Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: December 2018

7 งานวิจัยและความเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่สำคัญของโลกการศึกษาปี 2018
Education trend
19 December 2018

7 งานวิจัยและความเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่สำคัญของโลกการศึกษาปี 2018

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 7 เรื่องในโลกของการศึกษา ตลอดปี 2018 ที่รวบรวมโดยเว็บไซต์ Edutopia
  • งานวิจัยที่น่าสนใจของปีนี้มีทั้งเรื่องเทคโนโลยี แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ของเด็ก และยังมีงานศึกษาที่เกี่ยวกับครูอีกด้วย
  • หลายๆ เรื่องสามารถประยุกต์ใช้ได้ในห้องเรียน เช่นการตกแต่งห้องเรียน วิธีที่ทำให้นักเรียนจำได้ง่ายขึ้น เป็นต้น

เว็บไซต์ Edutopia ได้รวบรวมงานวิจัยด้านการศึกษาที่น่าสนใจและกระตุกความคิดที่ผ่านมาในปี 2018 โดยครอบคลุมทั้งเทคโนโลยีใหม่ ความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษาระหว่างสีผิว การกลับไปสำรวจแนวคิดยอดนิยมอย่าง รูปแบบการเรียนรู้ แบบทดสอบมาร์ชเมลโลว์ และวิธีคิดแบบเติบโต เช่นเดียวกับการวิจัยในโลกฝั่งครูที่ชี้ให้เห็นว่า การเน้นด้านวิชาการอย่างเดียวไม่เพียงพอเท่ากับการคิดถึงความเป็นอยู่ของนักเรียนและครูด้วย

มาดูกันว่า ปี 2018 นี้มีอะไรในโลกของการศึกษาบ้าง

1. Back to basic ไอเดียห้องเรียนง่ายๆ แต่ได้ประสิทธิภาพ

แค่เปลี่ยนแปลงห้องเรียนเล็กน้อยกลับให้ประโยชน์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีผลการศึกษาพบว่า การต้อนรับนักเรียนตั้งแต่ประตูห้องเรียนส่งผลดีทั้งด้านจิตใจและวิชาการ ทำให้เด็กๆ เข้าเรียนเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ แถมพฤติกรรมก่อกวนในห้องยังลดลงอีก 9 เปอร์เซ็นต์

อีกการศึกษาหนึ่งยังพบว่า ห้องเรียนที่ตกแต่งผนังแบบจัดเต็มจะทำให้นักเรียนสนใจและจดจำได้น้อยลง ส่วนห้องเรียนที่ผสมผสานสื่อการเรียนการสอน โปสเตอร์สร้างแรงบันดาลใจ และผลงานของนักเรียนจะสร้างความรู้สึกอบอุ่นและมีชีวิตชีวามากขึ้น

2. เทคโนโลยีแอบดูสมองนักเรียน

นักวิจัยให้ใช้เทคโนโลยีตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ทำให้มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของเด็กขณะเรียนได้ผ่านเครื่อง fMRI (functional Magnetic Resonance Imaging)

fMRI เป็นการใช้เทคโนโลยี MRI วัดระดับการทำงานและการเปลี่ยนแปลงของสมอง เพื่อพิสูจน์ว่ายิ่งทักษะการอ่านแข็งแรง พื้นที่ต่างๆ ในสมองจะปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น และสามารถพัฒนาทักษะได้จากการอ่านออกเสียง หรือฟังคนอื่นอ่านขณะมองดูตัวอักษรบนหน้าหนังสือ

นอกจากนี้ ยังใช้ MRI ศึกษาเครือข่ายสมอง (brain networks) ที่เกี่ยวข้องกับบันทึกการประมวลผลในเด็กก่อนวัยเรียนขณะที่ผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้ฟัง ทั้งหนังสือที่มีและไม่มีภาพประกอบ รวมถึงให้เด็กๆ ดูวิดีโอแอนิเมชั่น ก่อนดูความเชื่อมโยงของเครือข่ายสมอง ผลคือหนังสือภาพชนะขาดลอย

3. ตั้งคำถามกับงานวิจัยยอดนิยม

นักวิจัยหลายคนเริ่มกลับไปตั้งคำถามกับผลการศึกษาสุดฮิตอย่าง รูปแบบการเรียนรู้ (learning styles) กรอบความคิดแบบเติบโต (growth mindset) และแบบทดสอบมาร์ชเมลโลว์

สำหรับเรื่องรูปแบบการเรียนรู้ นักวิจัยไม่พบประโยชน์ใดจากการจับคู่รูปแบบการเรียนตามความรับรู้ของเด็กๆ ครูจึงควรหันมาใช้วิธีที่เชื่อถือได้จริงและได้รับการพิสูจน์ชัดเจนแล้ว เช่น การผสมผสานเนื้อหากับภาพ ซึ่งได้ผลดีกว่าการใช้อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น

มีผลการศึกษากว่า 150 ชิ้นที่ตั้งคำถามกับแนวคิดของ แครอล ดเว็ค (Carol Dweck) เรื่องวิธีคิดแบบเติบโต (growth mindset) ที่อธิบายว่าสติปัญญาของนักเรียน สามารถกำหนดความสำเร็จในอนาคตได้ ปีนี้นักวิจัยพบว่า วิธีคิดแบบเติบโตกลับมีผลต่อความสำเร็จของนักเรียนแค่เล็กน้อย แม้ระดับรายได้และผลด้านวิชาการจะบอกถึงการพัฒนา แต่แนวทางนี้อาจช่วยคนได้ไม่กี่กลุ่มเท่านั้น

แม้แบบทดสอบมาร์ชเมลโลว์ของ วอลเตอร์ มิชเชล (Walter Mischel) ทดสอบความสามารถในการควบคุมตัวเอง (ที่จะไม่กินมาร์ชเมลโลว์ตรงหน้าของเด็กๆ) ซึ่งจะทำให้เห็นความสำคัญของทักษะด้านพฤติกรรม (non-cognitive skills) มากขึ้น แต่ผลวิจัยใหม่กลับพบช่องโหว่ในการทดลองนี้คือเด็กที่เข้าร่วมมักมาจากครอบครัวมีฐานะดี และที่ทนได้มากกว่าไม่ใช่เพราะการควบคุมตัวเองแต่รู้ที่บ้านมีมาร์ชเมลโลว์รออยู่เต็มโหล

4. บทลงโทษที่เหลื่อมล้ำระหว่างสีผิว

ผลการวิจัยในปีนี้พบว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของเด็กชายผิวดำที่เกิดในปี 1998-2000 และเข้าเรียนในหลายเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกาถูกพักการเรียนหรือไล่ออกตอนอายุ 9 ขวบ แต่เด็กชายผิวขาวที่ไม่มีเชื้อสายฮิสแปนิคหรือเชื้อสายอื่นกลับมีเพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

การวิจัยยังพบว่า ความแตกต่างนี้เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านระเบียบวิจัยของโรงเรียนและวิธีคิดของครูมากกว่าความประพฤติของนักเรียน และแนวคิดนี้เป็นส่วนหนึ่งจากอคติโดยนัย (implicit bias) โดยพฤติกรรมไม่ดีของเด็กชายผิวดำมักถูกมองว่าแย่กว่าเด็กชายผิวขาว

5. ยิ่งพลาดยิ่งเรียนรู้

เมื่อต้นปีได้มีการถกเถียงกันถึงการศึกษาที่กระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมแก้ปัญหาจะช่วยให้เข้าใจหลักสูตรได้มากขึ้น โดยมีงานวิจัยพบว่า เมื่อให้นักเรียนเดาคำตอบและได้รู้ผลว่าใกล้เคียงคำตอบที่ถูกต้องแค่ไหนจะยิ่งทำให้จำได้ง่ายกว่าการพยายามจดจำข้อมูลแบบธรรมดา

เมื่อพยายามจำคำศัพท์แบบทั่วไป ผู้เข้าร่วมการวิจัยจำคำได้กว่าครึ่ง แต่เมื่อใช้การเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก เดาศัพท์ที่น่าจะเป็น ก่อนได้รับผลตอบรับ ผลคือพวกเขาจำได้มากถึง 8 จาก 10 คำ

6. ชีวิตครูดี ชีวิตเด็กก็ดีตาม

รายได้ต่ำกับนักเรียนล้นห้องกระทบสุขภาพและความพอใจในการทำงานของครูอย่างต่อเนื่อง ผลการศึกษาใหม่พบว่า ครูประถม 93 เปอร์เซ็นต์มีระดับความเครียดสูง ครูหลายคนบอกว่ารู้สึก “อ่อนเพลียทางอารมณ์” ที่ต้องจัดการความต้องการของนักเรียนและทำให้ผลการเรียนดีขึ้น

ปีนี้มีครูจากหลายรัฐในสหรัฐอเมริการ่วมประท้วงเพื่อเรียกร้องเงื่อนไขการทำงานที่ดีขึ้น กว่า 20 ปีที่ผ่านมา เงินเดือนครูลดลง 2.3 เปอร์เซ็นต์ (ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ) ขณะที่เงินเดือนของบัณฑิตจบใหม่เพิ่มขึ้น 10.2 เปอร์เซ็นต์ ถึงอย่างนั้นครูก็ยังต้องควักเนื้อ 479 ดอลลาร์จ่ายค่าอุปกรณ์ในห้องเรียน และส่วนใหญ่คิดว่าต้องหารายได้เสริม

7. เน้นพฤติกรรมมากกว่าคะแนนสอบ

จากผลการศึกษาขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนชั้น ม.3 (เกรด 9) 574,000 คนเข้าร่วมแสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมของนักเรียนสามารถใช้คาดการณ์ความสำเร็จในอนาคตได้มากกว่าคะแนนสอบ

เมื่อวัดจากหลายปัจจัยเช่น การเข้าเรียนและการพักการเรียนพบว่า ครูที่ช่วยนักเรียนพัฒนาความประพฤติจะทำให้ระดับการสำเร็จการศึกษาของนักเรียนและเกรดโดยเฉลี่ยมากกว่าครูที่เอาแต่สนคะแนนสอบเท่านั้นถึง 10 เท่า

อ้างอิง:
2018 Education Research Highlights

Tags:

การสอบAdolescent Brainชาติพันธุ์ครูGrowth mindset

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Unique Teacher
    “เรารักนักเรียนนะ แต่เราแสดงออกไม่เป็น” เปลือยชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดราวบทหนังสือของครูเฮง

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique Teacher
    เมื่อครูเฟี้ยวสอนเด็กเฮี้ยวที่ชุมชน ‘คลองเตย’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

3 คำยอดฮิตที่คุณครูใช้กระทุ้งบรรยากาศการคิดของนักเรียนได้ตลอดกาล
21st Century skills
18 December 2018

3 คำยอดฮิตที่คุณครูใช้กระทุ้งบรรยากาศการคิดของนักเรียนได้ตลอดกาล

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

คุณครูเคยเจอสถานการณ์ที่โจทย์ยากๆ ทำนักเรียนท้อแท้จนไม่ตอบคำถามมันซะดื้อๆ ไหม?

ครูหลายคนอาจยกธงขาว เฉลยคำตอบตัดปัญหาไป แต่นั่นไม่ทำให้นักเรียนคิด เจมส์ มาร์คัส บัค คุณครูจอมขบถที่ดร็อปจากโรงเรียนด้วยวัยเพียง 13 ปี ผู้เขียนหนังสือ Secrets of a Buccaneer-Scholar มี 3 คำยอดฮิต ที่ช่วยกระทุ้งความคิดให้เด็กๆ ยอมเปิดปากออกมาก่อนจนได้

“Huh?” “ฮะ?” หมายถึง – “พวกหนูเข้าใจหัวข้อนี้รึเปล่า”
– “ลองใช้วิธีอื่นอธิบายอีกครั้งได้ไหมจ๊ะ”
-“งงตรงไหนไหม”

“Really?” “จริงเหรอ?” หมายถึง -“ที่หนูอธิบายมานี่เป็นข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้รึเปล่า”
– “มีหลักฐานอะไรมาสนับสนุนไหมจ๊ะ”

“So?” “แล้วไงต่อ?” หมายถึง -“ใจความสำคัญคืออะไร”
-“เรื่องนี้ส่งผลอย่างไร”
-“เรื่องนี้ส่งผลกับใครบ้าง”

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

ที่มา :เจมส์ มาร์คัส บัค (James Marcus Bach) คุณครูจอมขบถที่ดร็อปจากโรงเรียนด้วยวัยเพียง 13 ปีและศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองจนกลายเป็นผู้จัดการอายุน้อยที่สุดในบริษัทแอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ ผู้เขียนหนังสือ Secrets of a Buccaneer-Scholar

Tags:

การฟังและตั้งคำถามครูเทคนิคการสอน21st Century skills

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Unique Teacher
    “เรารักนักเรียนนะ แต่เราแสดงออกไม่เป็น” เปลือยชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดราวบทหนังสือของครูเฮง

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • 21st Century skills
    PROBLEM BASED LEARNING: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ที่ปรึกษาให้ตัวละครในนิยาย : วิธีระบายความเจ็บปวดโดยไม่ต้องเล่าแต่เข้าใจ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ antizeptic

อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน
EF (executive function)
18 December 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

EF (executive function) มีหน้าตาเป็นอย่างไร

EF มีหน้าตาเป็นอย่างไรนี้เป็นคำเปรียบเปรย เพื่อให้ผู้อ่านนึกภาพได้ว่า EF นั้นมีตัวอยู่ จับต้องและลูบคลำได้ แต่ที่แท้แล้ว EF มิได้มีรูปร่างทางกายภาพ

บางตำราเขียนว่า EF มีลักษณะเป็นโมดูล (module) คือกลุ่มก้อนของความสามารถหรือความสัมพันธ์บางประการที่ประสานการทำงานเป็นวงจร (circuit) หรือเป็นร่างแห (network)

น่าจะเป็นคำบรรยายถึงรูปร่างหน้าตาของ EF ที่เข้าใจง่าย

หรือแม้จะไม่ใช่ก็ใกล้เคียง

โมดูลของ EF ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ การควบคุมตัวเอง ความจำใช้งาน และการคิดยืดหยุ่น ทั้ง 3 ส่วนมีพัฒนาการมาพร้อมกันหรือไล่เลี่ยกัน อาจจะมีความแตกต่างด้านระยะเวลาหรือคำอธิบายอยู่บ้าง แต่โดยรวมๆ แล้วทั้งสามส่วนถือกำเนิดมาจากความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

ตอนที่ทารกอายุ 3-6 เดือน เมื่อคุณแม่เดินเข้ามาในห้อง เวลานั้นทารกกำลังนอนหงายมองโมไบล์ที่ห้อยลงมาจากเพดาน ทารกควรจะหยุดดูโมไบล์แล้วเปลี่ยนไปดูหน้าแม่ นี่เป็นปฏิกิริยาที่ทำนายได้

กระบวนการ ‘หยุด’ แล้ว ‘เปลี่ยน’ นี้เป็นระยะแรกของ EF เรียกว่า proto-EF คือก่อน-EF

ทารกจะต้องยับยั้งปฏิกิริยา (response inhibition) ที่มีต่อโมไบล์ แล้วเปลี่ยน (shift) ไปดูใบหน้าแม่ คือความสามารถขั้นต้นของการควบคุมตัวเอง

อย่างไรก็ตามทารกจะทำเช่นนั้นได้เมื่อแม่มีอยู่จริง หรือ ‘ใบหน้า’ ของแม่มีอยู่จริง นั่นคือทารกจำเป็นต้องมีความสามารถที่จะจดจำใบหน้าของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแม่ (face recognition) กล่าวคือวงกลมสองดวงด้านบน สันจมูกตรงกลาง และริมฝีปากวงพระจันทร์ด้านล่าง นี่คือใบหน้าแม่ผู้เมตตาและอบอุ่น ผู้ให้ความอบอุ่นและปลอดภัยตลอด 9 เดือนที่อยู่ในครรภ์มารดา และอีกหลายเดือนนอกครรภ์

ใบหน้าแม่เป็นต้นแบบของใบหน้ามนุษย์ เด็กที่ดูจอมากเกินไปก่อน 2 ขวบจะเรียนรู้การมีปฏิสัมพันธ์กับจอสี่เหลี่ยมและอาจจะขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับใบหน้ามนุษย์ไปเลย ทำให้เด็กไม่สบตา และไม่พูดในเวลาต่อมา

ที่ระยะ 8 เดือนอันเป็นช่วงเวลาที่เด็กพัฒนาวัตถุที่มีอยู่จริงต่อเนื่องจากแม่ซึ่งเป็นต้นแบบของวัตถุอื่นในจักรวาล เมื่อเราเอาผ้าคลุมของเล่น เขาหยุดเล่นเพราะไม่เห็นคือไม่มี วัตถุของเล่นมิได้มีอยู่จริงในจักรวาล

หลังอายุ 8 เดือน เขาพลิกผ้าขึ้นเพื่อเล่นต่อ เพราะวัตถุมีอยู่จริงในจักรวาลแล้วและอยู่ใต้ผ้า

เราพบว่าเด็กจะพยายามหาของเล่นบนผ้าสักระยะหนึ่ง แต่แล้วด้วยความจำใช้งานที่รับรู้ว่าของเล่นยังอยู่ที่เดิมมิได้หายไปไหนและมีอยู่จริง เด็กจึงจะ ‘หยุด’ หาของเล่นบนผ้า แล้ว ‘เปลี่ยน’ ไปหาของเล่นใต้ผ้า

คือกระบวนการยับยั้งปฏิกิริยาแล้วเปลี่ยน นี่คือระยะก่อน-EF จะทำได้เมื่อเด็กสามารถ ‘ถือครอง’ ความจำใช้งานได้นานพอ กล่าวคือถือครองความจำใช้งานผ่านห้วงเวลาหนึ่งได้เนิ่นนานพอ มิใช่ว่าพลันที่ผ้าคลุมของเล่น ของเล่นก็หายวับไปจากจิตใจ

ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก่อนจึงเป็นการยับยั้งปฏิกิริยาและการเปลี่ยน

ตามด้วยการยับยั้งปฏิกิริยา-ความจำใช้งาน-การเปลี่ยน นี่คือโมดูลของ EF

หยุดงอแงไปอาบน้ำ

หยุดวิ่งเล่นไปนั่งกินข้าวให้เรียบร้อย

หยุดเล่นเกมไปทำการบ้าน

หยุดใช้ยาเสพติดไปทำงานทำการ

เหล่านี้เริ่มต้นมาจากระยะก่อน-EF และก่อนหน้านั้นคือแม่ที่มีอยู่จริง

จากกระบวนการง่ายๆแค่ ‘หยุด’ แล้ว ‘เปลี่ยน’ กลายเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนขึ้น คือ ควบคุมตัวเอง-ความจำใช้งาน-คิดยืดหยุ่น ทั้งหมดนี้มีลักษณะเป็นโมดูลที่ทำงานไปด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว

มีความสามารถหรือทักษะอีก 2 ประการที่มีลักษณะเช่นนี้คือความสามารถด้านภาษาและมิติสัมพันธ์

กล่าวคือเป็นโมดูลเบ็ดเสร็จในตัวเองที่ประกอบด้วยกระบวนการย่อยหลายกระบวนการมาเชื่อมต่อและประสานกัน ความรู้ความเข้าใจเรื่องภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นสองภาษาและความรู้ความเข้าใจเรื่องมิติสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง เป็นความสามารถสองประการที่ดูจะลึกลับ น่าพิสมัย และเราไม่รู้อะไรมากนักว่าทำงานอย่างไร

เพราะ EF มีลักษณะเป็นโมดูลนี้เองทำให้เราสามารถพัฒนาเครื่องมือทดสอบและวัดได้ เช่น เครื่องมือประเภท sorting card ที่ให้เด็กจัดรูปทรงหรือสีตามที่กำหนด เด็กจะต้องยับยั้งรูปทรงแล้วดูแค่สี หรือยับยั้งสีแล้วดูแค่รูปทรง

หรือการทดสอบแบบ stroop ที่ให้เด็กอ่านคำและสีที่แตกต่าง เช่น เขียนตัวหนังสือที่อ่านว่า “เขียว” ด้วยสีแดง แล้วให้เด็กอ่าน เป็นต้น เด็กต้องยับยั้งสีเพื่ออ่านคำ หรือยังยั้งคำเพื่อบอกสี ความสามารถง่ายๆ เหล่านี้ผู้ใหญ่เห็นเป็นเรื่องง่ายและอาจจะดูตลก แต่เด็ก 3-4 ขวบทำไม่ได้ ในขณะที่เด็ก 4-5 ขวบมักจะทำได้

เป็นที่เห็นพ้องว่า EF น่าจะเริ่มที่ประมาณหลัง 3 ขวบ คือวันเวลาที่เด็กมีตัวตน (self) และมีอีโก (ego) เรียบร้อยแล้ว

เด็กหลายคนไม่ยอมทำงานบ้าน พ่อแม่สั่งก็ไม่ทำ สุดท้ายพ่อแม่ตัดรำคาญทำเองเร็วกว่า สะอาดกว่าด้วย

หารู้ไม่ว่ามิใช่เด็กนิสัยไม่ดีไม่อยากทำ แต่เขาไร้ความสามารถที่จะ ‘หยุด’ เล่น แล้ว ‘เปลี่ยน’ ไปทำงาน นี่คือ EF

Tags:

การเล่นประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษา

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นปาของดีอย่างไร? ดีตรงปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เพราะสมองทำงานผ่านท่าทาง สัญชาตญาณวางใจการมองเห็นและได้ยิน เราจึงแตกหักกันง่ายๆ ในโลกโซเชียล
21st Century skills
17 December 2018

เพราะสมองทำงานผ่านท่าทาง สัญชาตญาณวางใจการมองเห็นและได้ยิน เราจึงแตกหักกันง่ายๆ ในโลกโซเชียล

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • ไม่ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารจะก้าวล้ำอย่างไร สังคมก็ยังคงต้องมีการพูดคุยสื่อสารระหว่างคนกับคนเช่นเดิมอยู่ดี
  • เพราะสมองของมนุษย์มีกลไกซับซ้อนที่สามารถสื่อสารผ่านท่าทางโดยอัตโนมัติ และสัญชาตญาณมักไว้วางใจการประมวลผลที่อาศัยทั้งการมองเห็นและได้ยินร่วมกัน
  • หากการสื่อสารไม่มีน้ำเสียง สีหน้าท่าทางมาประกอบ มีโอกาสสูงมากที่จะเข้าใจกันผิด

แครอล คินซีย์ โกแมน (Carol Kinsey Goman) วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสื่อสารให้ผู้นำองค์กร ได้แบ่งปันบทสนทนาระหว่างเธอกับ อูริค เคลเลเรอร์ (Ulrich Kellerer) ผู้ก่อตั้ง Faro Fashion ประเทศเยอรมนี และยังเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จใน e-commerce เป็นอย่างสูง ลงในเว็บไซต์ FORBES ว่า

ไม่ว่าเทคโนโลยีการสื่อสารจะก้าวล้ำอย่างไร สังคมก็ยังคงต้องมีการพูดคุยสื่อสารระหว่างคนกับคนเช่นเดิมอยู่ดี

โดยเฉพาะการติดต่อทางธุรกิจ ที่แม้การขายไอเดียหรือสินค้าผ่านอีเมลหรือแชทผ่านแอพพลิเคชั่นสนทนาต่างๆ อาจทำได้ แต่ประสิทธิผลไม่มีวันทัดเทียมกับการพูดคุยซื้อขายกันโดยตรงที่สามารถมองเห็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ระหว่างกัน ซึ่งผลกระทบทางอารมณ์ความรู้สึกโดยตรงนี่เองสามารถถักทอความสัมพันธ์จนประกอบเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจที่ทรงอานุภาพกว่า

“ถ้าหากการสื่อสารนั้นๆ ไม่มีน้ำเสียง สีหน้าท่าทางมาประกอบ หรือเราไม่สามารถเลือกเปลี่ยนคำใหม่มาอธิบายคำที่ความหมายกำกวมได้ทันที มีโอกาสสูงมากที่จะเข้าใจกันผิด” อูริคกล่าวเสริม

เราสามารถพบเห็นสิ่งที่อูริคบอกได้ในการแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บบอร์ดต่างๆ ที่ปราศจากโทนเสียง คนตีความหมายข้อความเดียวกันได้หลากหลายทาง ส่วนมากคนมักตีความหมายไปในทางลบ บางครั้งแค่การแซวกันระหว่างเพื่อนในเฟซบุ๊คอาจลงเอยที่แตกหัก เลิกคบกันไปเลยก็มี

แครอลอธิบายเพิ่มเติมถึงสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นว่า…

สมองของมนุษย์มีกลไกตามธรรมชาติอันซับซ้อนที่สามารถสื่อสารผ่านท่าทางโดยอัตโนมัติ และสัญชาตญาณมักไว้วางใจการประมวลผลที่อาศัยทั้งการมองเห็นและได้ยินร่วมกัน

สูตรสำเร็จครอบจักรวาล 5 ข้อ จบทุกอุปสรรคการสื่อสาร

เราจะทำอย่างไรที่จะสื่อสารความคิด ข้อมูลมากมายออกไปให้ทั้งโลกจริงและโลกไซเบอร์ เข้าใจความหมายได้ชัดเจน ราบรื่นที่สุด? ดีไม่ดีอาจมีผลพลอยได้เป็นรายได้ ชื่อเสียง หรือความสำเร็จอีกด้วย

เซเรนา สคาร์เพลโล (Serena Scarpello) ตัวแทนสื่อสารมวลชนจาก Havas Group กลุ่มบริษัทธุรกิจสื่อสารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แนะนำกฎ 5 ข้อ ที่รู้แล้วจะทำให้ทุกการสื่อสารที่เราต้องใช้อยู่ตลอดเวลาเป็นไปอย่างไร้อุปสรรค

1. รู้บริบท (Know your environment)

ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงธุรกิจ เป็นบล็อกเกอร์ หรือผู้มีชื่อเสียง (social influencer) ที่มีคนติดตามอยู่หลักแสน สิ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นกว่าใคร คือการที่พวกเขาเข้าใจว่าตนเองกำลังใช้สื่อช่องทางใดอยู่ ต้องการให้คนที่เห็นข้อความที่ปลายทางมีปฏิกิริยาอย่างไร หรือทำอะไรต่อไป การจะเป็นผู้นำด้านใดด้านหนึ่งในโซเชียลมีเดีย นอกจากหลักการสื่อสารพื้นฐานจำพวก production skills – reception skills หรือหลักโน้มน้าวใจคนแล้ว ที่ต้องเข้าใจอีกประการคือ การทำงานเชิงเทคนิคของฟีเจอร์ (feature) ต่างๆ ในแต่ละแอพพลิเคชั่น การสืบค้นและส่งต่อให้ผู้อื่นในวงกว้างทำอย่างไร หรือการติดแฮชแท็กที่จะทำให้คนเข้าถึงเราง่ายขึ้น

2. การเขียนก็ยังจำเป็นอยู่เสมอ (Good writing skills are essential)

อย่าประเมินค่าการเขียนต่ำไปในยุคที่ใครๆ ก็ต้องใช้ตัวหนังสือสื่อสาร เพราะทุกคนชอบอ่านเรื่องราวที่มีเนื้อหาที่ดีกันทั้งนั้น ไม่ว่าความจรรโลงใจในรูปนิยาย หรือจุดประกายความคิดการมองโลกแง่มุมใหม่ๆ ให้เกิดประโยชน์ขึ้น เอาเข้าจริงการเขียนเป็นดั่งเสาเอกของทักษะอื่นใดทั้งปวงที่จำเป็นในการติดต่อสื่อสาร ตั้งแต่การตลาด หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือแม้แต่โซเชียลมีเดีย

ลองสังเกตว่านักเขียนที่ดีมักเป็นนักคิดที่ดีด้วยเพราะการเขียนก็คือกระบวนการเรียบเรียง กลั่นกรองความคิดอย่างเป็นระบบให้ออกมาเป็นเนื้อความที่จับต้องได้วิธีหนึ่ง ขอให้รู้ว่าการเรียนรู้เทคนิคการเขียนให้ดี ไม่เคยเสียเปล่าในชีวิตจริง

3. เรียนรู้ ตีความ ตามประสบการณ์ กาลเทศะ (Live, analyze and interpret the context)

นอกจากการเรียนรู้หลักการสื่อสารเชิงธุรกิจจากในห้องเรียน อย่างการเตรียม Powerpoint เพื่อนำเสนอโครงงานในชั้นเรียน การพูดในที่สาธารณะ หรือการเขียนเรียงความ ประสบการณ์เฉพาะตัวของบุคคลคือส่วนสำคัญที่ทำให้ทักษะการสื่อสารทั้งหมดเฉียบคมขึ้น ทั้งการสื่อความหมายที่อาจกินความหมายได้ลึกซึ้งน่าจดจำขึ้น หรือการตีความที่ลงรายละเอียดให้เข้าใจที่มาอย่างแตกฉานและเข้าอกเข้าใจมากขึ้น ดังนั้น จงแสวงหาโอกาสในการเรียนรู้ ฝึกสังเกตความเป็นไปของผู้คนและสังคมรอบตัวด้วยสมองและสองตาตนเองอยู่เสมอ

4. เติมใส่ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity is key)

เป็นที่แน่ชัดในวงการศึกษาวิจัยแล้วว่า ความคิดสร้างสรรค์ ‘สร้างสรรค์’ ขึ้นได้จากการหมั่นฝึกฝนการคิดสิ่งที่ไม่ซ้ำเดิมให้หลากหลาย และพยายามคิดให้ฉีกออกจากกฎเกณฑ์เดิมที่เคยขวางกั้นความเป็นไปได้ไว้ แม้ความคิดสร้างสรรค์เป็นแรงดึงดูดอันน่าตื่นตาอันจะเป็นองค์ประกอบให้การสื่อสารอยู่ในความสนใจของผู้คนได้ แต่สำหรับแนวทางการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เซเรนาติงไว้เล็กน้อยว่า

“แทนที่ความคิดจะแล่นฉิว บางทีถ้าให้อิสระในการคิดแบบไร้ขอบเขตมากเกินไปก็อาจทำให้สมองตีบตัน หรือคิดล่องลอยจนออกทะเล ไม่เป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ไปได้”

คุณครูจำเป็นต้องมีกรอบหัวเรื่องที่ครอบไว้หลวมๆ แทนที่จะปล่อยให้วัยซนคิดกันไปอย่างไร้ขอบเขต จนสิ่งที่จะสื่อสารเคว้งคว้างไม่มีจุดหมาย ยากจะสรุปความ ดังตัวอย่างที่พบได้บ่อยๆ คือ presentation ที่รุงรังด้วยไอเดียบรรเจิด แต่จับต้นชนปลายไม่ได้ว่ากำลังจะสื่อสารใจความอะไรกันแน่

5. จงเป็นผู้สงสัยใคร่รู้อยู่เสมอ (Hold on to a sense of wonder and curiosity)

จงตระหนักเสมอว่า สิ่งที่เรารู้ไม่เคยเป็นที่สุด สิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องดีงามที่สุดจากแง่มุมที่เราประสบอาจต่างกันราวฟ้ากับเหวกับผู้คนอื่นๆ ที่โตมาจากการเลี้ยงดู สังคม วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ หรือค่านิยมความเชื่อ ที่ต่างกัน

เพราะเราเป็นมนุษย์ปุถุชนที่จำเป็นต้องสื่อสารเพื่อใช้ชีวิต และสร้างคุณค่าความหมายของการดำรงอยู่ในโลกใบนี้ในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในทุกๆ วัน เราจะต้องเรียนรู้ ถกเถียง รับฟังความเห็นต่าง และเรียนรู้ ถกเถียง รับฟังความเห็นต่าง วนไปอย่างนี้ไม่รู้จบจนชั่วชีวิต ดังนั้น จงเรียนรู้ ทำความเข้าใจทุกการสื่อสารและต้อนรับความหมายที่ค้นเจอเหล่านั้นไว้เป็นประสบการณ์ จากนั้นอย่าลืมแบ่งปันด้วยการเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไป

อ้างอิง:
Has Technology Killed Face-To-Face Communication?
Here are five tips to make your message clear in a crowded world.

Tags:

ครูเทคนิคการสอนDisruption4Csโซเชียลมีเดียทักษะการสื่อสาร(Communication Skill)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • 21st Century skills
    เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เรียน ‘วิชาเงียบ’ เพื่อให้เด็กๆ ฟังเสียงตัวเองชัดขึ้น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

“รู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น” คือสิ่งที่หายไปจากห้องเรียน แต่เรียนได้จากละคร: กลุ่มละครมะขามป้อม
Everyone can be an Educator
17 December 2018

“รู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น” คือสิ่งที่หายไปจากห้องเรียน แต่เรียนได้จากละคร: กลุ่มละครมะขามป้อม

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • กลุ่มละครมะขามป้อม เชื่อว่า ศิลปะสามารถสะท้อนตัวตน ปลุกเร้าแรงบันดาลใจ และกระตุ้นความใส่ใจในมนุษย์และความยุติธรรมได้
  • ละครเป็นการจำลองชีวิตมนุษย์ เพราะฉะนั้นศิลปะกับชีวิตมนุษย์จึงเป็นเรื่องเดียวกัน
  • ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด ก็ควรมาเรียนการละครเพื่อทำความรู้จักตัวเองและทำความรู้จักมนุษย์คนอื่นๆ
  • กลุ่มละครมะขามป้อมจึงเดินทางมาถึงปีที่ 40 เพราะคนกำลังออกตามหาสิ่งที่พร่องไปจากห้องเรียน
ภาพ: ภัทรพล ประสิทธิ์

ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งการเรียนรู้จะดึงดูดให้มาเยือนเชียงดาวอีกครั้ง จากปลายฝนมาต้นหนาว ความเฉอะแฉะของเม็ดฝนเปลี่ยนเป็นลมหนาวที่พัดมากระทบให้รู้สึกสดชื่นไปกับบรรยากาศโดยรอบ ดอยเชียงดาวอวดโฉมให้เห็นอย่างชัดเจนในคราวนี้ ทุ่งนาที่เคยเป็นต้นข้าวสีเขียว ออกรวงสีเหลืองทองอร่าม เสียงรถเกี่ยวข้าวทำงานอย่างแข็งขัน แข่งกับแสงตะวันที่จะลับขอบฟ้า

มูลนิธิสื่อชาวบ้าน หรือที่คุ้นหูกันในชื่อ กลุ่มละครมะขามป้อม เป็นจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ พื้นที่ศิลปะสร้างสรรค์สังคม ที่เชื่อว่า ศิลปะสามารถสะท้อนตัวตน ปลุกเร้าแรงบันดาลใจ และกระตุ้นความใส่ใจในมนุษย์และความยุติธรรมได้

ก๋วย-พฤหัส พหลกุลบุตร เจ้าบ้านอยู่ในชุดสบายๆ เสื้อยืด กางเกงขาก๊วยเข้ากับบรรยากาศผ่อนคลาย ขัดกับหัวข้อสนทนาเข้มข้นในวันนี้ที่กำลังพูดถึงการเดินทางขององค์กรสังคมองค์กรหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดมาจากอาสาสมัครขนาดกะทัดรัดที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาร่วม 40 ปี

พฤหัส พหลกุลบุตร

กว่าจะมาเป็นตัวตนคนละคร

นักเรียนชั้นประถมศึกษากับการแสดงละครหน้าชั้นเรียนในรายวิชาภาษาไทย ฟังดูแล้วเป็นเรื่องน่าขยาด แต่กลับเป็นที่ชื่นชอบของเด็กชายพฤหัส

“ที่รู้ตัวว่าชอบก็เพราะทำแล้วรู้สึกสนุก รู้เลยว่าสนใจศาสตร์ด้านการละครมาตั้งแต่ตอนนั้น พอเรียนชั้นมัธยมศึกษาได้ไปดูละครเวทีเรื่องแรกที่จัดโดยสำนักศิษย์สะดือซึ่งก็คือกลุ่มคนที่ทำนิตยสารไปยาลใหญ่ ใครเกิดในยุคนั้นจะรู้จักคนกลุ่มนี้ ตอนที่ดูเรารู้สึกว่าอยากขึ้นไปอยู่บนเวทีแบบนั้นบ้าง

ต่อมาตอนชั้นมัธยมปลาย ได้ดูละครเวทีเรื่อง”สู่ฝันอันยิ่งใหญ่” ซึ่งเป็นที่กล่าวขานของคนยุคนั้น รอบแสดงสดจัดขึ้นที่โรงละครแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2530 คนไปดูกันล้นทะลัก เรานั่งดูทางโทรทัศน์ก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูดวิญญาณเข้าไปในละคร จากที่ไม่รู้จักละครเวทีเราก็ได้รู้ว่าละครเวทีเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง แล้วก็บอกกับตัวเองว่า…ฉันจะทำแบบนี้ เป็นความฝันที่มีมาตั้งแต่แรก”

เมื่อพูดถึงความฝัน พฤหัส บอกว่า สื่อแต่ละยุคมีอิทธิพลต่อการหล่อหลอมความฝันของเด็กและเยาวชน ในด้านที่เป็นแบบอย่างทางความคิด ไปจนถึงการแสดงออก แล้วนำไปสู่การเดินตามรอยหรือแม้กระทั่งการพยายามฉีกออกจากรอยเดิม การได้รับโอกาสให้ฝันอย่างเป็นอิสระ โดยปราศจากการควบคุมและกดดันจากครอบครัว โรงเรียน หรือสังคม ทำให้ความฝันได้เติบโต

“ครอบครัวเราเป็นครอบครัวคนจีนที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่ ไม่เคยบังคับหรือกดดันว่าต้องเรียนอะไร ทำให้ตัดสินใจเลือกเรียนได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นสื่อ เช่นสิ่งที่เราอ่าน สิ่งที่เราดูเลยมีผลต่อการก่อฟอร์มความคิด วัยรุ่นยุคเราก่อร่างสร้างตัวมากับนิตยสารไปยาลใหญ่ รายการของกลุ่มซูโม่สำอาง แล้วก็รายการที่เอาละครเวทีมาเล่น อย่างรายการวิก 07 ซึ่งดังมาก แต่ก็ต้องบอกว่าละครเวทียังเป็นการแสดงที่ได้รับความสนใจอยู่ในกลุ่มที่เล็กมาก คนยังมองว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เลยเป็นศาสตร์ทางเลือกมากๆ”

นอกจากความชื่นชอบด้านการละครแล้ว พฤหัส บอกว่า การทำงานด้านการศึกษา เป็นอีกอย่างหนึ่งที่อยู่ในความสนใจของเขาเช่นกัน ความสนใจทั้ง 2 ด้าน มีผลต่อการเลือกจัดวางลำดับคณะตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย…เขาได้เลือกในสิ่งที่เขาชอบ

“เราตั้งคำถามกับตัวเองและสิ่งรอบตัวอยู่ตลอด ถึงจะเป็นเด็กเรียน ทำตามระเบียบโรงเรียน แต่ลึกๆ ก็มีคำถามอยู่ในใจว่า ทำไมครูต้องให้ตัดผมเกรียน ทำไมต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ ทำไมต้องทำแบบนั้น ทำไมไม่ให้ทำแบบนี้ ทำไมเราถึงรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ การตั้งคำถามกับตัวเอง ทำให้รู้ตัวว่าชอบอะไรมาตั้งแต่แรก เราเลยได้ทำสิ่งที่ทำอยู่นี้มาตลอดชีวิต ไม่เคยเปลี่ยน เพราะความฝันกับความจริงของเราเป็นเรื่องเดียวกัน และยังอยากทำมันต่อไปเรื่อยๆ”

จากประสบการณ์ พฤหัสเรียนรู้ว่าการทำให้เด็กและเยาวชนค้นพบความสนใจของตัวเอง ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก เพราะช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงวัยที่กำลังมีความสับสน ได้รับการชักจูงหรือทำตามกระแสได้ง่าย แม้ยังไม่รู้จักตัวเองอย่างแน่ชัด แต่อย่างน้อยๆ การทำให้พวกเขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่พวกเขาชอบและสนใจ อะไรคือสิ่งที่ทำได้ดี แทนการนิ่งเฉยหรือปล่อยให้เป็นไปการชักพาไปของครอบครัวและสังคม ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

สร้างเครื่องทุ่นแรง

‘กลุ่มละครมะขามป้อม’ เดิมเป็นฝ่ายหนึ่งในโครงการสื่อชาวบ้าน เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนที่นำสื่อและการละครมาใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร เพื่อพัฒนาบุคคลและสังคมอย่างจริงจังกลุ่มแรกๆ ในประเทศไทย ประสบการณ์จริงภาคสนามทำให้พวกเขารวบรวมองค์ความรู้มาปรับประยุกต์ได้หมาะกับบริบท ความเปลี่ยนแปลงในสังคมและความแตกต่างของแต่ละพื้นที่ ทั้งในโรงเรียน โรงเรียนแพทย์ สถาบันอุดมศึกษา องค์กรพัฒนาสังคม องค์กรเอกชน และ ภาคนโยบาย

การเดินทางของมะขามป้อมมาร่วม 40 ปี สิ่งที่พวกเขามีมากพอ คือ ประสบการณ์ทำงานกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่จริงทั่วประเทศ ประสบการณ์ที่เป็นเหมือนองค์ความรู้เฉพาะที่สามารถสังเคราะห์เป็นหลักสูตร แล้วนำมาถ่ายทอดเพื่อแตกยอดองค์ความรู้ให้สามารถเผยแพร่ไปได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น

การทำงานในช่วง 10 ปีหลังของมะขามป้อม จึงเข้าไปสัมพันธ์กับกลุ่มคนที่จะเป็นจิ๊กซอว์เข้าไปช่วยสร้างคนได้อีกต่อหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นครู อาจารย์ นักพัฒนาสังคม นักจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นักการศึกษา และผู้สนใจทั่วไป

พฤหัส เล่าว่า ก่อนมะขามป้อมจะเปิดพื้นที่สำหรับงานฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เพื่อเผยแพร่กระบวนการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมละคร ในยุคแรกมะขามป้อมใช้กระบวนการ ละครเร่และ ละครรณรงค์ เป็นเครื่องมือในการทำงานเพื่อเป็นสื่อกลางเล็กๆ นำเสนอเรื่องราวสะท้อนปัญหาชาวบ้านสู่สังคม โดยเน้นทำงานกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ต่างๆ

กระทั่งปี พ.ศ. 2543 ได้พัฒนารูปแบบการทำงานมาเป็น ละครเพื่อการพัฒนาชุมชน (Community Theatre) ใช้สื่อพื้นบ้านและศิลปะมาผสมผสานกันเพื่อนำเสนอสาระที่ร่วมสมัยมากขึ้น

“วันนั้นพี่เปลี่ยนชีวิตผม” คำพูดสั้นๆ จากเด็กและเยาวชนจำนวนหนึ่ง ที่เคยผ่านการทำกิจกรรมร่วมกับโครงการละคร และเป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อยขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

“สิ่งที่ได้ยินไม่ได้หมายความว่าตัวเราเก่ง แต่แสดงให้เห็นว่ากระบวนการละครใช้ได้ผล เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและสะสมมาเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว เด็กๆ ที่เคยทำโครงการด้วยกันมา เขาเติบโตขึ้นได้ถูกทาง เราเลยเชื่อมั่นในกระบวนนี้ แต่พอทำไปเรื่อยๆ ต้องยอมรับว่าการทำกิจกรรมกับเด็กใช้พลังงานมาก นานวันเข้าคนทำงานก็เริ่มล้า….จนต้องคิดหาตัวช่วย”

จุดนี้เองที่ทำให้คำถามใหม่เกิดขึ้นมาอีกครั้ง!

“แล้วถ้าเราทำงานกับคนที่เป็นตัวคูณได้ล่ะ? คนที่จะเอากระบวนการละครไปใช้ต่อกับเด็กและเยาวชนกลุ่มต่างๆ ได้ เราเลยสร้างหลักสูตร แล้วจัดเวิร์คช็อปขึ้นมา”

กระบวนการละครจะสร้างการเรียนรู้ได้อย่างไร?

การละครเป็นศาสตร์ที่รวมศิลปะแทบทุกแขนงเข้าด้วยกัน ทั้งการสร้างฉากที่ต้องใช้ฝีมือการวาดหรือการออกแบบเพื่อสร้างความงามทางสายตา การเขียนบทที่ต้องใช้การเรียงร้อยภาษาและโครงเรื่อง การใช้การแสดงออกทางร่างกาย เช่น ท่วงท่า สายตา หรือการเต้น และการใช้ทำนองของดนตรีเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกัน…เป็นลมหายใจเดียวกัน

กระบวนการละครจึงใช้ทั้ง ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) การคิดวิเคราะห์ (critical thinking) การสื่อสาร (communication) และการทำงานเป็นทีม (collaboration) ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ พฤหัส บอกว่า ละครเป็นการจำลองชีวิตมนุษย์ เพราะฉะนั้นศิลปะกับชีวิตมนุษย์จึงเป็นเรื่องเดียวกัน

“คุณไม่จำเป็นต้องอยากเป็นนักแสดงหรือศิลปิน แล้วถึงจะมาเรียนการละคร แต่คนทุกคนควรมาเรียนการละครเพื่อทำความรู้จักตัวเองและทำความรู้จักมนุษย์คนอื่นๆ ทำไมเราคิดแบบนี้ ทำไมคนนี้คิดอย่างนั้น พอเราได้สวมบทบาทเป็นคนคนนั้นเราจะเข้าใจเขามากขึ้น มันไม่ได้เป็นเรื่องสูงส่งหรือเก๋ไก๋ แต่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่เจออยู่ทั่วไปในชีวิต”

ละครกับการเรียนรู้มนุษย์เป็นสิ่งเดียวกัน เพราะ กระบวนการละคร คือ การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ พฤหัส เห็นเส้นทางการเปลี่ยนแปลงของตัวเองผ่านกระบวนการละคร ที่สร้างการเรียนรู้ให้ได้มองและทำความเข้าใจตัวเอง สังคม และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น

“ตอนเรียนทฤษฎีต่างๆ ในห้องเรียนมหาวิทยาลัย เราไม่เคยเข้าใจเลย แต่พอเพื่อนชวนมาทำกิจกรรมกับกลุ่มละครมะขามป้อม เรากลับเชื่อมโยงกิจกรรมที่ทำเข้ากับทฤษฎีในห้องเรียนได้ แล้วยังเข้าใจมากขึ้นไปอีก เลยทำให้ตั้งคำถามต่อว่า ถ้าอย่างนั้นการเรียนรู้ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียนอย่างเดียวใช่ไหม…?

เรามองว่าการเรียนในห้องเรียนที่เอานักเรียน 50 คนไปอัดไว้ในห้องเดียวเป็นการเรียนที่ผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะเด็กเล็กวัยซนซึ่งมีพลังงานล้นเหลือ พวกเขาต้องใช้พลังงานเหล่านั้น ในทางกลับกันถ้าคลาสเล็กลง มีกิจกรรมให้เด็กได้ทำ ได้วิ่ง ได้ใช้กำลังมากขึ้น อาการของเด็กในห้องเรียนจะไม่เป็นอย่างที่เห็น ไม่มีคำว่าง่วง เบื่อ หรือไม่อยากเรียน”

พฤหัส ยกตัวอย่าง กิจกรรมที่ให้ผู้เรียนพิจารณาถึง 7 ระดับพลังงาน ที่แสดงภาวะทางพฤติกรรมของมนุษย์ ในกระบวนการละครผู้เรียนต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในระดับพลังงานทั้ง 7 แล้วจำความรู้สึก การแสดงออกทางร่างกาย หรือแม้กระทั่งจังหวะการเต้นของหัวใจในแต่ละช่วงขณะไว้

ประกอบด้วย

หนึ่ง ภาวะเปลี้ย หมดแรง (super relax/ exhausted)

สอง ภาวะผ่อนคลาย (relax)

สาม ภาวะปกติหรือพร้อม (neutral)

สี่ ภาวะตื่นตัว (alert)

ห้า ภาวะระแวง (suspense)

หก ภาวะคับขัน (passionate)

และ เจ็ด ภาวะช็อก/ชะงัก (tragic)

“ถ้าคุณได้ซ้อมละครบ่อยๆ วันหนึ่งเกิดรถชนขึ้นมา คุณจะรู้ว่าควรรับมืออย่างไร แล้วจะดึงตัวเองเข้ามาอยู่ในภาวะปกติได้อย่างไร การได้เรียนรู้ว่ามนุษย์มีภาวะเหล่านี้อยู่ เราจะรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ทำให้รับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น แล้วเข้าใจคนอื่นได้ดีขึ้นด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนเรียนรู้ได้

เราใช้กระบวนการตรงนี้เข้าไปเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พาพวกเขากลับไปทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ที่ผ่านมาเขาอาจพูดไม่ได้ แสดงออกไม่ได้ แต่ละครทำให้ได้พูดได้ระบาย ได้สื่อสารสิ่งที่อยู่ภายในใจออกมา คนที่ต้องสวมบทเป็นทหารได้ผ่านกระบวนการคิดว่าทำไมทหารต้องพูดแบบนี้ ทำไมต้องทำอย่างนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือการคลี่คลายความรู้สึก เป็นการเยียวยาตัวเอง ขณะเดียวกันก็ได้ทำความเข้าใจผู้อื่น”

การศึกษาแยกไม่ออกจากเรื่องการเมือง

รากฐานของมะขามป้อมเติบโตขึ้นจากการทำงานขับเคลื่อนประเด็นสังคม และให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกัน โดยใช้ละครเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ด้วยเหตุนี้ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสังคมในหลายๆ ครั้งจึงหนีไม่พ้นจากการเข้าไปเกี่ยวข้องกับนโยบายส่วนกลางและอำนาจรัฐ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา

“ตอนนี้มีครูจำนวนมากเลยที่อยากเปลี่ยนการเรียนการสอนให้เป็นมากกว่าแค่การท่องจำเพื่อไปสอบแข่งขัน แต่ติดเรื่องโครงสร้างอำนาจและระเบียบต่างๆ ทำให้ครูไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก แค่นี้ครูก็จะตายอยู่แล้ว ดังนั้นการพัฒนาด้านการศึกษาจึงต้องเกิดขึ้นทั้งสองทาง เราทำงานสร้างครูให้มีความคิดที่ถูกต้องเป็นเรื่องหนึ่งที่เราทำกันอยู่ ขณะเดียวกันก็ต้องมีการสนับสนุนเชิงนโยบายจากส่วนกลางด้วย”

พฤหัส บอกว่า งานด้านการศึกษาของมะขามป้อมไม่หยุดแค่เรื่องความคิดสร้างสรรค์ให้ครูออกไปสร้างการเรียนรู้ให้เด็กได้เท่านั้น แต่ต้องการให้การเรียนรู้นั้นกระตุ้นให้เด็กตั้งคำถามต่อ คำถามที่ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบในทันที ขอเพียงแค่มีพื้นที่ให้คำถามได้ปรากฏขึ้น

‘โรงเรียนวิทยากร’ เป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มะขามป้อมออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ 7 หลักสูตรขึ้นมา โดยใช้กระบวนการละครเข้ามาสร้างกระบวนการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลง เริ่มจากระดับตัวบุคคล แล้วนำไปสู่การวางแผนออกแบบการเรียนรู้ให้ผู้อื่น เป้าหมายมุ่งไปที่บุคลากรในแวดวงการศึกษาและการพัฒนา แต่ก็ไม่ปิดกั้นสำหรับคนทั่วไปที่สนใจ

“ส่วนใหญ่เรามักพูดถึงการเรียนรู้เทคนิคการสอน แต่ไม่ได้มองถึงสุขภาพกายและใจของผู้ใช้เทคนิค ซึ่งทุกวันนี้ระบบการศึกษาทำให้ตัวครูเองก็ป่วย ครูจึงควรได้รับการเยียวยา ปีนี้ (พ.ศ. 2561) เราตั้งใจเปิดขึ้นมาแค่ 3 หลักสูตร เพื่อผู้เรียนตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้น ได้แก่

หลักสูตร 1 นักออกแบบการเรียนรู้ที่มีหัวใจ (Transformative Learning Design) กระบวนการจะพาผู้เรียนไปทำความเข้าใจถึงธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงในแต่ละบุคคล ครูจะสร้างห้องเรียนที่มีชีวิตและมีความหมายต่อผู้เรียนได้อย่างไร

หลักสูตร 2 นักละครสร้างการเรียนรู้ (Drama for Educator) กระบวนการละครทำให้ทั้งผู้แสดงและผู้ชมได้ฉุกคิด และพิจารณาชีวิตอย่างใคร่ครวญ ในมุมของคนแสดงการได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น ทำให้เขาเข้าใจความคิดของตัวละครที่เขากำลังสวมบทบาทอยู่ ในมุมของผู้ชม กระบวนการละครมีพลังทำให้ผู้ชมได้แง่คิดจากเนื้อหาของละครที่นำเสนอออกไป

หลักสูตร 3 นักสื่อสารเพื่อการคิดวิพากษ์ (Creative Communicator for Critical Thinking) ที่จะช่วยสร้างกระบวนการคิดผลิตสื่อ เพื่อให้คนในสังคมได้นำไปถกเถียงต่อ สิ่งสำคัญอยู่ที่การนำไปวิพากษ์วิจารณ์แล้วพูดต่อนี่แหละ ไม่ใช่แค่เผยแพร่ไปเฉยๆ”

ไร้รูปแบบ แต่มีทิศทาง

เมื่อเอ่ยถึง ‘ละคร’ เชื่อว่าหลายคนยังคงนึกถึงภาพของละครในโทรทัศน์ที่ให้ความบันเทิง การที่คนคนหนึ่งสวมบทบาทเป็นคนอื่น ซึ่งไม่ผิดแต่ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด

กระบวนการเรียนรู้ผ่านการละครของมะขามป้อม ปรับเปลี่ยนได้ตามจริตหรือความชอบของผู้เรียน แต่มีเป้าหมายชัดเจนว่าแต่ละกิจกรรมจะนำไปสู่ความเข้าใจเรื่องอะไร สิ่งที่เป็นแก่นซึ่งทุกคนต้องเรียนรู้ และลงมือคิดใคร่ครวญเป็นลำดับแรก คือ การทำความรู้จักตัวเอง

ในเบื้องต้นใช้ละครเข้ามาเป็นตัวกลางสื่อสารความเป็นตัวตนของแต่ละคนไปยังผู้อื่น ด้วยท่าทางและความรู้สึก ด้วยเหตุนี้การส่งสารจะเกิดขึ้นได้ดีก็ต่อเมื่อผู้ส่งสารเข้าใจตัวเองอย่างชัดเจน ผู้ชมไม่ได้เป็นเพียงผู้รับรู้ เพราะประสบการณ์ของผู้ชมซึ่งแต่ละคนมีพื้นฐานแตกต่างกัน จะเข้ามามีบทบาทต่อการตีความและสร้างความเข้าใจในสิ่งที่นักแสดงถ่ายทอดออกมาด้วย

อะไรคือสิ่งที่เรากลัวที่สุด?

สิ่งที่เป็นตัวเราที่อยากเปิดเผยให้คนอื่นรู้ คืออะไร?

นั่นคือสิ่งที่ผู้เรียนต้องสื่อสารออกมา ไม่ว่าจะเป็นนิสัยด้านบวกและลบ, ความชอบ, มุมมอง, ความเชื่อ และทัศนคติ

“หลายคนไม่เคยสำรวจตัวเอง มาตรงนี้เขาถึงได้รู้ กิจกรรมที่แตกต่างกันในแต่ละช่วง ตอบสนองความชอบของแต่ละคน บางคนได้รู้ว่าตัวเองชอบใช้เวลากับการเขียน บางคนชอบเต้นชอบแสดง บางคนชอบฟังแล้วแลกเปลี่ยน ถามว่าการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่ว่ามานี้ต่างจากการนั่งประจำโต๊ะ ที่นักเรียนต่างคนต่างเรียนในห้องเรียนมั้ย เห็นได้เลยว่าต่างกันมาก

ในบทบาทของครูเราสังเกตความเปลี่ยนแปลงในแววตาของผู้เรียนหรือผู้เข้าร่วมได้เลยว่าเขาสนุกหรือมีอารมณ์ร่วมกับการทำกิจกรรมหรือเปล่า ซึ่งการวัดผลแบบนี้ยังคงเป็นปัญหา เป็นปัญหาของเรามาจนถึงตอนนี้ด้วย (หัวเราะ) เพราะเป็นมาตรฐานการวัดที่ส่วนกลางยอมรับไม่ได้ แต่เราเป็นครู เรารู้จักนักเรียนของเรา เพราะผู้เรียนอยู่กับเรา ถ้าเขาเปลี่ยนเรารู้ทันที ครูที่ใส่ใจสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็กเป็นรายบุคคลได้ โดยไม่เป็นต้องใช้ค่ามาตรฐานอะไรมาวัด เท่าที่ทำมานี้ก็ไม่มีใครโดด ทุกคนสนใจเรียนแล้วอยากอยู่เพื่อเรียนรู้ต่อไปมากกว่าที่เราให้อีก”

พฤหัส บอกว่า กระบวนการคิดใคร่ครวญกับตัวเอง เป็นขั้นตอนที่ใช้ได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใหญ่ได้เข้ามาเรียนรู้ ได้ทดลองทำจนเห็นผลลัพธ์ ต่อไปพวกเขาจะสามารถออกแบบกิจกรรมเพื่อนำไปใช้กับเด็กได้อย่างมีทิศทาง โดยไม่จำกัดรูปแบบ

“ครูหรือใครก็ตามที่มาเรียนไม่จำเป็นต้องทำกิจกรรมแบบที่เราทำ เขาเอาหลักคิดไปออกแบบกิจกรรมเองได้ไม่เฉพาะแค่ในโรงเรียน ทุกวันนี้เด็กไทยไม่ค่อยมีทางเลือก เด็กถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขที่สังคมกำหนด พ่อแม่ก็ไม่ฟัง ครูก็ไม่ฟังบอกให้ทำตามอย่างเดียว ถ้าไม่เป็นไปในแนวทางนี้จะโดนตัดสินว่าไม่ถูกต้อง

เราควรสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้เด็กทุกกลุ่ม เด็กที่ไม่ได้เรียนในโรงเรียน เด็กที่ไม่เรียนต่อระดับมัธยมปลายแต่ออกไปทำงาน ทำให้พวกเขามีที่ยืนในสังคมด้วย ไม่ใช่ตีตราบอกว่าเขาล้มเหลว ทั้งที่สิ่งที่พวกเขาต้องการคือพื้นที่ในการพูดคุยแลกเปลี่ยนและรับฟัง”

ความเป็นไปได้ใหม่ของการศึกษาไทย

จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เชียงดาวกลายเป็นที่ตั้งของชุมชนแห่งการเรียนรู้ พฤหัส บอกว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่นี้ช่วยสะท้อนและตอกย้ำความเชื่อที่ว่า “การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียน” ได้อย่างชัดเจน

“ศิลปิน นักกิจกรรม นักคิด นักเขียน และครูหลายๆ คน ย้ายมาอยู่แถวนี้ เปิดพื้นที่ถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้ดีๆ ตามแนวทางที่ตัวเองถนัด นอกจากหลักสูตรที่จัดขึ้น เรายังมีมหาลัย’เถื่อน ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีตลอด 5 ครั้งที่ผ่านมา แสดงว่าคนโหยหาพื้นที่การเรียนรู้แบบนี้ เด็กสามารถเรียนรู้กับผู้ใหญ่ได้ ไม่ต้องมีเครื่องแบบ ไม่จำเป็นต้องมีตำราเรียน อาศัยเพียงความสนใจ

ทำไมหมอจะวาดรูปไม่ได้ ทำไมศิลปินจะเป็นนักการจัดการที่ดีไม่ได้ ที่ผ่านมาเรามีกรอบมาขวางกั้น กรอบที่ว่านี้ฆ่าความคิดสร้างสรรค์ ฆ่าบุคลากรที่มีคุณภาพไปเป็นจำนวนมาก เพียงเพราะได้คะแนนไม่ดีในห้องเรียน แต่ในอนาคตพื้นที่การเรียนรู้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะคนกำลังออกตามหาสิ่งที่พร่องไปจากห้องเรียน”

แม้ยุคสมัยจะทำให้อิทธิพลของสื่อเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่มะขามป้อมไม่เคยทิ้ง คือเป้าหมายในการทำงานร่วมกับเด็ก เยาวชน และชุมชน การทำกระบวนการละครที่เน้นให้เด็กรู้จักตนเองผ่านการคิดและจินตนาการ รวมทั้งการทำงานร่วมกันกับผู้เกี่ยวข้องที่จะช่วยต่อยอดการพัฒนาให้แตกดอกออกผลในหลายๆ ทิศทาง ความร่วมมือและทางเลือกที่เกิดขึ้น จะเป็นแนวทางช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ ท่ามกลางสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างมั่นคง

“สิ่งนี้เราแลกมาด้วยชีวิตจากการทำงานที่ไม่ทำเรื่องอื่นเลยแต่โฟกัสไปที่เรื่องๆ เดียว ประสบการณ์ที่สั่งสมมามีประโยชน์ต่อผู้อื่นแน่ๆ ทั้งความรู้ กำลังคน และสถานที่ เราไม่รู้สึกท้อ เราต้องต่อสู้”

หมายเหตุ:
กลุ่มละครมะขามป้อม ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2523 โดยกลุ่มคนที่มีความถนัดด้านการละคร นักเขียน กวี นักดนตรี นักแสดงกลุ่มสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) และปัญญาชนกลุ่มหนึ่งที่ทำกิจกรรมขับเคลื่อนสังคมในช่วงหลังเหตุการณ์เดือนตุลาคม พ.ศ. 2519
สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม ติดตามได้ที่ Facebook Fanpage: Makhampom และ Makhampom Art Space

Tags:

วัยรุ่นศิลปะการแสดงการแสดงละครสร้างสรรค์(Creative Drama)พฤหัส พหลกุลบุตรกลุ่มละครมะขามป้อม

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Voice of New Gen
    ธนุพล ยินดี นักการละครที่ชวนศิลปินเชียงใหม่ลุกขึ้นมา ACT UP ส่งสารเรื่องคับข้องใจในสังคม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญธีระพงษ์ สีทาโส

  • Space
    มายาฤทธิ์: โรงละครมีฤทธิ์ เสกให้เด็กดู ฟัง รู้สึก คิด ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจคนอื่น

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Voice of New Gen
    เพราะติ่งและเต้นอย่างจริงจัง VICTORY CREW คว้าแชมป์โลกคัฟเวอร์ BLACKPINK

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Creative learningUnique Teacher
    ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์ : CREATIVE DRAMA วิชาดีๆ ที่เด็กไทยไม่ได้เรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • How to get along with teenager
    จะทำอย่างไรเมื่อลูกวัยรุ่นของคุณ ‘กลอกตา’ ใส่?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่
Education trend
14 December 2018

ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • ครูและโรงเรียนไม่ได้สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเด็กได้ พ่อแม่ต้องเข้าใจและให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กด้วย
  • ยกตัวอย่าง ‘วิกฤตโรคอ้วน’ ที่เกิดขึ้นกับเด็ก สาเหตุหลักเกิดขึ้นที่บ้าน โรงเรียนมีหน้าที่ให้ความรู้และส่งเสริมการออกกำลังกาย กินอาหารสุขภาพ แต่ไม่สามารถรักษาให้เด็กหายได้ เพราะมันคือหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญและพ่อแม่ต่างหาก
  • โรงเรียนมีบทบาทในการให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับอันตราย แต่ไม่ได้หมายความว่า โรงเรียนจะเป็นยาครอบจักรวาลที่จะรักษาโรคทางสังคมได้

“พ่อแม่ต้องไม่ทิ้งภาระทั้งหมดให้ครู” คำยืนยันจาก Ofsted (the Office for Standards in Education) ของอังกฤษ

โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ…

พ่อแม่ไม่ควรคาดหวังว่าโรงเรียนจะควบคุมการรับประทานอาหารและการออกกำลังกายของเด็กๆ หรือแม้แต่การเข้าห้องน้ำบนรถไฟก็ตาม อแมนด้า สปิลแมน (Amanda Spielman) ผู้อำนวยการ Ofsted กล่าว

หัวหน้าผู้ตรวจสอบโรงเรียนของอังกกฤษกล่าวว่า ‘วิกฤตโรคอ้วน’ ที่เกิดขึ้นกับเด็ก มีสาเหตุเกิดขึ้นที่บ้าน และพ่อแม่ไม่ควร ‘ละทิ้งความรับผิดชอบ’

เพราะโรงเรียนไม่สามารถเป็น ‘ยาครอบจักรวาล’ ที่จะรักษาหรือดูแลเด็กได้ทุกเมื่อ

ที่เด็กอ้วน ไม่ใช่เพราะครูไม่สอน

จากการศึกษาสองครั้งในปีนี้ได้สอบถามถึงผลที่ได้ของโครงการต่อต้านโรคอ้วนในโรงเรียนเดือนกุมภาพันธ์ British Medical Journal รายงานว่าโครงการป้องกันโรคอ้วนในระยะยาว ซึ่งมีนักเรียนโรงเรียนประถมกว่า 600 รายของ West Midlands ไม่ได้รับการแก้ไข และเดือนกรกฎาคมจากสำรวจของ Ofsted ใน 60 โรงเรียนไม่พบว่ามีความพยายามในการจัดการกับความอ้วนและน้ำหนักของนักเรียน

สปิลแมน สนอรายงานประจำปี เรื่องความกังวลว่าเด็กๆ เกือบ 1 ใน 4 ของเด็กนักเรียนอังกฤษที่เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนประถมมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน และจะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งในสามเมื่อพวกเขาเข้าสู่โรงเรียนมัธยมศึกษา

“โรงเรียนสามารถและควรสอนให้เด็กๆ  เห็นความสำคัญของการกินเพื่อสุขภาพ และการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับบทเรียนที่สอนในโรงเรียน อย่างเช่นวิชาพละก็ควรทำให้นักเรียนเห็นถึงความสำคัญของการรัษาสุขภาพ” สปิลแมนกล่าว

“แต่นอกเหนือจากนั้นโรงเรียนไม่สามารถรับบทบาทของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และทำหน้าที่แทนพ่อแม่ทั้งหมดได้”

จากเรื่องร่างกาย มาสู่เรื่องอาชญากรรม

เรื่องที่รุนแรงกว่าโรคอ้วนในเด็ก อย่างการก่ออาชญากรรมในเด็ก ก็ถือเป็นเรื่องที่พ่อแม่ก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน สปิลแมน เถียงว่า จะคาดหวังให้โรงเรียนจัดการกับความรุนแรง อาชญากรรมในเด็ก หรือความเสี่ยงทางสังคมที่จะเกิดขึ้น ไม่เพียงแต่ทำให้เสียสมาธิจากจุดประสงค์หลัก แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้

“เรื่องที่ซับซ้อนดังกล่าวต้องได้รับการจัดการโดยผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญที่ถูกต้อง” สปิลแมนแย้ง

“ในขณะที่โรงเรียนมีบทบาทในการให้ความรู้แก่เยาวชนเกี่ยวกับอันตราย แต่ไม่ได้หมายความว่า โรงเรียนจะเป็นยาครอบจักรวาลที่จะรักษาโรคทางสังคมได้การป้องกันอาชญากรรมเป็นความร่วมมือกันของหน่วยงานด้านการคุ้มครองท้องถิ่นที่จะปกป้องเด็กจากอันตราย และจัดการกับความผิดทางอาญาได้” สปิลแมนกล่าวทิ้งท้าย

อ้างอิง
Parents ‘must not abdicate duties’ to teachers, says Ofsted

Tags:

ครูโรงเรียนเทคนิคการสอนโรคอ้วนกลั่นแกล้ง(bully)ความรุนแรง

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • ‘โรงเรียน = รุนแรง’ สมการนี้สังคมต้องร่วมแก้ …เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรังแก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • MovieSocial Issues
    อานนเป็นนักเรียนตัวอย่าง: อนาคตสีจางๆ ของเด็กไทย ในรั้วโรงเรียนที่ล้อมด้วยอำนาจและผลประโยชน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ PHAR

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

ใช้ ‘สติ’ ค้นหา ‘ความหลงใหล’ ไปสู่สิ่งที่ใช่โดยไม่หลงทาง
How to enjoy life
14 December 2018

ใช้ ‘สติ’ ค้นหา ‘ความหลงใหล’ ไปสู่สิ่งที่ใช่โดยไม่หลงทาง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ‘สติ’ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้เรามองเห็นความหลงใหลของตัวเองได้ชัดเจน
  • นั่งหรือเดินช้าๆ อยู่กับลมหายใจและความรู้สึก แล้วพิจารณาว่า อะไรที่เรายอมลงทุนลงแรง สละเวลาทำสิ่งนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก นั่นคือความหลงใหล
  • ความหลงใหลทำให้คนๆ หนึ่งทำเรื่องน่าเหลือเชื่อได้ แต่ก็อาจทำให้เลือกในสิ่งที่เสียใจภายหลังได้เช่นกัน การมีสติจึงต้องเข้ามาเติมเต็ม

การจะรู้และเข้าถึงแพชชั่น หรือ ความหลงใหล ของตัวเอง อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับบางคน แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับอีกหลาย ๆ คน เพราะเราใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ขีดไว้ด้วยกรอบ กรอบแต่ละกรอบก็มีความพิเศษแตกต่างกันไป กรอบการเรียนการศึกษา กรอบการงาน กรอบความสัมพันธ์ หรือกรอบการใช้ชีวิต จนเราไม่รู้ว่าหากลบกรอบเหล่านั้นออกไปบ้าง อะไรคือสิ่งที่หลงเหลืออยู่ แล้วอะไรกันแน่ที่เป็นตัวตนของเราจริง ๆ หรืออะไรกันที่สำคัญขนาดทำให้ชีวิตของเรามีชีวิตชีวาขึ้นมาได้

มิราบาย บุช (Mirabai Bush) โค้ชด้านการฝึกพัฒนาจิตใจ ผู้เป็นที่ปรึกษาให้กับนักกฎหมาย นักการศึกษา นักเคลื่อนไหว และนักเรียน รวมทั้งเคยเป็นนักพัฒนาให้กับโครงการเสิร์ช อินไซต์ ยัวร์เซฟล์ (Search Inside Yourself) ของกูเกิ้ล (Google) บอกว่า ‘สติ’ (Mindfulness) เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้เรามองเห็นความหลงใหลของตัวเองได้ชัดเจน โดยปราศจากความคลุมเครือสงสัย

การมีสติอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร จะทำให้เราโฟกัสไปยังสิ่งที่กำลังหรืออาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ชัดขึ้น

นอกจากนี้ สติยังทำให้รู้ทันความคิดและอารมณ์ของตัวเอง รวมทั้งความทรงจำที่เจ็บปวดหรือเหตุการณ์ร้ายๆ ในชีวิต ที่จะทำให้เรายอมรับและรักตัวเองได้มากขึ้นจากบทเรียนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ร่องรอยของอดีตและความเป็นอยู่ในปัจจุบันป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้ ‘ความหลงใหล’ ก่อตัวขึ้นและยังคงอยู่

สติ ทำงานอย่างไร?

ไม่บ่อยนักที่จะได้ยินใครพูดถึง ‘สติ’ กับการค้นหา ‘ความหลงใหล’ การมีสติทำให้เรามองเห็นพฤติกรรมหรือความสนใจของตัวเอง อันที่จริงวิธีการดึงสติให้อยู่กับปัจจุบันของบุชก็ไม่ต่างจากการฝึกสมาธิ

บุช แนะนำวิธีการฝึกด้วยการนั่งหรือเดินช้าๆ ไม่สนใจสิ่งรอบข้างแต่อยู่กับลมหายใจและความรู้สึก แล้วพิจารณาดูว่า อะไรที่เรายอมลงทุนลงแรง สละเวลาเพื่อทำสิ่งนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

บุช ย้ำว่า ความหลงใหลอาจเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ทรงพลัง สามารถนำทางให้คนๆ หนึ่งทำเรื่องน่าเหลือเชื่อได้ ขณะเดียวกันก็อาจทำให้เลือกในสิ่งที่ต้องมาเสียใจภายหลังได้เช่นกัน การมีสติจึงเข้ามาช่วยเติมเต็มในส่วนนี้

ยกตัวอย่างเช่น เนลสัน เมนเดลา (Nelson Mandela) อดีตประธานาธิบดีประเทศแอฟริกาใต้ แพชชันทำให้เขาอุทิศตนต่อสู้เพื่อล้มล้างการเหยียดผิว และผลักดันให้เกิดสันติภาพทั่วโลก จนต้องโดนจำคุกถึง 27 ปี แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความตั้งใจของเขาลดน้อยถอยลงไป

จูเลีย ชายด์ (Julia Child) หญิงผู้ปฏิวัติวงการอาหารฝรั่งเศส ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับการทำอาหารช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้การลงมือทำอาหารที่บ้านเป็นเรื่องน่าสนุก

สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ผู้ร่วมก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์ สร้างนวัตกรรมด้วยความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้คนปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ออกมาได้ง่ายขึ้นผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ หรือแม้แต่ จอร์จ ลูคัส (George Lucas) ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง อย่าง สตาร์ วอร์ส (Star Wars) ที่มักนำเทคนิคพิเศษใหม่ ๆ มาใส่ในภาพยนตร์ของเขาอยู่เสมอ

กุญแจสำคัญ 3 ข้อ ที่จะทำให้ค้นพบความหลงใหลของตัวเอง

หนึ่ง บอกได้ไหมอะไรเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิต

อะไรสำคัญกับชีวิต? อะไรคือสิ่งที่เราเชื่อ? อะไรทำให้ชีวิตมีชีวิตชีวาและมีสีสัน?

คำตอบของคำถามเหล่านี้มีได้หลากหลาย เป็นได้ทั้งเรื่องส่วนตัว สังคม หรือแม้กระทั่งไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต

วิธีการ คือ อยู่นิ่งๆ หายใจเข้าออกลึกๆ นึกถึงสิ่งที่มีคุณค่าในชีวิต หลังจากนั้นลองพิจารณาดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในความคิดหรือความรู้สึกเมื่อนึกถึงสิ่งนั้น ปล่อยให้ความคิด ภาพหรือความรู้สึกเกิดขึ้นโดยไม่ตัดสิน

สอง ปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิต

การใช้ชีวิตในปัจจุบันมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่เราเห็นว่ามีคุณค่าไหม? เราอาจให้เวลากับมันไม่มากพอ เราอาจมีเรื่องกวนใจมากเกินไป ไม่มีความรู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือกำลังขาดจินตนาการหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม คนเรามักมีข้ออ้างต่าง ๆ บอกตัวเองว่าทำไม่ได้เสมอ

วิธีการ คือ แทนที่จะบ่นบอกกับตัวเองว่า “ฉันคงไม่สามารถเริ่มธุรกิจของตัวเองได้เพราะไม่มีทักษะความรู้” ให้ใช้คำว่า ‘ยัง’ เพื่อสร้างความเป็นไปได้

“ฉันคงไม่สามารถเริ่มธุรกิจของตัวเองได้เพราะ ‘ยัง’ ไม่มีทักษะความรู้”

สาม จำไว้ว่าทุกคนมีพลังพิเศษ (superpowers) และต้องไม่ลืมพัฒนาทักษะต่างๆ อยู่เสมอ

อะไรที่ทำได้ดี? แล้วมีพื้นที่ให้ตัวเองได้ลงมือทำสิ่งนั้นหรือเปล่า?

แปลกดี หากลองถามคำถามนี้กับเด็กๆ พวกเขาสามารถตอบได้อย่างไม่ลังเล แต่เมื่อโตขึ้น เรากลับคิดติดสินใจได้ไม่เป็นธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น เหมือนเราหลงลืมหรือละทิ้งความกล้าหาญที่เคยมีตอนเด็กๆ ไปหมดแล้ว

วิธีการ คือ ลองจิตนาการว่าตัวเองเป็นเด็ก

อะไรที่เราเคยรักและอยากทำ? อะไรที่เราเคยทำได้ดี? ปล่อยให้จินตนาการทำงาน แล้วจดจำความรู้สึกที่เกิดขึ้น ความรู้สึกจากการจินตนาการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แล้วถามตัวเองต่อไปว่า “มีอะไรบ้างที่มีหรือเป็นอยู่ตอนนี้ ที่ทำให้รู้สึกแบบเดียวกันได้?”

ด้านมืด ๆ ของความหลงใหลที่ไม่มีใครอยากรู้

ความหลงใหลอาจครอบงำเราบ้างในบางครั้ง แต่คงไม่ดีแน่ๆ หากกลายสภาพเป็นความหลงใหลลวงตาจอมปลอม  หลายคนอาจกำลังประสบปัญหา เมื่อความหลงใหลไม่ได้เป็นสิ่งยั่วยวนใจอีกต่อไป แต่กลับเป็นการทำด้วยความจำเป็น เช่น เพื่อหารายได้หรือเพื่อให้ได้ครอบครองสิ่งที่ต้องการ ปล่อยแรงขับให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อรายได้เพียงอย่างเดียว แถมยังเกิดความรู้สึกกลัวว่าสักวันหนึ่งจะสูญเสียสิ่งนั้นไป ทั้งที่มีตัวอย่างให้เห็นทั่วไปว่าชื่อเสียงเงินทองไม่มีความยั่งยืนและไม่ได้การันตีความสำเร็จ

การปล่อยให้ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นจะทำลายความหลงใหลเชิงบวกในชีวิต ร้ายแรงกว่านั้นอาจทำให้เกิดความทะเยอทะยานในทางลบเข้ามาแทนที่  แต่สติจะทำให้เราก้าวเดินต่อไปกับความหลงใหลได้อย่างชาญฉลาด และช่วยปลุกความหลงใหลด้านบวกให้ปรากฎตัวขึ้นด้วย

จะว่า ‘ความหลงใหล’ คือการไขว่คว้าตามหาก็คงไม่ใช่ บุช ทำให้เห็นว่าการรู้ตัวและอยู่กับสิ่งที่มีต่างหากที่จะช่วยให้รู้จัก มองเห็นและเข้าถึงความหลงใหลของตัวเอง แล้วเมื่อได้ลงมือทำสิ่งที่ใช่อย่างตั้งใจ ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินฝัน 

อย่างที่ มายา แองเจลู (Maya Angelou) นักเขียน และกวีผิวสีชาวอเมริกัน บอกว่า “คุณสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแท้จริงได้จากการทำสิ่งที่คุณรักเท่านั้น อย่าปล่อยให้เงินเป็นเป้าหมายในชีวิตคุณ แต่ให้มุ่งมั่นทำสิ่งที่รัก เชื่อเถอะว่าเมื่อทำสิ่งนั้นจะไม่มีใครมองข้ามคุณได้”

อ้างอิง:
You Already Know Your Passion— Here’s How to Reveal It
Passion Rules: Two Practices for Discovering Your Life’s Passion

Tags:

จิตวิทยาการเติบโตการตั้งแกน(Centering)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Book
    The Fall: การร่วงหล่นของตัวตน สู่การแตกสลาย และเผยโฉม “มนุษย์สองหน้า” ที่อยู่ภายใน

    เรื่อง เจษฎา อิงคภัทรางกูร

  • Life classroom
    เติบโตก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ผ่านตำนาน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    3 ขั้น ตัดตอน ก่อนปรี๊ดใส่ลูก

    เรื่อง The Potential

  • Family Psychology
    เลี้ยงอย่างไรหลังหย่าร้าง : ลูกจะโอเคที่สุดเมื่อพ่อแม่ไม่ขัดแย้งกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

ทำไมพ่อแม่ญี่ปุ่นถึงไว้ใจ ให้เด็กเล็กเดินทางโดยลำพัง
Education trendEarly childhood
13 December 2018

ทำไมพ่อแม่ญี่ปุ่นถึงไว้ใจ ให้เด็กเล็กเดินทางโดยลำพัง

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • พ่อแม่ญี่ปุ่นให้ลูกเดินทางด้วยตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก เพราะพื้นที่สาธารณะไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่ง ถนน ผู้คน ล้วนเป็นมิตรกับเด็กๆ
  • การปลูกฝังให้เด็กรักษาความสะอาดในโรงเรียน จะทำให้เด็กรู้จักรับผิดชอบต่อพื้นที่สาธารณะ เห็นได้จากถนนญี่ปุ่น ที่แทบจะไม่มีขยะเลยสักชิ้น
  • ด้วยความที่ญี่ปุ่นมีพื้นที่ขนาดเล็กบวกกับวัฒนธรรมการเดิน ระบบขนส่ง ที่ส่งเสริมความปลอดภัย จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าเด็กๆ จะปลอดภัยเมื่อต้องเดินโดยลำพัง

ถ้าใครเคยไปประเทศญี่ปุ่น คงจะเคยเห็นเด็กเล็กๆ ตามสถานีรถไฟใต้ดินตามลำพังโดยไม่มีผู้ปกครองสำหรับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะคนไทย คงสงสัยว่า ทำไมเด็กๆ แดนปลาดิบถึงเดินทางได้ด้วยตัวเอง พ่อแม่ไม่เป็นห่วงหรืออย่างไร

ภาพกลุ่มเด็กบนขบวนรถไฟ ทั้งที่อยู่คนเดียว และเป็นกลุ่ม กำลังมองหาที่นั่ง สามารถเห็นได้ทั่วไปในระบบขนส่งมวลชนในญี่ปุ่น

ทุกเช้าและเย็น เด็กๆ จะสวมถุงน่องสูงถึงเข่า รองเท้าขัดเงา พร้อมหมวกปีกกว้างโดยมีเชือกผูกกระชับใต้คาง มีบัตรรถไฟไปปักไว้ในกระเป๋าเป้สะพายหลังของพวกเขา-เด็กๆ กลุ่มนี้อายุยังไม่ถึงหกขวบ

ผู้ปกครองชาวญี่ปุ่นมักส่งลูกของตนออกสู่โลกกว้างตั้งแต่ยังเด็ก เห็นได้จากรายการโทรทัศน์ยอดนิยมที่ชื่อว่า Hajimete no Otsukai หรือ My First Errand ซึ่งนำเสนอเรื่องราวของเด็กอายุ 2-3 ปี ถูกใช้ให้ไปทำธุระให้ที่บ้าน เช่น ไปซื้อผักให้แม่ หรือแวะร้านเบเกอรี่ ฯลฯ โดยมีทีมช่างภาพถ่ายพวกเขาตลอด รายการดังกล่าวได้รับความนิยมต่อเนื่องมากว่า 25 ปีแล้ว

นอกจากภารกิจที่ลุล่วง ความสำคัญไม่แพ้กันและสิ่งที่เราเห็นจากรายการนี้คือ การคิด แก้ปัญหา ระหว่างทาง และทำทุกวิถีทางเพื่อให้หน้าที่อันสำคัญนี้ มีเหตุสะดุดหรือล้มเหลว

นั่งรถไฟคนเดียวครั้งแรกของ ไคโตะ คือ ตอน 9 ขวบ

ไคโตะ (Kaito) วัย 12 ปีอาศัยอยู่ในโตเกียว นั่งรถไฟด้วยตัวเองไปมาระหว่างบ้านพ่อและบ้านแม่ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุเก้าขวบ ไคโตะยอมรับว่า “ตอนแรกผมรู้สึกกังวลเล็กน้อย แอบกังวลว่าจะนั่งรถไฟเพียงคนเดียวได้หรือเปล่า”

ส่วนพ่อแม่ของไคโตะ ตอนแรกก็กังวลเช่นกัน แต่พวกเขาก็ตัดสินใจให้ลูกเดินทางด้วยตัวเอง เพราะคิดว่าไคโตะโตพอ และเห็นว่าเด็กคนอื่นๆ ก็สามารถทำได้อย่างปลอดภัย

“ในตอนนั้นฉันคิดว่า การเดินทางด้วยรถไฟนั้นปลอดภัย ตรงเวลา ใช้ง่าย และไคโตะเป็นเด็กฉลาด” แม่เลี้ยงของไคโตะอธิบาย

“ฉันขึ้นรถไฟด้วยตัวเองเมื่อตอนที่ฉันอายุน้อยกว่าไคโตะด้วยซ้ำ แม้ว่าตอนนั้นฉันจะยังไม่มีโทรศัพท์ แต่ฉันก็สามารถเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งได้ด้วยรถไฟ และทุกวันนี้ไคโตะมีโทรศัพท์ แม้ว่าเขาจะหลงทาง เขาก็สามารถโทรมาหาเราได้” แม่เลี้ยงของไคโตะเล่าต่อ

แม่เลี้ยงของไคโตะยังบอกอีกว่า เธอจะไม่ยอมปล่อยให้ไคโตะเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินเพียงคนเดียวตอนอายุ 9 ปีแน่ ถ้าเขาอยู่ที่ลอนดอนหรือนิวยอร์ค เธอไว้ใจแค่โตเกียวเท่านั้น

เด็กพึ่งตนเองได้ ชุมชนต้อง Support

การให้อิสระกับเด็กโดยให้ไปไหนมาไหนตามลำพัง ไม่ได้เกิดจากการพึ่งแค่ตัวเอง แต่เกิดจากการช่วยเหลือของกลุ่มชุมชุน ตามที่ เดวน ดิกสัน (Dwayne Dixon) นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรม ผู้เขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับเยาวชนญี่ปุ่นกล่าวว่า

“เหตุผลที่ทำให้เด็กๆ ชาวญี่ปุ่นเรียนรู้เร็ว เพราะสมาชิกในชุมชนทุกคนสามารถเรียกร้องเพื่อรับใช้หรือช่วยเหลือผู้อื่นได้”

สมมุติฐานนี้ได้รับการสนับสนุนจากโรงเรียน เพราะเด็กๆ จะต้องทำความสะอาดโรงเรียน และตักอาหารกลางวันเอง แทนที่จะมีเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนทำให้

“การแบ่งงานให้เด็กๆ ถือเป็นการช่วยเหลือกันภายในโรงเรียน และถือเป็นการปลูกฝังเรื่องความสะอาดไปในตัวด้วย เช่น การสอนให้เด็กๆ รู้วิธีที่ทำให้ห้องน้ำสะอาด เป็นต้น” ดิกสันกล่าว

การรับผิดชอบพื้นที่ร่วมกัน โดยการทำให้เด็กๆ เกิดความภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ และเรียนรู้วิธีปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในการทำความสะอาดเมื่อเขาจัดการตัวเองให้สะอาดได้ จึงขยายออกไปสู่พื้นที่สาธารณะ นี่จึงอธิบายได้ว่าทำไมบนท้องถนนญี่ปุ่นถึงสะอาดมากๆ และเมื่อเด็กอยู่ในที่สาธารณะเขาจะรู้ว่าเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากคนรอบๆ ข้างได้ในกรณีฉุกเฉิน

บ้านเมืองปลอดภัย และถนนเป็นมิตรต่อคนเดิน

ญี่ปุ่นมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่พ่อแม่รู้สึกมั่นใจในการส่งลูกๆ ออกไปใช้ชีวิตคนเดียว และด้วยพื้นที่ที่มีขนาดเล็กบวกกับวัฒนธรรมการเดิน ระบบขนส่ง ยังส่งเสริมความปลอดภัย ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกว่าเด็กๆ จะปลอดภัย

“พื้นที่สาธารณะจะถูกปรับให้เป็นช่องว่างขนาดใหญ่ที่มนุษย์สามารถควบคุมความลื่นไหลและความเร็วบนท้องถนนได้” ดิกสันกล่าว

ผู้คนในญี่ปุ่นต่างคุ้นเคยกับการเดินไปทุกที่ และการขนส่งสาธารณะที่ดีทั้งรถประจำทางและรถไฟ ทำให้การใช้รถยนตร์ส่วนตัวน้อยลง อย่างในโตเกียว ครึ่งหนึ่งของการเดินทางทั้งหมดจะเดินทางโดยรถไฟหรือรถบัส และหนึ่งในสี่คือเดินเท้า ฉะนั้นคนที่ขับรถจะต้องแชร์ถนนร่วมกับคนเดินเท้าและผู้ปั่นจักรยาน

อ้างอิง:
Why Are Little Kids in Japan So Independent?

Tags:

ญี่ปุ่นoverprotective parentpublic spaceการเล่นอิสระ(free play)

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Movie
    Shoplifters : การรวมตัวกันของคนไม่รู้จัก สร้างหลุมหลบภัยที่ขออ้อมแขนจากคนไม่ทำร้ายกัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    มิวเซียมสยาม: (อยากให้) การมาพิพิธภัณฑ์คือเรื่องปกติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Space
    เกตุวดี MARUMURA: แม้พื้นที่น้อย แต่ PUBLIC SPACE ในญี่ปุ่นกว้างมาก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Space
    PUBLIC SPACE …WHERE ARE YOU?

    เรื่องและภาพ SHHHH

จากเด็กที่ไม่รู้กระทั่งชื่อต้นไม้ กลายเป็นผู้คิดค้นเจลรักษาโรคให้กบ
Voice of New Gen
13 December 2018

จากเด็กที่ไม่รู้กระทั่งชื่อต้นไม้ กลายเป็นผู้คิดค้นเจลรักษาโรคให้กบ

เรื่องและภาพ The Potential

  • เจลรักษาโรคขาแดงในกบจากสารสกัดน้ำนมราชสีห์ ผลงานที่ยอดเยี่ยมของ ฟ้า-อุ้ม-ฝ้าย ที่คิดค้นขึ้นเมื่อยังเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งช่วยกำจัดปัญหาโรคในกบ และทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
  • โดยทั้งสาม เริ่มต้นจากการฟุ้งไอเดียขึ้น จากนั้นลงมือทดลอง พัฒนา จนต่อยอดผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์
  • นอกจากได้เปิดโลกของการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองในหลายๆ ด้านแล้ว ฟ้า-อุ้ม-ฝ้าย ยังใช้ผลงานนี้เป็นใบเบิกทางไปสู่อนาคตทางการศึกษาที่ดีได้ด้วย

หลายครั้งที่นวัตกรรมดีๆ เกิดจากแรงบันดาลใจง่ายๆ ที่ถูกคิดบนฐานความจริง เช่น ผลงาน BIOTREAT ของสามสาว ฟ้า-ทิฆัมพร วงษ์วาสน์, อุ้ม-สินีกานต์ เจริญโสภารัตน์ และ ฝ้าย-อริสา รัตนวัน ขณะที่ยังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนมัญจาศึกษา จังหวัดขอนแก่น

เริ่มค้นแค่ความคิดอยากนำวัชพืช (ที่เคยถูกทิ้ง) จากแปลงสวนของพ่อแม่ไปทำประโยชน์เพิ่มเติม พัฒนามาเป็นผลงาน ‘เจลรักษาโรคขาแดงในกบจากสารสกัดน้ำนมราชสีห์‘ ที่ช่วยกำจัดปัญหาโรคในกบ ผลลัพธ์ทางตรงคือเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และทางอ้อมคือเปิดเส้นทางชีวิตให้แก่ฟ้า อุ้มและฝ้าย

จากไอเดีย สู่ห้องแล็บ

Quote คำในโลกออนไลน์ มักนำประเด็นเรื่อง ‘จินตนาการสำคัญกว่าความรู้’ ของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มาผลิตซ้ำอยู่เสมอๆ ทั้งที่ในความจริงของบริบทที่ไอน์สไตน์พูดนั้น ความรู้และจินตนาการจะต้องไปควบคู่กัน และเมื่อเรายังไม่มีความรู้มารองรับจินตนาการ เราก็ต้องทำวิจัยเพื่อผลิตสร้างความจริงมาพิสูจน์จินตนาการนั้น เหมือนที่ฟ้าและเพื่อนทำ

“หลังจากเราได้ main idea แล้ว เราก็เอาไปคุยกับอาจารย์ ว่าอยากลองนำวัชพืชมายับยั้งแบคทีเรีย อาจารย์จึงไปขอใช้ห้องแล็บปฏิบัติการที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นให้เพื่อใช้ในการทดลอง”

จากไอเดียที่ลอยฟุ้ง เมื่อถูกนำเข้าสู่กระบวนการวิทยาศาสตร์ ความรู้ก็เริ่มบังเกิด จากวัชพืช 7 ชนิดที่ทั้งสามไม่เคยรู้จัก ไม่ทราบสรรพคุณ การทดลองทำให้ทั้งสามค้นพบสรรพคุณการยับยั้งแบคทีเรียของต้นน้ำนมราชสีห์ และต่อยอดความรู้ไปสู่เป้าหมาย นั่นคือการนำสารสกัดจากน้ำนมราชสีห์ไปทดลองยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในพืชและสัตว์ โดยทำเป็นสารสกัดหยาบฉีดพ่นรักษาโรคเหี่ยวเขียวในพืช และทดลองสังเคราะห์อนุภาคนาโนซิลเวอร์จากต้นน้ำนมราชสีห์ เพื่อรักษาโรคขาแดงในกบ ซึ่งผลการทดลองออกมาน่าพึงพอใจ แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้น คือความรู้ที่เกิดจากการทดลองทำ

“ตอนแรกพวกหนูไม่มีความรู้อะไรเลยค่ะ (หัวเราะ) ไม่รู้ด้วยว่าต้นนี้ชื่อน้ำนมราชสีห์ เริ่มแรกก็ไปสุ่มว่าในไร่ มีวัชพืชอะไรบ้างที่ขึ้นเหมือนกัน แล้วก็เอามาทดสอบว่ายับยั้งแบคทีเรียได้ไหม พอพบว่าน้ำนมราชสีห์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้โดดเด่นที่สุด พวกหนูเลยเลือกตัวนี้มาต่อยอด” ฟ้าเล่าด้วยรอยยิ้ม

ก่อนจะพบว่า หากการทดสอบเพื่อสร้างความรู้ว่ายากแล้ว การพัฒนาความรู้ไปสู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์นั้นยากกว่าอีกหลายเท่าตัว

เพื่อให้เยี่ยม! จึงต้องยาก

ฟ้าและเพื่อนส่งผลงานเข้าประกวด YSC 2017 และได้เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ด้วยความอยากเห็นผลงานของพวกตนถูกพัฒนาขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้จริงและใช้ได้ดี พวกเธอจึงเข้าร่วมโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปี 5 และก็ไม่ผิดหวัง เมื่อคำแนะนำจากกรรมการและทีมโค้ช นำมาซึ่งการทดลองและพัฒนาผลงานอีกถึง 5 เวอร์ชั่น

นับจากเวอร์ชั่นแรก ที่ทีมใช้อนุภาคนาโนซิลเวอร์ขนาด 15-23 นาโนเมตรเป็นส่วนประกอบหลัก ผสมด้วยคาร์โบพอล (สารก่อเจล) ทำให้ได้เจลที่มีความเข้มข้น 50 ไมโครกรัม ซึ่งยังไม่เสถียร ทีมจึงต้องกลับสู่ห้องแล็บเพื่อหาสูตรที่ลงตัวขึ้น ซึ่งไม่ยาก…แต่ก็ไม่ง่าย

“ตอนสังเคราะห์นาโนมันไม่ได้ยากค่ะ แต่การจะควบคุมความเข้มข้นให้ได้มันต้องทำหลายครั้ง เพื่อให้มันหนืดพอที่จะติดอยู่กับขากบได้ ซึ่งพอทำครั้งหนึ่งไม่ได้เราก็ต้องทำใหม่กว่าจะได้ ตอนทำเจลเราทำ 3 สูตร ต้องทดสอบอยู่นานกว่าจะควบคุมความเข้มข้นของเจล และความสะอาดเวลาบรรจุได้” ฟ้าเล่าถึงกระบวนการ

และเมื่อคิดจะพัฒนาผลงานเพื่อจำหน่าย ตัวผลิตภัณฑ์อย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ แต่ต้องมีบรรจุภัณฑ์เข้ามาเสริมด้วย เวอร์ชั่นที่ 2 และ 3 ของ BIOTREAT นอกจากการพัฒนาสูตรเจลให้เสถียรแล้ว การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ใช้ง่ายสำหรับเกษตรกรก็เป็นอีกงานที่ฟ้าและเพื่อนต้องกุมขมับ

“มันยากค่ะในการคิด packaging เพราะตอนแรกพวกหนูคิดว่าเอาที่สบายเรา เป็นเจลในกระปุกหรือสเปรย์ก็ได้ แต่ถ้าเรามองไปที่เกษตรกรที่เขาใช้จริง เวลาเปิดกระปุกเจลเขาสะดวกไหม? เราจึงต้องคิดให้เกษตรกรสะดวกสบายที่สุด ไม่ใช่แค่สบายเรา แต่เขาใช้งานไม่สะดวก” ฟ้ากล่าวกลั้วหัวเราะ

กระทั่งบรรจุภัณฑ์เข้าที่เข้าทาง งานต่อไปในเวอร์ชั่นที่ 4-5 ก็คือ การตรวจสอบความปลอดภัยของเจล ที่มีต่อระบบนิเวศและความปลอดภัยต่อเซลล์ไลน์ (Cell Line) ของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นความยากยิ่งกว่า แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ทั้งสามได้เรียนรู้ในสิ่งที่พวกเธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“ก่อนหน้านี้เราไม่รู้ว่าเมื่อเจลละลายไปกับน้ำ แล้วน้ำถูกปล่อยออกไปจะส่งผลต่อระบบนิเวศรอบข้างไหม รวมไปถึงพี่ๆ โค้ชและกรรมการแนะนำว่า เจลเราใช้กับกบ แล้วคนมากินกบ อาจจะเกิดผลข้างเคียงอะไรไหมเราไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องทำให้ปลอดภัย ซึ่งการทดสอบความเป็นพิษต่อระบบนิเวศ เราต้องเลี้ยงกุ้งฝอย ซึ่งเลี้ยงยากมาก (ลากเสียง) เพราะกุ้งฝอยเซนซิทีฟมาก ถ้าปล่อยไว้นานไม่มีออกซิเจนกุ้งจะน็อคน้ำ พวกหนูทำตรงนี้เยอะมาก หลายครั้งมาก เป็นเดือนกว่าจะได้ ส่วนการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ปกติ อาจารย์ก็ช่วยประสานส่งไปทดสอบที่ห้องปฏิบัติการ (Lab) ขั้นที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นให้ค่ะ” ฟ้าเล่า

และไม่ใช่เพียงความยากของเนื้องานเท่านั้น แต่รวมไปถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ทั้งการทำงานเป็นทีมและเวลาในการทำงาน ที่ต้องอยู่ทำจนดึกดื่น ไม่ได้กลับบ้านกันเป็นเดือนๆ ด้วย

“ในทีมไม่ได้แบ่งหน้าที่กันชัดเจน เรียกว่าช่วยกันทำค่ะ ก็มีทะเลาะกันบ้าง ซึ่งไม่ใช่จากงาน แต่ก็ทำให้แทบจะยกเลิกงานทุกอย่าง จนอาจารย์ต้องมาช่วยเคลียร์ อาจารย์พูดมาประโยคเดียวว่า เราอยู่ด้วยกันมาตั้ง 3 ปีนะ ที่อาจารย์พูดทำให้เรากลับมาทำงานกันต่อ เพราะพวกหนูเห็นมาตลอด 3 ปีว่าอาจารย์ทุ่มเทกับงานมาก ถ้าจะต้องนำเสนอก็จะซ้อมอยู่ด้วยตลอดคืน เสาร์อาทิตย์พาไปทำแล็บ พาไปลงพื้นที่ ค่าใช้จ่ายอาจารย์จะจ่ายให้ตลอดด้วยเงินส่วนตัว ถึงทะเลาะกันเราก็คืนดีกันเพราะอาจารย์ค่ะ” ฟ้าเล่าด้วยรอยยิ้ม

อาจารย์จึงเป็นปัจจัยเสริมแรงที่สำคัญของฟ้า-อุ้ม-ฝ้าย ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันให้ทั้งสามข้ามพ้นความยากไปสู่การพัฒนาผลงานจนสำเร็จได้

เพราะยากมาก จึงเติบโต

กล่าวได้ว่ากระบวนการพัฒนา BIOTREAT นี้ข้ามพ้นไปจากการทำโครงงานระดับนักเรียน เพราะต้องอาศัยความรู้ด้านการตลาดและการทดสอบผลทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง แต่ก็เพราะความยากนี้เอง ที่ช่วยพัฒนา ฟ้า-อุ้ม-ฝ้าย ให้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

การทำโครงงานช่วยสอนให้เราคิดเป็นระบบมากขึ้น รู้ว่าต้องทำอะไรก่อน-หลัง ทำแบบนี้ได้ผลแบบไหน และจะทำอะไรต่อไป

ฟ้า-ทิฆัมพร วงษ์วาสน์, อุ้ม-สินีกานต์ เจริญโสภารัตน์ และ ฝ้าย-อริสา รัตนวัน

“ถ้าเราเอาน้ำนมราชสีห์มา เราต้องสกัดก่อน เอามาระเหย ทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ ทำให้เราไม่คิดสะเปะสะปะ ซึ่งมันช่วยในการใช้ชีวิตด้านอื่นด้วย เช่น แบ่งเวลาทำการบ้าน หรือช่วยเพื่อนวางแผนการทำงานได้ เช่น กิจกรรมรับน้องของโรงเรียน ตอนไปซื้อของก็มีการวางแผนว่า ไปร้านนี้ก่อน แล้วค่อยไปร้านนี้ เมื่อก่อนก็จะขับรถวนไปเรื่อยๆ” อุ้มหัวเราะท้ายประโยค

“หรืออย่างการนำเสนอ เมื่อก่อนจะพูดไปเรื่อยๆ ตอนนี้จะมาไล่ลำดับการนำเสนอ เน้นจุดที่สำคัญ ถ้าอยากให้เกษตรกรใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา เราต้องพูดจาหว่านล้อมให้เขาเห็นจุดเด่นผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งการนำเสนอมันเป็นการฝึกมนุษยสัมพันธ์ของเราไปโดยปริยายค่ะ อย่างเมื่อก่อนหนูมนุษยสัมพันธ์แย่มาก (ลากเสียง) แต่พอมาต่อกล้าฯ ทำให้รู้ว่ามนุษยสัมพันธ์สำคัญ ทำให้เรามีเพื่อนใหม่ๆ มีคอนเนคชั่นที่ดี รู้จักวิธีประสานงาน การพูดคุยกับผู้ใหญ่ และทำให้เราได้รับมุมมองดีๆ กลับมา เช่น เวลาทำงานพี่ๆ โค้ช ก็จะแนะนำให้เราปรับแก้จุดนั้นจุดนี้ ทำให้เราฉุกคิดว่าทำไมเรามองข้ามตรงนี้ไป ทำให้เราได้บทเรียนว่า เวลาทำอะไรสักอย่างในชีวิต เราต้องมองหลายๆ มุม ไม่ใช่มองด้านเดียว ทำให้เรามีมุมมองกว้างขึ้นค่ะ” ฟ้ากล่าว

และเหนืออื่นใด คือ มุมมองในการพัฒนาผลงานบนฐานของความต้องการของผู้ใช้จริง ซึ่งทั้งสามได้รับมาอย่างเต็มที่

“ปกติเวลาทำงานอะไรสักอย่าง เราจะมองตัวเองเป็นหลัก เอาที่เราคิดว่าดี แต่ต่อกล้าฯ มีเวิร์คช็อปที่ทำให้เราได้มองเห็นผลงานของเราในมุมที่เราไม่เคยคิดจะมองค่ะ เราไม่เคยคิดว่า ถ้าเราเป็นเกษตรกรเราจะกล้าใช้ผลิตภัณฑ์นี้ซึ่งมาจากงานของนักเรียนไหม ต่อให้เราไปบอกเขาว่าดีอย่างไรเขาก็ไม่ใช้อยู่ดี โครงการนี้ทำให้เราเห็นว่า เราต้องหาวิธีการให้เขาพอใจกับผลิตภัณฑ์ของเรา” ฟ้าเล่าถึงกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการนำผลงานเวอร์ชั่น 6 ไปให้เกษตรกรตัวจริงลองใช้ และเก็บข้อมูลกลับมาพัฒนางานต่อ

ซึ่งนอกจากอาจารย์ที่ปรึกษาทั้ง 2 ท่านแล้ว ทีมโคชก็มีบทบาทอย่างมากในการช่วยหนุนเสริมการทำงานและการพัฒนาตัวตนของทั้งสามสาว

“พี่ๆ ทุกคนทุ่มเทให้พวกหนูมากๆ ค่ะ เหมือนพี่เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นงาน เป็นหน้าที่ ที่ทำแล้วจบ แต่คอยช่วยพวกหนูในทุกๆ ช่วงที่มีปัญหา พี่เขาให้คำแนะนำได้ทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องผลิตภัณฑ์ แต่รวมถึงการใช้ชีวิต เป็นเหมือนครอบครัว เหมือนพี่สอนน้อง เรามาอยู่ในต่อกล้าฯ ที่เป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ที่สามารถปรึกษาได้ทุกเรื่อง พี่เขาพร้อมให้คำแนะนำเรา แค่เรากล้าที่จะเข้าไปขอความช่วยเหลือเท่านั้น” ความรู้สึกจากฝ้าย

ผลลัพธ์ของการทำงานหนัก

ถึงวันนี้ ที่ BIOTREAT ถูกพัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถใช้งานได้จริง มีบรรจุภัณฑ์ มีแบรนด์ และโลโก้สำหรับการต่อยอดเชิงพาณิชย์ รวมไปถึงกำลังดำเนินการจดสิทธิบัตร วันนี้มีผู้มายื่นข้อเสนอขอซื้อลิขสิทธิ์ไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์จำหน่ายต่อเรียบร้อยแล้ว

แน่นอนว่าพวกเธอในฐานะผู้พัฒนาผลงานย่อมภาคภูมิใจกับผลสำเร็จนี้อย่างมาก

“พวกหนูนึกถึงวันแรกที่เข้าโครงการต่อกล้าฯ มา คือเรายังไม่มีอะไรเลยจริงๆ จนพี่ๆ โคชให้คำแนะนำมาเรื่อยๆ จนมาเป็นผลิตภัณฑ์นี้ รู้สึกภูมิใจมากค่ะ” อุ้มกล่าว

“ตอนแรกคิดแค่รักษาโรคขาแดงในกบได้ก็จบแล้ว แต่ตอนนี้มันมาเกินเป้าเยอะมาก เราพอใจที่มีแบรนด์ มีโลโก้ของเรา เราสามารถแตกไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นได้ เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีความสะดวกมากขึ้น” ฟ้าเล่าอย่างมีความสุข

“ไม่คิดว่ามันจะมาไกลขนาดนี้ จนวันสุดท้ายที่จะได้มาโครงการฯ รู้สึกว่า เราอยู่มา 9 เดือนแล้วหรือ เราทำตัวเจลนี้ 9 เดือนเลยนะ เราเหนื่อยมาเท่าไหร่ มันทำให้หนูภูมิใจมาก สามารถยื่น portfolio เรียนต่อได้ มีผลงานที่กำลังจะจดสิทธิบัตร ตอนทำงานยอมรับว่าเหนื่อยมาก แต่พอมองย้อนไปเรากลับคิดถึงมัน มันก็ไม่ได้เหนื่อยนี่ รู้สึกหายเหนื่อย แต่มันกลายเป็นความภูมิใจ” ฝ้ายเล่าพร้อมรอยยิ้ม

เพราะการพัฒนาผลงานในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ทั้งสามได้เปิดโลกของการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองในหลายๆ ด้านแล้ว ตัวผลงานก็ยังสามารถใช้เป็นใบเบิกทางไปสู่อนาคตทางการศึกษาที่ดีให้แก่ทั้งสามได้อีกด้วย โดยฟ้าได้ศึกษาต่อในคณะวิทยาศาสตร์ (เคมี) มหาวิทยาลัยขอนแก่น อุ้มศึกษาต่อในคณะเทคโนโลยีอาหาร มหาวิทยาลัยขอนแก่น และฝ้ายได้เลือกทั้งคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยบูรพา

“มีช่วงที่ทำงานหนักๆ ไม่ได้กลับบ้านเป็นเดือน ไปอยู่บ้านอุ้มกัน เพราะบ้านอุ้มอยู่หลังโรงเรียน ต้องทำแล็บเก็บผลตลอดในช่วงแรก ต้องทดลองทำอยู่ที่โรงเรียนทั้งวันทั้งคืน พ่อแม่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำงานเหนื่อยขนาดนี้ แต่พอวันนี้หนูยื่นผลงานเข้าคณะที่อยากเรียนได้ ทำให้เขารู้ว่า นี่คือความพยายามของลูกฉันที่ทำมาตลอด 3 ปี” ฟ้ากล่าวอย่างภาคภูมิใจ และแน่นอนว่า ใบเบิกทางสู่รั้วมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ คือก้าวสำคัญที่ดึงทั้งสามสาวเข้าใกล้ความฝันไปอีกขั้น

“หนูชอบชีวะ แล้วหนูก็ได้สาขาวิชาเทคโนโลยีการอาหาร ซึ่งเรียนชีวะเยอะมาก หนูชอบ และอยากจะเป็นนักวิจัยหรืออาจารย์มหาวิทยาลัยต่อไปค่ะ” อุ้มกล่าว

“ส่วนหนูอยากเป็นนักวิชาการสาธารณสุข อยากทำงาน สสอ. อยู่อนามัยชุมชน มีความสุขกับงานที่ทำ สิ่งที่เรียนมา และสามารถเลี้ยงดูแม่ได้ค่ะ” ฝ้ายเผยความฝันอย่างชัดเจน

“ที่บ้านปลูกฝังให้เป็นข้าราชการค่ะ แต่ตอนนี้อยากเป็นเจ้านายตัวเอง (หัวเราะ) อยากเปิดฟาร์ม เลี้ยงทุกอย่างที่อยากเลี้ยง ปลูกทุกอย่างที่อยากปลูก ยิ่งมาโครงการนี้ ได้ทำงานนี้ หนูยิ่งอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากบริหารจัดการตัวเองได้” ฟ้าจบประโยคด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง

ทั้งหมดคือผลพวงแห่งความสำเร็จที่เกิดมาจากการทำงานหนัก เปรียบได้กับการแบกภาระหน้าที่เดินขึ้นยอดเขา ซึ่งแม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้าเพียงใด แต่เมื่อฝ่าฟันอุปสรรคและความเหนื่อยยากไปจนถึงยอดได้ ความสวยงามย่อมปรากฏตรงหน้า

เป็นความสวยงามที่นอกจากผลงานนั้นจะช่วยแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกรได้จริงแล้ว ผลดังกล่าวยังสะท้อนกลับมาหนุนเสริมความก้าวหน้าในชีวิตของทั้งสามสาวได้อย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย

Tags:

วัยรุ่นโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรม

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    รดิศ ค้าไม้: จากเด็กติดเกมสู่นักออกแบบเกม เกมเป็นครู เป็นความฝัน และผู้สอนทักษะการบริหาร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    ไอเดียพลุ่งพล่านแต่ขัดสนด้านเทคนิค (ยากๆ) MAKER PLAYGROUND ช่วยได้!

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    TIME FOR TALES นิทานมหัศจรรย์ที่เปิดโลกการอ่าน-สัมผ้ส-รู้สึก แก่ผู้พิการด้านสายตา

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    OUR DARKEST NIGHT เกมสายดาร์คของเด็กมัธยม บ่มจาก PASSION

    เรื่อง

เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน
21st Century skills
12 December 2018

เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Collaboration ไม่ได้หมายความแค่ การทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายให้แล้วเสร็จ แต่ยังรวมถึง การแลกเปลี่ยนไอเดีย อัตลักษณ์ กระบวนคิด แม้กระทั่งบทเรียนความล้มเหลวจากข้อผิดพลาดในอดีต จะช่วยนำไปสู่ขนบวิถีใหม่ซึ่งสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
  • การสร้างสถานการณ์ที่ต้องทำงานร่วมกันในห้องเรียน เป็นก้าวแรกให้ผู้เรียนได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นธรรมชาติจากการเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย พร้อมปรับตัวยืดหยุ่นให้เข้ากับคนที่แตกต่างหลากหลาย จำลองโลกการทำงานข้างนอกจริงๆ
  • การสร้างบรรยากาศการทำงานร่วมกันในห้องเรียน จะเป็นหนึ่งในวิธีทลายกำแพงของตัวเอง เพื่อให้เราจะได้ยินเสียงของกันและกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น และไว้วางใจกันมากขึ้น เมื่อห้องเรียนอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ว่า การเรียนรู้ของเด็กๆ ก็จะไม่มีอะไรมาขวางกั้นเช่นกัน

นิยามของ Collaboration ไม่ได้มีแค่ว่า ‘การทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายให้แล้วเสร็จ’ แต่ยังหมายความถึง การแลกเปลี่ยนไอเดีย อัตลักษณ์ กระบวนคิด ทฤษฎี องค์ความรู้จากแหล่งที่มาหลากหลาย แม้กระทั่งบทเรียนความล้มเหลวจากข้อผิดพลาดในอดีต จะช่วยนำไปสู่ขนบวิถีใหม่ซึ่งสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

การจัดกระบวนการเรียนรู้ในโรงเรียนให้สอดคล้องกับ Collaboration ในความหมายนี้ ควรเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน นักเรียนในศตวรรษนี้ต้องได้รับการฝึกทักษะการเข้าสังคมให้มากพอๆ กับความรู้ด้านวิชาการ

ในบทความ Start the Year With Collaboration ใน EDUTOPIA ฮีเธอร์ วัลเพิร์ท กอว์รอน (Heather Wolpert-Gawron) หยิบยกข้อมูลจากวารสารทางวิชาการเรื่อง The New Circles of Learning: Cooperation in the Classroom and School ซึ่งเผยแพร่ใน ASCD มาสนับสนุนความสำคัญของการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบกลุ่ม (group work) ในชั้นเรียนว่า

คุณครูควรมุ่งเน้นสัดส่วนการเรียนรู้ผ่านการทำงานร่วมกันเป็นทีมให้ได้อย่างน้อย 60 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละปีการศึกษา และจะดีที่สุดก็ต่อเมื่อเริ่มตั้งแต่เนิ่นๆ แทนที่จะปล่อยให้นักเรียนคุ้นชินกับการเรียนรู้แบบตัวใครตัวมันซึ่งให้ครูเป็นศูนย์กลาง

นั่นหมายความว่า คุณครูต้องหากลวิธีสร้างห้องเรียนให้เป็นเสมือน ‘ชุมชนหนึ่ง’ ที่มีวินัยการอยู่ร่วมกันและพร้อม ‘แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน’ อย่างเคารพกฎกติกามารยาท บนสัมพันธภาพอันดีและมีความไว้วางใจซึ่งกันและกันของนักเรียนให้เร็วที่สุด

แต่ช้าก่อน…ใช่ว่าการจะสร้างห้องเรียนให้มีบรรยากาศดังที่ว่านี้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพียงชั่วสัปดาห์ แถมระยะเวลาในปีการศึกษาก็ไม่ได้ยาวนานขนาดนั้นซะด้วย กลเม็ด Team Building น่าจะเป็นบันไดขั้นแรกของการตระเตรียมให้นักเรียนเหล่านั้นเปิดใจสร้างสัมพันธภาพและก่อเกิดทัศนคติว่า ทุกคนล้วนมีบทบาทหน้าที่ในฐานะส่วนหนึ่งของสังคม (ซึ่งห้องเรียนก็คือสังคมบริบทหนึ่ง) และต้องพึ่งพาอาศัยกันไปตลอดการเรียนรู้ เคารพไว้ใจซึ่งกันและกันเป็นกุญแจสำคัญ

กลเม็ด Team Building แบบไม่รู้ฉันไม่รู้จักเธอ

ในวันเปิดการศึกษาของนักเรียนเกรด 4 เควิน อาร์มสตรอง (Kevin Armstrong) คุณครูโรงเรียน Katherine Smith Elementary School, California เดินฉับๆ เข้าห้องเรียนแล้วแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม 4-5 คนทันที เขาแจกการ์ดกระดาษแข็งให้กลุ่มละ 25 ใบ เทปกาวกระดาษยาว 2 ฟุต พร้อมลูกเทนนิส 1 ลูก ภารกิจที่เจ้าหนูเกรด 4 ได้รับมอบหมายหลังจากจำหน้าเพื่อนยังไม่ได้เลยก็คือ ต้องช่วยกันใช้การ์ดกับเทปกาวแสนสั้นนั้น สร้างหอคอยที่สามารถรับน้ำหนักลูกเทนนิสด้านบนให้ได้ภายในเวลา 12 นาที!

บางกลุ่มปรับตัวเร็ว แม้ไม่รู้จักกันก็เริ่มพูดคุยวางแผนกันก่อนว่าจะสร้างฐานแบบไหน ขณะที่บางกลุ่ม สมาชิกแยกกันไปพับการ์ดให้เกิดเหลี่ยมมุมและเริ่มแปะเทปกาวกันแบบจับแพะชนแกะให้เป็นโครงหอคอยขึ้นมา

“อีก 1 นาทีหมดเวลา!” เควินขานเวลาบอกเด็กๆ ว่าถึงเวลาตัดสินประสิทธิภาพความแข็งแรงของหอคอยทรงพิสดารกันแล้ว ในวินาทีสุดท้าย แต่ละกลุ่มยักแย่ยักยันวางลูกเทนนิสลงบนจุดที่คิดว่าแข็งแรงที่สุด ผลลัพธ์คือ บางหอคอยพังราบเป็นหน้ากลองจนลูกเทนนิสกลิ้งกระดอนไปบนพื้น บ้างก็โงนเงนเจียนล้มแต่ยังประคองลูกเทนนิสไว้ได้ก็มี กลุ่มผู้อยู่รอดซึ่งวางลูกเทนนิสได้อย่างปลอดภัยบนหอคอยต่างกรี๊ดกร๊าดดีอกดีใจใหญ่ กลุ่มที่พังร้องระงมด้วยความเสียดาย บ้างก็ยืนตาปริบๆ

ประเด็นคือ เควินตั้งใจให้เด็กน้อยเหล่านี้รู้จักกับความล้มเหลวตั้งแต่วันแรกของการเรียน อานิสงส์จากกิจกรรม Team Building ข้างต้นที่นอกจากสร้างความสัมพันธ์ขั้นต้น ยังพาพวกเขาข้ามผ่านกระบวนการทำงานแก้ปัญหาร่วมกัน ตั้งแต่การแชร์ไอเดียความคิด หนทางความเป็นไปได้ หารือวิเคราะห์ โต้แย้ง ไปจนถึงยอมรับ ปรับปรุง เพื่อให้งานเดินไปข้างหน้าจนสำเร็จลุล่วง

จริงอยู่ที่หอคอยหงิกงอยับเยินเหล่านั้น หมายถึงภารกิจที่ตั้งไว้ไม่สำเร็จ แต่นั่นไม่สำคัญ

“นักเรียนส่วนใหญ่มักไม่ตระหนักว่า หัวใจของการทำงานร่วมกันนั้น จริงๆ แล้วอยู่ที่ข้อล้มเหลวผิดพลาดที่พวกเขาเจอนั่นแหละ การได้พยายามฝ่าฟันปัญหาอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน คือพลังที่จะเชื่อมประสานให้พวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริง และตรงนี้เองที่จะพาพวกเขาก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างแข็งแกร่ง”

เมื่อความพยายามของบางกลุ่มสัมฤทธิ์ผล บางกลุ่มล้มเหลว ช่วงเวลาหลังจากนั้น เควินไล่ถามแต่ละกลุ่มให้ถอดบทเรียนในสิ่งที่ได้เรียนรู้จากกิจกรรมในครั้งนี้ และร่วมกันเสนอไอเดียว่าครั้งหน้าจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไรถ้ามีโอกาสได้สร้างหอคอยอีกครั้ง ระหว่างนั้นเขาให้เด็กๆ ช่วยกันเขียนลิสต์บนกระดานเป็น Y Chart (ชาร์ตซึ่งแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วนเพื่อสะท้อนสิ่งที่เกื้อหนุนกัน 3 ด้านประกอบไปด้วย Look Sound และ Feel) เพื่อบันทึกข้อสังเกตอันเป็นประโยชน์ที่แต่ละกลุ่มแชร์บทเรียนที่ได้จากประสบการณ์นี้ ตลอดจนจุดที่พวกเขาอยากแก้ไขปรับปรุง Y Chart เป็นเครื่องมือช่วยสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มที่ดีและมีแนวโน้มที่จะสำเร็จนั้นควรมีลักษณะอย่างไรบ้าง

อันดับแรก สิ่งที่พวกเขาเห็น (look) แล้วคิดว่าช่วยให้การร่วมมือในกลุ่มราบรื่นมีอะไรบ้าง เช่น ท่าทางเชิงบวก รอยยิ้ม การผลัดกันเป็นผู้นำผู้ตาม ผลงานการจัดวางการ์ดเรียบร้อยเป็นระเบียบ

สอง เสียงที่สร้างสรรค์พลังบวกให้เกิดขึ้นระหว่างทำงานร่วมกันเป็นอย่างไร (sound) การแนะนำตัวระหว่างกัน น้ำเสียงกระตือรือร้น สุภาพ เสียงเชียร์แนะนำหรือให้กำลังใจกัน

และสุดท้าย ความรู้สึกระหว่างการทำงานเป็นทีมควรเป็นอย่างไร (feel) เช่น กดดันในระดับที่พอจะมีแรงกระตุ้น สนุกที่มีเพื่อนช่วยกัน ทุกคนสนใจและให้ความสำคัญซึ่งกันและกัน ได้รับการเคารพยอมรับในการตัดสินใจ

นอกจากการโยนเด็กๆ เข้าไปในสถานการณ์ที่ต้องทำงานร่วมกันโดยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจนี้ เป็นก้าวแรกให้พวกเขาได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นธรรมชาติจากการเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย พร้อมกับต้องปรับตัวยืดหยุ่นให้เข้ากับคนที่แตกต่างหลากหลายซึ่งเป็นไปเช่นเดียวกับโลกการทำงานข้างนอกจริงๆ

ทั้งนี้ สำคัญที่สุดคือคุณครูต้องนั่งล้อมวงร่วมกับพวกเขา หาข้อสรุปบทเรียนที่ได้รับจากการทำงานร่วมกัน สิ่งใดที่ดีอยู่แล้ว สิ่งใดควรปรับปรุง อย่าลืมชี้ให้พวกเขาตระหนักว่าสิ่งที่พวกเขาเผชิญมาทั้งหมดคือการเรียนรู้อันมีค่า นิยามของ Collaboration โดยแท้ ไม่ใช่เพียงทำงานร่วมกันกับคนอื่นให้แล้วเสร็จ แต่คือพลังความร่วมแรงร่วมใจที่ทุกคนต้องมีให้แก่กัน

กลเม็ดเล่าเรื่อง ฟังด้วยใจ ให้ใกล้ขึ้น

สำหรับ ไดแอน ฟีโอเล (Diane Feole) คุณครูสอนวิชา writing โรงเรียน Cranston High School West ซึ่งมีประสบการณ์สอนนักเรียนชั้นประถมและมัธยมมากว่า 24 ปี กล่าวว่า นักเรียนบางคนอาจเคอะเขินที่จะเปิดตัวเองในชั้นเรียนเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนๆ ดังที่ครูตั้งใจ อาจด้วยเหตุปัจจัยจากนิสัยใจคอหรือปัญหาส่วนตัวก็เป็นได้ เช่น แชนด์เลอร์ (Chandler) นักเรียนในชั้นเรียนคนหนึ่งของเธอ ผู้ซึ่งไม่เคยปริปากออกเสียงเลยในชั้น จนทุกคนถึงกับบอกว่าไม่เคยได้ยินเสียงของเขาแม้แต่ครั้งเดียว

ไดแอนใช้วิธีให้นักเรียนเขียนเรียงความแนะนำตัวด้วยเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ตนเองคิดว่าสำคัญที่สุด มานั่งล้อมวงผลัดกันอ่านให้เพื่อนๆ ฟัง ปรากฏว่าจริงๆ แล้วแชนด์เลอร์ไม่ใช่หนุ่มน้อยผู้ปิดตัวเองจากสังคมเลย เขาเป็นคนตลก แต่แค่ขี้อายมากๆ เรียงความที่เขาอ่านเรียกเสียงหัวเราะให้ชั้นเรียนได้เหนือความคาดหมาย

ขณะที่แอ็บบี้ (Abby) ประธานหญิงชั้นปีสุดท้าย ด้วยบุคลิกเปิดเผย ร่าเริงและฮ็อตในหมู่เพื่อนๆ น่าดู กลับอ่านเรียงความที่เผยเแง่มุมซึ่งไม่มีใครเคยรู้ว่า เธอสูญเสียน้องชายมาก่อน แถมพ่อยังทิ้งเธอกับแม่และน้องๆ อีก 5 คนไป ทุกวันนี้เธอกับแม่ต่างต้องช่วยกันทำงานแข็งขันเพื่อเลี้ยงดูน้องๆ เมื่อแอ็บบี้แชร์เรื่องราวของตัวเองกับเพื่อนในชั้น ทุกคนก็ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วแอ็บบี้ผู้ดูเพียบพร้อมไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเช่นกัน ทุกคนเปิดรับตัวตนอีกด้านหนึ่งของเธอที่เผชิญหน้ากับความสูญเสียและเอาชนะมันได้อย่างกล้าหาญ

“จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ฉันบอกได้เลยว่าความสนิทสนมแน่นแฟ้นในหมู่เด็กๆ คือพื้นฐานสำคัญที่ช่วยเรื่องการเรียนรู้ของพวกเขา สำคัญที่คุณครูว่า ทำอย่างไรจึงจะสร้างความไว้วางใจ ความใกล้ชิดสนิทสนมให้เกิดขึ้นในห้องเรียนที่เด็กเหล่านั้นนั่งแยกโต๊ะกันให้ได้”

เมื่อผ่านไปครึ่งเทอม จากเด็กที่เพื่อนคิดว่าเป็นใบ้ แชนด์เลอร์กลายเป็นนักพูดประจำห้อง เขาแสดงความเห็นในชั้นเรียนอย่างมั่นอกมั่นใจ บางครั้งถึงกับร้องเพลงเล่นอูคูเลเล่ให้เพื่อนในชั้นฟัง

“ผมรู้สึกว่าเพื่อนคือคนในครอบครัว และห้องเรียนก็ไม่น่ากลัวอีกแล้ว”

การทลายกำแพงของตัวเองและแชร์เรื่องราวซึ่งกันและกันเป็นจุดกำเนิดของสายสัมพันธ์อันน่าทึ่ง ไม่ใช่เพียงในห้องเรียน แต่ในการดำเนินชีวิตข้างนอกก็ด้วย บางครั้งการรับฟังหรือแชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างกัน ก่อให้เกิดความเข้าใจและสำนึกรู้คุณค่าความหมายบางอย่างได้ลึกซึ้ง เมื่อนักเรียนได้ทลายกำแพงที่ขวางกั้นตนเองกับเพื่อนคนอื่นลง เราจะได้ยินเสียงของกันและกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น และไว้วางใจกันมากขึ้น เมื่อห้องเรียนอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่ว่า การเรียนรู้ของเด็กๆ ก็จะไม่มีอะไรมาขวางกั้นเช่นกัน

กลเม็ดสถานการณ์จริง ไม่อิงนิยาย

ในชั้นเรียนที่นักเรียนเป็นเด็กโต เอียน ครอว์ฟอร์ด (Eean Crawford) คุณครูสอนวิชาเตรียมหลักสูตรบริหารที่ Tippie College of Business, University of Iowa แชร์ประสบการณ์การสอนวิชาบริหารแบบจัดกลุ่มเรียนรู้ให้ฟังว่า เขาตั้งใจให้นักเรียนเข้าใจหลักการบริหารอย่างสมจริงว่า ในฐานะนักบริหารในองค์กรต้องพบเจออะไรบ้าง คิดวิเคราะห์ สื่อสารในองค์กรอย่างไร และ เรียนรู้ผ่านกระบวนการร่วมมือแก้ปัญหาในโลกธุรกิจจริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร นอกจาก teamwork พวกเขาต้องรู้จักปรับตัว ยืดหยุ่นกับสมาชิกในทีมที่มาจากต่างแผนก และอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หน้าที่ความรับผิดชอบอาจต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามที่ได้รับมอบหมายอีกด้วย

เพื่อจำลองเอาการทำงานในบริษัทจริงๆ ที่แต่ละแผนกต้องทำงานด้วยกันอย่างเลือกไม่ได้ เอียนแบ่งกลุ่มนักเรียนจำนวน 4 คน และกำหนดให้ในหนึ่งภาคเรียนต้องทำโปรเจ็คต์ออกมาจำนวน 4 งาน โดยแต่ละโปรเจ็คต์เขาเป็นคนเลือกสมาชิกในกลุ่มเอง จากการสังเกตลักษณะการแสดงออกในชั้นเรียน เพศ เชื้อชาติ ตามวิชาเอก และประสบการณ์ในงานกลุ่มที่ผ่านมา (การฟอร์มทีมด้วยปัจจัยดังกล่าวนี้ มีผลการศึกษาของ PISA ในปี 2017 สนับสนุนว่า เพศและเชื้อชาติของนักเรียน มีผลต่อความสามารถในการร่วมมือกันทำงานกลุ่ม ในรายงานนี้ชี้ว่า เด็กผู้หญิงทำงานกลุ่มได้ดีกว่าเด็กผู้ชาย และชาติที่รั้งตำแหน่งแชมป์ผู้เชี่ยวชาญทำงานกลุ่มได้แก่ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และฟินแลนด์) ทั้งนี้ ทุกคนในทีมต้องมีบทบาทหน้าที่ชัดเจน ไม่ทับซ้อน และได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเต็มที่

สัปดาห์แรก การสอนโฟกัสที่หลักการของทีมเวิร์คและบทบาทหน้าที่ของตำแหน่ง ‘ผู้จัดการ’ รวมถึงทฤษฎีพื้นฐานต่างๆ เช่นการวางแผนธุรกิจ จากนั้นโปรเจ็คต์ทั้งสี่ที่มอบหมายคือ ให้นำทฤษฎีธุรกิจเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้จริง เช่น โปรเจ็คต์แรกให้แต่ละทีมคิดแผนธุรกิจมาพรีเซนต์แข่งกันว่าพันธกิจองค์กร การวิเคราะห์คู่แข่ง และกลยุทธ์ทางธุรกิจใดที่จะทำให้องค์กรของตัวเองโดดเด่นเข้าตาลูกค้าและตอบโจทย์ที่สุด จากนั้นร่วมกันโหวตว่า ทีมไหนได้รับเสียงตอบรับเป็นทีมที่ดีที่สุด จากนั้น ชั้นเรียนถอดบทเรียนร่วมกัน

ที่เจ๋งสุดๆ อยู่ตรงที่สมาชิกในทีมมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการประเมินการมีส่วนร่วมระหว่างกัน โดยส่วนหนึ่งของโปรเจ็คต์ให้นำเสนอ ‘แผนพัฒนาบุคลากรที่มีส่วนร่วมน้อยเกินไป’ และทีมถึงขั้นสามารถที่จะ ‘ยื่นซองขาว’ เชิญให้สมาชิกที่ไม่มีความกระตือรือร้นใดๆ ต่อการพัฒนาร่วมกันของกลุ่มออกไปจากทีมได้ด้วย

เอียนมีศรัทธาอย่างแรงกล้าว่า วิธีการสอนของเขาเสริมและสร้างทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นให้นักเรียนให้ดีขึ้นได้แน่นอน และไม่เป็นเพียงแค่ศรัทธาที่ยึดมั่นอย่างลอยลม

เคนเนธ บราวน์ (Kenneth Brown) ติดตามศึกษา เก็บข้อมูลการประเมินการทำงานระหว่างเพื่อนนักเรียนในคลาสเตรียมบริหารธุรกิจของเอียนเป็นระยะเวลา 4 ปี และได้ข้อสรุปว่าในภาคการศึกษาเดียวนักเรียนไม่เพียงก้าวกระโดดในทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นเท่านั้น ยังมีความคิดและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับนิยามการเป็นสมาชิกในทีมที่ดีว่า คือการผลักดันช่วยเหลือเพื่อนให้พัฒนาไปด้วยกัน และที่เยี่ยมไปกว่านั้นคือ คุณครูวิชาอื่นต่างยอมรับว่านักเรียนที่ลงเรียนคลาสของเอียนเข้าใจกระบวนการทำงานกลุ่มและแก้ปัญหาได้โปรฯกว่านักเรียนที่ยังไม่ได้เข้าคลาสนี้

อุปสรรคที่ไม่น่ากลัว

องค์กร National Endowment for Science Technology and the Arts (NESTA) ระบุถึงอุปสรรคนานัปการ ที่ถึงแม้คุณครูจะมีความกระตือรือร้นในการสร้างเสริมและมุ่งเน้นการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มมากเพียงใด แต่ก็ต้องตระหนักถึงการมีอยู่ของหลุมบ่อบนเส้นทางนี้ด้วยเช่นกัน เช่น ระบบการศึกษาที่ยังไม่สามารถผนวกการวัดประเมินทักษะด้านนี้เข้ากับการสอบวัดผลดั้งเดิมที่เป็นคะแนนจับต้องได้ รวมถึงหลักสูตรการศึกษามีระยะเวลาสั้นจนการเรียนรู้เชิงกลุ่มพัฒนาได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งบริษัทต่างๆ ก็ยอมรับในความย้อนแย้งว่า แม้ต้องการบุคลากรที่มีทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี แต่ใบรายงานผลสอบยังคงเป็นเครื่องยืนยันที่จับต้องได้เช่นกันว่าบัณฑิตคนไหนน่าจะมีผลงานโดดเด่นกว่าคนอื่น

แต่ทั้งนี้ หากมองแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนักเรียนก็จะมีแต้มต่อในการออกไปใช้ชีวิตทั้งในการทำงานหรือชีวิตประจำวันอยู่ดี ที่แล้วมา เราเห็นกับกับตามาแล้วว่าตัวเลขเกรดเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องชี้วัดความสำเร็จเสมอไป สตีฟ จ็อบส์ กับ แจ๊ค หม่า คือตัวอย่างชัดเจน ดังนี้แล้ว อุปสรรคข้างต้นเหล่านั้นไม่ได้เป็นจุดจบที่น่าถอดใจ แต่เป็นเพียงบททดสอบหนึ่งของคุณครูที่ต้องรวมพลังมดในการยืนหยัดบนแรงเสียดทานของระบบการศึกษาต่อไป รอคอยจนกว่าการปฏิรูปการศึกษาบนผลประโยชน์ของเยาวชนที่แท้จริงจะมาถึง

บางที การตั้งเป้าหมายให้นักเรียนมีทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เข้าสังคมได้ราบรื่น หรือเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนว่าเป็นส่วนหนึ่งของบริบทตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน ไปจนถึงประชากรที่มีค่าในสังคม อาจไม่สำคัญเท่ากับการวางแผนขั้นตอนและวิธีการว่าจะทำอย่างไร…นักเรียนจะเปิดใจและกล้าแลกเปลี่ยนไอเดีย ข้อมูลความรู้จากประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เรียนรู้ ทำความเข้าใจ ทดลอง แก้ไขผิดถูกไปด้วยกัน

นี่อาจเป็นคำถามที่เทคนิคที่ข้างต้นทำหน้าที่เป็นบันไดขั้นเล็กๆ นำพานักเรียนเหล่านั้นเขยิบเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นก็ได้

อ้างอิง:
Girls are better than boys at solving problems in teams, especially in these countries
Community in the Classroom
Start the Year With Collaboration
What We Know about Teaching and Assessing Collaboration
Collaborative problem solvin

Tags:

ครูคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน4Csทักษะการร่วมงานกับผู้อื่น(collaborative skill)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • 21st Century skills
    4 คำถามเปลี่ยนทีมไม่เวิร์ค ให้กลายเป็นทีมเวิร์ค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skillsEducation trend
    MEDIA LITERACY: หยุดแชร์ข่าวปลอม ด้วยวิชา ‘เท่าทันสื่อ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel