Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: March 2018

‘ผิดได้ พลาดเป็น’ คือโอกาสการเรียนรู้ของลูก
Growth & Fixed Mindset
29 March 2018

‘ผิดได้ พลาดเป็น’ คือโอกาสการเรียนรู้ของลูก

เรื่อง The Potential

  • เด็กๆ ทำผิดแล้วงุบงิบเก็บเป็นความลับไว้คนเดียว เพราะความผิดพลาดหรือความล้มเหลวคือ ‘สิ่งต้องห้าม’ ของพ่อแม่
  • คำว่า “ไม่เป็นไรลูก เอาใหม่ๆ” กลับออกจากปากพ่อแม่น้อยลงเมื่อลูกโตขึ้น
  • ก่อตัวเป็นปมในใจว่าตัวเองไม่ดีพอ ทั้งๆ ที่ความผิดได้ พลาดเป็น คือ โอกาสการเรียนรู้ที่ดีที่สุดเพราะพวกเขาได้ลงมือทำ
  • ข้อสังเกต การกลัวความผิดพลาด ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในกลุ่มผู้ใหญ่ แต่ถ่ายทอดสู่กลุ่มวัยรุ่นยุคใหม่ซึ่งทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ ยิ่งอายุน้อยยิ่งดี

หากเราต้องเจอกับความผิดพลาดหรือความล้มเหลวในชีวิต เราจะรู้สึกอย่างไร?

คงไม่มีใครชอบ แล้วคงไม่มีใครอยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับชีวิต

แล้วทำไมเราถึงกลัว?

ทำไมเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เรายิ่งกลัวความล้มเหลวในชีวิต?

หลายคนกลัวจนต้องหาวิธีปกปิดความผิดพลาดนั้นไม่ให้ใครรู้ หรือปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกระแสความเคลื่อนไหวของโลกยุคปัจจุบัน ให้ค่าความสำเร็จและเงิน การรับรู้ข้อมูลข่าวสารรอบตัวโปรแกรมให้เราขวนขวายหาความสำเร็จ ทำให้เงินเป็นเครื่องหมายของสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต ความผิดพลาดหรือความล้มเหลวจึงคล้าย สิ่งต้องห้าม เพราะนั่นหมายถึง “การไม่ประสบความสำเร็จ”

ปัจจุบันผู้คนจึงรู้สึกอายเกินกว่าจะยอมรับหรือบอกให้ใครรับรู้ถึงความผิดพลาดและความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ความคิดนี้ไม่ได้มีขอบเขตเพียงแค่ในกลุ่มผู้ใหญ่ แต่กำลังถ่ายทอดมายังกลุ่มวัยรุ่นยุคใหม่ซึ่งกำลังพยายามผลักดันตัวเองทุกวิถีทาง ให้ประสบความสำเร็จหรือหารายได้ให้ได้เยอะที่สุด ขณะที่ยิ่งอายุน้อยเท่าไรยิ่งดี

ที่น่าสนใจ คือ ความกลัวความผิดพลาดหรือความไม่อยากล้มเหลว ส่วนหนึ่งเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการเลี้ยงดูของผู้ปกครอง หรือแม้แต่จากการอบรมของครูในวัยที่เด็กกำลังเรียนรู้

แปลกแต่จริง…งานวิจัยพบว่า ยิ่งเด็กโตขึ้น ผู้ปกครองยิ่งมีความคาดหวังและยอมรับในสิ่งที่บุตรหลานทำผิดพลาดได้น้อยลง ผู้ปกครองหรือแม้แต่ครู มักแสดงออกต่อสิ่งที่เด็กทำผิดด้วยการลงโทษ ไม่ว่าจะตำหนิ ว่ากล่าว ดุด่า แม้กระทั่งการตี ทำให้เด็กหลายๆ คนไม่กล้าเปิดเผยสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดต่อพ่อแม่และครูทั้งที่เป็นบุคคลซึ่งใกล้ชิดกับพวกเขามากที่สุด

แต่หากผู้ปกครองลองมองย้อนกลับไปในวันที่ลูกยังเป็นเด็กทารก ในวันที่เขาลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มก้าวเดินครั้งแรก ทุกย่างก้าวที่เดินแล้วล้มลง กลับเป็นความงดงามที่ทำให้พ่อแม่หลายคนน้ำตาไหล ไม่มีใครที่เดินได้โดยไม่เคยล้ม

“ดีมากลูก เอาใหม่ๆ” เป็นคำพูดที่ออกจากปากพ่อแม่

และ ณ วันนั้นคงไม่มีพ่อแม่คนไหนโมโห จนกระทั่งดุด่าหรือกดดันลูกในวัยหัดเดินว่า

“ลูกต้องเดินให้ได้เดี๋ยวนี้”

เมื่อลูกยังเด็ก พ่อแม่ให้กำลังใจเมื่อเขาทำผิดพลาด แต่ทำไมเมื่อพวกเขาโตขึ้น พ่อแม่กลับซ้ำเติมความผิดพลาดนั้นด้วยคำพูดหรือการกระทำที่รุนแรง

หลายครั้งความฉุนเฉียวโดยไม่ได้ตั้งใจเกิดขึ้นจากความคาดหวังของพ่อแม่เอง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังในการเรียน เช่น อยากให้ลูกสอบได้ที่หนึ่ง อยากให้ลูกสอบเข้าโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ได้ หรือความคาดหวังในการทำงาน เช่น อยากให้ลูกเรียนคณะนี้เพื่อจบมาจะได้ประกอบอาชีพตามที่พ่อแม่อยากให้เป็น

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องระวัง เพราะความคาดหวังเหล่านั้นไม่ได้เป็นความต้องการที่แท้จริงของเด็ก แต่เป็นการสื่อสารเชิงลบเพื่อตอบสนองความต้องการของพ่อแม่เอง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการคิดและกระบวนการตัดสินใจของเขาในระยะยาว

หลายครั้งที่ความคาดหวังสร้างแรงกดดันให้เด็ก โดยเฉพาะวัยรุ่น ทำให้พวกเขารู้สึกแย่ รู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอจนมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง การสร้างปมในใจนี้เป็นเรื่องอันตรายเพราะอาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงอย่างการฆ่าตัวตายได้

ปัญหาจากการขาดการสื่อสาร

“วัยรุ่นกับพ่อแม่ พูดกันคนละภาษา คุยกันไปก็ไม่รู้เรื่อง”

เราได้ยินคำพูดทำนองนี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกยุคทุกสมัย

อะไรทำให้ทั้งสองวัยคุยกันไม่รู้เรื่อง?

คำตอบคือ เพราะพวกเขาไม่ได้คุยกันต่างหาก การบ่นหรือการตำหนิ เป็นคนละอย่างกับการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ นี่เป็นปัญหาใหญ่ระหว่างผู้ปกครองกับวัยรุ่น หรือแม้แต่ครูในโรงเรียน

การสื่อสารด้วยการพูดคุย ถามหาเหตุผลแทนการตำหนิจะช่วยกระชับความสัมพันธ์และลดช่องว่างระหว่างผู้ปกครอง/ครูกับวัยรุ่น ทำให้พวกเขาเปิดใจและเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง นำมาซึ่งการสร้างความเข้าใจที่แท้จริงระหว่างสองวัย

ข้อผิดพลาดเป็นโอกาสงดงามในการเรียนรู้

ผู้ปกครองและครูควรเปลี่ยนทัศนคติ ด้วยการหันมามองความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ แล้วตอบสนองต่อข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในเชิงบวก ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  1. ตอบสนองต่อข้อผิดพลาดด้วยความเห็นอกเห็นใจและความเมตตา แทนการลงโทษ ตำหนิ ว่ากล่าวหรือการดุด่า การทำโทษด้วยการตี…ลืมไปได้เลย
  2. ตั้งคำถามเพื่อช่วยให้เด็กคิดไตร่ตรองและทบทวนถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากข้อผิดพลาดนั้น
  3. สมาชิกในครอบครัวสามารถใช้ช่วงเวลารับประทานอาหารร่วมกัน เป็นเวลาแลกเปลี่ยนถึงข้อผิดพลาดของแต่ละคน แล้วสะท้อนถึงสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น
  4. หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ผู้ปกครองและครูสามารถให้คำแนะนำ แล้วช่วยกระตุ้นให้เด็กมองหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุด ในโรงเรียนครูอาจเป็นพี่เลี้ยงให้นักเรียนรวมกลุ่มกันคิดหาวิธีแก้ปัญหา
  5. ใช้โอกาสเมื่อผู้ปกครองหรือครูทำอะไรผิดพลาด เป็นตัวอย่างในการแสดงให้เด็กเห็นว่า ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา เอ่ยปากยอมรับในความผิดพลาดนั้น แล้วกล่าวถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เด็กได้ยิน

ในความเป็นจริง ความผิดพลาดและความล้มเหลวเกิดขึ้นกับเราได้เสมอในทุกๆ วัน สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรน่ากลัว สำคัญที่สุดเราต้องรู้จักเรียนรู้จากข้อผิดพลาด สร้างบทเรียนให้กับตัวเองไม่ให้ทำพลาดอีก หากทำได้เมื่อนั้นความผิดพลาดจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิดอีกต่อไป แต่จะเป็นส่วนที่ทำให้ชีวิตงอกงาม กลายเป็นความงดงามของชีวิต…

อ้างอิง:
patch.com/
positivediscipline.com

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ปม(trauma)Growth mindsetวินัยเชิงบวกพ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    รวมคำพูดที่ทำร้ายและทำลาย ‘ความฉลาด’ ของลูกคุณ

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    รู้ไหมว่า ‘คำชม’ บางคำ ทำร้ายและกดดันลูกโดยไม่รู้ตัว?

    เรื่องและภาพ KHAE

กว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย เด็กไทยต้องสอบอย่างน้อย 44 ครั้ง
Social Issues
29 March 2018

กว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย เด็กไทยต้องสอบอย่างน้อย 44 ครั้ง

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Tags:

การสอบTCAS

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Dear Parents
    มนุษย์นักเรียนกับสิ่งที่ไม่เคยบอก

    เรื่อง

  • Education trend
    7 งานวิจัยและความเคลื่อนไหวเล็กๆ แต่สำคัญของโลกการศึกษาปี 2018

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Social Issues
    ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    หลงทางกว่า TCAS คือ การศึกษาที่วนอยู่ในเขาวงกต

    เรื่อง

  • Social Issues
    3 นาทีกับ TCAS

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ยกเลิกสอบเข้า ป.1 จริงหรือไม่ สถานะทางกฎหมายตอนนี้เป็นอย่างไร?
Social Issues
28 March 2018

ยกเลิกสอบเข้า ป.1 จริงหรือไม่ สถานะทางกฎหมายตอนนี้เป็นอย่างไร?

เรื่อง The Potential

  • แนวคิด ‘ยกเลิกสอบเข้า ป.1’ ยังคงเป็นร่าง เพียงแต่คณะอนุกรรมการเด็กเล็ก ‘เห็นพ้องต้องกัน’ ให้ผ่านร่างนี้
  • หากมีผลบังคับจริง คาดว่าจะแล้วเสร็จมีผลบังคับใช้ปีการศึกษา 2562
  • จัดสอบปรับห้าแสน, ฝากเข้าปรับ 10 เท่าจากยอดเงินที่ฝาก คือบทลงโทษตามร่างนี้
  • ห้ามเลี่ยงบาลีจัดสอบในเด็กที่เล็กกว่า หรือสอบไหวพริบเชาวน์ปัญญาก็ไม่ได้
  • ไม่ใช่แค่ปฐมวัย แต่ระบบ ‘แพ้คัดออก’ ในมหาวิทยาลัยยังปรับเป็น TCAS ที่มีขั้นตอนดู portfolio เด็กโดยเฉพาะ ค่อยตัดรากคิดแพ้คัดออกการศึกษาไทย

จาก ‘ข่าว’ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ‘ชง’ มาตราสำคัญร่าง พ.ร.บ.การปฐมวัยแห่งชาติ พ.ศ. … เสนอให้ “ยกเลิกสอบเข้า ป.1” นับเป็นข่าวร้อนประจำสัปดาห์ที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์กันมาก

ท่ามกลางคำวิจารณ์ที่เผ็ดร้อน แต่ยังไม่มีการยืนยันชัดเจนจากคณะอนุกรรมการเด็กเล็ก ถึงสถานะทางกฎหมาย หน้าตาของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้คืออะไร จะมีการดำเนินการแบบไหน บทลงโทษเป็นอย่างไร และคาดว่าจะแล้วเสร็จเมื่อไร และคำถามอีกมากผุดขึ้นกลางสมรภูมิโซเชียล ที่ทำให้เห็นทั้งความหวั่นวิตกและคำวิจารณ์ต่อระบบการศึกษาที่เริ่มตึงเครียดในเด็กที่เล็กลงไปเรื่อยๆ

The Potential ต่อสายตรงถึงนายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว หนึ่งในคณะอนุกรรมการเด็กเล็ก กรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ช่วยคุณพ่อคุณแม่ยืนยันว่า

สถานะทางกฎหมายของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้คืออะไร หน้าตาเป็นอย่างไร ความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว พร้อมสอบถามแนวคิดตั้งต้น เหตุใดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จึงเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้?

สถานะทางกฎหมายของร่าง พ.ร.บ.การปฐมวัยแห่งชาติ พ.ศ. … คืออะไร ความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?

ตอนนี้เป็นร่าง พ.ร.บ.การปฐมวัยแห่งชาติ พ.ศ. … แต่ที่แน่ๆ คืออนุกรรมการเด็กเล็ก เห็นพ้องต้องกันว่าต้องทำ (ยกเลิกและมีบทลงโทษต่อโรงเรียนที่จัดสอบคัดเลือกในช่วงปฐมวัย หรือเข้า ป.1) สิ่งที่ต้องเสนอต่อ เสนอผ่านกระทรวง ต่อ ครม. เพื่อนำไปสู่กระบวนการประชาพิจารณ์ แล้วจึงนำสู่ชั้น สนช. เสียก่อน ถึงจะประกาศบังคับใช้กฎหมาย

คาดว่ากระบวนการเสนอร่างนี้จะใช้เวลาเท่าไร

เข้าใจว่าโดยเร่งด่วนและอย่างที่พยายามเร่งกันอยู่ คาดว่าน่าจะ (ย้ำ) ให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ ซึ่งหากแล้วเสร็จในปีนี้ จะมีผลบังคับใช้ในปีการศึกษาหน้า (ปีการศึกษา 2562)

มีบทลงโทษอย่างไร

หากยึดตามตามร่าง ถ้ามีการจัดสอบ โรงเรียนจะถูกปรับ 500,000 บาท กรณีฝากเข้า โรงเรียนถูกปรับ 10 เท่าของจำนวนเงินที่ใช้ฝาก

หากโรงเรียนเลี่ยงบาลี ตัดตอนไปสอบเข้าตั้งแต่ อ.3 แต่ไม่ได้สอบเข้า ป.1 กฎหมายฉบับนี้อนุญาตหรือไม่

(หัวเราะ) เราใช้คำว่า ‘ช่วงชั้นปฐมวัย’ ทั้งหมดจะสอบเข้าไม่ได้ จะเลี่ยงบาลีว่าไม่สอบเข้า ป.1 แต่จัดสอบในเด็กที่เล็กกว่านั้นทำไม่ได้อยู่แล้ว

การจัดสอบเด็กทำไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ  แม้สอบพัฒนาการก็ไม่เอา ห้ามเลี่ยงบาลีว่าโรงเรียนฉันไม่ได้จัดสอบ แต่สอบไหวพริบหรือเชาวน์ปัญญา คือการทดสอบอะไรมันต้องมีผู้แพ้ ต้องไม่ทำกับเด็ก เว้นเสียแต่ว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์คณะกรรมการนโยบายกำหนด

เช่น ในเด็กออทิสติก หรือ เด็กที่มีพัฒนาการช้า (delay development) โรงเรียนบางโรงเรียนมีพื้นที่ในการจะพัฒนาเด็กพิเศษเพียงแต่พื้นที่เขาจำกัด อย่างนี้ต้องขอบคุณโรงเรียนเลย ในกรณีแบบนี้อาจต้องมีกระบวนการคัด เช่น ถ้าเด็กที่มีภาวะกดดันมาก อาจเรียนในระบบไม่ได้ก็ต้องแนะนำให้ไปโรงพยาบาล ทั้งหมดนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับ และไม่ใช่การกดดันไปที่ตัวเด็ก

ถ้าไม่ใช่ระบบคัดเลือก การสอบ จะใช้อะไร

ใครอยู่ภาคส่วนไหนก็เข้าโรงเรียนแถวนั้น ไม่ต้องย้ายข้ามภาคกันไปมา เพราะลูกต้องการอยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ ใกล้ชิดครอบครัว ควรจะเป็นโรงเรียนใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงานพ่อแม่ คือต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้เราถึงตัวเด็กได้เร็ว ไม่จำเป็นต้องเดินทางกันมาก ไม่ใช่ว่าที่ทำงานที่หนึ่ง บ้านที่หนึ่ง โรงเรียนไปอีกที่ ลูกไม่ได้ต้องการเดินทางตั้งแต่ตี 5 เด็กไทยติดหนี้การนอนและมีแนวโน้มจะเป็นหนี้สูญ คือไม่มีทางได้กู้กลับเลย ซึ่งการติดหนี้การนอนมันทำลายศักยภาพสมอง อดหลับอดนอน กินข้าวกันบนรถ สมองพัง ความคิดสร้างสรรค์ไม่เกิด

หลักการที่สองคือ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งหมด ทั้งเด็กเก่งไม่เก่ง ต้องกระจายตัวกันพอสมควรเพื่อให้กระบวนการยกระดับการศึกษา มากกว่าการ pool กันเข้าไป

หลักการคือให้เด็กเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน แต่ข้อโต้แย้งของผู้ปกครองทั่วไปคือ คุณภาพการศึกษาแต่ละโรงเรียนไม่เท่ากัน

ก็ต้องพัฒนา แต่ผมไม่คิดว่า ภาคแต่ละภาคจะอ่อนด้อยไปกว่ากัน มันเป็นกระแสนิยมเพื่อสร้างราคาให้เด็กเก่งๆ มารวมกันเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน แต่ต้องอย่าลืมว่าความเก่งของคุณมันจะไม่ช่วยอะไรเลยถ้าคุณไม่มีวิชาชีวิต

คณะทำงานประเมินผลกระทบที่อาจเกิดต่อ ‘ธุรกิจ’ หรือ สถานการณ์แข่งขันสอบเข้า ป.1 ว่าอย่างไร

ผมเชื่อว่าผู้ใหญ่ตอนนี้เห็นความทุกข์ระทมจากระบบการศึกษาที่ป่วย ทั้งเห็นกระแสพ่อแม่ที่เอาด้วยกับระบบคัดเลือกนี้ การจะทลายกรอบในลักษณะนี้ ต้องทำให้เขาเห็นด้วยว่า ภาพข้างหน้าที่คุณหวังเอาไว้ มันไม่ได้เป็นแพ็คเกจแบบเดิม เพราะถ้าเป็นแพ็คเกจเดิมมันล้มค่านิยมไม่ได้

เช่น ถ้ายังยืนพื้นเอาระบบ O-NET / A-NET, GAT/PAT สอบเอนทรานซ์อะไรทั้งหลาย ในรูปแบบเดิมซึ่งก็คือระบบแพ้คัดออกแบบนี้ กระแสสอบเข้า ป.1 ก็ไม่หลุด เราก็อยากอธิบายให้เขาเข้าใจว่าทุกอย่างเปลี่ยนหมดแล้ว แม้แต่ประเทศเราเองก็มีทิศทางว่าจะเปลี่ยน อย่างระบบ TCAS ระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในวันนี้ก็เปลี่ยนไปแล้วนะ มีวิธีรับนักศึกษาโดยใช้ portfolio หรือการรับเข้าทำงานเขาไม่สนใจประกาศนียบัตรด้วยซ้ำไป แต่ไปดูทักษะความสามารถ หรือ skill bases ของเด็ก

โดยเฉพาะในช่วงชั้นที่ 1 นี้ เราไม่ต้องใช้วิธี ‘เทกระจาด’ เพื่อให้เด็กเข้าไปอยู่ในโรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง วิธีนี้ทำให้เกิดความตึงเครียด ตัวผู้ปกครองก็ตึงเครียด เด็กก็ตึงเครียด ซึ่งมันส่งผลต่อพัฒนาการเด็กอย่างมหาศาลมาก และท่าทาง (ความตึงเครียดจากการ ‘เทกระจาด’) จะหยุดไม่อยู่ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำ ครอบครัวไหนที่มีสตางค์ก็ให้ลูกไปติวหรือกวดวิชาเพื่อจะเข้าโรงเรียนดังๆ แต่ถ้าเราปรับจูนทัศนคติตรงนี้ให้ดีๆ จะไม่เกิดปัญหาขึ้นมา

การปรับจูนทัศนคติต้องทำความเข้าใจร่าง พ.ร.บ.การปฐมวัยแห่งชาติ พ.ศ. … จะทำให้เห็นเลยว่าปลายทางของระบบการคัดเลือกหรือรับคนเข้าก็กำลังจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลง

เช่น ต่อไปอาจไม่ใช้ระบบแพ้คัดออกอย่างเดียว เด็กที่ทำกิจกรรม แม้กระทั่งการรับคนเข้าทำงาน อีกหน่อยเขาก็ต้องดู portfolio หรือการทำกิจกรรมมากกว่าที่จะมาดูเกรดการเรียน

ทั้งหมดนี้ต้องการตัดวงจรความเหลื่อมล้ำ ย้ำว่าเรื่องนี้อาจหยุดกระแสพ่อแม่คลั่งไคล้การสอบไม่ได้ แต่ต้องทำความเข้าใจว่า ขณะนี้ประตูในการรับคนเข้า (entry point) เหล่านี้กำลังถูกเปลี่ยนแปลง การตั้งต้นว่า เด็กที่จะเข้า ป.1 อยู่ยาวถึง ม.3 ปลายทางคือ ม.6 เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย แพ็คเกจแบบนี้อาจเปลี่ยน ถึงตอนนั้นเขาไม่เอาเกรดแล้ว หรืออย่าว่าแต่เกรดเลย แม้แต่ที่ทำงานทั่วไปเขาก็จะเน้นทักษะความสามารถ หรือ skill bases ของเด็กกันหมด

จึงต้องกลับมากระตุกพวกเรากันเองว่า แล้วจะคลั่งไคล้การสอบตั้งแต่ ป.1 กันขนาดไหน ทรัพยากรมนุษย์ถูกทำลายด้วยระบบแพ้คัดออก แน่นอนว่าผมไม่สามารถหยุดยั้งความไม่เข้าใจเรื่องการแห่แหนแข่งกันสอบเข้าได้ เรายังนั่งคุยกันเลยว่า เพื่อลดความตึงเครียดของลูก ไปจัดสอบพ่อแม่เสียดีมั้ย

เรื่องจริงเลยใช่มั้ย (หัวเราะ)

จริง เราคุยกันจริงๆ ในเมื่อพ่อแม่มีความคาดหวังสูงก็ให้พ่อแม่ไปแข่งขันกันเลย จะไปกดดันเด็กทำไม เพราะในมาตรา 31 ของร่าง พ.ร.บ.การปฐมวัยแห่งชาติ พ.ศ. … เราห้ามสอบเด็ก แต่ไม่ได้พูดถึงพ่อแม่ พ่อแม่จะไปสอบอะไรก็แล้วแต่ อันนั้นเป็นเรื่องของพ่อแม่

นอกจากเรื่อง ‘ยกเลิกสอบเข้า ป.1’ มีประเด็นอะไรอื่นอีกบ้างที่ต้องพูดถึง ซึ่งคนทำงานเรื่องการศึกษาปฐมวัยเห็นว่าสำคัญ

ที่อยากฝากอีกอย่างคือการยกเลิกการตัดเกรดในเด็ก ป.1-ป.3 เลย คือไม่ต้องมาเทียบเกรดกันว่า ลูกเธอได้เท่าไร ลูกฉันได้เท่าไร ไม่ต้องมาเทียบเกรดละ เพราะเราจะยกเลิกเลย  ซึ่งอันนี้น่าจะสำเร็จก่อนและมีแรงต้านน้อยกว่าการยกเลิกสอบเข้า ป.1 ด้วย

แนวคิดเลิกตัดเกรดในการศึกษาปฐมวัยมาจากอะไร

ยูเนสโกหรือนานาอารยประเทศ เขามี มาตรฐานสากลและนิยามตรงกันเลยว่า early childhood หรือปฐมวัย ตามคำศัพท์บ้านเรา นิยามถึงช่วงวัยของเด็กว่า ตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงก่อนแปดปี (นิยามเด็กปฐมวัยเดิม คือผู้ที่อายุ 3-6 ปี) คำถามคือทำไมเขาจึงตัดที่อายุเท่านี้

ก็เพราะว่าเด็ก 6-8 ปี เพิ่งจะเริ่มเรียนรู้โลกจริง ขณะที่เด็กอายุน้อยกว่าหกปีเขายังอยู่ในจินตนาการ เหมือนคำที่ว่า เด็กวัยนี้ต้องเรียน เล่น เล่านิทาน ได้มีโอกาสนอน

ตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการ ช่วงเปลี่ยนผ่านอายุ 6-8 ปี การเรียนรู้จากโลกของจริงของเขากำลังพัฒนา เราจึงมองว่าวัยนี้เป็นวัยเปลี่ยนผ่านขึ้นไปเป็นวัยเรียน ก่อนเข้าสู่วัยรุ่น

ผมใช้หลักการอีกอย่างหนึ่งว่า เขาไม่ได้ต้องการเอาชนะคะคาน ไม่ได้บ้าพลัง ไม่ได้มีเกมการแข่งขัน

การแข่งขันที่เกิดในอายุน้อยกว่า 8 ปี ผิดหลักพัฒนาการทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเกมหรือกีฬาก็ไม่ได้ เพราะเด็กไม่ได้ต้องการเป็นผู้แพ้และถูกตอกย้ำว่าเป็นผู้แพ้

ด้วยหลักการนี้มันจึงนำมาสู่การยกเลิกการตัดเกรดในช่วงชั้นที่หนึ่งไปด้วย แต่พอเด็กก้าวเข้าสู่วัยเรียน ก็ต้องเข้าสู่วัยปกติ และเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เขาค้นพบตัวเองได้ ก็เป็นไปตามกระบวนการแข่งขันที่เรียกว่าการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนา แต่ไม่ใช่ในปฐมวัย

ความจริงมีอีกข้อที่ไม่ได้ถูกร่างใน พ.ร.บ.นี้ เป็นข้อหนึ่งที่เราถกกันพอสมควรและผมก็เห็นดีด้วยมาก คืออยากจะยกเลิก ห้องคิง ควีน และห้อง gifted ไปเลย เพราะกลายเป็นว่า คนที่ไม่ได้อยู่ห้องนี้ก็ไม่เหมือนคน เกิดความเหลื่อมล้ำในตัวนักเรียน ไม่ใช่แค่ชั้นผู้ปกครอง ถ้าถามไอเดียผม อยากยกเลิกหมดเลย

Tags:

ปฐมวัยเทคนิคการสอนนพ.สุริยเดว ทรีปาตีการสอบยกเลิกสอบเข้าป.1

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Early childhoodSocial Issues
    คัดเลือกเข้า ป.1 ถ้าไม่สอบวิชาการ ใช้วิธีอะไรได้บ้าง? ตัวอย่างโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ และ เพลินพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Unique Teacher
    “เรารักนักเรียนนะ แต่เราแสดงออกไม่เป็น” เปลือยชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดราวบทหนังสือของครูเฮง

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Early childhoodSocial Issues
    นพ.สุริยเดว ทรีปาตี: ให้ลูกร่วมทุกข์สุข เรียนวิชาผิดหวัง รับมือเด็กเจนอัลฟ่าด้วยพลังบวก

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    พรรณวิภา โซลเบิร์ก: ครูไทยในห้องเรียนนอร์เวย์ ชอบพาเข้าป่า เรียนวิชา 4 ฤดู

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Early childhood
    ยกเลิกสอบเข้า ป.1 เพื่ออะไร และ สอบเข้า ป.1 กันไปทำไม

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

‘MARCH FOR OUR LIVES’ ถ้าไม่อยากให้เพื่อนตาย เราต้องขออนุญาตก่อนใช่ไหม
Social Issues
26 March 2018

‘MARCH FOR OUR LIVES’ ถ้าไม่อยากให้เพื่อนตาย เราต้องขออนุญาตก่อนใช่ไหม

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • เมื่อผู้ใหญ่เห็นว่าปืนไม่ใช่เรื่องสำคัญ วัยรุ่นราว 850,000 คนจึงออกมาเดินขบวนเรียกร้องให้ปรับปรุงกฎหมายควบคุมปืน หลังจากโรงเรียนในสหรัฐถูกกราดยิงไปแล้ว 18 ครั้ง
  • วัยรุ่นให้เหตุผลว่า ผู้ใหญ่หลายคนดูถูกว่าเรายังไม่โตพอ… อยากถามว่าเราต้องได้รับอนุญาตก่อนใช่ไหม ถ้าจะขอร้องไม่ให้เพื่อนเราตาย
  • นี่คือหน้าสำคัญของพลังวัยรุ่น พวกเขาไม่ได้มีแค่คำว่าหัวร้อน หุนหัน เห็นใครไม่สำคัญเท่าตัวเอง แต่ยังมีคำว่า เพื่อน เดินหน้า เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยและปลอดปืน
ภาพ:  March for Our Lives

ทำไมต้อง March for Our Lives

จนถึงตอนนี้ โรงเรียนในสหรัฐอเมริกาถูกกราดยิงไปแล้ว 18 ครั้ง จากการเก็บข้อมูลขององค์กร Everytown for Gun Safety

ล่าสุด 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา คนร้ายกราดยิงในโรงเรียนมัธยมสโตนแมนดักลาส (Stoneman Douglas) เมืองพาร์คแลนด์ (Parkland) รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 17 คนและคนร้ายคืออดีตนักเรียนวัย 19 ปีที่เพิ่งถูกไล่ออก

ครบ 1 เดือนของเหตุการณ์ (14 มีนาคม) เด็กมัธยมและประถมในรัฐฟลอริดาจึงชักชวนกันออกมาเดินขบวน กลายเป็นกระแสให้นักเรียนเมืองอื่นๆ ร่วม walkout ออกจากโรงเรียน 17 นาที จนวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมามีการเดินขบวนใหญ่ ภายใต้แคมเปญ March for Our Lives เพื่อเรียกร้องการปรับปรุงกฎหมายควบคุมอาวุธปืน

มีเด็ก เยาวชน และคนสนใจ ออกมาร่วมกว่า 850,000 คน และมี Speaker ขึ้นพูดหลายคน ทุกคนคือเด็กและเยาวชน

และนี่คือคำพูดและความคิดของเด็กๆ ที่ผู้ใหญ่มักบอกว่าไม่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน

เอมมา กอนซาเลซ “แค่ 6 นาที 20 วินาทีเท่านั้น เพื่อน17 คนก็จากพวกเราไป”

เอมมา กอนซาเลซ

“เวลาแค่ 6 นาที 20 วินาทีเท่านั้น เพื่อน 17 คนก็ถูกพรากจากพวกเราไป” ประโยคแรกของเอมมา กอนซาเลซ (Emma Gonzalez) นักเรียนชั้นมัธยมปลาย Marjory Stoneman Douglas ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมจัดงาน March for Our Lives ในวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา

“เรารวมถึงเพื่อนๆ อีก 15 คนที่บาดเจ็บ และทุกคนในเหตุการณ์ ย้ำว่าทุกคนจริงๆ ไม่มีใครเหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นเข้าใจ ทุกคนที่ได้ยินเสียงปืนจะเข้าใจ”

หลังจากอ่านรายชื่อเพื่อนร่วมห้องที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนเสร็จ กอนซาเลซยืนอยู่บนโพเดียมและอยู่ในความเงียบเป็นเวลา 6 นาที พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาแต่ก็แพ้ 6 นาทีนั้นเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนนิ่งงันไปชั่วขณะ แต่ทุกสื่อ ทุกสถานี ยังเดินหน้าถ่ายทอดสดและ Live ต่อไปในความเงียบอย่างนั้น

“นี่คือความเงียบที่ดังที่สุดในประวัติศาตร์การประท้วงทางสังคมสหรัฐ” เดวิด คอร์น (David Corn) นักข่าวสายการเมือง คอลัมนิสต์ และ หัวหน้าสำนักข่าว Mother Jones ประจำวอชิงตัน ทวีตเช่นนั้น

เมื่อเวลา 6 นาทีผ่านพ้นไป กอนซาเลซก็เอ่ยว่า “เวลาที่ผ่านไปเมื่อสักครู่นี้ กินเวลาราว 6 นาที 20 วินาที เป็นเวลาที่คนร้ายกราดยิงและทิ้งปืนไรเฟิลเอาไว้กับพวกเรา แล้วตัวเองก็หนีไป เดินอย่างสบายใจอยู่ 1 ชั่วโมงก่อนจะถูกจับกุม”

“สู้เพื่อชีวิตของพวกคุณ ก่อนมันจะกลายเป็นหน้าที่ของคนอื่น”

พูดแค่นี้กอนซาเลซก็ลงจากโพเดียมไป

ซาแมนธา ฟูเอนเตส  “ถ้าจะขอร้องไม่ให้เพื่อนเราตาย เราต้องขออนุญาตก่อนใช่ไหม”

ซาแมนธา ฟูเอนเตส

14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซาแมนธา ฟูเอนเตส (Samantha Fuentes) นักเรียนชั้นมัธยมปลาย ถูกยิงที่ขาทั้งสองข้าง และยังมีเศษกระสุนอยู่ในดวงตา

“วันแล้ว วันเล่า เราถูกยิง” เธอบอก

“และเวลานี้ที่เราลุกขึ้นพูด เราโดนดูแคลนว่าเรายังไม่โตพอ ราวกับว่า เราต้องได้รับอนุญาตก่อนถ้าจะขอร้องไม่ให้เพื่อนเราตาย บรรดานักกฎหมายและนักการเมืองบอกว่า ปืนไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ก็ไม่สามารถสบตาพวกเราตรงๆ”

จากนั้นจู่ๆ ซาแมนธาก็รีบเอามือปิดปากและอาเจียนออกมาบนเวที

แต่เธอก็รีบจัดการตัวเองให้กลับมาเป็นปกติและพูดต่อจนจบ

ซาแมนธาจบสปีชของเธอด้วยการร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้กับ นิโคลัส ดโวเร็ท เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตในเหตุการณ์กราดยิง ถ้ายังมีชีวิตอยู่เขาจะอายุครบ 18 ปีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

นาโอมิ วาดเลอร์ “เราอายุแค่ 11 ปี แต่เรารู้ว่าชีวิตไม่ได้เท่ากันสำหรับทุกคน”

นาโอมิ วาดเลอร์

นาโอมิ วาดเลอร์ (Naomi Wadler) เด็กหญิงวัย 11 ปีจากเมืองอเล็กซานเดรีย รัฐเวอร์จิเนีย ที่ออกมาพูดในฐานะ “เด็กสาวแอฟริกัน-อเมริกัน ที่ไม่เคยได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แม้สักฉบับ”

“ฉันมาวันนี้ในฐานะตัวแทนของ คอร์ทลิน อาร์ริงตัน (Courtlin Arrington) ตัวแทนของฮาดิยา แพดเดิลตัน (Hadiya Pendleton) และในฐานะตัวแทนของไทยาเนีย ทอมป์สัน (Taiyania Thompson) ซึ่งถูกยิงบ้านของเธอในวอชิงตันดีซี เธออายุแค่ 16 ปีเท่านั้น

“ฉันมาที่นี่วันนี้ในฐานะด็กสาวแอฟริกัน-อเมริกันที่ไม่เคยได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เรื่องราวของพวกเธอไม่ได้เป็นแม้กระทั่งข่าวเด่นในข่าวช่วงเย็นด้วยซ้ำ

“ฉันมาในฐานะตัวแทนของผู้หญิงแอฟริกัน-อเมริกันที่ตกเป็นเหยื่อในเหตุการณ์กราดยิง ซึ่งถูกนับและนำเสนอในรูปแบบตัวเลขหรือสถิติ แทนที่จะเป็นภาพของเด็กสาวสดใส มีชีวิตชีวา และมีศักยภาพ”

วันที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา วาดเลอร์เป็นผู้นำเดินขบวนของโรงเรียนประถม George Mason เพื่อไว้อาลัยให้เหยื่อจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ใช้ปืนกราดยิง ซึ่งใช้เวลาเดิน 18 นาที ตัวเลข 18 นาทีนี้ แสดงความระลึกถึงเหยื่อที่เสียชีวิต 17 คนในโรงเรียนมัธยม Marjory Stoneman Douglas รัฐฟลอริดา และอีก 1 นาทีอุทิศเพื่อคอร์ทลิน อาร์ริงตัน รุ่นพี่วัย 17 ปีที่ถูกยิงจนเสียชีวิตเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ที่โรงเรียนในเมืองเบอร์มิงแฮม อลาบามา

“มันมากเกินพอแล้วสำหรับรายชื่อคนเหล่านี้ ทั้งเด็กสาวและผู้หญิงแอฟริกัน-อเมริกัน ที่สุดท้ายถูกจดจำไว้ในรูปของจำนวน ไม่ใช่บุคคล ฉันมาที่นี่เพื่อจะบอกเด็กผู้หญิงเหล่านั้นว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นแล้ว”

ขอย้ำอีกครั้งว่า นาโอมิ วาดเลอร์ คือเด็กหญิงวัยเพียง 11 ปี ช่วงเริ่มต้นของวัยรุ่น (Adolescent 11-19 ปี) เท่านั้น

สมองวัยรุ่นที่ผู้ใหญ่ชอบเข้าใจผิด

โรนัลด์ ดาห์ล (Ronald Dahl) ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาการมนุษย์ (Institute of Human Development) มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (University of California, Berkeley) ใช้เวลาศึกษาเรื่องสมองวัยรุ่น (Adolescent Brain) กว่า 10 ปี ก่อนจะพบว่า พวกผู้ใหญ่คาดการณ์สมองวัยรุ่นไว้ต่ำเตี้ยเกินไป 

ยิ่งศึกษาก็ยิ่งเห็นความผสมผสาน ความเข้าใจทางจิตวิทยา สังคม และ การพัฒนาทางอารมณ์ ถึงเวลาล้มล้างความคิดเหมารวมว่าวัยรุ่นเจ้าปัญหา แท้จริงแล้วสมองวัยรุ่นมีการเติบโต เรียนรู้และเปลี่ยนแปลง เร็วและโตอย่างน่าพอใจ

“การศึกษาเรื่องสมองวัยรุ่นกว่า 10 ปี สร้างความกระจ่าง และมอบความจริงแห่งวัยหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ให้กับผม”

โรนัลด์ให้ข้อมูลว่า อาจจะเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวว่า ช่วงเริ่มหรือก้าวแรกของการเป็นผู้ใหญ่มันทั้งอันตราย หัวร้อนง่าย และสับสนในชีวิตบ่อยๆ พร้อมๆ กันกับความเสี่ยงและความอ่อนไหวที่พุ่งสูงปรี๊ด

“แต่ในทางกลับกัน วัยรุ่นแสนจะวุ่นนี้คือช่วงวัยของโอกาสสำคัญ ช่วงแห่งการปรับและก่อพื้นฐานสำคัญแห่งการพัฒนาสมอง”

ที่สำคัญแพชชั่นอันล้นเหลือของวัยรุ่น ทำอะไรได้มากมาย เช่น

  • เติมพลังให้ความรู้สึกที่แย่ๆ และพฤติกรรมที่ประมาทขาดความยั้งคิด
  • สร้างแรงบันดาลใจให้พุ่งไปสู่เป้าหมาย
  • สร้างสรรค์บทกลอน บทกวีที่ไม่มีวันตาย
  • ตกหลุมรักให้หัวปักหัวปำ
  • สร้างอะไรใหม่ๆ ให้วงการดนตรี ศิลปะ แฟชั่น และเทคโนโลยี

“ในมุมของวิทยาศาสตร์ วัยแห่งดาบสองคมที่แท้เช่นนี้ ไม่ไปทางแย่ก็ดีไปเลย ดังนั้น นี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญสำหรับการปลูกฝังและการมองโลก หน้าต่างแห่งโอกาสต่างๆ ที่จะหนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมที่ดี ต้องทำในวัยนี้”

ความจริงชุดที่ว่า สมองส่วนหน้า (คิด วิเคราะห์ แยกแยะ และใช้เหตุผล) ยังไม่ทำงานเต็มที่ในสมองวัยรุ่น นั้นอาจจะไปบดบังข้อเท็จจริงอีกข้อที่ว่า สมองวัยรุ่นจะปรับได้ดีกับบททดสอบต่างๆ ทั้งการเรียนรู้ สำรวจ ทดลองสิ่งใหม่ๆ และเรียนรู้ที่จะก้าวไปสู่สังคมที่กว้างขึ้นแล้วเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน นำไปสู่ทักษะต่างๆ และความสามารถด้านวัฒนธรรม สังคม นำไปสู่บทบาทการเป็นผู้ใหญ่ การสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคง และอิสระ

“กุญแจสำคัญ สำหรับการสร้างศักยภาพ คือการให้พวกเขาได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำและความผิดพลาด” โรนัลด์เผย

วัยรุ่นคือสัญลักษณ์ของ การเติบโตอย่างเต็มที่และแตกต่าง ผ่านการเรียนรู้อย่างรวดเร็วและการพัฒนาของสมอง ซึ่งเป็นการเรียนรู้ทางสังคมและการพัฒนาความเป็นตัวของตัวเอง หรือปัจเจก

ความเป็นปัจเจกนี้เอง จะพัฒนากลายเป็นความรู้สึกว่าตัวเองได้รับการยอมรับหรือถูกปฏิเสธจากสังคม ได้รับความเคารพหรือเปล่า และต้องการพื้นที่ทางสังคมแค่ไหน

ถ้าได้รับการยอมรับ ปลายทางคือ ความ “รู้จักตัวเอง” แบบนี้จะช่วยขับพลังด้านบวก เช่น หาคุณค่าหรือข้อดีจากการทำงานหนักและการทำงานให้สำเร็จ

หากถูกปฏิเสธ จะก่อกลายเป็นความรู้สึกอ่อนไหวอาจก่อให้เกิดปัญหาและความท้อแท้ เช่น ความวิตกกังวลที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าและความก้าวร้าวผิดปกติ

“มันคือเวลาแห่งการค้นหาความหมายและเป้าหมายในชีวิตของเขา ซึ่งไม่ได้มาในรูปแบบความคิดที่จับต้องไม่ได้ หากแต่คือวิธีที่จะเชื่อมแพชชั่นที่เร่าร้อน ให้นำไปสู่เป้าหมายและแรงบันดาลใจที่จะมีอิทธิพลต่อชีวิตไปตลอดช่วงอายุขัย” โรนัลด์สรุป

เช่นเดียวกับแพชชั่นที่เร่าร้อนของนาโอมิ วาดเลอร์ ที่แสดงออกมาผ่านทุกประโยคและทุกคำพูด

“ผู้ใหญ่บอกว่าฉันเด็กเกินกว่าจะมีความเป็นตัวของตัวเอง ผู้ใหญ่บอกว่าฉันเป็นเครื่องมือของผู้ใหญ่บางคนที่ไม่อยากเปิดเผยชื่อ ซึ่งมันไม่จริง ฉันเละเพื่อนๆ อาจจะอายุแค่ 11 ปีและอาจอยู่แค่ชั้นประถม แต่เรารู้ว่าชีวิตไม่ได้เท่ากันสำหรับทุกคนและเรารู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด เรายังรู้ด้วยว่าเรายืนอยู่ในเงามืดๆ ของจุดศูนย์กลาง และพวกเรารู้ว่าอีก 7 ปีต่อจากนี้ เราก็จะมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยเช่นกัน”

ตอนท้าย วาดเลอร์เลือกปิดเวทีด้วยคำของ โทนี มอร์ริสัน (Toni Morrison) นักเขียนหญิงแอฟริกัน-อเมริกัน ผู้ล่วงลับ

“ถ้าคุณต้องการอ่านหนังสือสักเล่มแต่ยังไม่มีใครเคยเขียน ก็จงลงมือเขียนมันเสียเอง”

อ้างอิง:
mashable.com
weforum.org
motherjones.com
motherjones.com

Tags:

โรงเรียนวัยรุ่นพลเมืองประชาธิปไตยความเข้าอกเข้าใจ(empathy)ความรุนแรง

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Learning Theory
    พื้นที่ที่ 5 (THE 5TH SPACE) สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อค้นพบศักยภาพและเปลี่ยนแปลงสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Learning Theory
    The 5th space: พื้นที่ที่ 5 ที่คนรุ่นใหม่สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า “ฉันเป็นใคร มีศักยภาพอะไร”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

5 วิธีสอนลูก ให้มีทักษะ STEM ได้ง่ายในทุกวัน
Learning Theory
22 March 2018

5 วิธีสอนลูก ให้มีทักษะ STEM ได้ง่ายในทุกวัน

เรื่อง The Potential

  • ใครๆ ก็พูดถึงทักษะ STEM แต่มันคืออะไร ทำไมเทรนด์การศึกษาจึงให้ความสำคัญ
  • STEM คือทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ว่าด้วยการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมและคณิตศาสตร์มาประยุกต์และแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง
  • STEM สามารถสอนได้กับเด็กที่แม้แต่ยังอ่านหนังสือไม่ออก เพราะยิ่งรู้จัก STEM เร็วก็ยิ่งส่งผลดีต่อพวกเขาในอนาคต
  • STEM เริ่มสอนได้ทันที ได้ทุกที่ ทุกเวลาและทุกโอกาส! โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อของเล่นราคาแพง

ทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ที่หลายต่อหลายคนในแวดวงการศึกษาบ้านเราพูดกันอย่างหนักหน่วงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้นทักษะ STEM ที่ทุกวันนี้หลายโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเริ่มปรับและนำหลักสูตรดังกล่าวมาใช้

STEM Education ย่อมาจาก Science Technology Engineering and Mathematics Education คือ แนวทางการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมและคณิตศาสตร์มาประยุกต์และแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง โดย STEM ถูกพูดถึงครั้งแรกโดยสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (the National Science Foundation: NSF)

หากอธิบายให้ง่ายที่สุดว่าทักษะ STEM คืออะไรกันแน่ STEMคือการนำทั้ง 4 องค์ความรู้ดังกล่าวมาบูรณาการเพื่อพัฒนาทักษะการคิด ตั้งคำถาม แก้ไขปัญหา ค้นหาคำตอบ วิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผลออกมาอย่างเป็นระบบที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่ง STEM สามารถสอนได้เลย แม้ว่าเด็กๆ จะยังอ่านหนังสือไม่ออกก็ตาม

เพราะยิ่งมีประสบการณ์ทักษะ STEM เร็วเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อระบบความคิดของพวกเขาเมื่อโตขึ้น

ด้วยเหตุนั้นเอง ทักษะ STEM จึงไม่อาจรอให้เริ่มต้นที่โรงเรียน แต่ควรเริ่มทันที ซึ่งผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ใกล้ตัวสามารถส่งเสริมและพัฒนาทักษะดังกล่าวเพื่อให้เด็กๆ มีทักษะดังกล่าวได้ด้วยตนเอง

และนี่คือ 5 วิธีง่ายแสนง่ายที่ผู้ปกครองสามารถสอนทักษะ STEM ให้กับเด็กๆ ได้ในทุกโอกาสและทุกเวลาอย่างถูกต้อง เพื่อให้เด็กเกิดพัฒนาการรอบด้านอย่างครบถ้วนพร้อมรับมือกับอนาคตข้างหน้า

1. หัดสังเกต

ความจริงแล้ว เด็กๆ มีสายตาช่างสังเกตมากกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เหนื่อยล้าจากความคิดที่ว้าวุ่นจากการทำงานหรืออะไรก็ตาม จนเผลอละเลยบางอย่างไป การฝึกทักษะช่างสังเกตสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ และทันที โดยให้เด็กรู้จักสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น วันนี้อากาศเป็นอย่างไร แตกต่างกับเมื่อวานไหม หรืออะไรก็ตามที่ใกล้ตัวคุณและลูก

เมื่อหัดให้เด็กสังเกตอยู่เป็นประจำ พวกเขาจะเปลี่ยนจากแค่สังเกต (noticing) มาเป็นการสังเกตการณ์ (observing) อย่างละเอียด เพราะการสังเกตการณ์เป็นหนึ่งวิธีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ จากการมีสมมุติฐานไว้ในใจแล้วเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากการสังเกตอย่างเป็นระบบ

2. สนใจรายละเอียดรอบตัวและบรรยายออกมา

ระหว่างที่พวกเขากำลังจดจ่อกับการเล่นหรือดูอะไรบ้างอย่างอยู่ ลองให้พวกเขาอธิบายคุณลักษณะสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าหรือบรรยายกิจกรรมที่พวกเขาทำอยู่ เช่น แก้วน้ำบนโต๊ะรูปร่างเป็นอย่างไร สีอะไร เล็กหรือใหญ่ จากนั้นอาจกล่าวซ้ำในประโยคเดิมที่เด็กๆ พูดโดยการเพิ่มคำศัพท์หรือคุณศัพท์เข้าไปโดยใช้ภาษา STEM กล่าวคือศัพท์จำพวกการคาดการณ์ (predict) ทดลอง (experiment) และประเมินผล (measure) เป็นต้น

เพราะเด็กที่มีการใช้/การรู้ภาษาหรือการได้มาซึ่งภาษา (language socialisation) อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เขามีทักษะการใช้ภาษาที่ดีขึ้นทั้งเรื่องเสียงและโครงสร้างไวยากรณ์ รวมถึงมีแนวโน้มว่าเมื่อพวกเขาโตขึ้นเขาอาจเลือกเรียนหรือศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับ STEM ในอนาคต

3. ถามว่า ‘อะไร’ มากกว่า ‘ทำไม’

เพราะการถามว่า ‘ทำไม’ นั้นเป็นการกดทับความมั่นใจในตัวเองของเด็กให้หายไป แต่การถามว่า ‘อะไร’ จะช่วยให้เด็กรู้สึกมั่นใจที่จะตอบมากกว่า ทั้งยังเป็นการส่งเสริมสายสัมพันธ์ระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ เพราะสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำคือ การสร้างบทสนทนาที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ ได้ใช้ความคิด ไม่ใช่การตัดบทสนทนา ชัตดาวน์คำถามที่ผู้ใหญ่ตอบไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าถามว่า ‘ทำไม’ ไม่ได้ แต่ก่อนอื่น ควรเริ่มต้นจากการถามว่า ‘อะไร’ กล่าวคือ ถามคำถามที่เด็กสามารถตอบได้ก่อน จากนั้นค่อยไต่ระดับให้ยากขึ้น

4. รู้จักกับการจับคู่ตัวเลขให้สัมพันธ์กับจำนวน (One-to-One Correspondence)

One-to-One Correspondence คือพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับเด็กปฐมวัย กล่าวคือ การจับคู่ตัวเลขให้สัมพันธ์กับจำนวน เช่น เลขหนึ่งเท่ากับจำนวนสิ่งของหนึ่งอย่าง เลขสองเท่ากับจำนวนสิ่งของสองอย่าง ไล่ไปเรื่อยๆ โดยผู้ปกครองสามารถสอนทักษะคณิตศาสตร์นี้ได้ง่ายๆ เช่น ให้เด็กจัดแก้วบนโต๊ะอาหารให้ตรงจำนวนกับคนจะรับประทานมื้อเย็น นับว่าจดหมายในตู้ไปรษณีย์มีกี่ซอง หรือให้หยิบไข่สองฟองสำหรับทำอาหาร เป็นต้น

ให้ง่ายกว่านั้นและสนุกกว่านั้นคือ การเล่นบอร์ดเกม การทอยลูกเต๋าและเดินให้ตรงจำนวนกับที่ทอยก็ช่วยเสริมสร้างทักษะดังกล่าวเช่นกัน ว่าแล้วก็ปัดฝุ่นเกมเศรษฐีมาลองเล่นกับพวกเขาดูไหม

5. ชวนคิดอย่างมีมิติสัมพันธ์

มีการยืนยันชัดเจนว่า การที่เด็กมีความสามารถคิดอย่างมีมิติสัมพันธ์ (spatial skill) นั้นเชื่อมโยงกับ STEM เนื่องจากความสามารถคิดอย่างมีมิติสัมพันธ์นั้นนำไปสู่การสร้างสรรค์และการเชื่อมโยงไปสู่ความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เช่น การเปรียบเทียบ หรือ การสังเกต เป็นต้น

เริ่มอย่างง่ายๆ เลย ให้เด็กเป็นศูนย์กลางของจักรวาลทุกสิ่งที่เขารับรู้ ดังนั้นรอบตัวเด็กก็จะเป็นตำแหน่งหน้า หลัง ซ้าย ขวา โดยลองให้เขาอธิบายว่าสิ่งรอบตัวเขามีอะไรบ้าง ไม่ว่าตรงนั้นจะว่างเปล่า เป็นสถานที่ เวลาหรือสิ่งของต่างๆ และสิ่งเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับเขาอย่างไร เช่น สมมุติว่าดูแผนที่สวนสัตว์ อาจให้เขาลองหาว่าตัวเขาตอนนี้อยู่ที่ไหน สิงโตอยู่ตรงไหน หรือ สมุมติว่ากำลังเดินทางไปสถานที่ใดที่หนึ่ง เช่น โรงเรียน ให้เขาลองอธิบายว่าจากบ้านไปโรงเรียนต้องผ่านอะไรบ้าง เขาเห็นอะไรบ้าง

อ้างอิง:
theconversation.com
stemedthailand.org

Tags:

ปฐมวัยSTEMคาแรกเตอร์(character building)พ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    คาแรกเตอร์ดี ลูกมีได้ ไม่ต้องจ่าย เรียนได้กับพ่อแม่

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Early childhood
    ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี
Education trend
22 March 2018

สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ท้อหรือยังกับการสอบแบบท่องจำ ที่เปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นห้องติวสอบแสนเครียด
  • ถ้าจัดสอบให้เป็นและถูกวิธี ความรู้ที่มีก็จะไม่ต้องถูกโยนทิ้งหน้าห้องสอบแต่จะอยู่ไปอย่างคงทนถาวร พร้อมใช้เสมอเมื่อต้องการ
  • นั่นเพราะสมองมีความพิเศษเกินกว่าจะใช้งานแค่การสอบ

ไม่เฉพาะในประเทศไทยที่มีกระแสต่อต้านและตั้งคำถามกับ การสอบวัดความรู้ระดับชาติ ว่าเป็นตัวชี้วัดความรู้และศักยภาพการใช้ชีวิตของนักเรียนได้จริงหรือ ที่สหรัฐอเมริกากระแสต่อต้านในหมู่ผู้ปกครองและครูต่อเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังการตรากฎหมาย No Child Left Behind ปี ค.ศ. 2002 ที่บังคับให้นักเรียนเกรด 3 ถึงเกรด 8 (ป.3 ถึง ม.2) ต้องสอบวัดระดับอย่างเข้มข้นทุกปี จนเปลี่ยนห้องเรียนให้กลายเป็นห้องติวเตรียมการสอบ สร้างความเครียดและน่าเบื่อหน่ายมากกว่าสร้างแรงบันดาลใจในการค้นคว้าหาความรู้

นึกภาพแล้วก็ไม่ต่างจากสถานการณ์ในเมืองไทยที่สถาบันกวดวิชาหรือการติวเพื่อสอบต่างๆ ยังคงมีความสำคัญอยู่มาก… มากกว่าการเรียนในห้องเรียนด้วยซ้ำไป

อย่างไรก็ตาม การสอบก็ไม่ได้เป็นเรื่องแย่เสียทีเดียว หากจัดสอบให้เป็นและถูกวิธีจะช่วยให้สมองดึงความรู้เดิมจาก ความจำระยะยาว (Longterm Memory) ออกมาสู่ ความจำใช้งาน (Working Memory) ในสถานการณ์ใหม่ เพื่อสร้างการเรียนรู้ระดับลึก (Deep Learning) ที่จะอยู่ไปอย่างคงทนถาวรมากกว่าการท่องจำได้

กระบวนการนี้ เรียกว่า ‘Transfer’ ที่เป็นเหมือนการกระตุ้นเตือนให้สมองรับรู้ว่า ความรู้ส่วนที่กำลังดึงออกมาใช้นี้มีความสำคัญ หลังจากนั้นสมองจะจดจำความรู้นั้นอย่างอัตโนมัติโดยที่เราไม่รู้ตัว นั่นเป็นเพราะสมองคนเรามีความพิเศษ มีกลไกช่วยเลือกทำงานเฉพาะเท่าที่จำเป็นหรือเลือกเฉพาะสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นในแง่ของการเรียนรู้ สมองจะเลือกจำความรู้ส่วนที่ดึงออกมาใช้งานบ่อยๆ งานวิจัยเรียกวิธีพัฒนาทักษะการเรียนรู้ (Learning Skills) แบบนี้ว่า การฝึกทบทวนความจำ (Retrieval Practice) ไม่ใช่การสอบ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อสอบวัดความรู้ระดับชาติทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นข้อสอบวัดความรู้จากการท่องจำ มากกว่าการวัดความเข้าใจระดับลึกด้วยคำถามที่เชิญชวนให้ต้องคิด การฝึกทบทวนความจำ (Retrieval Practice) คือ การใช้ข้อสอบที่ถามความรู้ลึกและถามแบบปลายเปิด ตามด้วยการเฉลยและให้คำแนะนำในทันทีที่สอบเสร็จ (Immediate Feedback) ซึ่งจะช่วยให้เกิดทักษะการทำความเข้าใจและพัฒนาวิธีการเรียนของตนเอง (Metacognition)

เมื่อฝึกฝนอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ นักเรียนจะสามารถดึงความรู้มาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว เนื่องจากสมองจะทำหน้าที่จัดความรู้เป็นชุดๆ (Schema) อย่างเหมาะสมต่อการดึงความรู้แต่ละชุดออกมาใช้งาน เมื่อถึงจุดนั้นนักเรียนจะมีความสามารถตรวจสอบกระบวนการเรียนรู้ของตนเองได้ และกลายเป็นคนที่กำกับการเรียนของตนเอง (Self-regulated Learner) ทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเชื่อมโยงได้ในที่สุด

ตรงข้ามกับการสอบวัดระดับโดยทั่วไปในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันผู้สอบยังคงต้องตะบี้ตะบันท่องตำราเรียนเพื่อเข้าสอบแข่งขันอย่างดุเดือด ทำข้อสอบเสร็จให้ทันเวลา วางดินสอวางปากกา แล้วเดินออกจากห้องสอบโดยไม่ได้รับคำแนะนำป้อนกลับในทันทีที่สอบเสร็จ แถมยังต้องรอผลการสอบไปอีกหลายสัปดาห์ การสอบทุกวันนี้จึงเป็นเพียงการวัดความรู้ (Assessment) ที่ไม่ส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน

คำถามคือ นักเรียนไทยยังคงต้องอยู่ท่ามกลางสมรภูมิสอบที่ไม่ได้เสริมการเรียนรู้แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่…?

อ้างอิง: หนังสือ ‘เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่’ โดย ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช, บทที่ 6 มุมมองใหม่ต่อการสอบ

Tags:

ครูซึมเศร้าระบบการศึกษาเทคนิคการสอนการสอบ

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Unique Teacher
    “เรารักนักเรียนนะ แต่เราแสดงออกไม่เป็น” เปลือยชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดราวบทหนังสือของครูเฮง

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • Dear Parents
    ความในใจ 5 อย่าง ของเด็กสอบตก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ทิโมธี ชาลาเมต์ “ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง ผมก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว”
Grit
20 March 2018

ทิโมธี ชาลาเมต์ “ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดง ผมก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว”

เรื่อง ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ทิโมธีคือเด็กที่แน่วแน่และมีแพชชั่นในการแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย เขาไม่เคยเลิกวิเคราะห์วิจารณ์ตัวเองในด้านของการทำงาน
  • เมื่อได้ลองศึกษาวิชาการแสดงที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน เขาสามารถหลุดเข้าไปในจักรวาลของตัวละคร มอบร่างให้ความจริงที่ควรจะเกิดขึ้นในภาพยนตร์ และแปลงกายเป็นอีกคนจนคนดูเชื่อหมดใจ
  • เขาวืดหมดทั้งบทนำใน Spider-Man, Manchester by the Sea ออดิชั่นกว่า 3 ปีเพื่อจะเจอแต่คำว่าไม่ได้ๆๆ หรือไว้ว่ากัน แต่เขายังกล้าที่จะก้าวต่อไปอย่างไม่รู้อนาคต เพราะอะไร?

ในวัย 12 ปี เด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่อง ‘The Dark Night‘ เห็นการแสดงของฮีธ เลดเจอร์ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าตาตัวเองไม่กะพริบ พ่ายแพ้จนรู้สึกว่าต้องเป็นนักแสดงเท่านั้น ทำอย่างอื่นไม่เป็นแล้ว

10 ปีให้หลัง วงการฮอลลีวูดฝั่งอเมริกาและคนทั่วโลกที่ดูภาพยนตร์เรื่อง ‘Call Me by Your Name‘ หรือ ‘Lady Bird‘ ที่เขาเป็นนักแสดงสมทบ ต่างรู้สึกว่าน้องคนนี้ ทิโมธี ชาลาเมต์ ในวัย 22 ปีเป็นเด็กที่แสดงหนังเรื่องสองเรื่องแต่กลับดังข้ามคืน การันตีโดยนิตยสาร Time ออนไลน์พาดหัวข่าวว่าทิโมธีขโมยซีนในงาน Golden Globe ซะเรียบ ถึงแม้จะชวดรางวัล แต่แค่มางานก็เหมือนชนะไปแล้ว

เด็กหนุ่มผิวขาว ตาหวาน ร่างติดจะเก้งก้างอ้อนแอ้นที่นั่งตกเก้าอี้ในงานแถลงข่าว New York Film Festival เปิดวิกิพีเดียอ่านคำนิยามของน้ำมันปิโตรเลียมในงานประกาศรางวัลอินดี้ Independent Spirit Awards หรือทำตัวเด๋อมากมายในงานทางการต่างๆ คือผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม ที่มีอายุน้อยที่สุดในรอบ 80 ปี และเข้าออกประตูเครื่องบินมากกว่าประตูบ้านเพื่อไปเข้าชิงรางวัลในงานกว่า 40 งานในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา

ทิโมธีได้เข้าชิงในงานประกาศรางวัลภาพยนตร์ใหญ่ๆ อย่าง BAFTA, Golden Globe, Screen Actors Guild Award หรือ Critics’ Choice Movie Award

“ผมรู้สึกว่ามันเซอร์เรียลมากเลยเวลาอยู่ในงานประกาศรางวัลที่มีเมอร์รีล สตรีป หรือดาราดังคนอื่นๆ อยู่ แล้วปากผมก็กำลังขยับเพื่อพูดสปีชอยู่!”

แม้กระทั่งเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ก็เคยเอ่ยปากมาแล้วว่าน้องเด๋อคนนี้ฮอตจัดและเก่งมาก รอให้อายุถึง 30 ก่อนเถอะแล้วจะไปฉกชิงมา แต่ทิมมีก็มักจะให้สัมภาษณ์กับรายการต่างๆ ว่าต้องขอโทษผู้ชมด้วยที่ต้องมานั่งฟังเด็กนี่พูดทั้งๆ ที่พวกเขาอาจจะไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าผมคือใคร แซวตัวเองในรายการสัมภาษณ์ไว้ว่าคอยดูเถอะคลิปนี้อาจจะมีคนดูแค่ 6 คน

หน้าที่ถ่อมตัวก็ปล่อยให้เป็นของเขาไป ทิโมธีคือเด็กที่แน่วแน่และมีแพชชั่นในการแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย เขาไม่เคยเลิกวิเคราะห์วิจารณ์ตัวเองในด้านของการทำงาน เมื่อเขาได้ลองศึกษาวิชาการแสดงที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน น้องเด๋อที่ทำตัวตลกในงานประกาศรางวัลก็สามารถหลุดเข้าไปในจักรวาลของตัวละคร มอบร่างให้ความจริงที่ควรจะเกิดขึ้นในภาพยนตร์ และแปลงกายเป็นอีกคนได้จนคนดูเชื่อหมดใจ

และนี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่บอกว่าเขาทนไม่ได้เมื่อดูภาพยนตร์ดีๆ สักเรื่องแล้วคิดว่าตัวเองจะไม่ได้อยู่ในนั้น

“ผมไม่ทราบว่าผมไปหลอกใครให้จัดผมไว้อยู่ในหมวดเดียวกับศิลปินที่มากความสามารถอย่างแมรี เจ. บลายจ์ แต่ผมจะรับมันไว้ ขอบคุณอาจารย์ลูกา กัวดาญีโน ที่บังคับเรือของเราด้วยความรัก ความเอาใจใส่และความเก่งกาจ และขอบคุณที่มอบบทแห่งช่วงชีวิตนี้ให้กับผม สุดท้าย เนื่องจากผมเป็นเด็กนิวยอร์ค ผมจึงขอเวลาช่วงนี้ขอบคุณศิลปินชาวนิวยอร์คที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมบ้าพอที่จะลงไปทำอาชีพนี้ (รายชื่อศิลปิน) และแม่ของผมที่นั่งอยู่ตรงนั้นครับ Peace and Love ขอบคุณครับ”

สุนทรพจน์ส่วนหนึ่งของทิโมธีในงาน IFP Gotham Awards

ทิมมีรับรางวัล Breakthrough Actor ในงาน IFP Gothem Awards

ผลออดิชั่น คือไม่ได้ๆๆๆ และไว้ว่ากัน แต่ความฝันยังเดินต่อ

“ผมอาจจะยังเด็กอยู่ก็จริง แต่ตลอดเวลาที่ได้ไปลองออดิชั่นมา ผลมันมีแต่ ไม่ได้ๆๆๆๆๆ แล้วก็ไปคุยกับทีมงานหรือคนที่เกี่ยวข้องแล้วก็ไม่ได้ๆๆๆๆ หรือมีโปรเจ็คต์หลายชิ้นที่ต้องรอก่อน ไว้ว่ากัน (อย่าง Call Meฯ ก็ใช้เวลาถึง 3 ปีกว่าจะรู้ผล) แต่ผมเป็นเด็กอายุ 11 ที่ชอบการแสดงมาก ชอบมากในแบบที่ไม่รู้ว่าเด็ก 11 ขวบจะชอบอะไรได้มากขนาดนี้ไหม”

ทิโมธีเข้าเรียนโรงเรียนการแสดงมีชื่อในนิวยอร์ค LaGuardia High School of Music & Art and Performing Arts เขาได้โอกาสแสดงศาสตร์ทางศิลปะที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือละครเวที เช่นเรื่อง ‘Prodigal Son’ ที่เขียนบทโดยนักเขียนบทละครเวทีชื่อดัง จอห์น แพทริค แชนลีย์ และได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมสาขาละครเวทีจาก Lucille Lorten Award

ทิมมีมีเพื่อนร่วมชั้นเก๋ๆ คือ แอนเซล เอลกอร์ธ ที่แสดงนำในเรื่อง ‘The Fault In Our Stars’ (ซึ่งพอ MTV ไปถามว่าใครป๊อปกว่ากันในช่วงชีวิตไฮสคูล ทิมมีก็ตัดพ้อว่าตอนที่เขาไปออดิชั่นเรื่อง ‘Guys and Dolls’ หรือ ‘Hairspray’ นี่ไม่เคยได้เล่นเลย ตอนนั้นเลยต้องมานั่งออดิชั่นโชว์การแสดงเด๋อๆ มากมายที่ยังมีให้เห็น ให้อายจนทุกวันนี้)

หนุ่มน้อยในสูทขาวเนี้ยบจากแบรนด์ Berluti ในงานออสการ์ให้สัมภาษณ์ว่า เขาจะมาอยู่ตรงนี้ไม่ได้เลยถ้าไม่ได้ครูแฮร์รี ชิฟแมนเป็นเมนเทอร์ให้ หรือมีงบสนับสนุนจาก Public Art Fund องค์กรอิสระไม่แสวงหากำไรที่สนับสนุนโปรเจ็คต์ด้านศิลปะในนิวยอร์ค พร้อมกับย้ำว่ามันสำคัญมากจริงๆ

“ตอนผมเข้าไปเรียนที่ LaGuardia ผมเข้าใจทันทีว่าผมสามารถจริงจังกับการแสดงได้เต็มที่ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจริงจังกับตัวตนของตัวเอง แสร้งเพื่อแสดงหรือกันผู้คนออกไป แต่ผมจริงจังเพื่อศิลปินหลายท่านที่ทำงานมาในสายงานนี้ด้วย ยิ่งผมพยายามมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น

ในพิพิธภัณฑ์วาร์ฮอลที่พิตต์สเบิร์ก มีโควทหนึ่งโควทเขียนไปว่า การสร้างสรรค์กับการวิเคราะห์เป็นขั้นตอนที่ต้องแยกกัน ผมชอบข้อความนั้นมาก ตอนที่ผมแสดงต่อหน้าเด็กในรุ่นๆ เดียวกัน มันเป็นการแสดงสไตล์เล่นใหญ่และเยอะแบบเก้ๆ กังๆ อยู่มาก

แต่ถ้าคุณไม่ลองขึ้นเวทีไปแสดงแล้วผิดพลาดไปเรื่อยๆ ผมเล่นละครเวทีที่นิวยอร์คตอนอายุ 15 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่ผมเฟลแล้วเฟลอีก คือถ้าคุณไม่เคยเล่นห่วยซ้ำๆ ห่วยหนักมากไปอีกจนคุณรู้สึกปลอดภัยกับความผิดพลาด คุณจะก้าวผ่านมันไปไม่ได้เลย เพราะเวลาคุณทำงานก็คือทำงาน คุณควรจะโฟกัสว่าคุณจะสร้างงานอย่างไรมากกว่าไปนั่งวิเคราะห์มัน
การออดิชั่นก็เหมือนกัน วินาทีที่คุณก้าวออกจากประตูบ้าน คุณควรจะใจดีกับตัวเอง ในรอบถัดไปๆ คุณจะเป็นอิสระมากขึ้น แต่ก็จะโบยตีตัวเองหนักขึ้นด้วยเช่นกัน”

ออดิชั่นไม่ผ่านไม่ใช่เรื่องแปลก ทิมมีบอกเรียบๆ ว่าโรงเรียนหรือเพื่อนร่วมรุ่นมีเคมีความพยายามเป็นศิลปินที่คอยบิวท์ซึ่งกันและกัน หรือการที่เขาเติบโตมาในครอบครัวศิลปินโดยแท้-อาจเป็นเหตุผลที่ช่วยดันหลังเขา

ทิมมีร่วมแสดงกับ Robert Sean Leonard ในละครเวที Prodigal Son

คุณแม่และคุณยายเคยเป็นนักเต้นละครบรอดเวย์ (และจบมาจาก LaGuardia เหมือนกัน) พี่สาวเป็นนักเต้นบัลเล่ต์และนักแสดงอยู่ที่ฝรั่งเศส คุณน้าเป็นนักเขียน คุณลุงเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ คุณตาเป็นคนเขียนบท ทิมมีจึงเป็นเด็กโรงละคร โตมากับละครเวทีเน้นๆ และภาพศิลปะติดตาจากการที่แม่หรือพี่สาวเป็นนักเต้น หรือการเลี้ยงดูของครอบครัวที่คอยสนับสนุนและแต่งเติมตัวตน

เขาเป็นลูกครึ่งอเมริกัน-ฝรั่งเศส เกิดที่ Hell’s kitchen เมืองแมนแฮตตัน แต่ก็ใช้ช่วงเวลาปิดเทอมฤดูร้อนในเมืองเล็กๆ ที่ฝรั่งเศส

“จริงๆ มันอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพจิตนะครับที่ผมไม่รู้ว่าตัวตนจริงๆ ของผมเป็นใครกันแน่ ในพาร์ทอเมริกันผมเป็นพวกร่าเริง กล้าแสดงออก มีแพชชั่นต่อการเป็นนักแสดงและต้องการที่จะเข้าไปอยู่ในสังคมการแสดง อยากพูดบทหรือต่อบทมาก แต่พาร์ทฝรั่งเศสในตัวก็ทำให้ผมมีบุคลิกนิ่งๆ โดยธรรมชาติ ซึ่งมันส่งผลดีต่อการแสดง เพราะผมไม่ได้แสดงด้วยพื้นฐานความคิดที่ว่าตัวตนของผมเป็นใคร ผมมักจะคิดว่าแพชชั่นในการอยากเป็นนักแสดงให้เป็นที่ยอมรับมาจากแม่ ส่วนนิสัยที่จะเลือก ‘ฟัง’ มาจากพ่อ”

ศิลปะช่วยผมไว้และเปลี่ยนให้ผมเป็นนักแสดงที่ดีขึ้น

“ผมคิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีที่ได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่อของฮีโร่ต่อหน้าเขา ผมคิดว่าเขานั่งอยู่ที่ไหนสักแห่งในงานนี้…คุณพอล โธมัส แอนเดอร์สัน ผมขอบคุณมากครับ คุณคือเหตุผลหลักๆ ที่ผมได้มีโอกาสขึ้นมาอยู่บนเวทีนี้ และผมขอทำตัวลีบๆ ในรายการใดๆ ก็ตามที่มีชื่อของคุณอยู่ด้วยเช่นกัน เพราะคุณคืออัจฉริยะ”

สุนทรพจน์ส่วนหนึ่งของทิโมธีในงาน The National Board of Review Awards Gala

จังหวะการเป็นลูกครึ่งฝรั่งเศสอาจจะไม่เคยประจวบเหมาะเท่านี้มาก่อน เพราะในภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือชื่อเดียวกันเรื่อง ‘Call Me by Your Name’ ที่ส่งให้ทิมมีเข้าชิงออสการ์ (แต่ไม่ได้รางวัล) อาศัยความสามารถมากมายที่นักแสดงต้องเรียนรู้ เพราะเนื้อเรื่องเกิดขึ้นที่เมืองเครมาประเทศอิตาลี ยุค 1980 เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องรักอบอุ่นรวดร้าวในฤดูร้อนของอิตาลีที่มีตัวละครผู้ชาย 2 คนดึงทึ้ง หลงใหล และหลงทางในความรักที่มีต่อกันในกรอบเวลาสั้นๆ

ภาพยนตร์ Call Me by Your Name

น้องเด๋อเล่นเป็นเอลิโอ เพิร์ลแมน ลูกชายวัย 17 ปีของศาสตราจารย์เพิร์ลแมน พูดได้ 3 ภาษาคือ อังกฤษ, ฝรั่งเศส และอิตาเลียน สลับไปมาในแต่ละซีน (ทิมมีพูดฝรั่งเศสได้อยู่แล้ว) ไม่รวมการไปเรียนเปียโนและกีตาร์เพิ่ม เพราะบทคือเอลิโอ ออกจะเป็นเด็กฉลาดเกินวัย แกะเพลงคลาสสิกเองในยามว่าง เล่นเปียโนโชว์ชาวบ้านเป็นเรื่องปกติ ชอบอ่านหนังสือและรู้ประวัติศาสตร์มากมาย รู้ทุกอย่างนอกจากการจัดการกับการอกหัก

แถมยังต้องเล่นเป็นเด็กแก่แดด สับสนสวยงาม น้องต้องอ่อยผู้ชาย (ที่อายุมากกว่า 7 ปีและเป็นลูกศิษย์ปริญญาเอกคนฉลาดของพ่อ) ด้วยวิธีผู้ดีซับซ้อน เช่น เล่นเปียโนอ่อย หรือถกเถียงเชิงปัญญาชน…แต่ก็คืออ่อย

ช่วงก่อนถ่ายทำจริง ทิมมีเดินทางไปที่เครมาก่อน 1 เดือนครึ่ง ในแต่ละวันเขามีตารางเรียนภาษาอิตาเลียน 1 ชั่วโมงครึ่ง กีตาร์ 1 ชั่วโมงครึ่ง และเปียโนอีก 1 ชั่วโมงครึ่ง

“Call Me by Your Name’ เป็นหนังที่ทำมาจากหนังสือ ซึ่งเปรียบเหมือนการดึงข้อมูลออกมาจากคัมภีร์ไบเบิลที่มีเนื้อหามหาศาลในนั้น ดังนั้นไอเดียในการแสดงของผมก็คือซื่อสัตย์กับบทที่ดัดแปลงมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เอลิโอในหนังสือเป็นเด็กที่เล่นเปียโนเก่งมาก หรือเปลี่ยนจากภาษาหนึ่งไปอีกภาษาได้ลื่นไหล ดังนั้นหน้าที่ในการเป็นนักแสดงของผมก็คือต้องรับผิดชอบกับมันอย่างซื่อสัตย์ที่สุดตามถ้อยคำของนักเขียน”

แล้วการได้เล่นบทที่ตัวละครเจอตัวตนของตัวเองตั้งแต่ยังเด็กเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่านะครับ การได้ตามหาว่าต้องแสดงกายภาพของเราอย่างไรให้มีนัยยะทางเพศ มีการแสดงออกของตัวละครบางอย่างที่ผมรู้สึกว่ามันใช่เหรอ ผิดหรือเปล่า ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ร่วมสมัย เป็นการแสดงออกทางร่างกายที่คุณจะไม่มีวันเจอในยุคสมัยนั้น

ผมมักจะบอกตัวเองให้จำช่วงเวลาที่ได้บทแสดงนำไว้ให้ดี แสดงอย่างที่รู้สึกออกไปเสมอ บางครั้งมันอาจจะมากไป บางครั้งผมอาจจะอ่านและเล่นบทอย่างซื่อสัตย์มากๆ จนมันดูไม่คูลหรือดูเก้งก้างน่าอึดอัด แต่นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามจะ ‘เป็น’

แต่ถ้ามันจริงถึงขั้นที่คุณสนใจความเป็นจริงมากกว่าสิ่งที่ต้องแสดงก็อันตรายมากเหมือนกัน คุณต้องไม่บันเทิงตัวเองถึงแม้ว่างานจะบันเทิง งานควรจะเป็นงาน ถ้ามันส่งเสียงสะท้อนอะไรบางอย่าง มันจะเป็นไปในรูปแบบของมันเอง”

เหมือนตอนที่เล่นฉากเกี่ยวกับการจัดการความเศร้าใน ‘Call Me by Your Name’ กับไมเคิล สตอลเบิร์ก (รับบทพ่อของเอลิโอ) ซึ่งเป็นที่กล่าวถึงในหมู่คนดูและนักวิจารณ์ภาพยนตร์ เป็นวินาทีที่ทิมมีรู้สึกว่าเขาได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ในฐานะมนุษย์

“ผมเคยดูไมเคิลแสดงละครเวทีเรื่อง ‘The Pillowman’ ตอนอายุ 12-13 ปี และตอนที่รู้ว่ามีโอกาสที่จะได้เล่นเรื่องเดียวกับเขา ผมเหมือนเด็กจิ๋วตาวาวอยากได้ลูกอมเลย พอเล่นฉากนั้นผมเลยคิดง่ายๆ ว่า ให้ท่านอาจารย์แสดงงานของท่านไป แล้วปล่อยตัวเองให้เป็นแมลงวันที่เกาะอยู่บนผนังแทน

ภาพยนตร์ Call Me by Your Name

ปกติเวลาที่ผมแสดง ผมจะจำบทของผมและอีกฝ่ายไปด้วยเพื่อดูจังหวะการเล่น บิวท์ตัวเองว่าต้องเป็นเอลิโอๆๆๆ แต่สิ่งที่ไมเคิลพูดในฉากนั้นมันดังในหัวมากจนผมตัดสินใจที่จะไม่จำบท แต่กลับคิดว่า “ทิมมี มึงต้องฟังเขาพูดนะ ฟังสิ่งที่เขาจะพูดจริงๆ ฟังคำเขา แล้วเอามันมาใช้ในชีวิตจริงๆ”

มันอาจจะฟังดูเลี่ยนนะครับ แต่ผมคิดว่าสำหรับนักแสดงรุ่นเยาว์ที่กำลังพยายามอย่างมากที่จะควบคุม ‘ความสำเร็จที่พุ่งทะยาน’ นี่คือสิ่งที่จำเป็นจริงๆ นี่คือช่วงเวลาที่ศิลปะช่วยผมไว้ได้และเปลี่ยนแปลงให้ผมเป็นนักแสดงที่ดีขึ้น

นอกจากนั้นคือการทำงานกับผู้กำกับที่คุณเชื่อถือ แล้วเมื่อคุณเข้าใจแก่นเดียวกัน มันจะเปิดช่องว่างให้คุณกล้าผิดพลาด ซึ่งในฐานะนักแสดงมันมีใบสั่งว่าคุณต้องทำอะไรอย่างชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความแรนดอม เวลาที่ผมเป็นคนดู ผมชอบความแรนดอม ความซื่อสัตย์และอารมณ์ดิบที่มีอยู่ในหนัง”

เด็กหนุ่มถังแตกผู้พลาดหวังจาก Spider-Man

“ทุกวันในกองถ่ายที่อิตาลีทางตอนเหนือคือห้องเรียนฝึกการแสดง ผลกระทบที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีต่อผู้ชมที่มีโอกาสได้ชมไปในปีที่แล้ว รวมถึงการได้แสดงในบทบาทที่ อังเดร อสิเมน (ผู้เขียนหนังสือ) เขียนที่อิตาลีทางตอนเหนือ ก็ขยายอาณาเขตความฝันเพ้อคลั่งของผมมากมายแล้ว สำหรับคนที่ยังไม่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมหวังว่าคุณจะสนุกไปกับสุนทรพจน์ที่ลึกซึ้งที่สุดในช่วงชีวิตหนึ่งของไมเคิล, อาร์มี แฮมเมอร์ (พระเอก) เต้นไปกับเพลงยุค 80 และประสบการณ์เซ็กส์ของผมกับลูกพีช ขอบคุณครับ ราตรีสวัสดิ์”

สุนทรพจน์ส่วนหนึ่งของทิโมธีในงาน Hollywood Film Awards

คู่เดทในงาน SAG awards ปีนี้ของทิโมธีคือคุณแม่นิโคล เฟนเดอร์ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในอาชีพนักแสดงของลูกชาย และเป็นคู่เดทคนเดียวกับเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่เขาได้มาร่วมงาน

ถึงแม้ทิมมีของคุณแม่และประชาชนจะดูเด๋ออย่างมากหากใครได้ดูวิดีโอแร็พตอนไฮสคูลที่หลุดออกมาเป็นไวรัลในอินเทอร์เน็ต ดูเหมือนว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความสุขดี มีครอบครัวและคนรอบข้างสนับสนุน แต่ทิมมีก็ตามหาตัวเองและที่ทางในอาชีพนักแสดงอย่างหนัก เจอมรสุมของความผิดหวังอยู่หลายปี ตอนปีสุดท้ายเขาได้รับบท ฟิน วอลเดน ลูกชายเจ้าปัญหาของรองประธานาธิบดีในซีรีส์เรื่องดัง ‘Homeland’ ระหว่างที่เรียนที่ LaGuardia ก็ได้ผ่านงานแสดงยิบย่อยหลากหลาย

“ผมแสดงซีรีส์เรื่อง ‘Homeland’ ตอนเรียนปีสุดท้ายที่ไฮสคูล ซึ่งมันเป็นประสบการณ์การแสดงที่แปลกนะครับ เพราะตอนแสดงคุณต้องทิ้งทุกอย่าง ศึกษาตัวละครแล้วคิดว่าจะแสดงยังไงให้ตัวละครเข้ากับเรื่องได้มากที่สุด แต่คุณก็ยังต้องกลับไปเรียนหนังสืออยู่ บางครั้งผู้กำกับก็ไม่ได้สนใจว่าซีนมันจะออกมาในรูปแบบไหนมากกว่าทำยังไงการแสดงมันถึงจะดูเรียล”

หลังจบมาจาก LaGuardia เวทีที่ใหญ่และหนักกว่าละครที่เคยเล่นมาทั้งหมดคือการตัดสินใจว่าจะเว้นเวลา 4 ปีไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียดีหรือไม่ แคลร์ เดนซ์ หรือซินเทีย นิกซอน นักแสดงร่วมใน ‘Homeland’ ต้นสังกัด หรือแม้กระทั่งแม่ของทิมมีต่างเชียร์ให้เขาลงเรียนก่อน ซึ่งน้องเด๋อก็เรียน แต่เป็นเด็กปีหนึ่งจบปุ๊บก็ลาออกจากมหาวิทยาลัยเพราะหาเหตุผลในการเรียนต่อไม่ได้แล้วแม้ว่าแม่จะยืนกรานว่าให้เรียนต่อ

เขาจินตนาการตัวเองทำอย่างอื่นไม่ออกนอกจากการเป็นนักแสดง

ทิมมีกับบรรดาแฟนคลับ

ทิมมีย้ายมาอยู่ที่ย่าน The Bronx เพราะสามารถเช่าห้องราคาถูกที่นั่นได้ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่านั่นคือช่วงเวลาที่ถังแตกและยากลำบากทั้งทางการเงินและทางใจมากที่สุดแล้ว ระหว่างนั้นเขาออดิชั่นเรื่อง ‘Spider-Man: Homecoming’ แต่ก็วืด กลายเป็นว่า ทอม ฮอลแลนด์ ได้บทไป หรือเรื่อง ‘Manchester by the Sea’ ก็วืดอีก เพราะ ลูคัส เฮดจ์ส ได้บทไป (ซึ่งทิมมีเปิดเผยว่าเขามาย้อนดูคลิปและสัมภาษณ์ทั้งหมดและคิดว่าบทเหมาะสมกับทั้งสองคนมากๆ แล้ว)

“ผมพังมากเลย เพราะตอนที่ออดิชั่นไม่ได้บท Spider-Man ผมออกมาจากมหาวิทยาลัยแล้วและไม่ได้ทำงานอยู่ แล้วอายุ 19 ก็เป็นช่วงเวลาที่จะเด็กก็ไม่ใช่ ผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง ผมมักจะทบทวนตัวเองเสมอว่ามึงจะเอายังไง จะเอาจริงกับการแสดงใช่ไหม งั้นมี 3 ทางให้เลือก หนึ่ง เต็มที่กับการแสดงไปเลย สอง ก็เต็มที่นะแต่ก็เรียนหนังสือไปด้วย หรือสาม เรียนหนังสืออย่างเดียว เลิกแสดงไปก่อน 4 ปี ซึ่งทางเลือกที่ 3 ผมไม่นับมันว่าเป็นทางเลือกด้วยซ้ำ ผมเลยตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยตอนที่ ‘Interstellar’ ฉาย”

ทิโมธีออดิชั่นได้บทเป็นลูกชายของ แมทธิว แมคคอนนาเฮย์ ในภาพยนตร์เรื่องดัง ‘Interstellar’ และหวังว่าบทนั้นจะทำให้เขาได้บทที่ดี บทที่ใหญ่ บทที่ไปต่อได้และเป็นที่ยอมรับ
แต่ก็ไม่…

จนถึงวันที่ ‘Call Me by Your Name’ กับ ‘Lady Bird’ ออกมาสู่สายตาประชาชนในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วกระแส Chalametians หรือกองทัพเอ็นดูน้องทิมมีเคลื่อนตัวอย่างบ้าคลั่ง ถึงขั้นมีแฟนคลับชาวจีนตั้งชื่อเล่นให้ว่า Sweet tea เพราะการออกเสียงในภาษาจีนใกล้เคียงกับทิโมธี เขาถึงหายใจได้ทั่วท้องเสียที

“สำหรับผมมันชัดเจนมากว่าไม่อยากเรียนต่อ แต่มันก็เป็นหนึ่งในความไม่มั่นคงทางจิตใจที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตผมเช่นเดียวกัน อีก 6 ปีข้างหน้า ผมไม่อยากมองกลับไปที่ตัวเองแล้วมานั่งเสียดายว่าทำไมตอนนั้นโง่ได้อีกหรือไม่ลองท้าทายตัวเองดู

มันน่ากลัวนะครับเพราะผมไม่อยากขโมยช่วงเวลาในการเติบโตในฐานะมนุษย์ แต่สุดท้ายแล้วการได้ทำงานแสดงมันตรงกันข้ามกับที่เคยคิดไว้เลยว่าจะไม่ได้เรียนรู้ด้านมนุษย์ในตัวเอง ผมไปออกกองฯ ได้ประสบการณ์การทำงานร่วมกับผู้กำกับที่ใช้สัญชาตญาณในการทำงาน เหมือนที่ได้เห็นคริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับ ‘Interstellar’ ทำงานด้วยสัญชาตญาณที่แม่นยำของเขา ได้ทำงานร่วมกับคนที่เปิดรับไอเดียและมีความคิดสร้างสรรค์ มีเมนเทอร์คอยสอนงาน ผมคิดว่านั่นก็คือการเรียนอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน”

การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ แต่สำคัญไปกว่านั้นคือนักเรียนเห็นว่าอะไรคือการศึกษาที่แท้จริงของเขา ทิโมธีเปรยว่าการประสบความสำเร็จในวัยเยาว์อาจจะไม่ใช่เส้นทางที่ดูแข็งแรงนัก รู้ดีว่าในอาชีพนักแสดงกราฟขึ้นสูงได้ก็ลงดิ่งได้มากแล้วแซวตัวเองว่าผมอาจจะได้เจอกับความหายนะเร็วๆ นี้

เขาชอบเล่นมุกว่าไม่อยากเดินตามถนนแล้วมีคนมาทักว่า เฮ้ย นายใช่คนที่มีเซ็กส์กับลูกพีชในหนังเรื่องนั้นปะ แต่ก็ดีใจมากที่พอมีคนทักว่า “เฮ้ย นายคือไอ้เวรคนนั้นที่เล่น Lady Bird นี่” เพราะนั่นหมายความว่าคนเห็นเขาในฐานะนักแสดงที่แท้จริง

ทิมมี กับ เซอร์เชอ โรแนน จากภาพยนตร์ Lady Bird

ทิมมีศึกษาการแสดงจากภาพยนตร์, หนังสือ, เพลง, ละครเวที ภาพยนตร์อย่าง ‘Punch-Drunk Love’ ‘Fences’ ละครเวทีเรื่อง ‘Death of the Salesman’ ที่แสดงโดย ฟิลิปป์ ซีย์มัวร์ ฮอฟแมน หรือ ‘The Dark Night’ ที่จุดไฟนักแสดงที่ไม่มีวันมอดให้กับเขา ทิมมียังชอบเพลงฮิปฮอปและชอบอ่านวรรณกรรม เช่น ‘The Perks of Being a Wallflower’ เขียนโดยสตีเฟ่น ชบอสกี, ‘The Death of Ivan Ilyich’ เขียนโดย ลีโอ ตอลสตอย และ ‘1984’ ที่เขียนโดย จอร์จ ออร์เวล ที่เขาบอกว่าอ่านซ้ำไม่รู้กี่รอบแล้ว

แต่ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องตลกจริงๆ ที่รายการ Late Night Show ต่างๆ ต่างเชิญเขาไปเป็นแขกรับเชิญ งานแถลงข่าวและสื่อมากมายโยนคำถามเรื่องการจัดการกับชื่อเสียงฉับพลันหรือที่มาที่ไปของการได้แสดงนำในบทน้องเอลิโอ หรือไคล์จาก ‘Lady Bird’ ที่เข้าชิงพรวดเดียว 40 กว่างาน

อยู่ดีๆ ก็มีคนสงสัยเต็มไปหมดว่าชื่อ Timothée Chalamet อ่านออกเสียงอย่างไร ใครจะนั่งข้างๆ เขาในงานประกาศรางวัลออสการ์ วันเกิดที่โปรดปรานที่สุด หนังสือที่ชอบที่สุด หรือจูบแรกเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่างไร

“ที่งานประกาศรางวัล Sundance ผมจำได้มีคนคนหนึ่งยกมือขึ้นมาแล้วบอกว่าฉากที่ผมแลกเปลี่ยนกับไมเคิล (พ่อในเรื่อง) เป็นพ่อที่เขาไม่มีวันได้สัมผัส คือพ่อที่เขาอยากมี สำหรับผมคำพูดนั้นมันเซอร์เรียลมากเพราะผมออดิชั่นงานมาอย่างหนักในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมกังวล ผมเศร้า แต่ตอนนี้เหมือนมาอยู่ในสมการที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเวลาที่มีคนมาพูดว่าเขาได้รับผลกระทบจากมันยังไงบ้าง คุณทำงานแสดงมาเพื่อสิ่งนี้แหละ มันต้องไปไกลกว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในหนัง ผมหวังว่าอีก 5 ปีข้างหน้าคนดูก็ยังคงจะได้รับอะไรบางอย่างไปจากหนังที่ผมเล่น

ในฐานะศิลปิน การให้อะไรกับผู้ชมคือสิ่งที่ผมฝันถึง การเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดอยู่ดีคือความฝันแรก ส่วนความฝันที่สองคือความรู้สึกเติมเต็มจากการที่คนดูได้รับจากสิ่งที่เราสร้าง และมันขึ้นอยู่ที่คนดูว่าเขาจะได้รับอะไรไป เพราะความเป็นศิลปะเกิดขึ้นในความคิดของคนดูไม่ใช่จากจอภาพยนตร์”

ยูนิคอร์นผู้คิดเยอะ

“ผมพยายามที่จะซึมซับช่วงเวลานี้ไว้เพราะไม่รู้ว่ามันจะมีโอกาสได้เกิดขึ้นอีกหรือเปล่า ผมหวังว่ามันจะไม่ดูเลี่ยนเกินไปที่จะบอกว่าผมมีศรัทธาในวงการนี้และประเทศนี้ เพราะเกรตา เกอร์วิค, ลูกา กัวดาญีโน, จอร์แดน พีล, ดาเนียล คาลูยา และศิลปินผู้สร้างภาพยนตร์ที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้ เรามีคลื่นลูกใหม่กำลังมาแล้วครับ เราจะทำให้ดี เราจะทำงานอย่างดีครับ”

สุนทรพจน์ของทิโมธีในงาน Independent Spirit Awards

ทิมมีวิ่งขึ้นไปรับรางวัลในงาน Independent Spirit Awards

เกรตา เกอร์วิค นักแสดงทรงเสน่ห์-ผู้กำกับ-เขียนบทเรื่อง ‘Lady Bird’ และนักแสดงมากความสามารถเคยกล่าวไว้ว่าหลายคนอาจจะประหลาดใจกับการมาของทิมมี แต่ฉันไม่ ฉันรู้มานานแล้วว่าเขาเป็นยูนิคอร์น

ซึ่งยูนิคอร์นคนนี้ก็สร้างความร้าวรานทางจิตใจแก่ผู้ชมอย่างร้ายกาจในภาพยนตร์เรื่อง ‘Call Me by Your Name’ เพราะทั้งสายตา ภาษากายและใจที่ส่งออกไปในแต่ละฉากราวกับว่าเขาดีไซน์มาอย่างงดงามแล้วแม้ว่าจะเป็นฉากเล็กน้อย เช่น ไอเดียที่เอลิโอกำลังเล่นน้ำอยู่แล้วโผล่ขึ้นมามีสร้อยค้างอยู่ตรงริมฝีปาก (พระเอกใส่สร้อยแบบเดียวกัน) ก็เป็นไอเดียของทิมมี

“ผมไม่เคยกังวลเลยว่าจะทำอะไรได้ไม่ดี เพราะผมรู้ว่าผมคงไม่สามารถทำทุกอย่างให้ดีได้ การทำได้ไม่ดีจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ผมกลัวว่าผมจะน่าเบื่อ ถ้าผมแสดงแล้วไม่มีใครดูเลย แม้กระทั่งการไปออกพอดแคสต์หรือโชว์ต่างๆ ก็ตาม แต่หลักๆ เลยคือการแสดงภาพยนตร์ สิ่งที่เลวร้ายกว่าการเล่นแย่คือเล่นแล้วน่าเบื่อ ผมทนไม่ไหวถ้าภาพยนตร์อิสระหรืองานอาร์ตให้ความรู้สึกแบบนั้น ผมไม่อยากเล่นให้ตัวเองดูคนเดียว

กับ เกรตา เกอร์วิค ผู้กำกับ Lady Bird ในงานออสการ์ 2018

การเลือกโปรเจ็คต์ที่จะเล่นก็เลยมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก ซึ่งมันก็เครียดมากด้วยเช่นกันเพราะผมต้องการที่จะท้าทายตัวเองในฐานะนักแสดงที่ได้โอกาสแสดงในโปรเจ็คต์ทดลองหรืองานที่สนุก ไม่ใช่งานแสดงที่ดูเหมือนเอาโควทมาพูดเรียงต่อกันจนน่าเบื่อ คนดูเองก็จะได้รับสารที่นักแสดงดีไซน์มาอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วด้วย อย่างเช่นในเรื่อง ‘Call Me by Your Name’ ที่พวกเขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกภายใน ความลึกซึ้งที่หนังต้องการจะสื่อ”

ในวัย 22 ปี เขาได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง ‘A Rainy Day in New York’ ที่จะออกฉายในปี 2018 นี้ แต่ด้วยความที่ผู้กำกับวูดดี อัลเลน ที่พ่วงคดีการล่วงละเมิดทางเพศลูกสาวบุญธรรมติดตัว และฮอลลีวูดก็เพ่งเล็งประเด็นนี้มาก ทิโมธีจึงออกมาแสดงความคิดเห็นโดยการโพสต์ผ่านอินสตาแกรมว่า

“ผมเรียนรู้ว่าผมไม่ควรจะเลือกงานด้วยมาตรฐานที่ว่าบทดีอย่างเดียวเท่านั้น หลายเดือนที่ผ่านมาผมเห็นขบวนการขับเคลื่อนทรงพลังเพื่อที่จะหยุดความอยุติธรรม ความไม่เท่าเทียมกัน หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งอะไรก็ตามที่อยู่ใต้พรมมาโดยตลอด

ผมถูกถามคำถามมากมายเกี่ยวกับการทำงานกับวูดดี อัลเลนในฤดูร้อนที่ผ่านมา และผมไม่สามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้เพราะมันจะละเมิดกฎในสัญญา แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ ผมจะไม่ขอรับค่าตัวจากภาพยนตร์เรื่องนี้ และต้องการจะบริจาคเงินที่ได้ให้กับองค์กร 3 องค์กรคือ Time’s Up, LGBT เซ็นเตอร์ในนิวยอร์ค และ Rainn (the Rape, Abuse & Incest National Network: เครือข่ายช่วยเหลือเหยื่อการประทุษร้ายทางเพศแห่งชาติสหรัฐ)

ผมอยากปฏิบัติตัวอย่างมีคุณค่าเพื่อที่จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับศิลปินที่กล้าหาญทั้งหลายที่ต่อสู้เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีที่บุคคลเหล่านั้นสมควรจะได้รับ”

แม้จะยังมีประเด็นที่ประชาชนสงสัยในเรื่องนี้อยู่ แต่ทิโมธีก็ไม่ได้ให้ความเห็นมากนักนอกจากให้สัมภาษณ์กับ Times ว่าการได้รับบทอย่างเอลิโอหรือไคล์ในภาพยนตร์ coming of age ทั้งคู่ทำให้เขาได้รับโอกาส และโอกาสนั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่จะไม่มีวันหายไปจากตัวเขา

น้องเด๋อดูไม่เด๋ออีกต่อไปแล้วเมื่อฟังจากสิ่งที่เขาตอบคำถามในสื่อหรือนิตยสารต่างๆ เขามีสุนทรพจน์ที่ไม่ได้ใช้พูดในงานประกาศรางวัลหลายชิ้น และทุกคนก็ดูจะมีออร่าเอ็นดูเด็กใหม่ในวงการ

เสียงยืนยันอีกเสียงคือเสียงของลูกา ผู้กำกับ ‘Call Me by Your Name’ ที่บอกว่าเขาเห็นความสว่างสดใส และวาทศิลป์ทางการพูดจากเด็กคนนี้ ทิโมธีเป็นเด็กหนุ่มที่ทะเยอทะยานที่จะพัฒนาศิลปะในตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยหลงว่าตัวเองเก่งแล้ว ทิมมีแค่มั่นใจว่าสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อมันปรากฏอยู่ในหน้าจอ

“ใครบ้างจะไม่รักทิมมี” แม้แต่คู่จิ้น อาร์มี แฮมเมอร์ (รับบทโอลิเวอร์ใน ‘Call Me by Your Name’) ก็ยังเอ่ยปากต่อหน้าสื่อและชื่นชมน้องเด๋อเรื่องการแสดงและความเป็นธรรมชาติในชีวิตจริงของเขาหลายครั้ง

ทิมมี กับ อาร์มี แฮมเมอร์ จาก Call Me by Your Name

“ผมไม่ได้อยากพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่หนังอย่างเรื่อง ‘Beautiful Boy’ ที่เกี่ยวกับเรื่องเด็กติดยาเสพติดและความสัมพันธ์กับครอบครัวที่ผมถ่ายกับ สตีฟ แคเรล หรือการที่ผมได้ยินเสียงตอบรับว่า ‘Call Me by Your Name’ เปิดพื้นที่เรื่องเควียร์ให้กว้างขึ้นเพราะหนังถ่ายทอดเรื่องราวของคนสองคนตกหลุมรักกัน นั่นคือการเฉลิมฉลองความเท่าเทียมทางเพศที่ไม่ได้กดขี่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือไม่ได้อ้างอิงเรื่องโรคเอดส์ หรือมีตัวร้ายเป็นตัวละครสักตัวที่ใช้ความรุนแรง เพราะตัวร้ายคือความหายนะในความรัก

ผมรู้สึกว่านี่คือการเฉลิมฉลองในช่วงเวลาที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีอยู่ เราอยู่ในยุคแห่งการเหยียดหรือการกดขี่ที่แทรกซึมทุกสิ่งโดยที่เราเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผมเลยรู้สึกว่าที่ภาพยนตร์อย่าง’Call Me by Your Name’ หรือ ‘Lady Bird’ ได้รับกระแสตอบรับอย่างอบอุ่นเพราะมันคือการเฉลิมฉลองความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้”

Everybody, it’s Timothée Chalamet.

อ้างอิง:
indiewire.com
time.com
vanityfair.com
thestar.com
wikipedia.org
theguardian.com
hollywoodreporter.com
mtv.com
vman.com
vman.com
gq.com

งานแถลงข่าว Toronto Film Festival โดย The Guardian, EE rising star, Santa Barbara International Film Festival Virtuosos Awards, Actors on Actors โดย Variety
พอดแคสต์ Happy Sad Confused โดย MTV

Tags:

ภาพยนตร์ศิลปินGrit

Author:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • MovieDear Parents
    Whisper of the heart : เมื่อลูกมีความฝันต่างจากคนอื่น อยากให้ครอบครัวถามไถ่ รับฟัง และเชื่อใจ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • GritMovie
    วิลเลียม คัมแควมบา: ความมุ่งมั่นและกัดไม่ปล่อยของเด็กชายที่ผลิตกังหันลมจากกองขยะ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Life classroom
    แชนนอน เพอร์เซอร์: ไบเซ็กชวลพลัสไซส์ ภาวะซึมเศร้า และโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

SELF-COMPASSION: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้วัยรุ่น
Life classroom
20 March 2018

SELF-COMPASSION: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้วัยรุ่น

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • ปัจจุบันเรากำลังอยู่ในยุคที่ความเครียดคือ โรคระบาด
  • ชอบตะโกนใส่ตัวเองซ้ำๆ ว่า ‘ฉันยังเก่งไม่พอ’ ‘ฉันแต่งตัวแบบนี้ดูอ้วนหรือเปล่า’ หรือ ‘ทุกคนดูชีวิตดีและมีความสุขกว่าฉัน’ และวัยรุ่นถือเป็นจุดพีค
  • หนึ่งในวิธีทุเลาอาการ คือ Self-compassion ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้ แล้วปล่อยความคิดให้ค่อยๆ ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองเพื่อกลับไปเดินตามเส้นทางที่ตั้งเป้าเอาไว้อย่างมีสติ

Stress Epidemic: การแพร่ระบาดของความเครียด 

อาการตึงเครียด วิตกกังวลจนนำไปสู่โรคซึมเศร้าทุกวันนี้พบว่า มีเด็กและวัยรุ่นจำนวนมากทั่วโลกที่เข้าข่ายหรือประสบกับอาการดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหลายต่อหลายสำนักทั่วโลกต่างชี้ว่าวัยรุ่นในยุคนี้มีความเครียดสูงกว่ายุคอื่นๆ

ที่สหรัฐอเมริกา ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) ทำการสำรวจเกี่ยวกับความตึงเครียดของนักศึกษาปี 1 ทั่วสหรัฐอเมริกา จากผลสำรวจครั้งแรกเมื่อปี 1985 พบว่า มีทั้งหมด 18 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2010 ทำการสำรวจอีกครั้งพบว่าตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 29 เปอร์เซ็นต์ และในปี 2016 ตัวเลขพุ่งสูงถึง 41 เปอร์เซ็นต์

หรืออีกงานวิจัยที่เผยแพร่ลงวารสารวิชาการ Psychological Medicine เมื่อเดือนธันวาคมปี 2017 รายงานว่า สถิติวัยรุ่นอเมริกันที่เผชิญกับความตึงเครียดจนเป็นโรคซึมเศร้าและต้องเข้ารับการรักษานั้น เพิ่มขึ้นจาก 6.6 เปอร์เซ็นต์ในปี 2005 เป็น 7.3 เปอร์เซ็นต์ในปี 2015 โดยช่วงวัยที่พบว่าเป็นมากที่สุดคือระหว่างอายุ 12-17 ปี โดยเพิ่มขึ้นจาก 8.7 เปอร์เซ็นต์ในปี 2005 เป็น 12.7 เปอร์เซ็นต์ในปี 2015

ที่ประเทศไทย ปลายปี 2017 ที่ผ่านมา กรมสุขภาพจิตเปิดเผยตัวเลขน่ากังวลพบว่า วัยรุ่นไทยมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าถึง 44 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นตัวเลขง่ายๆ คือ 3 ล้านคน จากการศึกษาวัยรุ่นทั่วประเทศอายุระหว่าง 10-19 ปี พร้อมกันนั้นยังคาดการณ์ว่า มีวัยรุ่นที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าแล้วกว่า 1 ล้านคน

ปัจจัยอะไรที่ทำให้พวกเขารู้สึกแบบนั้นจนกลายเป็นความป่วยไข้ทางใจ (mental illness) หรือบางคนเลือกที่จะจบความทรมานดังกล่าวด้วยการฆ่าตัวตาย บทความจาก Psychological Today ที่ชื่อว่า ’Why Are Teens So Stressed and What Can Break the Cycle?’ โดย ศาสตราจารย์แดเนียล พี. คีทิง (Daniel P. Keating) อธิบายว่า ปัจจุบันมนุษย์เรากำลังอยู่ในยุคที่ความเครียดคือ โรคระบาด

“ปัจจัยขับเคลื่อนทางจิตวิทยาที่ก่อให้เกิดความเครียดเพิ่มขึ้นในสังคมทุกวันนี้คือ ความหวาดกลัว (fear) ความไม่แน่นอน (uncertainty) และไร้การควบคุม (lack of control) ผลกระทบเหล่านี้ส่งผลต่อวัยรุ่นทุกคน ขึ้นอยู่ว่าบริบทสังคมที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นแบบไหน วัยรุ่นที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายตั้งแต่ยังเด็กประกอบกับสภาพสังคมเศรษฐกิจ (socioeconomic) ที่ย่ำแย่ เมื่อพวกเขาเจอแต่ประสบการณ์ไร้คุณภาพเหล่านั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับโอกาสในการเคลื่อนย้ายสถานะทางสังคม (social mobility) ที่ลดลง กลายเป็นเส้นทางที่นำพาไปสู่การเสียสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจในระยะยาว กล่าวคือ พวกเขาจะแบกภาระความเครียดที่ผิดปกติ (stress dysregulation) จากประสบการณ์เลวร้ายในสมัยเด็กซึ่งเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาทั้งชีวิต” คีทิงอธิบาย

Self-compassion: ไม่ต้องใจร้ายกับตัวเองมากนักก็ได้

Self-compassion หรือแปลเป็นไทยว่า การเมตตาต่อตัวเอง คือความสามารถในการมองเห็นและเข้าใจข้อผิดพลาดในชีวิต ตระหนักรู้ว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่เผชิญกับปัญหาเพียงลำพัง เห็นอกเห็นใจและให้อภัยต่อตัวเอง ไม่ตัดสิน ไม่กล่าวโทษและไม่ลงโทษตัวเอง (ในบทความต่อจากนี้จะกล่าวถึงโดยใช้ทับศัพท์ภาษาอังกฤษ)

ฟังดูแล้วอาจเหมือนหลักบางอย่างในพุทธศาสนา แต่ในวงการจิตวิทยาโลกนั้น Self-compassion ถูกหยิบยกมาพูดครั้งแรกโดย คริสติน เนฟฟ์ (Kristin Neff) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยรัฐเท็กซัส (University of Texas) สำหรับบำบัดผู้ป่วยทางจิตที่เป็นผู้ใหญ่ เพื่อลดอาการเจ็บปวดทางใจ เปิดใจยอมรับสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว มองทุกอย่างด้วยสติ โดยเนฟฟ์ยังชี้อีกว่า Self-compassion ช่วยกระตุ้นแรงบันดาลใจและมาตรฐานการทำงานให้สูงขึ้นภายใต้ความคิดว่า ‘เราไม่จำเป็นต้องใจร้ายกับตัวเองเพื่อให้ประสบความสำเร็จ’

และนั่นทำให้ Self-compassion กลายเป็นประเด็นที่เหล่านักจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นกำลังให้ความสนใจกันมากขึ้น เมื่อทุกวันนี้พวกเขาต่างสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้ากันเร็วขึ้น!

เรเชล ซิมมอนส์ (Rachel Simmons) ผู้เขียนบทความเรื่อง ‘The Promise of Self-compassion for Stressed-out Teens’ ลง New York Times เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กล่าวว่า Self-compassion เป็นอุปนิสัยที่ช่วยลดอาการโลกแตก หัวร้อนและความเครียดของวัยรุ่น

จากประสบการณ์ของเรเชลนั้น อุปนิสัยที่กลุ่มวัยรุ่นซึ่งมีความเสี่ยงว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือเป็นโรคซึมเศร้ามีเหมือนกันนั้นคือ การชอบวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง (Self-criticism) และมีความรู้สำนึกถึงตัวตนเอง (self-consciousness) สูง เช่น ‘ฉันยังเก่งไม่พอ’ ‘ฉันแต่งตัวแบบนี้ดูอ้วนหรือเปล่า’ หรือ ‘ทุกคนดูชีวิตดีและมีความสุขกว่าฉัน’ เป็นต้น โดยเฉพาะเด็กหญิงช่วงวัยมัธยมจะมีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้มากที่สุดและมี Self-compassion ต่อตนเองน้อยที่สุด

“ช่วงวัยรุ่นถือเป็นจุดพีคของความเครียดของชีวิตและวัยรุ่นที่มีความรู้สำนึกถึงตัวตนเอง (Self-consciousness) สูง พวกเขาจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองภายในสูงกว่าคนอื่น” เรเชลกล่าว

สอดคล้องกับงานวิจัยของ ไอโมเจน มาร์ช (Imogen Marsh) สเตลลา ชาน (Stella Chan) และ แองกัส แมคเบธ (Angus Macbeth) จากมหาวิทยาลัยเอดินเบอระ (University of Edinburgh) ที่ทำการวิเคราะห์ กลุ่มวัยรุ่นช่วงอายุระหว่าง 10-19 ปี ทั้งหมด 7,000 คน จาก 6 ประเทศ พบว่าวัยรุ่นที่ Self-compassion จะมีอาการเครียดซึ่งนำไปสู่โรคซึมเศร้าน้อยกว่าอีกกลุ่ม โดยเฉพาะอาการเครียดจากการเรียน

Self-compassion: ไม่ใช่การปลอบใจให้ตัวเองรู้สึกดีไปวันๆ

อย่างไรก็ตาม Self-compassion ก็ยังมีข้อกังขาจากนักจิตวิทยาบางกลุ่มว่าเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อที่จะลดมาตรฐานตนเองหรือเพื่อปลอบใจความรู้สึกผิดต่อข้อผิดพลาดของตนเองหรือไม่ จุดนี้เรเชลอธิบายพร้อมทั้งยกงานวิจัยมาพิสูจน์ให้เห็นว่า

Self-compassion ไม่ได้ลดทอนคุณภาพหรือมาตรฐานที่พวกเขา (วัยรุ่น) ขีดเส้นเอาไว้แต่เป็นการเตือนใจให้พวกเขารู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะได้มีคุณค่า กล่าวคือ การปรับทัศนคติทางความคิดให้ค่อยๆ ยอมรับความผิดพลาดของตนเองเพื่อที่จะกลับไปเดินตามเส้นทางที่ตั้งเป้าเอาไว้อย่างมีสติ

และนั่นเป็นไปในทิศทางเดียวกับผลสรุปของ แคเรน บลัธ (Karen Bluth) ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยการแพทย์นอร์ธ แคโลไรนา (University of North Carolina’s School of Medicine) และลอร์เรน ฮอบส์ (Lorraine Hobbs) ผู้อำนวยการโครงการเด็กและครอบครัวจากมหาวิทยาแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก (University of California San Diego) ที่ร่วมกันออกแบบหลักสูตรเสริมสร้างอุปนิสัย Self-compassion เพื่อวัยรุ่นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ชื่อว่า ‘Making Friends With Yourself: A Mindful Self-compassion Program for Teens and Young Adults’ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานของเนฟฟ์ และนักจิตวิทยา คริสโตเฟอร์ เจอร์เมอร์ (Christopher Germer)

หลังจากจบโครงการดังกล่าว ทั้งสองได้ผลสรุปออกมาว่า ผู้เข้าร่วมโครงการที่เป็นนักเรียนประถมและมัธยมมีความเครียด อาการวิตกกังวลและอาการซึมเศร้าลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ถูกควบคุมซึ่งไม่ได้เข้าร่วมโครงการเสริมสร้าง Self-compassion

Self-compassion: ถอยหนึ่งก้าวเพื่อเรียนรู้ข้อผิดพลาดไปด้วยกัน

เมื่อไม่มีมนุษย์คนใดสามารถหลีกเลี่ยงความล้มเหลวหรือข้อผิดพลาดได้ การจะสร้างหรือปลูกฝัง Self-compassion ให้มีในตัวเด็กๆ ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าผู้ปกครองและคุณครูซึ่งเป็นผู้ใหญ่ใกล้ตัวพวกเขาเองก็ต้องมีและต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ได้เช่นกัน

โดยเรเชลแนะนำว่า ทุกครั้งที่ผู้ใหญ่อย่างเรารู้สึกหัวเสียให้เปลี่ยนจากการตำหนิ กล่าวโทษตัวเองเป็นพูดจากับตัวเองอย่างมีสติหรือให้กำลังใจตัวเองแทน ไม่ว่าจะต่อหน้าและลับหลังเด็กก็ตาม

ตัวอย่างเช่น หากคุณทำงานผิดพลาดให้คิดว่า ‘วันนี้ฉันทำเต็มที่แล้ว และฉันจะพยายามไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นเดิมอีกในครั้งหน้า’ หรือ หากมื้อเย็นวันนี้คุณตั้งใจทำสปาเก็ตตีให้เด็กๆ แต่กลับทำไหม้ ก็อย่าไปกล่าวโทษตัวเองว่าตัวเองเป็นคุณแม่ที่ทำกับข้าวไม่ได้เรื่องแต่ให้คิดว่า ‘ไม่มีใครเป็นคุณแม่ที่เพียบพร้อม’ เป็นต้น

“หากเด็กๆ สามารถใช้ Self-compassion เพื่อปรับมุมมองเกี่ยวกับความผิดพลาดได้ พวกเขาอาจค้นพบแหล่งที่มาของแรงจูงใจและกลยุทธ์ที่ดีต่อสุขภาพต่อการไล่ตามความฝันของพวกเขา” เรเชลทิ้งท้าย

อ้างอิง:
nytimes.com
psychologytoday.com
voicetv.co.th

Tags:

จิตวิทยาความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การจัดการอารมณ์วัยรุ่นการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว
Growth & Fixed Mindset
19 March 2018

เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

เรื่อง The Potential

  • เรื่องของเยาวชนจังหวัดน่านจากเด็กหลังห้อง ที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก มีแค่หัวใจที่อยากจะทำโครงการเพื่อชุมชน ต้องอาศัยความกล้าของคนอื่นและแรงสนับสนุนจากโค้ช เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ตัวเองอยากทำ แต่เพราะวิกฤติที่พี่เลี้ยงเห็นว่าเป็นโอกาส จึงพลิกขึ้นมาเพื่อพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ให้มีทักษะติดตัว เพราะเด็กๆ พัฒนาได้เสมอ

เมื่อคะแนนสอบหรือผลการเรียนถูกนำมาใช้วัดความเก่ง-ไม่เก่ง ในระบบการศึกษาไทยแบบแพ้คัดออก คนที่เรียนไม่เก่งจึงต้องเดินลงจากเวที ปล่อยให้พื้นที่เป็นของผู้ชนะเท่านั้น

แล้วเด็กที่แพ้จะไปยืนตรงไหน? ไม่ต้องพูดถึงโอกาสในการพัฒนาตัวเองเลย เพราะลำพังตำแหน่งแห่งที่ยังไม่มี ทั้งๆ ที่หลายคนมี ‘ของดี’ ซุกซ่อนอยู่ แต่ไม่รู้จะเอาออกมาใช้อย่างไร เมื่อไหร่ เพราะไม่มีใครให้โอกาส

แต่เพราะเชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถพัฒนาได้ และเชื่อมั่นกับคำว่าโอกาส ทำให้ กอล์ฟ-ดวงพร ยังรักษ์ โค้ชจากโครงการเสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายเยาวชนจังหวัดน่าน ชวนเยาวชนในชุมชนเดียวกับตนเข้าร่วมทำโครงการเพื่อชุมชน

กอล์ฟมองว่าเด็กในช่วงอายุ 15-18 ปี เป็นวัยที่ต้องรีบดึงเข้ามาเป็นพวกให้เร็วที่สุด ก่อนจะเดินไปผิดทาง และทางเดียวที่จะดึงมาได้นั่นคือการหากิจกรรมให้ทำ

“ต้องเป็นสิ่งที่ทำแล้วสนุก เป็นสิ่งที่ทำแล้วเขาจะได้รับการพัฒนาทั้งทักษะ ความรู้ และนิสัย”

กิจกรรมในชุมชนคือคำตอบ กอล์ฟมอบหมายให้ สแน็ก-กวินภพ ไชยหาญ วัย 15 ปี เยาวชนในพื้นที่ทำหน้าที่ดึงเพื่อนๆ ในชุมชนที่สนใจให้เข้ามาร่วมกิจกรรมจนได้สมาชิกทั้งหมด 6 คน

เด็กๆ ทั้ง 6 คน ได้ช่วยกันคิดและพัฒนาโครงการ จนท้ายที่สุดได้มาเป็นโครงการสานสายใยสมุนไพรคู่ชุมชน เพราะคนในชุมชนป่วยเป็นเบาหวาน ความดัน กันเยอะ ประกอบกับในชุมชนมีสมุนไพรที่บรรเทาอาการได้ จึงอยากชวนคนในชุมชนหันมาใช้สมุนไพร นอกเหนือจากการไปพบแพทย์แผนปัจจุบัน

ทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปด้วยดี จนเมื่อถึงวันนำเสนอโครงการเพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จู่ๆ สมาชิกในทีมที่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นผู้นำเสนอโครงการเกิดถอนตัวออกกลางคัน ทิ้งภาระให้เสมาชิกที่เหลืออยู่ ที่ทั้งกังวล ไม่มั่นใจ และกลัวที่จะต้องออกมาพูดในที่สาธารณะ เพราะในเวลานั้น ทั้งสแน็ก และสมาชิกในทีมซึ่งประกอบด้วย ต่าย ชยานิศ ไชยหาญ, ปอ-จิดาภา ติละ และ แพท-นางสาวศิริลักษณ์ ต๊ะแก้ว เด็กสาววัย 17 ปี ยังตื่นเวทีและไม่คิดว่าตัวเองจะต้องลุกขึ้นมาเป็นเด็กแถวหน้า เพราะมีประสบการณ์ทำกิจกรรมน้อย ทำให้ขาดทักษะในการนำเสนอ เรื่องความกล้าแสดงออกน่ะเหรอ แทบจะเท่ากับศูนย์

ความกังวลที่ฉายผ่านสีหน้าของสมาชิกที่เหลือ ไม่อาจพ้นสายตาโค้ชกอล์ฟที่เฝ้าสังเกตอาการของเด็กมาตั้งแต่แรกไปได้ แต่ภายใต้ความกังวลนั้นกอล์ฟสัมผัสได้ว่าหัวใจของเด็กๆ กลุ่มนี้ยังอยากทำโครงการต่อไปเพียงแค่ต้องการใครสักคนที่จะเข้ามาช่วยพาพวกเขาให้กล้าเดินต่อไป นี่จึงเป็นจุดที่โค้ชอย่างเธอคิดว่าเด็กกลุ่มนี้ควรได้ไปต่อ และการทำกิจกรรมครั้งนี้จะเป็นโอกาสสร้างความมั่นใจของเด็กๆ ขึ้นมาได้ ในฐานะโค้ช กอล์ฟจึงต้องทำหน้าที่หยิบยื่นโอกาสให้เด็กๆ ได้พัฒนาตัวเอง

  ลึกๆ แล้วเด็กๆ ทุกคนสามารถพัฒนาได้

เธอบอกกับเราแบบนั้น

ซ้ายไปขวา ปอ-จิดาภา ติละ, แพท-ศิริลักษณ์ ต๊ะแก้ว, ต่าย-ชยานิศ ไชยหาญ, พี่กอล์ฟ-ดวงพร ยังรักษ์ และ แสน็ก-กวินภพ ไชยหาญ 

พูดสิ่งที่ตัวเองรู้ คิด และ ลงมือทำ – ง่ายนิดเดียว

กอล์ฟรีบเข้าไปเสริมกำลังใจให้สมาชิกที่เหลือมีแรงฮึดสู้ทำโครงการต่อ ด้วยคำถามสร้างพลังให้พวกเขาเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งคนอื่น ที่สำคัญ ต้องพูดจากสิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองทำ และตัวเองรู้ – ง่ายนิดเดียว

“ช่วงแรก เราจะใช้การตั้งคำถามเพื่อพาเขาทบทวนบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน พร้อมกับพยายามพูดเสริมพลังให้เขามองเห็นศักยภาพของตัวเองให้มากที่สุด เพราะเราเองก็รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ น้องต้องการคนที่มาช่วยเสริมแรงใจให้กับเขา จากนั้นก็เริ่มเล่าประสบการณ์ของน้องในโครงการที่มีสภาวะคล้ายกันให้เขาเห็นว่า ทีมอื่นก็เจอปัญหาเหมือนกันแล้วเขามีวิธีการจัดการอย่างไร แล้วตั้งคำถามย้อนกลับให้เขาเริ่มคิดทบทวนว่าตัวเองก็สามารถผ่านจุดนี้ไปได้เช่นกัน เมื่อน้องได้ฟังแล้วคิดตาม เขาก็สะท้อนออกมาว่า ถ้าเขาอยากกล้านำเสนอเหมือนคนอื่นก็ต้องเริ่มต้นฝึกฝน”

หลังจากวันนั้น เด็กๆ ตกลงร่วมกันว่าทุกคนจะต้องพูดนำเสนอ พร้อมทั้งแบ่งบทบาทหน้าที่การพูดให้แต่ละคนอย่างชัดเจน ทุกคนตั้งใจฝึกฝน จดสิ่งที่ตัวเองต้องออกไปพูดแล้วยืนซักซ้อมหน้ากระจก เพื่อลดความเขินอาย เป็นบรรยากาศที่กอล์ฟเริ่มเห็นแล้วว่าน้องๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง จากคนที่ไม่กล้าพูด ก็เริ่มที่จะพูดในวงมากขึ้น เริ่มชักชวนกันซักซ้อมร่วมกัน แม้จะเป็นการท่องจำในช่วงแรก แต่อย่างน้อยเธอก็เห็นว่าเด็กพวกนี้มีความตั้งใจดีที่จะนำเสนอในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ

สั่นสู้!

เมื่อถึง ‘เวทีร้อยพลัง สร้างฝัน หละอ่อนน่าน’ ซึ่งเป็นการอบรมเชิงปฏิบัติการที่โครงการจัดขึ้นเพื่อให้เด็กๆ มานำเสนอการทำงานกับเพื่อนกลุ่มอื่น และทบทวนการทำงานระยะครึ่งโครงการ กิจกรรมนี้จะเป็นพื้นที่ในการพิสูจน์ความสามารถของทุกคน

และวันนั้นก็เป็นวันที่พวกเขา-แพท ปอ ต่าย และสแน็ก จะได้พิสูจน์ตัวตนให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาก็สามารถทำได้ หลังจากที่ซุ่มซ้อมกันมาสักระยะหนึ่ง บรรยากาศในวันนั้นอบอวลไปด้วยความประหม่า อาการสั่นเริ่มเห็นชัดขึ้น ยิ่งใกล้เวลาที่ตัวเองจะได้นำเสนอก็ยิ่งสั่น

แต่อาการสั่นของพวกเขาในวันนั้นไม่ใช่การสั่นเพราะกลัวอีกต่อไป แต่มันคือความสั่นที่มาพร้อมกับความสู้ เมื่อถึงลำดับที่กลุ่มตัวเองต้องนำเสนอ ทั้งหมดลุกขึ้นยืนกลางเวที ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้นำเสนอโครงการของตัวเองภายใต้สิ่งที่ตัวเองคิด และสิ่งที่ตัวเองทำให้กับเพื่อนๆ ต่างโครงการได้รับรู้

ไมค์ลอยค่อยๆ เวียนไปตามลำดับ ปอ แพท ต่าย และสแน็ก เวียนกันจับไมค์พูดนำเสนอ อาจจะมีตะกุกตะกักบ้างในบางครั้งเพราะเป็นเวทีของทุกคน แต่พวกเขาก็สามารถเล่าเรื่องราวกิจกรรมที่ตนเองทำได้ ถึงแม้หลังพูดจบจะยังคงมีอาการสั่นอยู่บ้าง ฝ่ามือก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งๆ ที่แอร์ในห้องก็เย็นฉ่ำ แต่นั่นคือช่วงเวลาที่พาให้พวกเขาก้าวข้ามความกลัวและพิสูจน์ตัวเองว่าพวกเขาก็สามารถนำเสนอได้โดยไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากใคร เพียงแค่เล่าจากสิ่งที่ตัวเองทำและสิ่งที่ตัวเองคิด

หลังจบกิจกรรม โค้ชกอล์ฟพาน้องๆ ในทีมถอดบทเรียนจากสิ่งที่ตัวเองได้ทำในครั้งนั้น พร้อมกับชี้ให้น้องๆ เห็นศักยภาพของตัวเองที่ดึงออกมาใช้จากเวทีในวันนั้น และเสริมกำลังใจไปอีกก้อนใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้น้องมีแรงฮึดสู้ในการทำกิจกรรมต่อๆ ไป เมื่อทุกคนเห็นศักยภาพของตัวเองและสามารถก้าวข้ามความกลัวในวันนั้นมาได้ ทำให้เขาเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น มองเห็นศักยภาพของเพื่อนและตัวเองมากขึ้น

เด็กๆ จึงเริ่มจัดทัพกันใหม่ โดยอาศัยตามความสามารถของแต่ละคนและแบ่งบทบาทหน้าที่กันรับผิดชอบอย่างชัดเจน

ระหว่างที่เด็กๆ ทำกิจกรรมในชุมชน โค้ชจะคอยติดตาม และเข้าไปประคับประคองเมื่อเห็นจุดที่จะเป็นปัญหา พร้อมทั้งตั้งคำถามเพื่อทบทวนเป้าหมายของกิจกรรมที่เด็กๆ จะจัดอยู่เสมอ ทำให้ทีมมีกระบวนการคิดที่เป็นระบบ ชัดเจน และมีเป้าหมาย

“หลังๆ ทุกครั้งก่อนเริ่มกิจกรรมอะไรก็ตาม น้องจะต้องมีการประชุมเพื่อวางแผนและทำการบ้านเพื่อเตรียมข้อมูลก่อนเสมอ หลังจบกิจกรรมมีการรวมกลุ่มเพื่อชวนกันถอดบทเรียนทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุด และสิ่งที่ต้องแก้ไขในครั้งต่อไป”

“เราเชื่อมั่นในตัวเด็ก สิ่งที่ทำคือหนุนเสริมเขา และคอยวิเคราะห์การทำงานของน้องว่าบกพร่องตรงไหน มีรอยโหว่ตรงไหนที่จะต้องเข้าไปคอยอุด แต่จะให้เขาได้ลงมือทำด้วยตัวเองจริงๆ ซึ่งพบว่าน้องแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน”

ต่ายเองเริ่มลุกขึ้นมานำคุยเมื่อประชุมกับทีม ร่วมวางแผนงาน หรือแม้แต่ปอ จากที่เคยมีโลกส่วนตัวสูงไม่ค่อยพูด แต่เมื่อผ่านกระบวนการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นบ่อยครั้งเข้า ทำให้เขาเริ่มกล้าที่จะแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนมากขึ้น

“สแน็กแต่ก่อนเขาค่อนข้างกลัวไมค์มาก จับไมค์เมื่อไหร่เราจะเห็นเลยว่าเขามีอาการสั่น ไม่กล้าพูด แต่หลังๆ เขามีโอกาสได้จับไมค์บ่อยๆ เราพยายามให้น้องทุกคนชินกับการจับไมค์พูด เราเริ่มเห็นเลยว่าเดี๋ยวนี้สแน็กเขาเริ่มอาสาที่จะลุกขึ้นมานำเสนอ พัฒนากระบวนการคิด เพื่อนในทีมเองก็สะท้อนให้เราฟังบ่อยๆ ว่าสแน็กเริ่มพูดออกมาเป็นลำดับได้ดีกว่าเดิม จากคนที่เคยกลัวไมค์จนตัวสั่นก็อาสาที่จะลุกขึ้นมานำเสนอโครงการแทนเพื่อนๆ ได้

ส่วนแพทจากที่เคยพูดเล่นไปวันๆ ไม่ค่อยจริงจังกับงานเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้เราเห็นว่าน้องเริ่มกล้าที่จะแลกเปลี่ยนกับเพื่อนต่างโครงการได้ กล้าพูดคุย หยอกล้อกับเพื่อนต่างกลุ่ม เป็นบทบาทที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งเราคิดว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการได้ลงมือทำด้วยตัวเอง ทำให้เขามั่นใจและกล้าที่จะเล่าประสบการณ์ของเขาให้กับคนอื่นๆ ฟัง”

จากเด็กหลังห้อง ที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก มีแค่หัวใจที่อยากจะทำโครงการเพื่อชุมชนของตัวเอง ต้องอาศัยความกล้าของคนอื่นเพื่อมาบอกเล่าเรื่องราวที่ตัวเองอยากทำ แต่เพราะวิกฤติที่พี่เลี้ยงเห็นว่าเป็นโอกาส จึงพลิกขึ้นมาเพื่อพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ให้มีทักษะติดตัว เพราะเด็กๆ พัฒนาได้เสมอ

ผลจากการเคี่ยวกรำและเติมเต็มความมั่นใจจากโค้ช ทำให้เด็กๆ มีพัฒนาการมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความมั่นใจที่เกิดจากการได้ลงมือทำด้วยตนเอง ทำให้พวกเขาค่อยๆ ขยับจากหลังห้องมาหน้าห้องได้ในวันนี้

“เพราะไม่ได้มองว่าเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่อ่อน หรือเรียนไม่เก่ง แต่เรามองว่าเขาก็เป็นอีกคนที่มีศักยภาพแต่แค่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเก่งเรื่องอะไร เราในฐานะโค้ชที่มีหน้าที่พัฒนาน้องๆ ต้องพาให้เขาเห็นตัวเองให้ได้ว่าเขาเก่งเรื่องอะไร พัฒนาตัวเองขึ้นมา แต่คำว่าพัฒนาเรามานั่งคิดอีกว่า จะพัฒนาตัวเขาอย่างไรไม่ให้เขารู้สึกท้อ เพราะเด็กที่ไม่เคยทำกิจกรรมจะท้อง่าย ยังไม่ไปถึงไหนก็จะเลิกทำ สิ่งที่ต้องคิดต่อไปในฐานะโค้ชคือต้องคอยเติมพลังให้เขาตลอด ทำให้เขาเห็นว่าโครงการนี้ไม่ได้ยากและสนุก”

ในสังคมเรามีเด็กหลังห้องที่ถูกละทิ้งมากมายเพราะคิดไปเองว่าคงพัฒนาได้ยาก แต่เรื่องราวของโค้ชกอล์ฟกับเด็กๆ เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าถ้าเด็กหลังห้องได้รับโอกาส ได้รับความเชื่อมั่นจากครู พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ ทำให้เขามั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเองขึ้นมาได้ การเติบโตเป็นคนคุณภาพจึงง่ายนิดเดียว

Tags:

โคชคาแรกเตอร์(character building)Growth mindsetวัยรุ่นactive citizenproject based learning

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Everyone can be an Educator
    “เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Character building
    เรื่องของเด็กขี้สงสัย ณ บ้านห้วยสงสัย

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร
Education trend
19 March 2018

มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

เรื่อง The Potential

  • ฤดูสอบเด็กอังกฤษปีที่แล้ว สายด่วน Childline ต้องรับสายจากเด็กที่ต้องการระบายความเครียดจากการสอบถึง 3,315 สาย
  • เมื่อการสอบไม่ใช่แค่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาเฉพาะตัวเด็ก แต่เป็นแบบประเมินคุณภาพครู คุณภาพการศึกษาของแต่ละโรงเรียน ความคาดหวังของผู้ปกครอง และการเปิดเผยผลการสอบแบบสาธารณะ การสอบแต่ละครั้งจึงมี ‘เดิมพัน’ สูงส่ง
  • สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ‘ความป่วยไข้ทางใจ’ ของเด็กๆ และเกิดอย่างรวดเร็วเกินไป
  • “เราเจอเด็กที่ขนตาร่วงทั้งหมดเพราะความเครียด และมีเด็กจำนวนหนึ่งที่สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นคงทางใจถูกทำลาย” ประสบการณ์จากครูนิรนามท่านหนึ่ง

ตั้งแต่ราวเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน คือช่วงที่นักเรียนอังกฤษตั้งแต่ประถมศึกษาถึงมัธยมปลาย ต้องเตรียมสอบวัดระดับการศึกษา เริ่มตั้งแต่การสอบ SATs สำหรับชั้นประถมศึกษา, การสอบ GCSEs และ A LEVEL ในเด็กมัธยม

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้ ในปีการศึกษา 2016/2017 สายโทรศัพท์ Childline บริการให้คำปรึกษาเด็กโดยสมาคมป้องกันการทารุณกรรมต่อเด็กแห่งชาติ (NSPCC) ของสหราชอาณาจักร ต้องรับปรึกษา รับฟังความเครียดของเด็กๆ ที่เกิดจากการเตรียมสอบกว่า 3,315 เรื่อง แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นเฉพาะเดือนพฤษภาคม 2017 มีมากถึง 704 เรื่อง (22 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด)

แต่ตัวเลขภาพรวมพบว่ามีนักเรียนโทรเข้ามามากกว่าปีก่อนอยู่ที่ 11 เปอร์เซ็นต์ และสายที่โทรเข้ามามากที่สุดคือนักเรียนอายุ 12-15 ปี  และนักเรียนอายุ 16-18 ปี โทรเข้ามาปรึกษามากกว่าปี  2014/2015 ถึง 21 เปอร์เซ็นต์

“เรากำลังเตรียมสอบ GCSEs ซึ่งมันเครียดมากๆ พ่อแม่คาดหวังว่าเราต้องทำมันให้ได้ดี เราพยายามอย่างหนักแต่รู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอสำหรับพวกเขา พ่อแม่ไม่อนุญาตให้เราทำอะไรเลยยกเว้นดูหนังสือ และถ้าเราพยายามสื่อสารหรืออธิบายกับพวกเขา มันจบลงด้วยการทะเลาะกันทุกที” – สายนิรนาม

ผู้ให้คำปรึกษารายงานว่า เด็กๆ เหล่านี้บอกว่าเขาต้องดิ้นรนเพื่อเผชิญหน้ากับความเครียด ทั้งจากการบ้านที่หนักหน่วงและความรู้สึกไม่พร้อม เตรียมตัวไม่ทัน

และทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่จุดจบที่คล้ายกันก็คือ ‘การป่วยไข้ด้านจิตใจ’ หรือ Mental Health

ข้อสอบSATs ในเด็กปฐมวัย: การเผชิญหน้ากับความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

มาดูที่ความเครียดของเด็กๆ ประถม อายุระหว่าง 5-10 ปีกันบ้าง

บรรยากาศความเครียดและกดดันในการสอบของเด็กตัวเล็กๆ คล้ายกันกับบ้านเรา เพราะที่อังกฤษ เด็กประถมต้องเตรียมสอบ SATs หรือคือชื่อเล่นการสอบวัดผลระดับประถมศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษาหลักของอังกฤษ (National Curriculum) เมื่อเด็กๆ จบการศึกษา Key Stage* 1 และ 2 หรือเมื่อพวกเขาจบการศึกษา Year 2 อายุประมาณ 7 ปี และ Year 6 อายุประมาณ 11 ปี

การสอบ SATs ไม่ใช่แค่การสอบวัดระดับความรู้ของนักเรียน แต่เป็นการวัดประเมินความสามารถของครูผู้สอน (teacher assessment judgements) และระดับโรงเรียนด้วย

ผลสำรวจจาก The Key for School Leaders องค์กรบริการข้อมูลด้านการพัฒนาเพื่อเป็นโรงเรียนชั้นนำ เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2017 ซึ่งเป็นฤดูสอบ SATs ชี้ว่า จากผลสำรวจเปิดให้ครูแสดงความเห็นต่อนักเรียนที่ต้องสอบของช่วงปีนั้นระบุว่า ครูส่วนใหญ่บอกว่า เด็กๆ กำลังเผชิญหน้ากับความกลัว และถูกความกังวล (panic) เข้าจู่โจม กรณีร้ายแรงที่สุดคือ เด็กเครียดจนกระทั่งขนตาร่วงทั้งหมด

“ปีที่ผ่านมาในช่วงการสอบอ่าน เด็กนักเรียนสองคนร้องไห้ขณะเริ่มอ่านข้อสอบ จำเป็นต้องขอเวลานอกแล้วค่อยกลับมาทำข้อสอบใหม่ เด็กๆ ดูจะเครียดมากขึ้น ในช่วงเวลานี้ เรา (ครู) จำเป็นต้องทำให้เขารู้ว่าเราสนับสนุนเขาอยู่” ครูท่านหนึ่งร่วมตอบแบบสอบถาม

ขณะที่ครูอีกท่านแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในผลสำรวจว่า

เราเจอเด็กที่ขนตาร่วงทั้งหมดเพราะความเครียด และมีเด็กจำนวนหนึ่งที่สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นคงทางใจถูกทำลาย

ผลสำรวจอื่นๆ มีดังนี้

  • 81 เปอร์เซ็นต์ ของครูที่ร่วมตอบแบบสำรวจระบุว่า พวกเขากังวลต่อภาวะความป่วยไข้ของจิตใจนักเรียนมากกว่าความเครียดของเด็กๆ ที่เคยสอบ 2 ปีที่ผ่านมา
  • 68 เปอร์เซ็นต์ ของครูที่ร่วมตอบแบบสำรวจ ระบุว่า การเปลี่ยนระบบสอบ ให้ผลลบ โดยเฉพาะความเครียดของเด็กๆ มากกว่า
  • 94 เปอร์เซ็นต์ของครูที่ร่วมตอบแบบสำรวจระบุว่า พวกเขาคุยกับเด็กๆ เรื่องการจัดการกับความเครียดมากกว่าที่เคยทำในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
  • 27 เปอร์เซ็นต์ของครูที่ร่วมตอบแบบสำรวจระบุว่า ข้อสอบ คือตัวการสำคัญของความเครียดในเด็ก ต่อมาคือโซเชียลมีเดีย

ไม่ใช่การเลิกสอบ แต่คือการเปิดเผยข้อมูลคะแนนสอบ

แต่ข้อวิจารณ์สำคัญไม่ได้มุ่งไปที่การเลิกสอบ หากคือการเปิดเผยข้อมูลการสอบของนักเรียน ซึ่งจะทำให้ทั้งครู ซึ่งต้องติวให้นักเรียนทำข้อสอบได้ดี และเด็กกดดันมากไปกว่าเดิม ฉะนั้น คะแนนจึงกลายเป็นสิ่งเดิมพันที่มีราคาสูง

เนล คาร์ไมเคิล (Neil Carmichael) คณะกรรมการการศึกษากล่าวว่า “เมื่อคะแนนกลายเป็นสิ่งเดิมพัน ผลลัพธ์คือการหาวิธีให้ได้คะแนนสูง คือการมุ่งทำคะแนนด้านภาษาอังกฤษและเลข ละทิ้งวิชาวิทยาศาสตร์ สายมนุษยศาสตร์ และศิลปะไป

“เป็นเรื่องจริงที่โรงเรียนต้องมีการประเมินศักยภาพของตัวเอง แต่รัฐควรลดสิ่งเดิมพัน และสร้างระบบให้ครูได้สร้างสมดุลและเติมเต็มหลักสูตรของตัวเอง”

นอกจากนั้นยังเสนอว่า ชาวอังกฤษเป็นกังวลต่อมุมมองวิธีการสอบ SATs เรื่องไวยากรณ์มากกว่าบทบาทและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ชั้นประถม และเห็นว่าประเด็นถกเถียงเรื่องภาษาสมัยใหม่อย่างการสะกดคำ, เครื่องหมายวรรคตอน และไวยากรณ์ ไม่ควรเป็นข้อสอบบังคับในทางกฎหมาย (non-statutory) ในการสอบ Key Stage 2 หรือเมื่อเด็กจบ Year 6

*ระดับประถมศึกษา (Primary Level) ของอังกฤษ แบ่งออกเป็น 2 ระดับย่อยตาม Key Stage คือ

Key Stage 1: ระดับชั้นประถมศึกษา Year 1-2 อายุประมาณ 5-6 ปี
Key Stage 2: ระดับชั้นประถมศึกษา Year 3-6 อายุประมาณ 7-10 ปี
อ้างอิง: 
theguardian.com
huffingtonpost.co.uk

Tags:

พ่อแม่ครูระบบการศึกษาโรงเรียนเทคนิคการสอนปม(trauma)การสอบ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    เกิดเป็นครูไทย ต้องทำอะไรบ้าง?

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel