เขาวืดหมดทั้งบทนำใน Spider-Man, Manchester by the Sea ออดิชั่นกว่า 3 ปีเพื่อจะเจอแต่คำว่าไม่ได้ๆๆ หรือไว้ว่ากัน แต่เขายังกล้าที่จะก้าวต่อไปอย่างไม่รู้อนาคต เพราะอะไร?
10 ปีให้หลัง วงการฮอลลีวูดฝั่งอเมริกาและคนทั่วโลกที่ดูภาพยนตร์เรื่อง ‘Call Me by Your Name‘ หรือ ‘Lady Bird‘ ที่เขาเป็นนักแสดงสมทบ ต่างรู้สึกว่าน้องคนนี้ ทิโมธี ชาลาเมต์ ในวัย 22 ปีเป็นเด็กที่แสดงหนังเรื่องสองเรื่องแต่กลับดังข้ามคืน การันตีโดยนิตยสาร Time ออนไลน์พาดหัวข่าวว่าทิโมธีขโมยซีนในงาน Golden Globe ซะเรียบ ถึงแม้จะชวดรางวัล แต่แค่มางานก็เหมือนชนะไปแล้ว
เด็กหนุ่มผิวขาว ตาหวาน ร่างติดจะเก้งก้างอ้อนแอ้นที่นั่งตกเก้าอี้ในงานแถลงข่าว New York Film Festival เปิดวิกิพีเดียอ่านคำนิยามของน้ำมันปิโตรเลียมในงานประกาศรางวัลอินดี้ Independent Spirit Awards หรือทำตัวเด๋อมากมายในงานทางการต่างๆ คือผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม ที่มีอายุน้อยที่สุดในรอบ 80 ปี และเข้าออกประตูเครื่องบินมากกว่าประตูบ้านเพื่อไปเข้าชิงรางวัลในงานกว่า 40 งานในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา
ทิโมธีได้เข้าชิงในงานประกาศรางวัลภาพยนตร์ใหญ่ๆ อย่าง BAFTA, Golden Globe, Screen Actors Guild Award หรือ Critics’ Choice Movie Award
ทิโมธีเข้าเรียนโรงเรียนการแสดงมีชื่อในนิวยอร์ค LaGuardia High School of Music & Art and Performing Arts เขาได้โอกาสแสดงศาสตร์ทางศิลปะที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือละครเวที เช่นเรื่อง ‘Prodigal Son’ ที่เขียนบทโดยนักเขียนบทละครเวทีชื่อดัง จอห์น แพทริค แชนลีย์ และได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมสาขาละครเวทีจาก Lucille Lorten Award
ทิมมีมีเพื่อนร่วมชั้นเก๋ๆ คือ แอนเซล เอลกอร์ธ ที่แสดงนำในเรื่อง ‘The Fault In Our Stars’ (ซึ่งพอ MTV ไปถามว่าใครป๊อปกว่ากันในช่วงชีวิตไฮสคูล ทิมมีก็ตัดพ้อว่าตอนที่เขาไปออดิชั่นเรื่อง ‘Guys and Dolls’ หรือ ‘Hairspray’ นี่ไม่เคยได้เล่นเลย ตอนนั้นเลยต้องมานั่งออดิชั่นโชว์การแสดงเด๋อๆ มากมายที่ยังมีให้เห็น ให้อายจนทุกวันนี้)
หนุ่มน้อยในสูทขาวเนี้ยบจากแบรนด์ Berluti ในงานออสการ์ให้สัมภาษณ์ว่า เขาจะมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่ได้ครูแฮร์รี ชิฟแมนเป็นเมนเทอร์ให้ หรือมีงบสนับสนุนจาก Public Art Fund องค์กรอิสระไม่แสวงหากำไรที่สนับสนุนโปรเจ็คต์ด้านศิลปะในนิวยอร์ค พร้อมกับย้ำว่ามันสำคัญมากจริงๆ
“Call Me by Your Name’ เป็นหนังที่ทำมาจากหนังสือ ซึ่งเปรียบเหมือนการดึงข้อมูลออกมาจากคัมภีร์ไบเบิลที่มีเนื้อหามหาศาลในนั้น ดังนั้นไอเดียในการแสดงของผมก็คือซื่อสัตย์กับบทที่ดัดแปลงมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เอลิโอในหนังสือเป็นเด็กที่เล่นเปียโนเก่งมาก หรือเปลี่ยนจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาได้ลื่นไหล ดังนั้นหน้าที่ในการเป็นนักแสดงของผมก็คือต้องรับผิดชอบกับมันอย่างซื่อสัตย์ที่สุดตามถ้อยคำของนักเขียน”
เหมือนตอนที่เล่นฉากเกี่ยวกับการจัดการความเศร้าใน ‘Call Me by Your Name’ กับไมเคิล สตอลเบิร์ก (รับบทพ่อของเอลิโอ) ซึ่งเป็นที่กล่าวถึงในหมู่คนดูและนักวิจารณ์ภาพยนตร์ เป็นวินาทีที่ทิมมีรู้สึกว่าเขาได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ในฐานะมนุษย์
เขาชอบเล่นมุกว่าไม่อยากเดินตามถนนแล้วมีคนมาทักว่า เฮ้ย นายใช่คนที่มีเซ็กส์กับลูกพีชในหนังเรื่องนั้นปะ แต่ก็ดีใจมากที่พอมีคนทักว่า “เฮ้ย นายคือไอ้เวรคนนั้นที่เล่น Lady Bird นี่” เพราะนั่นหมายความว่าคนเห็นเขาในฐานะนักแสดงที่แท้จริง
ทิมมีศึกษาการแสดงจากภาพยนตร์, หนังสือ, เพลง, ละครเวที ภาพยนตร์อย่าง ‘Punch-Drunk Love’ ‘Fences’ ละครเวทีเรื่อง ‘Death of the Salesman’ ที่แสดงโดย ฟิลิปป์ ซีย์มัวร์ ฮอฟแมน หรือ ‘The Dark Night’ ที่จุดไฟนักแสดงที่ไม่มีวันมอดให้กับเขา ทิมมียังชอบเพลงฮิปฮอปและชอบอ่านวรรณกรรม เช่น ‘The Perks of Being a Wallflower’ เขียนโดยสตีเฟ่น ชบอสกี, ‘The Death of Ivan Ilyich’ เขียนโดย ลีโอ ตอลสตอย และ ‘1984’ ที่เขียนโดย จอร์จ ออร์เวล ที่เขาบอกว่าอ่านซ้ำไม่รู้กี่รอบแล้ว
แต่ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องตลกจริงๆ ที่รายการ Late Night Show ต่างๆ ต่างเชิญเขาไปเป็นแขกรับเชิญ งานแถลงข่าวและสื่อมากมายโยนคำถามเรื่องการจัดการกับชื่อเสียงฉับพลันหรือที่มาที่ไปของการได้แสดงนำในบทน้องเอลิโอ หรือไคล์จาก ‘Lady Bird’ ที่เข้าชิงพรวดเดียว 40 กว่างาน
ซึ่งยูนิคอร์นคนนี้ก็สร้างความร้าวรานทางจิตใจแก่ผู้ชมอย่างร้ายกาจในภาพยนตร์เรื่อง ‘Call Me by Your Name’ เพราะทั้งสายตา ภาษากายและใจที่ส่งออกไปในแต่ละฉากราวกับว่าเขาดีไซน์มาอย่างงดงามแล้วแม้ว่าจะเป็นฉากเล็กน้อย เช่น ไอเดียที่เอลิโอกำลังเล่นน้ำอยู่แล้วโผล่ขึ้นมามีสร้อยค้างอยู่ตรงริมฝีปาก (พระเอกใส่สร้อยแบบเดียวกัน) ก็เป็นไอเดียของทิมมี
การเลือกโปรเจ็คต์ที่จะเล่นก็เลยมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก ซึ่งมันก็เครียดมากด้วยเช่นกันเพราะผมต้องการที่จะท้าทายตัวเองในฐานะนักแสดงที่ได้โอกาสแสดงในโปรเจ็คต์ทดลองหรืองานที่สนุก ไม่ใช่งานแสดงที่ดูเหมือนเอาโควทมาพูดเรียงต่อกันจนน่าเบื่อ คนดูเองก็จะได้รับสารที่นักแสดงดีไซน์มาอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วด้วย อย่างเช่นในเรื่อง ‘Call Me by Your Name’ ที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกภายใน ความลึกซึ้งที่หนังต้องการจะสื่อ”
ในวัย 22 ปี เขาได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง ‘A Rainy Day in New York’ ที่จะออกฉายในปี 2018 นี้ แต่ด้วยความที่ผู้กำกับวูดดี อัลเลน ที่พ่วงคดีการล่วงละเมิดทางเพศลูกสาวบุญธรรมติดตัว และฮอลลีวูดก็เพ่งเล็งประเด็นนี้มาก ทิโมธีจึงออกมาแสดงความคิดเห็นโดยการโพสต์ผ่านอินสตาแกรมว่า
แม้จะยังมีประเด็นที่ประชาชนสงสัยในเรื่องนี้อยู่ แต่ทิโมธีก็ไม่ได้ให้ความเห็นมากนักนอกจากให้สัมภาษณ์กับ Times ว่าการได้รับบทอย่างเอลิโอหรือไคล์ในภาพยนตร์ coming of age ทั้งคู่ทำให้เขาได้รับโอกาส และโอกาสนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่จะไม่มีวันหายไปจากตัวเขา
เสียงยืนยันอีกเสียงคือเสียงของลูกา ผู้กำกับ ‘Call Me by Your Name’ ที่บอกว่าเขาเห็นความสว่างสดใส และวาทศิลป์ทางการพูดจากเด็กคนนี้ ทิโมธีเป็นเด็กหนุ่มที่ทะเยอทะยานที่จะพัฒนาศิลปะในตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยหลงว่าตัวเองเก่งแล้ว ทิมมีแค่มั่นใจว่าสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อมันปรากฏอยู่ในหน้าจอ
“ใครบ้างจะไม่รักทิมมี” แม้แต่คู่จิ้น อาร์มี แฮมเมอร์ (รับบทโอลิเวอร์ใน ‘Call Me by Your Name’) ก็ยังเอ่ยปากต่อหน้าสื่อและชื่นชมน้องเด๋อเรื่องการแสดงและความเป็นธรรมชาติในชีวิตจริงของเขาหลายครั้ง
“ผมไม่ได้อยากพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่หนังอย่างเรื่อง ‘Beautiful Boy’ ที่เกี่ยวกับเรื่องเด็กติดยาเสพติดและความสัมพันธ์กับครอบครัวที่ผมถ่ายกับ สตีฟ แคเรล หรือการที่ผมได้ยินเสียงตอบรับว่า ‘Call Me by Your Name’ เปิดพื้นที่เรื่องเควียร์ให้กว้างขึ้นเพราะหนังถ่ายทอดเรื่องราวของคนสองคนตกหลุมรักกัน นั่นคือการเฉลิมฉลองความเท่าเทียมทางเพศที่ไม่ได้กดขี่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือไม่ได้อ้างอิงเรื่องโรคเอดส์ หรือมีตัวร้ายเป็นตัวละครสักตัวที่ใช้ความรุนแรง เพราะตัวร้ายคือความหายนะในความรัก
ผมรู้สึกว่านี่คือการเฉลิมฉลองในช่วงเวลาที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีอยู่ เราอยู่ในยุคแห่งการเหยียดหรือการกดขี่ที่แทรกซึมทุกสิ่งโดยที่เราเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผมเลยรู้สึกว่าที่ภาพยนตร์อย่าง’Call Me by Your Name’ หรือ ‘Lady Bird’ ได้รับกระแสตอบรับอย่างอบอุ่นเพราะมันคือการเฉลิมฉลองความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้”
งานแถลงข่าว Toronto Film Festival โดย The Guardian, EE rising star, Santa Barbara International Film Festival Virtuosos Awards, Actors on Actors โดย Variety พอดแคสต์ Happy Sad Confused โดย MTV
ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก
ปัจจัยอะไรที่ทำให้พวกเขารู้สึกแบบนั้นจนกลายเป็นความป่วยไข้ทางใจ (mental illness) หรือบางคนเลือกที่จะจบความทรมานดังกล่าวด้วยการฆ่าตัวตาย บทความจาก Psychological Today ที่ชื่อว่า ’Why Are Teens So Stressed and What Can Break the Cycle?’ โดย ศาสตราจารย์แดเนียล พี. คีทิง (Daniel P. Keating) อธิบายว่า ปัจจุบันมนุษย์เรากำลังอยู่ในยุคที่ความเครียดคือ โรคระบาด
เรเชล ซิมมอนส์ (Rachel Simmons) ผู้เขียนบทความเรื่อง ‘The Promise of Self-compassion for Stressed-out Teens’ ลง New York Times เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กล่าวว่า Self-compassion เป็นอุปนิสัยที่ช่วยลดอาการโลกแตก หัวร้อนและความเครียดของวัยรุ่น
และนั่นเป็นไปในทิศทางเดียวกับผลสรุปของ แคเรน บลัธ (Karen Bluth) ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยการแพทย์นอร์ธ แคโลไรนา (University of North Carolina’s School of Medicine) และลอร์เรน ฮอบส์ (Lorraine Hobbs) ผู้อำนวยการโครงการเด็กและครอบครัวจากมหาวิทยาแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก (University of California San Diego) ที่ร่วมกันออกแบบหลักสูตรเสริมสร้างอุปนิสัย Self-compassion เพื่อวัยรุ่นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ชื่อว่า ‘Making Friends With Yourself: A Mindful Self-compassion Program for Teens and Young Adults’ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานของเนฟฟ์ และนักจิตวิทยา คริสโตเฟอร์ เจอร์เมอร์ (Christopher Germer)