Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: June 2022

สังเกต เลียนแบบ เปรียบเทียบ และการกำกับตนเอง : มองการเรียนรู้ผ่าน social cognitive theory
Learning Theory
15 June 2022

สังเกต เลียนแบบ เปรียบเทียบ และการกำกับตนเอง : มองการเรียนรู้ผ่าน social cognitive theory

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ทำไมเด็กบางคนเลือกที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทำไมบางคนยอมทุ่มเท ในขณะที่อีกคนยอมแพ้ ทำไมวิดีโอที่นักเรียนเลือกดูถึงสร้างการเรียนรู้ที่มีความหมายได้ แม้ปราศจากครู พวกเขากำลังเรียนรู้จากอะไร? ชวนทำความเข้าใจบนมุมมองจิตวิทยาการเรียนรู้ผ่านการสังเกต เลียนแบบ และเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หรือ social cognitive theory
  • ในด้านหนึ่งทฤษฎีนี้กำลังบอกเราว่า การเรียนรู้ของนักเรียนไม่ได้ถูกจำกัดไว้เพียงการรับรู้จากบทบาทของครูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงใครหรือสิ่งใดก็ตามที่ผ่านเข้ามา ทุกอย่างล้วนกลายเป็นโมเดลการเรียนรู้ของพวกเขาได้ หรือแม้กระทั้งตัวเขาเองกลายเป็นโมเดลให้กับคนอื่นด้วย
  • ขณะที่คำพูดอย่าง “ดูอย่างเด็กข้างบ้านเขาได้เกรด 4 เกือบทุกตัว ลูกต้องทำให้ได้นะ” ทำให้เด็กข้างบ้านถูกรับรู้ในฐานะโมโดลที่เขาควรปฏิบัติตามเพื่อความสำเร็จ และนำมาสู่การสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ หรือมองอีกแง่หนึ่งอาจเป็นการสร้างแรงกดดันก็ได้เช่นกัน

ในห้องเรียนหนึ่ง เด็กคนหนึ่งบอกกับครูว่า ไม่มีวันที่เขาจะวาดรูปสวยได้แบบเพื่อน

ในครอบครัวหนึ่ง เด็กคนหนึ่งทุ่มเทกับการเรียนอย่างหนัก เพื่อพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเขาทำได้ดีกว่าเพื่อนข้างบ้าน

ในห้องนอนหนึ่ง เด็กคนหนึ่งกำลังพัฒนาทักษะการเต้นเพลง k -pop จากวิดีโอในยูทูบที่เขารับชมในทุกๆ คืน  

ทั้งสามเรื่องราวคงเป็นเหตุการณ์ที่ใครหลายคนคุ้นเคยกันดี ทั้งจากประสบการณ์ตรงของตัวเองหรือเคยพบเห็นในช่วงจังหวะหนึ่งของการเป็นนักเรียน เรื่องราวเหล่านี้บอกอะไรเราได้บ้างเกี่ยวกับมุมมองการเรียนรู้ ทำไมเด็กบางคนเลือกที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทำไมบางคนยอมทุ่มเท ในขณะที่อีกคนยอมแพ้ ทำไมวิดีโอที่นักเรียนเลือกดูถึงสร้างการเรียนรู้ที่มีความหมายได้ แม้ปราศจากครู พวกเขากำลังการเรียนรู้จากอะไร? ในข้อเขียนนี้ผู้เขียนอยากชวนมาทำความเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนมุมมองจิตวิทยาการเรียนรู้ผ่านการสังเกต เลียนแบบ และเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น หรือที่เรียกว่า social cognitive theory

โมเดลการเรียนรู้กับการสังเกตและเลียนแบบ  

แนวคิดเกี่ยวกับความเข้าใจทางสังคมหรือ social cognitive theory วางอยู่บนมุมมองทางจิตวิทยาที่โต้แย้งกับมุมมองแบบพฤติกรรมนิยม (behaviorism) ที่เชื่อว่า การเรียนรู้ของมนุษย์จะต้องอาศัยสิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้นด้วย เช่น การให้รางวัล และการลงโทษ แต่จิตวิทยา social cognitive theory เห็นว่า ตัวมนุษย์เองนั้นสร้างการเรียนรู้ผ่านการตีความทางสังคม จากการสังเกตหรือข้อมูลที่ได้รับมาจากประสบการณ์ ผู้คนและสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเรียนรู้ของคนแต่ละคน ผ่านการสังเกต เลียนแบบ ทำตาม หรือนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ 

นักจิตวิทยาคนสำคัญของทฤษฎีนี้ อย่าง Bandura เห็นว่า การเรียนรู้เป็นเสมือนกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่อยู่รอบตัว มนุษย์แปลงสิ่งที่รับรู้ไปสู่ตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ที่จะนำทางการกระทำของเรา Bandura เรียกสัญลักษณ์เหล่านั้นว่า ‘โมเดล’ (model) ของการเรียนรู้ เขาเห็นว่าในสังคม มนุษย์จะมองหาโมเดลหรือต้นแบบของการเรียนรู้เพื่อเป็นเสมือนไกด์นำทางในการพัฒนาการเรียนรู้ของตัวเอง ในแง่นี้โมเดลจึงมีอิทธิพลและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเรา

ในอีกด้านหนึ่งทฤษฎีนี้กำลังบอกเราว่าการเรียนรู้ของนักเรียนไม่ได้ถูกจำกัดไว้เพียงการรับรู้จากบทบาทของครูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงใครหรือสิ่งใดก็ตามที่ผ่านเข้ามา ทุกอย่างล้วนกลายเป็นโมเดลการเรียนรู้ของพวกเขาได้ หรือแม้กระทั้งตัวเขาเองกลายเป็นโมเดลให้กับคนอื่นด้วย   

ตัวอย่างเช่น เด็กคนหนึ่งเลียนแบบเสียง ท่าทาง และคำพูดจากตัวละครในการ์ตูนที่เขารับชมผ่านโทรทัศน์อยู่บ่อยครั้ง หรือในโมเดลความเป็นเพศ เด็กชายเห็นเพื่อนเพศเดียวกันเล่นหุ่นยนต์จำนวนมาก และในขณะที่เพื่อนผู้หญิงเล่นตุ๊กตาเป็นส่วนใหญ่  ทั้งหมดนี้ทำให้เด็กรับรู้ว่าอะไรคือของเล่นที่เขาควรจะเล่นให้ตรงกับเพศของตัวเอง และอะไรที่ไม่ควรเล่น (ทั้งที่จริงๆ แล้ว โมเดลเรื่องเพศก็ถูกผลิตซ้ำผ่านของเล่นในสังคมจนกลายเป็นมายาคติ)

ในขณะเดียวกันโมเดลก็ถูกให้ความหมายไปในหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นตัวแบบของความสำเร็จ ตัวแบบที่ควรหลีกเลี่ยง หรือตัวแบบที่สูงส่งเกินกว่าจะทำตามได้ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจากจากการตีความหรือการรับรู้จากสิ่งที่แต่ละคนมองเห็น 

ในชั้นเรียนหนึ่ง เด็กคนหนึ่งเห็นเพื่อนถูกลงโทษจากการทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมตามความคาดหวังของครู  เพื่อนของเขาได้กลายเป็นโมเดลของการยับยั้ง (model as inhibition)  ที่คอยย้ำเตือนว่าอะไรที่เขาไม่ควรทำหากไม่ต้องการถูกลงโทษ 

ในอีกกรณีหนึ่ง เด็กอาจมองเห็นครูในฐานะโมเดลของคนที่มีความสามารถสูง เมื่อฟังสิ่งที่ครูสอน เขาอาจรู้สึกว่าตัวเขาไม่มีวันเข้าใจบทเรียนได้อย่างที่ครูเป็น  แต่เด็กบางคนก็อาจมองว่าครูคือโมเดลที่เขาสามารถจะเป็นได้ งานศึกษาของ Gartoon เกี่ยวกับการเรียนรู้ของเด็กชนพื้นเมืองกลุ่มหนึ่ง ยังพบว่า ก่อนที่เด็กจะตัดสินใจด้วยตนเองได้ ผู้ใหญ่เป็นโมเดลสำคัญที่เด็กๆ จะเรียนรู้อย่างใกล้ชิดในทุกๆ วัน

การเปรียบเทียบทางสังคม การแข่งขัน และการกำกับตนเอง

โมเดลยังสัมพันธ์กับการเปรียบเทียบทางสังคม (social comparison) ด้วย ทฤษฎีของ Festinger ชี้ให้เห็นว่า คนแต่ละคนเปรียบเทียบความสามารถของตัวเองกับคนอื่นเสมอ โดยใช้มาตรฐานบางอย่างเพื่อดูว่าตัวเองเหมือนหรือต่างไปอย่างไร 

การเปรียบเทียบนั้นเกิดขึ้นจากการรับรู้ข้อมูลในเชิงเปรียบเทียบหรือแข่งขันจากผู้คนอื่นที่อยู่รายล้อม เช่น เพื่อนร่วมชั้น ผู้ปกครอง ครู ฯลฯ เราสามารถย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่เด็กต้องการจะพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเขาทำได้ดีกว่าเพื่อนข้างบ้าน ซึ่งนั่นก็อาจมาจากการที่พ่อของเขาพูดเปรียบเทียบความสามารถของลูกกับเด็กข้างบ้านอยู่ตลอด คำพูดอย่าง “ดูอย่างเด็กข้างบ้านเขาได้เกรด 4 เกือบทุกตัว ลูกต้องทำให้ได้นะ” ทำให้เด็กข้างบ้านถูกรับรู้ในฐานะโมโดลที่เขาควรปฏิบัติตามเพื่อความสำเร็จ และนำมาสู่การสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ หรือมองอีกแง่หนึ่งอาจเป็นการสร้างแรงกดดันก็ได้เช่นกัน 

Schunk และทีมที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับแรงจูงใจในการเรียนรู้ ชี้ว่า การเปรียบเทียบทางสังคมกับการพัฒนาการเรียนรู้อาจส่งผลการรับรู้ความสามารถตนเอง  (self-efficacy) ได้ทั้งในแง่บวกและลบขึ้นอยู่กับว่าใครคือคนที่กำลังถูกเปรียบเทียบด้วย เช่น เด็กอาจรู้สึกกับตัวเองในเชิงบวก เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่มีความสามารถต่ำกว่าตัวเอง หรือในงานศึกษาของ Watkins ที่ประเทศจีนเกี่ยวกับมุมมองของนักเรียนที่มีต่อการแข่งขัน พบว่า นักเรียนแต่ละคนมีทั้งความรู้สึกบวกและลบ กลุ่มหนึ่งเห็นว่า การแข่งขันและเปรียบเทียบกับคนอื่นจะช่วยให้เขาได้มุมมองที่จะนำไปสู่ผลสำเร็จ  ขณะบางกลุ่มก็เห็นว่ามันได้สร้างความกดดันมหาศาลในการเรียนรู้  

ในสังคมไทย อย่างที่เราคุ้นเคยกันดี รั้วของโรงเรียนได้กลายเป็นพื้นที่ของการแสดงความยินดีกับความสำเร็จ รูปของนักเรียนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยติดได้ถูกแปะติดลงบนรั้วกำแพงทุกๆ ปี จนกลายเป็นโมเดลของความสำเร็จที่เรียกร้องให้นักเรียนทุกคนต้องเดินตามมาตรฐาน 

หลายคนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในเชิงบวกผ่านตัวอย่างของความสำเร็จ ในทางตรงกันข้าม หลายคนเห็นว่า มันกลับกลายเป็นการสร้างความกดดันลงบนตัวเด็ก หรือพยายามทำให้โมเดลความสำเร็จและการเป็น ‘นักเรียนที่ดี’ ถูกผูกไว้กับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพียงเท่านั้น 

นอกจากนี้ Schunk ยังตั้งข้อสังเกตว่า การเปรียบเทียบในบางครั้งก็ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับคนอื่น แต่เป็นการเปรียบเทียบกับตัวเองในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน 

ในแนวคิดนี้ ยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การกำกับตัวเอง (Self-regulation) ในการเรียนรู้ของเด็ก สามารถเกิดขึ้นได้จากการที่พวกเขาสังเกตตัวเอง (self-observation) เกี่ยวกับความสามารถหรือสิ่งที่ตัวเองทำได้ จากนั้นก็ทำการตัดสินตัวเอง (self-judgment) โดยการเปรียบเทียบตัวเองกับมาตรฐานหรือเป้าหมายบางอย่างเพื่อประเมินความาสามารถ ณ ปัจจุบัน  สุดท้ายจะนำไปสู่การมีปฏิกิริยาต่อตัวเอง (self-reaction)  ถึงความเชื่อมั่นในการบรรลุเป้าหมายหรือพัฒนาได้ ซึ่งหากเด็กไม่เชื่อมั่นก็ยากที่จะเกิดแรงจูงในการเรียนรู้  เราอาจจินตนาการสิ่งนี้ผ่านเหตุการณ์ที่สามที่เด็กกำกับการเรียนรู้การเต้นของตนเองผ่านบทเรียนจากวีดีโอยูทูบ 

ทั้งหมดนี้คือ Social cognitive theory ที่ช่วยฉายให้เราเห็นว่า เด็กคนหนึ่งเกิดการเรียนรู้จากคนรอบข้าง หรือแม้กระทั้งสื่อ และสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเขาในฐานะโมเดลอย่างไร 

บางครั้งโมเดลก็หยิบยื่นความท้าทายและตัวแบบของความสำเร็จที่คอยการกระตุ้นให้เด็กเรียนรู้ในสิ่งที่อยากจะเป็น อยากทำตามเพื่อบรรลุเป้าหมาย แต่ในขณะเดียวกันโมเดลก็ได้สร้างความกดดัน ความรู้สึกเชิงลบต่อตัวเอง ไปจนถึงการล้มเลิกและหลีกเลี่ยง เมื่อไม่สามารถเดินตามตัวแบบที่เป็นอยู่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นอีกโจทย์ที่ท้าท้ายสำหรับครูในการจัดการศึกษา

 อ้างอิง

F.Garton, A. (2007). Learning Through Collaboartion :Is There a Multicultural Perpsective ? Culture,motivation,and learning : a multicutural perpsective , 195-216.

Schunk,D.,Meece,J.,& Pintrich,P. (2014). Motivation in Education Theory, Research and Applications. England: Pearson .Walkins, D. (2007). The Nature of Competition: The Views of Students from Theree Regions of the People’s Repulic of China. Culture,motivation,and learning : a multicutural perpsective, 217-234.

Tags:

social cognitive theoryการเปรียบเทียบทางสังคม (social comparison)การกำกับตัวเอง (Self-regulation)จิตวิทยาการศึกษาการเรียนรู้

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Learning Theory
    ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    หลักสูตรคืออะไรกันแน่?

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

‘Learning Box’ กล่องเครื่องมือกู้คืนการเรียนรู้ถดถอย ที่เปิดให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้: โรงเรียนบ้านยกกระบัตร
13 June 2022

‘Learning Box’ กล่องเครื่องมือกู้คืนการเรียนรู้ถดถอย ที่เปิดให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้: โรงเรียนบ้านยกกระบัตร

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • หัวใจสำคัญของ Learning Box คือครูที่เข้าใจกระบวนการและสามารถที่จะออกแบบการเรียนรู้ ออกแบบประสบการณ์เรียนรู้ทั้งหมดให้กับเด็กเป็นรายบุคคล ใส่ลงไปในกล่องให้เด็กได้
  • โรงเรียนบ้านยกกระบัตร ใช้ Learning Box ในการกู้คืนการเรียนรู้ให้กับเด็ก ทำให้เด็กๆ เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะมีกล่องการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ ตามความสนใจของเด็ก 
  • การจะแก้ปัญหา Learning Loss นอกจากเครื่องมือที่ตรงจุดแล้ว จำเป็นต้องช่วยกันทั้งครู ผู้ปกครองและตัวเด็กเองด้วย ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในครอบครัว ได้ใช้เวลาร่วมกันในการทำกิจกรรม ที่สำคัญคือผู้ปกครองต้องให้ความร่วมมือ

Learning Box เป็นเพียงกล่องเครื่องมือเสริมสร้างการเรียนรู้ธรรมดาๆ กล่องหนึ่ง ที่มีหัวใจสำคัญคือครูที่เข้าใจกระบวนการและสามารถที่จะออกแบบการเรียนรู้ ออกแบบประสบการณ์เรียนรู้ทั้งหมดให้กับเด็กเป็นรายบุคคล ใส่ลงไปในกล่องให้เด็ก ซึ่งกระบวนการสำคัญที่จะทำให้เด็กบรรลุภารกิจนั้นคือ STEAM Design Process (การตั้งคำถาม จินตนาการ วางแผนการทำงาน ลงมือปฏิบัติ และการสะท้อนคิด) ที่ต่อเนื่องจากการเรียนในห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะของตนเองที่บ้าน 

The Potential พาไปดูตัวอย่างวิธีคิดในการจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรม Learning box ต้นแบบจากโรงเรียนบ้านปลาดาว หรือสตาร์ฟิชคันทรีโฮม และผู้นำมาใช้อย่างโรงเรียนบ้านยกกระบัตร ภายใต้โครงการการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อลดภาวะการเรียนรู้ถดถอยและฟื้นฟูการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร หรือ ‘สมุทรสาครโมเดล’ โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ภาคีเครือข่าย และจังหวัดสมุทรสาคร 

โดยมีโจทย์สำคัญในการฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ (Learning Loss) ของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ พร้อมต่อยอดสู่ห้องเรียนต้นแบบ Learning Recovery Labz ห้องปฏิบัติการกู้คืนการเรียนรู้ 

การจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรม ‘Learning Box’ ต้นแบบจากสตาร์ฟิชคันทรีโฮม 

Learning box จะช่วยเสริมสร้างให้เด็กมีทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยการใช้ทักษะการคิด การลงมือปฏิบัติ รู้จักนำ สิ่งรอบตัวมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การทำยากำจัดเหาจากใบน้อยหน่า การทำยากันยุงจากใบตะไคร้ การนำขวดพลาสติกหรืออาหาร มาสร้างสรรค์เป็นสิ่งประดิษฐ์หรือผลงาน ตลอดจนเกิดการต่อยอดจากการสร้างสรรค์ผลงานได้ แม้เด็กๆ จะเรียนรู้อยู่ที่บ้าน ก็สามารถมีพื้นที่ในการสร้างสรรค์จินตนาการได้ทุกที่อย่างไม่ขาดตอน โดยผู้ปกครองเป็นผู้กระตุ้นความคิด และลงมือทำร่วมกับเด็กๆ จนเกิดเป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เกิดเป็นทักษะติดตัวที่นำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้

ทั้งนี้ Learning box ถูกออกแบบสำหรับเด็กแต่ละช่วงชั้น เพื่อให้ได้รับความรู้และทักษะเหมาะสมกับอายุและช่วงวัย โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้แบบบูรณาการ ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ศิลปะ เพื่อพัฒนาสมรรถนะ ทักษะการเรียนรู้ และทักษะด้านสังคมและอารมณ์ โดยเน้นกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active Learning

ดร.นรรธพร จันทร์เฉลี่ย เสริบุตร ประธานมูลนิธิโรงเรียนสตาร์ฟิชคันทรีโฮม กล่าวถึงกรอบแนวคิดในการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กว่า ในระดับห้องเรียน เริ่มต้นประถมศึกษาปีที่ 1 สิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กควรได้รับคือ การพัฒนาทักษะการอ่าน/การเขียน, การคิดคำนวนทางคณิตศาสตร์ และด้านสุขภาวะกายใจ นี่คือ 3 เรื่องหลัก ที่ควรต้องโฟกัสก่อน เพราะเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ที่สามารถต่อยอดไปได้ 

“ในเรื่องของเนื้อหาเราก็เป็นกังวลใจว่ามันคงจะเป็นไปได้ยากที่จะมาสอนทุกอย่างที่มันหายไปแล้วเพิ่มในปีนี้ เพราะฉะนั้นทางที่เราได้ดำเนินการอยู่ก็คือมีการทำงานกับโรงเรียน ทางศึกษานิเทศก์ ทางจังหวัด ดูว่าอะไรที่จะคล้ายๆ กับตัว Learning outcome ที่เราจะมุ่งไปด้วยกัน 

ที่นี้ถ้าเรายกตัวชี้วัดภาษาไทยป.3 เป็นตัวอย่าง ก็คือเราจะมีการตกลงกันว่าขอบข่ายการเรียนรู้ที่เราจะมุ่งเน้นนั้นจะประมาณขนาดไหน นี่คือมาตราฐานขั้นต่ำ แต่ถ้าโรงเรียนได้มากกว่านั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี อันนี้เป็นวิธีที่จะทำให้ครูสามารถออกแบบการเรียนการสอนได้ตรงจุดมากขึ้น แล้วก็มีการประเมินอย่างตรงจุดมากขึ้น ไม่อย่างนั้นมันจะดูเหมือนว่าเราต้องทำทุกๆ อย่างภายในระยะเวลารวดเร็ว ซึ่งในความเป็นจริงมันคงจะปฏิบัติได้ยาก” 

โดยในการออกแบบแผนการสอนของครูนั้น ควรเน้นที่การออกแบบแบบบูรณาการ เช่น อาจเป็นการจัดการเรียนรู้แบบสอนเสริม จัดการเรียนรู้แบบเป็นหน่วย หรืออาจมุ่งเน้นในเรื่องของสมรรถนะให้มากขึ้น 

“หลายคนก็พูดว่าตอนนี้เราพูดถึง Learning Loss แต่เราต้องมองเรื่องของ Learning gain ด้วยว่าสิ่งที่เด็กจะได้ คือบางทีเราอาจจะไม่ต้องกลับไปทำซ้ำทุกอย่างที่เราเคยวางแผนไว้ก่อนโควิด เพราะฉะนั้นตอนนี้เราอาจจะต้องมาดูว่าอะไรที่เป็นส่วนสำคัญที่สุด แล้วก็สามารถที่จะทำให้เด็กเขาก้าวกระโดดไปได้”  

คำถามสำคัญคือ แล้ว Learning Box ดีอย่างไร ดร.นรรธพร ให้คำตอบว่า 

“จริงๆ Learning Box มันก็เป็นแค่กล่อง หัวใจของมันจริงๆ คือ ครูที่เข้าใจกระบวนการและสามารถที่จะออกแบบการเรียนรู้ ประสบการณ์เรียนรู้ทั้งหมดให้กับเด็กรายบุคคล และใส่ในกล่องไปให้เด็กได้ 

ซึ่งในนั้นจะมีวิธีการออกแบบ กิจกรรมที่เด็กพอจะทำได้ แล้วก็มีกระบวนการ STEAM Design Process ที่ทุกคนก็จะเห็นว่าเวลาที่เด็กเขาคิดงานเขาก็จะคิดเป็นกระบวนการตรงนั้น” 

เมื่อเด็กๆ ได้ฝึกคิดและวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอน กลายเป็นว่าเขาจะเริ่มคิดเป็นสเต็ปโดยอัตโนมัติ เป็นกระบวนการคิดที่จะฝังอยู่ในตัวเด็กอย่างยั่งยืน 

“ไม่ว่าเด็กเขาจะมาโรงเรียนได้หรือไม่ได้ กระบวนการนี้ก็คือทุนที่จะติดตัวอยู่ หรือแม้แต่กระทั่งการเรียนภาษาไทย ตอนนี้อย่างที่บอกว่าอย่างในโครงการนี้เรามาดูว่าเราต้องการที่จะมี Learning Outcome (ผลลัพธ์การเรียนรู้) อะไรบ้างที่เราตกลงร่วมกัน แต่อยากจะให้เปิดกว้างถึงวิธีการ เพราะว่าวิธีการแต่ละที่ไม่เหมือนกัน 

อย่างโรงเรียนบ้านปลาดาวหรือวิธีการของสตาร์ฟิช อย่างที่บอกว่าเราไม่ได้สอนให้เด็กท่อง ก.ไก่ ถึง ฮ.นกฮูก ได้ตั้งแต่แรก แต่เราเอาตัวพยัญชนะทั้งหมดมาแบ่งเป็น 4 เซ็ต เราสอนเด็กที่ละเซ็ต เซ็ตแรกก็เป็นพยัญชนะที่ใช้บ่อยและเป็นรูปศัพท์ทั้งหมด 12 ตัว เพราะฉะนั้นเด็กจะเรียนแค่ 12 ตัว ตัวยากๆ อย่าง ฏ.ปฏัก ฎ.ชดา ก็ยังไม่ต้องเรียน เขาเรียนเซ็ตหนึ่งเซ็ตสองซึ่งเป็นตัวที่ common (ทั่วไป) แล้วเขาก็เรียนผสมคำเลย อะ อิ อุ สระเสียงยาวก่อน เพราะฉะนั้นเด็กจะอ่านได้เร็วมาก” 

หลักการสำคัญก็คือจะยังไม่สอนสิ่งที่เด็กยังไม่ใช้ ซึ่งโรงเรียนบ้านปลาดาวใช้วิธีการนี้มา 15 ปีแล้ว “เด็กของเราก็ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแรก เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ยึดติดที่วิธีการ แต่ก็ต้องบอกว่าวิธีเหล่านี้อาจจะไม่เหมาะกับเด็กบางคนก็ได้ มันยังมีอีกหลายวิธีที่เราอาจทำได้ เพราะฉะนั้นโครงการนี้ที่เราอยากจะเน้นย้ำก็คือเรื่องของภาษา ไทย คณิตศาสตร์ แล้วก็เรื่องของสุขภาวะของผู้เรียน” 

ในการจัดกิจกรรมเสริมสร้างการเรียนรู้นั้น ดร.นรรธพร แนะนำว่า สิ่งที่ไม่ควรละเลยคือการฟังเสียงเด็ก เก็บความต้องการ ความสนใจของพวกเขามาออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ 

“เราจะจัดยังไงให้เด็กเขาเห็นว่านี่มันเป็น need ของเขาแล้วเราสามารถที่จะเป็นโซลูชั่นให้เขาได้ ทีนี่เราไม่ต้องไปวิ่งไล่จับเด็กให้เขามาเรียนเสริม เพราะว่ามันเป็นความต้องการของเขา และความสำคัญที่โรงเรียน ครูต้องสามารถที่จะนำมาใช้ นำมาจัดเป็นแผนของโรงเรียนได้ เพราะฉะนั้นแผนโรงเรียนบ้านยกกระบัตรก็คงจะไม่เหมือนกับอีกหลายๆ โรงเรียน อันนี้เป็นหัวใจสำคัญที่เรารู้สึกว่าพอเราให้อิสระโรงเรียน ให้โรงเรียนได้เติบโตเองได้อย่างออแกนิคแล้วมันจะยั่งยืน แล้วมันก็จะเป็นของเขาจริงๆ”

ห้องเรียนต้นแบบ Learning Recovery Lab โรงเรียนบ้านยกกระบัตร 

‘โรงเรียนบ้านยกกระบัตร’ เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษาขนาดกลางของตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร และเป็นหนึ่งในเครือข่ายโรงเรียนต้นแบบฟื้นฟูการเรียนรู้ สมุทรสาครโมเดล จาก 40 โรงเรียนนำร่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจฟื้นฟูการศึกษาหรือ ‘Learning Recovery’ 

ที่ผ่านมาโรงเรียนบ้านยกกระบัตร จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ นอกจากนี้โรงเรียนยังมีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา และพัฒนาโดยใช้กระบวนการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องตามวงจรพัฒนาคุณภาพ PDCA : Plan-Do-Check-Act หรือ วางแผน-ปฏิบัติ-ตรวจสอบ-ปรับปรุง  

นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อเป็นการฝึกทักษะต่างๆ ให้กับนักเรียน เพื่อฝึกให้เด็กๆ คิดเป็นทำเป็น มีทักษะด้านอาชีพ เช่น กิจกรรมห้องครัว กิจกรรมห้องเกษตร กิจกรรมห้องงานช่าง กิจกรรม Sport for you เป็นต้น  

“Learning Box เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเรียนรู้แต่ไม่ใช่ทั้งหมด การที่เด็กจะเรียนรู้ได้มันต้องครู ผู้ปกครอง เด็ก ร่วมมือกัน”  

‘ครูแอม’ ปริญดา ใจสวรรณ์ ครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านยกกระบัตร เล่าว่า Learning Box เด็กๆ จะเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะมีกล่องการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ เนื่องจากเน้นที่ความสนใจของตัวเด็กเป็นสำคัญ 

“ยกตัวอย่างเช่น ครูสอนป.1 ช่วงที่ครูให้ Learning Box ไป คือช่วงที่สมุทรสาครเป็นจังหวัดที่ติดโควิดกันเยอะ ทีนี้ป.1 ของครูเขาจะสอบ RT สอบอ่านเขียน เป็นช่วงปลายๆ เทอมแล้ว ครูก็เลยดูว่าเด็กห้องเรามีเด็กคนไหนที่มีปัญหาบ้าง ปรากฏว่ามีอยู่สองคน ก็คือเขามีโทรศัพท์แต่ไม่มีไลน์ เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีในตอนนั้น แล้วเราจะทำยังไงให้เขาได้เรียนรู้ ได้ฝึกอ่านฝึกเขียน เน้นเรื่องการแต่งประโยคกับการอ่านรู้เรื่อง เพราะเราปูพื้นเรื่องประโยคมาบ้างแล้ว” 

“ในช่วงนั้นเราใช้วิธีนัดให้ผู้ปกครองมารับกล่องเรียนรู้ที่โรงเรียน ให้คนละกล่อง แล้วก็จะมีวิธีการเรียนรู้ ถ้าตรงไหนไม่เข้าใจก็จะมาถามครู คนอื่นเขาก็จะเป็นกล่องคนละแบบกัน ซึ่งในกล่องของเราก็จะมีใบกระบวนการ STEAM Design Process แล้วแต่ว่าเด็กอยากทำอะไร เขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่บ้านได้เต็มที่ เริ่มต้นจากการตั้งคำถามก่อน เสร็จแล้วก็มาวาดภาพ แล้วก็ไปค้นหาว่าใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง วิธีการทำ จากนั้นก็ไปลงมือทำ พอทำแล้วเป็นยังไง ก็ต้องมาเขียนสะท้อนปัญหาในขั้นสุดท้าย” 

“การทำ Learning box ก็แล้วแต่ตามความเหมาะสมว่าครูอยากให้เด็กฝึกอะไร เด็กมีปัญหาอะไร แต่ของครูเราเน้นภาษา เน้นการอ่านออกเขียนได้ ซึ่งตัวกิจกรรมในช่วงโควิดเด็กๆ เขาได้ร่วมทำกับผู้ปกครองด้วย ได้ใช้เวลาร่วมกัน” 

ครูแอมอธิบายว่า Learning Box เหมือนเป็นเครื่องมือในการช่วยแก้ปัญหา Learning Loss หรือภาวะการเรียนรู้ถดถอยในเด็ก 

“สมมติว่าเรื่องการอ่านเขียน ครูก็เอากล่องนี้มาแก้ปัญหา ทีนี้เด็กอยู่บ้านไม่มีอะไรทำก็มาฝึกมาทำพวกนี้ ทำงานประดิษฐ์ ทำอาหาร ทำน้ำดื่มสมุนไพร เอาสักสิบนาทีทำพวกนี้ก็ยังดี มันได้เป็นทักษะชีวิตด้วย ได้ภาษาได้อะไรด้วย ดีกว่าเขานั่งเล่นโทรศัพท์ แล้วพอโรงเรียนเริ่มกลับมาเปิด on-site ได้ ก็นำการทำ Learning Box มาปรับใช้กับวิชาต่างๆ ได้ เช่น ชุดการเรียนรู้ภาษาไทยของแต่ละเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งประโยค สระ เป็นต้น แต่ถามว่ากล่องพวกนี้แก้ปัญหาเด็กร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ถ้าเราไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กกับผู้ปกครองก็แก้ปัญหาไม่ได้”

นอกจากนี้ ครูแอมได้ใช้วิชาศิลปะและพื้นฐานของ Project Based Learning ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กสนุกกับการเรียนมากขึ้นและเป็น Active Learning ซึ่งเด็กไม่เพียงได้ฝึกอ่านเขียนยังได้ประดิษฐ์ชิ้นงานด้วย 

อย่างไรก็ดี ในเป้าประสงค์ของการเรียนระดับชั้นประถมหนึ่งจำเป็นต้องเน้นเรื่องการอ่านออกเขียนได้เป็นสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานที่จะใช้ต่อยอดได้อีกมาก   

สำหรับการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กที่ครูแอมมองเห็นก็คือ เด็กมีพัฒนาการในการเรียนรู้ในทางที่ดี 

การจะแก้ปัญหา Learning Loss นอกจากเครื่องมือที่ตรงจุดแล้ว จำเป็นต้องช่วยกันทั้งครู ผู้ปกครองและตัวเด็กเองด้วย ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในครอบครัว ได้ใช้เวลาร่วมกันในการทำกิจกรรม ที่สำคัญคือผู้ปกครองต้องให้ความร่วมมือ

แม้จะเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องเริ่มจากการที่เด็กตั้งคำถามเอง แต่ในเด็กบางคนยังเจอปัญหาหนักคืออ่านไม่ค่อยออกและเขียนยังไม่ค่อยได้ ครูจึงจำเป็นต้องนำทางในการตั้งคำถาม กระตุ้นให้เด็กเกิดความสงสัยในเรื่องในเรื่องหนึ่ง จากนั้นก็ให้เด็กทำกระบวนการต่อด้วยตนเอง จนจบกระบวนการ เช่น สัปดาห์นี้เรียนวิทยาศาสตร์ ครูก็ตั้งคำถามนำให้ก่อนว่า ถ้านักเรียนเป็นนักวิทยาศาสตร์นักเรียนจะประดิษฐ์อะไร? 

“แต่ละคนก็มีความคิดหลากหลาย อย่างคนนี้อยากประดิษฐ์เรือดำน้ำ เขาก็จะไปดูวิธีทำมาว่าเรือดำน้ำนั้นทำยังไง ซึ่งตรงนี้ผู้ปกครองก็ช่วยกันด้วย แล้วก็ไปลงมือทำ ส่วนขั้นรีเฟล็กซ์อาจจะยังไม่ค่อยได้ก็ไม่เป็นไร เขาก็จะส่งรูปส่งคลิปมา”

“สิ่งที่เด็กๆ เขาจะได้ก็คือ ทักษะภาษา ฝึกอ่าน ฝึกเขียน ตั้งคำถามและหาคำตอบ ช่วยเหลือตัวเองเป็น รู้จักตนเองว่าชอบหรือมีความสนใจอะไร ฝึกกระบวนการทำงาน คิด วางแผน ลงมือทำ”  

อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือทัศนคติของครูที่มุ่งมั่นอยากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เด็ก อยากให้เขาทำได้ ทำเป็น พยายามเสาะวิธีการเพื่อมาช่วยส่งเสริมเด็กและสร้างความเข้าใจกับผู้ปกครองด้วย เพราะนอกจากที่ครูจะต้องรู้จักเด็กเป็นรายบุคคลแล้ว ครูจำเป็นต้องรู้จักผู้ปกครองของเด็กเป็นรายบุคคลด้วย

“ความภาคภูมิใจของครูคือการทำให้เด็กอ่านออกเขียนได้ และต่อยอดไปถึงการอ่านเอาเรื่องด้วย ซึ่งเด็กป.1ของครูอ่านได้ทุกคน เพียงแต่ว่าอ่านได้มากได้น้อยแล้วแต่ตามความสามารถเขา เพราะคนเรามันไม่ได้เก่งเหมือนกัน ตอนนี้ที่เป็นห่วงคือเด็กที่ย้ายมาใหม่มากกว่าที่เขาจะตามเพื่อนไม่ทัน”

“ฟีดแบคจากผู้ปกครองเองก็ไปในทางที่ดีเลย เพราะว่าลูกเขาได้ฝึกทำ แล้วได้มีปฏิสัมพันธ์กันในครอบครัว เด็กบางคนก่อนโควิดไม่ค่อยอยากมาโรงเรียน แต่พอได้ทำกิจกรรมพวกนี้กับพ่อแม่ที่บ้าน เขาก็เริ่มอยากเรียนรู้ ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น แต่ถ้าจะให้อยู่บ้านอย่างเดียวมันก็ไม่ได้เกิดทักษะสังคม ได้เล่นกับเพื่อน ได้ฝึกการทำงานร่วมกัน เด็กๆ เขาก็อยากมาโรงเรียนมากกว่า” 

กล่องการเรียนรู้ ‘ระบบสุริยะ’ ของหนู

“Learning Box ของหนูจะเกี่ยวกับระบบสุริยะค่ะ ก็คือจะทำเป็นแบบจำลองของโลกและดาวเคราะห์ต่างๆ ที่อยู่ในวงโคจรของดวงอาทิตย์ แล้วก็ดาวเคราะห์ทั้งหมดในรูปอาจจะดูว่ามีวงแหวนทั้งสี่ดวงแต่ว่าความจริงแล้วดาวเสาร์เห็นชัดที่สุดเหมือนเป็นเอกลักษณ์ของเขาเลยค่ะ” ศิริรัตน์ ตรีบุตร หรือ สิ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านยกกระบัตร เจ้าของกล่องการเรียนรู้ ‘ระบบสุริยะ’ อธิบายสิ่งที่ตัวเองทำอย่างคล่องแคล่ว 

“หนูชอบปั้นพวกสิ่งของจำลองอยู่แล้วค่ะ แล้วก็ชอบเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ด้วย ก็เลยเลือกทำแบบจำลองระบบสุริยะอันนี้ ในกล่องก็จะมีอุปกรณ์คือดินน้ำมัน แล้วก็ใบศึกษาที่ครูให้มา แล้วก็แผ่นฟิวเจอร์บอร์ด บัตรคำให้ติดเวลาปั้นเสร็จก็จะติดว่าอันนี้คืออะไร มีดินสอ ปากกาด้วย”

เจ้าของกล่องเล่าว่า ในขั้นตอกแรกจะต้องวางแผนการทำงานโดยกระบวนการ STEAM Design Process ใบงานที่ครูจะใส่ไว้ในกล่อง จากนั้นเริ่มจากตั้งคำถาม หรือสิ่งที่อยากจะทำลงไปในนั้น 

“หนูก็จะตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบสุริยะ หนูอยากรู้ว่าระบบสุริยะเป็นแบบไหน ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง แล้วก็วาดรูปว่าเราจะทำออกมาแบบไหน จะปั้นออกมาแบบไหน ซึ่งเราต้องศึกษาแล้วก็วางแผนเอง แล้วก็ลงมือทำ ก็จะได้ออกมาเป็นผลลงานของหนูค่ะ อย่างอันนี้ดาวพุธก็จะเป็นสีขาว ดาวศุกร์ก็จะมีสีส้มกับสีขาวผสมกัน โลกก็จะมีสีเขียวๆ น้ำเงินๆ แล้วก็เสาร์จุดเด่นคือมีวงแหวน 

เสร็จแล้วก็ต้องมาสะท้อนความคิดจากสิ่งที่ทำ สมมติว่าหนูปั้นดินน้ำมันได้ไม่ดีพอ หนูก็จะเขียนว่า ปั้นดินน้ำมันยังไม่ดีพอครั้งหน้าต้องทำให้ดีกว่านี้ น่าจะต้องศึกษาการผสมสีให้ดีกว่านี้ เพื่อให้ครั้งหน้าทำออกมาได้ดีที่สุด แต่หนูก็ภูมิใจในผลงานของตัวเองค่ะที่สามารถทำได้ตามที่จินตนาการไว้” 

นอกจากนี้ สิได้สะท้อนถึงสิ่งที่ได้รับผ่านการเรียนรู้นี้ว่า “หนูได้เรียนรู้เกี่ยวกับการแก้ปัญหา เวลาปั้นเป็นโลกหรือดาวเคราะห์ต่างๆ บางทีไม่มีดินน้ำมันสีที่ต้องการ ก็ต้องผสมเอง อย่างอันนี้ก็ผสมสีส้มกับสีขาวแต่ว่าไม่ต้องขยี้ให้ละเอียดมากก็จะได้สีนี้ ต้องแก้ปัญหาตรงนี้ แล้วก็ได้รู้จักตัวเองด้วยว่าเราชอบอะไร ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองด้วย เพราะเราต้องศึกษาด้วยตัวเอง แต่ถ้าไม่เข้าใจก็สามารถถามครู ถามผู้ปกครองได้ ต่อไปหนูอยากเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ค่ะ อยากเอามาทำงานศิลปะแบบนี้ เป็นการบูรณาการได้ทั้งศิลปะแล้วก็คณิตศาสตร์เลย”

Tags:

การเรียนรู้ถดถอยLearning Box กล่องการเรียนรู้โรงเรียนบ้านยกกระบัตร

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Dek-Hoo-Jak-Kuam_nologo
    Transformative learningSocial Issues
    ‘เด็กฮู้จักควม’ คิดเป็น ทำเป็น เห็นคุณค่าในตัวเอง เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ    

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    ไม่ควรมีเด็กคนไหนไร้การศึกษา เชื่อมโอกาสค้นพบศักยภาพด้วยการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์ชีวิต  

    เรื่อง The Potential

  • somjukchana
    Life Long Learning
    ‘วิทยาลัยส้มจุก’ พื้นที่ปลูกความหวัง สร้างการเรียนรู้ ปูทางสู่อนาคตกลุ่มเปราะบาง: อะหมัด หลีขาหรี

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Creative learning
    Learning Box ปลดล็อกการอ่าน-เขียนภาษาไทย ในโรงเรียนกลุ่มชาติพันธุ์: โรงเรียนบ้านแม่ตะละ

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • ชั่วโมงห้องครัว โรงเรียนบ้านยกกระบัตร: Makerspace ที่เน้นการเรียนรู้ระหว่างทางมากกว่าผลลัพธ์

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

CARS : มากกว่าชัยชนะคือหัวใจของความเป็นมนุษย์
Movie
11 June 2022

CARS : มากกว่าชัยชนะคือหัวใจของความเป็นมนุษย์

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Cars บอกเล่าเรื่องราวของรถแข่งดาวรุ่งพุ่งแรงที่ชื่อ ไลท์นิง แม็คควีน ผู้เย่อหยิ่งในความสามารถแต่กลับประมาทเลินเล่อจนพลาดท่าเข้าเส้นชัยพร้อมคู่แข่ง ทำให้ทั้งหมดต้องไปตัดสินแชมป์กันอีกครั้งที่แคลิฟอร์เนีย
  • ระหว่างเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย แม็คควีนเกิดพลัดหลงไปยังเมืองร้างที่ชื่อ Radiator Springs ทั้งยังทำถนนของเมืองพัง จึงถูกลงโทษให้ซ่อมถนนให้เสร็จ ระหว่างนั้นเขาค่อยๆ เรียนรู้สิ่งสำคัญของชีวิตและมิตรภาพดีๆ ที่ทำให้จิตใจที่แข็งกระด้างของเขาอ่อนลงและกลายเป็นรถแข่งที่ดีกว่าเดิม
  • Cars เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นของค่ายดิสนีย์ – พิกซาร์ ในปี 2006 ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์และคว้ารางวัลต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลแอนนี่อวอร์ดส์ ประจำปี 2006

ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับรถและความเร็ว หลายคนอาจนึกถึงลุคเท่ๆ ของโดมินิก ทอเร็ตโต (วิน ดีเซล) จากภาพยนตร์แฟรนไชส์ชื่อดัง THE FAST AND THE FURIOUS แต่เชื่อว่าบางคนอาจนึกถึง ‘ไลท์นิง แม็คควีน’ รถแข่งสีแดงสุดเท่ที่มีชีวิตจาก Cars หรือ ‘4 ล้อซิ่ง…ซ่าท้าโลก’ ภาพยนตร์แอนิเมชันของค่ายดิสนีย์ – พิกซาร์

ฉากที่น่าจะอยู่ในความทรงจำของแฟนๆ คือลีลาการโลดแล่นในสนามแข่งรถ  รวมถึงลิ้นยาวๆ ของแม็คควีนที่มักจะแลบออกมาเวลาเจออุปสรรคในสนามหรือตอนเข้าเส้นชัย (เหมือนนักวิ่งที่ชอบยื่นหัวเข้าเส้นชัย) แต่ผมกลับนึกถึงความเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใครของแม็คควีน คล้ายกับคนที่ขาด Emphaty (ความเข้าอกเข้าใจคนอื่น) ซึ่งมีอยู่มากมายในสังคมที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน

ทว่า Disney ก็คือ Disney พวกเขาพยายามหาเหตุการณ์สำคัญมากดดันให้แม็คควีนพลาดพลั้ง และเรียนรู้บางอย่างจากความผิดพลาดนั้น ก่อนเปลี่ยนตัวเองให้สมกับการเป็นพระเอกของ Disney ในตอนจบ

ดาวรุ่งสุดฮอต

กาลครั้งหนึ่ง ในโลกที่ไม่มีมนุษย์ แต่กลับมีมนุษย์ในรูปแบบของรถ ไลท์นิง แม็คควีน คือรถแข่งสีแดงและดาวรุ่งพุ่งแรงที่หลายคนให้ความสนใจ เขากำลังลงแข่งขันชิงชัยในรายการ PISTON CUP …รายการแข่งรถที่เป็นสุดยอดปรารถนาของเหล่ารถแข่งทั่วโลก   

ณ สนามประลองความเร็ว แม้แม็คควีนจะยังไล่ตามผู้นำ อย่าง ‘ชิก ฮิคส์’ รถแข่งรุ่นพี่ที่นิยมการเล่นสกปรกทุกรูปแบบ รวมถึง ‘เดอะคิง’ รถแข่งอันดับ 1 ของยุค แต่เขากลับไม่สะทกสะท้านและไต่อันดับแซงขึ้นมาเรื่อยๆ 

ในการแข่งขัน นอกจากความเร็วและทักษะต่างๆ แล้ว สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือจุด PIT STOP หรือพื้นที่สำหรับซ่อมแซมรถ (รถทุกคันจะต้องมาตรวจเช็คสภาพตามกฎการแข่งขัน) โดยเฉพาะการ ‘เปลี่ยนยาง’ ที่ทั้งร้อนทั้งย้วยจากการใช้ความเร็วและเข้าโค้งอย่างไม่ปราณี  

แน่นอนว่ารถแข่งคันอื่นๆ ต่างก็เปลี่ยนยางเมื่อถึงเวลา แต่แม็คควีนกลับบอกให้ทีมช่างเติมเพียงน้ำมันเท่านั้น 

เกือบแพ้แต่ไม่ชนะ

ผลจากการไม่เปลี่ยนยางทำให้แม็คควีนแซงขึ้นนำเดี่ยวในรอบสุดท้าย ดูผิวเผินเขากำลังจะคว้าถ้วยรางวัลชนิดทิ้งห่างที่สองแบบไม่เห็นฝุ่น ทว่าก่อนเข้าเส้นชัยในอีกไม่ถึง 200 เมตรข้างหน้า จู่ๆ ล้อของแม็คควีนก็ระเบิดและหลุดออกมาถึง 2 เส้น!!! 

ฟากเดอะคิงและฮิตช์เมื่อเห็นแม็คควีนเพลี่ยงพล้ำ จึงเร่งสปีดกันสุดฤทธิ์เพื่อหวังขโมยแชมป์จากเจ้ารถสีแดงหน้าใหม่ ขณะที่แม็คควีนก็ไม่ยอมแพ้และพยายามกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดอย่างทุลักทุเล ซึ่งยังโชคดีที่รถแข่งทั้งสามเข้าเส้นชัยไปพร้อมกันราวกับปาฏิหาริย์ ทำให้สามผู้ชนะต้องกลับมาประลองความเร็วตัดสินกันอีกครั้งที่แคลิฟอร์เนีย ในอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้า

หลังการเสมอสุดพิสดาร นักข่าวสาวรายหนึ่งได้โผล่มาถามแม็คควีนว่าเขาเสียใจไหมที่ทีมไม่มีหัวหน้าช่าง (แม็คควีนปลดหัวหน้าช่างไปแล้ว 3 คน เพราะเขามักมีปากเสียงกับหัวหน้าช่างและไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการบำรุงซ่อมแซมสภาพรถ)

“…ผมอยากให้ผู้ชมรู้สึกซู่ซ่าหน่อยน่ะ ผมเสียใจรึเปล่าที่ไม่มีหัวหน้าช่าง ไม่เสียใจ เพราะผมชอบฉายเดี่ยว”

แม็คควีนตอบคำถามนักข่าวอย่างเย่อหยิ่ง แถมยังตวาดทีมช่างที่เหลือต่อหน้าสื่อที่อุตส่าห์เข้ามาช่วยเปลี่ยนล้อที่หลุดออกไป ทำให้ทีมช่างหมดใจและขอลาออกยกทีม

“ก็แค่คนเติมน้ำมัน จะไปหายากตรงไหน” แม็คควีนกล่าวกับนักข่าว 

แม้จะชอบลีลาในสนามของไลท์นิง แม็คควีน แต่พอเห็นวิธีการปฏิบัติต่อทีมงานแล้ว ผมกลับรู้สึกหมั่นไส้ในท่าทางอวดดีและไม่เห็นอกเห็นใจใคร เพราะการแข่งรถนั้นเป็นเรื่องของ ‘ทีมเวิร์ก’ ดังนั้นในการทำงานเป็นทีม ถ้าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งแล้วไม่ให้เกียรติคนอื่น (เอาใจเขามาใส่ใจเรา) ความอวดดีนี้ก็จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เหมือนที่แม็คควีนพลาดแชมป์ PISTON CUP จนต้องไปลุ้นต่ออีกหนึ่งสนาม 

“เฮ้ นายเป็นนักแข่งใจถึงนะ แต่นายโง่ชะมัด นี่ไม่ใช่งานโชว์เดี่ยวไอ้หนู นายต้องฉลาด หาหัวหน้าช่าง และลูกทีมดีๆ …นายจะไม่ชนะถ้าไม่มีทีมคอยช่วยเหลือ”

เดอะคิงแนะนำนักแข่งรุ่นน้องด้วยความหวังดี ทว่าคำพูดนั้นก็คล้ายสายลมที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของแม็คควีนอยู่ดี

นรกหลังเขา

‘นรกหลังเขา’ เป็นคำนิยามที่แม็คควีนมอบให้กับเมือง RADIATOR SPRINGS ซึ่งแม็คควีนบังเอิญพลัดหลงเข้ามาระหว่างการเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย ทั้งยังเผลอทำถนนของเมืองพังพินาศ เขาจึงถูก ‘ด็อก ฮัดสัน’ ผู้พิพากษาศาลของเมืองลงโทษให้ซ่อมถนนให้เสร็จ แม้เขาจะขอลดโทษเนื่องจากต้องรีบไปแข่ง PISTON CUP ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ แม็คควีนจึงเร่งซ่อมถนนแบบขอไปที ปรากฏว่าถนนกลับมีสภาพขรุขระจนรถที่สัญจรผ่านไปมาแทบทรงตัวไม่ได้ 

“ตกลงกันว่าให้คุณซ่อมถนน ไม่ใช่ทำให้แย่ไปกว่าเดิม แซะมันออกซะแล้วเริ่มใหม่!” ด็อกยื่นคำขาด

อย่างไรก็ดี ด็อกได้ยื่นข้อเสนอให้กับแม็คควีนว่าหากแม็คควีนแข่งรถชนะเขา เขาจะอาสาซ่อมถนนแทนแม็คควีนเอง ทำให้แม็คควีนรีบตกลงรับคำท้า…เพราะถึงยังไงรถชราอย่างด็อกก็ไม่มีวันเอาชนะเขาได้แน่นอน

ทว่าแม็คควีนคิดผิดถนัด เพราะระหว่างแข่งขัน เขาดันซิ่งสุดแรงด้วยความลำพอง และทำท่าจะชนะง่ายๆ แต่พอเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย แม็คควีนกลับเข้าโค้งไม่ทันและแหกโค้งตกลงไปในดงกระบองเพชร สวนทางกับด็อกที่วิ่งไปเรื่อยๆ และเข้าเส้นชัยแบบสบายใจเฉิบ พร้อมเหน็บแนมแม็คควีนว่า “ขับรถเหมือนซ่อมถนน” 

หลังปราชัยอย่างน่าอับอาย แม็คควีนจึงจำใจต้องอยู่ในเมืองร้างแห่งนี้ต่อไปจนกว่าจะซ่อมถนนเสร็จ ทำให้เขารู้ว่าเดิมทีเมือง Radiator Springs ที่เงียบเหงาแห่งนี้เคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่พอทางการได้สั่งตัดถนนทางหลวงเชื่อมรัฐต่อรัฐเส้นใหม่ (ซึ่งประหยัดเวลาเดินทางกว่าเดิมประมาณ 10 นาที) นับแต่นั้น ก็แทบไม่มีรถคันใดใช้ถนนเส้น ‘Route 66’ ที่แล่นผ่านเมือง Radiator Springs อีกเลย

พอได้ฟังเรื่องราวของเมืองและสัมผัสน้ำใจของชาวเมืองบ่อยเข้า จิตใจที่หยาบกระด้างของแม็คควีนก็ค่อยๆ อ่อนลง แม็คควีนก็เริ่มรู้จักเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นและเปิดใจให้กับมิตรภาพใหม่ๆ จนเขาสัมผัสว่าแท้จริงเมืองแห่งนี้ไม่ใช่นรกหลังเขา แต่เป็นสวรรค์บนดินที่เขารู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับบ้านอีกครั้ง

นิวแม็คควีน

ระหว่างที่ถนนของเมืองดีขึ้นตามลำดับเหมือนความสัมพันธ์ของแม็คควีนกับชาวเมือง ด็อกเองก็ทราบว่าแม็คควีนมักใช้เวลาว่างไปกับการเอาชนะ ‘โค้งกระบองเพชร’ ที่ไม่ว่าจะฝึกกี่ครั้ง แม็คควีนก็จะจ้ำเบ้าลงไปในดงกระบองเพชรเสมอ

ด็อกจึงแนะเคล็ดลับสั้นๆ ว่า “ถ้าจะหักโค้งซ้าย นายต้องหักล้อไปทางขวา” แต่แม็คควีนยังคงแคลงใจและไม่เชื่อในความหวังดีของด็อก เพราะด็อกก็ไม่ต่างกับตาแก่ที่ชอบพูดไปเรื่อย และแม็คควีนคงคิดแบบนั้นตลอดไป ถ้าไม่บังเอิญเข้าไปในห้องเก็บของของผู้พิพากษาในวันถัดมา  

ที่นั่น แม็คควีนแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เมื่อรู้ความลับที่เก็บงำมาหลายทศวรรษของด็อก เพราะเขาคือ ‘ฮัดสัน ฮอร์เน็ต’ อดีตแชมป์ PISTON CUP สามสมัย ที่รีไทร์จากวงการตั้งแต่สมัยยังรุ่ง เพราะประสบอุบัติเหตุอย่างหนักระหว่างการแข่งขัน แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือหลังพักฟื้นอยู่นานจนพร้อมลงสนามอีกครั้ง กลับไม่มีใครให้การต้อนรับเขา 

ฮัดสัน ฮอร์เน็ตจึงหันหลังให้กับวงการความเร็วและหนีมาใช้ชีวิตอย่างสงบที่เมือง RADIATOR SPRINGS

พอทราบความจริงของด็อก แม็คควีนผู้เย่อหยิ่งก็เริ่มพินอบพิเทากับด็อกมากขึ้น และพยายามจีบให้ด็อกช่วยสอนเทคนิคต่างๆ ให้ แต่ด็อกกลับปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าเคยสอนเทคนิคให้แม็คควีนไปหมดแล้ว แต่แม็คควีนนั่นแหละที่ไม่ยอมเปิดใจ

แชมป์ในใจผู้ชม

ในที่สุดแม็คควีนก็ซ่อมถนนเสร็จและกลับไปประลองความเร็วเพื่อชิงถ้วย PISTON CUP โดยระหว่างการแข่งขัน แม็คควีนกลับสติไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย เริ่มตั้งแต่การออกตัวที่ช้ากว่าคู่แข่งประมาณ 3 วินาที หรือการเหม่อลอยระหว่างทำการแข่งขัน เพราะจิตใจของเขายังคงมูฟออนจากเมือง RADIATOR SPRINGS ไม่ได้ ที่สุดแล้วเขาจึงไล่ตามหลังผู้นำอย่าง เดอะคิง และ ชิก ฮิคส์ อยู่ 1 รอบ

ในช่วงเวลาแห่งความท้อแท้สิ้นหวัง จู่ๆ เขาก็เห็นชาวเมือง RADIATOR SPRINGS มาตามเชียร์เขาถึงสนามแข่ง แถมอาสามาเป็นทีมช่างให้กับเขาที่จุด Pit Stop โดยมีด็อก หรือ ฮัดสัน ฮอร์เน็ต รับหน้าที่เป็นหัวหน้าช่างท่ามกลางความสนใจของทุกคนในสนามที่ได้เห็นตำนานระดับแชมป์เปี้ยนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

แม็คควีนเร่งทำความเร็วและงัดเทคนิคเข้าโค้งของด็อกมาใช้จนตามไล่บี้กับสองผู้นำในที่สุด ทั้งยังตัดสินใจเข้าจุด Pit Stop เพื่อเปลี่ยนยางแบบที่รถแข่งคันอื่นทำกัน ซึ่งทีมช่างของแม็คควีนทำการเปลี่ยนยาง 4 ล้อ ในเวลาเพียงแค่ 2 วินาที ทำเอาพวกนายช่างของทีมคู่แข่งถึงกับยืนปากอ้าตาค้างอยู่อย่างนั้น 

ด้วยพลังใจที่เต็มเปี่ยม เทคนิคอันแพรวพราว และทีมช่างที่ดี ทำให้การแข่งขันในรอบสุดท้าย แม็คควีนไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว เขาขึ้นนำคู่แข่งทั้งสองชนิดอย่างไม่เห็นฝุ่นเช่นเคย และทำท่าจะเข้าเส้นชัยในอีกไม่ถึง 100 เมตร

!!!

!!!

!!!

ภาพตัดไปที่ชิก ฮิกส์ แม้การเป็นแชมป์อาจเป็นความใฝ่ฝัน แต่เหนือกว่านั้น ชิก ฮิกส์ คืออันดับสองผู้อยู่ใต้เงาของเดอะคิงมาตลอด พอรู้ว่าตัวเองคงไล่แม็คควีนไม่ทันแล้ว เขาจึงขอชนะเดอะคิงให้ได้สักครั้ง ด้วยการอัดกระแทกรถของเดอะคิงให้เสียหลักจนตีลังกาเกือบสิบตลบ สภาพรถยับเยินจนแทบดูไม่ได้ 

จังหวะนั้นแม็คควีนเหลือบตาไปเห็นภาพของเดอะคิงปรากฏบนจอขนาดยักษ์ของสนาม เขาตัดสินใจเหยียบเบรกกะทันหันหน้าเส้นชัยที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร ก่อนซิ่งย้อนกลับไปหาเดอะคิงที่นอนหมดสภาพ (คล้ายกับภาพข่าวของด็อก สมัยประสบอุบัติเหตุระหว่างการแข่ง PISTON CUP)

“นายจะทำอะไรน่ะเจ้าหนู” เดอะคิงกล่าวอย่างตกใจ

“ผมคิดว่าเดอะคิงควรจบแข่งครั้งสุดท้ายให้จบ”

“นายเพิ่งทิ้งถ้วย PISTON CUP นะ นายรู้ใช่ไหม”

“มันก็แค่ถ้วยเปล่าที่ไร้ความหมาย รถแข่งแก่ๆ ขี้โมโหคันหนึ่งเคยบอกผม”

แม็คควีนค่อยๆ เข็นเดอะคิงเข้าเส้นชัย ท่ามกลางเสียงปรบมือกรีดร้องของผู้ชมในสนาม แม็คควีนเรียนรู้ว่าน้ำใจและมิตรภาพนั้นสำคัญกว่าชัยชนะ เพราะแม็คควีนไม่ต้องการให้เดอะคิงต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดตลอดชีวิตเหมือนกับด็อก และแม้จะพลาดแชมป์ที่ใฝ่ฝัน แต่แม็คควีนก็ได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นคือการเอาชนะใจตัวเองซึ่งเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

สำหรับผม แม็คควีนได้เข้าถึงสิ่งที่เรียกว่า Emphaty ด้วยตัวเอง และ Emphaty นี้ก็จุดประกายให้เขาตัดสินใจตอบแทนชาวเมือง Radiator Springs ด้วยการตั้งศูนย์บัญชาการรถแข่งขึ้น ทำให้เมืองที่เงียบเหงากลับมาคึกคักและมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

Cars เป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์จำนวน 3 ภาคของค่ายดิสนีย์ – พิกซาร์ โดยภาคแรกที่ผมเขียนถึงเป็นภาพยนตร์ในปี 2006 ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์และคว้ารางวัลต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลแอนนี่อวอร์ดส์ ในปี 2006

Tags:

McQueenชัยชนะมิตรภาพPixarCars

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Book
    คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Win or Lose: ‘ลูกไม่ต้องเป็นคนเก่งที่สุด แค่ลูกทำมันให้ดีที่สุด’ ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือชนะใจตัวเองในแต่ละวัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Foely Friend-nologo
    Relationship
    เมื่อ ‘เพื่อนรัก’ กลายเป็น ‘เพื่อนร้าย’ แล้วเราจะก้าวผ่านความเจ็บปวดได้อย่างไร

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    เพื่อนคนเก่ง: ในมิตรภาพอันแสนซับซ้อนนั้นมีทั้งความรักและความอิจฉา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Dr.Pla Wimonmas-Cover 1
    Social IssuesLife classroom
    อย่าชนะในเกมแค่วินาทีนี้ แต่แพ้ในชีวิตตลอดไป: ฝึกใจให้พร้อมสู้ทุกสนาม กับ ผศ.วิมลมาศ ประชากุล นักจิตวิทยาการกีฬา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

สิ่งที่เราเป็นไม่ได้ผิด กฎต่างห่างที่ผิด: บทเรียนจากหญิงสาวที่เรียกตนเองว่าผู้หญิงข้ามเพศ (Transwomen)
Myth/Life/Crisis
10 June 2022

สิ่งที่เราเป็นไม่ได้ผิด กฎต่างห่างที่ผิด: บทเรียนจากหญิงสาวที่เรียกตนเองว่าผู้หญิงข้ามเพศ (Transwomen)

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ‘โรม ชิษณ์ชาภา พานิช’ ผู้หญิงฉลาด งดงามและเต็มไปด้วยศักยภาพ ผู้ซึ่งเรียกตนเองว่า ‘Transwoman หรือผู้หญิงข้ามเพศ และมีความทรงจำอันบาดลึกในวัยเด็กจากการถูกตัดผมหน้าเสาธง ซึ่งสำหรับเธอแล้วสิ่งที่ตัดไปไม่ใช่แค่เส้นผม แต่มันคือ ‘ส่วนเสี้ยวตัวตน’ ของเธอที่ถูกทำให้แตกสลายลงต่อหน้าสาธารณะ
  • โรงเรียนอันเต็มไปด้วยกฎแห่งความ ‘ปรกติ’ กลายเป็นดั่งโรงทรมานคนข้ามเพศให้เจ็บปวดและรู้สึกไม่ปลอดภัยจากการข่มเหง หนำซ้ำกฎระเบียบก็ไม่ได้ถูกออกแบบมามาเพื่อความหลากหลาย และเธอก็โตขึ้นมาในสังคมพร้อมกับความรู้สึกว่าแทบไม่มีสถานที่ใด ‘ปลอดภัย’
  • หลายคนมองว่าเธอเข้มแข็ง แต่เธอกลับรู้สึกว่าคนที่ ‘อดทน’ ต่อการถูกบีบให้อยู่ในกรอบเกณฑ์อันไม่เป็นธรรม แต่เป็นที่ยอมรับของสังคมต่างหากที่เข้มแข็ง โรมมองว่าคนอย่างเธอที่สุดท้ายก็ต้องออกมาต่อสู้เรียกร้องนั้นเป็นคนอ่อนแอ เพราะฉากหน้าที่กล้าหาญได้ช่วยบดบังเธอ ที่กำลังร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะร้องแล้ว  

“แม้ฉันจะมีจู๋ และถูกบีบบังคับให้พกมันติดตัวไปไหนต่อไหน แต่ฉันรู้ตัวเสมอว่า ฉันเป็นเด็กผู้หญิง.. พวกเขาตบตี ที่ฉันร้องไห้ พวกเขาต่อยเด็กหญิง ผ่านร่างกายที่เป็นเด็กชายของฉัน” – นั่งคุยกับจิ๋ม โดย อีฟ เอนส์เลอร์

1.

โรม ชิษณ์ชาภา พานิช ผู้หญิงฉลาด ฉะฉาน งดงาม เต็มไปด้วยความรู้และศักยภาพ ภายใต้ประกายฉานฉายเรืองรองเหล่านี้ เธอมีความทรงจำในวัยเด็กอันบาดลึกจากการถูกกระชากเส้นผมขึ้นมาตัดที่หน้าเสาธงต่อหน้าเพื่อนและเด็กนักเรียนอื่นทั้งโรงเรียน เพราะเธอทำผิดกฎระเบียบ

สำหรับเธอ สิ่งที่ตัดไป มันไม่ใช่แค่เส้นผม มันคือ ส่วนเสี้ยวตัวตนของเธอที่ถูกทำให้แตกสลายลงต่อหน้าสาธารณะ และมันคือเรื่องราวต่อจากนั้นที่เธอถูกบังคับให้ขอโทษอาจารย์ที่ตัดผมเธอด้วยการเดินเข้าไปกราบท่าน เธอบอกว่ารู้สึกอับอาย แต่คำนี้ก็ไม่พอบรรยายความรู้สึกภายในที่ซับซ้อนกว่านั้นของโรม ผู้ซึ่งเรียกตนเองว่า ‘Transwoman หรือผู้หญิงข้ามเพศ

สำหรับเธอ โรงเรียนกลายเป็นดั่งโรงทรมานคนข้ามเพศ(ซึ่งโรมใช้รวมถึงคนที่ความรับรู้ในใจไม่สอดคล้องกับเพศกำเนิด แต่ยังไม่มีโอกาสผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงด้วย)ให้เจ็บปวดและรู้สึกไม่ปลอดภัยจากการข่มเหง ล้อเลียน ด้อยค่า หัวเราะเยาะ ฯลฯ หนำซ้ำกฎระเบียบก็ไม่ได้ถูกออกแบบมามาเพื่อความหลากหลาย เฉกเช่นกรณีของโรม เด็กหญิงข้ามเพศในโรงเรียนจะต้องดำรงชีวิตตามกฎของเด็กชายในทุกมิติ.. ในแต่ละวันที่ผ่านไป..

2.

โรงเรียนอันเต็มไปด้วยกฎแห่งความ ‘ปรกติ’ และความสงบเรียบร้อย ขับเน้นให้โรมรู้สึกชัดเจนว่าร่างกายชายที่ ‘สวมอยู่’ ไม่ตรงกับความรู้สึกภายในแห่งตัวตนที่เป็นหญิงของเธอ  เธอโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าแทบไม่มีสถานที่ใด ‘ปลอดภัย’ เว้นแต่ในห้องนอนและในละครโทรทัศน์ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอเป็นผู้หญิงได้โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะมีใครมารังแก

เธอเล่าให้ฟังว่าผู้ชายที่โรงเรียนมักแกล้งแหย่เธอด้วยการจับนม (หญิงสาวได้รับฮอร์โมนตั้งแต่อายุ 14 ปี) จับก้น ดังนั้น ยิ่งเวลาต้องไปเข้าค่ายนอนรวม อาบน้ำรวม เธอยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย และในสิ่งแวดล้อมทำนองนี้ บางทีเธอก็ต้องแอ๊บแมนให้รู้สึกปลอดภัยขึ้น  

แม่เลี้ยงเดี่ยวผู้แข็งแกร่งและโอบอุ้มของเธอซึ่งคอยสนับสนุนให้เธอเป็นตัวเองตามที่เป็น ถูกถามว่า “เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นกระเทย?” ไม่เพียงแค่นั้น ในวัยเด็กเธอยังต้องฟังคำเหยียดหยาม หรือไม่ก็ตีขลุมว่าอัตลักษณ์ทางเพศแบบนี้ต้องไปทำงานเต้นกินรำกิน เอาเงินไปเลี้ยงผู้ชาย ฯลฯ อีกทั้งมีอคติว่าไม่สามารถไปทำวิชาชีพอย่างแพทย์หรือนักกฎหมายได้ ทั้งที่ความจริงต่อมาก็คือ โรมได้ทุนจนเรียนจบนิติศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(ABAC)

3.

ในช่วงวัยรุ่น เธอเล่าว่าถูกกระทำชำเราและไปสถานีตำรวจด้วยความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกล่วงเกิน ทว่าเธอถูกซักถามโดยตำรวจชายในที่เปิดเผยต่อหน้าผู้คนซึ่งเดินไปมา ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดมาก และจวบจนบัดนี้ที่เรื่องราวดังกล่าวผ่านพ้นไปเนิ่นนานแล้ว เธอก็ยังต้องเจอบรรดาผู้ชายไทยที่เข้ามาตั้งคำถามกับเธอซ้ำซากว่า “ผ่าหรือยัง?” พอเธอตอบว่าผ่าแล้ว ประโยคที่มักตามมาก็คือ “ขอลอง”  

เหมือนตอนที่เธอจำต้องไปเกณฑ์ทหาร มีผู้ชายในหน่วยเกณฑ์ติดต่อขอให้เธอออกไปหาเขาที่โรงแรม หญิงสาวรู้สึกอึดอัดและถามว่าให้ไปทำไม เขาบอกว่าอยากลอง อยากกอด แต่ไม่ได้จริงจังอะไร ยังมีกรณีอื่นที่เธอไม่ยอมให้ผู้ชายร่วมเพศ ผู้ชายจึงขอให้ อมให้ ครั้นเมื่อเธอปฏิเสธ เขาก็พูดขึ้นว่า “ปกติกระเทยชอบอมอยู่แล้วไม่ใช่หรอ?” !! บางครั้ง ผู้ชายก็ลวนลามเธอพร้อมกับคำแก้ตัวที่ว่า ถ้าเธอ “เป็นผู้หญิงจริงๆ เขาก็จะให้เกียรติมากกว่านี้” !   และการไม่ใช่ ‘ผู้หญิงจริงๆ’ ก็คือถ้อยคำที่ชายที่ชอบโรมและโรมก็ชอบด้วย ใช้เป็นเหตุผลที่ไม่สามารถไปต่อแน่นหนักกับเธอได้..

บุปผางามที่แสวงหาความรักจริงจังมาตลอดทราบดีว่ามีผู้หญิงข้ามเพศที่สมหวังในรัก เธอไม่ได้อยากนำอัตลักษณ์ดังกล่าวไปผูกโยงกับความช้ำรัก เพียงแค่เมื่อใดที่เธอเผลอ ความคิดที่ว่าเธอเป็นดอกไม้ปลอมก็มักผุดขึ้นในใจ..

4.

ยังมีความยากลำบากอีกมากมายที่ไม่ได้บอกเล่า บ่อยครั้ง คนที่ไม่มีประสบการณ์บางอย่างนั้นไม่มีวันเข้าใจ ไม่อยากจะเข้าใจและยังอาจกระหน่ำซ้ำเติมอีกด้วย       

ชีวิตของโรมไม่ง่าย หลายคนมองว่าเธอเข้มแข็ง แต่เธอกลับรู้สึกว่าคนที่อดทนต่อการถูกบีบให้อยู่ในกรอบเกณฑ์อันไม่เป็นธรรมแต่เป็นที่ยอมรับของสังคมต่างหากที่เข้มแข็ง ส่วนคนอย่างเธอซึ่งในที่สุดก็ต้องออกมาต่อสู้เรียกร้องนั้น เธอรู้สึกว่าเป็นคนอ่อนแอ  …ฉากหน้าที่กล้าหาญได้ช่วยบดบังเธอซึ่งกำลังร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะร้องแล้ว  

ในวันนี้ เธอในฐานะนักกฎหมายรู้จักใช้ พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ เพื่อต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ที่เธอรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม หลายครั้งเธอฟังเรื่องราวของน้อง ๆ transgender และอยากต่อสู้แทน แต่เธอก็เคารพน้องๆ ซึ่งยังไม่พร้อมจะใช้ชื่อตนเป็นผู้เสียหายด้วยเหตุผลที่อ่อนไหวหลายประการ  

และในวันนี้ แนวคิดอื่นๆ เกี่ยวกับความเป็นผู้หญิงของเธอเปลี่ยนไปจากอดีตที่เธอเคยพยายามประพฤติตนให้สอดคล้องกับความเป็น ‘ผู้หญิงดี’ ตามพิมพ์โรงเรียนรัฐบาล เธอก้าวข้ามแม้แต่สิ่งเหล่านั้นและไม่นำมันมากดทับตัวเองซ้อนเข้าไปอีก ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียบร้อยและไม่จำเป็นต้องแสดงความเป็นหญิง (feminine) ตามแบบฉบับที่ถูกบ่มเพาะ หรืออาจจะไม่ได้ทำตามตำรับหญิง ‘ดี’ แบบที่ระบอบชายเป็นใหญ่ต้องการ

บนพื้นภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งปกคลุมด้วยทุ่งดอกไม้กินอาณาเขตสุดสายตา เคล้ากลิ่นอบอุ่นหอมหวานของวานิลลาจางๆ โรม มีสำนึกในความเป็นหญิงอย่างเต็มเปี่ยม ❄

อ้างอิง

“พวกเขาตบตีเด็กหญิง ผ่านร่างกายที่เป็นเด็กชายของฉัน” จาก นั่งคุยกับจิ๋ม (The Vagina Monologues), โดย อีฟ เอนส์เลอร์ พิมพ์โดย สำนักพิมพ์มูลนิธิหยดธรรม

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276

Tags:

Transwomenผู้หญิงข้ามเพศLGBTQA+

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Movie
    ชีวิตในมุมอับของคำว่า ‘ครอบครัว’: แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่างเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Hannah Gadsby: Nanette คอมเมเดี้ยนเกย์ที่(เคย)เกลียดตัวเองและอยู่อย่างไม่มีตัวตน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    เราต่างงดงามแล้วจางหาย: หรือแค่คำปลอบใจของชีวิตผุพัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Monster: เรื่องโกหกที่เริ่มต้นจากความกลัวเพราะไม่อยากเป็นตัวประหลาด

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: หากแม้คนทั้งโลกจะใจร้าย ขอแค่พ่อแม่รักและเข้าใจก็พอ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Everything Everywhere All at Once
Dear ParentsMovie
10 June 2022

Everything Everywhere All at Once

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • หนังเรื่อง Everything Everywhere All at Once เล่าถึง ‘เอเวอลีน’ คุณแม่วัยกลางคนชาวเอเชียธรรมดาๆ ของ ‘จอย’ ลูกสาวที่ไม่ค่อยลงรอยกันกับแม่ เพราะเธอลี้ยงลูกด้วยการบังคับกดดันและแทบไม่ฟังลูกเลย สไตล์ครอบครัวเอเชีย
  • วันหนึ่ง ‘เอเวอลีน’ ได้พบว่าตัวเองในอีกมิติจักรวาลหนึ่งได้สร้าง ‘โจบู ทูปากิ’ หรือ ‘จอย’ ลูกสาวของเธอที่อยู่ในอีกจักรวาลให้กลายเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกวนทุกจักรวาลจนปั่นป่วน คล้ายกับว่าเธอระเบิดตัวเองจากการกดดันของแม่
  • วิธีเดิมอย่างการบังคับ ห้าม หรือพูดกระแนะกระแหน หรือแม้แต่สิ่งที่พ่อแม่คิดว่ามันดีที่สุดสำหรับลูก อาจไม่ได้ช่วยลูก แต่อาจเป็นการผลักลูกให้ไกลออกไปก็ได้ ซึ่งจริงๆ สิ่งที่ลูกต้องการ อาจเป็นแค่การที่พ่อแม่ลองฟังลูกๆ ว่าเขารู้สึกอย่างไร และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น

Tags:

ลูกEverything Everywhere All at Onceโรคซึมเศร้า

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    พ่อแม่ไม่ใช่อรหันต์ ปล่อยวางความคาดหวังแล้วหันมา ‘ใจดีกับตัวเอง’ 

    เรื่อง อัฒภาค

  • Movie
    Monster: เรื่องโกหกที่เริ่มต้นจากความกลัวเพราะไม่อยากเป็นตัวประหลาด

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Beef (2023) เก็บกด แบกรับ ปิดบัง ฉบับ Asian Americans

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Lady Bird : ด้วยรักและเอาชนะ ระหว่างมนุษย์ลูกผู้อยากโผบินกับมนุษย์แม่ขี้โมโห

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Billy Elliot: ความฝันนอกกรอบ และความรักของพ่อผู้ยอมหักหลังตัวเองเพื่อลูกชาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Space Inspirium พื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ เมื่ออวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
SpaceLife Long Learning
9 June 2022

Space Inspirium พื้นที่สร้างแรงบันดาลใจ เมื่ออวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ปัจจุบัน ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น เพราะได้มีการนำความรู้และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ และพัฒนานวัตกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ
  • ภารกิจหลักของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(สทอภ.) คือ การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ให้เป็น ‘ความรู้ไร้พรมแดน’ สร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม โดยมี Space Inspirium เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศแห่งแรกของประเทศไทย
  • Space Inspirium เน้นการเรียนรู้แบบ Life Long Learning สำหรับคนทุกวัย และการเรียนรู้แบบ Learn and Play ผ่านการสัมผัสกับอุปกรณ์เครื่องเล่นที่สร้างแรงบันดาลใจ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยเตรียมคนสู่อนาคต และพัฒนาศักยภาพให้ไปสู่สิ่งที่ใฝ่ฝันได้

เมื่อพูดถึง ‘อวกาศ’ สิ่งที่หลายๆ คนอาจนึกถึงคือพื้นที่อันกว้างใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและเป็นสิ่งไกลตัวจนดูเหมือนแทบจะจับต้องไม่ได้ แต่หากเราขยับมุมมองอีกสักนิดจะพบว่า อวกาศนั้นอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะเทคโนโลยีต่างๆ ที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันก็ล้วนเป็น ‘เทคโนโลยีอวกาศ’ เกือบทั้งสิ้น

“ทุกอย่างเป็นเรื่องอวกาศ แต่เราแค่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำในชีวิตประจำวันนั้นคืออวกาศ เพราะอวกาศคือสิ่งที่พัฒนาประเทศชาติ พัฒนาชีวิตของมวลมนุษยชาติให้ดีขึ้น”

The Potential ชวนคุยกับ ปราณปริยา วงค์ษา ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(สทอภ.) หรือที่รู้จักกันดีในนามของ ‘GISTDA’ ผู้อำนวยการ ‘Space Inspirium’ แหล่งเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทย ที่จะมาเปิดมุมมองใหม่ๆ ในการสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับอวกาศให้กับคนทุกเพศทุกวัย และบอกกับเราว่า ‘อวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป’ 

ในปัจจุบันเทคโนโลยีอวกาศเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น มีการนำความรู้ วิธีการ และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ เพื่อการเรียนรู้และการทำความเข้าใจต่อปรากฏการณ์ต่างๆ และพัฒนานวัตกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ

“การที่เราจะพัฒนาประเทศนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศก็จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะอวกาศคือ ‘ดวงตาของโลก’ อย่างเช่น ภาพดาวเทียม ภาพถ่ายทางอากาศ ถ้าเป็นแต่ก่อนก็จะมีข้อจำกัดเยอะ แต่เดี๋ยวนี้พอเป็นภาพดาวเทียมที่สามารถถ่ายได้ทุกมุมโลกมันก็ทำให้เราสามารถวางแผนและนำไปประยุกต์ใช้ได้ง่ายขึ้น”

ผอ. Space Inspirium กล่าวเพิ่มเติมว่า ความจริงแล้วในประเทศไทยมีองค์กรและเครือข่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศอยู่ทั่วประเทศ ทำหน้าที่ส่งเสริมศักยภาพของบุคลากรในประเทศ และเปิดโอกาสทุกคนสามารถเข้าถึงทรัพยากรความรู้ ซึ่ง GISTDA เอง ก็เป็นศูนย์กลางแหล่งเรียนรู้ในการพัฒนากำลังคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างยั่งยืน และเป็นแกนหลักที่สำคัญที่ผลักดันเยาวชนไทยให้ไปสู่สากลในด้านอวกาศ

Space Inspirium แหล่งเรียนรู้ที่ไม่จำกัดวัยและไม่ปิดกั้นความฝัน

Space Inspirium ตั้งอยู่ ณ อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เป็นแหล่งเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศของประเทศไทย โดยมุ่งสร้างนิสัยใฝ่รู้ตั้งแต่วัยเด็กและการเรียนรู้ร่วมกันของคนต่างวัย ควบคู่กับการส่งเสริมให้องค์กร กลุ่มบุคคล ชุมชน ประชาชน และสื่อทุกประเภทเป็นแหล่งเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ 

“ภารกิจหลักของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(สทอภ.) คือ การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ให้เป็น ‘ความรู้ไร้พรมแดน’ สร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม ซึ่งเราก็มีแหล่งเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศแห่งแรกของประเทศไทย ในนามว่า Space Inspirium ที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนซึ่งผู้มาเยือนจะได้รับรู้ตัวตนบนจักรวาลอันจะเกิดแรงบันดาลใจในการดำรงชีวิต” ผอ. ปราณปริยา กล่าวถึงภารกิจสำคัญของ Space Inspirium 
“ในส่วนของ GISTDA มองว่า ‘การพัฒนากำลังคน’ ซึ่ง หมายถึงการพัฒนาทุกช่วงวัยตั้งแต่เยาวชนไปจนถึงผู้ใหญ่นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะต้องเริ่มจากการบ่มเพาะบุคลากรให้พร้อมใช้ ไปสู่การสร้างกำลังคนทุกภาคส่วน ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นการเรียนรู้แบบ Life Long Learning”

Learn & Play สัมผัสประสบการณ์จริงบนอวกาศจากพื้นโลก

“คอนเซ็ปต์ของเราคือ ‘อวกาศไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกแล้ว’ เพราะมันอยู่รอบตัวเราเลย มันคือเทคโนโลยีที่เราไม่เคยรู้ว่ามันอยู่รอบตัวและเราก็ใช้มันมาโดยตลอด

พอทุกคนเข้ามาก็จะได้เรียนรู้เรื่องของ ‘เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ’ เป็นการเรียนรู้ประสบการณ์นอกห้องเรียนที่สร้างความรู้ความเข้าใจ ซึ่งโอกาสในการเรียนรู้เทคโนโลยีอวกาศสำหรับเยาวชนไทยนั้น ยังคงเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ยาก และน้อยคนนักที่จะมีโอกาส

เราจึงขยายผลและกระจายโอกาสให้ทั่วถึง ด้วยการให้ทุกคนมาสัมผัสและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งเราจะเน้นการ Learn and Play ไม่เน้นการท่องจำ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ช่วยเตรียมตัวคนสู่อนาคต สร้างอาชีพใหม่ในประเทศไทย

การได้สัมผัสกับอุปกรณ์เครื่องเล่นที่เป็นของจริงไม่ใช่ในตำรา จะทำให้เราสามารถเกิดจินตนาการที่จะมีแรงบันดาลใจ เกิดการค้นพบตนเอง ทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ และพัฒนาศักยภาพให้ไปสู่ในสิ่งที่ใฝ่ฝันไว้ ซึ่งไม่แน่ว่าในอนาคต เราอาจจะมีนักบินอวกาศที่ติดธงชาติไทยขึ้นไปบนอวกาศคนแรกก็เป็นได้นะคะ” ผอ.ปราณปริยา กล่าว

ออกแบบจักรวาลแห่งความฝัน สู่การสร้างแรงบันดาลใจในความจริง

“เราทำให้ที่นี่เป็นสถานที่จุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจในเรื่องของ ‘อวกาศ’ ให้เป็นเรื่องที่ใครก็เข้าถึง ให้ได้สัมผัสกับสิ่งที่เขาคิดว่าไกลตัว และเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับคนไทย ซึ่งที่แห่งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยเลยก็ว่าได้

ในส่วนของคอนเทนต์ต่างๆ ก็จะมีนักวิชาการเฉพาะทางที่มีความรู้หลากหลายจากเครือข่ายต่างๆ มาช่วยดีไซน์เพื่อสร้างคอนเทนต์ขึ้นมา จากนั้นจึงนำศาสตร์ต่างๆ มารวมกันในลักษณะ STEM (Science Technology Engineering and Mathematics Education:STEMEducation) นับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายในการสร้างแหล่งเรียนรู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคน

เพราะเราต้องตีโจทย์ให้แตกว่าเป้าประสงค์ของเราคืออะไร จึงต้องให้ผู้ที่มีความรู้เฉพาะทาง มาแปลงวิชาการให้เป็นการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ทุกช่วงวัยที่เข้ามา ดังนั้นตรงนี้ก็จะเป็นการหลอมรวมนักวิชาการต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาช่วยกันระดมสมองและดีไซน์ออกมาและร้อยเรียงให้เป็นเรื่องราวเดียวกัน”

สำหรับการนำเสนอเนื้อหาที่ Space Inspirium จะแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ชั้นบนเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับอวกาศ ร้อยเรียงไทม์ไลน์ช่วงต่างๆ เริ่มจากการกำเนิดของเอกภพของกาแล็กซี่ต่างๆ สู่วิวัฒนาการคิดค้นการส่งกระสวยไปนอกอวกาศ จนได้เทคโนโลยีอวกาศมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษยชาติ 

ส่วนชั้นล่าง เป็นเรื่องของการนำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ เน้นภารกิจของสำนักงานฯ ในด้านภูมิสารสนเทศ การจัดทำภาพถ่ายแผนที่ดาวเทียมจากดาวเทียมไทยโชตเพื่อใช้ในการแก้ไข พัฒนา ส่งเสริม และเป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ในการตัดสินใจของผู้บริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การแก้ไขน้ำท่วม น้ำมันรั่วไหลในท้องทะเล วิเคราะห์พื้นที่เพาะปลูก การบริหารจัดการผังเมือง การบุกรุกป่าไม้ เป็นต้น

โดยจุดที่เป็นไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เลยคือเครื่องเล่นจำลองการอยู่บนอวกาศ ที่จะทำให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ผ่านการเล่นจริง

“จุดไฮไลท์ของที่นี่ที่ทุกคนชื่นชอบเลย ก็จะเป็นเครื่องเล่นที่ส่งเสริมทักษะองค์ความรู้ซึ่งใครมาแล้วต้องห้ามพลาดเลยจะมีอยู่ 3 เครื่องด้วยกันค่ะ” เครื่องเล่น ‘Gyroscope’ เป็นการจำลองการฝึกของนักบินอวกาศให้มีความเคยชินกับสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง หรือแรง G เพราะเมื่อนักบินไปปฏิบัติภารกิจนอกกระสวยต้องพบกับสภาวะที่ไม่คาดคิด จึงจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ให้ได้ ซึ่งเครื่องนี้ขอบอกเลยว่ามีที่ Space inspirium ที่เดียวในประเทศเลยก็ว่าได้ค่ะ 

ส่วนเครื่องที่ 2 คือเครื่องเล่น ‘Mars Walk’ เป็นการจำลองการเดินบนดาวอังคารในสภาวะไร้น้ำหนัก โดยเราจะเดินแบบลอยตัวเหมือนอยู่บนอวกาศ ซึ่งเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็กๆ ได้รับรู้และสัมผัสกับประสบการณ์จริงๆ ด้านอวกาศนอกห้องเรียน 

และเครื่องเล่นที่พลาดไม่ได้อีก 1 เครื่อง คือ VR Sphere เป็นการจำลองพัฒนาพื้นที่ EEC เหมือนเป็นการนั่งอุโมงค์ไปสู่โลกแห่งอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า โดยมุ่งเน้นทางด้านการคมนาคมและการขนส่งทั้ง ทางเรือ ทางอากาศ ทางบก ซึ่งจะสามารถเป็นระบบการตัดสินใจและเพื่อตอบโจทย์ให้แก่ผู้บริหารประเทศได้นำไปเป็นเครื่องมือพัฒนาในอนาคตต่อไป”


ผอ.ปราณปริยา เสริมว่า นอกจาก Space Inspiruim ซึ่งเป็นแหล่งการเรียนรู้ด้านอวกาศแล้ว GISTDA ยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิศาสตร์สารสนเทศ และมีการส่งสื่อการเรียนรู้ บทเรียนออนไลน์ให้แก่เครือข่ายต่างๆ ทั้งมหาวิทยาลัยและโรงเรียนทั่วประเทศเพื่อพัฒนาการเรียนรู้แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป

และมีการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศผ่านกิจกรรม ONE DAY KIDS โดยจัดให้เยาวชนจากสถานศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศได้รับความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ รวมถึงบทบาทของ ‘ดาวเทียมไทยโชต’ ที่มีต่อการสำรวจและปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยใน 1 วัน 

พร้อมส่งเสริมทักษะผ่านเกมส์ โดยการกำกับดูแลของวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งจะทำให้เยาวชนได้เกิดกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลในการสร้างสรรค์ผลงานด้านเทคโนโลยีอวกาศ สามารถนำไปต่อยอดในการศึกษาและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตนเองได้

“อย่างที่บอกว่าที่นี่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เรามีมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นลูกข่าย 7 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ นอกจากนี้ก็มีศูนย์เรียนรู้เครือข่ายอยู่ 19 ศูนย์ ทั่วประเทศ ดังนั้นเวลาที่มีกิจกรรมอะไร เราก็สามารถเชื่อมต่อไปยังศูนย์ต่างๆ ได้เลยโดยตรง เพื่อส่งเสริมการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลาเรียนรู้ ซึ่งตอนนี้มีโรงเรียนกว่าแสนโรงเรียนที่เป็นสมาชิกเครือข่าย”

“เร็วๆ นี้ก็มีการส่งน้องๆ นักเรียนทุนไปฝึกอบรมที่ศูนย์อวกาศ NASA ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันมาก

เรามองว่าเด็กไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่นเลย แต่เขาขาดโอกาส เราเลยพยายามใช้แหล่งเรียนรู้นี้เป็นเซ็นเตอร์ โดยโจทย์ของเราก็คือ ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ”

การไป ‘อวกาศ’ ไม่ใช่แค่จินตนาการ หากพ่อแม่สานฝันและสนับสนุน

“ฝากถึงพ่อแม่ผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้องนะคะ ถ้าเรามีโอกาสผลักดัน เราก็ควรต้องสานฝันและสร้างบันดาลใจ เหมือนกับที่ Space Inspirium แห่งนี้ ที่ให้มาลองเจอประสบการณ์จริงก่อนไปอวกาศ 

เมื่อก่อนตอนที่เราทำงานใหม่ๆ เราเห็นว่าเด็กๆ เกือบทุกคนล้วนฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ แต่ถามว่าในประเทศไทยมีนักบินอวกาศแล้วหรือยัง คำตอบก็คือยังไม่มี ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าเด็กทุกคนมีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักบินอวกาศ  เขาก็สามารถทำได้เหมือนเด็กประเทศอื่นๆ แต่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเปลี่ยน Mindset ว่าการไปอวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวขนาดนั้น

เราสามารถสนับสนุนเด็กเหล่านั้นได้ด้วยการเตรียมพร้อมให้เขา และระหว่างการเรียนรู้เด็กเขาจะรู้เองว่าการจะเป็นนักบินอวกาศต้องเตรียมตัวเตรียมใจยังไงบ้าง แต่เราก็ต้องให้ข้อมูลและสนับสนุนอย่างถูกต้อง”

สุดท้าย ผอ.ปราณปริยา เชื่อว่าการไปอวกาศจะกลายเป็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่สำคัญในอนาคต รวมถึงมองว่าทิศทางของเทคโนโลยีอวกาศในประเทศไทยจะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น และเธอก็เชื่อว่า Space Inspirium จะเป็นแหล่งบ่มเพาะที่ดีที่จะสร้างคนสู่อนาคต

“เราเชื่อว่าทุกภาคส่วนตระหนัก คอยร่วมแรงร่วมใจกันผลักดันในระดับประเทศ และมีกลุ่มที่ขับเคลื่อนไปสู่ระดับนโยบาย ถ้าเป็นแบบนี้อนาคตก็คงสดใส ประชาชนก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีอวกาศ เพราะอวกาศมีคุณค่า”

Tags:


Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Perfect Days: เพราะวันที่ดีคือวันที่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Simulation experience pedagogy: รู้สึกถึงโลกใบนี้โดยไม่ต้องมองให้เห็น

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    ‘ดื้ออีกนิด ไปต่ออีกหน่อย’ กับ ซิสุ (Sisu) ปรัชญาชีวิตของชาวฟินแลนด์

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • MovieDear Parents
    The Makanai: cooking for the maiko house ประเทศที่คนจะทำอาชีพอะไรก็ได้

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.2 ‘6 วิธี เปลี่ยนวิกฤตวัยทอง 2 ขวบ (Terrible 2) ให้เป็นช่วงเวลาทองแห่งการเติบโตของพ่อแม่ลูก’
Early childhoodFamily Psychology
9 June 2022

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.2 ‘6 วิธี เปลี่ยนวิกฤตวัยทอง 2 ขวบ (Terrible 2) ให้เป็นช่วงเวลาทองแห่งการเติบโตของพ่อแม่ลูก’

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • การรับมือกับวิกฤต ‘วัยทอง 2 ขวบ’ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่พ่อแม่สามารถเตรียมตัวรับมือได้ด้วย 6 วิธี ที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีและเพื่อพัฒนาการของลูกในอนาคต
  • ‘เวลาคุณภาพ’ ไม่ใช่เวลาแห่งการตามใจลูก แต่เป็นเวลาแห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน พ่อแม่ควรให้ความสนใจกับลูกอย่างเต็มที่ รวมถึงเปิดโอกาสให้ลูกได้ทำในสิ่งที่อยากทำและสอนเขาด้วยวิธีที่เหมาะสม
  • หัวใจสำคัญคือ ผู้ใหญ่ต้องไม่กลัวเมื่อเด็กอาละวาด แต่ให้ยอมรับว่าการอาละวาด การร้องไห้และการต่อต้านเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เพื่อการเติบโตของเด็กวัยนี้ ไม่ต้องตกใจและรับมือด้วยความสงบ

วิธีที่ 1 ก่อนจะสอนเรื่องใดๆ พ่อแม่สร้างสายสัมพันธ์กับลูกด้วยการมีเวลาคุณภาพให้เขา

หากเรามีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พ่อแม่จะสอนลูกง่ายขึ้น เพราะเขาจะอยากฟังในสิ่งที่เราพูด และทำตามในสิ่งที่เราทำและสอน 

สายสัมพันธ์ที่ดีเกิดจากการมีเวลาอยู่กับลูกอย่างแท้จริง เวลาที่ได้สบตากัน สัมผัสด้วยรักและความอบอุ่น กอด หอม และเข้านอนด้วยกัน เวลาที่ได้ทำกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือนิทานด้วยกัน เล่น ทำงานบ้านด้วยกัน 

เวลาคุณภาพ ไม่ใช่เวลาแห่งการตามใจลูก แต่เป็นเวลาแห่งการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การให้ความสนใจกับลูกอย่างเต็มที่ วางทุกอย่างลง ทั้งมือถือและภาระงาน มองตาลูก รับฟัง และสอนเขาโดยการทำสิ่งนั้นไปพร้อมกับเขา 

หากไม่ค่อยมีเวลา พ่อแม่มีทางเลือกคือ ‘ทำให้เวลาที่มีอยู่ ขอให้ใช้เวลานั้นอย่างมีคุณภาพที่สุด เพราะปริมาณสำคัญน้อยกว่าคุณภาพ’ 

หัวใจสำคัญของการสอนเด็กวัยนี้คือ ‘ผู้สอนต้องทำให้เป็นแบบอย่างและทำไปกับเขาด้วย’ ขั้นตอนการสอนมีดังนี้ 

1. ทำให้ดู 

2. พาเขาทำ 

3. ทำด้วยกัน 

4. ปล่อยให้เขาทำเอง โดยมีเราดูอยู่ห่างๆ 

5. เขาทำได้เอง แม้ไม่มีเราอยู่ตรงนั้น

วิธีที่ 2 พ่อแม่มีหน้าที่ควบคุมกติกาและตารางเวลาให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ควบคุมลูกด้วยการพูด‘ห้าม อย่า หยุด’ ตลอดเวลา

เด็กทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ช่วยเหลือ เขาอยากทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง หากแต่ต้องการโอกาสจากผู้ใหญ่ 

เด็กวัยนี้ชอบทำอะไรด้วยตนเอง เขาอยากช่วยเราทำงานบ้าน อยากทำในสิ่งที่พ่อแม่ทำ ถ้าเราไม่ให้ เขาทำ และในทางตรงกันข้ามเราเลือกทำสิ่งต่างๆ ให้เขา เพราะเรารู้สึกว่ามันสะดวกและง่ายกับเรามากกว่า นั่นเป็นการตัดโอกาสที่จะทำให้เด็กได้เรียนรู้และพัฒนาหลายๆ ด้าน 

สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ 

‘สอนลูกช่วยเหลือตัวเองและทำงานบ้านตามวัย’ 

เพื่อให้เขาได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองตั้งแต่เล็ก เมื่อเขาเติบโตมา เขาเรียนรู้โดยธรรมชาติว่า สิ่งเหล่านี้คือหน้าที่และส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา ที่สำคัญเขาจะพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น ไม่ต้องรอเราไปช่วยเขา เขาสามารถทำเองได้โดยไม่ต้องรอให้ใครมาทำให้ ความหงุดหงิดจะลดลง ความภาคภูมิใจในตัวเองจะเกิดในวัยนี้

‘กำหนดกติกาของครอบครัวให้ชัดเจน’

ไม่ต้องเยอะข้อและทุกคนในครอบครัวอยู่ภายใต้กติกา เดียวกัน เช่น กฎ 3 ข้อ ‘ไม่ทำร้ายผู้อื่น’ ‘ไม่ทำร้ายตนเอง’ ‘ไม่ทำลายข้าวของ’  หากทำผิด เราจะให้โอกาสโดยการเตือนเขาก่อนในครั้งแรก หากเขาเลือกที่จะทำต่อไป นั่นคือเขาไม่พร้อมทำสิ่งนั้นต่อและควรพาออกมาคุยกันก่อน 

‘มีตารางเวลาที่ชัดเจน’

สิ่งที่จำเป็นต้องทำ เช่น กินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว ใส่รองเท้า เก็บ ของเล่น เข้าห้องน้ำ

การมีตารางเวลาที่ทำสม่ำเสมอ เด็กจะจดจำและรู้หน้าที่ของตนเองว่า เขาต้องทำอะไร ตอนไหน ตารางเวลาเป็นผู้ควบคุมเขา ไม่ใช่พ่อแม่ และเมื่อเด็กโตขึ้นเขาจะเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองให้ทำตามตารางเวลา โดยไม่ต้องให้พ่อแม่มาควบคุมเขา 

‘กำหนดให้ชัดเจนว่าอะไรได้/อะไรไม่ได้’  

ทางที่ดีที่สุดสำหรับเด็กวัยนี้ หากเราไม่อยากห้ามเขาเยอะ ให้พาเขาไปในที่ที่เหมาะสมกับวัยของเขา เช่น สนามเด็กเล่น สนามหญ้า สวน หรือ จะจัดบ้านให้เหมาะกับการเล่น เพื่อที่ว่าเขาจะได้ใช้ร่างกายออกแรงเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกลัวว่าข้าวของจะพังเสียหาย หรือต้องคอยระวังอันตรายมากนัก ที่สำคัญผู้ใหญ่ไม่ควรมอบสิ่งที่เรียกว่า ‘หน้าจอ’ ให้กับเขาในวัยนี้ เพราะเด็กมีแนวโน้มจะติดง่ายมาก เนื่องจากความสามารถในการยับยั้งชั่งใจยังมีไม่มากพอเมื่อเทียบกับเด็กโต ผนวกกับ ร่างกายและสมองที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว หากเด็กใช้เวลาอยู่กับหน้าจอ เขาจะสูญเสียโอกาสที่จะได้ใช้ร่างกายช่วยเหลือตัวเอง เล่นอย่างเต็มที่ และพัฒนาสมองในทุกๆ ส่วน

วิธีที่ 3 ให้เด็กได้เล่นและออกแรงเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเพียงพอ

ควรเน้นการเล่นที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่-มัดเล็ก ไม่ใช่การดูหน้าจอ หรือ เล่นเกม 

อย่าคาดหวังให้เด็กวัยนี้นั่งรอเรียบร้อยดั่งผ้าที่พับไว้ เพราะธรรมชาติของเด็กวัยนี้คือนักวิ่งร้อยเมตรที่วิ่งได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถ้าเหนื่อย(แบตหมด) คือจอดแบบไม่ส่งสัญญาณใดๆ 

พัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กวัย 2-4 ปี คือ ร่างกายในส่วนของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของเขาทำงานอย่างเต็มที่ ดังนั้นเด็กอยากทดสอบกำลังแขน ขา ของเขาในการทำสิ่งต่างๆ และสิ่งที่เด็กวัยนี้ทำได้คือ วิ่ง ปีน คว้า โยน ขว้าง ฉีก ขยำ เตะ ปัด ตี และอื่นๆ 

‘เปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสมด้วยกิจกรรมดีๆ’  

เด็กวัยนี้ชอบโยน ขว้าง เราให้เขามาโยนบอล โยนผ้าลงตะกร้า เขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำ และเราไม่ต้องห้ามเขาด้วย หรือเด็กชอบเล่นเลอะเทอะ ให้เขาได้เล่นดิน เล่นทราย เล่นน้ำ เล่นสีนอกบ้าน หรือจะปูผ้ายางให้เขาได้ละเลงให้เต็มที่ เมื่อเด็กได้ทำเต็มที่ เขาจะไม่ทำพฤติกรรมนั้นในที่ๆ ไม่เหมาะสมเอง 

เด็กวัยนี้ควรเล่นโดยการออกแรงเคลื่อนไหวร่างกายอย่างน้อยวันละ 2-3 ชั่วโมง การเล่นที่ไม่เพียงพอ จะส่งผลให้เด็กหงุดหงิดและอึดอัด เขาจะแสวงหาที่ระบายแรงด้วยตัวเขาเอง ซึ่งบ่อยครั้งการระบายมักออกมาในรูปแบบของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม กระทืบเท้า ทำลายข้าวของ และโมโหง่าย วิธีการแก้ไขคือ ‘การปล่อยเด็กคืนสู่ธรรมชาติ’ หาที่โล่งให้เขาได้วิ่งเล่น กระโดด ปีนป่าย กลิ้ง มุด อย่างเต็มที่ ถ้าที่บ้านไม่มี ให้เขาได้ไปว่ายน้ำ หรือจะเติมน้ำใส่กะละมังให้ลูกเล่นในห้องน้ำก็ได้ หรือเล่นทรายที่สนามเด็กเล่น ถ้าไม่มีสนามใกล้เคียง เราจะซื้อทรายมากองไว้หน้าบ้าน ก็ทำได้เช่นกัน 

ชวนลูกทำงานบ้านไปกับเราเช่น ถูพื้น ใช้ผ้าผืนเดียวและถูโดยไม่ต้องมีไม้ถู หรือจะรดน้ำต้นไม้ก็ได้เช่นกัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการใช้เวลาร่วมกันและโอกาสในการมองเห็นคุณค่าภายในตนเองของลูก

วิธีที่ 4 ผู้ใหญ่มีหน้าที่ช้าลงและเผื่อเวลาให้กับเด็ก

การที่เด็กใจร้อน ไม่ได้แปลว่า ผู้ใหญ่ต้องตอบสนองเขาทันทีทันใด เราต้องช้าลง ให้เขารอบ้าง ไม่เป็นไร แต่ต้องไม่รอนานเกินความสามารถของเด็กวัยนี้ นั่นคือ รอเกิน 7-10 นาที 

เด็กอยากช่วยเหลือตัวเอง แต่เขาเพิ่งเริ่มหัดทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เขาจึงทำได้ช้าและอาจจะทำไม่ได้สมบูรณ์แบบ ผู้ใหญ่มีหน้าที่เผื่อเวลาให้เขา หากเด็กทำไม่ได้ หรือขอความช่วยเหลือ เราค่อยเข้าไปพาเขาทำ 

สำคัญที่สุด ‘อย่าประเมินเด็กที่ผลลัพธ์ที่เขาทำออกมา’ ให้ชื่นชมที่ ‘ความพยายามและความตั้งใจที่จะทำมันด้วยตนเอง หรือ ‘ความกล้าหาญที่เขากล้าที่จะเริ่มทำด้วยตนเอง’ 

เคล็ดลับ ‘กฎ 5 นาที’ ให้เผื่อเวลา 5 นาที 

ให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองก่อนเราจะเข้าไปช่วย 

ให้ลูกได้เตรียมใจก่อนเก็บของเล่น หรือ ยุติกิจกรรม 

ให้ลูกได้สงบก่อนที่เราจะพูดสอนอะไร

วิธีที่ 5 สอนการสื่อสารบอกความต้องการ ขอความช่วยเหลือ และปฏิเสธอย่างเหมาะสม

เด็กวัยนี้มีแนวโน้มจะตอบสนองสิ่งต่างๆ ด้วยร่างกายก่อนการสื่อสารด้วยคำพูด เพราะภาษาของเขายังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้หากต้องพูดออกมา อาจจะช้าและไม่ทันใจเขา จึงพบว่าเด็กวัย 2 ขวบ เวลาเขาอยากได้อะไร เขาจะหยิบจากมือเราทันที หรือวิ่งปรู๊ดเข้าไปหาสิ่งนั้นทันที ผู้ใหญ่ต้องไม่กระพริบตาหรือปล่อยเด็กวัยนี้ไว้ลำพัง 

การสื่อสารจึงสำคัญสำหรับเด็กวัยนี้มากๆ หากสื่อสารได้มากก็ยิ่งลดความคับข้องใจลงได้มาก พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ร้องกรี๊ด กัด ตี และอื่นๆ ก็จะลดลงเช่นกัน 

การสื่อสารแรกที่ควรสอนคือ ‘การบอกความต้องการ’ และ ‘ขอความช่วยเหลือ’ 

ลูกอยากได้อะไร อยากให้ช่วยอะไร ให้เขาสื่อสารออกมาก่อน พ่อแม่ต้องไม่รู้ใจลูกและทำให้ลูกทันที รอเขาก่อน หากเขาไม่สื่อสารออกมาให้เราถามและสอนเขาพูด เช่น ลูกอยากกินขนม เขาพยายามแย่งขนมจากมือเรา

ในเด็กที่พูดได้แล้ว ให้เราสอนลูกว่า “ขอกินหน่อยค่ะ”  

ในเด็กที่ยังไม่อยู่ในวัยที่พูดได้ ให้เราสอนเขาทำท่าแบมือสองมือ และให้เราพูดพร้อมกับที่ลูก ทำท่านั้นว่า “ขอ…”

ลูกอยากให้ช่วยเปิดถุงขนมให้
ในเด็กที่พูดได้แล้ว ให้เราสอนลูกว่า “เปิดให้หน่อยค่ะ” 

ในเด็กที่ยังไม่อยู่ในวัยที่พูดได้ ให้เราสอนเขามองตาเราก่อน และให้เราพูดกับลูกว่า “ให้ แม่เปิด” แล้วเราค่อยเปิดให้เขา แม้เด็กจะยังไม่พูดแต่เขาจดจำและเชื่อมโยงคำพูดของพ่อแม่กับสถานการณ์ต่างๆ ได้ เมื่อเขาพูด เขาจะสามารถนำคำพูดนั้นมาใช้งานได้ 

สำหรับด้านภาษา เด็กวัย 2 ปี กำลังเรียนรู้คลังคำศัพท์ใหม่ๆ หากอยากให้เขารู้จักคำศัพท์ ใหม่ๆ และเรียนรู้การสื่อสารอย่างเหมาะสม ‘ผู้ใหญ่ต้องไม่รู้ใจเด็ก’ เพราะเราจะทำให้เขา ก่อนที่เด็กจะได้สื่อสารออกมาเสียด้วยซ้ำ 

สอนคำใหม่ให้เด็ก ก่อนยื่นของให้เขา ให้ผู้ใหญ่พูดชื่อของสิ่งของนั้นชัดๆ 3 ครั้ง 

ครั้งแรกที่พูดชื่อ เด็กจะได้ยินชื่อนั้น (รับรู้) 

ครั้งที่สองที่พูดชื่อ เด็กจะได้มองปากเราขยับ (เรียนรู้การออกเสียง) 

ครั้งที่สามที่พูดชื่อ เด็กจะได้เชื่อมโยงคำนั้นกับของชิ้นนั้น (เข้าใจความหมายของคำ) 

การสื่อสารที่สองที่ควรสอนคือ ‘การบอกปฏิเสธ’ 

เวลาเด็กๆ ไม่ชอบหรือไม่อยากได้อะไร การปฏิเสธของเขามักจะแสดงออกมาในรูปแบบของพฤติกรรมมากกว่าการสื่อสารผ่านคำพูด เช่น ผลัก ตี กรี๊ด สะบัด ร้องไห้ 

ดังนั้นหากพ่อแม่รับรู้ว่าลูกต้องการปฏิเสธสิ่งนั้นให้เราสอนเขาสื่อสารอย่างเหมาะสม เช่น เด็กกินอิ่มแล้ว ไม่อยากกินต่อ 

ในเด็กที่พูดแล้วให้เราสอนลูกว่า “พอแล้วค่ะ” “อิ่มแล้วค่ะ” 

ในเด็กที่ยังไม่พูด ให้เราสอนเขาใช้ท่าทางสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นส่ายหัว หรือ ปัดมือ เพื่อให้เด็ก ใช้ท่าทางสื่อสารแทนการทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม

วิธีที่ 6 รับมือกับการอาละวาดด้วยความสงบและมั่นคง

เนื่องจากภาษายังไม่พัฒนาเต็มที่ สมองส่วนของเหตุและผลจึงยังพัฒนาไม่สมบูรณ์เช่นกัน เด็กวัยนี้ใช้สมองส่วนอารมณ์และสัญชาตญาณในการตอบสนองเป็นหลัก จึงไม่น่าแปลกใจที่ ‘การอาละวาด (Temper tantrum)’ เป็นของคู่กันของเด็กวัยนี้ 

ดังนั้นเวลาไม่พอใจ เขาจะแสดงออกชัดเจนด้วยการร้องไห้ กรี๊ด หรือใช้ร่างกายที่แข็งแรงของเขาต้านเราเต็มเเรง ผู้ใหญ่ไม่จำเป็นต้องสู้หรือพูดอะไรมากมาย ณ ตอนที่เด็กอาละวาด 

แนวทางการรับมือกับการทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมของเด็ก 

ขั้นที่ 1 เข้าไปถึงตัวเด็กเวลาต้องการห้ามเขาทำอะไร ย่อตัวลง ให้ตาสบตา ใช้มือจับมือเขา แล้วบอกสั้นๆ ว่า “ไม่ทำ” 

ขั้นที่ 2 ถ้าเด็กไม่หยุดทำและเริ่มอาละวาด ให้พาเขาไปหาที่สงบและปลอดภัย บอกเด็กสั้นๆ ว่า “ถ้าหนูสงบ/พร้อม แม่จะอยู่ตรงนี้พร้อมคุยกับหนู” ระหว่างที่เด็กร้องไห้ อาละวาด หากเขายอมให้เรากอด เราสามารถกอดเขาได้ แต่ถ้าเด็กดิ้น อาละวาด ให้เรานั่งลงข้างๆ ในระดับเดียวกับเขา ดูแลไม่ให้เขาหัวโขก

ขั้นที่ 3 ผู้ใหญ่รอและรออย่างอดทน จนกว่าเขาจะสงบ ขั้นตอนนี้อาจจะยาวนานมาก หากเพิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแรก หากเด็กไม่มีท่าทีว่าจะสงบลงได้ด้วยตนเอง ผู้ใหญ่สามารถพาเขาไปล้างหน้า หรือเปลี่ยนสถานที่ เพื่อให้เขาไม่จมอยู่กับอารมณ์ตรงนั้นนานจนเกินไป 

ขั้นที่ 4 เมื่อเด็กพร้อมฟัง แม้จะยังมีสะอึกสะอื้นบ้าง แต่เขาไม่มีท่าทีที่ขัดขืนเราแล้ว นั่นก็เพียงพอต่อการพูดคุยกัน เราย้ำเตือนว่าสิ่งที่ลูกทำไม่เหมาะสมเพราะอะไร และทางเลือกที่ดีกว่าคืออะไร เช่น 

“ลูกอยากกินขนม แต่เราต้องกินข้าวก่อน กินข้าวหมดลูกถึงจะกินขนมได้” เราถาม ย้ำลูกกลับไปได้ว่า “เรากินขนมได้เมื่อไหร่นะ” เพราะจะช่วยให้ลูกรู้ว่าเขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการเมื่อใด 

ขั้นที่ 5 สอนเสร็จ ถ้าเด็กทำไม่เหมาะสม สอนเขาพูด “ขอโทษ” กับคนที่เขาทำไม่เหมาะสมด้วย ถ้าเด็กไม่ยอมทำเราพูดไปพร้อมเขาและจับมือเขาทำได้ “ขอโทษค่ะ/ครับ ที่หนูทำ” เช่น ถ้าเขา ตีแม่ ให้คุณแม่จับมือน้อง แล้วพูดว่า “ขอโทษค่ะ ที่หนูตีคุณแม่” เด็กจะได้รับรู้ว่า เขาขอโทษ เรื่องอะไร ไม่ใช่ใช้การพูดขอโทษเพื่อให้หลุดออกมาจากสถานการณ์เท่านั้น 

ขั้นที่ 6 สุดท้าย ควรจบด้วยการกอดและความเข้าใจ ทุกครั้งที่ลูกอาละวาด เป็นโอกาสดีเสมอ ที่เด็กจะได้เรียนรู้ว่า พ่อแม่รักเขาและยอมรับเขาไม่ว่าเขาจะเป็นเด็กไม่น่ารักในวันนี้ สายสัมพันธ์จะแน่นแฟ้นทุกครั้ง ถ้าจบเช่นนี้ หัวใจสำคัญคือ ผู้ใหญ่ต้องไม่กลัวเมื่อเด็กอาละวาด เพราะเด็กรับรู้ได้ในสีหน้าท่าทางความไม่มั่นใจของเรา ดังนั้นให้ยอมรับว่าการอาละวาด การร้องไห้ และการต่อต้านเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เพื่อการเติบโตของเด็กวัยนี้ เราไม่ต้องตกใจ รับมือด้วยความสงบ อะไรได้ไม่ได้ เรามั่นคงตามนั้น เชื่อว่า ‘ผู้ใหญ่รอเด็กสงบได้ เพราะเรามีความอดทนมากกว่าเด็ก จริงไหม?’

สุดท้าย การเปิดโอกาสให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเอง และทำสิ่งต่างๆ ที่เขาทำได้ด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เด็ก ๆ จะเกิดเป็นความชำนาญในทักษะดังกล่าว ในขณะเดียวกันพวกความมั่นใจในตัวของเขาก็ ค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับทักษะที่เกิดขึ้นด้วยทักษะพื้นฐาน ผนวกกับการรับรู้ถึงศักยภาพภายในตัวเอง สามารถแผ่ขยายไปสู่การเรียนรู้และลองทำสิ่งใหม่ๆ ต่อไป

Tags:

พ่อแม่การเติบโตเด็กเล็กวัยทอง 2 ขวบTerrible 2พัฒนาการเด็กเข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Movie
    ครอบครัวที่ลัก : คงจะดีไม่น้อยถ้าเราเลือกครอบครัวได้เอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.10 ในวันที่ลูกใจร้อน พ่อแม่มีหน้าที่ต้องช้าลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.1 ‘วัยทอง 2 ขวบ’ (Terrible 2) มีจริงหรือ?

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ‘ตอนนี้’ และ ‘โตขึ้น’ อยากเป็นอะไร พ่อแม่ช่วยลูกค้นหาได้ด้วย 9 วิธีนี้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Love of Learning: ความรักที่จะทำให้การเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป
Character building
7 June 2022

Love of Learning: ความรักที่จะทำให้การเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความรักการเรียนรู้งอกงามได้จากการส่งเสริมให้เด็กได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสนใจ
  • ผู้ที่รักการเรียนรู้มักตื่นเต้นและรู้สึกดีเมื่อได้เรียนรู้ทักษะหรือความรู้ใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาทักษะหรือเติมเต็มความรู้ที่มีอยู่เดิม แม้ว่าบางครั้งต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่ยากหรือเป็นความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน
  • ‘ความรักในการเรียนรู้’ ทำให้เด็กไม่ปิดกั้นตัวเองจากความรู้รอบตัวและผู้คนรอบข้าง ไม่ตัดขาดตัวเองจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ เป็นแรงจูงใจให้พวกเขาแสวงหาและรู้สึกตื่นเต้นกับการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตและการประกอบอาชีพในอนาคต

“การเรียนรู้แบบไหนถึงจะเหมาะกับเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน?”

ท่ามกลางการตั้งคำถามที่ดูเหมือนต้องการหาคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว

จะดีกว่าไหมหากเด็กและเยาวชนสามารถสร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ เมื่อพวกเขามี ‘ความรักในการเรียนรู้’ (Love of Learning)

จุดเริ่มต้นของความรักการเรียนรู้

โรงเรียนเป็นสถานที่สำคัญที่เปิดประตูรับเด็กๆ เข้าสู่การเรียนรู้เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม นักวิชาการด้านการศึกษาทั่วโลกต่างเห็นพ้องกันว่า การศึกษาที่มีคุณภาพในปัจจุบันต้องผลักดันให้โรงเรียนไม่เป็นเพียงสถานที่ให้ความรู้ แต่มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังและสร้างรากฐานทางความคิดและทักษะชีวิต เพื่อให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาตนเองได้ 

‘ความรักในการเรียนรู้’ เป็นคุณลักษณะเชิงบวกอย่างหนึ่งที่สำคัญ ทำให้เด็กไม่ปิดกั้นตัวเองจากความรู้รอบตัวและผู้คนรอบข้าง ไม่ตัดขาดตัวเองจากสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ เป็นแรงจูงใจให้พวกเขาแสวงหาและรู้สึกตื่นเต้นกับการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตและการประกอบอาชีพในอนาคต 

หากผู้ปกครองและครูสามารถปลูกฝังให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะข้อนี้ได้ การรักการเรียนรู้จะช่วยปลดปล่อย เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการค้นพบตัวเองของผู้เรียน 

พัฒนาความรัก (การเรียนรู้) จากความสนใจใกล้ตัว

ความรักการเรียนรู้งอกงามได้จากการส่งเสริมให้เด็กได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสนใจ ความรักในการเรียนรู้ คือ ความหลงใหลและความปรารถนาที่จะเรียนรู้ ผู้ที่รักการเรียนรู้มักตื่นเต้นและรู้สึกดีเมื่อได้เรียนรู้ทักษะหรือความรู้ใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาทักษะหรือเติมเต็มความรู้ที่มีอยู่เดิม แม้ว่าบางครั้งต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่ยากหรือเป็นความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน 

จากการศึกษา พบว่า คนเรามีสิ่งที่สนใจไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งอยู่แล้วในชีวิต เช่น บางคนไม่ชอบคณิตศาสตร์แต่สนใจประวัติศาสตร์ บางคนชอบแฟชั่น ชอบปลูกต้นไม้ ชอบการตกแต่งดัดแปลงวัตถุสิ่งของ ชอบกีฬาหรือเกม เป็นต้น 

ทั้งนี้ ‘ความรักในการเรียนรู้’ แตกต่างจาก ‘ความสงสัยใคร่รู้’ (curiosity)

‘ความสงสัยใคร่รู้’ เป็นแรงขับที่ทำให้คนๆ หนึ่งมีความพยายามในการค้นหาข้อมูลใหม่ แรงจูงใจมาจากความต้องการแสวงหา (explore) ความรู้ ขณะที่ ‘ความรักในการเรียนรู้’ เป็นความหลงใหลหรือความสนใจที่ทำให้คนๆ หนึ่งมีความต้องการรู้ (ความปรารถนาที่จะรู้) ในเรื่องๆ หนึ่งอย่างลึกซึ้งมากขึ้น โดยแรงจูงใจมีที่มาจากความต้องการขยายขอบเขต (expand) ความรู้จนมีความเชี่ยวชาญหรือรู้จริงในเรื่องนั้นๆ ในเด็กโตอาจมีแรงจูงใจจากความต้องการช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาบางอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตนเองให้ความสนใจอยู่ 

พฤติกรรมที่แสดงออกถึงการมีความรักในการเรียนรู้ ได้แก่

  • มีความรู้สึกเชิงบวกเมื่อได้เรียนรู้สิ่งใหม่
  • สามารถควบคุมตนเองและมีความเพียรพยายาม แม้ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่ยากหรือท้าทาย และต้องลงมือทำซ้ำๆ เพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ระหว่างการเรียนรู้ก็ไม่ย่อท้อ
  • มีความเป็นอิสระในตนเอง
  • ชอบความท้าทาย
  • เชื่อในความเป็นไปได้: ถึงแม้จะยังทำไม่ได้ตอนนี้ แต่คิดว่าสามารถทำได้ในอนาคต
  • มีไหวพริบ
  • เปิดใจต่อการสนับสนุนจากผู้อื่น เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้
  • ชอบลงมือทำในสิ่งที่ตนเองสนใจมากกว่าการกังวลถึงผลลัพธ์ทางการเรียน เช่น เกรด หรือ คะแนนประเมินผล

เด็กคนหนึ่งสามารถมีทั้งความสงสัยใคร่รู้และความรักการเรียนรู้ร่วมกันได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ปกครองและครูสามารถแยกแยะได้ว่าแรงจูงใจของลูกหรือเด็กคนหนึ่ง มีที่มาจากคุณลักษณะเด่นด้านใด จะทำให้สามารถสนับสนุนเด็กๆ ได้ถูกทิศทางโดยไม่ขัดขวางการเรียนรู้ของพวกเขา

การปลูกฝังความรักในการเรียนรู้

การปลูกฝังความรักในการเรียนรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดการสนับสนุนจากผู้ปกครองและโรงเรียน รวมถึงการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ อุปกรณ์และสภาพแวดล้อมรอบตัวที่เหมาะสม สำหรับโรงเรียนการจัดหลักสูตร แนวทางการจัดการเรียนการสอนและการประเมินผล ล้วนมีผลต่อการส่งเสริมและทำลายความรักในการเรียนรู้ของเด็ก 

งานวิจัยบางชิ้นระบุว่าความสนใจของเด็กที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะค่อยๆ ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพในเรื่องเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเมื่อเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาที่ต้องแข่งขันในเชิงวิชาการมากขึ้นในระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษา 

การเรียนเพื่อการแข่งขันสร้างความกดดันให้กับผู้เรียน และจะผลักไสให้ความสนใจหันเหจากการเรียนเชิงวิชาการไปสู่กิจกรรมอื่น เช่น การเล่นเกมหรือกีฬา ที่ทำให้รู้สึกเป็นอิสระมากขึ้น

จากการศึกษา พบว่า มนุษย์มีความรักการเรียนรู้และมีแนวโน้มอยากเป็นเจ้าของการเรียนรู้เมื่ออยู่ภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้

  1. พวกเขาได้รับแรงจูงใจหรือเหตุผลที่น่าสนใจ และมีความหมายต่อพวกเขาเมื่อเรียนรู้สิ่งนั้น
  2. พวกเขามีทางเลือกในการลงมือทำให้การเรียนรู้นั้นน่าสนใจมากขึ้น โดยไม่ถูกบังคับ
  3. พวกเขาได้อยู่ในเครือข่ายทางสังคมที่ตนเองพึงพอใจ 

สำหรับเงื่อนไขที่ 3 จะเห็นได้ว่าแม้กระทั่งการเล่นเกมที่หากมองจากภายนอกเหมือนเป็นการใช้เวลาหมกหมุ่นอยู่กับตัวเอง แต่เกมที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่มักเป็นเกมที่เล่นกันเป็นกลุ่มเครือข่ายร่วมกันเป็นทีม โดยไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากัน 

ทั้งนี้ การปรับสภาพแวดล้อมและบรรยากาศเพื่อสร้างการเรียนรู้เชิงบวก เป็นแนวทางหนึ่งที่จะทำให้เด็กพร้อมเปิดใจและมีความรักการเรียนรู้นอกเหนือไปจากเรื่องที่ตนเองสนใจได้ เช่น

  • การสร้างห้องเรียนที่ปราศจากความกลัว (Fear-free) เพราะความกลัวและความกังวลใจจะทำให้สมองเปิดรับการเรียนรู้ได้แค่ในระดับผิวเผิน ในทางกลับกันห้องเรียนที่ปลอดภัยทำให้ผู้เรียนไม่กลัวการแสดงความคิดเห็นหรือการตอบคำถาม เป็นห้องเรียนที่ไม่มีคำว่า ‘ถูก’ หรือ ‘ผิด’ และช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับผู้เรียน
  • การชี้แจง/ อธิบายให้ผู้เรียนรู้ตั้งแต่ต้นว่ากำลังจะเรียนอะไร เพื่ออะไร และให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้
  • การดึงสถานการณ์หรือกิจกรรมใกล้ตัวมาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ เชื่อมโยงกับสังคมรอบข้าง
  • การตั้งคำถามกระตุ้นคิด ต่อเนื่องจากสิ่งที่ผู้เรียนให้ความสนใจหรือกำลังทำอยู่

เช่น

  • มีเรื่องอะไรอีกบ้างที่ลูกอยากรู้?
  • มีเรื่องอะไรอีกบ้างที่ลูกกำลังสงสัยอยู่?
  • ลูกคิดว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง? ทำไมมันถึงเกิดขึ้น?

หากจัดกิจกรรมในชั้นเรียน ครูสามารถให้นักเรียนเขียนคำถามที่สงสัยหรืออยากรู้คำตอบแปะไว้บนบอร์ด ทั้งก่อนและหลังการเรียนรู้ในหัวข้อต่างๆ เพื่อกระตุ้นความต้องการเรียนรู้ร่วมกันในชั้นเรียน

เมื่อเด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และมีพื้นที่เรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจได้อย่างอิสระ พวกเขาจะสร้างการเรียนรู้ด้วยตนเองและกำกับการเรียนรู้ของตนเองได้ ส่งผลให้เกิดแรงจูงใจในเชิงบวกที่ส่งผลดีต่อการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต

อ้างอิง

Peterson, C., & P., S. M. E. (2004). Character strengths and virtues a handbook and Classification. Oxford University Press.

Aguilar, E. (2016, April 20). Cultivating a love of learning. Edutopia. Retrieved June 4, 2022, from https://www.edutopia.org/blog/cultivating-love-learning-elena-aguilar

Tags:

ความสงสัยใคร่รู้(Curiosity)ความรักในการเรียนรู้ (Love of Learning)แรงจูงใจ

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    เรียนรู้จากธรรมชาติอย่างเป็นธรรมชาติ ให้เด็กเปล่งประกายด้วยแสงของตัวเอง: จูน-วรัญญา สุนทรแต โรงเรียนหิ่งห้อย

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • How to enjoy life
    เก็นจิ เก็นบุตซึ (Genchi Genbutsu):  ไปให้เห็นกับตา ค้นหาความจริงและไม่ด่วนตัดสิน

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Everyone can be an EducatorSocial Issues
    ‘Saturday School’ วิชานอกห้องเรียนที่ทำให้เด็กกล้าฝันและเป็นเจ้าของการเรียนรู้: ยีราฟ-สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Early childhoodLearning Theory
    เด็กจะเล่นอย่างไรให้สนุกเเละคลายความเศร้าในใจได้ โดยมีผู้ใหญ่เป็นนักสังเกตการณ์

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Character building
    เรากลายเป็นคนที่ ‘ไม่ตั้งคำถาม’ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

INTO THE MAGIC SHOP : ‘เธอไม่ใช่เสียงในหัวของเธอ’ อย่าให้มันตัดสินชีวิต
Book
3 June 2022

INTO THE MAGIC SHOP : ‘เธอไม่ใช่เสียงในหัวของเธอ’ อย่าให้มันตัดสินชีวิต

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • หนังสือ ‘เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์ในหัวใจ (INTO THE MAGIC SHOP)’ เขียนโดย ดร.เจมส์ อาร์. โดตี  แปลเป็นภาษาไทยโดย นายแพทย์นที สาครยุทธเดช (สำนักพิมพ์ อมรินทร์ฮาวทู) บอกเล่าเรื่องราวของผู้เขียนที่แต่เดิมเป็นเพียงเด็กชายผู้มีชีวิตแหลกสลายสู่การเป็นประสาทศัลยแพทย์มือหนึ่งจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
  • เคล็ดลับความสำเร็จของ ดร.เจมส์ อาร์. โดตี คือการนำ ‘กลวิเศษ’ ที่เขาเรียนรู้จากร้านมายากลมาเนรมิตความสำเร็จให้กับชีวิต ซึ่งกลที่ว่านี้มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน 
  •  สำหรับสาวกบังทันหรือเหล่าอาร์มี่ นี่คือหนังสือที่วง BTS ใช้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง Magic Shop อันโด่งดัง

“ถ้าผมบอกว่าผมกลัวไปหมดทุกอย่าง คุณจะเชื่อผมไหม เวลาที่เหลือทั้งหมดต่อจากนี้จะมีแต่ความจริงใจ ทุกคำตอบที่คุณตามหาจะพบได้ในที่แห่งนี้ มันอยู่ในกาแล็กซี่ของคุณ และภายในใจคุณเอง” 

เสียงร้องและท่วงทำนองสุดละมุน พร้อมซับไทยจากเพลง Magic Shop ของวงบอยแบนด์เกาหลีชื่อดังระดับโลก BTS ชวนให้ผมหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน 

หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า INTO THE MAGIC SHOP หรือ เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ ที่ยิ่งอ่านผมก็ยิ่งอินกับเพลงๆ นี้ของบังทันมากขึ้น แม้ว่าเรื่องราวในหนังสือจะเริ่มต้นด้วยชีวิตวัยเด็กที่แหลกสลายของ ‘จิม’ หรือ ดร.เจมส์ อาร์. โดตี 

พ่อขี้เหล้าที่เมาแล้วชอบทำลายข้าวของรวมถึงทำร้ายร่างกายแม่ แม่ที่เป็นโรคซึมเศร้าและกินยาเกินขนาดจนเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ พี่สาวที่มีลูกเร็วและย้ายไปอยู่ที่อื่น พี่ชายตัวเล็กที่มักถูกแก๊งเด็กเสเพลประจำถิ่นลากไปซ้อมเป็นประจำ ไม่นับรวมฐานะยากจน อดมื้อกินมื้อ บ้านที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งเนื่องจากไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่า รวมถึงเหตุการณ์ชวนรันทดอีกมาก คือสิ่งที่สร้างบาดแผลในใจเด็กชายจิมในวัย 12 ขวบ

ถ้ามีบริษัทพนันอย่างถูกกฎหมายมาพนันเรื่องอนาคตที่ประสบความสำเร็จของจิม เชื่อเหลือเกินว่าหลายคน รวมถึงผมเอง คงพนันว่าไม่มีทางที่จิมจะประสบความสำเร็จได้ และชีวิตของจิมเองก็คงจบลงด้วยการเป็นไอ้ขี้ยา ไอ้ขี้เหล้า หรือไอ้ขี้แพ้ที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้จุดหมาย 

เพียงแต่ว่าชีวิตมักจะเล่นกลกับเราเสมอ เหมือนกับจิมที่จู่ ๆ ปลอกนิ้วพลาสติกสำหรับเล่นมายากลของเขาหายไป พยายามตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ เขาจึงตัดสินใจเข้าไปในร้านมายากลแห่งหนึ่งที่ดูแล้วตัวเขาเองไม่น่าจะมีเงินพอจะซื้อของที่ถูกที่สุดในร้านด้วยซ้ำ

Into the Magic Shop

ณ ร้านมายากล จิมได้พบกับ ‘รูธ’ แม่ของเถ้าแก่ร้านมายากลที่มาหาลูกชายในช่วงฤดูร้อน 

หลังทักทายกันตามธรรมเนียมและรู้ว่าจิมชอบเล่นกลโดยใช้ปลอกนิ้วพลาสติก รูธจึงขอให้จิมพูดถึงมายากลจากปลอกนิ้วพลาสติก 

ด้วยท่าทีที่ตั้งใจฟังอย่างแท้จริงผสมผสานคำชมเชยจากสตรีชราทำให้จิมเกิดความรู้สึกที่ดีต่อเธอ และพอจิมเริ่มเปิดใจให้รูธ แม่เจ้าของร้านมายากลแห่งนี้จึงเริ่มกล่าวปฐมนิเทศให้จิมอย่างแนบเนียน

“ฉันคิดว่ามายากลนั้นหลอกคนได้เพราะคนเห็นเฉพาะสิ่งที่เขาคิดว่าอยู่ตรงนั้นมากกว่าสิ่งที่อยู่ตรงนั้นจริงๆ กลปลอกนิ้วใช้ได้เพราะจิตของเรานั้นเป็นสิ่งที่ตลก จิตจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็น จิตอยากเห็นนิ้วโป้งจริง ก็เลยเห็นนิ้วโป้งจริง สมองเราที่มักจะยุ่งเสมอนั้น จริงๆ แล้วขี้เกียจมาก และมายากลหลอกคนได้ก็เพราะอย่างที่เธอบอก ว่าคนนั้นเบนความสนใจได้ง่าย แต่ไม่ใช่เพราะท่าทางของมือ คนส่วนใหญ่ที่มาดูมายากลไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพื่อดูมายากลจริงๆ หรอก พวกเขามัวแต่เสียใจกับสิ่งที่ทำไปเมื่อวาน ไม่ก็กังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นพรุ่งนี้ ทำให้พวกเขาไม่ได้อยู่กับการแสดงมายากลตั้งแต่เริ่ม อย่างนี้แล้วพวกเขาจะมองเห็นปลอกนิ้วพลาสติกได้ยังไง”

จากนั้น รูธก็ชวนจิมพูดถึงกลที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น อย่างการทำให้เปลวไฟเล็กๆ กลายเป็นลูกไฟใหญ่โดยใช้จิต ทำให้จิมยิ่งฟังยิ่งอินและอยากจะทำให้ได้บ้าง ในที่สุดความปรารถนาของเขาก็ดังไปถึงหัวใจของรูธ เธอจึงบอกจิมว่าหากจิมมาเจอเธอที่ร้านมายากลทุกวัน เธอจะสอนกลวิเศษให้และกลนั้นจะช่วยเสกทุกสิ่งที่เขาปรารถนา

จิมมาตามนัดและมาอย่างสม่ำเสมอ ทุกครั้งที่มาถึงร้านมายากล เขาจะเดินตามรูธไปยังห้องหลังร้าน เพื่อเริ่มเรียนกลวิเศษ ซึ่งจะค่อยๆ ทวีความเข้มข้นขึ้นในแต่ละสัปดาห์ 

กลแห่งการกล่อมจิต

“เธอไม่ใช่เสียงในหัวของเธอ”

ในบรรดากลวิเศษที่รูธถ่ายทอดให้กับจิมนั้น ผมประทับใจเป็นพิเศษกับกลแห่งการกล่อมจิตให้ว่าง รูธบอกว่ามนุษย์ทุกคนจะมีเสียงบรรยายเสียงหนึ่งดังในหัวไม่หยุด เปรียบได้กับ ‘ดีเจ’ ที่คอยพูดคุยกับผู้ฟังทางวิทยุอยู่ตลอดเวลา  

“จินตนาการว่าดีเจในหัวของเธอคอยบอกเธอทุกอย่างทั้งวัน เธอชินกับมันเสียจนบางทีเธอแทบไม่รู้ตัวว่าวิทยุในหัวของเธอนั้นเสียงดังสุดอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่เคยปิดเลย” 

รูธอธิบายว่าคนส่วนมากมักหลงใหลไปกับคำพูดและการตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างจากเสียงของดีเจในหัว และหลายคนเข้าใจว่า ‘เรานั่นแหละคือดีเจ’ ทั้งที่จริงแล้ว เราทุกคนล้วนเป็นเพียงผู้ฟังรายการ และเสียงดีเจในหัวของเรานั้น ก็ไม่ใช่เสียงของเราสักนิด 

“เสียงในหัวของเธอจะตัดสินชีวิตของเธอว่าดีหรือไม่ดี แล้วจิตของเธอก็ตอบสนองต่อเสียงที่คอยบอกนั่น ราวกับว่ามันรู้จักเธอดี ปัญหาคือการตอบสนองส่วนใหญ่ไม่ได้ดีกับตัวเธอเลย”

ผมเห็นด้วยกับคำพูดของรูธ และจับตาดูความเป็นไปของดีเจในหัว ปรากฏว่าดีเจของผมกลับพูดได้ทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อน ไล่ตั้งแต่ตอนตื่นที่ดีเจพยายามบอกผมให้หลับต่ออีกสิบนาที ตอนหิวที่ดีเจก็มักพูดชื่อเมนูแสนอร่อยที่เป็นภัยกับสุขภาพ หรือแม้แต่ตอนนอน ดีเจก็มักบอกให้ผมดูซีรีส์อีกสักตอน ทั้งที่หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้าดีเจก็พูดประโยคนี้ 

นอกจากนี้ ผมพลางคิดไปถึงตำนานของชาวอินเดียนแดงเผ่าเชโรกี ที่เชื่อว่าภายในของมนุษย์ทุกคนจะมีหมาป่าสองตัวอาศัยอยู่ ตัวหนึ่งเป็นหมาป่าดุร้ายนิสัยไม่ดี กับอีกตัวที่มีนิสัยตรงกันข้าม แน่นอนว่าหมาป่าสองตัวนี้มักต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา (คล้ายเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้) วันหนึ่งเด็กชายจึงถามปู่ของเขาว่าถ้าหมาป่าสองตัวนี้สู้กันแล้วใครจะชนะ ปู่จึงถามกลับว่า “แล้วหมาป่าตัวไหนที่หลานอยากเลี้ยงเอาไว้ล่ะ”

“นี่คือเสียงที่ฉันอยากให้เธอเข้าใจ เธอจะไว้ใจเสียงในหัวของเธอไม่ได้ เสียงที่คอยพูดกับเธอตลอดเวลานั้นน่ะ  มันมักจะผิดมากกว่าถูก เธออาจลองคิดว่ากลนี้เป็นการเรียนรู้ที่จะลดเสียงให้เบาลงหรือปิดเสียงไปเลย จากนั้นเธอจะเข้าใจว่าฉันกำลังพูดถึงอะไร”

รูธย้ำกับจิมอีกครั้งว่าเรากับดีเจในหัวเป็นคนละคน ดังนั้นวิธีที่จะช่วยให้เราสามารถหรี่เสียงหรือปิดวิทยุในหัว คือการอยู่กับลมหายใจเข้าออก ซึ่งจะช่วยชะลอความคิด เพราะความคิดนั้นจะนำเราไปสู่คำพูดและการกระทำต่างๆ ในชีวิตประจำวัน  

รูทแนะนำว่าถ้าการอยู่กับลมหายใจเข้าออกยากเกินไป ก็ให้จุดเทียนขึ้นมาสักเล่ม จ้องมองที่แสงเทียนนั้นจดจ่ออยู่กับมัน ถ้าจิตใจวอกแวกก็ให้พยายามดึงตัวเองกลับมายังแสงเทียน หากทำได้จิตใจของเราก็จะสงบขึ้น 

นอกจากวิธีเพ่งเทียน รูธสอนจิมว่าเราสามารถตั้งจิตได้โดยอาศัยมนตร์สั้นๆ (เหมือนชาวพุทธที่ท่องพุทโธ) รูธบอกจิมว่าสามารถนึกคำอะไรก็ได้สั้นๆ ให้กับตัวเอง ท่องไปซ้ำๆ และโฟกัสกับเสียงของคำแต่ละคำ โดยไม่ต้องคิดถึงอย่างอื่น

“มนตร์เป็นเหมือนเพลงหรือเสียงที่ทำขึ้นเพื่อช่วยให้เธอตั้งจิตได้ เหมือนที่เธอตั้งจิตตอนหายใจหรือมองเปลวเทียน นี่เป็นกลอีกวิธีหนึ่งที่ใช้หลอกจิตของเธอ”

จิมได้เลือกคำว่า คริส-น็อบ โดยคริสคือชื่อของหญิงสาวที่เขาแอบปิ๊ง ส่วนน็อบคือลูกบิดประตู แม้ทั้งสองคำนี้จะฟังดูไม่เข้าท่า แต่เมื่อจิมได้นำกลของการท่องมนตร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาใช้ ปรากฏว่าคาถา ‘คริส-น็อบ’ ช่วยให้เขาไม่ได้ยินเสียงของดีเจอีก…ดีเจในหัวของคุณหยุดพล่ามแล้ว

หนังสือ INTO THE MAGIC SHOP เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ ได้รับการแปลไปแล้วกว่า 27 ภาษา และการันตีด้วย Award-winning New York Times Bestseller และ Best Seller in Korea รวมถึงคนดังทั่วโลก โดยเฉพาะองค์ทะไลลามะที่ยกย่องหนังสือเล่มนี้และท่านเองก็เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนด้านเงินทุนให้กับจิม หรือ ดร.เจมส์ อาร์. โดตี ในการก่อตั้งศูนย์เพื่อการศึกษาเรื่องความเมตตาแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

Tags:

INTO THE MAGIC SHOPBTSMagic Shopเวทมนตร์เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์ในหัวใจ

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • Movie
    The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    โหมโรง: ชีวิตก็เหมือนเสียงระนาด เรียนรู้จังหวะและเรียงร้อยให้ไพเราะในทางของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

คังคุไบ: หมดยุคสอนเด็กดูถูกอาชีพใช้แรงกาย แต่ทุกอาชีพมีคุณค่าและสำคัญ
Movie
2 June 2022

คังคุไบ: หมดยุคสอนเด็กดูถูกอาชีพใช้แรงกาย แต่ทุกอาชีพมีคุณค่าและสำคัญ

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • ‘คังคุไบ’ เป็นหนังใน Netflix สัญชาติอินเดียเปี่ยมคุณภาพ ที่เล่าถึง โสเภณีคนหนึ่งชื่อว่า ‘คังคุ’ หรือ ‘คงคา’ ผู้เป็นทั้งมาเฟียและคนที่พยายามจะขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยพลังที่ตัวเองมี
  • อาชีพโสเภณีก็ต้องทำงานหนักเหมือนกับทุกอาชีพ ต้องใช้ทักษะการเข้าสังคมจิตวิทยาต่างๆ ที่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และเป็นอาชีพที่ควรได้รับสวัสดิการเท่าเทียมกับอาชีพอื่นๆ ด้วย
  • สิ่งที่หนังเรื่องนี้กำลังสื่อสาร เป็นสิ่งที่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันที่หมดยุคของการดูถูกอาชีพที่ขายบริการและแรงงาน เพราะเราควรเห็นคุณค่าของทุกอาชีพ และโลกกำลังต้องการคนใจกว้างและเห็นคนทุกคนเท่ากันอยู่

Tags:

อาชีพคังคุไบโสเภณีขายบริการเปิดกว้าง

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Everyone can be an Educator
    RABBITHOOD ของโจ้ วชิรา ในวันที่ลูกค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่าชอบงาน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    เชฟเป้ สารัตถ์ นิ่มละมัย: ชายผู้เป็นทุกอย่างให้ช็อกโกแลต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ออกนอกห้องเรียน ไปตามติดชีวิตหอยแครง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Grit
    จะอยู่กับ ‘สิ่งที่ต้องทำ’ ด้วยความ ‘หลงใหล’ ไปพร้อมกันได้อย่างไร?

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel