Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: March 2021

นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep2 : ส่องความงาม-ความดีในนิทาน ‘สโนไวท์’
Early childhood
29 March 2021

นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep2 : ส่องความงาม-ความดีในนิทาน ‘สโนไวท์’

เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ราชินีเป็นคนสวย แต่เพราะเอาแต่เปรียบเทียบ แข่งขัน กับคนอื่น ไม่พอใจตัวเอง อยากเหนือกว่าคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เป็นทุกข์ ความงามแบบไม่ต้องเป็นที่หนึ่งในโลกหล้า ไม่ต้องเป็นที่สุดในปฐพี แต่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น ทำให้เป็นสุขกว่า
  • ความสวยงามดีงามในนิทานสโนไวท์ที่เด็กๆ น่าจะได้เรียนรู้ผ่านการชวนคุยชวนคิดของพ่อแม่ผู้ปกครอง คือเรื่องของความงามที่กระจกวิเศษบานไหนก็ไม่อาจสะท้อนได้ เพราะเป็นคุณค่าที่อยู่ภายใน และกระจกวิเศษที่สุด ก็คือตัวของเราเองที่จะส่องให้เห็นคุณค่าของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องรอฟังคำเยินยอ หรือไปแก่งแย่งแข่งขันกับใครๆ

สโนไวท์ เจ้าหญิงแสนสวยนิสัยดี เธอถูกราชินีใจร้ายผู้เป็นแม่เลี้ยงใช้งานหนักด้วยความชิงชังระคนกริ่งเกรงว่าสโนไวท์จะเติบโตและสวยงามกว่า ราชินีใจร้ายเฝ้าแต่ถามกระจกวิเศษอยู่ทุกวัน

“กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี” 

วันหนึ่ง กระจกไม่ตอบว่า “ก็พระนางน่ะสิ” เหมือนทุกครั้ง แต่กลับบอกว่า คนที่สวยสุดๆ คือ ‘สโนไวท์’ ต่างหาก ราชินีโกรธจนตัวสั่น สั่งนายพรานให้เอาสโนไวท์ไปฆ่าทิ้ง นายพรานสงสารเลยพาเธอไปปล่อยป่า

สโนไวท์หลงป่าไปขออาศัยกับคนแคระทั้งเจ็ด พอราชินีรู้ว่าเธอยังไม่ตาย เลยปลอมตัวเป็นหญิงชรานำแอปเปิลพิษมาให้กิน พร้อมด้วยคำสาปว่าต่อเมื่อได้รับจุมพิตจากเจ้าชาย สโนไวท์จึงจะฟื้นคืนกลับมาดังเดิม 

เมื่อข่าวรู้ถึงเจ้าชายจึงออกตามหาจนได้พบสโนไวท์ ก่อนจะพาเจ้าหญิงคนงามขึ้นหลังม้าควบกลับวังและครองรักกันอย่างมีความสุข

มีหลายแง่มุมในนิทานเรื่องนี้ ที่ ‘หมอโอ๋ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน’ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี แนะนำผู้ปกครองให้ชวนเด็กๆ ได้คิดและเรียนรู้

ไม่ต้องงามเลิศในปฐพี แต่มีดีในตัวเอง

ราชินีเป็นคนสวย แต่เพราะเอาแต่เปรียบเทียบ แข่งขัน กับคนอื่น ไม่พอใจตัวเอง อยากเหนือกว่าคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เป็นทุกข์ ความงามแบบไม่ต้องเป็นที่หนึ่งในโลกหล้า ไม่ต้องเป็นที่สุดในปฐพี แต่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ตัวเองเป็น ทำให้เป็นสุขกว่า

นอกจากนี้ ความงามมีหลายแบบ แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาคุณค่าของเราไปฝากไว้กับการตัดสินของคนอื่น ถ้าไปถามกระจกบานอื่น อาจบอกว่าราชินีสวยกว่าสโนไวท์ หรือกระจกบางบานอาจจะเห็นว่าซินเดอเรลลาสวยที่สุด (ได้ฟังแบบนี้สโนไวท์อาจกลายเป็นเจ้าหญิงใจร้ายรายถัดไป)

ยิ่งไปกว่านั้น ความสวยงามไม่ใช่แค่เรื่องหน้าตา สำคัญกว่าคือคุณค่าจากภายใน เช่น การเป็นคนใจดี เอื้อเฟื้อ ชอบช่วยเหลือคนอื่น เป็นความงามที่กระจกมองไม่เห็น แต่คนอื่นสัมผัสได้ และเราก็รับรู้ได้ด้วยตัวเอง

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ การเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น แม้จะด้วยความหวังดีอยากให้ลูกคิดแข่งขัน ซึ่งก็เป็นไปได้ว่ามีเด็กจำนวนหนึ่งฮึดสู้ แต่เด็กส่วนใหญ่เมื่อถูกเปรียบเทียบ จะหมดพลังที่จะพัฒนาตัวเองต่อ เพราะคิดแต่ว่าตัวเองไม่เก่งพอ ไม่ดีพออยู่ตลอดเวลา และจะกลายเป็นความคิดที่ติดตัวไปจนโต 

ส่วนเด็กที่ฮึดสู้ ก็เป็นการสู้เพราะแรงกดดัน สู้แบบตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ว่าฉันดีพอหรือยัง ฉันดีกว่าคนอื่นแล้วหรือไม่ ถ้าคิดแบบนี้ ความรู้สึกดีจะเกิดได้ก็ต้องด้วยการเปรียบเทียบกับคนอื่นเท่านั้น การฮึดสู้จึงเป็นการมุ่งเอาชนะแบบไร้ตัวตน ไม่ใช่การยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น

ในความเหมือน มีความต่าง

คนแคระทั้ง 7 ด็อค, กรัมปี้, แฮปปี้, สนีซซี่, สลีปปี้, โดปี้, และแบชฟูล ถึงจะตัวเล็กๆ เหมือนกัน แต่แต่ละคนไม่เหมือนกัน หน้าตาดูดีๆ แล้วก็แตกต่างกัน นิสัยใจคอ ความชอบ ไม่มีใครเหมือนกันสักคน เราจึงไม่ควรเหมารวม กลุ่มคนที่เราเห็นว่าเขาดูเหมือนๆ กันไปหมด จริงๆ แล้วไม่เหมือนกัน คนพิการแต่ละประเภท ไม่เหมือนกัน คนพิการประเภทเดียวกัน แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน คนที่รูปร่างหน้าตาคล้ายจะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ใช้ภาษาเหมือนกันๆ ที่จริง ทุกคนมีความแตกต่าง มนุษย์เราแต่ละคนมีความแตกต่างในตัวเอง

เชื่อมั่นความดี รู้ทันความชั่ว

นายพรานถูกราชินีใจโหดสั่งให้นำสโนไวท์ไปฆ่า แต่เพราะนายพรานเห็นว่าเจ้าหญิงสโนไวท์เป็นคนดีจึงปล่อยเจ้าหญิงให้หนีไป แล้วหลอกเจ้านายว่าทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว ความดีของสโนโวท์เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับความดีที่นายพรานมีอยู่ในตัว ทำให้สโนไวท์รอดชีวิตได้แทนที่จะถูกฆ่าตาย

มนุษย์ทุกคนมีความดีในจิตใจ แม้เขาจะดูเหมือนเป็นคนไม่ดี ทำสิ่งที่ไม่ดีในบางครั้ง แต่ไม่มีใครคิดชั่วทำชั่วตลอดเวลา หรือตลอดทั้งชีวิต ฉะนั้น อย่าลืมที่จะมองให้เห็นถึงความดีที่มีอยู่ในตัวคนทุกคน 

ถึงเราจะเห็นความดีในตัวทุกคน แต่ถ้าโลกสวยเกินเหตุ เราก็อาจต้องเผชิญกับภัยอันตรายหรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนที่คิดร้าย หรือหวังผลประโยชน์ เหมือนอย่างที่สโนไวท์หลงเชื่อหญิงชราเลยถูกหลอกให้กินแอปเปิ้ลพิษจนสลบไป

สโนไวท์ทำผิดอะไรหรือเปล่า?

เจ้าหญิงสโนไวท์แสนจะเลิศเลอเพอร์เฟ็กต์สวยนิสัยดีมีน้ำใจ แต่ทำไมยังถูกแม่เลี้ยงเกลียดชัง สิ่งที่น่าจะทำความเข้าใจกับลูกก็คือ ในโลกนี้ มีทั้งคนที่รักเราและเกลียดเราเป็นเรื่องธรรมดา ถึงเราจะเป็นที่รักของคนมากมาย ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะมีใครสักคน หรือหลายคนไม่ชอบขี้หน้าเรา 

สิ่งที่ควรทำคือการกลับมาสำรวจตัวเอง เราทำอะไรไม่ดี ทำให้ใครไม่ชอบหรือเปล่า ถ้าเจอข้อบกพร่องก็ต้องปรับปรุงตัวเอง แต่ถ้าทบทวนดูแล้ว ไม่มี เราทำดีอยู่แล้วก็ควรทำต่อไป เขาเกลียดเราอาจเป็นปัญหาของเขาที่เราแก้ไขให้ไม่ได้ เช่น สโนไวท์สวยเกินไปเลยถูกแม่เลี้ยงหมั่นไส้ สโนไวท์นิสัยดีทำให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของทุกคน แม่เลี้ยงจึงอิจฉาริษยา ถ้าเรื่องราวเป็นแบบนี้ก็ต้องเข้าใจและทำใจ เพราะความคิดของคนอื่น เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้

ที่สุดแล้ว ความสวยงามดีงามในนิทานสโนไวท์ที่เด็กๆ น่าจะได้เรียนรู้ผ่านการชวนคุยชวนคิดของพ่อแม่ผู้ปกครอง คือเรื่องของความงามที่กระจกวิเศษบานไหนก็ไม่อาจสะท้อนได้ เพราะเป็นคุณค่าที่อยู่ภายใน และกระจกวิเศษที่สุด ก็คือตัวของเราเองที่จะส่องให้เห็นคุณค่าของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องรอฟังคำเยินยอ หรือไปแก่งแย่งแข่งขันกับใครๆ

แนวคำถามชวนลูกคิด

  • จริงหรือเปล่าว่าถ้าเราไม่สวยแล้วจะไม่มีใครรัก คนสวยจะเป็นที่รักของทุกคนจริงไหม สวยอย่างเดียวพอไหมที่จะทำให้ทุกคนมาหลงรัก หนูคิดว่าอะไรคือข้อดีที่สุดของตัวเอง 
  • คนแคระแต่ละคนมีนิสัยอย่างไร มีความถนัดอย่างไร 
  • ถ้าวันหนึ่งมีคนคิดไม่ดีกับเรา เราจะทำอย่างไรดี
  • ฯลฯ

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)พญ.จิราภรณ์ อรุณากูรเลี้ยงลูกด้วยนิทานนิทานเรื่องนี้ (ไม่) สอนให้รู้ว่าสโนไวท์

Author:

illustrator

รัชดา ธราภาค

อดีตนักเรียนรัฐศาสตร์ ฝ่าคลื่นลมในงานสื่อสารมวลชน ตั้งแต่ยุคแอนะล็อก จนถึงการสร้างงาน Interactive Story บนมือถือ ด้วยจุดยืนที่ย้ายได้ในทุกแพลตฟอร์มการสื่อสาร เพื่อส่งผ่านสาระประโยชน์สู่ผู้รับ

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ดอเรียน เกรย์: ภาพที่เห็น ภาพที่จำ และภาพคนในครอบครัวที่เราวาดขึ้นเองได้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep4: เรียนเรื่องรักจากนิทาน ‘เงือกน้อยผจญภัย’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep3 : เรียนรู้โลกสีเทาจากนิทานขาว-ดำ ‘ฮันเซลกับเกรเทล’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    ข้อคิดสะกิดใจในนิทาน ‘ซินเดอเรลลา’ สาวน้อยผู้ไม่เคยหยุดฝันและไม่ลังเลที่จะยืนยันสิทธิของตัวเอง

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to get along with teenager
    จิตวิทยาวัยรุ่นเรื่องการยอมรับนับถือตัวเอง กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ จิตติมา หลักบุญ

‘จงทำให้เด็กรู้สึกโชคดีที่มีเราเป็นครู’ ครูคณิตที่นิยามตัวเองเป็น ‘นักการศึกษา’ ของครูร่มเกล้า ช้างน้อย (1)
Unique Teacher
28 March 2021

‘จงทำให้เด็กรู้สึกโชคดีที่มีเราเป็นครู’ ครูคณิตที่นิยามตัวเองเป็น ‘นักการศึกษา’ ของครูร่มเกล้า ช้างน้อย (1)

เรื่อง สัญญา มัครินทร์

  • “โรงเรียนที่คุณจะไป จริงๆ แล้วเขาอาจจะมีครูที่ดี แล้วเด็กเหล่านั้นก็โชคดีอยู่แล้ว ทำไมคุณถึงไม่อยู่โรงเรียนนี้แล้วทำให้เด็กโรงเรียนนี้โชคดีที่มีคุณเป็นครูละ” จุดเปลี่ยนที่ทำให้ครูกุ๊กกั๊ก-ร่มเกล้า ช้างน้อย ครูคณิตศาสตร์แห่งโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม์ คิดว่าการเป็นครูไม่เพียงพอ แต่เขาต้องเป็น ‘นักการศึกษาที่ทำงานในโรงเรียน’ ด้วย
  • ทดลองจัดห้องเรียนหลายๆ รูปแบบเพื่อตอบสนองวิธีการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน จนได้ออกมาเป็น 5 รูปแบบ, ใช้คาบชุมนุมให้เป็นห้องทดลอง ปลดปล่อยความชอบและพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูกับนักเรียน, ทำ SLC (School as Learning Community) ที่ไปไกลกว่าให้ฟีดแบ็กการสอนของครู แต่ดูไปที่ผลลัพธ์ว่าผู้เรียนได้อะไรบ้าง นี่เป็นเพียงน้ำจิ้มที่จะชวนครูกุ๊กกั๊กคุยกันในตอนนี้
  • “ผมคิดว่าการลองผิดลองถูกระหว่างครูกับเด็กอันนี้สำคัญ ครูหลายๆ คนจะยึดติดความไม่กล้าผิดเอาไว้ ในช่วงแรกผมก็เป็นนะ แต่ถ้าเกิดลองแล้วไม่เวิร์ก สิ่งหนึ่งที่ครูทำได้คือขอโทษเด็ก ขอโทษไปเลย บอกเด็กไปเลยว่าอันนี้ครูพยายามทดลองอยู่ แต่ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ เดี๋ยวครูสอนใหม่” 

“เชื่อไหมครับ เวลาที่เราสอนหน้ากระดานแบบหนึ่ง แต่ลองไปพูดอีกแบบหนึ่งในระยะที่ใกล้กันนะครับ เด็กจะรู้เรื่องแล้วบอกว่า ‘ทำไมครูไม่พูดแบบนั้น’ แล้วผมก็แบบ… ‘กูก็พูดแบบเมื่อกี้ กูแค่มาอยู่ข้างหน้ามึงเฉยๆ’ (หัวเราะ) แสดงว่าระยะห่างระหว่างครูกับเด็ก ยืน นั่ง มีผล อาจจะด้วยปัจจัยความรู้สึกก็ได้ หรือการฟังซ้ำก็อาจจะมีผล ซึ่งผมคิดว่าอันนี้เป็นระบบนิเวศน์แบบหนึ่ง 

“ฉะนั้น ถ้าลองคลี่ห้องเรียนของผมออกมา ผมน่าจะสอนอยู่ประมาณ 5 แบบ คือ 1.แบบบรรยายหน้ากระดาน 2.ลงไปหานักเรียนที่ถนัดเรียนแบบกลุ่ม 3.ลงไปหานักเรียนที่ถนัดเรียนเป็นแบบคู่ 4.ลงไปหานักเรียนที่ถนัดเรียนแบบเดี่ยว และ 5.แบบเรียนด้วยตัวเอง 

“เพราะฉะนั้นในหนึ่งห้องเรียนเราก็พยายามจัดบรรยากาศให้นักเรียนได้เรียนผ่านวิธีการเรียนรู้หลายๆ แบบ แล้วเขาก็มีวิธีการรับรู้ที่ต่างกัน อันนี้คือใน 60 – 70% ของเทอม” 

นี่เป็นเพียงน้ำจิ้ม การจัดห้องเรียนแบบ ครูกุ๊กกั๊ก-ร่มเกล้า ช้างน้อย ประจำวิชาคณิตศาสตร์สุดติสต์แห่งโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม 

คำพูดเบื้องต้นดูเหมือนว่าเค้าเป็นคนซีเรียสและจริงจังกับการจัดห้องเรียน… ซึ่งในเวลาสอนของเขาก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่เมื่อการเลคเชอร์จบลง เขาอาจจะหยิบกีตาร์ขึ้นมาเกลาและชวนนักเรียนทำโจทย์เลขไปด้วย ร้องเพลงไปด้วย 

ครูกุ๊กกั๊กเป็นครู เป็นนักดนตรี เป็นเนิร์ดทางคณิตศาสตร์ เป็นครูที่ใช้นวัตกรรมคู่การสอน เช่น QR Sheet ที่ไม่ว่านักเรียนจะอยู่ที่ไหน เข้าหรือไม่เข้าเรียนก็จะยังตามทันสิ่งที่ครูสอน เป็นครูนักทดลองที่พร้อมจะขอโทษนักเรียนเสมอ และ… อื่นๆ ที่หลุดพ้นจากกรอบเกณฑ์การเป็นครูที่เข้มงวดในหมวดคณิตศาสตร์ 

ชวนอ่านอีกหนึ่งบทสัมภาษณ์ใหญ่ โดยครูสัญญา มครินทร์ ครูสุดเท่แห่งบ้าน… ในรายการ ข้างๆ ครูคูล

คลิกฟังที่นี่

https://www.youtube.com/watch?v=oVHCoCxNtcs&t=83s

เรื่องเล่าวัยเด็กของครูกั๊ก

ก่อนที่เราจะไปคุยพาร์ทความเป็นครู อยากชวนครูกั๊กช่วยเล่าชีวิตตัวเองนิดหนึ่งครับว่าเส้นทางการเติบโตของเด็กชายกุ๊กกั๊กเป็นยังไง กว่าจะมาเป็นครูกุ๊กกั๊กสุดมันในวันนี้

ถ้าพี่ถามว่าผมเติบโตมายังไง ผมเติบโตมาเพราะว่าผมต้องการที่จะจีบผู้หญิง (หัวเราะ) คือ ทักษะหลายๆ อย่างที่ใช้ในชีวิตทุกวันนี้มาจากการจีบผู้หญิงหมดเลยครับ อย่างแรกเลย ตอนนั้นเล่นวอลเลย์บอล จริงๆ ครอบครัวเราเป็นนักกีฬาด้วย คือทั้งบ้านเล่นวอลเลย์บอล คุณแม่เป็นนักกีฬาเขตมาก่อน ส่วนคุณพ่อเป็นโค้ชราชนาวี พี่สาวก็เป็นนักกีฬาโรงเรียน เราก็เล่นวอลเลย์บอลเป็นตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ เรารู้สึกว่า เฮ้ย…การเป็นนักกีฬาโรงเรียนมันเท่ เราก็พยายามเล่นจนเก่ง แต่ผู้หญิงแต่ละคนชอบผู้ชายไม่เหมือนกัน ผู้หญิงทุกคนไม่ได้ชอบนักวอลเลย์บอล บางคนชอบฟุตบอล เราก็เลยไปลองคัดตัวเป็นนักกีฬาฟุตบอล ก็ตกรอบ เพราะว่าเราวิ่งไม่ทัน (หัวเราะ) แล้วตอนนั้นมีความสามารถพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ วาดรูป จริงๆ เคยวาดรูปจนได้ที่หนึ่งของโรงเรียนเลยนะ แล้วก็รู้สึกว่าตอนนั้นเราน่าจะยึดความเป็นนักวาดรูปเอาไว้จีบสาวได้ แต่ปรากฏว่าเขาก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น

จนไปชอบเพื่อนคนหนึ่ง อยู่วงดุริยางค์โรงเรียน เราก็เอ้อ…ไหนลองเล่นดนตรีสักหน่อยซิ ก็ไปหยิบคีย์บอร์ดของพี่สาวที่บ้านมา แล้วก็ลองแกะเพลง รู้สึกว่าจะเป็นเพลงลาภูพิงค์ ของสุนทราภรณ์ คือวันนั้นเป็นวันที่มหัศจรรย์ตัวเองมาก เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร ฟังแล้วก็แกะ ลองเล่นลงไปบนโน้ตคีย์บอร์ด ปรากฏว่าเล่นได้เลย กดไม่กี่ทีก็ อ๋อ…โน้ตมันประมาณนี้ แล้วก็ไปสมัครเข้าวงดุริยางค์ จนเล่นดนตรีทุกอย่างของวงในโรงเรียนเป็นก็เลยโตมากับดนตรี ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเหมือนปั๊ปปี้เลิฟ แล้วก็แยกจากกันไป (หัวเราะ) 

กลายเป็นว่าตอนประถมได้ทักษะทั้งกีฬา วาดรูป แล้วก็ดนตรี พอโตมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่า อ๋อ… ความเป็นวิชาการมันต้องมี ก็เลยเพิ่งมาตั้งใจเรียนเอาตอนม.ปลาย เพิ่งเรียนคณิตได้ตอนม.4  เองนะ ก่อนหน้านั้นพีพีโกรัสอะไร ทำไม่ได้เลย แล้วก็ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆ จนเข้ามหาวิทยาลัย 

นิยามความเป็นครูของครูกั๊ก

ต้องขอบคุณผู้หญิงคนนั้นเนอะที่มอบทักษะอะไรหลายอย่างให้คุณมากเลย (หัวเราะ) แล้วพอมาเป็นครู ครูกุ๊กกั๊กนิยามความเป็นครูของตัวเองยังไงบ้างครับ ก่อนหน้านี้เห็นบอกว่าไม่ได้ชอบคณิตศาสตร์ด้วยซ้ำ

ใช่ครับ ผมนิยามตัวเองว่าเป็น ‘นักการศึกษาที่ทำงานในโรงเรียน’ รู้สึกว่าสำคัญมากที่นิยามตัวเองแบบนี้ ตอนแรกเรานิยามตัวเองว่าเป็นคุณครูคณิต ซึ่งนิยามแบบนี้เราก็ต้องนำเนื้อหาวิชาการคณิตศาสตร์ไปปล่อยให้กับนักเรียน ฉะนั้นภาพในหัวตอนนั้นเหมือนเราแบกเป้เข้าไปในห้อง แล้วก็ อ๊ะ…เรียนสิ บรรยากาศทั้งหมดทั้งมวลมันก็เป็นแบบ Passive Learning เด็กเรียนไป ฉันก็พูดไป แต่พอไปอ่านๆ หรือฟังๆ มาก็มีคนบอกว่า เฮ้ย…เราลองนิยามตัวเองว่าเป็นครูสิ เราอาจจะได้เห็นมิติการทำงานที่มากขึ้น เลยทำให้เราชวนเด็กคุยบ้าง ชีวิตตอนนี้เป็นยังไง เราเป็นยังไง แบ่งปันประสบการณ์ให้กับเด็ก แต่เราก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่

จนได้เป็นข้าราชการ รู้สึกว่าช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เขียนใบลาออกแล้วนะ แล้วก็เขียนใบสมัครโรงเรียนใหม่เสร็จแล้วด้วย มีใบรับรอง Recommended letter จากอาจารย์ที่คณะเรียบร้อยแล้ว แต่ว่ามีอยู่คำถามหนึ่งของอาจารย์ฮูก (อาจารย์อรรถพล อนันตวรสกุล) เขาถามว่า “ทำไมถึงอยากไป” ผมคุ้นๆ ว่าตอบอาจารย์ไปว่า เหตุผลที่เราเข้ามาสอนมันไม่ใช่เหตุผลนี้ แต่เรากำลังจะไปด้วยเหตุผลอื่นซึ่งเป็นเหตุผลจากตัวเรา 

อาจารย์ฮูกเขาก็บอกว่า “โรงเรียนที่คุณจะไป จริงๆ แล้วเขาอาจจะมีครูที่ดี แล้วเด็กเหล่านั้นก็โชคดีอยู่แล้ว ทำไมคุณถึงไม่อยู่โรงเรียนนี้แล้วทำให้เด็กโรงเรียนนี้โชคดีที่มีคุณเป็นครู” โอ้โห… จังหวะนั้นคือ เฮ้ย…จริงๆ เราสามารถทำให้ตัวของเรามีคุณค่าและให้เด็กของเรารู้สึกโชคดีได้นะที่มีเราเป็นครู 

ผมก็เลยตัดสินใจเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตารามต่อ แล้วก็นิยามตัวเองใหม่เลย เป็นครูไม่พอละ ต้องเป็นนักการศึกษาที่ทำงานในโรงเรียนด้วย หมายความว่า เรื่องใดก็ตามที่เราต้องต่อสู้ ทั้งกับเชิงโครงสร้างของอำนาจและในการซัพพอร์ตนักเรียน การเป็นครูเฉยๆ ผมคิดว่าอาจจะไม่พอ แต่ถ้าเราเป็นนักการศึกษา เราสามารถมีข้อมูลอื่นๆ ที่สู้ได้ และไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมาไล่เราออก เราก็เลยนิยามตัวเองแบบนี้ดีกว่า 

โอ้โห… แค่นิยามตัวเองเปลี่ยนก็เหมือนเปลี่ยน Mindset ตัวเองเลย ผมจำได้ว่าผมก็นิยามตัวเองช่วงเป็นครูแรกๆ อีกแบบหนึ่งเหมือนกัน แต่พอเปลี่ยนนิยาม มันจะมีขอบที่เชื่ออีกแบบหนึ่ง แล้วก็กระทำอีกแบบหนึ่งเลย และทราบมาว่าครูกั๊กเองก็มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ชอบซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครูกั๊กด้วย คือเล่ม ‘กล้าที่จะถูกเปลี่ยน’ ขยายความมิตินี้ เรื่องนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหมครับ

จริงๆ หนังสือเล่มนี้มันมีหลายมิติมากเลย แต่ผมชอบอันหนึ่งมาก เขาบอกว่า ‘คนที่สนใจเรา มีเราคนเดียว’ ถ้าพูดเหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก หรือฟังแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก อาจจะรู้สึกว่า ทำไมคนนี้มันเห็นแก่ตัวจังวะ แต่ถ้าลองมองแบบเป็นเนื้อแท้จริงๆ เวลาที่เราต้องการให้ห้องเรียนของเรามีความสุข นักเรียนต้องยิ้มได้ อาจจะฟังเหมือนเราทำเพื่อเด็กใช่ไหมครับ แต่จริงๆ เราทำเพื่อเรา คือเราอยากมีความสุขเพราะเราเห็นเด็กเขายิ้ม ลองวิเคราะห์รวมไปถึงพ่อแม่นะครับ ใครไม่เห็นด้วยไม่เป็นไรนะ แค่อยากนำเสนอมุมมองนี้ เขาบอกว่าเวลาที่เรามีลูก แล้วเราอยากทำเพื่อให้ลูกมีอนาคต จริงๆ แล้วเรากำลังคำนึงถึงความสุขของตัวเรานี่แหละ ว่าเห็นเขาได้ดี แล้วเราก็จะมีความสุข เนี่ย…คนที่สนใจเรา มีเราคนเดียวจริงๆ 

รวมถึงเวลาที่เราทะเลาะกับใครหรือว่าอะไรก็ตามแล้วเราเศร้า ถ้าเราจัดการความเศร้านั้นได้ เราก็สุขของเรา คนที่ทำอะไรเราได้ก็คือเราคนเดียว ผมจะพยายามเคลียร์ตัวเองให้ได้ ถ้ารู้สึกว่ามีปัญหากับคนใดคนหนึ่ง จะต้องไปบอกเขาว่าตอนนี้เรามีปัญหาแบบนี้ในใจกับเขานะ รู้สึกว่าการได้พูดออกไปมันเป็นการดีท็อกซ์ตัวเองแบบหนึ่ง รู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ และอยากชวนคุณครูหลายๆ คนให้ลองทำ จำได้ว่าคราวที่แล้วเราเปิดพื้นที่ให้ครูได้คุยกัน สิ่งที่ครูบอกก็คือ ‘ขอบคุณมากเลย รู้สึกเหมือนได้ระบาย’ แล้วก็ไม่ต้องมีนักจิตวิทยาของเด็กอย่างเดียวนะ มีของครูด้วย รู้สึกว่าครูก็ป่วยเหมือนกัน 

มิติการสอนในห้องเรียน 5 รูปแบบของครูกั๊ก

ย้อนกลับมาที่ห้องเรียนครูกั๊กบ้าง ส่วนตัววิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ผมชอบนะ แต่พอเจอวิธีการสอนของครู หรือเจอเนื้อหาที่มันหนักๆ เราก็ปฏิเสธมันเลย แต่ที่ผมติดตามคุณจากเฟซบุ๊กหรือรายการ มันเป็นวิชาที่น่าเรียน (หัวเราะ) เอาเพลง เอาเกม เอาการพูดคุย หรือความเป็นไปได้ใหม่ๆ มาใช้ในห้องเรียน อยากให้ครูกั๊กเล่าให้ฟังหน่อยครับ บรรยากาศห้องเรียนเป็นยังไง และสิ่งที่ครูกั๊กทำมันดีกับเราและนักเรียนยังไงบ้าง

ผมเรียกว่าระบบนิเวศน์ของการเรียนคณิตศาสตร์ละกันฮะ เราฮะแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ จริงๆ ก็ไม่ได้เป๊ะ คือ เราจะบรรยายหน้ากระดานประมาณ 30% ผมเชื่อว่าการบรรยายจริงๆ มันสนุกได้ ก็เลยเป็นตัวเองมากๆ เวลาบรรยาย เช่น ผมเป็นคนพูดคำหยาบนะแต่ก็ไม่ได้แปลว่าเวลาที่ผมสอนอยู่จะหยาบตลอดเวลา จังหวะที่เล่นกับเด็กก็มี ‘เฮ้ย…พวกมึงเป็นไงมั่งวะ’ ‘เจ๋งวะ’ ก็คือพูดแบบนี้อยู่แล้ว แต่พอเริ่มสอนจะมีโหมดมาเอง ‘อะ…พอละ เรามาเริ่มเรียนกันดีกว่า ตรงนี้นะครับนักเรียน’ คือมันสวิตช์เองเลย แต่ในบรรยากาศของอารมณ์ยังคงอยู่ เพียงแต่เราเปลี่ยนคำพูดเฉยๆ ซึ่งมันฟังได้ แล้วเด็กก็ไม่ได้รู้สึกว่าครูเป็นไบโพลาร์ (หัวเราะ) 

เราต้องยอมรับว่าเด็กที่เรียนหน้ากระดานแล้วรู้เรื่องก็มี ซึ่งหน้ากระดานของผมคือ หน้าจอทีวีหรือจอโปรเจกเตอร์และผมก็เปลี่ยนนิยามการสอนคณิตจากที่ต้องเป็น Chalk and Talk ไปแล้ว ผมใช้พาวเวอร์พอยต์ล้วน 99.99% วันที่เด็กถามแล้วอธิบายด้วยพาวเวอร์พอยต์ไม่ได้ ผมถึงจะหยิบปากกามาเขียน ผมจะใช้พอยน์เตอร์ (Pointer) ในการเดินคุยกับเด็ก ทุกๆ ตัวอักษรหรือทุกๆ แอนิเมชันที่ขึ้นจะเสมือนว่ามีอีกคนหนึ่งช่วยผมเขียนอยู่ สมมติผมพูดว่า X ก็กด X หนึ่งที บวกก็กดบวก คือทำละเอียดขนาดนั้นเพื่อให้เด็กเห็นว่าขั้นตอนทั้งหมดมันมีกระบวนการอย่างไร แล้วพาวเวอร์พอยต์เนี่ยเขียนสวยแน่ๆ และไม่ผิดแน่ๆ ถ้าสอนซ้ำกันมาแล้ว ถึงผิดก็ผิดไม่เยอะ แล้วเราก็จะไม่ลืมว่าสิ่งที่เราอยากจะเน้นเด็กคืออะไร เพราะฉะนั้นผมไม่ได้เข้าไปห้องเรียนคนเดียวละ แต่ผมมีพาวเวอร์พอยต์เป็นตัวช่วยสอน แล้วผมก็สามารถเดินไปหาเด็กได้ 

หลังจากนั้นเวลาเราให้เด็กทดลองทำแบบฝึกหัด เราก็จะให้อิสระเด็ก อยากทำไรทำ ขอเพลงได้ด้วย ทุกคาบผมจะต้องเป็นดีเจ ‘เอาเพลงไรๆ’ โอ๊ย…แต่ละเพลง

เอากีตาร์มาอย่างนี้เลยหรอ? 

ใช่ครับ บางทีก็หยิบกีตาร์มาเล่น อยู่ที่ว่าวันนั้นอารมณ์ผมติสต์ไหม แล้วบอกเด็ก ‘วันนี้ฟังเพลงไปด้วยนะ’ แล้วเราก็ร้องไปกับเขา จังหวะที่ทำแบบฝึกหัดจะเป็นจังหวะที่เด็กที่ชอบเรียนรู้แบบกลุ่ม แบบเดี่ยวและแบบคู่ ซึ่งเค้าก็จะมีเวลาเป็นของตัวเอง 

เชื่อไหมครับ เวลาที่เราสอนหน้ากระดานแบบหนึ่ง เด็กยกมือ ‘ครูช่วยสอนอันนี้หน่อย เมื่อกี้หนูฟังไม่เข้าใจ’ แต่ลองไปพูดอีกแบบหนึ่งในระยะที่ใกล้กันนะครับ เด็กจะรู้เรื่องแล้วบอกว่า ‘ทำไมครูไม่พูดแบบนั้น’ แล้วผมก็แบบ… ‘กูก็พูดแบบเมื่อกี้ กูแค่มาอยู่ข้างหน้ามึงเฉยๆ’ (หัวเราะ) แสดงว่าระยะห่างระหว่างครูกับเด็ก ยืน นั่ง มีผล อาจจะด้วยปัจจัยความรู้สึกก็ได้ หรือการฟังซ้ำก็อาจจะมีผล ซึ่งผมคิดว่าอันนี้เป็นระบบนิเวศน์แบบหนึ่ง 

รวมถึงเด็กที่รู้สึกเกรงใจ ไม่กล้าเรียกครู ไม่อยากเป็นภาระครู เขาก็สแกนคิวอาร์โค้ดได้ คือในเอกสารประกอบการเรียนของผมจะมีคิวอาร์โค้ดที่เป็นวิดีโอการสอนของผมเอง ซึ่งมันจะรันตามชีทพอดี ผมก็เลยเรียกว่า ‘คิวอาร์ชีท’ แปลว่าถ้าเด็กไม่มาโรงเรียน แต่เขามีเอกสารนี้ เขาก็จะสามารถสแกนแล้วเรียนที่บ้านได้ จากที่เคยทำวิจัยในชั้นเรียน เด็กที่ดูวิดีโอซ้ำๆ คือชัวร์แล้วว่าเรียนรู้เรื่องแน่ๆ ซึ่งทำมา 2 – 3 ปีก็วิเคราะห์ว่าคะแนนดีขึ้นจริงๆ แต่ก็ต้องหมายเหตุว่า สำหรับคนที่ดูนะครับ มันไม่ใช่ว่าทุกคนจะเรียนรู้ได้ดีจากการดูวิดีโอ 

ฉะนั้น ถ้าเกิดลองคลี่ห้องเรียนออกมา ผมน่าจะสอนอยู่ประมาณ 5 แบบคือ 1.แบบบรรยายหน้ากระดาน 2.ลงไปหานักเรียนที่ถนัดเรียนแบบกลุ่ม 3.ลงไปหานักเรียนที่ถนัดเรียนเป็นแบบคู่ 4.ลงไปหานักเรียนที่ถนัดเรียนแบบเดี่ยว 5.แบบเรียนด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นในหนึ่งห้องเรียนเราก็พยายามจัดบรรยากาศให้นักเรียนได้เรียนผ่านวิธีการเรียนรู้หลายๆ แบบ แล้วเขาก็มีวิธีการรับรู้ที่ต่างกัน อันนี้คือใน 60 – 70% ของเทอม 

แล้วก็จะมีกิจกรรมที่พี่สอญอเห็นเวลาโพสต์ เป็นกิจกรรมที่เริ่มจากตอนไปทำค่ายคณิต แล้วเราเห็นโอกาสเวลาที่เราไปทำค่ายกับครูโรงเรียนอื่น เราคิดกิจกรรมแล้วก็เล่นกัน เฮ้ย… มันเป็นไปได้นี่หว่า ทำไมสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นในห้องเรียนวะ ก็เลยเอากิจกรรมที่เราไปรับจัดค่ายมาทดลองทำในห้องเรียน มันก็เวิร์ก หลังจากนั้นเราเปลี่ยนเนื้อหาในห้องเรียนมาออกแบบเป็นกิจกรรม แล้วเราก็เอากลับไปทำในค่าย มันก็เวิร์ก ทีนี้ก็เลยกลายเป็นว่า เราเอาสองงานมาเจอกันได้ เอาส่วนดีของสองอันนี้มาทำ อันนี้เวิร์กจากการเทสต์ที่ค่ายก็เอามาใช้ที่โรงเรียน อันนี้เวิร์กจากการเทสต์ที่โรงเรียนก็เอามาใช้ที่ค่าย อันไหนไม่เวิร์กก็ปรับปรุงไปเรื่อยๆ อันนี้ผมคิดว่าเรามีกิจกรรมการเรียนการสอนคณิตที่แปลกใหม่ในห้องเรียน  

เหมือนฟังครูกั๊กเล่านี่เป็นการคิดเชิงระบบเนาะ มีลำดับ มีกระบวนการที่เข้าไป อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นวิธีคิดเคลียร์ๆ แบบบครูคณิตศาสตร์หรือเปล่า อย่างเราจบศิลปะแต่ไปสอนสังคม มันจะมีความด้นสด หรือ Improvise เยอะมาก ครูกั๊กมีบรรยากาศด้นสดในห้องเรียนแบบนี้บ้างไหมครับ 

มีครับ อย่างปีที่แล้วอาจารย์ฮูกแนะนำให้ลองสอนแบบ Open Approach (การสอนแบบเปิด ผู้เรียนเป็นคนค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง โดยมีครูเป็นคนสนับสนุน) เราก็ไปเสิร์ช เป็นธีสิสของมศว. สักคนหนึ่งนี่แหละครับ มันมีอยู่ 4 ขั้นตอน ทำแบบนี้นะ เอาวะ ลองเอาคอนเซ็ปต์นี้ไปทำ ปรากฏว่าตอนทำก็ด้นสดเหมือนกัน (หัวเราะ) แล้วมันก็เวิร์กบ้างไม่เวิร์กบ้างในช่วงแรก ผมคิดว่าเป็นการลองผิดลองถูกระหว่างครูกับเด็ก ซึ่งอันนี้แหละสำคัญ ครูหลายๆ คนจะยึดติดความไม่กล้าผิดเอาไว้ ในช่วงแรกผมก็เป็นนะ 

แต่ถ้าเกิดลองแล้วไม่เวิร์ก สิ่งหนึ่งที่ครูทำได้คือขอโทษเด็ก ขอโทษไปเลย บอกเด็กไปเลยว่าอันนี้ครูพยายามทดลองอยู่ แต่ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ เดี๋ยวครูสอนใหม่ 

ในช่วงปีแรกงปีแรกผมก็ทดลองพลาดนะ ก็เฟลแต่ก็เอาใหม่ รู้สึกว่าตัวเองแพ้จากความเฟลไม่ได้ ต้องชนะมัน จนชนะมันได้เราก็เลยได้กระบวนการคิดบางอย่างในการทำ แล้วก็ค่อยๆ ฟอร์มเป็นชุดความคิดในการออกแบบของเราขึ้นมา 

การเปิดพื้นที่เพื่อดึงศักยภาพของครูและนักเรียน

พอครูกั๊กนิยามตัวเองเป็น ‘นักการศึกษาที่ทำงานในโรงเรียน’ แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่วิชาคณิตศาสตร์กับนักเรียนแล้ว แต่ครูกั๊กทำชมรม แล้วก็เปิดพื้นที่ที่พยายามดึงศักยภาพนักเรียน แม้กระทั่งดึงศักยภาพเพื่อนครูอย่างที่เรารับรู้ เช่น SLC, TED Club หรือชมรมอื่นๆ อีกมากมาย อยากให้ครูกั๊กเล่าให้ฟังหน่อยครับ มันน่าสนใจยังไง ทำไมถึงทำเรื่องนี้

เอาเรื่องชุมนุมก่อนละกันเนอะ ปกติผมจะทำสิ่งที่ผมอยากทำเป็นหลักก่อน เหมือนเป็นห้องทดลองมากกว่า ผมคิดว่าชุมนุมคือห้องทดลองของผมเลย เทอมนี้เราอินเรื่องนี้ เราก็ทำเรื่องนี้ อย่างช่วงนั้นก็จะมี TED Club ช่วงที่ TEDx บูมมากคิดดว่าถ้ามีพื้นที่แบบนี้ในโรงเรียนน่าจะดี เราก็เลยเอา TED Club เข้ามาทำในโรงเรียนหนึ่งเทอม ปรากฏว่ามันช่วยให้เด็กได้เยียวยาตัวเอง รวมถึงเพื่อนเขาด้วย เหมือนผลัดกันเยียวยา แล้วเราก็ได้กระบวนการจากทีม TED Club ตรงนั้นมาทำงานอย่างอื่นต่อ เราก็ยังนำมาใช้กับการเวิร์กชอปให้กับคุณครู ครีเอทีฟ 

อย่างเทอมที่แล้ว ผมทำชุมนุมค่ายเพลง เพราะว่าอยากทำค่ายเพลง (หัวเราะ) เราก็เลยเวิร์กชอปให้เด็กแต่งเพลง ลองเอาอุปกรณ์โฮมสตูดิโอง่ายๆ เอามิกซ์ไป เอาไมโครโฟนไป ‘เนี่ย…ลองเลย ครูมีโปรแกรมให้’ อย่างพวก GarageBand มันก็ใช้พรี จะมี Loop ‘อะลองทำบีทดิ๊’ แล้วเด็กทำบีทเท่มาก ‘มึงทำยังไงวะ สอนกูหน่อยดิ๊’ (หัวเราะ) กลายเป็นว่าเด็กก็สอนเรา คือเราไม่ใช่สายทำบีท เราชอบเขียนเพลงง่ายๆ ผมว่ามันเป็นพื้นที่ที่ทำให้ครูกับเด็กเรียนรู้ร่วมกันได้ ถ้ามองชุมนุมเป็นฟังก์ชันนี้ก็สบายมากเลย ไม่ต้องไปแบกว่าวันนี้ต้องทำอะไร แล้วผมเสียดายครูหลายท่านที่ไม่รู้ฟังก์ชันของชุมนุมแบบนี้ ก็เลยปล่อยให้เด็กทำกิจกรรมนู่นนั่นนี่ไป ทั้งที่จริงมันควรจะเป็นคาบที่เราได้เรียนรู้ร่วมกัน 

แล้วเมื่อกี้พี่สอญอพูดถึง SLC จริงๆ SLC มาจากคำว่า School as Learning Community คล้ายๆ PLC (Professional Learning Community) แต่ว่าอันนั้นเป็น Personal จริงๆ ผมก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญอะไรขนาดนั้นนะ ผมไปเชิญอาจารย์ฮูกมาเวิร์กชอปที่โรงเรียน เขาก็มาเล่าให้ฟัง ได้ใจความประมาณว่า จริงๆ SLC มันคือ PLC แต่ว่า PLC ทำกับครู แต่ SLC ทำทั้งโรงเรียน หมายความว่าจะต้องมีหน่วยของผู้บริหารมาร่วมวงด้วย อันนี้คือส่วนแรกที่แตกต่าง และ SLC มีปรัชญาอยู่ 3 ข้อครับ 

ปรัชญาข้อแรก Public Philosophy การมีส่วนร่วม ความเป็นสาธารณะ ห้องเรียนไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ทำให้การนิเทศเปลี่ยนไป ผมชอบมิติอันนี้มากที่สุดเลย ปกติพี่สอญอสอนสังคมกับศิลปะใช่ไหมครับ คนนิเทศเป็นใครครับ 

ก็ครูในหมวดครับ 

ก็ต้องครูในหมวดถูกไหมครับ แต่ว่าการทำ SLC เขาจะใช้ครูต่างหมวดมาดูว่าเด็กคนนี้เรียนรู้อย่างไร ฉะนั้นถ้าพี่สอญอสอนสังคมหรือศิลปะ ก็จะเป็นครูเลข ครูอังกฤษเข้ามาดู เขาจะดูเนื้อหาพี่สอญอไม่ได้ แต่จะดูว่าเด็กเป็นยังไง ครูจัดกระบวนการเรียนรู้อย่างไร มันจะมองข้ามเรื่องคอนเทนต์ไปครับ ทำให้ครูไม่ต้องมากังวลว่าฉันจะพูดเนื้อหาถูกผิดหรือเปล่า เช่น เด็กชายเอ ตอนวิชาคณิตไม่ตั้งใจเรียนเลย แต่พอไปดูคาบสังคมเขาเฉิดฉายมาก นั่นแปลว่าจริงๆ แล้วเราจะตัดสินเด็กจากวิชาของเราไม่ได้ ก็จะเห็นเด็กในมิติอื่นๆ 

ฉะนั้นทำให้เวลาครูเข้าไป ไม่ได้ดูแล้วว่าครูคนนี้สอนยังไง แต่ดูว่าเด็กคนนี้เรียนรู้ยังไง สมมติเด็กคนนี้เรียนรู้ไม่ได้ เขาก็จะบอกว่า เด็กคนนี้ทำเลขยกกำลังไม่ได้ ครูประจำวิชาก็จะเห็นแล้ว่า ‘อ๋อ ฉันต้องไปเตรียมเรื่องนี้ให้กับเด็ก’ นั่นแปลว่าเหมือนเรานิเทศครูแหละครับ แต่ว่าเรายึดเด็กเป็นที่ตั้ง แล้วก็ไม่รู้สึกแย่ด้วยว่าสอนเด็กไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องหาวิธีการที่จะทำให้เด็กคนนี้ดีขึ้นร่วมกันกับวงครู ก็เป็นเหมือนกับ PLC แต่ถ้าผู้บริหารมาร่วมด้วยก็จะเป็นภาพใหญ่ เป็น SLC ได้

ปรัชญาข้อที่สอง Democracy Philosophy ปรัชญาที่ว่าด้วยการรับฟัง เราไม่ทิ้งเสียงใคร เวลาที่มีเสียงไหนขึ้นมาทุกคนก็จะร่วมด้วยช่วยกันและไปด้วยกัน ผมคิดว่าการรับฟังเป็นเรื่องใหญ่นะ ไม่ใช่แค่ครูกับครูเท่านั้น แต่ครูกับเด็กด้วย ผมว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากๆ ยิ่งทุกวันนี้การรับฟังปัญหาซึ่งกันและกันมันน้อยมากเลย ถ้าเกิดเรานั่งคุยกันจริงๆ นะ ไม่ต้องเห็นด้วยกับเขาก็ได้ แต่ผมว่าเราจะมีความเข้าใจมากขึ้น แล้วเราก็จะเคารพในความเชื่อของเขา 

ปรัชญาข้อที่สาม Excellence Philosophy ปรัชญาแห่งความเป็นเลิศที่เชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพแห่งความเป็นเลิศที่ต่างกัน ซึ่งมันก็คือเรื่องที่เราคุยกันว่าเด็กทุกคนไม่ได้เหมือนกัน เขาอยากให้เรามองเขาว่าเขาเก่งแบบนี้ แล้วก็ไม่ได้เอาไปเปรียบเทียบกับเพื่อนข้างๆ ผมคิดว่าอันนี้ก็เป็นส่วนสำคัญ 3 ข้อนี้ก็เป็นส่วนที่ทำให้ SLC แข็งแรงและน่าสนใจที่จะไปทำต่อ 

ผมคิดว่ามันไปไกลกว่า PLC ที่ส่วนใหญ่จะไปดูท่าทีการสอนของครู แต่ SLC นี่เรามุ่งพัฒนาไปที่ตัวเด็กเลย พอเอาไปทดลองทำ แล้วผลเป็นยังไงบ้างครับ

ผมบอกตรงๆ นะ โคตรงูๆ ปลาๆ เลย (หัวเราะ) ตอนแรกอาจารย์ฮูกบอกให้ไปรวมคนให้ได้ก่อน มันยังรวมไม่ได้ แต่เราอยากทำแล้ว ก็เริ่มที่เอากระบวนการเดิมๆ มาใช้ ซึ่งวันแรกที่ใช้ ผมใช้ชื่อกิจกรรมว่า ‘กระจกหกด้าน’ เป็นปัญหา 6 มิติที่ในโรงเรียนน่าจะค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านนักเรียน อาคารสถานที่ ครู ผู้บริหาร งานวิชาการ งานกิจกรรม หรืองานสัมพันธ์ชุมชน แล้วเราก็ให้เขาแบ่งกลุ่มเป็น 6 กลุ่ม ให้เขาคุยกันเหมือนเป็น World Cafe คอยไปเติมประเด็นกัน แต่ก่อนที่จะทำอันนี้คือให้ครูคุยกันก่อนด้วยนะ เหมือนใช้ไดอะล็อกในการละลายพฤติกรรม จริงๆ ครูในโรงเรียนรู้จักกันอยู่แล้ว แต่ไม่เคยคุยในประเด็นอื่น เราก็เลยชวนเขาคุยก่อน คล้ายๆ วงก่อการครู พอทำตรงนั้นเสร็จเราถึงจะมาทำปัญหา 

ตอนที่ทำปัญหาพบว่าทุกโรงเรียนตอบเหมือนกัน คือ เด็กไม่สนใจเรียน ครูไม่ค่อยเข้าสอน มันเป็นปัญหาคลาสสิก แต่ที่เลือกทำเพราะเรารู้สึกว่าการที่เขาได้เขียนออกมาหรือคุยกับเพื่อนครูด้วยกัน มันมาจากตัวเขาเอง เสียงสะท้อนที่ออกมาคือ หนึ่ง – นี่คือปัญหาที่เรารู้อยู่แล้ว เลยมีคำถามว่า รู้อยู่แล้วทำไมไม่แก้ไข สอง – เขารู้สึกว่า เขาเป็นเจ้าของปัญหาจริงๆ แล้วรู้ว่าตอนนี้มีคนรู้สึกร่วมไปกับเขา เขาไม่โดดเดี่ยว ผมว่า SLC หรือว่า PLC มันคือใจความนี้แหละ คุณครูไม่ควรทำงานอย่างโดดเดี่ยว ครูเขาก็บอก ‘ขอบคุณที่ให้ทำกิจกรรมแบบนี้ รู้สึกเหมือนมีคนเข้าอกเข้าใจ รู้สึกไม่เหงาแล้ว’ ผมพึ่งทำไปแค่ 2 ครั้ง ครั้งที่สองก็เชิญอาจารย์ฮูกไปคุย 

มิติการทำงานนอกห้องเรียน

เมื่อกี้พูดถึงเรื่องในห้องเรียน คราวนี้อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ มิตินอกห้องเรียน ครูกั๊กก็มาทำงานกับเพื่อนครู แม้กระทั่งกลุ่มครูขอสอน กลุ่มก่อการครู กลุ่ม insKru ครูปล่อยของ และ Thai Civic Education ด้วย มีปรากฏการณ์ที่คิดว่าจุดประกายและเป็นความหวังไหม อย่างครูกั๊กเราเรียกว่าเป็นครูนวัตกรรม เดี๋ยวมี SAR (รายงานประเมินตนเอง) หน้าเดียว เดี๋ยวมีวิจัยหน้าเดียว และที่ผมสนใจมากเลยคือ ‘วิทยฐานะครบเครื่อง’ เรื่องครูเล่มเดียว คุณรู้สึกว่ามันอิมแพ็คกับตัวเองหรือกับเพื่อนครูยังไงบ้างครับ เขย่าวงการไหม (หัวเราะ)

น่าจะเขย่าตัวเองก่อนครับ หลายๆ คนคิดว่าผมทำไปเพราะกล้า เอาจริงๆ ผมกลัวทุกอันเลยนะ ตั้งแต่ SAR หน้าเดียวแล้ว เรารู้สึกว่า ผอ.เขาจะเซ็นไหม จะโดนด่าอะไรไหม แต่ก็ลองดู ส่งไปเสร็จปุ๊บ ผ่าน! คือตอนแรกผมถ่ายรูปลงเฟซบุ๊ก คิดว่าผมควรไปสร้างความชอบธรรมจากการแชร์ก่อน ถ้าสังคมข้างนอกยอมรับ ในโรงเรียนก็น่าจะยอมรับสิวะ ก็เลยบอกผอ. ‘คนแชร์เยอะมากเลยครับ ถ้าเราทำก็น่าจะเป็นโรงเรียนแรกของประเทศเลยครับ’ จริงๆ ตอนที่ผมจะให้เซ็น โรงเรียนอื่นทำตามไปแล้ว แล้วโรงเรียนอื่นก็เซ็นแล้วด้วย ‘โรงเรียนที่โคราชเซ็นแล้วนะ ดีมากเลยครับผอ. น่าจะไปต่อนะ’ สุดท้ายผอ.ก็เซ็น 

ตอนนั้นเหมือนได้ใจจาก SAR หน้าเดียว นโม (ชลิพา ดุลยากร เจ้าของแพลตฟอร์ม Inskru สตาร์ทอัพทางการศึกษาที่ต้องการสร้างพื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน) ก็บอกว่า ‘ไม่ทำแผนหน้าเดียวเลยล่ะ’ คือจริงๆ แผนหน้าเดียวมันมาจากวันที่เราไปอบรมด้วยกันนะพี่ ของครูเอทีฟ (เวิร์กชอปที่ insKru จัดขึ้น) ครั้งแรก ซึ่งวันนั้นยังไม่เป็นแผนหน้าเดียวด้วยซ้ำ ยังให้ทำ Scenario (สถานการณ์จำลอง) ของคาบหนึ่งแบบขั้นนำ ขั้นสอน ขั้นสรุป แล้วผมรู้สึกว่า เฮ้ย… มันเป็นไปได้ เอาสิ่งนั้นมาเติมรายละเอียดให้ครบ ต้องมีหัวข้อ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ วัดประเมินผล พอมันได้เราก็ทดลองทำไปเลย 1 วิชา ชื่อวิชาความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ 

วิชานี้เปิดขึ้นมาเพื่อให้หน่วยกิตของเด็กเต็ม จริงๆ มันไม่มีเนื้อหาอะไรแล้ว ผมก็เลยไปรับช่วงต่อจากครูคนเก่า แล้วคิดวิชานี้ขึ้นมาใหม่ แล้วก็ออกแบบมาเป็นกิจกรรมทั้งหมดแบบเป็นหน้าเดียว ซึ่งวันนั้นรู้สึกว่าแผนนี้ทั้งวิชาจะมีอยู่แค่ประมาณ 16 หน้ากระดาษเท่านั้น (หัวเราะ) แล้วเรารู้สึกว่าเราอยากเก็บแผน 16 ใบนี้มากเลย เพราะเราตั้งใจทำ มันไม่ใช่แค่แผนนะครับ มันเป็นการออกแบบ คิดแล้วคิดอีก แล้วแผนหน้าเดียวผมตั้งใจทำให้สวย ด้วยเหตุผลสองอย่าง หนึ่ง – เราอยากดูมันซ้ำ ผมว่ามันคือการทำงานศิลปะแบบที่ผมเคยโหยหาเมื่อตอนป.4 ที่เคยจีบสาวตอนนั้น (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าผมทิ้งงานศิลปะไม่ได้เลย สอง – มันต้องโชว์ได้ว่ามันเห็นภาพ มันสวย มันฟังก์ชัน อย่างปกติเวลาเราประเมินเด็กว่าได้กี่เปอร์เซ็นต์ เขาจะเขียนเป็น 60% แต่เราออกแบบเป็นกราฟแท่งแล้วก็ระบายเอา เรารู้สึกว่าพอทำแบบนี้เรามีความสุข แล้วไม่คิดด้วยว่าจะผ่านไม่ผ่าน 

เชื่อไหมครับ ตอนนั้นส่งไปตอนต้นเทอม ไม่มีใครเซ็นนะครับ จนผ่านไปหลายเดือน มีคนประเมินจากภายนอกมา เขาก็ถามว่ามีครูคนไหนสอนโดยใช้กิจกรรมบ้าง ก็มีผมคนเดียวที่สอนด้วยกระบวนการทั้งหมดในวิชานี้ ก็โดนไปตามมา จังหวะนั้นก็แบบ ‘หึ… ทีของกูแล้ว กูมาแน่’ (หัวเราะ) เลยวิ่งไปหยิบแผนหน้าเดียวมา จำได้ว่าเทอมนั้นเขาถามในที่ประชุมโรงเรียนว่ามีใครที่เซ็นแผนเป็นปัจจุบันบ้าง มีเราคนเดียวที่ยกมือ ผมไม่ได้โทษครูคนอื่นว่าไม่ได้สอนนะ ผมเชื่อว่าครูคนอื่นเขาสอนอยู่แล้ว แต่ว่าการที่เขาจะต้องมานั่งเซ็นแผน มานั่งเขียน ผมว่ามันไม่ฟังก์ชันจริงๆ อย่างครูโรงเรียนผมสอน 20 – 30 กว่าคาบ โห…จะให้มานั่งทำอันนี้ไม่ไหวหรอก ผมก็เปิดให้กรรมการดู ‘อันนี้คือ Course Syllabus (ประมวลการสอนรายวิชา) นะครับ เด็กจะต้องทำเรือได้ ทำนี่ได้’ คือเห็นภาพไม่ต้องอธิบายเพิ่ม แล้วพอไปดูแผน เห็นกระบวนการครบถ้วนทุกขั้นตอน ‘อันนี้คืออะไรหรอ’ ‘อันนี้ Design Thinking ครับ อันนี้ Open Approach ครับ อันนี้ Creative ครับ’ ‘นี่สอนในวิชาคณิตหรอ’ ‘ใช่ครับ’ กลายเป็นว่ากรรมการชอบมาก จำได้ว่าวันนั้นรองก็เซ็นให้แล้ว ก็เลยรู้สึกว่า อ๋อ..บางทีการขับเคลื่อนเราอาจจะต้องทำจากข้างนอกก่อน หรือมีผู้ทรงคุณวุฒิยืนยัน แสดงว่ากระบวนการทางวิชาการมันต้องสำคัญ

อย่างอันแรก SAR หน้าเดียวใช้วิธีการใช้สื่อในการขับเคลื่อน และใช้ความเป็นวิชาการเข้ามา จริงๆ ผมควรจะต้องทำวิจัยด้วย แล้วก็ขับเคลื่อนเรื่องนี้จนได้ ก็ผ่านความกลัวมาเหมือนกัน 

ส่วนวิทยฐานะเล่มเดียว อันนี้ผมบอกเลยว่าตอนที่ทำผมเครียดมากนะ แต่เรารู้สึกว่า เห้ย…ใจความมันได้ยังไงมันก็ต้องได้ ผมเรียนรู้แล้วว่ามันจะต้องรีวิวมาก่อน ผมก็ไปรีวิวจากเพื่อนกันเอง แล้วก็เพื่อนครูต่างโรงเรียน ในเฟซบุ๊ก ในกูเกิล ผมเสิร์ชหมดเลย ภาพที่เราเห็นมีอะไรบ้าง บางโรงเรียนเป็นไวนิลอลังการ บางโรงเรียนเป็นบอร์ด เป็นแฟ้ม เป็นพาวเวอร์พอยต์ วิดีโอก็มี ทุกแบบผ่านทุกคนเลยว่ะ แล้วเราก็เห็นว่า อ๋อ…รูปแบบไม่เกี่ยว ใจความสำคัญคือตัวชี้วัดผ่านหรือเปล่า แสดงว่าเราสามารถนำเสนอผ่านรูปแบบไหนก็ได้ ผมก็เลยคิดว่า อะ…ยังไม่มีหนังสือ คิดว่าจะทำหน้าเดียวก็คงไม่ได้ (หัวเราะ) การจะเอาเงินเดือนขึ้น 3,500 บาท หน้าเดียวไม่ผ่านแน่นอน เราก็เลยทำเป็นพ็อกเก็ตบุ๊ก เอาทุกอย่างใส่เข้าไปในนั้น แล้วก็จัดฟอร์มให้มันเป็นหนังสือ อ่านง่ายๆ เป็นภาพ เป็นบุลเล็ต ผมไม่พรินต์เอกสารใดเพิ่ม นอกจากพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มนั้นเล่มเดียว แผนการสอนผมก็หน้าเดียวอยู่แล้ว 

วิทยฐานะมันคือการที่บอกว่าเราชำนาญ เรามีความสามารถ ผมมั่นใจว่าเกียรติบัตรกรอบทองไม่ได้บอกว่าผมมีความสามารถ ผมว่าใจความของผมมันอยู่ในเล่มนั้น แล้วผมก็เล่าทุกอย่างผ่านเล่มนั้นลงไป สิ่งที่พลาดวันนั้นมีอย่างเดียวแล้วก็ยังรู้สึกผิดจนถึงทุกวันนี้คือ ผมไม่ได้เอาแท็กเล็กๆ ไปติดว่าหน้านี้คือตัวชี้วัดไหน ทำให้กรรมการดูยาก แต่ว่าอันอื่นเขาโอเคหมดเลย ปกติเวลาประเมินเราจะเลือกกรรมการได้ แต่ผมใช้วิธีการให้เขตเลือกให้ ผมว่ามันมีผลต่อการขับเคลื่อนครับ คือถ้าเราเลือกกรรมการ เหมือนเอาคนที่สนิทมาประเมินเรา มันก็จะเป็นข้อครหาว่า  ‘นี่ไงแกสนิทเลยผ่านได้’ ผมเลยใช้วิธีการสุ่ม ก็เป็นครูที่ไม่รู้จักมา 2 คน เขาก็ประเมินจนผ่าน

อันสุดท้ายเป็นวิจัยหน้าเดียว จริงๆ ผมว่าวิจัยอันนี้ไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะตอนที่ทำไอเดียมันมาจากโปสเตอร์งานวิจัย ถ้าพี่เคยเห็นเวลาเขานำเสนอโปสเตอร์ ต้องจบในหนึ่งใบใหญ่ วิจัยหน้าเดียวใช้หลักการเดียวกัน เราก็แค่ย่อลงมา คือวิจัยในชั้นเรียนอันนี้ก็รีวิวมาเหมือนกัน เขาบอกว่ามันไม่จำเป็นต้องเป็น 5 บทใหญ่ หรือ 5 บทย่อยก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น 2 – 3 หน้าก็เป็นวิจัยในชั้นเรียนได้แล้ว ขอแค่คุณครูปฏิบัติการจริงๆ แก้ปัญหาจริงๆ ผมว่าแค่นี้ก็พอแล้ว และวิจัยหน้าเดียวผมมีเป้าหมายแค่ว่า อยากชวนครูกลับมาทำงานที่มีความหมาย แก้ปัญหาไปเถอะ แล้วตอนสรุปขอหน้าเดียวก็พอ ผมว่าผมคิดแบบนี้มีความสุขตอนทำวิจัยขึ้นเยอะเลย 

ยังมีประเด็นไหนอีกไหมครับที่กำลังทำ ที่ทดไว้ยังแบ่งปันไม่ได้ใช่ไหมครับ?

ก็อาจจะพอเล่าได้นิดหน่อยครับ ตอนที่ทำวิทยฐานะเล่มเดียว ผมว่าผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่าจักรวาลมันจะดึงดูดสิ่งที่เราสนใจมาอยู่กับเราเสมอ ผมพึ่งมาสนใจเรื่องวิทยฐานะได้ไม่นาน แล้วไม่ได้มาสนใจเพราะอยากเงินเดือนขึ้นนะ แต่ผมรู้สึกว่าจริงๆ แล้วครูทุกคนที่มีความสามารถ ควรจะมีเงิน เพราะมันคือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ครูกลับมาเตรียมตัวสอนมากขึ้น สมมติว่าถ้าผมมีเงินเยอะๆ ผมก็ไม่ทำงานอื่นนะ ผมก็นั่งโฟกัสกับงานที่ผมทำ 

เราก็อินเรื่องนี้ ก็ทำกับ insKru ผลก็คือ มีวันหนึ่งได้ไปร่วมงานกับ TDRI เขาก็เชิญ Stakeholder ของการศึกษามาหมด แล้วเราก็คุยกันเรื่องทำ SAR ทำวิทยฐานะเล่มเดียว ปรากฏว่าคนที่อยู่ใกล้ๆ ตรงนั้นคือหัวหน้า ก.ค.ศ. (สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา) คือคนที่ออกเกณฑ์วิทยฐานะ ก็เลยกลายเป็นว่าเราได้เจอพี่เขา ถ้าผมไม่มาทำตรงนี้ก็ไม่ได้มาเจอพี่เขา ถ้าผมไม่ทำเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าผมจะคุยกับเขาได้ยังไง ซึ่งพี่เขาถามว่า ‘นี่แกคิดเองเลยหรอ’ ‘ใช่ครับ’ พี่เขาก็ ‘อื้ม!’ (เสียงหนักแน่น) หลังจากนั้นก็เลยได้รับการเชิญจาก ก.ค.ศ. ไปร่วมประชุมเกี่ยวกับเกณฑ์วิทยฐานะ แล้วเราก็รวบรวมข้อมูลเอาอะไรที่มันดูไม่สมเหตุสมผลเล่าให้เขาฟัง ผมว่า ก.ค.ศ. ชุดนี้น่ารักมาก เขายอมปรับหลายๆ อย่าง เอาเป็นว่ามีความหวังในการเปลี่ยนเกณฑ์วิทยฐานะแล้วสมเหตุสมผลด้วย 

อันนี้คือไปฟังรอบสองด้วยนะ ซึ่งรอบที่สองไม่ได้พูดถึงวิทยฐานะ แต่พูดถึงมาตรฐานวิชาชีพ ทั้งของครู ผู้บริหาร ผู้บริหารการศึกษา วันนั้นสนุกมาก เราจัดเต็มมาก ผู้บริหารควรเป็นแบบไหน คุณครูควรเป็นแบบไหน แล้วแบบไหนที่มันเวิร์กจริงๆ ผมคิดว่าส่วนตรงนี้มันโอเคมากๆ จากการที่เราทำเล่มเดียว ที่เราเขย่า สุดท้ายตรงนั้นมันก็ส่งผลให้เราไปช่วยคุณครูคนอื่นได้อีก ผมว่าอันนี้มันพลังงานของจักรวาลมากเลย 

ผมว่าน่าจะมีหลายประเด็นที่เราต้องทดคุยกันอีพีสองแล้วครับ จาก SAR หน้าเดียวจะเป็นครั้งแรกที่ ‘ข้างๆ ครูคูล’ จะมีอีพีสอง วันนี้ขอบคุณครูกั๊กก่อนครับ แล้วเดี๋ยวเรามาคุยกันต่ออีพีต่อไป คิดว่ายังมีเรื่องมันๆ ให้คุยและแลกเปลี่ยนกันต่อครับ สวัสดีครับ

Tags:

ร่มเกล้า ช้างน้อยวิชาคณิตศาสตร์เทคนิคการสอน

Author:

illustrator

สัญญา มัครินทร์

หรือที่รู้จักกันในนาม 'ครูสอญอ' เจ้าของรายการข้างๆ ครูคูล ครูสังคมศาสตร์ที่อยากสร้างห้องเรียนประชาธิปไตย ออกแบบการสอนแบบบูรณาการและเปิดห้องเรียนให้เด็กได้ถกเถียงกันอย่างเมามันส์

Related Posts

  • เรียนเมตริกซ์จาก KFC เรียนตรีโกณฯ จากคดีฆาตกรรม: ห้องเรียนคณิตของ ‘ครูนัน’ ที่พาเด็กเชื่อมใช้ได้จริง

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Creative learning
    ‘วิธีหาคำตอบไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว’ ห้องเรียนคณิตศาสตร์ที่เน้นกระบวนการคิดมากกว่าผลลัพธ์

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Unique Teacher
    ‘จงทำให้เด็กรู้สึกโชคดีที่มีเราเป็นครู’ ครูคณิตที่นิยามตัวเองเป็น ‘นักการศึกษา’ ของครูร่มเกล้า ช้างน้อย (2)

    เรื่อง สัญญา มัครินทร์ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    RELATIONAL MINDSET: ความสัมพันธ์ครูกับศิษย์ในฐานะมนุษย์ เพราะสัมพันธ์ที่ดีมีผลต่อการเรียนรู้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

โลกหม่น – คนเหงา : มูราคามิ กับมนุษย์ introvert
Book
26 March 2021

โลกหม่น – คนเหงา : มูราคามิ กับมนุษย์ introvert

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • คาร์ล ยุง (Carl Jung) จิตแพทย์และนักจิตบำบัดชาวสวิส นำเสนอทฤษฎีการแบ่งประเภทของปัจเจกบุคคลตามทัศนคติออกเป็น 2 ประเภท คือ อินโทรเวิร์ต และ เอ็กซ์ตราเวิร์ต
  • ตามนิยามของยุง เขาแบ่งโดยดูจากวิธีที่บุคคลนั้นเติมพลังชีวิตให้กับตัวเอง หากเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ต จะเติมพลังให้กับตัวเองด้วยการอยู่กับตัวเอง เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือนั่งเฉยๆ ขณะที่มนุษย์เอ็กซ์โทรเวิร์ต จะเติมพลังให้กับตัวเองด้วยการพบปะสังสรรค์กับผู้คน เช่น การออกไปพบเพื่อนฝูง
  • ฮารุกิ มูราคามิ นักเขียนชาวญี่ปุ่น เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกแปะฉลากว่า เป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ต แถมยังเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ตระดับศาสดาหรือไอดอลด้วย
บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ

ในโลกวรรณกรรม ชื่อของฮารุกิ มูราคามิ เป็นชื่อที่โด่งดังในระดับสากล ขณะที่ในบ้านเราเอง สาวกของมูราคามิมีจำนวนไม่น้อย หลายคนเป็นสาวกระดับแฟนพันธุ์แท้ที่ยกย่องนักเขียนชาวญี่ปุ่นผู้นี้ ด้วยสมญานามว่า ‘ศาสดามูราคามิ’

แม้ว่างานเขียนของมูราคามิ จะมีลักษณะเหมือนงานศิลปะแบบป๊อป – อาร์ต (Pop Art ศิลปะประชานิยม) แต่หากมองกันลึกๆ แล้ว ผลงานของมูราคามิค่อนข้างมีความเฉพาะกลุ่มสูง ซึ่งในทางธุรกิจอาจเรียกว่า ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และกลุ่มที่ดูเหมือนเป็นเป้าหมายของมูราคามิ ก็คือ กลุ่มคนที่เรียกกันว่า มนุษย์อินโทรเวิร์ต (Introvert Personality)

ไม่มีใครบอกได้ (นอกจากตัวมูราคามิเอง) ว่า เขาต้องการเขียนหนังสือ เพื่อสื่อสารกับกลุ่มมนุษย์อินโทรเวิร์ตโดยตรงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ว่า ประเด็นความเกี่ยวข้องระหว่างมูราคามิกับกลุ่มมนุษย์ผู้รักความเป็นสันโดษ ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อคำถามในโลกอินเทอร์เนทหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในหัวข้อ ‘หนังสือเล่มไหน เหมาะกับมนุษย์อินโทรเวิร์ต’

ศาสดาของมนุษย์อินโทรเวิร์ต

หากคุณไม่เคยได้ยินคำว่า อินโทรเวิร์ตมาก่อน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ เพราะว่ากันจริงๆ แล้ว ศัพท์คำนี้เริ่มถูกนำมาใช้แพร่หลายในวงกว้าง เมื่อสัก 10 ปีมาแล้วนี่เอง พร้อมกับการก่อกำเนิดของโลกโซเชียลมีเดีย

ใช่ว่าก่อนหน้านี้ โลกใบนี้จะไม่เคยมีมนุษย์อินโทรเวิร์ตมาก่อน พวกเขามีตัวตนอยู่ในโลกนี้ (อาจจะมีมาพร้อมกับการก่อกำเนิดของสังคมเมืองด้วยซ้ำ) เพียงแต่อาจถูกเรียกขานในชื่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น คนรักสันโดษ คนขี้อาย มนุษย์ผู้ต่อต้านสังคม พวกชอบปลีกวิเวก

คาร์ล ยุง (Carl Jung) จิตแพทย์และนักจิตบำบัดชาวสวิส เป็นคนแรกที่นำศัพท์คำว่าอินโทรเวิร์ตมาใช้ในปี 1921 (อ่านต่อในล้อมกรอบ) หลังจากนั้น ศัพท์คำว่า อินโทรเวิร์ตและเอ็กซ์โทรเวิร์ต (หรือเอ็กซ์ตราเวิร์ต) จึงกลายเป็นศัพท์ทางวิชาการที่ใช้กันในแวดวงจิตวิทยาเป็นหลัก

ในช่วงแรก คำว่าอินโทรเวิร์ต ค่อนข้างถูกมองว่า มีความหมายในทางลบ เมื่อเทียบกับคำว่า เอ็กซ์โทรเวิร์ต หลังจากที่แวดวงจิตวิทยาได้มีการกล่าวถึง ลักษณะบุคลิก 5 ประการ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ความสนใจต่อสิ่งภายนอก หรือเอ็กซ์ตราเวิร์ต หรือเอ็กซ์โทรเวิร์ต โดยกล่าวว่า ความสนใจต่อสิ่งภายนอก อันหมายรวมถึงการเข้าสังคม เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้คนประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและชีวิต

อย่างไรก็ดี อินโทรเวิร์ตเริ่มถูกมองในแง่บวก จนกระทั่งกลายเป็นเทรนด์ หรือกระแสที่ได้รับความสนใจในวงกว้าง เมื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน ประกาศตัว (ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม) ว่า เขาหรือเธอเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ต อาทิ เซอร์ไอแซค นิวตัน, ชาร์ลส ดาร์วิน, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, สตีเวน สปิลเบิร์ก, เมอรีล สตีพ หรือแม้กระทั่งผู้ให้กำเนิดแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ อย่างมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ก็เป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ตเช่นกัน

ฮารุกิ มูราคามิ นักเขียนชาวญี่ปุ่น เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกแปะฉลากว่า เป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ต แถมยังเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ตระดับศาสดาหรือไอดอลด้วย

มูราคามิ อาจจะไม่เคยประกาศว่า ตัวเองเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ต แต่เขาเขียนไว้ในหนังสือกึ่งอัตชีวประวัติ หรือบทรำพึงรำพันถึงบางห้วงแห่งชีวิตว่า..

“ผมเป็นมนุษย์ประเภทที่ชอบอยู่กับตัวเอง กล่าวให้ชัดในรายละเอียด ผมเป็นมนุษย์ประเภทที่ไม่เจ็บปวดถ้าจะอยู่ตามลำพัง ผมใช้เวลาชั่วโมงหรือสองชั่วโมงวิ่งคนเดียว ไม่พูดคุยกับใคร ดังเช่นที่ใช้เวลาสี่หรือห้าชั่วโมงที่โต๊ะเขียนหนังสือ ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่น่าเบื่อ สำหรับผมมีแนวโน้มนี้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก หากเลือกได้ ผมอยากนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ คนเดียว หรือไม่ก็ทุ่มสมาธิเต็มที่ให้กับเพลงที่ฟัง แทนการใช้เวลาร่วมกับผู้อื่น ผมอยู่ตามลำพัง ผมคิดหาเรื่องทำคนเดียวได้ไม่ยาก” (จากหนังสือ เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง – What I Talk About When I Talk About Running สำนวนแปลโดย นพดล เวชสวัสดิ์)

ความเป็นมนุษย์ผู้รักความเปลี่ยวเหงาของมูราคามิ เผยให้เห็นตั้งแต่ในผลงานเล่มแรกของเขาเรื่อง สดับลมขับขาน – Hear The Wind Sing ซึ่งแม้ว่าเรื่องราวที่ดำเนินไปในช่วงเวลา 18 วัน จะเป็นแค่การย้อนความทรงจำเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผู้คนกับตัวเอกของเรื่อง ที่มีเสียงดนตรีตะวันตกและการประท้วงของนักศึกษาเป็นฉากหลัง แต่ดูเหมือนนักอ่าน โดยเฉพาะมนุษย์อินโทรเวิร์ต จะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่บ่งชี้ว่า นี่คือ ‘วรรณกรรมคนเหงา’ ที่เขียนโดยนักเขียนคนเหงา เพื่อนักอ่านที่เป็นคนเหงา

มูราคามิ กลายเป็นนักเขียนโด่งดังในระดับประเทศและระดับสากล หลังจากตีพิมพ์ผลงานเรื่อง Norwegian Wood หรือชื่อภาษาไทยว่า “ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย” ซึ่งว่ากันว่า นี่คือหนังสือกึ่งอัตชีวประวัติของมูราคามิ และเป็นหนึ่งในนิยายที่สะท้อนความเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ตอย่างสูง

อย่างไรก็ดี ชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้มนุษย์ผู้รักความสันโดษอย่างมูราคามิ ตั้งรับไม่ทัน และตัดสินใจย้ายออกจากประเทศบ้านเกิด เพื่อหลบเร้นการต้องเผชิญหน้ากับผู้คนและสปอตไลท์ที่สาดส่องเข้ามาหา

โทรุ วาตานาเบะ มนุษย์ผู้เปลี่ยวเหงาและร้าวราน

Norwegian Wood เป็นหนึ่งในนิยายที่โด่งดังที่สุดของมูราคามิ คือ เรื่องราวการย้อนความทรงจำช่วงชีวิตวัยหนุ่มของโทรุ วาตานาเบะ ที่ว่ากันว่า เป็นตัวละครที่มาจากชีวิตจริงของมูราคามิ ไม่ว่าจะการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในโตเกียว รสนิยมชมชอบการอ่านหนังสือ ดื่มด่ำกับบทเพลงตะวันตก และที่สำคัญบุคลิกที่แปลกแยก เปลี่ยวเหงา และร้าวรานเพราะความรัก

แก่นหลักของหนังสือเล่มนี้ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างวาตานาเบะกับนาโอโกะ หญิงสาวผู้เป็นรักแรกที่รวดร้าวของเขา โดยความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อน ก่อนที่การฆ่าตัวตายของคิซึกิ เพื่อนรักของวาตานาเบะ และคนรักของนาโอโกะ จะทำให้มนุษย์ผู้เปลี่ยวเหงา 2 คน ถูกดึงดูดเข้าหากัน จนกลายเป็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ซับซ้อน ก่อนจะปิดฉากลงด้วยความสูญเสีย และโศกเศร้า

เรื่องราวความรักความทรงจำวัยหนุ่มสาว บนฉากหลังที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมตะวันตกยุค 60 และบุคลิกของตัวละคร ที่อบอวลไปด้วยความเปลี่ยวเหงา ทำให้หนังสือที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1987 กลายเป็นนิยายขายดีระดับปรากฎการณ์ทั่วประเทศ และส่งให้ชื่อของมูราคามิ กลายเป็นที่รู้จักในระดับสากล จากการแปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาอังกฤษ

เมื่อความเปลี่ยวเหงา กลายเป็นเรื่องเท่

หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรทำให้บุคลิกแบบวาตานาเบะ หรือบุคลิกแบบมนุษย์อินโทรเวิร์ต กลายเป็นเสน่ห์ที่น่าดึงดูด

ก่อนหน้านี้ ในโลกหนังสือหรือโลกภาพยนตร์ มนุษย์อินโทรเวิร์ตแบบวาตานาเบะ มีบทบาทเป็นแค่พระรอง เพื่อนพระเอก หนุ่มขี้อาย หรือร้ายสุด เป็นได้แค่ตัวประกอบที่ไม่มีความสลักสำคัญ

จนกระทั่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นิยามอินโทรเวิร์ต เริ่มถูกมองในแง่บวกมากขึ้น วาตานาเบะ ที่เคยเป็นตัวละครเชยๆ ในยุคก่อน กลับกลายเป็นตัวเอกที่มีเสน่ห์ น่าค้นหา จากความเป็นนักคิด รับฟังผู้อื่น คอยดูแลใส่ใจ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง และเป็นคนที่ใครๆ ก็อยู่ด้วยได้อย่างสบายใจ

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลง บริบททางสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้ความเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ต ถูกมองด้วยสายตาที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เมื่อมนุษย์อินโทรเวิร์ต พูดถึงมูราคามิ

เด็กหนุ่ม บุคลิกเงียบขรึม รักการอ่านหนังสือ พอใจในโลกส่วนตัวอันสันโดษ แม้ว่าเขาจะเป็นที่รักของเพื่อนๆ แต่เขาชอบอยู่คนเดียวมากกว่า อยู่กับหนังสือและเสียงเพลง

เด็กหนุ่มชื่อ ‘เซน’ เป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ต และเป็นลูกชายของผมครับ

เซน หยิบหนังสือเรื่อง สดับลมขับขาน มาอ่านเป็นครั้งแรก ตอนอายุ 15 ปี เขาไม่เคยรู้จัก ฮารูกิ มูราคามิ มาก่อน แต่พออ่านหนังสือเล่มนั้นจบ เซน กลายเป็นสาวกของศาสดามูราคามิไปแล้ว

“ทำไมหนังสือของมูราคามิ กลายเป็นหนังสือเล่มโปรดของอินโทรเวิร์ต ทั้งที่หลายๆ เรื่องของเขา ตัวเอกก็ไม่ได้สะท้อนความเป็นอินโทรเวิร์ตชัดเจนเลย” ผมเอ่ยปากถามลูกชาย

“บางที ความเป็นอินโทรเวิร์ตของเขา ก็อยู่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ” เซน ตอบหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อย่างเช่น มูราคามิ รักความเป็นศิลปะ ชื่นชอบดนตรี รักการอ่านหนังสือ ซึ่งเซนคิดว่า เรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่อยู่ในความสนใจของอินโทรเวิร์ตอยู่แล้วก็เลยต่อกันติดได้ง่าย”

“แล้วสำหรับเซน ชอบอะไรมากที่สุดในงานของมูราคามิ” ผมยิงคำถามต่อ

เด็กหนุ่มที่เป็นสาวกมูราคามิ ตอบทันทีว่า “ที่เซนชอบที่สุด ก็คือ  มูราคามิ ปฏิบัติต่อนักอ่านแบบปัญญาชน”

ว้าว! ผมอุทานในใจ ก่อนจะขอให้ลูกชายขยายความต่อ

“บางทีก็อธิบายยาก แต่เท่าที่พอจะเรียบเรียงเป็นคำพูดได้ มูราคามิ ไม่เขียนอะไรที่ดูโง่ๆ เหมือนเขาจะถือว่า คนอ่านทุกคนเป็นปัญญาชนที่รู้จักคิด มีความฉลาด เพราะงั้นจะไม่เขียนอะไรที่เหมือนเขียนให้เด็กๆ อ่านแบบเข้าใจง่ายๆ” เซน พยายามอธิบาย

“อีกจุดนึงที่เซนชอบ มูราคามิ มักจะเขียนถึงเรื่องยากๆ อย่างเช่น พวกอภิปรัชญา แทรกไปในบทสนทนาของตัวละคร เหมือนกับว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปรกติในชีวิตประจำวัน เหมือนเราพูดถึงเรื่องการไปกินข้าว ไปดูหนัง เป็นอะไรที่ธรรมดามาก”

อินโทรเวิร์ต คือ คนขี้อาย ใช่จริงหรือ

เวลาพูดถึงมนุษย์อินโทรเวิร์ต (Introvert Person) เรามักนึกถึงภาพของคนขี้อาย ไม่ค่อยพูดค่อยจา ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว เป็นคนช่างคิด และไม่ชอบทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสังคม หรือคนหมู่มาก
จริงๆ แล้ว นั่นคือนิยามของมนุษย์อินโทรเวิร์ตจริงหรือ
คาร์ล ยุง (Carl Jung) จิตแพทย์และนักจิตบำบัดชาวสวิส ผู้ก่อตั้งสำนักจิตวิทยาวิเคราะห์ เป็นคนแรกที่นำเอาคำว่า อินโทรเวิร์ตมาใช้ โดยยุงได้นำเสนอทฤษฎีการแบ่งประเภทของปัจเจกบุคคลตามทัศนคติออกเป็น 2 ประเภท คือ อินโทรเวิร์ต (Introvert ซึ่งแปลว่า การมองเข้าไปข้างใน) และ เอ็กซ์ตราเวิร์ต (Extravert ซึ่งแปลว่า การมองออกไปข้างนอก จนกระทั่งในปัจจุบัน นิยมใช้คำว่า Extrovert มากกว่า)
ตามนิยามของยุง การแบ่งประเภทปัจเจกบุคคลว่า ใครเป็นอินโทรเวิร์ต หรือเอ็กซ์โทรเวิร์ต ดูจากวิธีที่บุคคลนั้นเติมพลังชีวิตให้กับตัวเอง
มนุษย์อินโทรเวิร์ต จะเติมพลังให้กับตัวเองด้วยการอยู่กับตัวเอง เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือนั่งเฉยๆ มองท้องฟ้า ขณะที่มนุษย์เอ็กซ์โทรเวิร์ต จะเติมพลังให้กับตัวเองด้วยการพบปะสังสรรค์กับผู้คน เช่น การออกไปพบเพื่อนฝูง ทำงานที่ต้องพบเจอผู้คนมากมาย หรือไปงานเลี้ยงสังสรรค์
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องย้ำและขีดเส้นใต้เอาไว้ตัวหนาๆ ก็คือ ในโลกนี้ ไม่มีใครเป็นอินโทรเวิร์ต หรือ เอ็กซ์โทรเวิร์ต 100% ทุกคนล้วนมีส่วนผสมของความเป็นอินโทรเวิร์ตและเอ็กซ์โทรเวิร์ตอยู่ในตัว
โซเชียลมีเดีย – โลกที่ทำให้อินโทรเวิร์ตกลายเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต

มนุษย์อินโทรเวิร์ต เป็นคนชอบครุ่นคิด ชอบเขียนมากกว่าพูด ชอบคุยกับเพื่อนกลุ่มเล็กๆที่รู้สึกคุ้นเคย มากกว่าจะพูดคุยกับคนแปลกหน้า หรือพูดในที่สาธารณะ และนั่นทำใหคำว่า อินโทรเวิร์ต กับคำว่า โซเชียล (Social ที่แปลว่า สังคม) ดูไม่น่าจะเข้ากันได้เลย
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มนุษย์อินโทรเวิร์ต กับโซเชียลมีเดีย กลับเข้ากันได้ดีอย่างยิ่ง ราวกับเป็นสิ่งที่เกิดมาเพื่อกันและกันก็ว่าได้
เมื่อโลกเข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดีย มนุษย์อินโทรเวิร์ต ซึ่งถนัดในเรื่องการเขียนอยู่แล้ว จึงมีความสุขกับการพูดคุยผ่านแพลตฟอร์มที่พวกเขาไม่ต้องพบเจอหน้าผู้คนจริงๆ อย่างเช่น Facebook หรือ Twitter โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพูดคุยในหัวข้อหรือประเด็นที่พวกเขามีความสนใจร่วมกัน ซึ่งทำให้มนุษย์อินโทรเวิร์ต รู้สึกเหมือนได้พูดคุยกับเพื่อนสนิทกลุ่มเล็กๆมนุษย์อินโทรเวิร์ตหลายคน ถึงกับกล่าวแนะนำตัวเองไว้ว่า “ฉันเป็นมนุษย์เอ็กซ์โทรเวิร์ตเวลาออนไลน์ แต่เป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ตเวลาออฟไลน์”

Tags:

หนังสืออินโทรเวิร์ต (Introvert Personality)ฮารุกิ มูราคามิ

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Illustrator:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Book
    วันนั้นฉันเจอเพนกวิน: อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็กด้วยคำว่า ‘เพ้อฝัน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy lifeBook
    7 หลักจิตวิทยาเชิงบวก เปิดประตูความสำเร็จด้วย ‘ความสุข’

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    อ่านอะไรดีช่วงสิ้นปี ปีที่สุดปังและเปลี่ยนผ่าน ของขวัญจากคอลัมนิสต์ The Potential2020

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New GenBook
    SISU เลือกทางยากแทนทางง่าย ฝึกหัวใจและร่างกายไม่ให้ชินกับความสำเร็จรูป

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ขึ้นควนไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติบ้านตะเหมก จังหวัดตรัง ไขปริศนาลี้ลับ “ควนดินดำ” ที่มีมากว่า 200 ปี
Creative learning
26 March 2021

ขึ้นควนไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติบ้านตะเหมก จังหวัดตรัง ไขปริศนาลี้ลับ “ควนดินดำ” ที่มีมากว่า 200 ปี

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • บ้านตะเหมก ชุมชนเก่าแก่ตั้งอยู่บนเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดตรังและพัทลุง เป็นที่ตั้งของควนดินดำ  ป่าต้นน้ำของจังหวัดและสถานที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเชื่อมโยงกับชีวิตของผู้คนแถบนี้มากว่า 200 ปี
  • กาลเวลาและยุคสมัยทำให้ความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ห่างหายไปจากการรับรู้ของคนรุ่นใหม่ แต่พลังแห่งธรรมชาติและสภาพแวดล้อมโดยรอบยังเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจและตราตรึงให้กับผู้ที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้
  • โครงการ “ควนดินดำ” ควนศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาบ้านตะเหมก ตำบลละมอ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง จึงเกิดขึ้นมาจากการรวมกลุ่มกันของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ เพื่อเรียนรู้รากเหง้าชุมชนและรักษาพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เอาไว้

‘แตะเมฆ’ ออกเสียงเป็นสำเนียงภาษาใต้ฟังคล้าย ‘ตะเหมก’ เป็นข้อสันนิษฐานหนึ่งถึงที่มาที่ไปของชื่อ บ้านตะเหมก ตำบลละมอ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ที่ตั้งของ ควนดินดำ ป่าต้นน้ำของจังหวัดและสถานที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเชื่อมโยงกับชีวิตของผู้คนแถบนี้มากว่า 200 ปี 

บ้านตะเหมก ตั้งอยู่บนเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดตรังและพัทลุง แม้ปัจจุบันมีถนนเดินทางสัญจรไปมาได้สะดวก แต่หากย้อนกลับไปประมาณ 10 ปีก่อนหน้านี้ ชุมชนละแวกนี้ยังจัดเป็นพื้นที่ป่าเขาห่างไกลจากความเจิญ อย่างที่คนใต้มักพูดกันว่า ‘อยู่ในหมง!!’

มีประวัติเล่าต่อกันมาว่า เหมก หรือตะเหมก เป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งอยู่แถบเชิงเขาบรรทัดฝากฝั่งจังหวัดตรัง เหนือบ้านตะเหมกขึ้นไปเป็นแนวเทือกเขาบรรทัดที่วางตัวยาวคล้ายเป็นกำแพงกั้นข้ามเขตแดน นอกจากข้อสันนิษฐานตามสำเนียงการออกเสียงในภาษาถิ่นแล้ว บ้านตะเหมกยังมีเรื่องเล่าถึงที่มาของชุมชนอีกไม่น้อย 

หนึ่งในเรื่องเล่าที่เล่าโดย สำนักหินปัก ผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน เล่าต่อกันมาว่า ย้อนกลับไปกว่า 200 กว่าปีมาแล้ว สันนิษฐานว่าบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวมุสลิมผู้ลี้ภัยสงครามราวปี พ.ศ.2173 ชื่อสำนักหินปักมาจากหลุมฝังศพ (กุโบร์) ที่มีหินปักอยู่ด้านบน โดยเมื่อมีการสืบประวัติหลุมฝังศพของบุคคลที่น่าจะเป็นบุคคลสำคัญ พบว่ามีความเกี่ยวข้องทางสายสัมพันธ์กับชาวบ้านในพื้นที่มากกว่า 8 ช่วงอายุคน จึงทำให้เชื่อได้ว่าพื้นที่แถบนี้มีผู้คนเข้ามาตั้งรกรากอยู่อย่างยาวนาน 

หากย้อนกลับไปใกล้กว่านั้น ช่วงราวปี พ.ศ. 2517 สมัยนั้นชัยภูมิแถบนี้เป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในเขตเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดตรัง พัทลุง และสตูล ในชุมชนยังเหลือผู้สูงอายุที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ครั้งนั้น บอกเล่าเรื่องราวให้ฟังได้ เป็นหลักฐานที่ยังมีลมหายใจ ที่ทำให้เห็นว่าบ้านตะเหมกแห่งนี้ได้ผ่านเรื่องราวมามากมาย

ด้วยเป็นชุมชนที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติป่าเขา รายรอบด้วยหุบเขาและลำห้วยน้อยใหญ่ บ้านตะเหมกจึงได้รับคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวโอทอปนวัตวิถี เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการหลีกหนีจากความพลุกพล่านในเมืองใหญ่ เพื่อมาสัมผัสกับธรรมชาติบนผืนป่าต้นน้ำแห่งสำคัญ จุดกำเนิดของลำคลองและลำห้วยน้อยใหญ่รวม 25 สายก่อนไหลลงสู่แม่น้ำตรังแล้วลัดเลาะออกสู่ทะเลอันดามัน สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของชุมชน ประกอบด้วย น้ำตกหนานดิน บ่อน้ำผุด ที่พักคอมมิวนิสต์ที่ยังคงมีร่องรอยของหลุมจากการทิ้งระเบิด สำนักตะเหมกบรรพกาล บ้านรากพันป่า และสำนักหินปัก เป็นต้น

ความเชื่อที่ต้องพิสูจน์

ควนดินดำ เป็นพื้นที่จุดหนึ่งกลางป่าใหญ่ อยู่ห่างจากหมู่บ้านออกไปอีกราว 7 กิโลเมตร ต้องอาศัยการเดินเท้าเข้าไปตามเส้นทางธรรมชาติ ซึ่งสาเหตุที่เรียกพื้นที่ตรงนี้ว่าควนดินดำ เนื่องจากสีดินบริเวณนั้นเป็นดินเหนียวสีดำสนิท แตกต่างจากสีดินบริเวณรอบๆ อย่างชัดเจน คนในชุมชนเชื่อกันว่าบริเวณนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเจ้าป่าเจ้าเขาและเทวดาปกป้องรักษา ผู้คนจึงให้ความเคารพ บางคนเดินเท้าเข้ามาขุดดินไปเป็นส่วนผสมในการทำพระเครื่องและเครื่องรางของขลัง บ้างก็นำไปใช้รักษาโรคเนื่องจากเชื่อว่าดินบริเวณนี้แก้อาการปวดเมื่อยให้ทุเลาเบาบางได้ 

กาลเวลาและยุคสมัยทำให้ความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ห่างหายไปจากการรับรู้ของคนรุ่นใหม่ แต่พลังแห่งธรรมชาติและสภาพแวดล้อมโดยรอบยังเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจและตราตรึงให้กับผู้ที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ อย่างไรก็ตาม น้ำฝน – พรรณธิภา เยาว์ดำ อายุ 15 ปี ลูกหลานของชุมชน บอกว่า เด็กบ้านตะเหมกบางคนรู้จักควนดินดำ แต่บางคนรับรู้เพียงว่า เหนือจากบ้านขึ้นไปเป็นภูเขา เป็นป่า แต่ไม่ได้รับรู้ถึงประวัติและความเป็นมาเป็นไปของชุมชน

อยากรู้ว่าทำไมควนดินดำถึงมีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพของคนเฒ่าคนแก่?

ดินที่มีสีดำแตกต่างจากบริเวณอื่นนี้สามารถอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์อย่างไรได้บ้าง?

และ จะช่วยกันอนุรักษ์ป่าต้นน้ำของชุมชนอย่างไรได้บ้าง?

เป็นโจทย์และความตั้งใจที่ทำให้เกิด โครงการ “ควนดินดำ” ควนศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาบ้านตะเหมก ตำบลละมอ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง จากการรวมกลุ่มกันของเด็กและเยาวชนในพื้นที่

ทุกปีในหน้าฝนตำบลละมอต้องประสบปัญหาน้ำท่วมและหน้าดินถล่ม เส้นทางตัดขาดจนไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ ขณะที่หน้าแล้งหลายหมู่บ้าน โดยเฉพาะหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ต่ำกว่ากลับขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่าและการบุกรุกป่าเพื่อขยายพื้นที่ทางการเกษตร การศึกษาพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ควนดินดำจึงมีเป้าหมายสำคัญในการสร้างการเรียนรู้ให้กลุ่มเด็กเยาวชนและคนในชุมชนเกิดความรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติและของดีที่มีอยู่ในบ้านของตัวเอง เรียนรู้ที่จะอยู่และรักษ์ธรรมชาติอย่างสร้างสรรค์

“ทำไมต้นไม้ในป่าใหญ่ขนาดนั้น ต้นไม้ในหมู่บ้านว่าใหญ่แล้ว แต่ต้นในป่าใหญ่กว่ามากถึงขนาดประมาณ 10 โอบ อายุน่าจะกว่าร้อยปี และไม่ได้มีแค่ต้นเดียว” น้ำฝน เล่าถึงความประทับใจที่เธอมีต่อป่าของชุมชนซึ่งดูคล้ายจะเป็นรักแรกพบ

“ตอนเด็กๆ เราเคยตามผู้ใหญ่ไปปลูกป่า ได้ปลูกต้นไม้ต้นเล็กๆ ได้เห็นต้นไม้ที่ปลูกเติบโตขึ้นตามอายุของเรา แต่พอได้เข้าไปในป่า ได้ไปเห็นต้นไม้ใหญ่จริงๆ มันทำให้ได้คิดว่า โอ้โห…ยังมีต้นไม้ที่แก่กว่าเราเป็นสิบปี ยี่สิบปี เวลาไปยืนที่รากต้นไม้ เรากลายเป็นคนตัวเล็กๆ ไปเลย” น้ำฝน เล่าอย่างตื่นเต้น

ศาลาอเนกประสงค์ประจำหมู่บ้านเป็นแหล่งรวมตัวของกลุ่มเยาวชนเพราะเป็นจุดที่มีสัญญาณไวไฟ (WiFi) กิจกรรมในโครงการ ประกอบด้วยการเก็บข้อมูลประวัติความเป็นมาควนดินดำจากผู้อาวุโสและผู้นำชุมชน การศึกษาลักษณะทางธรณีวิทยาของดินบริเวณควนดินดำ การสำรวจเส้นทางเดินป่าไปยังควนดินดำ และการเก็บข้อมูลสถานที่สำคัญในชุมชน กลุ่มเยาวชนบ้านตะเหมก ได้วิเคราะห์ชุมชนของตัวเองผ่านเครื่องมือต่างๆ ที่สำคัญ อาทิ แผนที่ชุมชน ดอกไม้ชุมชน และตุ๊กตาชุมชน ทำให้รู้ว่าจุดเด่นของบ้านตะเหมก คือ ป่าต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์กว่า 25,000 ไร่ ประกอบไปด้วยพันธุ์ไม้เศรษฐกิจ กล้วยไม้พันธุ์หายากและพืชพรรณท้องถิ่นหลากชนิด

สิ่งที่สร้างความประทับมากที่สุดหนีไม่พ้น การเดินป่า กิจกรรมเดินป่าจัดขึ้นทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งแรกเพื่อสำรวจเส้นทางตามธรรมชาติมีเจ้าหน้าที่จากอุทยานเขาปู่-เขาย่าเป็นผู้นำทาง ก่อนหน้านั้นเด็กๆ ยังได้บุกไปเรียนรู้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับป่าและการเดินป่าถึงสำนักงานของเจ้าหน้าที่

ละติจูดคืออะไร ต่างกับลองติจูดอย่างไร?

การจับพิกัดและการอ่านแผนที่ทำอย่างไร? 

นอกจากเจ้าหน้าที่อุทยานแล้วยังมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยจัดการต้นน้ำแม่น้ำตรังมาให้ความรู้เรื่องป่าต้นน้ำและสภาพดินที่เหมาะกับการปลูกป่าแก่เยาวชนด้วย

น้ำฝน บอกว่า หัวข้อที่ได้เรียนรู้ ยิ่งได้รู้ยิ่งทำให้อยากออกไปเดินป่าอย่างจริงจัง พวกเขาตื่นเต้นไปกับความรู้ แต่ก็รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ เมื่อจินตนาการภาพถึงการเดินเข้าไปในป่าทึบที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ก็อยากตามหาความจริงซึ่งถือเป็นเรื่องท้าทายสำหรับพวกเขา

ส่วนครั้งที่ 2 กิจกรรมตั้งชื่อน่ารักๆ ว่า พาเพื่อนเดินป่า รวมจิตอาสาอนุรักษ์ เด็กๆ ได้ชักชวนเพื่อนเยาวชนจากต่างพื้นที่ รวมถึงผู้ปกครองมาร่วมด้วย เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงธรรมชาติไปตลาดเส้นทาง นอกจากนี้ยังได้ทำประโยชน์ด้วยการเก็บขยะระหว่างทาง แล้วปักป้าย ชี้จุดสถานที่สำคัญ พันธุ์ไม้ควรรู้จัก รวมถึงป้ายแสดงจุดหวงห้ามต่างๆ

ความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ ความเชื่อ ความรู้สึกและที่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ถูกกรั่นกรองออกมาเป็นบันทึกความรู้เกี่ยวกับพืชพรรณไม้ เช่น ชนิดเห็ด เฟิร์น พืชกินแมลง สัตว์ป่า และประวัติความเป็นมาของชุมชน ไว้ให้ศึกษาต่อ รวมถึง การทำแผนที่เดินป่าศึกษาธรรมชาติควนดินดำและจุดที่น่าสนใจระหว่างเส้นทางเป็นระยะทางไปกลับประมาณ 10 กิโลเมตร น้ำฝน บอกว่า พวกเขาช่วยกันวาดแผนที่บนผืนผ้าขนาดยาวประมาณ 4 เมตร เป็นความรู้และแสดงให้เห็นภาพรวมของป่าควนดินดำ ติดไว้ที่ฝาผนังศาลาอเนกประสงค์ประจำหมู่บ้าน และได้ลองร่างกติกาชุมชนสำหรับการเดินป่าควนดินดำ เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้คนอยู่กับป่าได้อย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

“เพื่อนๆ เยาวชนในชุมชนสนใจกิจกรรมที่พวกเราทำ เวลาพวกเราประชุมกันก็มานั่งฟังด้วย ตอนเตรียมตัดไม้มาทำป้าย พ่นสีเขียนชื่อต้นไม้ ทาแลกเกอร์เคลือบบนไม้ก็มีหลายคนมาช่วย จนถึงวันที่เข้าไปเดินป่า เพื่อนๆ อาสาไปด้วยกัน บางคนเป็นเด็กๆ กลุ่มที่ผู้ใหญ่มองว่าเป็นเด็กเกเร เขาก็สนใจไปกับเราช่วยกันแบกป้ายเพื่อนำชื่อต้นไม้ไปแปะไว้ตามต้นไม้ระหว่างทางเดินไปควนดินดำ พ่อแม่ของพวกเราบางคนรู้ว่าควนดินดำอยู่ตรงไหน แต่ไม่เคยเดินขึ้นไปก็ไปกับพวกเราด้วย ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันในครอบครัวได้เลยเพราะบ้านหนูก็ไปกันทั้งครอบครัว ครอบครัวของพี่ๆ และเพื่อนๆ ในทีมก็ไปด้วย รวมๆ แล้วมากกว่า 50 คน” น้ำฝน เล่าถึงบรรยากาศการทำกิจกรรม

“เจ้าหน้าที่ป่าไม้แนะนำเด็กๆ ให้รู้จักชื่อพันธุ์ไม้ระหว่างทาง เขาได้รู้จักต้นไม้เพิ่มขึ้นจากเดิม แล้วเล่าให้ฟังว่าแต่ละจุดที่เดินผ่านเคยเจอสัตว์ป่าชนิดไหน เพราะเจ้าหน้าที่ได้ลงบันทึกข้อมูลจับพิกัดไว้ เช่น หมูป่า ไก่ป่า ลิง นางอาย กระจง ตัวเม่น และตัวนิ่ม ในป่ามีนกหน้าตาแปลกๆ หลายชนิด เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าคนเข้ามาจำนวนน้อยๆ มีความเงียบ จะยิ่งมีโอกาสเห็นสัตว์ป่าได้มากขึ้น” อรวรรณ นิตมา พี่เลี้ยงโครงการ กล่าวเสริม

การนำเสนอภาพกิจกรรมการเดินป่าผ่านทางเฟสบุคของกลุ่มแกนนำเยาวชนก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้กิจกรรมของพวกเขาได้รับความสนใจจากเด็กและเยาวชนในชุมชนเพิ่มขึ้น รวมถึงผู้ปกครองและคนนอกชุมชน

“เราลงภาพต้นไม้ขนาดใหญ่ หลายคนบอกว่าอยากเข้าป่าไปเห็นของจริง ในกลุ่มที่ไปสำรวจด้วยกันก็บอกว่าถ้ามีโอกาสอยากขึ้นไปอีก ถึงจะต้องเดินไกลแค่ไหนก็อยากมา” น้ำฝน สะท้อนเสียงตอบรับ เมื่อความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติได้เผยโฉมให้เห็นกับตา

คุณค่าของสิ่งที่ถูกมองข้าม

การอนุรักษ์ป่าของชุมชนเป็นภารกิจที่ผู้นำชุมชนและลูกบ้านต้องช่วยกันทำ เพราะบ้านตะเหมกรับอาสาเป็น ราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า (รสทป.) แต่เดิมเป็นงานที่ผู้ใหญ่บริหารจัดการและร่วมกันรับผิดชอบ โครงการกลายเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ให้กลุ่มเด็กเยาวชนได้เข้ามาร่วมทำงานกับผู้ใหญ่ พลังเล็กๆ ที่จะกลายเป็นความความเข้มแข็งของชุมชนในอนาคต

“เด็กๆ ได้เรียนรู้สิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ที่ยังสามารถเห็นของจริงได้ จากเรื่องเล่าของผู้สูงอายุ ร่องรอยหลุมจากการทิ้งระเบิดที่ยังมีอยู่ให้เห็น พวกเขาได้เรียนรู้จากทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน ทำให้เกิดความภูมิใจ เห็นคุณค่า รู้สึกหวงแหนและอยากดูแลรักษา” อรวรรณ กล่าว

“คุณยายท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าความเชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของควนดินดำ เป็นกุศโลบายของคนสมัยก่อนที่ต้องการรักษาป่าต้นน้ำไว้ไม่ให้ถูกทำลาย ยิ่งมีเรื่องเล่าถึงความลี้ลับ ยิ่งที่ให้คนไม่กล้าเข้าไปในพื้นที่ หรือไม่นานมานี้มีคนเข้าไปล่าสัตว์ ตัดไม้บริเวณนั้นแล้วหายตัวไป จนต้องบนบานสานกล่าวถึงค้นหาตัวเจอ ยิ่งตอกย้ำให้คนในชุมชนเชื่อ ซึ่งเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้เด็กเยาวชนอย่างเราก็ได้รับรู้ไปพร้อมๆ กับผู้ใหญ่ด้วย” น้ำฝน กล่าว

น้ำฝน เล่าต่อว่า ความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำโครงการทำให้พวกเขาเห็นประโยชน์และคุณค่าในสิ่งใกล้ตัว ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ อย่าง ปลวก ที่มักถูกมองเป็นตัวร้ายกัดกินบ้านเรือน แต่ในธรรมชาติปลวกเป็นแมลงชนิดสำคัญเพราะเป็นผู้ย่อยสลายในระบบนิเวศน์ ปลวกทำหน้าที่ร่วมกันกับโปรโตซัว เชื้อราและแบคทีเรีย ช่วยย่อยซากพืช เศษไม้ ใบไม้ ท่อนไม้ หรือต้นไม้ที่หักล้มร่วงหล่นทับถมกันอยู่ในป่า ถึง 3 ใน 4 ของขยะธรรมชาติ การย่อยสลายเปลี่ยนแปลงไปเป็นฮิวมัสหรืออินทรีย์วัตถุภายในดิน ทำให้เกิดการหมุนเวียนของธาตุอาหารในดิน  สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินในป่า และเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ต่อไป

“ปลวกมีหลายชนิด มีทั้งที่อาศัยอยู่ในเนื้อไม้  แยกเป็นเนื้อไม้เปียก เนื้อไม้แห้ง หรือปลวกที่อาศัยอยู่ในพื้นดิน ใช้หนวดสื่อสารระหว่างกัน ยิ่งได้รู้จักปลวกก็ยิ่งรู้สึกว่าปลวกเป็นสัตว์ที่มหัศจรรย์มาก เมื่อต้นไม้ล้มโค่นลงมา ปลวกเป็นคนทำความสะอาดเป็นผู้ย่อยสลายในธรรมชาติ ทำให้เราเข้าใจระบบนิเวศน์มากขึ้น เข้าใจว่าถ้าเราดูแลน้ำตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ใช่แค่เราที่ได้ประโยชน์ แต่ชุมชนอื่นหมู่บ้านอื่นก็ได้ประโยชน์ด้วย” น้ำฝน กล่าว ทิ้งท้าย

เราเชื่อว่าป่า ขุนเขา และธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ ลมและไฟ มีพลังงานที่มนุษย์สัมผัสได้ ไม่ว่าพลังงานที่ว่าจะถูกตีความหรือเอ่ยถึงในรูปแบบใด อาจเป็นความเชื่อ ความลี้ลับ หรือร่องรอยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่ธรรมชาติยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์เสมอเพราะธรรมชาติให้ชีวิต เป็นต้นน้ำที่ให้น้ำสะอาด เป็นแหล่งออกซิเจนที่ให้อากาศบริสุทธิ์ เป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ วันนี้เด็กเยาวชนบ้านตะเหมกได้ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ทรัพยากรธรรมชาติที่โอบล้อมตัวพวกเขา คำถาม คือ แล้วเรากำลังให้อะไรคืนกลับแก่ธรรมชาติบ้าง?…

ละติจูด หรือ เส้นรุ้ง เส้นรอยตัดระหว่างผิวโลกกับพื้นราบที่ตั้งได้ฉากกับแกนขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ โดยรอยตัดจะเป็นวงกลมที่ขนานกับเส้นศูนย์สูตร ค่าละติจูดเริ่มนับ 0 จากเส้นศูนย์สูตรไปทางเหนือ หรือใต้
ลองจิจูด หรือ เส้นแวง เส้นรอยตัดระหว่างผิวโลกกับพื้นราบที่ผ่านแกนขั้วโลกเหนือ และขั้วโลกใต้ โดยรอยตัดจะเป็นวงกลมที่ตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตร ค่าลองจิจูดเริ่มนับ 0 จากเมริเดียนแรกไปทางตะวันออก หรือตะวันตก

Tags:

active citizenproject based learningประวัติศาสตร์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    ทอดน่องท่องบ้านแหลมสน ชมโบราณสถาน ย้อนรอยเมืองสิงหนคร

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ปลุกตำนานเรื่องเล่ามีชีวิต แกะรอยบรรพบุรุษบ้านเข้าน้อย จังหวัดสตูล ที่คนเกือบทั้งชุมชนเป็นเครือญาติ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    นิทานพื้นบ้าน ร่องรอยความทรงจำในโลกปัจจุบันที่พาไปรู้จักอดีต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    เมื่อแว้นบอยย่อส่วน “เรือพลี้ด” มหัศจรรย์ความเร็วแห่งทะเลหาดสำราญเป็นงานฝีมือแสดงเอกลักษณ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

ทอดน่องท่องบ้านแหลมสน ชมโบราณสถาน ย้อนรอยเมืองสิงหนคร
Creative learning
26 March 2021

ทอดน่องท่องบ้านแหลมสน ชมโบราณสถาน ย้อนรอยเมืองสิงหนคร

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • สิงหนคร ชุมชนเมืองโบราณ อดีตเคยเป็นที่ตั้งและเป็นชื่อเมืองสงขลา แต่ปัจจุบันน้อยคนหนักที่จะรู้เรื่องราวพวกนี้ แม้กระทั่งคนในพื้นที่เอง ประวัติศาสตร์ต่างเลื่อนหายไปตามกาลเวลา ทำให้เยาวชนในพื้นที่รวมตัวกันทำโครงการศึกษาประวัติศาสตร์บ้านแหลมสน ตำบลหัวเขาแดง อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์และถ่ายทอดเรื่องราวให้คนอื่นๆ ได้รู้
  • “การเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียนแบบเดิม ให้เด็กอ่านจากหนังสือแล้วดูเอาจากภาพ นักเรียนไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้เก็บข้อมูล ไม่ได้มีโอกาสตั้งคำถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย แต่กระบวนการเรียนรู้ในโครงการเปิดกว้างให้เยาวชนกลุ่มนี้ตั้งคำถามถึงประวัติความเป็นมาซึ่งเป็นรากเหง้าของตนเอง พวกเขาจึงซาบซึ้งไปกับเรื่องราวที่ค้นพบ และเห็นคุณค่าของโบราณสถานในชุมชน โดยไม่ต้องมีใครบอก” ครูสารภี รองสวัสดิ์ ครูวิชาประวัติศาสตร์ และพี่เลี้ยงประจำโครงการ

“เราอายเวลาเดินอยู่ในพื้นที่แล้วมีนักท่องเที่ยวมาถามว่าสถานที่นี้คืออะไร มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายังไง แต่เราตอบไม่ได้ทั้งๆ ที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง”

เสียงจากเยาวชนกลุ่มหนึ่งที่เล่าให้ฟังอย่างตรงไปตรงมาถึงความเป็นไปในชุมชน หากถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวใน บ้านแหลมสน ตำบลหัวเขาแดง อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา คำตอบมีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นบ่อเก๋ง วัดภูผาเบิก วัดศิริวรรณาวาส วัดบ่อทรัพย์ วัดสุวรรณคีรี ศาลาหลบเสือ และสุสานเจ้าเมืองสงขลา แต่ละแห่งตั้งอยู่กระจัดกระจายแต่ก็ไม่ห่างกันมากนัก ทว่าเมื่อถามถึงประวัติความเป็นมาของสถานที่เหล่านี้จากคนในพื้นที่ คำตอบที่ได้กลับกลายเป็น…

…ความเงียบ…

ความเงียบที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ เลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ กลบเกลื่อนแล้วเดินจากไป แต่ความไม่รู้และไม่เคยสนใจสิ่งใกล้ตัวนี้เอง ทำให้เยาวชนกลุ่มหนึ่งในวัยประมาณสิบขวบต้นๆ รวมตัวกันในนามเยาวชนรักษ์บ้านแหลมสน มุ่งมั่นทำ โครงการศึกษาประวัติศาสตร์บ้านแหลมสน ตำบลหัวเขาแดง อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เพื่อสืบเสาะหาประวัติศาสตร์ของชุมชน แล้วถ่ายทอดเรื่องราวที่พวกเขาได้เรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนคนอื่นๆ ในพื้นที่ ผ่านช่องทางหรือสื่อที่พวกเขาพอทำได้ 

ผลลัพธ์จากความเคลื่อนไหวและความสนใจใคร่รู้ของเด็กๆ ทำให้ผู้ใหญ่ในชุมชนตื่นตัวและฉุกคิด จากความละเลย ปล่อยให้สถานที่รกร้าง จึงหันกลับมาสนใจ และยื่นมือเข้ามาช่วยพัฒนาโบราณสถานในชุมชนให้น่าดูน่ามองมากขึ้น เมื่อคนในชุมชนเห็นคุณค่า นักท่องเที่ยวได้ความประทับใจกลับไป เศรษฐกิจในบ้านแหลมสนก็ดีขึ้น ถือว่างานนี้ win – win ด้วยกันทุกฝ่าย

ย้อนรอยอดีตจากร่องรอยแห่งปัจจุบัน

สิงหนคร เป็นชุมชนเมืองโบราณเคยเป็นที่ตั้งและเป็นชื่อเมืองสงขลา ก่อนย้ายตัวเมืองสงขลามาอยู่ด้านตะวันออกของปากอ่าวทะเสสาบสงขลาในปัจจุบัน สมัยโบราณเมืองแห่งนี้เป็นเมืองท่าสำคัญของภาคใต้ เป็นทำเลสำหรับค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น ชาวเปอร์เซีย อาหรับ และอินเดีย ตามสำเนียงชาวต่างชาติพวกเขาเรียกขานสถานที่แห่งนี้ว่า Singora (ซิงกอรา) ปรากฏอยู่ในบันทึกนักเดินเรือชาวอาหรับ-เปอร์เซีย ระหว่างปี พ.ศ.1993 – 2093 

หากมองจากแผนที่ ทำเลที่ตั้งของอำเภอสิงหนครและอำเภอเมืองละแวก หาดสมิหลามีรูปร่างคล้ายประตูเปิดปิดทะเลสาบสงขลาที่มีขนาดใหญ่ เป็นทะเลสาบธรรมชาติแห่งเดียวในประเทศไทยที่กินพื้นที่ครอบคลุมถึง 3 จังหวัด ได้แก่ สงขลา พัทลุงและนครศรีธรรมราช ทำให้มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามทำเลที่ตั้ง ยกตัวอย่างเช่น ทะเลสาบพัทลุง หรือทะเลลำปำ มีความยาวจากปากน้ำไปทางทิศเหนือประมาณ 80 กิโลเมตร จากฝั่งอำเภอเมืองสงขลาไปสิงหนครสามารถนั่งแพขนานยนต์ข้ามไปได้ทั้งรถและผู้เดินทางสัญจร 

สุภาวดี วิสมิตะนันทน์ ตัวแทนจากกลุ่มเยาวชนรักษ์บ้านแหลมสน เล่าว่า มีโบราณสถานมากมายตั้งอยู่รายรอบโรงเรียนวัดบ่อทรัพย์ที่กลุ่มเยาวชนศึกษาอยู่ในช่วงทำโครงการ ไม่ว่าจะเป็นวัดเก่าแก่ที่อยู่ติดกันถึงสี่วัดไม่ไกลจากโรงเรียน รวมถึงสุสานตระกูล ณ สงขลา ที่ไม่มีใครในกลุ่มรู้เลยว่ามีที่มาที่ไป หรือประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับบ้านแหลมสนอย่างไร

“ตอนลงพื้นที่ไปสอบถามข้อมูลจากชาวบ้านแถวนี้ก็แทบไม่มีใครรู้ เราเลยอยากสืบหาข้อมูลไว้ให้เด็กเยาวชนรุ่นหลังได้รู้จักประวัติศาสตร์ของสถานที่สำคัญต่างๆ ในพื้นที่ แล้วตัวเราเองก็ได้เรียนรู้ไปด้วย เพราะสถานที่สำคัญเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านของเรา ไม่อย่างนั้นโบราณสถานที่มีก็จะกลายเป็นแค่สถานที่ท่องเที่ยว ที่มีคนมาเที่ยวแต่คนในชุมชนไม่มีใครรู้จัก ไม่แม้แต่จะสนใจหันไปมองหรือสนใจดูแล” สุภาวดี กล่าว

เพื่อให้ได้คำตอบที่ตามหา กลุ่มเยาวชนรักษ์บ้านแหลมสนลงมือเสาะหาความรู้จากการลงพื้นที่สอบถามคนเฒ่าคนแก่ที่ตอนนี้ก็แทบไม่มีเหลืออยู่ จะมีก็แต่ผู้ใหญ่ในชุมชน เช่น ผู้นำชุมชน เจ้าอาวาส และโต๊ะอิหม่าม บางเรื่องก็ได้ข้อมูล บางเรื่องก็ยังเป็นสิ่งที่น่าฉงนสงสัย พวกเขาจึงต้องสืบค้นต่อในหนังสือ รวมถึงพงศาวดารซึ่งถูกเก็บไว้อย่างดีที่พิพิธภัณฑ์แต่น้อยคนนักที่จะหยิบจับขึ้นมาเพื่อสืบหารากเหง้าและที่มาที่ไปของตนเอง

“ก่อนไปสัมภาษณ์ผู้รู้เรามาช่วยกันคิดคำถามที่สนใจอยากรู้ก่อน แล้วก็แบ่งหน้าที่กันว่าใครทำอะไรบ้าง ใครเป็นคนบันทึก ใครเป็นคนถาม หลังจากได้ข้อมูลมาแล้วใครเป็นคนวาดภาพ ใครมีปัญหาตรงไหนก็มาปรึกษากัน” สุภาวดี กล่าว

“ข้อมูลที่สัมภาษณ์มา และในหนังสือบางทีเขียนไม่เหมือนกัน เราก็ต้องไปหาเพิ่มเติมในพงศวดาร นำข้อมูลมาเทียบเคียงกันเพื่อความชัดเจนและความถูกต้อง” กันยารัตน์ เส็นเจริญ อีกหนึ่งแกนนำเยาวชน อธิบายวิธีการทำงานของพวกเขา

การได้เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตัวเอง ทั้งเรื่องที่มาที่ไปของชุมชน สถานที่สำคัญ ความเชื่อ และบุคคลสำคัญบ้านแหลมสน ทำให้ทีมแกนนำเยาวชนมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ชุมชนจนมีความมั่นใจมากพอที่จะถ่ายทอดส่งต่อความรู้ให้กับเด็กและเยาวชนคนอื่นๆ ในโรงเรียน พวกเขาใช้วิธีประกาศรับสมัครคนที่สนใจมาเข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านแหลมสนด้วยกัน เริ่มจากการบรรยายความรู้ พาเดินเที่ยวชมสถานที่จริง แล้วกลับมาทบทวนตอบข้อสักถาม

บ่อเก๋ง สถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งตั้งอยู่ติดริมน้ำ เล่ากันว่าแต่ก่อนเคยเป็นท่าน้ำขึ้นเรือตั้งแต่สมัยโบราณ ปัจจุบันมียังคงเหลือซากปรักหักพังที่แสดงถึงโครงสร้างของชุมชนสมัยก่อน เช่น ซุ้มประตูสร้างด้วยอิฐถือปูน มีสันหลังคาโค้งงอน ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมของชาวจีนฮกเกี้ยน หนึ่งในชนเผ่าจีนโพ้นทะเลจากมณฑลฮกเกี้ยนหรือมณฑลฝูเจี้ยนทางตอนใต้ของจีนที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย

นอกจากนี้ยังมี วัดสุวรรณคีรี วัดบ่อทรัพย์ และวัดศิริวรรณาวาส ศาสนสถานที่สร้างขึ้นเรียงรายต่อเนื่องกันอยู่บนไหล่เขาตามแนวทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยภาคใต้ตามที่นิยมในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 3) หากสังเกตดีๆ จะพบว่าบางส่วนได้รับอิทธิพลจากจีนและตะวันตกผสมผสานเข้ามาด้วย วัดสุวรรณคีรี มีอุโบสถที่ตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังงดงาม เจดีย์ก่ออิฐฉาบปูนประดับด้วยปูนปั้นซึ่งเป็นงานศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ส่วนเจดีย์จีนทำด้วยหินแกรนิต มีหอระฆัง และซุ้มเสมาประดับด้วยปูนปั้นงานละเอียด

วัดบ่อทรัพย์มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าบันไดทางขึ้นวัด ขอบบ่อเป็นอิฐโบราณ ภายนอกฉาบปูนขาว ภายในบริเวณวัดมีอุโบสถรูปแบบเรียบง่าย และกุฏิไม้แบบไทยพื้นถิ่นภาคใต้ หลังคามุงกระเบื้องเกาะยอ (เกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบสงขลาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้านแหลมสน) และสุดท้ายวัดศิริวรรณาวาส วัดที่มีอุโบสถกำแพงแก้วปูนปั้นทึบล้อมรอบ มีรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยผสมจีน เห็นได้อย่างชัดเจนบริเวณประตูซุ้มทางเข้าด้านตะวันออก หลังคามุงกระเบื้องดินเผาเกาะยอ ปลายแหลม เจดีย์ก่อด้วยอิฐถือปูนตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสและฐานปัทม์ มีซุ้มเสมาหินแกรนิตเล็ก ๆ รอบอุโบสถ ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะพื้นบ้าน ไม่มีจิตรกรรมฝาผนัง บริเวณวัดมีอาสนสงฆ์กลางลานใต้ร่มไม้และซากหอระฆังที่ชำรุดเหลือแต่ฐานและบันได

จุดเด่นที่น่าสนใจ คือ บริเวณวัดทั้ง 3 มีการวางผังให้เชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางสัญจรหลักและสามารถเดินเชื่อมถึงกันได้ ปูพื้นด้วยกระเบื้องหน้าวัวโบราณซึ่งมีลวดลายในเนื้อกระเบื้องที่เป็นเอกลักษณ์ของกระเบื้องดินเผาเกาะยอและมีการทำกำแพงกันดินด้วยหินภูเขา 3 ระดับ นับเป็นตัวอย่างด้านสถาปัตยกรรมและภูมิสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ แค่เดินเที่ยวชมวัดทั้ง 3 แห่ง แล้วใช้จินตนาการเทียบเคียงถึงวิถีชีวิตผู้คนก็เหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปสมัยก่อน

“ข้อมูลที่หามาได้ ทำให้เรารู้สึกรักบ้านเกิดของตัวเองมากขึ้น ทำให้อยากนำเสนอเรื่องราวของชุมชนแก่คนภายนอก จากเดิมที่เราแค่เดินผ่านไปผ่านมาแต่ไม่เคยสนใจ” สุภาวดี กล่าว

ประวัติศาสตร์ที่ไม่จมปลักแต่ทำให้ก้าวไปข้างหน้า

วัดวาอารามเหล่านี้ แม้ถูกละทิ้งให้รกร้างบางเวลา แต่บางครั้งบางคราชาวบ้านที่นี่ยังคงใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมสำคัญ เช่น งานบุญและงานศพ ความละเลย ทำให้เหตุผลที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ที่มาที่ไปน่าจะเป็นผลพวงจากความคุ้นชินที่เห็นสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่สถานที่ต่างๆ ก็ยังคงสัมพันธ์กับวิถีความเป็นอยู่ของคนบ้านแหลมสนอย่างผสมกลมกลืน อย่างไรก็ตาม กลุ่มเยาวชนรักษ์บ้านแหลมสน บอกว่า พวกเขาไม่มีทางเห็นความเชื่อมโยงนี้ได้เลย หากไม่ได้เข้าไปพูดคุยกับคนในชุมชนด้วยตัวเอง

ครูสารภี รองสวัสดิ์ ครูวิชาประวัติศาสตร์และสังคม โรงเรียนวัดบ่อทรัพย์ และพี่เลี้ยงประจำโครงการ เล่าว่า การเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียนแบบเดิม ให้เด็กอ่านจากหนังสือแล้วดูเอาจากภาพ นักเรียนไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้เก็บข้อมูล ไม่ได้มีโอกาสตั้งคำถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัย แต่กระบวนการเรียนรู้ในโครงการเปิดกว้างให้เยาวชนกลุ่มนี้ตั้งคำถามถึงประวัติความเป็นมาซึ่งเป็นรากเหง้าของตนเอง พวกเขาจึงซาบซึ้งไปกับเรื่องราวที่ค้นพบ และเห็นคุณค่าของโบราณสถานในชุมชน โดยไม่ต้องมีใครบอก

ความมุ่งมั่นตั้งใจในการค้นคว้าหาข้อมูลของเยาวชนในโครงการ ทำให้กิจกรรมที่เคยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิชาชมรม กลายเป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งของห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบ่อทรัพย์

“เราสังเกตเห็นว่าเด็กๆ สนุกกับการได้ลงไปสัมผัสชุมชนจริงๆ จากที่เมื่อก่อนเขาไม่ตอบสนองกับสิ่งที่ครูสอนในห้องเรียน แต่เมื่อมีวิทยากรมีผู้รู้มาเล่าให้ความรู้ พอกลับไปทบทวนในห้องเรียน เขาแย่งกันตอบ ทำให้บรรยากาศการเรียนเปลี่ยนไปมาก ห้องเรียนมีชีวิตชีวา ตัวเองในฐานะครูก็ได้เปิดโลกทัศน์เรื่องการสอน ทำให้เราเปิดกว้างให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น ไม่จำกัดความคิดของนักเรียน ไม่ไปตัดสินเวลาเด็กตอบว่าถูกหรือผิด ให้เด็กแสดงออกได้เต็มที่”  ครูสารภี กล่าว

การทำโครงการทำให้กลุ่มเยาวชนได้เรียนรู้เรื่องการทำงานเป็นทีมที่ต้องอาศัยความสามัคคี สุภาวดี เล่าว่า ปกติเธอเป็นคนใจร้อน หัวเสียง่าย หากเพื่อนทำอะไรไม่ได้อย่างใจมักรู้สึกหงุดหงิด แล้วยังออกคำสั่งให้เพื่อนทำนั่นนี่ตามความต้องการของตัวเอง แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป นอกจากบทบาทที่ได้รับมอบหมายตามที่ได้แบ่งงานกันทำแล้ว แต่ละคนยังได้ร่วมคิด ร่วมออกความเห็นและไม่เกี่ยงงอนเมื่อต้องช่วยงานคนอื่น พวกเขาเรียนรู้ว่าการร่วมมือกันทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ ส่วนเรื่องที่เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองได้อย่างชัดเจน คือ การมีสมาธิ

“เวลาเราไปหาข้อมูลประวัติศาสตร์ หยิบค้นหนังสือมาอ่านมาหาข้อมูลต้องใช้ความอดทนและต้องมีสมาธิอย่างมาก โดยเฉพาะตอนที่เอาข้อมูล พ.ศ. มาเรียบเรียงบนไทม์ไลน์ว่าแต่ละช่วงเวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ต้องใจเย็นๆ ตั้งใจอ่าน เพราะถ้าทำไม่ได้ เราคงไม่สามารถทำโครงการออกมาได้สำเร็จ หรือถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งในทีมทำงานของตัวเองไม่ได้ จากที่เมื่อก่อนเราชอบด่าเพื่อนแรงๆ ตอนนี้ถ้าเราทำงานในส่วนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปช่วยเพื่อนด้วยไม่ใช่ปล่อยตัวใครตัวมัน การที่เราเป็นจิตอาสา ทำงานร่วมกับผู้อื่น ทำงานกับชุมชน เราต้องรู้จักปรับตัวและมีมารยาทในการเข้าสังคม” สุภาวดี เล่าถึงบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการทำโครงการ

ความเงียบกับรอยยิ้มเจื่อนๆ ที่เคยเกิดขึ้นในวันนั้นผ่านไปแล้ว

วันนี้หากมีโอกาส เด็กๆ บ้านแหลมสนคงได้ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอธิบายให้นักท่องเที่ยวฟังได้ว่าโบราณสถานในชุมชนมีประวัติศาสตร์และมีความสำคัญต่อชุมชนอย่างไร ความรู้ที่พวกเขาเก็บรวบรวมได้ถูกบันทึกและถูกส่งต่อให้กับน้องๆ ในโรงเรียนที่จะเป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราวของบ้านแหลมสนต่อไป

“ถึงตอนนี้ถ้าเราแก่ตัวไปแล้วมีเด็กรุ่นหลังมาถามข้อมูลชุมชนจากเรา เราตอบได้ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เราเองไม่รู้อะไรเลย” สุภาวดี กล่าวทิ้งท้าย

Tags:

active citizenproject based learningประวัติศาสตร์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    ขึ้นควนไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติบ้านตะเหมก จังหวัดตรัง ไขปริศนาลี้ลับ “ควนดินดำ” ที่มีมากว่า 200 ปี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ปลุกตำนานเรื่องเล่ามีชีวิต แกะรอยบรรพบุรุษบ้านเข้าน้อย จังหวัดสตูล ที่คนเกือบทั้งชุมชนเป็นเครือญาติ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    นิทานพื้นบ้าน ร่องรอยความทรงจำในโลกปัจจุบันที่พาไปรู้จักอดีต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    เมื่อแว้นบอยย่อส่วน “เรือพลี้ด” มหัศจรรย์ความเร็วแห่งทะเลหาดสำราญเป็นงานฝีมือแสดงเอกลักษณ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

ลูกปัดโบราณท่าชนะอายุกว่าพันปี “คุณค่า” ที่ถูกขุดและค้นพบอีกครั้งจาก “นักโบราณคดีรุ่นเยาว์”
Creative learning
26 March 2021

ลูกปัดโบราณท่าชนะอายุกว่าพันปี “คุณค่า” ที่ถูกขุดและค้นพบอีกครั้งจาก “นักโบราณคดีรุ่นเยาว์”

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ลูกปัด วัตถุขนาดเล็กที่หน้าที่ของมันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เครื่องประดับ แต่คือบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เก็บเรื่องราวตามกาลเวลาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น
  • ที่บ้านท่าม่วง อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีการขุดพบลูกปัดอันเก่าแก่ราว 4 – 5 พันปี ทว่าเรื่องราวของลูกปัดโบราณเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนในชุมชนแทบไม่รู้ที่มาที่ไปและไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไรนัก
  • เยาวชนในพื้นที่จึงจับมือรวมกลุ่มทำโครงการการศึกษาคุณค่าและความสำคัญของลูกปัดโบราณ อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยหวังว่างานของพวกเขาจะช่วยรวบรวมไม่ให้ประวัติศาสตร์หล่นหายไปตามกาลเวลา

ตามความเชื่อดั้งเดิม ลูกปัด คือ เครื่องประดับที่บ่งบอกรสนิยมและสถานภาพทางสังคมของผู้สวมใส่ เป็นเครื่องรางของขลังที่มีพลังอำนาจ บางคนเชื่อถึงการให้โชคลาภ บางครั้งลูกปัดอาจถูกใช้ในพิธีกรรมตามความเชื่อความศรัทธาของมนุษย์ในแต่ละอารยธรรม นอกจากนี้ลูกปัดยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แสดงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ หรือแม้กระทั่งการรักษาโรค บุณยฤทธิ์ ฉายสุวรรณ นักโบราณคดีไทย กล่าวว่า ยุคทองของลูกปัดโลก มีความหลากหลายและเป็นที่นิยมสูงสุดกว่าสามพันปีมาแล้ว พบหลักฐานการผลิตลูกปัดหินและลูกปัดแก้วจำนวนมาก จากชุมชนโบราณที่รุ่งเรืองหลายแห่ง ทั้งในอียิปต์ กรีก เอเชียไมเนอร์และเอเชียใต้

สำหรับประเทศไทยและในภูมิภาคสุวรรณภูมิ หรือดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ค้นพบร่องรอยของลูกปัดโบราณปรากฎ โดยเฉพาะแถบภาคใต้ตอนบนของไทยในจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี ระนอง พังงาและกระบี่ บ้านท่าม่วง อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีการขุดพบลูกปัดอันเก่าแก่ ความโบราณที่ว่าไม่ได้เป็นความโบราณหลักร้อยปี แต่ย้อนกลับไปราว 4 – 5 พันปี ทว่าเรื่องราวของลูกปัดโบราณเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนในชุมชนแทบไม่รู้ที่มาที่ไปและไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไรนัก

ในคาบวิชาไอเอส (Independent Study: IS) หรือ วิชาการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ ที่ให้นักเรียนสุมหัวกันคิดโครงการที่อยากทำด้วยตัวเอง ครูตั้งโจทย์กับนักเรียนว่า

“มีอะไรบ้างเป็นจุดเด่นของอำเภอท่าชนะ มีอะไรบ้างในชุมชนที่ควรศึกษา?”

ใครจะไปนึกว่า เซเว่นอีเลฟเว่น ปรากฏเป็นชื่อหนึ่งบนกระดาน และ ลูกปัดโบราณ บ้านท่าม่วง ตำบลวัง อำเภอท่าชนะ ก็เป็นหนึ่งในนั้น จนในที่สุดนักเรียนกลุ่มหนึ่งก็ได้ตกลงใจ จับกลุ่มกันทำ โครงการการศึกษาคุณค่าและความสำคัญของลูกปัดโบราณ อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ฟ้า – นภัสวรรณ บัวแก้ว อายุ 18 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนท่าชนะ หนึ่งในเยาวชนแกนนำ กล่าวว่า เรื่องราวของลูกปัดโบราณสามารถนำมาเป็นสื่อการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชุมชนได้ และเมื่อมีการศึกษาเรียนรู้นั่นหมายการอนุรักษ์คุณค่าของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่บอกเล่าที่มาที่ไปของชุมชน ทำให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าและเห็นความสำคัญของลูกปัดโบราณ อันจะสร้างความภาคภูมิใจและจิตสำนึกในการดูแลรักษาและพัฒนาท้องถิ่นต่อไป

เราคงเคยได้ยินคำกล่าวทำนองว่า ชาวนาขายวัวขายควายส่งลูกเรียน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกปัดโบราณไม่ต่างกันเท่าใดนัก เมื่อเศรษฐกิจซบเซา อาชีพหลักไม่สามารถสร้างรายได้เพียงพอต่อความต้องการของครอบครัว ลูกปัดโบราณที่ถูกเก็บไว้จากเดิมอาจไม่ได้มีค่ามีราคา แต่กาลเวลาสร้างมูลค่าให้ลูกปัดมีราคาสูงขึ้นจนถูกขายออกสู่ตลาด ชาวบ้านนำเงินเหล่านั้นมาเป็นค่าเล่าเรียนให้ลูกหลานและใช้ดูแลครอบครัว บวกกับกระแสแฟชั่นในปัจจุบันเยาวชนรุ่นหลังจึงมักให้ความสนใจลูกปัดในแง่ความสวยงามและการซื้อขาย เห็นมูลค่า มากกว่า คุณค่า ทั้งที่ลูกปัดไม่ได้เป็นเพียงวัตถุที่ใช้เป็นเครื่องประดับหรือใช้แลกแทนเงินตราเท่านั้น

“ถ้าลูกปัดโบราณถูกนำออกไปขายจนหมด ลูกปัดบางชนิดที่เคยขุดพบที่ท่าชนะก็จะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เพราะไม่มีลูกหลานที่เห็นคุณค่าเก็บรักษาไว้ หรือถ้าคนรุ่นใหม่ไม่สนใจก็อาจไม่มีลูกปัดโบราณให้เห็นอีกต่อไปในชุมชน” ฟ้า กล่าว

อย่างน้อยเพื่อให้องค์ความรู้เรื่องลูกปัดโบราณได้ถูกเก็บรวบรวมและถูกบันทึกไว้ แกนนำเยาวชนจึงรวมกลุ่มกันลงพื้นที่เก็บข้อมูลจากชาวบ้านที่มีความรู้ด้านลูกปัด ทั้งเรื่ององค์ประกอบด้านรูปทรงและการตกแต่ง ลักษณะผิวด้านนอก ความนิยมของลูกปัดแต่ละยุคสมัย ชื่อเรียกและความหมาย รวมถึงความสัมพันธ์ด้านประวัติศาสตร์ของลูกปัดที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้รู้ในการให้ข้อมูลเป็นอย่างดี นอกจากนี้พวกเขายังลงสำรวจแหล่งที่ขุดพบลูกปัดโบราณบ้านท่าม่วง ตำบลวัง เพื่อศึกษาลงลึกถึงชนิดลูกปัดในแต่ละจุดร่วมกับชาวบ้าน แล้วจัดค่ายอบรมเผยแพร่ความรู้ให้กับเด็กเยาวชนและคนในชุมชน รวมถึงนักเรียนโรงเรียนท่าชนะที่พวกเขากำลังศึกษาอยู่

“ปกติเวลาเรียนเราก็ศึกษาผ่านตัวหนังสือ แต่โครงการนี้ทำให้ได้ลงพื้นที่ไปเรียนรู้จริงๆ ได้ประสบการณ์ใหม่และพัฒนาทักษะการทำงาน การคิดวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งการเรียนในห้องเรียนให้ไม่ได้ เช่น การพูดและการเตรียมสัมภาษณ์ การรู้จักกาละเทศะเพราะต้องเข้าหาผู้ใหญ่ในชุมชน ยกตัวอย่างเรื่องการสัมภาษณ์ แรกๆ เราอาจเรียบเรียงคำถามไม่ดี สื่อสารไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการถาม กลับมาพวกเราได้ทบทวนและเตรียมคำถามไปใหม่เพื่อเก็บข้อมูลให้ได้ตามที่วางแผนไว้” ฟ้า อธิบาย

เดียร์ – อรวรรณ พรมรุ่ง อายุ 18 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนท่าชนะ อีกหนึ่งแกนนำเยาวชน เล่าว่า  แม้เป็นคนอำเภอท่าชนะแต่พวกเขาก็เป็นเด็กนอกพื้นที่ ไม่ได้รู้จักใครในบ้านท่าม่วงเป็นการส่วนตัว การลงไปเก็บข้อมูลในชุมชนครั้งแรกจึงเป็นการสุ่มเลือกเข้าไปหาคนเฒ่าคนแก่ในชุมชนที่คิดว่าน่าจะให้คำตอบในสิ่งที่พวกเขาสงสัย บางคนหวาดระแวงเพราะเห็นเด็กๆ เป็นคนแปลกหน้า แต่เมื่ออธิบายให้เข้าใจถึงจุดประสงค์ในการทำโครงการ คนเฒ่าคนแก่จึงยอมเปิดใจและตอบข้อซักถามของพวกเขา บางคนถึงขนาดเปิดบ้านแล้วนำลูกปัดจำนวนมากออกมาให้ดู

จากการสุ่มเข้าไปทักทายผู้ใหญ่ในชุมชนนี้เองทำให้กลุ่มแกนนำเยาวชนได้เจอกับผู้นำชุมชนบ้านท่าม่วงที่พาพวกเขาไปพบกับผู้ประกอบอาชีพขุดลูกปัด ตั้งแต่นั้นทั้งผู้นำชุมชน ได้แก่ กำนันและผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงผู้รู้ก็ได้กลายเป็นวิทยากรคนสำคัญที่ให้ความรู้แก่พวกเขา

แล้วลูกปัดมีความสำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญ?

หากมองลูกปัดโบราณเป็นแค่วัตถุธรรมดาคงไม่มีความสำคัญอะไร แต่ถ้ามองลูกปัดเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านกาลเวลามาแต่ยุคดึกดำบรรพ์ กลุ่มเยาวชน บอกว่า วัตถุเล็กๆ นี้บอกเล่าเรื่องราวในอดีตได้หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางการค้าสมัยโบราณที่มีการติดต่อสัมพันธ์กันของผู้คนจากหลากหลายทวีป ลวดลายและความงามบนลูกปัดเปิดมุมมองด้านการสร้างสรรค์ศิลปะที่วิวัฒนาการมากระทั่งปัจจุบัน ลูกปัดแต่ละแบบแต่ละชนิดมีองค์ประกอบด้านการตกแต่งแตกต่างกัน บางชนิดมีสีและลวดลายทั้งด้านนอกและด้านใน ขนาดที่นักโบราณคดียังวิเคราะห์ไม่ได้ว่า ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ผู้คนสมัยนั้นเจียระไรและประกอบสร้างลูกปัดขึ้นมาได้อย่างไร บางชนิดมีรูปทรงเชื่อมโยงกับความเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ลูกปัดทุกชิ้นจึงสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น

ลูกปัดโบราณที่พบเห็นอยู่ในบ้านท่าม่วงมี 2 ประเภท คือ ลูกปัดแก้วหลอม และ ลูกปัดหินแร่ หากเป็นหินเป็นทรายธรรมดาคงย่อยสลายผุกร่อนไปตามกาลเวลา แต่เพราะลูกปัดโบราณมีความแข็งแรง ทนทาน  และถูกธรรมชาติเก็บรักษาไว้อย่างดีใต้ผืนดิน สมัยก่อนชาวบ้านจึงขุดพบลูกปัดจำนวนมากที่ยังคงมีรูปร่างสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันขุดพบได้น้อยลงและหายากขึ้น

นอกจากลูกปัดผิวเกลี้ยงเม็ดเล็กใหญ่ หลากหลายสีสันแล้ว เม็ดลูกปัดรูปทรงเหมือนลูกบอลที่มีลายแถบสีสลับกันคล้ายธงชาติ ทั้งสีแดงขาวน้ำเงินพาดสลับกันห้าแถบสี หรือลายสีสลับเขียวเหลืองเป็นลูกปัดที่มีจุดเด่นซึ่งพบได้ในบ้านท่าม่วง สันนิษฐานว่าเป็นสีธงชาติที่เป็นสัญลักษณ์ในสมัยศรีวิชัย นอกจากนี้ยังมีลูกปัดหินสีม่วง (อเมทิสต์) ที่ขุดพบได้มากในพื้นที่แถบนี้ จากข้อมูลที่จดบันทึกโดยสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปี 2549 ระบุ รูปทรงของลูกปัดที่ขุดค้นพบในพื้นที่ต่างๆ ของไทย โดยเฉพาะทางภาคใต้จำแนกได้ประมาณ 41 รูปแบบเลยทีเดียว

“คนเฒ่าคนแก่และผู้รู้ในชุมชน รู้สึกดีใจที่มีกลุ่มเยาวชนให้ความสนใจศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับลูกปัดโบราณ อำเภอท่าชนะมีทั้งหมด 6 ตำบล คนในตำบลวัง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่บางส่วนก็ไม่รู้จักและไม่ได้ให้ความสำคัญกับลูกปัด ยิ่งเป็นคนต่างตำบลแล้วแทบไม่รู้จักลูกปัดโบราณเลย ตอนลงพื้นที่ชุมชนในช่วงแรกเราเข้าไปแบบสุ่มๆ ไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องไปคุยกับใคร ทำให้ได้ข้อมูลไม่มากนัก แต่พอได้เจอกับผู้นำชุมชนที่แนะนำพวกเราให้รู้จักผู้รู้ที่มีความชำนาญในการขุดลูกปัด พวกเราเลยได้ข้อมูลที่ต้องการจากผู้เชี่ยวชาญจริงๆ” กลุ่มเยาวชน ขยายความ 

ค่อยๆ ขุดค้นหาตัวตนที่ซ่อนอยู่

การเรียนรู้นอกห้องเรียนที่ต้องคิดเอง ลงมือปฏิบัติเอง แก้ปัญหาเอง เป็นเรื่องที่กลุ่มแกนนำเยาวชนไม่เคยทำมาก่อน ระหว่างทางพวกเขาได้พัฒนาตัวเองจากเด็กที่ไม่มีความกล้า ขาดความมั่นใจ กลัวผิด กังวลกับผลลัพธ์ มาเป็นเด็กที่ช่างสังเกต และกล้าตั้งคำถามกับเรื่องราวที่สงสัย ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต

“พวกเรารู้สึกดีใจมากที่ได้เข้าร่วมโครงการ แล้วได้สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับลูกปัดด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้จากที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในอำเภอท่าชนะมีลูกปัดโบราณแบบนี้ด้วย แต่เมื่อได้รับข้อมูลแล้วรู้ว่าลูกปัดอาจสูญหายไปหากคนในชุมชนไม่ช่วยกันดูแล ก็อยากให้คนรุ่นใหม่ได้มีความรู้และเก็บรักษาลูกปัดโบราณไว้ ไม่อยากให้ขายออกไปจนหมด” กลุ่มแกนนำเยาวชนเห็นพ้องต้องกัน

“แต่ก่อนก็ไม่เคยคิดถึงว่าท้องถิ่นของเรามีอะไรดี ดูอะไรก็เฉยๆ ไปหมด ละเลยและไม่ใส่ใจ แต่ข้อมูลที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับลูกปัดโบราณจากการที่ลงไปเก็บข้อมูลเอง ทำให้เห็นคุณค่าของลูกปัด แล้วเริ่มมองสิ่งใกล้ตัวแตกต่างออกไป จากที่เคยชอบ ชื่นชมของดีจังหวัดอื่นโดยที่ไม่รู้ว่าจังหวัดตัวเอง อำเภอที่ตัวเองเกิดมามีของดีอะไรบ้าง ตอนนี้รู้สึกภูมิใจที่ได้ไปตัวแทนชุมชนสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับลูกปัดออกไปให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย ดีกว่าการที่เรารู้แต่เรื่องของคนอื่นแต่ไม่รู้รากฐานหรือรากเหง้าของตัวเอง” อรวรรณ กล่าว

จากวิชาไอเอสที่เริ่มจากการมองหาจุดเด่นของอำเภอท่าชนะ นำมาสู่บทบาทการเป็น นักโบราณคดีรุ่นเยาว์ ของกลุ่มเยาวชนโรงเรียนท่าชนะ พวกเขาช่วยกันขุดค้นประวัติศาสตร์ ตามหาความเป็นมาของลูกปัดโบราณอายุนับพันปีแห่งอำเภอท่าชนะที่ตนเองอาศัยอยู่ สิ่งที่พวกเขาค้นพบทำให้ประดิษฐ์กรรมที่มีความเก่าแก่นี้ได้เผย คุณค่า แห่งกาลเวลาออกมาอีกครั้ง ทำให้คนบ้านท่าม่วง ตำบลวัง อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ฯ วางแผนขยับขยาย ปัดฝุ่นพื้นที่ชุมชนให้เป็นศูนย์เรียนรู้ลูกปัดชุมชนแบบไม่เป็นทางการ ในอนาคตบ้านท่าม่วงจะมีพื้นที่เล็กๆ ที่รวบรวมเอาลูกปัดชนิดต่างๆ มาตั้งไว้ให้เห็น

แม้ว่านักโบราณคดียังไม่สามารถไขความลับของกรรมวิธีการผลิตลูกปัดโบราณที่มีความละเอียด ซับซ้อนและประณีตโดยปราศจากเครื่องมือที่ทันสมัยในยุคโบราณได้อย่างชัดเจน แต่ความแข็งแกร่ง ความคงทน ความงามและความมหัศจรรย์ของสีและลวดลายบนลูกปัดโบราณจากภูมิปัญญาของคนยุคเก่าก็ทำให้ลูกปัดโบราณได้กลับมาเฉิดฉายแก่สายตาคนยุคปัจจุบันอย่างน่าภูมิใจ

“เราอาจไม่สามารถรักษาลูกปัดที่พบในชุมชนไว้ได้ครบ แต่สิ่งที่พวกเราทำได้ คือการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ออกไปผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย รวมถึงภาพและวิดีโอ ให้คนภายนอกรู้จักลูกปัดโบราณ อำเภอท่าชนะมากขึ้น” ฟ้า กล่าวทิ้งท้าย

Tags:

active citizenproject based learningประวัติศาสตร์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    ทอดน่องท่องบ้านแหลมสน ชมโบราณสถาน ย้อนรอยเมืองสิงหนคร

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ปลุกตำนานเรื่องเล่ามีชีวิต แกะรอยบรรพบุรุษบ้านเข้าน้อย จังหวัดสตูล ที่คนเกือบทั้งชุมชนเป็นเครือญาติ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    นิทานพื้นบ้าน ร่องรอยความทรงจำในโลกปัจจุบันที่พาไปรู้จักอดีต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    เมื่อแว้นบอยย่อส่วน “เรือพลี้ด” มหัศจรรย์ความเร็วแห่งทะเลหาดสำราญเป็นงานฝีมือแสดงเอกลักษณ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

ปลุกตำนานเรื่องเล่ามีชีวิต แกะรอยบรรพบุรุษบ้านเข้าน้อย จังหวัดสตูล ที่คนเกือบทั้งชุมชนเป็นเครือญาติ
Creative learning
26 March 2021

ปลุกตำนานเรื่องเล่ามีชีวิต แกะรอยบรรพบุรุษบ้านเข้าน้อย จังหวัดสตูล ที่คนเกือบทั้งชุมชนเป็นเครือญาติ

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ชุมชนบ้านเขาน้อย ตำบลย่านซื่อ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล ชุมชนชาวมุสลิมที่มีอายุกว่า 150 ปี นอกจากอายุที่เก่าแก่ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ คือ การที่สมาชิกในชุมชนล้วนเป็นญาติกัน เพราะเขามีรากเหง้าจากตระกูลเดียวกัน
  • นี่เป็นเพียงข้อค้นพบแรกที่เยาวชนรุ่นใหม่ในชุมชนเจอ หลังจากตัดสินใจทำโครงการศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านเขาน้อย เพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ไหลเวียนอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้
เรื่อง พัชรี ชาติเผือก

จริงๆ แล้วเราควรรู้ประวัติความเป็นมาของบ้านเกิดตัวเองไหม? 

แล้วจะมีใครสักกี่คนที่สนใจสืบประวัติความเป็นมาของบ้านเกิดตัวเอง? 

ฉันถามตัวเองหลังจากได้ฟังเรื่องเล่าประวัติชุมชนบ้านเขาน้อย ชุมชนมุสลิมหนึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลย่านซื่อ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล จากกลุ่มเยาวชนที่อายุน้อยกว่าฉันถึงครึ่งชีวิต

เอาเข้าจริง ถ้ามีใครสักคนมาถามฉันในตอนนี้ว่า บ้านเกิดของฉันมีประวัติความเป็นมาอย่างไร? ฉันคงได้แต่นิ่ง ยิ้มเจื่อนๆ แล้วตอบกลับไปว่า ‘ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ’

ชุมชนบ้านเขาน้อย ตำบลย่านซื่อ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล มีอายุยาวนานกว่า 150 ปี จากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุ นายทอง สาดีน อพยพมาจากนครศรีธรรมราช เดินทางรอนแรมมาเพื่อหาที่ตั้งลงหลักปักฐาน สร้างที่อยู่และพื้นที่ทำมาหากินแห่งใหม่ กระทั่งมาถึงบริเวณของหมู่บ้านเขาน้อยในปัจจุบัน ในสมัยนั้นถูกเรียกว่า ‘บ้านเขานุ้ย’ ที่มาของชื่อมาจากเขาลูกหนึ่งที่มีขนาดเล็ก ภาษาท้องถิ่นทางใต้ ‘นุ้ย’ มีความหมายว่า ‘เล็ก’ หรือ ‘น้อย’

เมื่อได้ที่ลงหลักปักฐาน นายทองสมรสกับนางมูนะ ซึ่งเป็นคนจากหมู่บ้านใกล้เคียง (บ้านควนไสน) และให้กำเนิดทายาททำให้หมู่บ้านแห่งนี้มีประชากรเพิ่มขึ้น และได้ขยายอาณาเขตบ้านเรือนออกไป ต่อมาในปี 2452 บ้านเขานุ้ยได้ขึ้นทะเบียนเป็นหมู่บ้านโดยใช้ชื่อใหม่ เขาน้อย จึงเป็นที่รู้จักในนามบ้านเขาน้อยมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อความข้างต้น คือ เรื่องเล่าประวัติความเป็นมาของชุมชนบ้านเขาน้อย ถูกถ่ายทอดเรื่องราวลงในเอกสารแผ่นพับ ที่เยาวชนจากโครงการศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านเขาน้อยร่วมกันค้นหาข้อมูลมา และนำมาเรียบเรียงเพื่อเป็นเอกสารแนะนำชุมชนของตนเองให้เป็นที่รู้จัก  

เนื้อหาในแผ่นพับนำเสนอ 5 หัวข้อหลัก ประกอบด้วย 1.ประวัติความเป็นมา 2.ตำนานบ้านเขาน้อย 3.เครือญาติและวงศ์ตระกูลของชุมชนบ้านเขาน้อย (นายทองกับนางมูนะ) 4.บุคคลสำคัญด้านการปกครอง ผู้ใหญ่บ้าน/กำนัน, ผู้นำศาสนา อิหม่าม และ 5.สถานที่สำคัญและของดีบ้านเขาน้อย

ข้อมูลถูกนำเสนออย่างเรียบง่าย แต่เห็นถึงความพยายามและความตั้งใจที่แฝงอยู่เบื้องหลังตัวอักษรเหล่านั้น

คนรุ่นใหม่…สนใจเรื่องเก๋า เก่า

ปีนี้เป็นปีที่สองที่กลุ่มเยาวชนบ้านเขาน้อยได้เข้าร่วม โครงการกลไกชุมชนสู่การพัฒนาเยาวชนจังหวัดสตูล (Satun Active Citizen) โครงการมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาแกนนำเยาวชนและแกนนำชุมชนสู่การเรียนรู้ทักษะความเป็นพลเมืองโลก (World Citizen) ภาพความสำเร็จในปีที่ผ่านมาจาก โครงการศึกษาเรียนรู้สุขภาพผู้สูงอายุตามวิถีชุมชน และโครงการศึกษาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะ ทำให้กลุ่มเยาวชนแกนนำและชุมชนสนิทกันมากขึ้น ลดช่องว่างระหว่างวัยของคนในชุมชน ส่วนเยาวชนเองก็พัฒนาทักษะความคิดและทักษะการใช้ชีวิต ในปีนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจเข้าร่วมโครงการอีกครั้ง

“ทำโครงการอะไรกันดี?”

ฟังดูเป็นคำถามง่ายๆ แต่การได้มาซึ่งคำตอบนั้น ต้องใช้เวลาคิดและไตร่ตรอง

เบส – นายนัสรี สลีหมีน อายุ 15 ปี ตัวแทนเยาวชนโครงการเล่าถึงเหตุการณ์ที่จุดประกายความคิด จนได้เป็นโจทย์ในการทำโครงการของพวกเขาว่า “ตอนแรกพวกเรานั่งประชุมกันว่าจะทำโครงการอะไรกันดี จนมีโอกาสได้ไปร่วมงานวันฮารีรายอ (หรือวันอีด วันแห่งการเฉลิมฉลองของชาวมุสลิม) ที่มัสยิดดารุลนาอีม มัสยิดประจำชุมชน ในงานมีผู้สูงอายุออกมาเล่าประวัติศาสตร์หมู่บ้านเขาน้อย พวกเราสนใจเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน และคิดว่าถ้าพวกเราไม่ทำเรื่องนี้ ในอนาคตเรื่องราวเหล่านี้คงเลือนหายไปตามกาลเวลา เลยตัดสินใจทำโครงการนี้ เพื่อให้คนรุ่นต่อไปรู้จักความเป็นมาของชุมชนที่ตัวเองอาศัยอยู่และเกิดความรักและหวงแหนชุมชนบ้านเขาน้อย”

ค้นหาเครือญาติ…ต้นตระกูลของฉันเป็นใคร

“จุดเด่นของหมู่บ้านผม คือ ทุกคนในชุมชนเป็นพี่น้องกันเพราะมีเชื้อสายมาจากต้นตระกูลเดียวกัน ผมอยากค้นคว้าให้น้องรุ่นหลังรู้ว่าพวกเราเป็นเครือญาติกันทั้งหมด” เบสพูดด้วยความภูมิใจเมื่อถามถึงจุดเด่นของหมู่บ้านเขาน้อย หลังทำการลงพื้นที่สอบถามผู้รู้ในหัวข้อวงศ์ตระกูลเครือญาติในชุมชน

หลังได้หัวข้อโครงการ ทีมงานร่วมประชุมเพื่อวางแผนออกแบบกิจกรรม เริ่มต้นหาข้อมูลจากสิ่งที่ไม่รู้ เช่น อดีตความเป็นมาของบ้านเขาน้อยเป็นอย่างไร, บ้านเขาน้อยมีอายุเท่าไหร่, ตระกูลแรกของหมู่บ้านเขาน้อยคือใคร,คนที่บุกเบิกบ้านเขาน้อยคือใคร, ลักษณะที่อยู่อาศัย วิถีชีวิต อาชีพ ประเพณี วัฒนธรรม ฯ เป็นหัวข้อหลักๆ ที่เยาวชนบ้านเขาน้อยต้องช่วยกันหาคำตอบให้กับตัวเอง

ผู้ (ช่วย) ให้ข้อมูลหลักก็คือ นางรอหนา ฉายดีน ผู้รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านเขาน้อ และนายหมาด หลีนุ้ย นักปราชญ์ในหมู่บ้านเขาน้อย ทั้งสองคนต่างช่วยเด็กๆ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวงศ์ตระกูลของคนในชุมชน

เบสบอกว่า ทั้งสองท่านเป็นผู้สูงอายุในชุมชนที่ยังจำเรื่องราวประวัติศาสตร์ของชุมชนได้ เพื่อไม่ให้เรื่องเล่าที่มาที่ไปของชุมชนหลงลืมไปตามกาลเวลา ทีมงานจึงตั้งหน้าตั้งตาสัมภาษณ์รวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด

สายที่หนึ่ง สาดีน  – โย๊ะหมาด -กูศกุล

สายที่สอง ใบกาเต็ม – สาดอาหลี – เตะหลี

สายที่สาม – หมาดสะ – นุ้ยประดู่ –สลีหมีน – จิตกาหลง –เก็มสัน –โต๊ะสุลน ฯ

เป็นข้อมูลที่ปรากฎบนแผนผังเครือญาติ ผลลัพธ์จากฝีมือของเด็กและเยาวชน ที่ทำให้ได้รู้และเห็นอย่างชัดเจนว่าคนในชุมชนล้วนเป็นเครือญาติและมีความเกี่ยวข้องกัน

“ตอนแรกไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะเป็นญาติกัน ตอนทำงานเวลาพี่ๆ เรียกประชุม พอมีปัญหาเราไม่กล้าเข้าไปสอบถาม แต่พอลงพื้นที่แล้วรู้ว่าพวกเราในชุมชนเป็นพี่น้องกัน มันทำให้ผมมีความกล้ามากขึ้น กล้าเข้าไปสอบถามพี่ๆ มีความคิดอยากช่วยเหลือกันมากขึ้น” เบส เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเองที่ตัวเขาเองยังประหลาดใจ

เวทีประชาคมของชุมชนเป็นอีกพื้นที่ที่กลุ่มเยาวชนไปแสดงตัวเพื่อขอความร่วมมือในการเก็บข้อมูล และบอกเล่าถึงเป้าหมายของโครงการให้คนในชุมชนได้รับรู้ จนทำให้พวกเขาได้เก็บข้อมูลในหัวข้อถัดไป นั่นก็คือ บุคคลสำคัญทางศาสนาและการปกครอง

“สวัสดีครับพวกผมตัวแทนจากโครงการศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านเขาน้อย พวกเราอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมจากทุกคนในวันนี้ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปศึกษาให้ละเอียดมากขึ้น หากท่านใดมีข้อมูลให้กับพวกเราสามารถบอกเล่าเพื่อเป็นข้อมูลให้กับทีมงานของเราได้ครับ”  

เบสหยิบยกเอาบทสนทนาของกลุ่มเยาวชนในวันที่ขอความร่วมมือจากคนในพื้นที่มาเล่าให้ฉันฟัง

ผลตอบรับที่พวกเขาได้เป็นที่น่าพอใจ มีผู้ใหญ่ในชุมชนเริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูล บางคนนัดแนะช่วงเวลาเพื่อให้ทีมงานเข้าไปสอบถามข้อมูลที่บ้านอีกครั้ง บรรยากาศในวันนั้นถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทีมงานและผู้ใหญ่อยู่ไม่น้อย ต่างฝ่ายต่างมีความสุขที่ได้บอกเล่าเรื่องราว ได้ย้อนอดีตกลับไปรื้อค้นความทรงจำเก่าๆ กลุ่มเยาวชนได้จดบันทึกข้อมูล อัดเสียง อัดวิดีโอ เพื่อไม่ให้ข้อมูลตกหล่น แล้วสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ชุมชน

“ถ้าไม่มีเด็กๆ รุ่นนี้ที่หันมาสนใจสืบค้น ประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านเขาน้อยก็อาจจะเลือนหายไป” เสียงสะท้อนจากผู้ใหญ่สร้างความภาคภูมิใจให้กับทีมงานอยู่ไม่น้อย หลังได้ยินคำชื่นชมนั้น

หากพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเยาวชนในโครงการกับคนในชุมชน ทีมงานบอกว่าผลจากการทำโครงการที่ผ่านมาเกี่ยวกับผู้สูงอายุ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ทำให้คนในชุมชนรู้จัก คุ้นหน้าคุ้นตากลุ่มแกนนำเยาวชนอยู่แล้วในระดับหนึ่ง การทำโครงการในปีที่สองจึงได้รับความร่วมมือจากกลุ่มผู้ใหญ่ในชุมชนบ้านเขาน้อยเป็นอย่างดี

สำหรับโจทย์เรื่องบุคคลสำคัญทางศาสนาและการปกครอง ทีมงานแบ่งกลุ่มเป็น 2 กลุ่มเพื่อลงพื้นที่ ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นคือการได้ข้อมูลมาหลากหลายแต่ไม่สอดคล้องกัน พวกเขาหาทางแก้ไขด้วยการติดต่อขอข้อมูลจากองค์การบริหารส่วนตำบลย่านซื่อ ซึ่งมีข้อมูลบุคคลสำคัญทางศาสนา ข้อมูลผู้ใหญ่บ้านและกำนันในแต่ละสมัย แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ร่วมกันอีกครั้ง เพื่อให้ได้ฐานข้อมูลที่ถูกต้อง

“พวกเราจัดวงเสวนา เรียกประชุมทั้งเยาวชน ผู้สูงอายุมาล้อมวงร่วมกัน แล้วค่อยๆ ช่วยกันพูดคุยซักถามอีกครั้ง เป็นเรื่องของสถานที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญที่มาจากประเทศอินโดนีเซีย บางคนบอกว่าเขาเดินทางมาแล้วเสียชีวิตลงที่สถานที่นั้น แต่อีกคนบอกไม่เหมือนกัน” เบส เล่าถึงเวทีล้อมวงคุย ที่ทำให้คนต่างวัยได้มาแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน

สื่อ…การเรียนรู้คู่ชุมชน

หนังสือการ์ตูนทำมือ หนึ่งในผลผลิตจากการทำงานเก็บข้อมูล ทีมเยาวชนต่างตั้งใจวาด เขียน ระบายสีกันเอง เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ให้กับน้องๆ ในชุมชนได้ศึกษาความเป็นมาของบ้านเขาน้อย

เนื้อหาในหนังสือการ์ตูน ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน ผ่านตัวละครที่พวกเขารวมกันคิด เปิดเรื่องด้วยความสงสัยใคร่รู้ของเด็กกลุ่มหนึ่งที่อยากรู้จักประวัติของหมู่บ้านเขาน้อย เข้ามาถามเด็กๆ ที่ทำโครงการการศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านเขาน้อย พวกเขาจึงพาเด็กๆ กลุ่มนี้ไปเจอผู้รู้ ทำให้ได้รู้ความเป็นมาของชุมชน

เบสบอกว่า หนังสือการ์ตูนเล่มนี้ตั้งใจทำให้เด็กๆ ในชุมชนได้อ่าน หนังสือถูกออกแบบให้มีสีสัน เพื่อดึงดูดใจเด็กๆ ให้อยากหยิบขึ้นเปิดดู ได้สนุกกับเรื่องเล่าที่ให้เขาได้รู้จักประวัติศาสตร์ของตัวเอง ปัจจุบันหนังสือการ์ตูนประวัติศาสตร์บ้านเขาน้อย จัดวางอยู่ที่ ศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา) ดารุลนาอีม ของชุมชน

ไม่เพียงแค่หนังสือ กลุ่มแกนนำเยาวชนยังทำคลิปวิดีโอแนะนำสถานที่สำคัญบ้านเขาน้อย เช่น  สุสานโต๊ะแซะห์ – สุสานของโต๊ะกราหมาด ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญทางศาสนา, สุสานโต๊ะสาหวาย -บุคคลสำคัญที่เดินทางมาจากอินโดนีเซีย, กอหลำ – แหล่งน้ำสำคัญที่ใช้มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีน้ำให้ใช้ตลอดทั้งปี และ บ่อหลอม – บ่อน้ำที่ใช้ในอดีต หลอมขึ้นจากปูน โดยไม่ใช้ท่อและยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน แฟนเพจเขาน้อยบ้านฉัน เป็นพื้นที่บนโลกโซเชียลมีเดียที่กลุ่มเยาวชนใช้เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูล

พาน้องเล่น…กิจกรรมประวัติศาสตร์ชุมชน

ภารกิจสุดท้ายที่ทีมงานร่วมกันออกแบบคือการจัดกิจกรรมร่วมกับน้องๆ ในชุมชน เพื่อบอกเล่าเรื่องประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน

มัสยิดดารุลนาอีม คือ พื้นที่ในการรวมตัวของเยาวชนสำหรับจัดกิจกรรมนี้ เด็กที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นนักเรียนจากศูนย์ตาดีกา เพราะอยู่ในพื้นที่ของมัสยิดอยู่แล้วจึงง่ายต่อการจัดงาน

แผ่นพับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำกิจกรรม ให้น้องๆ แบ่งกลุ่มระดมความคิด พูดถึงประวัติชุมชนที่ชอบหรือสนใจจากทั้งหมด 5 หัวข้อ แล้วส่งตัวแทนออกมานำเสนอ

“ผลตอบรับในวันนั้นน้องชอบและดีใจ มีหลายคนถามว่าเมื่อไหร่จะมีกิจกรรมแบบนี้อีก เพราะน้องอยากให้มีกิจกรรมแบบนี้สม่ำเสมอ” เบสเล่า

เบสบอกว่ามีน้องบางคนที่แอบดื้อ งอแงอยากกลับบ้าน จึงต้องหลอกล่อด้วยการนำเสนอของรางวัลให้เป็นการตอบแทน

“พวกน้องทำแบบนี้ดีมาก ลุงอยู่ชุมชนบ้านเขาน้อยมา 60 กว่าปีแต่ยังไม่รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์บ้านเขาน้อย” คุณลุงคนหนึ่งเอ่ยกับเด็กๆ

“คนในชุมชนสะท้อนให้ฟัง ผมรู้สึกดีใจที่เราได้เป็นเยาวชนกลุ่มแรกที่ได้ค้นคว้าประวัติชุมชนของตนเอง” เบส บอกว่า นาทีนั้นเขาประทับใจมาก ทำให้เขาและทีมงานมีกำลังใจในการทำงานเพื่อชุมชนต่อไป

ก่อนนี้ถ้าถามเบสเกี่ยวกับประวัติชุมชน เบส บอกว่า สิ่งที่เขารู้เท่ากับศูนย์ แต่ยิ่งทำโครงการ ได้สืบค้น ยิ่งได้รู้จักและทำให้เบสรู้สึกรักและอยากพัฒนาต่อยอดโครงการไปสู่การจัดการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ผ่านกิจกรรมการปั่นจักรยานหรือรถสามล้อ พานักท่องเที่ยวไปตามสถานที่สำคัญต่าง ๆ เขาอยากให้บ้านเขาน้อยเป็นที่รู้จักของคนภายนอก ส่วนหนึ่งก็เพื่อสร้างรายได้สู่ชุมชน แต่ส่วนสำคัญเป็นเพราะเขารู้สึกภาคภูมิใจจนอยากบอกต่อ

จากเด็กผู้ชายหลังเสา เวลามีงานทีไรเขามักหลบหลีกไป ไม่กล้าจับไมค์ แต่เพราะเข้าร่วมกิจกรรมและได้รับการฝึกฝนทักษะการทำงานจากโครงการ  ได้ขยับขึ้นมาเป็นแกนนำหลักในปีที่สอง เบสเห็นพัฒนาการของตัวเอง

จากโครงการในปีที่หนึ่ง ที่เคยมีพี่ ๆ ช่วยตอบคำถามให้ แต่มาปีนี้รุ่นพี่ต่างแยกย้ายออกไปเรียนทำให้เหลือเบสและเพื่อนสมาชิกใหม่ สถานการณ์จึงบังคับให้เบสต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ กล้าจับไมค์และพูดบอกเล่าเรื่องราวของตนเองและโครงการให้คนอื่นฟังอยู่บ่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องที่ทำเป็นประจำ วันนี้เด็กชายหลังเสาได้กลายเป็นคนกล้าแสดงออกในที่สุด

“ผมได้เป็นนักเรียนเข้ารับการประเมินนักเรียนพระราชทาน ปีการศึกษา 2563 ในวันประเมินผมได้นำโครงการที่ผมทำ นำเสนอคณะกรรมการ และได้นำเทคนิคการพูดที่ได้จากโครงการนี้ คือความกล้าแสดงออกมาพูดนำเสนอ ผลออกมาคือผมได้รับรางวัลพระราชทานในปี 2564 เป็นความภาคภูมิใจของผม” เบสบอกเล่าเรื่องราวสุดประทับใจด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า

จากความตั้งใจในการสืบค้นข้อมูลความเป็นมาต้นตระกูลของคนในชุมชน และความเป็นมาของหมู่บ้านที่ตนอาศัยอยู่ กลุ่มเยาวชนรักษ์เขาน้อยทำให้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของชุมชนถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ชุมชนบ้านเขาน้อยกลับมามีชีวิตชีวา เพราะไม่ใช่แค่เพียงการรับรู้ประวัติศาสตร์ของชุมชน แต่เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้นำทางศาสนา ก่อเกิดเป็นความรักความผูกพันของคนในพื้นที่เพราะทุกคนคือเครือญาติ เพราะทุกคนคือพี่น้องกัน

บางทีอาจถึงเวลาแล้วที่ฉันน่าจะลงมือสืบเสาะหาประวัติความเป็นมาของชุมชนตัวเองบ้างเหมือนกัน!

Tags:

active citizenproject based learningประวัติศาสตร์

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    ขึ้นควนไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติบ้านตะเหมก จังหวัดตรัง ไขปริศนาลี้ลับ “ควนดินดำ” ที่มีมากว่า 200 ปี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ทอดน่องท่องบ้านแหลมสน ชมโบราณสถาน ย้อนรอยเมืองสิงหนคร

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    นิทานพื้นบ้าน ร่องรอยความทรงจำในโลกปัจจุบันที่พาไปรู้จักอดีต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    เมื่อแว้นบอยย่อส่วน “เรือพลี้ด” มหัศจรรย์ความเร็วแห่งทะเลหาดสำราญเป็นงานฝีมือแสดงเอกลักษณ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

นางพญางูขาว: เราตัดสินใจด้วยหัว หรือด้วยใจ มากกว่ากัน?
Myth/Life/Crisis
26 March 2021

นางพญางูขาว: เราตัดสินใจด้วยหัว หรือด้วยใจ มากกว่ากัน?

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ทางจิตวิทยามีการจำแนกแนวโน้มในการตัดสินใจที่มนุษย์ใช้อยู่ 2 วิธี คือแบบ Thinking ใช้หัวตัดสิน คิดวิเคราะห์ด้วยเหตุผลตามตรรกะ และแบบ Feeling ตัดสินใจด้วยความรู้สึก มีการประเมินคุณค่าที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคนเป็นกรณีไป
  • เมื่อสองวิธีการตัดสินใจดังกล่าวถูกนำมาใช้ในความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์บางอย่างหากให้ตัดสินใจเอาตามเหตุผลแล้วดูไม่น่ารอดและอาจจะควรรีบทำให้มันจบไป แต่เมื่อใช้ความรู้สึกตัดสินก็อาจจะอยากดันทุรังไปต่อให้จงได้เพื่อตอบสนองคุณค่าทางจิตใจบางอย่าง เช่น ทำงานที่นี่ต่อดีหรือไม่ หรือถ้าต้องปลดพนักงาน ควรปลดคนไหนออก ฯลฯ
  • ภัทรารัตน์ อธิบายเรื่องนี้ผ่าน 2 ตัวละครจากตำนานนางพญางูขาว ‘ไป๋ซู่เจริน’ และ ‘ภิกษุฝาไห่’ และแบบทดสอบว่าคุณเป็นคนที่ใช้ ‘สมอง’ หรือ ‘ใจ’ ในการตัดสินมากกว่ากัน

ตำนานนางพญางูขาว《白蛇传》เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิทานพื้นบ้านของจีน เชื่อกันโดยยังไม่เป็นที่ยุติว่า แต่เดิมเป็นเรื่องเล่าที่เริ่มขึ้นสมัยราชวงศ์ถัง โดยมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาค่อนข้างมากสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ และเริ่มปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในงานซึ่งค้นพบในช่วงราชวงศ์หมิงชื่อจองจำงูขาวชั่วนิรันดร์ในเจดีย์เหลยเฟิง《白娘子永鎮雷峰塔》(白娘子 สามารถแปลได้ว่า แม่นางสกุลไป๋ ส่วน ‘ไป๋’ ในบริบทอื่นๆ แปลได้หลายอย่างเช่น ขาวหรือกระจ่าง เป็นต้น)  

แนวเรื่องพื้นฐานของตำนานนางพญางูขาวที่เล่าขานกันมานั้นไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ทว่ารายละเอียดมีความหลากหลายมาก ตำนานท้องถิ่นเก่าๆ วาดภาพเธอเป็นนางปิศาจสาวสวยที่มาล่อลวงชายหนุ่ม บางเวอร์ชั่นบรรยายว่า แม้แต่นักพรตเต๋าและภิกษุแห่งพุทธศาสนาก็มิอาจปราบนางได้ กระทั่งต้องอัญเชิญพระโพธิสัตว์กวนยินมาปราบ เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของ Lindsay Emerson ที่ว่าความแตกต่างของเนื้อเรื่องโดยเฉพาะตอนจบมักเป็นเครื่องแสดงว่าคนเล่าเข้าข้างอุดมการณ์ฝ่ายไหนระหว่างเต๋า ขงจื้อ หรือพุทธศาสนา อันเป็นสามสายธารสำคัญในประวัติศาสตร์ปรัชญาศาสนาของจีนซึ่งปฏิสัมพันธ์กันอยู่ในตำนานนี้ 

นางพญางูขาวบำเพ็ญพรตมา 1,000 ปีถึงสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ ครั้นได้ร่างมนุษย์แล้ว นางก็เดินทางไปยังทะเลสาบตะวันตก (ซีหู – 西湖) ที่นครหังโจว ณ ทะเลสาบ นางพญางูในร่างมนุษย์นามว่าไป๋ซู่เจริน (白素贞) ได้พบกับบัณฑิตหนุ่ม สวู่เซียน (许仙) หลังจากที่เขาเพิ่งไหว้มารดาผู้ล่วงลับ และไม่นานนัก พวกเขาก็หลงรักและแต่งงานกัน

Lindsay Emerson ลงความเห็นต่อพื้นภูมิของนางพญางูว่ามีความเป็นเต๋า (道)เนื่องจากมีเรื่องการบำเพ็ญพรตไปเพื่อให้ได้ฤทธิ์และความมีอายุยืน ส่วนสวู่เซียนที่เพิ่งแสดงความกตัญญูผ่านการไหว้มารดาผู้วายชนม์นั้น น่าจะเป็นภาพแทนของลัทธิขงจื้อ แต่เดิมสวู่เซียนมีรายได้จากร้านขายยาซึ่งไม่ได้มากมายอะไรนัก ในขณะที่ซู่เจรินสามารถเนรมิตเงินทองและบ้านช่องห้องหอ พูดง่ายๆ ว่าสวู่เซียนได้เมียรวย ซู่เจรินเหนือชั้นกว่าสามีทั้งสถานะทางโลกและทางฤทธิ์เหนือโลก และไม่ต้องเชื่อฟังสามี ดังนั้น แม้แนวเรื่องสมัยใหม่จะเน้นความรักแท้ของซู่เจรินมากกว่าจะทำให้นางเป็นปิศาจชั่วดังเนื้อเรื่องในเวอร์ชั่นเก่า แต่ความสัมพันธ์หญิงเหนือชายลักษณะนี้นับว่าค่อนข้างแหวกอุดมการณ์ชายเป็นใหญ่ที่แทรกซึมอยู่ในแนวคิดของลัทธิขงจื้อและพุทธศานาจีนยุคโบราณไปมากถึงขั้นพลิกกลับเลยทีเดียว 

ยังมีอีกตัวละคร คือ ภิกษุฝาไห่ (法海 ในที่นี้ขอแปลว่า ห้วงสมุทรแห่งกฎเกณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาในที่นี้) เขาเป็นพระเถระในพุทธศาสนา ทว่ามีบทบาทดั่งมารผจญความรักของนางพญางูกับสวู่เซียน เขาก็เหมือนไป๋ซู่เจรินที่บางเวอร์ชั่นก็ถูกทำให้เป็นผู้ร้ายโดยสมบูรณ์ แต่ที่เห็นส่วนใหญ่จะวาดภาพว่าฝาไห่เบียดเบียนผู้อื่นเพียงเพราะเขาเชื่อจริงๆ ว่าซู่เจรินอันตรายร้ายกาจ และคิดว่าตัวเองมีหน้าที่ทางศีลธรรมที่ต้องปราบงู หรือเขามีความเชื่อแบบเถรตรงว่าการที่งูกับคนอยู่ร่วมนั้นผิดกฎสวรรค์เลยต้องจับแยก 

ในที่สุดฝาไห่ก็สามารถขังนางพญางูไว้ในเจดีย์เหลยเฟิง ซึ่งเรื่องราวต่อจากนี้มีสามแบบหลักๆ แต่ที่คนจีนชอบเล่ากัน คือ ซู่เจรินได้ให้กำเนิดบุตรชายก่อนถูกขังในเจดีย์ และภายหลังบุตรของนางเติบโตขึ้นและกลายจอหงวนเรืองนาม เขาได้กลับไปยังเจดีย์เพื่อถวายเครื่องบูชาแด่มารดาและด้วยความกตัญญูจึงทำให้เจดีย์ที่ใช้ขังมารดาพังทลายลงมา ซู่เจรินจึงได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง

ไป๋ซูเจิน เป็นตัวละครที่ตัดสินใจไปตามความรู้สึก (ประเมินค่า) ส่วนบุคคล และให้ความสำคัญกับการรักษาความสัมพันธ์มากกว่าตัดสินใจตามกฎเกณฑ์ที่เอาไว้ใช้กับคนหมู่มาก 

ส่วนภิกษุฝาไห่ในเวอร์ชั่นที่เขาไม่ได้เป็นตัวร้ายโดยสิ้นเชิง มีแนวโน้มจะตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยพยายามหากฎ หรือมาตรฐานที่ใช้ได้กับทุกอย่าง ถ้าหากฝาไห่รับรู้ได้เฉพาะว่าตนเองตัดสินใจแบบใช้เหตุผลจากหัวสมอง ไป๋ซู่เจรินก็อาจเป็นร่างปรากฏของการตัดสินใจแบบใช้ใจที่ถูกฉายมาจากจิตไร้สำนึก (unconscious) ซึ่งฝาไห่ยังไม่ตระหนักรู้ว่ามีอยู่ในตัวเอง นอกจากนี้ ไป๋ซู่เจรินในความรับรู้ของฝาไห่ยังถูกทาบด้วยภาพลักษณ์วิญญาณฝ่ายหญิง (Anima) ในลักษณะของหญิงร้ายทรงเสน่ห์ที่อาจทำให้ชายพังพินาศ หากฝาไห่ใช้พลังงานแบบหยาง (阳) ซึ่งเชื่อมกับความเป็นชายและความแข็งกร้าวไปจนถึงที่สุดแล้ว สตรีซู่เจรินก็อาจเป็นการตีกลับมาของพลังงานหยิน (阴) อันเชื่อมโยงกับความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรู้สึกสะเทือนอารมณ์ ซึ่งซ่อนอยู่ในหยาง ดังนั้น การตัดสินใจแยกคู่รักงูกับคนของฝาไห่จึงอาจมาจากการใช้หัวหรือใช้ใจก็ได้ ขอไม่ฟันธงเพื่อเปิดสู่การถกเถียงต่อยอดไว้ ณ ที่นี้ 

แบบทดสอบวิธีการตัดสินใจ ดูว่าคุณมีแนวโน้ม ‘ใช้หัว’ หรือ ‘ใช้ใจ’ 

ในเรื่องวิธีการตัดสินใจ ทางจิตวิทยามีการจำแนกแนวโน้มในการตัดสินใจอยู่ 2 วิธี นั่นคือแบบ Thinking และ Feeling ซึ่งจะขอเรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่าใช้หัวและใช้ใจ แบบใช้หัวมักตัดสินใจบนฐานการคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุผลตามตรรกะ ส่วนแบบที่ตัดสินใจด้วยความรู้สึก มักมีการประเมินคุณค่าที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของแต่ละคนเป็นกรณีไป ทั้งนี้ เราจะได้เห็นรายละเอียดอื่นๆ ตอนทำแบบทดสอบในบทความ

โดยทั่วไปคนเราก็ใช้วิธีตัดสินใจทั้งสองอย่างผสมผสานกันไปและไม่ได้แยกสองวิธีออกจากกันได้ชัดขนาดนั้น แต่เพื่อความเข้าใจ จะขอยกตัวอย่างที่ทำให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้นระหว่างวิธีตัดสินใจทั้งสองแบบดังกล่าว สมมติว่าบริษัทหนึ่งกำลังขาดทุนและจำเป็นต้องปลดพนักงานออกเพื่อลดต้นทุน โดยมีตัวเลือกที่จะปลดออก 2 คน คนหนึ่ง เป็นหนุ่มโสดอายุราว 30 ปี เขาทำเงินให้บริษัทในแต่ละปีมากทีเดียวแต่เงินเดือนของเขาไม่สูงนัก ส่วนพนักงานอีกท่านทำงานให้บริษัทนี้มาแต่ยังหนุ่ม เขามีลูกสองคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ช่วงหลังๆ ผลงานเขาตกไปอย่างยิ่งเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ในขณะที่เงินเดือนเขาสูงลิ่วนำหน้าชายคนแรกไปมาก

การตัดสินใจที่เน้นใช้ใจ มีแนวโน้มจะเห็นใจชายอายุ 50 มากกว่าด้วยเหตุผลส่วนตัวต่างๆ ของเขา เช่น เขาทำงานที่นี่มานานแล้วอันแสดงถึงความภักดีต่ององค์กร อีกทั้งเขามีลูกอีกสองคนที่ยังต้องดูแล และอายุก็มากแถมยังมีปัญหาสุขภาพด้วยจึงอาจหางานใหม่ได้ยาก เป็นต้น ส่วนการตัดสินใจที่เน้นใช้หัวก็มีแนวโน้มจะเลือกปลดชายอายุ 50 ออก ซึ่งคนที่พิจารณาคุณค่าส่วนบุคคลอาจเห็นว่าเขาใจร้ายหรือเถรตรงเกินไป ทว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่แสดงความเห็นใจด้วยการเข้าไปแก้ปัญหา โดยใช้หลักคิดตามข้อเท็จจริงของการลดต้นทุนและพยายามจะไม่เลือกที่รักมักที่ชังต่างหาก

เมื่อสองวิธีการตัดสินใจดังกล่าวถูกนำมาใช้ในความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์บางอย่างหากให้ตัดสินใจเอาตามเหตุผลแล้วดูไม่น่ารอดและอาจจะควรรีบทำให้มันจบไป แต่เมื่อใช้ความรู้สึกตัดสินก็อาจจะอยากดันทุรังไปต่อให้จงได้เพื่อตอบสนองคุณค่าทางจิตใจบางอย่าง เราไม่ได้ใช้วิธีตัดสินใจทั้งสองนี้เฉพาะในความสัมพันธ์กับผู้คน แต่รวมไปถึงความสัมพันธ์กับงานด้วย เช่น ทำงานที่นี่ต่อดีหรือไม่ หรือถ้าต้องปลดพนักงาน ควรปลดคนไหนออกเหมือนกรณีที่กล่าวไปข้างต้น ฯลฯ

แล้วคุณล่ะ ชอบตัดสินใจด้วยวิธีใช้หัวหรือใช้ใจมากกว่ากัน? 

คุณจะได้เห็นตัวเองคร่าวๆ ผ่านแบบทดสอบ ซึ่งเมื่ออ่านแต่ละข้อความแล้ว คุณสามารถตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ และถ้าใช่ ใช่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่แบบทดสอบนี้เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ มนุษย์ยังมีความหลากหลายอื่นๆ อีก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องยึดติดกับลักษณะที่ได้จากแบบทดสอบมากเกินไป

  1. สนใจว่าข้อถกเถียงนั้นๆ สมเหตุสมผลไหม และไม่ได้ใส่ใจว่าใครเป็นคนพูด
  2. รู้สึกว่ายากที่จะแยกข้อโต้แย้งออกจากผู้ที่สร้างข้อโต้แย้ง  
  3. ใช้มาตรฐานบางอย่างด้วยความคงเส้นคงวากับทุกคนอย่างเสมอกัน 
  4. ปรับมาตรฐานสำหรับตัดสินใจไปตามคุณลักษณะ ความต้องการ คุณค่าต่างๆ อีกทั้งผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับคนแต่ละคน นอกจากนี้ก็มักจะแสดงความห่วงใยด้วยการรับฟังและแสดงความเห็นอกเห็นใจ   
  5. แสวงหาความจริงที่ไม่เอียงไปทางใดทางหนึ่ง และไม่ลังเลที่จะถามคำถามเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน  
  6. เห็นว่าการรักษาความสัมพันธ์ สำคัญกว่าการหาข้อเท็จจริง และหลีกเลี่ยงที่จะถามคำถามถ้าอาจจะไปกระทบความรู้สึกอีกฝ่าย
  7. มักแสดงความเห็นที่ตรงมากๆ จนบางครั้งดูไม่รักษาน้ำใจหรือหยาบคาย มีความต้องการจะพัฒนาสิ่งที่พัฒนาได้ให้ดีขึ้น
  8. ต้องการรับรองคุณค่าของมุมมองคนอื่น และเชื่อในเรื่องการยอมรับคนอย่างที่เขาเป็น

หากคุณตอบเลขคี่เยอะ คุณมีแนวโน้มที่จะชอบตัดสินใจบนฐานการวิเคราะห์ด้วยตรรกะเหตุผลมากกว่า และหากตอบเลขคู่เยอะก็มีแนวโน้มจะชอบตัดสินใจผ่านการประเมินคุณค่าที่ขึ้นอยู่กับการมองของปัจเจกมากกว่า

คนอื่นอาจมองว่าคนประเภทเลขคี่ว่าเถรตรงเกินไปหรือใจร้ายในหลายสถานการณ์ หรืออาจถูกมองว่าคิดว่าตัวเองเหนือกว่าหรือมีระยะห่างกับคนอื่น ส่วนคนประเภทที่เลือกเลขคู่เยอะก็อาจจะถูกมองว่าถืออารมณ์เป็นใหญ่ หรืออินกับคนอื่นง่ายเกินไป แต่อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว เราทุกคนใช้วิธีตัดสินใจทั้งสองแบบผสมผสานกันไป ซึ่งในชีวิตจริงก็ยากจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจนได้ 

และไม่ว่าคุณจะมีแนวโน้มการตัดสินใจแบบไหน ก็สามารถเรียนรู้จากคนที่แตกต่างจากเราได้เสมอ  

อ้างอิง 
Asian Folklore Studies Vol. 51, No. 1 (1992), pp. 51-66 “From Folklore to Literate Theater: Unpacking Madame White Snake” โดย Whalen Lai
Jung A very short Introduction โดย Anthony Stevens
Looking at TYPE โดย เอิร์ล C. Page ตีพิมพ์โดย Center for Applications of Psychological Type, MBTI step II USES’s Guide
The Legend of the Lady White Snake; An Analysis of Daoist,
Buddhist and Confucian Themes โดย Lindsay Emerson
《从嫁鸡随鸡到半边天》จากตำราวิชาภาษาจีน 4 เรียบเรียงโดย ร.ศ.สมชาย สุขะการค้า ภาควิชาภาษาจีน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

Tags:


Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipSocial Issues
    Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เพราะ ‘ข่าวร้าย’ มักดึงดูดใจกว่า ‘ข่าวดี’: Doomscrolling พฤติกรรมเสพข่าวร้ายไม่หยุด ที่ต้องหยุดตัวเองก่อนเสียสุขภาพจิต

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Love Bombing: เมื่อการทุ่มเทความรักมากมายเป็นเพียงเหยื่อล่อไปสู่ความสัมพันธ์ท็อกซิก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ห้องน้ำ All Gender : การออกแบบพื้นที่ ‘ปลดทุกข์’ เพื่อเรียนรู้และเข้าใจความต่างระหว่างเรา โดย เปเปอร์-ศุทธา มั่นคง
24 March 2021

ห้องน้ำ All Gender : การออกแบบพื้นที่ ‘ปลดทุกข์’ เพื่อเรียนรู้และเข้าใจความต่างระหว่างเรา โดย เปเปอร์-ศุทธา มั่นคง

เรื่อง วายุ เอี่ยมรัมย์

  • การออกแบบห้องน้ำ All Gender ไม่ทำเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่คำนึงถึงการใช้งานสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็น เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย LGBTQ+ ไม่มีอคติ ไม่จำกัดกรอบว่าเกย์ต้องชอบสีม่วง LGBTQ+ ต้องเป็นสีรุ้ง 
  • ความมุ่งหวังของการออกแบบห้องน้ำ All Gender คือชวนทุกคนเข้าใจความแตกต่างหลากหลายของเพื่อนมนุษย์ เกิดการเรียนรู้พฤติกรรมซึ่งกันและกัน และนำไปสู่ความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น โดยมีปลายทางอยู่ที่ความเท่าเทียมกันในสังคม

ภาพ : ปริสุทธิ์

คนทั่วไปมักมองห้องน้ำเป็นที่ ‘ปลดทุกข์’ แต่ภายใต้บริบททางสังคมและการออกแบบห้องน้ำที่มีแค่ห้องน้ำชาย/หญิง ช่วงเวลาสั้นๆ ในพื้นที่เล็กๆ กลับสร้างความทุกข์ให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง

ไม่ว่าจะมาจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด หากเข้าห้องน้ำผู้หญิงก็อาจถูกมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ ตรงกันข้ามถ้าเข้าห้องน้ำชายก็อาจถูกกลั่นแกล้งหรือล้อเลียน นอกจากนี้ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกมองข้าม นั่นคือผู้ที่มีสภาพร่างกายแตกต่างซึ่งพวกเขาก็ต้องการทางเลือกในการใช้ห้องน้ำที่สะดวกและปลอดภัยเช่นเดียวกัน 

ทั้งหมดนี้เป็นที่มาที่ทำให้ ‘เปเปอร์’ ศุทธา มั่นคง นักศึกษาปริญญาโทคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาการบริหารจัดการออกแบบภายใน มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เริ่มต้นผลงานวิจัยการออกแบบห้องน้ำ All Gender เพื่อเป็นพื้นที่ที่ไม่ซ้ำเติมความทุกข์ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ภายใต้แนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) 

โดยความสนใจเรื่องความเท่าเทียมของคนในสังคมของเขา เริ่มต้นจากการที่คนใกล้ตัวคือน้องชายเป็นผู้พิการทางสายตาต้องประสบปัญหาในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการใช้พื้นที่สาธารณะ นอกจากนี้ตอนที่ศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์ เขามีโอกาสพบเห็นปัญหาความยากลำบากของชีวิตคนบนดอยคนชายขอบ จึงได้สะท้อนมุมมองเรื่องความไม่เท่าเทียมผ่านภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “คนใน-คนนอก” 

เมื่อได้ศึกษาต่อด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ จึงหยิบปัญหาความไม่เท่าเทียมมาเป็นแนวทางในการออกแบบห้องน้ำ All Gender เพื่อนำเสนอทางเลือกในการใช้ห้องน้ำบนพื้นฐานความแตกต่างหลากหลายของผู้คนในสังคม  ซึ่งปัจจุบันเขากำลังเตรียมตัวไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น และมีความคิดที่จะพัฒนาต่อยอดงานวิจัยการออกแบบห้องน้ำ All Gender ให้เหมาะสมกับการใช้งานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแก้ข้อจำกัดต่างๆ ที่ผลงานยังมีข้อบกพร่องอยู่ หรือการลดต้นทุนวัสดุเพื่อควบคุมงบประมาณการก่อสร้าง เพื่อตอบโจทย์ทั้งเรื่องความคุ้มค่า ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยให้ได้มากที่สุด

กว่าจะมาเป็นห้องน้ำ All Gender วางแนวทางการออกแบบอย่างไรบ้าง

ในการออกแบบห้องน้ำ All Gender จะมีการเก็บกลุ่มตัวอย่างโดยให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมวางแปลนห้องน้ำในแบบที่ตัวเองต้องการ กลุ่มตัวอย่างจะมีทั้งชายหญิง LGBTQ+  มีทุกเพศไม่มีการอคติ (Bias) ว่าเป็น LGBTQ+ เท่านั้นที่จะเป็นคนวางแปลนห้องน้ำนี้ได้ เพราะห้องน้ำที่ดีควรจะใช้ได้กับทุกคน จึงได้แปลนห้องน้ำออกมา 3 ตัวอย่างตามลักษณะการใช้งาน

แปลน A กลุ่มตัวอย่างนี้มองในเรื่องฟังก์ชันเป็นหลัก โดยจะคำนึงถึงคนพิการและทุกคน จะมีการแบ่งเป็นโซน ไม่มีประตูทางเข้าออก ผู้เข้าใช้งานจะรู้สึกถึงความสบายใจ ถ้าหากเป็นการปิดประตูทางเข้าหมดเลย ผู้หญิงหรือคนอื่นๆ จะรู้สึกว่าเขากำลังถูกกดขี่ทางด้านเพศอยู่ มีอ่างล้างมืออยู่ตรงกลาง และมีกระจกใหญ่ด้านในสุดของห้องน้ำ เพื่อเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของคนที่อยู่ภายใน การทำงานของกระจกจะคล้ายๆ กล้อง cctv การออกแบบจะให้ความรู้สึกเรียบง่าย มีความเป็นส่วนตัว ห้องโถปัสสาวะจะเป็นบานสวิงพับ เพื่อให้ผู้ชายหรือคนที่อยากจะใช้งานตรงนี้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น จะมีอ่างล้างมือภายในห้องโถปัสสาวะ เมื่อทำธุระเสร็จก็สามารถที่จะล้างมือแล้วออกไปได้เลย

แปลน B กลุ่มตัวอย่างจะมองในเรื่องของความเป็นส่วนตัวในห้องน้ำ หากห้องน้ำนี้ไปตั้งที่ห้างสรรพสินค้าก็ต้องมีถุงช้อปปิ้ง ถุงเสื้อผ้าหรือเข็นรถลูกหลานเข้ามาในห้องน้ำ จึงต้องออกแบบให้มีห้องน้ำขนาดใหญ่ 2 ห้อง เพื่อรองรับกลุ่มคนประเภทนี้ จะได้ไม่ต้องทิ้งลูกหลานไว้ด้านนอกเมื่อคุณแม่ต้องการเข้าห้องน้ำ 

ลักษณะเด่นของแปลนนี้ก็คือมีกระจกเพื่อส่องตัวเอง ในเมื่อเรารวมทุกเพศอยู่ในห้องน้ำนี้ จะให้ผู้หญิงมายืนเเคะฟันมันก็ไม่สมควร จึงมีการออกแบบบานกระจกให้เหมือนซองจอดรถที่สามารถเข้าไปส่องได้คนเดียว มีการแบ่งโซนห้องโถปัสสาวะเพราะกลุ่มตัวอย่างเพศชายมองว่า ผู้ชายไทยน่าจะไม่มีความเขินอายซึ่งกันและกัน จึงไม่ต้องมีบานสวิงพับกั้นไว้ ประตูของห้องโถปัสสาวะจะเป็นบานสไลด์เพราะข้างในไม่มีอ่างล้างมือ แต่จะมีอ่างล้างมือด้านหน้าประตู และแปลนนี้จะมีกระจกใหญ่ด้านในสุดของห้องน้ำที่มีคุณสมบัติเหมือนกันกับแปลน A

แปลน C กลุ่มตัวอย่างอยากสร้างพื้นที่ทางเดินให้ไม่มีความซับซ้อนมากเท่ากลุ่ม A คำนึงถึงการมีห้องน้ำขนาดใหญ่เหมือนกันแปลน B จะมองเรื่องความปลอดภัยที่แตกต่าง คือควรเอาโถปัสสาวะมาไว้ที่ห้องน้ำใหญ่ไปเลย บางคนที่เป็นผู้ชายข้ามเพศเขาอาจจะยังไม่ได้ผ่าตัดแปลงเพศ แล้วเขาสะดวกใจที่จะยืนปัสสาวะ หรือไม่ก็อาจจะเป็นผู้หญิงที่มีลูกชายแล้วเข้ามาใช้ห้องน้ำหรือเป็นคุณตาก็สามารถที่จะใช้ได้ 

เรามองภาพรวมในการออกแบบหมดว่าใครเข้าใช้งานบ้าง ไม่ใช่แค่ว่าคำนึงถึง LGBTQ+ อย่างเดียว เรามองถึงทุกเพศที่เข้าใช้งานด้วยความสบายใจ สามารถตอบโจทย์กับทุกคน ในเมื่อไม่มีอ้างล้างมือข้างในห้องน้ำใหญ่ การออกแบบประตูจึงต้องเป็นประตูสไลด์ แปลนนี้จะมีกระจกใหญ่ด้านในสุดของห้องน้ำที่มีคุณสมบัติเหมือนกันกับแปลน A และ B เช่นกัน

แปลน A

แปลน B
แปลน C

ความท้าทายในการออกแบบห้องน้ำ All Gender คืออะไร

เสียงตอบรับการออกแบบห้องน้ำนี้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เพราะกระแสจากข้างนอกที่ไม่ได้มาฟังเราอธิบายเขาจะรู้สึกปฏิเสธทันที สิ่งนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ ขนาดมีห้องน้ำธรรมดาตอนนี้ยังเป็นถึงขนาดนี้ การมีห้องน้ำรวมมันยิ่งเปิดทางให้กับคนที่เขาไม่ดีเข้ามาหรือเปล่า จึงอยากจะเปิดมุมมองใหม่ให้สังคมอีกมุมว่า ห้องน้ำไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ปลอดภัยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีห้องน้ำไหนในโลกที่จะปลอดภัยได้ถึงขนาดนั้น

เราเคยสงสัยไหมว่าการที่ประเทศไทยเรามีเสรีภาพ ที่จะสามารถแสดงออกทางเพศได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่มีการสร้างที่สาธารณะเพื่อรองรับพวกเขา ที่จริงแล้วมันควรจะมีบ้างหรือเปล่า? อันนี้คือคำถามที่ผมรู้สึกสงสัยและอยากจะถามกลับสังคมเหมือนกัน

เมื่อสร้างห้องน้ำ All Gender นี้มา เราก็ไม่ได้บอกว่าเราทำเพื่อให้ LGBTQ+  อย่างเดียว เราก็ต้องคำนึงถึงห้องน้ำสำหรับคนทุกเพศที่สามารถใช้ได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ เด็กเล็ก เด็กโต LGBTQ+ หากวกคำถามกลับมาว่ามันจะมีความปลอดภัยขนาดนั้นไหม คือความปลอดภัยที่บอกไปไม่มีที่ไหนปลอดภัยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ขนาดนั้น ผมคิดว่าแล้วแต่สังคมไหนเขารับได้กันมากกว่า อย่างเช่นอเมริกาสามารถออกแบบห้องน้ำนี้ได้ รัฐบางรัฐก็ไม่สามารถออกแบบได้เช่นกัน เพราะว่าด้วยกฎหมายต่างๆ แต่ประเทศเรามันสามารถที่จะออกแบบได้ เพราะว่ากฎหมายควบคุมอาคารไม่ได้จำกัดไว้ว่าต้องเป็นห้องน้ำชายและหญิงเท่านั้น แต่บอกไว้แค่ว่าควรติดป้ายสัญลักษณ์ว่าพื้นที่นี้มันคือพื้นที่อะไรมากกว่า

การที่สังคมมองว่าห้องน้ำนี้ไม่ปลอดภัย และตั้งคำถามว่าจะป้องกันความปลอดภัยได้ยังไงเมื่อเข้าห้องน้ำ อยากจะยกตัวอย่างในเมืองที่เป็นพื้นที่เรียกว่าย่านเจริญแล้ว แต่ไม่มีความปลอดภัยเรื่องห้องน้ำ แสดงว่าประเทศไทยไม่มีที่ไหนปลอดภัยแล้วหรือเปล่า? ความปลอดภัยของห้องน้ำมันก็สะท้อนถึงภาพลักษณ์ของสังคมด้วยเช่นกัน

แปลนห้องน้ำ All Gender ที่ออกแบบมานี้คิดว่าเหมาะกับบริบทของสังคมไทยแล้วหรือยัง

ห้องน้ำ All Gender เป็นไปได้ที่จะใช้ในสังคมไทย แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้เข้ากับจุดประสงค์การใช้งานและสถานที่ เพราะ 3 แปลนที่ยกมาเป็นการเก็บตัวอย่างจากกลุ่มเป้าหมายหลักก็คือ ผู้ชายข้ามเพศ

กลุ่มคนเหล่านี้เขาเจออะไรที่หนักหนา อย่างเช่นยามลากออกจากห้องน้ำ ถูกผู้หญิงกีดกัน หรือถูกเด็กที่มากับแม่แล้วถามว่าพี่เขาเป็นเพศอะไร กลุ่มคนเหล่านี้เขารู้สึกว่าเขาไม่สบายใจในการเข้าห้องน้ำ เข้าห้องน้ำครั้งหนึ่งมันเป็นเหมือนตราบาปของเขาเลย 

นี่จึงเป็นการออกแบบห้องน้ำคร่าวๆ ว่ามันควรจะเป็นแบบนี้ แต่หากจะไปออกแบบสถานที่อื่นเราก็จะมาดูที่หลักทฤษฎีของ Queer Universal Design ในการออกแบบอยู่แล้ว อย่างเช่นนักออกแบบต้องมีจิตใจที่ไม่ได้จำกัดกรอบแค่ว่าเกย์ต้องชอบสีม่วง LGBTQ+ ต้องเป็นสีรุ้ง เราต้องมองว่าสถานที่จะตั้งเป็นยังไง วัตถุประสงค์เพื่อขับถ่าย เราก็ต้องออกแบบห้องน้ำ All Gender เพื่อขับถ่าย งานของผมที่ออกแบบอาจจะไปใช่ที่สุด The best one นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นในการออกแบบ เพื่อเปลี่ยนแปลงความเท่าเทียมในสังคมให้มีมากขึ้น ถ้าหากมีใครที่สามารถต่อยอดและเห็นความผิดพลาดในงานของผม ผมก็ยินดีที่เขาทำและผมก็อยากจะร่วมงานกับเขาด้วย

ห้องน้ำ All Gender ควรเริ่มใช้ที่ไหนมากที่สุด ถึงจะเปลี่ยนพฤติกรรมสังคมจนนำไปสู่ความเท่าเทียมได้

ตอนนี้อยากให้เริ่มที่สำนักงานก่อน เพราะสำนักงานเป็นองค์กรขนาดเล็ก ถ้าเราสามารถทำงานกับกลุ่มของพนักงานบริษัทได้ ผมก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดี สมมติว่าภายในองค์กรมีพนักงานประมาณ 50 คน พอมีห้องน้ำรวมขึ้น บุคคล 1 ใน 50 คนที่ใช้งานห้องน้ำนี้ ก็จะคุ้นชินและเรียนรู้ หากบริษัทหนึ่งมีพนักงาน 20 หรือ 1,000 คน มันก็จะค่อยๆ ขยับสร้างความเข้าใจให้กับสังคม จนสามารถนำห้องน้ำนี้ไปตั้งที่ห้างหรือในที่สาธารณะได้

ในมุมมองของคุณ ห้องน้ำที่ดีควรเป็นแบบไหน

ง่ายๆ ก็คือความเท่าเทียมและความสบายใจต่อการใช้งาน ความสบายใจก็พูดถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย ถ้าเราสบายใจ แต่…เอ๊ะ เราปลอดภัยหรือเปล่า? แสดงว่าเรานั้นก็ไม่สบายใจละ จริงๆ แล้วห้องน้ำที่ดีตามหลักที่มันจะเป็นก็คือการเป็น Queer Universal Design สำหรับผมนะ เหมาะกับทุกคนที่เข้าใช้งาน ไม่เกี่ยงเพศ ชาติ ศาสนา สามารถเข้าได้ทุกที่ ทุกเพศ ทุกเวลา

ถ้าอย่างนั้นเราสร้างห้องน้ำ Unisex แยกจากห้องน้ำชายหญิงไม่ดีกว่าหรือ

หากเราไปสร้างห้องน้ำชายหญิง ห้องน้ำ Unisex ตรงกลาง ท้ายที่สุดคนก็ไม่เลือกใช้ห้องน้ำ Unisex ในทางพฤติกรรม ถึงแม้เราจะมีตัวเลือกให้คนเลือก คนก็ไม่กล้าเข้าเพราะผู้หญิงอาจมองว่าเขาไปเข้าห้องน้ำสำหรับผู้หญิงมันจะดีกว่าหรือเปล่า 

เพราะฉะนั้นเราจะไม่มีตัวลือก หนึ่ง สอง สาม ไม่มีการทำให้เห็นความแตกต่าง (Discriminate) ขนาดนั้น สำหรับผมมองว่าการมีห้องน้ำ All Gender มันดีกว่า เพราะมันจะทำให้แต่ละคนในสังคมเกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

คุณเชื่อจริงๆ หรือว่าถ้ามีห้องน้ำ All Gender ขึ้นมาใช้ทั่วประเทศ จะสร้างความเท่าเทียมขึ้นในสังคม?

หากมีห้องน้ำ All Gender มันจะเกิดความเท่าเทียมทางเพศในไทยมากขึ้น เราจะเข้าใจเพื่อนมนุษย์คนนึงที่เขามีความลำบากในการใช้งานมากขึ้น หรือกระทั่งเราจะไม่รู้สึกว่ากลุ่มคนนี้เป็นคนประหลาด บางคนอาจเคยตั้งคำถามว่าเวลาผู้ชาย ผู้หญิง หรือ LGBTQ+  เขาเข้าห้องน้ำเขาทำอะไรกันบ้าง พอเกิดคำถามก็จะไปจินตนาการภาพลักษณ์กันเอาเอง สิ่งนี้มันยิ่งทำให้ไม่ได้เข้าใจกันจริงๆ ผมมองว่าการเข้าห้องน้ำด้วยกันไปเลย มันจะทำให้เกิดการเรียนรู้พฤติกรรมซึ่งกันและกัน จนเกิดความเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้นไปพร้อมกันๆ

Tags:

ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)LGBTQ+ห้องน้ำ All GenderUniversal Design

Author:

illustrator

วายุ เอี่ยมรัมย์

Related Posts

  • Adolescent Brain
    6 คุณลักษณะที่บอกว่าเด็กคนนี้ฉายแววอัจฉริยะ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Dear Parents
    พ่อแม่ควรทำอย่างไรดี เมื่อรู้ว่าลูกเป็น LGBTQ+

    เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • EF (executive function)
    เราแค่ ‘รู้’ แต่เราไม่ ‘รู้สึก’ การศึกษาไทยจึงถูกทิ้งไว้กลางทาง : เดชรัต สุขกำเนิด

    เรื่อง

ชมเด็กอย่างไรให้ถูกทาง : Temporal Comparison ชมโดยเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวันก่อน และสอนว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ
Character building
23 March 2021

ชมเด็กอย่างไรให้ถูกทาง : Temporal Comparison ชมโดยเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวันก่อน และสอนว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การประกวด การแข่งขัน และรางวัล กลายเป็นส่วนหนึ่งในระบบการศึกษาของแทบจะทั่วโลก ผู้เปรียบเทียบย่อมต้องการให้เด็กๆ ที่มีผลงานดี เกิดความภาคภูมิใจ จนโน้มนำให้เกิดความพยายามทำผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ หรือกล้ายอมรับความท้าทาย ทำสิ่งที่ยากกว่าเดิม แต่การให้รางวัลทำนองนี้ ทำให้เกิด “ผู้ชนะ” จำนวนน้อยนิด แต่ “ผู้แพ้” จำนวนมาก
  • นักวิจัยเชื่อกันว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือ ชมแบบเปรียบเทียบตัวเด็กคนนั้นในตอนนี้กับก่อนหน้านี้ เรียกว่า Temporal Comparison โดยไม่ต้องไปใส่ใจกับผลที่คนอื่นทำได้ การเปรียบเทียบแบบนี้จึงเป็น “การแข่งขันกับตัวเอง” อย่างแท้จริง

เรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาสำหรับคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากคือ จะชมลูกอย่างไร แค่ไหนจึงจะพอดี คือทำให้เกิดความภาคภูมิใจ แต่ไม่เหลิงจนเสียคน หรือก่อปัญหาคาดไม่ถึงในภายหลัง? 

ไม่ง่ายเลยจริงๆ นะครับ

ผู้ปกครองมักจะถามพวกเด็กๆ ว่า “ได้เกรดเท่าไหร่?” ซึ่งก็มักจะตามด้วยคำถามต่อมาว่า “ใครได้คะแนนสูงสุดในห้อง?” การเปรียบเทียบทำนองนี้เกิดขึ้นทั่วโลกจนเป็นเรื่องสามัญมากๆ นะครับ การเปรียบเทียบลักษณะนี้ในทางวิชาการเรียกว่าเป็น การเปรียบเทียบเชิงสังคม (social comparison) ซึ่งมีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ว่า ส่งผลกระทบต่อความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของเด็กๆ ที่ได้รับการเปรียบเทียบแบบนี้เป็นอย่างมาก 

มีครูอาจารย์และโรงเรียนจำนวนมากที่ใช้วิธีประกาศ “นักเรียนดีเด่น” ทั้งแบบเรียนดีหรือกีฬาเด่น ทั้งแบบหน้าห้องเรียนหรือในหอประชุมท่ามกลางนักเรียนทั้งโรงเรียน พวกพ่อแม่ก็มักจะยกย่องลูกๆ ด้วยความปราบปลื้มใจเวลาผลการเรียนเหนือกว่าเพื่อนๆ ในชั้น 

การประกวด การแข่งขัน และรางวัล กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของการศึกษาในระบบการศึกษาของแทบจะทั่วทั้งโลกไปแล้ว บางครั้งรางวัลก็ใหญ่มาก อย่างเช่น การแข่งขันสะกดคำที่ชื่อ Scripps National Spelling Bee มีเงินรางวัลสูงถึง 50,000 เหรียญ (ราว 1.5 ล้านบาท) พร้อมถ้วยรางวัล

แน่นอนว่าการเปรียบเทียบแบบนี้ ผู้เปรียบเทียบย่อมมีจุดมุ่งหมายหรือความตั้งใจดี คือ ต้องการให้เด็กๆ ที่มีผลงานดี เกิดความภาคภูมิใจ จนโน้มนำให้เกิดความพยายามที่จะทำผลงานดีขึ้นไปเรื่อยๆ หรือกล้าจะยอมรับความท้าทาย ทำสิ่งที่ยากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆ 

แต่การให้รางวัลทำนองนี้ ทำให้เกิด “ผู้ชนะ” จำนวนน้อยนิด แต่ “ผู้แพ้” จำนวนมาก 

ข้อเสียสำคัญนอกเหนือจากเรื่องคนได้มีน้อย คนเสียมีเยอะแล้ว ยังวิจัยพบกันอีกด้วยว่า วิธีการแบบนี้ส่งผลเสียกับตัวเด็กที่ได้รับคำชมเชยได้ด้วยเช่นกัน คือไปกระตุ้นให้เกิดความคิดเชิงเปรียบเทียบกับคนอื่นรอบตัวตลอดเวลา จนเสพติดการแข่งขัน ราวกับติดอยู่ในกับดักที่เป็น “วงจรอุบาทว์” แบบหนึ่ง 

ผลกระทบอาจจะรุนแรงมากขึ้นไปอีกในกรณีที่เด็กเก่งมากๆ และแทบไม่เคยแพ้ใครเลย จนวันหนึ่งเกิดแพ้การแข่งขัน ก็อาจเป็นเรื่องยากในการยอมรับผลลัพธ์เช่นนั้น อาจถึงกับถอดใจหรือเลวร้ายกว่านั้นคือ ถึงกับฆ่าตัวตาย…ก็เคยมีมาแล้ว  

ทุกคนชนะ และทุกคนต้องได้รางวัล?

วิธีการแบบหนึ่งที่ใช้แก้ไขผลเสียแบบนี้ และรู้จักกันอย่างกว้างขวางได้มาจากหนังสือเด็กเล่มโด่งดังที่ลูอิส แครอลล์ แต่งคือ การผจญภัยของอลิซในแดนมหัศจรรย์ (Alice’s Adventure in Wonderland) ที่ตัวโดโด้ นกยักษ์ กล่าวว่า “ทุกคนชนะ และทุกคนต้องได้รางวัล” 

อย่างไรก็ตาม แม้วิธีการนี้เองก็อาจไม่สามารถแก้ปัญหาแบบนี้ได้ทั้งหมด ต่อให้เด็กๆ ได้รับถ้วยรางวัลกันทุกวัน แต่ละคนก็ยังมีความรู้สึกที่ “ไว” พอจะรู้สึกเปรียบเทียบกันเองอยู่ดีว่า ใครทำได้ดีกว่าใครในกลุ่มเดียวกัน 

เด็กที่ทำได้ดีมากๆ จะรู้สึกว่า ไม่ยุติธรรมกับตัวเองที่ได้รับรางวัลเดียวกันกับเด็กที่ทำได้ไม่ดีเท่าหรือทำได้แย่กว่ามาก ในสถานที่ทำงาน คนที่ทุ่มเทมากๆ แต่ผลการประเมินได้แทบไม่ต่างจากคนอื่นในทีม จะห่อเหี่ยวจนอาจจะอยากเปลี่ยนที่ทำงานได้  

กลับมาที่เด็กๆ อีกที เด็กกลุ่มแรกมักจะมองเด็กกลุ่มหลังอย่างดูถูก และยังรู้สึกว่าตัวเองควรได้รับการยกย่องและชื่นชมมากกว่านั้น หนักยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ได้รับคำชมบ่อยๆ มีแนวโน้มจะเกิดอาการหลงตัวเองได้มาก จนบางคนเสพติดความคิดแบบนี้เลยทีเดียว 

คำถามสำคัญจึงเป็นว่า จะชมอย่างไรให้เด็กรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง กระตุ้นให้ก้าวหน้าไปอย่างดี แต่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียข้างเคียงต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น? 

Temporal Comparison ชมเพื่อให้แข่งขันกับตัวเอง

ปัจจุบันนักวิจัยเชื่อกันว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งคือ ชมแบบเปรียบเทียบตัวเด็กคนนั้นในตอนนี้กับก่อนหน้านี้ครับ (เรียกว่า temporal comparison) โดยไม่ต้องไปใส่ใจกับผลที่คนอื่นทำได้ การเปรียบเทียบแบบนี้จึงเป็น “การแข่งขันกับตัวเอง” อย่างแท้จริง

คณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม [1] ทดสอบวิธีการแบบนี้และพบว่า มีประสิทธิภาพดี  วิธีการที่พวกเขาทำก็คือ หาอาสาสมัครที่เป็นเด็กมาได้ 583 คน อายุเฉลี่ย 11.7 ปี โดยเป็นเด็กระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนต่างๆ  

เขานำเด็กๆ มาทดลองทำแบบฝึกหัดการอ่านและการเขียน โดยออกแบบมาเป็นพิเศษตามวัตถุประสงค์คือ จะใช้เปรียบเทียบเชิงสังคม ใช้เปรียบเทียบกับตัวเองแบบก่อนและหลัง และไม่เปรียบเทียบใดๆ เลย โดยกลุ่มหลังสุดนี้ใช้เป็นกลุ่มควบคุม เอาไว้ช่วยแปลผล 

สิ่งที่พบจากการทดลองคือ พวกที่เปรียบเทียบกับคนอื่นหรือกับตัวเอง จะเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ แต่เฉพาะพวกหลังเท่านั้นที่ไม่ไปไกลถึงขนาดทำให้รู้สึก “เหนือกว่าคนอื่น” ตามมา หากเปรียบเทียบกันแล้ว พวกที่เปรียบเทียบกับตัวเองจะเกิดความรู้สึกรับรู้เรื่องความก้าวหน้าของตนเองมากกว่า อันนี้ก็ตรงไปตรงมานะครับ 

แต่ที่น่าสนใจคือ ยังมีความคิดในลักษณะที่มองไปข้างหน้าหรือคิดถึงอนาคตมากกว่า 

ขอยกตัวอย่างที่พบในการทดลอง เช่น ในกรณีของการเปรียบเทียบเชิงสังคม มีเด็กผู้หญิงอายุ 9 ขวบคนหนึ่งเขียนว่า “หนูร้องเพลงเก่งกว่าเพื่อน หนูร้องเพลงได้ แต่คนอื่นร้องไม่ได้ หนูว่าหนูเป็นคนสำคัญมาก หนูชอบร้องเพลง หนูจะร้องเพลงไปเรื่อยๆ เพราะหนูเก่งที่สุด” 

ในทางตรงกันข้าม เด็กหญิงอายุ 13 ปีคนหนึ่งที่ใช้วิธีเปรียบเทียบกับตัวเองเขียนว่า “ตอนแรก หนูไม่มีเพื่อนมากนัก แต่ถึงจุดหนึ่ง หนูก็มีเพื่อนเยอะขึ้น หนูเริ่มจากไปนั่งข้างเพื่อนที่ไม่รู้จักสักคน แล้วสุดท้ายแต่ละคนก็จะกลายมาเป็นเพื่อนรักของหนู ตอนนี้หนูมีเพื่อนเยอะแยะเลย หนูรู้สึกดีและมีความมั่นใจ” 

กล่าวโดยสรุปแล้ว งานวิจัยนี้ชี้ว่าเด็กๆ ที่โตมากับการเปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือเปรียบเทียบเฉพาะกับตัวเองในอดีต ต่างก็แสดงออกถึงความภาคภูมิใจในตัวเองเหมือนๆ กัน 

อย่างไรก็ตาม การได้รับคำชมแบบเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง อาจส่งผลเสียคือทำให้เกิดความต้องการจะทำตัวเหนือกว่าเพื่อนๆ ในขณะที่พวกที่เปรียบเทียบกับตัวเองในอดีต ไม่เกิดความต้องการทำนองนี้ เพราะจะขยับเป้าหมายไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยไม่เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น จึงไม่เกิดผลเสียข้างเคียงดังกล่าว

เรื่องนี้พ่อแม่ผู้ปกครองและครูอาจารย์น่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง? 

นักวิจัยเชื่อว่าทั้งพ่อแม่และครูอาจารย์สามารถชมเชยเด็กๆ ได้ เพื่อให้พวกเขาพัฒนาตนเองมากขึ้นไปเรื่อยๆ และเดินหน้าไปอย่างถูกทิศถูกทาง 

แต่ที่สำคัญคือ คุณครูอาจใช้เครื่องมือหรือเทคนิคที่คอยติดตามความก้าวหน้าหรือพัฒนาการในด้านต่างๆ ของเด็กแต่ละคนได้ และใช้ข้อมูลจากวิธีการดังกล่าวมาคอยกระตุ้นให้เด็กๆ ท้าทายตัวเอง โดยไม่เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น 

ความก้าวหน้าแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ควรค่าแก่การชมเชยในกรณีนี้ เพราะไม่มีผลข้างเคียงในทางลบใดๆ 

วิธีการนี้ไม่ใช่ “ยาครอบจักรวาล” และเราไม่ควรผลักดันเด็กๆ ให้เอาชนะตัวเองอยู่ตลอดเวลาอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน เพราะการจะก้าวหน้าได้ ย่อมต้องเอาชนะความยากลำบากบางอย่างเสมอ ซึ่งบางครั้งก็อาจจะล้มเหลวและไปต่อไม่ได้ อย่างน้อยก็ชั่วคราว  

การดูแลให้เด็กๆ มีแนวคิดว่า “ความล้มเหลว” เป็นเรื่องปกติ จึงเป็นเรื่องดีและควรทำควบคู่ไปด้วยเสมอ คราวนี้ก็รู้แล้วนะครับว่า จะชมลูกหรือลูกศิษย์อย่างไรให้พอเหมาะ พอดี

เอกสารอ้างอิง

1. Gürel, Ç., Brummelman, E., Sedikides, C., & Overbeek, G. (2020). Better than my past self: Temporal comparison raises children’s pride without triggering superiority goals. Journal of Experimental Psychology: General, 149(8), 1554–1566. https://doi.org/10.1037/xge0000733

Tags:

คำชื่นชมการเปรียบเทียบเชิงสังคมTemporal Comparison

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Dr. Udom-nologo
    Transformative learning
    “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Self-Discipline-nologo
    Character buildingBook
    ‘วินัย’ ที่ใช้กำลังบังคับคือวินัยที่ไร้ความหมาย: บทเรียนชีวิตที่จิตแพทย์อยากบอก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • School of future-building-2
    tranformative learning
    โรงเรียนต้องเป็น ‘โรงสร้าง’ ไม่ใช่ ‘โรงสอน’ สร้างนิเวศการเรียนรู้ หนุนเด็กปล่อยพลัง สร้างสมรรถนะใส่ตัว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    ‘รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง’ จิตวิทยาเบื้องหลังความห้าวหรือบ้าบิ่นของบางคน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel