Skip to content
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy

Month: August 2025

มีเพียงหัวใจและการยอมรับตัวเองเท่านั้น ที่จะไขความลับของจักรวาลใจ: Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe
Book
29 August 2025

มีเพียงหัวใจและการยอมรับตัวเองเท่านั้น ที่จะไขความลับของจักรวาลใจ: Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘ห้วงรักจักรวาลใจ’ หรือ ‘Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe’ เป็นหนังสือที่แต่งโดย เบนจามิน อาลีเร ซาเอนซ์ (Benjamin Alire S’aenz) แปลเป็นภาษาไทยโดย ภัทร์ วิรุจน์ผล  และได้รับรางวัลวรรณกรรมวัยรุ่นยอดเยี่ยมตลอดกาล ของนิตยสาร Time
  • หนังสือเล่าเรื่องราวของเด็กชายผู้ย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นสองคน ผู้มีอะไรหลายอย่างคล้ายคลึงกัน และมีอะไรอีกหลายอย่างที่ตรงกันข้ามกัน ทั้งความคล้ายคลึงและความแตกต่าง ดึงดูดเด็กชายทั้งสองเข้าหากัน กลายเป็นมิตรภาพที่แนบแน่น ก่อนจะผลิบานกลายเป็นความรัก
  • การยอมรับความจริง นอกจากจะช่วยเยียวยาบาดแผลในใจแล้ว ยังช่วยให้เรารู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ด้วย และนั่นอาจเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเห็นคุณค่าในตัวเอง และการภาคภูมิใจในตัวเอง

“เด็กผู้ชายทุกคนรู้สึกโดดเดี่ยวไหม  ดวงอาทิตย์แห่งหน้าร้อนไม่ได้มีความหมายกับผู้ชายอย่างผม ผู้ชายอย่างผมเหมาะกับฝนมากกว่า”

ข้อความข้างบน อยู่ในหน้าที่ 310 ของหนังสือที่มีชื่อไทยออกจะเชยๆว่า ‘ห้วงรักจักรวาลใจ’ ซึ่งเป็นหน้าที่ผมลองเปิดสุ่มๆ ดู หลังจากอ่านเจอประโยคนี้ ผมแอบบอกกับตัวเองว่า เจอหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มแล้วสิ

ก่อนอื่น ต้องสารภาพตามตรงว่า ตอนแรกที่ตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้ เหตุผลมาจากชื่อเรื่องล้วนๆ แต่ไม่ใช่ชื่อไทยนะครับ เป็นชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe’ ซึ่งแปลเป็นไทยแบบตรงตัวว่า ‘อาริสโตเติลและดันเต ค้นพบความลับของจักรวาล’

อาริสโตเติล (สะกดตามต้นฉบับหนังสือภาษาไทย) เป็นชื่อของนักปราชญ์ชาวกรีก ผู้มีอายุอยู่เมื่อราวกว่าสองพันปีที่แล้ว และได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่ออารยธรรมตะวันตก จากการเป็นผู้สร้างรากฐานวิทยาการหลายแขนง ทั้งสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ จริยศาสตร์

ขณะที่ ดันเต หรือชื่อเต็มว่า ดันเต อาลีกีเอรี เป็นกวีเอกชาวอิตาลี ผู้แต่งมหากาพย์ The Divine Comedy ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในงานวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกตะวันตก ซึ่งมีอิทธิพลต่อวงการศิลปะ วรรณกรรม และศาสนาของชาติตะวันตกมาจนถึงปัจจุบัน

จากการที่มีชื่อบุคคลสำคัญ 2 คน จากโลกแห่งปรัชญาและศิลปะ ปรากฎบนชื่อเรื่อง ทำให้ผมคาดหวังว่า หนังสือเล่มนี้น่าจะมีเนื้อหาที่โยงไปถึงเรื่องราวของปรัชญาและศิลปะ อีกทั้งยังมีคำว่า ความลับของจักรวาล ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ยิ่งน่าดึงดูดสำหรับผมมากขึ้น

แต่เอาเข้าจริงๆ หนังสือเล่มนี้ มีอะไรหลายอย่างที่ไม่เป็นอย่างที่คิด

อย่างแรกเลย หนังสือเล่มนี้ ซึ่งแต่งโดย เบนจามิน อาลีเร ซาเอนซ์ (Benjamin Alire S’aenz) แปลเป็นภาษาไทยโดย ภัทร์ วิรุจน์ผล เป็นเรื่องราวของเด็กชายผู้ย่างเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นสองคน ผู้มีอะไรหลายอย่างคล้ายคลึงกัน และมีอะไรอีกหลายอย่างที่ตรงกันข้ามกัน ทั้งความคล้ายคลึงและความแตกต่าง ดึงดูดเด็กชายทั้งสองเข้าหากัน กลายเป็นมิตรภาพที่แนบแน่น ก่อนจะผลิบานกลายเป็นความรัก

สิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างที่สอง ก็คือ แม้ว่าหนังสือเล่มนี้ จะดูเหมือนนิยายในแนว BL (Boy Love) หรือบางคนเรียกว่า ‘นิยายวาย’ แต่จริงๆ แล้ว หนังสือเล่มนี้ คือ วรรณกรรมที่เน้นเรื่องการค้นพบ รู้จัก และยอมรับตัวเองในแบบที่เป็น ทำให้หนังสือชื่อยาวๆ เรื่องนี้ ได้รับรางวัลคุณภาพมากมาย โดยเฉพาะรางวัล Best Young Adult Book of All Time หรือ รางวัลวรรณกรรมวัยรุ่นยอดเยี่ยมตลอดกาล ของนิตยสาร Time

อาริสโตเติล เมนโดซา หรือที่เจ้าตัวชอบเรียกสั้นๆ ว่า อารี เป็นเด็กหนุ่มผู้เงียบขรึม เขาเป็นเด็กฉลาด หน้าตาดี ช่างคิดและพยายามหาเหตุผลให้กับทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทว่า อารี กลับไม่พบคำตอบที่ตัวเองพอใจ อารี รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้มีโลกที่เป็นของเขาเลย 

บางครั้ง การค้นหาที่พักพิงที่เป็นของตัวเอง ก็เป็นเรื่องยากแสนยาก ไม่ต่างจากการไขปริศนาความลับของห้วงจักรวาล

จนกระทั่ง เขามาพบกับเด็กชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า ดันเต

ดันเต คินตานา เป็นเด็กหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ผู้มีรอยยิ้มและท่าทีสบายๆ อยู่เสมอ เขาเป็นเด็กช่างฝัน มองโลกในแง่ดี รักการอ่านบทกวี และเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ด้านศิลปะ ใครๆ ที่รู้จักเขาต่างหลงรักเขาได้ไม่ยาก แต่ไม่มีใครเลยที่จะเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ 

ราวกับว่า ชีวิตของดันเต คือธุลีละอองดาว ล่องลอยอยู่ในห้วงจักรวาล โหยหาที่ยึดเหนี่ยวที่มั่นคงและหนักแน่น

จนกระทั่ง ดันเตได้พบและรู้จักกับเด็กหนุ่มที่ชื่อ อาริสโตเติล

เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ บอกเล่าผ่านปากของอารี เราจึงได้เรียนรู้และร่วมค้นหาความลับของห้วงจักรวาล ผ่านทางมุมมองของอารี มากกว่าดันเต

อารี เป็นเด็กชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน  เขามักบอกตัวเองว่า เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ซึ่งไม่ใช่เลย เพราะความจริงแล้ว เขามีพี่สาวฝาแฝดสองคน ที่อายุห่างจากเขาถึง 12 ปี พี่สาวทั้งสอง จึงมักจะปฏิบัติต่อเขาราวกับเขาเป็นลูก ไม่ใช่น้องชาย และนั่นจึงไม่แปลกที่อารี จะไม่รู้สึกสนิทกับพี่สาวทั้งสอง

ความจริงหนึ่งอย่าง ที่ถูกคนในครอบครัวปฏิบัติราวกับเป็นความลับ ก็คือ อารี มีพี่ชายอีกหนึ่งคน ชื่อ เบอร์นาโด เบอร์นาโด ไม่ได้อยู่กับครอบครัว เพราะเขาติดคุกด้วยข้อหาอะไรสักอย่างที่ร้ายแรงมากๆ อารีจำเรื่องราวของพี่ชายไม่ได้เลย จำไม่ได้แม้แต่หน้าตา แต่เขาจำความรู้สึกตอนเด็กได้ว่า พี่ชายรักเขา และเขาก็รักพี่ชาย

แต่ทำไมทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อกับแม่ ถึงทำราวกับไม่เคยมีลูกชายที่ชื่อเบอร์นาโดในครอบครัว พวกเขาไม่เคยพูดถึงลูกชายคนนี้เลย

ในความคิดของอารี นั่นคือเรื่องราวที่ดูไร้เหตุผลสิ้นดี ซึ่งเขาไม่อาจยอมรับได้ แน่นอนว่า อารี รักพ่อกับแม่ของเขา แต่ด้วยเรื่องความลับของพี่ชาย ทำให้เขาเกลียดพ่อกับแม่ด้วยเช่นกัน

แม่เป็นหญิงสาวผู้แสนงดงามและใจดี ในความคิดของอารี ไม่แปลกเลยที่พ่อจะรักแม่มาก แต่การที่แม่รักพ่อนี่สิ เป็นเรื่องที่เขาไม่เข้าใจ เพราะพ่อเป็นผู้ชายที่แข็งกระด้าง พูดน้อย เงียบขรึม แทบไม่เคยแสดงความรู้สึกใดๆออกมาให้คนอื่นเห็น โดยเฉพาะกับอารี

ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก อารีเคยโกรธที่พ่อทำตัวห่างเหินไม่ยอมเล่นกับเขา เขาบ่นกับแม่ว่า ทำไมแม่แต่งงานกับผู้ชายแบบนี้

“พ่อของลูกงดงามจ้ะ” แม่ยิ้มแล้วสางผมอารี

อารี ได้แต่ครุ่นคิดว่า แล้วอะไรทำให้ความงดงามของพ่อหายไป

ไม่เพียงแต่ที่บ้านเท่านั้น ที่โรงเรียน อารีก็เป็นเด็กที่โดดเดี่ยว แปลกแยกจากคนอื่น จนทำให้เขานึกตั้งถามกับตัวเองว่า

“เด็กผู้ชายทุกคนรู้สึกโดดเดี่ยวไหม  ดวงอาทิตย์แห่งหน้าร้อนไม่ได้มีความหมายกับผู้ชายอย่างผม ผู้ชายอย่างผมเหมาะกับฝนมากกว่า”

จริงๆแล้ว ใช่ว่าอารีจะไม่มีเพื่อนเลย เพราะมีหญิงสาวหลายคนในโรงเรียน ที่มักจะเข้ามาชวนเขาคุย และมีอย่างน้อย 2 คน ที่ลงเอยด้วยการเป็นเพื่อนสนิทของอารี แต่ถึงอย่างนั้น อารีก็ยังรู้สึกว่า ในห้วงจักรวาลอันแสนกว้างใหญ่ เขายังไม่พบ และอาจไม่มีวันได้พบที่ทางของตัวเอง

อารี ไม่ชอบชื่อจริงของตัวเอง คือ อาริสโตเติล เขารู้ว่านอกจากจะเป็นชื่อที่ตั้งตามชื่อปู่แล้ว ยังเป็นชื่อของนักปราชญ์ชาวกรีกผู้ค้นพบอะไรหลายอย่าง บางที นั่นแหละเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเกลียดชื่อนี้ อารี รู้สึกว่าใครๆ ต่างคาดหวังว่า เขาจะค้นพบอะไรเจ๋งๆ เหมือนอาริสโตเติล ซึ่งเขาไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ เขาเลยเปลี่ยนชื่อให้สั้นลงเป็น อารี

อารี เคยคิดเล่นๆ ว่า คำว่า อารี (ARI) ถ้าสลับตำแหน่งตัวอักษร จะกลายเป็นคำว่า AIR ซึ่งแปลว่า อากาศ ก็ดูเป็นชื่อที่เหมาะกับเขาดี เพราะอากาศ คือสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่ไม่มีใครมองเห็น

จนกระทั่งวันหนึ่ง โลกของอารีเปลี่ยนไป เมื่อเขาได้รู้จักกับ ดันเต เด็กหนุ่มผู้แสนงดงาม ทั้งใบหน้าและจิตใจ เด็กหนุ่มผู้มองโลกในแง่ดี และมีทีท่าสบายๆ กับทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ยุ่งยากซับซ้อนแค่ไหน

ดันเต ทำให้อารี ได้รู้ว่า บางเรื่องราวในโลกนี้ ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลตรรกะมาอธิบายเสมอไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไขปริศนาความลับของห้วงจักรวาล อาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้ใช้แค่เหตุผลในการค้นพบคำตอบได้ หากแต่ต้องใช้หัวใจ ใช้ความรู้สึก เพื่อรับรู้และเข้าถึงความลับนั้น

มิตรภาพและความรักที่ได้รับจากดันเต ทำให้อารี มีท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้นต่อทุกเรื่องราวในโลกใบนี้ เขาเริ่มเข้าใจพ่อแม่มากขึ้น เมื่อปล่อยวางความพยายามที่จะทำความเข้าใจ เขาเริ่มมีเพื่อนมากขึ้น เมื่อเปิดใจยอมรับว่า ทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่ตัวเขาคิด และตัวเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างที่คนอื่นคิด

อย่างไรก็ดี มีจุดเดียวที่อารี ยังไม่อาจปล่อยวางได้ คือ ความรู้สึกที่เขามีต่อดันเต ตรงกันข้ามกับดันเต ผู้ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอกรักอารี แต่อารีใช้เหตุผลไตร่ตรองแล้ว จึงมองเห็นแต่ความไม่เหมาะสมที่เขาจะยอมรับว่า ตัวเองก็มีใจรักดันเต หรือตัวเองก็มีรสนิยมชื่นชอบเพศเดียวกัน

ในตอนท้ายของเรื่อง ดันเตถูกกลุ่มวัยรุ่นหลายคนรุมทำร้ายจนบาดเจ็บปางตาย ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ เหตุผลที่วัยรุ่นพวกนั้นทำลงไป เพียงเพราะไม่ชอบที่ดันเตแสดงออกอย่างเปิดเผยว่า มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน 

หลังจากรู้เรื่องนี้ อารีโกรธจัด และบุกไปทำร้ายสมาชิกแก๊งอันธพาลคนหนึ่งถึงขั้นจมูกหัก ไม่เพียงเท่านั้น อารียังคิดจะไปจัดการกับสมาชิกแก๊งที่เหลืออีกด้วย

เหตุการณ์รุนแรงแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำให้พ่อแม่ของอารี เข้ามาห้ามปราม พร้อมเปิดเผยเรื่องราวความลับของเบอร์นาโด พี่ชายของอารี ซึ่งต้องโทษจำคุกเพราะบันดาลโทสะทำร้ายร่างกายคนอื่นจนเสียชีวิต ไม่เพียงเท่านั้น แม่ยังกลายเป็นผู้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้า ทำให้ครอบครัวของอารี ตัดสินใจไม่พูดถึงเรื่องราวของเบอร์นาโดอีกเลย

แม้ว่าการทำเหมือนเบอร์นาโดไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลก จะทำให้แม่มีอาการดีขึ้น แต่บาดแผลในใจทุกคน ยังไม่ได้รับการเยียวยา จนกระทั่งพวกเขาตัดสินใจเปิดเผยเรื่องราวความจริงทั้งหมดให้อารีได้รับรู้

ความจริง อาจไม่ใช่เรื่องสวยงาม แต่การยอมรับความจริงเท่านั้น ที่จะเยียวยาบาดแผลในใจทุกคนได้

ขณะเดียวกัน พ่อได้เปิดเผยความจริงอีกเรื่อง ความจริงที่ทำให้พ่อ ผู้ชายที่แสนงดงามตามคำพูดของแม่ กลับกลายเป็นคนหัวใจแข็งกระด้าง พ่อเคยเป็นทหารไปรบในสงครามเวียดนาม ในปฏิบัติการครั้งสุดท้าย พ่อรอดชีวิตกลับมาได้ แต่เพื่อนคนหนึ่งในทีมไม่ได้กลับมาด้วย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่สร้างบาดแผลในใจพ่อมาตลอด

พ่อกลายเป็นคนเย็นชา แข็งกระด้าง ทำตัวห่างเหินจากทุกคน ราวกับมีกำแพงปิดกั้นตัวเอง ราวกับกลัวว่า ยิ่งผูกพันมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อถึงวันที่ต้องจากลา

การยอมรับความจริง นอกจากจะช่วยเยียวยาบาดแผลในใจแล้ว ยังช่วยให้เรารู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ด้วย และนั่นอาจเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเห็นคุณค่าในตัวเอง และการภาคภูมิใจในตัวเอง

อารี ซึ่งเติบโตมาในครอบครัวที่มีบาดแผล หวาดกลัวที่จะยอมรับตัวเองมาโดยตลอด เพราะกลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับ ทั้งจากครอบครัว เพื่อนๆ และในสังคม แต่สุดท้าย ด้วยการสนับสนุนของคนในครอบครัว รวมถึงการยอมรับความจริงของพ่อและแม่ ที่ทำให้อารี ได้เข้าใจว่า การเป็นตัวเองในแบบที่เป็น แม้ว่าอาจจะมีบาดแผลอยู่บ้าง มีความไม่สมบูรณ์แบบอยู่บ้าง

หรือกระทั่งมีแต่ความไม่สมเหตุสมผล ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป

บางครั้ง การจะไขปริศนาค้นพบความลับของห้วงจักรวาล เพื่อให้พบเจอที่ที่ ‘ใช่’ สำหรับตัวเอง อาจไม่ได้ใช้แค่ ‘เหตุผล’ เสมอไป หากแต่ต้องใช้ ‘หัวใจและความรู้สึก’ ด้วย

Tags:

หนังสือAristotle and Dante Discover the Secrets of the Universeห้วงรักจักรวาลใจการยอมรับตนเอง

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    นักบินรบ : การค้นพบความหวัง ในสมรภูมิที่สิ้นหวัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 7. ลัทธิบูชาผลงาน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Gifted (2017) ‘ขอโทษ’ ของขวัญที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • RelationshipBook
    I HATE MY JOB: เราไม่ได้ถูกสร้างให้กระจอก เราถูกสร้างเพื่อให้ผ่านปัญหาไปได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

Departures: คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่คำตัดสินของใคร เห็นความหมายในสิ่งที่ทำและยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ
29 August 2025

Departures: คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่คำตัดสินของใคร เห็นความหมายในสิ่งที่ทำและยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Departures เป็นภาพยนตร์ดรามาสัญชาติญี่ปุ่น ในปี 2008 กำกับโดย Yojiro Takita และได้รับรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม จากเวทีออสการ์ครั้งที่ 81
  • ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ ‘ไดโกะ’ หนุ่มนักเชลโลที่ตกงานกะทันหัน จนต้องย้ายกลับบ้านเกิดที่เมืองยามากาตะ ก่อนโชคชะตาจะพาเขาสู่เส้นทางของ ‘โนคังชิ’ หรือผู้ประกอบพิธีแต่งศพ
  • ท่ามกลางการดูถูกเหยียดหยามจากคนรอบข้าง ไดโกะมุ่งมั่นเต็มร้อยกับงานโนคังชิ และได้รับคำขอบคุณมากมายจากญาติผู้เสียชีวิต นั่นทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้อคติของคนอื่นมาตัดสิน

“ตอนที่ผมยังเด็ก ผมไม่เคยรู้สึกว่าฤดูหนาวจะหนาวถึงเพียงนี้ ผมย้ายจากโตเกียวมาอยู่ยามากาตะได้สองเดือนแล้ว มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากจะทำใจจริงๆ ผมน่ะสามารถทำงานนี้ได้จริงๆ เหรอ”

ประโยคเปิดเรื่องของ Departures ภาพยนตร์ดรามาสัญชาติญี่ปุ่นในปี 2008 ชวนให้ผมคิดว่าตัวเอกของเรื่องอาจกำลังรู้สึกท้อกับงาน แต่ในความจริงแล้ว สิ่งที่เขากำลังท้อแท้ คือทัศนคติของสังคมที่มีต่ออาชีพของเขาต่างหาก 

เรื่องราวเล่าถึง ‘ไดโกะ’ หนุ่มนักเชลโลจากโตเกียวที่ตกงานกะทันหันหลังวงออเคสตราที่เขาสังกัดถูกประกาศยุบตัว จนต้องย้ายกลับบ้านเกิดที่เมืองยามากาตะ ก่อนโชคชะตาจะพาเขาสู่เส้นทางของ ‘โนคังชิ’ หรือผู้ประกอบพิธีแต่งศพ (งานที่ต้องทำความสะอาด แต่งตัว แต่งหน้า และยกศพบรรจุลงโลงอย่างประณีต) 

หนึ่งในเสน่ห์ของภาพยนตร์ที่ตรึงใจผมคือ ‘การต่อสู้ดิ้นรน’ ของไดโกะที่ถูกเหยียดหยามจากภรรยา เพื่อน และคนรอบตัว เพราะสังคมมองว่าอาชีพของเขาต่ำต้อย หากินกับคนตาย สกปรก แถมยังน่ารังเกียจ   

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ภาพยนตร์เล่าว่าไดโกะเริ่มเล่นเชลโลตั้งแต่อนุบาล บางคนอาจมองว่าเขาโชคดีที่ค้นพบสิ่งที่รักตั้งแต่เด็ก ทั้งยังสามารถนำมาต่อยอดเป็นอาชีพได้ แต่ลึกๆ แล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเขาต้องขายเชลโลตัวเก่งเพื่อใช้หนี้ เขากลับรู้สึกดีราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก 

“นี่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตผม การขายเชลโล่ทิ้งทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ รู้สึกเหมือนได้ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการที่มัดผมไว้มานาน สิ่งที่ผมคิดว่ามันคือความฝัน แต่ความจริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นมาตั้งแต่แรก” 

ผมมองว่าการเป็นนักเชลโลอาจไม่ใช่ความฝันที่แท้จริงของไดโกะ อาจเพราะเวลาที่เล่นเชลโลเขาบรรยายความรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้หวนคิดถึงอดีต ซึ่งอดีตในที่นี้หมายถึงความทรงจำระหว่างเขากับพ่อที่ทิ้งเขาไป 

ดังนั้นการเล่นเชลโลอาจเป็นเพียงการโหยหาความทรงจำในอดีต หรืออาจสะท้อนภาพว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในเด็กที่พยายามทำตามความคาดหวังของผู้ใหญ่ที่ให้ค่ากับอาชีพนักเชลโล

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ตัวละครรอบตัวต่างดูตื่นเต้นและยกย่องอาชีพนักเชลโลของเขา ผ่านเสียงชื่นชมที่มีต่อพ่อของไดโกะว่าเป็นคนมีสไตล์ถึงให้ลูกเรียนเชลโล หรืออาการปลื้มปริ่มของชาวเมืองยามากาตะในตอนแรกที่รู้ว่าไดโกะเป็นนักเชลโลประจำวงออเคสตราในกรุงโตเกียว ทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาวัยเด็กที่พวกผู้ใหญ่มักถามว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” พร้อมกับพยายามปลูกฝังค่านิยมที่ยกย่องเฉพาะบางอาชีพ เช่น หมอ ตำรวจ ผู้พิพากษา และวิศวกร ทั้งยังสอนให้เราประเมินคุณค่าอาชีพต่างๆ ผ่าน ‘รายได้’ บ่อยครั้งเด็กจึงเรียนรู้ที่จะทำตามค่านิยมของผู้ใหญ่มากกว่าตามความฝันของตัวเอง

ใน Departures ไดโกะจับพลัดจับผลูสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นบริษัททัวร์ที่กำลังมองหาใครสักคนมาช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการเดินทาง และแม้จะทราบความจริงภายหลังว่าประกาศสมัครงานพิมพ์ผิด เพราะตำแหน่งที่รับสมัครจริงๆ คือ ‘โนคังชิ’ แต่ด้วยเงินเดือนที่สูงลิ่ว เขาจึงจำใจตอบรับข้อเสนอและเก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ…ราวกับซ่อนความผิดของตัวเอง

แม้จะเริ่มต้นอาชีพด้วยความลังเลและอคติ แต่เมื่อไดโกะได้ไปประกอบพิธีศพบ่อยครั้ง เขาก็เริ่มเปิดใจและเห็นคุณค่าของงานที่ทำ ผ่านพิธีการที่เต็มไปด้วยความเงียบอันงดงาม ความอ่อนโยน ความประณีต และความเคารพในการบอกลาครั้งสุดท้าย ซึ่งทั้งหมดล้วนปลอบประโลมหัวใจของครอบครัวผู้สูญเสีย

“ร่างที่เย็นเฉียบกลับดูฟื้นคืน กลับสู่ความงามอันเป็นนิรันดร์ ทั้งหมดนี้ทำด้วยความสุขุมและแม่นยำ และด้วยความรักที่แสนจะอ่อนโยนในการบอกลาครั้งสุดท้าย เพื่อส่งผู้ตายให้ออกเดินทางไป การตระเตรียมทุกอย่างทำออกมาได้อย่างสงบและงดงามยิ่ง” 

วันเวลาผ่านไป พร้อมๆ กับน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มและคำขอบคุณของญาติผู้เสียชีวิตได้หยดลงบนใจของไดโกะ ทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะครั้งหนึ่งที่เขาต้องทำพิธีแต่งศพให้สาว LGBTQ+ ที่ฆ่าตัวตายเพราะเธอไม่เป็นที่ยอมรับจากครอบครัว 

“ขอบคุณมากนะครับ ตั้งแต่โทเมโอะ(ผู้ตาย) กลายเป็นแบบนั้น เราก็ทะเลาะกันอยู่เรื่อย ผมน่ะไม่ยอมมองหน้าเขาอีกเลย แต่วันนี้ ตอนที่ผมได้เห็นรอยยิ้มของเขา  ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าถึงเขาจะแต่งตัวเหมือนกับเด็กสาว แต่ยังไงซะเขาก็ยังเป็นลูกชายคนเดิมของผม ขอบคุณครับ ขอบคุณคุณมากจริงๆ ครับ” พ่อของโทเมโอะกล่าว

ถึงจะได้รับการชื่นชมจากลูกค้า แต่อีกมุมหนึ่งชื่อเสียงของไดโกะก็ทำให้เขาถูกสังคมกดดันด้วยเช่นกัน เขาค่อยๆ ถูกเพื่อนแยกห่าง เพียงเพราะต้องการให้เขาหางานที่ ‘เหมาะสม’ กว่านี้ หรือภรรยาที่โกรธเกรี้ยวหลังทราบอาชีพที่แท้จริงของเขา พร้อมฝากคำพูดสุดท้ายก่อนหอบข้าวของหนีออกจากบ้าน

“ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันล่ะ ที่คุณทำงานแบบนี้ไม่รู้สึกอายบ้างเลยหรือไง ฉันอยากให้คุณทำงานที่มันธรรมดา คุณไม่ต้องเถียงแล้ว เลิกทำงานนี้ซะ ฉันขอร้อง คุณฟังนะ ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยพูดอะไรเลย ตอนที่คุณบอกว่าอยากเลิกเล่นเชลโล่แล้วอยากกลับมาอยู่บ้านนอก ฉันเองก็ได้แค่ยิ้ม แต่จริงๆ แล้ว ฉันน่ะเสียใจมากนะ เพราะว่าฉันรักคุณ เพราะฉะนั้นขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว คุณฟังฉันหน่อยเถอะนะ คุณจะทำมันไปทั้งชีวิตเลยเหรอ งั้นฉันจะกลับบ้าน คุณเลิกทำเมื่อไหร่ค่อยมาหาฉัน อย่าแตะต้องฉันนะ บนตัวคุณมันสกปรก!”

ผมคิดว่าผู้อ่านหลายคนอาจเคยเผชิญสถานการณ์คล้ายๆ กับไดโกะ ถูกคนที่เรารักดูถูก และไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะอ้างเหตุผลหรือความรักความหวังดีใดๆ ผมพบว่ามันล้วนแฝงไปด้วยการยัดเยียดความต้องการของเขาให้กับเรา เพียงเพราะเขากลัวจะเสียหน้าหรือเสียผลประโยชน์บางอย่างของตัวเองมากกว่าจะมาสนใจความรู้สึกนึกคิดของเรา

สิ่งที่ผมชื่นชอบในบทของไดโกะ คือเขาอาจจะเซไปบ้างที่ถูกคนรอบตัวหมางเมินหรือโดนดูถูกเหยียดหยาม แต่เขายังคงมุ่งมั่นเต็มร้อยให้กับงานโนคังชิ เพราะมันช่วยให้เขาทบทวนคุณค่าชีวิตและเรียนรู้ที่จะซื่อสัตย์กับตัวเอง โดยไม่ยอมให้อคติของคนอื่นมาตัดสินคุณค่า เพราะเราเท่านั้นคือคนที่กำหนดคุณค่าของตัวเอง

นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังสะท้อนภาพให้เห็นตัวอย่างของคนที่ยืนหยัดกับสิ่งที่รัก เช่น คุณป้าเจ้าของโรงอาบน้ำเก่าแก่ประจำเมืองที่ถูกลูกชายกดดันให้เลิกกิจการที่ไม่ค่อยสร้างรายได้เพื่อนำที่ดินไปทำแมนชัน ทว่าเธอยังคงยืนหยัดในสิ่งที่รักตราบจนวาระสุดท้าย

“ถ้าไม่มีโรงอาบน้ำที่นี่แล้วลูกค้าจะทำยังไง เพราะงั้นในตอนที่ฉันยังแข็งแรง ฉันต้องทำ” 

หรือจะเป็นคุณลุงคนหนึ่งที่ทำอาชีพควบคุมการเผาศพ ก็ภูมิใจและเห็นคุณค่าในงานที่ทำอยู่ โดยเขาเปรียบเปรยว่าตนคือผู้เฝ้าประตูที่เชื่อมต่อจากโลกหนึ่งไปสู่อีกสถานที่หนึ่ง

“การทำงานที่นี่มานานหลายปี มันทำให้ฉันคิดอยู่บ่อยครั้งว่าความตายก็เป็นเหมือนประตู ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด เราแค่ก้าวผ่านมันไปเพื่อไปสู่อีกที่หนึ่ง มันเป็นประตูจริงๆ นั่นแหละ ในฐานะที่ฉันเป็นยามเฝ้าประตู ฉันได้ส่งคนมากมายให้ออกเดินทาง “ไปดีมาดีนะ แล้วเจอกันอีก” ฉันบอกพวกเขาอย่างนั้น”

ดังนั้น สิ่งสำคัญของ Departures จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวของอาชีพโนคังชิ แต่คือการเดินทางของมนุษย์คนหนึ่งที่เรียนรู้ว่า ‘คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่สายตาของสังคมหรือคำตัดสินของใคร’ หากอยู่ที่การมองเห็นความหมายของสิ่งที่เราทำและการยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ เหมือนไดโกะที่เริ่มต้นการเป็นโนคังชิด้วยความลังเลและอับอาย แต่แล้วสิ่งที่เขาค้นพบคือความงดงามในการมอบประสบการณ์แห่งการจากลาที่เต็มไปด้วยความเคารพและทะนุถนอม ซึ่งสิ่งนี้ไม่เพียงเยียวยาแค่ครอบครัวของผู้สูญเสีย แต่ยังย้อนกลับมาเยียวยาหัวใจของเขาด้วย 

และแม้ระหว่างทางเขาจะถูกคนรอบตัวกีดกันหรือทำให้รู้สึกแย่ไปบ้าง แต่ไดโกะก็ยังเลือกที่จะยืนหยัดอยู่บนเส้นทางที่เป็นของเขา ทั้งยังค้นพบความสงบ ความพึงพอใจ และศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ผมกลับมาสะท้อนคิดได้ว่า ‘การยอมรับตัวเองคือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุด…ที่มนุษย์จะมอบให้แก่ชีวิตของตน’

Tags:

ภาพยนตร์คุณค่าของชีวิตDepartures

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Win or Lose: ‘ลูกไม่ต้องเป็นคนเก่งที่สุด แค่ลูกทำมันให้ดีที่สุด’ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือชนะใจตัวเองในแต่ละวัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Inside Out: เมื่อความเศร้าไม่ใช่วายร้าย แต่อาจเป็นทางบังคับที่พาเราไปพบความสุข

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    Soul: การตามหาแพชชัน ความฝัน และบอกว่าไม่มีใครอยากกลายเป็นคนที่ Lost soul

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

‘วรรณกรรมเยียวยา’ พื้นที่ปลอดภัยให้เด็กสำรวจโลกของอารมณ์  เรียนรู้และโอบรับความเปราะบางของตนเอง: ธาม เชื้อสถาปนศิริ
Social Issues
26 August 2025

‘วรรณกรรมเยียวยา’ พื้นที่ปลอดภัยให้เด็กสำรวจโลกของอารมณ์  เรียนรู้และโอบรับความเปราะบางของตนเอง: ธาม เชื้อสถาปนศิริ

เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี ภาพ ปริสุทธิ์

  • วรรณกรรมเพื่อการเยียวยาคือพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้อารมณ์ภายในที่เด็กต้องเผชิญและผ่านไปให้ได้ ผ่านความรู้สึกร่วมกันกับตัวละคร เช่น ความสูญเสีย ความเหงา เศร้า โดดเดี่ยว หรืออื่นๆ และนำไปสู่ความคลี่คลายทางอารมณ์
  • การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกจะใช้การบอกเล่าเป็นประโยคยาวๆ เพื่อให้เด็กเรียนรู้การเรียกชื่ออารมณ์ Naming Emotions โดยไม่ต้องมีใครสอน ซึ่ง ‘การไม่สอน’ เป็นลักษณะหนึ่งของวรรณกรรมเยียวยา
  • การที่ผู้ใหญ่ติดกับดักว่า หนังสือที่ดีต้องเป็นหนังสือความรู้ ทำให้เด็กขาดพื้นที่ทดลองเรียนรู้ทางอารมณ์ เมื่อต้องเผชิญกับการพลัดพราก สูญเสีย เขาจึงไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกหรือรับมือกับอารมณ์นั้นได้

“วรรณกรรมเยียวยาไม่ใช่ตำราสอนคุณธรรม แต่คือ ‘พื้นที่’ ที่ตัวละครและผู้อ่าน ได้พบกันในภาวะที่เปราะบาง ผ่านเรื่องราวที่พูดแทนความรู้สึกจริงในชีวิตจริง เช่น ความสูญเสีย การแยกจาก ความกลัว หรือการตั้งคำถามต่อคุณค่าในตน” 

อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา กล่าวถึงการมีอยู่ของ ‘วรรณกรรมเยียวยา’ ที่บอกกับเราว่า วรรณกรรมไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง แต่ยังเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ สำหรับเด็กเพื่อเรียนรู้และค่อยๆ ‘เข้าใจอารมณ์ตนเอง’ ในวันที่เขาเผชิญกับภาวะเปราะบาง

เมื่อ ‘วรรณกรรม’ และ ‘การเยียวยา’ ถูกพูดถึงในพื้นที่เดียวกัน

หากพูดถึง ‘วรรณกรรมเพื่อการเยียวยา’ มักมี 2 คำสำคัญปรากฏให้เห็น นั่นคือคำว่า Bibliotherapy และ Healing Literature ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกัน อาจารย์ธามอธิบายว่า 

“Bibliotherapy คือการบำบัดด้วยวรรณกรรม เมื่อมีคำว่า Therapy เข้ามาเกี่ยวข้อง มันจึงเป็นการใช้ในงานด้าน Clinical หรืองานด้านการแพทย์ มักจะถูกอธิบายในเชิงของคุณหมอ นักกิจกรรมบำบัด นักกระตุ้นพัฒนาการที่ใช้หนังสือเป็นเครื่องมือหนึ่งในทางด้านการแพทย์ เช่น การที่เด็กมีปัญหาเรื่อง LD มีปัญหาด้านสเปกตรัม เป็นซึมเศร้า พบเจอประสบการณ์ที่เจ็บปวดในเชิงอารมณ์หรือโรคภัย เช่น โรคมะเร็ง โรคลูคีเมีย คุณหมอจะเป็นคนสั่งให้ทำกิจกรรม เช่น การอ่านเพื่อบำบัด โดยคุณหมอมีหนังสือที่เลือกให้และมีใบสั่ง คล้ายๆ ใบสั่งยา หลังจากนั้นจะมีการติดตามผลการรักษา หรือการบำบัดว่า แผลทางใจ แผลทางกาย ความเจ็บป่วยหรืออารมณ์เชิงซึมเศร้านั้นหายไปหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการ ‘สั่ง’ ให้เด็กอ่านหนังสือเพื่อเป็นการบำบัด เราจะเรียกว่าการบำบัดด้วยวรรณกรรม

แต่ที่เรากำลังพูดถึงคือวรรณกรรมเยียวยา หรือ Healing Literature มีความเด่นตรงที่ว่า หนังสือเล่มนั้นมี ‘พลังการเยียวยา’ ในตัวมันเอง โดยไม่ต้องมีใครสั่งให้อ่าน เช่น ถ้าเด็กรู้สึกเศร้า เหงา เบื่อ หรือรู้สึกอ้างว้าง เขาเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งยังไม่ต้องคิดว่ามันเป็นวรรณกรรมสำหรับเด็กหรือเปล่านะ มันอาจจะเป็นวรรณกรรมที่ตัวละครเอกในเรื่องเป็นเด็กโต เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้หญิง นายทหาร กวี เป็นอะไรก็ได้ แล้วพอเขาอ่าน ตัวละครหลักและโครงเรื่องที่มีปมทางด้านอารมณ์ จะค่อยๆ เยียวยาเด็กไปในตัว โดยที่ไม่มีใครบอกว่าอ่านเล่มนี้สิ แล้วเธอจะรู้สึกดีขึ้น 

เพราะฉะนั้นถ้าเป็น Healing Literature หรือวรรณกรรมเยียวยา ความหมายมันกว้างกว่ามาก ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยผู้เชี่ยวชาญ เช่น คุณหมอ พยาบาล นักจิตวิทยา นักบำบัด ครูก็ใช้ได้ พ่อแม่ก็ใช้ได้ แค่จัดสภาพแวดล้อม วางทรัพยากรและหนังสือดีๆ ไว้ เด็กจะได้รับการเยียวยาโดยไม่รู้สึกว่าต้องไปอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะรู้สึกดีขึ้น”

เด็ก ‘เห็น’ ตัวเองในเรื่องเล่า เขาจะเริ่มเข้าใจและ ‘เยียวยา’ ตัวเองได้อย่างนุ่มนวล

หัวใจสำคัญของวรรณกรรมเยียวยา คือกระบวนการระหว่างทางที่ผู้อ่านทำความเข้าใจตัวละคร ดังนั้นจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าที่บ้านมีหนังสือมากมายแค่ไหน แต่อยู่ที่องค์ประกอบของเรื่องในหนังสือสื่อสารกับเด็กอย่างไร ซึ่ง ‘ตัวละครหลัก’ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ 

อาจารย์ธามอธิบายว่า “โดยธรรมชาติของมนุษย์ เราไม่สามารถเข้าใจอารมณ์ของตัวเองได้อย่างถ่องแท้ แน่ชัด ความรู้สึกมนุษย์ซับซ้อน ขุ่นมัว เพราะมันมีความรู้สึกนึกคิด หรือความกลัวหลายๆ อย่างที่เราไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เราจะเข้าใจสิ่งนั้นได้ดี หากเรายักย้ายถ่ายเทตัวเราไปไว้ที่ตัวละคร

เด็กในโลกจริงอาจพบความสูญเสีย มีความสงสัย ความเหงา ความโดดเดี่ยว อ้างว้าง ในช่วงเวลานั้นเขาหยิบวรรณกรรมเรื่องหนึ่งมาอ่าน แล้วรู้สึกว่าตัวละครในหนังสือเล่มนั้นเหมือนกับเขาเลย หนังสือจะพาเขาไปสำรวจโลกของอารมณ์ ความรู้สึกที่ปั่นป่วน ความเจ็บปวด สูญเสีย โศกเศร้า ซึ่งเขาอาจจะยังไม่เคยเจอประสบการณ์นั้นหรือเจอแล้วก็ได้ แต่หนังสือเล่มนั้นจะพาไป ‘คลี่คลาย’ ทางอารมณ์

ในตอนสุดท้ายจะมีการ Catharsis คือการปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกในตัวละคร เช่น เด็กอ่านวรรณกรรมเรื่องหนึ่งแล้วรู้สึกเห็นใจ เข้าใจความโดดเดี่ยวอ้างว้างหรืออารมณ์ต่างๆ ของตัวละคร เด็กจะมีการปลดปล่อยทางอารมณ์ เขาจะรู้สึกเศร้าไปกับมัน ซึมไปกับมัน ร้องไห้ไปกับมัน ในที่สุดจะเกิดกระบวนการ Resolution  คือการกลับมาสู่สภาวะปกติทางอารมณ์ เช่น เข้าใจแล้วว่าการสูญเสียคืออะไร”

เมื่อเด็กฉายภาพตัวเองไปยังตัวละครที่เผชิญเหตุการณ์ลักษณะเดียวกับตนได้ เขาจะเข้าใจความสูญเสีย ความเหงา เศร้า โดดเดี่ยว หรืออารมณ์อื่นๆ ได้ ไม่ใช่จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวละครที่ผู้เขียนถ่ายทอดแล้วค่อยๆ พาเขาไปทำความเข้าใจ 

เรียนรู้และเข้าใจอารมณ์ภายใน ให้เด็กอยู่กับคำถามโดยไม่ต้องเร่งหาคำตอบ

วรรณกรรมเยียวยาจะเน้นเรื่อง ‘การเรียนรู้อารมณ์ภายใน’ ที่เด็กต้องเผชิญและผ่านไปให้ได้ อาจารย์ธามเน้นย้ำว่าการ Naming Emotions (การเรียกชื่ออารมณ์) เป็นเรื่องสำคัญมาก หากเด็กเจอประสบการณ์เศร้า โกรธ หงุดหงิด เสียใจ หรือว่ารู้สึกไม่เข้าใจอารมณ์นั้น มันจะเกิดภาวะ Frustration คือมีความรู้สึกอัดอั้นอยู่ข้างใน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่สามารถสื่อสารอารมณ์ที่เกิดขึ้นให้คนอื่นเข้าใจ และไม่รู้วิธีจัดการอารมณ์นั้นได้เพราะเขาไม่มีความสามารถในการ Naming Emotions  การใช้คำเรียกอารมณ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเด็กสามารถเรียนรู้ได้จากวรรณกรรมเยียวยา

“วรรณกรรมเพื่อการเยียวยาถูกเขียนมาเพื่อให้เด็กสำรวจโลกของอารมณ์ที่ตัวเองเผชิญหรือกำลังจะเผชิญอย่างปลอดภัยและเข้าใจ เด็กจะเรียนรู้โลกของอารมณ์ภายในที่เกิดขึ้นผ่านตัวละครในเรื่อง 

วรรณกรรมเยียวยาจึงมีลักษณะเป็นเพื่อน หรือเป็นโลกที่เด็กสามารถที่จะไปเจอกับสถานการณ์นั้นได้โดยปลอดภัยตั้งแต่ยังไม่ได้เผชิญหน้ากับมัน

Healing Literature จึงไม่ใช่เพียงการให้กำลังใจ แต่เป็นการ ‘สัมผัสความจริงในใจ’ โดยไม่หลีกเลี่ยงอารมณ์ แค่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้อยู่กับคำถาม เปิดช่องให้เขาได้กล้ารู้สึก กล้าเจ็บ และกล้าหาย โดยไม่ต้องรีบรักษา อารมณ์ที่ได้รับการยอมรับย่อมค่อยๆ คลี่คลายไปตามจังหวะธรรมชาติของจิตใจ และนี่คือพลังที่แท้จริงของวรรณกรรมเยียวยา”

วรรณกรรมเยียวยาคือกระบวนการระหว่างทาง ระยะห่างระหว่างบรรทัดคือการผจญภัยทางอารมณ์

ในโลกวรรณกรรม การตีความเป็นสิทธิของผู้อ่านกับผู้เขียนที่เกิดขึ้นผ่านตัวละคร การจะตอบว่าหนังสือเล่มไหนเป็นวรรณกรรมเยียวยา มักขึ้นอยู่กับว่า วรรณกรรมเล่มนั้นทำงานกับความรู้สึกภายในของผู้อ่านอย่างไร อาจารย์ธามจึงพาเราเข้าสู่โลกของวรรณกรรมเยียวยา เพื่อให้เข้าใจลักษณะของวรรณกรรมประเภทนี้มากขึ้น

“ลักษณะเด่นของวรรณกรรมเยียวยาคือ ตัวละครเผชิญกับสถานการณ์ทางอารมณ์ที่ซับซ้อน จะมีคีย์เวิร์ดอยู่ 3 อย่างที่มักจะพบว่าคือวรรณกรรมเยียวยา 

1.การพลัดพราก การแยกจาก 

2.การสูญเสีย ในแง่ของการสูญเสียทั้งตัวตนหรือสูญเสียคนที่รัก 

3.ความลังเล สงสัย แปลความได้ว่าเป็นความโดดเดี่ยว อ้างว้าง เดียวดาย ไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่เป็นที่ต้องการ ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร เป็นภาวะสับสนมาก 

ถ้าอารมณ์ของงานวรรณกรรมเป็นแบบนี้ เราพอจะอนุมานได้ว่า หนังสือเล่มนี้เป็นวรรณกรรมเพื่อการเยียวยา แต่ถึงอย่างนั้นนักวรรณกรรมจะไม่ไปแปะป้ายว่า หนังสือเล่มนั้นเล่มนี้เป็นวรรณกรรมเยียวยา และไม่ได้หมายความว่า วรรณกรรมที่มีการพลัดพราก สูญเสีย โดดเดี่ยว โศกเศร้า อ้างว้าง เดียวดายหรือมีใครตายสักคนในเรื่อง เป็นวรรณกรรมเยียวยาหมดนะ บางเรื่องก็ไม่ใช่ แต่วรรณกรรมเยียวยาคือกระบวนการอ่านวรรณกรรมนั้นต่างหาก”

ลักษณะเด่นของวรรณกรรมเยียวยาจึงเน้นเรื่อง ‘อารมณ์’ เผยให้เห็นความเข้าใจ ความขุ่นมัว และการตกตะกอนของอารมณ์ และมักไม่มีการฉายคำทางอารมณ์ตรงๆ  แต่ผู้เขียนจะใช้การบรรยายเป็นย่อหน้า เพื่อบอกเล่าอารมณ์ อาจารย์ธามยกตัวอย่าง บทบรรยายในเรื่อง ‘เจ้าหญิงน้อย’ 

“ฉันคิดถึงปาปาจังเลย ป่านนี้ปาปาทำอะไรอยู่ ถ้าปาปายังอยู่ตรงนี้คงจะเป็นอ้อมแขนที่อบอุ่นสำหรับฉัน ฉันคิดถึงปาปาจัง ไม่รู้ว่าปาปาจะคิดถึงฉันบ้างไหม”

ย่อหน้านี้ฉายให้เห็นความโดดเดี่ยว อ้างว้าง ความเดียวดาย และความรู้สึกภายในของตัวละคร โดยไม่มีการใช้ฉายคำทางอารมณ์อย่างชัดเจนว่า “ฉันเศร้า ฉันเหงา ฉันโดดเดี่ยว อ้างว้าง” การอ่านคำบอกเล่าอารมณ์เป็นประโยคยาวๆ ทำให้เด็กเรียนรู้การ Naming Emotions โดยไม่ต้องมีใครสอน ซึ่ง ‘การไม่สอน’ เป็นอีกหนึ่งลักษณะของวรรณกรรมเยียวยา

“วรรณกรรมเยียวยามีลักษณะเด่นอย่างหนึ่งคือมันไม่สอน แต่เน้นสื่อสารทางอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือภาพญี่ปุ่น เรื่อง ‘งานแรกของมี้จัง’ อาจจะดูเป็นเหตุการณ์ง่ายๆ เป็นเรื่องของเด็กวัย 5 ขวบที่จะต้องไปซื้อนมให้คุณแม่ ระหว่างทางเจอกับเหตุการณ์เล็กๆ ที่แทรกความหวาดหวั่นทางอารมณ์ไว้อย่างแนบเนียน สาเหตุที่วรรณกรรมเยียวยามักจะเป็นเหตุการณ์ง่ายๆ เป็นเพราะว่า เด็กต้องเรียนรู้เรื่องที่ยากกว่าคือการเผชิญหน้าทางอารมณ์ ดังนั้นจึงไม่มีการใส่ดีเทลในเรื่องสาระความรู้ลงไป ซึ่งนิทานเชิงความรู้ประเภท Edutainment นิทานอีสป หรือนิทานแนว Competency ไม่ใช่วรรณกรรมเยียวยา เพราะมันเพ่งสาระสำคัญไปที่ความรู้ ความสามารถ เน้น Logical และ Moral Thinking วรรณกรรมเยียวยาไม่ใช่แบบนั้น

ผู้เขียนได้วางลักษณะเส้นเรื่องไว้อย่างแยบยล เขาไม่เร่งรีบ ทำให้เด็กมีเวลาซึมซับ ค่อยๆ คืบคลานความรู้สึกด้วยการพัฒนาความเข้าใจตัวละครไปเรื่อยๆ การทำความเข้าใจกับความรู้ หรือ Logic ที่ซ้ายกับขวามันเท่ากันจะใช้เวลาสั้น แต่ความเข้าใจทางอารมณ์ไม่ใช่สมการทางคณิตศาสตร์ เราต้องทิ้งช่วงให้เกิดความเข้าใจ”

จะเห็นว่า วรรณกรรมเยียวยาคือกระบวนการระหว่างทางที่ผู้อ่านทำความเข้าใจตัวละคร เพราะฉะนั้นพัฒนาการของเรื่องราวจะดำเนินอย่างไม่เร่งรีบ ค่อยๆ คลี่ความรู้สึกไปทีละนิด อาจารย์ธามจึงเปรียบเทียบวรรณกรรมเยียวยาเหมือนกับการปอกหัวหอม ต้องค่อยๆ ปอกทีละชั้น ปล่อยให้แก๊สในหัวหอมทำให้น้ำตาไหลบ้าง

ภาพไม่ได้มีไว้แค่ประกอบเรื่อง แต่เป็นพื้นที่แห่งความเข้าใจของเด็ก 

นอกจากวรรณกรรมเรื่องยาวแล้ว อาจารย์ธามยังพูดถึง ‘หนังสือภาพสำหรับเด็ก’ ซึ่งบางเรื่องมีพลังในการเยียวยา โดย ‘ภาพ’ เป็นตัวแทนของรูปธรรม เด็กเล็กมีคลังคำศัพท์น้อยกว่าเด็กโต เขาจึงจะเข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรม  เห็นได้ชัดเจน เพราะฉะนั้นการสื่อสารด้วยภาพที่ทำให้เห็นสถานการณ์และสภาพแวดล้อมจึงเป็นปัจจัยสำคัญ อาจารย์ธามให้ข้อสังเกตว่า หนังสือเด็กจะวาดตัวละครง่ายๆ แต่จะให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมมาก เพราะนั่นคือพื้นที่แห่งการทำความเข้าใจของเด็ก 

หนังสือภาพสัญชาติญี่ปุ่นหลายเรื่องเป็นตัวอย่างที่ดีในการอธิบายว่า วรรณกรรมเยียวยาที่ดีเป็นแบบไหน 

“หนังสือภาพญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการเดินทางของอารมณ์ เขาจะวาดสีหน้า แววตา Facial Expression ได้ดี สีที่เขาใช้คือสีไม้พาสเทลจากดินสอ ทำให้เด็กรู้สึก Touching ได้มากกว่าการวาดด้วยคอมพิวเตอร์ เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ขึ้นรูปจะทำให้มิติเชิงอารมณ์ถูกตัดขาดไป ภาพมันดูสมบูรณ์แบบมากเกินไป 

ความสมบูรณ์แบบไม่ใช่สิ่งที่เด็กต้องการ เขาต้องการความบกพร่องเพื่อให้เห็นว่า เขาก็เป็นเหมือนตัวละคร ยิ่งสร้างตัวละครที่สมบูรณ์แบบมากเกินไป เด็กจะรู้สึกกดดันมาก แต่เด็กไม่รู้สึกกดดันกับหนังสือภาพญี่ปุ่น เพราะเขากำลังฉายตัวเองลงไปในความไม่สมบูรณ์แบบเหล่านั้น”

‘ความไม่สมบูรณ์แบบ’ ของตัวละครสะท้อนให้เห็น ‘ความเป็นมนุษย์’ ซึ่งวรรณกรรมเยียวยาเปิดพื้นที่ให้เด็กได้รู้สึกว่าตัวเขาก็เป็นแบบนั้นได้ เขาสามารถล้มได้ เจ็บได้  และลุกขึ้นใหม่ได้ด้วยเช่นกัน

กับดักหนังสือดีต้องมีสาระความรู้ เด็กขาดพื้นที่ทดลองเรียนรู้ทางอารมณ์ 

เด็กในปัจจุบันมีปัญหาด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้น อาจารย์ธามมองว่า การใช้สื่อดิจิทัล เป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหา เนื่องจากสื่อดิจิทัลเร่งเร้าเนื้อหาสาระ ดำเนินอย่างรวดเร็ว และไม่มีพื้นที่ว่างทางอารมณ์ 

“อารมณ์คือพื้นที่ภายใน มันต้องว่าง ต้องเงียบ แต่สื่อดิจิทัลในปัจจุบันมันสั้นมาก เด็กยังไม่สามารถทำความเข้าใจอะไรเลย ดูคลิปนี้จบต่อด้วยคลิปนั้นทันที การที่เด็กมีปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น เป็นเพราะเขาเสพสื่อดิจิทัลที่มันเร็ว ไม่มีพื้นที่ว่างให้เด็กเติมความรู้สึก ไม่มีพื้นที่ให้ตกตะกอนทางอารมณ์ ทำให้เขาไม่สามารถเข้าใจ Internal Self ได้เลยว่าตัวเองรู้สึกยังไง ไม่สามารถมี Self Expression 

ในขณะที่วรรณกรรมค่อยๆ คืบคลานอย่างช้าๆ หนังสือไม่ได้บอกว่า อ่านถึงย่อหน้านี้ต้องร้องไห้ได้แล้วนะ ตอนอ่านวรรณกรรมมันไม่มีเสียงประกอบเหมือนในละครซิตคอม มีแค่ความเงียบ เป็นพื้นที่ที่มีแค่เด็กกับตัวละคร นั่นแหละคือ ‘ที่ว่าง’ ปัญหาของดิจิทัลคือมันไม่มีที่ว่าง แต่หนังสือมีที่ว่างเยอะมาก ระหว่างอ่านหนังสือเด็กต้องเงียบ เขาจะต้องทำความเข้าใจกับสิ่งที่คิด สิ่งที่รู้สึก นี่คือความดังในความเงียบ”

นอกจากปัญหาการใช้สื่อดิจิทัลแล้ว ปัจจุบันเรากำลังประสบปัญหาขาดแคลนหนังสือที่มีมิติเชิงอารมณ์ อาจารย์ธามมองว่า นิทานไทยเน้น Competency การส่งเสริมสมรรถนะมากเกินไป เมื่อเราโฟกัสแค่ความสามารถ ทักษะ หรือความรู้ ท้ายที่สุดเราจึงละเลยการสื่อสารเรื่องอารมณ์ 

“การทำให้เด็กไปเจอกับหนังสือดีๆ มันเป็นเรื่องยากขึ้น วรรณกรรมเยียวยาของไทยไม่มีที่บนชั้นวางในร้านหนังสือ เพราะอุตสาหกรรมหนังสือทุกวันนี้เพ่งที่ผลลัพธ์ของความฉลาด หนังสือบนชั้นวางเต็มไปด้วยวรรณกรรมประเภทเดียวคือ วรรณกรรมเพ่งความฉลาด ความสามารถและทักษะ หนังสือเด็กปัจจุบันจึงขาดความหลากหลาย 

เราไปโฟกัสกับหน่วยค่าที่วัดได้ ไม่ว่าจะเป็น IQ RQ MQ SQ EQ EF หนังสือจึงขาดการขายความสนุก ความสุข ความซึม ความเศร้า มันมีแต่ขายสาระ ไม่มีการขายทางอารมณ์เลย ทำให้เด็กยุคนี้มีความตื้นเขินทางอารมณ์มาก 

การที่ผู้ใหญ่ติดกับดักว่า หนังสือที่ดีต้องเป็นหนังสือความรู้ ทำให้เด็กขาดพื้นที่ทดลองเรียนรู้ทางอารมณ์ หากต้องเผชิญกับการพลัดพราก สูญเสียมันเป็นเรื่องเศร้าอยู่แล้ว แต่เรื่องเศร้ายิ่งกว่าคือเขาไม่สามารถสื่อสารความรู้สึกหรืออารมณ์นั้นได้เพราะขาดคำเรียก ขาดความเข้าใจ ขาดการผจญภัย ขาดการเรียนรู้ และการคลี่คลายทางอารมณ์ผ่านตัวละคร”

สร้างวัฒนธรรมการอ่านเพื่ออ่าน คงพื้นที่ว่างทางความรู้สึก

อาจารย์ธามแนะนำว่า หนังสือควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์มากกว่าเป็นพื้นที่เพื่อการสอบได้ เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่ควรกลับมาย้อนดูว่า พื้นฐานของการอ่านไม่ใช่อ่านเพื่อเอาความรู้อย่างเดียว แต่เป็นการรู้ว่าหนังสือทำงานกับเด็กอย่างไร เปิดโอกาสให้เด็กอยู่กับความคิดเพื่อเข้าใจอารมณ์ภายในโดยไม่ต้องรีบเร่งหาคำตอบ 

“ตอนนี้เราอยู่ในวัฒนธรรมฟาสต์ฟู้ดของการอ่าน เราเร่งอ่าน อ่านเพื่อได้จริยธรรม อ่านเพื่อได้เป็นคนดี อ่านเพื่อให้เด็กทำทักษะนั้นๆ ได้ ผมอยากให้การอ่านเป็นพื้นที่ที่มีแค่คุณและตัวละครเท่านั้นที่สื่อสารตรงกันโดยไม่ต้องมีใครแทรกกลางระหว่างทาง เพื่อให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น 

สำหรับวรรณกรรมเพื่อการเยียวยา มันคือการจำลองสนามอารมณ์ที่เด็กสมัยนี้ขาดหายไป ผมอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญกับการอ่านที่ไม่ได้เพ่งตรงสาระความรู้ แต่เป็นการอ่านเพื่อการเติบโต อ่านเพื่อลังเล เคลือบแคลงสงสัย อ่านเพื่อกลับไปเป็นมนุษย์จริงๆ เพราะการที่เราสนใจแต่สาระความรู้ ความสามารถ  จะทำให้เด็กกลายเป็นร่างทรงของความรู้ เด็กขาดการค้นหาตัวตน ความลังเลสงสัย การทำความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเอง มันมีแต่การทำความเข้าใจกับความรู้ เด็กจึงไม่เหลือพื้นที่ว่างทางความรู้สึก” อาจารย์ธามกล่าวทิ้งท้าย

Tags:

พื้นที่ปลอดภัยอารมณ์วรรณกรรมเยียวยาธาม เชื้อสถาปนศิริHealing Literature

Author:

illustrator

บุญญิสา รัตนมณี

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Transformative learning
    ‘ข้อมูลที่ตรงจริง กับคุณครูที่มีหัวใจ’ โรงเรียนเปลี่ยนได้ด้วย Data Driven: ผอ.ปัฐน์ศรัญย์ จิตต์ประยูร

    เรื่อง นิภาพร ทับหุ่น

  • Social Issues
    ‘BuddyThai’ แอปคู่ใจของวัยรุ่นในวันที่ไม่มีใครยืนเคียงข้าง: พีเจ-หริสวรรณ ศิริวงศ์

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

    เรื่อง The Potential

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    เป็นพ่อแม่แบบ ‘กระบวนกร’ เปิดพื้นที่ปลอดภัยและใช้อำนาจเย็น

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ปลดปล่อยตัวเองจากความคาดหวัง เพราะบางครั้งพ่อแม่ก็คือผู้ใหญ่ในร่างเด็กแปดขวบที่โตแต่ตัว
Dear Parents
23 August 2025

ปลดปล่อยตัวเองจากความคาดหวัง เพราะบางครั้งพ่อแม่ก็คือผู้ใหญ่ในร่างเด็กแปดขวบที่โตแต่ตัว

เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • จะทำอย่างไรเมื่อครอบครัวไม่เป็นเหมือนในอุดมคติ… บทความนี้เขียนถึงพ่อแม่ที่ปฏิเสธการแสดงออกซึ่งความรัก และไม่เคยยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของลูก หรือชื่นชมในสิ่งที่เขาทำ ซ้ำร้ายยังสร้างแผลใจด้วยการเปรียบเทียบ กดดัน และด้อยค่าในรูปแบบต่างๆ
  • แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อปัญหาเกิดขึ้นจากคนในครอบครัว แต่เครื่องมือจากทฤษฎีปล่อยเขา ได้แก่ ‘กรอบประสบการณ์’ และ ‘การเห็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กแปดขวบ’ นับเป็นวิธีที่ได้ผลในการพาตัวเองออกจากวังวนของความทุกข์กังวลด้วยความเข้าใจ
  • “ผู้ใหญ่ส่วนมากก็เหมือนเด็กแปดขวบที่โตแต่ตัว ครั้งต่อไปเมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองถูกกระตุ้นอารมณ์จากสิ่งที่เขาพูดหรือกระทำ ขอให้นึกภาพตัวเขาในเวอร์ชันเด็กเกรดสอง เพราะโดยแก่นแท้แล้วผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ยังมีภาวะทางอารมณ์ไม่ต่างจากเด็ก ความแตกต่างคือพวกเขาซ่อนมันเก่งขึ้น”

ช่วงวันแม่ที่ผ่านมา อาจเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของใครหลายคนที่มีโอกาสได้อยู่กับแม่ พาแม่ไปกินข้าว และอัปโหลดภาพคู่กับแม่พร้อมแคปชันซึ้งๆ บนโซเชียลมีเดีย

แต่สำหรับผม มันไม่เคยเป็นเช่นนั้น 

แม่ของผมแตกต่างจากแม่ของใครหลายคน นิสัยใจคอของเราไม่ค่อยเข้ากันนัก โดยเฉพาะทัศนคติและวิธีการแสดงความรักของเรานั้นต่างกันสิ้นเชิง 

เรื่องหนึ่งที่ยังติดอยู่ในใจผม คือการที่แม่แอนตี้มาตลอดว่า การกอดหรือการแสดงความรักต่อลูก ‘เป็นวัฒนธรรมฝรั่งที่ดูดัดจริต’ และกำชับว่าเป็นสิ่งต้องห้าม “ครอบครัวเราเลี้ยงลูกให้เป็นเสือ ไม่ใช่แมว” ดังนั้นตอนเด็กๆ เวลาที่ผมพยายามกอดแม่ แม่จะด่าผมอย่างรุนแรง และหากพ่ออยู่ด้วยพ่อก็อาจจะมีฝ่ามือหรือคำหยาบพ่วงเข้ามาราวกับผมคือศัตรู 

ครอบครัวผมจึงไม่ได้มีภาพจำที่อบอุ่นนัก พ่อแม่อยากให้ผมเป็นเหมือนพี่และไม่เคยพอใจในสิ่งที่ผมเป็น ขณะที่ผมก็ไม่ชอบนิสัยของพ่อแม่ เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ถูกใจกัน จนกระทั่งไม่กี่ปีก่อน ผมเริ่มค้นหาคำตอบว่าทำไมพ่อแม่ถึงเป็นแบบนั้น แต่ยิ่งค้น ก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งเปรียบเทียบ ก็ยิ่งดิ่งลงไปเรื่อยๆ 

ระหว่างอ่านหนังสือ The Let Them Theory ของเมล ร็อบบินส์ ผมพบแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ที่เธอมักพูดซ้ำๆ ถึง ‘ทฤษฎีปล่อยเขา’ ว่ามันคือการปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตในแบบของเขา โดยที่เรามีหน้าที่แค่หันกลับมารับผิดชอบหัวใจตัวเอง วิธีนี้ช่วยให้ใจที่หนักอึ้งของผมเบาลงอย่างน่าประหลาด แค่ปล่อยเขา อย่าไปคาดหวังกับคนอื่น และกลับมาโฟกัสกับตัวเอง 

เมลยอมรับว่าทฤษฎี ‘ปล่อยเขา’ ทำได้ง่ายกว่ามากเมื่อคนๆ นั้นเป็นคนแปลกหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนๆ ของเรา เพราะเรายังมีระยะห่างกับคนกลุ่มนี้ และอาจคิดไปได้ว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่คนอื่น แต่กับครอบครัวที่มีความผูกพันทางสายเลือดยึดโยงเราไว้ ดูเหมือนว่าจะยิ่งทวีความซับซ้อนและยากกว่ามาก เพราะไม่ว่าร้ายดียังไง ครอบครัวก็คือคนที่อยู่กับเราไปตลอดชีวิต 

“ครอบครัวมักจะแสดงความเห็นใส่หน้าคุณแบบไม่ถนอมน้ำใจ…ครอบครัวมักจะพูดใส่หน้าคุณแบบแรงๆ เพราะพวกเขามีส่วนได้ส่วนเสียกับความสุขและความสำเร็จของคุณ

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์เช่นนี้ยากจะหาทางออกก็เพราะคุณทั้งคู่ย่อมเชื่อว่าตนถูก จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหรือจากกรอบประสบการณ์ พวกเขาจะเชื่อว่าความคิดเห็นของเขาถูกต้องแล้ว ส่วนจากประสบการณ์ของคุณหรือกรอบประสบการณ์ของคุณ คุณก็รู้ว่าความคิดเห็นของคุณเองถูกต้องเหมือนกัน”

ผมเชื่อว่านี่คือความจริงที่หลายคนพยักหน้ารับ เพราะเรามักเกรงใจและถนอมความรู้สึกคนอื่น แต่กลับลืมมอบความละมุนแบบเดียวกันนี้ให้กับคนในครอบครัว ผ่านการอ้าง ‘ความหวังดี’ หรืออะไรก็ตามที่สนับสนุนให้การพูดจาไม่ถนอมน้ำใจนั้นฟังดูชอบธรรม ดังนั้นเมลจึงแนะนำเครื่องมือสองอย่างเพื่อช่วยให้ทฤษฎีปล่อยเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะกับครอบครัวที่เราผูกพันอย่างลึกซึ้ง

เครื่องมือแรกมีชื่อว่า ‘กรอบประสบการณ์’ เมลบอกว่ามันเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราจัดการกับสถานการณ์ที่พ่อแม่ไม่ชอบในสิ่งที่เราเป็น ผ่านการมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยกรอบประสบการณ์ชีวิตของอีกฝ่าย (ไม่ใช่จากมุมของเราเอง) เพื่อจะช่วยให้เราเข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงคิดและแสดงออกเช่นนั้น โดยการทำความเข้าใจพ่อแม่ผ่านเลนส์ชีวิตของเขา อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการซ่อมแซมความสัมพันธ์ 

“ผู้คนมองเห็นคุณได้ลึกแค่เท่าที่พวกเขามองเห็นตัวเอง คนส่วนใหญ่ไม่เคยเข้ารับการบำบัด ไม่เคยพิจารณาปัญหาของตัวเองและไม่ต้องการจะทำเช่นนั้น…ปล่อยเขา 

ปล่อยให้พ่อแม่เป็นพ่อแม่ที่ดีน้อยกว่าที่คุณควรจะมี ปล่อยให้ชีวิตครอบครัวของคุณไม่เป็นเหมือนในเทพนิยาย พวกเขาทำดีที่สุดแล้วตามทรัพยากรและประสบการณ์ชีวิตที่พวกเขามี 

ตอนนี้คุณเลือกได้ว่าต่อไปข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่ได้พูดเช่นนี้เพื่อหาเหตุผลอธิบายสิ่งเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้น ฉันไม่ได้บอกว่าคุณไม่สมควรได้สิ่งที่ดีกว่านั้น ทุกคนล้วนสมควรจะรู้สึกว่ามีคนมองเห็น สนับสนุน และรักพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากครอบครัว แต่ความเป็นจริงก็คือมนุษย์ส่วนใหญ่ยังไม่เคยทำความเข้าใจตัวเอง เยียวยาอดีต หรือบริหารจัดการอารมณ์ ถ้าพวกเขายังไม่เคยทำเช่นนั้นให้ตัวเอง พวกเขาก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นให้คุณได้ หรือไม่อาจแสดงท่าทีในแบบที่คุณสมควรจะได้รับ

ปล่อยให้ครอบครัวของคุณเป็นตัวของพวกเขาเอง พ่อของคุณจะไม่เปลี่ยน แม่ของคุณจะไม่เปลี่ยน พี่น้องของคุณจะไม่เปลี่ยน ครอบครัวสามีหรือภรรยาจะไม่เปลี่ยน คนเดียวที่คุณสามารถเปลี่ยนได้คือตัวคุณเอง 

เมื่อคุณพูดว่าปล่อยเขา คุณอาจจะได้เห็นตัวตนของคนในครอบครัวอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต พวกเขาเป็นมนุษย์ คุณไม่อาจควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คุณไม่อาจควบคุมตัวตนที่พวกเขาเป็น คุณทำได้แต่ควบคุมสิ่งที่ตัวเองจะทำนับตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป…เมื่อคุณให้คนอื่นมีพื้นที่ในการหาข้อสรุปของเขาเอง โดยที่ตัวคุณโฟกัสอยู่กับการเป็นตัวเองกับเขาอย่างเต็มที่ด้วยความรักและความเข้าใจ บ่อยครั้งเมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นก็จะเปลี่ยนความคิดเอง ดังนั้นแม้ว่าจะฟังดูยาก แต่จงปล่อยเขาให้มีความคิดเห็นของเขาเองและโฟกัสไปที่การตอบสนองของคุณ”

เครื่องมือถัดมาคือ ‘การเห็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กแปดขวบ’ ซึ่งผมมองว่าง่ายกว่าการมองจากกรอบประสบการณ์ของพ่อแม่ โดยให้ลองจินตนาการว่าในร่างของพ่อแม่มี ‘เด็กแปดขวบที่เจ็บปวด’ อาศัยอยู่ 

“ผู้ใหญ่ส่วนมากก็เหมือนเด็กแปดขวบที่โตแต่ตัว ครั้งต่อไปเมื่อคุณอยู่กับคนคนนี้และรู้สึกว่าตัวเองถูกกระตุ้นอารมณ์จากสิ่งที่เขาพูดหรือกระทำ ขอให้นึกภาพตัวเขาในเวอร์ชันเด็กเกรดสองที่อยู่ในห้องนั้นกับคุณ เพราะคนที่คุณกำลังบรรยายถึงเป็นคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ของเด็กแปดขวบ และไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละ

โดยแก่นแท้แล้วผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ยังมีภาวะทางอารมณ์ไม่ต่างจากเด็ก ความแตกต่างคือพวกเขาซ่อนมันเก่งขึ้น 

แต่สิ่งที่สวยงามของทฤษฎีปล่อยเขาอยู่ตรงนี้ มันไม่ได้ทำให้คุณตัดสินคนอื่นมากขึ้น แต่มันทำให้คุณเห็นใจพวกเขามากขึ้น แทนที่จะรู้สึกหงุดหงิดท้อแท้ คุณจะเริ่มเข้าใจว่า คนส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องมือสำหรับจัดการอารมณ์ของตัวเองอย่างมีวุฒิภาวะ”

เมื่อผมลองใช้วิธีนี้ ผมรู้สึกเห็นใจพ่อแม่ของผมมากขึ้น อารมณ์ขุ่นมัวต่างๆ ค่อยๆ คลายกลายเป็นความเข้าใจ น่าแปลกที่ผมรู้สึกสงสารเด็กน้อยสองคนนั้น เพราะพ่อแม่เองก็เคยเป็นเด็กที่ไม่ได้รับการเยียวยา และเมื่อเติบโตขึ้น พวกเขาก็เผลอทำซ้ำในสิ่งที่ตัวเองเกลียด

“ความเป็นจริงก็คือผู้ใหญ่ก็ชอบใช้อารมณ์เหมือนเด็กๆ และมันไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะต้องไปบริหารจัดการปฏิกิริยาของใคร ตราบใดที่คุณยังยอมให้ความไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์ของคนอื่นมาบงการสิ่งที่คุณเลือก คุณจะกลายเป็นคนที่สำคัญน้อยที่สุดในชีวิตของตัวเอง

การเฝ้าหวังว่าใครจะเปลี่ยนแปลงคือสิ่งที่ทำให้คุณติดอยู่ในความสัมพันธ์กับคนที่ไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์ หรือแย่กว่านั้นคือคนที่ชอบทำร้ายความรู้สึกคนอื่น 

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย คนคนนี้จะไม่เปลี่ยน คุณต่างหากคือคนที่ต้องเปลี่ยน และนี่แหละที่ทฤษฎีปล่อยเขาเป็นทฤษฎีเปลี่ยนชีวิต ปล่อยเขา เวลาใดก็ตามที่ผู้ใหญ่ทำตัวเป็นเด็กแปดขวบ จงปล่อยเขา

เมื่อใช้ทฤษฎีปล่อยเขา คุณจะไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของพวกไร้วุฒิภาวะทางอารมณ์หรือชอบทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นอีกแล้ว เพราะคุณจะรู้เลยว่าตัวเองต้องทำอย่างไร ประการแรก มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่ต้องบริหารจัดการอารมณ์ของผู้ใหญ่คนอื่น เวลาที่ใครทำเป็นไม่ยอมพูดกับคุณหรือเล่นบทเหยื่อ หรือระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียว ปล่อยเขา จากนั้นฉันขอให้คุณลองนึกภาพเด็กอายุแปดขวบถูกขังอยู่ในร่างกายของเขา เมื่อคุณทำเช่นนั้น สิ่งที่ประหลาดที่สุดจะเกิดขึ้น คุณจะไม่กลัวคนผู้นั้นอีกต่อไป แต่คุณจะสงสารเขาแทน คุณเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจแทนที่จะเป็นความเกลียด…มันไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบของคุณที่จะต้องบริหารจัดการหรือพยายามแก้ไขอารมณ์ของพวกเขา หน้าที่ของคุณคือการปกป้องตัวเองจากการดิ่งทางอารมณ์ของเขา และมองเห็นมันตามสภาพจริง กล่าวคือ บุคคลผู้นี้ไม่รู้จักวิธีที่จะรับมือหรือแสดงออกถึงอารมณ์ต่างๆ ในแบบที่เป็นปกติสุข”

ผมอยากส่งกำลังใจให้ลูกทุกคนที่มีแผลใจ แม้มันอาจดูไม่ยุติธรรมที่เราต้องเป็นฝ่ายเยียวยาตัวเอง แต่การเยียวยานั้นคือการคืนอำนาจให้กับหัวใจ และเป็นประตูสู่ชีวิตที่สงบสุขขึ้น มีอิสระยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องรอให้ใครมาเปลี่ยนเพื่อให้เรามีความสุขอีกต่อไป

Tags:

พ่อแม่dear parentsครอบครัว

Author:

illustrator

อัฒภาค

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ

    เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Dear Parents
    แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Elemental: การแบกความฝันของครอบครัว ภาระอันหนักอึ้งในนามความรักและหวังดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

คิมจียอง เกิดปี 82: ไม่ว่าจะสมัยแม่หรือสมัยนี้ ผู้หญิงก็ยังถูกกดทับด้วยความเหลื่อมล้ำทางเพศ
Book
22 August 2025

คิมจียอง เกิดปี 82: ไม่ว่าจะสมัยแม่หรือสมัยนี้ ผู้หญิงก็ยังถูกกดทับด้วยความเหลื่อมล้ำทางเพศ

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • คิมจียอง เกิดปี 82 เป็นหนังสือที่เขียนโดยนักเขียนหญิง ‘โชนัมจู’ ซึ่งทำยอดขายได้กว่า 2 ล้านเล่ม และกลายเป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า ‘แรงกระเพื่อมของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศของเกาหลี’ นับเป็นครั้งแรกที่ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศในเกาหลี ซึ่งเคยถูกซุกไว้ใต้พรมจนหลายคนมองไม่เห็น ถูกหยิบยกขึ้นมาตีแผ่อย่างตรงไปตรงมา
  • เนื้อเรื่องในหนังสือ บอกให้เราได้รับรู้ถึงปัญหาจากค่านิยมเชิดชูเพศชาย ที่กลายเป็นแรงกดทับถาโถมเข้าใส่เพศหญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในฐานะ ‘ภรรยา’ และ ‘แม่’
  • ตราบใดที่ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ ยังเป็นแรงกดดันที่กดทับชีวิตผู้หญิงเกาหลีอยู่ คิมจียองคนต่อไป ก็คงเผชิญหน้ากับปัญหาที่ไม่แตกต่างจากคิมจียองคนก่อนๆ และรุ่นก่อนๆ

เมื่อพูดถึงเกาหลี หลายคนมักจะนึกถึงนักแสดงหญิงที่ใบหน้างดงามราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ไม่ว่าจะเป็น ไอยู, ฮันโซฮี หรือรุ่นเก่าอย่าง จอนจีฮยอน ขณะที่อีกหลายคนนึกถึงไอดอลสาวจากวงการ K-Pop อย่าง เจนนี่ และจีซู จาก Blackpink หรือกระทั่งสาวน้อยวัยใสจากวงไอดอลรุ่นใหม่อย่าง Aespa

แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ ขณะที่พลังของเพศหญิงเป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนประเทศ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม แต่เกาหลีใต้กลับได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในประเทศที่มีปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศรุนแรงและชัดเจนในหลายๆ ด้าน (แม้ว่าในภาพรวม ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศของเกาหลี ไม่ได้ติดอันดับต้นๆ ของโลกก็ตาม) 

ผมเพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวชีวิตอันแสนเศร้าของผู้หญิงชาวเกาหลี ที่ถูกกดทับด้วยค่านิยม จารีตประเพณี ที่ให้คุณค่าแก่เพศชายมากกว่า ทำให้ผู้หญิงกลายเป็นเหมือนชนชั้นสองของสังคม ที่มีสถานภาพต่ำกว่าผู้ชาย หากแต่กลับต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบที่สูงกว่าหลายเท่าตัว

หนังสือเล่มนี้ มีชื่อว่า คิมจียอง เกิดปี 82 เขียนโดยนักเขียนหญิง โชนัมจู ผู้จบการศึกษาคณะสังคมวิทยา และผ่านประสบการณ์การทำงานสารคดีที่เน้นปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม ซึ่งเมื่อหนังสือเล่มนี้ออกวางจำหน่าย สามารถทำยอดขายได้กว่า 2 ล้านเล่ม และกลายเป็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า ‘แรงกระเพื่อมของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศของเกาหลี’

นับเป็นครั้งแรกที่ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศในเกาหลี ซึ่งเคยถูกซุกไว้ใต้พรมจนหลายคนมองไม่เห็น ถูกหยิบยกขึ้นมาตีแผ่อย่างตรงไปตรงมา ผู้หญิงหลายคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ต่างพูดกันว่า นี่คือเรื่องราวที่ไม่ต่างจากชีวิตของเธอ แต่ผู้ชายหลายคนโต้กลับอย่างดุเดือดว่า หนังสือเล่มนี้ เต็มไปด้วยอคติและตั้งใจโจมตีเพศชายอย่างไม่เป็นธรรม

หลังจากได้รับความนิยมและกลายเป็นกระแสของสังคม หนังสือเล่มนี้ ก็ถูกดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อภาษาอังกฤษว่า ‘Kim JiYoung : Born 1982’ นำแสดงโดยนักแสดงชื่อดังอย่าง กงยู และ จองยูมี

แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ขณะที่ภาพยนตร์ (ซึ่งดัดแปลงจากหนังสือเล่มนี้) พยายามตีแผ่ปัญหาของเพศหญิงที่ถูกกดทับมาช้านาน ทว่า คิมจียอง เกิดปี 82 กลับต้องพบกับกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง จนส่งผลกระทบไปถึงตัวนักแสดงหญิงของเรื่อง

จองยูมี นักแสดงนำหญิงของเรื่อง ถูกโจมตีอย่างหนักในสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งแน่นอนว่า กลุ่มที่โจมตีเธอ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ถึงขั้นประนามว่า เธอขายตัวให้กับกระแสสตรีนิยม (Feminism) และผลกระทบจากเรื่องนี้ ทำให้ จองยูมี พลาดสัญญาโฆษณาหลายชิ้น เนื่องจากเจ้าของผลิตภัณฑ์เกรงว่า จะถูกกระแสต่อต้านจากลูกค้าที่เป็นเพศชาย

ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย มีรายงานว่า คู่รักในเกาหลีใต้หลายคู่ ต้องเลิกรากัน เพราะการทะเลาะเบาะแว้งหลังการชมภาพยนตร์ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดยข่าวระบุว่า ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่า สิ่งที่ผู้หญิงต้องแบกรับ คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ หากแต่เป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติตามจารีตประเพณี

ขณะที่นักอ่านที่เป็นเพศหญิงหลายคน รวมถึง ไอรีน ไอดอลสาวจากวง Red Velvet ได้พูดถึงหนังสือเล่มนี้ว่า ทำให้เธอตระหนักถึงปัญหาที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน และแน่นอนครับ หลังจากคำพูดดังกล่าว แฟนเพลงที่เป็นผู้ชายหลายคน ออกมาตำหนิเธออย่างรุนแรง บางคนถึงขนาดเผารูปภาพของไอรีนเลยก็มี

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผมเชื่อว่า หลายคนคงอยากรู้แล้วสิครับว่า หนังสือเรื่อง คิมจียอง เกิดปี 82 พูดถึงอะไร และทำไมต้องกลายเป็นกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงขนาดนี้

คิมจียอง คือหนึ่งในชื่อที่ธรรมดาสามัญ หรือ ‘โหล’ ที่สุดของเกาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปี 1982 ข้อมูลทางสถิติของเกาหลีใต้ระบุว่า ชื่อ คิมจียอง เป็นชื่อที่ถูกตั้งให้แก่เด็กทารกหญิงที่เกิดในปีนี้มากที่สุด

นั่นหมายความว่า คิมจียอง ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนผู้หญิงชาวเกาหลีทุกคน 

คิมจียอง ในหนังสือเล่มนี้ จึงมีชีวิตที่ไม่ต่างจากคุณยายขายไก่ทอดในกรุงโซล หรืออาจารย์สาวที่สอนในมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ผู้ต้องเผชิญปัญหาเรื่องสามีไม่ช่วยทำงานบ้าน หรือพนักงานหญิงในโรงงานอุตสาหกรรมที่เมืองอุลซัน ที่ถูกแม่สามีว่ากระทบเป็นประจำ เพราะไม่สามารถมีหลานชายให้เธออุ้มได้สักที

เพราะผู้หญิงชาวเกาหลีทุกคน ล้วนมีชีวิตที่ถูกกดทับด้วยปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศเหมือนๆ กัน

คิมจียอง ตัวละครเอกในหนังสือเล่มนี้ เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกสาววัยสามขวบ ชื่อ ชองจีวอน อันที่จริงแล้ว ก่อนหน้าจะแต่งงานกับคุณชองแดฮยอน จียอง ทำงานที่บริษัทเอเจนซี่ขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ทว่าหลังจากคลอดลูกสาวแล้ว ด้วยเหตุผลต่างๆ นานาที่ผ่านการหารือกับสามีอย่างเคร่งเครียด เธอตัดสินใจลาออกจากงานที่รัก เพื่อจะได้ทุ่มเทเวลาเลี้ยงลูกสาว พร้อมกับทำงานบ้านเต็มตัว

แม้ว่าชองแดฮยอนจะเป็นผู้ชายที่จัดว่าดีเกินมาตรฐานผู้ชายเกาหลี เพราะเขาเต็มใจช่วยทำงานบ้านอย่างไม่อิดออด  แต่บางครั้ง จียองกลับอดไม่ได้ที่พูดโพล่งออกมา

“เลิกพูดสักทีได้ไหมไอ้คำว่าช่วยเนี่ย ช่วยงานบ้าน ช่วยเลี้ยงลูก ช่วยเรื่องงานฉัน นี่ไม่ใช่ครอบครัวพี่เหรอ งานบ้านไม่ใช่งานบ้านพี่งั้นสิ ลูกไม่ใช่ลูกพี่รึไง… ทำไมต้องพูดจาเหมือนตัวเองใจดีเสียเต็มประดา…”

นี่ไม่ใช่แค่อารมณ์เหวี่ยงวีนของผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เป็นการระบายความอัดอั้นที่ทับถมอยู่ในใจต่างหาก เนื้อเรื่องในหนังสือ บอกให้เราได้รับรู้ถึงปัญหาจากค่านิยมเชิดชูเพศชาย ที่กลายเป็นแรงกดทับถาโถมเข้าใส่เพศหญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในฐานะ ‘ภรรยา’ และ ‘แม่’

จากข้อมูลทางสถิติบ่งชี้ว่า ถึงแม้ผู้หญิงเกาหลี จะมีโอกาสเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ เช่น การศึกษาและสาธารณสุข ไม่ต่างจากผู้ชาย แต่สำหรับโอกาสในการทำงานแล้ว ผู้หญิงเกาหลียังคงต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมทางเพศ อีกทั้งยังได้รับค่าตอบแทนในการทำงานที่น้อยกว่าด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้หญิงถูกหยิบยื่นสถานะภาพ ‘แม่’ เหมือนเช่นจียอง เธอกลับต้องเผชิญแรงกดดัน ทั้งจากที่ทำงาน สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว หรือแม้กระทั่งคนแปลกหน้าในสังคม

ตอนที่ยังไม่คลอดลูกและยังทำงานอยู่ ถึงแม้จียองจะได้รับการอนุโลมจากบริษัท ให้สามารถเข้างานสายกว่าเดิมสามสิบนาที (แต่ก็ต้องชดเชยกับการออกจากที่ทำงานช้ากว่าเดิมสามสิบนาที) เธอได้ยินเสียงพูดอย่างไม่ตั้งใจจากเพื่อนร่วมงานผู้ชาย

“โห ดีจัง ทีนี้ก็มาทำงานสายได้แล้ว”

หรือตอนที่เธอท้องโย้ขึ้นรถไฟไปทำงาน ก็ต้องได้ยินเสียงนินทาจากผู้โดยสารบนรถไฟ

“คนหิวเงินขนาดท้องโย้ยังถ่อสังขารนั่งรถไฟใต้ดินไปทำงาน จะมีลูกหาวิมานอะไร”

หรือตอนที่ยังไม่รู้เพศของลูกในท้อง จียอง ก็ต้องพบกับแรงกดดันจากพ่อแม่สามี ที่คาดหวังจะได้อุ้มหลายชาย ตามค่านิยมเชิดชูเพศชาย ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากลัทธิคำสอนของขงจื๊อ

หรือต่อให้ไม่มีแรงกดดันเรื่องต้องได้ลูกชาย ผู้หญิงเกาหลี ก็หนีไม่พ้นแรงกดดันที่มาพร้อมกับการยกย่องเชิดชู ‘ความเป็นแม่’ ตั้งแต่การคลอดโดยธรรมชาติ (ยิ่งเจ็บปวดมาก ก็ยิ่งทำให้ความเป็นแม่สูงส่งขึ้นมาก) การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (ต้องกินอาหารดีๆ เพื่อให้มีน้ำนมเยอะๆ) และการอดหลับอดนอนเพื่อเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด 

ราวกับว่า ความเป็นแม่ คือ การบำเพ็ญทุกขกิริยาเพื่อนำพาดวงวิญญาณพวกเธอไปสู่สรวงสวรรค์

แรงกดดันจากความไม่เท่าเทียมทางเพศ ส่งผลทำให้จียอง เริ่มมีพฤติกรรมผิดแผกไปจากปกติ บางครั้งเธอเรียกสามีว่า ‘คุณลูกเขย’ ซึ่งเป็นคำเรียกที่แม่ของเธอใช้เรียกชองแดฮยอน อีกทั้งน้ำเสียงและการใช้ถ้อยคำในการพูด ก็เหมือนกับที่แม่ของจียองใช้ไม่ผิดเพี้ยน

นอกจากแสดงบุคลิกของแม่แล้ว บางครั้งจียองยังแสดงบุคลิกและการพูดจาของ ชาซึงยอน เพื่อนสนิทที่เสียชีวิตไปแล้วของจียองและชองแดฮยอน

ที่น่าสนใจก็คือ ทุกครั้งที่จียองแสดงอาการเหมือนกลายเป็นคนอื่น คำพูดที่เธอหลุดปากออกมา ล้วนแต่บอกเป็นนัยๆ ถึงความอัดอั้นในใจที่จียองต้องแบกรับ ไม่ว่าจะเป็น

“นี่แดฮยอน หมู่นี้จียองเหนื่อยมากนะ… จิตใจเธอว้าวุ่นมาก นายต้องพูดชมเธอบ่อยๆ ว่าเธอเก่ง เธอทำดีแล้ว” จียอง พูดด้วยน้ำเสียงและบุคลิกของชาซึงยอน

หรือตอนที่จียอง เหมือนกับถูกวิญญาณแม่เข้าสิง พูดโพล่งออกมาใส่หน้าพ่อสามี ในช่วงเทศกาลชูซ็อก ที่คนเกาหลีมักจะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ ซึ่งด้วยค่านิยมเพศชายเป็นใหญ่ จึงกลายเป็นว่า ครอบครัวฝ่ายสามีจึงมีความสำคัญมากกว่า และทำให้จียอง แทบไม่มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวของเธอเลย

“คุณพ่อลูกเขย ฉันขอเสียมารยาทสักหน่อยเถอะ ครอบครัวน่ะมีแค่บ้านฝ่ายสามีเสียที่ไหน ทางฉันก็เป็นครอบครัวเหมือนกันนะ… ก็ต้องให้ลูกสาวฉันได้กลับบ้านแกบ้างซี”

ชองแดฮยอนคิดว่าภรรยาของตนอาจจะป่วยทางจิต จึงตัดสินใจพาจียองไปพบจิตแพทย์ ซึ่งการไปพบจิตแพทย์ ได้เปิดโอกาสให้จียอง ได้บอกเล่าเรื่องประวัติของเธอตั้งแต่วัยเด็ก และทำให้ผู้อ่านอย่างผม ได้ตระหนักว่า ชีวิตของจียองต้องพบกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศมาตั้งแต่เด็ก

คิมจียอง เกิดในครอบครัวที่มีสมาชิก 6 คน คือ พ่อ แม่ ย่า พี่สาว ตัวเธอ และน้องชาย อาศัยอยู่รวมกันในบ้านหลังเล็ก

ตั้งแต่จำความได้ จียองถูกปลูกฝังให้ยอมรับและเชื่อว่า เพศชายมีความสำคัญกว่า เวลาตักข้าวให้คนในบ้าน ต้องตักให้พ่อก่อน ตามด้วยน้องชาย แล้วค่อยเป็นย่า กับข้าวก็เช่นกัน อาหารดีๆ ก็ต้องยกให้น้องชาย ส่วนเธอและพี่สาว จะได้กินแต่ชิ้นที่หักๆ บิ่นๆ

ไม่ใช่แค่ จียองและพี่สาว แม้แต่แม่ของพวกเธอ ก็เคยถูกกดทับด้วยแรงกดดันของการให้ค่าเพศชาย แม่มักจะชมจียองและพี่สาวว่า เป็นพี่ที่น่ารัก ดูแลน้องเก่งและไม่อิจฉาน้อง ซึ่งคำพูดที่พูดย้ำๆ ทำให้จียอง ยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะคิดอิจฉาน้องชาย

แม่ของจียอง เคยเล่าให้จียองฟังว่า แม่เคยคิดอยากเป็นครู

“แล้วทำไมแม่ไม่เป็นครูล่ะจ๊ะ”

“แม่ต้องทำงานหาเงินค่าเล่าเรียนให้พวกพี่ชายน่ะสิ ก็เป็นแบบนั้นกันหมดแหละ เด็กผู้หญิงสมัยนั้น”

แม่ของจียองคงไม่รู้หรอกว่า ไม่ใช่แค่ผู้หญิงในสมัยของแม่หรอก ผู้หญิงในสมัยลูกสาวของแม่ ก็ยังต้องเสียสละโอกาสความก้าวหน้าทางการศึกษาให้แก่น้องชายหรือพี่ชาย

แม้แต่ในตอนที่จียอ จบการศึกษาและได้เข้าทำงานแล้ว เธอก็ยังหนีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศไม่พ้น ตั้งแต่ตอนเป็นพนักงานหญิงหน้าใหม่ เธอต้องทำตัวเป็นรุ่นน้องที่น่ารัก ด้วยการเสิร์ฟกาแฟให้พนักงานรุ่นพี่ เป็นธุระโทรสั่งอาหารให้ทุกคน รวมถึงเช็ดล้างถ้วยชามที่กินเสร็จ ซึ่งแน่นอนว่า หน้าที่เหล่านี้ พนักงานหน้าใหม่ที่เป็นผู้ชายไม่จำเป็นต้องทำ

และตอนที่น่าสะเทือนใจที่สุดอีกตอนหนึ่ง คือ ตอนที่จียอง คลอดน้องจีวอนแล้ว วันนั้น เธอรับลูกสาวจากสถานรับดูแลเด็กเพื่อพากลับบ้าน ระหว่างทางอากาศดีจนจียองตัดสินใจเข็นรถพาลูกสาวเข้าพักเหนื่อยและจิบกาแฟในสวนสาธารณะ และในตอนนั้นเอง เธอก็ได้ยินเสียงจากกลุ่มชายหนุ่มพนักงานบริษัท ที่มาซื้อกาแฟร้านเดียวกับเธอว่า

“วาสนาใครจะดีเท่านางปลิง… อยากถลุงเงินผัวซื้อกาแฟกินร่อนไปร่อนมาแบบนั้นบ้างจัง… กูไม่ขอแต่งกับสาวเกาหลีหรอก”

ในตอนท้ายของหนังสือ เป็นการเล่าเรื่องราวผ่านปากคำของจิตแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาแก่จียอง จิตแพทย์หนุ่มใหญ่ ซึ่งตอนแรกคิดว่า จียองน่าจะมีอาการต่อเนื่องจากภาวะซึมเศร้าหลังคลอด สู่ภาวะซึมเศร้าขณะเลี้ยงบุตร แต่หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาถึงกับตกใจที่ได้รับรู้สิ่งที่ไม่เคยฉุกใจคิดมาก่อน

ถึงอย่างนั้น จิตแพทย์ชายวัยสี่สิบมั่นใจว่า เขาน่าจะหาวิธีบำบัดให้จียองได้ เพราะตัวเขาเองก็มีภรรยาที่ต้องละทิ้งงานที่รัก ละทิ้งความฝัน เพื่อมาทำหน้าที่ภรรยาและแม่ ไม่ต่างจากคิมจียอง

ไม่ว่าท้ายที่สุด คิมจียอง ผู้เกิดในปี 1982 จะหายจากอาการป่วยแปลกประหลาดนี้หรือไม่ แต่ตราบใดที่ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางเพศ ยังเป็นแรงกดดันที่กดทับชีวิตผู้หญิงเกาหลีอยู่ คิมจียองคนต่อไป ก็คงเผชิญหน้ากับปัญหาที่ไม่แตกต่างจากคิมจียองคนก่อนๆ และรุ่นก่อนๆ

Tags:

82년생 김지영Kim Jiyoung Born 1982หนังสือFeministคิมจียอง เกิดปี 82

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    นักบินรบ : การค้นพบความหวัง ในสมรภูมิที่สิ้นหวัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 7. ลัทธิบูชาผลงาน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Gifted (2017) ‘ขอโทษ’ ของขวัญที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • RelationshipBook
    I HATE MY JOB: เราไม่ได้ถูกสร้างให้กระจอก เราถูกสร้างเพื่อให้ผ่านปัญหาไปได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

Overjustification Effect: เมื่อการศึกษาสนใจที่รางวัลภายนอกมากเกินไป จนทำลายความรักในการเรียนรู้ของเด็ก
Learning TheoryEducation trend
21 August 2025

Overjustification Effect: เมื่อการศึกษาสนใจที่รางวัลภายนอกมากเกินไป จนทำลายความรักในการเรียนรู้ของเด็ก

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Overjustification Effect เป็นปรากฏการณ์ที่เมื่อการให้รางวัลสำหรับกิจกรรมที่เราชอบหรือสนใจอยู่แล้ว สามารถทำให้เรามีแรงจูงใจภายในที่ลดลง และทำให้เรารู้สึกสนใจและชอบที่จะทำกิจกรรมนั้นน้อยลง
  • ทั้งรางวัลและการลงโทษเป็นวิธีควบคุมพฤติกรรมที่ทำลายศักยภาพในการเรียนรู้ที่แท้จริง เด็กเริ่มทำสิ่งต่างๆ ด้วยแรงจูงใจภายในเป็นปกติอยู่แล้วโดยไม่ต้องมีรางวัลเข้ามาเกี่ยวข้อง
  • ธรรมชาติเด็กรักการเรียนรู้อยู่แล้ว สังเกตได้จากความช่างสงสัยในสิ่งต่างๆ รอบตัว โรงเรียนควรเป็นสถานที่ที่ปลูกฝังความรักในการเรียนรู้ แต่กลับเป็นผู้ทำลายเสียเองผ่านการยึดติดกับคะแนนและรางวัลที่มากเกินไป

เกรด คะแนน เกียรติบัตร …

สิ่งเหล่านี้คือเรื่องคุ้นเคยที่พบเจอได้ทั่วไปในระบบการศึกษา หลายคนเชื่อว่ารางวัลเหล่านี้จะสร้างแรงจูงใจให้เด็กขยันและตั้งใจที่จะเรียนรู้ เพราะเป็นการตอบแทนสำหรับความมุ่งมั่นและการทุ่มเทให้กับการเรียน

แรงจูงใจ (Motivation) เป็นสาเหตุสำคัญให้มนุษย์ทำพฤติกรรมต่างๆ โดยแรงจูงใจเกิดขึ้นได้จากภายใน (เช่น ความรัก ความชอบ) และภายนอก (เช่น เงิน รางวัล) 

การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพควรเกิดจากแรงจูงใจภายใน แต่การศึกษาในปัจจุบันยึดถือแรงจูงใจภายนอกเป็นสรณะ ทุกอย่างล้วนขับเคลื่อนด้วยคะแนนและรางวัล

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เด็กหลายคนไม่ได้สนใจที่จะเรียนรู้อย่างที่คาดหวังไว้ แต่สนใจไปที่การไขว่คว้ารางวัลเหล่านี้แทน การนำเสนอรางวัลขึ้นมามักได้ผลดีเสมอในตอนแรก เด็กสนใจและมุ่งมั่นที่จะทำกิจกรรม แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสนใจจะลดลงและอาจหายไปเลยเมื่อไม่มีรางวัล 

การทดลองคลาสสิกคือการให้รางวัลแก่เด็กที่ชอบวาดรูป หลายคนคิดว่าการให้รางวัลจะช่วยให้เด็กอยากวาดรูปมากขึ้น แต่ผลกลับตรงกันข้าม เด็กสนใจวาดรูปน้อยลงและอาจไม่ทำอีกเลยเมื่อไม่มีรางวัล นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘Overjustification Effect’

Overjustification Effect คืออะไร?

Overjustification Effect เป็นปรากฏการณ์ที่เมื่อการให้รางวัลสำหรับกิจกรรมที่เราชอบหรือสนใจอยู่แล้ว สามารถทำให้เรามีแรงจูงใจภายในที่ลดลง กล่าวคือ การทำกิจกรรมที่เราชอบอยู่แล้วและได้รับรางวัล อาจทำให้เรารู้สึกสนใจและชอบที่จะทำกิจกรรมนั้นน้อยลง

หนึ่งในทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้คือ Self-Determination Theory (SDT) ซึ่งระบุว่าแรงจูงใจภายในเกิดจาก 3 เงื่อนไขดังนี้

  • ความเป็นอิสระ (Autonomy) – รู้สึกว่าพฤติกรรมและเป้าหมายของเราเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ เป็นอิสระจากข้อจำกัดภายนอก
  • ความสามารถ (Competence) – รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำสิ่งนั้นๆ
  • ความสัมพันธ์กับผู้อื่น (Relatedness) – รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและผูกพันกับผู้อื่น

เมื่อมีรางวัลเข้ามา อาจทำให้เรารู้สึกมีอิสระน้อยลง พฤติกรรมของเราเริ่มถูกตีกรอบด้วยข้อจำกัดภายนอก ความคิดของเราเปลี่ยนจาก ‘ทำเพราะชอบ’ เป็น ‘ทำเพราะรางวัล’

ถ้าให้ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็อาจจะเป็นเวลาเราอยากทำอะไรแล้วมีคนมาสั่ง เราจะอยากทำสิ่งนั้นน้อยลง เช่น เราอยากไปล้างจาน แต่พอแม่มาสั่งให้ล้างจาน ความอยากล้างจานของเรากลับลดลง เพราะตอนแรกเรา ‘อยาก’ ทำด้วยตัวเอง เรามีอิสระในการกำหนดพฤติกรรมของตัวเอง แต่เมื่อมีคนมาสั่ง อิสระของเรากลับหายไป พฤติกรรมของเราถูกกำหนดด้วยคนอื่น เราจึงอยากทำมันน้อยลง

ทีนี้ลองเปลี่ยนเป็น ‘รางวัล’ ตอนแรกเด็กอยากวาดรูปเพราะความปรารถนาของตัวเอง แต่พอมีรางวัลเข้ามา พฤติกรรมการวาดรูปถูกกำหนดด้วยรางวัลแทน เด็กทำเพราะรางวัล ไม่ได้ทำเพราะอยากทำ เมื่อเด็กมีอิสระลดลง แรงจูงใจภายในจึงลดลง ไม่มีความกระตือรือร้นในการวาดรูปเหมือนแต่ก่อน

เมื่อ ‘รางวัล’ อาจเป็นการลงโทษรูปแบบหนึ่ง

อาจารย์อัลฟี โคห์น (Alfie Kohn) ผู้เขียนหนังสือ Punished by Rewards (ถูกลงโทษด้วยรางวัล) กล่าวว่า ทั้งรางวัลและการลงโทษเป็นวิธีควบคุมพฤติกรรมที่ทำลายศักยภาพในการเรียนรู้ที่แท้จริง เด็กเริ่มทำสิ่งต่างๆ ด้วยแรงจูงใจภายในเป็นปกติอยู่แล้วโดยไม่ต้องมีรางวัลเข้ามาเกี่ยวข้อง 

สิ่งที่เด็กสมควรได้รับคือหลักสูตรที่น่าดึงดูดและบรรยากาศที่เอาใจใส่ เพื่อให้พวกเขาสามารถแสดงความปรารถนาตามธรรมชาติในการค้นหาสิ่งต่างๆ ได้

ไม่มีเด็กคนไหนสมควรที่จะถูกควบคุมด้วยรางวัลภายนอกเพื่อให้เป็นไปตามที่คนอื่นต้องการ

อย่างไรก็ตาม รางวัลภายนอกไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ในกิจกรรมที่น่าเบื่อหรือเด็กไม่มีความสนใจเลย การมีรางวัลเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะช่วยดึงดูดความสนใจได้ โดยเน้นย้ำว่า ‘รางวัลเหล่านี้มีผลแค่ในระยะสั้นเท่านั้น’ รางวัลในระยะยาวไม่อาจสามารถสร้างแรงจูงใจภายในได้

โคห์น เสนอว่า การสร้างแรงจูงใจภายในให้กับนักเรียนต้องใช้หลัก 3C โดยหากทำได้ รางวัลและการลงโทษก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป

  • Content (เนื้อหา) – สร้างเนื้อหาให้น่าสนใจและคุ้มค่าที่จะเรียนรู้ อาจใช้การประยุกต์กับสถานการณ์ในชีวิตจริงหรือสิ่งที่เด็กให้ความสนใจอยู่แล้ว
  • Community (ชุมชน) – สร้างการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยเปิดโอกาสให้ขอความช่วยเหลือและถามคำถามได้ 
  • Choice (ทางเลือก) – ใส่ใจถามเด็กว่ากำลังทำอะไรอยู่และจะทำอย่างไร ทำให้เด็กรู้สึกว่าเป็นคนที่ได้เลือกตัดสินใจเอง

กรณีศึกษาจากการทดลองในโรงเรียนจริง

Woodland Primary School ได้ทำการทดลอง 1 ปี โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างแรงจูงใจของเด็กในวิชาวรรณกรรมอังกฤษ ในตอนแรกโรงเรียนใช้เป็นระบบแต้ม นั่นคือ เมื่อนักเรียนอ่านหนังสือก็จะได้รับแต้ม และสามารถนำแต้มไปแลกรับรางวัลต่างๆ ได้ 

เมื่อเวลาผ่านไปครูสังเกตว่า นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการอ่านหนังสือน้อยลงเว้นแต่จะได้แต้ม ครูจึงได้ปรับเปลี่ยนระบบใหม่ โดยเน้นส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความเห็นภายในชั้นเรียนเกี่ยวกับหนังสือ และใช้การประเมินผลด้วยโปรเจกต์ที่ให้นักเรียนสำรวจธีมหรือตัวละครที่ตัวเองสนใจ

หลังจากการเปลี่ยนแปลง นักเรียนมีส่วนร่วมในการอ่านเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนเอง ครูรายงานว่า นักเรียนรับรู้ว่าการอ่านเป็นกิจกรรมที่สนุกในตัวมันเอง โดยไม่ต้องใช้แต้มในการจูงใจให้อ่านหนังสือ

จากกรณีของ Woodland Primary School สามารถยืนยันทฤษฎี SDT และคำกล่าวของโคห์นได้ การสร้างบรรยากาศดังกล่าวในห้องเรียนทำให้นักเรียนมีอิสระในการเรียนรู้ สำรวจเนื้อหาที่ตัวเองสนใจ และได้เชื่อมสัมพันธ์กับผู้อื่น ก่อให้เกิดแรงจูงใจภายในที่ผลักดันให้เกิดการเรียนรู้ด้วยใจรักและมีความมุ่งมั่นที่จะอ่านหนังสือด้วยตัวเอง

การให้รางวัลไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจทำให้เด็กมุ่งหวังเพียงสิ่งตอบแทนภายนอกมากกว่าความสุขจากการเรียนรู้ 

โดยธรรมชาติเด็กรักการเรียนรู้อยู่แล้ว สังเกตได้จากความช่างสงสัยในสิ่งต่างๆ รอบตัว โรงเรียนควรเป็นสถานที่ที่ปลูกฝังความรักในการเรียนรู้ แต่กลับเป็นผู้ทำลายเสียเองผ่านการยึดติดกับคะแนนและรางวัลที่มากเกินไป

กิจกรรมที่เสริมสร้างแรงจูงใจภายในอาจใช้เวลานานและยุ่งยากกว่า แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นจะยั่งยืนและทรงพลังกว่ามาก เพราะเด็กที่รักการเรียนรู้ด้วยใจ จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ตลอดชีวิต โดยไม่ต้องรอให้ใครมามอบรางวัลให้กับพวกเขาอีกต่อไป

อ้างอิง

Alfie Kohn. (2015). To Change What We Do, Consider What We Believe.

Kendra Cherry. (2023). How the Overjustification Effect Reduces Motivation.

Kendra Cherry. (2023). Intrinsic Motivation vs. Extrinsic Motivation: What’s the Difference?

Kendra Cherry. (2024). Self-Determination Theory in Psychology.

Penn State College of the Liberal Arts. (2019). The Overjustification Effect in Education.

Ron Brand. (1995). Punished by Rewards? A Conversation with Alfie Kohn. Educational Leadership, 53(1).Teach HQ. (n.d.). The Overjustification Effect and Its Impact on Education.

Tags:

การเรียนรู้เด็กEducation trendOverjustification Effectโรงเรียน

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ฤดูร้อนเมื่อครั้งประถม ผมได้เป็นอัศวิน: เด็กชายผู้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความกล้าหาญด้วยตัวเอง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • IMG_0670 2
    Book
    เด็กที่สร้างปัญหาไปวันๆ อาจต้องการแค่ใครสักคนที่เข้าใจ: บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘Lampang One Team’ พลังเครือข่ายตำบลลำปางหลวง ที่โอบรับเด็กทุกคนสู่เส้นทางการศึกษาคุณภาพ
Social Issues
17 August 2025

‘Lampang One Team’ พลังเครือข่ายตำบลลำปางหลวง ที่โอบรับเด็กทุกคนสู่เส้นทางการศึกษาคุณภาพ

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ภายใต้วิสัยทัศน์ Thailand Zero Dropout สังคมที่ไม่มีเด็กและเยาวชนหลุดรอดออกจากระบบการศึกษา ก่อเกิดเป็น Lampang One Team ‘ตำบลต้นแบบ Zero Dropout’ และ ตำบลแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชน ตำบลลำปางหลวง จังหวัดลำปาง 
  • จุดเริ่มต้นเกิดจาก เทศบาลตำบลลำปางหลวง ได้นำบทเรียนจาก 2 โครงการ ภายใต้การสนับสนุนของ กสศ. บูรณาการสู่การจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น รองรับความต้องการของคนทุกช่วงวัย โดยทำงานร่วมกับเครือข่ายหลากหลาย ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม
  • ในการดึงเด็กกลับสู่ระบบการศึกษา โดยกลุ่มอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ที่ลงไปถึงบ้านเด็กๆ เพื่อพาเขากลับมาสู่เส้นทางการเรียนรู้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การ ‘ช้อน’ ให้พ้นจากความเสี่ยง แต่ต้องมีระบบรองรับที่ทำให้เขาได้พัฒนาและยืนหยัดได้ในระยะยาว โดยเปิดโอกาสทางการศึกษา และสร้างเส้นทางอาชีพ

แนวคิด It takes a village to raise a child ที่มองว่าการเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพต้องอาศัยพลังจากทั้งชุมชน ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของครอบครัวหรือโรงเรียน หากแต่ต้องมีโครงสร้างสนับสนุนที่แข็งแรง ตั้งแต่ระดับชุมชน ตำบล จังหวัด ไปจนถึงระดับประเทศ กำลังเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมที่ ตำบลลำปางหลวง จังหวัดลำปาง 

ที่นี่ภาคีเครือข่ายหลากหลาย ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม จนถึงเครือข่ายสนับสนุนระดับประเทศ ทำงานสอดประสานกันภายใต้วิสัยทัศน์เดียวคือ Thailand Zero Dropout สังคมที่ไม่มีเด็กและเยาวชนหลุดรอดออกจากระบบการศึกษา จนก่อเกิดเป็น Lampang One Team

ในเวทีเสวนา ‘Synergy for Change: Lampang One Team’ ที่จัดขึ้น ณ โรงเรียนอนุบาลเกาะคา (น้ำตาลอนุเคราะห์) จังหวัดลำปาง เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ตัวแทนจากทุกภาคส่วนได้ถ่ายทอดภาพความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม สะท้อนการเป็นต้นแบบในการมุ่งแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้เป็นศูนย์ โดยมี สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดลำปาง ทำหน้าที่เป็นแกนนำหลัก และ สมัชชาการศึกษานครลำปาง เป็นทีมเลขานุการ เชื่อมโยงและบูรณาการกับการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ (ABE) เพื่อมุ่งลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเท่าเทียม

จุดเริ่มต้นเกิดจาก เทศบาลตำบลลำปางหลวง ได้นำบทเรียนจาก 2 โครงการ ภายใต้การสนับสนุนของ กสศ. นั่นคือ โครงการส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน และ โครงการพัฒนาต้นแบบความร่วมมือระดับท้องถิ่น มาบูรณาการสู่การจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น รองรับความต้องการของคนทุกช่วงวัย โดยทำงานร่วมกับเครือข่ายหลากหลาย เช่น โรงเรียนอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดลำปาง, สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน, สภาเด็กและเยาวชน, กลุ่มลำปาง Move, สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และศูนย์การเรียนรู้ CYF

นอกจากนี้ ภาคเอกชน เช่น มูลนิธิ KFC ประเทศไทย ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเสริมพลัง เพื่อมุ่งสู่การเป็น ‘ตำบลต้นแบบ Zero Dropout’ และ ตำบลแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชนอีกด้วย

ทุกคนควรร่วมมือกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร กรรมการบริหารและอนุกรรมการการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ รวมถึงพัฒนาเยาวชนและแรงงานนอกระบบ กสศ. ได้สะท้อนภาพสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในปัจจุบัน พร้อมมุมมองต่อทิศทางการทำงานที่ทุกภาคส่วนควรร่วมกันขับเคลื่อน

“ทุกคนมีส่วนร่วมได้หลายทางนะครับ อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ สถานการณ์ของประเทศไทยในตอนนี้ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ เราจำเป็นต้องช่วยกันอย่างไร และทำไมมันถึงสำคัญที่เราทุกคนต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือภาคประชาคม เราทุกคนควรร่วมมือกันพัฒนาและโอบอุ้มเด็กไทยและเยาวชน เดินไปข้างหน้าด้วยกันครับ” 

สรวิศ เล่าว่า กสศ. ทำหน้าที่เป็น ‘ตัวเชื่อม’ และ ‘ตัวเหนี่ยวนำ’ ให้ทุกภาคส่วนมาร่วมกันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยมีวิสัยทัศน์ คือ การทำให้เด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสทุกคน เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเต็มศักยภาพและเท่าเทียม และมีภารกิจหลัก คือ ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา พัฒนาครูและหน่วยจัดการเรียนรู้ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งกสศ.เอง มี 3 เสาหลักสำคัญ

“เสาหลักใหญ่ๆ ของเรามีอยู่ 3 ด้านนะครับ ด้านแรก คือ การให้หลักประกันโอกาสทางการศึกษา หรือการให้ทุนการศึกษากับเด็กที่มีฐานะยากจน เพื่อให้เขามีโอกาสเรียนต่อได้

ด้านที่สองคือ การสร้างต้นแบบการจัดการเรียนรู้ที่มีทางเลือกและยืดหยุ่น สามารถเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยได้ เราต้องการปรับระบบการศึกษาให้ตอบโจทย์ชีวิตจริงมากขึ้น

และด้านที่สาม ซึ่งสำคัญมากสำหรับวันนี้ คือ การที่ทุกภาคส่วนมามีส่วนร่วม ช่วยกันสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้เกิดขึ้นได้ ทั้งในพื้นที่ของตัวเองและทั่วประเทศครับ” 

สร้างพื้นที่ปลอดภัย จัดการศึกษาที่ตอบโจทย์ชีวิต

อีกหนึ่งในบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการทำงานเชิงรุกในพื้นที่ และเป็นเหมือน ‘หมุดยึด’ ของเครือข่าย คือ หมอตุ้ย – สันติพงษ์ ศิลปไพบูลย์ ผู้ซึ่งทำงานในชุมชนมานานหลายทศวรรษ โดยจุดเริ่มต้นของการทำงานมาจากความตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนทุกกลุ่ม โดยมองว่าไม่ใช่ภาระของใครเพียงคนเดียว แต่เป็นงานของทุกคนในพื้นที่ ภายใต้การสนับสนุนของ กสศ. หมอตุ้ยได้เริ่มทำงานเชื่อมเครือข่ายกับสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (สกร.) และสำนักพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาและอาชีพให้กับคนในชุมชน

“คำว่า ‘หมอตุ้ย’ แต่ผมไม่ได้จบแพทย์นะครับ เป็นหมออนามัยมาตลอด และถ้าใครเคยทำงานกับผมก็คงรู้จักในนาม ‘หมออนามัยไฮเปอร์’ เพราะเราทำทุกเรื่องที่ทำให้ชุมชนมีความสุข และสิ่งที่ผมพบคือ ถ้าเราทำแต่เรื่องสุขภาพอย่างเดียว แต่ชาวบ้านก็ยังขาดความรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งมายด์เซ็ต และทักษะอาชีพ ทำให้พวกเขายังเวียนวนอยู่ในวัฏจักรของความเหลื่อมล้ำ ทั้งด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม ถึงแม้เราจะแก้ปัญหาสุขภาพได้ แต่ถ้าเรื่องอื่นยังไม่ถูกแก้ มันก็จะวนกลับมาเหมือนเดิมครับ”

โดยปี 2564 หมอตุ้ยและทีมงานเริ่มเสนอโครงการต่อ กสศ. โดยมีเป้าหมายแรกคือพัฒนาการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุและคนพิการ แต่ไม่นานก็พบว่าเด็กและเยาวชนในชุมชนเริ่มมีความเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา จึงขยายการทำงานไปสู่กลุ่มนี้ด้วย

“เราใช้ Active Learning ให้ผู้เรียนออกแบบการเรียนรู้เองให้ผู้เรียนได้ออกแบบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง พร้อมสร้างกลไกและพื้นที่ให้เขาได้เรียนรู้ในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งเราก็พบว่าทุกคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน เราจึงจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความสนใจ และวางเส้นทางไปสู่สายพานอาชีพของแต่ละคน”

หมอตุ้ย เล่าว่า จากการสำรวจของกลุ่มอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) พบว่าจากวัยรุ่นกว่า 700 คน สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มหลุดจากระบบ สำหรับกลุ่มสุดท้าย โรงเรียนในพื้นที่และศูนย์การเรียน CYF ช่วยกันดึงกลับมาเรียนใหม่ ผลลัพธ์คือจากเด็ก 11 คนแรก จบการศึกษาไปแล้วเกินครึ่ง

“สิ่งที่เราสร้างขึ้นคือพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กๆ กลับมาเรียนรู้ พร้อมอบรม มอบใบรับรอง และฝึกอาชีพ เช่น งานช่าง เพื่อให้เขามีทักษะไปต่อยอดในชีวิตได้” 

ลงพื้นที่ติดตามและดึงเด็กกลับสู่ระบบ

นอกจากบทบาทของหมอตุ้ยที่เป็นหัวแรงหลักในเชิงนโยบายและการสร้างระบบแล้ว กลไกสำคัญอีกด้านหนึ่งคือ ‘ทีมภาคสนาม’ ที่ลงไปถึงบ้านเด็กๆ เพื่อพาเขากลับมาสู่เส้นทางการเรียนรู้ ซึ่งก็คือกลุ่มอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) 

ศรีทอน สมนา ตัวแทน อพม. เล่าว่า เส้นทางนี้ไม่ง่ายเลย เพราะต้องใช้ทั้งความอดทน ความไว้วางใจ และความต่อเนื่องในการติดตามเด็กและสร้างความเข้าใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครอง

“กว่าจะมาถึงวันนี้ ทีมงาน อพม. จากทั้ง 13 หมู่บ้าน ได้มีการหารือและปรึกษากัน ขั้นแรกคือเราเข้าไปหาเด็กๆ ซึ่งตอนแรกเขาคิดว่าเรามาหลอก แต่เราก็พยายามสู้ พูดคุยและปรึกษากับพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยเชิญมาคุยกัน เพื่อโน้มน้าวว่าพวกเราจะช่วยพาลูกหลานไปสู่ความสำเร็จค่ะ

ปัญหาคือ เด็กที่หลุดออกไปแล้ว มักไม่อยากกลับเข้ามาเรียน เราจึงบอกพวกเขาว่า ผอ. มีโครงการและอยากให้มาฟังนโยบาย พ่อแม่ก็มาเฝ้า มาฟัง และมองว่าเป็นโครงการที่ดี ที่จะช่วยให้ลูกหลานประสบความสำเร็จ เพราะก่อนหน้านี้เด็กไม่เรียน เอาแต่มั่วสุม พ่อแม่เห็นว่าโครงการนี้ดี ลูกหลานมีโอกาสเรียนต่อ ไม่มั่วสุมเหมือนก่อน ก็เริ่มเปิดใจ”

จากนั้นทีม อพม. จะติดตามเด็กๆ อย่างใกล้ชิด บางครั้งต้องไปตามหลายครั้งกว่าที่จะยอมกลับมาเรียน และเมื่อครอบครัวเห็นว่ามีทุนสนับสนุนจาก กสศ. เพื่อใช้ต่อยอดสร้างอาชีพ ความเชื่อมั่นก็เพิ่มขึ้น ซึ่งศรีทอนเล่าว่า ภาพวันที่เด็กๆ ได้รับวุฒิการศึกษา คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มที่ไม่สามารถบรรยายได้

“ในวันที่เห็นเด็กๆ มารับวุฒิ ตัวเราเองก็นั่งร้องไห้ เพราะทั้งซึ้งใจและดีใจกับพวกเขา จากเด็กที่เคยถูกตราหน้าว่าเรียนไม่จบ กลายเป็นเด็กที่ได้ไปเรียนต่อตามสายต่างๆ 

บางคนไปเรียนสายเทคนิค บางคนไปเรียนสายอาชีพ และสักวันหนึ่ง เด็กๆ เหล่านี้ก็จะเติบโตเป็นผู้นำที่ดี นำความดีและโครงการดีๆ กลับมาสู่ชุมชน และวันที่ทุกคนในชุมชนได้เห็นน้องๆ ประสบความสำเร็จ นั่นคือวันที่เราภูมิใจที่สุดค่ะ” 

แหล่งพักพิง คุ้มครองและสร้างความเข้มแข็งให้เด็กและเยาวชน

การดึงเด็กกลับสู่ระบบการศึกษาโดยทีม อพม. ไม่ได้หยุดอยู่แค่การ ‘ช้อน’ ให้พ้นจากความเสี่ยง แต่ยังต้องมีระบบรองรับที่ทำให้เขาได้พัฒนาและยืนหยัดได้ในระยะยาว ซึ่งตรงนี้เองภาคีอย่าง บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดลำปาง ภายใต้การนำของ อัณณ์ณิชา นิธิสุวรรณภาคิณ เข้ามามีบทบาทสำคัญ ผ่านการทำงานร่วมกับเทศบาลตำบลลำปางหลวงและเครือข่ายในพื้นที่

บ้านพักเด็กและครอบครัวมีภารกิจหลากหลาย ตั้งแต่ดูแลเด็กที่ถูกทอดทิ้ง เด็กเร่ร่อน เด็กที่พ่อแม่ไม่สามารถอุปการะได้ ไปจนถึงสตรีที่ประสบปัญหาต่างๆ ทั้งตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ การถูกทารุณกรรม หรือการตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

“บ้านพักเด็กของเราดูแลภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอีกสองฉบับที่เกี่ยวข้อง เราทำหน้าที่เป็นสถานแรกรับ ดูแล สงเคราะห์ และคุ้มครองเด็กตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึงกรณีที่พ่อแม่ติดสารเสพติด ถูกจำคุก หรือมีปัญหาสุขภาพจิต จนต้องให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงดู ซึ่งบางครอบครัวก็ทำได้เพียงตามอัตภาพ” อัณณ์ณิชาอธิบาย

นอกจากภารกิจด้านการคุ้มครองแล้ว บ้านพักเด็กยังเป็นแหล่งสนับสนุนงบประมาณสำหรับโครงการเชิงสร้างสรรค์ที่ช่วยพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ โดยงบประมาณนี้ถูกนำไปใช้ในกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ พัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชน เช่น การเต้นบาสโลป และทำร้านสร้างสรรค์ออกตลาดนัด

“เราเชื่อว่าน้องๆ จะสานต่องบประมาณของเราในปีถัดไป ซึ่งทางเราก็ยินดีที่จะสนับสนุนงบประมาณเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับน้องๆ ของตำบลลำปางหลวงค่ะ” อัณณ์ณิชา กล่าว

สานพลังทุกภาคส่วน สร้างกลไกการทำงานในทุกระดับ

บทบาทของบ้านพักเด็กและครอบครัวในการสนับสนุนงบประมาณและกิจกรรมสร้างสรรค์ ทำให้เด็กและเยาวชนที่ อพม. ช่วยดึงกลับมา สามารถมีพื้นที่ต่อยอดศักยภาพได้จริง แต่ความสำเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากมีกลไกภาพรวมที่แข็งแรงคอยกำกับและประสานงานในทุกระดับ

นี่คือหน้าที่ของ สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดลำปาง ภายใต้การดูแลของ ผอ.โกสินทร์ แสงสะอาด ซึ่งทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 103 แห่งในจังหวัด

“เราถือว่าโชคดีที่ลำปางมีต้นทุนการทำงานด้านการศึกษาที่ดี และได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะกับนโยบาย Thailand Zero Dropout ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปี 2568 ซึ่งเป็นปีที่ 28 ของการทำงาน และยังมีแผนจะเดินหน้าต่ออีก 5 ปีตามแนวทางที่กำหนด

ปัจจัยความสำเร็จของลำปางอยู่ที่กลไกการทำงานที่เข้มแข็งในทุกระดับ ระดับ จังหวัดมีคณะทำงานระดับจังหวัด ระดับอำเภอมีนายอำเภอเป็นหัวหน้าคณะทำงาน และระดับตำบลมีผู้บริหารท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นนายกเทศมนตรีหรือนายก อบต. ทำหน้าที่ประธานคณะทำงาน ขับเคลื่อนงานภายใต้แนวทางของ กสศ. โดยมีคณะทำงานสหวิชาชีพ และทีม CM ที่ลงพื้นที่เก็บข้อมูล วางแผน และให้ความช่วยเหลือเด็กเป็นรายกรณีครับรวมถึงวางระบบตาแนวทางของ กสศ.มาโดยตลอด”

โดย ผอ.โกสินทร์สรุปบทบาทหลักไว้ 3 ด้าน คือ ข้อแรกคือ ขับเคลื่อนให้มีกลไกครบทุกอำเภอและตำบล ซึ่งตอนนี้ครบถ้วนแล้ว ข้อสองคือเสริมความเข้าใจและศักยภาพของคณะกรรมการทุกระดับเพื่อทำงานได้มีประสิทธิภาพ และข้อสุดท้ายคือ อำนวยการให้เกิดการประสานงานสอดคล้องกับภาคีเครือข่าย เพื่อจัดการศึกษาที่เหมาะสม ยืดหยุ่น และเปิดโอกาสให้ผู้ที่หลุดจากระบบกลับมาเรียนได้อีกครั้ง

หัวใจหลักด้านการศึกษา เชื่อมโยงนโยบายสู่พื้นที่ 

การทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ ผอ.โกสินทร์เล่ามา จะเห็นได้ว่ามีโครงสร้างและกลไกในพื้นที่ที่แข็งแรง แต่เพื่อให้กลไกเหล่านี้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน จำเป็นต้องมีหัวใจหลักในด้านการศึกษาที่เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับจังหวัดลงสู่ตำบล ซึ่งเป็นบทบาทของ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดลำปาง โดยมี ชิดชล ตั้งสุขีย์ศิริ นักวิชาการศึกษาชำนาญการ แกนนำสำคัญในการขับเคลื่อน Thailand Zero Dropout ในพื้นที่ มาอธิบายบทบาทการทำงานของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด

“นโยบายจาก Thailand Zero Dropout สู่ลำปาง Zero Dropout ต้องได้รับทั้งงบประมาณและการสนับสนุนจาก กสศ. เพราะลำปางเป็นหนึ่งใน 25 จังหวัดที่ได้รับการคัดเลือกในปีที่แล้ว และในปีนี้ ในระดับประเทศ ทางกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการก็ได้มีคำสั่งมาจากต้นสังกัดจนถึงระดับจังหวัด ว่าเราต้องช่วยกันขับเคลื่อนงานนี้

ชิดชลเล่าว่า ในจังหวัดลำปางได้มีคำสั่งแต่งตั้งทีมขับเคลื่อนครบทุกระดับ ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ไปจนถึงตำบล พร้อมทั้งทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 40 แห่ง ทั้งจากภาคการศึกษาและสถานประกอบการในพื้นที่ เพื่อร่วมกันให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ

“หน่วยงานทางการศึกษาที่อยู่ในระบบ ทั้งของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงหน่วยงานทางพระพุทธศาสนาและโรงเรียนกีฬา จังหวัดลำปางมีหน่วยงานทางการศึกษาที่สามารถจัดการศึกษาได้หลากหลายมาก ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา สำนักงานกีฬา และการศึกษาทางเลือก เช่น สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญต่อการช่วยเหลือแบบยืดหยุ่น

ในระบบ เราจะเห็นภาครัฐทำงานตามบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน แต่ในส่วนของนอกระบบการศึกษา ก็มีการจัดรูปแบบใหม่ๆ เช่น สพฐ. จัดทำโรงเรียนหนึ่งโรงเรียนสามรูปแบบ, โมบายสคูล รวมถึงให้สถานประกอบการเข้ามาร่วมจัดการศึกษาได้ เช่น ปัญญาภิวัฒน์ และบางกอกคาร์โมเดล ซึ่งได้เรียนรู้แนวทางจาก CYF ที่เป็นการศึกษาทางเลือกแบบยืดหยุ่น สำหรับน้อง ๆ ที่รู้สึกว่าการเรียนในระบบไม่ตอบโจทย์” ชิดชล เล่า

การขับเคลื่อน Lampang One Team แสดงให้เห็นว่าการทำให้ Zero Dropout เกิดขึ้นจริง ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ชุมชนจนถึงระดับชาติ ภายใต้กลไกที่แข็งแรงและยืดหยุ่น ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม และหน่วยงานสนับสนุน ทำงานประสานกันเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เปิดโอกาสทางการศึกษา และสร้างเส้นทางอาชีพให้เด็กและเยาวชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริง

Tags:

โอกาสทางการศึกษาThailand Zero Dropoutการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นLampang One Teamตำบลต้นแบบ Zero Dropoutสร้างเส้นทางอาชีพ

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Related Posts

  • Voice of New Gen
    หมอลำนิวเจน: เรียนไป ม่วนไป เพราะทุกที่คือห้องเรียน ทุกเวทีคืออนาคต

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issue
    ‘ครูที่ใส่ใจ’ พื้นที่ปลอดภัยและโอกาสของเด็กสมุย: ครูจ๋า-จสิตา เชียะคง ครูรัก(ษ์)ถิ่น แห่งโรงเรียนบ้านดอนธูป

    เรื่อง The Potential ภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Social Issues
    ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ‘ถึงไม่ได้เติบโตมาอย่างดีก็เอาดีได้’ จากนักพนันรุ่นจิ๋วสู่ครูมโนราห์ของเด็กนอกระบบ: วิชญะ เดชอรุณ

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

The Let Them Theory: ปล่อยคนอื่นไปตามทางของเขา แล้วหันกลับมาดูแลสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือตัวเราเอง
Book
15 August 2025

The Let Them Theory: ปล่อยคนอื่นไปตามทางของเขา แล้วหันกลับมาดูแลสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือตัวเราเอง

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • The Let Them Theory หรือ ทฤษฎีปล่อยเขา เขียนโดย เมล ร็อบบินส์ นักเขียนหนังสือขายดีของนิวยอร์กไทมส์และผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงด้านกรอบทัศนคติ แรงจูงใจ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เแปลไทยโดย เขมลักษณ์ ดีประวัติ (สำนักพิมพ์อมรินทร์ฮาวทู)
  • ใจความสำคัญของทฤษฎีปล่อยเขา คือการหยุดสิ้นเปลืองเวลาให้กับการควบคุมสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ โดยเฉพาะความคิด คำพูด และการกระทำของคนอื่น เพื่อหันกลับมาทุ่มเทพลังให้กับสิ่งที่เราควบคุมได้นั่นคือตัวเราเอง
  • “เวลาที่มีอะไรก็ตามทำให้คุณรู้สึกเครียด จงพูดว่า ปล่อยเขา จากนั้นหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า ให้ฉัน…หายใจเข้าอีกครั้งหนึ่ง ให้การตอบสนองต่อความเครียดของคุณช้าลง ให้ร่างกายและจิตใจของคุณสงบลง กลับมามีอำนาจควบคุมและเอาพลังของคุณคืนมา”

“หากคุณกำลังดิ้นรนเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ หรือกำลังรู้สึกว่าความสุขอยู่ไกลเสียเหลือเกิน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณ แต่เป็นพลังอำนาจที่คุณยกมันให้คนอื่นไปต่างหาก”

ข้อความตอนหนึ่งจากปกหลังของหนังสือ THE LET THEM THEORY หรือ ทฤษฎีปล่อยเขา เขียนโดย เมล ร็อบบินส์ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจและนักเขียนชื่อดัง ที่เพิ่งได้รับการยกย่องจากนิตยสาร TIME ให้เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลทางดิจิทัลระดับแนวหน้าประจำปี 2025 เธอได้กลั่นจากประสบการณ์ชีวิตจริงของตัวเอง ทั้งยังอธิบายความรู้สึกที่ผมแบกรับมาตลอดหลายปี

ในวันที่เรารู้สึกเหนื่อย เครียด วิตกกังวล หรือรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก เมลอธิบายว่าสาเหตุหนึ่งเกิดจากการที่เราอนุญาตให้สิ่งรอบตัวเข้ามากำหนดวิถีชีวิตของเรา โดยเฉพาะ ‘คนอื่น’ ที่เราให้ความคาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำบางคำที่เราหยิบมาใส่ใจมากเกินไป หรือความพยายามที่เราใช้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนในแบบที่เราคิดว่าเขาจะชอบ

“คุณทำผิดด้วยการคิดว่า ถ้าพูดสิ่งที่ถูกต้องเหมาะควร ทุกคนจะพึงพอใจ ถ้าพยายามอย่างหนัก คนรักของคุณจะไม่ผิดหวัง ถ้าแสดงความเป็นมิตรมากพอ เพื่อนร่วมงานอาจชอบคุณมากขึ้น ถ้าทำตัวสงบเสงี่ยมเอาไว้ ครอบครัวอาจเลิกตัดสินสิ่งที่คุณเลือก” 

เมลบอกต่อว่าแรงผลักดันที่ทำให้เราอยากควบคุมสิ่งต่างๆ ส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากความกลัว…กลัวที่จะถูกมองข้าม กลัวจะถูกปฏิเสธ หรือกลัวจะไม่เป็นที่รัก ฯลฯ  แต่ยิ่งเราพยายามควบคุมมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเหนื่อยและกลายเป็นคนที่ห่างไกลจากความสุขมากขึ้นทุกที ดังนั้นการ ‘ปล่อยเขา’ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราปลดล็อกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะมันคือการยอมรับอย่างเต็มใจว่า ‘ชีวิตเขา…ก็คือของเขา’ ไม่ว่าเขาจะคิด จะพูด หรือจะทำอะไร นั่นเป็นสิทธิของเขา และเราไม่มีหน้าที่ต้องวิ่งตามหรือจัดการกับความคาดหวังของคนอื่น

“ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นในแบบที่คุณต้องการให้เป็น อย่าบังคับให้พวกเขาเปลี่ยน ปล่อยให้พวกเขาเป็นตัวเอง เพราะพวกเขากำลังแสดงตัวตนที่แท้จริงให้คุณเห็น ก็แค่ ปล่อยเขา แล้วคุณจะได้เป็นฝ่ายเลือกสิ่งที่คุณจะทำต่อไป”

ถึงอย่างนั้น การปล่อยเขาที่เมลพยายามอธิบายไม่ได้หมายถึงการหยุดห่วงใยหรือไม่สนใจใครอีกต่อไป เพราะเรายังสามารถให้คำแนะนำ ยังสามารถดูแล และให้คำปรึกษาแก่คนรอบตัวได้ แต่ไม่จำเป็นต้องแบกความคาดหวังว่าทุกคนจะต้องเปลี่ยนไป 

“ทฤษฎีปล่อยเขาจะสอนคุณว่า ยิ่งคุณปล่อยให้คนอื่นใช้ชีวิตของพวกเขาไป ชีวิตของคุณก็จะยิ่งดีขึ้น ยิ่งคุณปล่อยให้คนอื่นเป็นคนแบบที่พวกเขาเป็น รู้สึกแบบที่พวกเขารู้สึก คิดแบบที่พวกเขาคิด ความสัมพันธ์ของคุณกับคนอื่นๆ ก็จะยิ่งดีขึ้น”

เมื่อเราเลิกวิ่งไล่จับกับการควบคุมคนรอบตัว เราจะพบกับอิสรภาพที่ช่วยให้เราหันกลับมาโฟกัสและรับผิดชอบกับตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยเมลบอกว่ายิ่งเราจดจ่อกับชีวิตตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีพลังเพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังนั้นขั้นตอนถัดมาที่จะช่วยทำให้ทุกอย่างลงตัวมากขึ้นคือการ Let me หรือ ‘ให้ฉัน’ ซึ่งเป็นการตระหนักรู้ในตัวเอง ไม่ว่าโลกภายนอกจะหมุนไปยังไง เรามีหน้าที่แค่ควบคุมความคิด พฤติกรรม กาย ใจ ของเราเท่านั้น

“เมื่อคุณพูดว่า ให้ฉัน (Let me) คือคุณจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่คุณจะกระทำต่อไป…มันแสดงให้เห็นทันทีเลยว่าคุณควบคุมอะไรได้บ้าง มีหลายสิ่งเลยที่คุณสามารถควบคุมได้ ทัศนคติของคุณ พฤติกรรมของคุณ ค่านิยมของคุณ ความจำเป็น และความปรารถนาของคุณ และสิ่งที่คุณต้องการทำเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

มันตรงข้ามกับการตัดสินนะ ให้ฉัน คือการตระหนักรู้ในตนเอง ความเห็นอกเห็นใจ การเสริมสร้างพลัง และความรับผิดชอบส่วนบุคคล”

แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้คือวิธีการตอบสนองของเราต่อสิ่งต่างๆ แต่ในทางปฏิบัติมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมลจึงแนะนำเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและทรงพลังที่สุดที่ใครก็สามารถทำได้ นั่นคือการกลับมาอยู่กับลมหายใจ (ปัจจุบันขณะ)

“ตลอดทั้งวัน ใครๆ จะทำเรื่องที่กวนใจคุณ ทำให้คุณหงุดหงิด หรือว่าเครียด มันต้องเกิดขึ้นแน่นอน คุณควบคุมไม่ได้ เมื่อคุณยอมให้พฤติกรรมของใครมาทำให้เครียด เท่ากับคุณเอาพลังอำนาจไปให้ผู้อื่น ส่งผลให้คุณหมดเรี่ยวแรง ไม่มีเวลาหรือพลังงานเหลือให้ตัวเอง…ร่างกายของคุณจะตอบสนองต่อความเครียดเป็นระบบอัตโนมัติ คุณจะรู้สึกรำคาญขึ้นมาเอง รู้สึกหงุดหงิดท้อแท้ รู้สึกว่าความโกรธและกระวนกระวายโจมตีเข้ามา 

คุณไม่อาจควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในตัวได้ แต่คุณเรียนรู้ที่จะตั้งค่าการตอบสนองต่อความเครียดเสียใหม่ เพื่อไม่ให้อารมณ์ปล้นเอาอำนาจของคุณไป

เวลาที่มีอะไรก็ตามทำให้คุณรู้สึกเครียด จงพูดว่า ‘ปล่อยเขา’ จากนั้นหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า ‘ให้ฉัน’ …หายใจเข้าอีกครั้งหนึ่ง ให้การตอบสนองต่อความเครียดของคุณช้าลง ให้ร่างกายและจิตใจของคุณสงบลง กลับมามีอำนาจควบคุมและเอาพลังของคุณคืนมา มันอาจดูเหมือนไม่สำคัญอะไรนัก แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้คุณกลายเป็นคนใหม่ การหยุดระบบตอบสนองต่อความเครียดเอาไว้ด้วยการกล่าวว่า ปล่อยเขา และ ให้ฉัน จะทำให้คุณสามารถเลือกสิ่งที่คิด พูด หรือทำ แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์มาปล้นเอาการตอบสนองของคุณไป

การสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าช่วยลดการตอบสนองต่อความเครียดของคุณได้ การหายใจเต็มปอด รู้สึกถึงอากาศที่ทำให้หน้าท้องของคุณพองออกช่วยกระตุ้นประสาทเวกัส ซึ่งส่งสัญญาณตรงไปยังสมองของคุณว่า ‘เราสามารถสงบลงได้’ ”

แม้การหายใจดูเหมือนจะเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ผมเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่ในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเร่งรีบ ผมพบว่าการหาโอกาสให้ตัวเองได้ลองหยุดหายใจเพียงไม่กี่วินาที…เพื่อเรียกสติและพลังอำนาจของเรากลับคืนมา สำหรับผมมันคือก้าวเล็กๆ ที่ปูทางให้ผมมุ่งไปสู่จุดเริ่มต้นของการเป็นคนใหม่…คนที่ไม่ถูกอารมณ์หรือความคาดหวังของคนอื่นมานำทางชีวิต แต่มีสติอยู่กับความคิด คำพูด การกระทำ และเลือกใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างอิสระในแบบที่ผมเป็น เหมือนกับการปล่อยวางคนอื่น…ให้เป็นไปตามทางของเขา และให้ผม…ได้กลับมาดูแลสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต นั่นคือตัวของผมเอง

Tags:

หนังสือความเครียดความวิตกกังวลThe Let Them Theoryทฤษฎีปล่อยเขา

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Book
    วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ: สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย…ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    หยุดเลี้ยงลิงในสมองคุณ: รู้ทันกลลวงของเจ้าลิงตัวนั้น แล้วจัดการความวิตกกังวลที่ก่อกวนชีวิตเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    เสี้ยวส่วนความทรงจำของ Paulo Freire  ใน Pedagogy of Hope 

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เรื่องเล่าของคนนอนไม่หลับ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

The Anxious Generation EP3: เมื่อการเลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ ต้องแลกมากับสมองและพัฒนาการของเด็กที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
Adolescent BrainSocial Issues
14 August 2025

The Anxious Generation EP3: เมื่อการเลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ ต้องแลกมากับสมองและพัฒนาการของเด็กที่เปลี่ยนไปตลอดกาล

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • ปัจจุบันการเติบโตของเทคโนโลยีทำให้เด็กเข้าถึงหน้าจอมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนผ่านจาก ‘วัยเด็กที่เน้นการเล่นสนุก’ (Play-Based Childhood) เป็น ‘วัยเด็กที่เน้นแต่การเล่นโทรศัพท์’ เรียกว่า ‘The Great Rewiring’ ซึ่งการเปลี่ยนผ่านนี้มีสิ่งที่ต้องแลกมาด้วยเช่นกัน
  • หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการขาดการนอนในปัจจุบันคือ ‘หน้าจอ’ มีงานวิจัยพบว่า การใช้หน้าจออย่างหนักมีความเชื่อมโยงกับช่วงเวลานอนที่สั้นลง การใช้เวลานานขึ้นกว่าจะหลับ และการตื่นระหว่างหลับที่เพิ่มขึ้น
  • แม้สถานการณ์ที่เด็กและวัยรุ่นกำลังเผชิญอยู่ในยุคนี้ดูน่าหวั่นใจ แต่เราไม่ได้หมดหนทาง สิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้คือต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ร่วมกันออกแบบสิ่งแวดล้อมใหม่ เพื่อให้เด็กได้เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น

นักข่าวชาวอังกฤษ โยฮันน์ ฮารี (Johann Hari) ผู้เขียนหนังสือโลกไร้โฟกัส (Stolen Focus) เล่าถึงลูกทูนหัวของเขาว่า ตอนที่ลูกอายุ 9 ขวบ เขาชอบราชาเพลงร็อกแอนด์โรลอย่างเอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) มาก ถึงขนาดขอร้องให้พาไปดูคฤหาสน์ของเขาที่อเมริกา

แต่แล้วเมื่อผ่านไป 6 ปี ลูกของเขาก็เปลี่ยนไป วันๆ เอาแต่จ้องหน้าจอไถฟีดที่ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่สามารถพูดคุยกับใครได้เกินสองสามนาทีโดยไม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เด็กชายสดใสที่ร้องเล่นเต้นไปกับเพลงของเอลวิส ได้หายไปหมดสิ้น เหลือไว้เพียงเด็กติดจอที่ไร้สมาธิจดจ่อ

โจนาธาน ไฮด์ท (Jonathan Haidt) นักจิตวิทยาสังคมและผู้เขียนหนังสือ The Anxious Generation (คนรุ่นใหม่ วัยวิตก) กล่าวว่า แม้เรื่องของฮารีจะฟังดูเกินจริง แต่เรื่องแนวๆ นี้พบได้บ่อยขึ้นในยุคนี้ เด็กหลายคนหรือแม้แต่ผู้ใหญ่เอง สูญเสียเวลาในการทำกิจกรรมอื่น รู้สึกเสียดายหลายเรื่องที่ไม่ได้ทำและไม่มีโอกาสได้ทำแล้ว ทั้งหมดก็เพราะการหมกมุ่นในอุปกรณ์ดิจิทัลเหล่านี้

วัยเด็กยุคใหม่กับ ‘ค่าเสียโอกาส’ ที่ไม่มีใครพูดถึง

ในชีวิตของเรามีทางเลือกเกิดขึ้นมากมาย แต่เนื่องจากข้อจำกัดในหลายๆ อย่าง เราไม่สามารถเลือกได้ทุกทางพร้อมกัน เราต้องตัดสินใจเลือกเพียงทางใดทางหนึ่งและทิ้งอีกทางไป แต่ทางที่เราไม่ได้เลือกก็มีมูลค่าเช่นกัน เราจึงเสียมูลค่าที่จะเกิดขึ้นจากทางเลือกนั้นด้วย ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ‘ค่าเสียโอกาส’

‘ค่าเสียโอกาส’ หรือ ‘ต้นทุนค่าเสียโอกาส’ (opportunity cost) หมายถึง มูลค่าที่เราจะเสียไปเมื่อไม่ได้เลือกทางเลือกนั้นๆ พูดง่ายๆ ก็คือ การที่เราเลือกสิ่งหนึ่ง เราจะต้องยอมเสียอีกสิ่งทิ้งไป โดยสิ่งที่เราเสียไปก็คือค่าเสียโอกาส

เช่น ถ้าเรามีเวลาว่าง 3 ชั่วโมงและต้องเลือกว่าจะ ‘นอน’ หรือ ‘ทำงาน’ ถ้าเราเลือกนอน เราก็จะเสียโอกาสในการทำงาน แต่ถ้าเราเลือกทำงาน เราก็จะเสียโอกาสในการนอน

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เวลาเราเลือกทำสิ่งใดย่อมต้องแลกมาด้วยบางสิ่งเสมอ ไม่ว่าเราจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม

ในปัจจุบันการเติบโตของเทคโนโลยีทำให้เด็กเข้าถึงหน้าจอมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนผ่านจาก ‘วัยเด็กที่เน้นการเล่นสนุก’ (Play-Based Childhood) เป็น ‘วัยเด็กที่เน้นแต่การเล่นโทรศัพท์’ (Phone-Based Childhood) เรียกว่า ‘The Great Rewiring’ (การเปลี่ยนระบบครั้งใหญ่) ซึ่งการเปลี่ยนผ่านนี้มีสิ่งที่ต้องแลกมาด้วยเช่นกัน

การเลี้ยงลูกด้วยหน้าจออาจสะดวกขึ้นในมุมของพ่อแม่ เพราะทำให้เด็กอยู่นิ่งและไม่ต้องไปวิ่งเล่นนอกบ้านให้เป็นอันตราย แต่เวลาเราเลือกทำสิ่งใดย่อมต้องแลกมาด้วยบางสิ่งเสมอ เด็กที่เติบโตขึ้นมากับหน้าจอต้องแลกมาด้วยการเสียโอกาสการใช้ชีวิตในโลกจริง และสิ่งนี้จะส่งผลกับเด็กในหลายๆ ด้าน

การใช้หน้าจอจนเสียโอกาสการใช้ชีวิตในโลกจริงอย่างใน The Great Rewiring ทำให้สมองและพัฒนาการของเด็กเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งมีการศึกษาผลกระทบมาแล้วในเด็กหลายช่วงวัย เช่น 

  • การศึกษาในเด็กก่อนวัยเรียน (3-5 ปี) พบว่า การใช้สื่อดิจิทัลเกินเกณฑ์ที่สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (AAP) กำหนด มีความสัมพันธ์กับความสมบูรณ์ที่น้อยลงในสมองส่วนที่ช่วยพัฒนาทักษะภาษาและการอ่านเขียน อาจทำให้การพัฒนาทักษะดังกล่าวต่ำ
  • การศึกษาระดับชาติของวัยรุ่นในสหรัฐฯ (ABCD Study) พบว่า การใช้หน้าจอมากมีความสัมพันธ์กับการเติบโตที่ช้าลงของเปลือกสมอง ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับทักษะขั้นสูง (เช่น การควบคุมอารมณ์ ความจำ ภาษา การรับรู้ และการตัดสินใจ) โดยการพัฒนาที่ผิดปกติอาจนำไปสู่ความเจ็บป่วยทางจิตได้
  • บทความจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) เผยว่า เด็กในช่วงอายุ 10-12 มีการเปลี่ยนแปลงในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับรางวัลทางสังคม (Social Rewards เช่น คำชมจากผู้อื่น) ทำให้เด็กมีความอ่อนไหวต่อความใส่ใจและการชื่นชมเป็นพิเศษ โซเชียลมีเดียที่ขับเคลื่อนด้วยรางวัลทางสังคมอย่างเข้มข้นมีความเสี่ยงกับเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะสมองของเด็กยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีพอ จนอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพได้

ย้อนกลับไปที่การเลือกระหว่าง ‘นอน’ กับ ‘ทำงาน’ ถ้าเราเอาสบายไม่คิดให้ถี่ถ้วน เราก็จะเลือกนอน แต่ถ้าเราคิดให้ดีถึงผลที่จะตามมา เราจะพบว่ามันไม่คุ้นกันเลยกับเวลาที่เสียไป เรื่องนี้ก็เช่นกัน 

แม้การเลี้ยงลูกด้วยหน้าจอจะสะดวกขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยสมองและพัฒนาการของเด็กที่เปลี่ยนแปลงไป การพิจารณาอย่างถี่ถ้วนทำให้ตระหนักได้ว่าทั้งหมดนี้อาจไม่คุ้มกันเลยกับสิ่งที่ต้องแลกมา

ภัยร้าย 4 ประการของวัยเด็กยุคใหม่ที่เน้นแต่การเล่นหน้าจอ

ในหนังสือ The Anxious Generation  ไฮด์ทได้สรุปผลร้ายที่เกิดขึ้นจาก การเปลี่ยนระบบครั้งใหญ่ (The Great Rewiring) ไว้ 4 ประการ โดยผลทั้งหมดนี้เกิดมาจากการแลก ‘เวลาเล่นสนุกในโลกจริง’ ให้กับ ‘การเล่นหน้าจอ’

  • การขาดสังคม (Social Deprivation)

ปัจจุบันเด็กใช้เวลาไปกับการพบปะเพื่อนในชีวิตจริงลดลง และอุทิศเวลาให้กับโลกออนไลน์มากขึ้น แม้เด็กอาจมีโอกาสได้พบปะกับผู้คนมากมายบนโลกออนไลน์ แต่ความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์นั้นเทียบไม่ได้เลยกับความสัมพันธ์บนโลกจริง

ความสัมพันธ์บนโลกออนไลน์มักเป็นอย่างตื้นเขิน รู้จักกันได้อย่างรวดเร็วและก็ยุติได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่สามารถทำให้เด็กเรียนรู้ทักษะทางสังคม เช่น ความร่วมมือ การแก้ไขความขัดแย้ง เพราะแต่ละคนลงทุนกับความสัมพันธ์เพียงน้อยนิดจึงไม่มีค่ามากพอให้รักษาไว้ อีกทั้งการยุติความสัมพันธ์ก็ทำได้อย่างง่ายดายผ่านการ ‘บล็อก’ แค่ปุ่มเดียว

ไฮด์ทยังชี้ว่า การหมกมุ่นกับหน้าจอยังทำลายความสัมพันธ์กับคนในโลกจริงด้วย เมื่อเราปฏิสัมพันธ์กับใครแล้วเอาแต่มองหน้าจอตลอด จะทำให้คู่สนทนารู้สึกถูกละเลยและมีความสำคัญน้อยกว่าสิ่งที่อยู่ในหน้าจอ การถูกละเลยเป็นสิ่งที่เจ็บปวด ไม่มีใครอยากสานสัมพันธ์กับคนที่ไม่เห็นเราอยู่ในสายตา

เด็กรุ่นใหม่อาจเรียกว่าเป็นรุ่นที่โดดเดี่ยวที่สุดก็ว่าได้ มีนักศึกษาคนหนึ่งเขียนถึงไฮด์ทว่า Gen Z เป็นกลุ่มคนที่โดดเดี่ยวอย่างไม่น่าเชื่อ เรามีมิตรภาพที่ตื้นเขินและความสัมพันธ์โรแมนติกที่ถูกควบคุมโดยโซเชียลมีเดีย ที่มหาวิทยาลัยก็แทบไม่มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ห้องเรียนที่มีคนมากมายแต่กลับไม่มีใครคุยกัน จดจ่ออยู่กับสมาร์ตโฟน ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำความรู้จักใคร นับวันยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น เริ่มสูญเสียตัวตนและความมั่นใจของตัวเองไปทุกที

  • การอดนอน (Sleep Deprivation)

การนอนเป็นกิจกรรมที่สำคัญของมนุษย์ เราใช้เวลา 1 ใน 3 ของวันไปกับการนอนเพื่อพักผ่อนและซ่อมแซมร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและวัยรุ่นที่ต้องใช้เวลานอนมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะร่างกายกำลังอยู่ในช่วงการเติบโตที่สำคัญ

หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการขาดการนอนในปัจจุบันคือ ‘หน้าจอ’ มีงานวิจัยพบว่า การใช้หน้าจออย่างหนักมีความเชื่อมโยงกับช่วงเวลานอนที่สั้นลง การใช้เวลานานขึ้นกว่าจะหลับ และการตื่นระหว่างหลับที่เพิ่มขึ้น โดยอย่างยิ่งหากเป็นการใช้หน้าจอเพื่อเข้าถึงโซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ต ความเชื่อมโยงนี้จะเข้มข้นมากขึ้น 

การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ไม่มีสมาธิจดจ่อ ตอบสนองและตัดสินใจช้า และอาจมีอาการหงุดหงิดและวิตกกังวลตลอดทั้งวัน อีกทั้งเมื่อการนอนถูกรบกวนเป็นเวลานาน อาจก่อให้เกิดพฤติกรรมผิดปกติภายใน (เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล) และพฤติกรรมผิดปกติภายนอก (เช่น ก้าวร้าว ต่อต้านสังคม)

  • สมาธิที่สั้นลง (Attention Fragmentation)

ไฮด์ทเปรียบ ‘สมาธิ’ หรือ ‘ความสนใจจดจ่อ’ (Attention) ว่าเป็น ‘การเลือกที่จะอยู่บนถนนแห่งความคิดเพียงเส้นเดียว แม้จะมีทางแยกที่น่าดึงดูดมากมายก็ตาม’ เมื่อใดก็ตามที่เราเบี่ยงไปยังทางแยกอื่น สิ่งนั้นจะตรงข้ามกับสมาธิ เรียกว่า ‘การหันเหความสนใจ’ (Distraction)

ในปัจจุบันการอยู่บนถนนแห่งความคิดเพียงเส้นเดียวเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนโลกออนไลน์ที่มีทางแยกที่น่าดึงดูดใจมากมาย มีหลายคนบอกเล่าประสบการณ์ว่า เมื่อใช้โซเชียลมีเดียนานวันเข้า รู้สึกว่าตัวเองมีสมาธิโดยรวมที่สั้นลง กล่าวคือ แม้จะทำกิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่การเล่นโซเชียลมีเดีย ก็ไม่สามารถจดจ่ออยู่ได้นานเหมือนกับเมื่อก่อน

แม้ว่าผู้ใหญ่จะมีความยากลำบากในการอยู่บนถนนแห่งความคิดเพียงเส้นเดียว แต่เรื่องนี้กลับยากยิ่งว่าในเด็กและวัยรุ่น เพราะสมองของคนกลุ่มนี้ยังไม่ได้พัฒนาความยับยั้งชั่งใจอย่างเต็มที่ เมื่อมีทางแยกอื่นที่น่าสนใจก็ย่อมหันเหไปได้ง่าย นี่เป็นเหตุผลที่ไฮด์ทสนับสนุนให้โรงเรียนเป็นสถานที่ปลอดโทรศัพท์

อย่างไรก็ดี มีการวิจัยในวัยรุ่นพบว่า ความถี่ในการใช้งานโซเชียลมีเดียไม่ได้ทำให้มีอาการของโรคสมาธิสั้น (ADHD-symptoms) เพิ่มขึ้น แต่การใช้งานคล้ายการเสพติด (เช่น เบียดบังการทำกิจกรรมอื่น หรือไม่สามารถควบคุมการใช้ได้) ต่างหากที่ทำให้อาการของโรคสมาธิสั้นเพิ่มขึ้น

คนเราไม่สามารถทำหลายอย่างพร้อมกันได้ในเวลาเดียว (Multitasking) เราแค่ย้ายตัวเองไปยังถนนแห่งความคิดเส้นอื่นกลับไปกลับมา ซึ่งตอนที่ย้ายถนนนี้เองเราจะใช้พลังงานเยอะมาก ทำให้สุดท้ายแล้วงานทั้งหมดที่เราทำก็ไม่มีอะไรออกมาดีสักอย่าง

  • การเสพติด (Addiction)

ไฮด์ทกล่าวว่า ผู้สร้างโซเชียลมีเดียได้ศึกษาเทคนิคดึงดูดผู้ใช้มาเป็นอย่างดี ผ่านการใช้วงจรที่สร้างให้การใช้โซเชียลมีเดียเข้ามาเป็นนิสัยส่วนหนึ่งของผู้ใช้ วงจรนี้คือ ‘The Hooked Model’ โดยมีวิธีการทั้งหมด 4 ขั้น

วงจรของ The Hooked Model

เริ่มต้นจากการใช้ ‘ตัวกระตุ้นภายนอก’ (External Trigger) เช่น การแจ้งเตือน เพื่อหันเหความสนใจเราจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ และตัวกระตุ้นนี้จะเรียกร้องให้เรา ‘กระทำ’ (Action) บางอย่าง ในที่นี้คือกดเข้าไปดูแจ้งเตือน ต่อไปคือการให้รางวัลสำหรับการกระทำของเรา แต่รางวัลนี้จะไม่ได้ให้ทุกรอบและคาดเดาไม่ได้ว่าจะได้เมื่อไร เรียกว่า ‘Variable Reward’ ในที่นี้อาจเป็นยอดไลก์ยอดแชร์โพสต์ของเราเองที่จะมีมากหรือน้อยก็ได้

การไม่ให้รางวัลทุกรอบและไม่สามารถเดาได้ คือกุญแจสำคัญในการสร้างพฤติกรรมที่แข็งแกร่งและคงทนอยู่ได้นาน ทั้งนี้ การวางเงื่อนไขในสัตว์ขอแค่มี 3 ขั้นแรกก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับมนุษย์นั้นยังไม่พอ วงจรนี้จึงต้องเพิ่มขั้นที่ 4 เข้าไปด้วย นั่นคือ ‘การลงทุน’ (Investment)

เมื่อมนุษย์ลงทุนลงแรงทำสิ่งใดไปแล้ว เราจะไม่อยากถอนตัวออกมาเพราะความเสียดาย ในที่นี้เราอาจจะแต่งโปรไฟล์ โพสต์รูปภาพ และมีผู้ติดตามมากแล้ว จึงไม่อยากละทิ้งไป เมื่อเราลงทุนไปจนมากพอแล้ว วงจรนี้จะวนกลับไปที่ขั้นแรก แต่จะเปลี่ยนเป็น ‘ตัวกระตุ้นภายใน’ (Internal Trigger)

นั่นคือ เราเข้าไปใช้โซเชียลมีเดียด้วยความต้องการของเราเอง แม้จะไม่มีตัวกระตุ้นภายนอกอย่างการแจ้งเตือนก็ตาม ‘โพสต์เมื่อกี้มีคนกดไลก์กี่คนแล้ว’ ‘สตอรี่ที่ลงไปมีใครดูบ้าง’ ‘หน้าฟีดมีประเด็นอะไร’ ความคิดเหล่านี้จะผุดขึ้นมาในสติสัมปชัญญะของเราอยู่บ่อยครั้งและหันเหความสนใจของเรา ในจุดนี้เราได้ติดใจ (Hooked) โซเชียลมีเดียและมันก็ได้กลายเป็นนิสัยของเราไปเสียแล้ว

ไฮด์ทระบุว่า วงจรนี้ไม่ใช่การเสพติดเสียทีเดียว แต่เหมือนเป็นการ ‘แฮ็ก’ ความปรารถนาและสร้างให้การใช้โซเชียลมีเดียกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในนิสัยของเรา ยิ่งถ้าเป็นเด็กและวัยรุ่นที่ยังไม่มีความยับยั้งชั่งใจที่มากพอแล้วก็จะถูกแฮ็กได้ง่าย โดยกลไกที่สำคัญคือการสร้างการกระตุ้นจากภายในให้เรามีความต้องการที่จะใช้โซเชียลมีเดียเอง เพื่อให้วงจรนี้ดำเนินต่อไปได้เรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ

หากเราเสพติดโซเชียลมีเดียจริงๆ เมื่อเลิกใช้จะต้องมี ‘อาการถอนยา’ (Withdrawal) หรือภาษาบ้านๆ เรียกว่า ‘ลงแดง’ กล่าวคือ มีอาการวิตกกังวล หงุดหงิด นอนไม่หลับ และรู้สึกไม่สบายใจไม่สบายกาย-ไม่มีความสุขอย่างรุนแรง (Dysphoria)

แม้การเสพติดโซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ตจะยังไม่ถือว่าเป็นโรคจากคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตฉบับที่ 5 (DSM-5) ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (APA) แต่หากมีอาการเหล่านี้ก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจบ่งชี้ได้ว่าเราไม่ได้เพียงแค่ติดใจโซเชียลมีเดีย แต่ได้เสพติดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การแก้ไขต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

แม้สถานการณ์ที่เด็กและวัยรุ่นกำลังเผชิญอยู่ในยุคนี้ดูน่าหวั่นใจ แต่ไฮด์ท เชื่อว่าเราไม่ได้หมดหนทาง สิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้คือต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ร่วมกันออกแบบสิ่งแวดล้อมใหม่ เพื่อให้เด็กได้เติบโตอย่างที่ควรจะเป็น

ไฮด์ทแนะนำให้ 3 ภาคส่วนต่อไปนี้ลงมือกระทำเพื่อแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น

  • รัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยี – กำกับควบคุมการออกแบบโซเชียลมีเดียไม่ให้เป็นอันตรายกับวัยรุ่น, ตั้งอายุการงานใช้ที่ 16 ปีขึ้นไป (ปัจจุบันอายุโดนลดเหลือ 13 เพราะการต่อรองทางการเมืองในสหรัฐฯ), ให้แพลตฟอร์มมีการตรวจสอบอายุอย่างจริงจัง เลิกเอาหูไปนา เอาตาไปไร่
  • โรงเรียน – ออกแบบ ‘โรงเรียนปลอดโทรศัพท์’, สนับสนุนให้เด็กเล่นอิสระ (Free Play) มากกว่าเน้นวิชาการเพียงอย่างเดียว, มีชั่วโมงพักผ่อนที่มากขึ้น พร้อมสถานที่ที่เอื้ออำนวย เพื่อสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
  • ผู้ปกครอง – จำกัดเวลาและสถานที่ในการใช้หน้าจอ, สนับสนุนกิจกรรมให้เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก, เป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้โทรศัพท์ 

เราไม่อาจย้อนกลับไปยังโลกก่อนที่จะมีสมาร์ตโฟนหรือโซเชียลมีเดียได้ แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะจัดการกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไร ไฮด์ทเล่าว่าตัวเองได้พูดคุยเรื่องนี้กับหลายคน ทุกคนเห็นด้วย แต่ก็บอกว่ามันสายเกินไปแล้ว

หลายคนเปรียบเปรยว่า เหตุการณ์นี้เหมือนกับ ‘เรือที่ออกจากฝั่งไปแล้ว’ หรือ ‘รถไฟที่ออกจากสถานีไปแล้ว’ ทุกอย่างสายเกินไปแล้วที่ย้อนกลับ แต่ ไฮด์ทกลับมองว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ควรรีบดำเนินการทันที ขนาดเครื่องบินที่บินออกจากสนามบินแล้วยังเรียกกลับมาได้เลยหากมีปัญหาด้านความปลอดภัย

ทุกอย่างไม่มีคำว่าสายเกินไป ลงมือทำ ณ ตอนนี้ยังดีกว่ามานั่งเสียใจทีหลังที่ในวันนี้เราไม่ได้ทำอะไรเลย 

อ้างอิง

Boer, M., Stevens, G., Finkenauer, C., & van den Eijnden, R. (2019). Attention Deficit Hyperactivity Disorder-Symptoms, Social Media Use Intensity, and Social Media Use Problems in Adolescents: Investigating Directionality. Child Development, 91(4).

Hisler, G., Twenge, J. M., & Krizan, Z. (2020). Associations between screen time and short sleep duration among adolescents varies by media type: evidence from a cohort study. Sleep Medicine, 66, 92–102.

Hutton, J. S., Dudley, J., Horowitz-Kraus, T., DeWitt, T., & Holland, S. K. (2020). Associations Between Screen-Based Media Use and Brain White Matter Integrity in Preschool-Aged Children. JAMA Pediatrics, 174(1), e193869.

Hutton, J. S., Piotrowski, J. T., Bagot, K., Blumberg, F., Canli, T., Chein, J., Christakis, D. A., Grafman, J., Griffin, J. A., Hummer, T., Kuss, D. J., Lerner, M., Marcovitch, S., Paulus, M. P., Perlman, G., Romeo, R., Thomason, M. E., Turel, O., Weinstein, A., … Potenza, M. N. (2024). Digital Media and Developing Brains: Concerns and Opportunities. Current Addiction Reports, 11(2), 287–298.

Jonathan Haidt. (2024). The Anxious Generation: How the Great Rewiring of Childhood Is Causing an Epidemic of Mental Illness. Penguin Press.

Paulus, M. P., Squeglia, L. M., Bagot, K., Jacobus, J., Kuplicki, R., Breslin, F. J., Bodurka, J., Morris, A. S., Thompson, W. K., Bartsch, H., & Tapert, S. F. (2019). Screen media activity and brain structure in youth: Evidence for diverse structural correlation networks from the ABCD study. NeuroImage, 185, 140–153.

Timothy Esteves. (2022). Should I Worry About Social Media Addiction?

Zara Abrams. (2023). Why young brains are especially vulnerable to social media.

Tags:

โซเชียลมีเดียสมองการนอนThe Anxious Generationหน้าจอ

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Adolescent BrainSocial Issues
    The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Adolescent BrainSocial Issues
    The Anxious Generation EP 1: เลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ สัญญาณร้ายสู่คนรุ่นใหม่วัยวิตก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Adolescent Brain
    สมองแบบติ๊กต่อก: จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็กเข้าไปอยู่ในร้านลูกกวาดที่กินเท่าไรก็ได้?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    โซเชียลมีเดียกับสมองวัยรุ่น: ความอ่อนไหวในโลกออนไลน์ที่งานวิจัยมีคำตอบ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    FACETOOK: มา ‘เฟซทุกข์’ กันเถอะ เพราะลึกๆ แล้วเฟซบุ๊คไม่ได้มีแค่ความสุข

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Alpha Generation EP.10 สายสัมพันธ์วันนี้ กำหนดสายสัมพันธ์ในอนาคต ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่พ่อแม่ของลูกได้
Early childhoodDear Parents
14 August 2025

Alpha Generation EP.10 สายสัมพันธ์วันนี้ กำหนดสายสัมพันธ์ในอนาคต ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่พ่อแม่ของลูกได้

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • หากเราคาดหวังว่าในอนาคตลูกกับเราจะยังสามารถพูดคุยกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน เพื่อมีเวลาดีๆ ร่วมกันได้ พ่อแม่ต้องเริ่มต้นสร้างสายสัมพันธ์แบบนั้นตั้งแต่วันนี้ วันที่ลูกยังเป็นเด็กน้อย และต้องการเรามากที่สุด
  • เด็กที่สื่อสารได้ไม่ดี มักจะมีปัญหาทางอารมณ์ผนวกมาด้วย เนื่องจากตนเองไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้ หรือ ตัวเองก็ไม่เข้าใจความต้องการของผู้อื่นเช่นกัน
  • พ่อแม่เป็นคนเลือกว่าเราจะสร้างสัมพันธ์กับลูกแบบใดในวัยเยาว์ของเขา สายสัมพันธ์นั้นจะเป็นฐานทางใจของลูกไปตลอดชีวิตของเขา เด็กๆ โตเร็วกว่าที่เราคิด และช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ขอให้เราอยู่ตรงนั้นทั้งตัวและหัวใจ

‘โลกที่เคยกว้าง กลับใกล้แค่ปลายนิ้ว แต่ครอบครัวและคนรอบข้างกลับห่างไกล’

ยุคปัจจุบัน ทุกอย่างขับเคลื่อนภายใต้ปลายนิ้ว อินเตอร์เน็ตทำให้เด็กๆ ท่องโลกกว้างเพียงแค่เปิดหน้าจอค้นหาด้วยปลายนิ้วสัมผัส สังคมออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว เราต่างอาศัยในโลกส่วนตัวหลายใบ โดยที่ไม่จำเป็นต้องออกจากห้องนอนของตัวเอง แต่ในทางกลับกันคนในครอบครัวที่อยู่ในบ้านเดียวกัน กลับไม่รู้จักกันเลย ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวที่ถูกหลงลืม ทำให้เด็กขาดคนเข้าใจและสนับสนุน แต่ตัวเขาเองก็อาจจะสร้างกำแพงสูงขึ้นมาจากความไม่เข้าใจกันภายในครอบครัว

อวัยวะที่ 37

เด็กที่เกิดหลังยุคโทรศัพท์มือถือที่มีอินเตอร์เน็ตในตัวถูกเลี้ยงดูโดยมีสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตราวกับเป็นอวัยวะที่ 37 ที่ขาดเสียไม่ได้ พ่อแม่บันทึกชีวิตลูกตั้งแต่วินาทีที่ลูกลืมตาดูโลก บางครอบครัวถึงขั้นบันทึกทุกช่วงเวลา ทุกอิริยาบถของลูกผ่านโทรศัพธ์มือถือ และแชร์ (Share) สิ่งเหล่านี้ผ่านสังคมออนไลน์ เพราะไม่อยากพลาดโอกาสในการเก็บช่วงเวลานั้นไว้ แต่พ่อแม่อาจจะลืมว่า ‘การบันทึกความทรงจำที่ดีที่สุดสำหรับเราและลูกคือการใช้เวลาร่วมกันโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น เพื่อจะได้รับรู้ความรู้สึกของกันและกันอย่างเต็มที่ และทำสิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องกังวลถึงเรื่องใดๆ’

สายสัมพันธ์วันนี้กับลูก กำหนดสายสัมพันธ์ในอนาคตของลูกกับเรา

หากเราคาดหวังว่าในอนาคตลูกกับเราจะยังสามารถพูดคุยกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน เพื่อมีเวลาดีๆ ร่วมกันได้ พ่อแม่ต้องเริ่มต้นสร้างสายสัมพันธ์แบบนั้นตั้งแต่วันนี้ วันที่ลูกยังเป็นเด็กน้อย และต้องการเรามากที่สุด

ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่พ่อแม่ของลูกได้’

พ่อแม่ทุกคนควรจดจำไว้ว่า…

  •  ช่วงเวลา 5 ขวบปีแรกเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อการพัฒนาหลายๆ ด้านในชีวิตของเด็กคนหนึ่ง การพัฒนาเริ่มตั้งแต่วินาทีที่ลูกอยู่ในท้องของแม่และพัฒนาต่อเนื่องอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้
  • ช่วง 5 ขวบปีแรกของชีวิตมนุษย์มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สมองของมนุษย์พัฒนาได้อย่างรวดเร็วและดีที่สุด

สมองของเด็กทารกพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว

  • สมองของเด็ก 1 ขวบ มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของสมองของเด็กแรกเกิด
  • สมองของเด็ก 5 ขวบมีขนาดใหญ่เกือบ 90% ของขนาดสมองผู้ใหญ่

เพราะสมองของเด็กช่วง 5 ขวบปีแรกสามารถพัฒนาได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาอื่นๆ ในชีวิตของมนุษย์

สมองสามารถสร้างการเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทเป็นจำนวนมากในทุกวินาที

  • สมองของเด็กจะพัฒนาได้ดีที่สุด เมื่อพ่อแม่หรือผู้ใหญ่สร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กผ่านการตอบสนอง ให้นม อุ้ม กอด อ่านนิทาน ร้องเพลงกล่อม คุยเล่น มองหน้า สบตา ยิ้มให้ และอื่นๆ ซึ่งพ่อแม่ควรมอบให้ลูกอย่างเร็วที่สุดและบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

‘สายสัมพันธ์คือทุกสิ่ง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง’

จุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์ตลอดชีวิตเริ่มต้นที่บ้าน

ซึ่งวัยเยาว์ของลูกคือโอกาสทองในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีที่สุด ช่วงเวลาที่พ่อแม่อยู่กับลูกเล็ก ขอให้เราอยู่ตรงนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงตัวเราอยู่ตรงนั้นกับเขา แต่ทั้ง ‘หัวใจ’ และ ‘สายตา’ ของเราควรมอบให้กับลูกด้วยการ ‘วางหน้าจอลง’ ‘มองตาลูก’ ‘ยิ้มให้เขา’ ‘หัวเราะไปกับเขา’ และ ‘อยู่กับเขา’ อย่างแท้จริง

ทุกครั้งที่พ่อแม่เล่นกับลูก คุยกับลูก ทำให้เขาหัวเราะ ไม่ได้สร้างแค่เพียง ‘ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง’ และ ‘สุขภาพจิตที่ดี’ แต่สิ่งเหล่านี้ได้สอนทักษะชีวิตพื้นฐานให้กับลูกด้วย

ไม่ว่าจะเป็น ‘การปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน’ ‘การทำข้อสอบในวัยเรียน’ ‘การทำงานในวัยผู้ใหญ่’ และสักวันหนึ่ง ‘การมีครอบครัวเป็นของตัวเอง’

‘ยิ่งสร้างความสัมพันธ์กับลูก 

ยิ่งเร็ว ยิ่งดี

ยิ่งสม่ำเสมอ ยิ่งยั่งยืน’

เพราะลูกจะรับรู้ได้ว่าพ่อแม่มีอยู่จริง และจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดชีวิตแม้จะเป็นวัยรุ่นที่จากกันไกล ลูกยังรับรู้ได้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับตัวเขาได้เสมอ เพราะสายสัมพันธ์ที่ดีจะนำพาใจของลูกที่โตแล้วกลับบ้านมาหาพ่อแม่เสมอ 

3 วิธีที่พ่อแม่ควรทำโดยปราศจากหน้าจอเพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารและสร้างสายสัมพันธ์กับลูก

(1) เล่นกับลูกโดยใช้ร่างกายและเสียงของเรา
เช่น การเล่นเกมจ๊ะเอ๋ (Peek-a-boo) การอุ้มกอด การเล่นเกมตบแปะ การให้ลูกปีนป่ายไปบนตัวเรา การเล่นเครื่องบิน (เราเป็นเครื่องบินพาลูกบินสูง) การเล่นเกมแมงมุม-ปูไต่ และอื่นๆ

การเล่นรูปแบบนี้ช่วยส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ขั้นสูงทางร่างกายและอารมณ์ ลูกสามารถรับรู้สีหน้า ท่าทางซึ่งเป็นภาษากายของพ่อแม่ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ลูกพัฒนาการรับรู้ทางอารมณ์ และการเข้าใจผู้อื่น ซึ่งเป็นพัฒนาการที่สำคัญในการสื่อสารเพื่อเข้าสังคมในอนาคต และสำรับพ่อแม่ ตัวเราได้รับรู้อารมณ์ของลูก ซึ่งช่วยสร้างความรู้สึกร่วมกัน เกิดเป็นความทรงจำที่มีคุณค่าต่อเราและลูก

นอกจากการเล่นโดยใช้ร่างกาย การเล่นในรูปแบบเสียง ในที่นี้หมายรวมถึงการร้องเพลง การอ่านนิทานให้ลูกฟัง เด็กทารกรับรู้และจดจำเสียงของพ่อแม่ตั้งแต่พวกเขายังอยู่ในครรภ์ของเรา เสียงเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความทรงจำเกิดเป็นความผูกพัน แม้ว่าในอนาคตลูกจะจำได้เลือนลาง แต่เสียงเป็นความทรงจำที่ทรงพลังและย้ำเตือนช่วงเวลาที่แสนสุขได้ดีที่สุด ผู้ใหญ่บางคนเมื่อได้ฟังเพลงที่เคยได้ฟังครั้งเป็นเด็ก ก็สามารถจดจำถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวัยนั้นของเราได้ ดังนั้นยิ่งเราเป็นเจ้าของเสียง เล่านิทานให้ลูกฟัง ร้องเพลงกล่อมลูกนอน ลูกจะจดจำเสียงของเราได้อย่างแม่นยำ ทำให้เขามีความทรงจำที่แสนอบอุ่นให้นึกถึงเมื่อเติบโตไป

(2) ทำกิจกรรมที่มีจุดสนใจร่วมกัน

เช่น การอ่านหนังสือนิทานด้วยกัน ไปเดินเล่นในสวนด้วยกัน ดูแลสัตว์เลี้ยงด้วยกัน

การที่พ่อแม่ทำกิจกรรมที่มีจุดสนใจร่วมกับลูกช่วยให้เราแบ่งปันประสบการณ์และความทรงจำร่วมกัน ทุกครั้งที่นึกถึงช่วงเวลานั้น เราจะนึกถึงกันและกันด้วย 

นอกจากนี้ในด้านการสื่อสาร เมื่อเราทำกิจกรรมร่วมกับลูก เรามีความสนใจเดียวกัน ทำให้สื่อสารเรื่องเดียวกัน ลูกได้พัฒนาการคงความสนใจระยะยาวขึ้น ส่งผลให้เขามีสมาธิที่ดี เมื่อเติบโตไปสู่วัยถัดไป เขาจะสามารถคงความสนใจกับสิ่งที่สำคัญตรงหน้าร่วมกับผู้อื่นได้ เช่น เมื่อลูกไปโรงเรียน เขาสามารถสนใจสิ่งต่างๆ ร่วมกับเพื่อนและคุณครู ทำให้เขาไม่พลาดที่จะฟังและเรียนรู้สิ่งสำคัญ

สำหรับทักษะทางสังคมเด็กที่มีความสนใจร่วมกับผู้อื่น และแบ่งปันความสนใจของเขาให้กับผู้อื่นได้ จะสามารถเข้าใจความต้องการของตัวเองและผู้อื่นได้ชัดเจน ซึ่งความสามารถนี้จะพัฒนาไปสู่การมีความเห็นอกเห็นใจ 

(3) รับฟังและตอบสนอง

การสื่อสารเริ่มต้นจากการรับฟังเพื่อรับรู้ ซึ่งนำไปสู่การตอบสนอง เมื่อพ่อแม่ให้ความสนใจกับลูก โดยไม่มีหน้าจอมาขวางกั้น เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกลูกได้ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเราได้มองเข้าไปในตาของลูกชัดๆ ความเข้าใจนำไปสู่การตอบสนองที่เหมาะสม 

เด็กที่ได้รับการรับฟังและการตอบสนองอยู่เสมอ เขาจะได้รับความสนใจอย่างเพียงพอและรับรู้ว่าตัวเองเป็นที่รักของพ่อแม่ ซึ่งทำให้เขาได้รับการเติมเต็มทางใจขั้นพื้นฐานในชีวิต นั่นคือการได้รับความรักและรับรู้ว่าตัวเองมีคุณค่าสำหรับใครสักคน

เมื่อก้าวออกไปสู่สังคม เด็กจะสามารถเรียนรู้ที่เปิดรับสิ่งใหม่ และผู้คน เขาได้เรียนรู้การเป็นผู้ฟังที่ดีจากพ่อแม่ และเรียนรู้ที่จะตอบสนองอย่างเหมาะสมจากประสบการณ์ที่เขาได้รับตลอดมา

ในทางกลับกัน ‘เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูด้วยหน้าจอ’ เขาอาจจะพลาดโอกาสเหล่านี้ไป

(1) โอกาสที่จะได้ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์  ขาดการสื่อสารและความเข้าใจด้านอารมณ์
เมื่อไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ เพราะมีหน้าจอมาขวางกั้น เด็กจะไม่ได้เรียนรู้สีหน้า ท่าทาง อารมณ์ และการตอบสนองในชีวิตจริง ส่งผลให้เมื่อเข้าสู่สังคม เขาจะไม่แน่ใจว่าควรทำตัวและตอบสนองอย่างไรดี

ยิ่งไปกว่านั้นการที่ไม่ได้รับการรับฟังและการพูดโต้ตอบในวัยก่อน 3 ขวบ เด็กอาจจะไม่สามารถพัฒนาการสื่อสารได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เขามีพัฒนาการทางภาษาที่ล่าช้ากว่าวัย เช่น เด็กควรพูดเป็นประโยคได้ แต่กลับพูดเป็นคำๆ และบางคนอาจจะใช้ภาษาจากในสื่อ ภาษาการ์ตูน หรือ ภาษาต่างดาวที่เราคุ้นเคยกันดี มาใช้พูดคุย ทำให้ไม่มีใครเข้าใจเขา และตัวเขาเองก็ไม่สามารถสื่อสารบอกความต้องการได้อย่างเต็มที่


เด็กที่สื่อสารได้ไม่ดี มักจะมีปัญหาทางอารมณ์ผนวกมาด้วย เนื่องจากตนเองไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้ หรือ ตัวเองก็ไม่เข้าใจความต้องการของผู้อื่นเช่นกัน

(2) โอกาสที่จะได้เป็นเด็กและพัฒนาตามวัย 


เด็กที่เติบโตมากับหน้าจอ มักจะขาดโอกาสให้การเล่นเคลื่อนไหว และ การช่วยเหลือตัวเองตามวัย เช่น แทนที่จะได้ฝึกหยิบจับอุปกรณ์กินข้าวเอง ก็มีคนป้อนให้ ขณะที่ตัวเองก็ดูหน้าจอไป หรือ แทนที่เขาจะได้วิ่งเล่น ขี่จักรยาน ปีนป่าย เขากลับอยู่แต่ในบ้าน และดูหน้าจอแทนการไปเล่น

เมื่อเด็กไม่ได้เล่น เขาไม่ได้มีวัยเด็กที่ควรจะเป็น การเล่นเป็นพัฒนาการขั้นหนึ่งที่จะนำไปสู่การเข้าสังคม การเล่นทำให้เด็กเรียนรู้การคิด การสื่อสาร การรอคอย การแก้ปัญหา และการจัดการอารมณ์ เด็กที่ไม่ได้เล่นจึงไม่รู้ว่าต้องสร้างความสนุกด้วยตัวเองอย่างไรดี หรือ จะต้องเข้าไปสื่อสารกับคนอื่นก่อนได้อย่างไร ทำให้เมื่อเข้าสู่วัยเข้าโรงเรียนมักจะมีปัญหาตามมา 

(3) โอกาสที่จะได้เรียนรู้ และสมาธิที่หายไป

หากอ้างอิงตามทฤษฎีทางสติปัญญา (Cognitive Developmental Theory) ของ Jean Piaget (นักจิตวิทยา) ได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้น ซึ่งในเด็กวัย 0-2 ปี อยู่ในขั้นแรกที่เรียกว่า ‘ขั้นใช้ประสาทสัมผัสและกล้ามเนื้อ (The Sensorimotor Stage)’ ในขั้นนี้ เด็กเรียนรู้โลกผ่านการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างง่าย ได้แก่ ดูด จับ ดู และมอง ผนวกกับการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรับรส และการสัมผัสทางกาย  ดังนั้น หากเราได้พาเด็กๆ ออกไปเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง นั้นย่อมเป็นผลดีกับเขามากกว่าการเรียนรู้ผ่านสื่อการสอนหรือผ่านหน้าจอ

การให้เด็กวัยนี้นั่งนิ่งๆ ผ่านการดูหน้าจอ อาจจะส่งผลต่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ล่าช้ากว่าปกติ  เพราะแม้หน้าจอจะทำให้เด็กนิ่งได้ แต่อย่าลืมว่าภาพที่ปรากฎบนหน้าจอต่อเวลาหนึ่งวินาทีนั้นมีจำนวนหลายภาพเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ภาพนิ่งอย่างที่เราเข้าใจ ดังนั้นการดูหน้าจอระยะเวลานานส่งผลต่อสมาธิของเด็กได้โดยตรง

คำถาม ‘เทคโนโลยีหรือหน้าจอควรถูกกำจัดออกไปไหม’ คำตอบ ‘ไม่จำเป็นต้องกำจัดหน้าจอ แต่ให้สร้างความสมดุลในชีวิต’

‘คำแนะนำในการใช้เทคโนโลยี’

ถ้าหากเด็กปฐมวัยมีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จริงๆ (ดูหน้าจอ) อ้างอิงจาก The American Academy of Pediatrics (AAP) แนะนำไว้ ดังนี้

ข้อที่ 1 เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 เดือนไม่ควรดูหน้าจอใดๆ เลย มากที่สุดที่เด็กวัยนี้สามารถเข้าถึงหน้าจอ คือ อาจจะแค่เป็น video call เพื่อให้คนไกลได้เห็นลูกหลานของตัวเองเท่านั้น ในกรณีอื่นควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด

ข้อที่ 2 เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 18 เดือน ถึง 2 ปี ถ้าหากมีความจำเป็น (จำเป็นมากๆ ไม่ใช่ดูเพื่อเป็นการผ่อนคลายหรือเล่นสำหรับเด็ก) เป็นต้องดูหน้าจอจริงๆ ไฟล์นั้น (วิดีโอนั้น) ต้องมีคุณภาพความละเอียดสูง และมีผู้ใหญ่คอยควบคุมกำกับดูแลตลอดเวลา ระยะเวลาในการดูแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 5 นาที ในหนึ่งวันไม่ควรเกิน 1 ครั้ง

ข้อที่ 3 เด็กที่มีอายุ 2-5 ปีถ้าหากจำเป็นจริงๆ ที่ต้องดูหน้าจอ ผู้ใหญ่ควรให้การกำกับดูแลตลอดเวลา และระยะเวลาในการดู คือ ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมงต่อ 1 วัน และรายการหรือ application นั่นควรมีเนื้อหาเหมาะสมกับวัยของเด็ก

ข้อที่ 4 เด็กที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไปควรได้รับการจำกัดเวลา ตามตารางกิจกรรมต่อวันที่เหมาะสมของเด็ก (เด็กๆ ควรทำกิจวัตรประจำวันที่สำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเขาก่อนการมาดูหน้าจอ เช่น การกินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน เก็บที่นอน ทำงานบ้าน ทำการบ้าน หน้าจอ

ส่วนเด็กวัยรุ่นไปจนถึงผู้ใหญ่ ให้เราพิจารณาจากตารางชีวิตในแต่ละวัน เราควรสร้างข้อตกลงกับตัวเอง เพื่อให้เรายังมีสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตครอบครัวได้อยู่

ตัวอย่างกิจกรรมที่ควรทำในตารางเวลาชีวิต เรียงลำดับจากสิ่งที่สำคัญ (สิ่งที่จำเป็น) ที่สุดไปสู่สิ่งที่อยากทำ

  1. กิจวัตรประจำวัน ได้แก่ กินข้าว นอน อาบน้ำ-แปรงฟัน ออกกำลังกาย
  2. งานหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบ ได้แก่ การเรียน การบ้าน งานที่ทำงาน
  3. พักผ่อนอิสระ ได้แก่ การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก เล่นเกม 

หน้าจอจะไม่เป็นอุปสรรคของสายสัมพันธ์ หากพ่อแม่สร้างสายสัมพันธ์นั้นตั้งแต่วัยเยาว์

เด็กทุกคนเมื่อถึงวัยรุ่น อาจจะมีบ้างที่เขาติดเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ และให้ความสำคัญกับสังคมออนไลน์เหมือนเพื่อนๆ ของเขา แต่ถ้าพ่อแม่สร้างพื้นฐานของสายสัมพันธ์ไว้อย่างแข็งแกร่งในช่วงวัย 0-12 ปี เด็กจะระลึกถึงสายสัมพันธ์นั้น และไม่ถลำลึกไปสู่สังคมออนไลน์นั้น หรือ สิ่งที่ไม่ดีที่เรากลัว

การสร้างสัมพันธ์ในวัยเยาว์เริ่มต้นจาก…

  1. พ่อแม่ที่มีอยู่จริง
    การมีเวลาให้ลูก ใช้เวลานั้นร่วมกับเขา เล่น อ่านนิทาน ทำงานบ้าน ทำสิ่งต่างๆ มีกันและกันในช่วงวัยเยาว์ของลูก โดยที่ไม่ใช่การรักลูกแบบตามใจ พ่อแม่ใจดี แต่ไม่ใจอ่อน
  2. สอนสิ่งต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่ การช่วยเหลือตัวเองตามวัย ไม่ตามใจในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ลงโทษรุนแรงจนลูกหวาดกลัวเมื่อลูกทำผิด แต่เราจะสอนและให้เขารับผิดชอบทุกครั้งที่ทำผิด 
  3. เคียงข้างร่วมทุกข์ร่วมสุข เมื่อลูกมีปัญหา เราแนะนำ เคียงข้าง และให้การสนับสนุนในสิ่งที่ลูกเลือก

การรักษาสายสัมพันธ์ในวัยรุ่น หัวใจสำคัญอยู่ที่การสื่อสารและการเป็นบ้านที่อบอุ่น

  1. รับฟังให้มาก พูดบ่นให้น้อย งดตำหนิและซ้ำเติม แต่ไม่ได้แปลว่าเราห้ามพูดอะไรเลย ถ้าหากเราอยากให้วัยรุ่นรับฟัง เราจำเป็นต้องฟังเขาพูดให้จบก่อน และเมื่อถึงคราเราพูด ขอให้พูดสิ่งสำคัญที่จำเป็นก่อน ไม่ใช้อารมณ์และคำเสียดสี ประชดประชัน
  2. สนับสนุน เคียงข้าง ไม่กดดัน วัยรุ่นไม่ต้องการอะไรมากมาย เขาต้องการคนสนับสนุนและเชื่อในตัวเขา แต่ในยามที่เขาผิดพลาด เราแนะนำได้ แต่ต้องให้เขาแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง เพื่อที่วัยรุ่นจะเติบโตขึ้น
  3. ปล่อยวางให้เป็น หากลูกไม่ได้ทำให้ตัวเขาหรือใครเดือดร้อน แค่เพียงสิ่งนั้นไม่ถูกใจพ่อแม่อย่างเรา เช่น การเลือกแต่งตัว สีผม การเลือกเพื่อนของเขา พ่อแม่ที่ลูกวัยรุ่นจะเปิดใจด้วย คือพ่อแม่ที่เป็นนักสังเกต แต่ไม่ใช่นักจับผิด สังเกตเพื่อทำความรู้จักลูก และทำความเข้าใจ หากสิ่งใดไม่ถูกใจ แต่ไม่ได้ผิดอะไร เราต้องปล่อยวาง แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แนะนำชวนวัยรุ่นตั้งคำถาม หรือ ลองเล่าประสบการณ์ตรงที่เราผิดพลาดให้ลูกฟัง เขาจะรับฟังมากกว่าการที่เราจะสั่งเขาและตำหนิเขาโดยตรง 

การสร้างนั้นยาก แต่การรักษาเอาไว้นั้นยากกว่า โดยเฉพาะช่วงที่ลูกเป็นวัยรุ่น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญเราจะได้ทดสอบสิ่งที่เราสร้างมา หากเรามั่นใจว่าเราสร้างไว้ดีพอ เราจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้

ในปัจจุบัน เราหลีกเลี่ยงเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เทคโนโลยีเหล่านั้นไม่ใช่คนหลักที่ลูกจะนึกถึงและปรึกษา แต่เป็นเราที่ลูกนึกถึง และอยากให้เราเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา

ทั้งนี้พ่อแม่เป็นคนเลือกว่าเราจะสร้างสัมพันธ์กับลูกแบบใดในวัยเยาว์ของเขา สายสัมพันธ์นั้นจะเป็นฐานทางใจของลูกไปตลอดชีวิตของเขา เด็กๆ โตเร็วกว่าที่เราคิด และช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ขอให้เราอยู่ตรงนั้นทั้งตัวและหัวใจ 

อ้างอิง

Piaget, J. (1964). Part I: Cognitive development in children: Piaget development and learning. Journal of research in science teaching, 2(3), 176-186.

AAP.org. (n.d.). Retrieved June 23, 2025, from https://www.aap.org/en-us/Pages/Default.aspx

Tags:

สายสัมพันธ์การเล่นพ่อแม่Alpha Generation

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Space
    เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood21st Century skills
    โปรดจ่ายใบสั่งยาที่เขียนว่า ‘เล่น เล่น และเล่น’

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • The Let Them Theory (2): เปลี่ยน ‘การเปรียบเทียบ’ อันขมขื่น ให้เป็นบทเรียนที่นำเราไปสู่ศักยภาพซ่อนเร้น
  • ‘ปลายทางการเรียนรู้คือเด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง’ ดร.ศุภชัย ไตรไทยธีระ ผู้ออกแบบหลักสูตรม่วนๆ ‘หมอลำศึกษา’
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย
  • The Iron Claw: ท่าไม้ตายของพ่อแม่ คือการแสดงความรักอย่างปราศจากเงื่อนไข
  • Gamification EP2: ‘เกม’ เพื่อ ‘การศึกษา’ ที่แท้ ต้องช่วยให้เด็กเชื่อมโยงกับโลกจริง ไม่ใช่เชื่อมโยงกับการได้รางวัล

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • September 2025
  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel