Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: August 2018

‘เด็กรักป่า’ ยุให้เด็กเข้าป่ามาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว
Creative learning
31 August 2018

‘เด็กรักป่า’ ยุให้เด็กเข้าป่ามาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ในแวดวงการศึกษานอกรั้วโรงเรียน ครูจืด-เข็มทอง และครูหน่อย-อาริยา โมราษฎร์ แห่งเด็กรักป่าถือเป็นป๋าแห่งวงการ
  • เพราะหัวใจของเด็กรักป่าคือ การศึกษาศิลปะ บทกวี และมีใบไม้เป็นครู จึงเรียนในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไม่ได้
  • ทั้งคู่ไม่วางบทว่าตัวเองต้องเป็นครู แต่เป็นคนยุและแหย่ให้เด็กๆ เห็นว่าตัวเองชอบอะไร และอะไรที่เหมาะ จนค้นหาตัวเองเจอ
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

ในสายงานการศึกษานอกหลักสูตรหรือการเรียนรู้นอกห้องเรียน ‘เด็กรักป่า’ ถือเป็นป๋า เพราะมาก่อน และก่อนนานมาก (ลากเสียงยาว)

เกือบ 30 ปีที่แล้ว ‘ครูจืด’ เข็มทอง และ ‘ครูหน่อย’ อาริยา โมราษฎร์ สามีภรรยา ก่อตั้งกลุ่มเด็กรักป่า ขึ้นที่จังหวัดสุรินทร์ เพราะต้องการสานต่อการเรียนให้ลูกหลานชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐที่ต้องการพื้นที่ป่ากว่า 250,000 ไร่ทั่วประเทศไปให้รัฐบาลญี่ปุ่นใช้ปลูกต้นยูคาลิปตัสเพื่อแลกกับงบประมาณเข้าประเทศ 80,000 ล้านบาท

“พ่อแม่ออกไปต่อสู้เคลื่อนไหว ลูกๆ ไม่ได้เรียนต่อเนื่อง เลยคิดทำค่ายขึ้นมา”

ทำไมต้องเด็กรักป่า?

“เด็กอยู่ในชุมชน เขาซึมซับเรื่องป่าไม้อยู่แล้ว ถ้าเราได้จัดกระบวนการค่าย หรือจัดกระบวนการเรียนรู้ แล้วให้เขาสะท้อนความคิดเห็นเกี่ยวกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมของเขาเอง สังคมจะได้ฟังจากเรื่องราวต้นไม้ ป่าไม้จากเด็กๆ

“พอทำค่าย เราก็เห็นความสามารถของเด็กๆ เด็กต่างจังหวัดนี่เขียนบทกวีจากความรู้สึกที่แท้จริงของเขา หรือการละครเขาก็แสดงออกแบบธรรมชาติ เด็กต่างจังหวัดเขามีทักษะพื้นฐานโดยธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว เราก็อยากเก็บความสามารถของเขาเอาไว้ เลยตั้งเป็นโรงเรียนเด็กรักป่าขึ้นมา” ครูหน่อยรำลึกความหลัง

หัวใจของเด็กรักป่าคือ การศึกษาศิลปะบทกวี และมีใบไม้เป็นครู

เครื่องมือการเรียนรู้ทุกอย่าง อ้างอิงจากธรรมชาติ ทั้งศิลปะ ละคร บทกวี และเกม มีครูจืดรับหน้าที่เป็นฝ่ายบู๊ และครูหน่อยอยู่ฝ่ายบุ๋น

ทำไมต้องเป็นศิลปะ ทำไมต้องเป็นบทกวี และทำไมต้องเป็นบทละคร

ครูจืด: คุณหน่อย-ภรรยา จบศึกษาศาสตร์มา ดูเรื่องการศึกษา ผมจบศิลปะมาก็เอาศิลปะมารับใช้ ทำไปช่วงนึงมันถึงทางตัน เราก็ดูว่ามีเครื่องมืออะไรที่จะทำให้เด็กได้พัฒนาตนเอง จากการที่เราลงไปทำกิจกรรม เวลาเด็กสื่อสารกันได้ง่าย เขาจะสื่อสารกันด้วยศิลปะ เช่น วาดรูป ถึงเด็กจะไม่ใช่ศิลปิน แต่พอเขาได้บันทึกภาพชุมชนของตัวเอง มันจะเป็นอุโบสถที่มันโย้เย้หน่อย ต้นไม้อาจจะผิดไซส์ แต่ชาวบ้านดูแล้วก็เข้าใจว่าเด็กกำลังจะเล่าเรื่องอะไร

ครูหน่อย อาริยา โมราษฎร์

ครูหน่อย: จริงๆ แล้วเด็กทุกคนมีจริต มีความชอบที่ต่างกันออกไป บางคนเขาก็จะเขียนอย่างเดียว ดนตรีอย่างเดียว หรือบางคนก็ชอบวาดอย่างเดียว พอเขามาอยู่เด็กรักป่าเขาก็จะพัฒนาจริตของเขาในเรื่องที่ไม่เหมือนกัน ได้พัฒนาในสิ่งที่ตัวเองชอบ พอได้รับการยอมรับหรือมีเวทีในการนำเสนอ มีเวทีในการวิพากษ์วิจารณ์ มีประชุมกันบ่อย สรุปงานกันบ่อย เด็กได้แสดงความรู้สึก ออกความเห็น เด็กก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ รู้ว่าอะไรเหมาะสม และอะไรที่ฟุ่มเฟือย ควรตัดออก มันเป็นกระบวนการในการเรียนรู้ ก็ทำให้เขาได้บทสรุปของตัวเอง

ครูจืด: เหมือนเป็นบทสรุปในตัวเขา ว่าเออ ก็มาถูกทางแล้วนะ แล้วก็ตอบตัวเองว่า ใช่ ฉันชอบ

ซึ่งหาได้ยากในการศึกษาภาคปกติ?

ครูหน่อย: บางทีเขาก็อาจจะมีเวลาน้อยที่จะไปเรียนรู้หลายๆ อย่าง เขาเรียนรู้แต่วิชาการข้างนอกเยอะ บางทีแทบไม่ได้เรียนรู้ภายในตัวเอง หรือลืมตั้งคำถามตัวเองว่าเราชอบอะไร แล้วเราจะพุ่งไปทางไหน เราเรียนตามสิ่งเร้าที่อยู่ข้างนอก

ตัวเองจบศึกษาศาสตร์มา พยายามค้นหาวิธีการเรียนรู้และห้องเรียนแบบที่ชอบมาตลอดชีวิตว่าจะจัดกระบวนการเรียนรู้ยังไงให้เด็กๆ ค้นพบตัวเอง โปรเจ็คท์เล็กๆ อย่างเด็กรักป่า การมีนักเรียนน้อยๆ เราได้รู้จักเขามากขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นครูหรือเราเป็นอะไร รู้แต่ว่าเราเป็นเพื่อนกัน เราก็สนุกไปด้วย บางครั้งเราก็รู้สึกว่าเป็นนักเรียน เด็กๆ วาดรูป เราก็วาดรูปด้วย (ยิ้ม) แข่งกับเด็กเหมือนกัน บางทีก็ลอกเขา เขาวาดแล้วมันน่ารัก

ครูมีวิธีการสอนแต่ละวิชาอย่างไร

ครูจืด: ศิลปะที่ผมสอนจะเน้นความงามเล็กๆ ถ้าเราต้องการพูดถึงไลเคน เราก็แค่วางไว้ตรงนั้น แล้วบอกเด็กๆ ว่าไลเคนคือมอสกับเชื้อรามาแต่งงานกัน ไลเคนมีหน้าที่เก็บความชื้น ความชื้นเป็นสิ่งที่ละเอียดมากที่สุดเลย แล้วตัวไลเคน ก็เป็นดัชนีชี้วัดของอากาศบริสุทธิ์ ไลเคนบางตัวเราหาไม่ได้ในกรุงเทพฯ เพราะอากาศไม่บริสุทธิ์ แต่ไปเจออยู่ที่ดอยอินทนนท์ แต่ถ้าเราเจอไลเคนอีกตัวก็แสดงว่าอากาศเริ่มสกปรกแล้วเพราะมันทนและอึดมาก งานศิลปะเล็กๆ มันก็จะขยายองค์ความรู้ที่เชื่อมกับธรรมชาติ

ศิลปะเป็นเครื่องมือให้เขาได้เข้าไปเรียนรู้ธรรมชาติอย่างลึกซึ้งที่สุด ความรู้ที่เขาได้ก็เอามากล่อมเกลาจิตใจตัวเอง แล้วก็ได้ถ่ายทอดไปให้รุ่นน้อง ผ่านความงามของภาษาที่เขาเขียน เช่น บทกวี เขาจะเขียนผิดอักขระ ผิดวรรณยุกต์อะไรก็ช่าง แต่ความหมายที่ออกมามันไม่ผิด

ผมก็เริ่มต้นบทกวีง่ายๆ เช่น ถ้าฉันเป็น… ถ้าฉันเป็นหมา ถ้าฉันเป็นไส้เดือน ถ้าฉันเป็นลิง แล้วก็ลองสมมุติตัวเองว่า ถ้าฉันเป็นหมา แล้วก็จินตนาการว่า คุณจะเล่าเรื่องให้มันดราม่า หรือว่าสนุก ฮึกเหิมยังไง เสร็จแล้วก็เอามาอ่านให้เพื่อนฟัง เอางานศิลปะที่วาดวนให้กันดู จนไปสู่ความคิดเรื่องจัดนิทรรศการ รวมเล่มหนังสือ ฝึกให้เด็กๆ แต่ละจังหวัดผลัดกันเป็นบรรณาธิการ ช่วยกันคิดธีม ช่วยกันเขียน โรเนียวแล้วทำเป็นเล่ม

ส่วนละคร เริ่มจากผมพาเด็กไปแสดงนิทรรศการที่กรุงเทพฯ แล้วเจออาจารย์รัศมี เผ่าเหลืองทอง อาจารย์เห็นงานก็บอก เฮ้ย! ภาพวาดเด็กดีจัง บทกวีเด็กดีจัง อยากลงพื้นที่ไปดูว่าทำไมเขาถ่ายทอดแบบนี้ได้

ลงพื้นที่เสร็จ อาจารย์แนะนำว่าถ้าทำละครสักหน่อยก็น่าจะดีนะ อาจารย์ก็มาช่วยทำละครที่เล่าเรื่องชุมชนจริงๆ มันก็เลยออกมาเป็นภาพวาด บทกวี แล้วก็ละคร

เด็กๆ มีส่วนในการเข้าไปออกแบบอย่างไรบ้าง

ครูจืด: มันเริ่มจากเขาสนใจอะไรด้วย หลังจากที่เขาได้รับพื้นฐานไปแล้ว เขาอยากรู้ต่อแต่เราไม่มี เราก็ต้องไปหาคนอื่น เช่น ธรรมชาติก็ได้จากชมรมคนดูนก การเขียนก็พี่จุ้ย ศุ บุญเลี้ยง การทำรายการโทรทัศน์ก็พี่นก-นิรมล รายการทุ่งแสงตะวัน

อันดับหนึ่ง เราต้องกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็ก สอง หลังจากกระตุ้นเสร็จแล้ว เราต้องให้เด็กสนใจอยากรู้อยากเห็น สามคือ เด็กต้องเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และสี่คือ องค์ความรู้ที่เด็กได้เด็กต้องเอาไปใช้ประโยชน์ต่อสังคม ต้องคืนกลับสังคม

มีวิธีการกระตุ้นเด็กๆ อย่างไร

ครูจืด: ผมมีหมดเลยครับ โทษนะครับ ผมเป็นคนที่ไม่สุภาพเวลาอยู่กับเด็กนะ ไอ้เหี้ย ไอ้ห่า ผมพูดหมด แล้วเด็กไม่ได้เรียกผมครู เขาเรียกผม ‘เสี่ย’ คือไปไหน กินข้าวอะไรก็เสี่ยจ่าย

แต่เวลาเสี่ยทำผิด เด็กก็สั่งลงโทษผมได้นะ ครั้งหนึ่งผมอารมณ์เสีย ไปเตะหม้อหุงข้าว เด็กก็ด่าว่าเสี่ยอายุมากแล้วไม่ควรใช้อารมณ์

กับเด็กที่อยากกินเหล้าน่ะ คือให้กินจนรู้ เราบอกเขาแล้วว่ากินเหล้าแล้วมันไม่ดียังไง แต่เราไม่ห้าม แต่ถ้าคุณแอบกินเหล้าในค่าย คุณก็ต้องยอมรับการลงโทษ

ครูจืด เข็มทอง โมราษฎร์

เด็กบางคนประท้วง อยู่ค่ายนานอยากกลับบ้าน ผมไม่ให้กลับ ก็หนีไปอยู่ในป่า ผมก็ให้เพื่อนผู้หญิงไปส่งอาหารให้มัน ประท้วงได้ยาวจนผมใจอ่อน สุดท้ายผมก็บอกว่า กูให้มึงกลับบ้าน แต่กูไม่ให้เงินมึงนะ แต่กูจะบอกวิธีโบกรถกลับ แต่มึงต้องทำเอง

เพื่ออะไร?

ครูจืด: เขาต้องยอมรับความจริง เวลาที่ไปอยู่ในสังคม เขาจะต้องเจอสิ่งที่มันโหดมากกว่านั้น เขาต้องมองว่า สถานการณ์ที่โหดนั่นแหละคือการเรียนรู้ เพื่อจะพัฒนาตัวเองเพื่อที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ สร้างวิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิตที่ไม่กลัวปัญหา

ยกตัวอย่างนะ หลายปีก่อนมีข่าวช้างตกเหวที่เขาใหญ่ ตอนนั้นผมนั่งกินข้าวกับเด็ก 2 คน แล้วถามเด็กไปว่า ช้างตกเหวมึงต้องทำยังไงเพื่อไม่ให้มีช้างตกอีก คืนนั้นผมขับรถไปปราจีนบุรีเลย ผมก็ขึ้นไปถือป้ายประท้วงรักช้าง สงสารช้าง ต้องหยุดการตายของช้าง เจอเจ้าหน้าที่บล็อก ไม่ให้ประท้วง ผมก็คุยกับเด็กว่าเอาไงต่อดี เด็กก็บอกว่า เอางี้สิ เราก็เอาป้ายออกแล้วก็แปะเสื้อ “รักช้าง สงสารช้าง ช่วยช้าง” เดินเรียงแถวขึ้นเขาใหญ่เลย

ผมจะใช้สถานการณ์จริงเพื่อให้เด็กๆ เรียนรู้ ศิลปะ ละคร บทกวี จากนั้นเอามาพัฒนาความคิดตนเอง แล้วนำเสนอกับสังคมให้ได้รับรู้

ผมเป็นคนที่ยุ ยุให้เห็นว่าเขาชอบอะไร เป็นเหมือนสะพานเชื่อม เชื่อมให้เขาได้เห็นห้องหัวใจของเขาแต่ละห้องว่าอะไรที่ชอบ อะไรที่เหมาะ เพราะผมไม่สามารถสอนให้ได้ทุกอย่าง ซึ่งการค้นพบตนเองเร็ว เท่ากับเขายืนสองขาอย่างมั่นคงตั้งแต่เด็ก และจะไม่เปลี่ยนเป้าหมายที่เขาชอบ

ยุอย่างไร

ครูจืด: ไม่ต้องเรียนหรอก เรียนแล้วโง่ คนไหนไม่เรียนเนี่ย ผมบอกเลยว่ามึงนี่สุดยอด อย่างตัวผมเอง (โดนไล่ออกจากเพาะช่าง) เรียนศิลปะมา ตัวหลักสูตรศิลปะมันมีข้อจำกัด ทั้งที่เราไปไกลแล้ว แต่เราต้องมาทำอีกอย่างนึง ความคิดมันไปไกลกว่าบล็อกของหลักสูตร จริงอยู่ คนเรียนศิลปะต้องมีทักษะ แต่การถ่ายทอดศิลปะมันไม่จำเป็นจะต้องใช้ทักษะในกรอบก็ได้

ครูคนที่ไล่ผมออกจากเพาะช่างบอกว่า มึงไม่ต้องไปเรียนปริญญาตรี มึงเรียนแค่นี้พอ มึงทำมาหากินได้ ไอ้นั่นเป็นวิชาการ จะให้ศิลปะมันเป็นเรื่องวิชาการและเป็นเรื่องชีวิต คุณเลือกเอา

เราต้องมองทุกสิ่งที่กระทบให้เป็นเรื่องปกติ ถึงจะจบดอกเตอร์แต่ก็ต้องมาขึ้นๆ ลงๆ กับสภาวะอารมณ์ สภาวะสังคมแบบนี้ ก็ยากที่จะเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าเราปกติอยู่กับทุกอย่าง ทั้ง คำชม คำด่า curve ชีวิตก็จะเป็นไปอย่างงี้ เราจะชม้อยชม้ายชายตา จะเยาะเย้ย หรืออิ่มสุขอิ่มใจกับวิถีชีวิตแบบไหนก็ได้

ทำอย่างไรให้ปกติ

ครูจืด: วิธีที่ดีที่สุดคือเราต้องยอมรับความจริง และประคองทุกอย่างให้อยู่ในความเป็นปกติเท่านั้น ความเป็นปกติเท่านั้นที่เป็นสากล ความเป็นปกติเท่านั้นที่มันเป็นหัวใจของคนที่จะบรรลุทุกอย่าง ยากนะ

ในฐานะคนช่างยุ ทำให้เด็กสนใจ อยากเรียนรู้ คนแบบนี้สำคัญขนาดไหน

ครูจืด: แล้วแต่บริบทนะ เพราะบางทีมันก็ใช้ได้ บางทีมันก็ใช้ไม่ได้นะครับ บางทีผมก็ไม่ใช้ตัวนี้ ก็มีลูกปลอบประโลมกันด้วย เช่น เด็กค่ายคนหนึ่ง ถูกยัดเยียดข้อหาว่าเป็นโจรลักเล็กขโมยน้อย เขารู้สึกผิดหวัง คิดว่าตัวเองทำดีมาตลอดเลย เราก็บอกว่ามันมีอยู่สองทาง ทางหนึ่งคือ ต้องพิสูจน์ว่ามึงบริสุทธิ์ กับอีกอันนึงคือ มึงจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ก็ได้ ปกติกูก็รักมึงอยู่แล้ว กูเห็นว่ามึงมีจิตใจแบบไหน มึงจะเฉยกับมันตั้งแต่ต้นก็ได้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก

ครูจืด เข็มทอง โมราษฎร์

ครูจืดคิดว่าตัวเองเป็นครูมั้ย

ครูจืด: ไม่เคยเลย ชาวบ้านเรียกผมลุงจืด เด็กหน่อยก็อาจืด ไม่มีบุคลิกเป็นครูหรอกครับ โดยมารยาทก็ไม่น่าใช่ด้วย

พูดกูมึง กับเด็กทุกคน?

ครูจืด: คนไหนที่เป็นเนื้อแท้ของเด็กรักป่า ผมพูดกูมึงกับมันทุกคนเลย ถ้าเป็นคนที่ ผม ครับ แสดงว่าเหมือนยังห่างๆ ไม่ต้องเอาผมเป็นแบบอย่าง เพราะผมไม่มีคุณสมบัติอันเพียบพร้อมของคนดี ผมก็เลวทุกข้อ ไม่มีศีล 5

30 ปีที่ผ่านมา เด็กที่ผ่านเด็กรักป่ามา มีนิสัยอะไรที่ติดตัวไปบ้าง

ครูจืด: เห็นว่าไอ้พวกนี้มันอยู่ในสิ่งมันชอบ และไม่เคยฟูมฟายเลยจนถึงปัจจุบัน แล้วสุดท้ายมันก็เจอทางของมัน เป็น expert ถึงแม้จะไม่จบอุดมศึกษา

ยกตัวอย่าง ‘เซียน’ ที่ทำหมอลำหุ่น คณะเด็กเทวดา เขาเอากระติ๊บข้าวมาทำเป็นหมอลำหุ่น แล้วปัจจุบันเปิดเป็นศูนย์ท่องเที่ยว ถือเป็นนวัตกรรมของชุมชน มันเอากิจกรรมชาวบ้านกับชุมชนมาสร้างปรากฏการณ์ให้กับจังหวัดมหาสารคาม เดิม มหาสารคามเป็นจังหวัดที่ไม่มีเทศกาลงานช้างเหมือนสุรินทร์ ไม่มีเทศกาลเข้าพรรษาเหมือนอุบล แต่ตอนนี้มหาสารคามมีเทศกาลหุ่นฟางยักษ์จากผลงานเด็กๆ มีอาจารย์จากมหา’ลัยทั่วประเทศมาขอดูงานมัน ซึ่งไม่จบปริญญาตรี

เวลาเจอปัญหา หรือเวลาเจอวิกฤติ เด็กที่ผ่านเด็กรักป่ามาจะมีวิธีแก้หรือจัดการอย่างไร

ครูจืด: อย่างผมไม่ได้มองอะไรเป็นปัญหานะ แต่ผมมองความจริงแล้วมึงก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ มีแค่นั้น

แล้วเด็กจะอยู่กับความจริงได้อย่างไร

ครูจืด: เวลาไปไหน ผมไม่ใช้รถปิคอัพนะ ผมขับรถตู้ จะได้หันไปคุยกับเด็กๆ ได้ตลอด ขับไปๆ ระหว่างทางอาจจะสวย แต่ข้างหน้ามีเหว ชวนเด็กคุยว่า ถ้ามึงเดินไปเจอเหว หรือมึงเดินไปเจอทางโค้งเนี่ย ถ้ามึงเดินต่อนะ มึงก็จะเห็นว่าโค้งนี้มันมีทางไปของมัน อย่างโค้งข้างหน้าเนี่ยดูเหมือนมันสุดนะ แต่ถ้ามึงไปต่อ มึงจะเห็นอะไรบางอย่าง เวลาเจอปัญหาก็เหมือนกัน มึงอย่าถอย มึงเดินเข้าไปแล้วมึงก็จะเห็นทางออก

เด็กๆ ที่ผ่านเด็กรักป่าไป อะไรที่ทำให้เขาสอบผ่านในสายตาครู

ครูจืด: เฉพาะเด็กที่กินนอนกับเด็กรักป่า อยู่ตั้งแต่ ป.4 – 5 – 6 ผมโอเคกับเขาทุกคน

เขาชอบที่จะแบกรับ ชอบที่จะหาทางออก ชอบที่จะมองมุมแบบใหม่ บางคนไปเป็นครู เขาก็ไปเป็นครูที่มีวิธีคิดในรูปแบบที่เขาเคยเป็น บางคนทำงานเป็นเลขาฯ เขาก็ยังเชื่อมสัมพันธ์กับอดีตของเขาเข้ากับองค์กร พวกที่อยู่ในวงการสื่อ หรือเอ็นจีโอ ผมก็เห็นเขารับผิดชอบหัวใจของเขาในเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสังคม เรื่องการศึกษา แล้วเขาไม่มองอะไรอย่างผ่านๆ แต่เขาสามารถที่จะมองเชื่อมโยงในจุดเล็กๆ หลายจุด

คิดว่าดอกผลของเด็กรักป่าคืออะไร

ครูจืด: ถ้าโดยภาพรวมเด็กรักป่าก็เป็นหนึ่งในขบวนการที่ปรับปรุงพระราชบัญญัติการศึกษา ปี 2542 เนื่องจาก พ.ร.บ.ฉบับเดิม ผู้ปกครองมีหน้าที่ส่งบุตรหลานให้มีการศึกษา ซึ่งคำว่าหน้าที่ = บังคับ แต่ พ.ร.บ.ฉบับนี้เปลี่ยนเป็นว่าประชาชนมีสิทธิที่จะจัดการศึกษาและมีกฎหมายรองรับ มันจึงเกิดการศึกษานอกระบบ ในระบบ การศึกษาทางเลือก การศึกษาตามอัธยาศัย เด็กรักป่าก็มีที่ยืน จากที่เป็นโรงเรียนเถื่อน รัฐไม่ยอมรับ สุดท้ายเด็กรักป่าก็อยู่ตรงนี้

อันที่สอง จากที่ที่เด็กรักป่าเป็นลักษณะแบบนี้ คือ เป็นป่า เป็นทุ่งนา ก็ถูกนำไปใช้เป็นต้นแบบขับเคลื่อนเรื่องกิจกรรมเรื่องการศึกษาทางเลือก แล้วสังคมก็บอกว่านี่เป็นการศึกษาอีกประเภทหนึ่งที่ควรมีคนทำเยอะๆ แต่มันไม่ใช่ข้อดีของเรานะ เพียงแต่ว่าเราเกิดก่อน ให้คนที่ตามหลังได้คิดและอุ่นใจว่า อ้อ! มันมีคนทำมาแล้ว และมันก็เป็นประโยชน์ต่อลูกหลานเขา

ครูหน่อย: ภูมิใจนะ ดอกผลก็คือเราได้เห็นคนที่ผ่านกระบวนการค่ายของเรา เขาเติบโตแล้วเขามีความสามารถเฉพาะทางอย่างหลากหลาย พอไปอยู่ในสังคมเขาก็เป็นผู้นำ ไปอยู่ในองค์กรไหนเขาก็เป็นผู้นำ แล้วก็ใช้ศิลปะในการทำงาน แค่นี้เราก็รู้สึกภูมิใจแล้ว

เด็กๆ จากเด็กรักป่า เขามีโอกาสทำงานหลากหลาย ได้เจอคนเยอะ แล้วเขาก็ได้คำชมเยอะในสิ่งที่ได้เขาแสดงออก ว่าแสดงออกในสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง จึงเป็นโอกาสให้เขาเก็บสะสมความรัก ความภูมิใจในตัวเอง

คนที่เป็นผู้นำคือคนที่สามารถเก็บรักษาความรัก ความภูมิใจตัวเองได้มาก แล้วก็เลือกทางของตัวเองได้เหมาะสม มันจะเหมือนการเก็บไมล์มาเรื่อยๆ จนมาถึงตอนที่ฉายภาพตัวเองได้ชัดเจนว่า เราทำอะไรได้บ้าง เราอยู่ตรงไหนเราถึงเหมาะสม

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนเข้าป่าสิ่งแวดล้อมเข็มทอง โมราษฎร์ศิลปะเด็กรักป่าอาริยา โมราษฎร์

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Character building
    กล้าหาญอย่างถูกวิธี ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Voice of New Gen
    ฟิอนน์ เฟอร์เรรา: เจ้าของ GOOGLE SCIENCE FAIR 2019 กำจัดไมโครพลาสติกออกจากสายน้ำ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’
Creative learning
31 August 2018

CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • CoderDojo ชมรมสอนทักษะการเขียนโค้ดสำหรับเด็กอายุ 7-17 ปี ที่ต้องการสร้างพื้นที่ชุมชนเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์จาก ‘การเรียนรู้ด้วยตัวเอง’ เริ่มต้นครั้งแรกที่ประเทศไอร์แลนด์ในปี 2011 ปัจจุบันมีสาขากว่า 1,900 แห่ง จาก 93 ประเทศทั่วโลก
  • ไม่มีครู เรียนรู้ตามความสนใจและข้อผิดพลาดของผู้เรียน แนวทางคือให้หาคำตอบด้วยตัวเองก่อน หากยังไม่ได้ ค่อยเดินไปปรึกษา ‘เมนเทอร์’
  • มองโลกอย่างเป็นระบบ, ลองผิดลองถูกอย่างไม่มีอคติกับคำว่า ‘ผิดพลาด-error’ และ ความสนใจใคร่รู้ คือคาแรคเตอร์สำคัญของเหล่าโปรแกรมเมอร์ตัวน้อย สำคัญที่สุดต้องตั้งอยู่บนฐาน ‘ความสนุก’ ด้วย

เปิดประตูห้องอเนกประสงค์บนชั้น 11 ของตึก FYI center ภาพตรงหน้าคือประชากรเด็กทั้งตัวเล็กมาก กลาง และใหญ่ พวกเขาพูดคุยกันอย่างออกรสท่ามกลางกองทัพคอมพิวเตอร์หน้าจอขาวดำที่มีตัวอักษรฟอนต์ดิจิตอลเหมือนที่นักสืบใช้ในซีรีส์หรือหนังประเภทล่าจารชน

แต่หากนำภาพตรงหน้าประมวลเข้ากับข้อมูลที่ได้ทราบก่อนนัดพบกับ มิชารี มุคบิล ผู้ร่วมก่อตั้ง CoderDojo สำนักโค้ดในประเทศไทย อดีตผู้บริหารบริษัทไอทีชั้นนำ ประชากรขนาดหลายไซส์ตรงหน้า -คาดเดาจากสายตา มีตั้งแต่ยังไม่ครบสิบขวบ ไปจนถึงเกือบสิบห้าปีราว 5 คน และมีผู้ใหญ่ในห้องอยู่ 2-3 คน นิยามได้ว่าพวกเขาเหล่านี้คือ ‘นักเรียน’ และการเคาะแป้นโน้ตบุ๊คหน้าจอแปลกตาที่ไม่มีภาพกราฟิกพื้นหลัง

พวกเขากำลังคร่ำเคร่งกับการ ‘โค้ด’ หรือ coding

“CoderDojo คือชมรม Programming สอนทักษะการเขียนโค้ดสำหรับเด็กอายุ 7-17 ปี เราไม่มีครูสอน แต่เน้นให้เด็กๆ เรียนรู้ด้วยตัวเองตามความสนใจของเขา ชมรมนี้เกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศไอร์แลนด์เมื่อปี 2011 ปัจจุบันมี CoderDojo ประมาณ 1,900 สาขาจากทั้งหมด 93 ประเทศทั่วโลก แต่ที่ประเทศไทย ผมและพ่อโจ้ ผู้ร่วมก่อตั้งเปิด CoderDojo ในไทยได้ประมาณปีครึ่งแล้ว”

มิชารี หรือคุณพ่อชารีตั้งต้นให้ฟังเช่นนั้น และ ‘พ่อโจ้’ ที่เขาแนะนำ คือ จุมพฏ ศรียะพันธ์ อดีตโปรแกรมเมอร์ที่ผันตัวเป็นเกษตรกรไร่กาแฟ ปัจจุบันเป็นโปรแกรมเมอร์สมัครเล่น

ซ้าย: มิชารี มุคบิล ขวา: จุมพฏ ศรียะพันธ์

ที่แทนตัวทั้งคู่ด้วยคำนำหน้า ‘คุณพ่อ’ หมายความว่าอีกหนึ่งบทบาทร่วม คือการเป็นคุณพ่อเต็มเวลาที่ทำบ้านเรียนให้กับลูกๆ แต่ด้วยความชอบและความสนุก ทั้งเคยอยู่ในสนามอาชีพเดียวกัน พวกเขาจึงเปิดสำนักโค้ดแห่งนี้ในประเทศไทยด้วยต้องการสืบทอดปรัชญาของโดโจที่ว่า…

การเป็นชมรม Programming สำหรับเยาวชนที่ต้องการสร้างพื้นที่ชุมชนเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์จาก ‘การเรียนรู้ด้วยตัวเอง’

แน่นอนว่าทักษะการเขียนโค้ดเป็นทักษะของคนในศตวรรษที่21 ที่อาจไม่มีใครถามแล้วว่าการพูดภาษาคอมพิวเตอร์สำคัญอย่างไร คำถามที่น่าสนใจและต้องถามยิ่งกว่า คือการเรียนเขียนโค้ด การเรียนภาษาคอมพิวเตอร์ การสร้าง community หรือชุมชนการเรียนรู้แบบนี้ คือ เรียนตั้งแต่เด็กน้อยและด้วยวิธีให้เรียนด้วยตัวเอง จะสร้างคน สร้างคาแรกเตอร์ สร้างประชากรแบบไหนในโลกอนาคตอันใกล้ แต่ไม่อาจมีใครทำนายได้ว่าโลกที่ว่าจะมีหน้าตาอย่างไร

แต่ที่ชัดในเวลานี้ก็คือ คนที่เคยถูกตราหน้าว่าเป็น ‘เด็กเนิร์ดติดคอมฯ’ วันนี้กลับเป็นที่ต้องการตัว และเป็นทักษะที่คนในศตวรรษที่ 21 จะบอกว่า ‘ไม่รู้’ ‘ไม่ (พยายาม) เข้าใจ’ ไม่ได้แล้ว

มิชารี มุคบิล: จาก geek คอมฯ ยุคอินเทอร์เน็ตความเร็ว 2,400 bps สู่อดีตซีอีโอบริษัทไอทีชั้นนำ

ในโลกที่อินเทอร์เน็ตถูกพัฒนาจนมีความเร็ว 20 ล้านบิต/วินาที เป็นที่เข้าใจได้ว่าเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มีความสำคัญและกลมกลืนในชีวิตประจำวันต่อคนทั่วไปแค่ไหน แต่แม้จะกลมกลืนอย่างไร เทคโนโลยียังให้ภาพ ‘ตัวร้าย’ ที่อาจทำลายพัฒนาการ หรือเป็นได้แค่ ‘โลกเสมือน’ ไม่ใช่ ‘โลกจริง’ แง่หนึ่ง เทคโนโลยียังเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองปัจจุบันยังคงระมัดระวังและจำกัดเวลาการเข้าถึงเทคโนโลยีของเด็กๆ ไม่ให้มีมากเกินไป

แต่หากถอยกลับไปยังเทคโนโลยีเมื่อ 20 ปีก่อน จุดเวลาที่อินเทอร์เน็ตมีความเร็วเพียง 2,400 บิต/วินาที เด็กชายมิชารีกลับถูกส่งเสริมให้พบกับ ‘สนามเด็กเล่น’ ใหม่ และเป็นสนามเด็กเล่นที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเล่นอย่างไร

“ผมเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ตอนอายุ 9 ขวบ จำได้ว่าพ่อเอาแล็ปท็อปมาให้เครื่องหนึ่งพร้อมคู่มือการใช้อินเทอร์เน็ตหนาเท่าสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นเรายังใช้อินเทอร์เน็ตโมเด็มความเร็ว 2,400 บิต/วินาทีอยู่ ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์คือ DOS แปลว่าไม่มีเมาส์คลิกหรือหน้าจอสวยงามที่มีกราฟิกเป็นพื้นหลัง ยังไม่มี WWW. มีแค่ text ขึ้นบนจอขาวดำเท่านั้น

“เป็นโลกใหม่ มิติใหม่ เหมือนทุ่งหรือป่าที่เราวิ่งเล่นได้เต็มที่ เพียงแต่ไม่ได้ใช้ร่างกาย ใช้แต่สมอง ยังไม่รู้อะไรมาก แค่เปิดแล้วเล่นตามคู่มือ เข้าระบบนู้นออกระบบนี้”

มาถึงตรงนี้ ฉัน ซึ่งเกิดมาก็ต่ออินเทอร์เน็ตกับสายโทรศัพท์เข้าไปเล่นแชตโปรแกรม MSN และรู้จักกับ Hi5 แล้ว ไม่เข้าใจว่า การ ‘เล่น’ กับหน้าจอที่มีพื้นหลังเป็นสีดำและตัวอักษรดิจิตอลเหมือนในหนังนักสืบโค้ดจารชนใช้กัน มันเล่นยังไง และสนุกตรงไหน

พอถามไปเช่นนั้น ครอบครัวโดโจพร้อมใจกันหยิบโน้ตบุ๊ค ซึ่งมิชารีอธิบายว่าเป็นโปรแกรมแบบ virtual machine ที่จำลองระบบปฏิบัติการยุคก่อนกราฟิกในคอมพิวเตอร์อีกทีหนึ่ง แล้วทดลอง ‘เล่น’ โดยการคีย์คำสั่งลงในคอมพิวเตอร์ จนปรากฏการ์ตูน Star Wars

“เราไม่ได้เขียนเองครับ เป็นการ์ตูนที่โปรแกรมเมอร์คนอื่นเขียนขึ้นแต่เรา telnet เข้าไปเจอ” สีหน้าของพวกเขาสนุกและตื่นเต้นกับการค้นพบเพื่อนข้างบ้านคนใหม่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาช่วยกันอธิบายว่าการเขียนหรือเล่นกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เหมือนการสืบค้นข้อมูลด้วยชุดคำสั่ง ถ้าเขียนผิดก็จะเจอ error ถ้าถูกก็จะค้นเจออะไรบางอย่างซึ่งหลายครั้งโปรแกรมเมอร์ไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร (แต่หมวดการค้นคำสั่งแล้วเจอ error จะขอยกไปพูดยาวๆ ในหัวข้อถัดไป)

กลับมาที่เรื่องราวของมิชารี เราตั้งคำถามว่า การเป็นคนที่สนใจด้านเทคโนโลยีหรือเรียกว่าเป็น geek เฉพาะด้าน ซึ่งอาจมีกิจกรรมแตกต่างกับเพื่อนร่วมรุ่นทั่วไป ความสนใจนี้ทำให้เขาเป็นคนอย่างไร เขาจะเหมือนหรือแตกต่างจากเพื่อนร่วมรุ่นหรือไม่ ซึ่งต้องขีดเส้นใต้ห้าร้อยเส้นด้วยว่า เขาสนใจคอมพิวเตอร์ในยุคที่อินเทอร์เน็ตอืดเป็นเต่าแถมราคาอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 40 บาท/ชั่วโมง

“ตอนเด็กๆ ทุกคนพูดว่าผมเป็นเด็กแปลก มีโลกส่วนตัวสูง ค่อนข้าง introvert ไม่ค่อยเข้าหาคน เรียกว่าการเข้าหาคนเป็นทักษะที่ผมไม่มีเลย แต่กับคอมพิวเตอร์นั้นไม่ใช่ ผมอยู่กับมันได้ตลอด มาถึงช่วงมหาวิทยาลัยนี่แหละที่ผมฝึกทักษะการเข้าหาคนบ้าง (หัวเราะ)”

ไม่ใช่แค่ ‘แปลก’ ในแง่ของการมีโลกส่วนตัว แต่เขาทำงานและได้ค่าตอบแทนครั้งแรกตั้งแต่อายุ 13 ปี และไม่ใช่ค่าตอบแทนเป็นตัวเงิน แต่เป็น ‘อินเทอร์เน็ตฟรี’

“ด้วยความที่คุณพ่อเป็นสื่อมวลชน ขาหนึ่งท่านทำข่าวด้านสายเทคโนโลยี ทำให้รู้จักกับคนที่นำกิจการอินเทอร์เน็ตเข้ามาเปิดในไทยยุคแรกๆ และได้อินเทอร์เน็ตมาใช้ฟรี แต่ใช้ได้สักพักหนึ่งก็เริ่มคิดเงิน ทีนี้เป็นปัญหาแล้วเพราะค่าอินเทอร์เน็ตตอนนั้นอยู่ที่ 40 บาท/ชั่วโมง หากผมอยากต่ออินเทอร์เน็ตทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ขั้นต่ำคงตกเดือนละหมื่นกว่าบาท แล้วผมจะหาเงินจากไหนโดยเฉพาะในยุคนั้น?

“สิ่งที่ผมทำคือ ตอนนั้นผมอายุ 13 ปี แต่เล่นคอมพิวเตอร์ไปๆ มาๆ ก็ไปแฮคระบบของบริษัทหนึ่งได้ มันเหมือนเราไปเคาะประตูบ้านเขาแล้วมันเปิดออก (หัวเราะ) ผมเลยติดต่อเข้าไปที่บริษัทแห่งนี้ บอกเขาว่า ‘พี่ๆ ผมแฮคระบบคอมฯ พี่ได้นะ (หัวเราะ)’ หมายความว่าฝีมือผมโอเคนะ ผมของานหน่อย ผมไม่เอาเงินเดือน ขอแค่อินเทอร์เน็ตใช้ฟรีเท่านั้น แกก็มีอารมณ์ขันนะ ไม่ได้เรียกตำรวจ แต่จัดอินเทอร์เน็ตฟรีให้ผมใช้ แลกกับเวลามีปัญหาเทคนิคทั่วไปก็มาปรึกษา”

มิชารี มุคบิล

ขีดเส้นใต้ไว้ว่า เมื่อพูดถึงคำว่า ‘แฮค’ คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าหมายถึงคนที่นั่งในห้องมืดแล้วแฮคเข้าไปในระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต นั่นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน มิชารีอธิบายว่า ‘แฮค’ หมายถึงการดัดแปลง

“เหมือนเอารถไปติดสปอยเลอร์ ยกสูง ใส่ล้อแมกซ์ หรือการที่ผมแฮคปลั๊กไฟให้เล่นดนตรีได้ นี่คือความหมายของการแฮค” ในแง่นี้หมายความว่า นิยามของการ ‘แฮค’ ไม่ใช่ในแง่มิจฉาชีพเพียงประการเดียว แต่หมายถึงการดัดแปลงเพื่อพัฒนาหรือสร้างสรรค์ก็ได้

หากไล่เรียงไทม์ไลน์ในชีวิตของโปรแกรมเมอร์มิชารี เขาเริ่มรู้จักกับคอมพิวเตอร์ครั้งแรกตอนอายุ 9 ขวบ เริ่มทำงานสายนี้เมื่ออายุ 13 ปี โดยได้ค่าตอบแทนเป็นอินเทอร์เน็ตฟรี เมื่อจบมัธยมปลาย เขาเว้นวรรคหนึ่งปีเพื่อเข้าทำงานในบริษัทไอทีแห่งหนึ่ง จากนั้นกลับเข้าสู่ชีวิตนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ หลังจากเรียนจบจึงเริ่มทำงานในวงการไอที ผลงานที่โดดเด่นของเขาคือเคยเป็นหนึ่งในทีมงานพัฒนาและติดตั้ง ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อทำการ์ตูนแอนิเมชั่นฟอร์มยักษ์ ก้านกล้วย เคยเป็นผู้บริหารบริษัทไอทีชั้นนำของประเทศ จนถึงวันนี้ เขาเป็นโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์และเป็นคุณพ่อเต็มเวลาเพื่อทำบ้านเรียน

ไม่เคยมีใครรู้เลยว่า จากเด็กที่ถูกหาว่า ‘แปลก’ (ยกเว้นครอบครัวที่ไม่มองอย่างนั้น) วันหนึ่งที่โลกเดินหน้าสู่ศตวรรษที่ 21 เขากลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในวิถีของตัวเองและกำลังจะส่งต่อพื้นที่การเรียนรู้เช่นนั้นต่อไป

จุดเริ่มต้น CoderDojo ในประเทศไทย คือ ‘สปิริตแห่งการแบ่งปัน’ และ ‘การเรียนรู้ต้องสนุก’

แน่นอนว่าจุดเริ่มต้นของการเปิดโดโจในประเทศไทยมาจากความสนใจของตัว Champion หรือ ผู้ที่อยากให้มีโดโจในพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งก็คือตัวมิชารีเอง หลังจากนั้นจึงหันไปชักชวนจุมพฏซึ่งเป็นทั้งโปรแกรมเมอร์และอยู่ในเครือข่ายบ้านเรียนเข้ามาก่อตั้งร่วมกัน แต่สิ่งที่ทั้งคู่เห็นว่าเป็นแรงขับสำคัญในการสร้างเครือข่ายเช่นนี้ คือ มุมมองจากโปรแกรมเมอร์บนรากฐานวัฒนธรรมชุมชนในโลกออนไลน์ หรือที่ชารีนิยามว่าคือ ‘สปิริตการแบ่งปัน’

“อย่าลืมว่าที่ชุมชนอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลเยอะแยะมหาศาลขนาดนี้ได้ เกิดจากการแบ่งปันข้อมูล แบ่งปันเวลาของคนเข้าไปช่วยเขียนบทความ เช่น การเขียนบทความในวิกิพีเดียนี่ชัดเลย ทำให้ไม่มีใครใช้สารานุกรมบริตานิกา (Encyclopedia Britannica) แล้ว เพราะทุกคนเข้าไปร่วมแบ่งปันและสร้างระบบนิเวศข้อมูลในอินเทอร์เน็ตให้สมบูรณ์ขึ้น น่าใช้ขึ้น สร้างแรงบันดาลใจและต่อยอดซึ่งกันมากขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นวัฒนธรรมนะครับ

มิชารี มุคบิล

“สำหรับผมเอง สิ่งที่อยากสร้างคือชุมชน ชุมชนที่จะช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันก็เป็นชุมชนที่ผมเองก็ต้องสนุกกับการเรียนรู้และอยู่ร่วมกันได้ ประจวบเหมาะกับปีที่แล้ว ผมพบกับคนญี่ปุ่นคนหนึ่งที่มาพูดเรื่องนี้ที่สิงคโปร์ พอเห็นปรัชญาของโดโจที่ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ผ่านการเล่น เป็นการแบ่งปันที่ฟรี และเกิดชุมชนขึ้นจริง มันใช่เลย (ดีดนิ้ว) ต้องแบบนี้ นี่คือรูปแบบการเรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบในยุคอินเทอร์เน็ต พอผมกลับถึงกรุงเทพฯ ก็ติดต่อพ่อโจ้ อธิบายคอนเซ็ปท์กับเขา เขาก็บอกว่า โอเค ลองดู”

ซึ่งพ่อโจ้ หรือจุมพฏสวนกลับทันทีว่า “ผมงงมาก (หัวเราะ) แต่พอฟังคอนเซ็ปท์แล้วก็คิดว่า สนุกดี เอาเลยสิ”

ไม่ใช่แค่เป็นโปรแกรมเมอร์และทำบ้านเรียนเหมือนกัน จุดร่วมของคุณพ่อทั้งสอง ยังมาจากความเชื่อที่ว่า การเรียนรู้ในห้องเรียนมีปัญหาและข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งคู่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า วิชาความรู้ที่ต่างใช้ประกอบอาชีพส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ของเขาเองและการเข้าไปหาข้อมูลจากชุมชนในโลกออนไลน์

พ่อโจ้ แบ่งปันเรื่องราวของตัวเองว่า “อาจเป็นเพราะผมโตมาจากชมรม ไม่เชื่อเรื่องการศึกษาแบบเต็มรูปแบบ จริงอยู่ว่าผมเรียนวิศวะฯ คอมพิวเตอร์โดยตรง แต่ความรู้เอามาใช้ได้จริงกลับไม่ได้อยู่ในห้องเรียน แต่มาจากชมรมคอมพิวเตอร์ ถามว่าชมรมทำหน้าที่อะไร มันก็คือ ‘การเล่น’ อะ เราสนุกกับการเล่นและเห็นว่าวิธีนี้มันได้ผล เราอยากสร้างพื้นที่แบบนี้ เราเองก็มีลูกและคิดว่าถ้ามีพื้นที่แบบนี้ให้ลูกเล่นมันก็จะดีนะ เหมือนที่เราได้เล่นในชมรมมาก่อน”

ขณะที่มิชารีเสริมว่า “และถ้าการเรียนมันไม่สนุก แสดงว่าเราอาจทำอะไรผิดไปรึเปล่า”

มิชารี มุคบิล

คาแรคเตอร์ (ที่ถูกสร้าง) ของโปรแกรมเมอร์ตัวน้อย

เมื่อถามว่า จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้ที่ได้ชื่อว่าอยู่ในวัฒนธรรม geek มาตั้งแต่เด็ก คอมพิวเตอร์ทำให้เขาเป็นคนแบบไหน คอมพิวเตอร์สร้างคาแรคเตอร์ให้เขาเป็นคนอย่างไร และพื้นที่ CoderDojo จะสานต่อและทำให้เหล่าผู้เรียนมีคาแรคเตอร์เช่นเดียวกับตัวเขาหรือไม่ มิชารีใช้เวลาคิดสักพักก่อนให้คำตอบสรุปโดยรวมได้ 3 อย่างหลักคือ

  • การมองโลกอย่างเป็นระบบ
  • ลองผิดลองถูกอย่างไม่มีอคติกับคำว่า ‘ผิดพลาด’ หรือ ‘error’
  • ความสนใจใคร่รู้

เริ่มที่อย่างแรก ‘การมองโลกอย่างเป็นระบบ’ มิชารีกล่าวว่า “การเป็นโปรแกรมเมอร์ทำให้ผมมองทะลุสิ่งต่างๆ และเห็นมันเป็นระบบ”

เขายกตัวอย่างตอนเรียนหนังสือ ความตั้งใจของเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ในห้องคือทำคะแนนให้ได้ดี แต่เพราะความชอบทางด้านคอมพิวเตอร์ การเรียนในห้องจึงเป็นไปอย่าง ‘พอผ่าน’ และมีเกรดที่ ‘ไม่น่าเกลียด’ ย้ำว่าไม่ใช่เพราะเห็นว่าการเรียนไม่สำคัญ แต่เป็นการประเมินจากคนที่ชัดเจนแล้วว่าความรู้ที่ตัวเองอยากได้ มาจากความรู้นอกห้องเรียนเป็นส่วนใหญ่ และประเมินแล้วว่า ‘เกรดเฉลี่ย’ ในห้องเรียน เป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ผ่านไป

“อย่างตอนเรียน ผมเห็นว่าการทำการบ้านหรือการทำข้อสอบเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ผมก็จะประเมินว่า ถ้าจะต้องเรียนให้จบ ผมก็จะทำงานหรือทำการบ้านเท่านี้พอ คือไม่ต้องดีที่สุดเพื่อให้ติดอันดับ แต่ให้ผ่านไปอย่างประคองตัวได้”

ประการที่สองคือการ ‘ลองผิดลองถูก’ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีคิดของโดโจเลยว่า เมื่อนินจา หรือผู้เรียนเขียนโค้ด เจอกับ error หรือข้อผิดพลาดจากการเขียนโปรแกรม นินจาจะต้องพูดคุยกันเองเพื่อปรับแก้กันเองก่อน เมื่อยังไม่ได้ จึงค่อยเข้าไปสอบถามเมนเทอร์ ผู้มีความรู้ด้านการเขียนโค้ดที่เข้ามาดูแลเด็กๆ

ซึ่งการลองผิดลองถูกนี้เองที่ทั้งมิชารีและจุมพฏเห็นว่าสำคัญและยังฉายภาพปัญหาการศึกษาไทยที่ทำให้มนุษย์ ‘กลัวการผิดพลาด’ ได้ชัดเจนที่สุด ซึ่งการเป็นโปรแกรมเมอร์นั้น หากไม่เจอกับ error ก็เสมือนว่าไม่ได้ทดลองอะไรเลย

พูดมาถึงจุดนี้ นินจา ที่นั่งอยู่ในห้องด้วยกันอย่าง นินจาลูกคิด-ณภัทร นุ่มศรี และ นินจาเข้ม-ศิศิร ศรียะพันธ์ ช่วยกันตอบอย่างแข็งขันราวกับว่า ‘การเจอ error จากการโค้ด เป็นอะไรที่สนุกมาก’ เพราะในชีวิตของโปรแกรมเมอร์ ต้องอยู่กับ error แทบจะตลอดเวลา

“ถ้าผิดก็เริ่มใหม่ ผมมองว่ามันคือการเรียนรู้ เป็นคำตอบอีกข้อที่บอกว่า ถ้าเราทำแบบนี้ มันจะเกิดอะไรขึ้น คือเรียกว่าเป็นแค่อีกหนึ่งคำตอบจากการทดลอง” นินจาลูกคิดตอบ

“คล้ายๆ กันกับลูกคิด ในระหว่างการเขียนโปรแกรม เราจะตีความว่า error คือเครื่องหมายผิดก็ได้ แต่ error ก็แค่ error ครับ เจอแล้วก็แก้ต่อ ลองเปลี่ยนวิธีแก้มันต่อไป” นินจาเข้มเสริมคำตอบ

ซ้ายไปขวา: ศิศิร ศรียะพันธ์ (นินจาเข้ม) มิชารี มุคบิล ณภัทร นุ่มศรี (นินจาลูกคิด) ศิขรา ศรียะพันธ์ (นินจาคราม) จุมพฏ ศรียะพันธ์

“ในการเล่น ‘ผิด’ คือได้เรียนรู้และไม่มีใครมาหาตัวแดงว่าผิด และยังรู้ด้วยว่า ถ้าทำแบบนี้จะได้คำตอบที่ผิด หรืออาจเกิดจากขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งที่ผิด แต่มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกผิด มันแค่ error แล้วเราก็หาขั้นตอนต่อไป

มาถึงตรงนี้ เมนเทอร์จุมพฏช่วยอธิบายให้เห็นภาพว่า “เช่น ถ้าผมถูกจ้างมาให้ขันน็อตตรงนี้จำนวน 16 ครั้ง ผมไม่มีสิทธิ์ขัน 15 ครั้ง หรือ 17 ครั้ง ผมต้องเชื่อฟังเสมอ ห้ามทำนอกเหนือจากคำสั่งนี้เพราะจะผิดมาตรฐาน และเราก็รู้ว่ามันเป็นงานหนึ่งที่เราต้องปฏิบัติตาม แต่สำหรับคนออกแบบ กว่าจะรู้ว่าต้องขัน 16 ครั้ง แสดงว่าเขาต้องเคยขัน 15 ครั้ง และ 17 ครั้งมาก่อน คนนั้นทำผิดมาก่อนแน่ๆ และถ้าผมจะโต้แย้งว่าขอลองขันน็อต 15 ครั้ง หรือ 17 ครั้งบ้างได้มั้ย ผมก็ต้องไปทำใน sand box แต่ในงานโปรดักชั่น ผมไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง

“เปรียบเทียบกับการเรียนรู้ในห้องเรียน เราอาจถูกสอนให้ทำงานโปรดักชั่นเท่านั้น หรือบอกให้ขันน็อต 16 ครั้งแล้วจะดี มีแค่ส่วนน้อยที่จะมีโอกาสทำงานใน sand box ซึ่งให้เด็กๆ ได้ลองว่าถ้าขันน็อต 15 ครั้ง หรือ 17 ครั้ง จะเป็นอย่างไร ปรากฏว่าขันไป 17 ครั้งแล้วระเบิดบึ้มเลย เออ… ก็มันดีนะ ซึ่งโดโจมีพื้นที่ตรงนี้” จุมพฏกล่าว

ประการสุดท้าย คุณลักษณะเด่นของเด็กๆ ใน CoderDojo คือ ‘ความสนใจใฝ่รู้’ ซึ่งมิชารีและจุมพฏย้ำว่า ต้องเป็นความสนใจใฝ่รู้ที่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความสนุกด้วย

มิชารี มุคบิล

สุดท้ายเราขอให้เมนเทอร์ทั้งสอง ในฐานะ ‘คุณพ่อเต็มเวลา’ ที่ทำบ้านเรียนและสร้างเครือข่ายสนุกๆ แบบนี้ กล่าวชักชวนคุณพ่อคุณแม่หรือใครก็ตามที่อยากสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เช่นนี้ มาร่วมกันทำให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งจากประสบการณ์ของ CoderDojo และเครือข่ายการเรียนรู้ของผู้ปกครองท่านอื่นในปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตั้งต้นจากวิชาการหรือตั้งเป้าว่าอยากให้ลูกๆ ได้เรียนรู้อะไร แต่คละเคล้ากันตั้งแต่ความชอบส่วนตัวของคนเป็นพ่อแล้วหาเครือข่ายมาร่วมกันทำ หรือจากความสนใจของลูกๆ และ ชวนเพื่อนๆ มาร่วม ‘เล่น’ ด้วยกัน

เมนเทอร์ทั้งสองยกตัวอย่างว่า เพิ่งมีทริปไปเรียนเรือใบที่สัตหีบ โดยครูผู้สอนไม่ใช่ใครอื่น คือนินจาลูกคิด และหนึ่งในผู้เรียนก็ไม่ใช่ใครอื่นอีกเช่นกัน แต่คือ เมนเทอร์มิชารีผู้นี้นี่เอง

“เหมือนการชวนเพื่อนมาเล่นอะไรบางอย่าง ซึ่งบางอย่างก็เฟล ชวนเพื่อนมาเล่นแล้วเขาไม่เล่นด้วยก็มี (หัวเราะ) ก็ไม่เป็นอะไร สำคัญคือ ใครๆ ก็ทำได้นะครับ แค่ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเท่านั้น ยิ่งถ้ากระบวนการสร้างความเชื่อใจกันได้ ไม่ยึดเอาว่าโครงการนี้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นกระบวนการหลวมๆ ที่ส่งต่อให้ใครก็ได้ เช่น ช่วงนี้ผมไม่ว่าง มีใครทำมั้ย ถ้าไม่มีก็พักไปก่อนช่วงหนึ่งก็ยังได้ แต่ถ้าใครอยากทำต่อก็ทำ ผลัดเปลี่ยนกันได้โดยไม่ต้องคิดว่าเป็นของเรา ซึ่งพอคิดแบบนี้ สิ่งที่โฟกัสก็แค่ความสนุก

“เหมือนที่พ่อชารีบอกว่า ถ้าการเรียนมันไม่สนุก แสดงว่าเราทำอะไรผิดไปรึเปล่า การสร้างเครือข่ายเช่นนี้ก็เหมือนกัน การเรียนรู้มันควรสนุก หรือถ้าไม่สนุก ก็หาวิธีให้มันสนุก” จุมพฏอธิบาย

ก่อนมิชารีจะปิดท้าย (ก่อนปิดคอมพิวเตอร์) ด้วยเสียงหัวเราะว่า

“นี่ไง เป็นความคิดของเหล่าแฮคเกอร์เลย ที่อยากทำอะไรง่ายๆ คิดแค่ว่าอยากตั้งชุมชนแบบนี้ได้โดยไม่ต้องใช้เงิน หรืองบประมาณอะไรทั้งสิ้น และก็สร้างแบบแผนง่ายๆ ให้คนอื่นนำไปลอกเลียนหรือตั้งเครือข่ายแบบนี้ได้ง่ายๆ ด้วย”

Tags:

จุมพฏ ศรียะพันธ์มิชารี มุคบิลพ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)Disruption21st Century skillsนวัตกรรมโฮมสคูลcoding

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • 21st Century skills
    10 ทักษะผู้นำของคนในวงการไซเบอร์ ที่โลกอนาคตต้องการ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่
Character building
30 August 2018

คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • การสร้าง ‘คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็ง’ (character strengths) เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเด็กและเยาวชนในเชิงบวก มีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จและความสุขของเด็กในอนาคต รวมถึงมีผลต่อการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในระดับปัจเจกและสังคม การปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีในเด็กและเยาวชนจึงควรเป็นเป้าหมายสากลของการเลี้ยงลูกและการศึกษา
  • การศึกษาวิจัยยืนยันว่า พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถมีส่วนช่วยปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีให้ลูกหลานได้ตั้งแต่แรกเกิด ตัวอย่างคุณลักษณะที่ดีได้แก่ ความหวัง ความใจดีมีเมตตา ความฉลาดทางสังคม การควบคุมตนเอง และ มุมมองในการใช้ชีวิต ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คุณลักษณะเหล่านี้เป็นกันชนป้องกันผลกระทบจากความเครียดและประสบการณ์ที่เลวร้าย รวมทั้งป้องกันและทุเลาความผิดปกติบางอย่างในเชิงพฤติกรรมของวัยรุ่นได้ด้วย

การศึกษาในระดับนานาชาติ พบว่า ‘ความดี’ หรือ ‘คุณธรรม’ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต นอกจากความรู้แล้ว ผู้ปกครองและโรงเรียนจำเป็นต้องสร้างคุณลักษณะที่ดีให้เกิดขึ้นในตัวเด็กและเยาวชน ถึงแม้จะเป็นนามธรรมและหาตัวบ่งชี้มาวัดได้ยาก แต่มีความพยายามในการสร้างมาตรฐานขึ้นมาวัด จนได้ข้อสรุปออกมาเป็นที่ยอมรับอย่างเป็นสากลถึง ‘คุณลักษณะที่ดี’ ที่เด็กและเยาวชน หรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่พึงมี

ทุกคนมีจุดแข็ง

เมื่อเอ่ยถึง ‘คุณลักษณะที่ดี’ (good character) แน่นอนว่าคุณลักษณะที่ดีไม่ได้มีเพียงอย่างเดียว แต่ประกอบไปด้วยหลายอย่างซึ่งมีรากฐานมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว หล่อหลอมให้เกิดความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมที่แสดงออกให้คนอื่นรับรู้ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า คุณลักษณะที่ดีที่พัฒนามาเป็นจุดแข็ง หรือ การสร้าง ‘คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็ง’ (character strengths) เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเด็กและเยาวชนในเชิงบวก ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองข้ามหรืออาจยังไม่รู้

การสร้างลักษณะนิสัยเชิงบวกมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จและความสุขของเด็กในอนาคต เพราะคุณลักษณะเหล่านี้มีผลต่อการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในระดับปัจเจกและสังคม เป็นปัจจัยที่เชื่อมโยงไปสู่การประสบความสำเร็จในการเรียนการศึกษา การสร้างความพึงพอใจในชีวิต รวมถึงการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ตัวเอง อีกทั้งยังมีผลต่อความก้าวหน้าในชีวิตของเด็กและเยาวชนในระยะยาว ทั้งนี้ การศึกษาวิจัย ยืนยันว่า พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถมีส่วนช่วยปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีให้ลูกหลานได้ตั้งแต่แรกเกิด

สิ่งที่พ่อแม่มักคำนึงถึงเมื่อมีลูก คือการสังเกตพัฒนาการของลูกตามช่วงวัย เช่น 7 เดือน ลูกควรนั่งทรงตัวได้เอง 12 เดือนเริ่มตั้งไข่ เลียนเสียง และเริ่มพูดคำที่มีความหมายคำแรกได้ เดินได้คล่องช่วงราว 18 เดือน เป็นต้น แต่นอกจากพัฒนาการทางร่างกายและสิ่งที่มองเห็นจากภายนอกตามที่ว่ามา นันซุก พาร์ค (Nansook Park) รองศาสตรจารย์ภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan) เขียนถึงการสร้างคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งไว้ในบทความชื่อ ‘Building Strengths of Character: Keys to Positive Youth Development’ ว่า การปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีให้เกิดขึ้นในเด็กและเยาวชนเป็นเป้าหมายสากลของการเลี้ยงลูกและการศึกษา

สถานการณ์ปัญหาด้านการศึกษาที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา อันที่จริงมีสภาพไม่ต่างจากประเทศไทย การเรียนการสอนในโรงเรียนส่วนใหญ่มุ่งเน้นให้เด็กฝึกฝนทักษะด้านการอ่าน การเขียน และการให้ความรู้ตามกลุ่มสาระวิชา ฝึกพัฒนาให้มีทักษะคิดวิเคราะห์ แต่ยังขาดการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ในระยะยาวหากเด็กยังไม่ได้รับการฝึกฝนให้มีคุณลักษณะที่ดีและมีคุณธรรม เด็กจะเติบโตขึ้นเป็นคนที่ไม่มีความปรารถนาที่จะทำความดี ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น

ด้วยเหตุนี้ การสร้างคุณลักษณะที่ดีให้เป็นจุดแข็งจะเป็นภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์อย่างที่กล่าวมา ตัวอย่างคุณลักษณะที่ดีที่ว่า ได้แก่ ความหวัง (hope) ความใจดีมีเมตตา (kindness) ความฉลาดทางสังคม (social intelligence) การควบคุมตนเอง (self-control) และ มุมมองในการใช้ชีวิต (perspective) ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คุณลักษณะเหล่านี้เป็นกันชนป้องกันผลกระทบจากความเครียดและประสบการณ์ที่เลวร้าย รวมทั้งป้องกันและทุเลาความผิดปกติบางอย่างในเชิงพฤติกรรมของวัยรุ่นได้ด้วย

ยิ่งกว่านั้นพาร์คเคยเขียนไว้ในผลงานชิ้นอื่นๆ ของเธออย่างชัดเจนว่า การมีคุณลักษณะที่ดีทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการเรียน มีภาวะความเป็นผู้นำ อดทน เมตตา เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เห็นคุณค่าของความแตกต่างหลากหลาย และมีความยับยั้งชั่งใจ ซึ่งช่วยลดปัญหาสังคมที่เป็นความเสี่ยง เช่น การติดยาเสพติด การติดแอลกอฮอล์และบุหรี่ ปัญหาความรุนแรง การท้องก่อนวันอันควร ภาวะซึมเศร้าและการคิดฆ่าตัวตายในเด็กและเยาวชนได้

ถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่จุดแข็ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นจุดอ่อน

โครงการ VIA (The Values in Action) คือโครงการใช้จิตวิทยาเชิงบวกในการวางมาตรฐาน แล้วจำแนกหมวดหมู่จุดแข็งที่สำคัญและสร้างตัวบ่งชี้ขึ้นมาใช้ในการวัดผล การจำแนกคุณลักษณะให้ความสำคัญกับ ‘สิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับมนุษย์’ (what is right about people?) และ ‘คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งที่นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด’

หากอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้น โครงการ VIA มองคุณลักษณะที่ดีเหมือนเป็นครอบครัวหนึ่งที่สมาชิกแต่ละคนมีคุณลักษณะเชิงบวกอันโดดเด่นต่างกันไป แต่ละคุณลักษณะสะท้อนความรู้สึก ความคิด และการกระทำของแต่ละคนที่แสดงออกมา ซึ่งคุณลักษณะที่ดีและโดดเด่นนั้น ถูกเรียกว่า ‘คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็ง’ หรือ ‘character strengths’ นั่นเอง การศึกษา พบว่า คนหนึ่งคนมีคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งได้มากกว่า 1 อย่าง คุณลักษณะไหนไม่ได้เป็นจุดแข็ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นจุดอ่อน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ การให้ความสนใจกับการพัฒนาคุณลักษณะโดดเด่นที่เป็นจุดแข็งให้แสดงบทบาทในชีวิตจริงได้อย่างเต็มที่

ผลการศึกษาจากโครงการมีฐานข้อมูลจากการนำลักษณะนิสัยเชิงคุณค่าระดับสากลทั้งในอดีตและปัจจุบันมาทบทวน และให้คุณค่ากับคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งที่เป็นคุณลักษณะที่ดี 24 อย่าง แบ่งเป็น 6 กลุ่มใหญ่ ดังนี้

ปัญญาและความรู้ (wisdom and knowledge) จุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ การรับความรู้และนำความรู้ไปใช้ ประกอบด้วยคุณลักษณะเด่น ได้แก่

  • ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) การคิดถึงวิธีการใหม่ ๆ และมีประสิทธิภาพในการทำสิ่งต่าง ๆ
  • ความสงสัยใคร่รู้ (curiosity) การให้ความสนใจและตั้งคำถามกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต
  • การเปิดใจ (open – mindedness) การมีมุมมองความคิดต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง และพิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดยใช้ข้อมูลรอบด้านก่อนตัดสินใจ
  • ใฝ่เรียน (love of learning) การตั้งใจเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ให้ตัวเองอยู่เสมอ
  • มุมมองความคิด (perspective) ความสามารถในการแนะนำให้คำปรึกษาผู้อื่นได้

การมีกำลังใจ (courage) จุดแข็งทางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับความมุ่งมั่นพยายามไปให้ถึงเป้าหมาย ด้วยแรงขับจากทั้งภายในและภายนอก ประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญ ได้แก่

  • ความซื่อสัตย์สุจริต (honesty and authenticity) การพูดความจริงและนำเสนอตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
  • ความกล้าหาญ (bravery) ความไม่กลัวการถูกคุกคาม ความท้าทาย ความยากลำบากและความเจ็บปวด
  • ความมานะพากเพียร (perseverance) การลงมือทำจนสำเร็จด้วยความตั้งใจ
  • ความสนุกสนานรื่นรมย์ (zest) การใช้ชีวิตที่ให้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและพลัง

ความเป็นมนุษย์ (humanity) จุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล นำไปสู่การเอาใจใส่ดูแลผู้อื่นและความเป็นเพื่อน (tending and befriending)

  • ความเมตตา (kindness) การให้ความช่วยเหลือและทำสิ่งดี ๆ เพื่อผู้อื่น
  • ความรัก (love) การให้คุณค่าความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้อื่น
  • ความฉลาดในการเข้าสังคม (social Intelligence) ความตระหนักรู้ในความต้องการ แรงจูงใจ และความรู้สึกของตัวเองและผู้อื่น

ความยุติธรรม (justice) จุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับชุมชนและสังคม รากฐานของคุณภาพชีวิตที่ดีในชุมชน

  • ความเป็นธรรม (fairness) ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันด้วยความเป็นธรรมและยุติธรรม
  • ภาวะผู้นำ (leadership) มีความสามารถในการจัดกิจกรรมกลุ่มและดำเนินงานจนเห็นผลลัพธ์
  • การทำงานเป็นทีม (teamwork) มีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และมีทิศทางการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน

การควบคุมอารมณ์ (temperance) จุดแข็งที่ป้องกันสิ่งเร้าจากภายนอก

  • การให้อภัย (forgiveness) การให้อภัยไม่ถือสาคนที่ทำผิดต่อเรา
  • ความถ่อมตัว (modest) ไม่พูดเยอะ ปล่อยให้ความสำเร็จได้พิสูจน์ตัวเอง
  • ความรอบคอบ (prudence) เลือกอย่างระมัดระวัง ไม่พูดหรือทำอะไรที่ทำให้เสียใจภายหลัง
  • การรู้จักควบคุมตนเอง (self-regulation) จัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้

การเข้าใจความจริงของชีวิต (transcendence) การเห็นคุณค่าของความงาม (appreciation of beauty) การสังเกตเห็นและชื่นชมความงามและทักษะรอบตัวในทุกด้านของชีวิต

  • ความกตัญญูรู้คุณ (gratitude) การตระหนักรู้และขอบคุณสิ่งดี ๆ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
  • ความหวัง (hope) การมีความคาดหวังที่จะทำให้ดีที่สุด แล้วลงมือทำ
  • การมีอารมณ์ขัน (humor) ความตลกและชอบหัวเราะ และทำให้คนอื่นยิ้มได้
  • จิตวิญญาณและศาสนา (spirituality and religiousness ) การมีความเชื่อที่สอดคล้องกับเป้าหมายและการใช้ชีวิต

การส่งเสริมให้ใช้คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งทั้ง 24 ข้ออย่างนี้ แรกเริ่มก็เพื่อวัดผลการพัฒนาจุดแข็งแต่ละด้านและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มเด็กและเยาวชนตัวอย่าง โดยเชื่อว่าหากนำคุณลักษณะมาใช้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิสัยและพฤติกรรมตัวเอง คุณลักษณะที่ดีจะช่วยเติมเต็มให้ชีวิตประสบความสำเร็จและมีความสุขมากขึ้น

งานวิจัยเรื่อง ‘Character Strengths Interventions: Building on What we know for improved outcomes.’ ตีพิมพ์ออนไลน์ใน Springer Science Business Media กล่าวว่า การให้เวลากับการพัฒนาคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งดีกว่าการให้เวลากับการปรับปรุงจุดด้อย เพราะการสร้างเสริมคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาน้อยกว่า ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานและการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้มากกว่า

สำหรับการสำรวจของ VIA เป็นการสำรวจออนไลน์ แบ่งเป็น หนึ่ง VIA-Youth สำรวจจุดแข็งของเด็กและเยาวชนอายุ 10 – 17 ปี และ สอง VIA -IS สำหรับเยาวชนอายุ 18 ปีขึ้นไป การสำรวจแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 45 นาที หลังผู้เข้าร่วมสำรวจสมัครเข้าทำแบบสำรวจทางเว็บไซต์และตอบแบบสอบถามครบถ้วนแล้ว ระบบจะประมวลผล แสดงผลคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งที่เด่นที่สุดออกมา เรียกว่า “signature strengths” ผลลัพธ์ที่ออกมานี้ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสำรวจรู้จักคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งของตัวเอง เพื่อฝึกฝนใช้คุณลักษณะเหล่านั้นในชีวิตประจำได้

ใช้จุดแข็งให้ถูกทาง

แม้จะมีการพูดถึงอย่างกว้างขวางถึงพฤติกรรมเชิงลบของวัยรุ่นอเมริกัน แต่จากการวิเคราะห์ผลการสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่พวกเขามีการพัฒนาคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งของตัวเอง โดยเฉพาะด้าน ความกตัญญูรู้คุณ การมีอารมณ์ขัน และความรัก ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำรวจพบได้ทั่วไปในวัยรุ่น ขณะที่ ความรอบคอบ การรู้จักให้อภัย จิตวิญญาณและการควบคุมตัวเอง ยังเป็นจุดแข็งที่พบในผู้ใหญ่มากกว่าวัยรุ่น

โดยสรุปกล่าวได้ว่า คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งทั่วไปมีความเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและความพึงพอใจในชีวิต ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น ความกตัญญูรู้คุณ ความหวัง ความสนุกรื่นรมย์ ความสงสัยใคร่รู้ รวมถึงสิ่งสำคัญอย่างความรัก

นอกจากนี้ยังพบว่า คุณลักษณะที่มีความสัมพันธ์กับความรู้สึก (heart) เช่น ความรัก และความกตัญญูรู้คุณ กลับมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีมากกว่าคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานโดยใช้เหตุผลหรือสมอง (head) เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิเคราะห์ และสุนทรียศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ หากเป้าหมายของการพัฒนาการศึกษา คือ การส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีชีวิตที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ สิ่งที่ควรได้รับการปลูกฝังนอกเหนือจากความรู้ควรเป็นเรื่องที่อยู่นอกตำราเรียน นั่นคือ คุณธรรม จริยธรรม และการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น

การได้รับความนิยมหรือการได้รับการยอมรับจากเพื่อนในวัยรุ่น มีความเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะเหล่านี้เช่นกัน นักเรียนที่ได้รับการชื่นชอบในหมู่เพื่อนฝูง จะมีจุดแข็งโดดเด่นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในสังคมและชุมชน (civic strengths) เช่น ภาวะความเป็นผู้นำ และความเป็นธรรม รวมถึงจุดแข็งที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์ อย่างการรู้จักควบคุมตนเอง ความรอบคอบและการให้อภัย เป็นต้น

ยิ่งกว่านั้นยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงการวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดโรคจิตเภทในเด็กและเยาวชนได้อีกด้วย เช่น หากเด็กมีอาการของภาวะโรคซึมเศร้าและมีความวิตกกังวล สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเด็กควรได้รับการส่งเสริมคุณลักษณะให้มีความหวัง มีอารมณ์ขัน และมีภาวะความเป็นผู้นำ โดยเปิดพื้นที่ให้เด็กได้แสดงออกในกิจกรรมที่ตัวเองถนัด หรือการได้รับคำชื่นชมจากผู้ปกครองและครูเมื่อเด็กทำดี เป็นต้น ส่วนปัญหาที่แสดงออกอย่างชัดเจนภายนอก เช่น ความก้าวร้าวในวัยรุ่น มีความเกี่ยวข้องกับการขาดคุณลักษณะเรื่องความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์ ความรอบคอบ และขาดความรัก

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งเหล่านี้สามารถฝึกฝนได้ ผู้ปกครอง โรงเรียน และสังคม ต้องให้ความร่วมมือ เริ่มต้นจากการมีความมั่นใจในตัวเด็กและเยาวชน แล้วเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงออกตามแนวทางที่พวกเขาถนัด ทั้งนี้เพื่อให้พวกเขาได้รู้จักตัวเอง ก่อน หลังจากนั้นจึงจัดกิจกรรมเฉพาะอย่างเพื่อพัฒนาคุณลักษณะแต่ละด้านอย่างเจาะจง

คำพูดที่บอกว่า “ลูกทำได้หรือทำให้ดีที่สุด” ฟังดูเป็นการให้กำลังใจที่ดี แต่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอในการปลูกฝังคุณลักษณะที่ดีให้เกิดขึ้นกับลูก พ่อแม่ควรมีเป้าหมายที่เจาะจงและชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ปกครองต้องการปลูกฝังคุณลักษณะด้านความรักความเมตตา หรือการเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ดี การให้แนวทางลูกด้วยการบอกว่า อย่างน้อยต้องทักทายหรือพูดสวัสดีกับคนที่ยังไม่เคยพูดด้วยวันละหนึ่งคนที่โรงเรียน จะเป็นคำแนะนำที่มีประสิทธิภาพและมีเป้าหมายชัดเจนกว่า

“เด็กไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่หรอก” เรามักได้ยินผู้ใหญ่พูดอยู่เสมอ แต่อีกมุมหนึ่งพวกเขากลับมีพ่อแม่เป็นแบบอย่าง เราจึงมักได้ยินอีกคำกล่าวที่บอกว่า “พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก” ด้วยเหตุนี้ วิธีการสอนลูกที่ดีที่สุดจึงไม่ใช่การพูดหรือดุด่า แต่เป็นการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

การทำสิ่งที่ดี และได้ใช้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข น่าจะเป็นความฝันของผู้คนในสังคมปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนที่กำลังเติบโตขึ้นมาในสังคมแห่งอนาคตที่น่าจะมีความซับซ้อนมากกว่าความเรียบง่าย มีความวุ่นวายมากกว่าความเบาสบายในจิตใจ ปัญหาคือเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าพวกเขาสามารถหาความสุขและความหมายของชีวิตจากกิจกรรมหรือสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำในชีวิตประจำวันได้อย่างไร การมองหาคุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งของตัวเองน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการทำความรู้จักตัวเอง เราทุกคนมีจุดแข็ง จุดแข็งที่ควรแสดงออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น จุดแข็งที่สามารถฝึกฝนให้เกิดการยอมรับ กระทั่งกลายเป็นคุณลักษณะที่เป็นตัวตนของตัวเองในที่สุด เป็นการสร้างความเป็นตัวเองที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเรา…

ที่มา:
Park, N. (2009). Building Strengths of Character: Keys to Positive Youth Development.
http://reclaimingjournal.com/.
Quinlan, D., Swain, N., & Vella-Brodrick, D.,A. (2011). Character Strengths Interventions: Building
on What We Know for Improved Outcomes. Springer Science Business Media.
file:///C:/Users/USER/Documents/Potential/Print/2.research.pdf.
Park, N. & Peterson, C. (2009). Character Strengths: Research and Practice. Journal of Collage
and Character. https://naspa.tandfonline.com/doi/pdf/10.2202/1940-1639.1042?needAccess=true&.

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)Adolescent Brain

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Adolescent Brain
    รวมวิธีอยู่กับวัยรุ่นโดยไม่ต้องงัดข้อ: ฉบับสุขภาพจิตผู้ใหญ่ดี สุขภาพสมองวัยรุ่นแข็งแรง

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020
21st Century skills
29 August 2018

10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เมื่อโลกล่วงเข้าสู่ปี 2020 งานบางอย่างกลายเป็นตำนาน และคนหลายล้านรู้สึกไม่เข้าพวก ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ‘การศึกษา’ จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือความท้าทายเหล่านี้ เพราะเศรษฐกิจในอนาคต(และตอนนี้)ถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้

ติดตรงปัญหาสำคัญที่ยังแก้ไม่ได้ คือ การศึกษาส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังสอนให้เอาไปใช้ในศตวรรษที่ 20 อยู่ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาขั้นสูงแค่ไหนก็ตาม คือไม่สอนให้แตกต่าง และเป็นการสอนแบบบนลงล่าง ขณะที่นวัตกรรมต่างๆ เริ่มจากรากหญ้าและคนตัวเล็กๆ

เช่น นักการศึกษาควรได้รับอนุญาตให้สร้างหรือคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ถ้าพวกเขาจะล้ม ก็ล้มได้เร็วแต่ก็ลุกขึ้นได้เร็วเช่นกัน  ในทางกลับกันก็ต้องได้รางวัลเมื่อคิดไอเดียดีๆ ที่สร้างความแตกต่าง

ดังนั้นทุกๆ ห้องเรียน ทุกๆ เลคเชอร์ และ ทุกๆ มหาวิทยาลัย จำเป็นต้องหา ‘วิธีแก้’ ให้ตรงกับปัญหา และที่สำคัญที่สุด คือ ตรงตามความต้องการของผู้เรียน

เนื้อหาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ text book อีกต่อไป มีการเรียนรู้หลายรูปแบบและหลายวิธีที่ให้ได้มาซึ่งความรู้

เครื่องมือการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ต้องสอดรับและสนับสนุนการสอนและการเรียนรู้แบบ interactive ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน

เพื่อให้เกิด 10 ทักษะเหล่านี้  ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่มนุษย์ควรต้องมีภายในปี 2020  และ AI ทำไม่ได้

1.แก้ปัญหาซับซ้อนได้ (Complex Problem Solving)
เมื่อปัญหาเกิดขึ้นและกระทบยังหลายๆ ส่วนงาน ซึ่ง AI ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ เมื่อนั้นมนุษย์ต้องเข้ามาแก้ปัญหาโดยย้อนไปดูถึงต้นทาง ซึ่งเรียกร้องความสร้างสรรค์และความละเอียดอ่อน

2.คิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)

ผู้ที่สามารถเปลี่ยนข้อมูลดิบๆ และตีความออกมาใหม่ให้น่าสนใจ จะเป็นที่ต้องการในตลาดที่ซับซ้อนและทำงานแบบ co-working

3.มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative)

ความคิดสร้างสรรค์เรียกร้องสัญชาตญาณในการคิดนอกกรอบและการสุ่มเลือก ‘สูง’ ในระดับที่ AI ทำไม่ได้ ทำไมนักดนตรีถึงอิมโพรไวซ์ได้โดยการหลุดคีย์ – นี่เป็นตัวอย่างที่ดี

4.บริหารจัดการบุคคล (People Management)

หุ่นยนต์อาจวิเคราะห์และคำนวณได้อย่างยอดเยี่ยม แต่มันก็ไม่สามารถมาแทนสิ่งที่เรียกว่า ‘ภาวะการเป็นผู้นำ’ และความสามารถในการจัดการอย่างมนุษย์ได้

5.ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี (Coordinating with others)

การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม เป็นคุณสมบัติแรกๆ ที่ผู้ประกอบการและนายจ้างต้องการ

6.มีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence)

ความฉลาดทางอารมณ์ต่างๆ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ,ความอยากรู้อยากเห็น จะกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าจ้างบุคลากรระดับผู้บริหารขึ้นไปในอนาคต

7.ตัดสินใจและประเมินได้ดี (Judgment and Decision Making)

ความสามารถในการย่อยข้อมูลมหาศาล แล้วแปลงให้เป็นรูปแบบใหม่ น่าสนใจ รวมไปถึงการตัดสินใจที่เชื่อถือได้คือทักษะที่เป็นประโยชน์ในสังคมอุดมข้อมูลในอนาคต

8.มีการบริการที่ดี (Service Orientation)

คนที่รู้ถึงความสำคัญของการนำเสนอ ‘คุณค่า’ ให้ลูกค้า ผ่านรูปแบบการบริการและความช่วยเหลือต่างๆ จะเป็นที่ต้องการ

9.ต่อรองเป็น (Negotiation)

ความสามารถในการต่อรองกับกลุ่มธุรกิจหรือบุคคล จะทำให้การแก้ปัญหาลงท้ายแบบวินวิน ในฐานะทักษะที่จำเป็นเพื่อการอยู่รอดของอุตสาหกรรมที่ต้องตั้งรับต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ

10.มีความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive Flexibility)

ความสามารถในการสลับ/เปลี่ยน/โยก บุคลากรที่แตกต่างกัน ให้ถูกหรือตรงกับความท้าทายในมือ จะเป็นสิ่งสำคัญในการควบรวมหลายธุรกิจหรืออุตสาหกรรม

ที่มา: https://www.weforum.org

Tags:

21st Century skillsพัฒนาการพ่อแม่ครูคาแรกเตอร์(character building)AIDisruption

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    “ศรีจันทร์ยังเกิดใหม่ได้ คนรุ่นต่อไปก็ต้องอยู่กับ AI ได้” รวิศ หาญอุตสาหะ

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

เราแค่ ‘รู้’ แต่เราไม่ ‘รู้สึก’ การศึกษาไทยจึงถูกทิ้งไว้กลางทาง : เดชรัต สุขกำเนิด
EF (executive function)
28 August 2018

เราแค่ ‘รู้’ แต่เราไม่ ‘รู้สึก’ การศึกษาไทยจึงถูกทิ้งไว้กลางทาง : เดชรัต สุขกำเนิด

เรื่อง

เรื่อง: เดชรัต สุขกำเนิด

เราเคยได้ยินเพื่อนๆ คนไทย บ่นกันไหมครับ ว่าบ้านเรามีคนที่มีความรู้มากมาย ไปดูงานกันมาก็มากมาย แต่ทำไมปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะปัญหาของส่วนรวม จึงยังไม่ถูกแก้สักที

แน่ละว่าในชีวิตของเรา เราเผชิญปัญหาหลากหลายด้าน หลายๆ ครั้ง หลายปัญหา ที่เรามองข้ามและทนๆ กันไป (พร้อมกับบ่น) แต่หลายๆ ปัญหา เรากลับเลือกที่จะเผชิญหน้า และพยายามแก้ไขมัน

อะไรเป็นตัวกำหนดให้เรานิ่งเฉย หรือลงมือกับปัญหานั้นๆ? ตัวกำหนดนั้นคือ ‘ความรู้’ ที่เรามี ใช่หรือไม่?

ผมว่า ก็ไม่น่าจะใช่นะครับ เพราะหลายเรื่องเราเองก็มีความรู้ แต่เราก็ยังอาจจะเพิกเฉยกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

แล้วถ้างั้นอะไรคือตัวกำหนดให้เราต้อง ‘รู้สึก’ ทนไม่ไหว จนต้องลงมือแก้ปัญหาดังกล่าว?

ก็อย่างที่เห็นในคำถามนั่นแหละครับ สิ่งที่เป็นตัวกำหนดให้เราลุกขึ้นมาแก้ปัญหาก็คือ ‘ความรู้สึก’ ของเรานั่นเอง

หลายครั้ง ที่เรา ‘รู้สึก’ ว่าเราไม่อาจทนต่อปัญหานี้ได้แล้ว และเราต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แม้ว่า ในตอนแรก (ที่เรารู้สึก) เราอาจยังไม่มี ‘ความรู้’ ใดๆ เลย แต่ความรู้สึก นั่นแหละที่จะบอกหรือกระตุ้นให้เราไปหาความรู้มาให้ได้

ในทางตรงกันข้าม หลายๆ เรื่อง เรามีความรู้อยู่กับตัวเราแล้ว แต่เราไม่มี ‘ความรู้สึก’ ที่ชัดเจน หรือเข้มแข็ง เราก็ทิ้งปัญหานั้นไว้ ให้คงอยู่ควบคู่กับความรู้ของเรา

กล่าวในแง่นี้ ‘ความรู้สึก’ เป็นตัวบ่งบอกถึง ‘ความสำคัญ’ หรือ ‘ความหมาย’ ที่เรื่องๆ นั้นมีต่อตัวเรา หรือในทางกลับกัน ความหมายที่ตัวเรามีต่อเรื่องๆ นั้น

น่าเสียดาย ที่ในระบบการศึกษาไทยมักมอง ‘ความรู้สึก’ ว่าเป็นเรื่อง ‘ส่วนตัว’ บ้าง และไม่ใช่ ‘สิ่งที่จับต้องได้’ บ้าง ความรู้สึกจึงมีพื้นที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ ‘ความรู้’ แม้ว่า ความรู้สึกนั่นเองที่จะทำให้ ‘ตัวเรา’ ลุกขึ้นมา ‘จับต้อง’ เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ แทนที่จะนิ่งเฉยเสีย ก็ตาม

ห้องเรียนของเราจึงมุ่งเน้นการดาวน์โหลด ‘ความรู้’ ลงไปให้ผู้เรียน โดยที่ผู้สอนอาจไม่มีเวลาหรือพื้นที่สำหรับการรับรู้และเรียนรู้ถึง ‘ความรู้สึก’ ของผู้เรียนแต่ละคนเลยก็ได้

แน่นอนว่า ‘ความรู้สึก’ ก็เหมือนกับ ‘ความรู้’ นั่นแหละ ความรู้สึกบางอย่างอาจช่วยให้เราแก้ไขปัญหาได้ แต่ความรู้สึกบางอย่าง นอกจากไม่ช่วยแล้วยังอาจทำให้ปัญหานั้นๆ รุนแรงมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ แม้ว่าแต่ละคนจะเผชิญหรือประสบกับสถานการณ์ปัญหาเดียวกัน เราก็อาจจะมีความรู้สึกแตกต่างกันก็เป็นได้

เราจึงจำเป็นต้องหยั่งรู้ ‘ความรู้สึก’ ของผู้เรียนแต่ละคน และนำ ‘ความรู้สึก’ เหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

เพราะฉะนั้น ความรู้สึกจึงเป็นปฏิบัติการร่วมกันของคนในสังคม ซึ่งการเรียนรู้ร่วมกันจะทำให้ผู้เรียนได้ทราบว่า เรื่อง/ประเด็นใดสำคัญหรือไม่สำคัญ? สำหรับใครบ้าง? เพราะอะไร? และความรู้สึกใดจะได้รับการยอมรับมากกว่าความรู้สึกอื่นๆ? ในสังคมแบบใด? เพราะอะไร?

แต่เราจะทำสิ่งนั้นไม่ได้เลย หากห้องเรียนของเราเต็มไปด้วยการดาวน์โหลด ‘ความรู้’ และการวัดผล ‘ความรู้’ โดยไม่เหลือพื้นที่ไว้สำหรับการรับรู้และการแลกเปลี่ยน ‘ความรู้สึก’

แล้วเราจะทำให้เกิด ‘ความรู้สึก’ และเรียนรู้เกี่ยวกับ ‘ความรู้สึก’ ได้อย่างไรในห้องเรียนของเรา

ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า ‘ความรู้สึก’ ก็คือ สิ่งที่บ่งบอกว่า ปัญหานั้น หรือสิ่งนั้น มี ‘ความหมาย’ ต่อเราอย่างไร ความรู้สึกจึงเกิดจากการที่ตัวเราได้มีโอกาสที่จะมี ‘ปฏิสัมพันธ์’ กับปัญหานั้นหรือสิ่งนั้น แล้วเราจึงมาแปลหรือกำหนดขึ้นเป็น ‘ความหมาย’ ที่มีในใจของเราเอง

การสร้างปฏิสัมพันธ์หรือปฏิบัติการต่อสิ่งนั้นหรือสถานการณ์นั้นจึงเป็นตัวช่วยให้เรา และผู้เรียนของเราเกิด ‘ความรู้สึก’ ต่างๆ ขึ้นมาได้

การรับฟังเรื่องราวจากชีวิตจริง การชมภาพยนตร์ การเล่นเกมจำลองสถานการณ์ การใช้บทบาทสมมุติ การอภิปรายถกเถียงกัน การใช้ละคร ฯลฯ ล้วนเป็นสะพานเชื่อมที่ดีระหว่างตัวผู้เรียนกับเรื่องราวปัญหานั้นๆ

แต่สะพานเชื่อมแบบใด (หรือกลวิธีแบบใด) จะเหมาะสมสำหรับการทำให้เกิด ‘ความรู้สึก’ ในเรื่องนั้นๆ ย่อมขึ้นอยู่กับ (ก) ตัวผู้เรียน (เช่น เพศสภาพ วัย สาขาวิชา ความชอบ ความสนใจ เป็นต้น) (ข) เรื่องราวของสถานการณ์นั้นๆ (ค) ตัวสื่อการเรียนรู้ที่มี และ (ง) เงื่อนไขการเรียนรู้ที่มี (เช่น จำนวนผู้เรียน เวลา และสภาพแวดล้อมในห้องเรียน เป็นต้น)

แม้ว่า สะพานเชื่อมหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับเรื่องราวๆ จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการสร้าง ‘ความรู้สึก’ นั้น แต่ ‘สะพานเชื่อม’ ก็ยังคงเป็นเพียงแค่สะพานเชื่อม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเดินข้ามสะพานนั้น เพราะฉะนั้น ผู้สอนหรือผู้อำนวยการเรียนรู้จึงจำเป็นต้องรับรู้ว่า ผู้เรียนแต่ละคนเดินข้ามสะพานดังกล่าวหรือไม่ เดินข้ามไปสู่อะไร? (หรือมีความรู้สึกอย่างไร) ทำไมจึงมีความรู้สึกนั้น? และเมื่อมีความรู้สึกนั้นแล้ว ผู้เรียนจะทำอย่างไรต่อไป?

การรับรู้และการแลกเปลี่ยน ‘ความรู้สึก’ ของกันและกันจึงสำคัญมาก ผู้สอนจึงควรแบ่งสรรเวลาสำหรับการเรียนรู้เรื่องความรู้สึกต่างๆ ที่ผู้เรียนมีต่อเรื่องๆ นั้น โดยไม่กำหนดไว้เป็นหลักสูตรตายตัวว่า ผู้เรียนจะต้องมีความรู้สึกอย่างไร? แต่ควรให้ผู้เรียนได้รับรู้และเรียนรู้ในความรู้สึกของคนอื่นที่อาจแตกต่างออกไปจากตนด้วย

แน่ละว่า ไม่ใช่ทุกสะพานเชื่อมสู่ความรู้สึกจะทำงานได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้เรียนแต่ละคน เช่นเดียวกับการถ่ายทอดความรู้ ที่อาจไม่ได้ผลบ้างเช่นกัน เพียงแต่ในแง่ความรู้เราอาจนำ ‘การสอบ’ มาใช้เป็นกลไกบังคับให้ผู้เรียนขวนขวายหา ‘ความรู้’ กันเอาเอง เพื่อให้ผ่านการสอบไปให้ได้

แม้ว่าในที่สุดแล้ว ความรู้แบบนั้นอาจเป็น ‘ความรู้’ ที่ปราศจาก ‘ความรู้สึก’ ควบคู่มาด้วย และหลายครั้ง ความรู้ที่ปราศจากความรู้สึกก็ไม่มีความหมายใดสำหรับผู้เรียน นอกเหนือจากการสอบ นั่นทำให้ภายหลังจากการสอบผ่านไป ผู้เรียนก็อาจจะทิ้งความรู้ที่เคยมีไปด้วยนั่นเอง

ในทางตรงข้าม หากเราทำให้ ‘ความรู้’ นั่นมาควบคู่กับ ‘ความรู้สึก’ ความรู้สึกจะเป็นตัวกำกับว่า เรื่องนั้นมีความหมาย/ความสำคัญต่อผู้เรียน และ ‘ความรู้’ ที่จะนำมาใช้ ก็ย่อมจะมีความหมายต่อผู้เรียนไปในระยะยาว

ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องทำให้ห้องเรียนของเรา หรือการเรียนรู้ของเรา มีทั้งความรู้และความรู้สึกควบคู่กัน เราจึงต้องแบ่งเวลาสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์หรือสะพานเชื่อมระหว่างผู้เรียนกับสิ่งที่กำลังเรียน เราจึงต้องออกแบบกระบวนการสำหรับการรับรู้ และการเรียนรู้ถึง ความรู้สึกของผู้เรียน (และของตัวผู้สอนเองด้วย)

Tags:

ความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)เดชรัต สุขกำเนิดการศึกษา

Author:

Related Posts

  • เมื่อสังคมชวนกันตั้งคำถาม #โรงเรียนขโมยอะไรไปจากคุณ: ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Learning Theory
    สังเกต เลียนแบบ เปรียบเทียบ และการกำกับตนเอง : มองการเรียนรู้ผ่าน social cognitive theory

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    อนุญาตให้ตัวเองเปราะบางบ้าง เพราะการเข้มแข็งตลอดก็อาจทำร้ายตัวเองได้ (The Power of Vulnerability)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    เด็กซึมซับการควบคุมอารมณ์จากครู: ครูใจเย็น รับฟัง มีสัมพันธ์ดี พฤติกรรมเด็กจะดีขึ้นเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

ที่ปรึกษาให้ตัวละครในนิยาย : วิธีระบายความเจ็บปวดโดยไม่ต้องเล่าแต่เข้าใจ
Character building
28 August 2018

ที่ปรึกษาให้ตัวละครในนิยาย : วิธีระบายความเจ็บปวดโดยไม่ต้องเล่าแต่เข้าใจ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ antizeptic

  • การบ้านจากกิจกรรมรักการอ่านส่วนใหญ่คือให้นักเรียนสรุปประเด็นของหนังสือที่อ่าน แต่คลาสนี้กลับเสนอให้นักเรียน ‘เป็นที่ปรึกษาของตัวละคร’ ที่พวกเขาเพิ่งอ่านจบ
  • จุดประสงค์ไม่ใช่ปริมาณหนังสือ แต่คือเครื่องมือช่วยให้นักเรียนชำระบาดแผลความทุกข์เศร้าในชีวิต โดยไม่จำเป็นต้อง ‘เล่า’ แต่ขยับเป็น ‘ที่ปรึกษา’ แทน
  • เข้าใจโลกภายในของคนอื่น รู้จักความแตกต่าง มีความยืดหยุ่นและเห็นการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอน คือคุณสมบัติที่อยากสร้างให้กับนักจิตบำบัดตัวน้อย

คุณูปการอันทรงพลังของนิยาย คือการพาผู้อ่านไปเข้าใจโลกภายในหลายใบของตัวละคร แม้ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนั้น ไม่เห็นด้วย ไม่รัก แต่อาจเข้าใจ จะเป็นอย่างไรถ้าไม่ใช่แค่การอ่าน แต่ให้เด็กๆ เป็น ‘ที่ปรึกษาของตัวละคร’ จำลองตัวเองเป็น ‘นักจิตบำบัด’ ของตัวละครที่เพิ่งค้นพบ แล้วอธิบายว่าทำไมพวกเขาจึงคิดหรือทำแบบนั้น

นี่คือวิธีคิดและนำไปใช้จริงในห้องเรียนของ โรเบิร์ต วาร์ด (Robert Ward) นักการศึกษาและนักเขียน ด้วยความคิดตั้งต้น 2 อย่าง

1. เพื่อช่วยให้เด็กสะท้อนเรื่องราวโหดร้ายหรือเจ็บปวดของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้อง ‘เล่า’ ให้ครูฟัง แต่ผ่านการให้คำปรึกษาต่อตัวละคร

2. กับเด็กที่ไม่ได้มีประสบการณ์เลวร้ายโดยตรง วิธีนี้จะช่วยถ่างใจให้กว้าง เข้าใจคอนเซ็ปต์ความแตกต่าง พร้อมจะเข้าอกเข้าใจ (empathy) ผู้อื่น หรือเตรียมความพร้อมกับตัวเองหากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคต

เขาอธิบายที่มาที่ไปและแรงบันดาลใจการสอนรูปแบบนี้ไว้ในบทความเรื่อง ‘Life Lessons From Fictional Characters’ (วิชาชีวิตจากตัวละครในนิยาย) ไว้ว่า ประสบการณ์จากการสอนทำให้เห็นว่านักเรียนแต่ละคนมีบาดแผลของตัวเองและมันย่อมสร้างผลกระทบต่อการเติบโตของพวกเขา

วาร์ดต่อยอดห้องเรียนจากแนวคิดนี้รวมกับโมเดลเรื่องสิ่งที่ได้จากการอ่านนิยาย โดยเสนอให้เด็กๆ เป็น ‘ที่ปรึกษาของตัวละครในนิยาย’ ให้พวกเขาทดลองเป็นผู้ให้คำปรึกษาและนำพาตัวละครให้ผ่านความเจ็บปวดนั้น

“เมื่อเขาอยู่ในฐานะนักจิตบำบัดของตัวละครในนิยาย นักเรียนที่มีบาดแผลไม่ว่าจากเรื่องอะไร พวกเขาจะค้นหาความเกี่ยวข้องระหว่างตัวเองกับตัวละครและให้คำแนะนำที่ใช้ได้จริงกับตัวละครได้ แม้ว่าความเจ็บปวดของตัวละครนั้นอาจไม่ใกล้เคียงกับชีวิตของพวกเขาเลย

“สำหรับเด็กๆ ที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรในชีวิตขนาดนั้น การให้คำแนะนำกับตัวละครยังสร้างทักษะการให้คำปรึกษาต่อคนอื่นด้วยความเข้าใจ ในเวลาที่คนอื่นต้องการความช่วยเหลือ” วาร์ดอธิบาย

วิธีสร้าง ‘ที่ปรึกษาของตัวละคร’

วิธีการคือ ให้เด็กๆ ‘เขียนบทสนทนา’ ระหว่างพวกเขากับตัวละคร ขั้นแรกให้นักเรียนเลือกเวลาหรือสถานการณ์ที่ตัวละครนั้นๆ กำลังอยู่ในช่วงเวลาเคร่งเครียด แต่วิธีการที่พวกเขาจะระบายความเครียดคืออะไร จุดนี้ให้นักเรียนเป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง ภายใต้เงื่อนไขว่าต้องเป็นการกระทำบนฐานของตัวละครนั้นๆ และต้องสมจริง

อย่างไรก็ตาม เด็กๆ กำหนดเพิ่มเติมได้ว่าข้อจำกัดหรือบริบทในสถานการณ์นั้นคืออะไร เพียงแต่ต้องมีสัญลักษณ์หรือเปรย (hint) ไว้ในนิยายเรื่องนั้นจริงๆ ด้วย

ในการเขียนบทสนทนา วาร์ดให้เด็กๆ ปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้

พูดความจริง: นักเรียนต้องอนุญาตให้ตัวละครได้ระบายความอึดอัดคับข้อง และทำให้ตัวละครรู้สึกสบายใจที่จะเข้าอกเข้าใจสถานการณ์นั้น โดยให้ตัวละครได้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง ขั้นตอนนี้ทำให้เด็กๆ รับมือกับประเด็นที่ซับซ้อนโดยเฉพาะเรื่องของอารมณ์และความเคร่งเครียด มากกว่าให้เด็กๆ ‘สรุป’ ว่านิยายเรื่องนี้มีใจความว่าอะไร

ทำความรู้จักอารมณ์: นักเรียนต้องขอให้ตัวละครนั้นๆ อธิบายว่า สิ่งที่ติดอยู่หัว หรืออะไรคืออารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในใจของตัวละครนั้นจนสลัดไม่หลุด และขอให้นักเรียนพูดคุยกับตัวละครนั้นให้เข้าใจว่าความรู้สึกดังกล่าวมีอิทธิพลต่อตัวละครอย่างไร วิธีการนี้จะช่วยให้นักเรียนขยับจากความเข้าใจไปเป็น ‘อนุมาน’ ถึงสิ่งที่อยู่ในใจและไม่อาจอธิบายออกมาได้

วิเคราะห์การกระทำ: นักเรียนต้องช่วยให้ตัวละครเห็นว่าการกระทำของพวกเขาเป็นผลจากความรู้สึกที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การกระทำของตัวละครอาจทำให้สถานการณ์นั้นแย่ลงหรือกระทบต่อคนอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็ได้ ขั้นตอนนี้จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจความเชื่อมโยงของเหตุการณ์หนึ่งสู่อีกเหตุการณ์หนึ่ง

ก้าวต่อไป: นักเรียนต้องช่วยให้ตัวละครเข้าใจเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างเข้าอกเข้าใจ ให้กำลังใจตัวละครเหล่านั้นสู่การให้อภัยและนำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ได้สำเร็จ ขั้นตอนนี้ นักเรียนจะมีทักษะการแก้ปัญหาหรือคิดหาทางแก้ไขให้กับตัวละครนั้นๆ ได้นำไปพิจารณา

วาร์ดถอดบทเรียนของคลาสนี้ว่า นอกจากจะเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เลือกตัวละครที่เขาอยากพูดคุยทำความเข้าใจ และได้พัฒนาทักษะเรื่องความฉลาดทางอารมณ์หรือ EQ แล้ว ยังทำให้พวกเขาเข้าใจความรู้สึกของการเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น และเข้าใจความแตกต่างหลากหลายของผู้คน ส่วนประเด็นของการชำระเรื่องราวภายในของตัวนักเรียน แม้ว่าไม่ได้เปิดเผยโดยตรง แต่มันย่อมปรากฏอยู่ในบทสนทนาระหว่างตัวนักเรียนและตัวละครที่พวกเขาคุยด้วยโดยอัตโนมัติ

ส่วนเคล็ดลับของการเป็นนักบำบัด ซึ่งคุณครูอาจนำไปลองใช้กับนักเรียนเอง หรือแนะให้นักเรียนใส่ไว้ในบทสนทนาระหว่างพวกเขากับตัวละคร มีเทคนิคดังนี้

บทสนทนาเปิด: “ฉันอยากรับฟัง ช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ?”

ดำเนินบทสนทนา: “ฉันอยากเข้าใจเรื่องตรงนี้จัง ช่วยอธิบายจุดนี้เพิ่มเติมหน่อยได้มั้ยคะ”

ยื่นความช่วยเหลือ: “ฉันตั้งใจอยากจะช่วยเหลือจริงๆ เรากลับมาพูดคุยประเด็นนี้กันอีกสักครั้งได้มั้ยคะ?” หรือ “ฉันอยากจะให้กำลังใจคุณในประเด็นนี้ค่ะ”

ช่วยสะท้อนกลับ: “สิ่งที่ฉันเข้าใจก็คือ…” หรือ “คุณกำลังรู้สึก… รึเปล่าคะ?”

ที่มา: https://www.edutopia.org
https://www.cbsnews.com

Tags:

ครูคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนจิตวิทยาการฟังและตั้งคำถาม

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • Unique Teacher
    “ไม่ได้ชี้นำแต่ถามให้คิด” ห้องที่เรียนจากคำถาม เกม และสิ่งที่ผู้เรียนสงสัย

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Learning TheoryBook
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน
Early childhoodCharacter building
24 August 2018

อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • บ้านเราไม่ต้องใหญ่ บ้านเราไม่ต้องรวย บ้านเราไม่ต้องที่สุด แต่บ้านเราต้องสะอาด หลักการง่ายๆ ที่โรงเรียนอนุบาลบ้านรักยึดถือเป็นอุดมการณ์
  • ที่นี่ไม่มีคำนำหน้าว่าโรงเรียน แต่ใช้คำว่าบ้าน ไม่มีการสอนให้เรียนเขียนอ่าน แต่ให้เด็กๆ เรียนรู้ผ่านสิ่งที่ทำกันอยู่ทุกวัน
  • การเรียนรู้แบบ ‘บ้าน’ เป็นกระบวนการทำให้เด็ก ‘มีวิถีชีวิต และกิจวัตรประจำวัน’ ผ่านการทำงานบ้าน งานครัว งานสวน
ภาพ: พชรกฤษณ์ โตอิ้ม

“ส่งลูกเข้าเรียนหลัง 7 ขวบ” ฟังดูง่ายแต่ทำยาก ในโลกปัจจุบันที่ทั้งพ่อและแม่ต้องทำงานหาเงิน ยิ่งมีลูกยิ่งต้องทำงานหนัก  ความรักที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดนั่นโน่นนี่ เด็กๆ ส่วนใหญ่จึงถูกส่งเข้าโรงเรียนตั้งแต่ 3 ขวบ

เมื่ออยู่บ้านจริงๆ ไม่ได้ อนุบาลที่เหมือนบ้านมากที่สุดน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก

เราจึงชวนไปเปิดรั้ว ‘อนุบาลบ้านรัก’ ที่เรียกตัวเองว่าบ้าน ไม่ใช่โรงเรียน ก่อตั้งขึ้นโดย ‘ครูอุ้ย’ อภิสิรี จรัลชวนะเพท ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาวอลดอร์ฟ

ที่ไม่เรียกว่าโรงเรียน เพราะที่นี่ไม่สอนเขียน อ่าน และนับเลข สิ่งที่เด็กๆ จะเจอทุกวัน ไม่ใช่กระดานดำ แต่คือ คลองเล็กๆ ที่มีน้องปลาและน้องเต่าแหวกว่ายไปมา สนามหญ้าที่มีกระต่ายวิ่งวุ่น ลานทรายที่ไม่จำกัดเวลาเล่น

ตารางสอนห้าวันของเด็กๆ วนเวียนอยู่กับคำสามคำคือ ‘งานบ้าน งานครัว และ งานสวน’

อนุบาลบ้านรัก เกิดขึ้นได้อย่างไร

ย้อนกลับไปก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณปู่ครูอุ้ยเป็นครูแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ (พื้นที่อนุบาลบ้านรัก) พอเกิดสงคราม โรงเรียนปิดกันหมด คุณปู่เป็นผู้ต้นคิดว่า บ้านเราเป็นครู ทำไมเราไม่เปิดบ้าน แล้วให้นักเรียนแถวนี้ มาเรียนที่บ้านกันล่ะ

พอสงครามสงบก็เปิดเรื่อยมา จนถึงรุ่นที่ 2 ของคุณป้าและคุณอา ตอนเด็กๆ ครูอุ้ย ได้เห็น ได้เติบโตในบ้านที่เป็นโรงเรียน เห็นทุกอย่างที่เขาบริหาร คุณครูที่อยู่กับเราก็ช่วยเลี้ยงครูอุ้ยด้วย

ครูอุ้ยโชคดี ตอนเด็กๆ ได้ไปอยู่อนุบาลของท่านอาจารย์หม่อมดุษฎี บริพัตร ซึ่งช่วงนั้นท่านได้นำการศึกษาเด็กอนุบาลเข้ามา แล้วเราจำได้ว่าความสุขในวัยเด็กตอนนั้น คือ ได้กินอิ่มนอนหลับ มีแค่นี้จริงๆ ไม่มีความจำในสมองเลยว่าอนุบาลมีเขียนอ่าน แต่ที่มีความสุขที่สุดคือได้ร้องเพลง เล่นทราย ได้เล่นอย่างไร้ขีดจำกัด ทั้งวัน ครูอุ้ยจึงอยากให้เด็กๆ มีความสุขอย่างที่ครูอุ้ยเคยมี

พอมาตั้งเป็นอนุบาล ก็เรียกตัวเองว่า ‘อนุบาล’ ไม่มี ‘โรงเรียน’ นำหน้า ครูอุ้ยคิดว่าตั้งแต่มีคำว่าโรงเรียนนำหน้าอนุบาล มันทำให้คุณครูอนุบาลทำงานยากขึ้น เพราะครูจะอธิบายผู้ปกครองให้เข้าใจได้ยังไงว่า การพาลูกมาอยู่ในอนุบาล หมายความแค่ การอบรม ดูแล เลี้ยงดู อย่างถูกต้องตามธรรมชาติของเด็กแล้วมีความสุข ยังไม่มีคำว่าเขียน อ่าน อย่างที่โรงเรียนทำหรือสอน

เราต้องทำความเข้าใจกับตัวเองให้ได้ว่านี่คืออนุบาล เราคือการศึกษาแบบ วอลดอร์ฟ เพราะเป็นธรรมชาติของเด็กอย่างที่เราต้องการที่สุดแล้ว

การศึกษาแบบ ‘วอลดอร์ฟ’ ของอนุบาลบ้านรัก มีรูปแบบอย่างไร

การศึกษาแบบวอลดอร์ฟคือการศึกษาที่จะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ถ้ามองความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเป็นองค์รวม เอาง่ายๆ คือ Education toward to Freedom การศึกษาเพื่อความหลุดพ้น freedom ในที่นี้ มากกว่าเพื่ออิสรภาพ แต่เพื่อการหลุดพ้น อันนี้คือเป้าหมายที่สูงมาก คือการเป็นคนที่สมบูรณ์

ครูอุ้ย มองว่าวันนี้ของเด็กๆ จะทำอย่างไรเพื่อไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ครูอุ้ยอยากให้เด็กเข้มแข็งดั่งขุนเขา ราวกับหิน มีน้ำใจไหลรินดั่งน้ำใส ความขยันใฝ่รู้ดั่งเปลวไฟ ลึกภายในใจสงบดั่งฟ้าคราม ครูอุ้ยก็อยากให้เด็กในอนุบาลวอลดอร์ฟของครูอุ้ย มีองค์รวมแบบนี้ มีความเข้มแข็ง แล้วก็มีความไหลลื่น มีสิ่งที่อยากใฝ่หาแต่อยู่บนพื้นฐานของความสงบ ถ้าไม่เป็นแบบนี้นะ อนาคตที่อยากจะให้สมบูรณ์ครูอุ้ยก็ไม่รู้ว่าจะถึงหรือเปล่า

ครูอุ้ยมีวิธีการช่วยให้เด็กมีคุณสมบัติเหล่านี้ได้อย่างไร

สร้างผ่าน ‘งานบ้าน งานครัว งานสวน’ เพราะถ้าเราไม่ทำสามสิ่งนี้ทุกวัน บ้านก็เละ เราสอนเด็กทำทุกวัน ตารางเวลาในหนึ่งวัน fixed ไว้อยู่แล้ว ผลปลายทางคือทุกอย่างจะเรียบร้อย ทุกอย่างจะง่ายขึ้น ถ้าเราไม่ทำ อันนี้ก็ไม่ทำ เสื้อผ้าก็ไม่พอ กินแล้วก็ไม่ล้างจาน ชีวิตก็จะยุ่งเหยิงมากขึ้น อันนี้ถ้าอยู่คนเดียวก็ยังพอโอเค แต่ถ้ามี partner ด้วยก็จะยิ่งแย่ไปอีก แล้วถ้ามีลูกด้วย ปัญหาด้านอารมณ์เข้ามา เอาเป็นว่าถ้าเราไม่จัดการทุกวันให้เรียบร้อย เราจะลำบากตัวมากขึ้น

คำว่าอนุบาลคือการศึกษาสำหรับเด็ก เราจัดอนุบาลเพื่อที่จะให้การศึกษาเด็กและเลี้ยงดูเด็ก คำว่าโรงเรียนที่ถูกต้องคือใช้กับ ป.1 อนุบาลก็ไม่ใช่โรงเรียน ถ้าอนุบาลไม่ใช่แบบโรงเรียน ก็ต้องเป็นแบบบ้าน มันถึงมีคำนี้ขึ้นมาว่า คุณต้องจัดบ้านที่มันน่าอยู่สำหรับเด็ก คุณลองเข้าไปดูสถานที่เลี้ยงเด็กสิ มันมีหน้าตาเหมือนบ้าน หรือหน้าตาเหมือนโรงเรียน

เด็กทุกคนตื่นเช้ามาจากบ้าน ถ้าเช็ดถูปัดกวาดจากบ้านมาแล้ว พอมาถึงอนุบาล เด็กๆ ก็ต้องมาปัดกวาดเช็ดถู เพราะนี่ก็เป็นบ้านเด็กด้วยเหมือนกัน

โรงเรียนอนุบาลไม่ใช่ pre-school เพราะ pre-school เป็นกระบวนการการเรียนการสอนแบบท่องจำ การสร้างเนื้อหา สาระ ทั้งใกล้ตัว ไกลตัว แต่อนุบาลแห่งนี้เป็นการเรียนรู้แบบ ‘บ้าน’ เป็นกระบวนการพาทำ เป็นกระบวนการแบบบ้านที่ครูอุ้ยต้องการทำให้เด็ก ‘มีวิถีชีวิต และกิจวัตรประจำวัน’ มันถึงออกมาเป็นกิจกรรมงานบ้าน งานครัว งานสวน โดยเอาวิถีชีวิตและชีวิตประจำวันที่เป็นปกติ มาใช้เป็นการจัดกระบวนการการเรียนรู้ในเด็กเล็กทั้งหมด

เด็กจะได้อะไรจากการเช็ด ถู ปัด กวาด

เช็ดถู ได้เรื่องพื้นที่ การพับผ้าจบมุมเป็นเรื่องของความพร้อมทางเชาวน์ปัญญา เช่น คู่เหมือน อะไรเหมือนกันวางไว้ตั้งนี้ อะไรไม่เหมือนเอาออกมา คืองานบ้านทุกอันช่วยเรื่องความพร้อมเป็นแบบฝึกหัดความพร้อมไปในตัว มีวิทยาศาสตร์ด้วยนะ เช่น  ซักผ้าเสร็จไปตากแดดให้แห้ง แห้งหรือยัง ไปดูซิ

ไฟลท์บังคับของงานบ้านคือต้องทำทุกวัน  เราเป็นแบบให้เด็กเลียนแบบ เด็กก็ได้วิชาความรู้เป็นพื้นฐานทุกวัน แบบที่ไม่ต้อง set up ด้วย เพราะคุณต้องทำอยู่แล้ว และคุณก็ต้องทำงานบ้านเพราะเป็นกิจกรรมที่มีค่ากับชีวิตของทุกๆ คนในบ้าน

ตอนสายเราจัดดื่มน้ำชา ของเด็กก็เป็นน้ำสมุนไพร น้ำผลไม้ เขายังต้องจัดโต๊ะเอง มีจาน มีขนม คนเป็นพี่ใหญ่มีหน้าที่รินน้ำให้น้องๆ

การที่พี่รินน้ำให้ก็ได้เรื่องความพร้อม ระหว่างรินน้ำให้ครบคนก็ต้องนับ อันนี้ได้เรื่องคณิตศาสตร์ น้องไม่มา เอาแก้วออก ได้เรื่องการทอน-การลดออกแล้ว ถ้าวันนี้มีใครมาใหม่ ก็เพิ่มเข้าไป นี่คือการบวก ช้อนส้อมวางซ้ายวางขวา ได้แล้วเรื่องซ้ายกับขวา

สรุปแล้วงานบ้านมีทุกพื้นฐานวิชาที่จะไปเรียนศึกษาต่อใน ป.1 เพียงแต่ว่าแบบฝึกหัดเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในกระดาษ ใครเอาแบบฝึกหัดชีวิตไปอยู่ในกระดาษ ครูอุ้ยว่าเสียโอกาส

นอกจากงานบ้านแล้วเด็กๆ ต้องทำอะไรอีก

กิจกรรมหลักของเด็ก เช่น วันจันทร์ร้อยดอกไม้ วันอังคารปั้นขนม วันพุธว่ายน้ำ ไม่ก็วิ่งเล่นข้างนอก วันพฤหัสบดีวาดสีน้ำ สีเทียน แล้ววันศุกร์เย็บปักถักร้อย เราจะทำงานศิลปะต่างๆ ในทุกวัน โดยยกมันขึ้นมาให้เป็นงานศิลปะประจำวัน นอกจากนั้นยังมีการทำสีเทียน พับกระดาษ ฯลฯ ซึ่งคุณครูจะจัดเอง

ส่วน ‘งานสวน’ พี่ๆ คนสวนจะทำงานอยู่รอบเด็กๆ ดูแลต้นไม้บ้าง กวาดต้นไม้บ้าง เด็กๆ เอง พออายุ 6 ขวบก็จะได้รับต้นไม้ให้ดูแล เพราะโตพอจะดูแลอย่างอื่นได้แล้ว ก็น่าจะดูแลต้นไม้ได้ ต้นไม้ต้องไม่ตายนะ เพราะเขาต้องมีวินัย ถ้าเขาไม่มีวินัย ต้นไม้จะตาย แล้วเขาจะดูแลตัวเองได้ยังไง

ถ้ามองจากคาแรคเตอร์ของครูอุ้ยแล้ว จะออกสไตล์ดุ เอาจริง เข้มงวด ไม่ปล่อย ครูอุ้ยจะบอกครูทุกคนว่า บ้านเราไม่ต้องรวยมาก บ้านเราไม่ต้องสวยที่สุด แต่บ้านเราต้องสะอาด ครูอุ้ยจะพูดอย่างนี้ ถ้าเก็บไม่เรียบร้อย ครูอุ้ยไม่รอช้า เก็บให้เลย เพราะครูอุ้ยจะไม่ปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นปัญหา รวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย

เด็กใหม่ๆ ครูอุ้ยจะจัดการเองหมด สอนพับผ้าเช็ดมือ หรือว่าควรจะเช็ดกระจกยังไง

เด็กที่อนุบาลบ้านรักจะมีบุคลิก หรือ คาแรคเตอร์อย่างไร

ครูอุ้ยมอง และใครๆ ก็บอกว่าเขาเป็นคนรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ เขาเป็นเด็กที่รู้อยู่ และเป็นเด็กที่เอาจริง จะไปจนสุด

มีเด็กคนหนึ่งอายุ 6 ขวบ เวลากินข้าวเราจะให้เด็กตักเอง คนนี้เขาชอบเส้นหมี่น้ำ ครูอุ้ยนั่งตรงนี้ เด็กนั่งข้างๆ เขาก็ตักช้อนที่หนึ่ง ช้อนที่สอง เราก็อื้อหือ สองช้อนเลยนะ ช้อนที่สาม เราทำตาโต แต่ไม่ได้คุยกัน เขาก็ยังส่งสายตาว่าหมด เขาเอาช้อนที่สี่ ทีนี้เราจะอ้าปากแล้ว คือกติกามีอยู่ว่า เธอต้องกินให้หมดนะ แต่ยังไม่ทันอ้าปากบอก เขาขยักเอาครึ่งช้อน แล้วก็ตวัดเอาอีกครึ่งช้อนกลับไปที่เดิม สรุปแล้วเขากินสามช้อนครึ่ง

ทีนี้เพื่อนๆ ก็กินช้อนสองช้อน แต่เด็กคนนี้กินสามช้อนครึ่ง ทีนี้พอตอนกินปุ๊บมันต้องมีน้ำใส่ไปในเส้นหมี่ด้วย เส้นมันอืด  จังหวะออกตัว ครึ่งชามหมดไป ยังโอเคอยู่ (หัวเราะ) เริ่มยืดตัวแล้ว เราก็ส่งสายตาว่าไหวไหม ไหวรึเปล่า เพราะว่าน้องๆ เขาใกล้หมดแล้ว ตัวเขาเองก็สูดหายใจ แต่เขาช้ามากเลยนะ เพราะว่าสามช้อนครึ่ง เขาก็กินเข้าไปและกินจนหมด ครูอุ้ยแบบ…หันมามองหน้าเขา ต้องจับตัวเขาเลย เหมือนอยากจะบอกว่าเขาเก่งมาก

เด็กอะไรยังไม่หกขวบ คุณคำนวณความสามารถในการบริโภคของคุณได้ชัดเจนขนาดนี้ คำว่าชัดเจนขนาดนี้คือ เขาประมาณได้ถูกต้องว่าสามช้อน แล้วเขาคะเนว่าสี่ช้อนคงไม่ไหวมั้ง เลยตวัดกลับเป็นสามช้อนครึ่ง ครูอุ้ยชอบ ณ โมเม้นท์ตรงนี้ว่าเขาใคร่ครวญและคิดแล้วว่า ของเขาสามช้อนคงไม่พอ ต้องอีกนิดนึงแต่ไม่ใช่สี่ เขาเป็นเด็กที่เก่งมาก มีความรับผิดชอบและสามารถควบคุมอะไรได้ และทำไปจนสำเร็จ

การเข้าใจพัฒนาการเด็กในแต่ละช่วงวัยสำคัญอย่างไร

การศึกษาของวอลดอร์ฟ เราตั้งเป้าประสงค์ไว้เรื่องเดียวคือ ความพร้อมที่สุดของร่างกาย เพราะเด็กจะสร้างร่างกายตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 7 ขวบ ภารกิจอันสำคัญที่เขาเกิดลงมาในโลกของมนุษย์ คือ เขาเกิดมาในร่างใหม่ เขาต้องทำงานกับร่างกาย ต้องเติบโต ต้องบำรุงเรื่องอาหาร ต้องออกกำลังกาย ฉะนั้นคุณครูต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้

เด็กสร้างเนื้อกายอยู่ ถ้าคุณครูพุ่งเป้าไปประเด็นอื่น คุณครูจะพลาดรากฐานของการเติบโตของมนุษย์ เพราะเด็กกำลังสร้างร่างกาย ทำไมคุณครูไม่ให้น้ำหนักไปที่ตรงนี้ ฉะนั้น งานบ้าน งานครัว งานสวนจึงเข้ามาตอบโจทย์ คุณมองเห็นความรับผิดชอบในตัวเด็กในเรื่องการกินอาหาร คุณมองเห็นการวางแผนที่แยบยลของเขาในการกินอาหาร คุณมองเห็นความสามารถทางด้านร่างกาย ความคล่องแคล่ว ออกไปสนาม ไปมีปฏิสัมพันธ์ เล่นกับเพื่อน ทะเลาะกับเพื่อน เล่นกับเพื่อนต้องทำยังไง ฯลฯ

แล้วสิ่งที่จะวัดว่าคุณผ่านชีวิตวัยเด็กไปแล้วก็คือ คุณทรงตัวได้ คุณบาลานซ์ได้ คุณกระโดดไปแล้วไม่ตกลงมา มือเหนียวปีนต้นไม้ได้ เท้าสามารถพยุงตัว

ครูอุ้ยใช้หลักการอะไรในการพัฒนาเด็กวัยอนุบาล

เราต้องให้ความสำคัญกับ 3 ส่วนคือ Head Hand และ Heart

3 องค์ประกอบนี้ทำให้มนุษย์มีความสมบูรณ์ได้ แต่เราจะต้องหาความรู้ไปอีกว่า แต่ละส่วนนั้นสัมพันธ์กับพัฒนาการในช่วงไหน

  • 7 ปีแรก 1-7 ปี เน้นหนักไปที่การลงมือทำผ่านสองมือ ใช้โค้ดง่ายๆ ว่า Hand
  • 7 ปีที่สอง 7-14 ปี เป็นช่วงที่สอง ช่วงนี้คือ Heart เกี่ยวข้องกับความรู้สึก
  • 7 ปีที่สาม 14-21 ปี ใช้โค้ดง่ายๆ คือ Head ใช้หัวให้คิดเป็น

7 ปีแรกที่ครูอุ้ยรับผิดชอบอยู่ เด็กเพิ่งได้ร่างกายใหม่แล้วก็เริ่มรู้ว่าตัวเองยืนตรงได้ แล้วใช้ร่างกายจนกระทั่งบาลานซ์ได้ สิ่งที่ครูควรรู้คือ ครูจะช่วยอะไรได้บ้าง ครูต้องรู้ว่าเขามีความมุ่งมั่นอะไร

ถ้าครูมุ่งไปที่ศักยภาพด้านร่างกาย เช่น เธอทำได้ ทำงานเองได้ รินน้ำให้น้องสิ เธอ 6 ขวบแล้ว น้ำหกเอาผ้ามาเช็ดสิ เธอพาน้องกลับเข้าที่สิ ดูสิทำอะไรได้เยอะแยะ สิ่งที่ทำไม่ใช่งาน แต่เด็กจะมีความรู้สึกว่า ฉันต้องทำ ฉันเป็นพี่ ฉันภูมิใจฉันทำได้ด้วย เด็กบางคนตะโกนบอกครูว่า ใครยังไม่ได้ถ้วยอีก มันเป็นสิ่งที่เขารับผิดชอบเองได้

สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยทำให้ความมุ่งมั่นของเด็กสำเร็จ มีอยู่อีก 4 ตัว เป็น sense-สัมผัสรู้ เรียกว่า lower sense ในช่วง 7 ปีแรก การสัมผัสแรกของเด็กก็คือ touching เมื่อสัมผัสเด็กก็จะรู้ว่า เลยจากมือเขาไปคือมือคนอื่น

Touching เด็กจะได้รับมาตั้งแต่แรกคลอด เมื่อครูเรียนรู้ว่าเด็กใน 7 ปีแรกว่า touching เป็นสัมผัสแรก ครูไม่ต้องทำอะไรมากเลย บางครั้งเด็กไม่ต้องตอบครูด้วย แค่สัมผัสใจก็พอ สิ่งนี้มีผลมาก เด็กที่โตมาในโรงพยาบาล ไม่มีใครเป็นผู้ปกครอง กับเด็กที่โตมาในบ้าน แตกต่างกันมาก การไว้ใจโลกก็แตกต่างกัน เด็กที่โตมาในสถานสงเคราะห์ เขาจะไม่ไว้ใจโลก ซึ่งก็คือ trust นั่นเอง

Trust คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ ถ้าเขาได้ touching ที่สมบูรณ์ ที่ดี เป็นไปอย่างทะนุถนอม และเข้าอกเข้าใจ

Life คือ สิ่งที่เด็กมีต่อโลก เช่น มนุษย์เราเกิดมาในโลก ต้องมีชีวิตอยู่และต้องตอบสนองกับโลก เช่น ถ้าเหนื่อยมาต้องนอน หิวมาก็ต้องกิน ครูอุ้ยก็จะให้ครูสังเกตง่ายๆ คือ ถ้าเขากินดี เขาก็จะถ่ายดี ถ้าเขาเล่นดี เขาก็จะหลับดี แล้วเด็กจะโตตอนหลับ เด็กที่ไม่ค่อยหลับ เขาจะโตยาก เด็กไม่ค่อยเล่นหรือเล่นไม่ค่อยเป็น ถึงเวลาจะหลับยาก เกิดอาการพะวง กระสับกระส่าย แต่เด็กที่เล่นแบบคลุกคลีตีโมง เวลาหลับจะหลับเลย หมดแรง กินเยอะ โตไว หน้าแดงเปล่งปลั่ง

ถ้าเขาเป็นไปได้ด้วยดี ก็บอกได้ว่าในอนาคตภายภาคหน้าเขาก็ดี ราบรื่น แต่ประเภทที่โตยาก โตลำบาก ทุกอย่างยากหมดเลย แล้วก็ยังพบว่าอันนี้ก็จะไปเชื่อมโยงกับ thought ระบบคิดในอนาคต

Movement เด็กเล็กจะเคลื่อนไหวตลอด นั่งไม่ได้ พอลงสนามปุ๊บ ก็เริ่มเคลื่อนไหว เริ่มหยิบจับ เล่นทันที เขาจะหาเรื่องเล่นตลอด มันไปเชื่อมโยงกับ wording ก็คือภาษา เขาก็จะมีชุดคำเยอะแยะสำหรับการเข้าใจโลก

Trust เชื่อมโยงกับ ego ของตัวเอง Life คือชีวิตความป็นอยู่ เป็นสิ่งที่มีผลต่อโลกที่เขาดำรงอยู่ สิ่งนี้จะไปเชื่อมโยงกับระบบคิดอย่างมั่นใจ ส่วน Movement ถ้าเราให้โอกาสเด็ก ทำโน่นทำนี่ เขาจะไปเชื่อมโยงกับภาษา มีชุดคำเยอะแยะสำหรับการเข้าใจโลก นี่แค่สามตัวนะ มันยังมีความหมายขนาดนี้เลย

ถ้าเขาไม่ทำ งานบ้าน งานครัว งานสวน เขาน่าจะมีปัญหา เพราะมันคือสิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิตความเป็นอยู่ของเขา ถ้าเขาต้องไปทำแบบฝึกหัด นั่งอยู่บนหน้าจอใหญ่ๆ ไม่ว่าจะไปดูอะไรก็แล้วแต่ หลายๆ บ้านก็ให้ดูซีดี หลายๆ บ้านก็ดูสารคดี แต่ความรู้เหล่านั้นมันไม่ได้ลงมือทำไง ไม่ได้อยู่ที่ Hand มันไม่ได้อยู่ในอายุตอบโจทย์ที่เขาจะได้ แค่นี้เราก็รู้แล้วว่ามันโยงหลายระบบ เด็กมีอะไรมากมายกว่านั้น

Balance เรา-ครูอนุบาลควรทำตอนนี้คือ สร้างบาลานซ์หรือการทรงตัวให้เด็กๆ สิ่งที่ครูอนุบาลทำคือร่างกายอย่างเดียวเลย ไม่ใช่เรื่องของความจำ หรือ เขียน อ่าน แต่อย่างใด เพราะว่าเมื่อทรงตัวได้แล้ว มันจะทรงใจได้ด้วย ข้างในมันจะเข้มแข็ง ไม่ว่าต่อไปจะเรียนอะไรภายภาคหน้า คุณจะหาวิธีเรียน เอาความรู้นั้นเข้าไปหาคุณได้ โดยไม่ต้องมีการซ้อมทำ

วันหนึ่งเด็กก็ต้องอ่านเขียนได้เอง เด็กต้องไปถึงอยู่แล้ว แล้วเราไปซ้อมทำไม เสียดายโอกาสที่เขาจะได้ทำงานบ้าน งานครัวงานสวน เรื่องของการอ่านเขียนมันไม่สายไปหรอก อ่านได้เร็วกว่าก็ไม่ได้แปลว่าอ่านได้เก่งกว่า การบรรจุข้อมูลได้เยอะก็ไม่ได้หมายความว่าจะเรียนรู้มากกว่า แต่เรียนไปใช้ไปให้เห็นผล แล้วเด็กจะขวนขวายเองในสิ่งที่เขาต้องรู้ เขาจะรู้เองว่าเขาขาดอะไร ทำไปทำไม นี่เป็นการทำอย่างมีความหมาย อันนี้เรียกว่าเป็นผลประโยชน์ต่อการเรียนรู้มากที่สุดของมนุษย์

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)งานบ้าน งานครัว งานสวนอภิสิรี จรัลชวนะเพทการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Learning TheoryEarly childhood
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

สเตลลา โบลส์ “HELLO, WORLD แม่น้ำสายนี้สกปรกมาก!”
Voice of New Gen
23 August 2018

สเตลลา โบลส์ “HELLO, WORLD แม่น้ำสายนี้สกปรกมาก!”

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • เริ่มจากการสังเกตเห็นเพื่อนบ้านปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำ แต่ผู้ใหญ่แถวนั้นไม่มีใครลงมือทำอะไรเลยสักคน
  • เด็กหญิงวัย 11 ปีจึงลุกขึ้นมาเปิดเพจเฟซบุ๊คและติดป้ายแจ้งเตือนว่า “แม่น้ำสายนี้สกปรก” หลังจากทดสอบแล้วว่าปนเปื้อนไปด้วยแบคทีเรียจากอุจจาระ…อี๋
  • นอกจากรางวัลโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ได้มา สิ่งสำคัญกว่าคือ การแก้ปัญหาน้ำเสียระดับนโยบาย โดยมีจุดเปลี่ยนมาจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

“ฉันอยากว่ายน้ำแต่แม่ก็ห้ามเสมอ”

ตอนอายุได้ 11 ปี สเตลลา โบลส์ (Stella Bowles) เธอสวมรองเท้าบู๊ทยางลงไปเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำลาเฮฟข้างบ้านมาทดสอบ บ้านของเธออยู่ในแถบชายฝั่งตอนใต้ของรัฐโนวาสโกเชีย แคนาดา หลังจาก อันเดรีย คอนราด แม่ของเธอบอกว่าเพื่อนบ้านกำลังใช้ท่อตรงอย่างผิดกฎหมาย ในปี 2015

“แม่อธิบายว่ามันเป็นท่อที่ต่อตรงจากห้องน้ำในบ้านสู่แม่น้ำ โดยไม่มีผ่านการบำบัดใดๆ นั่นทำให้ฉันมีคำถามต่อมาอีกเพียบ”

โบลส์ เรียนรู้วิธีการทดสอบน้ำจาก เดวิด แม็กซ์เวล นักฟิสิกส์และอดีตศาสตราจารย์ที่เกษียณแล้ว เด็กหญิงเก็บตัวอย่างน้ำนำมาวิเคราะห์และพบระดับของการปนเปื้อนอุจจาระในแม่น้ำสูงกว่ามาตรฐานที่รัฐบาลกลางแคนาดากำหนดไว้ – มันสกปรกเกินกว่าจะลงว่ายน้ำหรือแม้กระทั่งแล่นเรือผ่าน

ไม่นานหลังจากนั้น โบลส์ วางป้ายขนาดใหญ่ใกล้ท่าจอดเรือเตือนว่าแม่น้ำนี้ปนเปื้อนไปด้วยแบคทีเรียจากอุจจาระ เธอเปิดเพจในเฟซบุ๊คเพื่อกระตุ้นสมาชิกในชุมชนตามไอเดียของแม่ด้วย ทั้งคู่คิดว่าเพจนี้จะทำให้คนราว 100 คนรับรู้เรื่องแม่น้ำสกปรก แต่ผิดคาด เพราะมันเข้าถึงได้หลายพันคนในไม่กี่วันและกลายเป็นเรื่องที่ชาวชุมชนพูดถึงไปทั่ว

แคโรลิน โบลิวาร์-เก็ทสัน (Carolyn Bolivar-Getson) นายกเทศมนตรี กล่าวว่า กระทรวงสิ่งแวดล้อมใช้ระบบร้องเรียนเพื่อควบคุมการใช้ท่อตรงอย่างผิดกฎหมาย คือต้องมีรายงานการร้องเรียนก่อนจึงจะสามารถจัดการได้ และดูจากจำนวนครัวเรือนที่ใช้ท่อตรงทำให้การบังคับใช้เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย

“ฉันคิดจริงๆ นะว่า จุดเปลี่ยนมาจากโครงงานวิทยาศาสตร์ของเด็กหญิงวัย 11 ปี – สเตลลา โบลส์”

สเตลลา โบลส์

การตรวจสิ่งปนเปื้อนในแม่น้ำทำให้เด็กหญิงคว้าเหรียญเงินจากการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์งานแสดงวิทยาศาสตร์ปี 2017 ในฤดูร้อนปีเดียวกัน เธอช่วยโน้มน้าวให้รัฐบาลแคนาดาเปลี่ยนท่อทั้งหมดที่ต่อตรงลงแม่น้ำลาเฮฟเป็นถังบำบัดน้ำเสียภายในปี 2023 ทางการวางแผนจะติดตั้งถังบำบัดจำนวน 50-100 ถังในปี 2018 และอีกปีละ 100 ถังจนถึงปี 2023

ก่อนหน้านี้ แม็กซ์เวล เคยทดสอบและบันทึกการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียในแม่น้ำนานสองปีก่อนจะส่งผลให้รัฐบาลและเผยแพร่สู่สาธารณะในแบบของเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ เขามองว่า ความแตกต่างระหว่างแคมเปญของเขากับ โบลส์ คือแก่นของมัน

“เด็กๆ ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอิทธิพลต่อรัฐบาลด้วยการใช้ทักษะของโลกโซเชียลมาเป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะคุณก็รู้ดีว่าคุณไม่อาจปฏิเสธเด็กได้หรอก”

ตอนนี้ โบลส์ วัย 14 ปีได้ร่วมเขียนหนังสือเรื่อง My River และยังออกแบบอุปกรณ์ทดสอบน้ำให้กับเด็กคนอื่นๆ ในโนวาสโกเชียโดยใช้เงินทุนจากรางวัลที่เธอได้ แถมยังฝึกให้พวกเขาทดสอบแหล่งน้ำในชุมชนตัวเองด้วย

“ฉันอยากแสดงให้เด็กคนอื่นๆ เห็นว่า วิทยาศาสตร์ไม่ได้อยู่แค่ในหนังสือเหมือนที่โรงเรียน”

ผู้ใหญ่เป็นกองหนุน

งานวิจัยหลายแห่งแนะนำว่า ครอบครัวที่ทำงานอาสาร่วมกันจะมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น และการมีส่วนร่วมในชุมชนจะช่วยสร้างความมั่นใจในตัวเอง แถมลดโอกาสเกิดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเกิดในช่วงวัยรุ่น ได้ด้วย

มาดูกันว่าในฐานะผู้ใหญ่ใกล้ตัวเด็ก เราจะสามารถทำอะไรให้พวกเขาได้บ้าง

  • กระตุ้นความรับผิดชอบด้วยการมอบหมายงานบ้านให้ทำ
  • กระตุ้นให้เด็กๆ ช่วยคิดหาวิธีช่วยเหลือคนอื่นแบบง่ายๆ
  • ทุกครั้งที่คุณจะช่วยคนอื่น ลองให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมด้วย
  • อ่านหรือเล่าเรื่องเด็กคนอื่นๆ ที่ช่วยเหลือให้ชุมชนดีขึ้น
  • ส่งเสริมให้เด็กๆ เข้าร่วมในกิจกรรมที่ตรงกับความถนัดและความสนใจของพวกเขา เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ เพื่อช่วยให้เด็กๆ มองเห็นจุดแข็ง ทิศทาง เป้าหมาย และความเพลิดเพลินของตัวเอง

กิจกรรมช่วยเหลือชุมชนสไตล์เด็กๆ

อ๊ะ…ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งไปเร่งให้พวกเขากระโดดไปร่วมกิจกรรมในกลุ่มเคลื่อนไหวใหญ่ๆ เพราะพวกเขาอาจไม่เข้าใจและคงรีบถอยหนีให้เร็วที่สุด ลองมาเริ่มต้นด้วยกิจกรรมง่ายๆ ก่อนดีกว่า

  • รู้จักลงคะแนนเสียง ลองให้พวกเขาได้เลือกและออกความเห็นในสิ่งที่พวกเขาอยากช่วย แม้จะเป็นกิจกรรมเล็กน้อยอย่างให้อาหารสัตว์ มันจะมีความหมายมากหากเด็กๆ ได้เลือก
  • เริ่มต้นใกล้ๆ บ้าน เช่น ช่วยถอนหญ้าหรือกวาดใบไม้ให้คุณยายข้างบ้าน หรือช่วยทำธุระให้เพื่อนที่ป่วยอยู่ แล้วนำประสบการณ์นี้มาพูดคุยโยงไปถึงการช่วยเหลือชุมชนที่กว้างมากขึ้น
  • ส่งต่อคำขอบคุณ ชวนเด็กๆ และเพื่อนของเขามาทำกิจกรรมให้คนในชุมชน เช่น ทำการ์ดขอบคุณให้คุณลุงที่คอยรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน หรือทำการ์ดปีใหม่ให้คุณตำรวจจราจร ลองคุยกับพวกเขาดูว่ามีใครบ้างที่เด็กๆ อยากขอบคุณ
  • กิจกรรมรักษ์โลก เริ่มด้วยกิจกรรมง่ายๆ อย่าง พกขวดน้ำประจำตัวเพื่อลดการใช้พลาสติก ช่วยเก็บขยะตามข้างทาง หรือกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมเท่าที่เขาจะทำได้
ที่มา: https://www.pbs.org
https://www.citylab.com
https://www.scarymommy.com

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)พ่อแม่วัยรุ่นพลเมือง

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • How to get along with teenagerLearning Theory
    EP.3: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นไอซ์แลนด์ไม่ ‘เสพยา’ : พวกเขาแค่ไม่ว่าง และมีอะไรทำ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?
Learning Theory
21 August 2018

งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • รู้สึกมีส่วนร่วม มีความสำคัญในครอบครัว จัดลำดับความสำคัญในชีวิต มองเห็นความต้องการของคนอื่น เหล่านี้คือทักษะที่ศาสตร์ ‘งานบ้าน’ มอบให้
  • สัมภาษณ์ผู้ปกครองชาวอเมริกันกว่าหนึ่งพันคนถึงความคาดหวังในตัวลูก เกือบทั้งหมดให้ความสำคัญกับวุฒิภาวะทางใจ แต่สิ่งที่สนับสนุนกลับเป็น ‘ทักษะวิชาชีพ’
  • กว่าครึ่งเข้าใจว่า ‘งานบ้าน’ สร้างทักษะชีวิตและวินัยหลายอย่าง แต่หลายครั้งที่ขอให้ทำ ลูกๆ ก็ยังนั่งเฉย เพื่อตัดรำคาญ พ่อแม่จึงทำให้แทน
  • คำถามคือ เด็กๆ ขี้เกียจ หรือ พ่อแม่มีพฤติกรรมที่ทำให้เด็กสับสน ‘อยากให้ทำงานบ้านแต่ไม่อยากบังคับขู่เข็ญ’ หรือ ‘อยากให้ทำงานบ้าน หรือการบ้านกันแน่?’

เป็นความปรารถนาของผู้ปกครองหลายคน ถ้าเด็กๆ จะหยิบจับทำ ‘งานบ้าน’

ไม่ใช่แค่ความสบายของคุณพ่อและคุณแม่บ้าน แต่หลายคนตระหนักดีว่า เบื้องหลังศาสตร์แห่งการทำงานบ้าน นำมาซึ่ง skill หรือทักษะหลายอย่าง ไม่รวมวินัย และลักษณะนิสัยเฉพาะที่ตามมาจากศาสตร์นี้ เช่น ความใส่ใจและเข้าใจความต้องการของคนอื่น – ทักษะนี้แค่น้ำจิ้ม คุณูปการของการทำงานบ้าน จะขอยกไปคุยยาวๆ ในหัวข้อถัดไป

ประเด็นที่อยากชวนคุยจริงๆ ตามที่ เคเจ เดลล์ แอนโทเนีย (KJ Dell’Antonia) คอลัมนิสต์และนักเขียนประเด็นครอบครัว เขียนไว้ในบทความเรื่อง Happy Children Do Chores (เด็กที่มีความสุขจะทำงานบ้าน) คือประเด็นที่ว่า…

ผู้ปกครองรู้ว่าการทำงานบ้านมีประโยชน์และต่างอยากขอให้ลูกๆ หยิบจับ แต่ติดที่ประโยคเหล่านี้ เช่น ‘งานหลักของพวกเขาคือเรียนหนังสือ’ ‘บอกแล้วแต่พวกเขาไม่ทำ’ ‘ไม่อยากบังคับลูกนี่นา’ และคำอธิบายอื่นๆ ตามบริบทของแต่ละครอบครัว

แต่หลังจากศึกษาด้วยแบบสำรวจและงานวิจัยหลายชิ้น เธอตั้งคำถามว่า ผู้ปกครองแสดงพฤติกรรมที่ทำให้ลูกสับสนเกี่ยวกับการจัดลำดับในชีวิตหรือเปล่า?

ไม่ใช่แค่ ‘งานบ้าน’ แต่คือ ‘ทักษะชีวิต’

มีงานวิจัยเรื่อง Involving Children in Household Task: Is It Worth the Effort? (เด็กๆ ที่ช่วยทำงานบ้าน: สำคัญพอให้เราพยายาม(สร้างทักษะนี้)ไหม?) โดยติดตามเด็กจำนวน 84 คน ผ่านการสัมภาษณ์เด็กและติดตามพฤติกรรมคนในครอบครัวเป็นเวลาร่วมสิบปี โดยจะกลับไปติดตามพวกเขา 3 ช่วงวัยคือ เมื่ออายุ 3 หรือ 4 ปี, 9 หรือ 10 ปี และ 15 หรือ 16 ปี และพูดคุยผ่านโทรศัพท์เมื่อพวกเขาอายุราว 25 ปี

ติดตามอะไรบ้าง? พวกเขาบันทึกข้อมูลตั้งแต่ พฤติกรรมครอบครัว เพศสภาพ โดยเฉพาะวิเคราะห์งานบ้านที่พวกเขาได้ทำแล้วเชื่อมกับทัศนคติและแรงจูงใจในชีวิต

เฉพาะประเด็นงานบ้าน ผลการวิจัยพบว่างานบ้านมีผลต่อทัศนคติเชิงบวกในชีวิตระยะยาวและทักษะชีวิต เช่น ความรับผิดชอบ ความสามารถ ความยืดหยุ่น รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง ปรับตัวได้ง่ายในวัยผู้ใหญ่ ผลการสำรวจยังพบว่า ยิ่งเด็กๆ ถูกสอนหรือมีส่วนร่วมในการทำงานบ้านเร็วเท่าไหร่ โดยเฉพาะเด็กที่มีส่วนร่วมตั้งแต่ 3-4 ขวบ ก็จะยิ่งสร้างคุณลักษณะดังกล่าวดีขึ้นเท่านั้น

ความเห็นเชิงจิตวิทยาต่อประเด็นดังกล่าวมีอยู่ว่า

เพราะงานบ้านไม่ใช่แค่การทำความสะอาด แต่หมายถึง ความรู้สึกมีส่วนร่วม มีความสำคัญในครอบครัว จัดลำดับความสำคัญในชีวิตได้ และมองเห็นความต้องการของคนอื่นด้วย

งานวิจัยนี้ขีดเส้นใต้ว่า การให้พวกเขามีส่วนร่วมตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะเมื่อ 3-4 ปี ไม่ได้หมายความถึงงานบ้านแบกหาม แต่เพียง ‘มีส่วนร่วม’ ในงานที่เหมาะกับพวกเขา สำคัญคือ ‘ความชัดเจน’ แน่นอน และเป็นเวลา เช่น ในอาทิตย์นี้สมาชิกคนไหนควรทำอะไรบ้าง และย้ำว่าผู้ปกครองไม่ควรสร้างเงื่อนไข เช่น ‘หากทำงานบ้านแล้วจะได้รับอนุญาตให้ …’ (จงเติมคำในช่องว่าง) งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้บอกว่าทำไมจึงไม่ให้สร้างเงื่อนไข แต่ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่าการสร้างเงื่อนไข เท่ากับบอกว่าการทำงานบ้านคือการแลกเปลี่ยน ไม่ใช่หน้าที่ และ ไม่ต้องทำก็ได้นะ ก็แค่ไม่ได้รางวัลหรือเงื่อนไขที่วางเอาไว้เอง

อยากให้ทำงานบ้าน หรืออยากให้ลูกทำการบ้าน หรือไม่อยากบังคับลูกให้ทำงานบ้าน?

เพื่อตอบข้อสังเกตดังกล่าว แอนโทเนียหยิบงานจากสถาบันวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (U.C.L.A.’s Center) สำรวจระหว่างปี 2001-2005 เป็นบันทึกวิดีโอกว่า 1,540 ชั่วโมง ของครอบครัวชนชั้นกลางจำนวน 32 ครอบครัวซึ่งมีรายได้จากทั้งสามีและภรรยาและมีลูกอย่างน้อย 2 คน ผลสำรวจพบว่า เกือบทุกครอบครัว พ่อแม่เป็นคนทำงานบ้านส่วนใหญ่เอง และถ้าลูกๆ ประสบปัญหาจากการทำงานบ้าน พ่อแม่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ยังพบว่า

  • เด็กๆ 22 ครอบครัว เพิกเฉยหรือไม่ทำตาม เมื่อพ่อแม่ขอให้ช่วยทำงานบ้าน
  • พ่อแม่ 8 ครอบครัว ไม่เคยขอให้เด็กๆ ช่วยงานบ้าน
  • เด็กๆ 2 ครอบครัวช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้านอย่างแข็งขัน

ผลสำรวจที่ได้สวนทางกับงานสำรวจอีกชิ้นจากการพูดคุยกับผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 1,001 คน พบว่าผู้ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นด้วยกับทักษะที่ได้จากการทำงาน

  • 75 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วยว่างานบ้านทำให้เด็กๆ มีความรับผิดชอบ
  • 63 เปอร์เซ็นต์บอกว่างานบ้านทำให้เด็กๆ มีทักษะชีวิตที่ดี
  • 82 เปอร์เซ็นต์บอกว่าพวกเขามีตารางการทำงานบ้านที่แน่นอนตั้งแต่เด็ก
  • 56 เปอร์เซ็นต์บอกว่า พวกเขาสอนเด็กๆ ให้ทำงานบ้านด้วย

งานวิจัยสองชิ้นข้างต้นอาจหมายความว่า แม้ผู้ปกครองจะเห็นด้วยกับศาสตร์การทำงานบ้าน แต่ในทางปฏิบัติจริง อาจไม่เป็นอย่างนั้น!

จากนั้นแอนโทเนียสำรวจอีกครั้งแต่สัมภาษณ์เชิงลึกกับพ่อแม่จำนวน 1,050 คน ด้วยคำถามปลายเปิดที่ว่า ‘คุณไม่ชอบอะไรที่สุดในการเป็นผู้ปกครอง’ คำตอบส่วนใหญ่ที่เธอสรุปได้คือ ‘การบังคับ’ ให้ลูกทำตามกฎ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับงานบ้าน

“ผู้ปกครองส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าเด็กๆ ควรทำงานบ้าน แต่เราไม่อยากบังคับพวกเขา” แอนโทเนียสรุปเช่นนั้น

แน่นอนว่างานสำรวจเฉพาะครอบครัวชนชั้นกลางและเลือกเอาจากแค่ 32 ครอบครัว หรือแค่ความเห็นของชาวอเมริกันเพียงพันคน อาจไม่ใช่ความจริงเดียวกับการเลี้ยงลูกของประชากรโลกกว่า 7,000 ล้านคน แต่หากเห็นด้วยกับงานวิจัยที่แอนโทเนียค่อยไล่เรียงหยิบยกมา จะเห็นประเด็นที่เธออยากชี้ว่า…

หลายครั้งผู้ปกครองเองเป็นผู้สร้างพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความสับสน ว่าอยากให้พวกเขาทำงานบ้าน ด้วยเหตุผลของการสร้างทักษะและวินัย แต่ก็ไม่อยากบังคับขู่เข็ญเอากับลูก หรือมีคำอธิบายคลาสสิก เช่น เด็กๆ ต้องทำการบ้าน, บอก (จนปากเปียกปากแฉะ) แล้วแต่เขาไม่ทำ, ไม่อยากบังคับลูกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ (เก็บพลังไว้ต่อกรเรื่องอื่น)

ยังไม่รวมของสังเกตของริชาร์ด ไวสส์เบิร์ด (Richard Weissbourd) นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ชี้ว่า แม้ผู้ใหญ่จะคาดหวังให้เด็กๆ มีคุณธรรม มีทักษะเอาตัวรอดและมีหัวใจที่เต็มพร้อมในการเป็นมนุษย์ แต่ดูเหมือนว่าเด็กๆ จะได้รับการสื่อสารที่ ‘สับสน’

จากการสำรวจเด็กนักเรียนจำนวน 10,000 คน จากโรงเรียนมัธยมต้นและปลายจำนวน 33 โรงทั่วประเทศ ระบุว่า เด็กๆ กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ให้คุณค่าเรื่องความสุขของตัวเองมากกว่าความสุขของคนอื่น และเห็นว่าพ่อแม่เขาก็จะคิดเช่นเดียววัน

“จากการสัมภาษณ์และสำรวจเด็กๆ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาชี้ว่า พลัง อิทธิพล สารที่เด็กๆ ได้รับจากพ่อแม่เรื่องความสำเร็จและความสุข บดบังความต้องการที่ลึกยิ่งกว่า คือเรื่องการคิดถึงผู้อื่น” คุณหมอไวสส์เบิร์ดกล่าว

แอนโทเนียกล่าวสรุปบทความของเธอว่า งานบ้านอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ภายใต้กิจวัตรประจำวันนี้คือทักษะชีวิตที่ฝังลึกและกอปรเป็นทักษะชีวิตที่ส่งผลยาวยิ่งว่า

และหากผู้ปกครองยังมีคำถามคาใจว่า ระหว่างงานบ้านกับหน้าที่ในชีวิตอื่นที่เด็กๆ ต้องทำ จะเลือกอะไรดี? แอนโทเนียกล่าวว่า “งานบ้านจะสร้างสมดุล”

ไม่จำเป็นต้องเลือกให้ยุ่งยากระหว่างงานบ้านหรือกิจกรรมอื่น เพียงทำให้งานบ้านเป็นหนึ่งในหน้าที่ ไม่ต้องบังคับ เพียงแต่ ‘ยืนยัน’ ว่าพวกเขาต้องจัดการให้เสร็จและพ่อแม่ไม่เข้าไปทำให้

อ้างอิง
Happy Children Do Chores
INVOLVING CHILDREN IN HOUSEHOLD TASKS: IS IT WORTH
THE EFFORT?

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)งานบ้าน งานครัว งานสวนวินัยเชิงบวกEF

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • EF (executive function)
    ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Early childhoodCharacter building
    อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

เราต่างมีภูเขาน้ำแข็งอยู่ภายใน กลไกป้องกันตัวเองของเราเป็นแบบไหนกัน
Healing the trauma
21 August 2018

เราต่างมีภูเขาน้ำแข็งอยู่ภายใน กลไกป้องกันตัวเองของเราเป็นแบบไหนกัน

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ (Virginia Satir 1916-1988) นักเขียน ครู และนักจิตบำบัดอเมริกัน ผู้บุกเบิกแนวคิดจิตบำบัดครอบครัว เสนอกรอบคิดอันโด่งดัง หนึ่งในนั้นคือ แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง (The Iceberg Model)

ซาเทียร์เห็นว่า ‘รอยแผล’ ของแต่ละคนอาจแตกต่าง มีได้หลายรอยแผล และผู้ที่ทำให้เกิดรอยแผลไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่มาจากตัวละครหลากหลายที่กระทำต่อกันเป็นลูกโซ่ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ฝากรอยแผลไว้รอยใหญ่และหนักแน่นที่สุด คือ ‘สมาชิก’ ในครอบครัว โดยเฉพาะ พ่อ แม่ และปัญหาจากความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง

และ ‘รอยแผล’ นี่เองที่สร้าง ที่สร้างวิธีคิด พฤติกรรม และที่สำคัญคือ ‘กลไกป้องกันตัวเอง (Coping Stance)’

‘กลไกป้องกันตัวเอง’ หรือรูปแบบพฤติกรรมที่มักแสดงเมื่อเจอกับปัญหา ต้องเผชิญกับความเครียด กลไกป้องกันตัวของแต่ละคนมักมีสารตั้งต้นจากประสบการณ์ในวัยเด็กหรือที่ได้รับจากครอบครัว แบ่งได้เป็น 5 พฤติกรรมใหญ่ โดยอธิบายผ่านความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวเอง(self), คนอื่น (other) และบริบท (context)

Blaming : กลไก ‘ตำหนิ’ สนใจบริบทและตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น

ตำหนิไว้ก่อน ใช้การตำหนิปิดบังความกลัว ยึดว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อถือคือสิ่งถูก เป็นผู้พิทักษ์ความถูกต้อง หลายครั้งนำไปสู่ความหวาดระแวงผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่มักป้องกันตัวเองด้วยการตำหนิ จะสนใจเนื้อหาและสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเชื่อ มักมีปัญหาทางสุขภาพเกี่ยวกับการหายใจ

Placating : กลไก ‘เอาใจ’ สนใจบริบทและคนอื่น ไม่สนใจตัวเอง

เป็น Mr. Yes man มักยอมทำตามสิ่งที่ผู้อื่นร้องขอโดยไม่สนใจความรู้สึกตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ การปฏิเสธ หรือความรู้สึกบาดหมางระหว่างกัน เคารพคนอื่น แต่ไม่เคารพตัวเอง ผู้ที่มีกลไก ‘เอาใจ’ มักมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร ไมเกรน ท้องผูก

Super­reasonable : กลไก ‘มนุษย์เหตุผล’ สนใจบริบท ไม่สนใจตัวเองและคนอื่น

บางตำราเรียกว่า ‘มนุษย์คอมพิวเตอร์’ สนใจที่เนื้อหาและความถูกต้องเป็นหลัก รู้และเข้าใจหลักการอย่างถ่องแท้ ไม่ทำงานด้วยความรู้สึก คนมักจะมองคนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ว่า เย็นชา เจ้าหลักการ ปัญหาสุขภาพมักเผชิญกับอาการเยื่อเมือกแห้ง เช่น ตาแห้ง เนื้อเยื่อในช่องปากแห้ง

Irrelevant : กลไก ‘เฉไฉ’ สนใจทั้งตัวเอง ผู้อื่น และบริบท

เราอาจพบว่าเขาคือนักเอ็นเตอร์เทน มีบุคลิกสนุกสนานเฮฮาและเข้าไปอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ทุกวง ดึงดูดความสนใจของตัวเองและคนอื่นให้หลุดออกจากความเครียดได้เก่ง บทสนทนามักเป็นเรื่องทั่วไปแต่ไม่จับยึดที่แก่นเรื่อง บางครั้งดูกระวนกระวาย หรือมีปฏิกิริยาล้นเกิน เช่น มักเป่าปาก กระพริบตาถี่ ร้องเพลง หลุกหลิก หรือไม่ก็เพิกเฉยต่อสถานการณ์เคร่งเครียดไปเลย

Congruence : สอดคล้องกลมกลืน ไม่ต้องใช้กลไกป้องกันตัวใดๆ เลย

เป็นภาวะที่ยอมรับ สมดุล เชื่อมโยง ยอมรับ หรือรู้สึกสงบอยู่ในภาวะนั้นๆ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ซาเทียร์ : เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

Tags:

ปม(trauma)ซาเทียร์The Iceberg Modelคาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Life classroom
    VISION QUEST: กระโจนเข้าป่า หลอมรวมกับตัวตนที่หลงลืม

    เรื่องและภาพ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Family PsychologyBook
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Family PsychologyHow to enjoy life
    SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย

    เรื่อง

  • Healing the trauma
    ปมฝังลึกที่หลงลืมไป อาจไม่เคยสูญหายและยังมีผลกับเราอยู่?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • How to enjoy life
    ซาเทียร์: เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel