบราณคดีเก่าๆ ขึ้นมาพูดก็ได้ แล้วมันจะจำเจไหม หรือเราเลือกคนที่ทำงานเกี่ยวกับแก่นของวัฒนธรรม เพียงแต่เขาไม่เชื่อขนบธรรมเนียมในรูปแบบเดิม และนำเสนองานในฟอร์มในรูปแบบใหม่ๆ ฉีกจากของเดิม นี่คือสิ่งที่ TED พยายามตามหา ความร่วมสมัยไม่ใช่สิ่งที่เราใช้พิจารณาเขาให้ขึ้นมาอยู่บนเวที แต่เรามองที่แก่นไอเดียมากกว่า

ข่าวในสังคมปัจจุบัน มีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนที่จะนำไปประเด็นบนเวที

มันจะมีเส้นแบ่งบางๆ ในการแบ่งคอนเทนต์ ระหว่าง timely-timeless ถ้าสมมุติเป็นข่าวสังคมอย่างเดียว ทอล์คชิ้นนั้นก็จะอยู่ได้แค่ในปีนั้น

“แต่เราจะทำอย่างไร ให้ทอล์คนั้นไม่ว่าจะกลับมาย้อนดูตอนไหน ก็ยังคงอินอยู่ ซึ่งตรงนี้มันเป็นข้อพิสูจน์ของการทำทอล์คอย่างหนึ่งว่าเราจะเจาะไปได้ลึกถึงแก่นมันแค่ไหน แล้วจะส่งไปถึงคนฟังได้อย่างไร”

ยกตัวอย่างเรื่องรถเมล์เหมือนเดิม เรื่องรถเมล์อาจจะมีกระแสบางช่วงที่ทุกคนก่นด่า ต้องคำนึงถึง ‘what+when’ จุดกำเนิดของรถเมล์คือบริการสาธารณะที่ทุกคนควรเข้าถึงได้และเอื้อต่อการใช้ชีวิต แต่ว่าตอนนี้มันมีบางสิ่งที่กีดกันให้ความสาธารณะเข้าถึงได้เฉพาะกลุ่ม โจทย์คือแล้วจะทำอย่างไรให้เป็นของทุกคน พอเป็นเรื่องพื้นที่สาธารณะ เมื่อย้อนดูตอนไหนเรื่องนี้ก็ยังจะพูดซ้ำได้ ทอล์คนั้นก็จะกลายเป็นเรื่อง timeless

มีวิธีการย่อยประเด็นยากๆ อย่างไร ให้คนฟังเข้าใจง่าย

ย้อนไปในทอล์คปี 2016 ตอนนั้นกระแสฝุ่นควันในจังหวัดน่านกำลังมา แต่ถามว่าคนในเมืองจะรู้สึกใกล้ชิดกับเรื่องนี้ได้ไหม –ก็ไม่ โจทย์ก็คือจะทอล์คอย่างไรให้คนในเมืองหรือคนในจังหวัดอื่นๆ รู้สึกร่วมไปด้วย

มันก็เลยออกมาเป็นการย่อยข้อมูล หาความสัมพันธ์ระหว่างน่านและกรุงเทพฯ โดยใช้วิธีนำตัวเลขสถิติที่บอกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ของแม่น้ำเจ้าพระยามาจากแม่น้ำน่าน น่านเป็นต้นน้ำ และเป็นพื้นที่ดูดซับน้ำที่สำคัญ ทำให้คนกรุงเทพฯ ที่อยู่แต่ในห้องแอร์ เห็นภาพสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ และทำให้เขาเห็นว่าโลกที่คุณกำลังนั่งอยู่มันกำลังถูกทำลายนะ

จะรู้ได้อย่างไรว่า Speaker คนไหนเป็นตัวจริง

การลงไปคุยก่อนจะทำให้รู้ว่าใครเป็นตัวจริงในหัวข้อนั้น ต้องท่องไว้เสมอว่า ‘ไอเดียต้องมาก่อน’ ถ้าเราไปยึดว่าอยากได้ speaker คนนี้ขึ้นมาพูด เพราะเขาสามารถดึงดูดได้ แต่เวลาทอล์คจริงเขากลับพูดเชิงโฆษณาตัวเอง ไม่รู้ลึก ไม่มีคอนเทนต์ที่จะสื่อสาร ผู้ฟังก็ไม่ชอบ กลับกันกับคนธรรมดาที่มีไอเดียเต็มหัว เขาจะลื่นไหลไปกับมัน ทีม curator มีหน้าที่แค่ช่วยเกลา ตัดแต่งให้ทอล์คของเขาคมขึ้นและน่าฟังเท่านั้นเอง

แล้วจะปั้นทอล์คอย่างไรให้น่าฟัง

หน้าที่ของทีม curator เริ่มตั้งแต่การหว่านข้อมูลและเริ่มลงไปคุย ซึ่งช่วงแรกเราจะได้ข้อมูลเยอะเป็นกระบุง จากนั้นค่อยๆ ตัดทอน และคิดต่อว่าจะทำอย่างไรกับข้อมูลให้มันออกมาเป็นทอล์คที่น่าฟังที่สุด

“เราเรียกกระบวนการนี้ว่า KFC”

  • K – Key Massage ทุกคนในทีมต้องมาเถียงกันหนักมาก ว่าเส้นเรื่องของทุกคนคืออะไร สุดท้ายแล้วถ้ามันไม่ลงตัว ก็ต้องย้อนกลับไปถาม speaker ว่า เขาอยากสื่อสารเรื่องนี้กับคนกลุ่มไหน แล้วใช้ตรงนั้นตัดสิน
  • F – Find Your Story ในเมื่อได้เส้นเรื่องแล้ว ใช้มันเป็นตะแกรงร่อนสิ่งที่ไม่ใช่ออกไป จากนั้นหาเรื่องประกอบเสริมเข้าไป ให้เรื่องมันจริง ให้เรื่องมันสำคัญ
  • C – Call to Action สุดท้ายแล้วเราตามหา speaker ที่มีทางออกให้ปัญหาที่เขาพูด ไม่ใช่แค่เวทีแห่งการบ่น ที่ผู้ฟังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ บางทอล์คคาดหวังปฏิกิริยากับทุกคน ให้ตื่นตัวกับปัญหา บางทอล์คอาจจะคาดหวังกับกระทรวงหรือรัฐมนตรี ตัว C จึงสำคัญมากที่จะช่วยทำเรื่องเล่าบนเวที กลายเป็นของขวัญที่น่าส่งต่อ ทำให้หน้าที่เรียกร้องเกิดแอ็คชั่นอะไรบางอย่างหลังจากทอล์คจบ

มีวิธีดึงคนให้เข้ามาดู TED Talk อย่างไรบ้าง

เราจะไม่เปิดชื่อ speaker ก่อน เพราะว่าอยากให้ผู้ฟังกลับมาที่ไอเดีย ถ้าประกาศชื่อ speaker ไป บางคนมีฐานแฟนก็จะพากันเข้ามาเยอะ สุดท้ายแล้วคุณก็อาจจะไม่ได้สัมผัสตัวไอเดียเลย มันน่าเสียดาย ซึ่งนี่ก็เป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่งของทีมงานด้วย ที่ต้องสร้างงานที่มีคุณภาพ ให้คุ้มค่ากับบัตรที่ผู้ฟังเสียเงินเข้ามา โดยที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำว่า จะมาเจอใครบ้าง

ใครคือคนส่วนใหญ่ที่มาฟัง TED

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่เข้ามาฟังมักเป็นกลุ่มคนชนชั้นกลาง อายุ 25-40 ปี และนี่เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ทีมอยากจะแก้ไข อาจเป็นเพราะช่องทางที่ใช้โปรโมตเป็นสื่อออนไลน์ ซึ่งคนกลุ่มอายุเท่านี้เสพอยู่แล้ว แต่เราก็พยายามจะกระจายไอเดียออกไป โดยผ่านไลฟ์ หรือ วิดีโอยูทูบ และเป้าหมายต่อไปคือการทำให้ TEDx เข้าไปอยู่ในมือของพี่วินมอเตอร์ไซค์ แม่ค้าขายของ หันเข้ามาฟังเรา ดังนั้นความหลากหลายจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก 

ทุกคนสามารถทอล์คได้เหมือน TED?

ใช่ นี่คือความเชื่อหลักของทีมเลย เราเชื่อว่าทุกคน ไม่ว่าใคร เป็นเด็ก ป.4 หรือผู้ใหญ่ ทุนคนล้วนมีเรื่องเล่าที่ควรค่าแก่การส่งต่อทั้งนั้น แน่นอนว่าอาจมีคำถามในช่วงแรกว่าคนนี้จะพูดได้จริงๆ ไหม เราว่ามันขึ้นอยู่กับสายตาของผู้ฟังมากกว่า

“บางทีที่เรามองว่าคนนี้พูดไม่น่าสนใจ เป็นเพราะเราฟังไม่ลึกพอหรือเปล่า?”

‘สังคมที่มีแต่คนพูด-ไร้คนฟัง’ TED Talk จะช่วยส่งเสริมอย่างไร

การส่งเสริมการฟังเป็นขั้นต่อไปที่อยากทำ อย่างที่บอกเราต้องหยอดประเด็นที่หลากหลาย เพื่อให้ไปแตะกลุ่มคนที่หลากหลาย ทำให้เขาอยากจะเข้ามาฟัง การใช้ speaker ที่เป็นคนดังเพื่อมาดึงดูดคนก็ทำได้บ้าง เพราะไม่ได้แปลว่าคนดังจะไม่มีเรื่องที่น่าสนใจ อย่างปีก่อนที่ป๋อมแป๋มขึ้นมาพูดในเรื่องขึงขัง ไม่ตลกเหมือนคาแรคเตอร์ในทีวี ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว้าวมาก นอกจากนั้นการที่บุคคลที่มีชื่อเสียงมาพูดบนเวทีร่วมกับคนธรรมดา ยังได้ช่วยฉายแสงหนุนกันและกัน ทำให้เสียงของคนธรรมดาได้เป็นที่รับรู้เพิ่มมากขึ้น

โดยสรุป หัวใจการสื่อสารในแบบ TED คืออะไร

ถ้าเบื้องหน้า มันคือลำโพงขยายเสียง ที่ช่วยขยายไอเดียที่มีอยู่ในทุกคนให้ดังขึ้นมาและทำให้คนได้ยินมากที่สุด เพราะเราเชื่อว่าเมื่อไอเดียถูกส่งต่อไปแล้วมันจะเกิดแอ็คชั่นอะไรบางอย่างขึ้นมาเอง จนกลายเป็นมวลพลังงานก้อนใหญ่ที่จะขับเคลื่อนไป

แต่ถ้าถามในเชิงหลังบ้าน TED ก็คือสนามเด็กเล่น ให้ทีมงาน ที่มีความสนใจหลากหลาย มีทักษะที่หลากหลาย ได้มีพื้นที่นอกงานได้ลองทำในสิ่งที่อยากทำ

Tags:

ทักษะการสื่อสาร(Communication Skill)TED Talksพชร สูงเด่นจิตวิทยา4Cs

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Learning Theory
    ห้องเรียนไม่ใช่สมรภูมิรบ: ครูสงบศึกได้ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เพราะสมองทำงานผ่านท่าทาง สัญชาตญาณวางใจการมองเห็นและได้ยิน เราจึงแตกหักกันง่ายๆ ในโลกโซเชียล

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Voice of New Gen
    TALK LIKE TED: พูดแบบนี้ถึงจะมีคนฟัง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skills
    5 ขั้นตอนปลุกสมองให้คิดสร้างสรรค์ และถ้าเจอปัญหา ‘อย่าหนี’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง
21st Century skills
28 November 2018

3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • ในอนาคต เราจะไม่ได้แข่งกันด้วยความรู้ แต่จะแข่งกันด้วยความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ การเรียนรู้ที่ไม่จบสิ้น
  • ห้องเรียนและครู คืออีกหนึ่งจุดสตาร์ทสำคัญที่จะทำให้เด็กออกตัวได้ดี วิ่งเร็ว และถึงเส้นชัยในอนาคต
  • ครูอาจจะต้องผละจากการอ่านจากตำราและเขียนกระดานหน้าชั้นเรียน หันมาออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนลงมือทำ

Creativity and Innovation หรือทักษะการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม กำลังเป็นทักษะที่มากกว่าแค่สำคัญ เพราะมันคือสุดยอดพื้นฐานเคล็ดวิชาที่จอมยุทธ์ต้องมีติดตัวไว้ท่องยุทธจักรแห่งศตวรรษใหม่

การคิดสร้างสรรค์ไม่ได้กระจุกอยู่แต่ในบางศาสตร์อย่างวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี หรือศิลปะ แต่มันมีอยู่ในทุกด้านของชีวิตประจำวันเรา ทั้งวรรณกรรม บันเทิง การตลาด ตั้งแต่คัพเค้กหน้าตาน่ารักในซูเปอร์มาร์เก็ต การ์ตูนสนุกๆ เมคอัพ หรือแม้กระทั่ง ไม้เซลฟี!

คิด + สร้างสรรค์ ให้เป็น ‘นวัตกรรม’

ความเป็นจริงในปัจจุบันชี้ว่า ไม่ใช่เพียงเพื่อความสำเร็จที่จะได้รับ แต่การคิดสร้างสรรค์ให้เป็นนวัตกรรมคือหนทางอยู่รอดทางธุรกิจและสังคมขององค์กรทุกสาขาอาชีพ

รวิศ หาญอุตสาหะ CEO แบรนด์ศรีจันทร์ ตัวอย่างนักคิดนอกกรอบที่ประสบความสำเร็จในการพลิกโฉมธุรกิจตกทอดของครอบครัวซึ่งครั้งหนึ่งเคยหายใจติดขัดกลับมาคืนชีพและอยู่รอดในตลาดเครื่องสำอาง กล่าวไว้ในบทความ ‘3 หลักคิด เปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นธุรกิจสร้างรายได้’ เผยแพร่บนเว็บไซต์ The Momentum ว่าลำพังไอเดียสร้างสรรค์ที่สดใหม่ มีเอกลักษณ์หรือเป็นประโยชน์แง่หนึ่งแง่ใดอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ แต่มันต้องสามารถออกเดินต่อไปเป็นรูปธรรมและใช้ประโยชน์ได้จริง

Creativity คือจุดสตาร์ท ระหว่างทางต้องกลั่นกรอง พลิกแพลง แก้ไขปรับปรุงครั้งแล้วครั้งเล่า และลงมือทำ คือ Implementation จนสุดท้ายไปถึงเส้นชัยปลายทางคือ Innovation

สมการคือ Innovation = Creativity + Implementation

สิ่งที่โลกกำลังตามหา

แจ๊ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบาและนักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลโลกที่สุดคนหนึ่งมักเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปการศึกษาให้เท่าทันกับความท้าทายใหม่ๆ ของโลกเทคโนโลยีไว้ในสุนทรพจน์ต่างๆ ว่า

“ในอนาคต 30 ปีข้างหน้า ลูกหลานของเราจะตกงานจากการเข้ามาแทนที่ของ AI เราต้องชนะสิ่งที่เครื่องจักรทำได้ สิ่งที่เราต้องสอนเด็กให้มากคือทักษะการคิดและทักษะการทำงานร่วมกัน หัวใจ 3 อย่างคือ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดเชิงนวัตกรรม (กระบวนการต่อยอดให้ไอเดียออกมาเป็นชิ้นงาน) และ 3Q คือ EQ, IQ และ LQ (L คือ Love)”

“โลกกำลังเปลี่ยนจากการทำให้ตัวเองดีขึ้น เป็นการช่วยเหลือคนอื่นให้มากขึ้น..และถ้าเราไม่สร้างสรรค์พอ หรือต่อยอดไม่เป็น จะเอาตัวรอดยากมากในศตวรรษนี้ เราต้องคิดถึงอนาคต ทำสิ่งที่แตกต่างและเหมาะสม ทำอย่างไรจึงจะช่วยผู้อื่นมากกว่าตนเองได้ …โลกธุรกิจโดยแท้จริงนั้น ทำเงินจากการแก้ปัญหาให้กับผู้อื่นต่างหาก..

“ในอนาคต เราจะไม่ได้แข่งกันด้วยความรู้ แต่เราจะแข่งกันด้วยความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ การเรียนรู้ที่ไม่จบสิ้น และการคิดอย่างเสรีไม่ยึดติด …ดังนั้น นับจากนี้ เราจะไม่ได้ใช้ความรู้และเครื่องจักรขับเคลื่อนโลกอีกต่อไป เราต้องใช้ปัญญา ประสบการณ์ และที่สำคัญที่สุด ความรู้สร้างสรรค์ นี่คือสิ่งที่โลกต้องใส่ใจมากที่สุด”

(จาก YouTube -Jack Ma: Creativity, innovation and 3q’s is the key against machines และ The Future is Creativity Driven)

โลกอนาคตที่เด็กและเยาวชนกำลังก้าวไป มีความท้าทายและปัญหาใหม่ๆ รออยู่ แม้เทคโนโลยีจะเป็นเครือข่ายโยงใยครอบไปทุกสาขาวิชาชีพ แต่สิ่งที่โลกต้องการ คือนักคิด นักสร้างสรรค์ ที่แก้ปัญหาให้ส่วนรวมแบบมนุษย์-มนุษย์ที่มีหัวใจ อารมณ์ และความรู้สึกได้

ห้องเรียนฝึกคิดสร้างสรรค์

ในงานวิจัยเรื่อง ‘Building Creative Thinking in the Classroom’ เกรกอรีและคณะ (Gregory et al.) สรุปว่า การจะสอดแทรกความคิดสร้างสรรค์เข้าไปในห้องเรียนทำได้โดย ครูผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง (experienced-based learning) ให้นักเรียนตั้งคำถาม คิด และค้นคว้าทดลองหาคำตอบเอง จนเมื่อเรียนรู้และเข้าใจองค์ความรู้พื้นฐานแล้ว ค่อยตั้งโจทย์ปัญหาบางอย่าง แล้วกระตุ้นให้นักเรียนลองเชื่อมโยงเนื้อหาเหล่านั้นไปยังบริบทที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เพื่อฝึกนักเรียนให้ใช้องค์ความรู้หลากหลายด้านอย่างยืดหยุ่น รู้จักพลิกแพลง จากนั้นร่วมกันประเมินแนวทางหรือผลงานเหล่านั้นว่าเหมาะสม และแก้ไขเพิ่มเติมให้ดีขึ้นได้หรือไม่

องค์ประกอบสนับสนุน 3 ข้อที่ต้องใส่เข้าไปในห้องเรียนสร้างสรรค์คือ

1. การทำงานร่วมกัน (Collaboration)

2. การเปิดรับและแลกเปลี่ยนไอเดียซึ่งกันและกัน (Exposure to Ideas) การคิดแก้ปัญหาเป็นกลุ่ม ช่วยขยายไอเดียของทั้งตนเองและผู้อื่นให้กว้างไกลขึ้นได้

3. ประเมินไอเดียร่วมกัน (Evaluation of Ideas) ว่าวิธีแก้ปัญหาที่คิดขึ้้น (Solution) เหมาะหรือไม่เหมาะกับบริบทใดบ้าง สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้อีกหรือไม่

ห้องเรียนฝึกคิดสร้างสรรค์ของนิโคลา วิทตัน (Nicola Whitton)

นิโคลา วิทตัน อาจารย์สอนด้านการศึกษาแห่ง Manchester Metropolitan University ได้กล่าวไว้ในงานวิจัยเรื่อง ‘To Improve Education, We Need to Incorporate Imagination’ เขาเชื่อว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดสร้างสรรค์ได้ คือ ครูผู้สอนต้องให้นักเรียนรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้เนื้อหาที่สอน และเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมร่วมกันและเกิดความสนุกสนานระหว่างการเรียนรู้

นิโคลายกตัวอย่างโปรเจ็คต์ The Eduscapes ซึ่งเป็นเกมที่มหาวิทยาลัยของเธอออกแบบขึ้นด้วยแนวคิดดังกล่าว โดยนักเรียนแบ่งกลุ่มกันไปอยู่ในพื้นที่สมมุติ และช่วยกันคิดหาทางแก้โจทย์ปริศนาด้วยความรู้ด้านต่างๆ เพื่อหาทางออกจากพื้นที่สมมุตินั้นให้ได้ นอกจากจะสนุกสนาน เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกันแล้ว กิจกรรมนี้ยังปลุกทักษะที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อย่าง จินตนาการ การสมมุติสถานการณ์ การอดทนพยายาม หรือการยอมรับความล้มเหลวอีกด้วย

ห้องเรียนฝึกคิดสร้างสรรค์ของ ดอตตี คอร์แบร์ (Dotty Corbiere)

สำหรับดอตตี คอร์แบร์ อาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและหุ่นยนต์แห่ง The Meadowbrook School ซึ่งเป็นโรงเรียนเฉพาะทางด้านเทคโนโลยี เธอออกแบบให้มีการสอดแทรกความรู้ทางเทคโนโลยีเข้าไปในชั้นเรียนตั้งแต่ระดับประถม กระตุ้นให้นักเรียนเชื่อมเนื้อหาความรู้ที่เรียนเข้ากับกิจกรรมที่ให้พวกเขารู้สึกสนุกด้วยการทดลองคิด ลงมือปฏิบัติเอง ดอตตีเชื่อว่าห้องเรียนที่ให้นักเรียนสร้างประสบการณ์และเรียนรู้เองอย่างไม่น่าเบื่อจะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาได้

ตัวอย่างเช่น ดอตตีให้นักเรียนเกรด 1 เรียนรู้เรื่องคุณสมบัติของสสารผ่านการทำขนมโดนัท ลองใส่ส่วนผสม เกลือ น้ำ แป้งในปริมาณที่แตกต่างกัน มีการใส่มิติทางศิลปะเข้าไปให้นักเรียนรู้จักผสมสีใส่โดนัท แม่สีคืออะไร สีที่ได้จากการผสมสีมีอะไรบ้าง จากนั้นเก็บข้อมูลสีที่ได้แล้วบันทึกเป็นกราฟแสดงผล และให้นักเรียนนำแป้งโดนัทที่ได้กลับบ้านไปอบ เพื่อดูผลว่าจากอัตราส่วนผสมที่ลองทำแป้งเนียนเข้ากันได้ไหม กรอบร่วนหรือเหนียวไปหรือไม่

ห้องเรียนฝึกคิดสร้างสรรค์ของเฮเธอร์ วอล์คเกอร์ ( Heather Walker)

เฮเธอร์ วอล์คเกอร์ และคณะครูผู้สอนโรงเรียน Feaster Charter School ร่วมกันออกแบบให้การเรียนการสอนโฟกัสที่นักเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก ยกตัวอย่างชั้นเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ในหัวข้อ ‘ผลกระทบของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม’ เมื่ออธิบายหัวข้อที่เกี่ยวข้องให้นักเรียนฟังเช่น ประเภทของมลพิษและการใช้แหล่งพลังงานธรรมชาติ ครูจะเปิดพื้นที่ให้นักเรียนช่วยกันหารือและแลกเปลี่ยนความคิดกันเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ จากนั้นให้นักเรียนร่วมกันคิดว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมใดที่เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ จะช่วยแก้ปัญหานั้นได้

ขั้นตอนกิจกรรมในห้องเรียนสร้างสรรค์ของเฮเธอร์คือ

  • ตั้งคำถาม (เช่น เราจะลดก๊าซคาร์บอนลงได้ด้วยวิธีใดบ้าง)
  • เสนอทางออกที่อาจเป็นไปได้
  • วางแผนเค้าโครงและวิธีสร้างเครื่องมือที่จะมาใช้แก้ปัญหา
  • ทดลองสร้างเครื่องมือหรือนวัตกรรมตามที่วางแผนไว้ (prototype)
  • ประเมินคุณภาพ
  • ถอดบทเรียนว่าสิ่งใดทำเหมาะสมแล้วและสิ่งใดควรปรับปรุงแก้ไข

อาจกล่าวได้ว่า การศึกษาเท่านั้นที่จะกำหนดศักยภาพของเยาวชนในอนาคตได้ ศักยภาพที่เรากำลังพูดถึงคือ ความสามารถในการคิดแก้ปัญหาที่แตกต่าง และสร้างสรรค์ สิ่งที่จะมาเติมเต็มความต้องการไม่ใช่ในแง่ของความสะดวกสบายของการดำเนินชีวิตเพียงอย่างเดียว แต่คือการช่วยเหลือสังคมและโลกใบนี้ให้มีความสุขร่วมกันอย่างยั่งยืน

คุณลักษณะของครูผู้สอนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการบ่มเพาะความพร้อมของเยาวชน ต้องเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ย่ำอยู่ในความรู้เก่า หมั่นเติมความรู้หรือหาแนวทางใหม่ๆ ที่สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการสอนโดยเน้นกระตุ้นทักษะความคิดสร้างสรรค์และการทำงานร่วมกัน (Collaboration) เป็นหลัก

หนทางหนี่งที่จะเปลี่ยนแปลงแน่นอนคือ ล้มเลิกการอ่านจากตำราและเขียนกระดานหน้าชั้นเรียน แล้วหันมาออกแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง (Self-Study) หรือเรียนรู้ผ่านโครงการหรือโครงงาน (Project-Based Study) ร่วมกับกิจกรรมอื่นๆ ด้วย

อ้างอิง:
What We Know About CREATIVITY: Part of 4Cs Research Series.
Building creative thinking in the classroom: From research to practice
To improve education, we need to incorporate imagination
Creativity, innovation and 3q’s is the key against machines
The Future is Creativity Driven
3 หลักคิด เปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นธุรกิจสร้างรายได้.

Tags:

ครูคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน4Csความคิดสร้างสรรค์(Creativity)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • 21st Century skills
    เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

คำถามสำคัญกว่า ควรมีการบ้านหรือไม่ คือ มีการบ้านไปเพื่ออะไร
21st Century skills
28 November 2018

คำถามสำคัญกว่า ควรมีการบ้านหรือไม่ คือ มีการบ้านไปเพื่ออะไร

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • ประเด็น ‘การบ้าน’ จำเป็นหรือไม่ เป็นคำถามที่มากคำตอบและซับซ้อนมากกว่าหลายคนคิด
  • แทนที่จะถามแค่ว่าต้องมีการบ้านหรือไม่ อีกคำถามที่ควรมีคือ หลังโรงเรียนเลิกควรมีอะไรที่ช่วยให้นักเรียนยังจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้และพร้อมจะเรียนเพิ่มเติม
  • เพราะแต่ละช่วงวัย การบ้านมีผลไม่เท่ากัน

พอพูดถึงการบ้าน เสียงก็แตกออกเป็นสองฝั่ง – มีการบ้านหรือไม่ต้องมี แต่นั่นเป็นเพียงคำถามเดียวที่ควรถามในเรื่องการบ้านหรือเปล่า?

ขณะที่ครูกับพ่อแม่กลุ่มหนึ่งเชื่อว่าการบ้านช่วยสร้างทักษะและช่วยให้เด็กทบทวนความรู้ อีกกลุ่มหนึ่งก็มองว่าการบ้านเป็นเรื่องไม่จำเป็น ทำให้เด็กหมดเรี่ยวแรงและไม่อยากไปโรงเรียน แต่งานวิจัยมากมายในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า ปัญหานี้แตกต่างและซับซ้อนมากกว่าที่หลายคนคิด

แทนที่จะถามแค่ว่าต้องมีการบ้านหรือไม่ อีกคำถามที่ควรมีคือ หลังโรงเรียนเลิกควรมีอะไรที่ช่วยให้นักเรียนยังจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้และพร้อมจะเรียนเพิ่มเติม

ประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย: การบ้านมีผลไม่เท่ากัน

งานวิจัยตลอดหลายทศวรรษบอกว่า การบ้านก็ยังมีประโยชน์ แต่ไม่ใช่กับทุกระดับชั้น และปริมาณการบ้านก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด

• ประถม – อ่านอย่างเดียวก็พอ

การบ้านอาจทำให้เสียเวลาเพราะเด็กวัยนี้ยังไม่มีทักษะการเรียนพอที่จะได้รับประโยชน์เต็มที่ สำหรับวัยนี้จึงควรเน้นฝึกให้รักการเรียนรู้ และการบ้านก็อาจเป็นศัตรูตัวฉกาจ

การบ้านที่เข้ากัน: อ่านหนังสือตอนค่ำกับพ่อแม่เป็นกิจกรรมที่เหมาะที่สุด เพราะยิ่งเด็กๆ อ่านออกช้าเท่าไหร่ โอกาสจบมัธยมก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วย (อ๊ะๆ แต่ไม่จำเป็นต้องบังคับให้อ่านออกตั้งแต่อนุบาลนะ)

• มัธยมต้น – มีได้แต่อย่าเยอะ

เมื่อเริ่มโตและค้นข้อมูลเป็นแล้ว การบ้านจึงช่วยให้จำสิ่งที่เรียนได้ แต่ก็ไม่ควรมีมากเกินไปเพราะผลวิจัยปี 2015 พบว่าเด็กวัยนี้ที่ต้องทำการบ้านวันละ 90-100 นาทีมีโอกาสเรียนแย่ลงเพราะหมดแรงจูงใจและความสนใจ

การบ้านที่เข้ากัน: นักวิจัยหลายคนแนะนำว่า การบ้านควรท้าทายความสามารถแค่ระดับหนึ่ง ไม่ต้องยากเกินไปจนทำให้เด็กๆ หมดกำลังใจและความพยายาม

• มัธยมปลาย – ประโยชน์มากแต่ความเสี่ยงสูง

การบ้านช่วยเรื่องการเรียนในวัยนี้ได้มาก ตราบเท่าที่ไม่เกินคืนละสองชั่วโมงหรือกัดกินเวลาพักผ่อน รวมถึงเวลาที่ใช้กับครอบครัวและเพื่อน งานวิจัยปี 2013 พบว่านักเรียนมัธยมปลายที่มีระดับความเครียดสูงเพราะทำการบ้านจนนอนไม่พอจะมีปัญหาสุขภาพทั้งทางกายและใจอย่างหนัก

การบ้านที่เข้ากัน: เมื่อถึงโรงเรียน พวกเขาควรได้เรียนรู้อย่างอิสระ การบ้านจึงควรเชื่อมโยงกับบทเรียนและทำได้เองโดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือ เน้นคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ ผลการตรวจจากครูก็ควรเปิดเผยและชัดเจน

5 คำถามก่อนสั่งการบ้าน

การบ้านควรเป็นเรื่องของคุณภาพไม่ใช่ปริมาณ และนี่คือ 5 คำถามที่จะช่วยครูสั่งการบ้านอย่างมีคุณภาพมากขึ้น

1. ใช้เวลาทำนานแค่ไหน: นานไปก็ไม่เหลือเวลาไปใช้ชีวิตตามประสาเด็ก

2. เข้ากับนักเรียนทุกคนหรือเปล่า: เด็กแต่ละคนมีวิธีเข้าใจเรื่องที่เรียนไม่เหมือนกัน อาจง่ายกับบางคนแต่ยากจนท้อแท้สำหรับบางคน

3. สนับสนุนความสำเร็จในอนาคตหรือไม่: การบ้านทำให้เด็กๆ เข้าใจสิ่งที่เพิ่งเรียนไปเพื่อพร้อมรับความรู้ใหม่ในวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า

4. มีเนื้อหาที่ไม่มีในห้องเรียน ได้หรือไม่: กุญแจที่จะทำให้เด็กเข้าใจเนื้อหาอาจอยู่ในสถานที่นอกโรงเรียน เช่น พิพิธภัณฑ์ สนามเด็กเล่น หรือแม้กระทั่งจากคนในครอบครัวก็ได้

5. ช่วยนักเรียนตอนที่ครูไม่อยู่ หรือไม่: การบ้านอาจเป็นผู้ช่วยให้นักเรียนใฝ่รู้ โดยไม่ต้องมีครูมาคอยบังคับ ยิ่งกว่านั้นอาจกระตุ้นให้เด็กๆ ต่อยอดออกมาเป็นความเข้าใจในสไตล์ตัวเองได้ด้วย

ถ้าไม่มีการบ้าน ครูจะให้ทำอะไรดี

แจ็คเกอลีน ฟลอเรนติโน (Jacqueline Fiorentino) ครู นักเขียน และบล็อกเกอร์จากเว็บไซต์ Shorepointsmom.com ตัดสินใจเลิกให้การบ้านนักเรียนชั้นประถมเมื่อปีที่แล้ว ผลที่ได้คือเด็กๆ มีเวลาว่างมากขึ้นเพื่อสำรวจตามหัวข้อที่พวกเขาสนใจแถมยังออกมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังอย่างตื่นเต้นด้วย

ในฐานะครู แจ็คเกอลีนมี 4 ขั้นตอนให้คุณครูลองทำตาม

1) อธิบายกับพ่อแม่ ถ้าเป็นไปได้ก็หาเวลาพบหน้า อธิบายด้วยข้อมูลและพูดคุยกับพ่อแม่เป็นรายคนได้ยิ่งดี

2) กระตุ้นการอ่านที่บ้าน อาจส่งรายชื่อหนังสือน่าอ่านแต่ไม่ต้องกำหนดระยะเวลา และทำความเข้าใจว่าการอ่านควรเป็นทางเลือกที่สร้างความสุขมากกว่าเป็นงานที่ต้องทำ

3) มีภารกิจรายเดือนสำหรับครอบครัว กระตุ้นให้เกิดการพูดคุยระหว่างนักเรียนกับพ่อแม่ กิจกรรมนั้นต้องสนุกด้วย ทั้งครอบครัวมีเวลาทั้งเดือนทำภารกิจร่วมกันและเด็กๆ จะได้มานำเสนอหน้าชั้นตอนสิ้นเดือน

4) ขยายบทเรียนให้กว้างขึ้น สำหรับเด็กที่ยังชอบการบ้าน แค่หาหัวข้อให้เขาลองสืบค้นจากนอกห้องเรียน เปิดโอกาสให้พวกเขานำผลการสืบค้นมารายงานให้เพื่อนร่วมชั้นฟัง

กุญแจสำคัญคือพ่อแม่มีส่วนร่วม

มองในอีกแง่หนึ่ง การบ้านเป็นเครื่องมือที่ดีที่จะทำให้พ่อแม่มีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ เข้าถึงความสนใจและจุดแข็งของเด็กๆ ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยถึงชีวิตที่โรงเรียนของพวกเขาด้วย แต่อย่าเผลอลืมตัวไปเจ้ากี้เจ้าการเพราะนั่นจะยิ่งผลักให้เด็กๆ หมดอารมณ์ทำการบ้านกว่าเดิม

แม้การบ้านจะเปิดโอกาสให้พ่อแม่มีส่วนร่วมกับลูก แต่ข้อสำคัญคืออย่าบีบคั้นจนทำให้ช่วงเวลาทำการบ้านกลายเป็นสนามรบย่อมๆ เลยเชียว

อ้างอิง:
Freeing Students—and Teachers—From Homework
Homework vs. No Homework Is the Wrong Question

Tags:

พ่อแม่ครูระบบการศึกษา4Cs

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • 21st Century skillsEducation trend
    โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ลูกคือคนกำหนด ‘เป้าหมาย’ 8 เคล็ดลับง่ายๆ เพื่ออยู่ทีมเดียวกับลูก
Family Psychology
27 November 2018

ลูกคือคนกำหนด ‘เป้าหมาย’ 8 เคล็ดลับง่ายๆ เพื่ออยู่ทีมเดียวกับลูก

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

“เป้าหมาย” คือสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อมีเป้าหมายแล้ว ‘ลงมือทำ’ จึงจะนำไปสู่การทุ่มเทแรงกายแรงใจ พลังงาน และความคิดสร้างสรรค์ หมกหมุ่นอยู่กับสิ่งนั้น แต่ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะค้นหาเป้าหมายเจอ จนถึงป่านนี้ผู้ใหญ่บางคนก็ยังตามหาอยู่

พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ใกล้ชิด ทำหน้าที่เป็น ‘พี่เลี้ยง’ ช่วยเด็กๆ ค้นหาเป้าหมายได้ ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย แม้ผลสุดท้าย เป้าหมายอาจจะยังไม่ชัด แต่ที่ชัดเจนคือ ความเข้าใจเพราะเขยิบเข้าใกล้และฟังกันมากขึ้น

เคล็ดลับมีดังนี้

1.ไม่ครอบงำแต่รั้งเบาๆ ถอยหลังออกมาให้ลูกได้มีพื้นที่เป็นผู้นำตัวเอง
การบังคับให้ลูกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการอาจได้ผลในระยะสั้น แต่ระยะยาวคือเด็กหมดความมั่นใจ

2.พูดคุยกับลูกว่างานสำคัญกับพ่อแม่อย่างไร พ่อแม่ทำงานเพื่ออะไรและเพื่อใคร จะช่วยลดความไม่เข้าใจถึงความหมายที่ลึกซึ้งของการทำงาน สาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่เฉยเมยและดูถูกงานที่ทำ

3.ถามอย่างระมัดระวังและรู้จักฟัง สิ่งสำคัญในชีวิตของลูกคืออะไร? สิ่งไหนที่ลูกสนใจมากที่สุด? หรือ ลูกอยากถูกจดจำแบบไหน? คำถามที่ดีพอ จะช่วยกระตุ้นให้พวกเขาคิดถึงเป้าหมายของตัวเอง

4.แสดงความคิดเห็นกันจนเป็นปกติ “ทำไม?” เป็นคำถามที่ขาดไม่ได้ยิ่งพูดคุยกันบ่อยเท่าไร พ่อแม่จะยิ่งเข้าใจว่าสิ่งไหนสำคัญต่อลูก

5.เป็น
ทีมเดียวกับลูก ให้โอกาส สนับสนุนและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน แม้ความสนใจของลูกจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอก็ตาม

6. คิดบวกและแบ่งปันความรู้ ปลูกฝังให้ลูกมองความยากเป็นเรื่องท้าทายที่แก้ไขได้ จะช่วยสร้างความมั่นใจให้เด็กเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา

7.ปล่อยเด็กๆ แสดงฝีมือเองบ้าง พ่อแม่ต้องไว้ใจให้ลูกคิดและลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ พ่อแม่ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์

8.ทำให้เด็กๆ เชื่อว่าสิ่งที่เขาทำสำคัญ มอบหมายงานที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวให้เด็กๆ รับผิดชอบ และบอกว่างานนั้นสำคัญและส่งผลต่อครอบครัวอย่างไร เมื่อทำสำเร็จเขาจะยิ่งมั่นใจ

อ่านรายละเอียดมากกว่านี้ คลิก ‘ตอนนี้’ และ ‘โตขึ้น’ อยากเป็นอะไร พ่อแม่ช่วยลูกค้นหาได้ด้วย 9 วิธีนี้

อ้างอิง:
วิลเลียม เดมอน (William Damon) ผู้อำนวยการศูนย์สแตนฟอร์ดเกี่ยวกับวัยรุ่น (Stanford Center on Adolescence) และ ผู้เขียนหนังสือ The Path to Purpose (เส้นทางไปสู่เป้าหมาย)

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • BookEarly childhood
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Bookอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นไอซ์แลนด์ไม่ ‘เสพยา’ : พวกเขาแค่ไม่ว่าง และมีอะไรทำ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

อ่าน-เล่น-ทำงาน : สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร
EF (executive function)
27 November 2018

อ่าน-เล่น-ทำงาน : สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ตอนที่คุณแม่อ่านนิทานให้ลูกฟัง เด็กมองรูปมากกว่ามองอักขระ แต่แล้ววันหนึ่งคุณแม่ทุกบ้านก็จะเห็นลูกเดินไปหยิบหนังสือมานั่งอ่านเอง เขายังคงมองไปที่อักขระแล้ว ‘พูด’ นิทานที่ได้ฟังทุกคืนมาหลายเที่ยว

ช้างเที่ยวแรก และช้างเที่ยวต่อๆมา มิใช่ช้างตัวเดียวกัน เหตุเพราะเซลล์สมองและวงจรประสาทของเด็กเปลี่ยนแปลงทุกวันตามการอ่าน การอ่านนิทานเรื่องเดิมซ้ำๆ จึงมิใช่เรื่องน่าห่วง หากเราสนุกที่จะอ่าน เขาสนุกที่จะฟัง สมองของเขาพัฒนาทุกวัน

เด็กบางคนเริ่มสังเกตอักขระบนป้ายตามถนน และอักขระใต้ภาพในหนังสือนิทานก่อนนอน กระบวนการอ่านหนังสือด้วยตนเองบัดนี้ได้เริ่มต้นแล้ว กระบวนการนี้ไม่เหมือนการมองรูปภาพ มีความจำเพาะ (specific) กว่ากันมากมาย ลำแสงที่พุ่งจากตัวอักษรพุ่งเข้าสู่ตามีความเฉียบคมและยิงเป้าเดียวอย่างแม่นยำซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมื่อเด็กเปิดหนังสือเพื่อที่จะพยายามอ่าน แสงที่กระทบตัวหนังสือพุ่งเข้าใส่ตาดำ ตาดำที่เราเห็นนั้นคือรูม่านตา (pupils) โฟตอน (photon) ที่หลุดรอดม่านตา (iris) เข้าไปในรูได้จะพุ่งตรงต่อไปถึงข้างในสุดของลูกตา

ที่ข้างในสุดของลูกตา ตรงผนังด้านหลังนั้นเองคือจอตาที่เรียกว่าเรติน่า (retina) แต่มิใช่ว่าทุกส่วนของเรติน่าจะเกี่ยวข้องกับการอ่าน แท้จริงแล้วมีเพียงบริเวณวงกลมเล็กๆ บนเรติน่าที่เรียกว่าโฟเวีย (fovea) ทำหน้าที่รับสัญญาณจากตัวหนังสือ โฟเวียนี้รับแสงด้วยมุมกว้างประมาณ 15 องศาของลานสายตา (visual fields) และหากมีการทำลายโฟเวียนี้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เราจะอ่านหนังสือไม่ได้เลยแม้ว่าส่วนอื่นของเรติน่าจะยังเป็นปกติ

เมื่อคนเราอ่านหนังสือ เรากลอกลูกตาไล่ไปตามตัวหนังสือ คือการเล็งโฟเวียไปที่ตัวอักษรที่ต้องการเพื่อให้แสงจากตัวอักษรกระทบโฟเวียอย่างแม่นยำ การกลอกลูกตาของคนเราก็มิได้เคลื่อนที่ไปอย่างราบเรียบต่อเนื่อง ที่แท้แล้วเรากลอกลูกตาไปด้วยอาการกระตุกเป็นจังหวะประมาณ 4-5ครั้งต่อวินาที เรียกว่าการเคลื่อนที่แบบแซ็คคาดิก (saccadic movement)

บริเวณที่โฟเวียจับภาพนั้นจะมีความคมชัดแล้วเบลอออกไปโดยรอบ เราอ่านหนังสือทั้งหน้าก็จริง เห็นหนังสือทั้งหน้าก็จริง อ่านสามก๊กจบสองเล่มก็จริง แต่ที่แท้แล้วในแต่ละขณะเราเห็นแค่กลุ่มตัวอักษรที่อนุภาคโฟตอนตกกระทบโฟเวียแล้วไม่เห็นส่วนอื่นของหน้าหนังสือเลย

หากจะให้ระบุอย่างเจาะจงแล้ว เราเห็นตัวอักษรเพียง 3-4 ตัวที่ผ่านมาและอีก 7-8 ตัวที่กำลังจะอ่านถึง สำหรับการอ่านจากซ้ายไปขวา

แปลกไปกว่านั้นคือเราจะเห็นจำนวนตัวอักษรคงที่คือประมาณไม่เกิน 12 ตัวไม่ว่าขนาดของตัวอักษรจะเป็นเท่าไรก็ตาม อย่าลืมว่าเรากำลังอ่าน เรามิได้กำลังทอดสายตา

และหากเป็นอักษรจีนจากบนลงล่าง ที่ซึ่งเส้นสายแต่ละเส้นขีดเขียนไปมาเพื่อประกอบเป็นคำหนึ่งคำตัดกันหรือพาดไปพาดมา ลูกตาจะกลอกจากบนลงล่างด้วยการเคลื่อนที่แบบแซคคาดิคที่กระชั้นมากๆ และองศาที่รับภาพของโฟเวียน้อยกว่า 15 องศา

การเคลื่อนที่แบบแซคคาดิคนี้เองที่ทำให้การเห็นตัวอักษรแล้ว ‘อ่าน’ ได้ต้องการเวลาอย่างน้อยที่สุดชั่วขณะหนึ่ง โฟเวียสามารถรับภาพได้ในเวลาเพียง 1/20 วินาที การเคลื่อนที่แบบกระตุกแต่ละครั้งกินเวลา 3/10 วินาที แต่กว่าจะอ่านได้นั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวินาที เวลาที่คนเราใช้อ่านนั้นจะเร็วมากที่สุดก็ไม่น่าจะเกิน 400-500 คำต่อนาที และที่ว่าอ่านได้เร็วนั้นที่แท้แล้วเกิดจากความสามารถที่จะข้าม (skip) มากกว่าความสามารถที่จะอ่าน

ปัจจัยหนึ่งที่กระทบความเร็วในการอ่านคือการออกแบบตัวอักษร การอ่านตัวเขียนและตัวพิมพ์นั้นต่างกัน การอ่านตัวพิมพ์ในฟอนต์ต่างๆ ตัวหนา และตัวเอียง เหล่านี้มีความแตกต่างกัน

การอ่านหนังสือพิมพ์บ่อยๆ มักช่วยให้คนเราถอดรหัสตัวอักษรได้เร็วขึ้น  เพราะหน้าหนังสือพิมพ์มักเต็มไปด้วยตัวอักษรหลายฟอนต์และหลายขนาดให้ฝึกปรืออยู่เสมอ ส่วนที่ยากเสมอคือการอ่านตัวเขียนซึ่งมักจะมีความแตกต่างกันไปในลายมือของแต่ละบุคคล

วิวัฒนาการการอ่านของมนุษย์ทำให้คนเราไม่จำเป็นต้องถอดรหัสทีละเส้นของตัวอักษร แต่สมองของคนพัฒนามาหลายพันปี เราเรียนรู้ที่จะจดจำหน่วยคำ หน่วยเขียน หรือหน่วยเสียง

คือ morphemes, graphemes และ phonemes ตามลำดับ

เช่น คำว่า “วิวัฒนาการ” สมองจะจดจำหน่วยคำ ได้แก่ วิ ,วัฒนา, การ จดจำหน่วยเขียนและหน่วยเสียง ได้แก่ ว แทนเสียง วอ ,า แทนเสียง อา , น แทนเสียง นอ , ก แทนเสียง กอ

เมื่ออ่านมากจะมีหน่วยคำมาก มีหน่วยเขียนและหน่วยเสียงมาก ทำให้การถอดรหัสเป็นไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

ทารกได้ยินเสียงคุณแม่พูดด้วยตั้งแต่เกิด สมองของทารกจะจำแนกหน่วยเสียงก่อน ต่อมาคุณแม่เริ่มอ่านนิทานก่อนนอน ทารกเริ่มจำแนกหน่วยคำเพราะภาษาหนังสือมักจะมีหน่วยคำที่ชัดเจนและเป็นแบบแผนมากกว่าภาษาพูด เมื่อเวลาผ่านไปเด็กเริ่มมองตัวอักษรที่ปรากฏบนหน้านิทาน มองเห็นป้ายขนาดใหญ่ตามท้องถนน มองเห็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์หรือปกหนังสือที่มักมีคำไม่กี่คำ สมองเด็กเริ่มจำแนกหน่วยเขียนและหน่วยเสียงทีละเล็กละน้อยไปเรื่อยๆ

เราเห็นภาพลูกที่นั่งได้ เปิดหน้าหนังสือได้ และเริ่มใช้นิ้วชี้ไปที่ตัวอักษรทีละตัว เหล่านี้เป็นความพยายามของโฟเวียและสมองที่จะถอดรหัสลายเส้นสีดำที่เห็นซ้ำๆ อย่างเป็นระบบ

เราสามารถจัดสิ่งแวดล้อมหรืออำนวยความสะดวกให้ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้เกิดในบ้าน ศูนย์เด็กเล็ก หรือโรงเรียนอนุบาลตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องสอนแต่อย่างใด

Tags:

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 5

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

RABBITHOOD ของโจ้ วชิรา ในวันที่ลูกค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่าชอบงาน
Everyone can be an Educator
26 November 2018

RABBITHOOD ของโจ้ วชิรา ในวันที่ลูกค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่าชอบงาน

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ปีหน้า โจ้-วชิรา รุธิรกนก ก็จะอยู่เชียงใหม่ครบ 13 ปี มีอาชีพเลี้ยงตัวคือดีไซน์เซอร์วิสชื่อ Rabbithood
  • เริ่มจากการออกแบบโปสเตอร์งานปาร์ตี้แบบมีความรู้เรื่องงานออกแบบในระดับที่ ‘ต่ำต้อย’ แต่ก็ค่อยๆ สะสมความรู้ ประสบการณ์และทำการบ้านอย่างสุดๆ ทุกครั้ง จนถึงวันที่ลูกค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาและบอกสั้นๆ ว่าชอบงาน
  • โจ้เชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์ฝึกได้ และต้องฝึก แต่มันอาจจะต้องมีความกล้าหาญบางอย่างฝังอยู่ ที่จะเดินอยู่บนเส้นทางความคิดสร้างสรรค์ได้

“เราเลือกสภาพแวดล้อมก่อน แล้วค่อยเลือกอาชีพ” เป็นคำตอบชัดเจนว่าทำไม ‘โจ้’ วชิรา รุธิรกนก ถึงอยู่และทำงานที่เชียงใหม่มา 12 ปีเต็มแล้ว

“เป็นชีวิตที่แฮปปี้ทุกวัน วันหยุดได้อยู่บ้าน ปั่นจักรยานขึ้นภูเขา อ่านหนังสือ ดูหนัง หรือเล่นแมวเรื่อยเปื่อย” คือสภาพแวดล้อมที่โจ้เลือกเป็นอันดับแรก

ส่วนการงานในลำดับถัดมา คือ ดีไซน์สตูดิโอภายใต้ชื่อ Rabbithood และเป็นอาชีพของโจ้ในปัจจุบันที่จดทะเบียนในรูปแบบบริษัทเต็มตัว มีระบบเงินเดือน สวัสดิการ ประกันสังคมและอื่นๆ ที่นิติบุคคลพึงมี

หนังสือ โปสเตอร์ โลโก้ และอื่นๆ คืองานหลักที่ Rabbithood ถนัดและรับจ้างออกแบบในฐานะมืออาชีพ

มืออาชีพในความหมายของโจ้คือ เชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำ รับผิดชอบ พยายามไม่ปฏิเสธงาน และถ้าเป็นไปได้ธุรกิจของลูกค้าควรจะรุ่งเรือง

จริงอยู่ แทบทุกคนตั้งต้นและสนใจในขุมคลังพลังความคิดสร้างสรรค์ (Creative) ที่เขาและทีมมี แต่สิ่งที่สำคัญกว่า(และลูกค้าไม่เห็น) คือ ทำการบ้านอย่างหนัก แม่นยำในสิ่งที่ทำ ประโยคธรรมดาๆ อย่าง “คุณต้องเข้าใจว่าคุณทำอะไรอยู่” ถูกย้ำตลอดจนจำขึ้นใจ และถ้ายังทำอะไรผิดซ้ำๆ อาจจะเจอโจ้ วชิรา ในภาคบอสผู้เกรี้ยวกราด-สาดมาอย่างนิ่มๆ

“‘มองภายนอกอาจจะดูสวยงาม ไลฟ์สไตล์เก๋ไก๋ แต่เอาจริงๆ สตูดิโอออกแบบมันคือการทำธุรกิจประเภทหนึ่ง เราค่อยๆ เรียนรู้มาเรื่อยๆ ว่าต้องคิดแบบธุรกิจ ดูแลคนทำงานได้ มีสวัสดิการ ประกันสังคม มีเรทเงินเดือนที่โอเค ที่สุดแล้วมันต้องมีกำไร จะในแง่ไหนก็ตาม จะมากจะน้อยก็ต้องมี ไม่งั้นไม่รู้จะทำทำไม…อยู่บ้านดู netflix เฉยๆ ดีกว่า”

“เพราะเราทำดีไซน์เซอร์วิสเราไม่ได้ทำงานศิลปะ” โจ้-วชิราย้ำประโยคนี้ในวันที่ Rabbithood ยังแข็งแรงสุขภาพดีอยู่ที่เชียงใหม่และลูกค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า ชอบงาน

โจ้-วชิรา รุธิรกนก

คุณโจ้ดูแลอะไรบ้างใน Rabbithood

เราดูส่วน Design direction เป็นหลัก ด้วยความสตูดิโอเราเล็ก มีกันแค่ 4-5 คน เวลาลูกค้าติดต่อมา ผมจะดีลงานและรับบรีฟเอง คิดว่าเขาคงอยากคุยกับเรา ก็เลยไม่มีเออีคอยรับบรีฟให้ เสร็จแล้วเอาไปคุยต่อกับทีม แชร์ไอเดียกัน จนได้ทิศทางออกมา จากนั้นทีมกราฟฟิกดีไซเนอร์ก็จะรับช่วงไปพัฒนาต่อ เสร็จแล้วผมจะมาช่วยดูอีกทีระหว่างทาง ก่อนจะปล่อยงานออกไป

Rabbithood เกิดขึ้นได้อย่างไร

มันเริ่มต้นอย่างคลุมเครือ ตอนนั้น (12 ปีที่แล้ว) ลาออกจากงานแมกกาซีนแล้วไปเชียงใหม่ คิดๆ ว่าจะประกอบอาชีพอะไรวะ เริ่มจากการจัดปาร์ตี้ ถ้าตอนนั้นจัดปาร์ตี้แล้วประกอบอาชีพได้ก็คงจัดไปเรื่อยๆ มั้ง แต่มันเป็นอาชีพไม่ได้ไง แล้วตอนที่จัดปาร์ตี้ก็ได้ออกแบบโปสเตอร์เอง แล้วบังเอิญมีคนชอบและสนใจโปสเตอร์เรา เราเลยเริ่มทำแล้วมันก็ได้เงินแฮะ เลยคิดว่า เอ๊ะ หรือเราจะทำสตูดิโอดีไซน์

เราทำแล้วเราก็ชอบ ยิ่งทำก็ยิ่งชอบ งั้นก็ทำจริงๆ จังๆ ไปเลย ต่อมาเริ่มรับงานกับองค์กรรัฐ มูลนิธิต่างๆ เราก็เลยต้องไปจดนิติบุคคล และใช้ชื่อ Rabbithood

ได้วางธีมหรือบุคลิกดีไซน์สตูดิโอไหม

โห (หัวเราะ-นึกนานมาก) เดาว่าไม่ได้วางนะ คิดแบบนั้นมันคงจริงจังไป ใช้วิธีทำงานไปค่อยๆ หาไปจนเจอมากกว่า เราชอบคิดงานจาก content เพราะตอนที่เราเริ่ม เราใหม่มากๆ พาร์ทที่เกี่ยวข้องกับสไตล์ แฟชั่น เราต้อยต่ำมาก ไม่รู้เรื่องอะไรเลย และเราก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ด้วย

พอได้อ่าน ดีไซน์คัลเจอร์ ของพี่ประชา สุวีรานนท์ ถึงได้รู้ว่าดีไซน์มันไม่ได้มีแต่สไตล์อย่างเดียวนี่หว่า มันมีความคิดที่อยู่เบื้องหลังงานออกแบบนั้นๆ เราก็เลยชอบทำงานแบบนี้ สนุกกับการคิด

process ที่สนุกที่สุดคือการคิดนะ ว่าจากโจทย์นี้จะทำอะไรออกมา มันถึงจะโอเคกับลูกค้า และโอเคกับเราด้วย

พอทำไปเรื่อยๆ เราก็รู้สึกว่านี่แหละเป็นสิ่งที่เราพอจะทำได้

อะไรที่ทำให้พบว่าตอนที่สนุกที่สุดคือการคิด

เราชอบช่วงเวลาตอนที่คิด มันจะเป็นโมเมนต์ที่เราอยู่กับมันได้นานมากๆ คิดแล้วคิดอีกๆ คิดแล้วทำออกมา ระหว่างที่ทำเสร็จแล้วก็ยังคิดต่อไปอีก หลายอันมากที่ทิ้งไปเลยเพราะเราคิดอันใหม่ได้แล้ว การคิดแล้วทิ้ง เป็นเรื่องที่ปกติมากๆ สำหรับทีมเรา

น้องที่สตูฯ จะรู้กันเลยว่า ถ้าตื่นมาแล้วคิดอันใหม่ได้ มึงเตรียมตัวทำกันใหม่ได้เลย (หัวเราะ) ไม่เคยเสียดายเลย

ทำไมไม่เสียดาย ความคิดใหม่จะดีกว่าเดิมเสมอ?

ถ้าได้อันใหม่ที่ดีกว่า มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปเก็บอันเก่าไว้ บางทีมันก็ไม่ได้ดีกว่านะ บางทีคือสุดแล้ว ก็จบ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน

ถ้าความรู้สึกข้างในมันบอกว่าน่าจะได้มากกว่านี้ ทันทีที่มีความรู้สึกนี้ค้างอยู่ เราจะไม่หยุด เราจะคิดต่อไปอีก หาทางเอามันออกมาให้ได้เท่าที่สติปัญญามี

เป็นอย่างนี้โคตรบ่อย น้องๆ จะรู้ เป็นธรรมเนียมของสตูฯ ไปแล้ว เราคุยกับน้องบ่อยๆ ว่าอย่าเสียดาย เราใช้เวลาไปกับมันก็จริง แต่มันไม่สูญเปล่า

ทันทีที่เราคิดอันใหม่ได้แล้วดีกว่าเก่า เราควรจะแฮปปี้เพราะมันแสดงว่ากระบวนการในการออกแบบมันทำงานในตัวมันเอง เราว่ากระบวนการนี้ทำให้งานออกแบบมันสนุก เพราะมันยังจะไปได้อีก

คิดว่าสิ่งนี้แหละที่ทำให้ยังทำงานออกแบบได้จนถึงทุกวันนี้

การทำงานในวงการหนังสือมาก่อน มีผลบ้างไหม หรือเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว

(อืม) โดยปกติเราไม่ค่อยทำอะไรเพื่ออะไร เช่น ฉันจะอ่านหนังสือเพื่อที่จะคิดเป็นลอจิก แค่อ่านก็เอนจอยกับมันไป เพราะฉะนั้นกิจวัตรประจำวันต่างๆ ของเรามันเกิดขึ้นโดยความชอบส่วนตัว แม้แต่เวลาทำการบ้านที่ต้องค้นคว้าเอามาทำงานให้ลูกค้าก็ตรงกับความชอบส่วนตัว ก็น่าจะพูดได้ว่าทุกอย่างมันส่งผลถึงเราหมดทั้งวิธีคิดและการทำงาน เราคิดว่ามนุษย์มันไม่ได้ตรงเป็นท่อ การเรียนรู้ข้างในของมนุษย์มันเกิดจากสิ่งต่างๆ มากระทบ แล้วก็ค่อยๆ ประกอบรูปประกอบร่างกันไปเอง

แต่คิดว่าการอ่านมันมีผลต่อการคิดเป็นเหตุเป็นผลแน่ๆ การทำงานบรรณาธิการมาก่อนก็มีผลต่อการคิดเป็นภาพกว้างแน่ๆ

การเห็นภาพกว้างกับการทำงานดีไซน์สตูดิโอมันส่งผลต่อกันมากน้อยแค่ไหน

การเห็นภาพกว้างมีความสำคัญกับทุกเรื่องเลยมั้ง

สมมติเราเดินเข้าซอย ถ้าเห็นแคบ เราก็จะเห็นแค่ในซอย เราก็จะเดินไปเรื่อยๆ เสี่ยงเอาว่าจะเจออะไรบ้าง ข้อดีคือเราจะได้เห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าเราดูแผนที่ รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน เราจะไปที่ไหน ต้องไปทางไหน ทางไหนไม่ต้องไปก็ได้

แล้วการมองเห็นภาพกว้าง มันจะไปโผล่หรือเอาไปใช้ตรงไหนของงาน

โห ไหนบอกไม่ถามยากไง(หัวเราะ) มันเป็นไปอัตโนมัตินะ มันเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาเองจากการที่เราทำมันซ้ำๆ

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าจุดนี้ โอเคแล้ว

เราตอบไม่ได้หรอก มันจะรู้เองในเพดานของเรา ประสบการณ์เท่านี้ ข้อมูล ปัจจัยที่เกี่ยวข้องมีแค่นี้ เราก็ทำให้ดีที่สุดในต้นทุนที่เรามีในเวลานั้นๆ

ชอบทำงานแบบไหนเป็นพิเศษ

ชอบทำงานที่ลูกค้าปล่อยให้เราคิด เอ้อ…ใครๆ ก็ชอบหรือเปล่าวะ (หัวเราะ)

แล้วงานไหนที่ทำแล้วมีความสุข

เอาจริงๆ เรามีความสุขเกือบทุกงานเลยนะ ถ้ามี 10 งาน เราคงมีความสุขไปสัก 9 งานแล้ว อาจจะเพราะลูกค้ามาหาเราไง เลยเป็นจุดที่เป็นข้อได้เปรียบนิดนึงมั้ง พอเขาบอกกันเองปากต่อปาก หรือมีคนเห็นงาน ติดต่อเข้ามา สตูฯ เองก็ไม่มีพอร์ท ก็มีเว็บไซต์ง่อยๆ อันหนึ่งไว้เก็บและอัพเดทงาน เวลาคนติดต่องานมาก็ส่งลิ้งค์เว็บไซต์ไปให้ ช่วยดูงานเราหน่อย ถ้าดูแล้วยังสนใจงานเราอยู่มั้ย ถ้าสนใจก็ไปกันต่อ

คิดว่าเพราะอะไรลูกค้าถึงมาหาเรา

โอ้โห ตอบว่าหน้าตาดีได้หรือเปล่า (หัวเราะ) ไม่ได้เนอะ เพราะอะไรไม่รู้อะ เขาคงเชื่อใจมั้ง อันนี้ตอบแทนเขาไม่ได้จริงๆ อะ

แล้วเวลาถามลูกค้าว่ามาหา Rabbithood สตูดิโอเพราะอะไร มักจะได้คำตอบว่า …

เพราะชอบงาน อยากให้ทำงานให้ แค่นี้เลย เราว่ามันง่ายมากๆ เลยนะ ชอบงานกันก็ทำงานด้วยกัน

อีกอย่าง เพราะเราทำงานมา 10 ปีแล้วไง ตอน 6-7 ปีแรก หนังคนละม้วนเลยนะ

ม้วนไหนคะ

ตกยาก (ตอบทันที) กลัวว่าจะอยู่รอดมั้ย เพราะเราเริ่มทำสตูดิโอจากที่ไม่มีความรู้เรื่องงานออกแบบ ก็เลย concern ว่าความรู้เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ถ้าจะประกอบวิชาชีพนี้คุณต้องเข้าใจในงานออกแบบก่อน ระหว่างที่เราหาความรู้ไปด้วยเราก็ต้องหาเลี้ยงชีพไปด้วย ระหว่างนั้นงานมันก็ไม่ได้ดีนัก คนก็ยังไม่ค่อยรู้จัก เขาคงยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะมาจ้างมันดีมั้ย

พอเข้าระบบเงินเดือนแล้ว วิธีเลือกรับงานต่างจากเดิม (ระบบฟรีแลนซ์) ไหม

คิดว่าไม่ต่างนะ เราก็พยายามรับให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะควบคุมคุณภาพได้

สิ่งที่ต่างคือตอนนั้นลูกค้าเข้ามาน้อยกว่าตอนนี้ ยังมีเวลาเหลือทำโน่นทำนี่ได้ แต่พอลูกค้าเข้ามาเยอะขึ้นขณะที่เรายังต้องควบคุมคุณภาพให้ได้เท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม เพราะฉะนั้นสิ่งที่หายไปคือเวลาส่วนตัวในชีวิตเรา

การเข้าไปรับงาน มันต้องคิดเยอะขึ้นมากๆ ใช่ไหม

ตอนที่เป็นฟรีแลนซ์ เราไม่ต้องรับผิดชอบอะไรนอกจากตัวเอง แค่เลี้ยงตัวเองได้ก็พอ

แต่พอเป็นบริษัท จะมาแบบช่วงนี้กูอยากไปเที่ยว ไม่รับงาน ก็ไม่ได้แล้ว เพราะเรารู้แล้วว่า fix cost ต่อเดือนเท่าไหร่ ก็ต้องวางแผนไว้ล่วงหน้า เป็นหลักประกันว่าน้องๆ ที่อยู่กับเราเขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกเลย ตั้งอกตั้งใจทำงานไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรายังทำได้สำเร็จตลอดมานะ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ เลยตั้งแต่วันแรกจดบริษัทและมีพนักงานประจำ

พอมีพนักงาน หมายความว่าเราต้องรับผิดชอบเขาจนกว่าเขาจะออกไป ถ้าเขาอยู่กับเราแล้วเราไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนอันนี้ไม่โอเค เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะให้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตกับเรา เพราะฉะนั้นเราต้องรับผิดชอบเขาให้ได้

เราซีเรียสกับเรื่องนี้มาก มันไม่ใช่มาทำงานแบบช่วยๆ กัน ช่วยๆ กันแปลว่าเรากำลังเอาเปรียบเขา เราเรียกร้องความเป็นมืออาชีพจากเขา เราก็ต้องมืออาชีพกลับไป

แต่กว่าจะเอาวะ ทำระบบเงินเดือนได้ มันนานนะ พัฒนาตัวเองมาถึงจุดที่มีงานเข้าสม่ำเสมอ สเกลงานใหญ่ขึ้น มีสัญญาต่อเนื่อง โชคดีที่มีเพื่อนทำโปรเจคท์ใหม่แล้วมาจ้างเราตั้งแต่ต้น ทำให้พอประคับประคองไปได้

การคิดเยอะ คิดทุกอย่าง เป็นคนอย่างนี้มาตั้งแต่ต้นหรือเปล่าคะ

ไม่ (ตอบทันที) ไม่ได้เป็นคนอย่างนี้เลย เป็นคนไปเรื่อยมาก ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่สมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทุกสิ่งที่เข้ามาคือวันหนึ่งมันมาตกอยู่ตรงหน้าแล้วก็ต้องตัดสินใจว่าจะทำไหม แค่นั้นเลย

มองภายนอกอาจจะดูสวยงาม ไลฟ์สไตล์เก๋ไก๋ แต่เอาจริงๆ สตูดิโอออกแบบมันคือการทำธุรกิจประเภทหนึ่ง เราค่อยๆ เรียนรู้มาเรื่อยๆ ว่าต้องคิดแบบธุรกิจ ดูแลคนทำงานได้ มีสวัสดิการ ประกันสังคม มีเรทเงินเดือนที่โอเค ที่สุดแล้วมันต้องมีกำไร จะในแง่ไหนก็ตาม จะมากจะน้อยก็ต้องมี ไม่งั้นไม่รู้จะทำทำไม อยู่บ้านดู netflix เฉยๆ ดีกว่า

โชคดีที่ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะต้องมีเงินร้อยล้าน หรือขยับขยายเป็นบริษัทใหญ่ๆ นั่งทำงานบนตึกใหญ่ๆ ไม่เคยมีภาพแบบนั้นในหัวไง จริงๆ อยากอยู่เฉยๆ แล้วมีเงินใช้ ถ้ามีร้อยล้านก็ดี แต่มันไม่ได้ไง (หัวเราะ) เลยต้องทำงาน แต่ทำแบบพอดีๆ ดูแลทีมได้ แฮปปี้ทุกฝ่าย

ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากขยายขนาดสตูดิโอด้วยนะ อยากอยู่กันแค่นี้ 4-5 คนแล้วก็ทำให้มันดีๆ

ชื่อ Rabbithood มันมาจาก Robin Hood เราชอบโมเดลแบบนั้น ยอดฝีมือรวมกัน ไม่ต้องมากพิธีรีตอง แต่งานออกมาดี ต้องการแค่นั้นเลย

ความ Creative ฝึกกันได้ไหม

เราว่าฝึกได้ เป็นสิ่งที่ต้องฝึกด้วย ก็เหมือนทุกอย่างแหละ ทำบ่อยๆ มันก็จะชำนาญ

เราว่าความคิดสร้างสรรค์ มันไม่มีสูตรสำเร็จ ว่าทำเสร็จ 1 2 3 คุณจะเป็นคนสร้างสรรค์ ดังนั้นวิธีการเกิดขึ้นของความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคนมันมาได้จากหลากหลายทิศทาง ขึ้นกับว่าสภาพแวดล้อมชีวิตของคนนั้นๆ เป็นยังไง แต่สำคัญที่สุดคือคุณต้องมีความกล้าที่จะออกจาก comfort zone ค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ

บางคนต้องอยู่ในบรรยากาศสบายๆ แล้วถึงจะคิดออก แต่บางคนก็ต้องกดดันสุดๆ

แต่ละคนก็มีวิถีทางในการสร้างความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง เพียงแต่เราอาจจะต้องมีความกล้าหาญบางอย่างฝังอยู่ มันถึงจะพอพูดได้ว่าเรากำลังเดินอยู่บนเส้นทางความคิดสร้างสรรค์

สำหรับคุณโจ้ ต้องอยู่ในบรรยากาศแบบไหน ความคิดสร้างสรรค์ถึงจะไปไกล

ผมไม่ได้มีโอกาสเลือกมากนัก เลยต้องทำให้ได้ทุกแบบ แต่ละแบบมันก็ดี-เสียคนละอย่าง บางทีสบายไปก็คิดไม่ออกสักที นิสัยเสีย บางทีช่วงเวลาบีบมากๆ งานบางชิ้นคิดได้คืนสุดท้ายก่อนส่ง ปกบางปกออกแบบแล้วแฮปปี้ แต่ทำไมทำเสร็จแล้วมีความรู้สึกเหมือนกูเคยเห็นที่ไหนวะ เลยลองไล่เช็ค ก็พบว่ามีไปคล้าย เลยเปลี่ยนคืนก่อนส่ง ทั้งๆ ที่สนพ.บอกว่าไม่เห็นรู้สึกเลย

เจอปัญหาความคิดซ้ำบ่อยไหม

เอาจริงๆ ไม่ค่อยรู้นะ เราไม่ค่อยเอาเป็นเอาตายว่าฉันต้องออริจินอล เอาจริงๆ ความออริจินอล มันมีจริงๆ เหรอ ทุกอย่างในโลกนี้มันก็ประกอบขึ้นมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทั้งนั้น

งานที่ยากที่สุดสำหรับเราคือโลโก้ เพราะเป็นงานที่ต้องน้อยที่สุดเพื่อสื่อสารความเป็นองค์กรนั้นมากที่สุด แต่โลกนี้มันมีโลโก้เป็นล้านๆ อันแล้วอะ มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่ซ้ำกับอะไรเลย ถึงที่สุดมันก็ต้องกระเดียด หรือใกล้เคียงกับบางสิ่งบ้าง ถ้าปึ๊งออกมาแล้วไม่เหมือนใครเลยคงเป็นไปไม่ได้ ที่เราคิดว่างานเราไม่เหมือนใครอาจจะเพราะเรายังไม่เห็นทั้งหมดไง เราเลยหันมาสนใจว่าโลโก้นี้มันตอบโจทย์ธุรกิจลูกค้าหรือยังมากกว่า

วิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยได้คือช่วงที่คิดงานเราก็จะไม่ดูงานคนอื่น ที่สตูดิโอไม่ทำงานระบบ reference เราคิดจาก content ตรงหน้าเท่านั้น ถ้าคิดออกมาแล้วมันดันไปคล้ายจริงๆ เราก็ยังตอบตัวเองได้ว่าก็เราอาจจะยังเห็นไม่มากพอแต่ไม่ได้หมายความว่าเราไปก็อปมา ซึ่งถ้าเจอว่าคล้ายแก้ทันก็แก้ไป

เราค่อนข้างโล่งใจว่าที่ผ่านมายังไม่เคยมีปัญหานี้

แสดงว่าการออกแบบให้แตกต่างไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับคุณโจ้

จะว่าไม่ใช่เลยก็ไม่เชิง มันคงต้องมีความแตกต่างอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ในน่านน้ำธุรกิจของลูกค้า แต่เวลาทำงานไม่ได้เริ่มที่ฉันจะต้องต่างน่ะ ความต่างมันมาตอนท้ายๆ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความเบื่อ บางทีเราก็รู้สึกอยู่ว่าแบบนี้มันเคยผ่านตามาแล้ว แบบนี้อีกแล้วเหรอ เราคิดแบบอื่นบ้างได้มั้ย ซึ่งไม่ใช่ธงที่ปักแต่แรก ธงแรกของเราคือทำยังไงให้งานออกแบบมัน serve content หลักของลูกค้าให้ได้และตรงที่สุดเท่าที่เราจะคิดได้

ที่คุณโจ้เคยพูดไว้ว่า ทำให้ลูกค้ารุ่งเรือง?

ใช่ เพราะเราทำดีไซน์เซอร์วิสเราไม่ได้ทำงานศิลปะ ฉะนั้นเวลาลูกค้ามาหาดีไซน์สตูดิโอเขาไม่ได้อยากได้ของสวยๆ ไปติดบ้าน เขามาจ้างเราเพราะหวังให้งานออกแบบจะไปส่วนช่วยทำให้ธุรกิจของเขาเจริญเติบโต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถึงพูดบ่อยๆ ว่าถ้านักออกแบบมีความรู้เรื่องธุรกิจอยู่บ้างก็น่าจะดี

เรื่องเทสต์เป็นเรื่องที่พูดกันลำบาก คำพูดที่ใช้กันเรื่องเทสต์ดี เทสต์ไม่ดี ก็คงมีอยู่จริงๆ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องถูกผิดคอขาดบาดตาย ที่สำคัญคือมันไม่ใช่เรื่องที่เราจะพูดได้ว่า คุณจ้างเราเถอะเราเทสต์ดี เพราะดีไม่ดีมันขึ้นกับบริบทอื่นๆ ด้วย เอาจริงๆ พูดว่าเหมาะไม่เหมาะอาจจะตรงกว่า เราเลยไม่ค่อยเอาเรื่องพวกนี้มาคิด ก็ปล่อยไป งานที่ออกมาจากเรามันเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะต้องผสมกลมกลืนกับสิ่งที่เราเป็น ซึ่งถ้าไปตรงกับเทสต์ของลูกค้าก็ดีไป แต่ถ้าไม่ตรงก็คงต้องมาจูนกัน

เวลารับบรีฟงาน แล้วพรีเซนต์ หลายคนชอบตกม้าตายตอนพรีเซนต์ ไม่สามารถสื่อในสิ่งที่เราต้องการเสนอได้ คือคิดได้แต่ไม่สามารถสื่อสารออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณโจ้มีคำแนะนำไหม

เราไม่ชอบอยู่ต่อหน้าคนนะ บางทีต้องไปพรีเซนต์ห้องใหญ่ๆ จะตื่นเต้นมากแก้ไม่ได้สักที แต่พอเริ่มพรีเซ็นต์ไปแล้ว เราจะค่อยๆ มั่นใจขึ้นเรื่อยๆ งานดีไม่ดีนั่นอีกเรื่องนะ

เราคิดว่าสาเหตุคือ เรามั่นใจว่าเราแม่นยำกับสิ่งที่ทำมา เรารู้ว่ามันผ่านกระบวนการคิดอะไรมาบ้าง เราอยู่กับมันมาตั้งแต่ต้นจนจบ การเข้าใจกระบวนการคิดของตัวงานมาตั้งแต่ต้นทำให้เราอธิบายเป็นเหตุเป็นผลได้ว่าอย่างไรและทำไมมันถึงออกมาเป็นสิ่งที่ลูกค้าเห็นอยู่ตรงหน้า

การพรีเซนต์เป็นกระบวนการที่ต้องเตรียมตัวอย่างดี คิดเผื่อล่วงหน้าในมุมของลูกค้า จะทำให้เขาเข้าใจกระบวนการคิดงานของเราได้ยังไง ซึ่งถ้าเราแม่นยำในกระบวนการคิดงานอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยพลาดหรอก และเป็นเหตุผลที่เราไปพรีเซนต์งานเอง เพราะไม่มีใครเข้าใจมันเท่าเรา บางโปรเจกต์เตรียมพรีเซนท์ไปเป็นร้อยๆ หน้าก็มี

เราว่างานออกแบบมันอธิบายเป็นเหตุเป็นผลได้นะ

บางคนจะพรีเซนต์ออกมาหลายแบบให้ลูกค้าเลือก ของคุณโจ้เป็นแบบไหน

ส่วนใหญ่พรีเซนต์แบบเดียว (หัวเราะ) เราจะยึดแบบเดียวไว้ก่อน เพราะเราเชื่อว่าเราคิดมาค่อนข้างครอบคลุมแล้วว่าทำไมถึงควรจะเป็นแบบนี้ มันดีกับแบรนด์คุณยังไง หรือมันดีกับโจทย์นี้ยังไง

เวลาส่งงานหลายแบบจะเกิดขึ้นในกรณีที่ระหว่างทางเราไม่ได้เจอแค่หนึ่ง แต่สองกับสามก็เวิร์คเหมือนกัน ดีเสียต่างกัน เราเองก็ตัดสินใจไม่ได้ ลูกค้าอาจจะตอบได้ตรงกว่า เพราะเขาน่าจะเข้าใจธุรกิจของเขามากกว่า ซึ่งกรณีแบบนี้คือจะเลือกหนึ่ง สอง หรือสาม เราโอเคหมด

แต่เราจะไม่เสนองานแบบที่เขาชอบบอกกันว่าทำไปให้ให้ลูกค้าได้เลือก เพราะจะแสดงให้เห็นว่าเขามี power ได้ตัดสินใจ เราว่าการทำแบบนั้นไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากสปอลย์ลูกค้า ทำไมไม่คุยกันตรงๆ ที่เนื้องานไปเลย เพราะมันผ่านการทำการบ้านหนักหน่วงมากแล้ว สำหรับเรามันดีกว่าการไปเปิด ref หลายๆ แบบแล้วก็ทำมาให้เลือกเยอะๆ เรารู้สึกเสียเวลาชีวิตถ้าต้องทำแบบนั้น เราชอบจบงานที่ลูกค้าก็แฮปปี้ คนทำก็ภูมิใจ

เราไม่ซื้อไอเดียโดยหลักการ ถ้าคุณต้องการแค่ได้เลือก การค้นคว้าอย่างหนักมาทั้งหมดของเรามันจะไม่มีความหมายเลย

เราอยากให้ลูกค้ารู้ว่าการทำงานออกแบบมันเป็นเรื่องของกระบวนการคิด ไม่ใช่แค่ใช้โปรแกรมเป็น ถ้าคุณเลือกเราคุณจะได้งานออกแบบที่ผ่านกระบวนการคิดที่คิดมาเพื่อธุรกิจของคุณ มันจะเป็นการทำงานที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายจริงๆ

การส่งงานให้ลูกค้าเลือกทีละ 10-20 ชิ้น โอกาสตัดสินใจพลาดมีสูงมาก เรามองว่าเป็นข้อไม่ดีด้วยซ้ำ เพราะเป็นการผลักภาระให้ลูกค้า เขาจะตัดสินใจจากอะไรล่ะ จากความชอบส่วนตัวเหรอ แล้วความชอบส่วนตัวของเขามันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธุกิจของเขาหรือเปล่า

เราพบว่าการส่งงานน้อยแบบส่งผลดีมากเวลาลูกค้ามีคอมเมนท์เพื่อให้เราเอากลับไปแก้ไข เพราะเราคุยกันเป็นเหตุเป็นผล มีที่มาที่ไป เวลาแก้งานเราก็แก้ง่าย บนฐานของความเข้าใจที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

มีวิธีการหรือใช้ช่องทางอะไรในการสื่อสารกับลูกค้า

เราพยายามไม่คุยงานกับลูกค้าผ่านโซเชียลมีเดีย พยายามส่งงานเป็นเรื่องเป็นราวทางอีเมล์เท่านั้น

และการส่งงานดราฟท์แรก ถ้าเป็นไปได้จะไม่ส่งทางออนไลน์ด้วย จะขอนัดเจอ เพราะการเห็นครั้งแรกมันสำคัญมาก มันจำเป็นต้องอธิบายที่มาที่ไป มีเหตุผลอะไร ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ข้อดีข้อเสียคืออะไร

ที่สำคัญมากๆ คือ เวลาไปคุยต่อหน้า เราจะเห็นปฏิกิริยาของลูกค้า เราจะรู้เลยว่าเขาแฮปปี้ ลังเล หรือไม่ชอบเลย ในทันที จะมีทั้งพรีเซนต์เสร็จปุ๊บ ลูกค้าตาวาวเลยก็มี หรือจบแล้วนั่งนิ่ง แบบมึงเอาอะไรมาให้กูดู … ก็มี (หัวเราะ) ปฏิกิริยาพวกนี้มันสำคัญมากเลยสำหรับเรา คำพูด น้ำเสียง มันมาพร้อมกันหมดเลยในการพบปะคราวเดียว แล้วการพบปะกันซึ่งๆ หน้ามันช่วยได้มากในการพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้านั้นต่อจนจบโปรเจกต์

ถ้าเป็นที่เชียงใหม่ เราจะขอนัดลูกค้ามาดูพรีเซนต์ที่สตูดิโอ เพราะอยากให้น้องๆ อยู่ด้วยในขั้นตอนนี้ อยากให้เขาสะสมประสบการณ์พวกนี้ไว้ มันเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ สำหรับเขาในอนาคต แล้วถ้าลูกค้าคอมเมนท์ก็แชร์กันได้เลย แต่ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ เราจะไปคนเดียว เพราะตอนนี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่าย

ถ้าสุดท้ายเขาคอมเมนท์ว่าไม่ชอบ ถึงเราจะทำสุดแล้วก็ตาม เสียความมั่นใจไหม

(นิ่งคิด) กำลังคิดว่าเวลาทำงานแล้วเรามั่นใจหรือเปล่าวะ (หัวเราะ) เออ มันต้องมั่นใจเนอะ ถ้าเขาทักว่าไม่ชอบเหรอ … ก็คงเสียแหละมั้ง แล้วถ้าอันไหนที่เรามั่นใจมากๆ ก็จะคิดต่อว่า คุณพลาดแล้วที่ไม่ชอบ (หัวเราะ)

เวลาลูกค้าคอมเมนท์หลักๆ น่าจะมีสองแบบ คือคอมเมนท์แบบเป็นเหตุเป็นผล กับ ไม่เป็นเหตุเป็นผลแต่กูไม่ชอบอันนี้

เราชอบทำงานกับลูกค้าแบบแรก เพราะมันไปต่อได้ แก้ได้ ปรับได้เพราะรู้ว่าไม่ตรงกับความต้องการเขายังไง บางคนทิ่มมาประโยคเดียว เออ! กูไม่เคยคิดมุมนี้เลยว่ะ ซึ่งโคตรดีเลย เพราะบางทีเราอยู่กับมันด้านเดียวเกินไป แต่แบบหลัง มันไปต่อไม่ได้ นอกจากไปขูดรีดความเป็นเหตุผลของเขาออกมา มันไม่สนุก เสียเวลาทั้ง สองฝ่าย เวลาส่งงานเลยต้องขอความร่วมมือกับลูกค้า ช่วยพิจารณาให้ละเอียดๆ หน่อยก่อนจะคอมเมนท์

แต่ถ้าเป็นเรื่องเทสต์ ถ้าจูนกันไม่ได้ ก็ปรับตามเขาเลย

ที่สตูดิโอ จะมีเส้นบางๆ ขีดอยู่ ทันทีที่เลยเส้นนี้ไปแล้ว ก็โอเค ตามสั่ง อยากได้อะไรก็ทำให้อย่างนั้นแหละ

ไม่ใช่ไม่รับแล้ว หรือเลิกทำ?

ไม่ๆๆ (ตอบทันที) ทำแบบนั้นไม่ได้ เรามีคนที่ต้องดูแล ที่สำคัญคือเราอยากเป็นมืออาชีพ ก็พยายามจะรับมือกับปัญหาให้ได้

เป็นความตั้งใจตั้งแต่ต้นเลยมั้ย ว่าจะไม่ปฏิเสธลูกค้า

มีปฏิเสธเหมือนกันในเคสที่ไม่ไหวจริงๆ แต่เป็นกรณีที่ไม่ได้ไปด่าเค้านะ เราไปต่อไม่ได้จริงๆ ทั้งในแง่ความสามารถและเวลา ก็รบกวนไปจ้างคนอื่นเถอะ แต่ถ้ายังอยู่ในวิสัยทีเรายังปรับแก้ได้ เราก็ปรับแก้ให้เขาไป

มืออาชีพสำหรับคุณโจ้คืออะไร

เชียวชาญในสิ่งที่ทำ รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ ถ้าเป็นไปได้ก็ควรทำให้ได้ทุกงาน

ถ้าขัดกับตัวเอง?

ทำไมไม่ค่อยคิดเรื่องนี้วะ (หัวเราะ) เราไปตามสถานการณ์ เจอปัญหาก็แก้ไป ไม่ได้นั่งสนใจว่าตัวเราคืออะไร อันไหนจะทำ อันไหนจะไม่ทำ แต่ก็อาจจะโชคดีที่เราได้ทำงานที่เขาต้องการศักยภาพอย่างที่เราเป็น

มันแฟร์มากเลย ถ้าไม่ต้องการแบบนี้ ก็ไปจ้างคนที่เขาทำแบบนั้น

การเป็นสตูดิโอที่อยู่เชียงใหม่ มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง

แหม เราไม่เคยมีสตูดิโออยู่กรุงเทพฯ ด้วยสิ (หัวเราะ)

ตอนนี้ก็พอพูดได้ว่าไม่จำเป็นต้องอยู่กรุงเทพฯ แต่ว่าลูกค้าหลักๆ ก็ยังอยู่กรุงเทพฯ เพราะเชียงใหม่ไม่มีโปรเจคท์ใหญ่พอที่จะดูแลคนทั้งสตูดิโอได้ เลยยังต้องรับงานที่กรุงเทพฯ ไปส่งงานทุกเดือนเลย เหนื่อยเหมือนกัน แต่คิดคำนวณแล้วแล้วก็คุ้ม เพราะชีวิตที่เชียงใหม่เป็นชีวิตที่แฮปปี้ทุกวัน วันหยุดได้อยู่บ้าน ปั่นจักรยานขึ้นภูเขา อ่านหนังสือ ดูหนัง เล่นแมวเรื่อยเปื่อย

แสดงว่าสภาพแวดล้อมมีผลต่อการทำงาน?

เราเลือกสภาพแวดล้อมก่อน แล้วเลือกอาชีพทีหลัง เราเลือกอยู่เชียงใหม่ก่อน โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำงานอะไร เราว่าสภาพแวดล้อม มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ยกเว้นมีเงินมากพอจนไม่ต้องทำงานแล้ว ซึ่งเราไม่มี

ออฟฟิศแบบ Rabbithood ทำงานกันอย่างไร

เข้างานหลวมๆ 10 โมงถึง 10 โมงครึ่ง ลากไป 11 โมงก็มี เลิกงานคุยกันไว้ 1 ทุ่ม แต่ยืดไปตามสถานการณ์ ถ้ามันต้องเร่ง อยู่ถึงเช้าก็เคย แต่น้อยมาก เราอยากให้กลับบ้าน ไม่ต้องอยู่ดึกดื่น เราเชื่อว่าถ้าบริหารจัดการระหว่างวันได้ดี มันไม่ต้องอยู่ดึก หรือวางแผนการทำงานล่วงหน้าได้ดี ก็ไม่ต้องมาเสาร์อาทิตย์ แต่วันเสาร์อาทิตย์ เราก็ขอสแตนบายไว้ วันหยุดนักขัตฤกษ์ก็หยุดเหมือนชาวบ้านเขา ลากิจ ลาป่วย ตามสบาย

ลาไปเที่ยวก็มีแต่ไม่เยอะจนน่าเกลียด น้องบางคนถ้าจะขอลากลับบ้านก็มาทำชดเชยให้ก่อน ด้วยความที่สตูฯ เราเล็ก ทุกคนก็เห็นสถานการณ์หมด ถ้าใครหายไปงานจะเป็นยังไง น้องก็ไม่เอาเปรียบเรา

การเข้าออฟฟิศสำคัญไหม

เราทำสตูดิโอเพราะเราไม่อยากทำงานคนเดียว คิดคนเดียวทำคนเดียวมันไม่สนุก ไม่รู้ว่าที่คิดออกมามันดีหรือเปล่า ก็คิดเองเออเองว่าดีอยู่คนเดียว มีคนช่วยคิดช่วยแย้งมันดีกว่า

งานออกแบบพื้นฐานคือความรู้ ความเข้าใจ วิธีคิด รสนิยม การใช้เวลาอยู่ด้วยกันในแต่ละวันมันจะช่วยพัฒนาสิ่งเหล่านี้ บรรยากาศการอยู่ด้วยกันสำหรับเรามันเอื้อต่อการทำงาน เวลามีอะไรแก้ไขกันง่าย

ช่วงหลังๆ เราไม่ค่อยอยู่ ก็ต้องพึ่งออนไลน์ ซึ่งมันเรียกร้องความสามารถในการสื่อสารมากๆ เลย ที่เราพบบ่อยคือจับประเด็นกันไม่แม่นว่ากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ เวลาพูดกันตรงนี้เข้าใจ แต่ถ้าเขียนมันเข้าใจได้หลายทาง จะต้องเตรียมการสื่อสารมากกว่าปกติ ถ้าเป็นเราเราจะอ่านทวนว่ามันจะคิดไปเป็นอื่นได้หรือเปล่า บางทีต้องเขียนขยายความเท้าความไปด้วย ไม่งั้นมันพากันไปทางอื่น เสียเวลามากเลย

คุณโจ้เป็นหัวหน้าแบบไหน

โห ปกติเป็นคนไร้สาระมาก แต่เวลาทำงานเราจริงจังมาก บางทีก็จริงจังเกิน บางทีมีโมเมนต์คิดงานอยู่ แล้วจู่ๆ ก็เดินมา พี่เซ็นอันนี้ให้หน่อยค่ะ คือ มึงช่วยดูสี่ดูแปดหน่อยได้มั้ย (หัวเราะ) เราพยายามจะไม่เป็นคนเกรี้ยวกราด เพราะเวลาเกรี้ยวกราดแล้วเราเกลียดตัวเอง ไม่อยากเป็นคนแบบนั้น ก็อยากประคับประคองให้มันดี คิดว่าหลังๆ นี่เบาลงเยอะแล้ว

อยากให้บรรยากาศสตูฯ มันดี ต้องแก้ที่เรา เวลาสตูฯ ไม่มีเรา น้องๆ มันอยู่กันดี เฮฮาปาร์ตี้เหมือนอยู่ชมรมมหาลัยฯ แต่พอเรากลับมา เออ มึง เรามาทำงาน ไม่ได้มาชมรม มึงช่วยสปีดนิดนึง ลูกค้ารออยู่เป็นหางว่าว

เราจริงจังกับคุณภาพงาน บอกน้องๆ ตลอดว่า ทุกครั้งที่ปล่อยงานออกไป มันไม่จบแค่นั้น มันจะส่งผลไปในอนาคตอีกไม่รู้เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเราปล่อยงานห่วยๆ หรืองานที่ทำไม่สุดออกไปไม่ได้ มันจะส่งผลไปอีกยาวนาน ซึ่งการส่งผลยาวนานมันจะเป็นผลดีกับทุกคนระยะยาว เราไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาจ้างงานมั้ย หรือจะมีเงินเดือนจ่ายลูกน้องหรือเปล่า

ทั้งหมดมันเกิดจากคุณทำงานที่ดีที่สุดออกไป แค่นี้เลย

เคยไหม เวลาทำงานเสร็จบางงานแล้วไม่กล้าบอกใครหรือแอบเก็บๆ ไว้ไม่เอาลงพอร์ท เราไม่ชอบความรู้สึกแบบนั้น

การทำงานมัน consume ทุกสิ่งอย่างของเราไป เพราะฉะนั้นทำงานเสร็จออกมาอย่างน้อยมันต้องโอเคสำหรับเรา ไม่งั้นไม่รู้จะเอาเวลาในชีวิตไปแลกทำไม จะแลกมาด้วยเงินเหรอ คือถ้ายิ่งทำงานดี ก็ได้เงินดีกว่าเดิม มันยิ่งไม่ดีกว่าเหรอ เพราะฉะนั้นเราไม่อยากให้เวลาที่ทุ่มเทไปงานมันเสียเปล่า เราอยากภูมิใจกับทุกๆ ชิ้นที่ทำ

เทรนด์การออกแบบ เราเอามาปรับใช้บ้างไหม

ไม่มี (ตอบทันที) ไม่มีเลย แต่คิดอยู่ว่า เออ … หรือมีบ้างก็ดีวะ ควรจะติดตามมนุษย์โลกเขาหน่อยมั้ย

สนใจนะ ก็ดูจะสนุกดี แต่ไม่ค่อยมีการคุยเรื่องนี้กันทีสตูฯ ส่วนตัวเราชอบอ่านหนังสือออกแบบ สนใจวิธีคิดของเขา ก็พยายามทำมันในชีวิตประจำวัน ดูงานคนโน้นคนนี้ก็เหมือนกัน เหมือนกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง พอเวลาทำงานเราเลยไม่ค่อยได้มาคุยกันว่าตอนนี้ใครเขาทำอะไรกันอยู่ ทำเสร็จถ้ามีเวลาเหลือพอก็เอาไปเช็คหน่อยว่าไปโดนใครหรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีเวลาก็ช่างมัน

ที่ผ่านมาไม่ต้องตามเทรนด์ก็อยู่กันมาได้ แปลว่าคงไม่ต้องตามก็ได้มั้ง แต่คิดว่าอนาคตอาจจะตามสักหน่อย จะได้เห็นโลกอีกด้านหนึ่ง

ปกติเราดูงานเพื่อทำความเข้าใจวิธีคิดของการทำงานนั้นๆ เช่น พอต้องรับงานออกแบบหนังสือเป็นเซ็ต ก็จะมีคำถามในหัวทันทีว่าหัวใจของการคิดหนังสือเป็นเซ็ตคืออะไร เราอยากเข้าใจสิ่งนี้ก่อน ก็เริ่มไปหาอ่าน ถ้ามีที่เขาเขียนไว้ก็ดีไป ถ้าไม่มีก็อาศัยดูงานไปเรื่อยๆ แล้ววิเคราะห์ออกมาให้ได้ว่าน่าจะใช้วิธีคิดแบบไหน ถ้าเราพอเข้าใจว่าน่าจะใช้วิธีคิดแบบนี้แน่เลย แล้วเราก็ไปเอาโจทย์ลูกค้ามา ทำงานกับโจทย์ แล้วก็ลืมตรงนี้ไป

ที่สตูฯ รีเสิร์ชกันหนักมาก (ลากเสียงยาว) เป็นวัวเป็นควายเลยแหละ บางโปรเจกต์ใช้เวลาคิดงานน้อยกว่ารีเสิร์ชอีกนะ อาจจะเพราะเราเริ่มจากไม่ได้เรียนออกแบบมาโดยตรง มันเป็นข้อจำกัดที่เราไม่มีทางเลือก ถ้าคุณอยากยืนในตลาดได้ อยากเป็นมืออาชีพ คุณต้องมีความรู้ มันมีทางเดียว สำหรับเราไม่มีทางอื่น

น้องๆ ที่สตูฯ โดนจับรีเสิร์ชหมด คำถามสำคัญคือคุณเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังจะทำหรือยัง แค่นี้เลย เช่น จะออกแบบป้าย คุณเข้าใจการทำงานของระบบป้ายหรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจไปหาความรู้ก่อนค่อยมาออกแบบ จะได้รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ใช่เปิดคอม เปิดโปรแกรม หยิบเม้าส์ พวกนี้มันมาทีหลัง เรื่องสำคัญคืองานออกแบบมีจุดประสงค์บางอย่างเสมอ หรือทำปกหนังสือ คุณเข้าใจการทำงานของปกหนังสือหรือยัง ไปทำการบ้านมาก่อน ยิ่งถ้าเข้าใจตลาดหนังสือได้ด้วยก็ยิ่งดี

เวลาน้องๆ ส่งงาน บางทีเห็นงานแล้วก็รู้เลยว่าไม่เข้าใจสิ่งที่ทำอยู่แน่ๆ ไปทำการบ้านก่อนมั้ย น้องก็จะหายไปวันนึง แล้วเอาการบ้านมาพรีเซนต์ว่าเราเขาไปทำความเข้าใจมากแบบนี้ ก็คุยกัน แล้วเราก็ปล่อยให้ไปทำต่อ ร้อยทั้งร้อยงานใหม่ที่ออกมาคือหนังคนละม้วนเลย มันพรูฟว่าถ้าคุณเข้าใจสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ มันจะออกมาดีกว่าจริงๆ

เหมือนเป็นนักวิจัย?

น่าจะใช่ มันเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด คุณต้องเข้าใจว่าคุณทำอะไรอยู่ … เป็นประโยคที่เราพูดบ่อยมาก อย่าทำงานในสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ มันเสียเวลาเปล่า สตูฯ ถึงต้องมีห้องสมุด เราเลือกหนังสือชั้นดี ลงทุนกับหนังสือมากมาย ซึ่งอันนั้นคือส่วนกำไรของบริษัทที่แปรรูปมาเป็นหนังสือ

การอ่านความคิดของดีไซเนอร์ สำหรับเรามันน่าสนใจกว่าการดูงานเขาเฉยๆ ถ้าเราไม่เข้าใจเบื้องหลังการคิด เราจะคิดงานได้ยังไง เราว่าก้อนใหญ่ที่สุดคือการคิด แล้วแตกออกไปเป็นอะไร นั่นก็อีกเรืองหนึ่ง

ดังนั้นถ้าคุณมีต้นทุนการคิดน้อย คุณก็จะคิดได้น้อย พอคุณคิดได้น้อย ทางไปคุณก็แคบ

ปัญหาการทำงานกับคนต่างเจน มีบ้างไหม

มีปัญหาหนึ่งคือ เราโตมาในเจเนอเรชั่นถึก ความถึกเท่านั้นจะช่วยให้คุณรอด เราก็ไป push น้องๆ ให้ถึกด้วย พอ push มากๆ ปรากฏว่าบรรยากาศมันอึดอัดไปหมด สุดท้ายเลยเรียนรู้ว่าไม่ต้องไป push มาก ทุกคนมันมีจังหวะในการเรียนรู้ของเขาเอง ต้องพยายามเข้าใจจังหวะเขา เพราะเขาโตมาท่ามกลางความสนใจหลากหลาย ต้องแบ่งเวลาไปสนใจนั่นโน่นนี่ ซึ่งในยุคเราไม่มี ก็พยายามจะเข้าใจ แต่ … เร่งหน่อยก็ดีนะ งานการมันไม่รอท่าเนอะ ชิวไปก็ไม่ได้

อีกปัญหาหนึ่ง พอมี gap ระหว่างวัย น้องๆ ก็จะมองเราเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็ตามมาด้่วยความเคารพ ซึ่งอันนี้เราโคตรเกลียด เดินผ่านหน้าก้มหัวก็มี เจอหน้ากันก็ต้องไหว้ มึงจะไหว้กูทำไม เจอกันทุกวัน ไม่เบื่อหรือไง คุยแบบพี่ๆ น้องๆ เหมือนคนธรรมดาๆ ได้มั้ย เราว่าระบบอาวุโสแบบนี้มันทำลายหลายอย่าง ส่งผลมากๆ กับการทำงาน ต้องคอยบอกว่าเวลาเราคิดอะไรออกมาไม่ได้แปลว่าต้องทำตามนั้น เราก็คนเหมือนกัน ผิดก็มีพลาดก็เยอะ บางทีเราแก้งาน อธิบายเสร็จสรรพ ส่งกลับไป จะแก้กลับมาก็ได้ ไม่ได้ว่าอะไร ก็มาอธิบายกัน ไม่ใช่ต้องเยสตลอด น่าเบื่อมาก เป็นปัญหามาก จูนกันอยู่นานกว่าน้องจะยอมเถียง คนเราเคารพกันในฐานะมนุษย์เหมือนกัน แค่นั้นมันก็โคตรจะพอแล้วน่ะ เราต้องการเพื่อนร่วมงาน ทำงานมันต้องแชร์กันได้

เรียนรู้อะไรจากเด็กๆ บ้าง

มหาศาล เราเรียนรู้โลกสมัยใหม่ผ่านพวกเขานั่นแหละ เพราะโลกมันเป็นของเขาไม่ใช่ของเรา วันๆ ก็คอยนั่งฟังว่ามันคุยเรื่องอะไรกัน

ที่เลิก push เขาก็เป็นการเรียนรู้ที่ดีมากๆ เลยนะ เหมือนเขาสอนเราไปเองเลยว่าทุกคนมีจังหวะของตัวเองนะเว้ยพี่ อย่ามาอัดกูมากเพราะอัดไปก็ไม่ได้อะไร ได้แต่ความตึง

เราอยากให้เขาไปทางไหนทำได้มากสุดก็ไกด์เขา แล้วก็โยนความรับผิดชอบลงไป ส่วนจะเดินยังไงก็ให้เขาไปจัดการจังหวะของตัวเอง

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)หนังสืออาชีพนักออกแบบวชิรา รุธิรกนก

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Book
    The Element: การค้นพบ ‘ธาตุ’ ที่บอกว่า ‘ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Character building
    ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character buildingBook
    ความโง่ไม่ใช่สิ่งถาวร ถ้าเขามี ‘ครู’ ให้พิงหลัง

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

USER EXPERIENCE: นักออกแบบประสบการณ์ อาชีพใหม่ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นความสุข
Everyone can be an Educator21st Century skills
26 November 2018

USER EXPERIENCE: นักออกแบบประสบการณ์ อาชีพใหม่ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นความสุข

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • บางอาชีพล้มหาย บางอาชีพผุดขึ้นมาใหม่ แต่ในยุคที่คนรุ่นใหม่ต้องต่อสู้แย่งงานกับเจ้า AI ต้องปรับตัวและมีทักษะอะไรบ้างเพื่อเป็นผู้รอด!
  • นักออกแบบประสบการณ์ (User Experience Designer) อาชีพใหม่ในยุคดิจิทัล กลุ่มคนที่เข้าไปวางแผนและจัดการให้ธุรกิจนั้นมอบ ‘ประสบการณ์’ ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งาน บนฐานความความต้องการหรือ ‘ปัญหา’ ของลูกค้าจริงๆ
  • จริงหรือที่อาชีพยุคใหม่ต้องการทักษะ ‘ล้ำๆ’ นักออกแบบประสบการณ์เล่าให้ฟังว่า พวกเขาแค่เริ่มต้นจากปัญหา และ สร้างกระบวนการเพื่อให้คนมีความสุขขึ้น… ก็เท่านั้น

“AI กำลังแย่งอาชีพของมนุษย์!”

หลายคนหวาดกลัวอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริง สิ่งที่คนพูดถึงเจ้า Artificial Intelligence (AI) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ ในยุคดิจิทัล ไม่ใช่การต้านทานเพื่อปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง แต่ตั้งคำถามที่ชาญฉลาดยิ่งกว่าว่า “ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่ปฏิเสธไม่ได้ มนุษย์ในอนาคตจะทำอย่างไรกันดี?”

ถามให้ตรงจุด ทักษะทางอาชีพของมนุษย์ต้องเป็นแบบไหน เพื่อไม่ไปทับทางกับเจ้าปัญญาประดิษฐ์นี้
เพื่อไม่ให้เป็นการตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะเอาเข้าจริงมนุษยชาติไม่เคยสิ้นหวัง เมื่ออาชีพหนึ่งถูกแทนที่ มนุษย์ก็ฉวยโอกาสไปทำอะไรที่สนุกขึ้น มองไปรอบตัว เราเห็นและได้ยินอาชีพเกิดใหม่ที่น่าสนใจมากมาย

นักออกแบบประสบการณ์ หรือ User Experience Designer เป็นหนึ่งในนั้น คือกลุ่มคนที่เข้าไปวางแผนและจัดการให้ธุรกิจนั้นมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้งาน ใช้การออกแบบที่มาจากความต้องการหรือปัญหาของลูกค้า งานที่ว่ามีตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ พัฒนาระบบ สร้างโปรแกรม ผลิตนวัตกรรมบางอย่าง และอื่นๆ แต่ทั้งหมดนี้ตั้งต้นขึ้นด้วยแนวคิดเดียว… คือ “เข้าใจผู้ใช้งานให้ได้ก่อน

The Potential ชวน แบงค์-อภิรักษ์ ปนาทกูล ผู้ก่อตั้ง UX Academy ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนา UX และการออกแบบประสบการณ์ลูกค้า จับเข่าคุย ตั้งต้นอธิบายว่า UX คืออะไร, UX กันไปทำไม และแม้จะตั้งต้นด้วยศัพท์เทคนิคเหล่าโปรแกรมเมอร์สุดฤทธิ์ แต่ข้อสังเกตเบื้องต้นของอาชีพใหม่(และชื่อสุดเท่) ‘นักออกแบบประสบการณ์’ มีอยู่ว่า…

แม้โลกจะหมุนไปด้วยเทคโนโลยีเร็วและแรงแค่ไหน แต่ ‘ไอเดีย’ ใหม่ๆ จะผุดขึ้นได้ ล้วนมาจากสิ่งพื้นฐาน… แค่ ‘การแก้ปัญหา’ จาก ‘ความเข้าใจ’ ทั้งสิ้น

 แบงค์-อภิรักษ์ ปนาทกูล

เริ่มจากให้คุณแบงค์แนะนำตัวนะคะ

งานหลักของผมคือโค้ช ไม่ใช่โค้ชชีวิตนะครับ แต่เป็นโค้ชที่บริษัท ODDS (กลุ่มคนที่เชื่อว่าการทำ software ต้องสนุก) เราเป็นทีมฟรีแลนซ์ที่มารวมตัวกันแล้วออกไปเป็นที่ปรึกษา (consult) ให้กับบริษัทต่างๆ เราเคยทำงานกับ K-Bank, KTB, แสนสิริ หรือบริษัทใหญ่ๆ ที่อยากเปลี่ยนแปลงแต่อาจจะไม่เร็วทันใจ ช่วยให้คำปรึกษาและทำงานร่วมกันตั้งแต่เรื่อง ระบบหลังบ้าน ระบบหน้าบ้าน กระทั่งการไปทำความเข้าใจลูกค้าเพื่อผลิตงานออกมา เมื่อบริษัทสามารถปรับตัวได้เองแล้ว เราก็ไปช่วยที่อื่นกันต่อ

ที่ว่า ‘เปลี่ยนแปลง’ คือเปลี่ยนอะไร?

เปลี่ยนความคิดของคนทำธุรกิจ จากแต่ก่อนที่เชื่อว่า “service (บริการ) ไม่ต้องดีมาก แค่ใช้งานได้ก็พอแล้ว แค่ทำเงินให้บริษัทได้ ยิ่งใหญ่แล้ว” แต่วันนี้ “แค่ใช้งานได้” (เน้นเสียง) ไม่เพียงพอแล้วนะครับ เพราะ “คุณค่า” (value) มันต่ำมาก เช่น เมื่อก่อนแถวนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่แค่ร้านเดียว ยังไงลูกค้าก็ต้องมากินร้านเรา แค่มีก๋วยเตี๋ยวให้เค้ากินก็พอแล้ว การโฆษณาก็ทำง่าย ๆ แค่บอกว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อย ๆ อยู่ตรงนี้ก็พอ

แต่ทุกวันนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยว 20 ร้าน อร่อยอย่างเดียวไม่พอ อะไรคือจุดที่แตกต่าง? ทำไมเค้าต้องมากินก๋วยเตี๋ยวร้านเรา แล้วถ้าร้านข้างๆ ขายก๋วยเตี๋ยวราคา 15 บาท แต่เราอยากขาย 200 บาทจะทำยังไง แค่บอกว่าอร่อยกว่ามันไม่พอแล้ว เราต้องอธิบายให้ได้ว่าความแตกต่างระหว่าง 200 กับ 15 บาทคืออะไร? เส้นที่สามารถอุ้มน้ำซุปได้มากขึ้นเหรอ หรือลูกชิ้นที่มีรสชาติเข้ากับน้ำซุป หรือว่าคืออะไร? บางทีเราใส่วัตถุดิบที่เราคิดว่าดีลงไปแต่มันออกมาไม่กลมกล่อม ผู้ใช้ (user) ก็ไม่เห็นคุณค่า (value) มันก็ราคาไม่ถึงสองร้อย เราต้องออกแบบไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าอยากให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์อย่างไร ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มออกแบบก๋วยเตี๋ยวเลย

อะไรที่ทำให้แตกต่าง คุณภาพสินค้า?

ได้ทุกอย่างเลย (เน้นเสียง) ทุกอย่างกระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้หมด แล้วจะทำอะไรก่อนดี คุณภาพเหรอ? แต่คุณภาพตรงไหนล่ะ มีเรื่องที่ต้องทำเยอะไปหมดเลย เราทำทุกอย่างในครั้งแรกไม่ได้ เราต้องเข้าไปคุยกับ user ก่อน เราต้องรู้ว่าสำหรับผู้ใช้ของเรา คำว่า ‘สินค้าคุณภาพ’ ของเค้าคืออะไร

ทำไมต้องคุยกับ user คุยกับผู้ผลิตได้มั้ย ในแง่ที่ผู้ผลิตอาจเป็นผู้รู้ที่สุดว่าคุณภาพหรือจุดแข็งของสินค้าเขาคืออะไร

ผู้ผลิตรู้จักสินค้า (product) ของเขาดีที่สุด แต่เค้าไม่รู้ว่าคนกินอะไรแล้วมีความสุขที่สุด เค้าอาจจะมีประสบการณ์ว่าทำอะไรแล้วผู้ใช้จะชอบ แต่ผู้ใช้ของร้านคุณกับร้านอื่นไม่เหมือนกันนะ ลองไปคุยกับผู้ผลิตแป้ง ผู้ผลิตแป้งทำแป้งเยอะเลย เขารู้ว่าแป้งก๋วยเตี๋ยวแบบไหนจะเข้ากับน้ำซุปแบบไหน ถ้าน้ำซุปเข้มข้น แป้งต้องซึมน้ำได้น้อยรึเปล่า ผู้ผลิตอาจบอกได้ว่าแป้งของเค้าเป็นแบบไหน แต่ทีม UX จะรู้ใจคนที่กินร้านเราที่สุด

และต้องไม่ลืมว่าเดี๋ยวนี้ลูกค้าไม่ได้เข้าแค่ร้านเดียว เขาเข้าตั้งหลายร้าน ดูอย่างร้านกาแฟอย่าง Starbucks, Amazon, Coffee World ลูกค้าคนหนึ่งเข้าหมดทั้งสามร้าน แต่มันจะมีโมเมนต์บางโมเมนต์ที่บอกว่า ถ้าอารมณ์แบบนี้ต้องเข้า Starbucks อารมณ์แบบนี้เข้า Amazon หรือ Coffee World คำถามคือ… เรารู้หรือยังว่าลูกค้าเข้าร้านเราด้วยอารมณ์ไหน โมเมนต์ไหน? เพื่อให้ได้ประสบการณ์แบบที่เค้าคาดหวังไว้

นี่คือหนึ่งในหน้าที่ของนักออกแบบประสบการณ์ (UX Designer) คือการเข้าไปค้นหาว่าลูกค้าอยากได้ experience อะไร ?

เพราะถ้าเรารู้ว่าลูกเค้าเข้าร้านเราด้วยอารมณ์ไหน เราจะจัดกาแฟที่ดีที่สุดในโมเมนต์นั้นให้เค้าได้ ร้านเราจะไม่มั่วละ เราจะเริ่มมีชนิดหรือรูปแบบกาแฟสำหรับร้านเรา นี่คือสิ่งผู้ให้บริการต้องหา ต้องไปเข้าใจผู้ใช้ให้มากขึ้น

เดี๋ยวนี้เราแยกคนง่ายๆ ตามอายุแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เมื่อก่อนที่ตัวเลือกน้อย ช่องทางการสื่อสารน้อย คนแต่ละวัยจะดูทีวีเหมือนๆ กัน ก็จะคิดเหมือนๆ กัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว คนบริโภคข่าวสารหลากหลาย มีช่องทางมากขึ้น คนจึงต่างกันเยอะมาก ทำของชิ้นเดียวให้คนจำนวนมากไม่ได้แล้ว เข้าสู่ยุคที่ลูกค้าเลือกได้ สินค้าชิ้นเดียวกันชั้นก็เลือกกันไปตามอารมณ์ของฉัน ณ เวลานี้

เวลาที่บอกว่า ‘เข้าไปทำความเข้าใจลูกค้า’ สาย UX มีกระบวนการอย่างไร

กระบวนการของ UX หรือด้านดีไซน์ มันมีวิธีการเพื่อเข้าไปเข้าใจลูกค้าอยู่แล้ว ตั้งแต่เข้าไปคุยตรงๆ ถามลูกค้าว่าอยากได้อะไร ชอบหรือไม่ชอบอะไร หรือกระบวนการ shadowing เข้าไปเป็นเงาของเขาก็มี คือไปเดินตามเขา แต่ไม่ใช่ในแง่ stalker นะครับ สมมติว่าโจทย์คือทำแก้วกาแฟให้กับร้านกาแฟร้านหนึ่ง วิธีการคือเข้าไปสิงตามร้านกาแฟเพื่อดูว่าคนเค้าจับแก้วกาแฟแบบไหน การจับแก้วกาแฟของร้านเมืองหนาวกับร้านเมืองร้อนก็ไม่เหมือนกัน ความเร็วในการกระจายความร้อนหรือเก็บความร้อนของแก้วแต่ละประเภทก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเราเข้าไปสิงในร้านกาแฟหลายๆ ร้าน เราจะเริ่มเข้าใจ

แต่ส่วนใหญ่คนทำงาน software ปัจจุบันจะชอบไปฟังว่า user อยากได้อะไร เข้าไปฟังก็จริงแต่เราไม่เชื่อนะ ยังไม่เชื่อจนกว่าเราจะได้เข้าใจไปเข้าใจเค้ามากขึ้น เช่น เค้าบอกว่าอยากได้แก้วกาแฟหนาๆ เราทำแก้วหนาๆ ให้เลย แบบนั้นไม่ถูก

ทำไมไม่เชื่อ นี่คือโจทย์ของลูกค้าเลยนะ

เพราะเรารู้ว่า user ไม่ใช่มนุษย์ผลิตแก้ว เขาเห็นแก้วไม่กี่แบบ แต่เราในฐานะคนพัฒนา service ในตัวอย่างนี้คือคนพัฒนาแก้วกาแฟ เราเห็นแก้วมาเป็นพันๆ แบบ แง่นี้เรารู้ว่าแก้วไหนดีที่สุดสำหรับเขา
เขาบอกว่าอยากได้แก้วกาแฟหนา เราถามต่อเลย “ทำไมอยากได้แก้วหนาครับ?” / “อ๋อ มันตกไม่แตก และรู้สึกว่าแก้วหนามันใหญ่ดี” อย่างนั้นโอเคเลย สองเรื่อง หนึ่ง-มันมีแก้วที่ตกแล้วไม่แตกหลายประเภท แก้วหนาก็ไม่ได้แปลว่ามันจะตกแล้วไม่แตก สอง-แก้วหนามักจะใบใหญ่ก็จริง แต่ไม่ได้แปลว่าความหนาจะต้องเป็นแก้วใหญ่เสมอไป

ถามต่ออีก “แล้วทำไมชอบแก้วใหญ่?” / “อ๋อ… แก้วใหญ่กินได้เยอะดี” เราก็เริ่มคิดตามแล้วเนอะ กาแฟที่เขากินเป็นแบบไหน ทำไมต้องกินเยอะ พฤติกรรมการกินปกติของเขาเป็นยังไง เขาอาจตอบว่า “กินทั้งวัน” เราก็จะเริ่มเห็นละ อ๋อ… แก้วใหญ่ กินทั้งวัน เขานั่งกินที่โต๊ะทำงานใช่มั้ย ไม่ใช่การนั่งจิบแบบสวยงาม คุยกันต่อไปอีก “ช่วงแรกก็ดีนะ แต่ช่วงหลังๆ มันเริ่มเย็น” อ๊ะ… มี pain point เริ่มเห็นแล้วว่า ต้องการแก้วที่มันใส่ได้เยอะ และอยู่ไปนานๆ ได้ โดยไม่ต้องสนใจเลยว่ามันเป็นแก้วหนา

นี่เป็นเหตุผลว่านักออกแบบประสบการณ์จะไม่เชื่อความต้องการ (requirement) ของลูกค้าตั้งแต่แรก แต่จะไปรู้จัก user ให้มากกว่าที่ user รู้จักตัวเอง เราก็รู้จัก user ได้มากกว่าที่เค้ารู้จักตัวเองอยู่แล้วเพราะเราเป็น domain expert ในเรื่องนั้น เราเจอคนกินกาแฟมาเป็นร้อยๆ คน เพราะฉะนั้นเราขุดได้เยอะ

มีตัวอย่างการทำตามโจทย์ หรือ requirement ของลูกค้า แต่สุดท้ายแล้วไม่ตอบโจทย์ประสบการณ์ของผู้ใช้จริงๆ ไหม

นึกถึง product ที่ล้มเหลวนะครับ (หัวเราะ) แต่จริงๆ แล้วทุกโปรเจคท์เอามายกตัวอย่างได้หมดเลย เราเคยทำเว็บไซต์ให้กับธนาคารแห่งหนึ่ง ลงทุนนานมาก ใช้พลังเยอะมาก ทำกันอยู่ครึ่งปี ใส่ developer ใส่ designer กันแทบตาย แต่เว็บนี้มีอายุอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เปิดตัวปั๊บ… คนถล่มก่อนเลยว่าทำไมทำเว็บไซต์ออกมาแบบนี้ เปิดตัวตอนเช้า ตอนเที่ยงปิดเลย

หน้าตาเว็บที่ว่าก็คือ เขาเอาเมนูทุกอันขึ้น เอาบริการทุกอย่างไว้หน้าแรก เพื่อที่ user หรือลูกค้าจะได้หาเจอ แผนกการตลาดไปทำรีเสิร์ชกับลูกค้ามาแล้วบอกว่า นี่คือสิ่งที่ลูกค้าขอนะ ต้องเอาไว้หน้าแรก แผนกธุรกิจบอกว่าต้องใส่ข้อมูลตัวนี้ลงไปด้วย ฝากการตลาดเสริมอีกว่า หน้ามนุษย์คือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของคน เพราะฉะนั้นหน้าแรกต้องมีรูปมนุษย์สวยๆ 1 ใน 3 อยู่ในนั้น

เรียกว่าตอบทุกโจทย์ ทุกเช็คลิสต์ทั้งของคนทำงานและ user

อื้ม (พยักหน้า) แต่ไม่เกิดความเข้าใจ เป็นแค่การเก็บ requirement ของ user ของทีมการตลาด และทีมธุรกิจ โดยไม่รู้เบื้องลึกว่าทำไมแต่ละกลุ่มถึงอยากได้แบบนั้น ก็คงเดาแหละ… ผมว่าเค้าเดาได้แต่ไม่สนใจ เพราะถ้าสนใจว่าเว็บไซต์นี้จะนำไปสู่การขายมั้ย เค้าจะรู้ว่าการใส่เมนูลงไปทุกอย่างมันไม่มีทางขายออก

แต่คนดีไซน์ตอนนั้นบอกว่า “ก็ชั้นทำตามสั่ง” เอาหน้าเว็บนี้ไปตรวจเช็คและประเมิน (approve) ว่ามีข้อไหนที่ยังไม่ได้ทำ ถ้าทำหมดแล้วก็ผ่าน ยิ่งถ้าเป็นราชการจะยิ่งอันตราย เพราะราชการจะมีเช็คลิสต์ว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่คนออกเช็คลิสต์กับคนตรวจรับเป็นคนละคนกัน คนตรวจรับก็ไม่แคร์อยู่แล้วเพราะชั้นก็ต้องป้องกันข้อผิดพลาดของตัวเองโดยดูจากเช็คลิสต์ ถ้าเช็คลิสต์ครบ ชั้นเซ็นต์ได้ งานออกได้ แต่วัดความรักว่า user ชอบมั้ยจากเช็คลิสต์ไม่ได้

แต่ตอนนี้เว็บไซต์ของธนาคารที่ว่าไม่ใช่แบบนั้นแล้วนะครับ เว็บใหม่ดูดีมาก เรียงใหม่โดยการให้เมนูในบรรทัดแรกคือสิ่งที่สำคัญที่สุด บรรทัดที่สองหรือซับเมนูคือเมนูที่คนจะเข้ามากที่สุด ส่วนพื้นที่ส่วนใหญ่เอาไว้บอกว่าชั้นคือใคร ชั้นทำอะไรให้เธอได้บ้าง เพราะนั่นคือสิ่งที่ user อยากรู้ คือเห็นทิศทางชัดเจนว่าถ้าชั้นอยากจะหาเซอร์วิสพิเศษ อยากจะหาหน่วยงานพิเศษ ให้ไปเสิร์ชได้ที่ไหน และต้องไปที่ไหนต่อ คนทำงานรู้แล้วว่าไม่อาจเอาทุกอย่างออกมากางได้

ถ้าต้องถอดบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ สิ่งที่ได้หรือเสียไปจากความประสงค์ดี ต้องการเก็บ requirement ให้ครบและไม่ตอบโจทย์ลูกค้า คืออะไร?

บทเรียนสำคัญคืออย่ามองผู้ใช้เพียงผิวเผิน อย่ามองเพียงว่าเค้าอยากใช้อะไรบ้าง ให้นึกถึงชีวิตของเค้าจริงๆ เค้าเข้ามาหาเราได้อย่างไร เข้ามาด้วยความคาดหวังอะไร เราจะตอบเค้าเป็นลำดับอย่างไรบ้าง แต่ละขั้นเค้าจะรู้สึกอย่างไร ยังอยากจะไปกับเราอยู่หรือเปล่า เรื่องแบบนี้เมื่อก่อนเรายกให้เป็นภาระของพนักงานบริการที่ต้องทำให้ผู้ใช้งานเกิดความราบรื่น แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นหน้าที่ของโปรแกรมที่ต้องพาผู้ใช้ไปแทน เราก็ต้องออกแบบโปรแกรมเหมือนที่พนักงานบริการคิด เราต้องทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีในทุกขั้นตอน เพราะผู้ใช้จะรับรู้ภาพของบริษัทเราจากช่องทางนั้น

ลองนึกดูว่าถ้าสายการบินหนึ่งทำโปรแกรมออกมา ผู้ใช้เข้าไปจองตั๋วครั้งแรกแล้วโปรแกรมพัง หรือใช้แล้วงง อ่านแล้วไม่เข้าใจ เค้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าขึ้นไปบนเครื่องบินแล้วจะได้บริการที่ดี หรือขึ้นไปแล้วเครื่องจะไม่ตก สิ่งที่เราเสียไปจากการที่ประสบการณ์ผู้ใช้ไม่ดี มันใหญ่จนแทบประเมินไม่ได้เลย

ไม่ใช่แค่การปรับเว็บ แต่วิธีคิดของการ ‘สร้างประสบการณ์เพื่อผู้ใช้’ เรื่มคิดจากอะไร

ปรับ mindset ครับ ทำให้เข้าใจแนวคิดว่า “เพื่อทำให้ใครสักคนเข้าใจว่า มีใครสักคนหนึ่งกำลังจะใช้ของๆ ชั้นอยู่” เช่น ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) จะออกเอกสารหนึ่งอันเพื่อพนักงาน เค้าจะนึกว่าพนักงานจะได้อ่านมั้ย ไม่ใช่ทำตามนโยบายบริษัทว่าให้ส่งเมลก็ส่งแต่อีเมลให้ทุกคน แต่ต้องคิดว่า เฮ้ย… แมสเสจแบบนี้ ส่งไปเค้าก็ลบทิ้ง ยังไม่ทันได้อ่านหัวข้อด้วยซ้ำ แค่เป็นอีเมลจาก HR นี่ลบก่อนเลย แล้วข้อมูลแบบนั้นควรไปอยู่ตรงไหนล่ะ? ในลิฟต์เหรอ หรือในห้องน้ำมั้ย ทำธุระอยู่ก็ดูได้อ่านได้ หรือควรไปอยู่ตรงไหนดี

ไม่นับว่าข่าวจาก HR ที่ส่งไปทุกวันมันมีลำดับความสำคัญ ทีนี้พอส่งข่าวที่สำคัญมากๆ ไปแล้วถูกคละอยู่กับข่าวไม่ค่อยสำคัญ มันก็หายไปเลยนะ เพราะฉะนั้นเค้าจะรู้ว่า ช่องทางไหนที่ต้องใช้พลังในการอ่าน ก็ต้องนานๆ ส่งที ส่วนช่องทางที่จำเป็นน้อยหน่อยแต่ต้องส่งประจำ ก็ไม่ต้องส่งทางอีเมล แต่หาพื้นที่หนึ่งเพื่อให้คนรู้ว่าจะมาอ่านที่ตรงนี้ได้เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าข่าวสารสำคัญจะถูกอ่านจริงๆ
เวลาที่ทีม HR เข้าใจคนอ่าน เค้าก็จะทำของที่คนได้อ่านและใช้จริง แต่ถ้า HR ไม่แคร์ ก็นโยบายมาแบบนี้ หัวหน้าสั่งแบบนี้ชั้นก็ทำแบบนี้… ก็จบ

เวลาได้ยินคำว่า ‘งานออกแบบ’ สิ่งที่มาคู่กันคือ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ความสร้างสรรค์หรือ creative อยู่ตรงไหน ในงานออกแบบประสบการณ์

UX กับ creative ไปด้วยกันมาก แต่ที่ไม่ค่อยไปด้วยกันคือ art ซึ่ง art กับ creative ต่างหาก ที่ไม่เหมือนกัน

งาน art คือการ ‘ตั้งคำถาม’ อะไรสักอย่างกับ user ว่า โลกใบนี้เป็นแบบนี้ไม่ได้เหรอ? แต่งาน creative คือการ ‘ตอบคำถาม’ และ ‘แก้ปัญหา’ ให้กับ user

ฉะนั้น ทีม creative โดยเฉพาะเด็กที่เรียน industrial design มา เค้าจะเข้าไปค้นหาก่อนเลยว่า user มีปัญหาอะไร เค้าประสบความยากลำบากอะไรในชีวิต แล้วเดี๋ยวชั้นจะหาทางแก้ให้ ทางแก้มีเยอะแยะเลย แต่ทางไหนที่ดีที่สุด เดี๋ยวชั้นไปหามา ซึ่งกระบวนการคิดแบบนี้มันเป็นกระบวนการคิดที่มีชื่อเรียกว่า design thinking (วิธีคิดแบบนักออกแบบ)

การตอบโจทย์ไม่จำเป็นต้อง ‘ว้าว’ แบบ… “โว้ย คิดได้ยังไงเนี่ย” แต่ถ้าคุณตอบโจทย์แบบใหม่ได้ด้วยการใช้ความคิด คุณ creative แล้วแน่ๆ

การแก้ปัญหาได้มัน ‘ว้าว’ อยู่แล้วแหละ แต่จะ ‘ว้าว’ มากหรือน้อย อยู่ที่คุณใช้ความคิดกับมันมากแค่ไหน โจทย์คือ เมื่อ user ใช้งานแล้วคุณมีความสุขกับงาน นั่นคือ creative

แต่คำถามนี้อาจผูกโยงภาพจำของงานโฆษณาด้วย อันนี้ต้องไปดูว่าฝั่ง art กับ creative ว่าจะบาลานซ์กันไปยังไง

ในวงการศึกษาพูดกันเสมอว่าเด็กในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่เรียนเก่ง แต่ต้องมีทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมด้วย ถ้าอยากให้เด็กโตขึ้นมาแล้วมีทักษะแบบนี้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาด้วยพลังสร้างสรรค์ มุมของนักออกแบบประสบการณ์ เริ่มจากอะไรดี?

อย่างแรกที่ต้องทำลาย คือข้อสอบที่มีคำตอบแค่อย่างเดียว เช่น ข้อสอบปรนัยมี 4 ช้อยส์ แต่มีที่ถูกอยู่ข้อเดียว นั่นคือการทำลายเด็ก

สมมติว่าเด็กคนหนึ่งลุกขึ้นมาบอกว่า 1+1 เท่ากับ 3 แล้วเค้าบอกได้ว่าทำไม เค้าควรได้คะแนนนะ และนั่นต่างหากคือเด็กที่เราอยากได้ เราอยากได้มนุษย์ที่คิดต่าง เด็กที่สามารถบอกได้ว่า ทำไม 1+1 ถึงเท่ากับ 3 และมีเหตุผลรองรับไม่ได้มั่วมา

หรือเราบอกเด็กๆ ว่าเรามาวาดซูเปอร์ฮีโร่กันเถอะ มีเด็กคนหนึ่งวาดบ้านของซูเปอร์ฮีโร่ มันก็ควรเป็นไปได้ถูกมั้ย เพราะนี่คือหัวข้อของซูเปอร์ฮีโร่ ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวตนก็ได้ หรือวิธีการเรียนบางอย่าง

แทนที่เราจะบอกว่าวันนี้เรามาดูร่างกายของกบกันเถอะ แต่เรารู้ว่าเด็กคนหนึ่งกำลังอินกับเรื่องซูเปอร์ฮีโร่อยู่ กบกับซูเปอร์ฮีโร่ จะออกแบบการเรียนได้ยังไง ชวนกันสร้างซูเปอร์ฮีโร่กบดีมั้ย? กบตัวนี้มันต้องยังไงนะ ต้องมีพลังอะไร ชวนกันดูร่างกายของกบว่าส่วนไหนที่จะสร้างพลังได้ ทีนี้เด็กก็จะมันส์มากๆ เขาอาจเดินเข้าห้องสมุดเพื่อไปหาข้อมูลมาสร้างซูเปอร์ฮีโร่กับก็ได้ บอกให้เขาไปดูอนาโตมีกบแล้วท่อง มันก็น่าเบื่อจะตาย

แต่ครูจะเหนื่อยมาก เพราะเดี๋ยวคนนี้ก็สร้างซูเปอร์ฮีโร่จากตุ๊กตาบาร์บี้ คนนี้เดอะคาร์ พาโทล คนนี้ซูเปอร์ฮีโร วิธีการคือ

ครูต้องเลิกเป็นจุดศูนย์กลางได้แล้ว เด็กทุกคนอย่ามามองที่ครูแต่มองตัวเอง ครูเป็นครูอำนวยการ (facilitator) เฉยๆ แล้วเด็กทุกคนก็จะเติบโตไปในแบบของเขา แล้วเราจะได้มนุษย์ที่อธิบายว่าทำไม 1+1 = 3 ซึ่งไม่ได้พบแบบมั่วๆ แต่คิดมาแล้วตามหลักการ

แล้วถ้ามีมนุษย์ที่เจอ 4 หรือ 5 ได้ด้วยเหตุผลยิ่งดีใหญ่ ลองคิดว่าถ้าจับพวกนี้มาเถียงกัน มาแก้ปัญหาเดียวกันเรื่อง 1+1 มันจะที่ดีขนาดไหน เราไม่อยากให้โลกเป็นแบบนั้นเหรอ?

ถ้า UX กำลังอยากได้คนทำงาน มักจะมองหาเพื่อนร่วมทีมแบบไหน

ถ้าเป็นงาน UX เรามักเจอคนที่ไม่แคร์ว่าชั้นต้องทำอะไร ต้องลงไปเล่นในตำแหน่งไหน แต่ดูว่าเป้าหมายคืออะไร แม้ตัวเองจะเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่ถ้าเป้าหมายนั้นต้องเข้าไปทำงาน HR ด้วยเพื่อให้บริษัทอยู่รอด ชั้นก็จะลอง ตอนอยู่ที่บริษัทเก่า ทีม developer เริ่มเห็นแล้วว่าการคัดคนเข้าทำงาน (recruitment) มีปัญหา เราก็ลงไปช่วย HR ทำ recruitment คือเค้าไม่แคร์ว่าชั้นต้องทำอะไร ชั้นทำได้ทุกอย่าง

เด็กที่เราต้องการคือเด็กที่ไม่ยึดติด สามารถปรับตัวเข้ากับทุกอย่างได้ แต่เค้ามีจุดมุ่งหมายนะ เค้าจะมีหนังสือเล่มถัดไปที่จะอ่านเสมอ และการบอกว่าเล่นได้ทุกบทบาท ก็ไม่ได้แปลว่าไม่จริงจังด้วย เอาจริงเลยละ

ฉะนั้น motivation ในยุคใหม่ สำคัญที่สุดคือต้องทำให้คนที่เข้ามาในทีมรู้สึกว่าเค้ากำลังอยู่ในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ลำพังแค่เค้าคนเดียวตอบโจทย์นั้นไม่ได้ แต่ถ้าเค้ามาอยู่ในบริษัทเรา เค้าจะเป็นตัวแปรที่สำคัญมากที่ทำให้เราตอบโจทย์ได้

จุดมุ่งหมาย พลังในการทำงาน อุดมการณ์ ก็จำเป็นต้องมีงานทีมด้วย

ใช่ ไม่อย่างนั้นไม่มีพลัง เราจึงไม่ควรถามเด็กว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” เพราะถ้าบอกว่าอยากเป็นหมอ ก็แค่เรียนหมอ แต่ถ้าถามว่า “คุณอยากแก้ปัญหาอะไร” การรู้ว่าอยากจะแก้ปัญหาอะไรจะเป็นตัวที่บอกว่า คุณจะเรียนอะไร จบไปแล้วคุณจะทำอะไร จะเลือกบริษัทไหน และมันจะเป็นตัวบอกว่า “ชั้นไม่แคร์หรอกว่าชั้นต้องอยู่ตำแหน่งไหน”

เพราะชั้นอยู่ตำแหน่งไหนก็ได้ที่แก้ปัญหานั้นได้

การเรียนรู้และนวัตกรรม คือหัวข้อสำคัญที่ภาคการศึกษาทั่วโลกกำลังให้ความสนใจในฐานะทักษะจำเป็นในศตวรรษที่ 21 มีความพยายามคิดค้นหลักสูตรและนโยบายให้ชั้นเรียนมีรูปแบบการสอนกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียนมากขึ้น (Self-Learning)
ทักษะที่ว่าถูกสรุปให้กระชับในชื่อ 4Cs ดังนี้
– C ที่ 1: Creativity and Innovation คิดนอกกรอบและต่อยอดเป็น
– C ที่ 2: Critical Thinking and Problem Solving คิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ปัญหาเองได้
– C ที่ 3: Communication สื่อสารได้ถูกต้องเหมาะสม
– C ที่ 4: Collaboration การทำงานร่วมกับผู้อื่น
นักออกแบบประสบการณ์ หรือ User Experience Designer อาชีพเกิดใหม่ในโลกดิจิทัล หากถอดความจากผู้เชี่ยวชาญเบื้องต้นอาจพบว่า งาน UX ต้องใช้ทักษะครบทั้ง 4 ด้าน นั่นคือการคิดสร้างสรรค์ (C1) ที่เกิดมาจากการแก้ปัญหา (C2) สำคัญที่สุด พวกเขาคือกลุ่มฟรีแลนซ์ที่มารวมกันกันเพื่อออกไปเป็นที่ปรึกษาซึ่งบนฐานความ(อยาก)เข้าใจผู้ใช้งานอย่างลึกซึ้ง ซึ่งนั่นหลีกไม่พ้นทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกับผู้อื่น (C3 และ C4)

Tags:

AIอาชีพนวัตกรรม4Csความคิดสร้างสรรค์(Creativity)design thinkingอภิรักษ์ ปนาทกูล

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Character buildingVoice of New Gen
    “ลูกค้าคือทรัพยากรของนวัตกรรม” ทักษะคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างนวัตกรรม กับ ต้อง – กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร SCB10X

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Voice of New Gen
    NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • 21st Century skills
    5 ขั้นตอนปลุกสมองให้คิดสร้างสรรค์ และถ้าเจอปัญหา ‘อย่าหนี’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    อย่าเอาความคิดผู้ใหญ่ มาทำลายความคิดสร้างสรรค์เด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

‘ตอนนี้’ และ ‘โตขึ้น’ อยากเป็นอะไร พ่อแม่ช่วยลูกค้นหาได้ด้วย 9 วิธีนี้
Family Psychology
23 November 2018

‘ตอนนี้’ และ ‘โตขึ้น’ อยากเป็นอะไร พ่อแม่ช่วยลูกค้นหาได้ด้วย 9 วิธีนี้

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • เป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกที่ช่วยกระตุ้นการใช้ชีวิตในระยะยาว เป้าหมายมีความสัมพันธ์กับความต้องการที่ขาดไม่ได้ของคนทั่วไป มีที่มาจากความเชื่อที่ว่าโลกต้องการการพัฒนาและการปรับปรุงให้ดีขึ้น แล้วเราทุกคนมีส่วนช่วยโลกได้
  • ความคิดเชิงบวกเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดี หากพ่อแม่ปลูกฝังให้ลูกมองความยากเป็นเรื่องท้าทายที่แก้ไขได้ ความคิดนี้จะช่วยสร้างให้เด็กมีความมั่นใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา
  • หากพ่อแม่ถามลูกด้วยคำถามที่ดีพอ คำถามเหล่านั้นอาจช่วยสร้างแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นให้พวกเขาคิดถึงเป้าหมายของตัวเองในอนาคต

‘เป้าหมาย’ เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเมื่อมีเป้าหมายแล้ว ‘ลงมือทำ’ นั่นนำไปสู่การทุ่มเทแรงกายแรงใจ พลังงาน และความคิดสร้างสรรค์ หมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้น วิลเลียม เดมอน (William Damon) ผู้อำนวยการศูนย์สแตนฟอร์ดเกี่ยวกับวัยรุ่น (Stanford Center on Adolescence) และ ผู้เขียนหนังสือ The Path to Purpose (เส้นทางไปสู่เป้าหมาย) บอกว่า

เป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกที่ช่วยกระตุ้นการใช้ชีวิตในระยะยาว แตกต่างจากความหลงใหล (passion) และ ความทะเยอทะยาน (ambition) ซึ่งโฟกัสไปที่ตัวบุคคลมากกว่า ส่วนเป้าหมายมีความสัมพันธ์กับความต้องการ (needs) ที่ขาดไม่ได้ของคนทั่วไป มีที่มาจากความเชื่อที่ว่าโลกต้องการการพัฒนาและการปรับปรุงให้ดีขึ้น แล้วเราทุกคนมีส่วนช่วยโลกได้

อย่างไรก็ตาม การค้นหาเป้าหมายในชีวิตเป็นเรื่องท้าทายมากสำหรับคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน เพราะความเชื่อและค่านิยมของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยทุ่มเททำงานด้วยความศรัทธา โดยมีเป้าหมาย เช่น เพื่อแต่งงานสร้างครอบครัว เพื่ออาชีพการงานที่มั่นคงในอนาคต ปัจจุบันค่านิยมเหล่านี้ค่อยๆ เลือนรางหายไปจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ จนถูกผลักให้กลายเป็นความคิดของคนยุคเก่า

ผลจากการศึกษาของเดมอน พบว่า มีนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่รู้เป้าหมายว่าตนเองเรียนไปเพื่ออะไร นอกจากนั้นเข้าข่าย มีแรงกระตุ้นแต่ขาดการวางแผน มีความตื่นตัวและกระตือรือร้นแต่ไม่รู้จะไปทางไหนดี หรือไม่ก็หัวก้าวหน้าเกินจนไปต่อไม่ถูก

ด้วยเหตุนี้ เดมอนจึงเสนอวิธีช่วยให้คนรุ่นใหม่ค้นหาเป้าหมายของตัวเองเจอ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ใหญ่ โดยผู้ปกครองสามารถสวมบทบาทเป็นพี่เลี้ยงให้เด็กและเยาวชนได้ ด้วยเทคนิคและวิธีการต่อไปนี้

1. คุณไม่สามารถเขียนบทชีวิตให้กับลูกได้

‘ไม่ครอบงำแต่รั้งเบาๆ’ เป็นวิธีการแรกที่เดมอนแนะนำ เรื่องนี้อาจยากสำหรับผู้ปกครองที่อยู่ท่ามกลางสังคมแห่งการแข่งขัน คาดหวังในตัวลูกสูงและอยากประกาศความสำเร็จของลูกให้กับคนรอบตัวได้รับรู้

สิ่งที่ผู้ปกครองควรทำเป็นอย่างแรก คือ การตั้งหลัก แล้วถอยหลังออกมาให้ลูกได้มีพื้นที่เป็นผู้นำตัวเอง

ความเข้มงวดและการบังคับให้ลูกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการอาจได้ผลในระยะสั้น แต่ผลสะท้อนกลับในระยะยาวเป็นสิ่งที่น่ากังวลมากกว่า ถ้าเด็กไม่หนีเตลิดก็อาจหมดความมั่นใจ จนคิดอะไรไม่เป็นไปเลยก็ได้ ดังนั้นหนทางที่ส่งผลดีทั้งต่อผู้ปกครองและเด็กในระยะยาว คือ การที่ผู้ปกครองสวมบทเป็นผู้สนับสนุนแทนที่จะเป็นผู้กำกับ

2. พูดคุยกับลูกว่างานสำคัญกับพ่อแม่อย่างไร

ไม่บ่อยนักที่พ่อแม่จะคุยเรื่องงานกับลูก อะไรเป็นแรงขับให้พ่อแม่ทำงานที่ทำอยู่ งานที่ทำมีส่วนช่วยเหลือผู้อื่นและสังคมอย่างไร สะท้อนความเป็นตัวเองอย่างไร หรืองานสามารถดูแลครอบครัวได้อย่างไร การทำงานไม่ใช่แค่เพื่อค่าตอบแทนอย่างเดียวแต่ตอบสนองต่อเป้าหมายหลายอย่างในชีวิตได้

การถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้กับเด็กมีความสำคัญมากในช่วงเวลาที่เด็กยังไม่สามารถจินตนาการถึงการทำงานในชีวิตจริงได้ เดมอนบอกว่า ความไม่เข้าใจถึงความหมายที่ลึกซึ้งของการทำงาน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนรุ่นใหม่เฉยเมยและดูถูกงานที่ทำ

คำอธิบายของเดมอน สอดคล้องกับที่ ริช เฟอร์นานเดซ (Rich Fernandaz) ผู้ร่วมก่อตั้งวิสดอม แล็บ (Wisdom Lab) ที่มุ่งเน้นการนำวิทยาศาสตร์และข้อมูลมาส่งเสริมเรื่องสติปัญญา การพัฒนาศักยภาพ และการแสดงออกถึงการวางเป้าหมายในตัวบุคคล อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งด้านการบริหารการศึกษาและการพัฒนาความเป็นผู้นำ ในองค์กรชั้นนำอย่างกูเกิล (google) อีเบย์ (eBay) แบงค์ออฟอเมริกา (Bank of America) และ เจพี มอร์แกน เชส (JP Morgan Chase) พูดถึงการทำงานว่า งานที่ทำไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่ ‘ต้องทำ’ เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น แต่ควรป็นเครื่องสะท้อนตัวตนของแต่ละบุคคล

“เราควรทำในสิ่งที่เรามีความปรารถนาอยากจะเป็น” เฟอร์นานเดซ กล่าว

3. ถามคำถามอย่างระมัดระวังและรู้จักฟัง

เด็กและเยาวชนมักได้รับการสอนมากกว่าการตั้งคำถามถึงอนาคตของพวกเขา เดมอน บอกว่า หากพ่อแม่ถามลูกด้วยคำถามที่ดีพอ คำถามเหล่านั้นอาจช่วยสร้างแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้นให้พวกเขาคิดถึงเป้าหมายของตัวเองในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น สิ่งสำคัญในชีวิตของลูกคืออะไร? สำหรับลูกการเป็นคนดีหมายถึงอะไร? สิ่งไหนที่ลูกให้ความสำคัญและสนใจมากที่สุด? หรือ ลูกอยากถูกจดจำแบบไหน? เป็นต้น

การตั้งคำถาม เป็น 1 ใน 4 วิธีการ ที่เฟอร์นานเดซแนะนำเพื่อเป็นแนวทางให้คนคนหนึ่งเข้าใจความต้องการภายในของตัวเอง เพื่อนำไปสู่การวางเป้าหมายเช่นกัน

เฟอร์นานเดซให้ชุดคำถามสำคัญที่นำไปสู่การหาคำตอบที่หลายคนตามหาว่า…อะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิต อะไรที่ทำให้เราเป็นตัวเราได้ดีที่สุด เช่น

  • คุณอยากให้แต่ละวันของคุณเป็นแบบไหน?
  • อะไรที่คุณอยากทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อทำมัน?
  • อะไรที่คุณทำแล้วรู้สึกสนุก?
  • อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกถึงความสมดุลในชีวิต?
  • คุณอยากทำงานด้วยสภาวะจิตใจแบบไหน?
  • มีอะไรอีกไหมในชีวิตที่คุณสนใจและอยากให้เวลากับมันมากขึ้น?
  • ก่อนจะหายไปจากโลกใบนี้ คนแบบไหนที่คุณอยากจะเป็น?

ทั้งนี้และทั้งนั้น นอกจากการถามแล้ว สิ่งที่พ่อแม่ลืมไม่ได้เป็นอันขาด คือ การตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกต้องการสื่อสารอย่างตั้งใจ โดยไม่ตัดสินใจ

4. เปิดบทสนทนา

การตั้งคำถามเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การกระตุ้นให้เด็กคิดถึงเป้าหมายและมีความมุ่งมั่น ต้องอาศัยการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นจนเป็นนิสัย เดมอนบอกว่า พูดง่ายๆ คือ ผู้ปกครองและเด็กต้องพูดคุยกันจนการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันกลายเป็นเรื่องปกติ

ผู้ปกครองสวมบทเป็นผู้ฟังที่ดีอีกครั้ง ปล่อยให้ลูกเล่าและแสดงความคิดเห็นถึงสิ่งที่มีคุณค่าต่อพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่สามารถถามลูกว่า เขาคิดอย่างไรกับรายการทีวี โฆษณา หรือข่าวที่ดูด้วยกัน และ “ทำไม?” เป็นคำถามเติมเต็มที่ขาดไม่ได้ ยิ่งพูดคุยกันบ่อยเท่าไร พ่อแม่จะยิ่งเข้าใจว่าสิ่งไหนมีความสำคัญต่อลูก

5. เป็นผู้เล่นข้างเดียวกับลูก เดินร่วมทางกับสิ่งที่ลูกสนใจ

ผู้ปกครองไม่ควรวางตัวต่อต้านหรือขัดแย้งกับความสนใจของลูก แต่ให้โอกาส สนับสนุนและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน เดมอนแนะนำว่า ถ้าจนมุมถึงขนาดตามไม่ทันจริงๆ การแนะนำให้ลูกรู้จักกับคนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น และเป็นคนที่วางใจได้ก็เป็นทางเลือกอีกอย่างหนึ่ง อย่างน้อยๆ ผู้ปกครองต้องอนุญาตให้ลูกกำกับทางเดินชีวิตตามความสนใจของตัวเองและเป็นทีมเดียวกับลูก แม้ว่าความสนใจของลูกจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอก็ตาม

6. คิดบวกและแบ่งปันความรู้

ความคิดเชิงบวกเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดี แทนที่จะโฟกัสถึงความยากลำบากและความล้มเหลวในชีวิต จนทำให้เด็กรับรู้และรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความโชคร้ายและเลวร้ายในชีวิต ในทางกลับกันปลูกฝังให้ลูกมองความยากเป็นเรื่องท้าทายที่แก้ไขได้ ความคิดนี้จะช่วยสร้างให้เด็กมีความมั่นใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา

เดมอนบอกว่า พ่อแม่สามารถให้คำแนะนำด้วยการยกตัวอย่างสถานการณ์จากประสบการณ์ของตัวเอง ทั้งเรื่องงานและความสัมพันธ์ เหตุการณ์ที่พ่อแม่ใช้ความคิดเชิงบวกรับมือกับปัญหาจนทำให้ปัญหาคลี่คลาย เพื่อกระตุ้นกระบวนการคิดของเด็กได้ แต่หลีกเลี่ยงการคิดและสั่งให้เด็กทำ

7. ใช้แบบทดสอบเพื่อค้นหาจุดแข็ง

บางครั้งแบบทดสอบเป็นตัวช่วยให้เด็กและเยาวชนค้นพบจุดแข็งของตัวเองได้ Clifton StrengthsFinder ที่คิดค้นโดย ดอน คลิฟตัน (Don Clifton) บิดาแห่งจิตวิทยาด้านจุดแข็ง คือ เครื่องมือหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก แบบประเมินนี้เป็นผลลัพธ์จากการศึกษาวิจัยกว่า 50 ปี ซึ่งช่วยระบุจุดเด่นของบุคคล ผลการประเมินจะทำให้รู้จุดแข็ง 5 ใน 35 อย่างที่เด่นที่สุดของคนคนนั้น อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

8. ปล่อยเด็กๆ แสดงฝีมือเองบ้าง

พ่อแม่ต้องวางตัวเองอยู่ในระยะห่างที่เหมาะสมเพื่อให้ลูกแสดงความสามารถ เดมอน ย้ำว่า พ่อแม่ต้องไว้ใจให้ลูกคิดและลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ โดยพ่อแม่ทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์ ดูว่าสิ่งไหนลูกทำได้ดี สิ่งไหนควรได้รับการส่งเสริม เชื่อมโยงไปสู่ข้อสามและข้อสี่ คือ หลังลูกทำงานที่ได้รับมอบหมายแล้ว พ่อแม่สามารถตั้งคำถามและชวนลูกคิดและพูดคุยถึงสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จากงานที่ทำได้

ด้านเฟอร์นานเดซ บอกว่า คำตอบจากการตั้งคำถามที่ดี จะเป็นแนวทางให้ไม่ต้องฝืนทนทำสิ่งที่ขัดแย้งกับความต้องการของตัวเอง โดยเฉพาะการค้นหาเป้าหมายในเรื่องการทำงาน จากประสบการณ์ เฟอร์นานเดซเรียนรู้ว่า อย่าให้การโหยหาความสำเร็จมาเป็นแรงจูงใจในการทำงาน แต่ให้เลือกทำงานที่มีคุณค่า และมีความหมายต่อการมีชีวิตอยู่ เขาจึงทุ่มเทความพยายามไปบนเส้นทางที่สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง ซึ่งแรงบันดาลใจที่ว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามเหตุการณ์และช่วงเวลา

9. ทำให้เด็กๆ เชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาทำมีความสำคัญ

เด็กและเยาวชนควรรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำส่งผลต่อคนอื่นไม่ทางบวกก็ทางลบ พ่อแม่สร้างความมั่นใจให้เด็กได้ ด้วยการมอบหมายงานที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวให้เด็กๆ รับผิดชอบ เทคนิคสำคัญที่เดมอนแนะนำคือ การสื่อสารให้เด็กรู้และเข้าใจว่า หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนั้นสำคัญและส่งผลต่อครอบครัวอย่างไร นอกจากนี้ การสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนทำงานจิตอาสาก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้พวกเขาเห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในตัวเอง

จากบทความ How Parents Can Help Kids Develop a Sense of Purpose (พ่อแม่สามารถช่วยลูกพัฒนาเป้าหมายของตัวเองอย่างไร) เดมอน ยกตัวอย่าง แจ็ค เบคอน (Jack Bacon) นักศึกษาวิทยาลัยบอสตัน ที่ผ่านช่วงเลวร้ายในวันที่ต้องเสียแม่เมื่ออายุ 16 ปี ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องตัดสินใจว่าชีวิตควรเดินหน้าต่อไปอย่างไร เขาบอกว่า การเลี้ยงดูของพ่อแม่ทำให้เขารู้ว่าการมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งสำคัญ เขาโฟกัสไปที่การเรียนและพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ให้ตัวเองอยู่เสมอ เป้าหมายของเขา คือ การเป็นคนที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน

“ทุกวันเป็นวันสำคัญสำหรับผม เพราะผมจะได้พัฒนาตัวเองในทุกๆ วัน” เบคอนกล่าว

อ้างอิง:
How Parents Can Help Kids Develop A Sense Of Purpose
4 Ways to Follow Your Inner Compass

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาการเติบโตการฟังและตั้งคำถาม

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    Swan Lake 1: เงามืดในตัวเองที่เราไม่ยอมรับรู้ ซึ่งไปปรากฏในการเสพติดความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    กลับมาเป็นพ่อแม่ที่มีหัวใจ ฟังเสียงข้างในที่ลูกไม่ได้พูด

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Social Issues
    “ปล่อยทีมหมูป่าไป แล้วพวกเขาจะกลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคต” นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็ก-วัยรุ่น และโค้ชทีมฟุตบอล

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Family Psychology
    เป็นห่วง VS ไม่เชื่อใจ ทำยังไงให้ลูกอยากเล่าให้ฟังเอง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

เรียน ‘วิชาเงียบ’ เพื่อให้เด็กๆ ฟังเสียงตัวเองชัดขึ้น
21st Century skills
23 November 2018

เรียน ‘วิชาเงียบ’ เพื่อให้เด็กๆ ฟังเสียงตัวเองชัดขึ้น

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • ผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาธ์แบงค์ อังกฤษ พบว่า ผลการสอบของนักเรียนจะลดลงมากถึง 1 ใน 3 หากพวกเขาเรียนในห้องเรียนที่มีเสียงดัง
  • เรียนรู้ได้ลึกและกว้างขวาง-ไม่ต้องเร่งตัวเองเกินไป-สร้างวินัยพร้อมดึงสมาธิ คือ 3 อย่างที่เด็กๆ จะได้จากช่วงเวลาของความเงียบ
  • ครูเอง ถ้าปล่อยให้นักเรียนโต้เถียง และทำหน้าที่แค่คอยสังเกตการณ์ วิธีนี้จะทำให้ครูสามารถฟังนักเรียนได้อย่างลึกซึ้ง

ผู้ใหญ่มักเรียกร้องให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง กล้าคิดกล้าแสดงออก แต่คำถามคือพวกเขาจะทำได้อย่างไรหากไม่มีเวลาหยุดนิ่งและทบทวนเสียงที่ดังอยู่ในหัวของตัวเอง ท่ามกลางสิ่งรบกวนแวดล้อมที่พร้อมจะทำให้เขาเสียสมาธิได้ทุกวินาที

ความเงียบคือคำตอบ และหลายๆ โรงเรียนในต่างประเทศได้เริ่มบรรจุวิชาเงียบลงในหลักสูตรแล้ว

ดร.เฮเลน ลีส์ (Helen Lees) จากวิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยสเตอร์ลิง บอกว่า การสอนให้เด็กๆ รู้จักประโยชน์ของความเงียบในบรรยากาศปลอดความตึงเครียด จะสร้างโอกาสให้พวกเขาใช้สมาธิและสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ซึ่งจะส่งผลต่อความสนใจและพฤติกรรมของนักเรียนอย่างมาก

เพิ่มความเงียบในห้องเรียน

ผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาธ์แบงค์และสถาบันการศึกษาแห่งกรุงลอนดอนพบว่า ผลการสอบของนักเรียนจะลดลงมากถึงหนึ่งในสามหากพวกเขาเรียนในห้องเรียนที่มีเสียงดัง

ดร.ลีส์ ยังบอกว่า ความเงียบมีโครงสร้างที่กระตุ้นให้เกิดวินัยภายในและส่งผลให้สามารถคิดอย่างอิสระได้มากขึ้น เพราะบ่อยครั้ง ความเงียบถูกอ้างถึงในฐานะ การสะท้อนความคิดอย่างลึกซึ้ง (contemplative reflection) เป็นเวลาที่ใช้คิดถึงความหมายของบทเรียนในชั้นเรียน หรือประสบการณ์นอกกำแพงโรงเรียน ช่วยให้นักเรียนเปิดกว้างกับการเรียนได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

“เมื่อเราใช้แนวทางการวิจัยเกี่ยวกับการตั้งโรงเรียนและนำมารวมกัน สิ่งที่เราเห็นคือการศึกษาที่ปราศจากความเงียบไม่ค่อยให้ผลดีนัก ทั้งในแง่การเรียนรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความเชื่อมั่นในตนเอง รวมถึงสุขภาพของนักเรียนด้วย”

แต่ความเงียบ ไม่ใช่แค่การออกคำสั่งให้ “อยู่เงียบๆ” เพราะการใช้ความเงียบลงโทษจะกลายเป็นการหยุดยั้งความสามารถตามธรรมชาติของเด็กๆ ไปทันที – ลีส์ เพิ่มเติม

วิชาเงียบของนักเรียน

นักเรียนได้อะไรจากช่วงเวลาของความเงียบบ้าง

• เรียนรู้ได้ลึกและกว้างขวาง ให้นักเรียนนั่งโดยไม่มีสิ่งรบกวนจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการซึมซับและจดจำเนื้อหา ประมวลผลความรู้สึกและความคิดจากเพื่อนๆ และพิจารณาความสำคัญของมุมมองอื่นได้ เมื่อมีเวลาให้คิดมากขึ้น นักเรียนจะสามารถพิจารณาเนื้อหาในวิชาประวัติศาสตร์ โดยคิดถึงผลจากเหตุการณ์ในอดีตที่กระทบต่อชีวิตและชุมชนของพวกเขาในปัจจุบัน

• ไม่ต้องเร่งตัวเองเกินไป ปกติแล้วนักเรียนต้องตามให้ทันครู เพื่อนร่วมชั้น และหลักสูตรที่ทั้งเร็วหรือช้ากว่าระดับความเร็วของพวกเขา การบ้าน กีฬา การสอบ กระทั่งเวลาพักเที่ยงยังมีเส้นตายและกำหนดเวลา ช่วงเวลาหยุดพักใคร่ครวญจะทำให้เด็กๆ มีโอกาสตามทันและประมวลผลสิ่งที่ทำไปตามจังหวะของตัวเอง

• สร้างวินัยและดึงสมาธิ ความเงียบทำให้ได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง กระตุ้นให้นักเรียนฝึกมีสมาธิและควบคุมตัวเองไม่ให้พูดเรื่อยเปื่อยในห้อง รวมถึงพัฒนาการสื่อสารให้รอบคอบตั้งใจ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานเป็นทีม กระตุ้นให้เกิดการอภิปรายถกเถียงกันในสังคมด้วย

วิชาเงียบสร้างความเป็นหนึ่งเดียว

“ความเงียบเป็นหนึ่งในของขวัญยิ่งใหญ่ที่สุดที่เรามี” เฟรด โรเจอร์ส (Fred Rogers) เคยว่าไว้ เขาเป็นพิธีกรรายการทีวีสำหรับเด็ก Mr.Rogers’ Neighborhood ซึ่งออกอากาศมาตั้งแต่ปี 1967-2001

ไม่ใช่แค่เด็กๆ ที่จะได้ประโยชน์จากวิชาเงียบ ครูเองสามารถรื่นรมย์กับความเงียบในแต่ละวันได้เช่นกัน โดยปล่อยให้นักเรียนโต้เถียงและคอยนำบทสนทนาขณะที่ครูคอยสังเกตการณ์ วิธีนี้จะทำให้ครูสามารถฟังนักเรียนได้อย่างลึกซึ้งและใส่ใจต่อความสนุก ความกลัว และความกังวลของนักเรียน

ดังนั้น ไม่ใช่แค่การพูด ออกคำสั่ง จะช่วยให้ครูสื่อสารกับนักเรียนได้ แต่ความเงียบยังเป็นเครื่องมือที่จำเป็นในการสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนด้วย

นอกจากนี้ ความเงียบถือเป็นโอกาสในทุกความสัมพันธ์ ทั้งที่โรงเรียน ห้องเรียน บ้าน หรือชุมชน การสะท้อนความเงียบร่วมกันสามารถสร้างความเข้าใจและความเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างลึกซึ้ง ผ่านการรับฟังความคิดเห็นและความเชื่อของคนอื่นอย่างตั้งใจ โดยไม่คาดหวังหรือโต้แย้งทันที

ช่องว่างระหว่างการฟังอย่างเงียบสงบนั้นทำให้เข้าใจแนวคิด มุมมอง และประสบการณ์ที่อาจแตกต่างไปจากของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ความกลัวที่หายไป ความเข้าใจที่ตามมา และสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาความขัดแย้งได้

อย่างไรก็ตาม การสร้างชุมชนและวัฒนธรรมที่เหมาะสมจะสะท้อนความเงียบได้ต้องใช้การฝึกฝน ความอดทน และเวลา

อ้างอิง:
The Value of Silence in Schools
Silence is golden: how keeping quiet in the classroom can boost results

Tags:

ครูเทคนิคการสอน4Csการตั้งแกน(Centering)

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • 21st Century skills
    สังคมดี เพราะเด็กรู้คิดและคิดดี มีคุณครูเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา
Voice of New Gen
22 November 2018

TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • พี-ปาล์ม-พีช สามหนุ่มสาวเจ้าของผลงาน Time for Tales ที่ช่วยเปิดโลกการเรียนรู้ของน้องๆ ผู้พิการทางสายตาผ่านนิทานที่บอกเล่าผ่านเสียงและสัมผัส
  • Time for Tales ถือเป็นภาพความสำเร็จของทั้งสามในการเปิดโลกการเรียนรู้ให้แก่น้องๆ ผู้พิการทางสายตา แต่ขณะเดียวกัน จากกระบวนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ ก็ช่วยเปิดโลกใบใหม่ให้ทั้งสามคนได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน
  • พี-ปาล์ม-พีช คือตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะใช้พลังด้านบวกของตัวเอง สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้แก่ผู้อื่นเพื่อสังคมที่ดีขึ้น
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

ขึ้นชื่อว่าการทำเพื่อผู้อื่น ย่อมสวยงามเสมอ ยิ่งผู้อื่นคือผู้ด้อยโอกาสหรือผู้พิการ คุณค่าของความสวยงามนั้นย่อมทวีคูณ

เรากำลังพูดถึง ‘พี’ ภาดา โพธิ์สอาด, ‘ปาล์ม’ วสุพล แหวกวารี และ ‘พีช’ พัชฌาพร วิมลสาระวงศ์ นิสิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3 หนุ่มสาวที่ร่วมกันเปิดโลกการเรียนรู้ของน้องๆ ผู้พิการทางสายตาผ่านนิทานที่บอกเล่าผ่านเสียงและสัมผัส ที่ชื่อว่า Time for Tales

พี-ภาดา โพธิ์สอาด, ปาล์ม-วสุพล แหวกวารี และ พีช-พัชฌาพร วิมลสาระวงศ์

ที่จุดเริ่มต้น…ความฝันไม่ใช่ความจริง

หากสิ่งที่นักพัฒนาที่ดีจำเป็นต้องมี คือ การทำเพื่อผู้อื่น ‘พี’ นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ก็ถือได้ว่ามีคุณสมบัติของการเป็นนักพัฒนาตั้งแต่ต้นทาง จากการที่เธอได้ทดลองเป็นคนตาบอดในนิทรรศการ Dialogue in The Dark จนเกิดความอยากที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา บวกกับความชอบของเล่นเป็นทุนเดิม จนออกมาเป็น Time for Tales ในรูปของ Senior Project ขึ้น

“เราสนใจด้านของเล่นอยู่แล้ว คิดว่ามันน่าจะสนุก เลยอยากทำของเล่นเพื่อคนพิการ ด้วยความที่เรียนด้านคอมพิวเตอร์ เลยอยากทำของเล่นที่เป็น High Technology สำหรับเด็กพิการ ตอนแรกที่คิดไว้มันอลังการมากเลย (หัวเราะ) อยากทำตุ๊กตาที่พูดได้ โต้ตอบได้ ใช้ speed recognition เป็นบอร์ดเกมใหญ่ๆ ที่เด็กจับต้องได้และมีเสียงตอบกลับมา” พีเล่าถึงต้นทางความฝัน ที่ไม่ต้องรอเวลาเนิ่นนาน เพราะเธอลงมือทำความฝันนั้นให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายในเวลา 6 เดือน โดย Time for Tales เวอร์ชั่นแรกเป็นบอร์ดเกมบล็อคกระดาษรูปทรงสี่เหลี่ยมที่สามารถโต้ตอบกับผู้เล่นได้ โดยมีทั้งส่วนที่เป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ (แอพพลิเคชั่นแอนดรอยด์)

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีฐานคิดของความเป็นนักพัฒนา แต่ผลงานร่างแรกก็ได้สอนให้พีรู้ว่า ความฝันมันไม่ใช่ความจริงเสมอไป โดยเฉพาะการพัฒนาผลงานขึ้นโดยปราศจากการศึกษาหรือเก็บข้อมูลจากผู้ใช้จริง

“ตอนทำเป็น Senior Project แทบไม่ได้ไปศึกษา user เลยค่ะ ทำตามใจที่อยากได้ เริ่มทำตอนเดือนสิงหาคม 2559 เสร็จเดือนมกราคม 2560 อาจารย์ก็พาไปทดลองใช้จริงกับน้องๆ ที่โรงเรียนธรรมิกวิทยา ซึ่งน้องๆ ส่วนใหญ่ไม่มีสมาร์ทโฟน จึงต้องลดสโคปผลงานลงเหลือเพียงฮาร์ดแวร์” พีเล่า โดยที่ในตอนนั้นเธอยังไม่รู้หรอกว่า นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของมหกรรมการแก้งานเท่านั้น

ขับตามผู้เชี่ยว เลี้ยวตามผู้ใช้

ด้วยความต้องการให้ผลงานของตัวเองพัฒนาไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้จริง พีจึงผลักดัน Time for Tales เข้าประกวดในการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 19 (NSC 2017) โดยผลงานสามารถผ่านเข้าไปถึงรอบสุดท้าย ก่อนต่อยอดด้วยการเข้าร่วมโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปี 5 ซึ่งทำให้พีต้องชวนเพื่อนร่วมคณะอย่างปาล์ม และพีชจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เข้ามาร่วมทีม

“ตอนเข้าต่อกล้าฯ มีแค่พีกับปาล์ม 2 คน ปาล์มดูเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนพีดูภาพรวม story การอัดเสียง จากนั้นก็ชวนพีชมาช่วยเรื่องออกแบบรูปลักษณ์ภายนอก ที่ต้องชวนมาเพราะตอน NSC มีปัญหาเยอะมาก (หัวเราะ) หลายคนบอกว่างานมีศักยภาพที่จะไปต่อได้ แต่มีหลายเรื่องที่ต้องทำ ทั้งการออกแบบ เสียง story วงจร มันเยอะจนคิดว่าเราทำคนเดียวไม่ไหวแล้ว ไม่งั้นมันจะไม่ดีสักอย่าง” พีเล่าอย่างอารมณ์ดี

แต่เชื่อได้เลยว่า ณ ตอนที่ต้องปรับแก้ผลงานนั้น อารมณ์ของทั้งสามไม่ได้ดีเหมือนตอนนี้แน่

“เวอร์ชั่นแรกถูกคอมเมนท์เยอะมากค่ะ เพราะไม่ตอบโจทย์คนพิการ ต้องปรับปรุงหลายอย่าง ทั้งเซนเซอร์ที่ยังไม่ดี ทีมโค้ชแนะนำให้เปลี่ยนเป็น RFID (เทคโนโลยีหนึ่งที่ใช้ในการระบุสิ่งต่างๆ โดยอาศัยคลื่นวิทยุ) แทน ทั้งรูปร่างที่เป็นบล็อคสี่เหลี่ยมลูกบาศก์มันเล่นยากสำหรับน้อง จึงเปลี่ยนเป็นทรงกระบอก คือคิดใหม่ re-designed ใหม่หมดเลย” พีเล่า

ภาดา โพธิ์สอาด

และเพื่อให้สเต็ปการพัฒนาผลงานของทีมเป็นไปอย่างเข้ารูปเข้ารอยที่สุด ทีมโค้ชจึงแนะนำให้ทั้งสามรู้จักกับ พี่กี้ BLIX POP (ณัชชา โรจน์วิโรจน์ ประธานกรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง บริษัท บลิกซ์ พ็อพ จำกัด) ผู้ประกอบการธุรกิจของเล่นสำหรับเด็กพิการทางสายตา ซึ่งคำแนะนำของพี่กี้ก็ได้ช่วยสร้างแนวทางการพัฒนาผลงานของทีมให้ชัดเจนขึ้น

“พี่กี้เป็นเหมือน mentor ที่คอยดูแล งานก็เลยพัฒนามาเป็นอีกรูปแบบหนึ่งเลย ที่สำคัญคือพี่เขาสอนเรื่องการนำผลงานไปทดสอบกับน้องๆ คนตาบอดว่าควรทำอย่างไร ควรทำ mock up แบบไหน สัมภาษณ์เด็กและคุณครูอย่างไร วิธีการสังเกตพฤติกรรมการเล่นของน้องทั้งหมด เวลาน้องเล่นให้ดูกระทั่งองศาของมือว่าเขาเล่นไม่สะดวกหรือเปล่า” พีชเล่า

ปรับแก้จนแล้วเสร็จ ก็ได้ฤกษ์นำผลงานเวอร์ชั่น 2 ไปทดลองใช้จริงกับน้องๆ โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ เพื่อจะพบกับโจทย์ใหม่ให้ปรับปรุงผลงานอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการปรับขนาดและรูปทรงของผลงานให้ไม่เป็นอันตรายต่อน้องๆ ซึ่งก็ทำให้ทีมต้องรื้อสร้างผลงานใหม่ (อีกครั้ง) โดยพัฒนาเวอร์ชั่น 3 ให้เป็นแบบเลโก้ ด้วยเหตุผลด้านความแข็งแรง แต่เพราะติดปัญหาเรื่องงบประมาณ ทำให้ทีมตัดสินใจพัฒนาเวอร์ชั่น 4 ขึ้น โดยใช้ไม้เป็นวัสดุ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นปัจจุบัน

“เราไปเดินดูของเล่นที่มีอยู่ในตลาดว่าเขามีอะไรบ้าง นอกจากพลาสติกก็มีไม้ ซึ่งเข้ากับแนวคิดที่อยากให้ผลงานของเรามีความเป็นมิตรมากที่สุด ดูจริงมากที่สุด คิดว่าถ้าน้องได้สัมผัสของเล่นที่เป็นไม้น่าจะให้ความรู้สึกที่ดีขึ้น จึงเปลี่ยนเป็นไม้หมดเลย และสัดส่วนก็จะสอดคล้องกับความจริงมากขึ้น” พีเล่า

อุปสรรคยิ่งหลายขั้น ความสำเร็จยิ่งสูงค่า

ธรรมชาติของคนเรา ลำพังแค่อุปสรรคด่านเดียวก็อาจเพียงพอแล้วที่จะทำให้ใครหลายคนพับความฝันเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้าน แต่สำหรับ พี-ปาล์ม-พีช ที่ต้องการแก้งานถึง 3 รอบ ซึ่งแต่ละรอบไม่ใช่แก้นิดๆ หน่อยๆ แต่ถึงขั้นรื้อทำใหม่ คำว่าหนักหนายังน้อยไป

“ช่วงพัฒนาเวอร์ชั่น 2 กับ 3 ถือว่ายากที่สุดแล้วค่ะ ช่วงนั้นคุยกับพี่กี้แล้วรู้สึกท้อเพราะต้องรื้อทำใหม่ ตอนนั้นน้องพีชเพิ่งเข้ามาร่วมทีมก็เชียร์ให้ทำใหม่ แต่พีไม่อยากทิ้ง ถ้าทำใหม่มันต้องไปเริ่มใหม่หมด ต้องคิดใหม่หมด ช่วงนั้นเครียดมาก แล้วกว่าจะได้แบบใหม่มาก็ต้องปรับกันเยอะมาก เหนื่อยทั้งเดือน เป็นช่วงปิดเทอมที่ทุกคนเหนื่อยมาก” พีเล่าถึงการเผชิญหน้ากับความยากลำบากในการพัฒนาผลงาน ที่นอกจากจะต้องเครียดกับเนื้องานแล้ว การทำงานเป็นทีมก็เป็นปัญหามาก

“แรกๆ มีอุปสรรคเยอะมากค่ะ เพราะวิธีคิดของเด็กวิศวะกับเด็กสถาปัตย์มันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว พีกับปาล์มเป็นวิศวะคอมพิวเตอร์จะมองเรื่องการใช้งาน ไม่ต้องสวยมากหรอก (หัวเราะ) ส่วนพีชเป็นเด็กสถาปัตย์ก็จะมองเรื่องความสวยงามเป็นหลัก แรกๆ เถียงกันเยอะมาก เพราะพีชอยากทำให้มันสวย ส่วนที่เหลือหนูแค่ขอให้ใช้งานได้ ก็เหนื่อยมากกว่าจะจูนกันได้ (หัวเราะ)” พีเล่าอย่างอารมณ์ดี

แต่สุดท้าย ทีมก็ใช้วิธีการแลกเปลี่ยนอย่างตรงไปตรงมา บนฐานของการประนีประนอม และเดินหน้าต่อไปด้วยการวางใจในความรับผิดชอบของแต่ละคน กระนั้น แม้จะรวมทีมกันลงตัวขึ้น แต่ภาระงานที่หนักหนา บวกกับความคาดหวังจากครอบครัว ก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่คอยบั่นทอนพลังกายพลังใจของทุกคน

“มีช่วงหนึ่งที่อยากจะเลิกทำเหมือนกัน เพราะพีรู้สึกเหนื่อย และตอนนั้นก็เรียนจบแล้ว ที่บ้านก็อยากให้ทำงานประจำสักที ทำไมไม่เริ่มทำงาน ทำแต่อันนี้อยู่ได้ แล้วตอนนั้นผลงานเรายังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่จะไปบอกเขาได้ เลยนั่งคิดว่าควรจะไปต่อไหม สุดท้ายคิดว่าต่อให้เราไปทำงานประจำ ชีวิตมันก็แค่ผ่านไปวันๆ การทำตรงนี้มันเป็นโอกาส เรามีโอกาสที่จะได้ไปแข่งที่ญี่ปุ่น (i-CREATe) มันได้ประสบการณ์ ได้เจอคนหลากหลาย พีมาทำงานนี้ได้เจอทั้งนักธุรกิจ ดีไซเนอร์ ซึ่งมันไม่ได้มีโอกาสที่จะได้เจอคนแบบนี้ในชีวิตปกติ เลยคิดว่าทำให้มันสุดๆ เหนื่อยก็ทำไป สุดท้ายน่าจะได้อะไรกลับมาบ้าง เรื่องเงินช่างมันก่อน” พียิ้ม

และมากกว่านั้นคือ สัญญาใจของทีมที่ให้ไว้กับผู้ใช้ กลายเป็นแรงดลใจที่ทำให้พวกเขาเลือกสู้ไม่ถอย!

“เราปรับแก้งานตั้งแต่เวอร์ชั่น 1-4 ภายในเวลาแค่ 6-7 เดือน ซึ่งมันน้อยมาก แต่ที่ทำได้เป็นเพราะเราไปสัญญากับน้องๆ ไว้ว่าเราจะทำให้เสร็จ เพราะเราเห็นน้องๆ เล่นแล้วเขามีความสุข เราจึงอยากจะทำให้มันได้ เราอยากจะส่งมอบให้พวกเขาได้เล่นของเล่นชิ้นนี้จริงๆ” พีเผยถึงแรงบันดาลใจ

การเติบโตไปสู่โลกใหม่

ถึงวันนี้ที่ผลงาน Time for Tales ของพี-ปาล์ม-พีช ได้เดินทางออกจากความเป็น Senior Project ไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกใช้งานจริงของน้องๆ 5 โรงเรียนในกรุงเทพฯ ในรูปแบบของการบริจาค ให้น้องๆ ได้ยิ้มและสนุกไปกับเสียงและสัมผัสของโลกนิทาน และปัจจุบัน ทีมก็กำลังทำโครงการระดมทุนในรูปแบบ cloud funding ผ่านเทใจดอทคอม เพื่อขยายผลรอยยิ้มไปสู่น้องๆ คนตาบอดทั่วประเทศต่อไป

“มันเหมือนเป็นความสำเร็จหนึ่งที่เราได้มาถึงจุดที่ไม่คิดว่าจะทำได้ ทำให้คิดว่าตอนนี้เราทำได้ถึงขนาดนี้แล้ว ในอนาคตถ้าจะทำอะไรที่มากกว่านี้ เราก็มั่นใจในตัวเองมากขึ้นว่าเราน่าจะทำได้” ปาล์มกล่าว

ถือเป็นภาพความสำเร็จของทั้งสามในการเปิดโลกการเรียนรู้ให้แก่น้องๆ ผู้พิการทางสายตา แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยกระบวนการทำงานตลอดระยะเวลาของค่าย ก็เปรียบได้กับกลไกที่ช่วยเปิดโลกใบใหม่ให้ทั้งสามได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน

“เราไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ (หัวเราะ) ได้เรียนรู้เยอะมาก ทั้ง process การทำของชิ้นหนึ่งว่า design thinking process เป็นอย่างไร ได้เรียนรู้ business model ว่าต้องทำอย่างไร ได้เจอพี่ๆ นักวิจัย นักธุรกิจ ได้ตระหนักว่าการมีคอนเนคชั่นสำคัญมาก มันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น อย่างล่าสุด มูลนิธิสยามกัมมาจลให้ไปคุยกับบริษัท รักลูก เรื่องการระดมทุน หรือการเข้าไปคุยกับ Plan Toys เรื่องการประกวด มันทำให้เราเข้าถึงทรัพยากรได้เร็วขึ้นมากๆ และการได้ไปเจอคนหลากหลาย ก็ทำให้เราได้แนวคิด ได้วิธีการคิดใหม่ๆ เยอะมาก” พีกล่าว ก่อนยกตัวอย่างวิธีการคิดที่ได้รับมา ซึ่งช่วยยกระดับตัวตนของทั้งสามให้เติบโตขึ้นเป็นนักพัฒนาเต็มตัว

“รู้สึกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะมากค่ะ ก่อนหน้านี้พีค่อนข้างใจร้อน อยากทำอะไรให้มันเสร็จๆ ไป แต่พอมาทำงานนี้เราต้องค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ทำงาน อีกอย่างจากเมื่อก่อนคิดว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้ต้องเก่งมากๆ ก่อน ต้องมีประสบการณ์หลายปี แต่พอทำงานนี้จึงได้รู้ว่า มีหลายครั้งที่ธุรกิจเกิดขึ้นจากความไม่พร้อม แต่เจ้าของเขาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่เริ่มก็ไม่มีทางที่จะได้ทำ เพราะฉะนั้นถ้าอยากทำอะไรต้องเริ่มเลย ถ้าไม่เริ่มก็ไม่มีทางสำเร็จ” พีกล่าว

เพราะถึงที่สุดแล้ว การรอคอยที่จะเรียนรู้จากผู้อื่น แม้จะช่วยให้เราพัฒนาตนเองขึ้นได้จริง แต่ก็คงไม่เร็วและตรงประเด็นเท่าการที่เราริเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเอง

“อย่างที่บอกว่าพวกเราไม่ใช่หัวธุรกิจอยู่แล้ว มีหลายครั้งที่เราทำอะไรพลาดไปเราก็ไม่รู้ ก็ต้องไปอ่านหนังสือ เรียนคอร์สออนไลน์เกี่ยวกับธุรกิจมากขึ้น ปรึกษาเพื่อนที่เรียนด้านการตลาด การทำ cloud funding หรืออย่างการนำเสนอก็จะศึกษาจาก TED TALK แล้วฝึกเอง การเรียนรู้พวกนี้มันช่วยเราได้เยอะมากค่ะ” พีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ก้าวสู่การเป็นนักพัฒนา

กล่าวได้ว่า ด้วยการบ่มเพาะของโครงการต่อกล้าฯ บวกกับประสบการณ์จากการพัฒนาผลงาน และการศึกษาเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเอง ทำให้พี-ปาล์ม-พีช เติบโตขึ้นในมิติของการเป็นนักพัฒนาที่พร้อมจะสร้างสรรค์ผลงานที่จะช่วยเหลือ แก้ปัญหา หรือยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อื่นให้ดีขึ้นกว่าเดิม

“การได้เข้าโครงการต่อกล้าฯ ถือว่าเราได้เกินกว่าที่หวังไว้มากเลยค่ะ ตอนแรกเราแค่อยากจะพัฒนาตัวเอง ผลงานก็อาจจะพัฒนาขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ได้มองว่าจะไปถึงจุดไหน (หัวเราะ) แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า เราอยากทำผลงานนี้เพื่อช่วยคนอื่น ถ้าเราได้ช่วยคนอื่นด้วยก็ดีสิ ซึ่งมันก็เป็นหนทางหนึ่งที่เราสามารถทำได้เรื่อยๆ ต่อไปในอนาคตได้ด้วย” พีกล่าวอย่างอารมณ์ดี

“ประเทศไทยมีปัญหาเยอะมาก (ลากเสียง) แต่เราไม่อยากเหมือนคนทั่วไปที่บอกว่านี่เป็นปัญหา แต่ไม่ทำอะไร ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ทำแล้วคนอื่นมาเห็น อย่างคนอื่นมาเห็นของเล่นของเราแล้วเขามีแรงบันดาลใจที่อยากทำอะไรเพื่อคนอื่นด้วย มันจะเป็นพลังบวกที่ส่งต่อไป คนอื่นก็จะได้ทำสิ่งดีๆ ให้ประเทศเรามากขึ้นไปอีก ประเทศเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ” พีกล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจ

นี่คือตัวอย่างคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะใช้พลังด้านบวกของตน สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นให้แก่ผู้อื่นในสังคม เพื่อสังคมที่ดีขึ้น เพื่อโลกที่สวยงามขึ้นเหมือนดังผลงานโลกนิทานของทั้งสาม

เป็นโลกใบสวยที่เราจะได้มองเห็นและชื่นชมไปด้วยกัน

Tags:

นวัตกรรมคนพิการนิทานวัยรุ่นโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Voice of New Gen
    INSHELTER ราวตากผ้าอัจฉริยะ นวัตกรรมที่เกิดจากความขี้เกียจ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    ไอเดียพลุ่งพล่านแต่ขัดสนด้านเทคนิค (ยากๆ) MAKER PLAYGROUND ช่วยได้!

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    จากเด็กที่ไม่รู้กระทั่งชื่อต้นไม้ กลายเป็นผู้คิดค้นเจลรักษาโรคให้กบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION

    เรื่อง

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel