Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: January 2021

ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล
22 January 2021

ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล

เรื่อง The Potential

การสอนลูกเรื่อง ‘ความสัมพันธ์’ เป็นอีกหนึ่งงานหินสำหรับผู้ปกครอง เพราะความสัมพันธ์นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งความสัมพันธ์แบบครอบครัว เพื่อน คนรัก ซึ่งการสอนลูกเรื่องความสัมพันธ์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยเตรียมตัวให้เขาพร้อมรับมือกับเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะวิธีรักษาให้ความสัมพันธ์มั่นคงด้วยการเว้นระยะห่างเพื่อไม่ให้แต่ละฝ่ายอึดอัดใจ

พี่เบิร์ด คิดแจ่ม (นีลชา เฟื่องฟูเกียรติ) ชวนพี่เจี๊ยบ – สุจิตฏา วิเชียร แชร์หนึ่งวิธีที่ผู้ปกครองสามารถใช้สอนลูกเรื่องยากๆ ได้ นั่นก็คือการเล่านิทาน ซึ่งนิทานที่พี่เบิร์ดนำมาเล่าในตอนนี้เป็นเรื่องที่พี่เจี๊ยบแต่งเอง เป็นเรื่องราวของ ‘เจ้าเม่นทะเล’ สัตว์ตัวน้อยที่ร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยหนามแหลม ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ เจ้าเม่นทะเลต้องทนทุกข์ทรมานด้วยพิษของความเหงา มันจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ชวนไปฟังกันต่อเลยค่ะ

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยนิทานนีลชา เฟื่องฟูเกียรติ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.3 น้องหยิก

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

  • Early childhoodBook
    ครูชีวันชวนอ่าน ‘5 นิทาน’ น่ารัก ดีต่อใจและไม่สอน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    ชีวัน วิสาสะ: นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ‘ไม่ต้องสอน’

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

เหมือนดูเย็นชา แต่ใช่ว่าไม่รัก
Relationship
21 January 2021

เหมือนดูเย็นชา แต่ใช่ว่าไม่รัก

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บุคลิกภาพที่ส่งผลต่อพฤติกรรมตอนมีความรักค่อนข้างมากเรียกว่า ‘รูปแบบความผูกพัน’ เป็นกลไกที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ทำให้เด็กและแม่หรือผู้เลี้ยงดูอยากอยู่ใกล้ชิดกัน รวมถึงทำให้คนรักตัวติดกันด้วย
  • มิติแรกของรูปแบบความผูกพัน คือ ความวิตกกังวล จะบอกถึงระดับการรับรู้ว่าตัวเองว่ามีค่าแค่ไหนในสายตาคนที่เรารัก คนที่วิตกกังวลสูงจะมองว่าตัวเองไม่มีค่าพอ นำไปสู่ความหึงหวงเกินเหตุ ติดแฟนมากเกินไป
  • มิติที่สองของรูปแบบความผูกพัน คือ ความหลีกหนี จะบอกถึงการรับรู้คนที่เรารักว่ามีค่าแค่ไหนในสายตาเรา คนที่หลีกหนีสูงจะตอบสนองต่อคู่รักในแบบเหินห่าง ไม่อยากให้คนรักใกล้ชิดมากเกินไป

ปัญหาโลกแตกของคู่รักอย่างหนึ่งก็คือ ฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่รัก หรือรักตัวเองไม่มากพอ บางคู่เรื่องนี้เป็นปัญหาเรื้อรัง ทะเลาะกันได้ทุกวัน ดราม่ากันจนเหนื่อยใจ สิ่งที่ทำให้ฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่รักมันก็มีหลายอย่างครับ แต่ระดับความใกล้ชิดมักเป็นเรื่องหลัก พอคบกันไปนานๆ บางคนจะเริ่มรู้สึกว่า คู่รักไม่ค่อยจะดีใจเวลาเจอกัน นัดทีไรก็มีแต่ฝ่ายเราที่เป็นคนนัด รอเขานัดเผลอๆ จะเจอกันแค่เดือนละครั้ง พอเรามาตามติดหน่อยเขาก็ทำท่าทางอึดอัด เวลาเขาดูเครียดๆ เราอยากเข้าไปเป็นที่พักใจ กลับโดนไล่ให้อยู่ห่างๆ พอเจอแบบนี้อีกเลยฟันธงได้เลยว่า เขาไม่รักเราแล้วแน่ๆ หรือเขาอาจจะรักคนอื่นแทนเราเสียแล้ว 

ที่คิดแบบนี้ก็ไม่แปลก เพราะคนมักจะมองว่าถ้ารักกันก็ต้องอยากอยู่ใกล้กัน อยากเจอกันบ่อยๆ ถ้าไม่ได้เจอกันก็ต้องแสดงความคิดถึง มีอะไรก็ต้องเปิดใจให้กันตลอด แล้วมันจริงเสมอไปหรือเปล่าว่าที่รักแล้วต้องทำแบบนั้น บทความนี้จะมาตอบคำถามนี้กันครับ

มนุษย์เรานั้นแตกต่างกัน เวลาเจอเรื่องเหตุการณ์หรือสิ่งใดก็ตอบสนองแตกต่างกันไป เช่น หากต้องพูดหน้าชั้น คนที่กล้าแสดงออกกับคนขี้อายย่อมตอบสนองต่างกันอยู่แล้ว รูปแบบการตอบสนองที่ต่างกันทางจิตวิทยาเรียกสิ่งนั้นว่า ‘บุคลิกภาพ’ ครับ หลายๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินคำว่า คนอินโทรเวิร์ต (Introvert) นั่นคือการบุคลิกภาพแบบหนึ่ง ที่ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ชอบเจอคนแปลกหน้า ชอบทำกิจกรรมเงียบ ๆ อยู่กับตนเอง ซึ่งถ้าคนที่อินโทรเวิร์ตน้อย ก็จะกลายเป็นเอ็กซ์ทราเวิร์ต (extravert) ที่ตรงกันข้ามกัน ชอบเข้าสังคม ชอบเจอสิ่งใหม่ๆ ชอบความคึกคัก อาจจะไม่ใช่ทุกครั้ง แต่โดยรวมแล้วจะตอบสนองตามบุคลิกภาพที่มี

บุคลิกภาพที่เกี่ยวกับความรักมีหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ส่งผลต่อพฤติกรรมตอนมีความรักมากทีเดียว เรียกว่า “รูปแบบความผูกพัน” ผมเคยพูดถึงทฤษฎีความผูกพันไปแล้วในบทความ Attachment Theory: เหตุใดเราต้องการอยู่ใกล้คนรักตลอดเวลา? ว่าเป็นกลไกที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ที่ทำให้เด็กและแม่หรือผู้เลี้ยงดูอยากอยู่ใกล้ชิดกัน รวมถึงทำให้คนรักตัวติดกันด้วย เพราะหากต้องอยู่ห่างกันเมื่อไรจะรู้สึกวิตกกังวล กระวนกระวาย โดยรูปแบบความผูกพันนั้นเป็นความแตกต่างในด้านที่ว่าคนเรานั้นตอบสนองต่อคนที่ผูกพันด้วย เช่น ผู้เลี้ยงดู หรือต่อคู่รักอย่างไร โดยในบทความนี้เราจะพูดถึงรูปแบบความผูกพันของผู้ใหญ่ที่มีต่อคู่รัก รูปแบบความผูกพันแบ่งออกเป็น 2 มิติ ดังนี้

มิติแรกของรูปแบบความผูกพัน คือ ‘ความวิตกกังวล’ จะบอกถึงระดับการรับรู้ว่าตัวเองว่ามีค่าแค่ไหนในสายตาคนที่เรารัก คนที่วิตกกังวลสูงจะมองว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่จะให้ใครมารัก ดังนั้นจึงตอบสนองต่อคู่รักออกมาเป็นความกังวลว่าคู่รักจะไม่รักเรา กังวลว่าคู่รักจะทิ้งเราไป และนำไปสู่ความหึงหวงเกินเหตุ ติดแฟนมากเกินไป ต้องตามติดตามเช็คตลอด เพราะกังวลว่าคู่รักจะนอกใจไปรักคนอื่นที่มีค่ามากกว่าเรา

มิติที่สองของรูปแบบความผูกพัน คือ ‘ความหลีกหนี’ จะบอกถึงการรับรู้คนที่เรารักว่ามีค่าแค่ไหนในสายตาเรา คนที่หลีกหนีสูงจะมองว่าคู่รักไม่มีค่าพอให้ตัวเองพึ่งพา หรือพอที่จะตนจะหาความสุขด้วย ดังนั้นจึงตอบสนองต่อคู่รักในแบบเหินห่าง ไม่อยากให้คนรักใกล้ชิดกับเรามากเกินไป เจอหน้ากันก็อาจจะดีใจแค่ในระดับหนึ่ง แต่เจอบ่อยเกินไป คู่รักมาตามติดเกินไปก็จะอึดอัด มีปัญหาก็ไม่กล้าพึ่งพาคู่รัก เก็บเอาไว้คนเดียว

คนเราจะมีมิติของความวิตกกังวลสูง หรือความหลีกหนีสูงทั้งคู่ก็ได้ ต่ำทั้งคู่ก็ได้ หรือมิติหนึ่งต่ำอีกมิติสูงก็ได้ โดยการจะมีรูปแบบความผูกพันมิติใดสูงหรือต่ำ ทฤษฎีทางจิตวิทยาบอกว่าเราค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาตั้งแต่เราผูกพันกับแม่ตั้งแต่ทารก จากนั้นเมื่อเราโตขึ้นมันจะค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิดตามความสัมพันธ์กับคนที่เรามองว่าสำคัญ เริ่มต้นจากแม่หรือผู้เลี้ยงดู ถัดไปคือเพื่อน และจนถึงกับคนที่เรารัก

กลับมาที่คำถามของเราว่า หากคนรักนั้นดูเย็นชาเหลือเกิน นานๆ ถึงจะเป็นฝ่ายออกปากนัดเจอเราทีนึง บางทีก็ทำท่ารำคาญหรืออึดอัดตอนเรามาคอยตามติด มีปัญหาอะไรไม่เคยปริปากขอให้เราช่วยหรือมาระบายปรับทุกข์กับเราเลย แบบนี้เขารักเราหรือเปล่า คำตอบคือก็เป็นไปได้ว่าเขารัก แต่เขาอาจมีรูปแบบความผูกพันในมิติหลีกหนีที่สูง ทำให้ไม่ชินกับการให้คนสำคัญสร้างความสุขให้แก่เขา กับการพึ่งพาใคร หรือเปิดใจให้ใคร แม้แต่กับคนรักเขาก็ยังรักษาระยะห่างจนดูเหมือนเย็นชา แถมคนเรานั้นไม่จำเป็นต้องรู้ตัวว่ารูปแบบความผูกพันส่งผลกระทบต่อการกระทำของตนอยู่ เพราะมันก็เหมือนบุคลิกภาพอื่นๆ ที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ 

ดังนั้น การแสดงออกไม่ได้เกิดจากเจตนาที่จะเหินห่าง หรือต้องการเย็นชาใส่คนรักให้คนรักรู้สึกแย่ แต่เขาถูกตั้งโปรแกรมมาให้ตอบสนองคู่รักของเขาแบบนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าหากเรามีคนรักที่รูปแบบความผูกพันมิติหลีกหนีสูงๆ แล้ว เราก็ไม่ต้องใส่ใจเขามากก็ได้นะครับ ตามธรรมชาติหากรักกัน ต่อให้มีรูปแบบหลีกหนีสูงแค่ไหน หากคนรักห่างไปเลยเป็นเดือน เป็นปีก็รู้สึกแย่ รู้สึกวิตกกังวล คิดว่าอีกฝ่ายไม่รัก ได้เหมือนกัน 

ในมุมมองของคนที่รูปแบบความผูกพันแบบหลีกหนีสูง เขาก็ต้องการคนรัก แต่เขาไม่อยากให้คนรักใกล้เกินไป สนิทเกินไป ไม่ต้องเจอกันบ่อยมาก แต่ไม่ใช่ว่าหายไปเลย เขาจะไม่พึ่งพาเรามาก แต่นานๆ ทีหรือเรื่องหนักๆ เขาก็อาจจะต้องการพึ่งเราบ้าง แค่อยู่กันแบบนั้นก็สบายใจแล้ว 

คำถามต่อมาคือ จะทำอย่างไรดีหากคนรักของเรามีรูปแบบความผูกพันที่หลีกหนีสูงๆ บุคลิกภาพนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่เปลี่ยนแปลงได้ยาก และส่วนใหญ่ต้องใช้เวลานานในการเปลี่ยนรูปแบบความผูกพันก็เช่นกันครับ เพราะมันค่อยๆ สั่งสมมาตั้งแต่เด็กเป็นสิบๆ ปี ดังนั้นจะให้เปลี่ยนภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนคงเป็นไปได้ยาก หากคนรักของเรามีเปลี่ยนรูปแบบความผูกพันที่หลีกหนีสูงให้ต่ำลง ต้องให้เขาเจอประสบการณ์ที่ทำให้เขารู้ว่า คนรักของเขานั้นพึ่งพาได้ ตอนเครียดตอนกลุ้มใจ คนรักก็เป็นผู้ฟังที่ดี คนรักคอยช่วยเหลือหากเขาร้องขอ (ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นแค่นานๆ ที) คนรักทำให้เขาสบายใจขึ้นยามใกล้ชิด ซึ่งต้องให้ประสบการณ์เหล่านั้นนานๆ และผลที่เกิดขึ้นอาจจะแค่เล็กน้อย ต้องอดทนกันไปในระยะยาว

แต่ก่อนที่จะไปปรับเปลี่ยนเขา ก้าวแรกสุดที่ผมคิดว่าจะช่วยให้อยู่กับคนรักที่มีรูปแบบความผูกพันที่หลีกหนีสูงๆ ได้ดีขึ้น คือ เริ่มทำความเข้าใจในความแตกต่างของบุคลิกภาพ หลายๆ คนนั้นมักจะมีมุมมองมาจากสื่อต่างๆ ว่าคนรัก แฟน หรือสามี/ภรรยาที่ดีต้องเป็นอย่างไร โดยเฉพาะจากนิยายและภาพยนตร์รักโรแมนติก ที่มักจะทำให้เราคิดว่า คนที่รักเราคือคนที่ต้องอยากเจอหน้ากันตลอดเวลา คิดถึงทุกนาทีที่เราไม่อยู่ใกล้ ห่วงใยกันตลอด 24 ชั่วโมง 

ซึ่งในโลกความจริง ไม่ใช่ทุกคนที่มีความรักแล้วจะเป็นแบบนั้น กับบางคนเขาใกล้ชิดได้ที่สุดและเปิดใจได้ที่สุดแค่ในระดับหนึ่ง เพราะบุคลิกภาพของเขาเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะไม่รักเรา แต่การตอบสนองต่อความรักในแบบเขาทำได้แค่นี้ และการที่เขามีบุคลิกภาพแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเขาผิด เขาไม่ได้เป็นแบบนี้เพราะตั้งใจ หากเราคิดจะรักเขาต่อ เราก็ต้องยอมรับเรื่องนี้ให้ได้ก่อน อย่าเพิ่งไปคิดว่าเขาไม่รัก 

การไม่เชื่อใจว่าอีกฝ่ายรัก นั่นคืออีกปัญหาหลักๆ ที่ทำให้ชีวิตรักมีแต่ทุกข์ เพราะรักมันไม่ได้ขึ้นป้ายบนหัวบอกว่า ‘รักอยู่นะ’ ถ้าคนรักไม่เชื่อใจ อีกฝ่ายจะทำอะไรก็มีแต่จะคิดว่าเขาไม่รักไปเสียหมด มีแฟนแทนที่จะสุข ต้องกลับมาอมทุกข์แทน หากปากเขาบอกว่ารัก การกระทำอาจจะไม่ถึงขั้นที่เราคาดหวัง แต่ถ้าเรายังรัก และอยากจะคบกับเขาต่อ เราก็ต้องเชื่อใจว่าเขารัก แต่แน่นอนครับถ้ารักกันจริง ต่อให้รูปแบบความผูกพันหลีกหนีจะสูงขนาดไหน ก็ใช่ว่าจะไม่อยากเจอ ไม่สนใจไยดีเลย หรือหายไปเป็นเดือนๆ ไม่ติดต่อ ไม่ถามไถ่ ตอนเราป่วยจะเป็นจะตายก็ไม่มาเยี่ยม อันนี้ก็เย็นชาเกินไป เพราะถ้ารักกันมันก็ต้องการใกล้ชิดกันบ้าง ห่วงใยกันบ้างไม่มากก็น้อย 

ในทางกลับกัน หากท่านเป็นคนที่มีรูปแบบความผูกพันที่หลีกหนีสูงเสียเอง และแฟนท่านก็งอนบ้าง บ่นบ้าง น้อยใจบ้างที่ท่านดูเย็นชา จริงอยู่ที่มันเป็นเรื่องยากและต้องฝืนอยู่เหมือนกันที่จะคอยใกล้ชิดมากขึ้น ติดต่อเขาให้บ่อยกว่านี้ เจอหน้ากันปั้นสีหน้าให้ดูดีใจกว่าเดิม มีปัญหากลุ้มใจก็ลองปรึกษาเขาหน่อย ถึงทำแล้วอาจจะไม่เป็นตัวเราเท่าไรนัก แต่การมีคนรักนั้น มันก็ต้องปรับตัวกันบ้างไม่มากก็น้อย หากยังคิดจะรักเขาต่อไป แค่ปากบอกว่ารัก แต่การกระทำมันดูเหินห่างเย็นชาในสายตาเขา มันคงไปต่อกันยาก หากยังรักกันก็ต้องค่อยๆ ปรับตัวกันไปทั้งคู่ ให้ทั้งเราและเขาให้อยู่ในจุดที่เราไม่ฝืนเกิน และเขาไม่รู้สึกว่าเราห่างเหินไป

หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองหรือคนรักมีรูปแบบความผูกพันแบบไหน วิธีการวัดรูปแบบความผูกพันนั้นมีทั้งวิธีการสัมภาษณ์และการใช้แบบสอบถาม ซึ่งนำความคิดและการกระทำในอดีตของบุคคลนั้นมาคำนวณผล ซึ่งความแม่นยำก็ขึ้นกับว่าผู้ตอบตอบตามความเป็นจริงหรือไม่ และขึ้นอยู่กับเทคนิคการสัมภาษณ์หรือคุณภาพของแบบสอบถามด้วย แต่ปัญหาคือมันมักจะใช้ในวงการวิจัยมากกว่าเอามาวัดกันบ่อยๆ เหมือนวัดไอคิว 

อย่างไรก็ตาม หากท่านไปรื้อใน Google ท่านก็อาจจะพบแบบสอบถามออนไลน์ ที่ประเมินรูปแบบความผูกพันให้ท่านได้ แต่การจะบอกว่าความหลีกหนีหรือวิตกกังวลสูงหรือต่ำด้วยการทำแบบสอบถามออนไลน์ที่บอกผลจากการนับคะแนนอย่างเดียวอาจจะไม่แม่นยำนัก เพราะเวลาวิจัยจริงๆ ต้องนำข้อมูลและเทคนิคทางสถิติมาร่วมวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจรูปแบบด้วย ดังนั้นถ้าจะทำแบบสอบถามออนไลน์ก็ใช้พอเป็นแนวทางได้ แต่อย่าไปเครียด กลุ้มอกกลุ้มใจ หากท่านได้คะแนนสูงในมิติไหนก็ตาม แค่เก็บเอาไว้สำรวจตนเองว่าจริงไหม หรือมันทำให้ตนเกิดปัญหากับคู่รักหรือความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ ไหม หากพิจารณาแล้วว่ามันมีปัญหาที่ไม่รู้จะแก้อย่างไร ลองปรึกษากับนักจิตวิทยาที่ให้คำปรึกษาได้นะครับ

ผมขอทิ้งท้ายด้วยผลสำรวจที่น่าสนใจ คือ จากการสำรวจคู่รักในสหรัฐอเมริกา ฝ่ายชายที่หลีกหนีสูง กับฝ่ายหญิงที่หลีกหนีต่ำนั้นมักจะไปกันได้รอดมากกว่าในกรณีที่สลับกันคือ ฝ่ายหญิงหลีกหนีสูง ฝ่ายชายหลีกหนีต่ำ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะค่านิยมในสังคมที่ผู้หญิงจะรับได้หากฝ่ายชายจะขรึม ไม่ค่อยพูดเยอะ มีโลกส่วนตัว เพราะมันเข้ากับผู้ชายตามแบบฉบับ ‘พระเอกพูดน้อยต่อยหนัก’ ไม่แสดงออกว่ารักแบบเห็นชัด ๆ แค่รู้กันสองคนพอ แต่ฝ่ายชายอาจจะรับได้ยากหน่อยหากฝ่ายหญิงขรึมเสียเอง เพราะผู้หญิงถูกมองว่าเป็นเพศที่จะเข้ามาดูแล ตามติด ใส่ใจ ตามแบบฉบับ ‘นางเอกใจดีขี้อ้อน’

อย่างไรก็ตาม ค่านิยมพวกนี้ผมคิดว่าจะน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะสื่อในสมัยใหม่ก็มีพระเอกนางเอกที่บุคลิกตรงกันข้ามกับแบบนี้เยอะขึ้น ดังนั้นหากรู้ว่าตัวเองขรึมไป เย็นชาไป ก็ลองพยายามปรับตัวกันสักหน่อยดีกว่าครับ เพราะความรักมันก็เรื่องของคนสองคน หากมีฝ่ายไหนไม่พอใจ ก็ต้องร่วมมือปรับตัวกันทั้งคู่ ชีวิตรักถึงจะอยู่ได้ยืนนานจริงไหมครับ

อ้างอิง
Bartholomew, K., & Horowitz, L. M. (1991). Attachment styles among young adults: A test of a four-category model. Journal of Personality and Social Psychology, 61, 226-224.
Bowlby, J. (1969). Attachment and loss: Vol. 1. Attachment. New York: Basic Books.
Bowlby, J. (1973). Attachment and loss: Vol. 2. Separation, anxiety, and anger. New York: Basic Books.
Carvallo, M., & Gabriel, S. (2006). No man is an island: The need to belong and dismissing avoidant attachment style. Personality and Social Psychology Bulletin, 32(5), 697-709.
Fraley, R. C. (2002). Attachment stability from infancy to adulthood: Meta-analysis and dynamic modeling of developmental mechanisms. Personality and social psychology review, 6(2), 123-151.
Fraley, R. C., & Shaver, P. R. (2000). Adult romantic attachment: Theoretical Development, emerging controversies, and unanswered question. Review of General Psychology, 4, 132-154.
Hazan, C., & Shaver, P. (1987). Romantic love conceptualized as an attachment process. Journal of personality and social psychology, 52(3), 511
Kirkpatrick, L. A., & Davis, K. E. (1994). Attachment style, gender, and relationship stability: A longitudinal analysis. Journal of personality and social psychology, 66(3), 502.

Tags:

แบบแผนทางความสัมพันธ์ทฤษฎีความผูกพัน(Attachment Theory)ความรัก

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Relationship
    ‘หึง’ ก็เพราะรัก? ‘หวง’ ก็เพราะห่วง? เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์หึงหวงก่อนทำลายความสัมพันธ์

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ทำไมต้องรักตัวเองให้ได้ก่อนจะรักคนอื่น

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    พัฒนาการความสัมพันธ์ 4 ขั้นในเด็กแรกเกิด เมื่อความสัมพันธ์ใน ‘วัยแรกเกิด’ มีผลไปตลอดชีวิต

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    แยกความรักออกจากการทำร้ายร่างกาย: คุยกับ เบส-SHero เรื่องการก้าวออกจากความรุนแรงในครอบครัว 

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

จิตวิทยาวัยรุ่นเรื่องการยอมรับนับถือตัวเอง กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน
How to get along with teenager
20 January 2021

จิตวิทยาวัยรุ่นเรื่องการยอมรับนับถือตัวเอง กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • เปิดคลินิกวัยรุ่นกับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน คุยกันเรื่องจิตวิทยาวัยรุ่น เริ่มตั้งแต่ปกติวัยรุ่นเข้ามาพบด้วยเรื่องอะไร, ความเชื่อที่ว่าวัยรุ่นต้องรู้จักตัวเองอย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั้นจริงไหม ไม่เจอได้หรือเปล่า, วัยรุ่นกับการค้นหาอัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งมีผลต่อการยอมหรือไม่ยอมรับนับถือตัวเอง
  • “ส่วนตัวไม่อยากให้วัยรุ่นรู้สึกว่าเราจะต้องรีบเจอตัวตน แต่อยากให้ใช้คำว่า ‘เราควรจะทำความรู้จักตัวเอง’ เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่เปลี่ยนผ่าน แต่เดิม (วัยอนุบาล วัยเด็ก) เราพัฒนาตัวตนผ่านคนเลี้ยงดู พอเป็นวัยรุ่นก็ค่อยเริ่มพัฒนาตัวตนผ่านตัวเอง ฉันชอบ/ไม่ชอบอะไร ถนัดอะไร รักอะไร จุดแข็งจุดอ่อนฉันคืออะไร เราก็พัฒนาตัวตนผ่านการรู้จักตัวเองมากขึ้น แต่การที่สังคมบอกเราว่าเมื่อเข้าวัยรุ่นแล้วเราต้องรู้จักตัวเองมากเพียงพอจนเราควรเลือกอะไรให้กับชีวิตตัวเองได้ …นี่มันทำให้เกิดความเครียดสูงมากเลยนะ” 
  • “คุณค่าภายในจะมาจาก 3 เรื่องหลัก คือ ตัวเขาเป็นคนที่มีคุณค่า, มีความหมาย และ มีศักยภาพ ฉะนั้นพ่อแม่ก็ต้องทำให้เขารู้ว่า การเป็นเขามันมีคุณค่ากับพ่อแม่ยังไง”

ถ้าบอกว่าวัยไหนคือวัยที่ถูกทำงานและให้ความรู้ในสัดส่วนที่น้อยที่สุด วัยพรีทีนกับวัยรุ่นอาจคือคำตอบนั้น ส่วนใหญ่เราอาจให้ความสำคัญกับการเลี้ยงดูเด็กวัยอนุบาลหรือปฐมวัยมากกว่า ทั้งที่ช่วงวัยรุ่นก็เป็นวัยเปลี่ยนผ่านทั้งเชิงภายภาพ ตัวตน (การรู้สึกถึงตัวเอง การรับรู้ต่อตัวเอง ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่มาจากเห็นว่าตัวเองเป็นใคร) และจิตใจ 

พอดแคสต์ ‘ในโลกวัยรุ่น’ อีพีที่ 4 นี้  กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential และผู้ดำเนินรายการ ชวนคุยกันถึง ‘จิตวิทยาวัยรุ่น’ โดยเฉพาะเรื่องการมองเห็นคุณค่าในตัวเองกับ แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน ซึ่งคนส่วนใหญ่จะรู้จักเธอในฐานะกุมารแพทย์ และนักเขียน แต่จริงๆ แล้วเนื้องานหลักของคุณหมอคือ ‘หมอเด็กเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น’ ซึ่งมีคลินิกวัยรุ่นในโรงพยาบาล และทำคลินิกวัยรุ่นในโรงเรียนด้วย 

ในอีพีนี้ หรือ บทความนี้เราชวนคุยกันก่อนเรื่อง จิตวิทยาวัยรุ่น คลินิกวัยรุ่นที่คุณหมอทำงานนั้น ปกติวัยรุ่นจะเข้ามาพบด้วยเรื่องอะไร, ความเชื่อที่ว่าวัยรุ่นต้องรู้จักตัวเองอย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั้นจริงไหม ไม่เจอได้หรือเปล่า, วัยรุ่นกับการค้นหาอัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งมีผลต่อการยอมหรือไม่ยอมรับนับถือตัวเอง 

ชวนวัยรุ่นฟังเพื่อได้หาทางออกคลี่คลายการยอมรับนับถือในตัวเอง และผู้ใหญ่ควรฟังมากกว่าในฐานะผู้ที่ต้องอยู่และคอยซัพพอร์ตสนับสนุนทุกการเติบโตและค้นพบตัวเองของวัยรุ่น 

สามารถรับฟังทาง Podcast คลิก

ส่วนใหญ่วัยรุ่นที่เข้ามาปรึกษา เขามาด้วยปัญหาอะไร หรือต้องการอยากรู้เรื่องอะไรบ้างครับ

ก็เยอะเลยค่ะ ตั้งแต่ตัววัยรุ่นเอง ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ทางกายภาพก็เช่นการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวที่บางคนก็เข้าเร็วเข้าช้าไม่เหมือนกัน ความสูงเตี้ย สิว ประจำเดือนไม่ปกติ ส่วนด้านพฤติกรรม ก็เช่นการทะเลาะกับเพื่อน ปัญหาแกล้งกัน ปัญหากับพ่อกับแม่ ปัญหาเรื่องการเรียน ปัญหาความเครียด อีกส่วนหนึ่งก็เป็นปัญหาพฤติกรรมเสี่ยง เช่น เพศสัมพันธ์ ยาเสพติด ซิ่งมอเตอร์ไซค์ 

แต่ที่เยอะๆ เลยตอนนี้ เป็นปัญหาเรื่องสุขภาพจิต มีตั้งแต่เรื่องเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า รู้สึกไม่มีคุณค่า พวกนี้ก็จะเป็นปัญหาของวัยรุ่นเยอะ

แปลว่า ความเครียด ความวิตกกังวล อาการซึมเศร้า เรื่องการเสพติด การไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นคล้ายๆ กับโรคประจำ หรือปัญหาประจำ เรียกว่าเรื่องนี้เรื่องธรรมดาไหมครับที่วัยรุ่นต้องเจอ 

เป็นธรรมดาที่ต้องเจอ ต้องบอกว่าวัยรุ่นเป็นวัยที่มีความเปลี่ยนแปลงสูง เช่น ด้านกายภาพ ความกังวลว่าเพื่อนสูงแล้วแต่เรายังไม่สูง เพื่อนยังไม่มีนมแต่เรามีแล้ว มันมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านตัวตนและทางกายภาพค่อนข้างเยอะ มันก็นำมาซึ่งความเครียดในส่วนหนึ่ง 

นอกจากนี้ก็มีปัญหาทางด้านการปรับตัวกับสังคม ความต้องการการยอมรับจากเพื่อน แถมต้องตามแฟชั่น ต้องอินเทรนด์ เพื่อนมีแฟนเราก็อยากมีด้วย เป็นปัญหาที่ต้องปรับตัวเข้าสู่สังคมรวมไปถึงต้องพัฒนาตัวเอง ฉันชอบอะไร ฉันอยากทำอะไร อีกเดี๋ยวต้องตัดสินใจเข้ามหาวิทยาลัย ต้องเลือกสายอาชีพ ต้องเลือกสายงาน มันอยู่กับความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะฉะนั้นมันก็ทำให้วัยรุ่นเป็นวัยที่อาจจะมีความสับสนทางด้านความคิดค่อนข้างเยอะ

สนใจเรื่องการพัฒนาตัวตนครับ เหมือนว่า Self ของเขา หรือตัวตนของเขา มันยังค้นหาอยู่เนอะ ทีนี้ถ้าเขาไม่เจอมันจะส่งผลอะไร จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขา หรือปัญหาอะไรบ้าง 

เอาจริงๆ วัยรุ่นก็เป็นวัยที่ถูกกำหนดว่าคุณจะต้องเจอตัวตนนะเพราะมันจะส่งผลกับทางเลือกในอนาคต การเลือกสายเรียน การเลือกอาชีพ การเข้ามหาวิทยาลัย แต่เอาจริงๆ หมอว่ามนุษย์เราพัฒนาตัวตนตลอดชีวิต เราค้นเจอตัวเราตลอดชีวิตเลยนะ คือ มันไม่ได้มีจุดว่าถ้าฉันเจอตัวเองในวัยรุ่นแปลว่าฉันได้เจอตัวเองแล้ว หลายคนมาเจอตัวเองคือทำงานเสร็จแล้ว เรียนจบแล้ว บางคนเจอตัวเองตอนได้มาทำอะไรที่รักตอนอายุ 50 กว่าก็มี  

ฉะนั้นโดยส่วนตัวไม่อยากให้วัยรุ่นรู้สึกว่าเราจะต้องรีบเจอตัวตน แต่อยากให้ใช้คำว่า ‘เราควรจะทำความรู้จักตัวเอง’ เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่เปลี่ยนผ่าน แต่เดิม (วัยอนุบาล วัยเด็ก) เราพัฒนาตัวตนผ่านคนเลี้ยงดู พอเป็นวัยรุ่นก็ค่อยเริ่มพัฒนาตัวตนผ่านตัวเอง ผ่านการรู้จักว่าฉันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อะไรที่ฉันถนัด อะไรที่ฉันรัก อะไรที่มันเป็น Passion ของฉัน อะไรที่ฉันทำได้ดี จุดแข็งของฉันคืออะไร จุดอ่อนคืออะไร เราก็พัฒนาตัวตนผ่านการรู้จักตัวเองมากขึ้น ทีนี้การที่สังคมบอกเราว่าเมื่อเข้าวัยรุ่นแล้วเราต้องรู้จักตัวเองมากเพียงพอจนเราควรเลือกอะไรให้กับชีวิตตัวเองได้ …นี่มันทำให้เกิดความเครียดสูงมากเลยนะ 

การไม่เจอตัวเองทำให้เรากดดันตัวเอง เครียด 

กดดันตัวเองมากเลย เพราะเอาจริงๆ เราคาดหวังกับวัยรุ่นเยอะมากเลยว่าอยากให้เขาเจอตัวตน อยากให้เขาเจอตัวเอง แต่ว่าชีวิตของเด็กวัยรุ่นบ้านเราคือ เช้าเรียนหนังสือ เย็นเรียนพิเศษ เสาร์-อาทิตย์ติวกวดวิชา เล่นหน้าจอ มันอยู่แค่นี้ มันจะไปเจอตัวตนยังไง เพราะฉะนั้นพื้นที่ของเด็กบางคนในการจะเจอตัวเองมันไม่เยอะพอ ไม่มีประสบการณ์เยอะพอที่จะรู้ว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ 

ส่วนตัวหมอเลยคิดว่าอยากให้เขาเข้าใจว่ามันเป็นวัยที่เขาควรจะทำความรู้จักตัวเอง แต่ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะต้องเจอตัวเอง หลายครั้งการไปเจอตัวเองคือการเรียนรู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่ใช่ มันก็เป็นการเจอตัวเองแบบหนึ่งนะ เราเป็นอาจารย์โรงเรียนแพทย์เราก็เจอว่า นักศึกษาแพทย์หลายคนเข้ามาด้วยความรู้สึกว่ามันใช่ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ มันก็เป็นการเจอตัวเองรูปแบบหนึ่ง หลายคนก็ออกไปทำอย่างอื่น หลายคนก็กัดฟันเรียนจนจบ แล้วก็ไม่เอาแล้ว ไม่เป็นหมอแล้ว แล้วก็ไปทำอย่างอื่น บางอย่างมันก็เจอผ่านประสบการณ์ อย่าไปกลุ้มใจกับมันมากว่าเรายังไม่เจอตัวเองซักที บางคนก็ไปเจอตัวตนตอน 30 40 อย่างตัวหมอ มาเจอตัวตนว่าชอบเขียนหนังสือตอนอายุ 30 กว่าแล้ว แล้วก็พบว่ามันเป็นงานที่รักมากด้วยนะ ฉะนั้นเราก็มาเจอ มารู้จักตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่อย่างน้อยเข้าใจว่ามันถูกบังคับให้เลือก เพราะฉะนั้นถ้าเจอตัวเองแล้วชัดก็ดี ถ้าเจอตัวเองแล้วไม่ชัดก็ค่อยๆ รู้จักตัวเองไป อะไรที่ไม่ใช่ก็ตัดออกไป อะไรที่อาจจะใช่ก็ลองเลือกมัน

ฟังแล้วรู้สึกอุ่นใจขึ้นเลยครับว่าสังคมกำหนด สังคมกดดันว่าเราต้องรู้จักตัวเอง เราเข้าอายุ 15 18 พอเราไม่ได้เจอตัวเอง เราเฟลด์ เราก็กดดัน เกิดความทุกข์ ต่อมาคุณหมอได้อธิบายว่าเส้นทางของการเจอตัวเองมันยาวมาก แล้วค่อยไปเจอก็ได้ไม่เป็นไร และถึงต่อให้เราเจอตัวเองในวัยรุ่น มันก็อาจจะไม่ใช่ในอนาคตก็ได้ 

ใช่ มันอาจจะไม่ใช่เราในอีก 10 20 ปีข้างหน้าก็ได้ เพราะเราก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะฉะนั้นหมอเลยไม่อยากกำหนด (fix) ว่าเราต้องได้คำตอบ และหมอรู้สึกว่าเราควรจะโฟกัสกับวิธีการว่าเราควรจะทำยังไง เราถึงจะได้มีประสบการณ์ในการรู้จักตัวเองในหลายๆ แง่มุม 

งั้นก็ถามต่อเลยฮะ ถ้าวัยรุ่นฟังอยู่ วิธีการที่จะแนะนำกับวัยรุ่น ถ้าเขาจะทำความรู้จักตัวเองในช่วงวัยรุ่นนี้ เขาควรจะทำยังไง

หมอคิดว่าคือการเอาตัวเองไปอยู่ในประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ คือตำรามันเป็นความรู้ แต่ไม่ได้ให้ประสบการณ์ที่สั่นสะเทือนความรู้สึกเรา พี่คิดว่าการที่เราเอาตัวเองไปสร้างประสบการณ์ให้กับตัวเอง เช่น อาจจะไปเจอว่าเราอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟังแล้วเราโคตรมีความสุขเลย เราชอบทำงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือคนที่เขาประสบความยากลำบาก อันนี้คือเราเจออะไรบางอย่างของตัวเรา หรืออย่างหมอเองชอบอ่านหนังสือตอนเด็กๆ ชอบอ่านนิยายน้ำเน่าแบบเป็นบ้าเป็นบอ แล้วก็อ่านเยอะมาก ตอนนั้นเราไม่รู้เลยนะว่าเราอ่านหนังสือทำไม แต่เรารู้สึกว่าสนุก มีความสุขกับการอ่านหนังสือ แล้ววันหนึ่งก็มาเจอว่าเรามีความสุขกับการเขียน มันคือการเอาตัวเองลงไปในพื้นที่ที่ทำให้เรามีประสบการณ์ว่าอะไรทำให้เราเกิดความรู้สึกที่มันสั่นสะเทือนเรา ตอนนั้นพี่เจอว่าตัวเองชอบเขียนหนังสือ มีคนๆ หนึ่งชวนพี่เขียนเกี่ยวกับวัยรุ่นนี่แหละลงเว็บไซต์ แล้วพี่ก็ลองเขียนดู เขียนเสร็จแล้วรู้สึกว่าชอบ

ไหลลื่น เขียนดี ภาษาที่ใช้โดนใจคน

ใช่ อ่านของตัวเองก็แอบชอบ แล้วความรู้สึกตรงนี้แหละที่เจอ นี่คือเรา นี่คือสิ่งที่เราชอบตัวเอง นี่คือสิ่งที่เราสร้างประโยชน์กับคนอื่นได้ด้วยนะ ฉะนั้นหมออยากให้วัยรุ่นหาพื้นที่ที่เราจะลอง ลองเข้าไปถามว่าเขาทำอะไร ลองเข้าไปทำงานหลายๆ รูปแบบ ลองไปช่วยเขาขายของ เฮ้ย…เราชอบเกี่ยวกับเงิน รับเงิน จัดการบัญชี เราเอาตัวเองเข้าไปทำจิตอาสาแล้วเราจะได้เจอว่างานที่สร้างความหมายกับคนอื่นมันมีความหมายกับตัวเราจังเลย มันก็จะเป็นแทร็คที่ทำให้เราก้าวไปสู่จุดที่เราอยากทำ

คล้ายๆ กับได้ลอง พอได้ลอง ได้ทำ เสร็จแล้วมันก็จะทำให้เราเจออะไรบางอย่างที่มันแปลกใหม่สำหรับเรา

เจออะไรที่ไม่ใช่ ก็เป็นการเจอว่าอันนี้มันไม่ใช่ ฉันไม่มีวันอยู่แบบนี้ สมมติว่าอ่านหนังสือให้คนตาบอดแล้วเรารู้สึกว่าเจ็บปวด ฉันอยู่กับคนที่มีความทุกข์แบบนี้ไม่ได้เลย ก็จะได้รู้เลยว่าอาชีพแบบนี้ไม่เหมาะกับเรา ทีนี้การเจอตัวเองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง พี่คิดว่ามันเป็นการค่อยสะสมการรู้จักตัวเอง เหมือนแฟน การไปเจอคนที่ไม่ใช่ก็เป็นการเรียนรู้มหาศาลว่าแบบนี้ยังไงก็ไม่ได้ เป็นการเจอรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน

ที่กล่าวไปคือการแนะนำกับวัยรุ่น แต่ถ้าให้แนะนำกับคนใกล้ตัววัยรุ่น อย่างพ่อแม่ ครู หรือใครก็ตามที่ไม่มีโอกาสได้ทำงานกับวัยรุ่น จะแนะนำเขายังไงดีครับ 

หมอว่ามันเกิดจากการตั้งคำถาม เราชอบถามลูกว่า ‘โตขึ้นอยากเป็นอะไร’ บางทีเด็กก็จะตอบแบบแคบๆ เช่น เป็นอาชีพนั้น อาชีพนี้ 

แต่จริงๆ หมออยากให้เราตั้งคำถามว่า ‘เขามีความสุขกับการได้ทำอะไร’ อะไรที่เขาถนัด อะไรที่เขาทำแล้วมีความสุข อะไรเป็นงานที่เขารัก อะไรที่ทำแล้วรู้ว่านี่คือความสามารถ อะไรคือสิ่งที่เขาถนัดและมีความสุขกับการได้ทำ พี่ว่าคำถามเหล่านี้มันจะค่อยๆ ประกอบร่างขึ้นมาเป็นสิ่งที่เขาจะอยู่กับมันได้ในอนาคต เป็นสิ่งที่เขารัก สิ่งที่เขารู้สึกว่าถนัด เป็นสิ่งที่เขาให้ความหมาย เขารู้สึกว่าการได้ทำสิ่งนี้แล้วเขาได้เปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างและมีคุณค่าทางจิตใจ หรือมันเป็นสิ่งที่โลกมีความต้องการด้วย จริงๆ มันก็คืออิคิไก ค่อยๆ ให้ลูกค้นหาตัวเอง

เคยเจอพ่อแม่ที่มีลูก ป. 5 ป. 6 บอกว่าเราว่า ‘คุณหมอ ลูกยังไม่รู้เลยว่าเขาอยากเป็นอะไร’ นี่มันก็ไปตีกรอบให้ลูกว่าต้องเจอ ต้องได้ ต้องใช่ บางทีหมอบอกว่าอย่าไปสนใจเลย เราถามตัวเองดีกว่าว่าเราทำให้ลูกมีประสบการณ์ที่หลากหลายมากพอหรือยัง ประสบการณ์นอกตำราด้วยนะ

แสดงว่าไปโฟกัสที่นอกห้องเรียน นอกตำรา ไปเรื่องประสบการณ์ชีวิต และก็คือการถามน้องๆ  ถามวัยรุ่น ว่าอะไรที่ทำแล้วเขามีความสุข โจ้ฟังหมอโอ๋แล้วรู้สึกเย็นดีจัง รู้สึกว่าเราได้ไปค้นตัวตน และเราเองก็ต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย 

ต้องบอกแบบนี้ ในฐานะที่หมอสามารถตั้งคำถามกับลูกแบบเปิดกว้างได้ คือเราอยู่ในบริบทที่ไม่ได้คาดหวัง และคิดว่าตัวเองต้องพึ่งพาลูก หรือมีลูกขึ้นมาเพื่อตอบสนองความฝันความต้องการบางอย่าง เพราะว่าหมออยู่ในจุดที่เราเอาตัวรอดของเราได้ แต่ประเด็นคือบริบทของสังคมบ้านเรา เยอะมากเลยนะที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่จุดเดียวกับที่หมออยู่ การมีลูกคนหนึ่งของเขา เด็กคนนี้อาจจะทำให้เขาลืมตาอ้าปากได้ เด็กคนนี้อาจจะทำให้คนในบ้านเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะฉะนั้นต้องบอกแบบนี้ว่า มันมีบริบทอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่ความต้องการของพ่อแม่เท่านั้น 

หมอเข้าใจว่าหลายบ้าน หลายครอบครัวก็อยู่ที่บริบทที่เขาไม่สามารถที่จะตั้งคำถามแบบนี้กับลูกได้ แบบที่เขาเปิดกว้างกับลูกได้จริงๆ ซึ่งอยากให้พ่อแม่ชั่งน้ำหนักสิ่งเหล่านี้ไว้แล้วกันว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันสำคัญ มันจำเป็นกับความฝันและชีวิตของลูก จะทำยังไงให้มันมีความสมดุล หรือทำให้เขาก็เป็นคนหนึ่งที่โตขึ้นไปแล้วมีชีวิตที่มีความสุข ในเส้นทางที่ตัวเองเลือกได้ 

ขณะเดียวกันเราก็ต้องอยู่กับความเป็นจริง ที่ทุกบ้านเลือกได้ว่าอยากให้ที่ลูกทำได้ตามใจตามสบายหมด เอาจริงๆ เราไม่ได้โชคดีที่อยู่ในสังคมแบบนั้น

แปลว่าเราก็ต้องช่วยบาลานซ์ความสุข ความฝัน ไม่ให้เกินไปกว่าความเป็นไปได้จริง 

ใช่ หมอคิดว่าเราก็ต้องช่วยกันขับเคลื่อนสังคมให้คนทุกคนสามารถทำอาชีพที่ตัวเองรักได้ แบบที่ไม่ถูกความกดดัน ทับถมมาจากความคาดหวังของพ่อแม่

ทีนี้โจ้อยากขยับมาที่การรู้จักตัวเองในอีกเฉดหนึ่ง เป็นเรื่องที่เราเองก็อาจยอมรับตัวเองไม่ได้ สังคมก็ไม่ยอมรับเรา ยกตัวอย่างเรื่องเพศหลากหลาย ซึ่งพี่หมอโอ๋ก็ทำคลินิกเรื่องเพศหลากหลายด้วย เป็นยังไงครับ สถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่น

หมออยากใช้คำว่า เราอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน คือเราก็เห็นเลยว่าสังคมจำนวนหนึ่งมีความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ ให้การยอมรับ หมอมีพ่อแม่ที่จูงมือลูกเข้ามาแล้วบอกว่ายอมให้ลูกเขาเคลื่อนไปเป็นอีกเพศหนึ่งโดยที่อยากให้เขา (ลูก) มีความสุขแบบปลอดภัย เราเห็นการยอมรับของครอบครัว ที่อยากให้ลูกเป็นในสิ่งที่เป็นตัวตนของลูก 

ขณะเดียวกันเราก็ยังเจอครอบครัวที่คาดหวังให้ลูกเป็นตามเพศกำเนิด เป็นเพศที่สังคมบอก เพราะฉะนั้นมันก็เลยทำให้เห็นเป็นภาพว่ากำลังเปลี่ยนผ่าน มันเป็นภาพที่มีการขับเคลื่อนที่ทำให้เราเข้าใจตรงนี้มากขึ้น

ส่วนใหญ่ปัญหาที่วัยรุ่นเข้ามาคลินิกเพศหลากหลาย ปัญหาของเขาคืออะไรครับ เช่น ถูกบูลลี่ ยังสับสนไม่อยากยอมรับ ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวเอง หรือมีปัญหาเชิงไหนบ้างครับ 

มีตั้งแต่ยอมรับตัวเองไม่ได้ สับสน ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร homophobia (การเกลียดกลัวคู่รักเพศหลากหลาย) ก็มี / Transphobia (อาการเกลียดกลัวคนข้ามเพศ) บางคนไม่อยากเป็นสิ่งที่ตัวเองเป็น ไม่อยากแตกต่างก็มี หรือหลายคนยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นได้แต่ครอบครัวไม่ยอมรับแล้วเกิดความรู้สึกเครียด รู้สึกกังวล รู้สึกแย่ ซึมเศร้าก็มี หรือมีความรู้สึกว่ายอมรับตัวเองได้แต่ว่าก็ไม่มีความสุขกับเพศที่ตัวเองที่จะไปเป็นเพศอีกเพศหนึ่ง ก็มี 

หลายเคสมากเลยนะฮะ สมมติว่าเขาเจอกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ว่าจะกรณีไหนนะครับ แล้วนำมาซึ่งความซึมเศร้า เกลียดตัวเองต่างๆ นานา เราจะมีวิธีอะไรที่จะช่วยให้เขาบาลานซ์หรือหาสมดุลได้มั้ยครับ 

หลักๆ ก็คือให้เขากลับมาทำความเข้าใจกับตัวเอง การที่เขาบอกว่าเขายอมรับตัวเองไม่ได้ จริงๆ มันมีที่มาจากมุมมองทางเพศที่หลากหลายว่าเขามองตัวเองอย่างไร ตั้งแต่ความคาดหวัง…เขาคาดหวังต่อตัวเองอย่างไร คนรอบข้างคาดหวังกับเขาหรือเขาคาดหวังกับคนรอบข้างอย่างไร แล้วเขาอาจจะแบกรับกับความคาดหวังของคนรอบๆ ข้างเขาอยู่ จากนั้นก็จะทำงานกับการปรับมุมมอง การปรับความคาดหวัง ทำให้เขากลับมายอมรับกับสิ่งที่ตัวเองเป็น มันเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากๆ ของการเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความสุข ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติ คือการยอมรับตัวเอง และมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองเป็น 

เห็นว่าพี่หมอโอ๋ไปจัดตั้งคลินิกในโรงเรียนด้วย อยากให้เล่าให้ฟังหน่อยว่าอะไรทำให้ไปตั้งคลินิกในโรงเรียน ไปแล้วเจออะไรบ้าง

จริงๆ เป็นอาจารย์ของหมอเอง ศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ ท่านทำคลินิกในโรงเรียนก่อน เพราะอาจารย์เห็นว่ามันมีวัยรุ่นจำนวนหนึ่งเลยที่เขาไม่สามารถเดินเข้ามาหาหมอในโรงพยาบาลได้เพราะติดกฎหมายที่ว่า ถ้ามาหาหมอต้องมีพ่อแม่มาด้วย แต่มันก็จะมีวัยรุ่นจำนวนมากเลยที่เขามีปัญหา เขาอาจจะไม่มีผู้ปกครองพามา ผู้ปกครองไม่เห็นความสำคัญหรืออะไรก็ตาม อาจารย์ก็เลยไปตั้งคลินิกวัยรุ่นในโรงเรียนมัธยม ตอนนั้นมีประมาณ 5 แห่งในกรุงเทพฯ หมอก็เลยเหมือนมาสานต่องานของอาจารย์ งานที่เราทำก็ไปดูวัยรุ่นในโรงเรียน ส่วนหนึ่งเราก็เป็นพื้นที่เรียนรู้ให้กับนักศึกษาแพทย์ของแพทย์ประจำบ้านด้วย ให้เขาเห็นว่าการทำงานเชิงรุก เชิง Proactive Intervention เป็นยังไง เราก็ไม่ได้ทำแค่คลินิก แต่ไปทำโครงการ ไปทำงานพัฒนาโรงเรียนเกี่ยวกับวัยรุ่น อันนี้ก็ทำให้เขาเห็นการทำงานเชิงรุก ก็เหมือนได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

ตื่นเต้นมาก เพราะเหมือนกับว่าได้มีพื้นที่ที่เขาได้ทำความเข้าใจตัวเอง มีคนมาตั้งคำถามดีๆ กับเขา เขามีปัญหาแล้วหาทางออกได้ตั้งแต่ต้นทาง โดยเฉพาะโรงเรียนเขาไปทุกวัน มันก็จะช่วยป้องกันปัญหาได้จริงๆ  ประเด็นสุดท้ายที่อยากขอความรู้ครับ คือเรื่องของการเสพติด เราเข้าใจอยู่ว่าพัฒนาการวัยรุ่นหนึ่งในนั้นคือ ‘การลอง’ ปัญหาที่เข้ามาที่คลินิกเป็นเพราะอะไรหรือยังไงครับ

มีตั้งแต่การอยากรู้อยากลอง การอยากได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน เพื่อนทำอะไรกันเราก็อยากจะเหมือนเขา ทีนี้ก็อยากจะชดเชยความทุกข์บางอย่าง เด็กจะรู้สึกว่ามันก็ทำให้ลืมความทุกข์ ทำให้คลายเครียด มันก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกดีๆ ขึ้นมา 

โดยเฉพาะกับเด็กที่มีความทุกข์หลายๆ รูปแบบ มีความเครียด มีความกลุ้มใจ มีความสัมพันธ์ที่แย่ๆ เขาก็จะใช้สารเสพติดในการเป็นทางออกหนึ่ง มันก็มาจากการที่เขาไม่เห็นว่ามันก็มีทางออกอื่นที่จะช่วยทำให้เขากลับมาจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นได้ มันก็มาจากหลากหลายสาเหตุ

แล้วคนรอบตัววัยรุ่นอย่างพ่อแม่ คุณครู ผู้ใหญ่ หรืออาจจะเป็นคล้ายๆ กับคนทำงานเยาวชน ถ้าจะช่วยสร้างคุณค่าในตัวเองให้วัยรุ่นได้ เขาควรจะทำยังไง

ก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าคุณค่าภายในมาจากไหน คุณค่าภายในจะมาจากหลักๆ 3 เรื่อง คือ เรื่องการที่ทำให้ตัวเขาเป็นคนที่มีคุณค่า, ตัวเขาเป็นคนที่มีความหมาย และ ตัวเขาเป็นคนที่มีศักยภาพ พี่คิดว่าอันนี้เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ก็ต้องทำให้เขารู้ว่า การเป็นเขามันมีคุณค่ากับพ่อแม่ยังไง 

ทำยังไงครับ เช่น ต้องพูด ต้องสื่อสารกับเค้าเหรอครับ 

ก็แสดงความรัก การใส่ใจ การส่งภาษารักของเขาให้กับเขา หมอคิดว่าตัวเขาจะรู้สึกมีคุณค่า เวลาที่เราอยู่ด้วยกันแต่เราละเลยกัน มันจะทำให้อีกคนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ตัวเองไม่เป็นที่สนใจ ไม่มีความหมายกับใคร ดังนั้น การให้เวลาคุณภาพกับลูก การเล่นกับเขาในวัยเด็ก การรับฟังเขา การที่เขามีความทุกข์อะไรแล้วเราอยู่ตรงนั้นกับเขา อันนี้เป็นการให้คุณค่า ทำให้เขารู้สึกว่าเขามีคุณค่ากับพ่อแม่ อีกอันหนึ่งก็คือ การทำให้เขารู้สึกว่าตัวเขาเป็นคนที่มีความหมาย ตัวเขาเป็นคนที่รัก ตัวเขาเป็นคนที่มีความสำคัญ ไม่ทำให้รู้สึกว่าการมีลูกหลายคนแล้วเขาเป็นภาระ

เช่น พ่อแม่บ่นใช่ไหมครับ บ่นต่างๆ นานา

บ่น ‘มีเธอแล้วฉันเหนื่อยจริงๆ  ทำให้ฉันต้องมาบ่นทุกวัน ทำไมยังไม่ได้เรื่องแบบนี้’ แต่เปลี่ยนเป็นทำให้เขารู้สึกว่า ตัวเขาเป็นคนที่มีความหมาย คือ การเป็นเขาแล้วมันมีความหมายกับเราด้วย พี่จะขอบคุณลูกเสมอ ขอบคุณลูกบ่อยๆ เลย ‘ขอบคุณมากเลยนะที่หนูมาเป็นลูกแม่ แม่มีความสุขขึ้นมากเลย แม่มีชีวิตที่แบบแฮปปี้มากเลยที่มีหนูเป็นลูก’ ซึ่งสิ่งเหล่านี้พี่รู้สึกว่ามันสร้างตัวตน มันสร้างความรู้สึกมั่นคงภายในว่าฉันเป็นคนที่มีความหมายกับคนอื่นนะ มันไม่ใช่ว่าแค่เขามีเราเท่านั้น แต่การที่เรามีเขามันโคตรมีความหมายกับชีวิตเราเลย หมอว่าสิ่งนี้สำคัญ 

กับอีกอันหนึ่งก็คือการสร้างตัวตนว่าเขาก็มีศักยภาพ ซึ่งตรงนี้พี่ก็ว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก คือ บางทีเด็กไทยก็ไปผูกติดว่าเด็กดีกับเด็กเรียนเก่ง ‘ลูกบ้านนี้ดีจังเลย สอบได้ที่นี่ ลูกบ้านนี้เก่งจังเลยสอบได้ที่นี่ เอนท์ติดที่นู่นที่นี่’ คือมันผูกความสำเร็จของเด็กคนหนึ่งไว้กับการเรียนดี แต่จริงๆ แล้วคนเราเกิดมามีศักยภาพที่หลากหลายมาก การเป็นเด็กที่เล่นกีฬาเก่ง เล่นดนตรีเก่ง หรือไม่ได้มีอะไรเก่งเลยนะ แต่ใช้ชีวิตเก่ง ใช้ชีวิตแบบไม่เป็นภาระกับใคร ไม่เป็นมลพิษกับใคร นี่คือคุณค่าที่เขาควรจะรู้ว่า นี่เป็นศักยภาพอันหนึ่ง เพราะฉะนั้นชื่นชมลูก ชื่นชมในความเป็นตัวเขา ชื่นชมในศักยภาพของเขาที่มันไม่ต้องเหมือนพิมพ์นิยม ที่เราอยากให้เด็กในสังคมเป็น พี่คิดว่า อันนี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่ช่วยลูกได้ 

บางทีมันยากเหมือนกันนะ การที่แม่ชื่นชมลูก 

กลัวเหลิงใช่มั้ย? มันยาก เพราะเราเติบโตมากับวัฒนธรรมที่มีความเชื่อเรื่องอำนาจด้วย แบบ…เวลาชมลูกแล้วทำให้รู้สึกว่าลูกต้องมาเท่ากับเรา เดี๋ยวลูกยิ่งจะเหลิง เดี๋ยวลูกจะตัวพอง ตัวพองของลูกคือพองมาใกล้เรา เพราะฉะนั้นมันก็จะทำให้พ่อแม่ไม่ค่อยชม เพราะจริงๆ แล้ว

การชมมันพัฒนาศักยภาพภายในของลูก เวลาที่เรารู้สึกดีกับตัวเอง เราก็อยากจะทำสิ่งดีๆ นี้ต่อ การชมมันสร้างคอนเนกชั่น สร้างสายสัมพันธ์ มันสร้างให้คนๆ หนึ่งเห็นคุณค่าของเรา เห็นสิ่งดีๆ ที่เราได้ทำ ดังนั้นหมอว่าการเลี้ยงลูก สิ่งสำคัญที่สุดเลยคือไม่ใช่การเลี้ยง การสอน การฝึกวินัย แต่จริงๆ คือการมีสายสัมพันธ์ที่ดี

สุดท้ายนี้ อยากให้พี่หมอช่วยขมวดหน่อยว่า จิตวิทยาวัยรุ่นหรือว่าการรู้จักตัวเองมันสำคัญยังไงกับช่วงวัยรุ่น

คิดว่าการรู้จักตัวเองมันก็เป็นงานหนึ่งที่เราต้องพัฒนาการเรียนรู้ตัวเองไปเรื่อยๆ แต่การรู้จักตัวเองวันนี้ก็ไม่ได้เป็นการบอกว่าเรารู้จักตัวเองดีแล้ว อย่างที่บอกมนุษย์เรามันเปลี่ยนตลอดเวลา แต่การรู้จักตัวเอง หมอไม่ได้คิดว่ามันเป็นแค่การรู้ตัวเองว่าเราชอบอะไร เราถนัดอะไร แต่เป็นการรู้จุดแข็ง จุดอ่อน รู้ข้อดี ข้อเสีย แล้วยอมรับตัวเองได้ การรู้จักตัวเองมันอาจไม่สำคัญเท่ากับการเห็นคุณค่าในตัวเอง การเห็นคุณค่าในตัวเองมันเป็นบริบทที่สำคัญมากๆ ของการที่จะมีความสุข หรือว่ามีชีวิตที่มันสมดุล หรือมีความสงบในชีวิต การเห็นคุณค่าในตัวเองไม่ได้แปลว่าเราจะเห็นข้อดีของตัวเอง แต่เป็นการเห็นตัวเองทั้งในรูปแบบข้อดี และข้อเสีย และเราสามารถยอมรับตัวเองได้ในฐานะการเป็นมนุษย์คนหนึ่งว่า มนุษย์เราก็จะเป็นแบบนี้แหละ เราก็มีข้อดี มีจุดที่ต้องพัฒนา 

ขณะเดียวกันก็มีความเป็นมนุษย์ที่อยากพัฒนาตัวเอง เมื่อเห็นข้อบกพร่องของตัวเองแล้ว เราก็พยายามพัฒนาข้อบกพร่องของเราให้เป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น จริงๆ ก็อาจจะไม่ใช่หน้าที่ของวัยรุ่นแต่เป็นหน้าที่ของมุนษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ก็ทำความรู้จักตัวเอง ที่จะทำให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง การเห็นคุณค่าตัวเองในมนุษย์มันไม่ใช่แค่เรื่องของการเห็นศักยภาพตัวเอง แต่มันเป็นการเห็นความหมายของตัวเองด้วย การที่เรารู้ว่าตัวเองเป็นคนที่มีคุณค่า มีความหมาย มีศักยภาพ พี่คิดว่ามันเป็นคีย์เวิร์ดสำคัญของการที่ทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเอง 

ฉะนั้นการที่เราจะรู้ว่าเรามีความหมาย เป็นที่รัก หลายครั้งมันไม่ได้สร้างมาจากแค่ตัวเรา จริงๆ แล้วมันสร้างมาจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก ที่ทำให้เด็กคนหนึ่งโตขึ้นมาแบบเป็นที่รักและเห็นคุณค่าของตัวเอง ฉันเป็นคนที่มีความสำคัญ ฉันเป็นคนที่มีความหมายกับพ่อแม่ แต่เด็กหลายคนก็ไม่ได้เติบโตมาแบบโชคดีแบบนั้น วัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ก็อาจจะเป็นวัยที่จะต้องกลับมาที่จะให้ความรักนั้นกับตัวเอง โดยการเห็นคุณค่าตัวเองและยอมรับความเป็นมนุษย์ที่ธรรมดาของตัวเอง รักและเมตตาตัวเอง แปลว่า โอบกอดตัวเองได้ แม้ว่าเราจะผิดพลาด แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบ แม้ว่าเราจะล้มเหลว แม้ว่าเราจะมีข้อไม่ดีมากมาย แต่ว่าเราสามารถที่จะโอบกอด สามารถที่จะบอกกับตัวเองได้ว่า ไม่เป็นไรนะ เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งแหละ เดี๋ยวเราก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองไปนะ

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)พญ.จิราภรณ์ อรุณากูรในโลกวัยรุ่นจิตวิทยาวัยรุ่น

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

จิตติมา หลักบุญ

ช่างภาพที่ชอบถ่ายภาพทุก category ชอบทำกับข้าวและรักปลาร้าเป็นชีวิตจิตใจ

Related Posts

  • How to enjoy life
    การทำร้ายร่างกายตัวเอง (self-injury) ที่ไม่ใช่แค่การกดดัน ตำหนิตัวเอง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep2 : ส่องความงาม-ความดีในนิทาน ‘สโนไวท์’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็น Non-binary : ตัวตน ความรักและความเป็นอื่น ‘นอกกล่องเพศ’ กับ คิว-คณาสิต พ่วงอำไพ

    เรื่อง ศากุน บางกระ

  • How to get along with teenager
    จิตวิทยาวัยรุ่น: ความสัมพันธ์(ความสับสนยุ่งเหยิง)วัยรุ่น กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • Life Long Learning
    ใช้ร่างกายไล่ล่าปัจจุบัน หาความท้าทายใหม่เพื่อค้นพบตัวเอง: สูงวัยด้วยคุณภาพและพลังชีวิต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

เพราะเด็กเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง คุยเรื่องเส้นแบ่งความเอ็นดูกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก กับเพจ ‘นักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง’
Social Issues
19 January 2021

เพราะเด็กเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง คุยเรื่องเส้นแบ่งความเอ็นดูกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก กับเพจ ‘นักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง’

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • ความเอ็นดู ความรักที่มีต่อเด็ก ทำให้ผู้ใหญ่บางคนอาจแสดงออกมาในรูปแบบการสัมผัสร่างกาย เข้าถึงเนื้อตัวเด็ก โดยลืมที่จะขอความยินยอมจากปากพวกเขา ซึ่งการกระทำนี้อาจเข้าข่ายการล่วงละเมิดทางเพศเด็กได้
  • ชวนทำความเข้าใจเรื่องสิทธิเหนือร่างกายเด็ก เพื่อไม่ให้ผู้ใหญ่แบบพวกเราเผลอไปแตะนิดสัมผัสหน่อยจนอาจเข้าข่ายล่วงละเมิดทางเพศเด็กกับ กอล์ฟ – พงศธร จันทร์แก้ว นักสังคมสงเคราะห์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งเพจนักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง
  • “จำเป็นที่เราต้องสอนให้เด็กรู้จักประเมินสถานการณ์ความเสี่ยง ความใกล้ชิดแบบไหนที่จะนำเขาไปสู่สถานการณ์ที่ก่อให้เกิดการล่วงละเมิดทางเพศ หรือเมื่อไหร่ที่เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ สิ่งที่เด็กควรทำ คือ การปฏิเสธ แล้วเขาต้องปฏิเสธอย่างไร แบบไหนถึงจะปลอดภัย เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ยังขาดในระบบการศึกษาของบ้านเรา”

‘ทำเป็นเล่นตัวไปได้ ผู้ใหญ่เขาจับนิดจับหน่อยเอง’

‘ที่เขาทำไปก็เพราะความเอ็นดู ไม่ได้มีอะไร’

เสียงส่วนหนึ่งจากชาวโซเชียลต่อเหตุการณ์ที่ดาราคนหนึ่งหอมแก้มเด็กขณะถ่ายรายการ ปฎิกริยาของเด็กที่เกิดขึ้นแสดงออกว่าไม่ได้มีการขออนุญาตหรือพูดคุยว่าจะมีการกระทำนี้เกิดขึ้น ทำให้ท่าทางของเด็กที่เกิดขึ้น คือ ความกลัว เสียงจากชาวเน็ตก็แตกเป็นหลายฝ่ายมีทั้งคนที่มองว่าการกระทำนี้ผิด ผู้ใหญ่ควรขออนุญาตเด็กทุกครั้งที่จะเข้าถึงเนื้อตัวเขา แม้ว่าจะทำไปโดยไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ควรได้รับคำยินยอมจากปากของเจ้าตัวก่อน กับอีกฝ่ายที่มองว่า ‘เป็นเรื่องธรรมดา’ ‘เด็กคิดมากไป’

เราเชื่อว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวที่เกิดขึ้น ยังคงมีเคสแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน ขณะที่พวกเรากำลังอ่านบทความนี้ก็อาจจะมีเด็กคนหนึ่งที่กำลังถูกทำแบบนี้ ถูกเข้าถึงร่างกายเขาโดยไม่ได้รับความยินยอม เราอยากชวนทุกคนมาตั้งหลักมองเรื่องนี้ใหม่ เป็นสาเหตุที่เราชวน กอล์ฟ – พงศธร จันทร์แก้ว นักสังคมสงเคราะห์กลับมาคุยกันอีกครั้ง (อ่าน “เด็กไทยวันนี้เข้าใจ ‘สิทธิ’ ดีที่สุดและสอนผู้ใหญ่ด้วยว่าสิทธิคืออะไร” คุยเรื่องการลงโทษและละเมิดสิทธิเด็กกับเพจ ‘นักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง) ถึงประเด็นสิทธิเหนือร่างกายของเด็ก การกระทำของผู้ใหญ่ที่ควรระวังเพราะอาจเป็นการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก และกระบวนการทางกฎหมายหากเกิดเคสแบบนี้ขึ้น

วัฒนธรรมสังคมที่ร่างกายเด็กเป็นของทุกคน ยกเว้นเจ้าตัว

“มันคือการแสดงออกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วสามารถทำอะไรก็ได้ เขาไม่ได้มองว่าเด็กเป็นเจ้าของเนื้อตัวร่างกายตัวเอง”

ก่อนจะเริ่มคุยเรื่องนี้กอล์ฟบอกเราว่า ต้องเริ่มตั้งต้นก่อนว่าสังคมไทยใช้แว่นแบบไหนมองเด็ก แน่นอนว่าส่วนใหญ่ใช้แว่นแห่งอำนาจเหนือ ผู้ใหญ่มีสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายเด็ก สามารถทำอะไรกับพวกเขาก็ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต เราพยักหน้าเห็นด้วยทันที ลองจินตนาการดูว่าถ้าเราเจอคนหน้าตาดีเราจะเข้าไปจับเขาเหมือนที่เราจะเข้าไปจับเด็กหน้าตาน่ารักไหม? 

กอล์ฟเล่าต่ออีกว่า ปัจจัยทางเพศก็ส่งผลต่อการกระทำของผู้ใหญ่ เช่น ถ้าเป็นผู้ชายอาจจะกล้ากอด กล้าหอมเด็กผู้ชาย ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวเพราะความเป็นเพศเดียวกันมันทำให้คนเลือกที่จะมองข้าม ไม่มีการเอ๊ะ ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้ไม่ควรมองว่าถ้าเป็นเพศเดียวกันแล้วเราสามารถทำอะไรกับเด็กก็ได้ เพราะการเป็นเพศเดียวกันไม่ใช่ใบอนุญาต

Feeling Yes, Feeling No

ในฐานะคนที่ทำงานกับเด็ก กอล์ฟแนะนำหลักสูตรที่เขาใช้สอนเด็กเพื่อติดตั้งทักษะป้องกันตัว ชื่อว่า Feeling Yes, Feeling No (ตัวฉันเป็นของฉัน) เป็นการสอนให้เด็กประเมินว่า เหตุการณ์แบบไหนที่จะพาเขาไปสู่ความเสี่ยงจากภัยทางเพศ

โดยหลักสูตรจะสอนเด็กว่า เมื่อไรก็ตามที่มีคนเข้ามาหาเขา การเข้ามาจะมี 2 ระดับ คือ หนึ่ง – การเข้าถึงเนื้อตัวร่างกายที่เป็นของเขา ถ้าใครเข้ามาทำอะไรกับร่างกายที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ นี่คือการละเมิดสิทธิเขา 

สอง – มนุษย์ทุกคนมี safety zone (พื้นที่ปลอดภัย) ของตัวเอง เช่น ความใกล้ระดับไหนที่เราอนุญาตให้คนเข้ามาใกล้ ระยะแบบนี้ (กอล์ฟชี้ระยะห่างระหว่างเรากับกอล์ฟ) กำลังโอเค แต่ถ้ากอล์ฟขยับเข้ามาใกล้ เราอาจจะเริ่มรู้สึกไม่ได้ละ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องสอนให้เด็กรู้จักประเมินสถานการณ์ความเสี่ยง ความใกล้ชิดแบบไหนที่จะนำเขาไปสู่การละเมิดทางเพศ ถ้าเขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ หน้าที่เขา คือ การปฏิเสธ ตัวหลักสูตรก็จะสอนเด็กให้รู้จักปฏิเสธ เขาต้องปฏิเสธอย่างไร แบบไหนถึงจะปลอดภัย ในมุมกอล์ฟเขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ขาดในระบบการศึกษาของประเทศเรา

นอกจากนี้ตัวหลักสูตรจะสอนให้เด็กไม่ต้องสนใจคำอธิบายของคนกระทำ เช่น ที่ทำไปแค่เพียงจะหยอกเล่นเฉยๆ ไม่มีอะไร กอล์ฟบอกว่าจุดที่ควรโฟกัสไม่ใช่คำอธิบายของผู้กระทำ เพราะนี่เป็นเรื่องของคนที่ถูกกระทำที่จะรู้สึกว่า ‘เขากำลังถูกทำอะไร’ ‘เขารู้สึกอะไรจากการกระทำนี้’

ตัวหลักสูตรนี้ได้ต้นแบบมาจากประเทศแคนาดา คนที่เอามาใช้ในไทยเป็นที่แรก คือ มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เพื่อเป็นเครื่องมือให้เด็กไว้ใช้ตรวจสอบ เพราะเรื่องนี้สำหรับกอล์ฟมันเป็นทักษะ เด็กทุกคนเกิดมาแล้วไม่สามารถพูด ‘เซย์โน’ ได้เลย ต้องเกิดจากการฝึกฝน

“เราว่าเรื่องนี้ต้องให้เครดิตมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เพราะเขาลงไปทำงานกับโรงเรียน มีโรงเรียนคุ้มครองเด็ก มีชุมชนคุ้มครองเด็ก แต่เขาก็เป็นเอ็นจีโอองค์กรหนึ่งเนาะ ไม่สามารถทำงานทั่วประเทศได้ ดังนั้น เรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของกระทรวงที่ต้องเพิ่มในหลักสูตรสอนเด็ก มันควรฝึกกันจริงจัง สมมติถ้าเกิดเคสแบบนี้ในนอร์เวย์คนแรกที่จะปกป้องเด็กได้ คือ ตัวเด็กเอง

“เด็กจะรู้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ขึ้นกับเขาแบบนี้ สิ่งที่เขาต้องทำ คือ โทรหานักสังคมสงเคราะห์ทันที ไม่เชิงว่าเจอปุ๊บแล้วต้องเป็นการแจ้งความอย่างเดียว เพราะที่ต่างประเทศนักสังคมสงเคราะห์จะมีอำนาจจัดการโดยตรง ถ้าของบ้านเราต้องแจ้งตำรวจหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ถึงจะดำเนินการทางกฎหมายได้ เบอร์ก็มีเยอะอยู่ แต่ให้จำง่ายที่สุด คือ โทรแจ้ง 1300 โทรไปเดี๋ยวเขาจะไปแจกจ่ายเคสแต่ละพื้นที่เอง”

กระบวนการทางกฎหมาย

แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์ที่เด็กถูกละเมิดทางเพศละต้องทำอย่างไร? เราถามกอล์ฟ 

เขาเริ่มต้นอธิบายว่าผู้ปกครองสามารถพาเด็กไปแจ้งความกับตำรวจได้โดยตรง แต่ปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ คือ การตีความคำว่า ‘ละเมิดทางเพศ’ โดยเฉพาะการตีความในรูปแบบกฎหมาย ต่อให้ตัวเด็กหรือนักสังคมสงเคราะห์บอกว่า การกระทำแบบนี้ คือ การล่วงละเมิดทางเพศเด็ก แต่การตีความในกฎหมายอาจจะไม่ใช่

“พูดกันตามตรง เช่น เคสของการหอมแก้มถ้าขึ้นศาลในข้อหาการกระทำอนาจารเด็ก เราไม่แน่ใจศาลจะมองเรื่องนี้เป็นการกระทำอนาจารหรือไม่ ก็ต้องไปต่อสู้กันทางคดี ในกระบวนการก็มีหลักการตีความของศาลท่านอยู่ แต่ประเด็นคือ ต่อให้ศาลบอกว่านี่มันไม่ใช่การกระทำอนาจาร แต่เราก็ยังยืนยันว่า นี่คือการ ละเมิดสิทธิเนื้อตัวร่างกายของเด็กนะ แม้กฎหมายไม่มีบทลงโทษ หรือไม่ได้บอกว่าผิดด้วยข้อหานี้ แต่เราก็ยังต้องยืนยันว่าสิ่งนี้ผิด เราต้องสร้างการรับรู้ทางสังคมใหม่ ไม่ใช่แค่การมองว่าถูกหรือผิดกฎหมายเท่านั้นแล้วจบ แต่นี่คือการสร้างความตระหนักรู้ทางสังคมร่วมกัน

“ยิ่งถ้าเรื่องนี้ถูกผูกติดกับเรื่องวัฒนธรรมด้วยแล้ว มันยิ่งยากขึ้น แต่ถ้าถามว่าแล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง คือ แจ้งความเลย หรือโทรหาพนักงานเจ้าหน้าที่เล่าให้เขาฟังว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ เราไม่โอเค รู้สึกไม่ปลอดภัย เราคิดว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง

“แต่พอพูดเรื่องกฎหมาย คนจะนึกทันทีว่าเคสนี้ต้องจบลงที่จับติดคุก แต่อย่างที่บอกว่าเวลาเราพูดถึงกฎหมาย มันยังเป็นเรื่องที่โต้เถียงได้ อย่างเคสดาราหอมแก้มเด็ก ต่อให้ตัวเรารู้สึกว่านี่มันชัดเลยเป็นการเข้าถึงเนื้อตัวร่างกายของเด็กแล้ว เป็นความผิด แต่พอไปอยู่ในกระบวนการกฎหมายมันยังไงต่อ? จะตีความยังไง เพราะตัวเราไม่ได้อยู่ใน position ที่จะตีความ”

ซึ่งสิ่งที่ตามมา คือ เจ้าหน้าที่คนนั้นจะรับทำเคสนี้หรือไม่? กอล์ฟเล่าว่าก็เคยมีบางเคสที่แจ้งความไปแล้วเขาไม่รับทำ “จริงๆ มีเคสก่อนหน้านี้ที่โด่งดังในทวิตเตอร์ ลูกโดนพ่อทำร้ายร่างกาย แจ้งเจ้าหน้าที่พม. (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) นักสังคมสงเคราะห์ไป สุดท้ายเด็กถูกบอกว่าให้พยายามเข้าใจพ่อและทนไปก่อน คือมันยังมีปัญหาในภาคปฏิบัติสูง เพราะมีเรื่องคุณค่าความเป็นครอบครัวและวัฒนธรรมของคำว่าการละเมิดอยู่ ซึ่งมันก็จะกลับไปที่เงื่อนไขเดิมทุกที กฎหมายอาจเป็นปัญหาหนึ่ง แต่บางทีกฎหมายมันมีช่องแต่ไม่ถูกปฏิบัติด้วยเงื่อนไขความเข้าใจของคนปฏิบัติงาน

“จริงๆ หลายตำแหน่งของงานนี้ (งานคุ้มครองเด็กและงานคุ้มครองผู้ถูกกระทำความุรนแรงในครอบครัว) จะรับคนเป็นวุฒิเปิด หนึ่ง – คุณไม่จำเป็นต้องจบสายสังคมสงเคราะห์มาก็สามารถทำตำแหน่งนี้ได้ และสอง – เราต้องทำความเข้าใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จบสายสังคมสงเคราะห์มาแล้วจะสามารถทำงานคุ้มครองเด็กในทาง Domestic Violence (ความรุนแรงในครอบครัว) ได้เลย เพราะงานเหล่านี้ต้องใช้แว่นเฉพาะของมันเองอีก ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ ต้องถูกเทรนระดับหนึ่ง มีกระบวนการ supervision ที่ดีมาก

“พอวิธีรับคนเป็นแบบนี้ เราเลยไม่อยากตำหนิคนทำงานเพราะเขาเองก็อาจไม่รู้ว่าต้องทำอะไรเหมือนกัน เพราะงานนี้โคตรยากเลย (เน้นเสียง) งานที่ต้องประเมินความเสี่ยง หรือต้องดีลกับความคาดหวังของคนหลายส่วน คุณต้องดีลกับสิ่งที่ตำรวจคิดอีกแบบหนึ่ง หรือต้องดีลกับหมอที่คิดอีกแบบหนึ่ง หรือการดีลกับพ่อแม่ที่วิชาชีพบังคับให้เราต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ แต่ในทางเดียวกันเราก็ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็ก พอเราสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ เด็กก็จะรู้สึกว่าเธอเข้าข้างพ่อแม่ แล้วเราควรอยู่ไหนดีอะ? มันยากมาก คุณต้องถูกเทรนจริงๆ ต้องมีองค์กรที่ซัพพอร์ตการทำงานของคุณจริงๆ”

คนหน้างานที่ต้องเป็นหลักสำคัญให้กับระบบและการคุ้มครองเด็ก 

ขนาดคนนอกแบบเราฟังแล้วก็รู้สึกเหนื่อย ไม่รู้จะต้องจับต้นชนปลายอย่างไรดีกับปัญหานี้ กอล์ฟตอบว่า เนื่องจากมันเป็นปัญหาเชิงระบบ สิ่งที่เริ่มง่ายสุด คือ ระดับปัจเจกฯ หนึ่ง – ในฐานะผู้เสียหาย คุณสามารถชี้บอกนักสังคมสงเคราะห์ พนักงานเจ้าหน้าที่ ตำรวจว่า พวกคุณต้องทำหน้าที่ตัวเอง แต่จะวนกลับมาที่ปัญหาเดิม คือ คนส่วนใหญ่เองไม่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิอะไรบ้าง ฉะนั้น การที่ให้คนๆ หนึ่งไปตามจิกให้คนที่เกี่ยวข้องมาทำงานได้ คุณต้องมีชุดความรู้ตรงนี้ก่อน ซึ่งในความเป็นจริงไม่ควรมีใครต้องมารับภาระหน้าที่จากการถูกปกป้องคุ้มครองทางกฎหมายขนาดนี้ แต่ด้วยเงื่อนไขสังคมแบบนี้ กลายเป็นตัวบีบบังคับให้ประชาชนต้องทำ

และสอง – คนที่เกี่ยวข้องทำงานช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือนักสังคมสงเคราะห์เอง ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง คือ ยืนยันหลักการวิชาชีพและช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ 

“โดยเฉพาะพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐ ตัวแทนกฎหมาย หรือตัวแทนคุณค่าความเชื่อที่รัฐมีต่อมนุษย์ที่เป็นเจ้าของประเทศว่า คุณคิด-เชื่อยังไง สิ่งที่เราอยากเรียกร้อง คือ พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก คุณต้องเทคแอคชั่นเวลาเกิดเคสแบบนี้ คุณต้องออกมายืนยันหลักการว่ามันเป็นเรื่องผิด ใช้กลไกทางกฎหมายที่คุณมีเข้าไปแทรกแซงเคสเหล่านี้

“แต่ก็จะวนกลับไปอีกว่าตัวคุณมองเรื่องนี้ยังไง ใช้แว่นอะไรมอง แต่อย่างน้อยขอให้เขายืนอยู่ตรงนี้ให้ได้ก่อน เพราะคุณเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ไง คุณมีอำนาจ ไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป แถมคุณผ่านการอบรมมาแล้ว รู้หลักการทำงานดี แล้วตัวคุณเป็นตัวแทนรัฐด้วย คุณต้องยืนยันหลักการนี้ให้ได้ก่อน ศาลเอย ตำรวจเอยเรายังเข้าใจเขาได้เรื่องการตีความกฎหมาย เพราะทุกคนมีความคิดความเชื่อผ่านการสร้างทางสังคม แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ถูกผลิตขึ้นมาให้ทำงานกับเด็กในเคสแบบนี้ คุณต้องเป็นหลักสำคัญให้กับระบบและการคุ้มครองเด็ก ถ้าคุณไม่แข็ง จะเหลืออะไรให้เด็กพึ่งได้” กอล์ฟทิ้งท้าย

Tags:

สิทธิเด็กนักสังคมสงเคราะห์พงศธร จันทร์แก้วคุกคามทางเพศ (sexual harassment)

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Yoshino’s Barber Shop : เสียงตะโกนของแก๊งเด็ก ‘ไม่เอาผมทรงเห็ดแล้ว’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • How to get along with teenager
    “อย่าเร่งร้อนให้ผลิบาน” ความยากลำบากของวัยหนุ่มสาวกับการบรรลุนิติภาวะในวัย 18

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    “เด็กไทยวันนี้เข้าใจ ‘สิทธิ’ ดีที่สุดและสอนผู้ใหญ่ด้วยว่าสิทธิคืออะไร” คุยเรื่องการลงโทษและละเมิดสิทธิเด็กกับเพจ ‘นักสังคมสงเคราะห์เล่าเรื่อง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Character building
    คุกคามทางเพศในวัยเด็ก: ปม การละเมิด ถูกทรยศ และความเคารพในการปฏิเสธ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

(ก่อน)คุยกับลูกเรื่องเพศ ชวนพ่อแม่ถามตัวเอง ‘มีความรักครั้งแรกเมื่อไร’ และอีกหลายความรู้เรื่องเพศที่ต้องรู้ก่อนคุย
How to get along with teenager
18 January 2021

(ก่อน)คุยกับลูกเรื่องเพศ ชวนพ่อแม่ถามตัวเอง ‘มีความรักครั้งแรกเมื่อไร’ และอีกหลายความรู้เรื่องเพศที่ต้องรู้ก่อนคุย

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘เรื่องเพศ’ เป็นเรื่องที่ต้องคุยกันให้เป็นเรื่องธรรมดา คุยกันให้คลี่คลาย เพื่อความปลอดภัยของบุตรหลานเอง และเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้ลูกมี ‘อำนาจภายใน’ ที่เข้มแข็ง มีวุฒิภาวะและกล้าหาญพอจะบอกรับหรือปฏิเสธในสัมผัสที่ไม่ต้องการ 
  • คำถามคือ…เริ่มพูดเมื่อไร อย่างไร และมีอะไรที่ต้องรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง? 

พ่อแม่รุ่นใหม่หลายคนเข้าใจกันดีว่า ‘เรื่องเพศ’ เป็นสิ่งที่ต้องพูดคุยกันให้คลี่คลาย ทั้งเพื่อความปลอดภัยของบุตรหลานเอง และเรา – ผู้ปกครอง ต่างก็รู้แหละว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องสามัญ เป็นความรัก เป็นความสุข เป็นประสบการณ์ และเป็นวิถีชีวิต ทั้งผู้ปกครองหลายคนเองก็เคยถูกเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ไม่พูดกันเรื่องเพศ รู้ตัวอีกทีก็เผชิญหน้ากับมันอย่างต้องเรียนรู้กับมัน ‘ด้วยตัวเอง’ เอาตัวรอดกันเอง พอมีลูก หลายคนก็ตั้งใจว่าเรื่องนี้ยังไงก็ต้องคุยกัน 

รู้แล้วว่าเรื่องเพศต้องไม่หลบเลี่ยง ต้องพูดคุยให้เป็นเรื่องธรรมดา และเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้ลูกมี ‘อำนาจภายใน’ ที่เข้มแข็ง มีวุฒิภาวะและกล้าหาญพอจะบอกรับหรือปฏิเสธในสัมผัสที่ไม่ต้องการ 

คำถามคือ…เริ่มพูดเมื่อไร อย่างไร และมีอะไรที่ต้องรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง? 

เวิร์กชอป ‘คุยกับลูกเรื่องเพศ’ Fathom Bookspace ร่วมกับ The Potential ชวนวิทยากร 2 ท่านคือ #แม่จิ๋ว วีววรรณ กังวาลนวกุล กระบวนกรผู้พลิกมุมมองเรื่องเพศและการคุยกับลูกเชิงบวก และ #พี่เหมียว อุไรรัตน์ หน้าใหญ่ ผู้ทำงานเรื่องการสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศมากว่า 20  ปี โดยเฉพาะประเด็นการมีชีวิตทางเพศที่เป็นสุขปลอดภัย ชวนผู้ปกครองและคนทำงานสังคม เวิร์กชอป 2 วันเต็มว่าด้วยการคุยเรื่องเพศกับเด็กล้วนๆ 

แต่วงนี้ไม่ได้ตั้งหลักที่การส่งทอดข้อมูล แต่เป็นการตั้งคำถาม (ท้าทาย) ความเชื่อเรื่องเพศของผู้เข้าร่วม ที่ค่อยๆ ไต่ระดับตั้งแต่ ทวนถามว่าคุณมีความรักครั้งแรกเมื่อไร, เมื่อได้ยินคำว่า ‘เพศ’ คุณคิดถึงอะไร ชวนทำความเข้าใจเรื่อง ‘อำนาจ 3 แบบ’ (อำนาจเหนือ อำนาจร่วม อำนาจภายใน) ไดอาล็อกกันไปตลอดทางจนสุดท้ายตบเข้าเรื่อง การเรียนรู้ผ่านสายสัมพันธ์ (six stages of attachment) โดย Gordon Neufeld 

และเมื่อตอบคำถามเรื่องเหล่านี้ได้หมด เสียงของผู้ปกครองและคนทำงานในวงร่วมกันแชร์ว่า …ความรู้เรื่องเพศแตะไปทุกมิติตั้งแต่พัฒนาการ สิทธิ กฎหมาย บรรยากาศในสังคมที่กดทับทำให้ผู้น้อยไม่กล้าพูดความจริง และ… ความรู้เรื่องเพศเหล่านี้ ควรจะสื่อสารกับเด็กตั้งแต่เล็กๆ ระดับอนุบาลเลย! 

ก่อนจะคุยกับเด็กๆ เรื่องเพศ ชวนตอบคำถามเล่นๆ เวิร์กชอปกับตัวเองเบาๆ ก่อนคุยกับลูกกันค่ะ 🙂 

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เพศ’ คุณนึกถึงคำว่าอะไรบ้าง? 

หลายคนในห้องแลกเปลี่ยนกัน มีตั้งแต่ นม จิ๋ม จู๋ เพศหญิง เพศชาย คนหลากหลายทางเพศ แม่ พ่อ และอื่นๆ 

ก่อนที่วิทยากรจะช่วยสรุปในตอนท้ายๆ ของเวิร์กชอปว่า เวลาที่เราได้ยินคำว่า ‘เพศ’ มันไม่ได้เท่ากับ ‘เพศสัมพันธ์’ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่หลายคนคิดถึงเวลาได้ยินคำนี้ จึงอาจทำให้เราอึดอัดเวลาได้ยิน ทั้งที่จริงๆ แล้วในทางความหมายมันแค่อธิบายคำศัพท์ แต่มายาคติที่พ่วงมากับคำนี้ต่างหาก ที่ทำให้เราต้องทำงานกับมัน และพยายามย้ำกันบ่อยๆ ว่า เพศก็คือเพศ ไม่ใช่ เพศสัมพันธ์ 

อีกเรื่องที่ผู้เข้าร่วมแชร์กันระหว่างไดอาล็อกตรงนี้คือ คำว่า จิ๋ม จู๋ หี ควย ที่ในระดับภาษาบอกว่านี่คือคำหยาบคาย คนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงไม่พูดถึงมัน แต่ดีกรีความรุนแรงของคำเหล่านี้ในบางคนอาจรุนแรงกว่ามาก เพราะมันหมายถึง คำหยาบที่พ่วงด้วยเรื่องเพศ 

ประเด็นที่ชวนแลกเปลี่ยนกันคือ การที่เราพยายามกลบเกลื่อนคำ เรียกคำอื่น ไม่พูดถึงมันตรงๆ เช่น จิ๊โมะ ช้างน้อย ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่อย่างไม่รู้ตัว เรากำลังสื่อสารว่าคำเหล่านี้เป็นคำต้องห้าม ต้องไม่พูดถึงมัน พอไปปกปิดมากเข้า เราก็ทำให้คำธรรมดาที่ใช้เรียกเครื่องเพศกลายเป็นคำหยาบไปในที่สุด เวลาที่เราได้ยินคำเหล่านี้ จึงรู้สึกอึดอัด ทั้งที่มันก็เป็นคำศัพท์ธรรมดา 

“ทำไมเราถึงมองว่าเรื่องเพศมันคุยยากฟังยากขนาดนั้น มันก็เรื่องเดียวกับที่เราชอบกินผัดกะเพรานั่นแหละ” ผู้ปกครองท่านหนึ่งพูดขึ้น เกือบจะเรียกว่าเป็นการสรุปประเด็นวงคุยทั้งวันเลยทีเดียว 

คุณมีความรักครั้งแรกเมื่ออายุเท่าไร และ ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร? 

จำได้กันหรือเปล่าคะว่า ความรักครั้งแรกของคุณเกิดขึ้นเมื่อไร และ ตอนนั้นรู้สึกต่อความรักอย่างไร รู้สึกต่อตัวเองอย่างไร 

ผู้เข้าร่วมเวิร์ปชอปแชร์กันว่า บางคนก็เริ่มรักตั้งแต่อายุ 6 ขวบ (ไม่ว่าดีกรีของมันจะขนาดไหน) บ้างมาช้าหน่อยคือ 18 ปี แต่ที่คนส่วนใหญ่จะพร้อมรู้สึกรักคล้ายๆ กันคือช่วง 13 – 15 หรือก็คือช่วงป. 5 ป.6 และม.ต้น 

ส่วนความรู้สึกน่ะเหรอ หลายคนตอบว่ามันมาพร้อมกับความสดใสยิ้มๆ เช่น อยากพัฒนาตัวเอง อยากไปโรงเรียนบ่อยๆ ชื่นชม มีพลัง แรงบันดาลใจ ถึงแม้จะมีมุมรู้สึกไม่ดีกับตัวเองบ้าง เช่น งง สับสน รู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอ แต่เราก็แชร์กันว่ามันเป็นความรู้สึกต่อตัวเองที่อยากจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น มากกว่าจะเป็นความรู้สึกในทางลบต่อความรักครั้งแรก 

ตรงนี้ สิ่งที่คนในวงช่วยกันแชร์คือ หนึ่ง-ความรักครั้งแรกของเด็กๆ เกิดขึ้นเร็วมาก เป็นได้ตั้งแต่วัยอนุบาล ประถมปลาย ม.ต้น และความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันเป็นแต่ทางบวก ไม่ค่อยมีความคิดเชิงลบแบบที่ผู้ใหญ่คิดกัน (ซึ่งมีประสบการณ์รักไม่ดีตอนโตแล้ว)  

แปลว่าหากจะพูดเรื่องเพศ เราคงรอให้ถึงวัยรุ่นไม่ได้ แต่ควรตั้งหลักคุยกันเนิ่นๆ โดยเฉพาะการทำให้เขาเข้าใจเรื่องการปฏิเสธ ความเข้มแข็งภายใน (อำนาจภายใน) ความรู้เรื่องการใช้ถุงยางอนามัย ยาคุม การป้องกัน 

ประเด็นที่สอง ความรักเป็นพัฒนาการ วัยนี้เด็กๆ (และเราเองต่างก็เคยผ่านมา เพราะนี่คือคำตอบของเราเองเนอะ) เต็มไปด้วยความรู้สึก มันเป็นช่วงวัยที่เขาอยากจะทดลองรักผู้อื่น สับสนในความสัมพันธ์ สงสัยใคร่รู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย 

ที่ผู้ปกครองควรทำได้ไม่ใช่การปฏิเสธ แต่เป็นผู้ฟังนิ่งๆ ฟังอย่างไม่ต้องตัดสิน ทำให้เด็กๆ ไว้ใจว่าจะมาปรึกษาเราได้ ซึ่ง การทำเช่นนี้ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างกันต้องดีก่อน ซึ่งเราจะค่อยๆ ปรับได้จากการ ‘ฝึกฟัง’ โดยจะขอกล่าวในส่วนถัดไป โดยระหว่างนี้ อยากให้ท่านผู้อ่านค่อยๆ ตั้งคำถามกับตัวเองไปทีละด่าน ก่อนไปฝึกฟังกันค่ะ 

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เพศชาย’ ผู้ชาย ลูกชาย หลานชาย คุณคิดว่าเขาต้องมีบุคลิกยังไง 

เมื่อได้ยินคำว่า เพศชาย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย ลูกชาย หลานชาย คุณคิดว่าเขาต้องมีบุลคลิกอย่างไรบ้าง 

ที่แชร์กันเร็วๆ ในวงก็เช่น ต้องเข้มแข็ง, ไม่ร้องไห้, เป็นผู้นำครอบครัว, บอยๆ แตะบอลกันครับ(ครัช), วิศวกร, เก่งงาน, ชอบผจญภัย, เล่นกีฬาเก่ง และอื่นๆ  

อ่านถึงตรงนี้ ฝากคุณผู้ปกครองช่วยจดความคิดลงในกระดาษก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวเรามาชวนคิดกันต่อ 

เช่นกัน เมื่อได้ยินคำว่า ‘เพศหญิง’ ผู้หญิง ลูกผู้หญิง หลานผู้ชาย คุณคิดว่าเขาต้องมีบุคลิกยังไง 

เช่นกันค่ะ เมื่อได้ยินคำว่า ‘เพศหญิง’ ผู้หญิง ลูกผู้หญิง หลานผู้ชาย คุณคิดว่าเขาต้องมีบุคลิกยังไง 

ในวงแชร์กันอย่างสนุกเลยค่ะว่า เป็นคนเรียบร้อย, พูดค่อยๆ, ไม่ใช้เงินเปลือง, สวย, เย็บผ้าเป็น, ล้างจาน, ตื่นก่อนนอนทีหลัง, ทำกับข้าวเก่ง และอื่นๆ 

เหมือนเดิมค่ะ ฝากคุณผู้ปกครองช่วยจดความคิดลงในกระดาษก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวเรามาชวนคิดกันต่อ 

จากที่นิยามเพศสภาพทั้งสองไว้ ถ้าพวกเขาเป็นครบทั้งหมดนั้น ลึกๆ เขาจะเป็นคนแบบไหน และคุณจะรู้สึกอย่างไรต่อเขาหรือเธอ? 

จากที่นิยามเพศสภาพทั้งสองไว้ ถ้าพวกเขาเป็นครบทั้งหมดนั้น ลึกๆ เขาจะเป็นคนแบบไหน และคุณจะรู้สึกอย่างไรต่อเขาหรือเธอ? 

ที่ตั้งคำถามแบบนี้ วิทยากรตั้งใจตรวจสอบว่าสังคมมองเพศสภาพทั้งสองไว้ว่าอย่างไร และถ้าเป็นได้ครบ เขาคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง 

เอาผู้ชายก่อน หลายคนช่วยกันแชร์ว่า ถ้าผู้ชายเป็นได้ทั้งหมดนั้นคงอึดอัดน่าดู และการอยู่ใกล้ผู้ชายแบบนี้คงทำให้เราอึดอัดเช่นกัน เพราะมันคงไม่เหลือพื้นที่แห่งความไม่สมบูรณ์แบบเลย 

และยิ่งถ้าเขามีเพศสภาพที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิด (เกย์ กะเทย transgender เลื่อนไหล ไม่มีเพศ และอื่นๆ) คงหลุดพ้นจากความคาดหวังเหล่านี้ได้ยาก 

ส่วนผู้หญิง หลายคนแชร์ว่าถ้าเป็นได้ทั้งหมดนั้น คง ‘เป็นบ้า’ เพราะแค่ ‘ไม่ใช้เงินเปลือง’ กับ ‘สวย’ ก็ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว (ความสวยต้องใช้เงิน) แถมต้องตื่นก่อนนอนทีหลังอีก ในความเป็นจริงที่ทุกคนทำงานนอกบ้านเคียงบ่าเคียงไหล่ไม่สนเพศ การพักผ่อนน้อยคงทำให้เส้นความอดทนขาดผึง 

อะไรบ้างที่ทำให้เรารู้สึก ‘ตัวเล็ก’ กว่าคนอื่น 

ประสบการณ์ เงิน หน้าที่ ความรู้ ฐานะทางสังคม ความรัก อายุ เสียงดัง สีผิว เพศ (ชาย-หญิง) ถิ่นที่อยู่อาศัย การศึกษา ชนชั้น เชื้อชาติ ทรัพยากร ศาสนา ความเชื่อ ฐานะทางเศรษฐกิจ (รวย) พูดได้หลายภาษา 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คนในวงช่วยกันแชร์ว่า อะไรที่ทำให้เรา…รู้สึกตัวเล็ก ต่ำกว่า หวั่นไหวไม่มั่นคงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่มี ‘อำนาจ’ แบบนี้ — เราเรียกสิ่งที่ช่วยกันลิสต์ไว้ข้างต้นนี้ว่า ‘แหล่งอำนาจ’ ค่ะ

แล้วสิ่งนี้เกี่ยวกับเพศอย่างไร? 

เหมือนจะไม่เกี่ยวแต่จริงๆ แล้วเกี่ยวโดยตรงเลยค่ะ หนึ่ง-เพราะแหล่งอำนาจเหล่านี้มีผลต่อการเอ่ยปากปฏิเสธ หรือการจะยืนหยัดต่ออะไรสักอย่างว่าเราชอบหรือไม่ชอบ เราอยากทำจริงๆ หรือเพียงเพราะยอมจำนน 

สอง-ในความสัมพันธ์ระหว่างกัน เจาะจงลงมาพูดเฉพาะในครอบครัวก็ได้ การเป็นพ่อ เป็นแม่ บวกเพิ่มด้วยความรักและปรารถนาดี เหล่านี้รวมๆ กันแล้วทำให้ผู้ปกครอง ‘มีอำนาจเหนือ’ ลูก ซึ่งมีแหล่งอำนาจน้อยกว่า ทำให้หลายๆ ครั้งเราอาจกดดันลูกทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าเรา ‘ไม่ฟัง’ และใช้อำนาจเข้าข่มด้วยแล้ว ไม่ต้องถึงเรื่องเพศ แค่เรื่องในชีวิตประจำวัน ก็คงคุยกันไม่รอด 

สาม-เพศ ในตัวมันเองก็มีผลต่อการเป็น ‘แหล่งอำนาจ’ ที่สังคมมอบให้มา แล้วเอาไปใช้ต่อรองกับผู้อื่น (ผู้ชายมีอำนาจกว่าผู้หญิง ผู้หญิงที่สังคมบอกว่า ‘สวย’ มีอำนาจมากกว่า ผู้หญิงที่สังคมบอกว่า ‘ไม่สวย’ ผู้หญิงไม่สวยที่อยู่ในเมืองหลวง อาจมีอำนาจมากกว่าผู้หญิงสวยที่อยู่นอกเมือง อะไรแบบนี้เป็นต้น) 

แต่สิ่งที่จะทำให้ ‘แหล่งอำนาจ’ เหล่านี้มีผลต่อเราน้อยที่สุด ก็มาจาก ‘อำนาจภายใน’ ดูต่อในหัวข้อถัดไปเลยค่ะ 

อำนาจเหนือ อำนาจร่วม อำนาจภายใน  

ในเวิร์กชอป วิทยากรลองให้ผู้เข้าร่วมจับคู่แล้วผลัดกันนั่ง-ยืน คนที่ยืนอยู่ในอิริยาบทก้มคอมองคู่ตรงหน้าที่นั่งอยู่ ถูกใส่บทให้ทำตัวขึงขัง คิดว่าเป็นคนที่อยากใช้อำนาจครอบงำ ขณะที่คนที่นั่งอยู่ในท่าแหงนคอเกือบ 90 องศามองคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ ใช้เวลาอยู่ในท่านั้นราว 1 นาที 

เสร็จแล้วก็ให้แต่ละคนบอกความรู้สึกของตัวเอง 

คนที่ยืนอยู่แชร์ว่า มองเห็นในมุมกว้าง มั่นใจ ชนะ ตัวใหญ่กว่า รู้สึกมีอำนาจเหนือกว่า แม้อยู่ใกล้แต่รู้สึกไกล — ความรู้สึกแบบนี้เรียกว่า #อำนาจเหนือ 

ขณะที่คนนั่งแชร์ว่า รู้สึกถึงการหายใจติดขัด ไม่กล้าสบตา ต่ำต้อย เหมือนถูกกด กังวล รู้สึกวิงวอน บางคนก็แชร์ว่าพยายามจะสู้กลับ

ต่อมาวิทยากรให้ปรับตำแหน่งนั่งโดยให้คู่สนทนานั่งในระนาบเดียวกันแล้วถามความรู้สึกใหม่อีกครั้ง ได้ผลว่า รู้สึกว่าคุยกันง่ายขึ้น เท่ากัน ได้ตกลงกัน ใกล้กัน เชื่อมกัน ไม่มีกำแพง เป็นความสัมพันธ์ที่แลกเปลี่ยนได้ — แบบนี้เรียกว่า #อำนาจร่วม 

ในความสัมพันธ์แบบอำนาจร่วม เราอาจพบในความสัมพันธ์กับคนรัก เพื่อนร่วมงาน เจ้านายลูกน้อง ซึ่งก็เชื่อมโยงกับ ‘แหล่งอำนาจ’ ที่มีในมือ ในสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่าครอบครัว เราอาจโตมาในบ้านที่พ่อแม่ใช้อำนาจเหนือบ่อยๆ ซึ่งที่สุดแล้วก็ทำให้การพูดเรื่องเพศเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่หากปรับเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองหันมาใช้อำนาจร่วม ฟังกันให้มากด้วยท่าทีที่เสมอกัน แบบนี้ก็จะทำให้เกิดอำนาจร่วม เป็นความสัมพันธ์ที่แลกเปลี่ยนกันได้ 

เมื่อแลกเปลี่ยนกันได้ ไม่ว่าจะเรื่องเพศหรือเรื่องอะไร เราก็คุยกันได้ในที่สุด 

ส่วนอำนาจภายใน อยากชวนย้อนคิดถึงหัวข้อ ‘อะไรบ้างที่ทำให้เรารู้สึก ‘ตัวเล็ก’ กว่าคนอื่น’ กล่าวคือ ความรู้สึกว่า ‘ตัวเองตัวเล็กนิดเดียว’ จะเจือจาง เกิดเร็วจบเร็ว หรือ ส่งผลกระทบต่อเราน้อยที่สุด ก็มาจากความมั่นใจส่วนตัว มั่นคง เชื่อมั่นว่าตัวเองดีพอ — ซึ่งเจ้าความรู้สึกเหล่านี้ จะมาได้ก็มาจากเบ้าที่หลอมจากความรักของคนในครอบครัวเป็นพื้นฐาน และสิ่งนี้เองที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ค่อยๆ เสริมเติมให้เขาได้ 

อีกประเด็นคือการมอบสิทธิที่จะ ‘ปฏิเสธ’ ให้เขาเข้าใจแต่เล็กๆ โดยชวนดูต่อในหัวข้อ consent นะคะ 

พัฒนาการร่างกายของเด็ก โดยเฉพาะเรื่องเพศ เริ่มมี… ครั้งแรกเมื่ออายุเท่าไร 

ครั้งนี้ วิทยากรชวนผู้เข้าร่วมคิด (ในเวิร์กชอปจริงจะมีการเคลื่อนไหวร่างกายย้ายที่ทางไปมาด้วย!) ถึงพัฒนาการต่างๆ ในร่างกาย เช่น เริ่มมีขนที่อวัยวะเพศเมื่ออายุเท่าไร ประจำเดือนเริ่มมีช่วงไหน เริ่มมีหน้าอกเมื่อใด และอื่นๆ 

นอกเหนือจากนี้ยังเป็นคำถามที่ค่อยๆ ไต่ระดับไป เช่น ควรสอนลูกเรื่องยาคุม/ถุงยางอนามัยเมื่อไร เมื่อไรที่ควรคุยกับลูกเรื่องการถูกจับสัมผัสที่ไม่ดี (จับของสงวน ต้นคอ นม อวัยวะเพศ หรือ แม้แต่จับร่างกายปกติเด็กเซนส์ว่า ‘ไม่สบายใจ’)   

“เด็กคนนึงเกิดสิ่งเหล่านี้ มีพัฒนาการแบบนี้ตั้งแต่เล็กๆ แต่พ่อแม่คิดว่าต้องพูดตอนโต” ผู้ปกครองท่านนึงแชร์ในวง 

สิ่งที่เธอแชร์นี้คือความตั้งใจของวิทยากร จะเห็นว่าเด็กเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและในเรื่องเพศตั้งแต่ช่วงประถม หรือราว 10 ขวบก็เริ่มเข้าสู่วัย Pre-teen (ก่อนวัยรุ่น) แล้ว แปลว่าการพูดคุยเรื่องเพศอาจต้องเริ่มเร็วกว่านั้น 

โดยเฉพาะการทำความเข้าใจเรื่องพัฒนาการทางเพศ, การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย, ความรัก, การคุมกำเนิด, การใช้ถุงยาง, consent (การยินยอม) การปฏิเสธเมื่อรู้สึกไม่โอเค/ไม่พร้อม/ไม่ต้องการ 

เรื่องพัฒนาการทางเพศนี้ ชวนอ่านต่อที่: https://thepotential.org/family/how-to-talk-about-sex-with-children/

Consent และ อำนาจภายใน 

ต่อเนื่องจากหัวข้อข้างต้น สิ่งที่พ่อแม่ควรสร้างบรรยากาศในบ้านและควรสอน นั่นคือ consent หรือ การยินยอม โดยเฉพาะการยืนยันกับเด็กตั้งแต่เล็กๆ (อนุบาล) ว่า ร่างกายเป็นของเขา หากมีใครจะมาสัมผัสหรือทำอะไร ถ้าเราไม่อนุญาต ใครจะมาแตะสัมผัสไม่ได้ …นี่คือการสร้าง ‘อำนาจภายใน’ ให้เขาตั้งแต่เล็กๆ ยืนยันว่า ร่างกายของเขา เขามี ‘สิทธิที่จะปฏิเสธ’ ‘มีสิทธิพูดว่าไม่’ ในสิ่งที่เขาไม่ชอบ และทุกคนต้องเคารพ 

เคยมั้ยที่ลุงๆ ป้าๆ หรือคนที่ไม่รู้จักจะชอบมาจับมาหอมเด็กด้วยความเอ็นดู แต่หลายครั้งเด็กก็อึดอัด แต่ผู้ปกครองก็จะบอกว่า ‘เขาทำด้วยความรัก’ ในทางหนึ่ง มันคือการบอกว่าเด็กไม่มีสิทธิในร่างกายตัวเอง เมื่อโตไป (อาจไม่ต้องโตมากก็ได้) ถ้ามีใครมาลวนลาม จับสัมผัสที่สงวน เด็กอาจไม่รู้และ ‘ไม่มีอำนาจข้างใน’ ในการจะบอกปฏิเสธ  

ที่ดีคือ บอกให้ชัดว่าส่วนที่ไวต่อความรู้สึก คือ  “ซอกคอ จู๋ จิ๋ม นม ก้น” เราจะไม่แตะสัมผัสใครและไม่ให้ใครมาแตะสัมผัส 

ต้องไม่ลืมว่าการล่วงละเมิดในเด็กส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากคนใกล้ตัว การคืนอำนาจใน…ในการปฏิเสธ เช่นนี้ให้เด็ก เป็นการป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศได้ดีที่สุด และเมื่อเขาโตขึ้นเป็นวัยรุ่น เขาจะจัดการกับประสบความรักด้วยตัวเองได้อย่างแข็งแรงและรู้จักความต้องการของตัวเอง 

ครั้งแรกที่คุณพูดคุยเรื่องเพศ ความรัก กับผู้ปกครองครั้งแรก คุณได้รับการตอบสนองแบบไหน และ หลังจากนั้นคุณยังคงพูดคุยกับพวกเขาเรื่องนี้หรือไม่ อย่างไร? 

 ที่ผ่านมาเราคุยกันเรื่อง ‘ก่อนจะคุยเรื่องเพศกับลูก’ เราควรตั้งหลักอะไรบ้าง แต่สิ่งที่วิทยากรชวนกลับมาตั้งคำถามกันอีกครั้ง คือ อยากถามผู้ปกครองว่า คุณเล่าเรื่องความรักให้กับพ่อแม่ครั้งแรกตอนไหน บรรยากาศเป็นอย่างไร 

บางคนแชร์ว่าการพูดคุยเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีกลับมา บางคนแชร์ว่า ครั้งแรกที่คุยกับแม่ เธอรู้สึกว่า ‘แม่เหยียดหยามความรักของเธอ!’ (โถ) แม้จะพูดติดตลก แต่เธอแชร์ว่า ‘รีแอค’ ของแม่ครั้งนั้นยังติดในความทรงจำ แม้เป็นเพียงเสี้ยวขณะ แต่ทำให้เธอไม่พูดกับแม่ในเรื่องส่วนตัวลึกๆ อีกเลย เพราะรู้สึกว่าแม่ไม่รับฟัง ถูกทอดทิ้ง และยังมีนัยแห่งการปฏิเสธความรู้สึกของเธอด้วย 

แล้วของคุณละคะ เป็นแบบไหน? 

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราเชื่อว่าการจะพูดเรื่องเพศ บรรยากาศระหว่างกันต้องเป็นไปอย่าง ‘สบายใจ’ ที่สุด เรารู้แล้วว่าเรื่องเพศสำคัญและต้องพูดกันตั้งแต่เด็กเล็ก แต่ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่ดี เราคงคุยกันไม่ได้เลย 

ชวนดูหัวข้อถัดไป ฝึกฟัง…ฟังให้ลึกลงไปถึงหัวใจ ฟังอย่างตั้งใจและไม่ตัดสิน 

การฝึกฟัง 4 ระดับ (ทฤษฎีตัว U) 

ในเวิร์กชอปเรามีการฝึกฟัง 4 ระดับกันด้วยค่ะ เพราะเชื่อว่าการที่ลูกจะไว้ใจและอนุญาตให้ผู้ปกครองคุยกันเรื่องเพศ ความสัมพันธ์ระหว่างกันต้องดีมาก ซึ่งสิ่งหนึ่งที่จะสร้างได้คือ การที่ผู้ปกครองต้องฟังให้เป็น ฟังโดยไม่ตัดสิน 

วิทยากรให้พวกเราผลัดกันเล่าเรื่องของตัวเองคนละ 7 นาที แล้วให้คนฟัง ฟังโดยไม่พูดอะไร ฟังโดยตั้งใจ ฟังโดยปล่อยให้คนตรงหน้า ได้ระบายเรื่องราวในใจจนครบ 7 นาที 

ตอนแรกทุกคนคิดว่าเวลา 7 นาทีนี้มันยาวนาน เราจะเล่าอะไรให้กันฟังได้ถึง 7 นาที แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เวลา 7 นาทีตรงนั้น คือเวลาที่ทำให้หลายคนเสียน้ำตา ทั้งที่คนตรงข้ามไม่ได้พูดอะไรเลย! 

คุณแม่คนหนึ่งแชร์ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ระบายความในใจอย่างหมดเปลือกและอย่างที่ไม่เคยได้พูดเรื่องนี้กับใครมาก่อน ตอนแรกก็กังวลว่าคนที่ฟังเรื่องนี้จะตัดสินเธอหรือไม่ แต่พอคนตรงหน้าไม่ขัด ไม่พูดแทรก ไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้าแห่งความสงสัย เธอกลับสบายใจที่จะเล่าเรื่องที่เก็บไว้นานแสนนาน และระบายออกมาเป็นน้ำตา — อาจเรียกว่านี่เป็นปาฏิหารย์ 7 นาที

ไม่ต้องเชื่อก็ได้นะคะ แต่อยากชวนลองทำดู ด้วยทฤษฎีตัวยู (Theory U) หรือการฟัง 4 ระดับ

#ระดับแรก Downloading ฟังแบบดาวน์โหลด คือรู้แล้ว เอาความรู้ในอดีตเข้ามาอธิบาย อันนี้อาจจะฟังได้ตื้นที่สุด

#ระดับที่สอง Factual ฟังมากขึ้นหน่อยแต่ก็ยังเช็คกับเหตุผลของตัวเองอยู่ ถูกหรือไม่ถูก ฟังเพื่อโต้แย้ง ฟังเพื่อตอบ ไม่ได้ฟังเพื่อเข้าใจ เป็นการ debate คือฟังมากขึ้นแต่เต็มไปด้วยเงื่อนไข ถ้าไม่ถูกก็จะโต้กลับและตั้งคำถาม

#ระดับที่สาม Empathetic ฟังลึกลงไปหน่อยแต่จะไม่อยู่กับเหตุผลแล้ว แต่ฟังเพื่อหาความรู้สึก เพราะความรู้สึกสะท้อนสิ่งที่เขาให้คุณค่า ทำไมเขาพูดเรื่องนี้ อะไรมันมีคุณค่าสำหรับเขา

#ระดับที่สี่ Generative ระดับลึกที่สุด การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว เหมือนเป็นคนเดียวกัน เข้าไปนั่งอยู่ในใจ สัมผัสได้ เข้าใจถึงสิ่งที่เขาให้คุณค่า ได้รับผลจากการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง เช่น รู้สึกสั่นสะเทือน พองโต ทราบซึ้ง ไม่ได้หมายความว่าเราจมอยู่กับอารมณ์ของใครอีกคน แต่ว่าเข้าใจมากกว่าแค่ความคิด เป็นการฟังเพื่อค้นหาตัวความเป็นไปได้ใหม่ๆ ตัวตนใหม่ๆ หรือภาพในอนาคตที่ต้องการให้ปรากฏ

คลิก: https://thepotential.org/knowledge/theory-u/

การเรียนรู้ผ่านสายสัมพันธ์ โดย Gordon Neufeld 

Gordon Neufeld นักจิตวิทยาพัฒนาการ เป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะที่เขาเป็นผู้ทำวิจัยและเขียนทฤษฎีที่ว่าด้วยการเติบโต จิตวิทยา การเลี้ยงดู โดยสิ่งที่แม่จิ๋วและพี่เหมียวหยิบมาแชร์ในวันนี้ คือ ทฤษฎีของ Gordon ว่าด้วย สัมผัส 6 อย่าง (six stages of attachment) ที่สำคัญมากในช่วง 6 ปีแรกของชีวิต โดยมีคีย์เวิร์ดที่ว่า 

คนเราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข มีรากมาจากหลายอย่าง ตั้งแต่…

  • Sense หรือ Proximity : การสัมผัส ได้รับความรู้สึก ความรู้สึกว่าสื่อสารเชื่อมโยงได้
  • Sameness: ความเหมือนกัน ในเด็กเล็กจะต้องการความรู้สึก ‘เหมือนกัน’ ฉันเหมือนเธอ (ผู้เลี้ยงดู) มากที่สุด และเมื่อเขาโตเป็นวัยรุ่น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังต้องการรู้สึกว่า ‘เรามีอะไรเหมือนกัน’ 
  • Belonging and Loyalty: ความเป็นเจ้าของ ความภักดี เช่นรู้ว่าแม่เป็นของเขาจริงๆ แม่จะอยู่กับเขา รักเขาเสมอ ความสำคัญ รับรู้ว่าตัวเองมีตัวตนและรู้ว่าตัวเขาสำคัญ การฟังอย่างลึกซึ้งของใครสักคน ก็ให้สิ่งนั้นกับเขา 
  • Love: ความรัก เช่น เด็กไม่ควรทำอะไรเพื่อแลกความรัก ความรักเป็นความผ่อนคลาย 
  • Being Known: ความไว้ใจ ทำยังไงให้เด็กๆ สามารถคุยกับเราได้ทุกเรื่อง

Tags:

เพศSexuality Education(เพศวิถีศึกษา)ความรักFathom bookspace

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็น Non-binary : ตัวตน ความรักและความเป็นอื่น ‘นอกกล่องเพศ’ กับ คิว-คณาสิต พ่วงอำไพ

    เรื่อง ศากุน บางกระ

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Character building
    คุกคามทางเพศในวัยเด็ก: ปม การละเมิด ถูกทรยศ และความเคารพในการปฏิเสธ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    เรากลับมาเรียนเพศศึกษาในห้องได้หรือยัง เมื่อเรื่องยุติตั้งครรภ์อยู่ในหนังสือเรียนชั้น ม.3

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Visible Learning : 4 ครูต้นเรื่อง ที่เติมหัวใจแห่งการเรียนรู้ให้เด็กด้วยการตั้งคำถามและหาคำตอบเอง
Creative learning
16 January 2021

Visible Learning : 4 ครูต้นเรื่อง ที่เติมหัวใจแห่งการเรียนรู้ให้เด็กด้วยการตั้งคำถามและหาคำตอบเอง

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • ครูแห่งอนาคตควรทำหน้าที่เป็นโค้ช สร้างแรงบันดาลใจและพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนไต่ระดับการเรียนรู้จากระดับผิว (Superficial) ระดับลึก (Deep) ไปสู่ระดับเชื่อมโยง (Transfer) 
  • ขั้นตอนและกระบวนการเรียนรู้จากครูต้นเรื่อง ช่วยเปลี่ยนเรื่องยากๆ ให้เด็กเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง เช่น ‘เรียนเศษส่วนจากแผงไข่’ ‘กลไกวิทยาศาสตร์ของคัพเค้กหม้อ’ ‘การเข้าใจหลักภาษาผ่านวรรณกรรม’
  • ตัวอย่างการเรียนรู้ภาคสนามที่สร้างประสบการณ์จริงให้เด็ก กับโครงการตามรอยบุคคลต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม กิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และเพิ่มทักษะในหลากหลายด้าน

เมื่อการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 เรียกร้องให้ ‘ครู’ ผันตัวเองจาก ‘ผู้สอน’ มาเป็น ‘ผู้ก่อการ’ (Change Agent) ‘ครูเพื่อศิษย์’ จึงเป็นแนวทางที่ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ได้อรรถาธิบายไว้ว่า เป็นการเรียนที่ไม่ใช่แค่รู้ แต่เอาความรู้ไปใช้ได้ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย

“เรียนรู้เชื่อมโยงและเป็นที่ประจักษ์ (Visible Learning) ต้องมองกว้าง ทั้งครูและศิษย์แจ่มชัดในคุณค่าการเรียนต่อชีวิตในอนาคต อย่าเรียนแบบถ่ายทอดความรู้ให้เด็กเป็นหลัก แต่เรียนจากการลงมือปฏิบัติ (Active Learning) ตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิด (Reflection หรือ AAR) ให้เด็กสร้างความรู้ใส่ตัว ไม่ว่าจะเป็นการสะท้อนคิดคนเดียว สะท้อนคิดเป็นกลุ่ม หรือครูสามารถเป็นผู้ช่วยตั้งคำถาม 

หลักการเรียนรู้สมัยใหม่สมองมนุษย์เรียนรู้ดีที่สุดผ่านประสบการณ์ แล้วนำประสบการณ์มาคิดแบบใคร่ครวญ เช่น การสะท้อนคิดคนเดียวด้วยการเขียนความเรียง หรือการวาดรูปมายด์แม็พ (Mind Map) ที่ช่วยกระตุ้นความคิดเชื่อมโยงออกไปได้กว้างขวาง”

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช กล่าวในกิจกรรมเวิร์กชอป ครั้งที่ 1 : จัดการความรู้และเติมความรู้ โครงการครูเพื่อศิษย์สร้างการเรียนรู้สู่ระดับเชื่อมโยงออนไลน์ เมื่อวันที่ 21 -22 ธันวาคม 2563 ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง โดยย้ำถึงเป้าหมายสำคัญของ Visible Learning ว่าสามารถสร้างการเรียนรู้ รวมกลุ่มกันเรียนรู้จากการปฏิบัติ เพื่อยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนไต่ระดับการเรียนรู้จากระดับผิว (Superficial) ระดับลึก (Deep) ไปสู่ระดับเชื่อมโยง (Transfer) 

ทั้งนี้ เพื่อพานักเรียนไปสู่การเรียนรู้เชื่อมโยงและเป็นที่ประจักษ์ ทักษะที่ครูจำเป็นต้องมี คือ การกำหนดเป้าหมาย การออกแบบแผนการเรียนการสอน การสร้างแรงบันดาลใจ การสร้างพื้นที่ปลอดภัย การตั้งคำถามปลายเปิด การประเมินผลลัพธ์ และการปรับปรุงวงจรการเรียนรู้ด้วยวง PLC (Professional Learning Community) ของคณะครูในโรงเรียน โดยเด็กควรได้เรียนรู้ 4 ประเด็นสำคัญ หนึ่ง มีเป้าหมายการเรียนรู้เป็นของตนเอง สอง เห็นผลการเรียนรู้ของตนเอง สาม เห็นพฤติกรรมการเรียนรู้ของตนเอง และ สี่ สามารถพัฒนาวิธีการเรียนรู้ของตนเองได้

ในกิจกรรมดังกล่าว นอกจากผู้อำนวยการโรงเรียนและคุณครูจากเครือข่ายโรงเรียนต้นแบบจะได้มาแลกเปลี่ยนเติมเต็มความรู้ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ครูต้นเรื่องได้ถ่ายทอดประสบการณ์การจัดการเรียนการสอนในบริบทที่แตกต่างกัน โดย The Potential ได้เลือก 4 โครงการจาก 4 ครูต้นเรื่องที่ออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กๆ สามารถยกระดับผลลัพธ์การเรียนรู้ได้อย่างน่าสนใจ

ครูยิ้ม -ศิริมา โพธิจักร : เรียนภาษาไทยไม่น่าเบื่อ ผ่านวรรณกรรม ‘ช่อมะไฟ’ 

“เราต้องเลือกวรรณกรรมที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัย เพื่อนำมาเชื่อมโยงหลักภาษาไทย และสร้างการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมที่จะทำให้เด็กสนุกกับการเรียน ซึ่งวรรณกรรมแต่ละตอนจะไม่ยาวมาก หนึ่งตอนจะเรียนหนึ่งสัปดาห์และใช้เวลาสอน 4 ครั้ง” ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร ครูสอนภาษาไทยที่ใช้วรรณกรรมในการเชื่อมโยงหลักภาษาชั้นป.6 แห่งโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา จ.บุรีรัมย์ เกริ่นถึงแนวทางในการออกแบบการเรียนรู้

ครูยิ้มเล่าว่าเธอเริ่มต้นจากสิ่งที่เป็นปัญหาในการเรียนภาษาไทยของเด็กๆ ซึ่งส่วนมากจะเน้นเรื่องความรู้หลักภาษา การฟัง พูด อ่าน เขียน ที่เด็กๆ ต้องถูกต้องตามหลักทุกอย่าง และมีหนังสือแบบเรียนที่ตายตัว ทำให้เกิดการตีกรอบการเรียนรู้ภาษาไทยมากเกินไป จนอาจหลงลืมส่วนที่น่าจะเติมเต็มให้เด็ก นั่นคือ สมรรถนะด้านการสื่อสารและการอ่านจับใจความ อ่านตีความในหลายๆ ระดับได้ ซึ่งจะเป็นการพัฒนากระบวนการสอนภาษาไทยที่ก้าวข้ามข้อจำกัดจากตำราเดิมๆ

ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร

โดยเรื่องสั้น ‘ช่อมะไฟ’ หนึ่งงานเขียนของ วิเชียร ไชยบัง ครูใหญ่แห่งโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เป็นวรรณกรรมที่ครูยิ้มเลือกมาเป็นแบบเรียนภาษาไทยในหนึ่งสัปดาห์ของนักเรียนชั้นป.6 ซึ่งเนื้อหานำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัวของ ‘ช่อ’ เด็กสาวที่พ่อแม่ต้องขายที่นาเพื่อส่งให้เธอเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ดันพลาดท้องในช่วงที่เรียนทำให้เรียนไม่จบ กับ ‘น้องก้อย’ ลูกสาวของช่อที่อยู่กับตายาย และรอคอยการกลับมาของแม่อย่างมีความหวัง

“วรรณกรรมในแต่ละระดับชั้นไม่เหมือนกัน เริ่มตั้งแต่อนุบาลจนถึงม.3 เกือบๆ ร้อยเรื่องที่เราใช้ในการสอน อย่างวรรณกรรมช่วงประถมปลาย เช่น เจค็อปคนทำขนมปัง, ฮาจิ รอตราบจนสิ้นใจ, ลูกอีสาน เป็นต้น โดยมีแผนการสอนและวิดีโอประกอบ ซึ่งหลังจากที่เราได้วรรณกรรมแล้วก็จะมาวิเคราะห์ใส่สมรรถนะว่าด้วยเรื่องการคิดขั้นสูงและการสื่อสาร การจัดการตัวเอง การทำงานเป็นทีม สู่ความเข้าใจต่อโลก ต่อปรากฏการณ์ต่างๆ”

กระบวนการเรียนรู้ 4 ระดับ

ก่อนที่ครูจะเอาวรรณกรรมมาสอน สิ่งที่สำคัญคือครูต้องอ่านหนังสือเล่มนั้นอย่างน้อย 2-3 รอบ เพื่อให้เข้าใจว่าแก่นแท้ของเรื่องนั้นผู้เขียนต้องการสื่อสารอะไร แล้วเราอยากที่จะบูรณาการหลักภาษาอะไร สำหรับเรื่อง ‘ช่อมะไฟ’ ครูยิ้มนำชนิดของคำมาเชื่อมโยง โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ทั้ง 4 ขั้น ดังนี้

ขั้นที่ 1 การคาดเดาเรื่อง : เริ่มต้นครูยิ้มจะชวนเด็กๆ คุยถึงคำต่างๆ ที่คัดมาจากเนื้อเรื่อง เพื่อให้เขาได้อ่านได้ลองสะกดและคิดตามว่าเมื่อเห็นคำนี้แล้วจะนึกถึงอะไร หลังจากนั้นนำมาลองแต่งเป็นเรื่องราวตามความคิดของแต่ละคน แล้วนำมาแลกเปลี่ยนกัน หรือที่เรียกว่า Reflection : Share & Learn ร่วมกัน

ขั้นที่ 2 อ่านจับประเด็น : เป็นขั้นการทำความเข้าใจ อ่านไฮไลท์คำ และสร้างอภิธานศัพท์ โดยครูยิ้มจะอ่านออกเสียงเป็นตัวอย่างก่อนราว 1-2 ย่อหน้า เพื่อให้เห็นจังหวะการวรรค การหายใจ การออกเสียง แล้วอ่านตามหรืออ่านเองในใจจนจบเรื่อง และให้เขาใคร่ควรญความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเรื่องหรือมีความคิดอะไรผุดขึ้นมาหลังจากอ่านจบแล้วบ้าง เขียนลงในสมุดของแต่ละคนและเล่าให้เพื่อนฟัง

จากนั้นลองให้เด็กเข้ากลุ่มกันเพื่อเขียนแผนภาพลำดับเหตุการณ์ ที่จะประกอบไปด้วยภาพ ข้อความ คำสำคัญ และสถานที่ ตามเวลาของเรื่อง และตอบคำถามที่ครูยิ้มจะใส่เข้าไปเพื่อกระตุ้นให้เด็กคิด เช่น มีตัวละครอะไรบ้าง ตัวละครแต่ละตัวมีบุคลิกอย่างไร? เหตุการณ์เกิดขึ้นในฤดูไหน และภูมิภาคใด ทำไมจึงคิดเช่นนั้น? ‘ช่อมะไฟ’ เกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องนี้?

หลังจากนั้นให้แต่ละคนกลับมาอ่านเรื่องในใจอีกครั้ง พร้อมกับไฮไลท์คำยาก คำแปลก และประโยคที่ประทับใจ แลกเปลี่ยนความหมายของคำกันในห้องเรียน

ขั้นที่ 3 ตีความใต้บรรทัด : การตีความจะช่วยให้เด็กเข้าใจความคิด ความเชื่อ สังคมและวัฒนธรรมจากบริบทของเรื่องมากขึ้น โดยครูยิ้มจะชวนเด็กๆ คุย และตั้งคำถามเพื่อดึงความคิดและเหตุผลประกอบของเขาออกมา เช่น คิดว่าผู้เขียนเขาต้องการสื่อสารสิ่งสำคัญที่สุดคืออะไร? คิดว่าวรรณกรรม ‘ช่อมะไฟ’ สะท้อนสังคมอย่างไร ทั้งความเชื่อ ค่านิยม ประเพณี และวัฒนธรรม? สะท้อนวิธีคิด วิถีชีวิตในช่วงเวลานั้นอย่างไร?  

ขั้นที่ 4 เชื่อมโยงหลักภาษา : มีอยู่ด้วยกัน 3 สเต็ป คือ จัดระบบข้อมูล ฝึกประสบการณ์ และสุดท้ายเด็กๆ ก็จะสามารถสร้างคอนเซ็ปต์ทางภาษาได้ด้วยตัวเอง รูปแบบที่ครูยิ้มใช้ก็คือ ‘บัตรคำ’ เพื่อจัดหมวดหมู่ชนิดของคำทั้ง 7 ชนิด จากนั้นให้เด็กเลือกมาชนิดละ 2-3 คำ เพื่อแต่งเรื่องของตัวเองและวาดภาพประกอบ เป็นการทดลองใช้หรือฝึกประสบการณ์ทางภาษาทั้งการอ่าน เขียน เชื่อมโยง โดยแต่งประโยคและแต่งเรื่องนั่นเอง

“แบบแผนพฤติกรรมที่เปลี่ยนก็คือ เด็กๆ เขาเรียนรู้อย่างสนุก เรียนแล้วมีความสุขไม่รู้สึกเบื่อ อันนี้คิอกระบวนการที่เราใช้วรรณกรรมเข้ามา ส่วนโครงสร้างเราก็บูรณาการไม่ได้ใช้หนังสือเรียนแต่ใช้นิทาน วรรณกรรม เป็นตัวเรียงร้อยเพื่อให้เด็กๆ เขาได้เรียนรู้ ภาษาไทย และสุดท้ายเราก็เชื่อว่าความเชื่อจะเปลี่ยนไปก็คือเขาจะสามารถเข้าใจต่อชีวิตและดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันได้”

ครูกลอย-เกศรัตน์ มาศรี : เรียนรู้ภาคสนาม ตามรอยต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม

‘Kid ช่วยโลก ตอนตามรอยบุคคลต้นแบบที่ดูแลสิ่งแวดล้อม’ คือชื่อโครงการในหน่วยการเรียนรู้ Problem based learning (PBL) ที่มี ครูกลอย-เกศรัตน์ มาศรี ครูประจำชั้นป.6 แห่งโรงเรียนรุ่งอรุณ กรุงเทพฯ เป็นผู้รับผิดชอบ

ก่อนจะไปเรียนรู้กระบวนการต่างๆ ครูกลอยแชร์ประสบการณ์ที่ได้พาเด็กๆ ไปเรียนรู้ในหน่วยบูรณาการ ซึ่งผสมผสานเชื่อมโยงทั้งวิชาสังคม ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีหรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งโรงเรียนรุ่งอรุณจะจัดการเรียนการสอนเพื่อเชื่อมโยงกับตัวเอง ธรรมชาติและความเป็นจริง โดยระดับชั้นป.6 จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับน้ำและสิ่งแวดล้อม ซึ่งก่อนหน้านี้จะเป็นโครงการตามเส้นทางของน้ำไปเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมจนตัวเองเกิดจิตสำนึก อยากเป็นพลเมืองที่จะเริ่มรักษาหรือดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยตัวเอง

สำหรับการตามรอยบุคคลต้นแบบที่ดูแลสิ่งแวดล้อมในครั้งนี้ จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปตามรอยพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล พระวัดป่าที่ไปดูสิ่งแวดล้อม จ.ชัยภูมิ ส่วนอีกกลุ่มตามรอยเจมส์ จอมพล อุ้มมีเพชร ยูทูบเบอร์ที่ผันตัวเองมาทำเกษตรอินทรีย์ ในกรุงเทพฯ

ครูกลอย-เกศรัตน์ มาศรี

“เนื้อหาเป็นเรื่องที่ใหญ่ แต่เรื่องที่ใหญ่กว่าคือการเข้าใจเด็ก”

ครูกลอยเล่าว่าการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ตัวครูจะต้องเป็น ‘นักออกแบบการเรียนรู้’ ก่อน อันดับแรกครูต้องเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก อย่าง ป.6 เขาจะชอบความท้าทาย เพราะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อยากมีพื้นที่ในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง มีไอดอลเป็นแรงบันดาลใจ แล้วค่อยสร้างตัวตนที่อยากเป็น สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือครูจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเรื่องที่จะทำจริงๆ เพื่อออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้เด็กเข้าใจอย่างชัดเจน และสุดท้ายครูจะต้องมีวิธีการวัดและประเมินผล ซึ่งประเด็นนี้สำคัญมากต้องสามารถวัดประเมินผลเด็กได้ทั้งรายบุคคลและทั้งทีม เพื่อพัฒนาและเก็บคะแนนได้ด้วย

“การทำโปรเจกต์โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ต้องถามก่อนว่า ปัญหานั้นเป็นปัญหาของใคร? และชัดเจนว่า ปัญหานั้นเป็นของครูที่อยากให้เด็กตอบ หรือเป็นปัญหาที่เด็กอยากทำ และปัญหาควรเป็นเรื่องที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเมคขึ้นมา ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่อินกับสิ่งที่ครูให้โจทย์ไป”

อย่างการศึกษาภาคสนามครั้งนี้เด็กๆ จะมีปฏิสัมพันธ์กับครูใหญ่ เพราะต้องไปขออนุญาตออกนอกพื้นที่ ติดต่อเจ้าหน้าที่ทั้งในและนอกโรงเรียน โดยมีครูกลอยคอยซัพพอร์ททั้งให้กำลังใจและเป็นเบื้องหลัง ซึ่งความจริงแล้วครูต้องรู้ทุกอย่างในโปรเจกต์นี้ เห็นภาพใหญ่ก่อนว่าขั้นตอนเป็นอย่างไรและติดต่อประสานงานทุกอย่างไว้ให้ แต่ไม่บอกเด็กเพื่อให้เขารู้สึกว่าได้ทำเองทุกขึ้นตอน

“ตัวอย่างการออกแบบ การวางแผน ออกภาคสนามตามรอยบุคคลต้นแบบที่รักษาสิ่งแวดล้อมที่จ.ชัยภูมิ ครูจะต้องตั้งเป้าหมาย อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ในการออกแบบของรุ่งอรุณเองจะแบ่งเป็น 3 เป้าหมายหลัก คือ ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skills) คุณค่า (attitude) ที่เขาจะได้จากการประสบความสำเร็จในการทำงานครั้งนี้เกิดฉันทะมีความมุ่งมั่นในการทำงาน ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรก็พร้อมที่จะเผชิญ”

กระบวนการเรียนรู้ 3 ขั้น

ขั้นแรก นำเข้าสู่บทเรียน : ถ้าเป็นเรื่องใหม่จะเป็นการตั้งโจทย์และถาม แต่ถ้าเป็นเรื่องเดิมเราต้องให้เขาเชื่อมโยง อย่างเรื่องนี้เด็กๆ เห็นประโยชน์และผลกระทบของธรรมชาติจากการเรียนเทอมก่อนหน้าแล้ว จึงตั้งคำถามต่อว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาของใคร? แล้วใครจะช่วยแก้ปัญหาหรือดูแลสิ่งแวดล้อมนี้ เด็กตอบว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดจากคนนี่แหละ คนก็ต้องไปช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม “แล้วการจะเรียนรู้แนวคิดและรักษาสิ่งแวดล้อมแบบละเอียดหรือลึกซึ้งจะต้องใช้วิธีไหน?” ครูถามกลับ ซึ่งคำตอบก็คือ การออกไปภาคสนามนั่นเอง จากนั้นแต่ละคนจะเลือกบุคคลต้นแบบมาไม่ซ้ำกันเลย ครูก็จะคอยขมวดจนเข้าที่

ก่อนจะไปต่อครูต้องทบทวนเด็กสักนิดว่า เราต้องเตรียมอะไรบ้างหรือมีขั้นตอนอะไรในการออกภาคสนาม? เพราะเขาเคยออกไปเรียนรู้เรื่องกรุงเทพฯ มาแล้ว โดยให้เข้ากลุ่มย่อยเพื่อช่วยกันคิดแล้วนำเสนอ แล้วมาดูกันว่าขั้นตอนจะเป็นอย่างไร

ขั้นสอง วางแผนและปฏิบัติการ : เด็กๆ จะแบ่งหน้าที่ เลือกกันเองในกลุ่มว่าใครจะไปติดต่อรถโรงเรียน ใครจะติดต่อวิทยากร ใครจะเขียนโครงการเสนอครูใหญ่ ซึ่งตรงนี้ครูจะมีหน้าที่คอยสังเกตการณ์และเข้าไปตั้งคำถามรายกลุ่มว่าเขาพบปัญหาอะไรบ้าง ต้องการให้ครูช่วยดูแลเรื่องอะไร และจะมีคุณครูจากห้องอื่น(ถ้าว่าง)มาสังเกตการสอนและช่วยครูกลอยดูแลเด็กๆ ด้วย

ส่วนที่ขาดไม่ได้ในขั้นนี้คือ กำลังใจ ครูเองต้องมั่นใจว่าเด็กๆ ทำได้และไม่กดดันเขา การตั้งคำถามของครูต้องระวังดีๆ ว่าเป็นการตั้งคำถามเพื่อให้เขาไปต่อ หรือหยุดชะงัก ซึ่งต้องดูบุคลิกของเด็กตอนอยู่ในห้องเรียนด้วย

ขั้นสุดท้าย สรุปการเรียนรู้ : จะมีทั้งการพูดและการเขียน เด็กๆ จะสามารถสรุปด้วยการมาแลกเปลี่ยนว่า เขาทำหน้าที่อะไร ได้เรียนรู้อะไรจากหน้าที่นี้ คิดว่าอยากจะพัฒนาอะไรในสิ่งที่ตัวเองผิดพลาดไป และต้องไม่ลืมถามว่าอะไรที่ทำได้ดีบ้าง เพื่อการสะท้อนตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถสะท้อนเพื่อนได้ด้วย และครูเองก็ต้องกลับมาบันทึกแผนการสอนของตัวเองด้วย คำถามบางคำถามใช้ไม่ได้เพราะว่าเด็กอาจไม่เข้าใจ ครุต้องมีชุดคำถามในใจสำรองไว้เพื่อปรับไปตามบริบทและความเข้าใจของเด็ก

“ทักษะ เราสามารถเรียนรู้ได้จากการสื่อสารของเด็กทั้งการพูดและการเขียนว่าเขาคิดเชื่อมโยง คิดวิเคราะห์จากการวางแผนได้มากน้อยแค่ไหน เขามีเหตุผลมาสนับสนุนหรือไม่ และสุดท้ายคุณค่า ครูจะดูจากพฤติกรรมการทำงาน จากการเขียนสรุปการเรียนรู้ทั้งหมด ซึ่งกระบวนการทั้งหมดครูกลอยไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่สำคัญคือทีมเวิร์กแล้วก็เบื้องหลัง มีครูของครูที่คอยสะกิดว่าสิ่งที่เราทำมาถูกทางหรือเปล่า มีทีมผู้บริหารที่ท่านทำงานไปกับเรา เข้าใจภาพรวมและพัฒนาตัวครูไปด้วย”

การใช้ปัญหาเป็นฐานการเรียนรู้ ครูจึงวางตัวเป็น ‘โค้ช’ ให้เด็กได้สวมบทบาทอื่นนอกจากการเป็นนักเรียน เช่น การติดต่อประสานงาน วางแผนและออกแบบกระบวนการ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงเป็นนักสิ่งแวดล้อมที่เข้าใจปัญหาอย่างแท้จริง

ครูแนนนี่-กนกวรรณ แหวนเพ็ชร : เรียนรู้วิทยาศาสตร์ กับคัพเค้กเจ้าปัญหา

อีกหนึ่งการเรียนรู้ในหน่วย Problem Based Learning เมื่อเด็กๆ อยากทำเค้ก แต่ที่บ้านไม่มีเตาอบ ครูแนนนี่-กนกวรรณ แหวนเพ็ชร แห่งโรงเรียนบ้านปลาดาว จ.เชียงใหม่ จึงเป็นโค้ชในโปรเจกต์ให้เด็กป.2 ได้เรียนรู้จากปัญหา สร้างสมมติฐาน คิดสร้างสรรค์ และลงมือปฏิบัติ กับ คัพเค้กหม้อ ปัญหา “อยากทำเค้กแต่ไม่มีเตาอบ”

โดยครูแนนนี่ตั้งเป้าหมายสำหรับโปรเจกต์นี้ไว้ว่า เพื่อฝึกทักษะการคิดอย่างมีเหตุผลและเป็นระบบ ให้นักเรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้ และมีส่วนในการเลือกสิ่งที่สนใจมาเรียนรู้ เพื่อค้นพบสิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม หรือวิธีการแก้ไขปัญหา โดยใช้กระบวนการ ‘EDICRA’ ซึ่งเป็นนวัตกรรมของโรงเรียนบ้านปลาดาว และฝึกการสื่อสารผ่านการนำเสนอผลงานด้วย

ครูแนนนี่-กนกวรรณ แหวนเพ็ชร

กระบวนการเรียนรู้ EDICRA

สำรวจปัญหา (Explore) เพื่อให้ได้ปัญหาที่พอจะจับกลุ่มกันได้ จากตัวอย่างกลุ่มเด็กอยากทําเค้ก แต่ปัญหาคือที่บ้านไม่มีเตาอบ ครูแนนนี่จึงชวนเด็กๆ คิดว่าเราจะทําด้วยวิธีแบบอื่นได้ไหมนะ? ขั้นนี้ครูจะสำรวจว่า เด็กรู้อะไรมาแล้ว ยังไม่รู้อะไร และต้องรู้อะไร จากนั้นให้ระบุว่าสิ่งที่เขาจะทำคืออะไร (Define) โดยเริ่มจากพาเด็กๆ ไปสำรวจห้องครัวของโรงเรียน จากนั้นตั้งคำถามว่า อุปกรณ์ในห้องนี้มีอะไรสามารถใช้อบเค้กได้บ้าง เพื่อจุดประกายความคิด และชวนหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน

จากนั้นก็ให้เด็กๆ ไปสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต หนังสือ และถามผู้รู้ (Investigate) แต่ปัญหาที่พบคือ เขาลอกจากอินเทอร์เน็ตโดยขาดการสรุปใจความสำคัญ ครูแนนนี่จึงต้องเข้าไปชวนคิดและหาคำตอบร่วมกันอีกครั้ง ถามในสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจและเติมความรู้ให้ด้วย

ตามมาด้วยการสร้างนวัตกรรมการแก้ไขปัญหาขึ้นมา (Create) นั่นคือการทดลองทําคัพเค้กหม้อ เด็กๆ วางแผนวิธีการอบเค้กโดยใช้กระบวนการ Steam Design Process นำไปสู่การทดลองผสมแป้งเค้กใส่พิมพ์ แล้ววางพิมพ์ที่เป็นกระดาษบนกระทะ โดยครูเป็นผู้สังเกตอยู่ใกล้ๆ แต่เมื่อผ่านไป 10 นาที เริ่มมีกลิ่นไหม้ครูแนนนี่จึงให้ปิดไฟ ปรากฏว่าเค้กไหม้ ตั้งคำถามต่อว่า ทำไมกระทะและถ้วยคัพเค้กถึงไหม้ แล้วการไหม้เกิดจากอะไร?

“สิ่งที่เขาต้องกลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติม คือการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อเกิดความร้อน ซึ่งกระบวนการนี้เราสามารถมีกระบวนการกลับขึ้นไปได้เมื่อเรายังไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ ซึ่งเขาไปถามครูวิทยาศาสตร์ก็ได้คำตอบว่า กระดาษกับความร้อนเมื่ออยู่ด้วยกันก็จะเกิดการเผาไหม้ แล้วคำถามต่อมาก็คือ เราต้องแก้ไขตรงไหนก่อน”

วันต่อมาเด็กกลับมาพร้อมกับน้ำมันพืช ถ้วยฟรอยด์ และที่รองหม้อ ทำการทดลองใช้น้ำมันเทก้นหม้อเพื่อไม่ให้หม้อไหม้ ใช้ถ้วยฟรอยด์แทนถ้วยกระดาษ และใช้ที่รองหม้อเพื่อไม่ให้ถ้วยคัพเค้กโดนน้ำมัน ซึ่งก็ได้ผลแต่เค้กมีกลิ่นน้ำมันติดมาด้วย จากนั้นก็สะท้อนความคิดออกมาว่าดีหรือยัง (Reflect)  และสร้างความแตกต่างจากนวัตกรรม (Act) แก้ปัญหาที่ตัวเองค้นพบให้กับผู้อื่น ซึ่งกระบวนการสุดท้ายเด็กจะเผยแพร่ไปยังชุมชนตัวเอง ทั้งชุมชนในโรงเรียนนอกโรงเรียน เพื่อให้ความรู้ของเขา และสิ่งที่เขาค้นพบไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน

“3 สัปดาห์สุดท้าย เขาจะต้องเตรียมนำเสนอข้อมูลตามสภาพจริงว่าได้ผลหรือไม่ ซึ่งเด็กๆ ไม่จำเป็นต้องได้ผลและสามารถแก้ปัญหาของตัวเองได้ทุกเรื่อง เพียงสรุปออกมาว่าสำเร็จตามเป้าหมายไหม หากไม่สําเร็จสามารถเก็บปัญหาที่เจอไปใช้ในเทอมต่อไปได้”

ครูสุ-สุภาพร กฤตยากรนุพงศ์ : แผงไข่ไขปริศนา ‘เศษส่วน’ วิชาคณิตศาสตร์

หลังจากทำการทดลองวิทยาศาสตร์ในครัวกันมาแล้ว อีกหนึ่งวิชาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเด็ก คือ คณิตศาสตร์ ซึ่งยากต่อการใช้กิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องที่ซับซ้อนอย่าง ‘เศษส่วน’ แต่ไม่ใช่กับโรงเรียนเพลินพัฒนา โรงเรียนทางเลือกในกรุงเทพฯ โดยมี ครูสุ-สุภาพร กฤตยากรนุพงศ์ ครูสอนคณิตศาสตร์ชั้นป.3 เป็นโค้ชหลักในการสอนเศษส่วน ด้วยนวัตกรรมแผงไข่ ซึ่งจะเรียนรู้ผ่านกิจกรรม การสังเกต และลงมือทำ โดยอุปกรณ์ที่เรียบง่ายและราคาถูก

และนอกจากครูจะเป็นโค้ชแล้ว ยังต้องเป็น ‘นักวางลำดับ’ ทําความเข้าใจการเรียนรู้ของตัวเองและลําดับการเรียนรู้ของเด็กให้ชัดก่อน จากนั้นจะสามารถเชื่อมสถานการณ์ให้เข้ากับแผนความเข้าใจคณิตศาสตร์ที่ครูต้องการให้เด็กเรียนรู้ และต้องเห็นภาพรวมลําดับการเรียนรู้ของเด็กกับกิจกรรม เพื่อพาเด็กเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน

“ซึ่งเด็กจะรู้จักเศษส่วนมาก่อนแล้ว ทั้งความหมาย การอ่านค่า และแรเงาเศษส่วน ซึ่งเป็นความรู้สะสม (Met before) ที่มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ที่สะสมอยู่ในตัวผู้เรียน ทั้งการเรียนรู้ในภาคทฤษฎีและปฏิบัติที่มีมาก่อนหน้า แต่ความรู้ใหม่ที่เขาต้องได้คือการเปรียบเทียบเศษส่วน”

ครูสุ-สุภาพร กฤตยากรนุพงศ์

กระบวนการเรียนรู้

เริ่มแรกครูสุถือแผงไข่เข้าห้องเรียนแล้วให้เด็กๆ ลองสังเกตว่าเห็นอะไรบ้าง เด็กตอบว่า แผงไข่มีจำนวนช่องที่ต้องใส่ไข่แนวตั้งแนวนอนไม่เท่ากัน ซึ่งบางคนก็ยังไม่เชื่อและลองนับเพื่อพิสูจน์ ปรากฏว่าแผงไข่แนวตั้งมี 5 ช่อง ส่วนแนวนอนมี 6 ช่อง ซึ่งขั้นตอนนี้เด็กๆ จะตื่นเต้นมาก

จากนั้นก็เริ่มกิจกรรมนอกห้องเรียนได้เลย โดยให้โจทย์ก่อนจะเริ่มเรียนเพื่อเป็นการเช็คความรู้สะสม โดยโชว์แผงไข่แล้วถามต่อว่า ถ้าครุสุต้องการเศษ 1 ส่วน 5 ของแผงไข่จะทำอย่างไร? เด็กตอบว่า แบ่งแผงไข่ออกเป็น 5 ส่วน แล้วเรียงแค่แถวเดียว ซึ่งจะได้ 6 ฟอง เด็กอีกคนตอบเสริมว่า ทั้งแผงจะมีไข่ทั้งหมด 30 ฟอง จะเห็นว่าเขาใช้ความรู้เดิมเรื่องการคูณ แน่นอนว่ายังมีเด็กที่ไม่เข้าใจอยู่ แต่ครูสุยังไม่เฉลย ไม่เช่นนั้นเด็กจะไม่เกิดการเรียนรู้

“ครูสุแบ่งกลุ่มเด็กๆ และให้โจทย์ว่า ตักไข่ให้ได้เศษ 2 ส่วน 5 ของแผงไข่ ทุกคนตักกันอย่างสนุกสนาน ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่ถูกและยังไม่ถูก โดยยังไม่เฉลยเพราะถ้าบอกว่ากลุ่มนี้ถูกกลุ่มนี้ผิดเด็กจะเกิดอาการบางอย่างขึ้น แต่ใช้วิธียกแผงไข่ของกลุ่มที่ถูกขึ้นมา เด็กกลุ่มที่ผิดเขาก็มองแผงไข่ พอเห็นว่าไม่เหมือนกันเขาก็เริ่มถกกันในกลุ่ม สุดท้ายก็ไปลองทำความเข้าใจเมื่อรู้ว่าแบ่งแผงไข่ไม่ถูกก็แบ่งใหม่ จะเห็นว่าเด็กๆ ได้เรียนรู้การแบ่งแผงไข่อย่างถูกต้องโดยที่ครูสุยังไม่ได้สอนทฤษฎีด้วยซ้ำ”

เท่านั้นยังไม่พอ ครูสุเช็คความมั่นใจว่าเด็กๆ เข้าใจจริงหรือไม่ โดยให้โจทย์ข้อที่ 3 คือ แบ่งให้ได้ครึ่งหนึ่งของแผงไข่ ปรากฏว่าเด็กๆ แบ่งกันได้อย่างมั่นใจ รวดเร็ว และถูกต้อง ลองให้เขาทำซ้ำๆ กับโจทย์ที่ต่างออกไปสัก 2-3 รอบ และเพิ่มโจทย์ที่ท้าทายก่อนเข้าสู่สถานการณ์ คือ ตักไข่ให้ได้มากกว่าของครูสุ คือ เศษ 1 ส่วน 6 ของแผงไข่ เด็กตอบทันทีว่า แค่ตักเพิ่มอีกหนึ่งแถวก็ได้มากกว่าแล้ว ซึ่งไม่มีกลุ่มไหนทำผิดเลย

“คาบเรียนนี้มีเด็กคนหนึ่งพูดขึ้นมาเลยว่า สนุกมากเลย เป็นการเรียนรู้ที่เข้าใจสุดๆ จากการทำกิจกรรมเรื่องแผงไข่”

จากโจทย์สถานการณ์ เมื่อเด็กๆ เรียนเศษส่วนที่ตัวส่วนเท่ากันแล้ว เขาจะต้องเปรียบเทียบเศษส่วนที่ตัวส่วนไม่เท่ากันได้ด้วย นี่เป็นโจทย์ในห้องเรียนที่ครูสุเตรียมไว้ให้เด็กๆ หลังจากที่ออกไปทำกิจกรรมนับแผงไข่นอกห้องเรียน ซึ่งเด็กแต่ละคนจะได้ลงมือแก้โจทย์เอง โดยใช้ความรู้จากตัวส่วนเท่ากันในการเปรียบเทียบมาใช้สร้างความรู้ใหม่ในการเปรียบเทียบตัวส่วนไม่เท่ากัน และเด็กก็สรุปการเรียนรู้กลับมา

“เราไม่ได้สิ้นสุดแค่นี้ หน้าที่ครูสุเป็นโค้ชก็ต้องพัฒนาทีมต่อไป แต่ยังคงใช้กิจกรรมแผงไข่เหมือนเดิม เราพบว่านอกจากเด็กเกิดการเรียนรู้ของตัวเองแล้ว เด็กยังเห็นการเรียนรู้ของเพื่อน และครูยังได้เห็นการเรียนรู้ของเด็กด้วย ซึ่งนี่เป็น Visible learning ในมุมของครูสุเอง” ครูสุ แห่งโรงเรียนเพลินพัฒนา ทิ้งท้าย

โครงการ ‘ครูเพื่อศิษย์ สร้างการเรียนรู้สู่ระดับเชื่อมโยงออนไลน์’ หรือ Online PLC Coaching ริเริ่มโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ เครือข่ายโรงเรียนต้นแบบทั่วประเทศ จัดตั้ง ชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Learning Community) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียน ผ่านการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนรู้ของ “ครู” ตามแนวทาง “ครูเพื่อศิษย์ สร้างการเรียนรู้สู่ระดับเชื่อมโยง” นำไปสู่การปฏิบัติงานจริงของ “ครูแกนนำ” โดยมีเวิร์คชอป “จัดการความรู้และเติมความรู้ฯ” เป็นกิจกรรมเติมเต็มเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูจากเครือข่ายโรงเรียนต้นแบบกับผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา

Tags:

โรงเรียนเพลินพัฒนาโรงเรียนบ้านปลาดาวโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาProblem based Learning(PBL)การเรียนรู้ที่ชัดแจ้ง(Visible Learning)โรงเรียนรุ่งอรุณ

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Illustrator:

illustrator

ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

เพิ่งค้นพบว่าเป็นคนชอบแมวแบบที่ชอบคนที่ชอบแมวมากกว่าชอบแมว (เอ๊ะ) มีความฝันว่าอยากเป็นแมวที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่ชอบ (จริงๆ ก็แค่อยากมีมนุดเป็นทาสและนอนทั้งวันได้แบบไม่รู้สึกผิดน่ะแหละ)

Related Posts

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    สานเสวนา (Dialogue) เชื่อมโยงบทเรียนภาษาไทยสู่การเรียนรู้เชิงรุก : ครูมิลค์ – นิศาชล พูนวศินมงคล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Learning Theory
    Problem Based Learning: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    PROBLEM BASED LEARNING: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • Creative learning
    เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

‘ความไม่แน่นอน คือ สิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญ’ เสียงจากนักเรียนม.6 ต่อสถานการณ์โควิด-19 และอนาคตที่ยังมองไม่เห็นทาง
Social Issues
15 January 2021

‘ความไม่แน่นอน คือ สิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญ’ เสียงจากนักเรียนม.6 ต่อสถานการณ์โควิด-19 และอนาคตที่ยังมองไม่เห็นทาง

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบกับหลายฝ่าย โดยเฉพาะนักเรียนม.6 ที่ต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย ลำพังต้องเลือกเส้นทางชีวิตว่ายากแล้ว แต่ความรุนแรงของสถานการณ์และการรับมือของรัฐบาลยิ่งสร้างความกังวลใจให้พวกเขาไม่น้อย
  • ชวนฟังเสียงตัวแทนนักเรียนกลุ่มนี้มาบอกเล่าความรู้สึก ปัญหา รวมถึงข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นอีกพื้นที่หนึ่งให้ผู้ใหญ่ได้ยินเสียงจากพวกเขา

แม้ปีนี้จะเปลี่ยนเป็นปี 2021 แต่บรรยากาศยังคงเหมือนเดิม รวมถึงโควิด-19 ที่ยังคงไม่หายไปไหน ส่งผลกระทบกับชีวิตพวกเราเหมือนเดิม โดยเฉพาะนักเรียนที่ต้องกลับมาเรียนแบบออนไลน์อีกครั้ง และดูท่าว่าการเรียนครั้งนี้จะเป็นการเรียนระยะยาว

ท่ามกลางความสับสนว่าทิศทางระบบการศึกษาจะเป็นเช่นไรต่อ นักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบหนัก คือ กลุ่มนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังต้องเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเรียนระดับมหาวิทยาลัย แต่จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งการเรียนปัจจุบันที่ต้องเปลี่ยน ระบบการสอบเข้าที่ไม่แน่นอนว่าจะเหมือนเดิมหรือไม่ รวมถึงอนาคตการเรียนในมหาวิทยาลัยที่ยังไม่รู้ว่าจะเรียนอย่างไร

The Potential ชวนตัวแทนนักเรียนกลุ่มนี้มาบอกเล่าความรู้สึก ปัญหา รวมถึงข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นอีกพื้นที่หนึ่งให้ผู้ใหญ่ได้ยินเสียงจากพวกเขา

สิ่งเดียวที่รู้สึก คือ ความไม่แน่นอน

ไข่มุก – วชิรกานต์ ทิสารัมย์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชลกันยานุกูล จังหวัดชลบุรี เล่าว่า เธอรู้สึกกังวลอย่างมากกับสถานการณ์ ณ ตอนนี้ ทั้งการเรียนปัจจุบันที่เปลี่ยนเป็นเรียนออนไลน์ ทำให้ภาระงานมากขึ้น และการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่จะมีแผนรับมืออย่างไรบ้าง

“หนูวางแผนว่าจะเข้ามหาลัยรอบแรกที่ยื่นพอร์ตฟอลิโอ แต่พอมีโควิด-19เรื่องมันก็ยากขึ้น เพราะหนูต้องติดต่อผอ. ติดต่อครูเพื่อขอเอกสาร หนูกับเพื่อนบางคนเลยตัดสินใจยื่นรอบ 3 คือ รอบแอดมินชั่นซึ่งต้องใช้คะแนนสอบ แต่ปรากฎว่าที่เรียนพิเศษก็ปิด ไปเรียนไม่ได้ บางที่ก็ไม่มีให้เรียนออนไลน์ บางที่ก็เปิดอีกทีวันที่ 31 มกราคม ซึ่งช่วงสอบเข้ามหาลัยมันก็เดือนมีนาคมแล้ว เตรียมตัวไม่ทันแน่นอน บางคนทุ่มทั้งเงินและเวลาให้ช่วงนี้มาก แต่สุดท้ายก็เรียนไม่ได้ เสียทั้งเงิน เวลา และโอกาสต่างๆ ของม.6

“อย่างหนูจะไปสอบ TOEFL หรือ IELTS สมมติจองไว้ว่าจะไปสอบวันนี้ แต่พอผ่านไป 2 วันระบบบอกสอบไม่ได้เพราะจำนวนคนเกิน ด้วยความที่โควิดต้องเว้นรักษาระยะห่าง ทำให้ที่สอบน้อยลง พอไม่ได้สอบก็ไม่มีคะแนนไปยื่น เพราะเขาไม่เลื่อนรอบพอร์ตด้วย แล้วตอนนี้เรียนแบบออนไลน์ คุณครูคงรู้สึกว่าถ้าเด็กเรียนอยู่บ้านคงมีเวลาเยอะขึ้น ก็เลยสั่งงานเยอะกว่าเดิม แต่จริงๆ พวกหนูใช้เวลาเรียนเท่าเดิม แค่ลดเวลาเดินทางไป-กลับโรงเรียน สุดท้ายงานก็เยอะขึ้น แล้วต้องทำพอร์ตฟอลิโอ อ่านหนังสือเตรียมสอบเองอีกเพราะที่เรียนพิเศษไม่เปิด

“ความรู้สึกตอนนี้คือ กังวลมากๆ หนูยังคิดอยู่เลยว่าสถานการณ์มันไม่น่าจบในเร็วๆ นี้ เพราะจำนวนยอดคนติดเชื้อยังไม่ลด หนูก็ยังไม่เข้าใจว่าถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้แล้วเราจะสอบกันยังไง เช่น สอบแกทแพท แล้วที่ชลบุรีสถานการณ์มันไม่ใช่แค่เว้นระยะห่างแล้วจะปลอดภัย ซึ่งถ้าไปสอบตอนนี้หนูก็ไม่รู้ว่าจะสอบเหมือนเดิมไหม ถ้าสอบแล้วต้องเว้นระยะห่างสถานที่จะพอไหม? หรือพวกหนูจะได้สอบหรือเปล่า หนูว่าตอนนี้มันค่อนข้างลอยๆ หน่อย ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่จะมีแผนหรือปรับเปลี่ยนยังไง แล้วเราที่เป็นนักเรียนต้องปฎิบัติยังไง”

ปอนด์ – พิชญาภา เอี่ยมทอง นักเรียนจากโรงเรียนเดียวกันกับไข่มุก เล่าว่า สถานการณ์ ณ ตอนนี้ทำให้เธอไม่สามารถมั่นใจอะไรได้เลย ยิ่งถ้าภาครัฐไม่เลื่อนการสอบด้วยแล้วก็ยิ่งมองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ว่าถ้าสถานการณ์แย่ลงจะต้องทำอย่างไร

“นโยบายที่ออกมาตอนนี้มีแค่เลื่อนสอบโอเน็ตของป.6 และม.3 แต่ของม.6 ยังไม่มีนโยบายอะไรสักอย่าง หนูก็งงว่าทำไมแทนที่นักเรียนม.6 จะได้รับความสนใจมากกว่านี้แต่กลับไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างเหมือนเดิม ส่วนตัวเราก็รู้สึกว่าทำไมเขาไม่เลื่อนให้หน่อย เพราะเพื่อนหลายๆ คนก็ไปเรียนพิเศษไม่ได้ บางสถาบันปิดด้วยมาตรการป้องกันโควิด บางที่ไม่สามารถเรียนออนไลน์ได้

“อยากให้เขา (ภาครัฐ) สนใจเด็กที่จะสอบเข้าช่วงนี้มากๆ เลยค่ะ เอาจริงๆ ก็น่าจะต้องสนใจเด็กนักเรียนทุกคนที่ประสบปัญหานี้ หันมาฟังความคิดเห็นของเด็กนักเรียนบ้างว่าเขาต้องการอะไร ไม่ใช่ให้ผู้ใหญ่คิดกันเอง แล้วเด็กก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอนโยบายจากผู้ใหญ่อย่างเดียว รอผู้ใหญ่ตัดสิน รอเขาทำทุกอย่าง”

ในมุมนี้ไข่มุกเสนอว่า อยากให้ภาครัฐออกมาตรการที่ชัดเจนและเด็ดขาด “มีบางคนเสนอว่า เราควรชัตดาวน์การศึกษาไปเลยปีหนึ่งดีไหม เพราะม.6 หรือเด็กทุกรุ่นที่เรียนปีนี้ จริงๆ ก็ไม่ได้เรียนเยอะ ก่อนหน้านี้ที่ระบาดรอบแรกเราก็เรียนแบบวันเว้นวัน ทำให้ไม่ค่อยได้อะไร หรือถ้าไม่ชัตดาวน์ก็เรียนแบบออนไลน์ไปเลยเต็มรูปแบบ ไม่ใช่มาเปิดๆ ปิดๆ ทุกอย่างมันควรมีแผนรองรับที่ชัดเจน 

“เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญอนาคตเด็กม.6 แต่ถ้าผู้ใหญ่ไม่มีแผนรองรับ แล้วแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า เช่น วันนี้เหตุการณ์มันร้ายแรงก็สั่งปิดโรงเรียนวันนี้ไปก่อนละกัน ทั้งๆ ที่เราสามารถคาดเดาได้ว่าอนาคตสถานการณ์มันคงร้ายแรงขึ้น อีกอย่างปีที่แล้วช่วงเข้ามหาวิทยาลัยโควิดก็ระบาดแบบนี้ คือ เราก็ผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว ปีนี้มันก็น่าจะมีแผนรองรับมากกว่านี้หรือเปล่า

“ส่วนเรื่องเข้ามหาวิทยาลัย หนูก็ยังไม่รู้เลยว่าเข้าไปแล้วจะเรียนยังไงต่อ ปัญหาเศรษฐกิจอีก เราก็ไม่เห็นว่ารัฐจะมาเยียวยาหรือช่วยอะไรสักเท่าไร มีแต่บอกให้เราดูแลตัวเอง หนูก็งงว่าถ้าให้เราดูแลตัวเองได้ขนาดนั้นแล้วเขาทำอะไร หน้าที่เขาคืออะไร? เพราะเขาไม่ได้ทำสิ่งที่เราโหวตให้เขาทำด้วยซ้ำ ตัวเราเองเราสามารถรับผิดชอบให้ปลอดภัยได้ แต่ปัจจัยภายนอกทำให้เราไม่รู้สึกปลอดภัยทางเรื่องการเงิน หรืออนาคตเลย” ไข่มุกทิ้งท้าย

สถานการณ์โควิด-19 ในวงการศึกษาไทย

หลังจากประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรก สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในไทยก็เริ่มเข้าขั้นวิกฤต มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จนรัฐบาลตัดสินใจประกาศล็อกดาวน์ปิดสถานที่ต่างๆ เพื่อลดจำนวนคนออกมาข้างนอก ซึ่งนโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบประชาชนหลายภาคส่วน ทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร ที่ต้องปิดหน้าร้านและเปลี่ยนเป็นขายออนไลน์แทน หรือสถานที่ทำงานหลายแห่งต้องปรับเปลี่ยนเป็น Work from home หรือถึงขึ้นปิดกิจการไปเลย 

ในส่วนของภาคการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการตัดสินใจสั่งปิดสถานศึกษาทั้งหมดที่อยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563 เพื่อความปลอดภัยของเยาวชน ทำให้หลายโรงเรียนต้องเปลี่ยนรูปแบบการเรียนใหม่ ส่วนใหญ่เป็นการเรียนรูปแบบออนไลน์ (อ่านบทความ เลื่อนเปิดเทอม: โจทย์ วิธีรับมือ ของ 4 ครูไทยในพื้นที่และบริบทที่แตกต่าง)

กลุ่มคนที่ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก คงหนีไม่พ้นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีเดียวกัน ต้องเจอทั้งรูปแบบการเรียนที่เปลี่ยนไปและการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เลื่อนวันและปรับไปใช้ระบบออนไลน์ให้มากที่สุด 

แม้ปลายปี 2563 สถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในไทยจะเริ่มดีขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจนแทบไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ แต่การทำงานที่หละหลวมของราชการที่ปล่อยให้คนลักลอบเข้ามาทางชายแดน และการทำงานแบบสองมาตรฐานทำให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ ที่รอบนี้ดูจะหนักกว่าครั้งแรก.. การตรวจหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุก ทำให้พบจำนวนผู้ติดเชื้อหลักร้อยจนถึงหลักพัน และสะท้อนให้เห็นการขาดมาตรการรองรับและหลงลืมประชากรบางกลุ่ม ทำให้ปัญหาถูกซ่อนไว้ใต้พรม และตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับพุ่งสูงอีกครั้งเมื่อพรมนั้นถูกเปิด
เช่นกันกับเรื่องการศึกษา การปรับตัวไปเรียนออนไลน์เป็นทางแก้ปัญหาที่ทำให้การศึกษาดูเหมือนจะเดินต่อได้ในสถานการณ์นี้ แต่เราทิ้งเด็กไว้กลางทางหรือเปล่า แนวทางที่มีช่วยแก้ปัญหาของเด็กได้จริงไหม

#เด็ก64 คือกลุ่มเด็กม.6 ที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการก้าวข้ามจากรั้วมัธยมสู่รั้วมหาวิทยาลัย พวกเขาต้องแขวนอนาคตไว้กับความไม่แน่นอน ต้องปรับตัวและโดนซ้ำเติมอีกครั้งจากการระบาดระลอกใหม่ที่ส่งผลต่อการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย อีกครั้ง… นโยบายการรับนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยที่ออกมาตอนนี้ คือ มีการปรับเปลี่ยนระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย TCAS* ยุบรอบ 3 และ 4 เข้าด้วยกัน, การสละสิทธิ์ลดให้เหลือเพียง 2 ช่วง คือ รอบพอร์ตฟอลิโอและโควตา จากเดิมที่มี 4 ช่วง,

อนุญาตให้มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ รับสมัครสอบพอร์ตฟอลิโอและโควตาได้อย่างอิสระ และปรับข้อสอบ โดยมอบหมายให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ออกข้อสอบ 7 รายวิชา 

แม้จะมีเสียงจากเด็ก 64 หลายคนอยากให้เลื่อนการรับสมัครเข้ามหาวิทยาลัยออกไปก่อน เพราะสถานการณ์ที่แย่ลง ส่งผลให้พวกเขาเตรียมตัวไม่ทัน แต่ปัจจุบันยังคงไม่มีการปรับเปลี่ยนแผนใดๆ นายพีระพงศ์ ตริยเจริญ ผู้จัดการระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา หรือทีแคส ให้สัมภาษณ์กับมติชนว่า ตอนนี้ยังไม่มีนโยบายเลื่อนสอบใดๆ เพราะมองว่ารัฐบาลสามารถรับมือและควบคุมสถานการณ์ตอนนี้ได้ หากมีการเลื่อนสอบอาจส่งผลกระทบกับหลายภาคส่วน เช่น การเปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัย การจบการศึกษา เป็นต้น อีกทั้งกำหนดการเดิมที่จะเปิดรับสมัครนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม ตนมองว่าก่อนจะถึงช่วงนั้นสถานการณ์มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น

ปัจจุบันการรับสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในไทยใช้ระบบ TCAS หรือ Thai University Admission System ระบบกลางในการรับสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยไทยรูปแบบใหม่ จากเดิมที่เป็นระบบ Admission โดยจะแบ่งรอบการรับสมัคร 5 รอบ
1.รอบยื่นพอร์ตฟอลิโอ (แฟ้มสะสมผลงาน) 
2.รอบโควตา 
3.รอบรับตรงรวม 
4.รอบแอดมินชั่น
5.รับตรงอิสระ
อ้างอิง
สรุปไทม์ไลน์ “โควิด-19” ในไทย จากวันที่พบผู้ป่วยรายแรก สู่วันไร้ผู้ติดเชื้อ
ศธ.สั่งสถานศึกษาทั่วประเทศ ทั้งรัฐและเอกชน ปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19
ยกเลิกสอบสัมภาษณ์ทีแคสรอบ 3, 4 
ทปอ. เผยไทม์ไลน์สนามสอบ ‘TCAS64’ ย้ำมีปรับรูปแบบใหม่ ปรับเนื้อหาข้อสอบ, สละสิทธิ์ในระบบเหลือ 2 ช่วง
‘ทปอ.’ ตอบแล้ว! หลังน.ร.ขอเลื่อนสอบ ชี้ทำได้ยาก เพราะกระทบทั้งระบบ
รมว.ศธ.ลงนาม ยกเลิกสอบโอเน็ต ปี 63 นร.ป.6 และ ม.3 เชื้อโควิด-19 ระบาด

Tags:

ระบบการศึกษาวัยรุ่นไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่วัยรุ่นรู้สึกว่า “ตัวฉันไม่ดีพอ” การรับฟังที่ดีจากพ่อแม่ คือ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ PHAR

  • Social Issues
    หากโควิดบังคับให้ครูเปลี่ยน จะสอนออนไลน์ยังไงให้ป็อปและยังมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์อยู่?

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    จัดการเรียนการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียนต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Life classroom
    อนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร เส้นทางการเรียนจะเป็นแบบไหน – ความกังวลของวัยรุ่นช่วงโควิด-19

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

  • Learning TheorySocial Issues
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

‘เราอาจไม่มีวันเข้าใจกันได้ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เกลียดพ่ออย่างที่เคยนึก’ เขียนถึงพ่อในวันที่เราตะโกนใส่หน้ากัน
Dear Parents
15 January 2021

‘เราอาจไม่มีวันเข้าใจกันได้ แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เกลียดพ่ออย่างที่เคยนึก’ เขียนถึงพ่อในวันที่เราตะโกนใส่หน้ากัน

เรื่อง ณัฐชานันท์ กล้าหาญ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • เราอาจจะไม่มีวันเข้าใจกันเลยก็ได้ บางเรื่องมันสายเกินไปแล้ว แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เกลียดพ่ออย่างที่เคยนึก เราสร้างความรู้สึกนั้นขึ้นมาป้องกันตัวเองไว้เพราะเรากลัวเหวอะหวะจากการโดนพ่อมองว่านี่คือความเป็นอื่น

น่าแปลกที่ไม่เคยเขียนถึงพ่อ หรือตั้งใจจะคิดถึงความรู้สึกที่มีต่อพ่อมาก่อนแม้ที่ผ่านมาเราจะอยู่ในบ้านเดียวกัน ใช้ชีวิตร่วมกันและมีความทรงจำเชิงพื้นที่ทับซ้อนกันเยอะมาก แต่แปลกมากที่เราจำความรู้สึกผูกพันนั้นได้น้อย อาจเป็นเพราะเราคือเด็กไม่ละเอียด ผูกตัวเองอยู่กับหนังสือและเห็นภาพแม่มากเสียเป็นส่วนใหญ่ กิจกรรมส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นกับแม่

วันๆ หนึ่งบทสนทนากับพ่อเกิดขึ้นน้อย บางครั้งไม่เกิดขึ้นเลย พ่อมักจะเทชามาให้ที่โต๊ะ บางครั้งก็ทำกาแฟตอนเช้าไว้ให้บ้าง จากนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก จะว่าห่างเหินก็ห่างเหิน 

การทะเลาะกันส่วนใหญ่เกิดขึ้นแล้วก็หายไป เราสองคนจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และใช้ชีวิตต่อไปในบ้าน 

เรารู้ว่าเรากับพ่อความคิดเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน แต่เพราะเราไม่สนิทกันในเชิงความคิด ไม่เคยแลกเปลี่ยนปัญหา พูดคุยสิ่งที่อาศัยอยู่ภายใน หรือทำความรู้จักกันมากพอ กว่าจะรู้ตัวเราก็อยู่กับความรู้สึกที่ไม่อยากรู้จักชีวิตของเขา ในขณะเดียวกันเราก็รู้สึกเฉยๆ ที่จะให้เขาเข้ามาในวงกลมชีวิตของเรา มันห่างไกลและเหมือนจะสายเกินไป

วันนั้นคือวันที่เรากำลังจะออกไปม็อบและหลีกเลี่ยงที่จะบอกพ่อ แต่สุดท้ายไม่สำเร็จ เมื่อพ่อรู้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนวาบ แววตาก็เช่นเดียวกัน คำแรกที่พ่อพูดกับเราโดยยังไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น คือคำหยาบที่ตัดสินกันชัดเจน แน่นอนว่าที่ผ่านมาเมื่อทะเลาะกันเราเถียงสู้ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม เหตุการณ์นี้ก็เช่นเดียวกัน

เราทะเลาะกันหนักมากที่สุดแบบที่การใช้ชีวิตอย่างห่างเหินจะอนุญาต เท่าที่ระยะห่างระหว่างอายุ 30 กับ 80 กว่าจะอนุญาต เราถามว่าความชอบธรรมของตำรวจในการฉีดน้ำต่อประชาชนที่มาชุมนุมอย่างสันติอยู่ตรงไหน พ่อตอบไม่ตรงคำถาม ถามว่าทำไมถึงไม่รู้สึกอะไรกับการใช้กำลังคุกคามเด็ก พ่อตอบในสิ่งที่เราไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะเห็นมนุษย์ไม่เท่ากันได้มากขนาดนี้

เราเติบโตมาแบบไหนกันเราถึงแทบไม่เคยรู้จักกันเลย เสียงตะโกนดังขึ้นเรื่อยๆ ในบ้านแคบๆ แม่ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่นึกว่าเหตุการณ์มันจะเลยเถิดไปถึงขนาดนี้ มีแต่ความไม่เข้าใจ คลุ้มคลั่งทางอารมณ์ อยากทำลายความรู้สึกของอีกฝ่าย

สีหน้าของพ่อผิดหวังจากประโยคที่บอกว่าทำไมเรียนหนังสือแล้วถึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ ส่วนเราคิดว่าการศึกษาไทยไม่ได้ทำให้ใครตาสว่าง

น้ำตาเราไหลตั้งแต่ประโยคสองประโยคแรกก่อนจะเปลี่ยนเป็นขึ้นเสียงกันรุนแรง กับหลักการและเหตุผลที่เราไม่เชื่อหรืออาจจะมองเห็นมาตลอดในบ้าน ภาวะชายเป็นใหญ่ที่เราเกลียด บ้านที่เป็นพื้นที่ของพ่อและตัวเราเองซึ่งเป็นลูกแบบติดๆ ดับๆ พื้นที่ของแม่ที่มีแต่ความประนีประนอม ไม่ถกเถียงเพราะไม่นำไปสู่อะไร แข็งแกร่งและอ่อนโยนจนเราโตมากับแนวคิดที่ว่าความอ่อนโยนจะไม่มีวันทำร้ายใคร

ภาพฉายวนเป็นเราที่เฝ้ามองความนิ่งทนของแม่อย่างคนขี้ขลาด ทำได้เพียงเถียงพ่อจนสุดทางและปกป้องแม่ เลือกข้างชัดเจน รู้ว่าพ่อถูกกันไปอยู่ในมุมแคบที่มีตัวคนเดียว รู้ว่ามันโดดเดี่ยว ไม่มีใครสมควรได้รับสิ่งนั้นแม้จะเป็นมนุษย์ที่หยาบที่สุด แต่ในเมื่อพ่อไม่เคยฟังใครนอกจากตัวเอง เราก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาจะตรวจสอบตัวเองบ้างไหมว่าความเดียวดายมันมีผลมาจากความคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่จนคนอื่นต้องเชื่อฟัง

ต่างคนต่างเงียบ มีแต่เสียงน้ำตาและเราที่ร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ แม่คอยกอดและบอกว่าแม่เข้าใจลูก 

พ่อก็สมควรได้รับการกอดเหมือนกัน แต่อคติของเราฉุดเราไปไกลจนในหัวมีแต่กลุ่มก๊าซเน่าเสียลอยคลุ้ง และความห่างเหินที่ครอบเราไว้ในอ้อมกอดหลวมๆ

แตกหักเหมือนกัน จักรวาลหมุนรอบตัวเองเหมือนกัน มีเราในพ่อและมีพ่อในเราเสมอ คิดวนในหัวทุกครั้งว่าทำไมเราถึงไม่อยากรู้จักพ่อแม่ให้มาก ทำไม่ไม่พยายามกุมมือ พูดคุย และเรียนรู้โลกใบนี้ไปด้วยกัน ทำไมเราถึงไม่พยายาม ทำไมถึงนิ่งเฉยและหาทางอยู่คนเดียวให้ได้อย่างสงบที่สุด

“พ่อไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่แล้ว”

เราเองก็รู้ดีว่าไม่น่าพูดแบบนั้นออกไป

เราออกไปม็อบในวันนั้น และออกไปจากบ้านสักพัก ระหว่างที่อยู่คนเดียวเหตุการณ์วันนั้นมักจะวนมาฉายก่อนนอน

เมื่อกลับมาบรรยากาศในบ้านยังนิ่งเรียบเหมือนที่เคยเป็นมา ทั้งเราและพ่อไม่มีใครเริ่มคุยอะไรกัน แต่ในกลางดึกและตอนเช้า พ่อจะเอาชาร้อนมาวางเงียบๆ และเดินจากไป

สุดท้ายเราก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนได้ ท่าทางของพ่อดูอ่อนลง เราเองก็พยายามมองพ่อให้เป็นพ่อมากที่สุดและดูแลชีวิตเขาในจุดที่เขาไม่สามารถทำบางอย่างเองได้ ยังเข้าใจตัวเองว่าเป็นลูกที่ห่วยอยู่มากและพยายามไม่มากพอ 

เหตุการณ์ที่เราน็อตหลุด ขึ้นเสียงและตะโกนปาวๆ ใส่หน้าพ่อในห้องนั่งเล่นก็คือที่เดียวกับที่พ่อเอาชาร้อนมาวางให้ในหลายอาทิตย์ต่อมา และในหลายอาทิตย์ต่อมาอีกเราก็กอดกัน แต่อ้อมกอดนั้นเปลี่ยนไปในความธรรมดา มันเต็มไปด้วยคำถาม ความหลวม และความรักที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง ความอ่อนโยนที่แม่สร้างทั้งเราและพ่อเอาไว้ทำให้เรายังไม่จากกันไปไหน

เราอาจจะไม่มีวันเข้าใจกันเลยก็ได้ บางเรื่องมันสายเกินไปแล้ว แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้เกลียดพ่ออย่างที่เคยนึก เราสร้างความรู้สึกนั้นขึ้นมาป้องกันตัวเองไว้เพราะเรากลัวเหวอะหวะจากการโดนพ่อมองว่านี่คือความเป็นอื่น 

ในวันนั้น มันมีแต่ความเสียใจที่อยู่ดีๆ เราก็เหมือนไม่ใช่ลูก

จริงๆ แล้วความรักมันอาจจะมีหน้าตาน่าเกลียด และปลดปล่อยปีศาจจำนวนมากขึ้นมาฟาดฟันกัน สงครามความสัมพันธ์มันเกิดขึ้นโดยที่มีฝ่ายไม่ได้สนใจจะมองและเข้าใจกันอย่างชัดเจน หรือไม่รู้ตัวว่าสิ่งนั้นเรียกว่าความรัก 

แต่ในเมื่อมันมีความรักแล้ว สิ่งที่เราในช่วงเวลาแข็งแกร่งพอจะทำได้ คือการซ่อมแซมมันไปด้วยกัน กล้าหาญที่จะหาวิธี ทำให้พ่อรู้ว่าเรากำลังจัดการปัญหานี้อยู่แม้ว่าเราจะทำมันได้อย่างห่วยแตกมากก็ตาม

Tags:

พ่อแม่ประชาธิปไตยการฟังและตั้งคำถามความขัดแย้ง

Author:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Yoshino’s Barber Shop : เสียงตะโกนของแก๊งเด็ก ‘ไม่เอาผมทรงเห็ดแล้ว’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    สานสัมพันธ์พี่ – น้องให้แน่นแฟ้นด้วยการเลี้ยงดูของพ่อแม่ : ใช้เวลาร่วมทุกข์ – สุขและให้ความยุติธรรม

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Gifted (2017) ‘ขอโทษ’ ของขวัญที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • MovieDear Parents
    Coco (2017): สิทธิที่จะรู้ความจริง และสิทธิที่จะเลือกชีวิตตัวเอง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    ‘ตอนนี้’ และ ‘โตขึ้น’ อยากเป็นอะไร พ่อแม่ช่วยลูกค้นหาได้ด้วย 9 วิธีนี้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ภาวะซึมเศร้า กับ โรคปั้นลูกให้เก่ง ผลลัพธ์ข้างเคียงที่เกิดจากความรักที่มากไปของผู้ปกครอง
Early childhoodFamily Psychology
14 January 2021

ภาวะซึมเศร้า กับ โรคปั้นลูกให้เก่ง ผลลัพธ์ข้างเคียงที่เกิดจากความรักที่มากไปของผู้ปกครอง

เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • โรคพ่อแม่ทำอีพีสุดท้าย ชวนคุยเรื่อง ‘โรค/ภาวะซึมเศร้า’ และ ‘โรคปั้นลูกให้เก่ง’ ผลลัพธ์ที่อาจเกิดจากความรักที่มากไปจนเข้าข่ายกดดันของผู้ปกครอง
  • โรคซึมเศร้า เกิดจากสารเคมีในสมอง แต่มูลเหตุที่ทำให้สารเคมีผิดปกติ ส่วนหนึ่งอาจมาจากการพยายามกดอารมณ์ ปฏิเสธอารมณ์ของลูกตั้งแต่เด็กๆ เมื่อปฏิเสธว่าความเจ็บปวดของเด็กหรือคนตรงหน้าไม่มีจริง เลี่ยงไม่พูดถึง ก็อาจทำให้เกิดความเครียดสะสมและสร้างโรคได้
  • โรคปั้นลูกให้เก่ง แต่เป็น ‘เก่ง’ ในเส้นทางที่ผู้ปกครองเป็นคนเลือก จนไม่เห็นตัวตนอื่นของลูกเลย

อีพีรองสุดท้ายของพอดแคสต์ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ แต่เป็นอีพีสุดท้าย (จากทั้งหมด 3 ตอน) ที่พูดเฉพาะเรื่อง ‘โรค’ ที่อาจเกิดขึ้นอันเกิดความจากความรักที่มากไปของพ่อแม่ ครั้งนี้คุณเม้ง และ ครูณา ชวนคุยกันเรื่อง ‘โรคซึมเศร้า’ และ ‘โรคปั้นลูกให้เก่ง’ ที่ทำให้เห็นว่าการเลี้ยงดูที่เครียดขึง ปฏิเสธอารมณ์ ปฏิเสธตัวตนของลูก อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ระยะยาวอย่างไร 

บทความนี้ถอดความมาจาก Podcast รายการ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ตอนที่ 8 โรคจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ 3 ดำเนินรายการโดย เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์

รับฟังในรูปแบบพอดแคสต์ได้ที่นี่

โรคซึมเศร้า

ในชุดที่ว่าด้วย ‘โรค’ ที่พ่อแม่ทำกับเรา เหลือให้คุยกันอยู่อีก 2 เคสนะครับ นั่นคือ ‘โรคซึมเศร้า’ กับ ‘โรคปั้นลูกให้เก่ง’ เอา ‘โรคซึมเศร้าก่อน’ ช่วงหลังเราได้ยินกันเยอะมาก มีผู้ที่เป็นและแสดงอาการเยอะขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าคนเป็นกันมันเยอะขึ้น หรือจริงๆ เมื่อก่อนก็เป็นกันเยอะอยู่แล้ว 

พี่คิดว่ามันเยอะขึ้นนะ มันก็เหมือนกับ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ไปสร้างกับพ่อแม่ แล้วพ่อแม่ที่เป็น ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ก็มาสร้างกับลูกต่อ เพราะฉะนั้นมันคล้ายๆ กงเกวียนกำเกวียน ล้อเกวียนที่มาซ้ำรอยเดิมก็จะลึกกว่าเดิมและส่งผลมากขึ้นกว่าเดิม 

ผมถามอย่างนี้ก่อนครั้ง ‘โรคซึมเศร้า’ มันเป็นเคมีทางสมองไม่ใช่เหรอครับ แล้วจะมาบอกว่าเพราะพ่อแม่ทำได้ยังไง

ใช่ มันเป็นเคมีในสมองที่ไม่สมดุล แต่ว่ามันก็เกิดจากการที่เราทำให้สมองหลั่งเคมีแบบนั้นมากเกินกว่าปกติ ซึ่งตรงนี้ก็เกิดมาจากการเลี้ยงดู แต่ไม่ใช่การเลี้ยงดูทั้งหมดหรอกนะ มีบางครั้งที่เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความซึมเศร้าให้กับชีวิตจริงๆ เพียงแต่ว่าโรคซึมเศร้าที่เกิดกับเด็กส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน มันเกิดจากเคมีในสมองผิดปกติและไม่สมดุลจริงๆ 

เม้งลองนึกนะว่า ตามร่างกายของเรามีเซลล์อยู่เป็นพันล้านล้านเซลล์ แต่ละเซลล์มีโครงสร้างที่กินอาหารคนละประเภท ถ้าเราพูดในเชิงของวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันกลายเป็นในเชิงของธรรมะด้วยก็คือ เซลล์แต่ละประเภทกินอาหาร คือ อารมณ์ ฮอร์โมน หรือสารเคมีที่ออกมาจากสมองส่งไปที่อารมณ์ บางเซลล์กินอาหารที่เป็นความรู้สึกโกรธ ถ้ามีฮอร์โมนโกรธไหลมาทั่วร่างกายเรา ไอเซลล์ที่กินอาหารโกรธก็จะสามารถรับอาหารได้ เพราะมีรหัสที่เข้าไปในเซลล์ที่คลิกเหมือนกุญแจที่เข้าไปในนั้น เพราะฉะนั้นมันก็จะมีเซลล์ที่มีโครงสร้างเยอะมากเลย หลากหลายตามแล้วแต่อารมณ์ โกรธบ้าง รักบ้าง เสียใจบ้าง รู้สึกภูมิใจในตัวเองบ้าง แล้วเซลล์เหล่านี้ก็กินอาหารตามอารมณ์

สมมติเราสามารถหล่อเลี้ยงเด็กให้เขามีสภาวะอารมณ์ที่รู้สึกชื่นชมในตัวเอง รู้คุณค่าของตัวเอง ภูมิใจในตัวเอง เขาก็จะมีเซลล์แบบนั้นมากขึ้น เพราะเขาได้รับการให้อาหารแบบนั้น มันก็เลยทำให้เซลล์แบบนั้นเติบโตได้ดีกว่าเซลล์อื่น เด็กเหล่านี้ก็จะดูมีพลังงานของความเชื่อในตัวเอง รู้คุณค่าในตัวเอง คือลักษณะของเซลล์ที่อยู่ในร่างกายเราก็เป็นตัวส่งผลของบุคลิกภาพของเด็กคนนั้นแหละ ถ้าเราทำให้เด็กคนนั้นมีความเกรี้ยวกราดบ่อยๆ โกรธบ่อยๆ เซลล์ในร่างกายก็จะมีประเภทที่กินอาหารโกรธบ่อยๆ เด็กกลุ่มนี้ก็จะขี้โกรธ ขี้วีน

เราคุยกันทุกอีพีว่าทำไมช่วง 0 – 7 ขวบ เราต้องบ่มเพาะสิ่งดีๆ ให้กับเด็กก่อน ทำให้เด็กรู้จักอารมณ์ รู้จักการเข้าใจตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง รักตัวเอง ก็เพราะให้เขามีเซลล์พวกนี้อยู่เยอะ มีโครงสร้างที่ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนี้อยู่เยอะ แล้วมันก็จะกลายเป็นบุคลิกภาพของเขา ประเด็นคือในยุคหลังๆ เราถูกส่งต่อมาในเรื่องการกดอารมณ์ ไม่เข้าใจอารมณ์ เราไม่รู้วิธีการจัดการอารมณ์ พอถูกเลี้ยงดูมาแบบไม่เข้าใจอารมณ์ ก็กลายมาเป็นการส่งพฤติกรรม จากพ่อแม่ก็ไปทำกับลูก 

เรื่อง ‘การกดอารมณ์’ ตอนเด็กๆ ที่เรารู้สึกเศร้าแล้วพ่อแม่ทำไม่เป็นก็จะบอกว่า ‘ไม่ต้องเศร้าหรอกลูก ไม่ต้องเสียใจ เดี๋ยวพอพาไปกินขนม’ ‘เป็นลูกผู้ชายอย่าร้องไห้’ กลายเป็นเห็นว่าความเศร้า คือ ความอ่อนแอและเราควรจะมีความสุขมากกว่า ที่พูดไม่ได้บอกว่าเราจงมาเศร้ากันเถอะ ไม่ใช่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเศร้า เราก็ต้องเผชิญหน้ากับความเศร้า จัดการความเศร้าอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ลูกเห็นว่าลูกกำลังเศร้า ลูกร้องไห้อยู่ ‘มา…แม่กอดทีนึง แม่เข้าใจนะ’ หรือรับรู้ความเศร้าเขา ยอมรับเขา นั่งฟังเขา ช่วยดูแลเขา 

แต่กระบวนการเหล่านี้พ่อแม่ไม่ได้ฝึกกัน อาจจะยุ่ง ไม่ได้ฝึกจัดการเรื่องของอารมณ์ เพราะฉะนั้นพอลูกเศร้าก็บอก ‘ไม่ต้องเสียใจหรอก’ ‘อย่าร้องไห้’ แล้วพอมันกดอารมณ์บ่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มันไม่เกิดกระบวนการจัดการกับอารมณ์อย่างถูกต้อง ก็เลยเกิดการคิดกับตัวเอง พอคิด…ความคิดก็สร้างอารมณ์ มีอารมณ์แล้วแต่อย่าแสดงออก ไม่ได้จัดการ คิดอยู่ข้างใน วนอยู่ข้างใน สารเคมีก็หลั่งไปหลายรอบ ไหลทุกวัน ไม่เข้าใจก็นั่งคิด จนกลายเป็นคนที่คิดวนอยู่กับความเศร้าหรือความรู้สึกแย่กับตัวเอง ซึ่งพอคิดวนแบบนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เซลล์ที่มันกินอาหารเศร้าก็เติบโต แบ่งตัว พอแบ่งตัวเยอะๆ ในร่างกายของเรา เซลล์เหล่านี้ก็มีการไป Trigger ในสมองเพื่อสร้างวงจรความคิดที่ทำให้เกิดความเศร้าอีก เพื่อทำอะไร? เพื่อให้อาหารมัน 

เพราะฉะนั้นพอวันหนึ่งที่มันเยอะเกินกว่าปกติ ได้ยินแต่วงจรของความเศร้า แล้วมันกดไม่ไหว เขื่อนแตก ก็เลยเกิดเป็นอาการซึมเศร้า นี่แหละคือที่มาว่า ใช่ มันคือสารเคมีที่ไม่สมดุลในร่างกาย เพราะเนื่องจากเราไม่ได้ฝึกลูกของเราให้รู้จักกับการจัดการอารมณ์ เราใช้การกดอารมณ์ ปฏิเสธอารมณ์ 

ครูณาเจอเยอะไหมครับ 

เยอะมากค่ะ ยิ่งยุคหลังๆ เคสก็ยิ่งเด็กลง ตอนนี้ 8 – 9 ขวบ ก็เป็นซึมเศร้าได้แล้ว 

ถ้าย้อนกลับไปฟังอีพีก่อนๆ ก็ยังพอสืบสาวราวเรื่องกลับไปแก้ได้ แต่นี่เหมือนถ้าไม่ระวังวันนี้อาจจะสะสม แล้วถ้ามันเกิดไปแล้ว พ่อแม่ การเลี้ยงดู หรือประสบการณ์ได้กระทำกับเขาไปแล้ว เช่น ถ้าผมเป็นซึมเศร้าอายุ 40 ปีเนี่ย แล้วอยากจะแก้ไข เราต้องย้อนกลับไปจัดการคความสัมพันธ์ไหม หรือมีวิธีอะไรบ้างครับ 

บางทีเราไปจัดการโรคซึมเศร้าด้วยการกินยา ซึ่งส่วนตัวพี่ไม่ค่อยสนับสนุน พี่ไม่ได้บอกว่ายาไม่ช่วยเลย แต่ยาช่วยในระยะสั้น ใช่ สารเคมีของเราไม่สมดุล แต่ทันทีที่เราเริ่มต้นกินยา ในตอนนั้นเราจะต้องเริ่มฝึกวิธีคิดของเราใหม่ เพราะยาไม่ได้ช่วยให้เราหายจากโรคซึมเศร้าแต่ยาทำให้เราไม่รู้สึกเศร้า ในขณะที่ต้นเหตุของความเศร้ามันยังดำรงอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อาจจะเป็นเยอะขึ้นแต่ไม่รู้สึก เพราะว่าเรากินยา 

จากประสบการณ์ของเคสของพี่นะ การกินยาจะช่วยให้เราไม่รู้สึก ในช่วงเวลา 2 – 3 เดือนที่เราต้องกินยา มันต้องมีกระบวนการดูแลความเศร้า จัดการความเศร้า เท่าทันอารมณ์ความเศร้า นี่อาจจะใช้เวลาไม่เกินปีก็ได้ที่เราจะหายจากอาการนี้ แต่ถ้าเราพึ่งยาแล้วคิดว่าเราจะมีวันหายจากโรคซึมเศร้า พี่บอกได้เลยว่ายากมาก เพราะว่ามันทำให้เราเป็นหนักขึ้นแล้วยาต้องเพิ่มโดสมากขึ้น 

การเปลี่ยนกระบวนการความคิดทำได้โดยการฝึกที่จะคิดใหม่ หรือไม่ก็คือการกลับไปเยียวยาหรือบำบัดเรื่องราวในอดีตที่เป็นแหล่งกำเนิดของความเศร้าเพื่อทำให้มันเกิดการเชื่อมโยงในรูปแบบใหม่ สร้างสภาวะอารมณ์ใหม่ อันนี้ก็คือการที่เราได้ดูแลตัวเราเอง และเรียนรู้ที่จะฝึกมันเพื่อเกิดการจัดการตัวเอง ไม่ใช่ใช้สารเคมีหรือว่ายามากดอารมณ์เราอย่างเดียว พี่สังเกตว่าบางคนกินยา 5 – 6 ปี มันทำให้เขาคิดยากขึ้น เพราะไม่รู้สึก เป็นแบบนี้ก็จะทำให้ทำความเข้าใจชีวิตยากอีก คล้ายว่าสมองรับสารเคมีมากไปจนคิดลึกๆ ไม่ได้ มันไม่รู้สึก แต่ความคิดที่ทำให้เราเปลี่ยนชีวิตต้องเป็นการคิดที่ลึกซึ้งมากซึ่งต้องไปแตะความรู้สึกด้วย ฉะนั้นคนที่กินยามานาน 5 – 6 ปี จะเรียนรู้เพื่อที่จะเยียวยาชีวิตหรือพยายามเปลี่ยนวิธีคิดกับชีวิตยิ่งทำได้ยากใหญ่เลย เพราะว่าการคิดในระดับที่เปลี่ยนชีวิตมันต้องเข้าไปแตะเรื่องของอารมณ์และเจตจำนงของชีวิต ซึ่งเคมีมันกั้นไว้ แล้วทำให้เราเข้าไปไม่ถึง

พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว 

นึกถึงบางเคสของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว บางคนถามว่าพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวแล้วลูกจะมีปมไหม จะมีหรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณสร้างทัศนคติให้เขายังไง สิ่งที่พี่รู้สึกว่าเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กแย่คือคนที่เป็นพ่อหรือแม่ไปเสี้ยมลูกให้เกลียดอีกฝ่าย 

แล้วมันทำให้เกิดอาการซึมเศร้ายังไงฮะ 

ปกติแล้วตอนที่เด็กเกิดมาตามธรรมชาติ เขาจะรักพ่อรักแม่ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ การเป็นคนที่เลี้ยงลูกคนเดียว ไม่คุณพ่อก็คุณแม่อาจทำบางอย่างที่ไม่ถูกต้องต่อกัน แต่อย่าไปสรุปว่าใครคนนึง คือ คนเลวแล้วจะเลวกับลูกด้วย แล้วพอเราไปเผลอเสี้ยมลูกให้ไม่รักพ่อหรือแม่ ไม่เคารพในความเป็นพ่อหรือแม่ สิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลเยอะมาก เหมือนกับตอนที่แล้วเราพูดเรื่องกลัวผู้ชาย กลายเป็นว่าพอเขาอยู่กับพ่อ พ่อทำสิ่งที่ดี เขาอยากจะรักก็รักไม่ได้ เพราะพอกลับมาแม่ก็บอกว่าพ่อเป็นคนไม่ดี แล้วเขาก็รู้สึกไขว้เขวกับชีวิต ไม่รู้จะไปคุยกะใคร เพราะตอนนั้นเขาก็ยังเด็ก หรือยังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่เข้าใจบางอย่าง ท้ายที่สุดมันกลับไปลึกมากในระดับจิตใต้สำนึกที่รู้สึกว่า ฉันเป็นคนที่ไร้ค่า ฉันไม่สามารถมีพ่อหรือแม่ที่รักฉัน 

สมมติว่าแม่เลี้ยงเดี่ยวเสี้ยมพ่อ คุณแม่โดยส่วนใหญ่ที่เสี้ยมลูกไม่ให้รักพ่อก็มักจะมีความก้าวร้าวพอสมควร เพราะฉะนั้นจะมีสัญญาณอยู่แล้วว่าเขามักจะใช้ความรุนแรงบางอย่างไม่กายก็วาจากับลูก 

สมมติพี่เรียกลูกกินข้าวแล้วสามีเอาขนมมาให้ลูกกิน เวลาที่ลูกกินขนมเขาควรจะมีความสุข แต่แม่เขาดูทุกข์ดูเครียด แล้วก็ไปตำหนิพ่ออย่างรุนแรงราวกับว่าพ่อกำลังยื่นยาพิษให้ลูก มันมีความย้อนแย้งนะในระดับของพลังงานน่ะ ลูกยื่นมือขวาไปรับขนมจากพ่อ กำลังจะได้รับพลังงานที่เรียกว่าความรัก แต่พอหันมาทางแม่ แม่กำลังส่งพลังงานที่เหมือนกับว่าพ่อกำลังทำร้ายฉัน มันทำให้ลูกรู้สึกว่า เฮ้ย…อันนี้เรียกว่าความรักไหม คือเด็กเขาไม่ได้คิดนะ แต่มันเป็นความรู้สึกที่ย้อนแย้งว่าคนนี้รักเราไหม ฉันกำลังมีความสุขแต่ทำไมคนนี้ถึงบอกว่าอีกคนกำลังทำผิดกับฉัน แล้วท้ายที่สุดเด็กไม่ได้มีโอกาสที่จะรับรู้ความรู้สึกของความรักอันบริสุทธิ์ 

คิดดูว่ากับแค่กินขนม เราก็เห็นพลังงานความขัดแย้งอันนี้แล้ว พอเติบโตมาด้วยความสับสน ตีกันแบบนี้แล้วจัดการไม่ได้ ท้ายที่สุดพลังงานหรืออารมณ์ลบๆ ที่เกิดจากความคิด คิดไปคิดมา คิดวนไปวนมาจนรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่มีค่า ไม่เคยได้รับความรักที่แท้จริงจากใคร ท้ายที่สุดมันค่อยๆ บ่มเพาะความเศร้าไปทีละนิดๆ รู้สึกว่าตัวเองอ้างว้าง พอวันหนึ่งที่เกิดเหตุอะไรขึ้น ก็ได้โอกาสเลย เซลล์มันซัดตูม! เรียกอาหารของความเศร้า แล้วก็ได้โอกาสในการสร้างวงจร แล้วมันก็วนคิดๆ จนเกิดอย่างนี้

พี่ไม่ได้บอกว่าเราจะต้องรักกันทุกครั้ง ต้องเข้าใจกันที่สุด เราเป็นธรรมชาติของเรานี่แหละ ทะเลาะกันได้ แต่ทะเลาะด้วยเป้าหมายที่โอเค เราเข้าใจความรักบางอย่างที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้กันเพื่อทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่ากดอารมณ์และปฏิเสธอารมณ์ไปเรื่อยๆ ลูกไม่สบายใจ

ปั้นลูกให้เก่ง 

ต่อกันที่อีกหนึ่งอาการที่ใกล้เคียง พ่อแม่ทุกยุคทุกสมัยก็คงอยากลูกตัวเองเก่งๆ ตั้งใจปั้นลูกเก่งๆ เรียนเก่งๆ ครูณามีเคสมาแบ่งปันให้เราพอเห็นภาพไหมครับว่าอาการที่สร้างเขาให้เป็นคนเก่งที่สุด มันสร้างความทุกข์อะไรในระยะยาวให้เขาบ้าง

พี่คิดว่าเวลาที่พ่อแม่ต้องการปั้นลูกให้เก่ง ถ้าเขาทำได้ถูกวิธีหรือทำภายใต้ขอบเขตที่เข้าใจเด็กจริงๆ มันก็โอเคนะ เพียงแต่ว่าเราเข้าใจลูกเราจริงๆ หรือเปล่า เนื่องจากเวลาที่เราต้องการปั้นลูกให้เก่งเนี่ย สิ่งที่พ่อแม่มีภาพอยู่ในหัวนั้นคล้ายกับว่ามันมีเส้นทางเดียวที่อยากให้ลูกเดินบนเส้นทางนี้ แล้วทางอื่นแทบจะไม่ใช่เลย เช่น ลูกจะต้องเรียนหมอ ลูกจะต้องจบแบบนี้แล้วทำแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราไม่เห็นความเป็นตัวลูกเลยว่าลูกเราอาจไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทางนี้นะ ลูกเราอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นทางอื่นก็ได้ หรือในวันที่เราพยายามให้รางวัล แล้วก็พยายามที่จะเชียร์ลูกเพื่อให้ไปในเส้นทางเดียวของเรา จนกระทั่งลูกเขาก็รู้สึก อืม…ทำแบบนี้แล้วแม่รักนะ ทำแล้วก็ได้รางวัล ลูกก็ทิ้งอย่างอื่นของชีวิตมาเพื่อที่จะทำสิ่งที่สอดคล้องกับสิ่งที่พ่อแม่อยากได้ แล้วก็ขับเคลื่อนตัวเองแบบนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเรากำลังฝึกเด็กให้ใช้ชีวิตโดยที่ฟังแต่เสียงคนอื่น ทำตามแต่เสียงของคนอื่น เขาไม่เคยได้กลับมาที่ข้างในของเขา กลับมาที่จิตใจของเขา เท่าทันความคิด เท่าทันอารมณ์เขา เขากลับมาน้อยมาก เพราะเนื่องจากในแต่ละวันพ่อกับแม่มีเส้นทางนี้แล้วที่ต้องการให้ลูกเดิน ลูกก็จะไม่สามารถกำหนดตัวเองเพื่อที่จะทำอย่างอื่นได้ หรือพยายามที่จะบริหารจัดการตัวเอง หรือบางทีเขามีความฝันอื่นที่จะทำ แต่พ่อแม่ไม่อนุญาต ผลลัพธ์ของโรคปั้นลูกให้เก่งมันเยอะมาก 

พี่เคยเจอเคสที่ว่า ‘ทำให้ก็ได้’ อยากให้เรียนก็เรียนให้ แต่พอเรียนจบเขาก็เอากระดาษแผ่นหนึ่งมาให้แม่ แล้วก็บอกว่า ‘ทำให้แล้วครับ ต่อไปนี้ชีวิตเป็นของผม’ แล้วแม่ได้อะไรเวลาที่ลูกทำให้ขนาดนี้? เราเรียกว่า เผาเวลาในชีวิตช่วงต้นของลูกที่มีความหมายทิ้งเลย แทนที่เขาจะเอาเวลาตรงนั้นไปบ่มเพาะศักยภาพของเขา หรือรู้สึกภูมิใจกับชีวิตของเขาในสิ่งที่เขาเป็น เรากลับทำให้เขาทิ้งทุกอย่างของความเป็นตัวเขามา เพื่อกระดาษแผ่นนี้มาให้แม่ 

พี่เคยเจอเคสที่รุนแรงที่ว่า เขาพยายามทำให้แม่ทุกอย่าง พยายามเก่งทุกอย่าง แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเองไม่ไหว จัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แล้วก็เกิดความซึมเศร้ารุนแรงถึงขนาดทำร้ายตัวเอง นี่เป็นโศกนาฏกรรมของครอบครัวนะ ที่เราพยายามจะขีดเส้นให้กับลูกแล้วบอกว่านี่คือการกระทำด้วยความรัก เราอยากให้ลูกทำแบบนี้ๆๆ เรียนแบบนั้น ใช้ชีวิตแบบนี้ ก็มันดีสิ ลูกจะได้มีอาชีพที่มั่นคง ลูกจะได้มีชีวิตที่ดี แต่ชีวิตที่มั่นคงและดีมันต้องเกิดจากข้างใน การทำงาน อาชีพ มันคือชีวิตของลูกไม่ใช่ของเรานะ 

เม้งนึกออกไหมว่าเวลาที่เราทำงาน ถ้าเราได้ทำงานที่สนุกและมีความสุข มันมีพลัง อยากทำ ตื่นขึ้นมาแล้วสดชื่นอยากทำนู่นทำนี่ แต่พอเวลาที่เราไม่ได้มีความชอบหรือมีความรักกับมัน พอวันหนึ่งหมดไฟ หมดแรง พอถึงตอนนั้นมันก็ไม่อยากทำอะไรแล้ว 

แต่พี่ก็จะเจอเคสที่ทำแบบนี้แล้วก็ทำได้ดีก็มีนะ แต่พอช่วงวัยสักประมาณ 30 กว่าปีก็จะเริ่มสะดุด แล้วก็รู้สึกว่า ฉันเกิดมาเพื่อเป็นใคร ทำไมวันนี้ไม่อยากทำงานเลย ทำไมวันนี้ฉันถึงไม่ชอบงานนี้เลย ทั้งที่บางทีทำได้ดีนะแต่รู้สึกอยากหยุด แล้วก็ไม่อยากไปต่อแล้ว แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองว่างเปล่า

แล้วก็จะเจอเด็กอีกเคสที่เรียนเก่ง หัวโต แต่จิตใจว่างเปล่า ไม่มีความเข้าใจคนอื่นเลย เนื่องจากพ่อแม่เลี้ยงดูเขาในเส้นทางเดียว โดยที่เขาไม่เคยได้รับความเข้าใจ เพราะฉะนั้นเขาก็กลายเป็นเด็กที่ไม่เข้าใจคนอื่น พอไม่เข้าใจคนอื่นชีวิตมันยากขึ้นนะ อยู่กับใครก็ไม่ได้ ทำงานกับใครก็ทะเลาะกับเขา แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าแปลกแยก แล้วเด็กเหล่านี้ก็จะไม่เข้าใจด้วยนะว่า สิ่งเหล่านี้เกิดจากตัวเขาเอง คิดว่าคนอื่นก็เป็นแบบนี้

คือในในโรคปั้นลูกให้เก่งนี่มันเยอะมาก บางทีมีความเสียหายถึงขนาดที่กลายเป็นโรคซึมเศร้าที่เขาก็เลิกที่จะมีชีวิตอยู่

ดูรุนแรงนะครับและฟังแล้วดูเหมือนเป็นปัญหาระดับประเทศเหมือนกันนะ การมี Mindset ว่าลูกจะต้องเก่ง เรียนเก่ง สุดท้ายจะเป็นปัญหาการแนะแนวคือ ไม่รู้จักตัวเองแล้วก็ถูกผลักไปเรื่อยๆ จากค่านิยมของสังคม รวมถึงของพ่อแม่ด้วย คือเรียนเพื่อพ่อแม่ ซึ่งผมว่าผมเองก็เป็นโรคนี้นะครับ ไม่ค่อยรู้จักตัวเอง บางทีถ้าไม่รู้คุณค่างานที่ตัวเองทำก็จะเคว้งคว้างเล็กน้อย มันก็อาจจะส่งผลไปถึงอาการซึมเศร้า ทีนี้ ณ เวลานี้มันเกิดขึ้นแล้ว แก้ยังไงดีฮะ 

สิ่งที่พ่อแม่ต้องเข้าใจคือ เด็กที่เรียนเก่งผ่านการอ่าน ผ่านตัวหนังสือ ความจริงมีประมาณ 10% บนโลกใบนี้เองนะ แต่อีก 90% เรียนรู้ผ่านวิธีทางอื่น เช่น บางคนถนัดฟัง หรือถนัดขยับร่างกาย ถนัดดนตรี ศิลปะ มันไม่ใช่ว่าเราจะต้องมุ่งหวังว่าลูกของเราต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรามักคิดว่าลูกเราปั้นได้ กว่าเราจะรู้ผลลัพธ์ก็เมื่อตอนที่เขาอายุเยอะแล้ว แล้วปรากฏว่าถึงตอนนั้นเขาจัดการชีวิตเขาไม่ได้ สิ่งที่พี่พยายามจะบอกกับคุณพ่อคุณแม่มากๆ คือ ในเมื่อเรารักลูก เราทุ่มเทชีวิตกับเขา เราทำอะไรให้เขาเยอะมาก หนักมาก เหนื่อยมาก เราควรจะได้ผลลัพธ์ที่มีความหมาย อย่าเลี้ยงลูกด้วยความหนักมาก เหนื่อยมาก แต่ท้ายที่สุดเราได้ความโศกเศร้า โศกนาฏกรรม หรือว่าความเลวร้ายมันเกิดขึ้นในชีวิต สิ่งเหล่านี้บางทีเราโทษว่าลูกไม่ดี แต่ความจริงแล้วมันคือผลลัพธ์บางอย่างนะ ที่เราจำเป็นที่จะต้องกลับมาทบทวนตัวเอง 

Tags:

ซึมเศร้าปม(trauma)การเลี้ยงลูกโรคพ่อแม่ทำ

Author:

illustrator

อังคณา มาศรังสรรค์

กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์

illustrator

ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์

คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    “โรค” จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (2): หอบหืด ประจำเดือนผิดปกติ โรคกลัวผู้หญิง / ผู้ชาย มาจากการถูกกักขังเสรีภาพในนามของความรัก

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    เพราะไม่ว่าเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ เราก็ต้องการความรักและความสนใจจากพ่อแม่เหมือนกัน

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Early childhoodFamily Psychology
    “โรค”จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (1): อาหารไม่ย่อย ขี้กลัว ภูมิแพ้ เพราะพ่อแม่ห่วงหรือบ่นมากไป

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Dear Parents
    ความในใจ 5 อย่าง ของเด็กสอบตก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.1 ชวนสำรวจว่าเรากำลังเป็นพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์อยู่หรือเปล่า?
Family Psychology
14 January 2021

การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.1 ชวนสำรวจว่าเรากำลังเป็นพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์อยู่หรือเปล่า?

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ในนามของความรัก เหตุผลอันคลาสสิกของผู้ปกครองในการเลี้ยงดูลูก เพราะเราต่างก็หวังให้ลูกมีความสุข เติบโตมาอย่างงดงาม
  • พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ คำที่ใช้เรียกผู้ปกครองที่พวกเขาต้องการดูแลสอดส่องลูกของตนแทบจะตลอดเวลา มักจะควบคุมบงการและคอยคิดแทนลูก ทำแทนลูกในแทบทุกๆ เรื่อง ด้วยว่า ‘หวังดีกับลูก’
  • เพื่อไม่ให้ความหวังดีของผู้ปกครองกลายเป็นการทำร้ายเด็ก ชวนตั้งหลักวิธีเลี้ยงลูกใหม่ เราไม่ต้องเป็นผู้ปกครองที่ตามใจลูกจนเกินไป หรือบงการควบคุมลูก เราสามารถเลี้ยงดูเขาแบบ ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน (Kind but firm) สร้างสายสัมพันธ์ที่ดีและวินัยตามวัย
หมายเหตุ 1 บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยเลือกมูลเหตุของคนส่วนใหญ่ที่มาจากประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนเอง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของแต่ละคนย่อมแตกต่างหลากหลายและเป็นไปในเงื่อนไขของตัวเอง ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาลดทอนปัญหาของแต่ละคน เพียงแต่อยากยกประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ประสบขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายถึงที่มาที่ไปและแนะนำวิธีคลี่คลายบาดแผลของแต่ละคนต่อไป
หมายเหตุ 2 เนื้อหาต่อไปนี้มีการปรับแต่งเนื้อหาและรายละเอียดเพื่อปกป้องสิทธิ์ของคนไข้ แต่โครงเรื่องยังคงไว้เช่นเดิม

ครั้งหนึ่งคุณพ่อของเด็กชายคนหนึ่งมาพบนักจิตวิทยาอย่างเราด้วยความร้อนใจ คุณพ่อเริ่มต้นด้วยคำถามและจบท้ายด้วยคำขอร้องให้ช่วย เพราะเขาหมดหนทางแล้วจริงๆ

คุณพ่อเล่าว่า ลูกชายวัยรุ่นไม่ยอมกลับบ้านมาหลายวันแล้ว ลูกไปนอนค้างบ้านเพื่อนแทนที่จะกลับมานอนบ้าน ที่สำคัญไม่ยอมรับสายโทรศัพท์ของพ่อกับแม่ด้วย

เมื่อให้คุณพ่อเล่าเพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าจึงเข้าใจเหตุผลโดยกระจ่างว่าทำไมลูกชายจึงไม่อยากกลับบ้าน เนื้อความโดยสรุปคือ ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือนลูกชายไม่ยอมไปเรียนพิเศษที่พ่อสมัครไว้ให้ ทั้งๆ ที่ตอนสมัครให้ก็ถามแล้วว่าเรียนได้ไหม ลูกก็พยักหน้ารับ และเก็บตัวอยู่แต่ในห้องนอน ถามก็ไม่ตอบและไม่ยอมคุยกับพ่อแม่ พ่อจึงตัดสินใจติดกล้องวงจรปิดในห้องนอนลูกเพื่อจะได้รู้ความเคลื่อนไหวของลูก ทั้งยังกำชับให้ลูกส่งข้อความมารายพ่อทุกครั้งที่ไปไหนหรือทำอะไรเช้า กลางวัน และเย็น

เมื่อฟังจบจึงคาดเดาได้ว่า ลูกชายวัยรุ่นของคุณพ่อท่านนี้อาจจะรู้สึกอึดอัดและกดดันเป็นอย่างมาก ตัวเขาเองก็เป็นวัยรุ่นแล้ว การมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นสิ่งที่จำเป็นเป็นอย่างมาก และการที่พ่อแม่ไม่ให้ความเชื่อใจ และติดกล้องวงจรปิดในห้องนอนของเขาคงเป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่เด็กชายจะรับได้ ดูเหมือนว่า เด็กชายจะยอมคุณพ่อมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ใจจริงเขาอาจจะอยากปฏิเสธ แต่เขาคงไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้นเอง ทำให้ทางออกเดียวของเขา คือ การหนีออกมาจากตรงนั้น

คำแนะนำที่ให้คุณพ่อไปเพื่อให้ลูกชายกลับมาบ้านก่อน คือ ถอดกล้องวงจรปิดทั้งหมดออกไปจากห้องนอนลูกและให้การรับฟังลูกจริงๆ เมื่อลูกกลับมาบ้าน ทั้งนี้นักจิตวิทยาอย่างเราก็ทำหน้าที่เข้าไปคุยกับเด็กชายก่อน ซึ่งเป็นไปตามที่คาด เขาสารภาพว่า “ผมไม่เคยทำอะไรแย่ๆ แต่พ่อไม่เคยไว้ใจเขาเลย และที่สำคัญพอบอกพ่อไปว่า ผมอยากเข้าเรียนคณะที่ผมชอบ พ่อกลับไม่เห็นด้วย และยัดเยียดให้ผมเลือกคณะที่พ่อต้องการ ผมไม่อยากให้พ่อผิดหวัง ก็เลยไม่ได้ปฏิเสธพ่อไป แต่พอไปเรียนพิเศษแล้ว ผมไม่ชอบมันจริงๆ มันทรมาณมาก และพอกลับบ้านมาอยากพักเล่นเกม ก็โดนพ่อใช้กล้องวงจรปิดสอดส่องตลอด มันอึดอัด ผมเลยไปนอนค้างกับเพื่อนดีกว่า อย่างน้อยมีสมาธิอ่านหนังสือ และพักผ่อนมากกว่าอยู่บ้าน”

สุดท้าย เคสนี้จบลงด้วยการที่คุณพ่อยอมผ่อนลง และรับฟังสิ่งที่ลูกชายต้องการ เพราะคุณพ่อกลัวจะเสียลูกชายไปมากกว่า บทเรียนข้อสำคัญในครั้งนี้สำหรับคนเป็นพ่ออย่างเขา คือ ลูกไม่ใช่สิ่งของ เขามีชีวิตจิตใจ และมีความต้องการเป็นของตัวเอง เราไม่ควรไปจัดกระทำและบีบบังคับในทุกๆ ก้าวเดินในชีวิตเขา เพราะถ้าหากวันใดที่ลูกทนไม่ไหว เขาอาจจะหนีไปจากเรา หรือ ทำลายตัวเขาเองในที่สุด

ไม่ใช่แค่เพียงเคสของเด็กชายคนนี้ คงมีผู้ใหญ่อีกหลายคนที่ตั้งแต่เล็กจนโตเติบโตมาภายใต้เงาของพ่อแม่ตลอดเวลา กล่าวคือ พ่อแม่มีอิทธิพลต่อทุกด้านและมิติในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการเลือกของใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเสื้อผ้าหน้าผม ไม่จนถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างการตัดสินใจเลือกคณะที่ต้องการจะเรียน อาชีพที่อยากจะเป็น และครอบครัวในแบบที่ตัวเองต้องการ

Foster Cline และ Jim Fay (1990) เป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกพ่อแม่ที่มีความต้องการดูแลสอดส่องลูกของตนแทบจะตลอดเวลา มักจะควบคุมบงการและคอยคิดแทนลูก ทำแทนลูกในแทบทุกๆ เรื่องที่ตนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ ทำให้ลูกที่เติบโตมากับพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์มักจะไม่กล้าตัดสินใจ และมีความกังวลเมื่อต้องพึ่งพาตนเอง

นอกจากนี้ นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน Diana Baumrind (1971) ได้แบ่งรูปแบบการเลี้ยงดูเด็กของพ่อแม่ออกเป็น 4 แบบ ซึ่งแต่ละแบบจะส่งผลต่อเด็กที่เติบโตมาแตกต่างกัน หนึ่งในนั้น คือ พ่อแม่ที่ชอบควบคุมและเรียกร้องจากลูก (Authoritarian parenting style) พ่อแม่รูปแบบนี้จะค่อนข้างเรียกร้องให้ลูกตอบสนองต่อความต้องการของตนเอง แต่เมื่อลูกต้องการการตอบสนองจากตนบ้าง ก็จะตอบสนองลูกน้อยหรือแทบไม่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกเลย 

พ่อแม่รูปแบบนี้มักจะเข้มงวดมาก ไม่ค่อยอธิบายเหตุผลให้ลูกฟัง และต้องการควบคุมลูกอยู่เสมอ ไม่สามารถยอมรับได้ หากลูกจะเรียกร้องให้ตนรับฟังความคิดเห็น (แต่ส่วนมากเด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่ที่เป็นแบบนี้ มักเกรงกลัวพ่อแม่เกินกว่าจะพูดโต้แย้งหรือเสนอความคิด และพูดความรู้สึกของตนอยู่แล้ว) ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับเด็กกลุ่มนี้จึงห่างเหินมาก เพราะพ่อแม่ควบคุมลูกไว้เสมอ

ผลลัพธ์ของเด็กที่เติบโตมากับพ่อแม่ที่ชอบควบคุม เด็กอาจจะมีแนวโน้มเคารพกฎกติกาอย่างเข้มงวด ปราศจากความยืดหยุ่น ไม่ค่อยประนีประนอม เมื่อเข้าสู่สังคมอาจจะปรับตัวได้ยาก มีความวิตกกังวลสูง คนในสังคมจะมองเขาเป็นเด็กขี้อายและเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะเขาไม่โต้แย้งออกมา แต่อาจจะต่อต้านอยู่ภายใน ดูภายนอกควบคุมอารมณ์ได้ดี แต่ถ้าหากวันใดควบคุมไม่ได้ จะระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรง ราวกับเป็นคนละคน และสุดท้าย หากมีใครที่แตกต่างจากตนหรือกลุ่ม เขาจะมองว่า “ความแตกต่างที่คนๆ นั้นมี เป็นสิ่งที่ไม่ดี และยอมรับไม่ได้” เนื่องจากพ่อแม่ของเขาเองก็ไม่ยอมรับตัวเขาเมื่อเขาเห็นต่างจากพ่อแม่นั่นเอง (และพ่อแม่ไม่ยอมรับเขาอย่างรุนแรงด้วย)

10 สัญญาณบ่งบอกว่า เรากำลังจะเป็นพ่อแม่แบบเฮลิคอปเตอร์ หรือ ควบคุมบงการลูกจนเกินเหตุ

  1.  เรามีแนวโน้มตามติดลูกไปทุกหนทุกแห่ง แม้กระทั่งเวลาลูกเข้าห้องน้ำ (ในกรณีที่ลูกใช้ห้องน้ำเป็นแล้ว) สนามเด็กเล่น ห้องเรียนของลูก และที่อื่นๆ ที่ควรมีแค่ลูกกับเพื่อนของเขา หรือครูของเขา
  2. เรามีแนวโน้มช่วยทำการบ้านให้ลูก ไม่ใช่สอนการบ้านลูก เมื่อลูกโครงการอะไร หรืองานประดิษฐ์อะไร เรามักจะอาสาทำให้ลูกทั้งชิ้นงานเลย เพราะรู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าลูกมีงานดีๆ ไปส่งครู
  3. เรามีแนวโน้มเตรียมอาหารที่ลูกชอบ โดยที่เขาอาจจะยังไม่ทันเอ่ยปากขอจากเรา เราจะตระเตรียมอาหารให้พอดีคำ หั่นเอาไว้ให้เขาพร้อมกิน และถ้าทำได้เราอาจจะป้อนเขาแทนที่จะให้เขากินเอง
  4. เรามีแนวโน้มที่จะปกป้องลูกในสถานการณ์ที่เราไม่แน่ใจ เช่น ไม่ยอมให้ลูกปีนต้นไม้ หากต้นไม้นั้นเราเอื้อมไม่ถึง ไม่ยอมให้ลูกฝึกจักรยานสองล้อจนกว่าจะมีเครื่องป้องกันครบถ้วน ไม่ยอมให้ลูกใช้กรรไกรหรือของมีคม ไม่ยอมให้ลูกทำอะไรที่เรากลัวว่าจะเกิดอันตรายได้ แม้จะเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม
  5. เรามีแนวโน้มตัดสินใจแทนลูก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกเพื่อน เลือกเรียน เลือกคู่ชีวิต และเลือกทำอะไรก็ตาม
  6. เรามีแนวโน้มจะสั่งให้ลูกทำอะไร และมักจะตอบคำถามแทนลูกเวลาที่มีคนมาถามเขา
  7. เรามีแนวโน้มจะทนไม่ได้เมื่อลูกผิดหวังจากสิ่งที่เขาตั้งใจ (หรือเราตั้งใจให้เขาได้) เราจะลงไปแก้ปัญหาให้ลูกทันที และเราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกได้รับสิ่งที่เขาต้องการ (หรือเราต้องการ)
  8. เรามีแนวโน้มจะไม่ยอมให้ลูกไปไหนโดยที่ไม่มีเราอยู่ตรงนั้น (ยกเว้นโรงเรียน) เช่น ไปทัศนศึกษา ไปค่ายค้างคืน ไปบ้านเพื่อน ไปเที่ยวกับเพื่อน และอื่นๆ
  9. เรามีแนวโน้มจะตรวจสอบของส่วนตัวของลูก เช่น ห้องนอน โทรศัพท์มือถือ สมุดไดอารี่ เฟสบุ๊ค และอื่นๆ
  10. เรามีแนวโน้มที่จะทุกข์ใจเมื่อเราไม่รู้อะไรบางอย่างจากลูก เราจะถามเซ้าซี้และถามจนกว่าลูกจะตอบ ถ้าลูกไม่ตอบ เราจะไปถามเพื่อนของลูก หรือ คนรอบตัวลูกจนกว่าเราจะได้ข้อมูลที่เราพอใจ

ถ้าหากเรามีแนวโน้มจะเป็นพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ เราควรจะตระหนักรู้ และลดความวิตกกังวลของเราลง เพราะเราไม่ควรทำร้ายลูกเราด้วยเหตุผล ‘ในนามแห่งความรัก’

บางครั้งผู้ใหญ่อย่างเราไม่รู้ตัวว่า ‘เรากำลังทำร้ายเด็ก’ เพราะเราคิดว่าการกระทำของเราทำไปเพราะความรักหนึ่งในการกระทำที่ว่า คือ ‘การสอดส่องทุกกระเบียดนิ้ว และบงการควบคุมชีวิตลูกตลอด 24 ชั่วโมง’ และเมื่อเราทำไปแล้ว เรามักตบท้ายการกระทำของเราด้วยคำพูดที่ว่า ‘ที่พ่อแม่ทำไปนั้น เพราะพ่อแม่รักลูกนะ’

 ทั้งๆ ที่จริงแล้ว เราสามารถสอนเด็กได้ด้วย การใจดีแต่ไม่ใจอ่อน (Kind but firm) ซึ่งการสอนนี้ ต้องเริ่มด้วยการมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กก่อน หากเราไม่มีสายสัมพันธ์นี้ เด็กจะไม่เห็นเรา เพราะเราไม่มีอยู่จริงในสายตาเขา

สายสัมพันธ์จะเป็นเชือกที่มองไม่เห็นคอยดึงรั้งเขาไว้เวลาเขาจะไปทำผิด เขาจะนึกถึงเรา เพราะเขารักเรา

ซึ่งสายสัมพันธ์ที่ดีต้องมาพร้อมกับวินัยตามวัย เด็กควรเรียนรู้การช่วยเหลือตัวเองตามพัฒนาการของเขา และเรียนรู้งานที่เขาสามารถทำได้เพื่อส่วนรวม เมื่อเขาโตพอ เช่น การทำงานบ้าน และการช่วยเหลืองานต่างๆ ตามวัย ทั้งนี้วินัยจะช่วยให้เด็กรู้ว่า ‘อะไรสำคัญสำหรับชีวิตเขา’ และเขาจะรู้ว่า ความจำเป็น (Need) ต้องมาก่อน ความต้องการ (Want) เสมอ

ที่สำคัญผู้ใหญ่มักลืมว่า ‘เรามีหน้าที่ควบคุมกติกา’ ไม่ใช่ไม่ควบคุมเด็ก เราใช้กติกาที่ตกลงกันควบคุมซึ่งกันและกัน ไม่ให้เราทำร้ายกัน หรือทำให้ตนเองเดือดร้อน เมื่อเด็กทำผิด ให้ทวนกติกาหรือข้อตกลงกับเขา และให้เขาได้รับผลลัพธ์จากการกระทำ โดยมีผู้ใหญ่คอยสอนเขาว่า ‘ทำแบบนี้ไม่ได้ แล้วทำแบบไหนได้บ้าง’ ไม่ใช่บอกเเค่ว่า เขาทำผิด แต่ไม่บอกเขาเลยว่าที่ถูกเป็นอย่างไร

ก่อนจะสายเกินไป…

ในฐานะพ่อแม่เราควรปรับเปลี่ยนตัวเราเองให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูก เพราะเด็กทุกคนต้องการบ้านที่ปลอดภัย ไม่ใช่บ้านที่เป็นเสมือนสถานที่ลงโทษและคอยจ้องจับผิดเขาตลอดเวลา

บ้านที่แท้จริง หาใช่สถานที่ หากแต่เป็นบุคคลต่างหาก

พ่อแม่และผู้ใหญ่สามารถเป็น ‘บ้านที่ปลอดภัย’ ให้กับเด็กๆ ได้ โดยเริ่มจากสิ่งหล่านี้…

  1. ให้การรับฟัง

ข้อนี้ไม่ได้แปลว่า ผู้ใหญ่ต้องเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่เด็กทำ ขอเพียงรับฟังเขาให้จบ ไม่ตัดสินสิ่งที่เขาพูด และนำเสนอความคิดในมุมมองเรา โดยไม่เน้นใช้อารมณ์ แต่ใช้เหตุผลเป็นหลัก

*ถ้าหากไม่พร้อมจะพูดคุยในประเด็นที่อ่อนไหว การไม่พูดเลยจะดีที่สุด

  1. ให้การยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็น

เด็กทุกคนเกิดมามีความแตกต่างกัน และเขาเกิดมาเพื่อเป็นตัวเขาเอง เราในฐานะพ่อแม่และผู้ใหญ่สามารถเตรียมความพร้อมให้กับเขาได้ด้วยการสร้างสายสัมพันธ์ และสอนเขาในสิ่งต่างๆ ตามวัยที่เหมาะสม นอกจากนี้เป็นส่วนของเด็กๆ ที่จะเติบโตเป็นตัวเขาในแบบที่เขาเป็น

  1. ให้ความรักและการสนับสนุนทางใจ

นอกจากปัจจัยสี่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พัก และยารักษาโรค แล้ว บ้านควรเป็นที่ๆ มอบความรักให้กับเด็กได้ ผ่านการแสดงออกทางความรัก การสัมผัสด้วยความรัก การกอด การให้กำลังใจ และการเป็นห่วงเป็นใย

  1. ให้อภัยและการสอน

เมื่อเด็กทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม บ้านควรเป็นพื้นที่แรกท่ีสอนเขาว่า สิ่งที่ถูกควรทำอย่างไร และให้อภัยเมื่อเขาทำสิ่งที่ผิดพลาดไป

  1. ให้ความเชื่อมั่น

เมื่อเราเตรียมความพร้อมเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ และสร้างสายสัมพันธ์มาอย่างแน่นแฟ้น เราไม่ควรหวาดวิตกที่จะต้องปล่อยมือเขาไปในวันที่เขาจะต้องเติบโตก้าวไปสู่โลกภายนอกด้วยตัวเขาเอง วันนั้นเรามีหน้าที่เชื่อมั่นในตัวเขา และเฝ้าดูเขาผลิดอกออกผล

ในฐานะลูกที่เติบโตมากับพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์

แม้วันนี้ที่เราย้อนกลับไปแก้ไขพ่อแม่ของเราไม่ได้ ให้เรามองไปข้างหน้า ยอมรับตัวเรา ถ้าสิ่งไหนดี ให้รักษามันไว้ ถ้าสิ่งไหนไม่ดี ก็เรียนรู้เป็นบทเรียน เพื่อวันหนึ่งเรามีเด็กน้อยที่ต้องดูแล เราจะได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ดีๆ ในใจเขา เพื่องอกงามเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต ที่สำคัญเราทุกคนสามารถเป็น ‘บ้านที่ปลอดภัยทางกายใจ’ ให้กับใครสักคนได้

สุดท้าย เมื่อถึงเวลาอันสมควร พ่อแม่ทุกคนควรบอกลาและปลดปล่อยลูกให้เป็นอิสระทั้งกายใจ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ ‘ควรทำ’ ไม่ใช่สิ่งที่ ‘ต้องทำ’ โดยสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะทำเพื่อลูกทุกคนได้ คือ การพึ่งพาตนเองเป็นที่ตั้ง เคารพพื้นที่ของลูก และอวยพรให้เขาเติบโตออกไปใช้ชีวิตเพื่อตัวเขาเองอย่างแท้จริง

การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่นั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ยิ่งใหญ่ เพราะเรากำลังสร้างคนๆ หนึ่งไปดูแลชีวิตอีกชีวิตหนึ่งหรืออีกหลายๆ ชีวิตต่อไป สังคมจะดีหรือเป็นไปในทิศทางใด วิธีการปฏิบัติของพ่อแม่ต่อลูก และลูกต่อพ่อแม่ คือ “คำตอบ” ของสังคมนั้น

อ้างอิง
Baumrind, D. (1971). Current patterns of parental authority. Developmental psychology, 4(1p2), 1.
Cline, F., & Fay, J. (2020). Parenting with love and logic: Teaching children responsibility. NavPress Publishing Group.
Darling, N (1999) Parenting Style and Its Correlates ERIC Digest

Tags:

การเลี้ยงลูกโรคพ่อแม่ทำThe Untold Storiesพ่อแม่เฮลิคอปเตอร์ (Helicopter parenting)รูปแบบการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ (Parenting Styles)

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Movie
    This is Paris : แผลในใจของ ‘ปารีส ฮิลตัน’ กับการเลือกคาแรกเตอร์ลูกคุณหนูสุดซ่าเพื่อปิดแผลนั้นกว่าสิบปี

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.4 พ่อแม่แยกทางกัน ความรักที่มีให้ลูกไม่ควรหารครึ่ง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.2 การเลี้ยงลูกเป็นเทวดา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel