Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: August 2021

Nonviolent Communication : สร้างเด็กที่รักตัวเองและรับฟังคนอื่น
Family Psychology
24 August 2021

Nonviolent Communication : สร้างเด็กที่รักตัวเองและรับฟังคนอื่น

เรื่อง กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • หัวใจสำคัญในการสื่อสารกับลูกอย่างสันติ (Nonviolent Communication: NVC) คือ พ่อแม่ต้องคำนึงว่าลูกเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีอำนาจเหนือกัน และลูกมีอิสระในการตัดสินใจด้วยตนเอง
  • หากต้องการให้ลูกทำตาม พ่อแม่จำเป็นต้องงัดกลยุทธ์ขอความช่วยเหลือให้ลูกตัดสินใจเอง โดยใช้ประโยคเชิงบวกและเฉพาะเจาะจง เช่น แทนที่จะสื่อสารว่า “ช่วยงานที่บ้านหน่อย” พ่อแม่อาจพูดว่า “ลูกช่วยพ่อกับแม่ล้างจานตอนนี้หน่อยได้ไหม” 
  • การสื่อสารแบบ NVC เป็นพื้นฐานการพูดคุยกับลูกโดยรับฟังความต้องการของเขาด้วยความเคารพ ในขณะเดียวกันลูกก็ได้รับฟังความต้องการของพ่อแม่โดยปราศจากการรู้สึกผิดหรืออับอาย ทำให้ลูกรักตัวเองมากขึ้นและครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างสันติมากขึ้น

หลายครั้งพ่อแม่พยายามอบรมลูก หวังให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพ แต่มักมองข้ามไปว่า การสื่อสารที่พ่อแม่ใช้กับลูกอาจเป็นความรุนแรงรูปแบบหนึ่งที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจและทักษะในการใช้ชีวิตของลูกในอนาคต เคยสังเกตไหมว่าเวลาพ่อแม่ออกคำสั่งให้ลูกทำตามในสิ่งที่ต้องการ ลูกๆ อาจโต้กลับด้วยการงอแง หรือเมินเฉยต่อคำสั่ง ทำให้พ่อแม่กลับเป็นฝ่ายยิ่งฉุนเฉียวและโต้กลับลูกรุนแรงมากขึ้น ท้ายที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกก็จะยิ่งห่างเหินลงไปเรื่อยๆ

“ความรุนแรงย่อมถูกตอบกลับด้วยความรุนแรง”

ลองคิดดูว่าหากลูกได้เรียนรู้ ซึมซับการสื่อสารเช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็ก ลูกจะมีทักษะในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นอย่างสันติได้อย่างไร? 

มาแชล บี โรเซนเบิร์ก (Marshall B. Rosenberg) นักจิตวิทยาที่พัฒนาแนวคิดการสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication: NVC) พูดได้อย่างน่าสนใจว่า หัวใจสำคัญในการสื่อสารกับลูกด้วยวิธี NVC คือ พ่อแม่ต้องคำนึงว่าลูกเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีอำนาจเหนือกัน และลูกมีอิสระในการตัดสินใจด้วยตนเอง (Autonomy)

แต่โดยธรรมชาติแล้วพ่อแม่มักคิดว่าตนเองมีบทบาท ‘สั่งสอน’ ลูก ในขณะที่ลูกมีบทบาทเป็น ‘ผู้ตาม’ เท่านั้น สิ่งที่ตามมา คือ เมื่อพ่อแม่ใช้อำนาจ ‘ออกคำสั่ง’ อำนาจและอิสรภาพในการตัดสินใจของลูกถูกลดทอนลง 

ลูกมีทางเลือกสองทาง คือ…

หนึ่ง ยอมทำตามคำสั่ง ซึ่งอาจเกิดจากความรู้สึกผิดและความอับอายที่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง หรือเกิดจากความกลัวเพราะอาจถูกลงโทษ 

สอง ต่อต้านคำสั่ง ซึ่งอาจเกิดจากการถูกตำหนิจึงทำให้ลูกเกิดปฏิกิริยาป้องกันตัวเอง (defensive) หรือต้องการพิสูจน์ว่าพ่อแม่ผิด เช่น กลับบ้านเลยเวลาเคอร์ฟิวเพื่อพิสูจน์ว่าพ่อแม่กังวลมากเกินไป ในขณะเดียวกันพ่อแม่อาจรู้สึกล้มเหลวที่ไม่สามารถสั่งสอนลูกได้

โรเซนเบิร์กให้ความเห็นว่า การสื่อสารผ่านความรู้สึกแย่เหล่านี้ ล้วนเป็นการสื่อสารที่แฝงไปด้วยความรุนแรง และอาจเป็นต้นเหตุให้ลูกขาดความมั่นใจในตัวเอง และไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ 

แล้วจะสื่อสารอย่างสันติกับลูกอย่างไร?

พ่อแม่ต้องคำนึงว่าเป้าหมายของการสื่อสารอย่างสันติ คือ การรับฟังความต้องการของคนอื่นและของตนเองอย่างลึกซึ้ง บนพื้นฐานของความเห็นอกเห็นใจกัน (Empathy) ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ปกครองกับลูก เกิดจากความต้องการของแต่ละฝ่ายไม่ถูกรับฟังและไม่ถูกตอบสนองจนทำให้เกิดความคับแค้นใจ โรเซนเบิร์ก แนะนำว่าพ่อแม่ควรตั้งคำถามกับตนเองสองข้อก่อนอบรมลูก ดังนี้

คำถามที่ 1: พ่อแม่ต้องการให้ลูกทำอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม? หากพ่อแม่ถามคำถามนี้เพียงข้อเดียว อาจทำเลือกวิธีทำโทษลูก ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของลูกได้ ดังนั้นจึงต้องถามคำถามข้อที่สองควบคู่ด้วย

คำถามที่ 2: พ่อแม่มีเหตุผลอะไร ถึงอยากให้ลูกทำในสิ่งที่ต้องการ? คำถามนี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจเหตุผลการอบรมของพ่อแม่ มากกว่าการทำโทษซึ่งอาจทำให้เด็กกลัว

ขั้นตอนต่อไป คือ การสื่อสารเหตุผลระหว่างผู้ปกครองกับลูกควรใช้ภาษาบนพื้นฐานของ ‘การสังเกต (observation)’ และปราศจาก ‘การประเมิน (evaluation)’ โดยการสังเกตคือภาษาที่เกิดจากการวิเคราะห์ความจริง (facts) ที่เกิดขึ้น โดยไม่มีอคติในใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถูกหรือผิด (right or wrong) และไม่โยนความผิดว่าการกระทำของคนอื่นเป็นต้นเหตุของความรู้สึกที่เกิดขึ้น

แทนที่จะสื่อสารว่า “ทำไมลูกเถียงกลับพ่อแม่แบบนี้ ลูกทำให้พ่อแม่เสียใจนะรู้ไหม” คำพูดนี้ อาจทำให้ลูกรู้สึกผิด (guilty) ขณะเดียวกัน พ่อแม่ไม่ได้สื่อสารความต้องการของตนเองให้ลูกได้รับฟัง ประโยคที่นักจิตวิทยาแนะนำให้ใช้ คือ “พ่อแม่เสียใจมากนะ เพราะพ่อกับแม่อยากให้เราเคารพซึ่งกันและกัน” ประโยคหลังแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครถูกหรือผิด อีกทั้งพ่อแม่ได้แสดงความรับผิดชอบกับความรู้สึกตนเอง และยังสามารถแสดงความต้องการของตนเองออกมาได้ด้วย หรืออีกตัวอย่างคือ แทนที่จะพูดว่า “พี่น้องตีกันมันผิดนะลูก” พ่อแม่อาจพูดว่า “พ่อแม่รู้สึกกลัวที่ลูก ๆ ตีกัน เพราะพ่อแม่อยากให้ทุกคนในครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัย”

ตัวอย่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารอย่างสันตินั้น จำเป็นต้องใช้ความเห็นอกเห็นใจกันอย่างลึกซึ้ง เพราะต้องกำจัดอคติในใจออกไปให้ได้ โดยเฉพาะการจ้องตัดสินผู้อื่นว่าสิ่งที่เขากระทำนั้นถูกหรือผิด นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงอีกว่าการกระทำของผู้อื่นไม่ได้กำหนดความรู้สึกของเรา แต่ตัวเราต่างหากเราที่เป็นผู้กำหนดหรือเลือกว่าแสดงปฏิริยาโต้ตอบอย่างไร 

ท้ายที่สุดแล้ว การสื่อสารอย่างสันติ ช่วยคลายความขัดแข้งระหว่างผู้คน เพราะหากสังคมเพราะผู้ฟังไม่ได้สัมผัสถึงเจตนากล่าวหาหรือการถูกตำหนิจากผู้พูด เป็นการสื่อสารที่เกิดขึ้นจากหัวใจของการเคารพซึ่งกันและกัน และมุ่งหวังตอบสนองความต้องการของทุกฝ่าย

ประโยค “คำสั่ง” มักไม่ได้ผล 

พ่อแม่จะทำให้ลูกทำตามในสิ่งที่ต้องการได้อย่างไร?

มนุษย์ทุกคนมีอำนาจและอิสรภาพในการตัดสินใจด้วยตนเอง บ่อยครั้งคำสั่งมักถูกตอบกลับด้วยแรงต่อต้าน อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ลูกมักเข้าใจว่าประโยคที่พ่อแม่ใช้เป็นคำสั่ง ถ้าไม่ทำตามอาจถูกลงโทษหรือรู้สึกผิดและอับอาย ดังนั้นหากต้องการให้ลูกทำตาม พ่อแม่จำเป็นต้องงัดกลยุทธ์ ขอความช่วยเหลือ (request) ให้ลูกตัดสินใจเอง โดยใช้ประโยคเชิงบวกและเฉพาะเจาะจง

เช่น แทนที่จะสื่อสารว่า “ช่วยงานที่บ้านหน่อย” หรือ “อย่าทำแบบนั้นอีกนะ” พ่อแม่อาจพูดว่า “ลูกช่วยพ่อกับแม่ล้างจานตอนนี้หน่อยได้ไหม” 

โรเซนเบิร์ก กล่าวว่า หลักการสำคัญของการขอคือ “ฉันต้องการให้เธอทำแบบนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของฉัน แต่หากความต้องการของเธอขัดแย้งกับความต้องการของฉัน ฉันก็อยากรับฟัง และเรามาร่วมกันหาทางตอบสนองความต้องการของทุกฝ่ายกันเถอะ” หลายครั้งการสื่อสารแบบ NVC ช่วยให้เราหาทางประนีประนอมได้ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างรับฟังซึ่งกันและกันโดยปราศจากอคติ

เบื้องหลังของบทสนทนาที่เต็มไปด้วยอารมณ์คุกรุ่นและการพูดโต้กลับอย่างรุนแรงทั้งในครอบครัวและสังคม คือ ความต้องการที่ไม่ได้ถูกตอบสนอง และอคติที่เกิดขึ้นจากการใช้การสื่อสารที่แสดงออกถึงคำสั่ง หรือกล่าวหากันและกันว่าผิด การสื่อสารแบบ NVC เป็นพื้นฐานการพูดคุยกับลูกโดยรับฟังความต้องการของเขาด้วยความเคารพ ในขณะเดียวกันลูกก็ได้รับฟังความต้องการของพ่อแม่โดยปราศจากการรู้สึกผิดหรืออับอาย ทำให้ลูกรักตัวเองมากขึ้นและครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างสันติมากขึ้น  

ลูกสามารถเรียนรู้ทักษะการรับฟังนี้ได้ตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อเติบโตและต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เขาจะเข้าใจความต้องการของคนอื่นได้ แม้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เป็นความขัดแย้งขั้นวิกฤติ การสื่อสารอย่างสันติจะช่วยให้เด็กและเยาวชนสามารถแก้ไขปัญหาของตัวเองในอนาคตและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ด้วยความเข้าใจและเคารพผู้อื่น

อ่านบทความเกี่ยวกับ Nonviolent Communication เพิ่มเติม

การสื่อสารอย่างสันติไม่ใช่การต่อสู้ตอบโต้เพื่อเอาชนะ แต่กลับมาเข้าใจความต้องการของตัวเอง

หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

อ้างอิง

Rosenberg, Marshall B. Nonviolent Communication: A Language of Life. California: PuddleDancer Press, 2005.

Rosenberg, Marshall B. Raising Children Compassionately: Parenting the Nonviolent Communication Way. California: PuddleDancer Press, 2005.

Rose, Marion Bedenoch. “The Heart of Parenting: Nonviolent Communication in Action.” https://www.nonviolentcommunication.com/pdf_files/parenting_communication_mrose.pdf.

Lasater, Judith Hanson and Ike K. Lasater. What We Say Matters: Practicing Nonviolent Communication. Boulder: Shambhala, 2009.

Tags:

พ่อแม่ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)การตัดสินใจการสื่อสารอย่างสันติ (nonviolent-communication)การพูดและตั้งคำถาม

Author:

illustrator

กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skills
    SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เมื่อลูกอนุบาลไม่ได้ไปโรงเรียน : ชวนพ่อแม่ออกแบบการเรียนรู้กับ ครูกลอย-สุกัญญา แสนลาด โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา
Creative learning
24 August 2021

เมื่อลูกอนุบาลไม่ได้ไปโรงเรียน : ชวนพ่อแม่ออกแบบการเรียนรู้กับ ครูกลอย-สุกัญญา แสนลาด โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • 3 สิ่งที่ผู้ปกครองควรจะต้องรู้ไม่ว่าลูกจะอยู่วัยไหนก็ตามคือ เป้าหมายคืออะไร, รู้จักและเข้าใจลูก รวมถึงจะช่วยการเรียนรู้ลูกได้อย่างไร ภายใต้โจทย์ ‘ออกแบบการเรียนรู้ที่บ้าน’ แบ่งเป็น 3 ช่วงการเรียนรู้ในแต่ละวัน เน้นงานบ้าน งานสวน งานครัว การสำรวจ และการเล่น
  • “ในส่วนการเรียนรู้ของเด็กๆ ครูกลอยให้ผู้ปกครองแบ่งเป็น 3 ช่วง ตามความสะดวก อาจจะเป็นช่วงเวลา 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงก็ได้ที่เป็นเวลาคุณภาพ โดยผู้ปกครองสามารถออกแบบได้ตามบริบทของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนที่ครูดีไซน์ให้ เช่น บ้านนี้มีแต่ทุ่งนา ก็ดีไซน์ 3 ช่วงเวลานี้ให้ลูกอยู่กับทุ่งนาอยู่กับตัวเองอย่างมีคุณภาพ สร้างงานได้”
  • สิ่งสำคัญที่ควรระวังเลยก็คือ พ่อแม่ต้องไม่ทำลายเซลฟ์ และส่งเสริมเซลฟ์ให้กับลูก เปลี่ยนคำพูดเชิงลบที่พ่อแม่ยิ่งพูดลูกยิ่งเฟล ให้เป็นคำพูดเชิงบวก สร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันและสร้างอยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องบังคับ  

“เคลื่อน Mindset จากโรงเรียนเป็นฐานในการเรียนรู้ หรือสถาบันการศึกษาเป็นฐานในการเรียนรู้ ไปสู่ผู้เรียนเป็นฐานในการเรียนรู้ มีสโลแกนง่ายๆ ว่า ‘อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ อยู่ที่ไหนก็ได้เรียน’ ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างและ Mindset” ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา พูดถึงการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์โควิด-19 ที่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ ในงานเสวนาออนไลน์ ‘ล็อกดาวน์ไม่ล็อกการเรียนรู้’ ครั้งที่ 1 กรณีศึกษา โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาและเครือข่ายโรงเรียนพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดศรีสะเกษ’ จัดโดย คณะอนุกรรมการด้านการสื่อสารและการมีส่วนร่วมในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 

โดยโครงสร้างในระบบที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาวางนั้นรองรับกับแนวคิด เปลี่ยน Living ให้เป็น Learning ‘อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ อยู่ที่ไหนก็ได้เรียน’ แต่จะทำอย่างไรให้พ่อแม่เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ของลูกได้ด้วย นี่คือกุญแจสำคัญของแนวคิดนี้ 

วันนี้เราจะพาดูตัวอย่างและกระบวนการทำงานระหว่างครูกับผู้ปกครองที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เล่าผ่านการทำงานของ ครูกลอย – สุกัญญา แสนลาด ครูที่ดูแลการจัดการเรียนรู้ระดับปฐมวัย กับโจทย์ที่ท้าทาย ต่อจากนี้เด็กอนุบาลจะไม่อยู่กับครู แต่จะกลับสู่อ้อมอกของพ่อแม่ ทำอย่างไรให้พ่อแม่เข้าใจเรื่องพัฒนาการ 4 ด้าน, การสร้าง Self-esteem, Self-control และพัฒนาทักษะสมอง EF ซึ่งสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กตามวัย และนอกจากเข้าใจแล้ว ทำอย่างไรให้พ่อแม่นำกลับไปสร้างการเรียนรู้ให้กับลูกๆ ที่บ้านได้ด้วย

โดย 3 สิ่งที่ผู้ปกครองควรจะต้องรู้ไม่ว่าลูกจะอยู่วัยไหนก็ตามคือ เป้าหมายคืออะไร, รู้จักและเข้าใจลูก รวมถึงจะช่วยการเรียนรู้ลูกได้อย่างไร ภายใต้โจทย์ ‘ออกแบบการเรียนรู้ที่บ้าน’ แบ่งเป็น 3 ช่วงการเรียนรู้ในแต่ละวัน โดยเน้น งานบ้าน งานสวน งานครัว การสำรวจ และการเล่น

ซึ่งในกระบวนการทำงานกับผู้ปกครองนั้นแบ่งเป็น 4 ขั้น ดังนี้ 

ขั้นที่ 1 Inspire หรือ Spark เพื่อให้มีประเด็นชวนคุย 

ขั้นที่ 2 Share & Learn สิ่งที่ได้ทำในสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ขั้นที่ 3 Input ความรู้ความเข้าใจใหม่ 

ขั้นที่ 4 ให้โจทย์ – กิจกรรมในสัปดาห์ถัดไป

ชวนพ่อแม่เข้าใจพัฒนาการของลูกปฐมวัย

ครูกลอยเล่าว่า ในการจัดการเรียนรู้ช่วงนี้ชั้นอนุบาลของโรงเรียนลำปลายมาศจะไม่ได้เรียนออนไลน์ 100% แต่โจทย์สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ผู้ปกครองกลับไปสร้างการเรียนรู้ให้ลูกๆ ที่บ้านได้ 

“เราก็เริ่มจากทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง นัดมาประชุมเพื่อที่สร้างการเรียนรู้ร่วมกัน มีทั้งแบบออนไลน์และออนไซต์ ช่วง 3 สัปดาห์แรกจะเป็นออนไซต์ที่โรงเรียน แล้วก็ออนไลน์สัปดาห์เว้นสัปดาห์ เพราะทั้งเราและผู้ปกครองเองมองว่า ออนไลน์บางครั้งเราสัมผัสความรู้สึกของกันและกันไม่ได้ บางคนไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ในกลุ่มได้ ด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่ซัพพอร์ต ก็เลยต้องมาออนไซต์ด้วย”

ทั้งนี้ ทุกครั้งที่มีการพูดคุยกันทั้งครูและผู้ปกครองจะต้องประเมินความเสี่ยงของตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ และขอความร่วมมือสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง นำปากกา กระบอกน้ำสำหรับใช้ส่วนตัวมาด้วย 

“ทุกครั้งครูก็จะมีสถานการณ์ให้ผู้ปกครองได้ร่วมกิจกรรม สมมติว่าเป็นการเล่นเกม พอเล่นเกมเสร็จแล้วเราก็เอาจากเกมนั้นมาให้ผู้ปกครองช่วยกันวิเคราะห์ว่า จากเกมที่เล่นนี้ถ้าลูกได้เล่นเองคิดว่าจะเกิดพัฒนาการทางด้านไหนกับลูกบ้าง ได้อะไรจากตรงไหน เช่น เซลฟ์ (Self) เซลฟ์ผู้ปกครองทำหน้ามึน คือบางคนไม่เคยได้ยิน ไม่รู้จักคำว่าเซลฟ์ แล้วยิ่งกว่านั้นให้วิเคราห์ EF ถามว่า EF คืออะไร คือผู้ปกครองบางคนก็ยังไม่เคยได้ยินคำเหล่านี้ แต่ถ้าพูดถึงในเรื่องพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน จะพอเห็นภาพ เพราะอยู่จะอยู่กับคู่มือของเด็กๆ อยู่แล้ว”

จากนั้นผู้ปกครองก็จะมาร่วมกันวิเคราะห์ แน่นอนว่าสัปดาห์แรกอาจจะไม่เป็นรูปเป็นร่างนัก หลายคนยังไม่เข้าใจในส่วนของพัฒนาการเด็ก แต่อย่างน้อยผู้ปกครองได้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนความคิดกัน ที่สำคัญคือ เขาสามารถนำกิจกรรมที่คุณครูได้ถ่ายทอดให้กลับไปใช้กับลูกได้เองที่บ้าน 

“พอรอบที่ 2 ก็จะมีกิจกรรมให้ร่วมเหมือนกัน ก็คืออินพุดข้อมูลให้ แต่กิจกรรมก็เปลี่ยนแปลงไปจากกิจกรรมเดิม เริ่มเห็นว่าตอนในช่วงที่ให้วิเคราะห์ผู้ปกครองบางท่านไปค้นหาข้อมูลมา เริ่มรู้ว่า EF คืออะไร เซลฟ์คืออะไร ก็มาแลกเปลี่ยนความคิดกันระหว่างผู้ปกครอง เริ่มเห็นภาพมากขึ้น จนครั้งต่อๆ มาก็ลื่นไหล”

ออกแบบกิจกรรมผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว 

“ในส่วนการเรียนรู้ของเด็กๆ ครูกลอยให้ผู้ปกครองแบ่งเป็น 3 ช่วง ตามความสะดวก อาจจะเป็นช่วงเวลา 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงก็ได้ที่เป็นเวลาคุณภาพ โดยผู้ปกครองสามารถออกแบบได้ตามบริบทของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องทำเหมือนที่ครูดีไซน์ให้ เช่น บ้านนี้มีแต่ทุ่งนา ก็ดีไซน์ 3 ช่วงเวลานี้ให้ลูกอยู่กับทุ่งนาอยู่กับตัวเองอย่างมีคุณภาพ สร้างงานได้”

โดยครูกลอยจะเฝ้าติดตามทุกก้าวของการเรียนรู้ที่ผู้ปกครองออกแบบให้เด็กผ่านไลน์กลุ่มเป็นหลัก ผู้ปกครองจะส่งงานและฟีดแบคกันผ่านช่องทางนี้ ส่วนผู้ปกครองคนไหนที่เข้าไม่ถึงข้อมูลครูกลอยจะใช้วิธีการโทรไปคุยโดยตรง เพื่อจะได้รู้ว่าสภาวะที่เขาเป็นอยู่นั้น ครูจะเข้าไปช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง 

“พอเราจะเห็นกิจกรรมของเด็กที่เกิดขึ้นในแต่ละสัปดาห์ที่ผู้ปกครองออกแบบ จากนั้นเราก็จะนำผลที่ได้กลับมา Reflection มาสังเกตพัฒนาการเด็ก แล้วก็จะฟีดแบคกลับไปให้ผู้ปกครองเลย” 

ยกตัวอย่าง กิจกรรมงานสวนของเด็กๆ กลุ่ม 1 หลังจากที่ผู้ปกครองออกแบบกิจกรรมเสร็จและพาลูกทำกิจกรรมแล้ว จะต้องถ่ายภาพเพื่อให้ครูได้สังเกตและติดตามความก้าวหน้าของเด็กแต่ละคนว่าเขาได้ Self-esteem, Self-control และ EF มากน้อยแค่ไหนและได้มาอย่างไร โดยแลกเปลี่ยนกับผู้ปกครองเพิ่มเติมว่าสิ่งที่ครูเห็นผู้ปกครองเห็นอย่างไร เช่น ด้านพัฒนาการสมอง EF 

  • ความจำเพื่อใช้งาน สามารถจดจำขั้นตอนวิธีการเพาะปลูกต้นไม้และนำมาประยุกต์เพาะยอดอ่อนได้
  • ยืดหยุ่นความคิด สามารถปรับเปลี่ยนตะกร้าให้เป็นกระถางเพาะได้ 
  • จดจ่อใส่ใจ สนใจอยู่กับสิ่งที่ทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง 
  • การริเริ่มลงมือทำ ลงมือเพาะปลูกทันทีที่ได้รับโจทย์จากครูหรือแม่ 
  • มุ่งสู่เป้าหมาย เฝ้าดูแลจนยอดอ่อนเติบโต นำมาประกอบอาหารรับประทานได้

ตามด้วยการฟีดแบคให้ว่าจะดีกว่านี้ไหมถ้า…

คุณแม่ชวนสังเกตการเปลี่ยนแปลงพร้อมวาดภาพ (จดบันทึก)  เพื่อฝึกการมีจิตวิทยาศาสตร์ ชวนสนทนาเพื่อเพิ่มคลังคำศัพท์และการสื่อสาร เช่น ตัก โรย หยอด วาง กลบ ถม ชวนนับจำนวน ตวงปริมาตร ฝึกเรื่องตัวเองกับการคิด หรือชวนคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นวันต่อวัน  

นี่เป็นตัวอย่างเครื่องมือที่ครูกลอยใช้ทำงานร่วมกับผู้ปกครอง นอกจากจะให้ความรู้แล้ว ยังช่วยพัฒนาสกิลของพ่อแม่ในการจัดการเรียนรู้สำหรับลูกไปด้วย

ตัวอย่างกิจกรรม งานสวน

พ่อแม่ต้องไม่ทำลายเซลฟ์ และส่งเสริมเซลฟ์ของลูก 

“ทำไมไม่เก่งเหมือนพี่เหมือนน้องบ้าง”

“อีกแล้วนะ สอนไม่รู้จักจำ”

“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำ”

“ทำไมชอบก่อปัญหาอยู่เรื่อยนะ”

“ซุ่มซ่ามจริงๆ ทำไมถึงโง่อย่างนี้นะ”

“ทำแบบนี้ลูกไม่น่ารักเลยนะ”

“จะทิ่มตาอยู่แล้ว มองไม่เห็นหรือไง”

“หยุดร้องไห้นะ ถ้าไม่หยุดเดี๋ยวแม่จะตีแล้วนะ”

“ทำไมถึงอืดอาดแบบนี้”

“ไปไกลๆ เลย พ่อ/แม่ กำลังยุ่งอยู่นะ”

หากอ่านประโยคเหล่านี้จบแล้ว ใครที่เคยเจอกับตัว หรือเผลอใช้กับลูก แสดงว่าคุณกำลังค่อยๆ ทำลายเซลฟ์ของเขาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากสำหรับพัฒนาการตามวัยของเด็ก

นอกจากผู้ปกครองจะร่วมกันออกแบบการเรียนรู้ของลูกแล้ว สิ่งสำคัญที่ควรระวังเลยก็คือ การไม่ทำลายเซลฟ์ และส่งเสริมเซลฟ์ของเด็กๆ ซึ่งครูกลอยทำให้พ่อแม่เข้าใจเรื่องนี้ด้วยการให้พวกเขาได้สัมผัสกับความรู้สึกจริงๆ ผ่าน 10 ประโยคของพ่อแม่ ยิ่งพูดลูกยิ่งเฟล 

ในขั้นตอนการวิเคราะห์สิ่งที่เด็กควรจะได้จากกิจกรรม ครูกลอยยังให้ผู้ปกครองวิเคราะห์ถึงท่าทีของคุณครูที่พาทำกิจกรรม รวมถึงคำพูดของคุณครูที่ทำให้กระตุ้นการเรียนรู้กับทุกคนด้วย เพราะนั่นจะทำให้เขาเห็นว่าคำพูดแบบไหนที่ครูใช้แล้วให้ผลลัพธ์ที่ทางบวก ส่วนคำพูดที่มีแต่จะสร้างบาดแผลในใจเราต้องมาวิเคราะห์กันสักหน่อย เพื่อสร้างความเข้าใจใหม่ที่สร้างผลดีกับทั้งตัวเด็กและผู้ปกครอง

“พออ่านแล้ว เราก็ตั้งคำถามกับผู้ปกครองว่า ประโยคไหนที่มีความรู้สึกกับตนเองมากที่สุด ได้ฟังได้อ่านแล้วสะเทือนกับจิตใจตัวเองมากที่สุด แล้วก็ถามกลับไปว่า ทำไมคำๆ นี้ ประโยคๆ นี้ มันถึงสะเทือนกับเรา มันถึงมีความรู้สึกกับเรา ผู้ปกครองก็ถ่ายทอดออกมา บางคนถึงกับน้ำตาคลอ บอกว่าเขาโดนคำนี้มาตลอดตั้งแต่จำความได้ เช่น ทำไมไม่เก่งเหมือนพี่เหมือนน้องบ้าง ทุกครั้งที่เขาได้ยินคำนี้เขาเลยรู้สึกไม่โอเคกับมัน” 

จากนั้นมาช่วยกันเปลี่ยนคำพูดเชิงลบเหล่านี้เป็นคำพูดเชิงบวก สร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันและอยากมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องบังคับ  

“การที่เราสร้างการเรียนรู้ให้กับผู้ปกครองเขาได้อยู่ในสภาวะนั้นจริงๆ ให้อยู่ในกระบวนการนั้น แล้วเขาก็จะเกิดความรู้สึกเกิดความคิดกับกระบวนการที่เราสร้างขึ้น ซึ่งความรู้สึกนี้มันจะรับได้ก็ต่อเมื่อเข้าได้ลงมือทำจริงๆ พอผู้ปกครองได้ลงมือทำจริงๆ แล้ว เขาจะสามารถถ่ายทอดให้กับเด็กๆ ที่บ้านได้”  

Tags:

โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาล็อกดาวน์ ไม่ล็อกการเรียนรู้ออกแบบการเรียนรู้เด็กอนุบาลเปลี่ยน Living ให้เป็น Learningครูกลอย-สุกัญญา แสนลาด

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Social Issues
    จุดเปลี่ยนพลเมืองไทยคุณภาพใหม่ ผู้เรียนต้องเป็น ‘learner person’ มีสมรรถนะเป็นฐานการเรียนรู้

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    ‘เห็ดหรรษา’ วิชาปากท้องที่บูรณาการวิทยาศาสตร์ ภาษาและทักษะสมรรถนะ : ผอ.ปวีณา พุ่มพวง โรงเรียนวัดถนนกะเพรา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Creative learning
    Self-Directed Learner ช่วงเวลาเรียนรู้ที่มีคุณภาพของเด็กมัธยม: ครูณี-พรรณี แซ่ซือ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • โจทย์ไม่เยอะแต่ท้าทาย เป้าหมายคือสมรรถนะ : การจัดการเรียนรู้ระดับประถม ‘ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร์’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Creative learning
    Visible Learning : 4 ครูต้นเรื่อง ที่เติมหัวใจแห่งการเรียนรู้ให้เด็กด้วยการตั้งคำถามและหาคำตอบเอง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพจทำอาหารที่ชวนกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว ผ่านบทสนทนาง่ายๆ “แม่ เมนูนี้ทำไง”
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
23 August 2021

เพจทำอาหารที่ชวนกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว ผ่านบทสนทนาง่ายๆ “แม่ เมนูนี้ทำไง”

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • “ผมไม่ได้เป็นคนชอบทำอาหาร ปกติทำแค่ไข่เจียวกับต้มมาม่า เพียงแต่ว่าบางเมนูมันหากินไม่ได้ก็เลยต้องทำเอง แต่จริงๆ ก็แค่หาเรื่องโทรไปถามเขาเฉยๆ แหละ การทำกับข้าวมันแค่สื่อกลาง เราไม่ได้จริงจังกับการทำกับข้าวขนาดนั้น แต่พอทำมาเรื่อยๆ ก็กลายเป็นว่าเราได้ทำหลายเมนูเลย แล้วบางเมนูที่คิดว่ามันยาก แต่พอได้ทำมันก็ไม่ยากอย่างที่คิด”
  • แม้บางเมนูจะไม่อร่อยจนต้องเททิ้ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก เพราะหัวใจของการทำอาหารของเพจคือการที่เราได้เปิดฉากคุยกัน ได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่า 
  • เปิดห้องครัวเล็กๆ ของ เค – คณิน พรรคติวงษ์ พร้อมเรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ผ่านบทสนทนาง่ายๆ ‘แม่ เมนูนี้ทำไง’

ภาพ : เพจเฟซบุ๊ก แม่ เมนูนี้ทำไง

ในเสียงสับหมูรัวๆ ตามจังหวะขึ้นลงของมือ เสียงฉ่า…เมื่อวัตถุดิบถูกเทลงกระทะ ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องครัวเล็กๆ ในคอนโดมิเนียมใจกลางกรุง  

จากคนที่ทำอาหารเป็นแค่ต้มมาม่ากับไข่เจียว จากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ที่ห่างเหิน จากครีเอทีฟโฆษณาที่มีฝันอยากทำงานผู้กำกับ วันนี้…เขากลายเป็นผู้ชายที่สนุกกับการได้เรียนรู้สูตรอาหารของแม่ ได้ลองทำหลายเมนูที่กินมาตั้งแต่เด็ก เมนูที่เรียบง่าย แต่อร่อยเกินต้าน เมนูที่เรียกชื่อไม่ถูกสักทีแถมยังหากินยาก ก็เลยต้องโทรไปถาม “แม่ เมนูนี้ทำไง” เรากำลังพูดถึงเพจอบอุ่นที่เกิดจากการหาเรื่องชวนแม่คุยผ่านการทำอาหาร ที่มี  เค – คณิน พรรคติวงษ์ เป็นเจ้าของเพจ 

“ฮัลโหล เออแม่ ไอ้..ถามหมูไอ้นั่นหน่อยดิ ชื่อหมูอะไรนะ หมูรวนเค็มเหรอ”

“เออ ทำไม จะทำเหรอ”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าว่าจะทำ”

บทสนทนาแสนเรียบง่ายระหว่างเขากับแม่เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ถ่ายทอดผ่านคลิปวีดีโอสั้นๆ ความยาวไม่ถึงสิบนาที คุยกันตั้งแต่เรื่องสูตรอาหาร ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ไปจนถึงสัจธรรมชีวิตในมุมของคนเป็นแม่ 

The Potential พาทุกคนไปเปิดห้องครัวเล็กๆ ของเค พร้อมเรียนรู้การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ผ่านบทสนทนาง่ายๆ ‘แม่ เมนูนี้ทำไง’ 

เค – คณิน พรรคติวงษ์

โทรไปให้แม่สอนทำกับข้าว เป็นข้ออ้างให้เราได้คุยกัน 

แม้เส้นเรื่องหลักจะเป็นการทำอาหารโดยที่เคเป็นคนดำเนินเรื่อง มีแม่เป็นตัวละครสำคัญที่ขาดไม่ได้ และหลังๆ เริ่มมียายมาเสริมทัพ แต่เนื้อหาที่ถูกแทรกอยู่ในคลิปเหล่านั้น คือ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นของคนสองคน ทั้งเขาและเธอได้พูดคุยกันมากขึ้น จากที่เคบอกว่า จริงๆ แล้วความสัมพันธ์ของเขากับแม่ ไม่ได้สนิทสนมกันออกจะห่างเหินด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะเหตุการณ์ที่แม่ประสบอุบัติเหตุรถชน ณ ตอนนั้นเราไม่มีทางรู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะมีให้เราได้ทำอะไรดีๆ ให้กันอีกไหม ดังนั้นเวลาที่ยังมีอยู่เราคุยกันให้มากขึ้นดีกว่า 

“เอาจริงๆ ตอนแรกมันก็เป็นทั้งความบังเอิญผสมกับความคิดมาแล้วเหมือนกัน ความบังเอิญแรกก็คือ ผมอยากจะมีเพจ อยากจะมีพื้นที่อะไรที่ทำงานสร้างสรรค์ลงไปอยู่แล้ว เพราะตัวเองก็ทำงานประจำเป็นครีเอทีฟโฆษณา งานสร้างสรรค์มันก็ไปอยู่ในแพลตฟอร์มได้หลายๆ รูปแบบ แต่ละคนมีแชนแนลของตัวเอง ผมก็อยากจะมีพื้นที่ตรงนี้บ้าง อยากจะเอาสกิลเราไปโชว์บ้าง ก่อนหน้านี้ก็มีทำเพจนู่นนี่นั่นมา มันก็แป๊ก ไม่ค่อยเวิร์ก ทีนี้ก็มีช่วงหนึ่งที่คิดจะออกจากงานประจำ อยากไปกำกับโฆษณา ก็เลยคิดว่าจะต้องทำอะไรที่เราจะได้แสดงผลงาน แสดงฝีมือตัวเองซะหน่อย” 

“แล้วปลายปีที่แล้วแม่ก็ประสบอุบัติเหตุรถชน ก็เลยเป็นความบังเอิญที่สอง พอตอนไปเยี่ยมแกที่โรงพยาบาลเราก็รู้สึกว่า เราไม่ค่อยได้คุยกันเลย ทำไมช่วงนี้เราห่างกันจัง ยอมรับตรงๆ พอย้ายมาทำงานในเมืองเราก็สนใจแต่เรื่องของตัวเอง จนก็ลืมครอบครัวไป งั้นหาเรื่องที่จะคุยกับแม่ให้มากขึ้นดีกว่า ก็ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร นึกขึ้นได้ว่าก็เหลือแต่เรื่องกับข้าวนี่หว่าที่ว่าเรายังไม่ได้ถามเขา”

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเพจ ‘แม่ เมนูนี้ทำไง’ ซึ่งในตอนแรกเคพยายามเลี่ยงที่คุยกันผ่านการโทรโดยตรง ด้วยความไม่ชินกับการโทรคุยที่บ้านบ่อยๆ จึงใช้วิธีทักแชททักไลน์ไปแทน แต่ตัวหนังสือก็ให้ความรู้สึกที่แห้งไปหน่อย เนื่องจากว่าไม่มีเสียง สัมผัสไม่ได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกสักเท่าไร และบทสนทนาก็จบลงแบบห้วนๆ เขาจึงตัดสินใจสลัดความไม่คุ้นชินนั้นทิ้งต่อสายตรงคุยกันเลยดีกว่า จากนั้นก็อัดเสียงไว้ซะหน่อยเพื่อที่จะสามารถทำตามได้ พูดง่ายๆ ก็คือ กลัวตัวเองจะลืม สุดท้ายก็ออกมาเป็นบทสนทนาที่เป็นธรรมชาติอย่างที่เห็น

“ผมไม่ได้เป็นคนชอบทำอาหาร ปกติทำแค่ไข่เจียวกับต้มมาม่า เพียงแต่ว่าบางเมนูมันหากินไม่ได้ก็เลยต้องทำเอง แต่จริงๆ ก็แค่หาเรื่องโทรไปถามเขาเฉยๆ แหละ การทำกับข้าวมันแค่สื่อกลาง เราไม่ได้จริงจังกับการทำกับข้าวขนาดนั้น 

แต่พอทำมาเรื่อยๆ ก็กลายเป็นว่าเราได้ทำหลายเมนูเลย แล้วทุกเมนูนี่ผมทำครั้งแรกหมดเลย ตอนแรกไม่กล้าทำด้วย พวกต้มๆ อะไรแบบนั้นยิ่งไม่กล้าทำ เพราะคิดว่ามันยาก แต่พอได้ทำมันก็ไม่ยากอย่างที่คิด”

การสร้างจุดเด่นให้กับเพจทำอาหารของตัวเองท่ามกลางเพจทำอาหารมากมายในโซเชียล เคจึงต้องสร้างความแตกต่าง ดึงจุดที่คนจะหันมาสนใจและรู้สึกร่วมไปกับสิ่งที่เขานำเสนอ 

“เราทำเพจอาหาร แต่ยังไม่ค่อยเห็นคนจะทำแบบถ่ายสวยๆ ไปเลย อาจจะเห็นของต่างชาติมันก็อาจจะมีเป็น vlog ของญี่ปุ่น เกาหลีก็มีถ่ายสวยๆ บ้าง แต่ของไทยไม่ค่อยเห็นเท่าไร แต่จุดสำคัญใหญ่ๆ เลยก็คือ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มคนที่จะดูเพจนี้คือใคร พอมันเริ่มต้นจากตัวเองเลยใช้ตัวเองเป็นกลุ่มเป้าหมาย ก็คือ เด็กต่างจังหวัดที่มาทำงานในเมือง กำลังเริ่มต้นชีวิตมนุษย์เงินเดือน คนเราต้องกินข้าวอยู่แล้ว ทุกคนก็มีแม่อยู่แล้ว มันก็เลยเป็นจุดร่วมที่เขาจะเชื่อมโยงกันได้ง่ายๆ แล้วคนไทยเป็นคนที่อินกับเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวเรื่องอะไรพวกนี้เขาก็จะทัชได้ง่าย ยิ่งด้วยบรรยากาศในช่วงโควิด การที่กลับไปบ้านไม่ได้มันก็มีความคิดถึง” 

ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นในทางที่ดี    

จะเห็นว่าเพจนี้กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากผู้ติดตามเพียงหลักพันตอนนี้กลายเป็นหลักแสน เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างเคกับแม่ที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นตามไปด้วย 

“เอาจริงๆ ตอนแรกไม่สนิทกันเลย เรารู้สึกว่าห่างเหินกันด้วยซ้ำไป อยู่ด้วยกันแม่ก็เป็นคนเงียบๆ ก็จะคุยกันน้อยมาก โตมาเราถึงจะกล้าคุยกับแม่เยอะขึ้น เด็กๆ ผมก็ขี้อายแม้กระทั่งกับแม่ตัวเอง”

เหมือนประโยคหนึ่งเคพูดไว้ท้ายคลิปว่า 

“…ตอนเด็กๆ เรายังถามนู่นถามนี่เขาอยู่เลย แต่พอโตมาก็ไปถามกูเกิลแทน” 

แต่แล้วความสัมพันธ์ที่ห่างเหินก็ค่อยๆ ดีขึ้น จากคลิปแรกจนถึงคลิปนี้อารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อกันเปลี่ยนไปในทางที่ดี 

“ถ้าฟังจากน้ำเสียงแม่ ตอนแรกเขาก็จะแบบโทรมาอีกแล้ว มีความเหนื่อยๆ เนือยๆ อยู่ในน้ำเสียง แต่หลังๆ เขาก็เริ่มรู้ เขาเริ่มเห็นแล้วว่า เราเอาไปทำอะไร แล้วมีคนมาติดตาม มีคนมาเป็นแฟนคลับแม่ มีคนมาชม เขาก็แฮปปี้ไปด้วย รู้สึกดีกับสิ่งที่เราทำไปด้วย ทีนี้โทรไปเขาก็ไม่บ่นละ ถึงจะโทรแบบวันเว้นวันเลยนะ น้ำเสียงก็ยังสดใสขึ้นเรื่อยๆ ก็มีคุยกันเยอะขึ้น ทำอะไรด้วยกันมากขึ้น”

อีกทั้งตอนนี้ไม่ได้มีแค่แม่อย่างเดียว แต่เคยังทาบทามยายของเขามาร่วมเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่สร้างสีสันให้กับคลิปด้วย แถมยายมักจะให้ข้อคิดดีๆ ที่ไม่ได้ให้กำลังใจเพียงหลานชาย แต่เผื่อแผ่มายังผู้ที่ผ่านเข้ามาดูคลิปนั้นด้วย เป็นการปิดจบที่อบอุ่นเสมอ อย่างเช่นท้ายคลิปเมนู ข้าวเหนียวทุเรียน  

“เก่งแล้วล่ะ สู้ๆ วันหลังมีใหม่ก็ทำใหม่ คนเรามันก็ยังมีความหวังอะ เราอย่าท้อ ทำอะไรเราอย่าท้อ เราก็สู้ๆ ไปเรื่อยๆ สักวันนึงต้องเป็นของเรา”

“จริงๆ ผมก็สนิทกับยายมากกว่าแม่นะ รู้สึกว่าคุยกับยายโบ๊ะบ๊ะกันได้มากกว่าแม่ คุยแกล้งอะไรเขาบ่อยก็เลยโทรไปหายายด้วยดีกว่า สำหรับหลายๆ คนยายก็เป็นแม่คนที่สองเหมือนกัน แล้วแม่กับยายนี่คนละอารมณ์เลย ยายเราก็จะแหย่ๆ เขาได้ แต่แม่ก็จะมีความไม่เข้าขากันอยู่ เราแหย่ไปก็แห้ง แม่แหย่มาเราก็ไม่เก็ตมุข ก็ยังอยู่ในช่วงค่อยๆ คุยกัน ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ เพราะเราคุยกันน้อยจริงๆ แต่แม่ก็จะได้มุมที่มันอบอุ่น ยายก็จะได้มุมกวนๆ ตลกๆ เป็นหนังคนละแบบ”

หลังจากที่เขาทำเพจมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ การสื่อสารผ่านคลิปของเขาไปไกลมากกว่าเพื่อตัวเองอย่างที่เขาได้พูดไว้ หลายคนที่ได้เห็นต่างก็เชื่อมโยงกับตัวเองได้ง่าย คิดถึงคนที่บ้านขึ้นมาเมื่อดูจบ หรือเผลอยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นคอมเมนต์หนึ่งที่ทำเอาเครู้สึกดีไปด้วย

“ฟีคแบคดีกว่าที่คิดเหมือนกันนะ ก็อย่างที่บอกว่าตอนแรกสุดเลยเราทำเพื่อตัวเองล้วนๆ มันจะเป็นผลงานของเรานะ เดี๋ยวเราจะมีงานเข้ามานะ เราจะทำเพื่อคุยกับแม่ เราอยากทำกับข้าวนี้ อยากกินเมนูนี้ แต่พอไปอ่านคอมเมนต์หนึ่งเขาบอกว่า 

ช่วงนี้พ่อเขาเป็นโควิด อยู่โรงพยาบาลสนาม พ่อเขาก็บ่นว่าอาหารในโรงพยาบาลสนามเนี่ยไม่อร่อยเลย กินไม่ค่อยได้ เขาก็เลยคุยกับพ่อถามสูตรกับข้าวพ่อแล้วก็ทำไปให้พ่อกิน ทำให้มีความสุขในช่วงเวลานี้ได้ ก็เลยรู้สึกว่า สิ่งที่เราทำเพื่อตัวเอง มันดีกับคนอื่นได้ขนาดนี้เลยเหรอ” 

เมนูประจำบ้าน แค่ได้กลิ่นก็หวนนึกถึงวัยเด็ก

เคบอกว่า ทุกเมนูที่เขาเลือกทำเป็นเมนูที่แม่เคยทำให้กินตอนเด็กๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะต้มมะระยัดไส้หมูสับ ต้มผักกาดดอง แกงส้มชะอมไข่ ปลาสลิดทอด แกงเขียวหวาน หมูสับผัดปลาอินทรีย์เค็ม ฯลฯ แต่ถ้าถามว่ามีเมนูไหนที่ทำให้ฟินสุดๆ ทั้งเรื่องรสชาติและกลิ่นอายเรื่องราวในวัยเด็กที่หวนให้นึกถึง เขายกให้เมนูแรกที่ทำเลย นั่นก็คือ หมูสับผัดปลาอินทรีย์เค็ม

“เมนูแรกก็เป็นที่สุดแล้วละ เพราะมันเป็นเมนูที่ง่ายมากๆ แล้วเพราะมันติดอยู่ในใจมากๆ ก็เลยเป็นเมนูแรกมั้งที่อยากจะรู้จริงๆ ว่า ที่เรากินตอนเด็กๆ เนี่ย มันเป็นยังไง มันคืออะไร เรียกก็เรียกไม่ถูก ไปสั่งตามร้านอาหารก็สั่งผิดเป็นหมูหนำเลี๊ยบ ซึ่งมันไม่ใช่ ไม่ใกล้เคียงเลยด้วย แล้วก็หากินไม่ค่อยได้ แต่พอได้ทำ ตอนทำกลิ่นมันมา สีมันมา กินกับข้าวต้มรสชาติแบบนี้เลย แล้วก็ไม่คิดว่าจะทำง่ายขนาดนี้ ทำง่ายจริงๆ แล้วอร่อยด้วย”

แต่เมนูที่ยากสำหรับเค คือ ปาท่องโก๋ ในคลิปเป็นยายที่ร่วมด้วย ซึ่งยายเองก็ทำไม่เป็นเช่นกัน เป็นการเรียนรู้ไปด้วยกัน กับอีกเมนูหนึ่งคือ ต้มผักกาดดองซี่โครงหมู วิธีการทำอาจไม่ยุ่งยากนัก วัตถุดิบก็มีเพียงสองสามอย่าง แต่เคบอกว่าการทำให้อร่อยนั้นยากกว่า และถึงแม้จะไม่อร่อยก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา เพราะหัวใจคือการที่เราได้เปิดฉากคุยกัน ได้ใช้เวลาร่วมกันมากกว่า 

ความสัมพันธ์ในครอบครัวของเขา จึงเหมือนเมนูๆ นี้ หมูผัดปลาอินทรีย์เค็ม คือ ดูเป็นอะไรที่ง่ายๆ แต่ว่ารู้กันแค่กลุ่มน้อยๆ เพราะสูตรนี้ไม่สามารถจะไปหาจากที่อื่นได้เลย นั่นก็เลยทำให้ครอบครัวมีความเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร  

“ทุกบ้านจะมีเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์ประจำบ้านตัวเองอยู่แล้ว ความสัมพันธ์หรือความเป็นครอบครัวมันก็เลยเป็นอะไรที่เฉพาะ มองตาก็รู้กัน แค่ส่งเสียงก็รู้กันละ มันไม่ต้องมีอะไรมาก เป็นอะไรที่เรียบง่ายและรู้กันเอง แค่ได้กลิ่นปลาเค็มก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเมนูนี้ ก็นึกถึงแม่แล้ว แค่ได้ยินเสียงหมูสับจังหวะแบบนี้ ก็รู้แล้ว”  

การทำอาหารก็เหมือนการใช้ชีวิต ต้องฝึกฝนถึงจะทำเป็น ต้องใส่ใจและตั้งใจในการเรียนรู้ ลองผิดลองถูก ไม่ว่าจะอะไรก็ตามกว่าที่จะประสบความสำเร็จต่างต้องใช้เวลาด้วยกันทั้งนั้น 

“ไม่ยากหรอก ถ้าเราใส่ใจที่จะทำ ถ้าทำทีแรกมันไม่ดี พอหนที่สองเราก็ดูว่าครั้งแรกที่เราทำไม่ดีเพราะอะไร เราก็ปรับปรุงมันก็จะดีขึ้นเอง ทำหนแรกมันจะดีเลยเป็นไปไม่ได้หรอก ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อย” แม่ของเค กล่าวไว้ในคลิปเมนู หมูพะโล้ 

เมนูแรก หมูผัดปลาอินทรีย์เค็ม

ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวเริ่มต้นได้ ถ้าเราเปิดใจรับฟังกันก่อน 

หลายคนที่กำลังคิดว่าอยากสร้างบรรยากาศในบ้านให้ดีขึ้น อยากคุยกันมากกว่านี้ โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่เรากลับบ้านไม่ได้ จากที่ห่างกันอยู่แล้วก็อาจยิ่งห่างไปอีก เคแนะนำวิธีการกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวฉบับตัวเองมาแชร์กันสักหน่อย เผื่อว่าใครที่อยากจะเริ่มต้น แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี   

“ผมว่ามันคือ การฟังกันก่อน ก่อนที่เราจะคุยกัน เขากำลังพูดอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ พูดด้วยน้ำเสียงแบบไหน อารมณ์ไหนอยู่ ต่างคนต่างฟังกันก่อน ถ้าเกิดเราพูดอยู่ฝ่ายเดียวหรือเขาพูดอยู่ฝ่ายเดียวมันก็จะไม่มีวันมาคุยกันได้ง่ายๆ หรือถ้าสมมุติเราไม่ได้ฟังเขา เราก็พูดแต่เรื่องของเราอย่างเดียว ใส่แต่ข้อมูลที่ทำให้เขาหงุดหงิดไปมากกว่าเดิม ความสัมพันธ์มันก็จะยิ่งห่างกันไปอีก แต่มีใครคนนึงพูดเยอะเกินไปก็ให้เราหยุดพูดก่อน หันมาฟังกันก่อน”

แต่สำหรับตัวเขาเอง มักใช้วิธีสร้างบรรยากาศที่ขุ่นมัวตรงนั้นให้ดีขึ้นมาสักหน่อยก่อน หลังจากบรรยากาศเริ่มดีขึ้น ก็จัดแจงหาของอร่อยๆ มานั่งกินกัน เมื่อทุกคนอารมณ์ดีแล้ว จึงพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น คุยกันด้วยสติ

“มีครั้งหนึ่งที่ยายหงุดหงิดมาก กำลังบ่นน้อง แล้วบรรยากาศบ้านมันดูหงุดหงิดมาก เราก็อาศัยการแซวยายไปเลย อยู่ๆ ก็แซว บ่นแบบนี้เป็นห่วงมันน่ะสิ รักมันใช่ไหมล่ะ พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ทำให้บรรยากาศตรงนั้นดีขึ้นมาก่อน แล้วค่อยมาคุยเรื่องเดิมใหม่ค่อยมาหาวิธี ถามเหตุผลว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น 

บรรยากาศมันก็สำคัญเหมือนกัน อย่างการคุยแชทมันก็ไม่ค่อยดีเท่ากับการโทรคุยกัน เพราะได้ยินน้ำเสียงได้หรือวิดีโอคอลเราก็รู้แล้ว ตาได้รับรู้ถึงความรู้สึกว่าเขาอารมณ์ไหน ถ้าเรามีสติคุยกันมันก็จะดีขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เวิร์กกับทุกบ้านนะ”

เพจนี้ทำให้ได้เรียนรู้ว่า…ต้องลองทำถึงจะรู้ว่าสิ่งนั้นยากหรือง่าย 

“พอได้มาทำเพจก็ได้เรียนรู้ว่า อะไรที่เราเคยคิดว่ามันยาก มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ ถ้าเกิดเราได้ลองทำไปก่อน อันแรกสุดมันอาจจะยังไม่ได้เพอร์เฟกต์ แต่ว่าทำไปก่อนแล้วก็ทำไม่หยุดด้วย ทำไปเรื่อยๆ ถ้ามัวนั่งคิดเยอะเกินไป กังวลเยอะเกินไป เครียดเกินไป มันก็ไม่ได้ทำสักที เหมือนกับบางทีทำกับข้าว ถ้าเราหิวอะ แต่เรามัวแต่นั่งคิดเมนู นั่งนึกไปเรื่อยๆ หมดวันละ ไม่ได้กินข้าว เราว่าให้ความหิว ให้ความกระหายนี่แหละช่วยขับเคลื่อน ในการที่เราจะรีบๆ ลงมือทำ” 

แล้วก่อนจะมาลงเอยที่เพจนี้เคเองก็ทำมาหลายเพจอยู่เหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่เขาเรียนรู้จากการสร้างคอนเทนต์บนโซเชียล คือ การต้องลองทำ ลองผิดลองถูก 

“ผมพูดในสิ่งที่คนจะมีอินไซด์ มีความรู้สึกภายในร่วมกัน พูดในสิ่งที่คนอื่นจะรู้สึกอินกับเราได้ หมายถึงสิ่งที่คนจะสนใจ เหมือนเวลาถ้าเราเข้าไปอยู่ในห้องกับเพื่อนกลุ่มนึง แล้วอยู่ๆ เราก็พูดในสิ่งที่คนอื่นอาจจะไม่เก็ต แต่ถ้าเกิดมันมีจุดร่วมที่เขาเชื่อมโยงกันได้ เขาก็อินกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ถ้าเกิดเราพูดแต่เรื่องของตัวเอง พูดเรื่องที่เราอินจัดๆ มันก็จะได้คนเฉพาะกลุ่มซึ่งก็ดีในแบบของมัน แต่พอเราพยายามปรับให้คนอื่นเขาฟังได้ด้วย พูดในคอนเทนต์ที่เขาไม่ต้องรู้จักเราเขาก็สามารถเก็ตเราได้” 

การโทรไปให้แม่สอนทำกับข้าว เป็นข้ออ้างให้เราได้คุยกัน ถือเป็นโมเดลอย่างหนึ่งที่เราไม่ต้องรู้จักกัน แต่สามารถมาเสพคอนเทนต์นี้ แล้วรู้สึกอินไปด้วยกันได้ 

อีกเรื่องที่ทำให้เคเรียนรู้ได้ดีเลยก็คือ การมีเดดไลน์ ซึ่งเป็นตัวช่วยในการกระตุ้นให้เขารีบลงมือทำอะไรสักอย่างเหมือนกัน 

“อย่างที่แม่โดนรถชน เราก็คิดว่าต้องเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง เลยทำเพจนี้ เริ่มลงมือทำ หั่นผัก จับกระทะ จับกล้อง ทำไปก่อนแล้วเราค่อยไปหยิบจับสิ่งที่งอกมาทีหลัง เน้นความเป็นธรรมชาติ ถ้าเกิดเราทำคลิปแบบมีสคริปต์ เขียนสคริปต์ นั่งวิเคราะห์ เขียนบทให้แม่ ก็ไม่ได้ทำสักที เราก็ทำอะไรเท่าที่ทำได้ไปก่อน ถ้าลองแล้วไม่เวิร์กก็ไม่ต้องทำ”

นอกจากนี้เขายังมีอีกหนึ่งความตั้งใจที่อยากจะทำต่อ ผ่านโปรเจกต์เล็กๆ ที่หวังว่าจะกระจายรายได้และช่วยส่งเสริมธุรกิจในต่างจังหวัดได้บ้าง 

“ผมจะทำร้านโลคอลในต่างจังหวัด เป็นผลิตภัณฑ์ของต่างจังหวัด อยากจะช่วยขายของให้คนที่เป็นนักธุรกิจเล็กๆ อยู่ต่างจังหวัด อยากให้เศรษฐกิจต่างจังหวัดมันโต ไม่อยากให้ทุกอย่างมันมารวมอยู่ที่กรุงเทพฯอย่างเดียว อยากเห็นคนกลับบ้าน อยากเห็นคนอยู่กับบ้านมากกว่าเข้ามาในเมือง อยากเห็นคนได้อยู่ใกล้ครอบครัวมากกว่า 

บางคนสุดท้ายก็อยากกลับไปทำอะไรที่บ้าน แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี สำหรับผมไม่ได้มีปัญหากับการอยู่ในเมืองนะ แต่ว่าสำหรับคนอื่นบางงานแทนที่มันสามารถอยู่ต่างจังหวัดก็ได้ ทำไมมันจะต้องกระเสือกกระสนจากบ้านมาไกล ซึ่งรายได้มันก็ไม่ได้ต่างกันมาก ถ้าเกิดเศรษฐกิจต่างจังหวัดมันเจริญกว่านี้ดีกว่านี้ แบรนด์มันแข็งแรงกว่านี้ มันน่าจะมีงานที่ต่างจังหวัดเยอะขึ้น น่าจะช่วยกระจายรายได้ได้มากขึ้น”  

Tags:

การเรียนรู้แม่ เมนูนี้ทำไงเค - คณิน พรรคติวงษ์อาหารความสัมพันธ์

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Relationship
    ‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Like Stars on Earth: ไม่มีเด็กคนไหนไร้ค่า ขอแค่แสงสว่างจากใครสักคนเพื่อเปล่งประกาย

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Adolescent BrainEF (executive function)
    ‘สัตว์เลี้ยง’ เพื่อนที่สอนเด็กเรื่องความแตกต่างและเรียนรู้ที่จะปรับตัว

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Transformative learning
    ทำไมครูต้องสร้างบทเรียนเพื่อความยุติธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Indian Matchmaking เมื่อการเลือกคู่ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นเรื่องของสองครอบครัว

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพียงพบบรรจบฝัน – เมื่อรสนิยมทางเพศไม่ใช่แค่เรื่องชอบชายหรือหญิง
Book
20 August 2021

เพียงพบบรรจบฝัน – เมื่อรสนิยมทางเพศไม่ใช่แค่เรื่องชอบชายหรือหญิง

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • เพียงพบบรรจบฝัน การ์ตูน LGBTQ+ จากญี่ปุ่น ที่พูดถึงแง่มุมการค้นหาตนเอง และการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของตัวละครที่เป็น LGBTQ+ ในบริบทสังคมเอเชียน
  • สังคมญี่ปุ่นนั้นเข้มงวดเรื่องการรักษาภาพลักษณ์มากๆ และในเมืองเล็กๆ เรื่องเป็น ‘ขี้ปากชาวบ้าน’ นั้นแพร่ไปไวมาก ทาสุกุ ก็ต้องเครียดกับการกลัวถูกล้อว่าเป็นเกย์ แต่ในวันต่อมาเขากลับรอดจากวิกฤตด้วยการแก้ตัวเรื่องดูคลิป และพูดแสดงความรังเกียจเพื่อเน้นย้ำว่าเขาไม่ใช่เกย์ เพื่อนในห้องก็ไม่ได้คิดเป็นสาระอะไร แม้แต่เพื่อนสนิทที่เป็นห่วงเขา ที่แสดงความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดหลังทาสุกุโกหกไปว่าไม่ได้เป็นเกย์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เขายิ่งรู้สึกกดดันกับการชอบผู้ชายของตนเอง
  • เพียงพบบรรจบฝันนั้นไม่ได้เสนอทางออกตายตัวในปัญหาของตัวละคร เพราะปัญหาของแต่ละคนก็ย่อมมีส่วนที่แตกต่างกันออกไป คงไม่มีสูตรสำเร็จของ LGBTQ+ คนใด หรือของสังคมไทย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าทุกสังคมนำมาใช้ร่วมกันได้คือ การปรับมุมมองในการมอง LGBTQ+ เสียใหม่ การเป็น LGBTQ+ ไม่ได้เป็นเรื่องแค่ว่า ฉันชอบผู้ชายหรือผู้หญิง หรือฉันอยากเป็นเพศที่ไม่ตรงกับร่างกายฉัน แต่มันคือ ‘ฉันเป็นคนแบบไหน’ การไม่ยอมรับ การไม่เข้าใจความหลากหลายทางเพศ ก็เหมือนการไม่ยอมรับหรือไม่เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้น
บทความต่อไปนี้ มีการเปิดเผยเนื้อหาในการ์ตูน

หากถามว่าละคร นิยาย และการ์ตูนแนวไหนที่กำลังฮิตสุด ๆ ในตอนนี้ คำตอบหนึ่งคงเป็นแนว ‘วาย’ หรือชายรักชาย หรือหากดูข่าวก็จะพบว่าหลายประเทศทั่วโลกก็เริ่มเปิดใจยอมรับความหลากหลายทางเพศที่ไม่ใช่แค่ชายหรือหญิง หรือที่ฝรั่งเรียกย่อๆ ว่า LGBTQ+ ซึ่งรวมถึงเลสเบียน เกย์ ไบ บุคคลข้ามเพศ (transsexual) และเพศอื่นๆ หลายประเทศก็เริ่มมีการยินยอมให้คนเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสกันได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีข่าวการจัดเทศกาล Pride กันอย่างใหญ่โต (เทศกาลเฉลิมฉลองของชาว LGBTQ+ นิยมจัดขึ้นในเดือนมิถุนายน)

บางคนอาจจะรู้สึกว่าทำไมเรื่องความหลากหลายทางเพศถึงเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกิน ทำไมถึงต้องสนใจเรื่องนี้ด้วย และทำไมต้องเรียกร้องอะไรกันนัก จะชายรักชายหรือหญิงรักหญิง หรือจะแบบไหนมันก็เป็นแค่เรื่องของรสนิยมว่ารักคนเพศไหน ไม่เห็นจำเป็นต้องออกมาป่าวประกาศกันเลย แต่ที่จริงแล้ว ความหลากหลายทางเพศมันเป็นเรื่องใหญ่กว่าแค่เรื่องความรัก และวันนี้เราจะมาพบกับแง่มุมชีวิตซึ่งคนที่ไม่ได้สนิทกับบุคคลที่เป็น LGBTQ+ อาจจะไม่เคยรับรู้มาก่อนผ่านการ์ตูนที่ชื่อว่า เพียงพบบรรจบฝัน

การ์ตูนที่เกี่ยวกับ LGBTQ+ มีเยอะครับ แต่การ์ตูนส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องราวความรักของคู่รักเพศเดียวกันเป็นหลัก ตั้งแต่รักใสๆ รักโรแมนติก ไปจนถึงรักบนเตียงแบบร้อนแรง แต่เพียงพบบรรจบฝันไม่ใช่การ์ตูนแนวดังกล่าว แม้จะเป็นการ์ตูนที่เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ แต่การ์ตูนเรื่องนี้จะพูดถึงแง่มุมการค้นหาตนเอง และการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของตัวละครที่เป็น LGBTQ+ มากกว่า ผมประทับใจในเนื้อเรื่อง วิธีการนำเสนอปมของเรื่องราว และความลึกในแง่รายละเอียดการแสดงอารมณ์ความรู้สึก ผมเลยคิดว่าการ์ตูนเล่มนี้แหละที่น่าจะเป็นสื่อที่ดีในการทำให้สังคมทำความรู้จักและเข้าใจความหลากหลายทางเพศมากขึ้นได้ 

เพียงพบบรรจบฝันเป็นเรื่องราวของตัวละครในชิมานามิ เมืองเล็กๆ ที่มีทั้งภูเขาและทะเล เรื่องเปิดมาที่ ‘ทาสุกุ’ ตัวละครเครียดจนอยากตายเพราะวันนี้โดนเพื่อนจับได้ว่าเขาดูคลิปเกย์ในมือถือ หลังเลิกเรียนเขาเดินไปอย่างไร้เป้าหมายและคิดว่าโลกนี้คงจบสิ้นแล้ว แต่ตอนที่เขามองไปที่หน้าผาและคิดว่าควรจะกระโดดไปเลยดีไหม เขาก็ไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ๆ ก็กระโดดจากบ้านติดหน้าผาแถวนั้น เขาตกใจจนลืมตัวและรีบวิ่งไปที่บ้านหลังดังกล่าวเพื่อเรียกให้คนไปช่วย แต่กลับพบว่าผู้หญิงคนนั้นกลับอยู่ในบ้าน และไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย ทาสุกุเลยได้รู้จักกับหญิงแปลกๆ คนนั้น ซึ่งคนอื่นๆ ในบ้านนั้นเรียกเธอซึ่งเป็นเจ้าของบ้านว่า ‘คุณนิรนาม’ และได้มาพบกับ ‘ห้องนั่งเล่น’ หรือบ้านของคุณนิรนามซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุมกิจกรรมอาสาสมัคร และบังเอิญที่สมาชิกในกลุ่มนั้นมีคนที่เป็น LGBTQ+ อยู่หลายคน

ทาคุสุได้พบกับคู่หญิงรักหญิงที่ดูรักกันดีมีความสุข หนุ่มรูปหล่อซึ่งที่จริงเป็นผู้ชายข้ามเพศ และเด็กชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง แม้ว่าห้องนั่งเล่นไม่ใช่ที่รับปรึกษาปัญหาชีวิตโดยกิจกรรมหลักที่ทำก็คือบูรณะบ้านร้างเก่าๆ แต่ทาสุกุก็เหมือนได้ที่พักพิงใหม่ เพราะที่นี่น่าจะยอมรับเรื่องที่เขาชอบเพศเดียวกันได้ การได้พูดคุย ได้รู้เรื่องราวชีวิตของ LGBTQ+ คนอื่นๆ เลยเป็นจุดเริ่มต้นให้ทาสุกุเริ่มสำรวจประเด็นเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ รวมถึงจิตใจของตัวเองอย่างตั้งใจเป็นครั้งแรก 

ประเด็นแรกที่การ์ตูนเรื่องนี้สื่อถึงพร้อมเปิดเรื่อง คือ แรงกดดันจากสังคม สังคมญี่ปุ่นนั้นเข้มงวดเรื่องการรักษาภาพลักษณ์มากๆ และในเมืองเล็กๆ เรื่องเป็น ‘ขี้ปากชาวบ้าน’ นั้นแพร่ไปไวมากครับ แต่ผมคิดว่าผู้อ่านคนไทยน่าจะจินตนาการความกดดันที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก เพราะหากไม่ใช่คนที่เปิดตัวแล้วเจอเหตุการณ์เดียวกันกับทาสุกุก็ต้องเครียดแน่ๆ กับการถูกล้อว่าเป็นเกย์ หรืออื่นๆ ประเด็นที่น่าสนใจ คือ ในวันต่อมาถึงทาสุกุจะพบว่าเขารอดจากวิกฤตมาได้ด้วยการแก้ตัวเรื่องคลิป และพูดแสดงความรังเกียจออกไปเพื่อเน้นย้ำว่าเขาไม่ใช่เกย์ ซึ่งเพื่อนในห้องก็ไม่ได้คิดเป็นสาระอะไร แต่ความรู้สึกกดดันนั้นกลับไม่หายไป คำพูดของเพื่อนในห้องเรียนเมื่อวานนี้ที่ทั้งล้อเลียนและรังเกียจ แม้แต่เพื่อนสนิทที่เป็นห่วงเขา ที่แสดงความโล่งใจอย่างเห็นได้ชัดหลังทาสุกุโกหกไปว่าไม่ได้เป็นเกย์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เขายิ่งรู้สึกกดดันกับการชอบผู้ชายของตนเอง

คำพูดไม่ดีและการแสดงการไม่ยอมรับ LGBTQ+ นั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในแทบจะทุกสังคม เพียงแต่มันจะเป็นการตั้งใจหรือเปล่าและรุนแรงแค่ไหนก็เท่านั้น คงมีหลายคนที่เป็นเหมือนทาสุกุที่ไม่ได้บอกใคร แต่พออยู่ในวงสนทนาก็ต้องกัดฟันฟังคำพูดของคนรอบตัวพูดไม่ดีต่อการเป็น LGBTQ+ แต่ก็แสดงอะไรออกไม่ได้ 

การห้ามไม่ให้พูดไม่ดีใส่คนอื่นอาจจะเป็นมารยาทปกติ และที่จริงในเนื้อเรื่องก็แทบไม่มีใครเลยที่พูดไม่ดีกับทาสุกุด้วยเจตนาร้าย และการพูดดูถูกหลายๆ ครั้งก็เป็นเพียงแค่มุกขำขันของเด็กวัยรุ่น แต่แรงกดดันที่หนักหนาและรับมือยากที่สุดนั้นมาจากตัวบุคคลที่เป็น LGBTQ+ เอง มันคือความรู้สึกผิดบาป ความรู้สึกแย่กับตนเองที่เป็น ‘สิ่งที่คนทั่วไปรังเกียจ’ และบุคคลที่ย้ำความรังเกียจนั้นมากที่สุดคือตัวเขาเอง การที่คำว่า ‘เกย์’ มันกลายเป็นสิ่งที่ใช้ล้อเลียน สิ่งที่แทนถึงความน่ารังเกียจ สิ่งที่ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นแค่คำพูดว่า “นายเป็นเกย์หรือ” มันจึงสร้างความเจ็บปวดแตกต่างจากการบอกอย่าง “นายเป็นผู้ชายหรือ” ประเด็นนี้น่าสนใจมากครับ เพราะสังคมมักจะเน้นแต่เรื่องอย่าพูดไม่ดี อย่าล้อเลียน อย่าต่อว่าหยาบคาย แต่ลืมนึกถึงเรื่องทัศนคติของคน เรื่องค่านิยมในสังคมที่ฝังแน่น 

ตราบใดที่ค่านิยมว่าความหลากหลายทางเพศ คือ สิ่งที่ผิดปกติ ความกดดันทางสังคมนั้นมันก็จะยังอยู่ในใจของบุคคล LGBTQ+ ร่ำไป แม้จะไม่ได้พูดออกมาก็ตาม

เพียงพบบรรจบฝันยังมีแง่มุมที่น่าสนใจเรื่องการ ‘เปิดตัว’ ต่อสังคมหรือครอบครัวว่าตนเองเป็น LGBTQ+ ฮารุและซากิ คู่หญิงรักหญิงนั้นแม้จะแสดงออกต่อคนนอกชัดเจนว่าตนเองเป็นคู่รัก แต่กลับพบปัญหาเรื่องการยอมรับของครอบครัว ฮารุต้องผิดใจกับครอบครัวเพราะเรื่องนี้จนห่างเหินกันไป ส่วนซากิไม่กล้าแม้แต่จะบอกครอบครัวด้วยซ้ำ แม้ทั้งคู่จะดูมีความสุขแต่ก็ต้องทุกข์ใจกับความสัมพันธ์ลึกๆ เพราะต้องคบกันโดยไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัว ซึ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดและให้ความสำคัญที่สุด คำถามที่อาจเกิดในใจหลายๆ คนคือ จำเป็นด้วยหรือที่ต้องให้คนในครอบครัวเรารู้เรื่องนี้ ยิ่งกับบางคนที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันกับพ่อแม่ และนานๆ เจอกันที การไม่บอกอาจจะเป็นหนทางที่ไม่ต้องผิดใจกับครอบครัวหรือไม่ จำเป็นด้วยหรือที่ต้องบอกคนอื่นว่าฉันเป็น LGBTQ+         

ทำไมการเปิดตัวนั้นถึงสำคัญกับหลายๆ คน ธรรมชาติของกลไกทางความคิดของมนุษย์อาจเป็นคำตอบได้ครับ มนุษย์เรานั้นชอบแบ่งสิ่งต่างๆ เป็นประเภท เป็นกลุ่ม เวลาเจอหน้าใครเรามักจะคิดถึงเขาในฐานะกลุ่มประกอบ เช่น คนนี้เป็นหมอ (อาชีพ) วัยกลางคน (อายุ) บ้านรวย (ฐานะ) และการแบ่งกลุ่มนั้นคือวิธีหนึ่งในการทำให้เราคาดการณ์ว่าใครจะมีลักษณะปลีกย่อยอะไรตามมา เช่น ถ้าเขาเป็นหมอ เขาน่าจะฉลาดและรักสะอาด แม้ว่ามันอาจจะไม่แม่นยำไปเสียทีเดียว แต่มันก็เป็นการแบ่งเบาภาระในการจดจำว่าใครเป็นอย่างไร ชอบอะไร และประเภทของคนแบบหนึ่งที่สำคัญที่สุดในการตีความของมนุษย์คือ ‘เขาเป็นเพศอะไร’ เราถูกสั่งสอนและหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็กถึงความแตกต่างระหว่างหญิงและชาย เรามักจะคิดว่าผู้ชายชอบเล่นกีฬา ผู้หญิงชอบอ่านนิยายรัก ผู้ชายชอบแข่งขัน ผู้หญิงเน้นประนีประนอม ผู้ชายไม่ชอบงานฝีมือของน่ารัก ผู้หญิงไม่ชอบเรื่องเครื่องยนต์กลไก สิ่งเหล่านี้จิตวิทยาเรียกว่า สเตริโอไทป์ (stereotype) 

และทุกครั้งเวลาเราพูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัว เรามักจะนำสเตริโอไทป์ในหัวมาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นแบบนั้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งมันก็มักจะถูกกับคนส่วนใหญ่ แต่มันก็มักจะผิดไปบ้าง เพราะคนเราก็มีรสนิยมแตกต่างกันไปบ้าง

แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากอีกฝ่ายไม่ใช่ทั้ง ชาย และ หญิง และเราไม่รู้เรื่องนั้น การที่เราสื่อสารโดยใช้สเตริโอไทป์ที่ไม่ตรงกับฝ่ายนั้นบ่อยเข้าๆ อย่างเจอเพื่อนผู้หญิงที่เป็นเลสเบียนก็ถามร่ำไปว่าเมื่อไหร่จะหาสามีเสียที แต่งงานช้าเดี๋ยวมีลูกยาก เจอเพื่อนผู้ชายที่เป็นเกย์ก็ชวนเขาเหล่สาวๆ ชวนไปดูพริตตี้ที่งานมอเตอร์โชว์ จริงอยู่ที่เราพูดแบบนั้นเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็น LGBTQ+ และไม่ได้มีเจตนาทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดใจ แต่บุคคลกลุ่มนี้หลายคนต้องเจอกับการสื่อสารที่เข้าใจผิดแบบนี้ซ้ำๆ ในทั้งชีวิต ตราบใดที่เขายังไม่เปิดตัวคนรอบตัวก็จะคาดหวังแต่สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเขาเลยแม้แต่น้อย และอาจจะเลวร้ายไปกว่านั้นตอนเจอคนรอบตัววิจารณ์การเป็น LGBTQ+ ในแง่ลบให้เขาฟัง แบบนั้นยิ่งน่าอึดอัด น่าโกรธ และน่าเศร้า นี่คือเหตุผลที่ทำไมการเปิดตัวกับคนรอบตัวถึงสำคัญกับบางคน แต่ถึงแบบนั้นโลกความจริงก็ไม่ได้ง่ายดาย เพราะต่อให้เปิดตัวแล้ว คนรอบตัวก็ไม่ได้ยอมรับได้กับสิ่งที่เขาเป็น กลายเป็นต้องผิดใจกัน โกรธเกลียดกันไปเลย การเปิดตัวเลยเป็นเรื่องที่หลายๆ คนเลือกที่จำไม่ทำดีกว่า ยอมอึดอัดใจต่อไป เพื่อแลกกับความสัมพันธ์ที่ดี

อีกแง่มุมที่น่าสนใจที่เพียงพบบรรจบฝันเสนอมา คือ ปัญหาของคนที่พยายามทำความเข้าใจความหลากหลายทางเพศ สังคมปัจจุบันมีคนยอมรับเรื่องนี้มากขึ้นทุกวัน ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีครับ แต่บางครั้งด้วยการต้องการแสดงออกว่า ‘ฉันรับได้สุดๆ เลยว่าเธอเป็น LGBTQ+’ ก็เลยจะแสดงออกเต็มที่ว่าตนรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพศอะไร ซึ่งมันจะมาพร้อมกับการยัดเยียดว่าคนกลุ่มนี้ต้องเป็นหรือชอบอะไร เจอเพื่อนที่เป็นเกย์ก็ชวนคุยแต่กับเรื่องเครื่องสำอาง เรื่องข่าวเม้าท์นางงาม เห็นผู้ชายหน้าตาดีเดินผ่านทีไรก็ถามตลอดว่าแบบนี้ชอบใช่ไหมล่ะ หรือแปลกใจเวลาเจอเพื่อนที่เป็นทอมใส่กระโปรง หรือทำไมไม่ตัดผมสั้น ไม่ต้องฝืนทำตัวเป็นผู้หญิงก็ได้นะ ประเด็นคือมันก็เหมือนสเตริโอไทป์เรื่องเพศชายหรือหญิงซึ่งลักษณะที่คาดหวังบางครั้งเป็นแค่ความเชื่อที่ไม่ถูกต้องกับทุกคน 

ผู้ชายที่ชอบผู้ชายก็ไม่จำเป็นต้องรักสวยรักงาม ผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงก็ไม่จำเป็นต้องอยากมีร่างกายเหมือนผู้ชาย

นอกจากนี้ LGBTQ+ นั้นก็เหมือนชายหรือหญิงที่แต่ละคนมีความชอบแตกต่างกันไปครับ จะมาเหมาว่าเป็นเกย์แล้วร้อง I will survive ได้ทุกคน หรือชอบเที่ยวกลางคืน ชอบวันไนท์แสตนด์ ก็ไม่เสมอไป บางครั้งด้วยการเป็น LGBTQ+ ทำให้คนรอบตัวเน้นแต่การใช้สเตริโอไทป์จนเกินเหตุ และแทนที่จะเป็นการแสดงความเข้าใจ กลับกลายเป็นการยัดเยียดในสิ่งที่ตนเองคาดหวังว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้แทน ประเด็นนี้เพียงพบบรรจบฝันนำเสนอผ่านทั้งตัวละครที่ชื่อ มิโซระ ที่เป็น ‘cross-dress’ หรือชอบแต่งตัวเป็นเพศตรงข้าม ซึ่งโดนยัดเยียดความเป็นผู้หญิงให้ แม้ผู้ที่ยัดเยียดปรารถนาดี ต้องการแสดงความเข้าอกเข้าใจถึงความหลากหลายทางเพศ แต่ไม่ได้คิดเลยว่ามิโซระเองอยากเป็นผู้หญิงหรือแค่อยากแต่งตัวเหมือนผู้หญิง

นอกจากนี้ความหวังดีที่อยู่ในรูปของความสงสารก็เป็นอีกปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ในเพียงพบบรรจบฝันพูดถึง อุซึมิ ผู้เกิดมาเป็นผู้หญิงแต่มีจิตใจเป็นผู้ชาย เธอจึงตัดสินใจแปลงเพศ หรือที่เราเรียกว่า บุคคลข้ามเพศ อุซึมิ ได้มาเจอกับเพื่อนเก่าสมัยเรียน ซึ่งเธอเหมือนจะมาดีเพราะแสดงออกอย่างเต็มที่ว่าไม่รังเกียจ แถมพยายามให้กำลังใจและคอยสนับสนุนมาก แต่มากจนเกินเหตุ ถึงขั้นที่พยายามดึงให้คนนั้นคนนี้รอบตัวมาเข้าใจการเป็น LGBTQ+ ของอุซึมิ แต่สุดท้ายเจตนาดีกลับให้ผลเสีย เพราะมันแสดงถึงความรู้สึกว่าการเป็น LGBTQ+ เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจ น่าสงสารจากการโดนรังเกียจ เป็นเพศที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งกลายเป็นความรู้สึกไม่ดีกับพวกเขา ที่ไม่ได้ต้องการความรู้สึกเห็นใจหรือสงสารกับสิ่งที่เขาเป็น

เพียงพบบรรจบฝันนั้นไม่ได้เสนอทางออกตายตัวในปัญหาของตัวละคร เพราะปัญหาของแต่ละคนก็ย่อมมีส่วนที่แตกต่างกันออกไป คงไม่มีสูตรสำเร็จของ LGBTQ+ คนใด หรือของสังคมไทย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าทุกสังคมนำมาใช้ร่วมกันได้คือ การปรับมุมมองในการมอง LGBTQ+ เสียใหม่ การเป็น LGBTQ+ ไม่ได้เป็นเรื่องแค่ว่า ฉันชอบผู้ชายหรือผู้หญิง หรือฉันอยากเป็นเพศที่ไม่ตรงกับร่างกายฉัน แต่มันคือ ‘ฉันเป็นคนแบบไหน’ การไม่ยอมรับ การไม่เข้าใจความหลากหลายทางเพศ ก็เหมือนการไม่ยอมรับหรือไม่เข้าใจตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้น

อย่างไรก็ตามการยอมรับไม่ได้หมายถึงการยัดเยียดว่าแล้ว เกย์ เลสเบียน ไบ หรือเพศอื่นๆ ต้องชอบอะไร มีบุคลิกแบบไหน ชอบแต่งตัวแบบไหน แต่คือการมองเหมือนบุคคลนั้นเป็นคนคนหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่างจากตอนเรามองผู้ชายหรือผู้หญิงคนอื่นๆ ในสังคม อย่าให้ความสนใจบุคคลนั้นนั้นในฐานะ LGBTQ+ จนละเลยความเป็นตัวตนของแต่ละคน เพราะแม้แต่ชายจริงหญิงแท้ก็ใช่ว่าจะเหมือนกันทุกคน หลายๆ คนก็อาจจะมีความชอบ นิสัย บุคลิก ที่ไม่ตรงกับคนส่วนใหญ่ LGBTQ+ ก็เช่นกัน ควรรับรู้เขาว่าที่เขาแตกต่างไม่ใช่เพราะเขาเป็น LGBTQ+ แต่เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนแตกต่างกัน และทุกคนมีสิทธิ์ในการเลือกว่าตนเองอยากเป็นอะไร ชอบอะไร ได้ตามแต่ใจเท่าที่ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร

นอกจากนี้ความเห็นใจและความสงสารไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องการ เพราะหลายๆ คนอยากภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น LGBTQ+ ไม่ได้เรียกร้องว่าต้องมีอภิสิทธิ์ และไม่ได้คาดหวังให้ทุกคนเข้าใจความชอบส่วนตัวของพวกเขา แต่แค่ต้องการอยู่ในสังคมได้ในแบบคนทั่วไป จริงอยู่ที่การแก้ไขค่านิยมทางสังคมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการที่จะทำให้คนตัดความรู้สึกว่า LGBTQ+ นั้น ผิดปกติ แปลก หรือด้อยกว่า แต่จุดเริ่มต้นเล็กๆ อย่างบุคคลที่สำคัญกับผู้นั้นอย่างคนในครอบครัวและเพื่อนสนิท หากพวกเขาเข้าใจและยอมรับตัวตน แค่นั้นก็ถือว่าเป็นฐานที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่ทำให้เขาภูมิใจในการเป็นตัวของตัวเองของเขาแล้ว 

อีกเรื่องหนึ่งในเพียงพบบรรจบฝันที่นำไปใช้ได้ไม่ใช่แค่กับ LGBTQ+ แต่กับทุกคนที่กำลังพบกับปัญหาชีวิต คือ การรับฟัง บทพูดติดปากของ ‘คุณนิรนาม’ ที่จะได้เห็นหลายต่อหลายครั้งคือ “เธอจะเล่าอะไรก็ได้ ฉันจะไม่ถาม” แม้อาจจะเป็นคำพูดที่เหมือนไม่ใส่ใจ แต่จริงๆ แล้วคนแทบจะทุกคนเวลาเจอปัญหา แท้จริงแล้วไม่ได้ต้องการการชี้แนะ แต่ต้องการบุคคลที่คอยรับฟังในทุกเรื่องไม่ว่าตนจะคิดอะไรอยู่ แล้วพอได้พูดให้ใครได้ฟังแล้ว หลายครั้งความคิดจะตกตะกอนเป็นคำตอบที่ต้องการเอง ดังเช่นที่ตัวละครหลายๆ คนต่างรู้สึกดีที่ได้พูดกับคุณนิรนาม ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยให้ทางออกใดๆ แต่ก็รับฟังอย่างเต็มใจ และไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น โชคดีที่ต้นเรื่องของเพียงพบบรรจบฝัน ทาสุกุ ได้เจอกับคุณนิรนาม และห้องนั่งเล่น ซึ่งทั้งทำให้เขาเข้าใจตนเอง รวมถึงมีอิทธิพลในการปรับความคิดของคนรอบตัวเขาเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ แต่ในโลกความเป็นจริง มี LGBTQ+ อีกจำนวนมากที่ยังกดดันหรือสับสน และคงจะดีไม่น้อยหากมีคนใกล้ตัวเขาอย่างน้อยอีกสักคนที่ยอมรับพวกเขาได้ในแบบที่เขาเป็น

หนังสือที่รีวิว: หนังสือการ์ตูน “เพียงพบบรรจบฝัน” (4 เล่นจบ) โดย ยูกิ คามาทานิ
สำนักพิมพ์: สำนักพิมพ์โชงะคูคัง แปลและจัดพิมพ์ในไทยโดย สำนักพิมพ์เซน

Tags:

เพศLGBTQ+อัตลักษณ์ทางเพศ

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Related Posts

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    โอบกอดลูกในวันที่เขาขอเลือก ‘เพศ’ เอง : คุยกับคุณแม่เจ้าของเพจ LGBTQ+’s Mother ‘อังสุมาลิน อากาศน่วม’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็น Non-binary : ตัวตน ความรักและความเป็นอื่น ‘นอกกล่องเพศ’ กับ คิว-คณาสิต พ่วงอำไพ

    เรื่อง ศากุน บางกระ

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

“อย่าเร่งร้อนให้ผลิบาน” ความยากลำบากของวัยหนุ่มสาวกับการบรรลุนิติภาวะในวัย 18
How to get along with teenager
20 August 2021

“อย่าเร่งร้อนให้ผลิบาน” ความยากลำบากของวัยหนุ่มสาวกับการบรรลุนิติภาวะในวัย 18

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความต้องการของสังคมในปัจจุบันรวมไปถึงความกดดันจากสื่อสังคมเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราควรยืดอายุการบรรลุนิติภาวะออกไปเพื่อรักษาวัยหนุ่มสาวเอาไว้
  • เพราะเงื่อนไขดังกล่าวทำให้บ่อยครั้งวัยรุ่นมักถูกผลักให้ต้องโตเร็วเกินไปจนสูญเสียความไร้เดียงสาและกระบวนการพัฒนาตัวเองไประหว่างทาง
  • เพื่อชะลอปัญหานี้ เราควรลำดับเวลาและความสำคัญใหม่ให้เหมาะสม โดยการขยายอายุช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นไปสู่วัยผู้ใหญ่ออกไปเป็น 25 ปี และในระหว่างนั้นก็ควรปล่อยให้ลูกๆ ของเราได้ล้มและเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง

ปัจจุบันนี้มี ‘วัยรุ่น’ จำนวนมากที่กำลังเผชิญกับ ‘ความยากลำบาก’ ในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 นี้ เด็กๆ ในปัจจุบันถูกผลักให้ต้องรีบโตเร็วเกินไป พวกเขายังต้องได้รับการเรียนรู้ปรับปรุงและการพัฒนาอีกมากแต่กลับต้องสูญเสียโอกาสเหล่านั้นไป เห็นได้ชัดเลยว่าแม้แต่เด็กอายุเพียง 5 – 6 ปี ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำกิจกรรมเพื่อความสนุกสนานอีกต่อไป กิจกรรมทุกอย่างต้องรองรับกับการเรียนรู้ที่จะเพิ่มโอกาสทางการศึกษาในอนาคต

เราอาจรู้กันมาบ้างแล้วว่าเด็กอายุ 15 ปีมีระดับสติปัญญาที่เทียบเคียงได้กับวัยผู้ใหญ่ ผลวิจัยการทำงานของสมองกล่าวว่า สมองของมนุษย์จะมีการพัฒนาต่อเนื่องจนชีวิตเข้าสู่เลขสาม โดยการพัฒนาในช่วงนี้จะเกิดขึ้นในสมองส่วนหน้าและวงจรเยื่อหุ้มสมองซึ่งเป็นส่วนของสมองที่รับผิดชอบการรู้คิดและสังเคราะห์ข้อมูล ทั้งยังเป็นตัวรับอารมณ์สำหรับการตัดสินใจ ด้วยเหตุนี้ ช่วงอายุ 18 ปีจึงอาจยังไม่เหมาะสมสำหรับการบรรลุนิติภาวะ 

หากเราลองย้อนดูประวัติศาสตร์เราจะพบว่าขอบข่ายของช่วงอายุวัยรุ่นนั้นมีการผันผวนไปมาตลอดเพื่อให้เหมาะสมกับสังคมในช่วงเวลานั้นๆ เช่น ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกา อายุที่เยาวชนสามารถแต่งงานได้ตามกฎหมายอยู่ที่ 12 ปีสำหรับเด็กผู้หญิง และ 14 ปีสำหรับเด็กผู้ชาย ส่วนอายุในการบรรลุนิติภาวะเคยจำกัดอยู่ที่ 21 ปี แต่ก็มีการลดลงมาเรื่อยๆ จนเหลือเพียง 18 ปีในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เพื่อให้เอื้อต่อความต้องการทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในขณะที่ทางศาสนา สองศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ได้แก่ ศาสนายิวและนิกายโรมันคาทอลิก ได้กำหนดให้ช่วงอายุของการบรรลุศาสนภาวะไว้ที่ 13 ปีมาตลอดหลายศตวรรษ

และหากย้อนกลับไปเมื่อสองพันปีก่อน จะพบว่ากฎหมายโรมันในช่วงต้นได้กำหนดให้อายุบรรลุนิติภาวะอยู่ที่ 25 ปี ซึ่งถือว่าเป็นอายุขั้นต่ำสำหรับชายหนุ่มที่จะมีอิสระในการตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นทางการโดยไม่ต้องขอคำแนะนำ นอกจากนี้ ช่วงอายุระหว่าง 15 – 25 ปีนั้น เด็กหนุ่มชาวโรมันจะอยู่ภายใต้การดูแลชั่วคราวของผู้ใหญ่ที่เรียกกันว่าผู้รักษา โดยผู้รักษาจะทำหน้าที่เป็นทั้งพี่เลี้ยง นักบำบัด และที่ปรึกษาให้กับวัยรุ่น ทั้งยังคอยอนุมัติและตรวจสอบการกระทำของเด็กหนุ่มเหล่านี้จนกว่าพวกเขาจะมีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์

ดูเหมือนว่าชาวโรมันในยุคนั้นมีความเข้าใจว่ากลุ่มวัยรุ่นต้องการเวลาในการพัฒนาก่อนที่เราจะให้เขาแบกกระสอบที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและความรับผิดชอบของวัยผู้ใหญ่ งานวิจัยของ Leah Sommerville ยังกล่าวเสริมอีกว่าวัยรุ่นต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อพัฒนากลไกทางประสาทและพฤติกรรมให้สามารถยับยั้งอารมณ์ด้วยเหตุผลได้

การเติบโตในประวัติศาสตร์มีความท้าทายเฉพาะตัว แต่ด้วยเหตุผลหลายประการทำให้เราเชื่อว่าโลกในปัจจุบันนี้มีความคาดหวังต่อเด็กๆ มากกว่าในอดีต จะเห็นได้ว่าเราได้กำหนดขอบเขตอายุของ ‘วัยรุ่น’ ตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Piaget ได้ก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีวิตที่กลายเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการศึกษาและการฝึกอบรมขั้นสูง รวมไปถึงการแข่งขันในการทำงานเพื่อให้ได้คุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น 

วิวัฒนาการของบรรทัดฐานทางเพศที่นำไปสู่การแบ่งเพศสภาพซึ่งมากกว่าแค่ชายกับหญิงเป็นอีกความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เด็กๆ ต้องเรียนรู้มากขึ้นเพื่อการเข้าสังคมอย่างเหมาะสม ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เด็กหนุ่มในปัจจุบันมีความอ่อนไหวทางอารมณ์และทักษะในการสื่อสารที่มากกว่าผู้ชายรุ่นก่อน ส่วนเด็กสาวก็มีความแข็งแกร่งทางด้านร่างกาย และความแน่วแน่ที่เกินความคาดหมายผู้หญิงในรุ่นก่อนเช่นเดียวกัน หมายความว่าลูกๆ ของเราจะต้องใช้เวลามากขึ้นในการเรียนรู้ ฝึกฝน และทดลองกับลักษณะนิสัยในการเป็นผู้ใหญ่ที่กว้างกว่าที่เคยมีมาเพื่อที่จะประสบความสำเร็จเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ในอนาคต

นอกจากนี้ สภาพครอบครัวก็เป็นอีกปัญหาที่มองข้ามไม่ได้ เด็กๆ ที่เติบโตขึ้นในครอบครัวที่มีผู้ปกครองเพียงคนเดียวหรือพ่อแม่ทั้งสองที่ทำงานจนไม่มีเวลามาดูแลพวกเขาอย่างเหมาะสม มักจะไม่ได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครองในช่วงที่มีความทุกข์ทางอารมณ์อย่างรุนแรง ทำให้เด็กต้องดิ้นรนหาทางออกด้วยตัวเอง ซึ่งหลายครั้งเป็นทางออกที่มีแนวโน้มในการใช้กลไกการเผชิญปัญหาที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น การกิน การใช้ยา และการใช้สื่อที่ไม่เหมาะสม การที่สื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีอิทธิพลมากต่อวิถีชีวิตก็เป็นอีกสาเหตุทำให้วัยรุ่นเกิดภาวะความเครียดมากขึ้นตามไปด้วย 

พฤติกรรมการเสพสื่อมากเกินไปได้ปลูกฝังค่านิยมใหม่ในกลุ่มผู้ปกครองว่าลูกๆ ของเราต้องมีความสามารถ ทำสิ่งที่มีคุณภาพและน่าทึ่งได้แม้จะยังไม่ถึงเวลาอันสมควร เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวของผู้ปกครองให้ผู้อื่นเห็นว่าเราเป็นพ่อแม่ที่ดี 

หรือในทางกลับกัน พ่อแม่อีกหลายคนที่กังวลอย่างมากกับการที่ลูกๆ ต้องพบเจอกับความยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นไปสู่วัยผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองเหล่านี้ต่างก็ตื่นตระหนกและผลักดันกลุ่มวัยรุ่นหนักขึ้นโดยไม่ตระหนักถึงความเหมาะสมของช่วงวัย

สื่อสังคมออนไลน์เปรียบเหมือนดาบสองคม แม้ว่าพฤติกรรมการเสพสื่อในกลุ่มวัยรุ่นจะชี้ว่าพวกเขาได้รับข้อมูลในสังคมโลกที่กว้างขวางขึ้น

แต่ก็บ่อยครั้งเหลือเกินที่พวกเขามักถูกกดตันให้มีจุดยืนในประเด็นที่พวกเขามีความรู้ความเข้าใจเพียงเล็กน้อย และการไม่เปิดเผยตัวตนบนโลกอินเทอร์เน็ตก็ยังเพิ่มโอกาสที่จะถูกโจมตีด้วยวาจาในลักษณะที่พวกเขาอาจไม่พร้อมที่จะรับมือ

ความกดดันที่แพร่กระจายเป็นวงกว้างจากสื่อสังคมแค่เพียงอย่างเดียวก็เป็นภาระหนักเกินกว่าที่ผู้ใหญ่สุขภาพจิตดีจำนวนมากจะรับมือไหว นับประสาอะไรกับเยาวชนและวัยรุ่นในวัยเลข 2 ที่ยังคงรอการพัฒนาสมองและการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่จะช่วยให้พวกเขามีความยืดหยุ่นทางอารมณ์

ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา เราจึงจำเป็นต้องขยับขอบเขตของคำว่า ‘วัยรุ่น’ ให้เลยช่วงเวลาในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อออกไปเป็นวัย 25 ปี และควรคิดว่าอายุ 25 ปีเป็นเกณฑ์ใหม่ที่เหมาะสมสำหรับการบรรลุนิติภาวะ การทำแบบนี้ไม่ได้ความหมายว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนอายุสำหรับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การทำงาน การขับขี่ยานพาหนะ หรือการรับราชการทหารไปที่อายุ 25 ปีด้วย เพียงแต่ว่าเราควรเปลี่ยนความคาดหวังที่มีต่อวัยรุ่นและผู้ปกครองให้แตกต่างออกไป

นอกจากการขยายอายุของการบรรลุนิติภาวะแล้ว ขอแนะนำวิธีการเลี้ยงดูวัยรุ่นในโลกที่เร่งรีบเพื่อชะลอไม่ให้เกิดปัญหาและความยากลำบากที่เยาวชนหนุ่มสาวในปัจจุบันกำลังเผชิญ

  1. ปรับเปลี่ยนลำดับเวลาและลำดับความสำคัญ

เราต้องให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูวัยรุ่นให้มีความสมดุลทางจิตใจและมีสุขภาพก่อนดีเป็นอันดับแรก แทนที่จะให้วัยรุ่นเข้ามหาวิทยาลัยดังหลังจบจากโรงเรียนมัธยม การได้เข้าเรียนในวิทยาลัยที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมจะมีผลดีมากกว่าการรีบเร่งให้พวกเขาเข้ามหาวิทยาลัยในทันที ส่วนในช่วงมัธยม ควรส่งเสริมให้เด็กๆ ได้เล่นกีฬาและเรียนรู้ดนตรีเพียงเพื่อความสนุกสนาน ไม่ใช่เพื่อโอกาสทางการศึกษา และพยายามหลีกเลี่ยงการจัดตารางการเรียนที่แน่นจนเด็กๆ ไม่มีเวลาฝันกลางวัน ทั้งนี้ เราควรให้เวลาพวกเขาได้เรียนรู้และลองสิ่งใหม่ๆ เช่น การศึกษาแลกเปลี่ยนต่างประเทศ การฝึกงาน เพื่อให้พวกเขาได้ออกไปพบปะผู้คนใหม่ๆ หรือโอกาสใหม่ๆ ที่อาจไม่มีในชีวิตที่เร่งรีบเติบโต

  1. ปล่อยให้พวกเขาได้ล้มเหลวเพื่อเรียนรู้จากความผิดพลาด

การเลี้ยงลูกแบบเฮลิคอปเตอร์คือพฤติกรรมการเลี้ยงลูกแบบเอาใจใส่มากจนเกินพอดีจนกลายเป็นการควบคุมลูก ปัญหาที่ตามมาคือเมื่อเราป้องกันไม่ให้เด็กล้มเหลว พวกเขาจะไม่ได้เรียนรู้วิธีใช้กระบวนการลองผิดลองถูกเพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของตนเองและเติบโตจากความผิดพลาด เด็กที่เติบโตมาด้วยวิธีการเลี้ยงดูในข้างต้นนี้ มักจะมีปัญหาในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ แม้กระทั่งเรื่องความต้องการของตนเอง เพราะส่วนมากพ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจแทนตลอดชีวิตของพวกเขา

นี่เป็นเพียงคำแนะนำที่อาจช่วยให้วัยรุ่นในการดูแลของเราสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี มีความสมดุลในชีวิต เราอาจคาดหวังได้ว่าเมื่อเด็กๆ เหล่านี้ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปแล้ว พวกเขาจะสามารถจัดการกับจิตใจได้อย่างมีเสถียรภาพและมั่นคงมากขึ้น ไม่เร่งรีบเติบโตให้ทันต่อโลกที่รีบร้อนใบนี้ หากพวกเขาไหลไปตามกระแสสังคมและสะดุดล้มลง พวกคุณก็แค่ต้องเตือนความจำให้พวกเขา “ช้าลง” เท่านั้นเอง

อ้างอิง
Why 25 May Be the New 18
Is 25 the New 18? Slow Down and Find the Answer in “Vienna”

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)สิทธิเด็กวัยรุ่นการเติบโต

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Boyhood: ครอบครัว แตกสลาย เติบโต

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to get along with teenager
    เข้าใจตัวตนหลากหลายของวัยรุ่นผ่านทฤษฎีสี กับ ครูมอส – อนุพันธ์ุ พฤกษ์พันธ์ขจี จิตรกรและนักศิลปะบำบัด

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

สานสัมพันธ์พี่ – น้องให้แน่นแฟ้นด้วยการเลี้ยงดูของพ่อแม่ : ใช้เวลาร่วมทุกข์ – สุขและให้ความยุติธรรม
Family Psychology
18 August 2021

สานสัมพันธ์พี่ – น้องให้แน่นแฟ้นด้วยการเลี้ยงดูของพ่อแม่ : ใช้เวลาร่วมทุกข์ – สุขและให้ความยุติธรรม

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • คำสอนที่พร่ำบอกว่า พี่น้องต้องรักกันนะ อาจไม่ใช่วิธีทำให้พี่น้องรักและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่เป็นผู้ปกครองที่ทำให้ลูกๆ รู้สึกเห็นอกเห็นใจกันและกัน จากการใช้เวลาร่วมทุกข์ร่วมสุขและให้ความยุติธรรม สร้างสายสัมพันธ์ที่ดี
  • บทความนี้จะมากล่าวถึงแนวทางสำหรับพ่อแม่และผู้ใหญ่ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง และข้อที่ควรพึงระวังหากไม่ต้องการสร้างบาดแผลระหว่างพี่น้อง
  • การที่ผู้ปกครองตั้งใจจะมีลูกคนที่สอง เราควรนำไปปรึกษากับลูกคนโตด้วยว่า ‘เขารู้สึกอย่างไร’ เพราะลูกถือเป็นสมาชิกในครอบครัว และเขาควรได้รับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครอบครัว ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อตัวเขา

“พี่ต้องรักน้อง น้องต้องรักพี่ เกิดเป็นพี่น้องต้องรักกัน”

เด็กๆ ที่เกิดในครอบครัวที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคนย่อมคุ้นเคยกับคำพูดเหล่านี้จากผู้ใหญ่ในบ้านเป็นอย่างดี

พ่อแม่ทุกคนย่อมปรารถนาที่จะเห็นลูกๆ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ในครอบครัวใดที่พี่น้องรักใครปรองดองต่อกันเปรียบได้กับของขวัญสุดแสนพิเศษสำหรับพ่อแม่ทีเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่พี่น้องจะรักกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนั้น มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง มากกว่าแค่ คำสอนพร่ำบอกว่า พี่น้องต้องรักกันนะ

ในบทความนี้จะกล่าวถึงแนวทางสำหรับพ่อแม่และผู้ใหญ่ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง และข้อที่ควรพึงระวังหากไม่ต้องการสร้างบาดแผลระหว่างพี่น้อง 

แนวทางต้อนรับสมาชิกใหม่ในครอบครัว

สำหรับลูกคนโต ซึ่งมีฐานะเป็น ‘ลูกคนเดียว’ มาโดยตลอด การที่พ่อแม่ตั้งใจจะมีลูกคนที่สอง เราควรนำไปปรึกษากับลูกคนโตด้วยว่า ‘เขารู้สึกอย่างไร’ เพราะลูกถือเป็นสมาชิกในครอบครัว และเขาควรได้รับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในครอบครัว ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อตัวเขาด้วย 

บ่อยครั้งเราพบว่า การที่พ่อแม่ไม่ได้บอกเรื่องราวที่สำคัญ อย่างเช่น การจะมีลูกคนที่สอง ให้ลูกคนโตทราบ 

ผลที่อาจตามมาได้ คือ ความไม่พร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของลูกคนโต ซึ่งความไม่พร้อมนั้นอาจจะส่งผลต่อความรู้สึก ทั้งความสับสนว่าเขาควรรับมืออย่างไรดี ทั้งความไม่พอใจว่าทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย และทำไมพ่อแม่ถึงไม่ถามเขาก่อน และความกังวลใจว่าเขาจะยังเป็นที่รักและที่ต้องการของพ่อแม่อยู่ไหม

ดังนั้น ‘การวางแผนจะมีลูกคนที่สอง’ พ่อแม่ควรเพิ่มขั้นตอน ‘การเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับลูกคนโต’ ด้วย

วิธีการที่พ่อแม่สามารถทำได้มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นที่ 1 พูดคุยกับลูกถึงความตั้งใจของเรา 

เช่น “พ่อแม่ตั้งใจจะมีน้องเพื่อให้มาเป็นเพื่อนเล่นกับลูก” 

ขั้นที่ 2 รับฟังความรู้สึกของลูก

พ่อแม่ควรถามลูกต่อว่า “ลูกรู้สึกอย่างไร ถ้าพ่อแม่จะมีน้องอีกคน”

เมื่อลูกตอบ อย่าเพิ่งพูดแทรกลูก หรือพยายามจะสอนเขา แต่ให้ฟังลูกพูดให้จบ ตรงจุดนี้ลูกอาจจะตอบเราในเชิงลบได้ เช่น “ไม่อยากมีน้อง” “ไม่เอาน้อง” และอื่นๆ ขอให้พ่อแม่สงบใจและรับฟังลูก เพราะสิ่งที่ลูกพูดจะเป็นความต้องการและความรู้สึกของเขาที่แท้จริง

ในกรณีที่ลูกไม่อยากมีน้อง พ่อแม่มี 3 ทางเลือก

ทางเลือกที่ 1 ชะลอการมีลูกคนที่สองไปก่อน เพื่อให้เวลาลูกคนโตในการเตรียมความพร้อมทั้งกายใจ

พ่อแม่สามารถรอให้ลูกคนโตพร้อมกว่านี้ ค่อยมีคนที่สอง เพราะเด็กหลายคนที่อยู่ในวัย 0 – 6 ปี ตามพัฒนาการของพวกเขายังมีการยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentrism) ทำให้เด็กๆ ต้องการความสนใจและต้องการการพึ่งพิงจากผู้ใหญ่เป็นอย่างมาก 

ดังนั้น การมีน้องคนที่สองในช่วงเวลานี้ ทำให้พ่อแม่ควรเตรียมความพร้อมของลูกคนโตด้วยการสอนเขาช่วยเหลือตัวเองตามวัย (Self care) ยิ่งลูกทำอะไรได้ด้วยตนเองมากเท่าไหร่ เขาจะรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้นเท่านั้น เมื่อพึ่งพาตัวเองได้เป็นอย่างดี พวกเขาจะสามารถพัฒนาการแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่นได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความพร้อมในการมีน้องที่จะมาพึ่งพิงพ่อแม่ และตัวเขาด้วย 

ทางเลือกที่ 2 การมีน้องคนที่สอง แม้ลูกคนโตจะยังไม่พร้อม

ทางเลือกทางนี้อาจจะทำร้ายจิตใจของลูกคนโตไม่มากก็น้อย เพราะการที่พ่อแม่รับรู้ว่า ‘เขาไม่พร้อม’ แต่ยังยืนยันที่จะมีน้องอีกคน ลูกอาจจะต่อต้านและปฏิเสธน้องที่เกิดมาได้ ในกรณีนี้ พ่อแม่และผู้ใหญ่รอบตัวของลูกคนโตต้องทำการบ้านหนักพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งเวลามาให้ลูกคนโตเพื่อให้เขาได้รับความสนใจอย่างเพียงพอ เพื่อที่จะทำให้ลูกคนโตได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนี้น้อยที่สุด 

อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถบีบบังคับว่า “ลูกต้องรักน้องทันที” หรือ “ลูกต้องยอมรับน้องนะ” เพราะการตัดสินใจมีน้อง คือ การตัดสินใจเลือกของพ่อแม่ 

เมื่อลูกคนโตได้ใช้เวลากับน้องพอสมควรแล้ว ตัวเขายังรู้สึกไม่ยอมรับในตัวน้องของเขา พ่อแม่ควรสร้างโอกาสที่จะทำให้เขารู้สึกเป็นคนสำคัญของพ่อแม่ ให้เขามามีส่วนช่วยในการทำสิ่งต่างๆ ไปกับเรา หรือถ้าหากยังเป็นเรื่องยากสำหรับเราและลูกอยู่ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ครอบครัว นักจิตวิทยาเด็กและครอบครัว อาจจะช่วยให้เราเข้าใจกันและกันมากขึ้น

ทางเลือกที่ 3 การไม่มีน้องคนที่สอง 

บางครั้งการที่ครอบครัวไม่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจ การมีสมาชิกใหม่ในครอบครัวเข้ามาเพิ่ม อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ภายในบ้านเลวร้ายไปกว่าเดิม ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำ คือ การกลับมาดูแลกายใจของพ่อแม่และลูก เพื่อสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัวปัจจุบันให้แข็งแกร่งผ่านการมีเวลาให้ลูกคนโตเพียงพอ มีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันมากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นลูกคนโตของเราอาจจะเปิดใจและยอมรับที่จะให้พ่อแม่มีน้องอีกคนก็เป็นได้

บางครั้งพ่อแม่คิดว่า การมีลูกคนที่สองจะช่วยเติมเต็มความรักในครอบครัวปัจจุบันที่อาจจะเว้าแหว่งไป ในกรณีนี้ การมีลูกคนที่สองอาจจะไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดีนัก 

ขั้นที่ 3 การให้ลูกคนโตเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆ ก่อนจะน้องจะคลอดออกมา

สำหรับลูกคนโตแล้ว การที่เข้าได้มีโอกาสรับรู้กระบวนการต่างๆ ก่อนจะมีน้อง ทำให้เขากลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของครอบครัว ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าถูกกีดกันออกไป พ่อแม่อาจจะให้เขาช่วยเลือกของใช้ให้น้อง เลือกสีห้อง เลือกของเล่นให้น้อง และให้เขาได้พูดคุยกับน้องในท้องของแม่ เพราะขนาดสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกยังเกิดขึ้นตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็เช่นกัน ตั้งแต่ลูกคนโตรับรู้ว่า ‘มีน้องอยู่ในท้องของแม่’ สายสัมพันธ์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

แนวทางสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง

การจะทำให้พี่น้องมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 ประการ ดังนี้

ปัจจัยที่ 1 การใช้เวลาร่วมกัน ทั้งร่วมทุกข์ และร่วมสุข

ความสัมพันธ์ย่อมเกิดจากการใช้เวลาร่วมกัน ไม่ใช่แค่เพียงการร่วมสุข แต่หมายรวมถึงการร่วมทุกข์

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ยิ่งสร้างสายสัมพันธ์เร็วเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น สายสัมพันธ์แรกของพี่น้องสามารถสร้างได้ตั้งแต่ลูกคนโตรับรู้ว่าน้องของเขามีชีวิตอยู่ในท้องของแม่ ความผูกพันเริ่มต้นจากการที่ลูกคนโตมีส่วนร่วมในกระบวนการต่างๆ ก่อนที่น้องจะคลอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสน้องผ่านท้องของแม่ การพูดคุยกับน้อง การเลือกของใช้ ของเล่นให้น้อง และการเป็นส่วนหนึ่งในทุกๆ ขั้นของการมีน้อง

เมื่อน้องเกิดมา ‘การเลี้ยงดูพี่น้องให้เติบโตด้วยกัน’ คือ หัวใจสำคัญในการสร้างประสบการณ์ร่วมทุกข์ร่วมสุข

การที่พี่น้องได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน…

ลืมตาตื่นขึ้นมาเจอเท้าของน้องก่ายอยู่บนหมอนของเรา 

การได้กินข้าวหม้อเดียวกัน แย่งชิงไข่แดง หรือไก่ทอดชิ้นสุดท้าย

การได้คุยกัน ล้อเลียน ถกเถียง และตะโกนใส่กันในบางครั้ง

การได้ร้องไห้ด้วยกัน โดนดุด้วยกัน และคืนดีกัน

ประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้ล้วนสร้าง ‘สายสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน’ ขึ้นมา

บางครอบครัวเลือกที่จะให้พี่หรือน้องไปฝากเลี้ยงไว้กับปู่ย่าตายาย เนื่องด้วยภาระทางครอบครัวที่อาจจะหนักหนา

การทำเช่นนี้ ส่งผลให้พี่น้องไม่ได้มีโอกาสใช้เวลาเติบโตมาด้วยกัน เมื่อต้องกลับมาอยู่ด้วยกัน อาจจะเกิดช่องว่างระหว่างสายสัมพันธ์ที่ห่างเหินไปนาน ยังไม่นับรวมความรู้สึกน้อยใจของพี่หรือน้องที่ไม่ได้มีโอกาสอยู่กับพ่อแม่อีกด้วย ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้พ่อแม่ควรให้พี่น้องอยู่ด้วยกัน การเติบโตมาด้วยกัน ทำให้พวกเขาได้กินข้าวหม้อเดียวกัน เล่นด้วยกัน อาบน้ำด้วยกัน นอนด้วยกัน และฝ่าฟันปัญหาด้วยกัน แม้จะยากลำบากไปบ้าง แต่การมีกันและกันจะทำให้พวกเขารับรู้ถึงคุณค่าของการมีพี่น้อง

ปัจจัยที่ 2 การได้รับความยุติธรรม

แม้ว่าพ่อแม่อาจจะมีความสนิทสนมหรือความรู้สึกภายในที่มีให้กับลูกแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ การแสดงออกต่อลูกทุกคนควรเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แค่เพียงพี่น้อง แต่สำหรับเด็กๆ ทุกคน ‘ความยุติธรรม’ คือ สิ่งสำคัญที่ทำให้เขารับรู้ว่า ‘ตัวเขามีคุณค่าไม่ต่างอะไรกับคนอื่น’

ตัวอย่างความยุติธรรมที่พ่อแม่สามารถแสดงออกให้ลูกๆ รับรู้อย่างเป็นรูปธรรม

การแสดงออกซึ่งความรักอย่างเท่าเทียม

ชื่นชมทั้งคู่เมื่อทำสิ่งดีๆ ไม่มีคำว่า เป็นพี่โตต้องทำได้อยู่แล้ว หรือเป็นน้องหัดดูพี่เสียบ้าง 

ชมในสิ่งที่พวกเขาทำได้ ชมที่ความตั้งใจ และความพยายาม ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ได้มา 

ไม่เปรียบเทียบ เพราะลูกแต่ละคนแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนมีคุณค่าและต้องการความรักจากเรา 

พ่อแม่โปรดโอบกอดลูกๆ ด้วยความรัก และความห่วงใย

เวลาพี่น้องทะเลาะกัน 

พ่อแม่ไม่ควรรีบตัดสินลูกคนใดคนหนึ่งทันที รับฟังทีละคน และถ้าฝ่ายใดผิดก็เรียกไปสอนตัวต่อตัว ไม่ตำหนิลูกต่อหน้าพี่น้อง เพราะจะทำให้เขารู้สึกอับอาย 

ถ้าหากผิดด้วยกันทั้งคู่ ก็ต้องตำหนิทั้งคู่ ไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นน้องจึงไม่ควรถูกตำหนิ จบท้ายด้วยการให้ขอโทษซึ่งกันและกัน และทำความเข้าใจกัน

เวลามอบหมายงานบ้านให้พี่น้อง

พ่อแม่ควรมอบหมายงานบ้านให้ลูกๆ ทุกคนตามวัย ไม่ใช่มอบหมายให้เฉพาะลูกคนโตเท่านั้น เช่น ลูกคนโตอาจจะให้ช่วยล้างจานกับพับผ้า ลูกคนเล็กให้ช่วยเช็ดโต๊ะกับหนีบผ้า

เด็กทุกคนควรได้รับการมอบหมายงานที่เหมาะสมกับเขา เพื่อให้รับรู้ถึงคุณค่าของตัวเองและการรับรู้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้

เวลาซื้อของให้พี่น้อง

พ่อแม่ควรซื้อของให้ลูกให้เหมาะสมกับวัยของเขา ถ้าเป็นเสื้อผ้า คนพี่อาจจะได้ใช้ของใหม่ตลอด คนน้องต้องใช้ต่อของคนพี่ พ่อแม่ควรให้คนน้องได้มีโอกาสเลือกซื้อของใช้ที่เขาชอบเป็นของเขาเองบ้าง

นอกจากนี้ สำหรับของเล่นพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องซื้อของให้เหมือนกันสองชิ้น แต่เราสามารถสอนการแบ่งปันและผลัดกันเล่นได้ ถ้าพี่น้องไม่พร้อมแบ่งปันหรือผลัดกันเล่น พ่อแม่สามารถเป็นผู้รักษากติกาให้ลูกๆ ด้วยการดูเวลาให้ว่า ตอนนี้เป็นตาใครเล่นอยู่ ถ้าลูกคนใดไม่พร้อมทำตามกติกา ก็มานั่งสงบกับพ่อแม่หรือไปเล่นอย่างอื่นก่อน

เวลาพี่น้องต้องการพ่อแม่

อย่าลืมมีเวลาสองต่อสองกับลูกทีละคนบ้าง เพราะเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน บางครั้งเขาอาจจะมีความลับที่ไม่อยากให้พี่น้องรู้ แต่อยากให้พ่อแม่รู้ ช่วงเวลาสั้นๆ 10-15 นาที ระหว่างเรากับลูกสองคน อาจจะทำให้ลูกรับรู้ถึงความรักและความสนใจที่พ่อแม่มีให้กับเขา ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกจะดีขึ้นด้วย

ปัจจัยที่ 3 ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

ความรักในแบบฉบับพี่น้อง อาจจะไม่ได้หมายถึงความรักที่หวานซึ้งกันตลอดเวลา แต่หมายถึงความรักที่พร้อมจะช่วยเหลือเกื้อกูลกันยามทุกข์  แบ่งปันเรื่องที่น่ายินดีในยามสุข

ซึ่งรากฐานของความรักนี้เกิดจาก ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน พ่อแม่สามารถสอนให้พี่น้องเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันได้ ผ่านการเลี้ยงดูลูกๆ ร่วมกัน พี่น้องได้เติบโตผ่านประสบการณ์ทั้งดีและร้ายมาด้วยกัน ดังที่เขียนไว้ในปัจจัยของที่ 1 และการแสดงออกถึงความรักอย่างเท่าเทียม และการให้ความยุติธรรมกับพี่น้อง พวกเขารับรู้ว่าตนเองเป็นที่รักและเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่เขารัก ทั้งสองปัจจัยนี้จะช่วยให้พี่น้องเกิดสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ความผูกพันที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจ จะช่วยให้พวกเขามองเห็นอีกฝ่ายอย่างเข้าใจ เมื่อต้องเผชิญปัญหา พี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันอย่างเข้าใจ แม้จะช่วยได้หรือไม่ พวกเขาจะพร้อมเคียงข้างอีกฝ่าย

หากปราศจากประสบการณ์ที่เติบโตมาด้วยกัน หรือการได้รับความรักที่ไม่เพียงพอ และรับรู้ว่าตนเองไม่สำคัญเท่าอีกพี่น้อง สายสัมพันธ์จะเกิดขึ้นได้เบาบางหรือเกิดขึ้นได้ยาก เพราะใจของพี่หรือน้องอาจจะสับสน 

‘ทั้งรักและเกลียดในเวลาเดียวกัน’ คือ ความรู้สึกที่ผู้มีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับพี่น้องมักเกิดขึ้นในใจ

ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับปัญหานี้ คือ ‘การกลับไปทบทวนหัวใจตัวเอง’ ถ้าพร้อมก็ให้ความช่วยเหลือ ถ้าไม่พร้อม ก็ควรถอยออกมายืนในจุดที่เราสบายใจ ให้เท่าที่ให้ได้ แต่ไม่ให้จนทำร้ายตัวเอง

สาเหตุหลักที่มักสร้างบาดแผลระหว่างพี่น้อง

สาเหตุที่ 1 การเปรียบเทียบระหว่างพี่น้อง และคาดหวังให้อีกฝ่ายต้องเหมือนพี่น้อง

เด็กทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน แม้แต่พี่น้อง พวกเขาก็เป็นคนละคนกัน 

บางครั้งพ่อแม่อาจจะเผลอเปรียบเทียบพี่กับน้อง และคาดหวังให้อีกฝ่ายเหมือนกับพี่น้อง เช่น เห็นคนพี่เรียนเก่ง ก็คาดหวังว่าคนน้องต้องเรียนเก่งตามคนพี่ไป เห็นคนน้องน่ารัก พูดจาฉะฉาน ก็คาดหวังว่าคนพี่ต้องทำตัวน่ารัก และพูดจาฉะฉานเหมือนคนน้อง เป็นต้น

การเปรียบเทียบระหว่างพี่น้องนั้น ไม่ได้สร้างบาดแผลให้เฉพาะเจ้าตัวเท่านั้น แต่ยังได้สร้างบาดแผลระหว่างพี่น้องด้วย ยกตัวอย่างเช่น เด็กบางคนถูกพ่อแม่มองข้ามความสามารถของเขาไป เพียงเพราะความสามารถนั้นไม่เหมาะเหมือนกับพี่น้อง และไม่ตรงกับสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ

เด็กบางคนอาจจะมีความสามารถมาก แต่ไม่มากพอเทียบเท่าพี่น้องของตัวเอง เมื่อพ่อแม่เปรียบเทียบพร้อมกับกดดันให้ลูกต้องทำให้ได้ตามความคาดหวัง เด็กบางคนเลือกที่จะถอดใจ และไม่ทำสิ่งนั้นต่อไป ไม่ใช่เพราะเขาทำไม่ได้ แต่เพียงเพราะเขาทำได้ไม่ดีเท่าพี่น้องเท่านั้นเอง

เด็กบางคนเกิดมาแตกต่าง พ่อแม่ไม่ให้การยอมรับในตัวตนของเขาและพยายามบอกให้เขาทำตัวเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ เด็กคนนั้นอาจจะเลือกที่จะปลีกตัวออกห่างพี่น้องและครอบครัวของเขาเอง เพราะเขารู้สึกไม่เป็นที่ยอมรับของคนในครอบครัว เป็นต้น

ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าพ่อแม่ได้มีโอกาสใช้เวลากับลูกๆ เราจะมองเห็นด้านดีของพวกเขาแต่ละคน สิ่งเหล่านั้น คือ สิ่งที่พ่อแม่จำเป็นต้องมองเห็นให้ชัดเจนเพื่อจะได้ให้ความสำคัญ เพราะเด็กทุกคนต้องการการมองเห็นถึงคุณค่าภายในตัวเอง การที่พ่อแม่ยอมรับและยืนยันในคุณค่านั้น คือ สิ่งที่ลูกทุกคนต้องการ

สาเหตุที่ 2 การไม่ได้รับความรักและความสนใจที่เพียงพอ

บางครอบครัวก่อนจะมีลูกคนที่สอง พ่อแม่ก็แทบจะไม่มีเวลาให้กับลูกคนแรกแล้ว การมีลูกคนที่สองทำให้เวลาที่มีให้กับลูกๆ นั้นน้อยลงไปอีก แต่การที่พ่อแม่มีเวลาให้ลูกๆ น้อยลง ไม่ได้ทำให้ลูกพุ่งเป้าไปที่พ่อแม่ แต่พวกเขาอาจจะโกรธกันเอง เพราะพี่หรือน้องได้เอาเวลาจากพ่อแม่ของเขาไป

ดังนั้น การมีเวลาให้ลูกแต่ละคนแบบสองต่อสองบ้างเป็นเรื่องที่ควรทำ แม้จะเพียงวันละ 10 – 15 นาที ก่อนไปทำงาน หรือก่อนนอน คือ สิ่งที่ลูกๆ ต้องการจากเรา เพื่อให้สายสัมพันธ์ยังเกิดขึ้น และลูกๆ ได้รับรู้ว่า ตัวเขายังสำคัญสำหรับพ่อแม่ และพ่อแม่ยังรักเขาอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

สาเหตุที่ 3 การไม่ได้รับความยุติธรรม

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ‘ความยุติธรรม’ นั้นสำคัญสำหรับเด็กๆ เป็นอย่างมาก แม้ความรู้สึกภายในเป็นเรื่องที่พ่อแม่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่การแสดงออกถึงความรัก และการกระทำสามารถแสดงออกอย่างเท่าเทียมต่อพี่น้องได้ 

พี่น้องหลายคู่อาจจะแตกหักเพราะสาเหตุข้อนี้ การได้รับความรักไม่เท่าเทียม การแบ่งทรัพย์สินที่ไม่เท่าเทียม การไม่ได้เป็นลูกที่พ่อแม่ให้ความสำคัญเท่ากับพี่น้องคนอื่น ความไม่ยุติธรรมทั้งหมดนี้สามารถสร้างบาดแผลหยั่งรากลึกในพี่น้องได้

เติบโตมากับการมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพี่น้อง เราสามารถกลับไปสานสายสัมพันธ์ได้อย่างไร

บาดแผลทางใจที่เกิดขึ้นระหว่างพี่น้อง มักจะเป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นมานาน เรียกได้ว่า เกิดขึ้นมาตั้งแต่วัยเยาว์ ดังนั้น การจะเยียวยาบาดแผลนั้น และกลับไปสร้างความสัมพันธ์กับพี่น้องของเราใหม่ ต้องใช้พลังใจและความกล้าหาญอย่างมาก 

ขั้นที่ 1 ทบทวนหัวใจตัวเอง 

ก่อนจะกลับไปสานสายสัมพันธ์กับพี่น้องของเรา สิ่งแรกที่สำคัญที่สุด คือ การทบทวนใจตัวเองว่า เราพร้อมหรือไม่ หรือเรายังมีอะไรที่ติดค้างอยู่บ้าง เพื่อให้เราเข้าใจจุดที่เรายืนอยู่ และดูแลใจของตัวเองให้พร้อมก่อน

ถ้าทำด้วยตัวเองคนเดียวไม่ไหว บางครั้งการพูดคุยกับคนที่เราไว้ใจอาจจะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่อยู่ภายในใจเรามากขึ้น ถ้าปมดังกล่าวมีความยุ่งเหยิง และหนักหนา การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา และนักบำบัดอื่นๆ อาจจะช่วยให้เรามองเห็นทางออกได้ชัดเจนมากขึ้น

ขั้นที่ 2 การเผชิญหน้าอีกฝ่าย

การกลับไปคุยกับพี่น้องของเราอีกครั้ง หลังจากไม่ได้คุยกันมาเนิ่นนาน เราต้องให้ความเคารพอีกฝ่ายด้วย เพราะแม้ว่าเราจะพร้อม แต่อีกฝ่ายอาจจะยังไม่พร้อมก็เป็นได้ ดังนั้น ก่อนจะพูดคุยกัน ถามอีกฝ่ายว่า “รู้สึกอย่างไรกับการที่เราอยากจะคุยด้วย”

ถ้าอีกฝ่ายยังไม่พร้อม หรือไม่ต้องการพูดคุยกับ เราควรเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย และไม่พยายามกดดันให้อีกฝ่ายต้องพยายามกลับมาคุยกับเรา

ถ้าอีกฝ่ายตกลงที่จะมาพูดคุยกับเรา สิ่งที่เราสามารถทำได้ คือ การเข้าหาอีกฝ่ายอย่างจริงใจ และตรงไปตรงมา บอกอีกฝ่ายถึงความรู้สึกที่เรามี และความตั้งใจในการกลับมาสานสายสัมพันธ์ในครั้งนี้

คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เรากับพี่น้องจะต้องพูดถึงเรื่องราวที่ทำให้ทั้งคู่เกิดบาดแผลทางใจต่อกัน ถ้าเราไม่ไหว หรืออีกฝ่ายไม่ไหว เพราะใจยังไม่พร้อม ไม่ต้องเร่งรีบ ให้เวลากันและกัน

ขั้นที่ 3 ความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากทั้งสองฝ่าย

ด้วยเหตุนี้เมื่อเราเป็นฝ่ายที่พยายามเข้าหาพี่น้องอยู่ฝ่ายเดียว อาจจะไม่ได้เกิดผลใดๆ

เมื่อพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว เราควรที่จะเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง 

ขั้นสุดท้าย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าลืมที่จะรักและใจดีกับตัวเอง

เราบางคนอาจจะเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก แต่เราบางคนอาจจะเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวท่ีสร้างบาดแผลให้กับตัวเอง 

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราสามารถเรียนรู้ที่จะรักตัวเองได้ และรักคนอื่นๆ ต่อไป

Tags:

พ่อแม่แบบแผนทางความสัมพันธ์ความขัดแย้งความสัมพันธ์พี่-น้อง

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Family Psychology
    ลูกไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ (พ่อแม่ก็เช่นกัน)

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

มีแต่คนคิดเหมือนกับเรา…จริงหรือ? : Echo Chamber และตัวกรองที่เรียกว่า ‘อคติ’ ในโลกออนไลน์
Social Issues
18 August 2021

มีแต่คนคิดเหมือนกับเรา…จริงหรือ? : Echo Chamber และตัวกรองที่เรียกว่า ‘อคติ’ ในโลกออนไลน์

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • พฤติกรรมการไลค์ แชร์ และคอมเมนต์ของเรา ทำให้เกิด “ฟองตัวกรอง” หรือ “ห้องเสียงสะท้อน (echo chamber)” เลือกแสดงข่าวสารของเพื่อนที่คิดคล้ายกัน ตัวกรองแบบนี้ใช้การได้ดีเป็นพิเศษกับ “ความคิดเห็นทางการเมือง”!
  • สร้างความเสียหายร้ายแรงกับความคิดของเรา เพราะไม่ว่าจะไลค์ แชร์ หรือคอมเมนต์อะไรไป ก็เหมือนจะมีแต่คนที่เห็นด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่เรายกเลิกเพื่อนที่ไม่เห็นด้วย หรือปิดการแสดงโพสต์ของคนนั้น ซึ่งยิ่งเพิ่มความเข้มข้นของการกรองให้หนักแน่นมากขึ้น 
  • ตัวกรองอีกขั้น คือ อคติยืนยันความเชื่อ (confirmation bias) เลือกดูแต่ข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อ หากเจอข้อมูลที่ขัดแย้ง หรือแม้แต่กำกวมกับทัศนคติที่มีอยู่ จะก่อกวนอารมณ์ความรู้สึก จนต้องทำเป็นมองไม่เห็น ทำว่าข้อมูลนั้นเป็นของปลอมจากผู้ไม่ประสงค์ดี หรือแย่สุดคือตีความเข้าตัวเอง บางคนจึงกลายเป็นคนที่มีความคิดและพฤติกรรมแบบสุดขั้ว

หากพิจารณาจากประวัติศาสตร์หรือความจริงรอบตัวให้ดี เราจะพบว่าการแบ่งพรรคแบ่งพวก ถือเป็นเรื่องปกติสามัญเป็นอย่างยิ่ง การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายนำไปสู่ผลตอบสนองหลายรูปแบบ เช่น การทะเลาะเบาะแว้ง การต่อสู้แย่งชิงอำนาจและทรัพยากร การเหยียดชาติพันธุ์ การรุกรานในนามของความเชื่อหรือศาสนา และการเกิดระบบความคิดหรือระบบการเมืองมากมายหลายแบบ ฯลฯ 

ในยุคของข้อมูลข่าวสารและไอทีอย่างปัจจุบัน ความสลับซับซ้อนของระบบไอที ซึ่งก็รวมทั้งรูปแบบของอัลกอริทึมที่เอไอใช้ ส่งผลต่อความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมของคนเราอย่างน่าสนใจ และน่าจะคาดไม่ถึงสำหรับคนจำนวนมาก

ใครๆ ก็คิดเหมือนกับเรา?

คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตหลายชั่วโมงในแต่ละวันไปในโซเชียลมีเดีย ทั้งเพื่อการติดต่อสื่อสาร พูดคุย พักผ่อน หรือแม้แต่เพื่อการทำงาน เช่น ที่มีคนชอบสั่งงานและตามงานผ่านแอปไลน์ เคยสงสัยไหมครับว่า ข้อมูลที่เราได้รับผ่านโซเชียลมีเดียในทุกวันนั้น 

มีความรอบด้านหรือมีความเป็นกลางมากเพียงใด?

มีการศึกษาเรื่องนี้อยู่พอสมควร เช่น งานวิจัยของแบ็คชาย (Bakshy) และคณะใน ค.ศ. 2015 [1] พวกเขาตรวจสอบบัญชีเฟซบุ๊กของผู้ใช้ชาวอเมริกัน 10.1 คน โดยพยายามวัดปฏิสัมพันธ์ที่คนเหล่านี้มีให้กับเพื่อนที่มีทัศนคติและเครือข่ายเพื่อนฝูงที่คล้ายกัน เทียบกันกับเพื่อนอีกกลุ่มที่มีทัศนคติและเครือข่ายเพื่อนฝูงที่ค่อนข้างจะคิดต่างกัน 

สิ่งที่พบก็คือ ปฏิสัมพันธ์ (กดไลค์, แชร์ หรือคอมเมนต์) ของพวกเขาทำให้ระบบอัลกอริทึมของเฟซบุ๊ก เลือกแสดงโพสต์และแชร์ของเพื่อนๆ ที่คิดคล้ายๆ กันมากกว่า พูดอีกอย่างก็คือ พฤติกรรมการไลค์ แชร์ และคอมเมนต์ของเรา ได้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ฟองตัวกรอง” หรือฟิลเตอร์บับเบิล (filter bubble) 

ที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษคือ ตัวกรองแบบนี้ใช้การได้ดีเป็นพิเศษกับ “ความคิดเห็นทางการเมือง”! 

เราอยู่ในห้องเสียงสะท้อน

ลองจินตนาการเป็นภาพครึ่งวงกลมล้อมรอบตัวเราที่คอยสกัดกั้นข้อความ รูปภาพ และความเห็นของคนที่ติดต่างจากเราออกไป นับวันก็จะยิ่งกรองดีขึ้นเรื่อยๆ โดยพบว่าหากคุณเป็นพวกเสรีนิยม จะมีเนื้อหาที่ไม่เข้ากับสไตล์แนวคิดหลุดรอดมาให้เห็นแค่ 24% ขณะที่พวกอนุรักษ์นิยมจะเห็นอยู่ถี่ราว 35% นี่เองคือสาเหตุที่แม้จะเพิ่มชื่อเป็นเพื่อนกันแล้วก็ตาม คุณอาจจะไม่เห็นเพื่อนที่ “เห็นไม่ตรงกัน” สักเท่าไหร่ 

นอกจากชื่อเรียกว่า “ฟองตัวกรอง” ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่อาจจะเคยได้ยินกันก็คือ “ห้องเสียงสะท้อน (echo chamber)” ตามลักษณะที่ปรากฏของข้อมูลและความคิดเห็นที่เข้ากับความคิดของเราที่ก้องหรือสะท้อนกลับไปมาในหัว ให้เราได้เห็นได้ยินอยู่ตลอดเวลาที่ใช้โซเชียลมีเดีย 

เรื่องนี้สร้างความเสียหายร้ายแรงกับความคิดของเรา หากไม่ตระหนักรู้ในเรื่องนี้

เพราะจะเกิดความรู้สึกว่า ไม่ว่าจะไลค์ แชร์ หรือคอมเมนต์อะไรไป ก็เหมือนจะมีแต่คนที่เห็นด้วยกับเราเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เรายกเลิกเพื่อนที่ไม่เห็นด้วย หรืออาจจะเกรงใจแค่กดให้ไม่แสดงโพสต์ของคนนั้นให้เห็น ซึ่งยิ่งจะไปเพิ่มความเข้มข้นของการกรองให้หนักแน่นมากขึ้นไปอีก 

มีการสำรวจของสถาบันรอยเตอร์ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด [2] ที่ทำให้ทราบว่า มีการแชร์ข้อมูลปลอมหรือผิดผ่านสื่อต่างๆ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ที่พบน้อยสุดคือ 37% ในเยอรมนี ขณะที่มากสูงคือ 82% ในบราซิล มีหลักฐานว่าข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับโคโรนาไวรัสเผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียมากกว่าสื่อรูปแบบเก่าๆ 

เฟซบุ๊กที่เป็นโซเชียลมีเดียที่แพร่หลายที่สุด จึงกลายเป็น “ช่องทางหลัก” ในการเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ   

รายงานฉบับเดียวกันนี้ยังให้ข้อมูลอีกว่า สมาร์ตโฟนกลายมาเป็นอุปกรณ์ในการรับรู้ข่าวของผู้คนทั่วโลก (73% ผู้ใช้สมาร์ตโฟนอ่านข่าวผ่านอุปกรณ์ดังกล่าว) ยิ่งช่วงล็อกดาวน์ก็ยิ่งมีการใช้งานในลักษณะนี้เพิ่มขึ้นอีก ขณะที่การอ่านข่าวผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์หรือแท็บเลตเท่าเดิมหรือไม่ก็ลดลงแล้วแต่พื้นที่ 

อีกเรื่องที่น่าสนใจและใกล้ตัวมากคือ สมาร์ตโฟนกลายมาเป็นอุปกรณ์ที่ทรงพลังมากขึ้นในฐานะตัวกลางในการรับข้อมูลข่าวสารในประเทศเอเชียจำนวนมาก ทั้งอินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และไทย 

เอไอในแอปบนสมาร์ตโฟนจึงมีบทบาทใหม่เป็นผู้เลือกสรรข่าวสารให้กับผู้ใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าว 

กรองอีกชั้นด้วยอคติ

นอกจากรับข้อมูลข่าวสารที่ผ่านการกรองมาแล้วชั้นหนึ่ง ยังมีปัจจัยที่เป็นตัวเสริมตามธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เรื่องต่างๆ เลวร้ายลงไปอีก นั่นก็คือโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น เรามี “อคติ” ประจำตัวอยู่กันทุกคน มากน้อยแตกต่างกันไป คล้ายกับการที่เรามองทุกอย่างผ่านแว่นตาที่เราเลือกเลนส์ไว้ด้วยตัวเอง ภาพจึงมีสีเทา สีฟ้า สีเขียว หรือสีชมพู แล้วแต่เราจะเลือกเลนส์ไว้อย่างไร

ภาษาวิชาการเรียกปัจจัยนี้ว่า อคติยืนยันความเชื่อ (confirmation bias) 

อคติที่ว่านี้ก็คือ แนวโน้มที่คนสักคนจะค้นหาและแปลความข้อมูล รวมทั้งเลือกจำ เลือกนำมาใช้ยืนยันความเชื่อ หรือการให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในใจก่อนหน้านั้น  

ผู้คนแสดงอคติผ่านการเลือกอ่าน เลือกดูแต่ข้อมูลที่สนับสนุนความเชื่อ หากเจอข้อมูลที่ขัดแย้งหรือตรงกันข้าม หรือแม้แต่กำกวมกับทัศนคติที่มีอยู่ในตอนนั้น จะก่อกวนอารมณ์ความรู้สึก จนต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่งคือ ทำเป็นมองไม่เห็น หรือไม่ก็แสร้งทำเป็นว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นของปลอมจากผู้ไม่ประสงค์ดีทำขึ้น หรือแย่สุดคือตีความเข้าตัวเอง แม้ว่าตัวข้อมูลเองจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็ตาม 

ข่าวร้ายก็คืออคติทำนองนี้ไม่อาจกำจัดให้หมดไปได้ แม้ว่าเราจะรู้ว่าเราอาจจะมีอคติกับเรื่องนั้นๆ ก็ตาม แต่ข่าวดีก็คืออาจจะฝึกทักษะการคิดเชิงเหตุผลหรือตรรกะ (logical thinking) หรือการคิดเชิงวิพากษ์วิจารณ์ (critical thinking) ก็จะช่วยให้ลดอคติทำนองนี้ได้บ้าง

ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อเวลาผ่านไปเราจะยิ่งจดจำข้อมูลต่างๆ ได้น้อยลงเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ แต่เรามักจะเลือกจำไว้แค่บางอย่าง (ภาษาวิชาการเรียก selective memory) ซึ่งก็มักจะเป็นความจำที่ช่วยตอกย้ำ “ความเชื่อ” ต่างๆ ที่มีอยู่ในตัวและสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลาอย่างไม่สมดุล 

บางคนจึงกลายเป็นคนที่มีความคิดและพฤติกรรมแบบ “สุดขั้ว” เอาง่ายๆ โดยเฉพาะคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากๆ 

มีการศึกษาอคติแบบนี้มาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 จนถึงปัจจุบัน โดยพบว่าอคติทำนองนี้ทำให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาดทั้งในด้านการบริหารจัดการองค์กร วิทยาศาสตร์ การเงิน การแพทย์ และแม้แต่ในทางด้านการเมือง โดยหลักๆ ก็เกิดจากความเชื่อมั่นในตัวเองมากจนเกิดควร มองไม่เห็นหรือไม่เชื่อในหลักฐานที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า เพราะเชื่อว่าหลักฐานพวกนั้นไม่จริง

สำหรับในโลกออนไลน์นั้น อคติยืนยันความเชื่อขยายตัวใหญ่โตขึ้นจากฟองตัวกรองข้อมูล ซึ่งเป็นผลมาจากอัลกอริทึมของเว็บหรือเพจต่างๆ เพื่อตอบสนองต่อบุคคลแต่ละคนตามนิสัยและความเชื่อ นี่เองคือการมาบรรจบกันของตัวกรองในหัวสมองมนุษย์และตัวกรองจากรหัสคำสั่งของเอไอ      

ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณมองเห็นและเข้าใจคนสักคน หรือเหตุการณ์สักเหตุการณ์ และคิดเอาว่าคนรอบตัวหรือคนส่วนใหญ่ของประเทศ (หรือแม้แต่ของโลก) ยืนอยู่ข้างเดียวกับคุณนั้น ต้องระวังให้จงหนักว่า 

การตัดสินใจของคุณนั้น อาจเป็นการตัดสินใจผ่านข้อมูลที่กรองถึง 2 ชั้น จนบิดเบี้ยวไม่ตรงกับความจริงด้วยอคติจากเอไอและตัวคุณเอง! 

เอกสารอ้างอิง

[1] E. Bakshy et. Al. Political science. Exposure to ideologically diverse news and opinion on Facebook, May 2015, Science 348 (6239), DOI: 10.1126/science.aaa1160

[2] Nic Newman et al. Reuters Institute Digital News Report 2021. 2021 (10th ed.), Reuters Institute and University of Oxford.

Tags:

การตัดสินใจห้องเสียงสะท้อน (echo chamber)อคติความคิดและพฤติกรรมแบบสุดขั้ว

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

อัคคเดช ดลสุข

Related Posts

  • Book
    ชีวิตที่ดีงามควร ‘หนักอึ้ง’ หรือ ‘เบาหวิว’: ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to get along with teenager
    เข้าใจ(สมอง)วัยรุ่น ทำไมชอบเสี่ยง?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • SpaceCreative learning
    วิดีโอเกมจะกลายมาเป็นบทเรียนได้อย่างไร

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘Echo Chamber’ เราต่างมีกะลาคนละใบ…ที่เข้าใจว่าคือโลกกว้าง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character buildingAdolescent Brain
    อิงตามความรู้สึก หรือยึดแต่เหตุผล : สอนเด็กให้เข้าใจคุณธรรมจริยธรรม ด้วยการเรียนรู้การทำงานของสมอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

โฮมสคูลบนดอยของ ‘น้องเททีกับคุณพ่อคลีโพ’ : ร้อง เล่น และเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก 
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
17 August 2021

โฮมสคูลบนดอยของ ‘น้องเททีกับคุณพ่อคลีโพ’ : ร้อง เล่น และเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก 

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • การเรียนรู้สำหรับเด็กไม่ควรผูกขาดเพียงระบบใดระบบหนึ่ง แต่ควรมีทางเลือกที่หลากหลาย เอื้อให้เด็กได้ค้นหาตัวเองอย่างอิสระ วิธีของโฮมสคูลจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้เองตามความสนใจ และความพร้อม นำไปสู่การค้นพบความสามารถหรือความถนัดของตัวเอง
  • หัวใจสำคัญของโฮมสคูลเทที คือการที่พ่อและแม่ให้ช่วงเวลาวัยเด็กของลูกได้เรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตบนดอย สัมผัสธรรมชาติให้มากที่สุด เพราะโรงเรียนไม่มีสอน อีกทั้งพวกเขายังได้สนุกกับลูกด้วย
  • “เราเชื่อว่าต่อให้เรียนโฮมสคูลแต่ถ้าพ่อแม่ไม่มีเวลาหรือไม่จัดการเวลาให้ลูก มีปัญหาแน่นอน ถึงบอกว่ามันเป็นเรื่องของพ่อแม่เลยที่ต้องพร้อมมาก ต้องใส่ใจและมีเวลาให้เขา”

ภาพ : เพจเฟซบุ๊ก เทที – Tay T

“ทำโฮมสคูล เหนื่อยนะ เหนื่อยพ่อแม่มาก เพราะเราต้องอยู่กับเขาตลอด แล้วก็ต้องพยายามเข้าใจธรรมชาติของเด็กด้วย” คลีโพ – ณัฐวุฒิ ธุระวร เอ่ยถึงการเริ่มต้นที่ไม่ง่ายของโฮมสคูลในเด็กเล็กสำหรับลูกของเขา

คุณคลีโพเป็นพ่อผู้ที่กำลังเริ่มต้นทำโฮมสคูลให้กับ ‘น้องเทที – คีตศิลป์ ธุระวร’ เด็กชายวัย 5 ขวบ เจ้าของเพลงที่เป็นไวรัลในช่วงเดือนที่ผ่านมาอย่างเพลง ‘อยากกินหมูกระทะกะเธอ’ น้ำเสียงสะท้อนความอัดอั้นตันใจ เพราะโควิด-19 แท้ๆ ที่ทำให้ไม่สามารถไปกินหมูกระทะที่ร้านได้ 

นอกจากบทบาทความเป็นพ่อและโปรดิวเซอร์เพลงแล้ว เขายังต้องรับบทหนักไม่ต่างจาก ‘ผู้อำนวยการโรงเรียน’ แห่งโฮมสคูลเทที รับหน้าที่จัดหางบประมาณในการใช้เสริมสร้างการเรียนรู้ให้นักเรียนเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่ โดยมีคุณแม่เป็นเสมือนคุณครูประจำชั้นที่สอนสารพัดวิชาตามแต่ความสมัครใจของผู้เรียน เพราะในอีกมุมหนึ่งบ้านกลายเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กชายตัวน้อยเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องมีการแบ่งพาร์ทการทำงานให้ชัดเจนกันสักหน่อย  

The Potential ชวนไปดูการเรียนรู้ของเด็กชายวัยอนุบาลผู้ไม่เคยไปโรงเรียน กับแนวทางการทำโฮมสคูลของครอบครัวนี้

น้องเทที

โฮมสคูลเทที 

โรงเรียนทางเลือกและการจัดการศึกษาโดยครอบครัว หรือ โฮมสคูล (Home School) ครอบครัวมีสิทธิในการจัดการศึกษา เพื่อพัฒนาตามบริบทของผู้เรียน ความสนใจ และความพร้อม

หัวใจสำคัญคือ ความสนใจของผู้เรียน เพื่อนำไปสู่การค้นพบความสามารถหรือความถนัดของตัวเอง ซึ่งบางครั้งระบบโรงเรียนอาจไม่ตอบโจทย์นัก การเรียนรู้สำหรับเด็กจึงไม่ควรผูกขาดเพียงระบบใดระบบหนึ่ง แต่ควรมีทางเลือกที่หลากหลาย เอื้อให้เด็กได้ค้นหาตัวเองอย่างอิสระ 

โดยจุดเริ่มต้นที่ครอบครัวตัดสินใจทำโฮมสคูลให้กับน้องเททีเป็นความตั้งใจของทั้งคุณพ่อและคุณแม่ตั้งแต่เจ้าตัวเล็กยังไม่คลอด  

“สิ่งแรกเลยคือ เราอยากเก็บโมเมนต์ช่วงเวลาเด็กของเขาไว้ ซึ่งเราเองก็มีเวลาเพราะงานที่ทำก็เป็นอิสระอยู่แล้ว หลักๆ เราทำโฮมสเตย์บนดอยชื่อ Thepoe – เดอะโพ อยู่ที่อำเภอกัลยาฯ เชียงใหม่ ก็จะเอาศิลปินโฟล์คหรือว่าศิลปินในกรุงเทพขึ้นไปทำกิจกรรมกับชุมชน กับเป็นโปรดิวเซอร์ทำเพลง ทำอะไรที่เกี่ยวกับซาวน์ เพราะผมจบดนตรีมา แล้วแม่เขาก็เป็นครูสอนดนตรีอยู่แล้ว สอนเปียโนเด็กตั้งแต่สมัยเรียน ก็เลยแพลนกันว่าให้สอนลูกด้วย ในวัยนี้ก็ให้เรียนพวกเบสิก ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ตามความสนใจของลูก เน้นให้เรียนแบบที่ไม่ต้องท่องจำ”

เนื่องจากคุณพ่อมองว่า ระบบการศึกษาในโรงเรียนอาจไม่ค่อยมีผลกับพวกเขานัก โดยรูปแบบของโฮมสคูล ทำให้เขาสามารถนำความรู้และทักษะต่างๆ ปรับให้เหมาะกับลูกได้ นั่นคือ ให้เป็นธรรมชาติที่สุด ให้อิสระที่สุด และให้ไหลไปตามจังหวะที่ควรจะเป็น 

“อย่างตัวเราเองเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบปีในโรงเรียน จนเรียนจบปริญญาก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่เรามาได้ตอนไปเล่นดนตรีที่โรงแรมจำเป็นต้องฝึกร้องเพลงภาษาอังกฤษ ก็เลยได้อัตโนมัติเลย ในเพลงหนึ่งเพลงมันมีตัวละคร มีศัพท์ในนั้น มีรูปประโยค รอน้องโตหน่อยก็จะสอนภาษาอังกฤษผ่านเพลง เพราะเขาก็ชอบเพลงอยู่แล้วด้วย อันนี้ก็แล้วแต่วิธีการของแต่ละบ้านนะ”

หัวใจสำคัญของโฮมสคูลเททีนั้น จึงเป็นการที่พ่อและแม่ให้ช่วงเวลาวัยเด็กของลูกได้เรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตบนดอย สัมผัสธรรมชาติให้มากที่สุด เพราะโรงเรียนไม่มีสอน อีกทั้งพวกเขายังได้สนุกกับลูกด้วย

โดยเริ่มต้นศึกษาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต และอาศัยข้อมูลจากกลุ่มเครือข่ายที่ทำโฮมสคูล รวมถึงเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันมาหลายคนก็ใช้รูปแบบโฮมสคูลเช่นกัน ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีการทำแผนการเรียนที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เพราะต้องยื่นขออนุญาตจดทะเบียนกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหรือโรงเรียนที่มีการเปิดรับนักเรียนโฮมสคูล สำหรับวุฒิการศึกษาในอนาคต หรือถ้าวันหนึ่งลูกไม่เรียนโฮมสคูลแล้วก็จะสามารถใช้วุฒิการศึกษานั้นเข้าเรียนในระบบได้

“จริงๆ เคยไปกิจกรรมกับกลุ่มที่เป็นเด็กโฮมสคูลจากทั่วประเทศมาเจอกันที่เชียงดาว เป็นโฮมสคูลแบบเครือข่ายใหญ่เลย ก็จะมีกิจกรรมให้ทำ มีเด็กโฮมสคูลหลายวัย พ่อแม่แต่ละคนก็จะมีวิธีการเลี้ยงลูกที่เอามาแชร์กัน ก็ไปเห็นจากที่นั่น ก็จะได้เพื่อนจากที่นั่น พอได้ไปเห็นแล้วก็เหมือนมีหวังนะ เขาทำได้เราก็ทำต้องทำได้สิ”

คุณพ่อคลีโพ กับ น้องเทที

ถ้าถามว่าก่อนตัดสินใจทำโฮมสคูลให้ลูกมีความกังวลอะไรบ้างไหม? คุณพ่อตอบทันทีว่าสำหรับตัวเขาและคุณแม่น้องเททีไม่มีความกังวลนัก เพราะเป็นการตัดสินใจที่เห็นพ้องต้องกัน แต่โฮมสคูลเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเข้าใจยากสำหรับคุณย่าและคุณยาย เหตุผลหลักที่พวกท่านต่างเป็นห่วงนั่นก็คือ การที่เด็กต้องมีสังคม 

“สุดท้ายแล้วเขาก็คิดแทนเด็กเอง เราก็ไม่เถียง เถียงไปก็รู้ว่าคำตอบจะเป็นยังไง แล้วมันจะเป็นพลังงานไม่ดี ทำงานไม่สนุก เราก็ใช้วิธีทำให้เห็น เหมือนวันที่พ่อแม่ไม่สนับสนุนให้เราทำงานดนตรี ไม่ให้เรียนดนตรี เพราะนักดนตรีในสมัยนั้นเขาบอกว่าหากินมันไม่มั่นคง เต้นกินรำกิน จำได้เลยว่าตอนเข้ามหาลัยต้องไปเรียนสายเอดูเคชั่น เพื่อที่จะบอกว่า นี่คือดนตรีศึกษานะ จบออกมาเป็นครูได้” 

เช่นกันกับการเลี้ยงลูกแนวโฮมสคูลที่ตอนนี้คุณย่าคุณยายได้เห็นแล้วว่า เด็กโฮมสคูลแม้ไม่ได้ไปโรงเรียนก็สามารถมีเพื่อน มีสังคมได้เหมือนเด็กคนอื่น 

“เราเป็นคริสเตียน เรามีกิจกรรมที่โบสถ์ วันเสาร์ไปซ้อมดนตรี เขาก็มีกลุ่มเพื่อน แล้วก็จะมีเครือข่ายโฮมสคูลที่เพื่อนๆ หลายคนก็ทำโฮมสคูลเหมือนกันก็มาเจอกัน แล้วก็จะมีกลุ่มบ้านเรียนที่จะมีกิจกรรมประจำปี ก็จะคอยส่งภาพให้ทางบ้านดูว่า น้องมีเพื่อนนะ เรียนที่บ้านน้องก็อ่านหนังสือได้นะ อ่านผสมภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่สามสี่ขวบ เพราะว่าต่อให้เราสอนน้อยแต่เราใส่ใจ แล้วสุขภาพน้องก็ดี ไม่สบายแทบไม่มีเลย จะมีก็ปีละครั้งได้”

“เรารู้สึกว่ามันดีตรงที่เรารู้เราเห็นพัฒนาการลูก แล้วพัฒนาเขาได้ถูกจุด แล้วก็ความน่ารัก เราเห็นทุกอย่าง ถ้าเราไปฝากไว้กับครูเราจะสูญเสียการได้สัมผัสอะไรพวกนั้นที่เอากลับมาไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเด็กโตเร็ว” 

ห้องเรียนตามใจ ให้อิสระลูกได้เรียนและเล่น 

คุณพ่อเล่าว่า ในแต่ละวันเททีจะต้องเรียนอย่างน้อย 15-30 นาที แต่จะไม่ได้มีตารางที่กำหนดวิชาและเวลาที่ชัดเจน เพราะทั้งคุณพ่อและคุณแม่เชื่อว่าการเรียนรู้ที่จะได้ผลดีโดยเฉพาะในเด็กเล็ก อารมณ์และความรู้สึกเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้อิสระจนเกินขอบเขต ซึ่งคุณพ่อบอกว่าสำหรับเททีเขาพูดคุยกันด้วยเหตุและผล 

“เราต้องดูที่อารมณ์เด็กด้วย สมมติว่าเด็กไม่โอเคมันจะเล่นอะ แต่เราก็จะไปให้เขาเรียนมันไม่มีผลหรอก ไม่มีประโยชน์เลย ต่อให้เรียน 2 ชั่วโมงมันก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยจะไม่มีตารางเวลา แต่ว่าต้องเรียนทุกวัน”

โดยวิชาหลักๆ ที่จะต้องเรียนคือ คณิตศาสตร์ อังกฤษ ไทย วิทยาศาสตร์ ยังมีภาษาปกาเกอะญอด้วย เพราะคุณพ่ออยากให้น้องได้ซึมซับภาษาถิ่น นอกเหนือจากนี้ก็ตามความชอบ ความสนใจของผู้เรียนในช่วงนั้นๆ 

“หลังๆ มาเขาจะชอบวิทยาศาสตร์ ตอนนี้เพิ่งซื้อหนังสือวิทยาศาสตร์ให้ไปชุดหนึ่ง แล้วก็ไปทำการทดลองตามนั้น ปีที่แล้วเขาชอบไดโนเสาร์ ก็จะรู้จักไดโนเสาร์ทุกสายพันธุ์เลย จนเราเองก็ได้เรียนรู้ไปกับเขาด้วย เมื่อก่อนเราไม่รู้เรื่องไดโนเสาร์เลย เหมือนเขาได้สอนเราด้วย เราได้เรียนรู้ไปด้วยกัน”

“แม่จะไปหาหนังสือตามร้านหนังสือต่างๆ อย่างหนังสือภาษาไทยก็จะเป็นเรื่อง ก.ไก่ ข.ไข่ ก็จะเป็นแบบอ่านกับแบบฝึกหัดที่ใช้เขียนตามรอยประให้เขาคัด แล้วก็ค่อยสอนเรื่องสระ การสะกดคำง่ายๆ พวกการอ่านนี่เพิ่งจะมาเริ่มตอน 5 ขวบ ให้ฝึกเขียนตามรอยก่อน คณิตศาสตร์ก็จะเป็นแบบฝึกหัดง่ายๆ การบวกลบเลข การจำแนก ตรรกะ ฝึกตัดกระดาษ 

อย่างภาษาอังกฤษจะเรียนอ่านแบบ Phonics เวลาอ่านจะอ่านไม่ใช่ A B C จะเป็นแบบ แอะ เบอะ เคอะ แม่ก็จะออกเสียง Cat แล้วให้เขาเขียนเองว่า Cat มีตัวอะไรบ้าง ส่วนกิจกรรมส่วนมากพ่อเขาจะพาออกไปเล่นข้างนอกอยู่แล้ว” ชนิยา อินทะพันธุ์ คุณแม่น้องเททีพูดเสริม   

หลังจากเวลาเรียนคุณพ่อก็จะให้เวลาในการเล่นกับลูกสองชั่วโมง เช่น เตะฟุตบอล ที่ช่วงนี้จะสนใจพิเศษ คุณพ่อบอกว่าถ้าไม่ติดโควิด-19 ทุกๆ เย็นคงพาเททีไปเข้าอะคาเดมีแถวๆ บ้านแล้วละ

“ช่วงนี้เขาเริ่มสนใจกิจกรรมที่ไม่ได้อยู่ในบ้าน ที่บ้านมีสนามหญ้าด้วยก็จะออกแนวแอดเวนเจอร์หน่อยๆ แล้วเททีกินเก่งก็จะโตกว่าเด็ก 5 ขวบทั่วไป แล้วก็เริ่มเล่นแรง เริ่มใช้พลัง สนใจหุ่นยนต์ การต่อสู้ แล้วพอเห็นเขาสนใจเราสนับสนุนเลยนะ แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้เราออกไปไหนไม่ได้” 

อีกทั้งยังมีชั่วโมงดนตรีด้วย ซึ่งไม่ได้เน้นว่าลูกจะต้องเล่นดนตรีเป็น เพียงแต่อยากให้เขาได้ซึมซับดนตรีเข้าไปในหัวใจเท่านั้นเอง โดยจะมีกิจกรรมเล็กๆ เช่น เล่นทายเพลงกัน 

“แล้วผมมีวิธีเช็คเพลงอย่างหนึ่ง คือ ผมจะให้น้องฟัง ถ้าเขาฟังแล้วร้องได้เลยแบบติดหู ออกไปข้างนอกออกไปเล่นก็ร้องไปด้วย แสดงว่าเพลงนี้มีทีท่าว่าจะดัง เพราะว่าทำให้เขาจำง่ายแล้วก็ติดปาก อย่างเพลงตอนนี้ก็มี อยากกินหมูกระทะกับเธอ ส้มตำไก่ย่าง บ้านเล็กในป่าสน แล้วตอนนี้ที่กำลังจะปล่อยก็คือ ฉันจะเป็นเด็กดี”

ในส่วนของค่าใช้จ่ายสำหรับโฮมสคูลในวัยอนุบาลของเทที จะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ ค่าสื่อการเรียนรู้และอุปกรณ์การเรียนต่างๆ เช่น หนังสือ กับค่ากิจกรรมนอกสถานที่ 

“หนังสือก็จะใช้เงินเยอะหน่อย มีซื้อจักรยาน สเก็ตบอร์ด โรลเลอร์เบดให้ด้วย ก็จะมีค่าอุปกรณ์พวกนี้ด้วย แต่เราประหยัดมากเลยนะ เดือนนึงไม่เกิน 5,000 บาท แต่ก็แล้วแต่เดือนด้วย อย่างตอนไม่มีโควิดอาทิตย์หนึ่งก็จะตั้งไว้ให้ซื้อหนังสือได้ 500-1,000 บาท พอเจอสถานการณ์แบบนี้มันก็ต้องปรับหมด อะไรที่เรียนรู้หรือเล่นกันได้ก็เล่นไป เพราะโฮมสเตย์ก็ต้องปิด งานดนตรีก็ไม่มี” 

พัฒนาการตามวัยของเด็กชายเทที 

คุณพ่อเล่าว่า ตัวเขาเองโตมากับอะไรที่ผู้ใหญ่บอกไม่ได้ก็คือไม่ได้ และจะไม่กล้าถามนัก ผิดกับเททีที่เป็นเด็กเรียนรู้เร็ว ช่างเจรจา และมีคำถามเสมอว่า เพราะอะไรทำไมถึงทำไม่ได้? จนคนที่บ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บางวันก็เมากับคำถามของเททีเหมือนกัน แต่บางครั้งก็เอาแต่ใจต่อให้มีเหตุผลก็ตาม

“ด้วยความที่อยู่กับเราเยอะ อยู่ด้วยกันตลอด มีเราเป็นเพื่อนเล่น พอเบื่อจากเล่นคนเดียวก็จะมาหาเรา ไหวก็ตอบไหว ไม่ไหวก็ต้องบอกเขาไม่ไหว รำคาญก็บอกว่ารำคาญให้หยุดก่อน ก็ต้องให้เขาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากตรงนี้ แต่จะไม่ใช่วิธีการขู่ให้กลัว เรามองว่าการขู่ให้เขากลัวมันก็ไม่ดีนะ บางอย่างที่ดีเราก็เอามาปรับใช้ให้เข้ากับยุคสมัย แต่ไม่ใช่บอกว่าวิธีคิดแบบเมื่อก่อนไม่ดีนะ อย่างที่บอกครับเหนื่อยมากเวลาคุยกับเด็ก ต้องคิดหลายชั้น พูดไปเขาจะไม่โอเครึป่าว จะขาดความมั่นใจไหม ก็เลยต้องอธิบายเป็นเคสๆ ไป”

และจากที่สังเกตคุณพ่อบอกว่า เด็กต่อให้จะเล่นซนกับเราแค่ไหน เขาก็อยากมีเวลาของเขาคนเดียวที่ไม่ต้องการให้ใครมายุ่ง ขอใช้เวลา ใช้สมาธิในทดลองอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง เสร็จแล้วก็จะมาเล่าให้ฟังเอง 

“เรื่องสุขภาพกายและใจก็ดีมาก ยิ่งในสถานการณ์ตอนนี้เขาเข้าใจนะ แล้วก็รับรู้หมด รู้ว่าโควิดเป็นโรคติดต่อยังไง ติดยังไงเวลาซื้อของมาที่บ้านต้องฉีดแอลกอฮอล์ ต้องล้างมือบ่อยๆ แล้วก็ร่าเริงมาก มากจนต้องบอกว่า alert ให้น้อยลงหน่อยได้ไหม ช่วงนี้มีรายการในยูทูบด้วย เขาก็ขอทำเองเลยนะ มีโกโปรตัวนึง ถ่ายรายการเองเลย เช้ามาก็จับกล้องถ่ายเอง สวัสดีครับ วันนี้ผมจะรีวิว… พูดจนคล่องเลย แต่เรายังไม่มีเวลาตัดต่อ มีเยอะมาก”

สำหรับในช่วงโควิด-19 ที่กระทบกับการเรียนรู้ของเด็ก ทั้งครู เด็ก รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองเครียดกันมากขึ้น เนื่องจากการเรียนรู้ของเด็กที่กำลังถดถอย พ่อแม่รับภาระทั้งค่าใช้จ่ายในบ้านและต้องสอนหนังสือลูกโดยเฉพาะในเด็กเล็ก สำหรับครอบครัวโฮมสคูลอย่างของเทที คุณพ่อบอกว่าไม่ต้องปรับตัวมากนัก เพราะที่ผ่านมาก็เรียนและเล่นกันแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้ไปไหนไม่ได้ จำเป็นต้องมีกิจกรรมที่บ้านมากขึ้น

“เราเองไม่มีความเครียดกับตรงนี้ แต่เราก็คุยกับแม่เขาว่าคนที่เขาพาลูกไปโรงเรียนแล้ววันนี้ต้องเรียนอยู่บ้าน น่าจะเหนื่อยกันนะ แล้วแม่เขาก็บอกว่าเพื่อนเขาจะตีกับลูกอยู่แล้ว เพราะอยู่บ้านด้วยกันตลอด จากที่ไม่เคยอยู่กับเขานานๆ แบบนี้ พอต้องมาอยู่ด้วยกันทั้งวันก็ปรับตัวยาก”

“เราเชื่อว่าต่อให้เรียนโฮมสคูลแต่ถ้าพ่อแม่ไม่มีเวลาหรือไม่จัดการเวลาให้ลูก มีปัญหาแน่นอน ถึงบอกว่ามันเป็นเรื่องของพ่อแม่เลยที่ต้องพร้อมมาก ต้องใส่ใจและมีเวลาให้เขา”

Tags:

ปฐมวัยโฮมสคูลการเรียนรู้

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Social IssuesCreative learning
    ‘วิชาเอาชีวิตรอด’ ทักษะพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรมี: ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลท่ากว้าง จังหวัดเชียงใหม่

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ‘บ้านรัก’ สู่บ้านแห่งการเรียนรู้ ชวนพ่อแม่เป็นครู เรียนผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว : ครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท อนุบาลบ้านรัก

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhoodSocial Issues
    คัดเลือกเข้า ป.1 ถ้าไม่สอบวิชาการ ใช้วิธีอะไรได้บ้าง? ตัวอย่างโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ และ เพลินพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social Issues
    ห้องเรียนที่บ้าน: 5 วิชาจากโคโรน่าไวรัส เปลี่ยนวิกฤตเป็นสนามการเรียนรู้ของเด็กๆ

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

ครูวรวุฒิ ขึ้นสันเทียะ : ห้องเรียน Active Learning หน่วยพิทักษ์สายน้ำแห่งบางเสร่ เมื่อครูกับนักเรียนคือบัดดี้ที่เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน
Unique Teacher
11 August 2021

ครูวรวุฒิ ขึ้นสันเทียะ : ห้องเรียน Active Learning หน่วยพิทักษ์สายน้ำแห่งบางเสร่ เมื่อครูกับนักเรียนคือบัดดี้ที่เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • โครงงานนวัตกรรมเพื่อชุมชน (OECD) 6 ขั้นตอน นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก หรือ Active Learning ที่ครูวรวุฒิขึ้นสันเทียะ โรงเรียนชุมชนบ้านบางเสร่ จังหวัดชลบุรี นำมาใช้กระตุ้นการคิด นำไปสู่การออกแบบชิ้นงานที่ใช้ประโยชน์ได้จริงของนักเรียน โดยเน้นสร้างทักษะความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ ผ่านเครื่องมือขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
  • Force Connection เป็นเทคนิคที่ครูนำมาใช้ขยับเปิดประเด็นการเรียนรู้ ครูให้นักเรียนเลือกคำที่ชอบหรือสนใจ แล้วแบ่งหมวดหมู่เขียนคำเหล่านั้นลงไปในตารางจนครบทุกคน หลังจากนั้นให้วงกลมเลือกคำที่ชอบหรือสนใจในแต่ละหมวดอีกครั้ง
  • “จากการจัดการเรียนการสอนในหน่วยผู้พิทักษ์สายน้ำแห่งบางเสร่ นักเรียนกำกับการเรียนรู้ของตนเองได้ เขารู้ว่าต้องการเรียนเรื่องอะไรเพราะได้สำรวจ สร้างแรงบันดาลใจ และออกแบบสิ่งที่อยากเรียนรู้ด้วยตนเอง 

“นักเรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง” ฟังดูเหมือนง่าย เหมือนครูไม่ต้องทำอะไร ให้นักเรียนคิดเองทำเอง แต่เบื้องหลังการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคิดเองทำเอง ‘ครู’ เป็นกำลังสำคัญและมีบทบาทอย่างมากต่อการสนับสนุนและช่วยกรุยทางให้นักเรียนสร้างการเรียนรู้ของตัวเองได้ หมายความว่า ครูจะอยู่เฉยไม่ได้เป็นอันขาด

เช่นเดียวกับการจัดการเรียนการสอนของ ครูวรวุฒิ ขึ้นสันเทียะ โรงเรียนชุมชนบ้านบางเสร่ จังหวัดชลบุรี ครูเป็นเพื่อนชวนคิดพานักเรียนออกแบบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง คาบเรียนนี้บูรณาการวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เข้ากับ โครงงานนวัตกรรมเพื่อชุมชน (OECD) ครูให้อิสระนักเรียนคิด ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ผสมผสานกับกระบวนการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ สร้างโปรเจคจนเกิดเป็นชิ้นงานต้นแบบ ที่เป็นประโยชน์กับการใช้ชีวิตของคนในชุมชน

ที่ที่ฉันอยู่นี้มีอะไรอยู่บ้าง

หน่วยบูรณาการ นักพิทักษ์สายน้ำแห่งบางเสร่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนชุมชนบ้านบางเสร่ จังหวัดชลบุรี เป็นคาบเรียนที่ไม่เคยหมดความสนุก ครูให้นักเรียนมีส่วนร่วมสร้างการเรียนรู้ทุกขั้นตอน เริ่มตั้งแต่การออกไปเปิดประสาทสัมผัส ลงสำรวจพื้นที่ชุมชนที่เป็นบ้านของนักเรียนเอง เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจมาช่วยกันออกแบบการเรียนรู้ ครูให้นักเรียนได้ลงมือทำไปทีละขั้นตอน วางบทบาทเป็นผู้สนับสนุน ส่งเสริม และคอยตั้งคำถาม เพื่อนำนักเรียนไปสู่เป้าหมายการเรียนรู้ที่ ‘นักเรียน’ วางไว้ ครูกับนักเรียนจึงเป็นเหมือนบัดดี้ที่ต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน ทำให้ครูสามารถประเมินผล ติดตาม และสังเกตพัฒนาการของนักเรียนได้อย่างต่อเนื่อง แล้วสามารถชวนนักเรียนพัฒนาไอเดียต่อยอดจากสิ่งที่ทำได้

วันนี้ The Potential มาเปิดห้องเรียนครูวรวุฒิ ให้ได้สนุกไปด้วยกัน!!

จู่ๆ จะให้นักเรียนออกไปสำรวจชุมชนโดยไม่มีเป้าหมายก็คงไม่ใช่ เป้าหมายของการสำรวจ คือ การเปิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 (ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย) รวมถึงอารมณ์ความรู้สึก แล้วบันทึกสิ่งที่รับรู้ได้ออกมาเป็นคำศัพท์ เช่น สมุด ปากกา ดินสอ เสียงนก ความรู้สึกร้อนหรือเย็น เป็นต้น 

ประเด็นชวนคิดก็คือว่า บางอย่างมีอยู่แต่อาจมองไม่เห็น บางอย่างส่งเสียงแต่อาจไม่เคยได้ยิน น่าสงสัยเหมือนกันว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า

ครูวรวุฒิ เล่าว่า เมื่อกลับมาถึงห้องเรียนยังไม่ต้องคิดอะไรเยอะ แค่หยิบกระดาษชาร์ทแผ่นใหญ่กับปากกาที่ครูเตรียมไว้ให้ขึ้นมา แบ่งกลุ่มแล้วเขียนสิ่งที่ตัวเองพบลงในกระดาษ ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการทำ Force Connection

Force Connection เป็นเทคนิคที่ครูนำมาใช้ขยับเปิดประเด็นการเรียนรู้ ครูให้นักเรียนเลือกคำที่ชอบหรือสนใจ แล้วแบ่งหมวดหมู่เขียนคำเหล่านั้นลงไปในตารางจนครบทุกคน หลังจากนั้นให้วงกลมเลือกคำที่ชอบหรือสนใจในแต่ละหมวดอีกครั้ง

“ในชุมชนของเรา นักเรียนพบเจออะไรบ้างที่อยากให้ดีขึ้น” 

“สิ่งที่นักเรียนภูมิใจในชุมชนคืออะไร?” ครูตั้งคำถามกับนักเรียน

“ผมภูมิใจในทะเลบางเสร่ครับ” 

“หนูรู้สึกภูมิใจและอยากดูแล ถนนสายวัฒนธรรม หมู่บ้านชาวประมงบางเสร่ค่ะ” นักเรียนตอบ

ครูให้นักเรียนมองกลับไปในกระดาษแล้วถามต่อว่า 

“ในคำที่นักเรียนนำมาเชื่อมโยงกันนี้ สามารถนำคำเหล่านั้นมาสร้างสรรค์เป็นวิธีการหรือชิ้นงานที่ช่วยให้ชุมชนดีขึ้นยังไงได้บ้าง หรือช่วยให้สิ่งที่เราภูมิใจในชุมชน อยู่คู่กับชุมชนบางเสร่ต่อไปยังไงได้บ้าง” 

ที่เล่ามานี้เป็นแค่ส่วนเสี้ยวของโครงงานนวัตกรรมเพื่อชุมชน (OECD) 6 ขั้นตอน นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก หรือ Active Learning ที่ครูวรวุฒินำมาใช้กระตุ้นการคิด นำไปสู่การออกแบบชิ้นงานที่ใช้ประโยชน์ได้จริงของนักเรียน

OECD 6 ขั้นตอน คิดสร้างสรรค์คิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ 

ฐานเรียนแบบ Active Learning ของ OECD เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นสร้างทักษะความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ ผ่านเครื่องมือขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ ​OECD ซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้กัน​ใน 14 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันนวัตกรรมนี้กำลังถูกนำมาถ่ายทอดเพื่อพัฒนาและปรับปรุงการเรียนการสอนในประเทศไทย 

ทั้งนี้ เครื่องมือของ OECD มี 2 ส่วน ส่วนแรก คือ แบบประเมินวัดความสามารถของผู้เรียน ให้ผู้เรียนเกิดทักษะจากการทำแบบฝึกหัดซึ่งแทรกซึมอยู่ในข้อสอบที่บูรณาการวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ หรือที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว เรียกว่า STEM

ส่วนที่สอง กระบวนการเรียนการสอนแนว Innovative Base หรือการเรียนเพื่อนำไปสู่การคิดนวัตกรรม โดยใช้ 6 ขั้นตอน จาก OECD ที่ถูกปรับปรุงให้เหมาะสมกับสังคมไทย ได้แก่ 

  1. การประเมินทักษะการคิดของผู้เรียน (ก่อนเรียน) 
  2. การคิดประเด็นการเรียนรู้จากแรงบันดาลใจ 
  3. การวางแผนบูรณาการ ความร่วมมือในการเขียนแผนระหว่างครูกับนักเรียน 
  4. การจัดการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ​ 
  5. รีเฟลคชั่น หรือ การคิดสะท้อนให้ผู้เรียนประเมินตัวเอง และ
  6. ​เน้นย้ำ ซ้ำทวน ชวนคิดต่อยอด ใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) มาเป็นเครื่องมือ

สิ่งหนึ่งครูวรวุฒิให้ความสำคัญ คือ การประเมินทักษะการคิดผู้เรียนตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อให้ครูรู้ว่านักเรียนแต่ละคนมีความโดดเด่นเรื่องอะไร ไม่ใช่การประเมินเพื่อตัดสินแต่ครูจะนำผลจากการประเมินทักษะมาจัดกลุ่มผู้เรียนให้เพื่อนช่วยเพื่อน อีกด้านหนึ่งครูเองจะได้รู้ว่าควรเข้าหานักเรียนแต่ละคนแบบไหน แล้วควรเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงทักษะที่โดดเด่นของตัวเองออกมาอย่างไร

“ในช่วงที่นักเรียนต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ คนที่คิดได้อยู่แล้ว ครูไม่ต้องเข้าไปกระตุ้นมาก แต่ให้เวลากับผู้เรียนที่ขาดทักษะด้านนี้ ด้วยการเข้าไปตั้งคำถามช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ หรือคนนี้เก่งด้านคิดรวบยอดก็ให้เขาได้นำเสนอกับเพื่อนๆ ทำให้ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิใจ” 

นวัตกรรมที่เกิดจากการเอาใจ…ใส่ชุมชน

ครูวรวุฒิ กล่าวว่า นอกจาก เครื่องมือ Force Connection แล้ว ขั้นที่ 2 การคิดประเด็นการเรียนรู้จากแรงบันดาลใจ สิ้นสุดลงที่การทำ ‘FILA Mapping‘ ด้วยการให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำกลุ่มคำจากการเชื่อมโยงใน Force Connection มาสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ช่วยรักษาสิ่งที่นักเรียนภาคภูมิใจในชุมชนของตนเอง

FILA ย่อมาจาก 

F = Fact ความจริงที่เกิดขึ้น เป็นที่มาของปัญหาสาเหตุของการทำสิ่งประดิษฐ์หรือผลงานนี้

I2 = Idea, Innovation นวัตกรรม หรือวิธีการที่จะทำให้ปัญหาหายไป

L = Learning issue ความรู้และทักษะที่ต้องใช้ในการสร้างนวัตกรรมจนสำเร็จลุล่วงไป

A = Action Plan วิธีดำเนินการหรือแผนในการสร้างนวัตกรรมให้สำเร็จ

“สำหรับประเด็นการเรียนรู้ ผมจะตั้งคำถามระหว่างที่นักเรียนกำลังคิด เช่น หนูรู้ได้อย่างไร หรือมีวิธีการสังเกตยังไงจึงรู้ว่าเป็นน้ำเสีย ครูต้องตั้งคำถามเพิ่มเติมไปในระหว่างเด็กทำกิจกรรมเลย พยายามโยนคำถามเข้าไปเพื่อให้นักเรียนคายสิ่งที่เขาอยากเรียนรู้มาเรื่อยๆ โดยที่ครูไม่บอกเลยว่าต้องมีการลำดับการเรียนรู้เรื่องใดก่อนหลัง แล้วพอทำชิ้นงานจริงๆ ไป จะมีประเด็นการเรียนรู้เกิดขึ้นมาให้เขาแก้เพิ่มเติม” ครูวรวุฒิ กล่าว

เครื่องบำบัดน้ำเสียของชุมชน

“พวกเราเดินสำรวจผ่านเส้นทางคลองที่ไหลลงทะเล ทุกคนได้กลิ่นเหม็นมาก ทำให้พวกเราอยากแก้ปัญหานี้โดยการสร้างเครื่องบำบัดน้ำเสียด้วยนวัตกรรมของพวกเราเอง” พันทวงษ์ วงอุทร เอ่ยถึงที่มาที่ไปของชิ้นงาน

เครื่องบำบัดน้ำเสียมาจากสิ่งที่นักเรียนพบในชุมชน แล้วถูกจำแนกหมวดหมู่ออกมาเป็น ทรัพยากรธรรมชาติ อาชีพ เครื่องใช้ไฟฟ้า แหล่งท่องเที่ยว และปัญหาที่ต้องแก้ไข แล้วเชื่อมโยงคำว่า ปู ชาวประมง คอมพิวเตอร์ หาดบางเสร่ และ น้ำเน่าเสีย พัฒนาขึ้นมาเป็นชิ้นงาน ครูวรวุฒิ เล่าว่า นักเรียนต้องการสร้างเครื่องบำบัดที่ดึงน้ำเน่าเสียจากคลองมาผ่านเนื้อเยื่อบาง ๆ เพื่อบำบัดคุณภาพน้ำก่อนปล่อยให้ไหลลงชายหาดบางเสร่และใช้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุม

“กลุ่มเครื่องบำบัดน้ำเสีย ในครั้งแรกทำมอเตอร์ดูดน้ำมาผ่านเครื่องกรอง มอเตอร์หมุนช้าเกินไป ผ่านไปสักพักมอเตอร์หยุด นักเรียนเลยเจาะใบพัดมอเตอร์เพื่อลดแรงต้านในน้ำ ระหว่างทำงานอุปกรณ์การเจาะไม่พอ นักเรียนเลยใช้ธูปจุดไฟมาช่วยเจาะแต่ธูปดับทุกครั้งที่โดนพลาสติก ทดลองไปเรื่อยๆ จนพบว่าต้องเป่าธูปให้แดงตลอดระหว่างที่เจาะ ทุกขั้นตอนที่ทำนักเรียนได้เรียนรู้ แล้วทดลองใหม่เมื่อทำพลาด” ครูวรวุฒิ เล่า

ท้ายที่สุดแล้วแม้การติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ในการควบคุมยังไม่สามารถทำได้ในหน่วยการเรียนครั้งนี้ แต่สมาชิกในกลุ่มตั้งใจพัฒนาเครื่องบำบัดน้ำเสียให้มีความสมบูรณ์ในอนาคต นักเรียนยืนยันว่าการเรียนบูรณาการแบบนี้ทำให้พวกเขาสนุก มีความกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหาที่พบจากการลงมือทำและอยากทำให้สำเร็จ เพราะอยากให้ชิ้นงานถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

“จากการจัดการเรียนการสอนในหน่วยผู้พิทักษ์สายน้ำแห่งบางเสร่ นักเรียนกำกับการเรียนรู้ของตนเองได้ เขารู้ว่าต้องการเรียนเรื่องอะไรเพราะได้สำรวจ สร้างแรงบันดาลใจ และออกแบบสิ่งที่อยากเรียนรู้ด้วยตนเอง 

“เขาได้สืบค้นจนมองเห็นกระบวนการเรียนรู้ชัดเจน พอมาทำจริงบางครั้งไม่ได้เป็นไปตามที่สืบค้น ไม่เหมือนในตำรา ก็มีการแก้ไขปัญหาและมีการประเมินผล นักเรียนจะพบความรู้และเป็นความรู้ที่เหมาะกับตัวเองด้วย” ครูวรวุฒิ กล่าว

หน่วยบูรณาการ นักพิทักษ์สายน้ำแห่งบางเสร่ ทำให้เยาวชนกลุ่มเล็กๆ มองเห็นบ้านของตัวเองในมุมมองใหม่ สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของ เกิดความใส่ใจ แล้วเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับชุมชน เชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ จะทำให้พวกเขารักและดูแลสภาพความเป็นอยู่ในชุมชนให้ดีขึ้นต่อไป

ปัจจุบันครูวรวุฒิ ย้ายจากโรงเรียนชุมชนบ้านบางเสร่ไปสอนที่โรงเรียนบ้านตะคร้อ จังหวัดนครราชสีมา บรรยากาศการเรียนในห้องเรียนยังคงเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

Tags:

Active Learningหน่วยพิทักษ์สายน้ำแห่งบางเสร่ครูวรวุฒิ ขึ้นสันเทียะ

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Education trend
    สังคมการเรียนรู้ คือสังคมแห่งคำถาม: ปุจฉา 5 ข้อ จาก ‘ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช’ ทบทวนความเข้าใจ(ผิด)ทางการศึกษา

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ถักทอการเรียนรู้บนฐานทุนชีวิต เชื่อมห้องเรียนกับชุมชนแบบไร้รอยต่อ: โรงเรียนบ้านขุนแปะ เชียงใหม่

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    ‘บอร์ดเกม’ เปลี่ยนห้องเรียนแสนน่าเบื่อให้กลายเป็นสนามสนุกคิด: โรงเรียนวัดวังเรือน จังหวัดพิจิตร

    เรื่อง The Potential

  • Transformative learningLearning Theory
    เปลี่ยนวิกฤตการเรียนรู้ถดถอย เป็นโอกาสปฏิรูปการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน : ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ห้องเรียน ‘บาริสต้าน้อย’ โรงเรียนสินแร่สยาม : ทักษะและการเรียนรู้ที่เด็กๆ ร่วมกันออกแบบ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

การล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทักษะการสื่อสารในเด็กเล็ก
Early childhood
9 August 2021

การล็อกดาวน์และเว้นระยะห่างส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทักษะการสื่อสารในเด็กเล็ก

เรื่อง The Potential

  • EEF รายงานว่า มาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อรับมือกับภาวะโรคระบาดส่งผลกระทบกับเด็กเล็ก เพราะกีดกันพวกเขาไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ซึ่งนั่นหมายความว่าเด็กๆ จะไม่ได้มีโอกาสฝึกการสื่อสารหรือสัมผัสประสบการณ์อื่นๆ ส่งผลต่อคลังคำศัพท์ เมื่อเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ได้น้อยลง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมีการศึกษาที่พบว่า ปริมาณคลังคำศัพท์ในเด็กอายุ 2 ปี สามารถทำนายประสิทธิภาพในการเรียนของพวกเขาได้
  • เมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นริมฝีปากคู่สนทนาขณะพูด อาจมีปัญหาในการรับรู้ โดยเฉพาะในช่วงวัยนี้กำลังเรียนรู้ที่จะแยกความแตกต่างระหว่างตัวอักษรที่ออกเสียงคล้ายกัน ส่งผลต่อพัฒนาการด้านการพูดหรือการรับรู้เสียงต่างๆ ที่จะนำไปสู่ความสามารถในการแยกเสียงที่ช่วยในการอ่านและสะกดคำ
  • กิจกรรมพัฒนาทักษะทางภาษาในเด็กเล็กที่ผู้ปกครองสามารถทำได้ เช่น พูดคุยกับลูกให้มากขึ้น จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ โดยเน้นเป็นเรื่องที่ลูกสนใจ การพูดคุยอาจใช้ประโยคง่ายๆ และเพิ่มลูกเล่นบทสนทนาด้วยการออกเสียงและการแสดงออกทางสีหน้าทางท่า 

การระบาดของโควิด – 19 ส่งผลให้เด็กหลายคนสื่อสารกับคนอื่นน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นครู เพื่อนวัยเดียวกัน หรือสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ เกิดเป็นคำถามใหญ่ว่า สถานการณ์เช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านการสื่อสารของเด็กหรือไม่

จากรายงานของ BBC ระบุว่า มาตรการล็อกดาวน์ของอังกฤษในปีที่ผ่านมาส่งผลกระทบกับการพัฒนาทักษะทางภาษาในเด็กเล็ก จากการสำรวจนักเรียนในประเทศอังกฤษจำนวน 50,000 คน พบว่าร้อยละ 20 – 25 ของเด็กในช่วงอายุ 4 – 5 ปีเมื่อเริ่มเข้าเรียน พวกเขาต้องการความช่วยเหลือด้านทักษะทางภาษามากกว่านักเรียนรุ่นก่อนๆ ซึ่งปัญหานี้อาจส่งผลกระทบระยะยาวในการเรียนได้

งานวิจัยจาก The Education Endowment Foundation หรือ EEF รายงานว่า มาตรการต่างๆ ที่ออกมาเพื่อรับมือกับภาวะโรคระบาดส่งผลกระทบกับเด็กเล็ก เพราะกีดกันพวกเขาไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ซึ่งนั่นหมายความว่าเด็กๆ จะไม่ได้มีโอกาสฝึกการสื่อสารหรือสัมผัสประสบการณ์อื่นๆ ส่งผลต่อปริมาณคลังคำศัพท์ของพวกเขา เมื่อเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆ ได้น้อยลง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมีการศึกษาที่พบว่า ปริมาณคลังคำศัพท์ในเด็กอายุ 2 ปี สามารถทำนายประสิทธิภาพในการเรียนของพวกเขาได้

EEF ทำการสำรวจโรงเรียนปฐมวัยในอังกฤษจำนวน 58 โรง พบว่า ร้อยละ 76 ของนักเรียนที่เริ่มเข้าเรียนช่วงเดือนกันยายน 2020 ต้องการความช่วยเหลือ แรงสนับสนุนในการพัฒนาทักษะการสื่อสารมากกว่าเด็กรุ่นก่อนๆ ร้อยละ 96 ของครูต่างกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาการพูดและภาษาของนักเรียน และร้อยละ 56 ของผู้ปกครอง มีความกังวลต่อลูกๆ เมื่อเริ่มกลับไปเรียนที่โรงเรียนหลังการล็อกดาวน์ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน

สวมหน้ากากอนามัยป้องกันโควิด – 19 แต่ลดความสามารถในการสื่อสาร

มาตรการสวมใส่หน้ากากอนามัยอาจทำให้เพิ่มอุปสรรคในการสื่อสาร โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ ที่กำลังเริ่มเรียนรู้ที่จะสื่อสาร เมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นริมฝีปากคู่สนทนาขณะพูด อาจมีปัญหาในการรับรู้ โดยเฉพาะในช่วงวัยนี้กำลังเรียนรู้ที่จะแยกความแตกต่างระหว่างตัวอักษรที่ออกเสียงคล้ายกัน เช่น ตัว P และ T ถ้าครูไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย เด็กๆ ก็จะสามารถเห็นการขยับของริมฝีปากและเข้าใจความแตกต่างมากขึ้น แต่เมื่อครูต้องสวมหน้ากากอนามัย ทำให้เด็กเข้าใจยากขึ้น ส่งผลต่อพัฒนาการด้านการพูดหรือการรับรู้เสียงต่างๆ ที่จะนำไปสู่ความสามารถในการแยกเสียงที่ช่วยในการอ่านและสะกดคำ

นอกจากนี้การสวมใส่หน้ากากอนามัยทำให้ไม่สามารถเห็นสีหน้าของคู่สนทนา เป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังประโยคที่เขาสื่อสารมากขึ้น เมื่อขาดสิ่งนี้ไปอาจส่งผลต่อศักยภาพการรับรู้ ทักษะการเข้าสังคมและจัดการอารมณ์ในเด็กเล็ก

ปัญหาในกลุ่มเด็กที่มีปัญหาทางการสื่อสาร

การล็อกดาวน์อาจส่งผลกระทบมากขึ้นกับเด็กที่มีปัญหาเรื่องการพูดหรือการใช้คำที่ต้องได้รับการบำบัด

ผลการสำรวจจาก Royal College of Speech and Language Therapists รายงานว่า ร้อยละ 62 ของเด็กที่ต้องได้รับการบำบัด ไม่สามารถเข้ารับการบำบัดได้ในช่วงต้นๆ ของการล็อกดาวน์ แม้ภายหลังจะเริ่มมีการให้บริการในรูปแบบออนไลน์ แต่ผลสำรวจยังพบว่ามีเด็กร้อยละ 19 ที่ไม่ชอบการบำบัดทางออนไลน์ ขณะที่อีกร้อยละ 12 ไม่สามารถเข้ารับการบริการดังกล่าวได้

ความกังวลของผู้ปกครอง

BBC ทำการสัมภาษณ์พ่อแม่ที่ลูกอยู่ในช่วงปฐมวัย พวกเขาแชร์ว่า มีความกังวลต่อพัฒนาการของลูก ชีวิตของเด็กๆ หลายคนถูกจำกัดวงด้วยโรคระบาด สังคมพวกเขาเหลือเพียงวงเล็กๆ คนใกล้ชิดในครอบครัว ทำให้กังวลการเข้าสังคมของลูกเมื่อเริ่มต้นเข้าโรงเรียน

Lisa แม่ของ Niamh ที่กำลังอยู่ในวัยกำลังจะเข้าโรงเรียน กล่าวว่า ลูกของเธอเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดในปีนั้น ทำให้เธอกังวลว่าเด็กคนอื่นๆ ในชั้นเรียนอาจจะมีประสบการณ์ในโรงเรียนมากกว่าลูกเธอ พวกเขาพยายามเตรียมตัวลูกให้พร้อมเท่าที่ทำได้ และลูกของเธอก็ตั้งตารอคอยที่จะได้ไปโรงเรียน แต่การที่ลูกไม่รู้จักใครในชั้นเรียนสร้างความกังวลให้กับพ่อแม่

“ความกังวลของฉัน คือ หลังจากล็อกดาวน์ช่วงที่ผ่านมา ทำให้ Niamh ไม่ได้ออกไปเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆ ถ้ากลับไปเรียนในห้องที่เต็มไปด้วยเด็กใหม่และครูเธอจะมีปฏิกริยาอย่างไร”

แต่โชคดีที่การจัดการของโรงเรียนทำให้ความกังวลของ Lisa หมดไป เธอกล่าวว่า ลูกไม่เคยงอแงตอนเช้าและไม่มีวันไหนที่ลูกไม่อยากไปโรงเรียน

เช่นเดียวกับ Emma แม่ของ Harry ที่กังวลว่า เมื่อลูกเข้าโรงเรียนจะมีปัญหาในการสานความสัมพันธ์หรือไม่ โดยเฉพาะการบอกความต้องการของตัวเอง เธอกังวลว่าเมื่อลูกมีปัญหาจะเลือกนั่งที่มุมห้องเพราะไม่สามารถพูดขอความช่วยเหลือหรือสื่อสารว่าเกิดความผิดปกติอะไรกับเขา

แต่ Harry ได้เข้าโปรแกรม Nuffield Early Language Intervention (หรือ NELI โปรแกรมช่วยเหลือเด็กวัย 4 – 5 ปี ในการส่งเสริมพัฒนาทักษะทางภาษาและการอ่านหนังสือ) ของโรงเรียนที่จะช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการการสื่อสาร Emma กล่าวว่า การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวช่วยให้ลูกเธอสื่อสารมากขึ้น จนได้รับฉายาว่า Little chatterbox เขามักถามคำถามที่สงสัย คิดมากขึ้น สื่อสารมากกว่าเดิม

Saly Miner ครูใหญ่ประจำโรงเรียน กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันทำให้ทักษะการสื่อสารในเด็กเล็กมีข้อจำกัด โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาไม่สามารถแสดงออกหรือตอบโต้กับคนรุ่นเดียวกัน และทำให้ตัวเองเข้าใจการสื่อสารได้ เธอเน้นว่า ทักษะนี้เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาการเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self – Esteem) และความมั่นใจในเด็กเล็ก

“ปราศจากสิ่งนี้อาจทำให้เด็กๆ ไม่มีความสุข เพราะไม่สามารถที่จะพัฒนาศักยภาพของเขาได้ พวกเขาไม่ได้รับประโยชน์จากการได้สื่อสารตอบโต้กับคนรุ่นเดียวกันเท่ากับที่เราคาดหวัง”

Miner กล่าวต่อว่า ผลการวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีปัญหาทักษะการใช้ภาษาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็อาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการอ่านประมาณ 4 เท่า มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิตประมาณ 3 เท่า และอาจมีปัญหาตกงานเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ส่งผลต่อการขยับสถานะทางสังคม (social-mobility) ดังนั้น การพัฒนาทักษะสื่อสารในเด็กเล็กจึงเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสิทธิของพวกเขาที่จะมีอนาคตที่ดี

BBC รายงานถึงการรับมือของรัฐบาลอังกฤษด้วยการลงงบประมาณ 18 ล้านปอนด์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนในชั้น Reception year (ระบบการศึกษาของอังกฤษ Reception year คือ ปีแรกของการเข้าเรียนในช่วงประถมศึกษา อายุระหว่าง 4 – 5 ปี)

Vicky Ford รัฐมนตรีกระทรวงเด็กและครอบครัวอังกฤษ เน้นว่า ช่วงปีแรกๆ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในเด็ก รัฐบาลอังกฤษใช้งบประมาณ 3.5 พันล้านปอนด์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพื่อให้สิทธิ์ดูแลเด็กฟรี นอกจากนี้ยังลงทุนอีก 18 ล้านปอนด์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะทางภาษาในเด็กเล็ก เป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณ 700 ล้านปอนด์ ในการซัพพอร์ตเด็กๆ เตรียมเขาให้พร้อมก่อนจะกลับเข้าสู่ห้องเรียนเหมือนเดิม

Ford กล่าวต่อว่า ความสำเร็จจากการทำโครงการ Nuffield Early Language Intervention ทำให้รัฐบาลวางแผนที่จะขยายโครงการนี้ไปยังโรงเรียนในพื้นที่อื่นๆ เพื่อให้เด็กวัย 4 – 5 ปี จำนวนหลายพันคนได้พัฒนาทักษะทางภาษา การสื่อสาร และการอ่าน แม้โครงการจะได้รับผลกระทบในปีที่แล้วจนต้องหยุดชะงักไป แต่ในปีนี้พวกเขาจะทุ่มเททำมากขึ้น

เมื่อลูกๆ ยังกลับห้องเรียนไม่ได้ ตัวช่วยสำหรับผู้ปกครองในการพัฒนาทักษะสื่อสารลูก

กลับมาที่บ้านเรา ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์เองอาจจะยังไม่สามารถดีขึ้นในเร็วๆ นี้ การกลับไปเรียนในห้องเรียนของเด็กๆ ยังคงต้องเลื่อนออกไป เด็กหลายคนยังต้องเรียนออนไลน์ต่อไป งานยากอาจจะตกอยู่ที่ผู้ปกครองที่จะต้องหาวิธีช่วยให้ลูกๆ ยังสามารถพัฒนาทักษะการสื่อสารได้ แน่นอนว่าในสถานการณ์เช่นนี้ผู้ปกครองหลายคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุด ไม่ว่าจะป้องกันเด็กๆ ให้ปลอดภัยจากโรคระบาด หากิจกรรมให้ลูกทำเพื่อพัฒนาทักษะด้านต่างๆ

กิจกรรมพัฒนาทักษะทางภาษาในเด็กเล็กที่ผู้ปกครองสามารถทำได้ เช่น พูดคุยกับลูกให้มากขึ้น จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ โดยเน้นเป็นเรื่องที่ลูกสนใจ การพูดคุยอาจใช้ประโยคง่ายๆ และเพิ่มลูกเล่นบทสนทนาด้วยการออกเสียงและการแสดงออกทางสีหน้าทางท่า 

พฤติกรรมของทารกหรือเด็กในช่วงวัยหัดเดิน (Toddler) จะชอบการพูดซ้ำๆ ฉะนั้น หากลูกวัยนี้กำลังแสดงความสนใจบางสิ่ง เช่น รถที่ขับผ่านหน้าบ้าน ผู้ปกครองลองชวนเขาคุย อาจเริ่มด้วยการอธิบายลักษณะรถยนต์คันนั้น หน้าตาของมันเป็นอย่างไร การเคลื่อนที่ของรถ โดยเน้นพูดคำว่า ‘รถ’ บ่อยๆ ซ้ำไปซ้ำมา

ในเด็กวัยที่โตขึ้นมาหน่อยก็สามารถใช้หลักการเดียวกันได้ ชวนเขาคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสนใจ ตอบสนองกับสิ่งที่ลูกร้องขอ ในเด็กกลุ่มนี้จะเริ่มสามารถต่อคำได้เป็นประโยคที่มีความหมาย ข้อจำกัดก็จะลดลง เป็นโอกาสดีที่ผู้ปกครองจะได้พัฒนาคลังคำศัพท์ลูก 

เด็กส่วนใหญ่จะมีการตอบสนองทางพัฒนาการที่รวดเร็ว แต่ถ้าเด็กคนไหนยังคงมีปัญหา การพาพวกเขาไปพบผู้เชี่ยวชาญ ครู หรือนักบำบัด ที่เขาจะสามารถมองเห็นปัญหาและให้คำแนะนำเพื่อพัฒนาพวกเขาต่อไปได้

อ้างอิง
Lockdowns hurt child speech and language skills – report
How lockdown has affected children’s speech – and what parents can do to help
The Education Endowment Foundation 

Tags:

ทักษะการสื่อสาร(Communication Skill)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปัญหาการสื่อสาร

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.2 “I am not good enough.”

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.1 ผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดที่มีต่อเด็กปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘แบ่งปันความอิ่ม’ คูปองอาหารที่ให้คนมาจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อเพื่อนที่ลำบากในช่วงโควิด

    เรื่อง นฤมล ทิพย์รักษ์

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Learning TheorySocial Issues
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel