Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: October 2018

เราไม่ควรอดทนกับการ BULLY อีกต่อไป ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์
Healing the trauma
12 October 2018

เราไม่ควรอดทนกับการ BULLY อีกต่อไป ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนากนกอร แซ่เบ๊ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • พฤติกรรมการแกล้งกันของเด็ก เชื่อว่าเกิดจากการไม่มี self หรือการมองเห็นศักยภาพตัวเอง เพราะ self ของเด็กมันถูกผูกกับการศึกษาและความเก่งในห้องเรียน
  • บ้านและโรงเรียน มีส่วนในการช่วยสร้าง self ให้กับเด็ก
  • ปัญหาการรังแกกันหรือเด็กฆ่าตัวตาย ควรถูกจัดให้เป็น first priority หรือควรถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก มากกว่าไปโฟกัสให้เด็กสอบได้ที่หนึ่ง

ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บอกว่าประเทศไทยติดอันดับ 2 ของโลก ในเรื่องการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน หรือการ bully และพบปัญหาเด็กถูกรังแกในสถานศึกษามากถึงปีละ 600,000 คน

The Potential จึงชวน ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์ จาก สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของผลงานวิจัยเกี่ยวกับ cyberbullying ในประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย มาพูดคุยและทำความเข้าใจกรณีเด็กที่ชอบรังแกคนอื่น รวมถึงมองทางออกในหลายๆ มิติ ที่ช่วยให้ปัญหาการ bully ในเด็กไทยเบาบางลงได้

ผศ.ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์

ทำไมเด็กๆ ถึง Bully

พฤติกรรมการแกล้งกันของเด็กเชื่อว่าเกิดจาก เด็กไทยไม่มี self หรือการมองเห็นศักยภาพตัวเอง เพราะ self ของเด็กมันถูกผูกกับการศึกษาและความเก่งในห้องเรียน ที่พูดได้แบบนี้เพราะไปทำงานวิจัยเรื่อง cyberbullying ที่ญี่ปุ่น ดูการเปรียบเทียบการกลั่นแกล้งกันระหว่างสองประเทศ พบว่าสังคมญี่ปุ่นเขาจะแนะนำเด็กทุกคนในห้องได้อย่างเท่าเทียมและน่ารัก คนนี้ล้างจานได้สะอาด คนนี้พับนกกระดาษได้เก่ง มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะถูกแนะนำว่าเรียนเก่ง นอกนั้นจะเป็นเรื่องทั่วไปในบ้าน

การทำเช่นนี้ทำให้ทุกคนมีที่ยืน ถูกผลักออกมาข้างหน้าโดยเสมอกัน ทำให้เกิดการมองเห็นและเคารพกัน ว่าทุกคนมีดี มีความแตกต่างหลากหลาย เมื่อมันหลากหลายมันจึงไม่มีใครเหนือกว่าใคร หรือมีใครต่างจากใคร ไม่มีใครเป็นไอ้โง่ ไม่มีใครควรจะถูกแกล้ง เวลาที่เด็กจะแกล้งใคร เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่เท่า มันไม่เหมือน มันต่าง จึงแกล้งเพื่อความสะใจบางอย่าง

แปลว่าเด็กชอบแกล้งคนที่ด้อยกว่า?

มีทั้งสองกรณี ทั้งคิดว่าตัวเองด้อยกว่าและเหนือกว่า คนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าจะ keep ความภูมิใจของตัวเองไว้ มองว่าฉันเหนือกว่าทุกคนแล้วจึงไปแกล้งคนอื่น ส่วนคนที่ด้อยกว่านั้น ในเมื่อตัวเองรู้สึกไม่มีที่ยืนเลยต้องไปหาที่ยืนใหม่โดยใช้วิธีไปแกล้งคนอื่น แม้จะได้ผลในทางลบแต่มันทำให้มีตัวตนขึ้นมาทันที

เพราะอะไรเด็กไทยถึงขาด self

เพราะพ่อแม่ ครู หรือทุกๆ อย่างที่พยายามบอกว่า เด็กดีจะต้องเป็นเด็กเรียนเก่ง จริงๆ คำว่า ‘ดี’ มันมีตั้งหลายอย่าง มันไม่จำเป็นต้องเรียนก็ได้ ดีในเรื่องอื่นๆ ก็ได้ แต่เราได้ฝังความเชื่อเรื่องนี้มานาน ‘ดีกับเก่ง’ จะต้องอยู่ในคนเดียวกัน พอไม่เรียนก็จัดเป็นเด็กไม่ดี

จริงๆ มีเด็กหลายคนที่ไม่ได้ถนัดเรียน แต่ชอบที่จะทำในด้านอื่นๆ อยากจะออกไปทำงานตั้งแต่อายุน้อยๆ หรืออยากจะเรียนในสิ่งที่โรงเรียนไม่มีบ้าง อยากจะเรียนพับเครื่องบินก็ไม่มี เด็กถูกกดดันให้ทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่เป็นคนเลือก ซึ่งอาจจะไม่ใช่ตัวตนของเขาจริงๆ

ครอบครัวมีผลให้เด็ก bully คนอื่น ได้อย่างไร?

ขอยกกรณีจากเคสของเกาหลีใต้ ซึ่งฟังดูแล้วอาจจะดูฮาร์ดคอร์ไปสักหน่อยสำหรับสังคมไทย

มีเด็กชายคนหนึ่ง เรียนเก่ง มาจากครอบครัวที่มีเงิน ต้องบอกก่อนว่าในประเทศเกาหลีใต้เด็กมักจะได้เรียนในโรงเรียนใกล้บ้านเป็นหลัก ดังนั้นในแต่ละโรงเรียนก็จะมีเด็กคละๆ กันไป เด็กชายคนนี้มีนิสัยชอบแกล้งคนอื่น ดูถูกเหยียดหยาม คุณครูจึงคุยกับพ่อแม่ของเด็กคนนี้ว่าจะต้องมอบบทเรียนอันมีค่าให้กับเขา

เพื่อให้เขาโตขึ้นแล้วไม่ทำนิสัยแบบนี้กับใคร เมื่อพ่อแม่และทางโรงเรียนตกลงกันได้แล้ว จึงจัดสถานการณ์จำลองโดยให้เพื่อนเหยียดหยามเขาคืนติดต่อกัน 3 วัน เมื่อเขากลับไปร้องไห้ที่บ้าน ให้เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ในการสอนลูก ให้เขาระลึกว่าเคยไปทำแบบนี้กับใครหรือไม่ เมื่อต้องไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น ครูและเพื่อนเข้ามากอดปลอบ และบอกกับเด็กชายคนนี้ว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นใน 3 วันนี้ มันจะสอนให้เขารู้ว่า ถ้าเราไม่รักหรือไม่ชอบอะไร เราก็ไม่ควรทำสิ่งนั้นกับคนอื่น

เรียกวิธีสอนแบบนี้ว่า ‘ตัวอย่างที่ดีมีค่ามากกว่าคำสอน’ แต่วิธีนี้จะได้ผลต่อเมื่ออยู่บนความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบ้านและโรงเรียน เราจึงต้องกลับมาตั้งคำถามว่าโรงเรียนในประเทศไทยจะทำวิธีนี้ได้ไหม?

แบบไหนถึงเรียกว่า Bully

การกลั่นแกล้งมีทั้งหมด 3 ระดับ

  • หนึ่ง คนแกล้งจะต้องมีเจตนา ไม่ล้อเล่น
  • สอง คนที่ถูกแกล้งจะต้องรู้สึกเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็น ทางกาย วาจา ใจ
  • สาม เกิดการกระทำต่อเนื่องเพราะเจตนาของคนแกล้งยังคงอยู่

เมื่อเด็กทำครั้งแรกแต่รู้ว่าเพื่อนไม่ชอบ ควรจะหยุด ไม่ควรเกิดครั้งที่สองและครั้งที่สาม ถ้ายังเกิดขึ้นอีกแสดงว่ามีเจตนาแอบแฝง ดังนั้นพฤติกรรมการ bully หรือการรังแกคนอื่น จะต้องเป็นไปตามสามข้อนี้

โรงเรียนขนาดเล็กช่วยแก้ปัญหา Bully ได้?

ในต่างประเทศโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จ มักจะเป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่กระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ การใช้ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้สิ่งที่ชุมชนมีช่วยดูแลเด็กจะทำให้เด็กมีคุณภาพ ข้อดีของโรงเรียนขนาดเล็ก คือ จะแบ่งเด็กเป็นแต่ละประเภทได้ ไม่ว่าจะเป็นเด็กกลุ่มที่ถนัดเชิงตรรกะ กลุ่มศิลปินชอบศิลปะ กลุ่มชอบกิจกรรมกลางแจ้ง กลุ่มความถนัดทางกาย กลุ่มนักดนตรี กลุ่มภาษาวรรณกรรม หรือด้านอื่นๆ เพราะเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาก็ไม่เหมือนกัน เราควรแบ่งเด็กทั้งเชิงความสามารถและเชิงนิสัยตัวตน

การแยกเด็กออกเป็นแต่ละประเภทจะทำให้ครูเข้าใจเด็กแต่ละคนได้อย่างเต็มที่ ครูจะรู้ว่าเด็กคนนี้มีความสามารถทางกาย เรียนไม่เก่ง แต่ชอบแข่งกีฬาและมีอารมณ์อ่อนไหว ควรจะดูแลในเรื่องใดบ้าง แต่ถ้ายุบโรงเรียนขนาดเล็กแล้วปูทุกอย่างเข้าโรงเรียนใหญ่ ผลิตคนแบบสายพาน เหมาโหล-เหมาเข่ง มันจะผลักให้จินตนาการและตัวตนของเด็กค่อยๆ หายไป

โลกโซเชียลเป็นตัวเพิ่มช่องทางการกลั่นแกล้งในเด็กไหม?

บ้านเราหยิบยื่นโทรศัพท์มือถือให้อย่างอิสระ ความรุนแรงในเกมหรือภาพที่ว่องไว ส่งผลต่อการเป็นสมาธิสั้นต่อเด็กเล็ก และมีผลบ่มเพาะความรุนแรงจากเนื้อหาเกมที่ไม่เหมาะสม

ชีวิตเด็กอยู่แค่สองที่เท่านั้น ไม่โรงเรียนก็บ้าน อยากให้ปัญหาเด็กเล็กเล่นโทรศัพท์กลายเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อทุกคนยื่นโทรศัพท์ให้กับเด็ก เพราะจะได้เลี้ยงง่าย เด็กจะอยู่นิ่ง พ่อแม่จะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น จริงๆ มันไม่ใช่ ของเล่นที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกที่ลูกต้องการ คือ พ่อแม่ ช่วงวัย 1-12 ปี ตั้งแต่คลอดมาจนพ้นอก มันเป็นช่วงเวลาเข้มข้นที่ลูกจะได้อยู่กับพ่อแม่ จนค่อยๆ ห่างออกไป

ถ้าใน 12 ปีนี้ พ่อแม่จริงจังและเป็นทุกอย่างให้ลูก เมื่อเกิดอะไรก็ตามเขาจะกลับมาบอกพ่อแม่ จะคิดถึงพ่อแม่ก่อน แล้วในเวลาเดียวกันถ้าพ่อแม่ใส่ความรับผิดชอบ สอนเรื่องดีๆ เข้าไป เขาจะเปิดรับและฟังเรา เมื่อโตขึ้นเขาจะมีภูมิคุ้มกันในใจ เริ่มคิดได้ด้วยตัวเองว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ แต่ถ้าเราหยิบยื่นมือถือให้เขาตั้งแต่วันนี้ เวลาที่พ่อแม่จะให้กับลูกจะถูกดึงออกไป เวลาเขาโตเป็นวัยรุ่นพอลูกไม่ฟัง ก็ไปโทษลูก

บ้านและโรงเรียนผูกกับการสร้าง Self ของเด็ก?

“ทำไมถึงเรียนไม่ได้”

“ทำไมวิชานี้ได้คะแนนน้อย”

แน่นอนว่าเด็กหลายคนโดนครอบครัวผูกกับระบบการศึกษามานานด้วยคำพูดเหล่านี้ ถ้าไม่ไปโรงเรียนก็จะกลายเป็นเด็กเกเรทันที แต่ความจริงการไม่ไปโรงเรียนมันไม่ได้มีความหมายคับแคบอย่างนั้น อาจเป็นเพราะเด็กเริ่มรู้สึกว่าโรงเรียนไม่สนุก ไม่ตอบโจทย์ในสิ่งที่เขาอยากเรียน โรงเรียนไม่ได้ท้าทายและทำให้รู้สึกอยากจะตื่นเช้าไปก็ได้

เมื่อเด็กขาด self จากทางบ้านและโรงเรียน จึงเป็นเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เขาต้องแกล้งคนอื่น เขารู้สึก self ตัวเองไม่เต็ม อาจจะเป็นความรู้สึกแค่ชั่วเวลาหนึ่ง หรือรู้สึกยาวๆ ก็ได้เหมือนกัน

ตัวอย่างง่ายๆ เคยรู้สึกเสีย self ไหม เราจะรู้สึกเสีย self ตอนไหน ตอนอกหัก? ตอนตอบคำถามไม่ได้?

เมื่อเสีย self เราจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า เราไม่ดี เราทำไม่ได้ ถ้าไม่เข้มแข็งพอก็อาจจะทำให้ฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตัวเองไปแล้ว ส่วนวิธีการดึง self กลับมา มันก็จะมีหลายวิธี รวมถึงการไปกลั่นแกล้งคนอื่น

ห้องเรียนช่วยสร้าง Self

คุณสมบัติทางใจเป็นสิ่งที่ต้องเริ่มทำก่อน คนญี่ปุ่นบอกว่าการจะสร้างคนที่ดี ต้องสร้างใจให้แข็งแรงก่อน ฝึกให้ล้มคลุกคลาน ให้รับผิดชอบ สอนให้ทำงานหนัก เอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน แชร์ความผิดพลาดออกไป ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องน่าอาย เด็กไทยเวลาทำโจทย์น้อยมากที่จะยกมือตอบ กลัวอาย กลัวตอบไม่ถูก กลัวเพื่อนล้อ ต่างจากญี่ปุ่นถ้ามีเด็กตอบผิด ครูก็จะขอบคุณเด็กคนนั้น เพราะทำให้รู้ว่ามีอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้เกิดอีกหนึ่งคำตอบได้ และเพื่อนๆ ในห้องก็จะโค้งขอบคุณด้วยความจริงใจ วิธีเช่นนี้จะทำให้เด็กกล้าตอบ และไม่กลัวที่จะเสีย self

ที่สำคัญครูต้องเปลี่ยนการประเมินบ้าง ประเมินความสุขให้รอบ 360 องศา ครูประเมินนักเรียน นักเรียนประเมินครู เพื่อนประเมินเพื่อน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเกรดอย่างเดียว เราถึงจะผลักเรื่องปัญหา bully ออกไปได้

เราจะรักษาแผลจากการโดน Bully ได้อย่างไร

ถ้าเรามั่นใจว่าดูแลลูกดีพอ เราจะสังเกตอาการของเขาได้ง่าย เพราะการโดน bully มันจะเกิดสิ่งที่ไม่ปกติขึ้น ถ้าเครื่องรีเช็คของพ่อแม่ดีพอ ใส่ใจลูกทุกวัน พ่อแม่จะรู้เลยว่าลูกกำลังเศร้าหรือรู้สึกอย่างไรอยู่ เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับลูก แบ่งคุยกับเขาทุกวันให้เล่าว่าในแต่ละวัน เกิดอะไรขึ้นบ้าง พ่อแม่จะรู้โดยอัตโนมัติทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา จะได้จัดการปัญหาและรักษาแผลที่เกิดขึ้นได้

Bully ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทน

การกลั่นแกล้งเป็นหนึ่งใน zero tolerance หมายถึง เราไม่จำเป็นต้องอดทนกับเรื่องพวกนี้ ไม่ต้องกลัวว่าการลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองจากการตกเป็นเหยื่อ bully จะเป็นเรื่องที่ผิด หรือการที่ตัวพ่อแม่ลุกขึ้นมาปกป้องลูกจะกลายเป็นการโอ๋ หรือให้ท้ายลูกเกินไป เพราะถ้าเราปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยที่ไม่ทำอะไร ยิ่งเป็นการซ้ำให้ปัญหามันยังอยู่

ปัญหาการรังแก การแกล้งกัน หรือเด็กฆ่าตัวตาย ควรถูกจัดให้เป็น first priority หรือควรถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก มากกว่าไปโฟกัสให้เด็กสอบได้ที่หนึ่ง ได้รางวัล หรือชิงแชมป์ระดับโลก

เพราะมันคือเรื่องปกติ หากการเรียนการสอนที่ผ่านการดูแลเป็นอย่างดี เรื่องเหล่านี้มันเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ปัญหา bully ต่างหากที่เป็นสิ่งไม่ปกติ และควรจะได้รับการลงมือแก้ไขอย่างจริงจังเสียที

Tags:

โรงเรียนปม(trauma)กลั่นแกล้ง(bully)ดร.วิมลทิพย์ มุสิกพันธ์

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Movie
    School 2017: เมื่อการสอบเป็นแรงขับเคลื่อนทางการศึกษา แล้วเกรดเป็นเครื่องตัดสินนักเรียน

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Education trend
    เพราะผู้ใหญ่กลั่นแกล้งและไม่เคารพกัน เด็กๆ จึง BULLY ตาม

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Education trend
    ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Healing the trauma
    คน BULLY ไม่ใช่ใคร พ่อแม่นั่นเอง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน
Character building
12 October 2018

ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • โครงการ Word of the Week เป็นตัวอย่างโมเดลการเรียนการสอนที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่วิชาเรียนแต่ให้ความสำคัญกับการสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีให้นักเรียนควบคู่กันไป
  • ผู้ปกครองเป็นส่วนประกอบหลักในกระบวนการสร้างคุณลักษณะนิสัยที่ดีให้เด็ก ความร่วมมือกับระหว่างผู้ปกครองกับโรงเรียนจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ เกิดขึ้นได้จริงและรวดเร็วขึ้น
  • นอกจากโรงเรียนและผู้ปกครองแล้ว ชุมชนก็ต้องสนับสนุนในแนวทางเดียวกันด้วย เพื่อแสดงให้นักเรียนเห็นว่าพวกเขามีคุณค่ากับชุมชน ทำให้พวกเขารู้ว่าชุมชนจะมีส่วนร่วมกับความสำเร็จของพวกเขาทั้งในโรงเรียนและในชีวิตจริง

ในปี 1989 โรงเรียนประถมศึกษาอัลเลน (Allen Elementary School) เมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ (Dayton, Ohio) สหรัฐอเมริกา ได้รับการจัดอันดับการศึกษา วัดจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ลำดับที่ 28 จาก 33 โรงเรียนในเขตการศึกษา ติดอันดับโรงเรียนที่มีนักเรียนขาดเรียนสูงสุด มีนักเรียนกว่า 150 คนถูกรายงานความประพฤติ และนักเรียนที่ทำการบ้านส่งครูเป็นประจำมีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์

สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ผู้บริหารโรงเรียนต้องกุมขมับ แต่ผลลัพธ์ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง หลังโรงเรียนนำแนวคิดเรื่อง ‘การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character Education)’ มาใช้ เริ่มจากในโรงเรียน แล้วสร้างการมีส่วนร่วมไปถึงผู้ปกครองกับชุมชน

เดล เฟรเดอริค (Dale Frederick) เป็นผู้อำนวยการเขตโรงเรียน เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา หลายปีก่อนสมัยยังเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียน เมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ ที่นั่นเขาสังเกตเห็นผลลัพธ์เชิงบวกด้านการพัฒนาเด็กหลังโรงเรียนนำแนวคิดการสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงามซึ่งพัฒนาโดยบริษัทยัวร์ เอนไวรอลเมนท์ (Your Environment Inc.) มาใช้ บริษัทมีที่ตั้งอยู่ในเมืองกลาสพอร์ท (Glassport) รัฐเพนซิลเวเนีย

เฟรเดอริคประทับใจพัฒนาการของนักเรียน จากโรงเรียนหลายแห่งในเมืองเดย์ตันที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งด้านพฤติกรรม ด้านการเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น และสภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน เขาจึงนำแนวคิดการสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงามนี้มาใช้พัฒนาการเรียนการสอนในโรงเรียนระดับประถมศึกษาในเมืองพิตต์สเบิร์กหลังจากย้ายมาเข้ารับตำแหน่งใหม่

ท่ามกลางคำถามที่เกิดขึ้นในแวดวงการศึกษาไทยว่า บทบาทของโรงเรียนในปัจจุบันเป็นอะไรกันแน่ ระหว่างพื้นที่เรียนรู้กับโรงงานผลิตเด็กลงแข่งขันในสนามสอบ

แวดวงการศึกษาระดับสากลก็กำลังตั้งคำถามเช่นกันว่า ครูมีหน้าที่แค่สอนหรือให้ความรู้เท่านั้นหรือ? บทบาทในการส่งเสริมให้เด็กเป็นคนดี…เป็นหน้าที่ของใคร? แล้วถ้าทำสองอย่างควบคู่กันไปจะได้ไหม?

สิ่งที่เฟรเดอริคริเริ่มในเขตการศึกษาของเขา แสดงให้เห็นว่า โรงเรียนมีส่วนช่วยและต้องเข้ามามีบทบาทในการสร้างเด็กให้เป็นคนดี ผ่านการบูรณาการความรู้และคุณธรรมจริยธรรมเข้ากับบทเรียนและการทำกิจกรรมในห้องเรียน

ให้เด็กได้คิดและฝึกฝนจนคุณลักษณะที่ดีหรือคาแรคเตอร์ที่ดีซึมซับไปอยู่ในตัวพวกเขา

การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม ทำอย่างไร?

แนวคิดนี้ทดลองใช้นำร่องในพิตต์สเบิร์กที่โรงเรียน โฮเรซ มันน์ (Horace Mann) ลิเบอร์ตี้อินเตอร์เนชันแนล (Liberty International) รีเจนท์ สแควร์ (Regent Square) เชฟเฟอร์ (Schaeffer) และ วูลสไลร์ ( Woolslair) ทั้งหมดเป็นโรงเรียนประถมที่ขึ้นอยู่กับโครงการ Word of the Week ภายใต้การดูแลของบริษัทยัวร์ เอนไวรอลเมนท์

ในแต่ละสัปดาห์โรงเรียนไฮไลท์คำที่เกี่ยวข้องกับคาแรคเตอร์ที่ดีขึ้นมาเป็นโจทย์ กิจกรรมในโรงเรียนและห้องเรียนจะมุ่งไปสู่การพัฒนาให้นักเรียนเข้าใจและพัฒนาคาแรคเตอร์นั้น

ครูทำหน้าที่เป็นผู้จัดสรรเวลา โดยมีคู่มือประกอบเป็นตัวช่วยให้ครูออกแบบกิจกรรมแต่ละวันได้ตามความเหมาะสม เป้าหมายคือ โอกาสในการหยิบยกคาแรคเตอร์ประจำสัปดาห์มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักเรียน ให้ได้วันละ 10-15 นาที

ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวหรือเรื่องเล่าที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความเกี่ยวข้องของคาแรคเตอร์กับตัวนักเรียน เหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน คำแนะนำเพื่อสร้างวงสนทนาแลกเปลี่ยนในกลุ่มนักเรียน คำพูดสร้างแรงบันดาลใจ แนวทางการให้การบ้านหรือการทำกิจกรรมร่วมกับนักเรียน รวมทั้งคู่มือหนังสือที่เกี่ยวข้องสำหรับให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติม เป็นต้น

ที่มองข้ามไม่ได้เลยคือ โปรแกรมเน้นย้ำว่า ผู้บริหาร ครู และบุคลากรในโรงเรียนต้องมีความเข้าใจและนำวิธีการเหล่านี้มาใช้ไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนเกิดความสับสน

ดึงพ่อแม่มาช่วยปั้น

โครงการ Word of the Week ไม่ได้หยุดแค่ในโรงเรียนเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับผู้ปกครอง เพราะมองว่าผู้ปกครองเป็นส่วนประกอบหลักที่ขาดไม่ได้เลยในกระบวนการสร้างคุณลักษณะนิสัยที่ดีให้เด็ก

ความร่วมมือของผู้ปกครองจะช่วยหนุนให้การทำกิจกรรมในโรงเรียนเกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ เกิดขึ้นได้จริงและรวดเร็วขึ้น โครงการได้จัดโปรแกรมฝึกอบรมที่ออกแบบมาช่วยผู้ปกครองโดยเฉพาะ แต่ละครอบครัวจะได้รับหนังสือคู่มือพ่อแม่ที่ล้อไปกับคาแรคเตอร์แต่ละสัปดาห์ในโรงเรียน คำอธิบายถึงความหมายของคาแรคเตอร์ รวมทั้งเรื่องราว กิจกรรม และหัวข้อที่นำมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ในครอบครัว

ชุมชนต้องมีเอี่ยว

จุดที่โดดเด่นอีกจุดของโครงการ Word of the Week เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย คือ ความร่วมมือกันขององค์กรและหน่วยงานต่างๆ ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร สื่อ การท่าเรือ เจ้าของสินค้าแบรนด์ท้องถิ่น และองค์กรปกครองท้องถิ่น

การท่าเรือมีส่วนร่วมด้วยการช่วยประชาสัมพันธ์โครงการ Word of the Week บนบัตรโดยสารของรถประจำทาง สื่อวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และโทรทัศน์ท้องถิ่น หยิบยกการทำงานของโครงการไปพูดถึง แม้แต่นมยี่ห้อชไนเดอร์ (Schneider) ผลิตภัณฑ์นมของเมืองก็ยังมีการโฆษณาเรื่องนี้ด้านข้างกล่อง ทีมเบสบอลพิตต์สเบิร์ก ไพเรตส์ (Pittsburgh Pirates) เข้าไปเยี่ยมนักเรียนและพูดคุยเกี่ยวกับการสร้างคาแรคเตอร์แบบตัวต่อตัว

ทั้งหมดนี้เพื่อแสดงให้นักเรียนเห็นว่าพวกเขาได้รับความรักและมีคุณค่ากับชุมชน ทำให้พวกเขารู้ว่าชุมชนจะมีส่วนร่วมกับความสำเร็จของพวกเขาทั้งในโรงเรียนและในชีวิตจริง

สำหรับโครงการ Word of the Week ที่เฟรเดอริคนำมาริเริ่มในเมืองพิตต์สเบิร์ก อาจยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของนักเรียนอย่างชัดเจนนัก แต่ถ้าย้อนกลับไปต้นทางที่โรงเรียนประถมศึกษาอัลเลน เมืองดาร์ตัน สถานที่จุดประกายความคิดของเขา ในปี 1995 โรงเรียนประถมศึกษาอัลเลน สอบวัดมาตรฐานผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้เป็นลำดับหนึ่งในเขตการศึกษา สถิตินักเรียนขาดเรียนลดลงต่ำสุดในเขต มีนักเรียนแค่ 8 คนเท่านั้น จากเดิม 150 คนที่ถูกรายงานความประพฤติ และมีนักเรียน 87 เปอร์เซ็นต์ ทำการบ้านส่งครูเป็นประจำ

โครงการ Word of the Week เป็นตัวอย่างโมเดลการเรียนการสอนที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่วิชาเรียนแต่ให้ความสำคัญกับการสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีให้นักเรียนควบคู่กันไป กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนอกจากสร้างคาแรคเตอร์ที่ดีให้นักเรียนแล้ว ยังมีผลต่อผลการเรียน และพฤติกรรมที่เห็นได้ชัดว่านักเรียนมีระเบียบวินัยและปฏิบัติตามกฎของโรงเรียน

ผู้ปกครองได้เข้ามามีส่วนร่วมในเชิงปฏิบัติมากกว่าแค่การรับรู้ ครูมีกำลังใจในการทำงานเนื่องจากเห็นผลลัพธ์ด้านพัฒนาการของนักเรียน จากการประเมินพบว่าการสร้างการมีส่วนร่วมทั้งหมดนี้ ทำให้นักเรียนมีความเสี่ยงเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและการใช้ความรุนแรงน้อยลง

ไม่มีใครปฏิเสธว่าโรงเรียนเป็นสถานศึกษา บทบาทหน้าที่หลักของโรงเรียนคือการให้ความรู้แก่นักเรียน แต่โรงเรียนไม่ใช่โรงงานผลิตเด็กเข้าลงแข่งในสนามสอบ โรงเรียนไม่ใช่โรงงานสร้างหุ่นยนต์ที่ใช้ระบบประมวลผลลอกเลียนแบบจากสมอง แต่ไม่ได้ใช้หัวใจในการดำรงชีวิต

สังคมโลกยังคงต้องการคนเก่ง มีความสามารถและมีความดีงามอยู่ในตัว เพราะความดีงามจะช่วยให้มนุษย์ดึงศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ได้อย่างสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้นจะปั้นเด็กทั้งทีมาปั้นให้เด็กทั้งเก่งและดีกันเถอะ…

“Academics is the cornerstone of education, but character is the building block of life.”
Dale Frederick, District Superintendent of Schools, Pittsburgh, Pennsylvania

“วิชาการเป็นรากฐานสำคัญของการศึกษา แต่คาแรคเตอร์เป็นก้อนอิฐในการสร้างชีวิต”
เดล เฟรเดอริค ผู้อำนวยการเขตโรงเรียน เมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา กล่าว

ที่มา:
https://www.theguardian.com
https://www.educationworld.com
https://www.educationworld.com

Tags:

ครูระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนวินัยเชิงบวกพ่อแม่

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น
EF (executive function)
11 October 2018

ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

เรื่อง

  • การฝึกจัดการอารมณ์ตนเอง เป็นทักษะที่ฝึกได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น พ่อแม่และครูจึงต้องช่วยฝึกทักษะนี้แก่เด็ก โดย ‘รับฟัง’ อย่างเห็นอกเห็นใจ ฟังให้เข้าใจความรู้สึกของเด็ก
  • การฝึกทักษะทางอารมณ์ด้วยการ ‘บูรณาการ’ ไปกับการเรียนรู้ทักษะ เช่น ทักษะในการเข้าใจ เห็นใจคนอื่น ก็จะมีสติในการหาวิธีตอบสนองเชิงบวก เชิงเห็นอกเห็นใจ แสดงความรักความห่วงใย
  • ความสามารถในการจัดการอารมณ์เป็นเรื่องสำคัญ หากวัยรุ่นยั้งคิดไตร่ตรองได้ หยุดเป็น ควบคุมอารมณ์ได้ เขาจะข้ามผ่านช่วงวัยที่เป็นหน้าสิ่วหน้าขวานของชีวิตไปได้
เรื่อง: สุวิภา ตรีสุนทรรัตน์

ในยุคที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ผู้คนสามารถพูดคุย ติดต่อเรื่องงาน ติดตามข่าวสาร และเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว พื้นที่บนโซเชียลมีเดียยังกลายเป็นพื้นที่ ‘ระบาย’ ความรู้สึกรัก ชอบ โกรธ หลง ให้คนแปลกหน้าได้รับรู้

หลายคนอาจคิดว่าถ้าโพสต์แล้วตั้งค่าให้เห็นแค่เพื่อนคงไม่เป็นไร แต่อาจลืมไปว่าเพื่อนหลักร้อยจนถึงหลักพันที่เป็น friends หรือกด follow เรา บางคนเป็นเพื่อนสนิท บางคนก็เป็นเพื่อนห่างๆ ที่แทบไม่รู้จักตัวเราจริงๆ และตัดสินความเป็นเราง่ายๆ จากโพสต์

“เมื่อก่อนโพสต์หนักมาก โพสต์ทุกอย่าง ทุกเรื่อง ไม่พอใจใครก็ด่าเลย”

แอล วีรวรรณ ดวงแข เล่าอย่างตรงไปตรงมาถึงเรื่องราวในอดีตที่เธอเคยใช้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ระบายอารมณ์ แต่ตอนนี้เฟซบุ๊คของเธอมีแต่เรื่องงานเท่านั้น…

วันรุ่นเลือดร้อน เดือดปุ๊บ โพสต์ปั๊บ

เพราะเป็นวัยรุ่นที่ยังจัดการอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ แถมยังใจร้อน เวลามีอะไรมากระทบใจจะรู้สึกทนไม่ได้ โพสต์ด่าบ้าง บ่นบ้าง ระบายบ้าง กระทั่งหลายปีก่อนแอลมีโอกาสร่วมทำงานวิจัยของตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จากการชักชวนของ น้าแมว-นิภา บัวจันทร์ นักวิจัยชาวบ้าน ของศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสงคราม

น้าแมวมักชวนแอลไปช่วยหยิบจับของ ทำงานจิปาถะ จนเริ่มสนิทกัน น้าแมวจึงขอแอดเป็นเพื่อนกับแอลในเฟซบุ๊ค พอเห็นเธอโพสต์ต่อว่าคนอื่น น้าแมวจะเข้ามาคอมเมนต์เตือนทันที รวมทั้งส่งข้อความผ่านทางแชทว่า

“สิ่งที่คนอื่นทำแล้วไม่ชอบก็ปล่อยให้เขาเป็นเหมือนอากาศที่ว่างเปล่า ตัวเองจะได้สบายใจ เพราะการโพสต์ด่าคนอื่นก็แสดงถึงนิสัยคนโพสต์ด้วยว่าเป็นอย่างไร”

นอกจากคอยปรามไม่ให้ทำสิ่งไม่ดีแล้ว แอลบอกว่า น้าแมวยัง “บังคับให้ทำแต่สิ่งที่ดี” ด้วยการให้เธอเข้าร่วมเวทีงานวิจัยชาวบ้าน และร่วมกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน ออกมาพบปะผู้คนมากขึ้น แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่แอลก็ยินยอม เพราะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ตัวเองดีขึ้น กระทั่งน้าแมวบังคับให้แอลเข้าร่วมโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก ที่มีเงื่อนไขให้เด็กเยาวชนไปศึกษาชุมชน พูดคุยกับชาวบ้าน เพื่อนำข้อมูลมาเป็นแนวทางแก้ปัญหาหรือพัฒนาชุมชน

“ปกติเราไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่ชอบอยู่ในที่ที่มีคนเยอะๆ ที่ไหนคนเยอะจะหลบอยู่ในมุมของตัวเอง แต่โครงการนี้ ทำให้เราต้องพบเจอคนหลายวัย ทั้งเพื่อนวัยเดียวกัน รุ่นพี่ ลุง ป้า น้า อา กลายเป็นว่าเราต้องระมัดระวังเรื่องการวางตัวกับการจัดการอารมณ์ตัวเอง”

แม้รู้ว่าต้องพยายามจัดการอารมณ์ให้ได้ แต่ด้วยช่วงวัยที่อารมณ์ยังไม่นิ่งพอ เวลาไม่พอใจมากๆ แอลก็ยังเผลอระบายอารมณ์ทางเฟซบุ๊คอยู่บ้าง แต่น้าแมว และ ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ ที่แอลเรียกว่า ‘อาธเนศ’ ผู้บริหารโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตกจะคอยเตือนและถามให้เธอคิดไตร่ตรองอยู่เสมอ

นอกจากต้องปรับอารมณ์เพื่อเข้าหาชุมชนแล้ว แอลบอกว่าเธอยังต้องจัดการกับความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นจากการทำงานกับเพื่อนในทีมอีกด้วย

“ตอนทำโครงการปีแรกเพื่อนในกลุ่มทะเลาะกัน จนกระทบกับงานที่ต้องทำ ตอนนั้นโมโหมาก คิดว่าถ้าเจอหน้ากันต้องมีเรื่องแน่ๆ น้าแมวเห็นอาการก็ช่วยกล่อมให้เย็นลง วันรุ่งขึ้นน้าแมวเรียกทีมทั้งหมดมาคุย เราก็เดินหนีกลับบ้านไปเลย อารมณ์ตอนนั้นคือไม่อยากเห็นหน้า เวลาผ่านไปพักหนึ่ง น้าแมวเรียกเราให้ออกมาคุยด้วย แม้ตอนนั้นยังโกรธอยู่ แต่อีกใจก็คิดว่าต้องคุย เพราะนึกถึงคำน้าแมวที่บอกว่า งานไม่ได้สำเร็จได้ด้วยคนคนเดียว ทุกคนต้องช่วยกันงานจึงจะสำเร็จ เลยตัดสินใจออกมาคุย งานก็เดินต่อไปได้ด้วยดี”

พูดไม่จำ ต้องทำให้ดู

เมื่อเข้าสู่ปีที่ 2 ของการทำโครงการ แอลพบเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องจัดการอารมณ์กับเพื่อนร่วมทีมอีกครั้ง นั่นคือเพื่อนขอออกจากการทำโครงการกลางคัน ตอนนั้นเธอหงุดหงิดมาก แต่ก็ได้น้าแมวและอาธเนศมาชวนคุยให้เห็นว่า แม้จะมีคนลาออกแต่ทีมยังมีสมาชิกอื่นช่วยทำอยู่ และบอกว่าการเป็นหัวหน้าทีมที่ดีต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจและต้องจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้ได้

“อาธเนศพูดเสมอว่า เป็นพี่แล้วนะ ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องได้แล้ว บวกกับในเฟซบุ๊คเริ่มมีน้องๆ ในโครงการแอดเฟรนด์เข้ามาหลายคน ก็เริ่มรู้ตัวว่าเราจะใช้อารมณ์นำไม่ได้แล้ว เวลาโมโหหรือไม่พอใจก็ไม่โพสต์ด่าบนหน้าเฟซบุ๊คอีกเลย”

เหตุผลที่แอลยอมรับฟังคำตักเตือนเพราะเธอมีโอกาสติดตามอาธเนศไปร่วมประชุมหลายครั้ง เห็นท่าทีการวางตัวของอาธเนศกับคนหลากหลายระดับ ทั้งชาวบ้าน เด็กเยาวชน กระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ และผู้ทรงคุณวุฒิ

“เราชอบการวางตัวของอาธเนศเวลาอยู่กับคนอื่น เขาจะเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเวลาจะเข้าหาคนอื่นต้องทำอย่างไร เวลาอยู่สถานที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตัวเองต้องทำตัวอย่างไร เขาไม่ใช่แค่บอก แค่สอน แต่เขาทำให้เห็น จนนำมาใช้เป็นแบบแผนเพื่อปรับปรุงตัวเอง”

ผลจากการมีผู้ใหญ่คอยประคับประคอง ตอนนี้เวลาไม่พอใจใคร แอลก็แค่หยิบหูฟังมาใส่แล้วเปิดเพลงดังๆ เพื่ออยู่กับตัวเองสักพัก ปรับอารมณ์ให้เย็นลงก่อน แล้วค่อยกลับไปพูดคุยกันคนอื่นเหมือนเดิม

‘แอล’ คนเดิม เพิ่มเติมคือ ‘ใจเย็น’

หลังจากจัดการณ์อารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แอลพบว่า เธอกลายเป็นคน ‘ช่างสังเกต’ มากขึ้น เพราะเมื่ออารมณ์นิ่ง เวลาพบเจออะไรน่าสนใจเธอก็จะเฝ้าสังเกต ซึ่งการหมั่นสังเกตนี่เองได้กลายเป็นหน้าต่างแห่งโอกาสให้แอลได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ เช่น วิธีการทำงานของพี่ๆ นักวิจัยที่แอลมีโอกาสได้ร่วมงานด้วย โดยพี่ๆ เหล่านั้นจะคอยสังเกตอาการของชาวบ้านที่มาร่วมกิจกรรมว่ายังสนใจทำต่อไหม ถ้าเห็นว่าชาวบ้านเหนื่อย ไม่พร้อมทำกิจกรรมต่อก็อาจมีการปรับกิจกรรม

เมื่ออารมณ์ภายในนิ่งแล้ว โอกาสที่จะได้เรียนรู้เรื่องใหม่ และเห็น ‘คนอื่น’ จึงมีมากขึ้น

วัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังมีความผันผวนทางอารมณ์ เนื่องจากสมองส่วนควบคุมอารมณ์ยังทำงานไม่สมบูรณ์ การทำผิดของเขาจึงอาจเกิดจากการจัดการอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ หรือจัดการได้ไม่ถูกต้องอย่างแอลที่เคยใช้เฟซบุ๊คเป็นช่องทางระบายอารมณ์

แต่ความโชคดีของแอลคือการมีผู้ใหญ่ที่เข้าใจ รับฟัง และตักเตือนด้วยความปรารถนาดี บนความเชื่อว่า เด็กคนหนึ่งจะสามารถก้าวข้ามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านจากฮอร์โมนได้ ที่สำคัญคือเป็นตัวอย่างที่ดี ทำให้เห็น จนแอลมั่นใจที่จะทำตามเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้รุ่นน้องต่อไป

ความสามารถในการจัดการอารมณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ หากวัยรุ่นยั้งคิดไตร่ตรองได้ หยุดเป็น (inhibitory control) ควบคุมอารมณ์ได้ (emotional control) เขาจะข้ามผ่านช่วงวัยที่เป็นหน้าสิ่วหน้าขวานของชีวิตไปได้

พ่อแม่ ครู หรือผู้ใหญ่รอบตัวต้องช่วยฝึกทักษะนี้ โดย ‘รับฟัง’ อย่างเห็นอกเห็นใจ ฟังให้เข้าใจความรู้สึกของเขา มากกว่าสวนกลับหรือสั่งสอน พร้อมกับช่วยฝึกทักษะทางอารมณ์ด้วยการ ‘บูรณาการ’ ไปกับการเรียนรู้ทักษะอื่นๆ เช่น ทักษะในการเข้าใจ เห็นใจคนอื่น เมื่อเราเข้าใจความรู้สึกและอารมณ์ของเรา เราก็จะมีสติในการหาวิธีตอบสนองเชิงบวก เชิงเห็นอกเห็นใจ แสดงความรักความห่วงใย

เพราะอนาคตของเด็กแต่ละคนจะไปได้ไกลแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง รู้วิธีจัดการอารมณ์ที่บีบคั้น มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นด้านอารมณ์ และมีปฏิสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน

ที่มา: หนังสือสอนเด็กให้เป็นคนดี

Tags:

EFการจัดการอารมณ์สมุทรสงครามวัยรุ่นactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยา

Author:

Related Posts

  • Character building
    รู้อะไรก็ไม่สู้ ลองดูแล้ว ‘ลงมือทำ’

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Character building
    “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

    เรื่อง

  • Character building
    กฎข้อที่ 1 ของการเป็นคนกล้า คือการเผชิญหน้ากับความกลัว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

ไม่ให้สอบเข้า ป.1 แล้วจะให้ทำอย่างไร
Early childhood
11 October 2018

ไม่ให้สอบเข้า ป.1 แล้วจะให้ทำอย่างไร

เรื่อง The Potential

ร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ… ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี มีทั้งคนยกมือสนับสนุนและตั้งคำถาม

ประเด็นเรื่องเจตนาดีในการให้ความสำคัญกับเด็กตัวเล็กๆ นั้นก็พอเข้าใจได้ แต่ที่หลายคนสงสัยคือ หาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่าน กระทั่งนำไปสู่ขั้นตอนนำสู่การปฏิบัติ หนึ่งในประเด็นหลักที่คนจับตาเป็นอย่างยิ่งคือ ต่อจากนี้การรับเด็กเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับ ป.1 โดยวิธีสอบคัดเลือก “จะกระทำมิได้”

ทำไมการสอบเข้า ป.1 จึงสลักสำคัญจนถึงต้องการบัญญัติกฎหมายเอาไว้ และถ้าหากไม่ให้สอบแล้วจะรับเด็กเข้าเรียนอย่างไร

นี่คือคำถามที่เราชวน ‘ครูหวาน’ ธิดา พิทักษ์สินสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย อนุกรรมการเด็กเล็กในกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา มาคลายความสงสัยเหล่านั้น

หากคลิปขยายความได้ไม่พอ แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมจากบทความนี้แบบบรรทัดต่อบรรทัด ยกเลิกสอบเข้า ป.1 เพื่ออะไร และ สอบเข้า ป.1 กันไปทำไม

Tags:

ระบบการศึกษาการสอบธิดา พิทักษ์สินสุขยกเลิกสอบเข้าป.1

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Life classroom
    อนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร เส้นทางการเรียนจะเป็นแบบไหน – ความกังวลของวัยรุ่นช่วงโควิด-19

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

  • Dear Parents
    มนุษย์นักเรียนกับสิ่งที่ไม่เคยบอก

    เรื่อง

  • Early childhood
    ยกเลิกสอบเข้า ป.1 เพื่ออะไร และ สอบเข้า ป.1 กันไปทำไม

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Social Issues
    หลงทางกว่า TCAS คือ การศึกษาที่วนอยู่ในเขาวงกต

    เรื่อง

PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย
Life classroom
10 October 2018

PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • วัยรุ่นกำลังถูกทำร้ายด้วยกระแสคลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบ ปลายทางคือโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย
  • ต้นตอมาจากเทรนด์โลก Neoliberalism หรือเสรีนิยมใหม่ ที่ให้อภิสิทธิ์สูงสุดกับคนที่ประสบความสำเร็จซึ่งวัดได้จากเงินเท่านั้น
  • เราจะช่วยและฉุดวัยรุ่นขึ้นมาได้อย่างไร เพราะการเป็นและติดอยู่กับ ‘มนุษย์เป๊ะเว่อร์’ มันไม่สนุกเลย

จากข่าวทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์หรือสื่อโซเชียล เราจะเห็นรายงานการเพิ่มขึ้นของผู้มีอาการป่วยทางจิตจากความกดดันและความเครียดพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก และกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือเด็กวัยรุ่นในช่วงระดับชั้นมัธยมศึกษาถึงมหาวิทยาลัย ที่พบว่าป่วยด้วยโรคซึมเศร้าและคิดฆ่าตัวตายเป็นจำนวนมาก

ในบทความเรื่อง ‘The Rise of Perfectionism is Negatively Affecting Young People’ หรือ ‘กระแสคลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบกำลังทำร้ายวัยรุ่น’ เขียนโดย โธมัส เคอร์แรน (Thomas Curran) และ แอนดริว ฮิลล์ (Andrew Hill) ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยบาธ และ ยอร์ค เซนต์จอห์น แห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ World Economic Forum พวกเขาชี้ว่า

ต้นตอความเครียดที่ทำให้วัยรุ่นทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต มาจากเทรนด์ของโลกที่เรียกว่า Neoliberalism หรือเสรีนิยมใหม่ซึ่งให้อภิสิทธิ์สูงสุดกับคนที่ประสบความสำเร็จซึ่งวัดได้จากการมีเงินเท่านั้น

สังคมที่มีความสมบูรณ์แบบเป็นไม้บรรทัด

เมื่อกล่าวถึง Neoliberalism จุดกำเนิดของแนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนี้อยู่ที่ชาติมหาอำนาจในห้วงเวลาเปลี่ยนผ่านสู่โลกยุคใหม่ เมื่ออังกฤษโดยนางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นำแนวคิดนี้มาเพื่อกระตุ้นให้เกิดกลไกตลาด และลดบทบาทของรัฐสวัสดิการที่เกิดปัญหารัฐแทรกแซงตลาดมากเกินไปจนเศรษฐกิจไม่เติบโตในยุค 70 และต่อมาประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน แห่งสหรัฐ ก็นำทฤษฎีนี้มาปรับใช้ตามเพื่อกระตุ้นการลงทุนให้เกิดการค้าแบบเสรีด้วยกลไกราคา

ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวได้สร้างโครงสร้างทางสังคมที่เงินเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ นอกเหนือจากปัจจัย 4 การจะอยู่รอดในสังคมหมายถึงการทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินจำนวนมาก บริบทของสังคมเสรีนิยมนี้เต็มไปด้วยการแข่งขันของปัจเจกบุคคลเอง และตลาดเศรษฐกิจที่สินค้าและบริการต้องแข่งกันดึงดูดเงินอย่างดุเดือด ภาพใหญ่คือทุกอย่างล้วนเป็นสินค้าที่มีราคาและสามารถซื้อขายในตลาดได้ สังคมที่ดำเนินไปเช่นนี้ เริ่มสร้างบรรทัดฐานในการประเมินตนเองแบบใหม่ขึ้น ทุกคนเห็นตนเองเป็นเสมือน ‘สินค้าชิ้นหนึ่ง’ ที่ต้องนำเสนอให้มีคุณค่าในสายตาของสังคมตลอดเวลา

ทั้งโธมัสและแอนดริวซึ่งมีบทบาทหลักเป็นอาจารย์เล่าว่า บางครั้งพวกเขาต้องทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางจิตให้กับเด็กนักเรียนที่ภายนอกดูสดใสร่าเริง ปกติดีทุกประการ แต่กลับมีภาวะอาการทางจิตบกพร่อง เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล และคิดฆ่าตัวตายอยู่เสมอ นี่อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ที่วัยรุ่นจำนวนมากทั่วโลกกำลังประสบปัญหาทางจิตที่นับวันยิ่งรุนแรงและนำไปสู่อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น มันคือผลพวงจากค่านิยมที่สังคมลักษณะนี้กำลังเชพการมองโลกของพวกเขาว่า ตนเองจะมีจุดบกพร่องไม่ได้เลยเด็ดขาด

ไม้บรรทัดที่สังคมใช้กับเด็กคือ โรงเรียน มหาวิทยาลัย (ต้องจบจากสถาบันรัฐ-เอกชนที่มีชื่อเสียง) สาขาอาชีพที่เรียน (จบไปแล้วมีค่าตอบแทนสูงและมั่นคง) อีกทั้งยังมีแรงคาดหวังจากพ่อแม่ผู้ปกครอง การเข้าสังคมกับเพื่อนฝูง การไหลบ่าของโซเชียลมีเดียที่ส่งเมสเสจย้ำๆ ว่า “ใครๆ ก็ประสบความสำเร็จ และดูดีกันทั้งนั้น”

พวกเขาถูกเปรียบเทียบ จัดประเภท จัดอันดับอยู่ตลอดเวลา หากถูกจัดให้อยู่ในอันดับล่างหรืออยู่ในเกณฑ์ ‘อ่อน’ จะหมายความทันทีว่าไม่มีค่าและเป็นจุดบกพร่องของสังคมนั้น

เมื่อถนนทุกสายมุ่งไปที่ความสมบูรณ์แบบเป็นเส้นชัย จึงไม่แปลกที่เด็กวัยรุ่นยุคนี้ต้องแบกรับความกดดันให้ตนเอง ‘ดีที่สุด’ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และยิ่งไปกว่านั้น เด็กเหล่านั้นยังมีพื้นที่ในโซเชียลเป็นกระจกสะท้อนความสำเร็จจากมุมมองที่คนอื่นมีต่อตัวเอง กระหายที่จะต้องมีข้อพิสูจน์มารับรองว่าตนบรรลุเป้าหมายแล้ว เช่น สอบติดมหาวิทยาลัย ได้เกรดเฉลี่ยสูง ได้รางวัล หรือคำชื่นชม (หรือ คอมเมนต์ต่างๆ ยอดไลค์ ยอดแชร์ และยอดติดตาม หรือ followers)

ในท้ายที่สุด เมื่อไปไม่ถึงความสมบูรณ์แบบในอุดมคติอันเปราะบางที่สร้างไว้ หรือค้นพบว่าตนเองไม่ได้เป็นที่หนึ่ง พวกเขาจะผิดหวังอย่างรุนแรงเพราะตั้งสมการไว้ว่าคนที่ทำอะไรผิดพลาด ล้มเหลว คือคนไม่มีค่า

Perfectionist: ฉันต้อง ‘เป๊ะ’ ตลอดเวลา

งานวิจัยทางจิตวิทยาที่โธมัสและแอนดริวเพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Psychological Bulletin ไปเมื่อเร็วๆ นี้ ชี้ว่าระดับเสพติดความสมบูรณ์แบบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1989 โดยน่าจะเป็นอาการหนึ่งที่วัยนี้ใช้เชื่อมกับการพยายามทำให้ตนเองรู้สึกปลอดภัยเมื่อต้องวางตัวเอง (positioning) ให้อยู่รอดในสังคมแบบเสรีนิยมดังกล่าว

ความกดดันภายในของวัยรุ่นที่ต้องเป็น ‘มนุษย์เป๊ะเว่อร์’ ตลอดเวลา อาจพ่วงมากับอาการทางจิตอื่นๆ เช่น โรคกลัวอ้วนจนมีพฤติกรรมกินผิดปกติ โรควิตกกังวลเกินไป ซึมเศร้า และมีความคิดฆ่าตัวตาย

ตัวอย่างอันน่าเศร้าหนึ่งจากครอบครัววาโลรัสซึ่งสูญเสียลูกสาววัย 17 ปี อเล็กซานดรา วาโลรัส (Alexandra Valoras) จากการฆ่าตัวตาย โดยกระโดดลงมาจากสะพานข้ามไฮเวย์ระหว่างไปเที่ยวทริปสกีในวันหยุดกับครอบครัว ไดอารี 2 เล่มของเธอที่พบในที่เกิดเหตุ เต็มไปด้วยถ้อยคำที่อเล็กซานดราตำหนิและวิจารณ์ตัวเองอย่างรุนแรงต่อเนื่องเป็นเวลานานนับปี สิ่งที่น่าตกใจคือ เธอไม่เคยแสดงสัญญาณใดๆ ที่บ่งบอกอาการซึมเศร้า อย่างการวิจารณ์ตัวเองในแง่ลบให้ใครได้ยินมาก่อนหน้านั้นเลย

เอลิเซีย (Alysia) และ ดีน วาโลรัส (Dean Valoras) พ่อแม่ของอเล็กซานดราเล่าว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นในลูกคือเด็กมุ่งมั่น มีเป้าหมาย และร่าเริงปกติคนหนึ่ง เธอเลือกเข้าโรงเรียนเฉพาะทางด้านเทคโนโลยีที่เธอชอบเอง และยังทำเกรดเฉลี่ยดีมาโดยตลอด ทำกิจกรรมและเข้าแข่งขันได้รางวัลมามากมาย แข่งได้ที่ 7 ในการประกวด SkillsUSA National Leadership และ Skills Conference Championships โดยตั้งเป้าว่าปีนี้จะต้องได้ที่ 1 เธอกับทีมเพื่อนนักเรียนกำลังวางแผนลงแข่งการประกวดหุ่นยนต์ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

ในสายตาคนภายนอก อเล็กซานดรามักมีรายการสิ่งที่ต้องทำและลงมือทำตามอย่างเคร่งครัด แต่ในไดอารี อเล็กซานดรากลับบรรยายถึงจิตใจที่ถูกกัดกร่อนจากความพยายามวันแล้ววันเล่าในการใช้ชีวิตประจำวันให้อยู่ในกรอบของคนเก่งที่เธอตั้งเอาไว้เอง เธอรับตัวเองไม่ได้เมื่อเกิดความรู้สึกเฉื่อยชา ขี้เกียจบางครั้งบางคราว และกล่าวโทษตัวเองที่มีข้อบกพร่องเหล่านั้น

ด้านล่างเป็นตัวอย่างสัญญาณของอาการยึดติดกับความสมบูรณ์แบบมากเกินไปจากไดอารีบางส่วนของเธอ

“…ทั้งหมดใน (ไดอารี) นี้คือเนื้อแท้ที่ฉันไม่ได้ปรุงแต่ง และขาดแหว่งไม่สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสนมันนอกจากฉัน ในนี้ฉันไม่ต้องเป็นไปตามบรรทัดฐานที่คนอื่นขีดไว้…แม้แต่ตัวฉันเอง”

“ฉันหลงทาง หมดหวัง ไร้ค่า ขี้เกียจ เฉื่อยชา สับสน เหนื่อยล้า ชาชิน คิดลบ อึดอัด ขัดแย้ง เป็นทุกข์ จับฉ่าย และเคว้งคว้างเหลือเกิน…”

“ชีวิตไร้จุดหมายอะไรอย่างนี้ ทำไมฉันต้องลุกจากที่นอน ต้องมาทำการบ้านช่วงหน้าร้อน ต้องไปวิ่ง ทั้งหมดเพื่อวันข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตอนนี้…ฉันอยู่อย่างมีความสุขอย่างนี้ไม่ได้”

“ฉันต้องได้เหรียญทองการแข่ง SkillsUSA ปีนี้ให้ได้ ไม่งั้นที่ฝึกมาทั้งหมดก็ไร้ค่า”

“ฉันต้องสมบูรณ์แบบ อะไรที่น้อยกว่าสมบูรณ์แบบก็คือล้มเหลว”

“ฉันไม่มีทางเป็นคนที่ฉลาดที่สุด และถ้าไม่ได้เป็นที่หนึ่ง ฉันก็หมดความหมาย”

เท่าทัน ยอมรับ มีสติ

ในเมื่ออย่างไรเสีย เด็กและเยาวชนไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเครียดและความกดดันจากสังคมที่เป็นอยู่นี้ได้อยู่แล้ว พ่อแม่และโรงเรียนควรต้องช่วยกันติดตั้งภูมิคุ้มกันให้พวกเขาหาจุดยืนในการเป็นตัวของตัวเองในสังคมได้โดยไม่ต้องเปรียบเทียบ ปลูกฝังหนึ่งในสัจธรรมของความเป็นมนุษย์ คือความไม่สมบูรณ์แบบ ความแตกต่าง ความหลากหลายในสังคม พื้นฐานแรกสุดคือพวกเขาต้องรู้จักยอมรับ และรักในสิ่งที่ตัวเองเป็น

การมีเมตตาในตัวเอง หรือ self-compassion เป็นอุปนิสัยสำคัญซึ่งบทความเรื่อง Self-compassion: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้วัยรุ่น โดย ชลิตา สุนันทาภรณ์ กล่าวไว้ว่าควรต้องบ่มเพาะให้เด็กรู้จักยอมรับความผิดพลาดของตนเองเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้อย่างมีสติ ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ หลีกเลี่ยงความล้มเหลวหรือความผิดพลาดไม่ได้

นอกจากมีเมตตาในตัวเอง การเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็เช่นเดียวกัน โธมัสและแอนดริวลงความเห็นว่า การเห็นใจผู้อื่นเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานด้านบวกในจิตใจให้สามารถรับมือกับความเป็นไปในสังคม รวมทั้ง หากโรงเรียน มหาวิทยาลัย และทุกภาคส่วนหันมาใส่ใจอย่างจริงจังในการกลั่นกรองสิ่งที่สังคมยัดเยียดให้เด็ก โดยวางกรอบการศึกษาเรียนรู้ตลอดจนการทำงานให้อยู่บนพื้นฐานของการเห็นอกเห็นใจมากกว่าการแข่งขันเปรียบเทียบอย่างที่เป็นอยู่ ปัญหาเด็กยึดติดกับความสมบูรณ์แบบมากเกินไปแล้วพ่วงตามมาด้วยโรคทางจิตอีกหลายอย่างน่าจะทุเลาขึ้น

ถ้าให้พูดถึงแนวทางปฏิบัติที่ผู้ใหญ่ใกล้ตัวเด็กจะทำได้ อาจไม่ตายตัวนักในครอบครัวและบริบทที่แตกต่างกัน จำเป็นอย่างยิ่งคือ พ่อแม่และครูต้องหมั่นเข้าไปสำรวจโลกของพวกเขาบ้างว่า กำลังสนใจหรือหมกมุ่นกับอะไรเป็นพิเศษ เสพวงดนตรี ศิลปิน หนังสือ ภาพยนตร์หรือเกมประเภทไหน คร่ำเคร่งกับเป้าหมายมากเกินไปรึเปล่า และมีแนวโน้มที่จะตัดสินเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในทางลบหรือไม่

นอกจากต้องหูไวตาไวกับพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจเป็นสัญญาณของความเครียดภายใน พ่อแม่และครู ต้องนับตัวเองเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เรียนรู้ที่จะสวมหมวกเพื่อนที่ปรึกษา เป็นพวกเดียวกับเขาโดยไม่ตัดสิน เปรียบเทียบ หรือคาดหวังใดๆ

อ้างอิง:
The Rise of Perfectionism is Negatively Affecting Young People
Secrets of a Lost Girl
SELF-COMPASSION: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้วัยรุ่น

Tags:

ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)โซเชียลมีเดียการจัดการอารมณ์วัยรุ่นจิตวิทยาDisruption

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • BookHow to enjoy life
    DESIGNING YOUR LIFE: ปัญหาที่แก้ไม่ได้ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นสถานการณ์ไม่ต่างกับ ‘แรงโน้มถ่วง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Life classroom
    SELF-COMPASSION: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้วัยรุ่น

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

DON’T WORRY ‘ไอจี’ ไม่ใช่วายร้าย
How to get along with teenager
10 October 2018

DON’T WORRY ‘ไอจี’ ไม่ใช่วายร้าย

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

Instagram เป็นโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้กว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก มีไว้สำหรับแชร์รูปภาพ วิดีโอ และข้อความ รวมถึง Instagram Stories, Live, IGTV

ที่สำคัญเด็กบางคนมีแอคเคาท์มากกว่าหนึ่ง คือมีทั้ง ‘Rinsta’ ย่อมาจาก ‘real Instagram account’ ที่แปลว่า Instagram จริง และ ‘Finsta’ ที่ F ย่อมาจาก fake ที่แปลว่าของปลอม

เมื่อห้ามวัยรุ่นเล่น IG ไม่ได้ ก็ต้องให้เขาเล่นอย่างปลอดภัยให้ได้ เช่น

การติดตามใน Instagram ไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนกันทั้งสองฝ่ายเหมือน Facebook ผู้ใช้สามารถติดตามใครก็ได้ โดยไม่จำเป็นว่าอีกฝ่ายจะต้องติดตามกลับ ในทางกลับกับเมื่อมีคนมาติดตามเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องติดตามกลับก็ได้

ควบคุมความเป็นส่วนบุคคล การตั้งค่าเริ่มต้นของ Instagram รูปภาพและวิดีโอที่แชร์ สามารถรับชมได้ทุกคน แต่ผู้ใช้สามารถทำให้บัญชีเป็นแบบส่วนตัวได้ เวลาที่ใครมากดขอติดตาม สามารถอนุญาตหรือยกเลยคำขอติดตามนั้นได้

คิดดีๆ ก่อนเช็คอิน วัยรุ่นควรหลีกเลี่ยงการเช็คอินเมื่ออัพโหลดรูปภาพหรือวิดีโอ ไม่ให้เพิ่มตำแหน่งในโพสต์หรือใช้แฮชแท็กที่เปิดเผยตำแหน่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ Instagram จับตำแหน่งของผู้โพสต์ได้

พิจารณารูปทั้งหมด สิ่งที่อยู่เบื้องหลังภาพหรือวิดีโออาจบ่งชี้ว่าสถานที่ถ่าย หรือสิ่งที่คนในภาพกำลังทำอยู่ในขณะนั้นเป็นข้อมูลที่คุณต้องการถ่ายทอดหรือไม่

คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

Tags:

วัยรุ่นโซเชียลมีเดียความปลอดภัยไซเบอร์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Voice of New Gen
    จากติ่งเกาหลีสู่ Active Citizen: ลำโพงขนาดใหญ่ผู้ขับเคลื่อนประเด็นสังคมและการเมือง

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    SEXTING คือ SEX+TEXT ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ แต่คือพัฒนาการ

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenager
    ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Early childhood
    สิ่งที่พ่อแม่ควรทำก่อนตัดสินใจโพสต์รูปของลูกลง SOCIAL MEDIA

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

อ่าน-เล่น-ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ของ ‘นิทานก่อนนอน’
EF (executive function)
9 October 2018

อ่าน-เล่น-ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ของ ‘นิทานก่อนนอน’

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

หนังสือนิทานสำหรับเด็กเล่มใหม่เรื่อง ‘อ่านนิทานให้ฉันฟังหน่อย!’ เบเนดิกต์ การ์บอแนล เรื่อง มีคาเอิล เดอรึลเลิกซ์ ภาพ น้านกฮูก แปล บริษัทแปลนฟอร์คิดส์จำกัด พิมพ์

เรื่องนี้สนุก นี่ถ้าอีสปตื่นมาพบหมาป่าตัวนี้คงเป็นลมตายอีกรอบ ด้วยคาดไม่ถึง

หมาป่าตัวหนึ่งไปพบพ่ออ่านนิทานให้ลูกฟังในสวน พ่อลูกอ่านเสร็จเดินไปแต่เผลอทำหนังสือนิทานตกไว้ หมาป่าคาบหนังสือไปหาคนอ่านให้ฟังเพราะอ่านไม่ออก

ใครๆ ก็วิ่งหนีหมาป่าเพราะทุกคนรู้แล้วว่าหมาป่าเจ้าเล่ห์ นิทานอีสปบอกไว้นานแล้วนี่นา (ประโยคหลังนี้เติมเอาเอง) เหลือแต่กระต่ายทำใจดีสู้หมามาอ่านให้ฟัง

เมื่อหมาป่าฟังกระต่ายอ่านนิทานจบ “เอาอีก เอาอีก เอาอีก” เด็กๆ เป็นแบบนี้กันทุกคน รับประกันได้เลยรายไหนรายนั้น พ่อแม่ที่ไม่กำหนดกติกาไว้ก่อน เช่น 3-5 เล่มหรือ 30 นาทีมักจะต้องอ่านต่อไปจนเสียงแห้ง หรือสลบเหมือด

นิทานเป็นประตูเปิดจักรวาล หมาป่าที่วันๆ เอาแต่เจ้าเล่ห์ เพิ่งจะรู้ว่าโลกเป็นอย่างไรเมื่อได้ฟังนิทาน ลูกๆ จอมดื้อของเราก็เช่นกัน บ้านคับแคบแต่จักรวาลในนิทานกว้างใหญ่ไพศาล ไม่ต้องดื้อก็ได้ ยังมีอะไรดีๆ น่าทำเหมือนหมาป่าตอนท้ายเรื่อง ทำอะไรลองไปหามาอ่านดู ไม่สปอยล์

จากนี้ไปเป็นข้อคิดเห็นจากทางบ้าน การแลกเปลี่ยนที่ให้ และคำอธิบาย

“สนุกจริงๆ เลยค่ะ”

สนุกมากครับ สนุกแบบนี้คนอ่านก็ไม่เบื่อ กระต่ายก็ไม่เบื่อ

อธิบาย-เด็กฟังพ่อแม่อ่านนิทานก่อนนอน เขาจะสวมรอย (identify) ตัวละครสักตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตัวเอก บางครั้งก็สวมรอยทุกตัว สมมุติว่าเขาสวมรอยกระต่าย กระต่ายขยันอ่าน เขาก็จะขยันอ่าน (แม้ว่าจะยังอ่านไม่ออกก็ตาม)

“เพิ่งได้มาเลยค่ะ คนเล็ก (2ขวบ) หยิบมาให้อ่านทุกคืนเลย ส่วนตัวแม่ชอบภาพค่ะ วาดและลงสีสวยถูกใจ (ชอบพิเศษคือหน้านกฮูกหัวเราะ สีสวยมากๆ)”

หยิบมาอ่านซ้ำแน่นอน หมาป่ายังให้อ่านซ้ำเลย

อธิบาย-เรื่องการอ่านซ้ำในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กไม่มีอะไรให้กังวล อ่านซ้ำได้สบายมาก เพราะสมองเด็กพัฒนาและวางขดลวด (wiring) ทุกวัน หมาป่าเมื่อคืนจะไม่เหมือนหมาป่าคืนนี้แล้วจะเปลี่ยนไปอีกในวันพรุ่งนี้ กระต่ายก็เช่นกัน ที่สำคัญคือสมองเด็กเปลี่ยน ตัวเขาเปลี่ยน

“ยั่วกันตลอดนะคะ”

มีสาระนะครับ นึกถึงสัญลักษณ์ยึกยือที่หมาป่าอ่านไม่ออก เหมือนถูกขัง พอมีคนปลดล็อค เสรีภาพก็กระเจิง ไม่ต้องเจ้าเล่ห์นักก็ได้ เด็กๆ ของอาจารย์ก็เช่นกัน ทลายกรงขังเท่านั้นเอง ไม่ต้องเกเรก็ได้

อธิบาย-หนังสือคือประตูสู่โลกกว้าง ห้องนอนคับแคบกลับกลายเป็นจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลในพริบตา บ้านเล็กในห้องแถวขยายตัวออกไปได้ทุกมิติก็ด้วยนิทาน เมื่อหมาป่าอ่านอักขระไม่ได้เพราะแทนสัญลักษณ์และตีความสัญลักษณ์ไม่ได้ โลกคับแคบเหมือนกรงขังทำเป็นแค่เจ้าเล่ห์และล่าเหยื่อ ครั้นกระต่ายมาตีความให้ โลกที่มีมากกว่าความเจ้าเล่ห์และล่าเหยื่อก็เริ่มขยายตัว ส่วนหมาป่าจะทำอะไรได้บ้าง ไปหามาอ่าน

“โอย…คุณหมอคะ ชอบตั้งแต่ชื่อเรื่องเลยค่ะ”

อายุเท่าไร เราก็เริ่มอ่านนิทานได้ครับ หมาป่าอายุมากแล้วยังชอบเลย

อธิบาย-นิทานสำหรับเด็กหากลดละเลิกความพยายามจะสั่งสอนเด็กให้เป็นคนดีเสียบ้าง ขอเพียงมีตัวละคร มีตัวเอก ตัวรอง ตัวร้าย มีเส้นเรื่อง และความขัดแย้งคือ conflict ผู้ใหญ่อายุเท่าไรก็จะพบว่าตัวเองหยิบอ่านได้ สบายตาและหลงใหลได้ง่ายๆ ด้วย เพราะที่แท้แล้วบนเส้นทางพัฒนาการของเราเอง มีอะไรต้องซ่อมแซม เติมเต็มหรือชดเชยอีกมาก

“สนุกจริงๆ ค่ะคุณหมอ อ่านให้ลูกๆ ฟังครั้งแรกแม่ยังลุ้นตามไปด้วยเลยค่ะ 555”

แล้วเด็กๆ จะทำแบบหมาป่าในตอนท้าย นั่นคือ…

อธิบาย-จะเห็นว่าแทบทุกคนถูกโปรแกรมว่าหมาป่าต้องใจร้าย เจ้าเล่ห์ และกินกระต่ายในตอนท้ายแน่นอนเหมือนที่เคยกินลูกแกะที่ปลายลำธารมาแล้วทั้งที่ตัวเองเป็นคนทำน้ำขุ่นแท้ๆ ดังนั้นองค์ประกอบที่สำคัญอีกข้อคือการหักมุมในตอนท้าย อย่างคาดไม่ถึง ตรึงพ่อแม่ให้สนุกกับนิทานก่อนนอนได้ด้วยจะดีที่สุด เพราะคนอ่านสนุก ลูกก็สนุกตามง่ายๆ

“โอยยยย อยากได้บ้าง…ง”

ออกไปหาครับ

อธิบาย-การพาลูกไปร้านหนังสือเป็นเรื่องควรทำ อย่าถึงกับไม่ทำเลยเอาแต่ซื้อทางเน็ต ร้านหนังสือช่วยเปิดจักรวาลกว้างใหญ่ พ่อแม่ลูกใช้เวลาอยู่ด้วยกันในทางสร้างสรรค์ พ่อแม่ได้พัฒนาตัวเองบ้าง ดีกว่านั้นคือลูกได้ฝึกการชั่งน้ำหนัก จะเอาเล่มไหน จะบริหารงบประมาณอย่างไร ไปจนถึงรู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน คือ EF การให้หนังสือไม่มีข้อเสียแต่ควรกั๊กเอาไว้บ้างไม่ต้องให้ครั้งเดียวหมดร้าน เดือนหน้ามาใหม่อีกได้

“ตอนหมาป่าวิ่งไปคาบหนังสือ ลูกชายบอกว่าหมาป่าขโมยหนังสือเหรอ แม่อึ้งตอบไม่ถูกเลยค่ะ เลยบอกไปว่าหมาป่านิสัยไม่ดี 555”

แต่งเองได้ครับ หมาป่าวิ่งตามไปคืน แต่พ่อลูกหายไปแล้ว

อธิบาย-จะเห็นว่าเด็กรับรู้มากกว่าที่หนังสือบอกและคิดเอาเองได้มากกว่าที่พ่อแม่จะรู้ทัน พ่อแม่ที่ไม่ประสีประสาอาจจะอึ้งได้ไม่ผิดอะไร ขอแค่มานอนอ่านด้วยกันก็สุดยอดแล้ว แต่พ่อแม่ที่ไหวพริบดีกว่าสามารถแต่งเอาเองได้ตามสบาย ตอบคำถามได้อย่างสนุกสนาน ไม่มีอะไรผิดอยู่แล้ว นี่ห้องนอน มิใช่ห้องสอบ อย่าทำห้องนอนเป็นห้องกวดวิชา

“ลูกบอกหนูเป็นหมาป่า หม่าม้าเป็นกระต่าย”

จะเห็นว่าหมาป่าใหญ่ชั่วข้ามคืน

อธิบาย-จะเห็นว่าเด็กๆ ทุกคนอยากโตเร็ว อยากกินนมกินข้าวออกกำลังกายแล้วโตเร็วๆ มากกว่านี้คืออยากโตกว่าพ่อแม่ เป็นเราเองที่ทำให้ทุกอย่างยาก การกินข้าว การนอน ให้ตรงเวลา การเล่นในสนามจริงๆ พวกเขาอยากทำ อยากทำได้ อยากจะโตเร็วๆ

“คืนนี้คงได้อ่านให้ตัวเล็กฟังและให้สรุปเรื่องราวที่ประทับใจจากการฟังนิทานค่ะ เพิ่งได้มาเมื่อวันศุกร์ (การบ้านลูก)”

ไม่สรุปๆ เอาสนุกว่าครับ

อธิบาย-นิทานที่ดีไม่จำเป็นต้องสรุปหรือลงท้ายว่านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เพียงเล่าเรื่อง (storytelling) แล้วทิ้งไว้เช่นนั้น เด็กๆ จะต่อเอาเองและเก็บเกี่ยวเอาเองตามใจชอบ ดีต่อสมองมากกว่ามาก เราอยากได้สมองที่มีเสรีภาพคิดกว้างไกลคิดนอกกรอบ

หนังสือดีราคาไม่ถึงร้อยยังมีอยู่ ที่ราคาสองสามร้อยก็ดีมากเกินราคา หนังสือเป็นสินค้าทางปัญญา ลงทุนเท่าไรก็ได้คืนเพราะประเมินค่ามิได้ ยังไม่นับว่านิทานสำหรับเด็กดึงเวลาของพ่อแม่ลูกเข้ามาใกล้กันวันละครึ่งชั่วโมงยามค่ำคืน ยิ่งกว่าประเมินค่ามิได้ ควรที่เราจะบริหารงบประมาณ ชั่งน้ำหนัก สินค้าทางปัญญานี้กับเสื้อผ้า เครื่องสำอาง อาหารฟุ่มเฟือย กิจกรรมพัฒนาการที่อาจจะไม่คุ้มค่า เพราะที่คุ้มค่ามากกว่าคือหนังสือ

และตัวเป็นๆ ของพ่อแม่

Tags:

นิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน : สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

อนาคตทุกคนจะเรียนศิลปะและความผิดพลาดจะกลายเป็นความงาม ‘วิชากู’ ของ พิเชษฐ กลั่นชื่น
Everyone can be an Educator
9 October 2018

อนาคตทุกคนจะเรียนศิลปะและความผิดพลาดจะกลายเป็นความงาม ‘วิชากู’ ของ พิเชษฐ กลั่นชื่น

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • จากประสบการณ์กว่า 15 ปีที่ผ่านมา พิเชษฐได้กลั่นกรองออกมาเป็น ‘วิชากู’ เพื่อให้ผู้ที่สนใจเดินเส้นทางศิลปะได้เรียนรู้ และไม่มีทางได้ค้นพบในโลกวิชาการ
  • อาชีพศิลปินเป็นอาชีพเดียวที่เริ่มต้นจากศูนย์ ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน แต่สิ่งที่ทำให้คนต่างกันคือการฝึกฝน ทุ่มเท เพื่อพิสูจน์ว่าเราเป็นคนที่มีคุณภาพหรือไม่ เพราะคนซื้องานศิลปะ เขาจ่ายให้คุณภาพและประสบการณ์
  • สิ่งที่สำคัญที่จะสู้กับ AI ในอนาคตคือ ความผิดพลาด เพราะ AI ทำไม่ได้แต่คนทำได้ โดยเฉพาะงานศิลปะ ความผิดพลาดนี่แหละที่จะทำให้งานศิลปะงาม
  • ในบทบาทคุณพ่อ มีสี่ข้อที่พิเชษฐสอนลูก คือ 1.ความรับผิดชอบ 2.ความคิดสร้างสรรค์ 3.ความเป็นตัวของตัวเอง และ 4.ความเป็นอิสระ

‘I’m a Demon’ โดย พิเชษฐ กลั่นชื่น ณ โรงละครช้าง ชุดการแสดงที่พิเชษฐออกมารำโขนเพียงคนเดียว โดยไม่ใส่ชุดโขน ไม่ใส่เสื้อผ้า บางตอนใส่เพียงแค่กางเกงชั้นในเท่านั้น เผยให้เห็นถึงความงามของร่างกายในทุกท่วงท่าของนักเต้น ผิดแปลกไปจากการแสดงโขนทั่วไปที่ผู้แสดงจะแต่งองค์ทรงเครื่องแบบเต็มยศ

งานแสดงชิ้นนี้เกิดจากการที่พิเชษฐตั้งคำถามกับสิ่งที่เรียกว่า ‘นาฏศิลป์ไทย’ สร้างงานศิลปะในแง่มุมที่ฉีกออกจากกรอบสังคมและวัฒนธรรมไทย กล้านำเสนองานศิลปะแม้ว่าจะถูกคนในสังคมตำหนิและไม่ยอมรับ

ในทางกลับกัน พิเชษฐ เป็นที่ยอมรับระดับโลก การันตีจากตารางการแสดงที่เต็มก่อนหนึ่งปีทุกครั้ง รวมถึงรางวัลการันตีมากมาย เช่น รางวัล ‘Routes’ ECF Princess Margriet Award for Cultural Diversity จาก European Cultural Foundation รางวัล ‘Chevalier of the French Arts and Literature Order’ จาก The French Ministry of Culture เป็นต้น

จากประสบการณ์กว่า 15 ปี พิเชษฐได้กลั่นกรองออกมาเป็น ‘วิชากู’ ที่เล่าถึงเส้นทางการเป็นศิลปิน ที่ยืนยันด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ว่า “มันเป็นทักษะชีวิต ทำจริง พิสูจน์จริง” เพื่อให้ผู้ที่สนใจเดินเส้นทางศิลปะได้เรียนรู้ และไม่มีทางค้นพบได้ในโลกวิชาการ

“กูคิด กูทำ กูเชื่อ กูค้นคว้า กูพิสูจน์ กูสอน จนเป็นรูปธรรมแล้ว นี่คือจุดกำเนิดของวิชากู” พิเชษฐ อธิบาย

วิชากูอาจไม่มีหลักสูตรหรืองานวิจัยใดๆ มารองรับ แต่นี่คือสิ่งที่ทำให้ตารางชีวิตและงานของพิเชษฐแน่นตลอด 365 วัน ต้องการจองคิวล่วงหน้า แนะนำว่าอย่างน้อย 1 ปี

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพราะคำว่า ‘ศิลปะ’

และ ‘ความผิดพลาด’ จะทำให้ศิลปะงดงาม…

วิชากู VS วิชาการ

วิชากู คืออะไร

ผมต้องย้อนไปไกลมาก ผมเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ในวันที่ผมสอนหนังสือ ทุกคนยอมรับว่าผมเป็นอาจารย์ วันหนึ่งผมลาออก สิ่งที่ผมพูด สิ่งที่ผมเขียนกลับไม่มีน้ำหนักในเชิงองค์ความรู้เลย สังคมนี้ไม่ได้มองว่าสิ่งที่เขียนโดยคนคนนี้เป็นความรู้หรือไม่เป็นความรู้ แต่ไปมองว่าคนคนนี้มีตำแหน่งในสถานภาพว่าเป็นครูหรือไม่เป็นครู ก็เท่านั้น

ผมเชื่อเรื่องประสบการณ์ เชื่อเรื่องระยะการทำงานอันยาวนาน ผมเริ่มเขียนองค์ความรู้ของผมเอง แล้วเอาไปให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัย ว่าคุณสนใจอันนี้ไหม ตีพิมพ์ไหม ลองเอาไปสอนเด็กไหม ทุกคนจะบอกว่าไม่ ทุกคนจะบอกว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว

ผมก็ เฮ้ย สังคมนี้บ้าหรือเปล่า ไปเอาความรู้โดยวัดว่าคนคนนั้นมีตำแหน่งในระบบราชการจริง แต่ไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาเขียนจริงๆ เป็นองค์ความรู้จริงๆ จากประสบการณ์จริง เป็นความรู้ แล้วผมเองก็เป็นอาจารย์มาก่อน พอผมลาออก ก็ไม่นับว่าเป็น ผมก็มองว่า ไอ้ห่า ตลกดี เอางี้ เขียนเอง เอาไปลงในเฟซบุ๊ค เป็นบทความวิชากู คือ กูคิด กูทำ กูเชื่อ กูค้นคว้า กูพิสูจน์ กูสอน จนเป็นรูปธรรมแล้ว นี่คือจุดกำเนิดของวิชากู

พิเชษฐ กลั่นชื่น

กว่าจะเป็นบทความวิชากู ต้องเริ่มจากอะไรบ้าง

มาจากบันทึกว่าผมไปทำงานที่ไหน เจออะไร เกิดอะไรขึ้น มีรูปแบบวิธีการเป็นอย่างไร ผมเริ่มจากบันทึก แต่ก่อนหน้านั้นมันเป็นบันทึกที่อยู่ในสมุดบันทึกด้วย ผมมีเป็นสิบๆ เล่มเลย ผมเลยเอาลง กับอันที่เขียนใหม่ เอาลงไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนตามอ่าน

จริงๆ ไม่ได้สนใจว่าจะมีคนตามอ่านเยอะหรือไม่ แต่เรามองว่ามันคือองค์ความรู้ที่ควรจะเขียนทิ้งเอาไว้ แล้ววันหนึ่งมันน่าจะมีประโยชน์ เมื่อคนอื่นเดินเข้ามาในสายอาชีพนี้ หรืออยากรู้ว่าวิธีการที่เขาทำงานกันเป็นอย่างไร

ถัดจากบันทึกก็เป็นหัวข้อ บางอันเป็นส่วนที่เกิดขึ้นในสังคม บางอันเป็นเหมือนปัญหาที่เกิดขึ้นในแวดวงศิลปะ ผมเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า นี่คือส่วนที่เขียนในบทความวิชากู

การเรียนศิลปะ ผู้เรียนที่เรียนในระบบ ออกมาเป็นอย่างไร ต่างจากผู้เรียนที่เรียนแบบวิชากูอย่างไร

องค์ประกอบทางศิลปะกับศิลปะแยกออกจากกัน อาหารมีองค์ประกอบของอาหาร ขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม เป็นส่วนประกอบ หลังจากที่เอามารวมกันแล้วจะเป็นอาหารที่เราเรียกว่าต้มยำกุ้ง แล้วอาหารนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ารสชาติ ในศิลปะเราเรียกสิ่งนี้ว่าความงาม หรือการเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของคน เป็นสามส่วนแบบนี้

ระบบการเรียนในมหาวิทยาลัยสอนเรื่ององค์ประกอบที่จะสร้างศิลปะ คุณต้องลงสีแบบนี้ คุณต้องมีน้ำหนักของเส้นแบบนี้ คุณต้องรู้เรื่องสีนั้นสีนี้ให้อารมณ์ต่างๆ เราเรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบเกี่ยวกับการปรุงอาหารเป็นหลัก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย

แต่ในประสบการณ์นอกมหาวิทยาลัยของคนที่เป็นศิลปิน เขาไม่สนใจมานั่งเรียนสิ่งเหล่านี้ เขาจัดการกับองค์ความรู้ และประสบการณ์ที่เขามีอยู่ แล้วเอาสิ่งที่เขาคิดว่ามันน่าจะเกิดรสชาติใหม่ๆ หรือสิ่งใหม่ๆ เอามาทำ สร้าง นี่คือต่างกัน

คนที่เรียนในมหาวิทยาลัยจะสร้างอาหาร หรือศิลปะที่เหมือนๆ กัน และเป็นรสชาติเดิม ส่วนคนที่เรียนศิลปะจากประสบการณ์ เรียนหรือไม่เรียนในมหาวิทยาลัย หรือเรียนในอีกระบบหนึ่ง จะสร้างรสชาติอาหารที่ทำให้เกิดกระบวนการของการกระตุ้นทางความรู้สึก หรือทางอารมณ์ ชอบไม่ชอบของผู้บริโภค

งานศิลปะที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยคุณจะพึงพอใจมันเลย เพราะมันเป็นไปตามสูตร เวลาเราซื้อหนังสือทำอาหารมา ใส่กี่ช้อนกี่ชาม ก็อร่อยมาเลย สมบูรณ์แบบ ศิลปะไม่ได้ต้องการความสมบูรณ์ คนทำงานศิลปะในฐานะศิลปิน ต้องการความท้าทาย ต้องการทำให้คุณรู้สึก

‘รู้สึก’ ในคำที่ผมพูดคำนี้ ชอบก็ได้ ไม่ชอบก็ได้ คือความตั้งใจของการปรุงรสชาติของอาหารชิ้นนี้

ถามว่า ไม่ชอบมันดีอย่างไร มันทำให้คุณได้รู้สึกว่าคุณได้กินอาหารอีกครั้งหนึ่ง เพราะคุณรู้สึกถึงรสชาติในเวลานั้น แต่ไอ้ของเดิมคุณไม่รู้ คุณกินโดยอัตโนมัติไปแล้ว นี่คือความต่าง

จำเป็นต้องมีองค์ความรู้พื้นฐานที่เรียกว่าวิชาการก่อนหรือเปล่า แล้วค่อยมาเรียนรู้เรื่องวิชากู

ผมต้องยอมรับว่ามันต้องเริ่มต้นมาจากวิชาการ ต้องเริ่มมาจากการเรียนรู้องค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งเหล่านี้ก่อน อันนี้เป็นระบบ เพราะเป็นหลักการของการศึกษา คุณต้องผ่านระบบ คุณต้องวาดรูปเป็น จัดแสงเป็น จัดองค์ประกอบเป็นคุณถึงจะได้ A B C D อันนี้เป็นความสำคัญ แต่ส่วนที่เป็นวิชากู มันคือการตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองเรียนมา มันคือการหักล้างในสิ่งที่ตัวเองเป็น มันคือการเห็นต่างและไม่เห็นด้วยกับขบวนการที่ถูกสร้างเอาไว้แต่เดิม

เหมือนในจุดเริ่มต้นเราต้องยอมที่จะเข้าสู่ระบบก่อน แล้วหลังจากนั้นคุณก็จัดการทำลายมันทิ้งใหม่ แล้วสร้างสิ่งใหม่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณยอมต่อระบบ และคุณปลาบปลื้มกับระบบ คุณก็จะกลายเป็นอาจารย์สอนศิลปะ เพราะคุณแม่นยำ

คำถามอะไรที่ดังที่สุดตอนที่ยังเรียนอยูในระบบ

ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมมันต้องใส่เสื้อผ้าที่มันบ้าบอขนาดนี้ มันหนักจะตาย ทั้งๆ ที่การรำ การเต้นโขนมันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แล้วยังเอาเสื้อผ้าที่หนักขนาดนี้มาใส่อีก ทำไมต้องแต่งหน้า เสียเวลาแต่งหน้าอยู่หนึ่งชั่วโมง แต่รำสิบห้านาที แล้วร่างกายที่ต้องวอร์มก่อนขึ้นเวทีจะมีคุณภาพได้อย่างไร นี่คือสิ่งที่ผมตั้งคำถามทั้งหมด

พอตั้งคำถามแล้วทำอะไรต่อ

แก้เลย ไม่แต่งหน้า ไม่ใส่เสื้อผ้า งานผมถึงไม่มีชุดโขนอะไรทั้งสิ้น แล้วให้เวลากับการพัฒนาคุณภาพของร่างกาย เพราะร่างกายเป็นวัตถุดิบในการนำเสนอศิลปะการเต้น ฉะนั้นผมต้องให้วัตถุดิบมีคุณภาพสูงที่สุด อร่อยที่สุด จึงเกิดการเทรนร่างกาย แล้วทำให้เห็นร่างกาย นี่คือความต่างที่ผมเป็น

Dance เป็นความงามด้านร่างกาย พอเวลาที่คุณดูโขนละคร คุณไม่เห็นความงามของเรื่องนี้เลย ฉะนั้นมันเลยไม่ถูกมองว่าเป็นศิลปะการเต้น แต่เป็นละครแทน คุณก็ไปตามเรื่อง เห็นไหมครับ จากภาษาที่มันล้อกับตัวละครที่คุณจำได้ คุณไม่ได้รับรู้เลยว่าความงามของศิลปะคืออะไร

ผมตั้งคำถามว่าสิ่งที่เป็นอยู่ อะไรเป็นข้อดีและข้อเสีย ทีนี้ก็มีคำถามต่อไปว่า เราในฐานะที่ไม่ใช่คนที่จะไปรำอยู่ที่กระทรวงวัฒนธรรม ต้องไปรับแขกบ้านแขกเมือง เราจะทำอย่างไร โดยที่เรายังเป็นคนรำไทย แล้วการที่เราต้องจ่ายเงินทำชุดสี่หมื่นมันเป็นเงินมโหฬารมาก เราจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

ทุกอย่างมันอยู่ร่วมกับการที่จะอยู่รอดกับอาชีพนี้ และมองมันในอีกชุดความรู้หนึ่ง ที่เป็นความรู้เรื่องศิลปะการเต้นไม่ใช่ความรู้เรื่องวัฒนธรรม

นักเต้น นักออกแบบท่าเต้น ผู้กำกับ

อาชีพนักเต้นกับศิลปินเหมือนหรือต่างกัน

ต่างกัน อาชีพนักเต้นไม่ต้องคิด รับจ้างเขาอย่างเดียว เวลาคนอื่นเขาจ้างให้ไปเต้น โอเค พรุ่งนี้จะมีละครนะ อย่างเรื่องโรมิโอ จูเลียต อยากได้นักเต้น ไปสมัคร มีผู้กำกับ มีคนคิดทุกอย่างเอาไว้ให้แล้ว แต่ศิลปินคิดทั้งกระบวนการ ต้องคิดทั้งหมด ฉาก แสง ท่าเต้นจะเป็นอย่างไร จะนำเสนออะไร นี่คือสิ่งที่ต่างกันระหว่างนักเต้นกับศิลปิน แล้วนักเต้นก็เต้นในสิ่งที่เคยเต้น เต้นเป็นอยู่แล้ว แต่การที่คุณเป็นศิลปินคุณต้องสร้างในสิ่งที่คุณไม่เคยสร้าง และต้องสร้างสิ่งใหม่ตลอดเวลา

คุณพิเชษฐนิยามตัวเองว่าเป็นอะไร

ผมเป็นศิลปิน ผมคาบเกี่ยวหลายมิติมาก บางคนเป็นคนออกแบบท่าเต้นโดยที่เขาไม่เต้น บางคนเป็นผู้กำกับ ท่าเต้น โดยมีคนออกแบบท่าให้อีกทีหนึ่ง ผมทำหมดเลย ผมสร้างงานเอง ผมออกแบบท่าเต้นเอง แล้วก็ on stage เองด้วย เพราะฉะนั้นผมกินทั้งสามตำแหน่งเลย ซึ่งอันนี้ไม่มี

การที่จะทำได้ทั้งหมดต้องมีทักษะอะไรบ้าง

ทุกคนต้องเริ่มจากการเป็นนักเต้นก่อน จากนั้นคุณก็จะกลายเป็นคนออกแบบท่าเต้น แล้วหลังจากนั้นคุณก็จะเป็นผู้กำกับ มันจะเป็นลำดับขั้นตอนที่จะกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ

  • นักเต้นมันอยู่กับร่างกายของตัวเอง สั่งมา อยากได้อะไรบอกมา เดี๋ยวเต้นให้ จะอยู่กับร่างกายตัวเอง
  • คนออกแบบท่าเต้น มันเริ่มไปวุ่นกับร่างกายคนอื่น สอนคนอื่นให้เต้นแบบนั้นแบบนี้
  • ผู้กำกับ อยู่กับร่างกายตัวเอง อยู่กับร่างกายคนอื่น อยู่กับโปรดักชั่น

คำว่าศิลปะของคุณคืออะไร

ศิลปะคือสิ่งที่เราแชร์กันในสังคมที่ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเรียน ที่จะดูแล เรื่องความเชื่อเป็นเรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องอีกมิติหนึ่ง แต่ส่วนศิลปะทุกคนมีสิทธิ์

สำหรับวันนี้เรื่องความเชื่อทำให้ศิลปะไกลตัวจากสังคม ในอดีตที่ผ่านมาเรื่องความเชื่อทำให้ศิลปะยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์แบบ คือกติกามันต่างกันแล้ว กติกาที่เราพูดเรื่องผีสางเทวดาในศิลปะในวันนั้นกับวันนี้มันต่างกัน วันนี้เราไม่ควรพูดเรื่องนี้แล้ว มันอันตรายเพราะเด็กรุ่นใหม่ไม่เชื่อเรื่องผี เด็กรุ่นใหม่รู้สึกว่าถ้ามันยากขนาดนี้ฉันจะเข้าไปยุ่งกับมันทำไม ไปยุ่งทีหนึ่งก็มีแต่เรื่องราวเต็มไปหมด

แล้วทำอย่างไรให้ศิลปะมันใช้ได้ และให้คนรุ่นใหม่สนใจ

สิ่งแรก ต้องทำให้คนรุ่นใหม่มองเห็นให้ได้ว่ามันมีองค์ความรู้อะไรซ่อนอยู่ในนั้น มากกว่ามันมีความเชื่อและความน่ากลัวอะไรซ่อนอยู่ในนั้น

สอง องค์ความรู้นั้นสามารถที่จะเอาไปเชื่อมโยงหรือไปเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาความรู้ในองค์ความรู้อื่นได้อย่างไร

สาม จะเอาไปประกอบอาชีพของตัวเองที่เป็นอิสระได้อย่างไร

สามส่วนนี้ทำให้ได้แล้วคนจะวิ่งมาเข้ามาหามันเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เด็กมองไม่เห็นว่ามันมีความรู้อะไรซ่อนอยู่ จบ เพราะทุกวันนี้เราพูดถึงเรื่องของศิลปะ หรือว่าพูดถึงเรื่องนาฏศิลป์ไทย เราไม่เคยพูดเรื่องความรู้ เราพูดเรื่องความเชื่อ ตำนาน ประวัติศาสตร์ แล้วความเชื่อ ตำนาน ประวัติศาสตร์ มีแต่เรื่องน่ากลัว แล้วก็เรื่องห้ามไปแตะต้อง แล้วก็เรื่องที่คุณเข้าไปยุ่งแล้วคุณจะไม่เจริญ คุณจะชีวิตไม่ดี ใครจะเข้าไป บ้าหรือเปล่า

อาชีพศิลปินธรรมดาๆ มันอยู่ได้ไหม

เราต้องแยกคนออก เช่น คนคนนั้นทำซ้ำสิ่งเดิม เราจะบอกว่าคนกลุ่มนี้จะอยู่ได้แบบลุ่มๆ ดอนๆ คือวาดรูปเดิมๆ วาดรูปที่เคยวาด ที่เคยมีอยู่แล้ว อันนี้ไม่ใช่ศิลปิน ไม่ได้สร้างงานศิลปะ เราเรียกคนเหล่านี้ว่าช่าง

คนอีกกลุ่มสร้างสรรค์งานศิลปะเหมือนกัน แต่งานเหล่านี้มันไม่สะท้อนหรือตอบโจทย์อะไรเลยในสังคมปัจจุบัน หรือไม่ชี้นำอะไรไปสู่สังคมวันข้างหน้าให้เราเห็นว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น คนเหล่านี้ก็จะอยู่ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมาก

กับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่สร้างงานมาแล้วให้องค์ความรู้ใหม่ มันให้การกระตุ้นสังคมแบบใหม่ ให้องค์ความรู้ ที่คนเอาไปใช้ได้ และพัฒนาสิ่งนี้ไปสู่อนาคตได้ คนกลุ่มนี้อยู่ได้ และอยู่ได้รวยมาก มโหฬาร

ศิลปะแยกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ผมอธิบายง่ายๆ ศิลปะแบบโบราณกับศิลปะแบบสมัยใหม่ โบราณบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมความเชื่อ วาดรูปพระพุทธเจ้า วาดรูปสงคราม วาดรูปเจ้านาย ตำนาน

ศิลปะแบบใหม่ ค้นหา มองหาวิธีการ รูปแบบของงานศิลปะแบบใหม่ นำเสนอสิ่งที่คาดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสังคมข้างหน้า จากสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่

เช่นเราตั้งคำถามว่า เด็กวัยรุ่นสมัยนี้มันชอบพูดจาแบบนี้ ทำไมมันชอบพูดจาแบบนี้ ทำไมต้องพูดจาแบบนี้ เราก็หงุดหงิดกับเรื่องนี้มากเลย แล้วเราก็หาคำตอบไม่เจอ มีศิลปินคนหนึ่งทำงานเกี่ยวกับการใช้ภาษาของเด็กรุ่นใหม่ แล้วก็สร้างงานศิลปะมาชิ้นหนึ่ง เขาพยายามอธิบายให้เราเข้าใจว่าเด็กพวกนี้ทำไมใช้ภาษาแบบนี้ แล้วภาษาที่ใช้อยู่มีความงามอย่างไร มีความน่าสนใจไม่น่าสนใจอย่างไร และนำไปสู่การล่มสลาย หรืองอกงามของภาษาใหม่ในอนาคตได้อย่างไร พอเราเข้าไปดูงานศิลปะชิ้นนี้ อ๋อ มันเป็นแบบนี้ มันตอบโจทย์เรา มันตอบโจทย์คำถามที่เราตั้งอยู่ในอนาคต นี่คืองานศิลปะแบบสมัยใหม่

นี่คือศิลปะของวันนี้ เพราะเราให้คุณค่าของคนเท่ากันวันนี้ ในอดีตที่ผ่านมาเราไม่ได้ให้คุณค่าของคนเท่ากัน งานศิลปะจึงตกไปอยู่ในส่วนของความเชื่อ ผู้นำ แต่วันนี้เมื่อโลกเข้าสู่กระบวนการของประชาธิปไตยมากขึ้น เราเห็นคุณค่าของคนมากขึ้น ว่าคนทุกคนมีคุณค่าและคุณภาพชีวิตที่เท่าเทียมกัน

4-5 ปีที่ผ่านมาเราเห็นนางแบบที่ขาขาด เราเริ่มเห็นคนที่นั่งรถเข็นทำการแสดงบนเวที เราเห็นนักกีฬาที่แขนขาด ขาขาด เราเห็นคนที่เป็นออทิสติกทำงานศิลปะนี่คืองานศิลปะแบบสมัยใหม่ ภายใต้หลักคิดที่ทุกคนเท่าเทียมกัน

จะสำเร็จได้ อย่ารีบเด็ดมาผัดถั่วงอก

สำหรับคุณพิเชษฐ การเป็นศิลปินอยู่ได้ไหม

รวยเลย โรงละครกับที่คือ 10 ล้าน

ทำอย่างไรถึงจะรวย

สิ่งแรกต้องไม่คิดก่อนว่าจะรวย เด็กทุกคนที่ทำงานศิลปะแล้วไปไม่รอดเพราะว่ามีอันนี้อยู่ในหัวตลอดเวลา คิดจะรวย คิดจะมีชื่อเสียง คิดจะนำเสนองานตัวเองในพื้นที่ต่างๆ ผมจะบอกให้ คนเหล่านี้ไม่เคยได้ไปสักคน คนที่ประสบความสำเร็จทั้งหมดในอาชีพศิลปะ ไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ และไม่เคยคิดด้วยว่าจะสร้างงานศิลปะ แต่ทุกคนอยู่กับสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขทั้งนั้น

จากนั้นฝึกฝน เรียนรู้ อย่างเดียว ฝึกฝนทุกวัน และเรียนรู้จากคนอื่น เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เรียนรู้จากคนที่เคยทำกันมา เรียนรู้จากงานศิลปะที่กำลังสร้างอยู่ ณ ปัจจุบัน มีจัด exhibition ที่ไหน ต้องไปดู ต้องไปใส่ใจ ต้องไปรับรู้ นี่คือสิ่งที่ต้องทำ

อยู่กับสิ่งที่ชอบไปให้ได้ 10 ปี แล้วหลังจาก 10 ปี ต้นไม้ที่คุณปลูกถึงจะให้ผลผลิต การทำงานศิลปะคือการปลูกต้นไม้ เป็นอาชีพเดียวที่เริ่มต้นจากศูนย์ ไม่มีใครที่เรียนศิลปะคนไหนมาแล้วเริ่มต้นจากการขายรูปได้ห้าหมื่น หนึ่งแสน ทุกคนต้องเริ่มจากขายไม่ได้

ผมถึงได้รักอาชีพนี้มาก เพราะเราเริ่มเท่ากัน ศูนย์ แล้วเราจะแตกต่างในวันที่เราฝึกฝนหนัก ทุ่มเท ทำสิ่งนั้นอย่างดี แล้วมันจะพิสูจน์ว่าเราเป็นคนที่มีคุณภาพ มีศรัทธา มีความมุ่งมั่น ฉะนั้นเราจะเติบโตไปพร้อมกับการที่เป็นคนที่มีคุณภาพ กับงานที่มีคุณภาพ แล้วนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอมจ่ายหนึ่งล้าน ยอมจ่ายสองล้าน เพราะเขาจ่ายกับคนที่มีคุณภาพ งานที่มีคุณภาพ และเวลาที่เราให้กับคุณภาพที่เป็น สิบๆ ปีไป วันที่เขาซื้องานศิลปะ เขาไม่ได้ซื้อ ณ เวลานั้น เขาซื้อตั้งแต่วันแรก

คนที่เรียนศิลปะ ผมนิยามเป็นปรัชญาแบบง่ายๆ ก็คือการปลูกต้นไม้ พอคุณปลูกเสร็จ มันงอกขึ้นมา เป็นต้นอ่อน พอมันงอกออกมาเป็นต้นอ่อนปุ๊บ วันนั้นคุณใจร้อน คุณเอามันไปผัดถั่วงอกซะ จบ จบไปเลย

รอให้มันโตขึ้นมา พอออกใบ อ้าว เสือกเด็ดใบไปทำชาอีก อ่าว มึงจบ

ปลูกให้แกร่งจนเป็นต้น พอออกเป็นดอก เริ่มเกิดความงามขึ้นมาแล้ว คนเริ่มมองเห็นเราแล้ว เราเริ่มแสดง exhibition ครั้งที่หนึ่ง คนเริ่มมองเห็นเราแล้ว ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งรีบ เพราะเมื่อไหร่จากดอกมันจะกลายเป็นผล พอมันออกผลครั้งแรก ก็ได้ราคาในระดับหนึ่ง พอหลังจากนั้นเมื่อต้นไม้มันออกผลแล้วหนึ่งครั้ง ทิ้งมันเลยครับ เพราะหลังจากนั้นเราจะเก็บตลอดเวลา

ถ้าระหว่างทาง 10 ปีเกิดเหนื่อยหรือท้อขึ้นมาแล้วทำอย่างไร

ก็แพ้ไป อันนี้จะเป็นการคัดกรองคนโดยอัตโนมัติ ง่ายๆ นะ เรียนจบมหาวิทยาลัยตอนอายุ 24 ทำงานอีก 10 ปี คุณอายุ 34 คุณประสบความสำเร็จ เริ่มมีคนมองเห็น เริ่มที่จะขายรูปได้ คุณคิดว่าจาก 34 ปี ไปอีกกี่ปีกว่าคุณจะตาย คุณเสียแค่สิบ แล้วพอเวลาผ่าน 34 ไปแล้ว คนยอมรับแล้ว เวลาที่ราคามันขึ้น มันขึ้นแบบบ้าเลือดนะ มันไม่ได้ขึ้นทีละเจ็ดร้อย หนึ่งพัน มันขึ้นทีละแสน ล้าน ได้เลย ขึ้นแบบไม่มีกติกา แล้วงานศิลปะมันน่าสนใจ ยิ่งอายุเยอะ คนยิ่งมั่นใจ คนยิ่งเชื่อมั่น

ใช้ความผิดพลาดเข้าสู้ AI

สำหรับเด็กที่อยากเรียนศิลปะ ไม่ว่าจะแขนงไหนก็ตาม แต่พ่อแม่จะบอกว่า จะเอาไรกิน ศิลปินไส้แห้ง คิดเห็นอย่างไร

ก็จริง พ่อแม่พูดก็ถูก แต่ชุดคำถามนี้กับพ่อแม่กลุ่มนี้คือสี่สิบขึ้นไป วันนี้พ่อแม่ที่อายุสามสิบกว่าจะไม่ถามลูกเรื่องพวกนี้แล้ว เพราะว่าวันนี้คนที่ทำงานศิลปะเริ่มเป็นรูปธรรมในสังคม และการเรียนศิลปะไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับการที่เขาเป็นศิลปิน ศิลปะเคลื่อนที่ตัวมันเองเข้าสู่ระบบ creative economy เคลื่อนตัวเองเข้าสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ สร้างแบรนด์ของตัวเอง

อนาคตข้างหน้าทุกคนจะเรียนศิลปะ เพราะมันคือการเพิ่มมูลค่าให้กับอาชีพ และเป็นอาชีพที่อิสระให้กับตัวเองโดยที่คุณไม่ต้องเปิดร้าน เพราะว่าทุกวันนี้เรามีออนไลน์ เราครีเอทแล้วโพสต์บนออนไลน์ได้เลย เราสามารถสร้างแบรนด์ที่ที่อื่นไม่มี

ผมเพิ่งกลับมาจากมาเลเซีย ผมก็เกิดคำถาม เอ๊ะ ฉันจะไปที่ไหนดี พอไปแล้วฉันก็เห็นว่า Starbucks IKEA Gucci มีเต็มไปหมด ทุกที่มันเหมือนกันหมดแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้มันเคลื่อนตัวและยังไปได้คืองานแฮนด์เมด และงานที่คนอื่นผลิตไม่ได้ ฉะนั้นอนาคตข้างหน้าต้องสายศิลปิน และสายศิลปะอย่างเดียว

ยิ่งการที่เกิดขึ้นของ AI ยิ่งต้องใช้ศิลปะและต้องแฮนด์เมด ถ้าใครรีบฉกฉวยตอนนี้ ชนะนะครับ ผมบอกเลย ส่งลูกเรียนศิลปะเลย แล้วมาฟังทัศนคติจากผม แล้วผมไกด์ทางให้ว่ามันจะประสบผลสำเร็จได้อย่างไร

สิ่งที่สำคัญที่จะสู้กับ AI ในอนาคตคือ ความผิดพลาด เพราะ AI ทำไม่ได้แต่เราทำได้ และเป็นสิ่งเดียวที่เราต้องรักษาเอาไว้ แต่คนพยายามที่จะไม่รักษาสิ่งนี้ คนพยายามสร้างความเพอร์เฟ็คต์ให้กับตัวเอง ทุกวันนี้เราต้องย้ายตัวเองให้เป็นบุคคลที่มีความผิดพลาดตลอดเวลา โดยเฉพาะการสร้างงานศิลปะ ความผิดพลาดนี่แหละ ที่จะทำให้งานศิลปะงาม

ยกตัวอย่างความงามที่เกิดจากความผิดพลาดได้ไหม

“เต้นๆ แล้วล้ม คนแม่งจำเลย เต้นมาเป็นชั่วโมง กูล้มนี่จำเลย พูดอยู่นั่นว่ากูเต้นแล้วล้ม” นี่ไง เห็นไหม ในวันที่นักเต้น เพอร์เฟ็คต์ร้อยเปอร์เซ็นต์หมด มีผู้ออกแบบท่าเต้นคนหนึ่งเอาผู้หญิงที่ไซส์ XL ทั้งหมดมาเต้นบนเวที เชื่อไหมว่าคนจำโปรดักชั่นนี้ได้ครึ่งโลก

นี่คือเราในอนาคต อย่าแข่งความเป็นเพอร์เฟ็คต์กับ AI ควรแข่งความผิดพลาด แล้ว AI จะงง มันจะไม่เข้าใจว่าจะดีลกับมนุษย์กลุ่มนี้อย่างไร เพราะมันอ่านไม่ได้ ถอดสูตรไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เรามีและความเป็นมนุษย์ที่สำคัญที่สุดคือคุณถอดความซับซ้อนของเราไม่ได้ โดยเฉพาะความซับซ้อนที่ผิดพลาด

เมื่อไหร่ที่เราเชื่อเรื่องความผิดพลาด เราเชื่อเรื่องความไม่สมบูรณ์แบบ วันนั้นเราจะอยู่ในโลกที่มีการแข่งขันสูงได้อย่างสบายตัวและใจเย็น เพราะเราไม่ต้องไปแข่งกับคนอื่น แล้วเราจะรู้สึกว่าตัวเราเป็นแบบนี้เราสมบูรณ์แบบแล้ว เราจะดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างที่เราเป็น แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเริ่มที่จะแข่งขัน สร้างความเพอร์เฟ็คต์ เราจะมองโมเดลนี้ โมเดลโน้น แล้วเราพยายามที่จะเป็นสิ่งนั้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเด็กวันนี้ถึงไม่ประสบความสำเร็จ

พ่อแม่ควรบอกลูก สื่อสารกับลูกอย่างไร ว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้

คืออย่างนี้ พ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูก พ่อแม่เลี้ยงตัวเองผ่านลูก พ่อแม่เลี้ยงลูกเพื่อให้สภาวะความหวาดกลัว ทำให้ความมั่นคงในความรักที่มีต่อลูกเกิดขึ้นให้ได้ แล้วใช้บรรทัดฐานความสำเร็จของอดีตที่ตัวเองเชื่อมายัดใส่เด็ก พ่อแม่เลี้ยงตัวเอง ทำให้ตัวเองหายหวาดกลัว หายเจ็บปวด และอยู่ในวันข้างหน้าได้โดยใช้ลูก พ่อแม่เลิกเลี้ยงตัวเองผ่านลูก

ให้พ่อแม่เลี้ยงลูกเพื่อที่จะให้ลูกไปอยู่กับอนาคต อย่าเลี้ยงลูกให้อยู่กับปัจจุบัน เด็กไม่ได้ใช้ชีวิตปัจจุบันนะเด็กใช้ชีวิตวันข้างหน้า ฉะนั้นคุณต้องเลี้ยงเขาเพื่อวันข้างหน้าแล้ว อะไรที่คนบอกว่าสิ่งนี้กำลังบูมเลย ต้องให้ลูกเรียน ผมขอแนะนำ อย่าให้ลูกเรียนเป็นอันขาด เพราะมันจะมีเยอะแยะไปหมด คุณต้องให้ลูกเรียนในสิ่งที่ไม่มีคนให้ลูกเรียน สิ่งที่ทุกคนคิดว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้น หรือมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันไม่เข้าท่า ไปเลย อันนี้คืออันที่หนึ่ง

อันที่สอง ถอยลงไปให้สุดเลย ถ้าไปไกลที่สุดไม่ได้ ถอยกลับไปให้ถึงที่สุด ไปทำในสิ่งที่เขาไม่ทำแล้ว แล้วทิ้งมันไปแล้ว แล้วเขาไม่เอามันอีกต่อไปแล้ว เขาไม่เคยใช้มันอีกแล้ว อย่างเช่น บอกลูกว่า แม่อยากให้หนูเรียนวิธีการสร้างเตาอั้งโล่ ถ้าเด็กคนนี้ทำได้ จะรวย เพราะไม่มีใครรู้แล้วว่าเตาอั้งโล่ทำอย่างไร หุงข้าวอย่างไร

ศิลปินสอนลูก

พ่อแบบพิเชษฐสอนลูกอย่างไร ใช้ความเป็นศิลปินสอนลูกอย่างไร แค่ไหน

สิ่งที่เราพูดกันมากที่สุดคือ ความรับผิดชอบ ความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นตัวของตัวเอง และความเป็นอิสระ

ความเป็นตัวของตัวเอง จะเป็นภูมิคุ้มกันของเขาเมื่อเขาอายุยี่สิบกว่า ต้องเข้าสู่สังคม เขาจะพ่ายแพ้สังคม เพื่อน คนที่อยู่รอบข้าง ฉะนั้นนี่เป็นเรื่องที่สำคัญ

ความเป็นอิสระ ผมป้องกันเขาจากกระบวนการของระบบการศึกษาและวัฒนธรรมของประเทศนี้ ที่ครอบและชี้นำแบบนี้ ฉะนั้นลูกผมต้องมีกระบวนการทางความคิดที่เป็นอิสระ

หน้าที่และความรับผิดชอบ คือสิ่งที่เขาต้องกระทำกับผู้อื่น และสังคม

ความคิดสร้างสรรค์ คือการพัฒนา การมอง การเรียนรู็ การหยิบจับสิ่งต่างๆ เอามาใช้ แล้วก็ทำให้มันเป็นสิ่งอื่นได้ นี่คือสิ่งที่เราต้องการ

พิเชษฐกับโมนา-ลูกสาว

สอนโดยวิธีแบบไหน

เราไม่สอนโดยวิธีการที่เป็นการเรียน เช่น ผมสอนเรื่องความคิดสร้างสรรค์ หนูเอาโทรศัพท์วางบนโต๊ะให้พ่อหน่อย บนโต๊ะนี้ ทำไมหนูถึงวางตรงนี้ ไหนเล่าให้พ่อฟัง หนูว่ามันอยู่ใกล้กับตัวหนูดี อ้าว และทำไมมันอยู่ใกล้กับตัวหนูแล้วมันถึงดี ก็หนูจะได้หยิบมันได้ โอเค หนูวางแบบอื่นได้ไหม เขาก็จะเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ นี่คือเรื่องความคิดสร้างสรรค์ว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร

อย่างเรื่องความอิสระด้านความคิด เขาจะหยิบจับได้หมด โรงละครเป็นอิสระของเขา ทุกครั้งที่ผมสร้างโปรดักชั่น ผมจะให้เขาเล่นได้หมด ทำได้หมด จัดการมันได้หมด เพราะผมไม่ต้องการให้เขารู้สึกว่าศิลปะเป็นกฎกติกา ข้อบังคับ แล้วทำให้เขาต้องหยุดตัวเอง แล้วห่างจากพ่อ ศิลปะที่นี่ทำให้เขาอยู่กับพี่ๆ ทุกคน ทำให้เขาได้เล่น ทำให้เขาสนุก ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งนี่คือสิ่งที่เราสร้าง

เวลาผมบอกว่า หนูปิดเทอม หนูไปทัวร์กับพ่อนะ เดินทางกับพ่อ หนูจะต้องรู้จักคำว่าช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือคนอื่นคืออะไร หนูเห็นกระเป๋าไหม ถ้าเห็นเราก็ช่วยคนอื่น เราสอนผ่านแบบนี้ นี่คือสิ่งที่เราสอน สอนเป็นคำๆ แล้วก็ให้เขาเรียนรู้คำนั้นว่ามันเป็นพฤติกรรมอย่างไร ใช้อย่างไร

เราไม่เคยยัดเยียดเรื่องศิลปะให้กับเขา เพราะว่าเขาเรียนอยู่แล้ว แล้วเราไม่เชื่อในเรื่องการเรียนในระบบ ผมไม่อยากให้ลูกเป็นศิลปินเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าลูกได้หมดแล้ว ลูกได้ชีวิตและวิถีของการเป็นศิลปิน การอยู่กับศิลปินไปเรียบร้อยแล้ว

ผมต้องการให้ลูกเป็น หนึ่ง เป็นหมอ เราไม่มีหมอรักษานักเต้นในประเทศนี้แม้แต่คนเดียว ที่มีความรู้และเข้าใจในเรื่องสรีระร่างกายของนักเต้น เพราะนักเต้นเจ็บ เข่าเจ็บ ข้อเท้าเจ็บ หลังเจ็บ ผมต้องการให้เขาเป็นหมอเพื่อรักษานักเต้น

เวลาเจ็บผมต้องรักษาตัวเอง ผมรู้สึกว่าถ้าเขาทำสิ่งนี้ได้น่าจะดี เพราะว่าเขาจะช่วยเหลือคนอื่นได้อีกเยอะ หมอในโรงพยาบาลไม่เข้าใจว่าพวกผมทำอะไร หมอเข้าใจว่าอาชีพผมคือเต้นแอโรบิค ผมปวดหัวกับหมอมากเลย ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายหมอว่าอย่างไร

อย่างเช่นผมเจ็บหลัง ผมมีปัญหาเรื่องกระดูกสี่ข้ออยู่ข้างหลัง หมอบอกให้นอนแล้วยกขา ผมก็ยกขึ้นมา หมอถามว่าเจ็บไหม ไม่เจ็บ แล้วบอกไปอีกหมอก็ถามอีก ก็เริ่มเจ็บนิดหน่อย หมอบอกโอ้โห คุณยกขาได้สูงขนาดนี้ผมว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรหรอก คือหมอไม่รู้ว่าเราเป็นนักเต้นไง นักเต้นมันยกขาพาดข้างหลังได้ คือมันไม่มีคนอาชีพนี้ ฉะนั้นทุกอย่างมันไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเลย เขาไม่เข้าใจแล้วก็จะจับผ่าอย่างเดียว แต่ที่เมืองนอกก็จะมีหมอที่เข้าใจโดยเฉพาะ ผ่านกระบวนการบำบัด 1 2 3 4 เลย ไล่กันทีละขั้นตอนเลย

สอง ผมต้องการให้เขาเป็นนักธุรกิจ ในการบริหารจัดการงานศิลปะ เพื่อต่อรอง เอาเงินมาให้ศิลปินมาทำงานศิลปะให้ได้ บ้านเราไม่มีคนแบบนี้

Tags:

ศิลปินศิลปะการแสดงพิเชษฐ กลั่นชื่นคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Character building
    ปรับตัวได้กับทุกสถานการณ์เลวร้าย ‘ความยืดหยุ่น’ สิ่งที่ต้องมีในโมงยามนี้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง
Early childhoodBook
6 October 2018

เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • ดนตรีช่วยทำให้สมองสองซีก ทำงานเชื่อมโยงกันได้ดี เพราะเสียงเพลงและจังหวะที่เหมาะสม จะกระตุ้นให้เกิดคลื่นสมอง ที่ช่วยเรียบเรียงความคิด การใช้เหตุผลความคิดสร้างสรรค์ การทบทวนความจำต่างๆ ได้
  • ดนตรีเป็นเสียงที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูก มีอิทธิพลต่อการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม หรือสติปัญญา หากเลือกใช้ดนตรีที่เหมาะสมก็จะช่วยพัฒนาระบบต่างๆ ภายในสมองของลูกให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น
  • ดนตรีมีส่วนช่วยทำให้เด็กฉลาดได้จริง เพราะการฟังและการเล่นดนตรีมีผลต่อกระบวนการคิดทั้งระยะสั้น-ระยะยาว

ทำไมในยุคนี้ เราถึงเห็นเด็กตัวเล็กๆ เริ่มเรียนดนตรีกันเยอะขึ้น

โดยเฉพาะเปียโน ที่เป็นเครื่องดนตรียอดฮิต ที่พ่อแม่มักส่งให้ลูกไปเรียนตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็กน้อย

แล้วการเรียนดนตรีมันมีประโยชน์อย่างไร ทำไมจึงเป็นหนึ่งในวิชาที่ลูกควรจะได้เรียน?

หนังสือ เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี เขียนโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มนสิการ เหล่าวานิช จะช่วยไขคำตอบให้ทุกคนเข้าใจว่า เสียงดนตรีช่วยสร้างจินตนาการและเสริมพัฒนาการของลูกน้อยได้อย่างไร

ลูกชอบเสียงร้องเพลงของแม่มากกว่าเสียงพูด

พัฒนาการด้านการฟัง เป็นพัฒนาการลำดับแรกสุดของเด็ก ลูกสามารถฟังทุกๆ เสียงที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ โดยจะตอบสนองผ่านทางร่างกาย โดยพัฒนาการจะเพิ่มขึ้นตามแต่ละช่วงวัยไป ซึ่งการได้ยินของลูกจะเริ่มต้นตั้งแต่เขายังเป็นตัวอ่อน (fetus) อายุ 16 สัปดาห์ในท้องแม่ โดยระบบในการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่ออวัยวะและประสาทส่วนกลางทำงานเชื่อมต่อกันในช่วงวัย 25 สัปดาห์ ดังนั้นในช่วงเวลานี้คุณแม่จะสามารถสื่อสารกับลูกได้ โดยวิธีการสื่อสารนั้นจำเป็นต้องสอดคล้องกับพัฒนาการด้านการรับรู้ของพวกเขาด้วย

เด็กวัยทารกจะมีความพึงพอใจในเสียงดนตรีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาสามารถรับรู้ระดับเสียงสูงๆ ต่ำๆ หรือในทางดนตรีเรียกว่า pitch ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ รวมถึงสามารถแยกแยะเสียงพูด-เสียงร้องเพลงของแม่ออกจากเสียงผู้หญิงคนอื่นได้

โดยที่ลูกจะตอบสนองต่อเสียงต่างๆ ได้ตั้งแต่ช่วง 3 สัปดาห์แรกหลังคลอด หากได้รับการกระตุ้นทางการได้ยินอยู่เสมอ ผ่านการฟังดนตรีตั้งแต่อยู่ในท้อง จะทำให้เขามีการตอบสนองต่อเสียงได้ดีขึ้น เมื่อเวลาแม่ปลอบหรือร้องเพลงให้ลูกฟัง จะทำให้เขารู้สึกสงบและผ่อนคลาย จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ‘ลูกชอบเสียงร้องเพลงของแม่มากกว่าเสียงพูด’

เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมความสามารถทางดนตรีและภาษา

ดนตรีและภาษา สองสิ่งนี้ล้วนมี ‘เสียง’ เป็นองค์ประกอบเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระดับเสียง ความถี่ เวลา และน้ำเสียง เด็กตั้งแต่วัยทารก เมื่อเกิดมาเขาจะมาพร้อมความรู้สึกที่ไวต่อเสียงทั้งดนตรีและเสียงพูดติดตัวออกมา และมีความสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้

  • แยกความต่างของระดับเสียงและจังหวะได้
  • จดจำการเคลื่อนที่ของแนวทำนองเพลงกับระดับเสียงในการพูด
  • รับรู้องค์ประกอบของเสียงในประโยคเพลงและประโยคคำพูด
  • จดจำเสียงดนตรีและคำพูด
  • สามารถออกเสียงได้

ดนตรีช่วยพัฒนาสมองได้

สมองของเด็กเรียนรู้ได้ดีมากกว่าผู้ใหญ่หลายพันเท่า โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี สมองจะมีความตื่นตัวในการทำงานอย่างมาก จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะเร่งพัฒนาการและการเจริญเติบโต จากการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ

นอกจากพันธุกรรมแล้ว พบว่า ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยพัฒนาสมองได้ เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น โภชนาการ การเคลื่อนไหว ความรัก ความท้าทาย และ ‘ศิลปะ-ดนตรี’

“ดนตรีเป็นเสียงที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูก มีอิทธิพลต่อการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม หรือสติปัญญา หากเลือกใช้ดนตรีที่เหมาะสมก็จะช่วยพัฒนาระบบต่างๆ ภายในสมองของลูกให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น”

ดนตรีช่วยทำให้สมองสองซีกทำงานเชื่อมโยงกันได้ดี เพราะเสียงเพลงและจังหวะที่เหมาะสมจะกระตุ้นให้เกิดคลื่นสมอง ที่ช่วยเรียบเรียงความคิด การใช้เหตุผลความคิดสร้างสรรค์ การทบทวนความจำต่างๆ ได้

เมื่อมีการกระตุ้นสมองส่วนการได้ยิน (Auditory area) จากการได้ยินดนตรีมากเท่าใด ก็จะยิ่งช่วยให้กลุ่มใยประสาท (Corpus callosum) ทำหน้าที่เชื่อมข้อมูลของสมองซีกซ้าย-ขวา ได้สื่อสารและทำงานร่วมกัน

เสียงเปียโนกระตุ้นสมอง

ใครจะรู้ว่าเสียงเปียโนที่ออกมาจากปลายนิ้วของลูกๆ กำลังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้สมองทั้งสองซีกของพวกเขาทำงานอย่างพร้อมกัน เริ่มจากสมองซีกซ้ายที่มีหน้าที่สั่งการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว กระตุ้นให้ต้องคิดวิเคราะห์สิ่งที่กำลังเล่น

ในขณะที่เล่นเปียโนอยู่นั้น สมองจะสร้างเส้นใยประสาทในการคิดเชื่อมโยงภาพของนิ้วมือที่ขยับไปมาบนคีย์กับเสียงที่เกิดขึ้น เพิ่มการเรียนรู้ได้มากขึ้น และหลังจากการวิเคราะห์แล้ว สมองซีกขวาจะทำหน้าที่ควบคุมในส่วนของอารมณ์ สร้างสรรค์ สร้างจินตนาการ ให้สื่อสารบทเพลงออกมาให้ได้อย่างไพเราะ

การเล่นดนตรีทำให้ลูก ‘ฉลาด’ ได้จริง

การที่สมองสองซีกเชื่อมโยงกันได้ดี ทำให้การสื่อสารส่งผ่านข้อมูลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ดีขึ้น จากงานวิจัยเรื่อง ‘Music and Cognitive Abilities’ ของ E. Glenn Schellenberg (2005) ตอบคำถามเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจว่า ดนตรีมีส่วนช่วยทำให้เด็กฉลาดได้จริง เพราะการฟังและการเล่นดนตรีมีผลต่อกระบวนการคิดทั้งระยะสั้น-ระยะยาว

การฟังดนตรีช่วยกระตุ้นความสนใจ เกิดการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการฟังตามประสบการณ์ของผู้ฟัง แต่จะส่งผลเพียงระยะสั้นเท่านั้น หากต้องการประโยชน์ในระยะยาวต้องลงมือเรียนรู้ ให้ลูกเล่นดนตรีด้วยตัวเอง เพราะความฉลาดเกิดได้ในกระบวนการเรียนรู้ และการฝึกที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

ดังนั้นอยากให้ลูกมีพัฒนาการที่ดี ควรหาหรือส่งเสริมกิจกรรมให้ลูกได้เรียนรู้ตรงกับช่วงเวลาที่สมองแต่ละซีกกำลังพัฒนา ในช่วง 3 ปีแรก อาจเน้นที่สมองซีกขวาก่อน หลังจากนั้นคำนึงถึงการพัฒนาสมองทั้งสองซีกให้ทำงานไปพร้อมกันอย่างสมดุล เพราะการเลือกมุ่งเน้นพัฒนาสมองไปด้านใดด้านเดียว ไม่ได้แปลว่าลูกจะเก่งด้านนั้นไปเลย แต่จะทำให้สมองทำงานอย่างไม่สมบูรณ์

และเสียงดนตรีก็เป็นตัวช่วยที่ดี ที่จะทำให้ลูกได้พัฒนาทักษะร่างกายต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในอนาคต

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)หนังสือดนตรี

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Learning TheoryEarly childhood
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Bookอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ไม่ต้องระบายสีในช่องว่างและอย่าเขียนตามเส้นประ ‘ครูมอส’ อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี
Unique Teacher
5 October 2018

ไม่ต้องระบายสีในช่องว่างและอย่าเขียนตามเส้นประ ‘ครูมอส’ อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

เรื่องและภาพ วิภาวี เธียรลีลา

  • เปิดประตูสู่ ‘สตูดิโอศิลปะจากด้านใน’ ๗ Arts Inner Place ของครูมอส-อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธุ์ขจี จิตรกร ศิลปิน และนักศิลปะบำบัดมนุษยปรัชญา
  • ศิลปะบำบัดแนวมนุษยปรัชญา เชื่อว่า ศิลปะเป็นหนทางไปสู่การหาคำตอบเกี่ยวกับตัวเอง ด้วยตัวเอง
  • ไม่ต้องมีช่องว่างให้ลงสีหรือมีเส้นประให้ลากตาม เด็กจะมีภาษาของตัวเอง สำคัญคือ การลงมือทำ เด็กจะได้เรียนรู้จากการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองผ่านจินตนาการ ความรู้สึก ทำให้เด็กรู้จักศักยภาพของตัวเอง
ภาพ: เสาวนีย์ สังขาระ, ๗ Arts Inner Place และ วิภาวี เธียรลีลา

ก่อนเรียบเรียงงานชิ้นนี้ขึ้นมา คิดอยู่นานว่าจะเรียกผู้ชายคนนี้ว่าเป็นอะไรดี จิตรกร ศิลปิน นักวาดหรือยาวหน่อยก็เรียกว่าเป็นนักศิลปะบำบัดมนุษยปรัชญา แต่คิดไปคิดมาสุดท้ายขอลงเอยที่คำสั้นๆ ว่า ‘ครู’

ภายในสตูดิโอศิลปะเพดานสูงซึ่งตั้งอยู่ที่ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้สัมผัสถึงความโล่ง โปร่ง สบาย ธรรมชาติแมกไม้ที่ปกคลุมชี้ชวนให้หยุดฟังเสียงธรรมชาติ แม้ฝนตกลงมาอย่างหนัก จนทำให้พื้นดินที่ย่ำลงไปนั้นเป็นโคลนเฉอะแฉะ แต่ความเลอะเทอะและเปียกชื้นที่กวนใจก็ไม่ได้ทำให้พลังงานเชิงบวกชั้นดีภายในสถานที่แห่งนี้ลดน้อยลงไป

กว่าจะมาเป็นที่รู้จักในฐานะครู ที่นำศิลปะบำบัดมนุษยปรัชญามาเป็นส่วนผสมหลักในการทำงานและการใช้ชีวิต จนมี ‘สตูดิโอศิลปะจากด้านใน’ ที่รู้จักกันในชื่อ ๗ Arts Inner Place ครูมอส – อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี เริ่มต้นเส้นทางชีวิตที่พาตัวเองเข้ามาผูกพันและเกี่ยวข้องกับเด็ก การศึกษา และศิลปะ มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

จากนิสิตครุศาสตร์ ภาควิชาการศึกษาประถมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่มีความสนใจในศิลปะ บวกกับประสบการณ์ทำงานที่นำพาไปพบเจอเด็กและเยาวชนในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในโรงพยาบาล เด็กในชนบทห่างไกล และเด็กในเมืองที่เข้าถึงโอกาส ครูมอสบอกว่า สิ่งที่เขาสังเกตเห็น คือ เด็กแต่ละกลุ่มแต่ละพื้นที่สื่อสารตัวตนผ่านงานศิลปะออกมาในรูปแบบที่ไม่เหมือนกันเลย แม้ได้รับทิศทางการทำงานศิลปะแบบเดียวกัน

“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?” นี่เป็นคำถามปลายเปิดมากๆ ที่ทั้งผลักทั้งดันทั้งกระตุ้นให้ครูมอสเดินทางไปค้นหาคำตอบไกลถึงประเทศเยอรมนี ที่นั่นเองทำให้เขาเห็นความเชื่อมโยงระหว่างศิลปะ การศึกษา และการสร้างความเป็นมนุษย์

มนุษยปรัชญา คืออะไร?

ก่อนเปิดบทสนทนาอย่างเต็มสูบถึงศิลปะบำบัดแนวมนุษยปรัชญา ครูมอส เล่าให้ฟังว่าชื่อวอลดอร์ฟ (Waldorf) แท้จริงแล้วไม่ใช่ชื่อแนวคิด แต่เป็นชื่อเรียกโรงเรียนที่สอนตามแบบแผนมนุษยปรัชญา ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ 99 ปีก่อน (ค.ศ. 1919) ตามชื่อโรงงานยาสูบ เจ้าของโรงงานอุทิศที่ดินแปลงหนึ่งในเมืองสตุตการ์ต (Stuttgart) ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี ให้ รูดอล์ฟ สไตเนอร์ หลังจากได้ฟังปรัชญาเกี่ยวกับมนุษยปรัชญาของเขา โรงเรียนจึงถูกเรียกตามชื่อโรงงาน Waldorf-Astoria Cigar ว่า โรงเรียนวอลดอร์ฟ หรือ Waldorf School

ในที่สุดชื่อของ รูดอล์ฟ สไตเนอร์ เจ้าของปรัชญาที่ว่าด้วยเรื่องมนุษยปรัชญา ก็ถูกเอ่ยถึง

“มนุษยปรัชญามีความลุ่มลึกไม่ใช่แค่ในทัศนะของวิทยาศาสตร์ทางด้านการพัฒนาการเท่านั้น แต่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ (spiritual science) ที่สามารถอธิบายและพิสูจน์ได้ว่าลักษณะภายนอก เช่น ผิวพรรณ และการเติบโตของมนุษย์แต่ละคนที่เป็นอยู่นี้ เกิดขึ้นจากวิญญาณและจิตวิญญาณที่ทำงานแตกต่างกัน มนุษยปรัชญาจึงเป็นปรัชญาที่พูดถึงความเข้าใจที่แท้จริงของคำว่ามนุษย์”

ศิลปะบำบัดตามแบบฉบับมนุษยปรัชญา ช่วยสร้างคาแรคเตอร์ที่ดีในเด็กได้อย่างไร?

“การศึกษาที่ทำให้เราค้นพบตัวเองได้ ถือเป็นการศึกษาที่น่าสนใจและยอดเยี่ยมมาก ซึ่งศิลปะทำได้ ศิลปะเป็นหนทางไปสู่การหาคำตอบเกี่ยวกับตัวเอง ด้วยตัวเอง” ครูมอสกล่าว

ศิลปะบำบัดมนุษยปรัชญา อธิบายถึงการประกอบร่างของร่างกาย (body) วิญญาณ (soul) และจิตวิญญาณ (spirit) ในตัวมนุษย์ การพัฒนาจึงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะการเจริญเติบโตทางร่างกายเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในระดับจิตวิญญาณ หากเด็กถูกปล่อยปละละเลยไม่ได้รับการดูแลจากผู้ปกครองหรือครูซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับเด็ก เด็กจะเติบโตแต่เพียงร่างกาย ซึ่งในส่วนนี้ รูดอล์ฟ สไตเนอร์ กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า การศึกษาที่มีศิลปะเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาจิตวิญญาณ (education as an art) ให้เด็กเติบโตขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่งผลต่อการสร้างคุณลักษณะและอุปนิสัยที่ดีให้เด็กได้

เมื่อเอ่ยถึงศิลปะ ก็ต้องพูดถึง ‘สี’ ศิลปะและศิลปะบำบัดมนุษยปรัชญาถูกนำมาใช้กับเด็กในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกันไป รูดอล์ฟ สไตเนอร์ บอกว่า สี ไม่ใช่แค่วัตถุที่มาจากหลอดสี แต่คือ พลังชีวิต พลังของธรรมชาติ (life force/etheric) ไม่ว่าจะต้นไม้ ภูเขา พระอาทิตย์ ท้องฟ้า ทุ่งนา หรือสายรุ้ง ต่างก็มีสีที่มีความสมบูรณ์แบบและมีพลังอยู่แล้วในตัวเอง

“การนำงานศิลปะมาใช้กับเด็กเลยช่วยส่งเสริมให้เด็กมีพลังชีวิต หลายคนอาจไม่รู้ว่ามีเด็กที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเยอะมาก บางคนนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ถามว่าถ้าเขามีโอกาสได้ระบายสี ความมีชีวิตชีวาก็จะค่อยๆ เข้าไปในร่างกายของเขา นี่คือพลังของศิลปะของการระบายสีที่โรงเรียนมองว่าเป็นวิชา แต่ผมมองว่าเป็นชีวิต”

เรียนให้มีชีวิตชีวา…ให้มีท่วงท่ามากกว่าเขียนตามเส้นรอยประ

ถ้าโจทย์ของครู มาจากนโยบายที่บอกว่า ทำอย่างไรให้เด็กอ่านออกเขียนได้?

โจทย์ของการศึกษาวอลดอร์ฟ คือ ทำอย่างไรให้เด็กอ่านออกเขียนได้อย่างมีชีวิตชีวา?

ครูมอส ยกตัวอย่างว่า นอกจากการท่องจำและเขียนตามเส้นรอยประ เด็กเล็กสามารถเรียนรู้พยัญชนะผ่านเพลง นิทาน บทกลอน หรือเรื่องเล่า และด้วยวิธีอื่นอีกมากมาย แต่ไม่ว่าวิธีไหน ผู้ปกครองและครูต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กด้วยว่าธรรมชาติตามพัฒนาการของเด็กนั้นกำลังเปิดประตูรับการเรียนรู้ในระดับไหน

“ลองคิดดูว่าเราจะสอนบวกเลขได้ยังไงถ้าเด็กยังไม่มีความสามารถทางพัฒนาการที่จะตั้งโจทย์หรือทดเลขไว้ในใจ ต่อให้เด็กอยากเขียนหนังสือแต่ยังจับดินสอไม่ได้ ก็ต้องรอให้กล้ามเนื้อมัดเล็กแข็งแรงก่อน หรือแม้แต่การเลือกใช้ศิลปะก็ต้องเลือกรูปแบบและวิธีการให้เหมาะสมกับวัยของเด็กด้วย

เด็กทุกคนสามารถวาดและระบายสีได้ตั้งแต่วัยอนุบาล โดยไม่ต้องกำหนดรูปแบบหรือฟอร์ม (free drawing and free painting) เพราะเด็กมีภาษาของเด็กเอง ถ้าผู้ใหญ่ปล่อยให้เด็กได้สื่อสารด้วยภาษาของเด็กอย่างอิสระ เราจะเห็นเลยว่าเส้นของเด็กมีความบริสุทธิ์มาก เรียกว่าเป็น fine art มากๆ ใสเสียจนทำให้รู้สึกว่า เราควรรักษาสิ่งนี้ไว้นะ ในมุมมองของมนุษยปรัชญามองว่าการวาดภาพและการระบายสีของเด็กเล็กมีแรงขับมาจากภายใน

ประตูจิตวิญญาณของเด็กเปิดแล้วหรือยัง?

ครูมอส ขยายความว่า เด็กทำงานอยู่กับภายในตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 8 ปี แล้วถึงจะเริ่มเปิดประตูความสนใจความเป็นไปในโลกภายนอก ในช่วงแรกคุณภาพของจิตวิญญาณภายในของเด็กยังอยู่ในลักษณะเหมือนเป็นความฝัน มีสำนึกรู้ตัวที่ยังอยู่กับจินตนาการ (dream consciousness) เช่น เด็กมักจินตนาการถึงแม่มด เทวดา นางฟ้า เด็กจึงสามารถฟังนิทานและทำงานกับภาพได้ดี ในทางกลับกันเมื่อเด็กเติบโตขึ้นจิตวิญญาณภายในถูกปลุกให้ตื่นโดยธรรมชาติ เด็กจะเริ่มคิดโดยใช้หลักเหตุผล (day consciousness) ไปตามธรรมชาติ

“เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเด็กยังทำงานอยู่กับภายในตัวเองจนอายุประมาณ 8 ขวบ ช่วง 9 ขวบจึงเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับการพูดถึงความเป็นไปของโลกภายนอกกับเด็ก ดังนั้นตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 8 ขวบ สิ่งที่เราให้กับเด็กได้คือเรื่องของภายในโดยตรง (inner) เช่น การเล่านิทาน ไม่ว่าจะเป็นนิทานไทย นิทานพื้นบ้าน นิทานปรัมปรา หรือนิทานจากต่างประเทศ เพราะนิทานมีคุณค่าเชิงนัยยะทางจิตวิญญาณ (spiritual) เราจะไม่ผลักดันเด็กให้วาดรูปเหมือนหรือวาดตามโจทย์ จนกว่าความสนใจเด็กจะพุ่งออกไปนอกตัว เพราะเราจะไม่ปลุกให้เขามองออกไป จนกว่าเขาอยากจะมองมันเอง

“วันไหนเขาอยากมองออกจากภายใน เขาจะบอกแล้วตั้งคำถามเองเลย เช่นทำไมใบไม้ที่เขาวาดไม่เหมือนใบไม้นอกหน้าต่าง แต่ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้คิดแบบนี้ นี่แสดงว่าความสนใจของเด็กพุ่งออกไปนอกตัวแล้ว”

ไม่มีเส้นรอยประในตำราเรียน

จงระบายสีในช่องว่าง จงเขียนตามเส้นรอยประ

คุ้นๆ กับคำสั่งเหล่านี้ในสมุดแบบฝึกหัดบ้างไหม?

ขณะที่มีการพูดถึงมากเหลือเกินว่าให้ ‘คิดนอกกรอบ’ แต่ในสถานการณ์จริง โดยเฉพาะในเมืองไทย เด็กกลับถูกบังคับให้ทำตามโจทย์ในสมุดและหนังสือแบบฝึกหัดมาตั้งแต่ต้น

มีผลการศึกษาด้านสมองและทางการแพทย์มากมายในระยะหลังยืนยันว่า การเรียนการสอนในห้องเรียนตั้งแต่ระดับปฐมวัย ไม่ควรยัดเยียดกรอบหรือกำหนดกฎเกณฑ์เด็กให้ทำตามโจทย์ที่ครูกำหนด ครูมอสบอกว่า เด็กเล็กถึงวัย 8 ขวบ สามารถระบายสีลงในกระดาษได้ไม่มีเบื่อและไม่มีสิ้นสุด หากไม่ถูกจำกัดรูปแบบหรือขอบเขต เพราะเด็กใช้ willing (เจตจำนง) ในการวาด ซึ่งหมายถึง การวาดด้วยความเต็มใจ ไม่ได้ใช้ความคิด (thinking) ที่ต้องใช้เหตุผลในการวาด แต่สถานการณ์จริง คือ เราส่งเสริมให้เด็กคิด (thinking) ตั้งแต่อนุบาลผ่านงานศิลปะด้วยซ้ำไป หรือแม้กระทั่งการตั้งคำถามว่า “ทำไม” กับเด็ก ซึ่งมนุษยปรัชญาเชื่อว่ายังเร็วเกินไปและไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก

“การที่ผู้ใหญ่ถามเด็กว่าทำไม มันคนละประเด็นกับการที่ส่งเสริมให้เด็กคิด เราต้องแยกตรงนี้ให้ออก ทำไมลูกไม่ถอดรองเท้าให้เป็นระเบียบ ทำไมไม่เก็บของให้เป็นที่ ทำไมไม่ทำอย่างนั้นไม่ทำอย่างนี้ คำถามที่อยากถามผู้ปกครองกลับไป คือ แล้วผู้ปกครองทำให้เด็กดูเป็นตัวอย่างแล้วหรือยัง เพราะสิ่งที่ผู้ปกครองทำได้มากกว่าการถามว่าทำไม คือ การทำให้ดู ให้เด็กทำตามด้วยความรัก สังเกตว่าเราตั้งคำถามกับเด็กเล็กมากเหลือเกิน หนูวาดอะไรลูก ตัวนี้ตัวอะไรลูก เล่าให้ฟังสิ ทั้งที่สำหรับเด็กเล็กเราไม่จำเป็นต้องไปกระตุ้นเขาแบบนั้น

ในทางกลับกัน พอเด็กโตอยู่ในช่วงวัยรุ่นตั้งคำถาม เรากลับบอกให้หยุดถาม ทั้งที่เขาอยู่ในวัยที่ควรเปิดโอกาสเปิดพื้นที่ให้เขาได้คิด ผู้ใหญ่ทำทุกอย่างกลับกันไปหมด แล้วสร้างวลีขึ้นมาบอกว่าเด็กคิดไม่เป็น ซึ่งผมคิดว่าเป็นคำพูดที่แรงเหมือนกัน

“เราไม่ต้องพูดมาก การศึกษาทุกวันนี้พูดมากเกินไป พูดมากกว่าการพาลงมือทำ แต่ศิลปะตามแนวมนุษยปรัชญาอยู่บนพื้นฐานความสงบ ปล่อยให้เด็กได้ทำงานกับข้างในของตัวเอง”

อย่างไรก็ตาม ครูมอสกล่าวถึงสิ่งที่น่าระวังอีกอย่างหนึ่ง คือ ศิลปะหรือจินตนาการที่เกิดจากภาพจำ หรือ memory ซึ่งไม่ได้เป็น willing ตามธรรมชาติ เช่น การวาดภาพการ์ตูน หรือภาพเลียนแบบสิ่งที่เคยเห็นผ่านสื่อหรือโซเชียลมีเดียต่างๆ ซึ่งถือเป็นการจำกัดกรอบจินตนาการของเด็กได้เช่นกัน หากผู้ปกครองอนุญาตให้เด็กเสพสื่อเหล่านี้มากเกินไป

แน่นอนสิ่งนี้ย่อมนำมาสู่คำถามว่า…ในเมื่อบอกว่า ผู้ปกครองและโรงเรียนไม่ควรเร่งเด็กให้ต้องเรียนเขียนอ่าน แต่ถ้าไม่เร่งเรียนเขียนอ่านจะสอนอะไร?

การอ่านออกเขียนได้เป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ตามครูมอสในฐานะนักศิลปะบำบัดมนุษยปรัชญา บอกว่า กระบวนการเรียนรู้ของเด็กในช่วงแรกนี้สามารถนำศิลปะที่ทำงานกับด้านในมาใช้ได้ ศิลปะจึงไม่ใช่แค่วิชาเรียน แต่มีบทบาทในการส่งเสริมทักษะการอ่านออกเขียนได้ของเด็กในอนาคต

“มันน่าจะพอแล้วกับคำว่าแข่งขัน ถ้าเรายังถอนคำนี้ไปไม่ได้ เราคงติดกับดักตรงนี้ไปอีกนานว่ากำลังพูดอะไรกันอยู่ ศิลปะอยู่ได้กับทุกวิชา ตามจังหวะเนื้อหาของช่วงชั้น การเขียนบทกวี ความเรียง การแกะสลัก การร้องเพลงก่อนเริ่มวิชาเรียน เป็นกระบวนการทางศิลปะ โรงเรียนตามแบบมนุษยปรัชญา ไม่มีหนังสือนะ เด็กเป็นคนสรุปเองด้วยการวาดรูปว่าวันนี้เรียนอะไรไปบ้าง ยกตัวอย่างเด็กโตหน่อย เรียนเรื่องประวัติศาสตร์กรีก เด็กอาจจะวาดรูปสรุปออกมาเป็นอาณาจักรเอเธนส์เลยก็ได้

“เราจะไม่มีการวาดรูปแล้วครูเป็นคนเลือกรูปที่ดีมาแปะติดบอร์ด จึงไม่มีเด็กหลังห้องที่บอกว่าผมหรือหนูวาดรูปไม่ได้ รูปทุกรูปจะถูกนำเสนอแบบนิทรรศการ (exhibition) คือเด็กทุกคนมีจุดที่ตัวเองยืนได้ มีพื้นที่ให้นำเสนอตัวเอง ไม่อย่างนั้นลองนึกดูว่าถ้าเราเป็นเด็กคนที่ไม่ได้ถูกเลือกงานให้ติดอยู่บนผนัง เราจะรู้สึกยังไง เพราะสุดท้ายเมื่อได้ทำงานกับภายในแล้วกระบวนการคือให้เด็กได้ออกมานำเสนอตัวเองกับคนอื่น กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน กับผู้ปกครองกับสังคม เปิดพื้นที่ให้เด็กได้แสดงออก สร้างคุณลักษณะให้พวกเขามีความมั่นใจในตัวเอง”

ครูมอส ย้ำว่า กระบวนการของศิลปะบำบัดมนุษยปรัชญาที่ใช้กับเด็ก คือ การลงมือทำ แล้วให้เด็กได้เรียนรู้จากการทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองผ่านจินตนาการ ความรู้สึกในตนเอง ทำให้เด็กรู้จักศักยภาพของตัวเองว่า ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ทำอะไรได้ ทำอะไรไม่ได้ ที่สำคัญยังช่วยกล่อมเกลาให้เด็กมีความสงบจากภายในที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดคุณลักษณะที่ดีด้านอื่นๆ

“Small is Beautiful.” ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ที่มีความหมาย ผุดขึ้นมาระหว่างบทสนทนา ครูมอส บอกว่า เราควรให้คุณค่ากับทั้งคำว่า small และ beautiful เพราะศิลปะของเด็กยังไม่ต้องการความซับซ้อนแต่เปิดเผยความงาม

“วิธีการสอน (method) เป็นสิ่งที่การศึกษาควรให้ความสำคัญมากกว่าคอนเซ็ปท์ (concept) เพราะเราให้คุณค่าแค่กับรูปแบบที่มีคำสวยๆ เสมอ แต่พอมองเข้าไปในส่วนเล็กๆ ที่เป็นรายละเอียดกลับขาด คุณค่าของสิ่งที่ทำหายไป”

อุปนิสัย (Temperament) และองค์ประกอบ (Element) จากธรรมชาติ

มนุษยปรัชญา มีคำใช้เรียกอุปนิสัยที่มีอยู่ในตัวบุคคลว่า temperament ทุกอุปนิสัยในตัวมนุษย์ประกอบขึ้นจาก ‘ธาตุ’ หรือ ‘element’ ในธรรมชาติ ได้แก่ ดิน (earth) น้ำ (water) ลม (air) และ ไฟ (fire) แต่ละธาตุสื่อสารถึงอุปนิสัยที่มีจุดเด่นและเด่นน้อยกว่าแตกต่างกัน อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า ศิลปะบำบัดมนุษยปรัชญา เป็นกระบวนการทำงานกับจิตวิญญาณ ดังนั้นหากเราได้ให้เวลากับตัวเอง เราก็จะรู้จักและเข้าใจว่าอุปนิสัยหลักที่หลอมรวมเป็นตัวเรานั้น ประกอบขึ้นจากธาตุใด

“อุปนิสัยที่เศร้าเกิดขึ้นจากมีธาตุดินเป็นองค์ประกอบมากเกินไป แต่อุปนิสัยนี้มีความหนักแน่นด้วย ต้องย้ำว่าสิ่งนี้ไม่ได้เป็นการหาจุดบกพร่อง แต่เป็นการหาสมดุลให้เจอ ธาตุน้ำ สัมพันธ์กับอุปนิสัย เฉื่อยชา ช้า เรื่อยๆ ไม่ได้มีความกระตือรือร้น แต่สิ่งที่ดีคือความยืดหยุ่นของน้ำทำให้เขาสามารถเข้ากับคนอื่นได้ง่าย แต่ในส่วนการทำงานอาจไม่สามารถทำให้เสร็จทันตามเส้นเวลาที่กำหนด อุปนิสัยใจร้อนแรง อารมณ์โกรธง่ายก็มีความสัมพันธ์ธาตุไฟ แต่มีพลัง กระฉับกระเฉง และว่องไว ส่วนธาตุลมมากับความร่าเริง แต่ก็เป็นคนที่เพ่งความสนใจไปหลายๆ จุด วันนี้สนใจเรื่องอาหาร มาเจออีก 3 อาทิตย์ความสนใจก็เบนไปเรื่องอื่น

“ผู้ปกครองจึงควรมีความรู้และความเข้าใจเรื่ององค์ประกอบพวกนี้ โดยใช้การสังเกต ผู้ปกครองบางคนชอบหงุดหงิด เพราะมีความสัมพันธ์กับธาตุไฟ แต่มีลูกที่เป็นน้ำที่เฉื่อยช้า ลองคิดดูนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่เข้าใจกัน แต่ถ้าผู้ปกครองรู้ว่าตัวเองเป็นแบบนี้ โจทย์แรกที่ผู้ปกครองต้องทำคือการพัฒนาตัวเองก่อน ไม่ไปกดดันลูกทางเดียว ทำอย่างไรให้เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็นก่อน เมื่อหาสมดุลได้ทุกอย่างก็ลงตัว”

ด้วยเหตุนี้หากผู้ปกครอง ครูหรือคนที่อยู่ใกล้ตัวเด็กเข้าใจเรื่อง temperament และ element ที่อยู่ในตัวพวกเขา ความเข้าใจนี้จะช่วยให้สามารถคิดวิธีการในการสร้างสมดุลและพัฒนาเด็กในด้านต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความไม่เหมือนกันที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กแต่ละคน

บทสนทนาเข้มข้นสิ้นสุดลงพร้อมฝนห่าใหญ่ที่ตกผ่านไป เหลือเพียงฝนตกปรอยๆ พอให้ได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบใบไม้ใบหญ้า ฟ้ามืดแล้ว แสงไฟสีเหลืองส้มสลัวๆ ในสตูดิโอให้ความรู้สึกอบอุ่น

ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ทำความรู้จักมนุษยปรัชญา เคล้าไปกับความเคลื่อนไหวที่ธรรมชาติกำลังสาธิตให้เห็นภายนอก ทำให้ได้เห็นองค์ประกอบของดิน น้ำ ลม และไฟอย่างชัดเจน

“ถ้าเรามองโลกในแบบที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างไหลเวียนเข้ามาในตัวของเราแล้วถ่ายออกไป นี่คือความเป็นไปที่บอกว่าทำไมเราต้องทำงานกับศิลปะ…เพราะศิลปะที่ละเอียดอ่อนจะนำสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่เป็นจริงไหลเทไปสู่เด็กน้อยคนหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่ง แล้วทำให้เขาเติบโตขึ้นต่อไปได้ เขาไม่ได้เติบโตในทันทีทันใด แต่เขาผ่านการเติบโตด้านจิตวิญญาณ ทุกคืนที่ผ่านไป การทำงานในทุกวันที่ผ่านไป ดวงตาและจิตวิญญาณของเขาจะรับสิ่งเหล่านี้เข้าไป ทุกครั้งเขาจะตื่นมามองโลกด้วยสายตาที่ละมุนละไมขึ้น เห็นโลกที่จริงแท้และสดสวยงดงามมากขึ้น นี่คือความหมายของศิลปะในแง่มุมของการยกระดับจิตวิญญาณ ที่เป็นของขวัญให้กับเราในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง”

คงไม่เพียงแค่ Waldorf School ที่มีต้นกำเนิดมาจากมนุษยปรัชญา ‘๗ Arts Inner Place’ แห่งนี้ก็มีที่มาจากศิลปะเจ็ดแขนงที่ รูดอล์ฟ สไตเนอร์ ได้มอบไว้ให้กับยุคสมัยนี้ ศิลปะบำบัดแนวมนุษยปรัชญาจึงเติมเต็มเด็กและเยาวชนให้เติบโตและผลิบานด้วยความดี ความงาม และความจริงจากภายใน

Tags:

พ่อแม่การศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)ศิลปะบำบัดครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

Author & Photographer:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ศิลปะ ธรรมชาติ และการเติบโต: สร้างสมดุลให้วัยรุ่น ด้วยศิลปะบำบัด กับ ครูมอส อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • How to get along with teenager
    เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี กับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Early childhood
    ‘นิทาน’ ภูมิคุ้มกันสมาธิสั้นและซึมเศร้า พ่อแม่ทุกคนคือนักเล่าของลูก

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel