Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: November 2020

“ควรเป็น” หรือ “อยากเป็น” เส้นทางที่ต้องเลือกของ “เด็กซิ่ว” ในระบบการศึกษาไทย
Social Issues
22 November 2020

“ควรเป็น” หรือ “อยากเป็น” เส้นทางที่ต้องเลือกของ “เด็กซิ่ว” ในระบบการศึกษาไทย

เรื่อง นฤมล ทิพย์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • คำว่า “ซิ่ว” ที่มาจากคำว่าฟอสซิล หมายถึง ซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต ที่ถูกทับถมไว้ในชั้นหิน แต่ในความหมายที่เราเข้าใจกัน “เด็กซิ่ว” หมายถึงนักเรียนที่ต้องการจะสอบเข้ามหาลัย หรือคณะที่อยากได้ โดยไม่ยึดติดกับปีการศึกษา จะต้องสอบกี่ปีก็ได้ ขอเพียงได้เรียนในสิ่งที่ต้องการ  
  • ชวนคุยกับ 3 เด็กซิ่ว ถึงความคิด ความหวัง ความฝัน และความรู้สึกที่อยู่ภายใต้การกระทำของพวกเขา ในวันที่สังคมมองทางที่เขาเลือกอย่างแปลกแยก เพราะไม่เป็นไปตามแบบแผนที่ควรเป็น
  • “การซิ่วคือการได้ลอง มันไม่ใช่ยุคที่ผู้ปกครองหรือสังคมจะมาบังคับ เรียนจบ ม.ปลาย ปุ๊บ ต้องเรียนต่อ 4 ปี 6 ปีให้จบ มีคนไป gap year ไปทำกิจกรรมต่างๆ ก่อนจะมาเรียนมหา’ลัยก็มี เลยมองว่าไม่ได้แปลกอะไร ทุกคนสามารถทดลองได้” ไหมลี่ – สุทธิดา คันทะพรม

ถ้าทุกคนยังจำกันได้ ในช่วงเวลาที่เราอยู่ในระบบการศึกษา เรามักจะถูกสอนให้ตั้งใจเรียน พยายามสอบให้ได้เกรดดีๆ ตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมเป็นเวลานานกว่า 15 ปี ก็เพื่อจุดหมายปลายทางเดียวกันนั่นคือ “การสอบเข้ามหาวิทยาลัย” ซึ่งสุดท้ายแล้ว ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวัง แต่ถึงแม้ไม่สมหวัง ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมหมดหวัง

หลายคน อาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของ “เด็กซิ่ว” คำว่า “ซิ่ว” ที่มาจากคำว่าฟอสซิล หมายถึง ซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต ที่ถูกทับถมไว้ในชั้นหิน แต่ในความหมายที่เราเข้าใจกัน “เด็กซิ่ว” หมายถึงนักเรียนที่ต้องการจะสอบเข้ามหาลัย หรือคณะที่อยากได้ โดยไม่ยึดติดกับปีการศึกษา จะต้องสอบกี่ปีก็ได้ ขอเพียงได้เรียนในสิ่งที่ต้องการ  

สังคมอาจจะมองเด็กซิ่วด้วยสายตาที่แปลกแยก เพียงเพราะเส้นทางการศึกษาของพวกเขามักไม่เป็นไปตามแบบแผนที่ควรจะเป็น แต่อะไรคือความคิด ความหวัง ความฝัน และความรู้สึกที่อยู่ภายใต้การกระทำของพวกเขา วันนี้เราลองมาคุยกับเด็กซิ่วเหล่านี้กัน 

ความทรมานในการเรียนสิ่งที่ไม่ใช่ และไม่ได้เรียนสิ่งที่ใจเรียกร้อง 

“เรียนรัฐศาสตร์ก็ไม่เป็นไร แต่มันก็ไม่ใช่ตัวเรา ตอนเรียนรัฐศาสตร์ passion มันหายหมดเลย เหมือนเราเรียนไปวันๆ อยู่ไปวันๆ รอให้จบ เมื่อไหร่จะจบสักที รู้สึกไม่ไหวจริงๆ เหมือนสมองมันต่อต้าน เรียนเกือบไม่รอด ได้เกรดไม่ถึง 2” 

ไหมลี่ – สุทธิดา คันทะพรม นิสิตที่เพิ่งซิ่วติดคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พูดถึงคณะรัฐศาสตร์ที่เธอเคยเรียน แม้ลึกๆ เธอจะรู้ว่าคณะไม่ได้มีผลกับงานที่อยากทำ แต่ไม่ได้หมายความว่าการเรียนสิ่งนี้จะทำให้เธอมีความสุขได้

ไหมลี่ – สุทธิดา คันทะพรม

ไม่ต่างอะไรกับข้าว – พุทธรักษา พรหมศิริ นักศึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก สาขาการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยรังสิต ที่มีความฝันอยากเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ ถึงแม้จะวิชาที่เรียนจะรักษาคนได้เหมือนกัน แต่ตัววิชาและเส้นทางอาชีพที่แตกต่าง ก็ทำให้ความรู้สึกในการเรียนที่ต่างกันอยู่ดี

“พอเริ่มเรียนตัวเฉพาะของคณะมากขึ้น แล้วเป็นคณะที่เราไม่ได้ชอบ เรารู้สึกเหมือนเราไม่มีไฟในการเรียน หมด passion มากๆ กว่าจะเรียนคือเหนื่อยมากๆ บางวันร้องไห้เลย ไม่อยากนั่งเรียนแล้ว”

ไม่ใช่แค่นักเรียนที่อยู่ในระบบการศึกษา แม้แต่คนที่เรียนจบแล้ว อย่างเจมส์ – จิระพัชร จูพานิชย์ บัณฑิตจากสาขาภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์ ก็ยังเลือกการเรียนมหาวิทยาลัยให้เป็นเส้นทางที่จะพาไปอยู่ในสังคมดนตรีที่ฝันเช่นกัน

“ตอนแรกไม่เคยมีความคิดจะเรียนใหม่มาก่อน แต่ไม่คิดจะทำงานสายสถาปัตย์อยู่แล้ว อยากเล่นดนตรีแน่ๆ แต่อาจารย์เสียดายฝีมือ เลยทำ 2 อย่างพร้อมกัน แต่กลายเป็นว่าหมดไฟทั้ง 2 อย่างเลย ทำพร้อมกันไม่ไหว เลยหยุดสถาปัตย์ไปเรียนดนตรีเพิ่ม เราเรียนพิเศษ 2 ปี แต่ยิ่งเรียน ก็ยิ่งรู้ว่าเราไม่รู้ เลยอยากเอาตัวเองไปอยู่แวดล้อมคนดนตรี แต่การจะเข้าวงการต้องมีโอกาส มีคอนเนคชั่นซึ่งมันยากมาก แล้วเรามองว่า การเรียนยังเป็นที่ที่เราสามารถพลาดได้ เราหาข้อมูลเยอะมากๆ จนมั่นใจ และตัดสินใจว่าจะกลับไปเรียนใหม่ เลยไปสอบเข้าคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร”

เจมส์ – จิระพัชร จูพานิชย์

ความกดดันเมื่อก้าวไม่ทันคนอื่น 

ในมุมของคนภายนอก อาจจะคิดว่าเด็กซิ่วสบายที่ได้หยุดพักจากระบบการศึกษา แต่ใครจะรู้ว่าความจริงแล้วมันกลับเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญกับความกดดันและความเครียดมากกว่าเดิม เพราะรู้สึกว่าตัวเองเดินช้ากว่าคนอื่น

“เราเคยเครียดเรื่องนี้ การเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น มันนอนไม่หลับเลย ต้องตื่นมาซ้อมกีตาร์กลางดึกตลอด มันเป็นแรงขับเคลื่อนอย่างนึง แต่ก็เป็นแรงขับเคลื่อนที่ไม่มีความสุข สุดท้ายเราก็คิดใหม่ โอเค แค่รู้ว่าเรากำลังเดินอยู่ในเส้นทางของตัวเอง อาจจะช้า แต่ได้มาเริ่มใหม่ก็โชคดีนะ ตอนนี้เวลาเห็นคนอื่นสำเร็จ เราก็ยินดีด้วย เหมือนเราได้พลังงานบวก เพราะเราก็กำลังทำความฝันของเราเหมือนกัน” เจมส์บอกเราด้วยสภาวะที่เบาสบาย เหมือนได้คลี่คลายความรู้สึกบางอย่างในตัวเองลง ซึ่งสอดคล้องกับไหมที่ต้องเจอกับความกดดัน ทำให้ต้องหาวิธีรับมือ จนเริ่มมองเห็นข้อดี

“พอเราแยกตัวว่าเราแตกต่างจากเขาแล้ว มันเกิดการเปรียบเทียบอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะคอนโทรลมันได้ไหม ถ้าเราคอนโทรลไม่ได้ มันก็จะมาทำร้ายเรื่องอารมณ์ กลายเป็นการกดดันตัวเองมากเกินไปจนเครียด ปีนี้เพื่อนเรียนปี 3 แต่เราเพิ่งเข้าปี 1 ก็จะช้ากว่าเพื่อน ก็กังวลนิดนึง อยากไปพร้อมเพื่อน แต่ความฝันเราสำคัญกว่า เรารู้สึกว่ายุคนี้เรื่องอายุไม่สำคัญขนาดนั้น ซิ่วมามันก็ดีตรงที่ว่าเรามีเพื่อนหลายรุ่น หลายคณะ มีคอนเนคชั่นที่กว้าง ทำให้รู้จักคนเยอะขึ้น และหลากหลายขึ้น”

“ตอนก่อนตัดสินใจซิ่ว เราคิดหนักมาก เพราะเพื่อนในรุ่นก็คือปี 4 แล้ว รู้สึกหนักใจ เพราะเพื่อนจะดูแลพ่อแม่ได้แล้ว แต่เรายังขอพ่อแม่อยู่เลย แต่ก็จะปรึกษาพ่อแม่ตลอด เขาก็บอกว่าถ้ามีโอกาสทำตามฝันก็ทำไป พอเขาพูดแบบนี้ เราก็ลดความคิดตรงนี้ลง” ข้าวเล่าถึงครอบครัว กำลังใจหลักที่สนับสนุนความฝันของเธอ

ข้าว – พุทธรักษา พรหมศิริ

ถ้าชีวิตคือการทดลอง การซิ่วก็คือการทดลองครั้งสำคัญ

สมัยก่อน เราอาจจะใช้ระบบการศึกษาเป็นตัววัด การเรียนไม่ตามเกณฑ์เลยดูเหมือนเป็นเรื่องผิดพลาด แต่มุมมองเรื่องการซิ่วของเด็กสมัยนี้ ต่างออกไป พวกเขามองเป็นโอกาสในการทดลอง ได้ไขว่คว้าความฝันที่อยากได้ ด้วยกำลังของตัวเองมากกว่า

“การซิ่วคือการได้ลอง มันไม่ใช่ยุคที่ผู้ปกครอง หรือสังคมจะมาบังคับ เรียนจบ ม.ปลาย ปุ๊บ ต้องเรียนต่อ 4 ปี 6 ปีให้จบ มีคนไป gap year ไปทำกิจกรรมต่างๆ ก่อนจะมาเรียนมหา’ลัยก็มี เลยมองว่าไม่ได้แปลกอะไร ทุกคนสามารถทดลองได้” 

ไหมลี่สะท้อนมุมมองของเด็กสมัยนี้ และยังขยายความต่ออีกว่า “มันมีเด็กซิ่วหลายแบบ บางคนก็ซิ่วจากการย้ายสายอื่น บางคนอยากเข้าในคณะที่ชอบจริงๆ อยากจะเอาให้ได้ แต่เราควรเข้าใจทุกฝ่าย

“บางคนเรียนไม่ไหว คือเรียนไม่ไหวจริงๆ ไม่ใช่ไม่อดทน เพราะขีดจำกัดแต่ละคนไม่เท่ากันจริง เราก็โดนเยอะ เรื่องเรียนไปแล้วมันจะมีงานทำไหม สังคมชอบมองว่าเรียนนั่นเรียนนี่จะไม่มีงาน วางกรอบให้เด็กว่า ต้องคณะนั้นสิถึงจะมีงาน แต่เราเชื่อว่า ถ้าเราทำอะไรที่เราชอบ มันก็จะมีทางของมัน”

สำหรับข้าวก็เช่นกัน เธอบอกว่าการเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ เป็นความทุกข์ที่ไม่มีเด็กคนไหนอยากเจอ 

“อย่างบางคนที่ไม่ค้นพบตัวเอง ไปเรียนตามเพื่อน เราเห็นเขาโพสต์บ่นทุกวันว่าไม่มีความสุขกับการเรียน รู้สึกไม่โอเค คือเราเข้าใจเลย เพราะเราก็ไม่มีความสุขกับการเรียนในตอนนี้ แต่คิดว่าถ้าเราได้อยู่คณะในฝัน เราก็จะมีความสุขในการเรียนมากกว่านี้” 

ระบบการศึกษาเอื้อให้เราค้นพบตัวตนได้

แม้ระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ อาจจะไม่มีผลให้ใครซิ่วหรือไม่ซิ่วในทางตรง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ถ้าระบบให้ความสำคัญกับการค้นพบตัวตนของเด็กมากกว่านี้ มากกว่าแค่ความเป็นเลิศทางวิชาการ ก็อาจจะทำให้เด็กหลายคนเลือกเส้นทางชีวิตได้ดีขึ้น 

“เราไม่มีทางรู้ว่าเราจะรู้ตัวตอนไหน มีแค่ว่าทำยังไงให้เรารู้ตัวเร็วขึ้น จริงๆ เด็กควรรู้ตัวตั้งแต่เรียน ม.ปลาย แต่ในความจริงเราเอาเวลาไปเรียนวิชานึง 2 รอบ ทั้งเรียนที่โรงเรียนและเรียนพิเศษด้วย เวลามันก็เลยเสียเปล่า แทนที่เราจะเอาเวลาตรงนั้นมาลอง มีโอกาสจะรู้ตัวตั้งแต่เด็กๆ แต่กลายเป็นว่าเราต้องมาเรียนพิเศษ หรือครูต้องทำประเมิน วิจัยต่างๆ อาจจะดูแลเด็กได้ไม่เต็มที่ มันก็กระทบกันหมด เพราะระบบการศึกษามันไม่เปลี่ยน” เจมส์สะท้อนถึงประสบการณ์ในการเรียน 

เหมือนกับไหมลี่ที่เห็นว่าการทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมีส่วนทำให้เธอได้ค้นพบตัวเอง “เรารู้สึกโชคดีที่เราได้ลองอะไรหลายๆ อย่าง แต่บางคนไม่มีโอกาสได้ลองเลย หรือถูกบังคับจากผู้ปกครอง แต่พอไปเรียนก็รู้สึกทรมาน เพราะเขาไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เราควรจะส่งเสริมให้เด็กลองทำอะไรเยอะๆ ตั้งแต่เด็กๆ ไม่ได้บังคับให้เรียนอย่างเดียว”  

ถึงจะหยุดชะงักในระบบการศึกษา แต่กลับทำให้ภายในเติบโต

“สิ่งสำคัญอย่างนึงที่ได้รับจากการซิ่ว คือ ความกล้าที่จะเผชิญกับปัญหา และความกล้าที่จะตัดสินใจ จริงๆ เราก็ลังเลมากๆ เราก็ไม่รู้ว่าตัดสินใจถูกไหม แต่พอคิดๆ ไป ใจลึกๆ คือรู้ว่าเราทำเต็มที่แล้ว เราเลือกแล้ว เราจะทำตรงนี้ให้ดีที่สุด พี่ชายเคยเตือนสติว่าเราจับปลาสองมือไม่ได้นะ เราจะต้องเลือกหนึ่งอย่าง ทำอย่างนึงให้น้อยลงแล้วทำอีกอย่างให้มากขึ้น จะได้เลิกอ้างกับตัวเองว่าเพราะเรียนหนักไงเลยสอบไม่ติด ก็เลยลองเรียนไม่หนัก ลองทำตามฝันดู ว่าจะสำเร็จไหม” ข้าวพูดถึงเบื้องหลังการตัดสินใจครั้งสำคัญ 

ไม่ต่างกับเจมส์ ที่รู้สึกว่าได้พัฒนาความกล้า จากการกลับมาเรียนใหม่

“เรารู้สึกว่า เราได้ความกล้าในการตัดสินใจ เราชอบมานานแล้ว แต่เราไม่กล้าบอกคนอื่นว่าเราอยากเป็นอะไร เป็นความฝันเล็กๆ มาตลอด แต่ไม่เคยจริงจังกับมันเพราะคิดว่ามันไกล ไม่เคยคิดจะเข้าคณะดุริยางค์ ถ้าเข้ามาเลย ก็คงไปได้เร็วกว่านี้”

แม้อดีตจะไม่เป็นดังหวัง แต่สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีสำหรับเราเสมอ

“เรารู้สึกว่าสิ่งที่ผ่านมามันดีทุกอย่างเลย เราไม่ได้รู้สึกเสียใจกับมัน ถ้าไม่ชอบคง รู้สึกว่าอยากเปลี่ยนอดีต แต่การเรียนสถาปัตย์มันก็ทำให้เราได้ระบบความคิดอย่างนึงมา ได้เพื่อนกลุ่มนี้มา ทำให้เราเป็นเรา ถ้าเราไม่เรียนสถาปัตย์ ก็อาจจะไม่ทำให้เราชอบดนตรีเท่าวันนี้ก็ได้” เจมส์เล่าถึงมุมมองที่เขาได้พบกับตัวเอง เช่นเดียวกับไหมลี่

“จริงๆ เราก็รู้สึกว่าเราทำผิดพลาดหลายอย่าง แต่ถ้าเราเปลี่ยนอดีต เราก็จะไม่เป็นเราในทุกวันนี้ สมมุติว่าเราจบ ม.6 แล้วติดนิเทศฯเลย เราก็จะไม่มีความชื่นชอบในด้านอื่นๆ ทั้งด้านธุรกิจ รัฐศาสตร์ ด้านนั้น ด้านนี้ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประยุกต์ใช้กับสิ่งที่จะทำในอนาคตได้ เราได้เรียนรู้ในทุกช่วงเวลาที่เราโตขึ้นไป อาจจะทั้งดีทั้งแย่ แต่มันก็ทำให้เราได้เป็นเราในแบบนี้”

สิ่งที่เด็กซิ่วต้องการในวันที่ต้องต่อสู้กับตัวเอง

อย่างที่กล่าวไปว่าการเป็นเด็กซิ่ว ต้องเผชิญกับสภาวะภายในใจมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการแรงสนับสนุนจากทุกคนด้วยเช่นก้น

“เด็กซิ่วส่วนใหญ่ก็อยากได้กำลังใจจากคนรอบข้าง บางคนอาจจะเรียนไปอ่านหนังสือไปด้วย บางคนอยู่บ้านก็จะเคว้ง ถ้ามีครอบครัวที่เข้าใจ มีคนที่ซัพพอร์ตก็จะผ่านไปได้ด้วยดี เพราะอย่างช่วง ม.6 มันมีแรงอ่านหนังสือมากกว่า พอซิ่วออกมาแรงมันแผ่วลง แต่เด็กซิ่วมันค่อนข้างตัวคนเดียว เด็กซิ่วหลายคนค่อนข้างป่วยทางใจ ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอเวลาสอบอย่างเดียว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอ่านไปจะติดไหม?” ไหมลี่ เล่าถึงความสัมพันธ์ที่ส่งผลต่อจิตใจของเด็กซิ่ว เหมือนกับข้าวที่ยอมรับว่า คนรอบข้างมีอิทธิพลอย่างมากเช่นกัน 

“อย่างแรกเลยคือครอบครัว ต้องให้กำลังใจและซัพพอร์ต เพราะการซิ่วมันไม่ได้เสียแค่เวลา มันเสียทั้งเงิน เสียทั้งกำลังใจ ถ้าครอบครัวไม่ซัพพอร์ตมันก็ผ่านไปได้ยาก อีกอย่างคือเรื่องเพื่อนก็เป็นปัจจัยสำคัญ บางครั้งเราต้องขาดเรียนเพื่ออ่านหนังสือ เพื่อนก็จะคอยเก็บงานให้ บอกงานให้ การสนับสนุนจากเพื่อนและครอบครัวต้องดีมากๆ ถึงจะผ่านไปได้”

“ฝันและทำมันให้เต็มที่” คือสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้

“อยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนทำตามความฝันตัวเอง เราผ่านมาเรารู้สึกว่ามันยากจริงๆ ตอนนั้น แต่ถ้าเราไม่ชอบสิ่งนั้นแล้วเราเรียนๆ ไป ทนไปตามที่สังคมบอก วันนึงเราย้อนกลับมาซิ่วไม่ได้แล้ว วันนึงเราก็จะกลับมาเสียดายจุดนั้น ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ทำสิ่งที่ใจตัวเองบอกดีกว่า” ไหมลี่กล่าว

“เราก็ต้องมั่นใจในตัวเอง ว่าเราเต็มที่ ต้องรู้สึกแบบ…ถ้าไม่ได้ลอง จะรู้สึกเสียใจตลอดชีวิตแน่ๆ” เจมส์ฝากกำลังใจให้ทุกคน

ปิดท้ายกันที่ข้าว “ความฝันเรามันยิ่งใหญ่เสมอ ถ้าเรายอมเสียเวลา 1-2 ปี ดีกว่าที่ทนอยู่ 4 ปี อยากให้ทุกคนสู้ๆ อีกไม่ถึงปีแล้วที่จะสอบ ’64 นี้สอบติดไปด้วยกันนะ” 

และนี่คือทั้งหมดที่เหล่าเด็กซิ่วได้สะท้อนมาในวันนี้ ทำให้เราเข้าใจมุมมองของพวกเขามากขึ้น ว่าสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา อาจไม่ใช่การเรียนเร็ว เรียนช้า หรือการประสบความสำเร็จในการเรียน แต่พวกเขาเชื่อว่า ความรักในสิ่งที่ทำ และการได้รู้จักตัวเองต่างหาก คือสิ่งสำคัญที่จะนำทางชีวิตไปสู่ความสุขได้อย่างยั่งยืน

Tags:

นักศึกษามหาวิทยาลัยระบบการศึกษา

Author:

illustrator

นฤมล ทิพย์รักษ์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • ‘ครูต้องเชื่อว่าตัวเองมีเสรีภาพที่จะสร้างหลักสูตรในระดับปฏิบัติการ’ แนวคิดที่จะทำให้หลักสูตรฐานสมรรถนะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ : คุยกับ ดร.ออมสิน จตุพร

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social Issues
    ยิ่งเรียนยิ่งหลงทาง – Self-esteem สูญหายในระบบการศึกษาและทุนนิยม

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ‘NEET’ คนที่ล้มเหลวหรือผลผลิตจากระบบการศึกษาไทย : คุยกับ ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Life classroomMovie
    Accepted 2006: เมื่อเป้าหมายการศึกษาที่ไม่ใช่เพื่อเข้ามหาลัย แต่เพื่อค้นพบตัวเอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

อังคณา นีละไพจิตร: สิ่งที่น่าเศร้า ณ เวลานี้ คือความเงียบจากหน่วยงานพิทักษ์สิทธิเด็ก
Social Issues
20 November 2020

อังคณา นีละไพจิตร: สิ่งที่น่าเศร้า ณ เวลานี้ คือความเงียบจากหน่วยงานพิทักษ์สิทธิเด็ก

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • จากสถานการณ์ที่มีเด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ถูกข่มขู่ กดดัน ไล่ออกจากบ้าน หรือถึงขั้นถูกดำเนินคดีเนื่องจากการแสดงออกทางการเมือง แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับในฐานะเยาวชนที่ต้องถูกคุ้มครองตามกฎหมาย คือ ความเงียบจากหน่วยงานพิทักษ์สิทธิ หรือแม้แต่คนที่ทำงานคุ้มครองเด็ก กลับไม่มีการออกมาเทคแอคชั่นใดๆ
  • ชวนคุยกับอังคณา นีละไพจิตร นักสิทธิมนุษยชนในสองประเด็นใหญ่คือ รัฐและภาคประชาชนที่ทำงานพิทักษ์สิทธิเด็กต้องทำอะไรบ้างในสถานการณ์นี้ และเราจะประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กและเยาวชนด้วยกฎหมายชุดไหนได้บ้าง
  • “#ถ้าการเมืองดี เราจะมีกลุ่มสหวิชาชีพ และ พม. เข้าไปดูแลเด็กๆ อย่างทันทีถึงบ้าน ประเมินสุขภาพจิตทั้งเด็ก ผู้ปกครอง และหากรุนแรงจะต้องจัดหาบ้านพักเพื่อแยกกันอยู่ชั่วคราวและให้การเยียวยาจิตใจเพื่อให้ต่างคนต่างมีเวลาทบทวนความคิดและการกระทำ”

“สิ่งที่น่าเศร้า ณ เวลานี้ คือความเงียบจากหน่วยงานพิทักษ์สิทธิ คนที่ทำงานด้านเด็ก”

คือคำตอบของอังคณา นีละไพจิตร นักสิทธิที่ทำงานเป็นหลักในประเด็นคนหาย สตรี ภาคใต้ และสิทธิพลเมือง ทั้งเป็นอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

อังคณา นีละไพจิตร

ความเงียบจากหน่วยงานพิทักษ์สิทธิ คนที่ทำงานด้านเด็กที่มีหน้าที่พิทักษ์สิทธิเด็กตามกฎหมายหลายชุด ทั้งกฎหมายในประเทศอย่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และนอกประเทศอย่างอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child – CRC) และพิธีสารเลือกรับตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Optional Protocol to the CRC – OP CRC) ที่ประเทศไทยเป็นภาคี

ข้อถกเถียงในสังคม ณ วันนี้ คือรัฐกระทำการเกินกว่าเหตุหรือไม่ เช่น การฉีดน้ำแรงดันสูง (water cannon) ผสมแก๊สพิษใส่ผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม โดยในเหตุการณ์นี้มีเด็กนักเรียนที่เข้าร่วมชุมนุมได้รับบาดเจ็บ และการสลายการชุมนุม ณ แยกเกียกกายด้วยการฉีดน้ำแรงดันสูงผสมแก๊สน้ำตาและการใช้กระสุนยางเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยในเหตุการณ์นี้มีเด็กเล็กถูกลูกหลงได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ยังมีการจับกุมแกนนำนักศึกษาที่ตั้งคำถามต่อการทำงานของรัฐ

รวมถึงการที่เด็กและเยาวชนถูกข่มขู่ กดดัน หรือถึงขั้นไล่ออกจากบ้านเนื่องจากความเห็นทางการเมือง การไม่ยืนเคารพธงชาติแล้วถูกตบและด่าทอรุนแรง ทั้งหมดนี้หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ประกันทั้งสิทธิขั้นพื้นฐานในการแสดงความเห็น และในบางกรณีต้องเข้าให้ความช่วยเหลือ ในสถานการณ์รุนแรง (ดุเดือด) เช่นนี้ ที่ถูกต้องตามหลักการ หน่วยงานรัฐสามารถทำอะไรได้ ไม่ได้ และควรยืนยันด้วยข้อกฎหมายชุดใดบ้าง? 

เราชวนคุณอังคณา คุยกันสองประเด็นใหญ่คือ รัฐ หน่วยงานของรัฐ และภาคประชาชนที่ทำงานพิทักษ์สิทธิเด็กต้องทำอะไรบ้างในสถานการณ์นี้ และเราจะประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กและเยาวชนด้วยกฎหมายชุดไหนได้บ้าง

ที่เมื่ออ่านจบแล้วทำให้เรายิ้มอย่างมีความหวังและขำขื่นในเวลาเดียวกัน เพราะกฎหมายเขียนครอบคลุมไว้ครบหมดกระบวนท่า ถ้าเพียงแต่เราต่างทำหน้าที่ของตัวเอง หน้าที่…ในความหมายของมันจริงๆ  

ใครบ้างที่มีหน้าที่คุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน ?

คุณอังคณาเริ่มต้นด้วยการอธิบาย (อย่างใจเย็น) ว่า เฉพาะกฎหมายในไทย อ้างอิงตามพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 7 คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธาน ปลัดกระทรวง รัฐมนตรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น และมาตรา 17 คณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการฯ ปลัดกระทรวง รัฐมนตรี อัยการจังหวัด ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ผู้แทนศาลจังหวัด เป็นต้น ทั้ง 2 มาตรานี้ยังมีหน่วยงานอื่น อย่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และสหวิชาชีพได้แก่ แพทย์ ทีมกฎหมาย นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง

“อย่างกรณีป้าตบเด็กที่ทางรถไฟ จังหวัดอยุธยา ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งอยู่ในฐานะประธานกรรมการคุ้มครองเด็กประจำจังหวัดต้อง take action ต้องรีบออกมาปกป้อง ต้องออกมาแสดงท่าทีเพื่อให้ความคุ้มครองช่วยเหลือ แต่เรางงว่าทำไมเขาเงียบแล้วต้องให้ชาวบ้านมากดดันแทนด้วยการรุมด่าป้าที่ไปตบเด็ก รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วยที่ต้องออกมา take action ในฐานะผู้ที่มีหน้าที่นี้โดยตรงในการคุ้มครองสิทธิฯ”

เธอพูดเพื่อย้ำให้เข้าใจว่า หนึ่งในคนทำงานใกล้ตัวที่มีหน้าที่ต้องเข้ามาดำเนินการไม่ใช่ใครอื่น แต่คือผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะที่กฎหมายเขียนไว้ชัดว่าเป็นประธานคณะกรรมการพิทักษ์สิทธิเด็ก และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

นอกจากนี้ยังมีภาคเอกชนและภาคประชาสังคม องค์การระหว่างประเทศอีกหลายส่วนที่ทำหน้าที่นี้โดยตรง เช่น องค์การช่วยเหลือเด็ก (Save the Children), มูลนิธิเด็ก, UNICEF และอื่นๆ

“องค์กรระหว่างประเทศเหล่านี้แม้ไม่มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายที่จะเข้าไปคุ้มครองเด็กได้โดยตรง แต่สิ่งที่องค์กรเหล่านี้ทำได้ก็คือการออกแถลงการณ์ให้รัฐใช้ความระมัดระวัง ออกมายืนยันว่าเด็กทุกคนต้องได้รับความคุ้มครองในการแสดงออกซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่กลายเป็นว่าคนที่ควรจะคุ้มครองเด็กกลับไม่ออกมาส่งเสียง หรือมีก็น้อยมาก เช่น Save the Children หรือ UNICEF สิ่งที่น่าเศร้า ณ เวลานี้ คือความเงียบจากหน่วยงานพิทักษ์สิทธิ คนที่ทำงานด้านเด็ก”

“แต่อย่างไรก็ตาม โดยหลักการแล้ว พม. (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคง) มีหน้าที่โดยตรงที่จะต้องออกมาปกป้องเด็ก ต้องออกมายืนยันเรื่องสิทธิเด็ก แต่โดยส่วนตัวคิดว่ากรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติคือหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงที่ต้องรีบออกมาในทันที โดยเฉพาะในเวลาที่เด็กมีความขัดแย้งกับรัฐ จากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทำให้เราหวังการทำงานเชิงปกป้องคุ้มครองจากรัฐได้ยากมาก รวมถึงกรรมการสิทธิฯ ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติตามอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับที่ไทยเป็นเป็นภาคี กรรมการสิทธิฯ ต้องรีบออกมา และที่สำคัญการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนจำเป็นที่จะต้องมี human rights lens (จับจ้องและปฏิบัติด้วยหลักสิทธิมนุษยชน)”

อีกหนึ่งหน่วยงานที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกลุ่มสหวิชาชีพ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตอนนี้เราได้ยินเรื่องราวการแตกหักในครอบครัวและในรั้วโรงเรียนด้วยประเด็นความเห็นต่างทางการเมือง โดยมีการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ ไล่ออกจากบ้าน ทำร้ายร่างกายซึ่งหน้า ทั้งหมดนี้ 

คุณอังคณาให้ความเห็นว่า #ถ้าการเมืองดี เราจะมีกลุ่มสหวิชาชีพ และ พม. เข้าไปดูแลเด็กๆ อย่างทันทีถึงบ้าน ประเมินสุขภาพจิตทั้งเด็ก ผู้ปกครอง และหากรุนแรงจะต้องจัดหาบ้านพักเพื่อแยกกันอยู่ชั่วคราวและให้การเยียวยาจิตใจเพื่อให้ต่างคนต่างมีเวลาทบทวนความคิดและการกระทำ

คุ้มครองสิทธิเด็ก ด้วยกฎหมายชุดไหนบ้าง

ส่วนกฎหมายที่คุณอังคณาพูดถึง หลักๆ ในประเทศคือ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ส่วนนอกประเทศ คือสนธิสัญญาต่างประเทศซึ่งไทยเข้าร่วมเป็นภาคี 7 ฉบับ หนึ่งในนั้นคือ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก หรือ CRC ดูแลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ต้องนำมาปฏิบัติโดยระบุหลักประกันไว้ชัด 4 เรื่องคือ

  1. การห้ามเลือกปฏิบัติต่อเด็กและการให้ความสำคัญแก่เด็กทุกคนเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง ชาติพันธุ์ หรือสังคม ทรัพย์สิน ความทุพพลภาพ การเกิด หรือสถานะอื่นๆ ของเด็ก หรือบิดามารดา หรือผู้ปกครองทางกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อให้เด็กมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน
  2. การกระทำหรือการดำเนินการทั้งหลายต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นอันดับแรก (best interest of the child)
  3. สิทธิในการมีชีวิต การอยู่รอด และการพัฒนาทางด้านจิตใจ อารมณ์ สังคม
  4. สิทธิในการแสดงความคิดเห็นของเด็ก และการให้ความสำคัญกับความคิดเหล่านั้น

นอกจากนี้ ไทยยังเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Optional Protocol to the CRC) ซึ่งมีอยู่ 3 ฉบับด้วยกัน ว่าด้วยเรื่อง

  • การขายเด็ก การค้าประเวณี และสื่อลามกเกี่ยวกับเด็ก
  • ความเกี่ยวพันของเด็กในความขัดแย้งกันด้วยกำลังอาวุธ
  • และ กระบวนการติดต่อร้องเรียน

“โดยพิธีสารสุดท้ายเรื่องการร้องเรียน จำได้ว่าตอนที่ไทยเข้าเป็นภาคีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เราดีใจมาก เพราะเด็กทุกคนในประเทศนี้ หรือ NGO ที่ทำงานด้านนี้สามารถส่งอีเมลไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการ CRC ของสหประชาชาติได้โดยตรงด้วยตัวเองเลย แต่ปัญหาคือ เด็กไม่รู้เรื่องสิทธิของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะติดต่อยังไง โรงเรียนไม่ได้ให้ข้อมูลชุดนี้ คนในกระทรวงศึกษาฯ เองก็ไม่รู้จัก CRC ไม่รู้จัก CEDAW (อนุสัญญาการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง) ไม่รู้จัก ICCPR (กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง) แล้วถามว่ากระทรวงศึกษาฯ จะคุ้มครองเด็กตามหลัก CRC ได้ยังไง”

มองว่ากฎหมายที่เขียนไว้ ครอบคลุมพอหรือเปล่า ทำไมจึงดูเหมือนมันไม่ฟังก์ชันในบ้านเราเลย? – เราถาม

คุณอังคณายืนยันว่ากฎหมายเขียนไว้ครอบคลุมแล้ว เพียงแต่ในหน้างานจริงมีปัญหาซับซ้อนลงไปอีก หนึ่ง – เมื่อคนทำงานเป็นคนของรัฐทั้งหมด เมื่อเกิดกรณีเรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมือง

“อันที่จริง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ค่อนข้างจะครอบคลุมนะคะ แล้วยังอ้างอนุสัญญาระหว่างประเทศด้วยก็ได้ แต่ปัญหาคือการใช้ดุลพินิจในการตีความ ซึ่ง ‘ดุลพินิจ’ นี่แหละที่เป็นปัญหาและอันตราย คุณใช้ดุลพินิจอย่างไรในการตีความล่ะ? เช่น คุณมักอ้างความมั่นคงของชาติ แต่ถามว่าอะไรคือความมั่นคงของชาติ หรือเราใช้ดุลพินิจในมาตรา 116 ว่าด้วยการยุยงปลุกปั่นทำให้เกิดการกระด้างกระเดื่องหรือให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถามว่า…โอ้โห เด็กๆ จะไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เลยเหรอ? การตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินจริงแบบนี้มันทำไม่ได้

“ว่ากันตามจริง ในหลักการการชุมนุมโดยสงบ รัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวกให้การชุมนุมนั้นให้เป็นไปโดยความสงบ อีกอย่างคือรัฐต้องรักษาความปลอดภัยของผู้ที่อยู่ในชุมนุมทั้งหมด โดยต้องไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอันตราย นี่คือ 2 หลักการใหญ่ๆ คือหัวใจเลยนะ ซึ่งรัฐต้องทำให้ดีขึ้น ไม่ใช่เอาหน่วยอรินทราชเข้ามา”

ตราบถึงทุกวันนี้ ทำไมเรา และหรือคนทำงานเรื่องเด็ก เรื่องสิทธิ จึงเหมือนยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิ (เสียที)

คุยกันเรื่องสิทธิก็เหมือนพายเรือในอ่าง เหมือนถามคำถามที่ไม่น่าจะต้องถามกันแล้ว อย่างถามว่าทำไมตำรวจจึงมีหน้าที่จับผู้ร้าย ทำไมคุณหมอต้องรักษาคนไข้ แต่ปรับคำถามเป็น ทำไมคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็กและการพิทักษ์สิทธิ จึงเหมือนไม่เข้าใจเรื่องนี้เสียที? คุณอังคณาให้ความเห็นว่า อาจเพราะสังคมไทยเราผูกติดกับวัฒนธรรมที่เด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน โตมากับความเชื่อว่าหากเถียงผู้ใหญ่ปากจะเท่ารูเข็ม

“คุณไม่ได้ใช้ human rights lens ในการมองเด็ก เเต่ว่าคุณปฏิบัติกับเด็กเหมือนกับเด็กคือผู้ที่อยู่ในปกครอง

“เด็กวัยเตาะแตะ เด็กก่อนวัยเรียน เด็กพวกนี้ต้องการการอนุบาลเขา การดูแลเอาใจใส่ เด็กๆ มีสิทธิที่จะได้รับอาหารน้ำดื่ม การดูแลไม่ถูกทอดทิ้ง เป็นสิทธิตามกฎหมาย ขณะเดียวกันพอเด็กพัฒนาเเละโตขึ้น เด็กเองก็มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็น มีสิทธิในการแสดงออก ซึ่งตรงนี้ค่านิยมของสังคมยังมองว่าเด็กเถียงพ่อเถียงแม่ เดี๋ยวตายไปปากเท่ารู้เข็ม มันทำให้ผู้ใหญ่ใช้อำนาจแล้วก็เป็นลักษณะของการทวงบุญคุณ เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยถึงเติบโตมาได้ ไม่งั้นเอาขี้เถ้ายัดปากตายไปนานเเล้ว ในต่างประเทศถ้าเด็กถูกทำร้ายเด็กสามารถโทรศัพท์ไปหาตำรวจ แป๊บเดียวสหวิชาชีพจะแยกตัวเด็กไปคุ้มครองเลย ออกจากที่นั้นไปเลย ประเมินครู ประเมินพ่อแม่เลย จนกว่าเขาจะมั่นใจว่าคุณดูแลเด็กๆ ให้ปลอดภัยได้ เขาถึงจะให้เด็กกลับไปอยู่บ้านหรือโรงเรียน เเต่เมืองไทยไม่ได้เป็นเเบบนั้น

“ที่ผ่านมาเราคิดว่าเราจะมีลูกเพื่อที่ให้ลูกมาดูแลเราตอนแก่ แต่เราไม่ได้คิดว่าการที่เรามีเด็กในครอบครัวมีเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตในสังคม จะเป็น Generation ที่จะทำให้สังคมพัฒนาไป

“เด็ก gen ใหม่เขาเติบโตมาแบบหนึ่ง ขณะที่เด็กต้องมาอยู่ในวัฒนธรรมแบบเดิม เรื่องแบบนี้ก็เลยทำให้มันมีการ crash กัน ผู้ใหญ่เองก็ถือว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่า”

คำถามสุดท้ายก่อนจากกัน เราถามคุณอังคณาว่า #ถ้าการเมืองดี ในมุมของเธอคืออะไร?

“#ถ้าการเมืองดี องค์กรอิสระจะทำหน้าที่ในการตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของรัฐได้ เราจะมีตุลาการที่เป็นอิสระ รวมถึงผู้ตรวจการแผ่นดินหรือกรรมการสิทธิฯ ก็จะทำหน้าที่ได้อย่างกล้าหาญในการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนรวมถึงประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐ”

Tags:

วัยรุ่นประชาธิปไตยสิทธิอังคณา นีละไพจิตร

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Voice of New Gen
    การมีบ้านเมืองที่มองเห็นอนาคต : โลกใบใหม่ที่คนรุ่นใหม่วาดฝัน

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Learning Theory
    พื้นที่ที่ 5 (THE 5TH SPACE) สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อค้นพบศักยภาพและเปลี่ยนแปลงสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Learning Theory
    The 5th space: พื้นที่ที่ 5 ที่คนรุ่นใหม่สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า “ฉันเป็นใคร มีศักยภาพอะไร”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

เป็นพ่อแม่แบบ ‘กระบวนกร’ เปิดพื้นที่ปลอดภัยและใช้อำนาจเย็น
Family Psychology
18 November 2020

เป็นพ่อแม่แบบ ‘กระบวนกร’ เปิดพื้นที่ปลอดภัยและใช้อำนาจเย็น

เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง พลิกโฉมหน้าอย่างรวดเร็ว พ่อแม่ไม่ควรใช้ข้ออ้างของการ ‘มีประสบการณ์มาก่อน’ รวบรัดการคิด เชื่อ ตัดสินใจ หรือการลงมือทำของลูกในนามของ ‘ความรัก’
  • ความรักที่แท้จริงต้องมาจากความสัมพันธ์ที่ดี มีความเข้าใจ เปิดโอกาสให้สมาชิกครอบครัวมีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ เพราะการสั่งการหรือใช้ ‘อำนาจเหนือ’ มีแต่จะสร้างความรู้สึกเกลียดชัง ต่อต้าน ปิดใจ ส่วนการเปิดพื้นที่ให้มีส่วนร่วมนั้นช่วยทำให้เกิดทางเลือกที่หลากหลายกว่า แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดกว่า ยั่งยืนกว่า และก่อเกิดสุขภาวะที่ดีในครอบครัวได้มากกว่า
  • การเป็นพ่อแม่ในลักษณะนี้เป็นการหยิบยืมแนวคิดเรื่อง ‘กระบวนกร’ หรือ Facilitator มาปรับใช้ เพื่อเปิดพื้นที่ปลอดภัยและใช้อำนาจเย็นกับลูก

ใครๆ ก็ว่าเด็กสมัยใหม่เลี้ยงยาก ชอบเถียง หรือไม่ยอมรับฟังอะไรง่ายๆ หากมองเรื่องนี้อย่างจริงจัง จะพบว่าคนรุ่นพ่อแม่ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบปกครองให้เชื่อฟัง หลายๆ คนทำตามผู้ใหญ่ พ่อแม่ ครูอาจารย์ โดยที่ลึกๆ ต่อต้านอยู่ในใจ ไม่ใช่ทำเพราะเป็นการยอมรับจากความรู้สึกที่แท้จริง 

มนุษย์ทุกคนไม่ชอบคำสั่ง ไม่อยากถูกบังคับ หรืออยู่ในภาวะจำยอมแบบที่ไม่อาจโต้แย้งหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ สอดคล้องกับความต้องการพื้นฐานที่มาสโลว์เคยกล่าวว่า มนุษย์ทุกคนต้องการได้รับการยอมรับ การมีคุณค่าในแบบที่ตัวเองเป็น ต้องการเสรีในการเลือกชีวิตของตน ต้องการความสุขในชีวิต ดังนั้น การมีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการรับฟังกันและกัน แลกเปลี่ยน หาข้อตกลงร่วม จึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องการ

ทำไมการเปิดพื้นที่ปลอดภัยจึงสำคัญ

ในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง พลิกโฉมหน้าอย่างรวดเร็ว พ่อแม่ไม่ควรใช้ข้ออ้างของการ ‘มีประสบการณ์มาก่อน’ รวบรัดการคิด เชื่อ ตัดสินใจ หรือการลงมือทำของลูกในนามของ ‘ความรัก’ ความรักที่แท้จริงต้องมาจากความสัมพันธ์ที่ดี มีความเข้าใจ เปิดโอกาสให้สมาชิกครอบครัวมีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ เพราะการสั่งการหรือใช้ ‘อำนาจเหนือ’ มีแต่จะสร้างความรู้สึกเกลียดชัง ต่อต้าน ปิดใจ ส่วนการเปิดพื้นที่ให้มีส่วนร่วมนั้นช่วยทำให้เกิดทางเลือกที่หลากหลายกว่า แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดกว่า ยั่งยืนกว่า และก่อเกิดสุขภาวะที่ดีในครอบครัวได้มากกว่า

การเป็นพ่อแม่ในลักษณะนี้จึงเป็นการหยิบยืมแนวคิดเรื่อง ‘กระบวนกร’ หรือ Facilitator มาปรับใช้ในขอบเขตความหมายที่ว่า อำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งการเปิด ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ในการเรียนรู้ร่วมกันในครอบครัวอย่างเป็นสุข สร้างเงื่อนไขให้สมาชิกสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จากภายในเพื่อให้เกิดการเรียนรู้แบบยั่งยืนในแบบของตน ขณะเดียวกันก็สามารถยอมรับความแตกต่างหลากหลายของกันและกันได้ด้วย ประโยชน์ชัดเจนที่จะเกิดขึ้นภายในบ้านคือ

  • เกิดพื้นที่ปลอดภัย (ทั้งทางกายและใจ) คนในบ้านกล้าพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดความเห็น แม้คิดเห็นต่างกัน หรือกล้าสื่อสารระบายความในใจ เพราะรู้ว่ามีพื้นที่รับฟังโดยไม่ด่วนตัดสิน
  • ทำอะไรได้ตรงไปตรงมา มีเสรี และอยู่บนพื้นฐานของการเคารพผู้อื่น
  • ลดปัญหาความขัดแย้งเรื่องสัมพันธภาพ เกิดความสัมพันธ์เชิงบวก
  • เกิดความมั่นคงทางอารมณ์ เข้าใจทั้งตัวเองและผู้อื่น มีวุฒิภาวะในการอยู่ร่วมกับผู้คนในสังคมที่แตกต่างหลากหลายได้อย่างดี เป็นมนุษย์ที่มีความตื่นรู้ในตัวเอง
  • เกิดทางเลือกใหม่ๆ ในการแก้ปัญหาเสมอ โดยไม่ยึดติดความเป็นไปได้ในรูปแบบเดียว หรือคนคนเดียว

สร้างอำนาจร่วมในครอบครัว

พ่อแม่เปรียบดังผู้นำในองค์กร มีส่วนสำคัญในการสร้างบรรยากาศ สร้างผลสัมฤทธิ์ของเป้าหมายให้ลุล่วงอย่างที่ทุกฝ่ายต้องการได้ หากพ่อแม่ดี บรรยากาศในบ้านก็น่าอยู่ คนในบ้านก็เกิดความสุขมีวุฒิภาวะในตน การมีภาวะผู้นำนั้นเกี่ยวข้องกับ ‘อำนาจ’ โดยตรง คือ เป็นพลังบางอย่างที่ทำให้คนอื่นยอมทำตามได้ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ปรีดา เรืองวิชาธร วิทยากรกระบวนการได้สรุปความรู้เรื่องวงล้อของอำนาจอย่างง่ายไว้ 3 รูปแบบคือ 

  1. อำนาจร้อน หมายถึง การใช้อำนาจเหนือกว่า กดข่ม บีบคั้นให้คนอื่นทำตามผ่านเครื่องมือต่างๆ เช่น อาวุธ ความรุนแรง ทรัพย์สิน บางครอบครัวใช้อำนาจเงินต่อรองกับลูกหลานให้ทำตามในสิ่งที่ตนต้องการ
  2. อำนาจร้อนและเย็น หมายถึง การใช้ ความรู้ ความสามารถ การมีเทคโนโลยีที่ดีกว่า เป็นข้ออ้างในการบีบบังคับ โน้มน้าว ชักจูงให้คนทำตาม ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการนี้กับลูกเพราะเชื่อว่าตนรู้มากกว่า รู้ดีกว่า เชี่ยวชาญกว่า จึงผูกขาดการคิดและตัดสินใจแทนลูก และอ้างเสมอว่าทำด้วยความรัก
  3. อำนาจเย็น คือ การใช้จริยธรรม ความดี เชื่อมโยงผู้คนทำให้คนทำตาม โดยมีสติรู้ตัว (awareness) กำกับตนเองอยู่เสมอ 

การใช้อำนาจเพื่อสร้างความสุขในครอบครัวได้อย่างยั่งยืน ควรเป็นการใช้อำนาจเย็นอยู่เสมอ ส่วนอำนาจร้อนให้ใช้น้อยที่สุด ครอบครัวจะเป็นสุขได้ควรเริ่มต้นจากการที่พ่อแม่มีความรู้เท่าทันตนเอง มีสติ เป็นการใช้ชีวิตบนฐานของปัญญาที่แท้ ก่อเกิดบรรยากาศของการใช้ “อำนาจร่วมหรืออำนาจแบ่งปัน” ในครอบครัว ทำให้สมาชิกทุกคนทั้งพ่อ แม่ ลูก หรือญาติพี่น้อง มีส่วนร่วมคิด ทำ รับผิดชอบ เกิดความเติบโตร่วมกันทั้งกายและใจ เกิดความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาว เป็นสุขที่จริงแท้

6 คุณลักษณะของพ่อแม่ที่สร้างครอบครัวเป็นสุข

1.เมตตา หมายถึง การเมตตาตัวเอง รักตัวเอง เข้าใจตัวเอง ยอมรับตัวเอง ให้อภัยตัวเองได้ และการเมตตาคนอื่นหรือสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว รักคนอื่นได้ มีความปรารถนาดี โอบอ้อมอารี ไม่ตัดสิน รับฟังได้ ใจกว้าง เข้าใจ ให้อภัยได้ ยอมรับคนอื่นอย่างที่เขาเป็น ความเมตตานี้จะช่วยให้เข้าใจตัวเองและผู้อื่น ช่วยเปิดใจ และลดความขัดแย้งในความสัมพันธ์

2.เท่าทันตน มีสติรู้ตัว กล่าวคือ มีความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ เข้าใจทั้งตัวเองและผู้อื่น ยอมรับสิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริง โดยไม่เอาความต้องการของตนเป็นใหญ่ รู้ว่าตนและคนอื่นผิดพลาดได้ เริ่มต้นใหม่ได้ และเผชิญหน้าสถานการณ์ชีวิตได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง แก้ปัญหาด้วยปัญญา ผ่านการเปิดพื้นที่ให้เกิดทางเลือกที่ดีร่วมกัน

3.ความเป็นธรรม ยุติธรรม ความเป็นธรรมในครอบครัวจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนสื่อสารได้อย่างปลอดภัย(ทั้งกายใจ) มีข้อมูลหลากหลายเพียงพอ เพื่อการตัดสินใจอย่างรอบด้าน เที่ยงธรรม ปราศจากอคติ ความยุติธรรมที่ว่านี้ยังรวมถึงการยึดมั่นในหลักการ แต่ยืดหยุ่นต่อวิธีการปฏิบัติที่สอดคล้องการสถานการณ์ได้อย่างหลากหลายโดยไม่จำกัดความถูกต้องเพียงอย่างเดียว สร้างโอกาสความเป็นไปได้ใหม่ๆ อยู่เสมอ

4.ความรับผิดชอบ คือ การรู้หน้าที่ของตนเอง ทำหน้าที่อย่างดี รับผิด คือยอมรับความผิดพลาดได้เมื่อตนผิด และรับชอบ โดยแบ่งปันความดี ความสุขให้แก่สมาชิกทุกคนในครอบครัว เป็นแบบอย่างที่ดี ได้ใจคน ทำให้คนในครอบครัวรักและศรัทธา ทั้งนี้ รวมถึงการยอมรับในฐานะพ่อแม่ได้ว่า ตัวเองยังไม่ได้ดีที่สุด หากสามารถขัดเกลาให้พัฒนาได้อีก เมื่อผิดก็ขอโทษลูกได้ หรืออาจเรียนรู้จากลูกได้เช่นเดียวกัน

5.ความสามารถในการแก้ไขวิกฤติ นอกเหนือจากการอาศัยความรู้ วิธีคิด มุมมองที่หลากหลาย รอบด้านลุ่มลึกแล้ว พ่อแม่ที่ดีต้องฝึกคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์เสมอ คาดการณ์ได้ ประเมินเป็น และช่วยโอบอุ้ม สนับสนุนให้ครอบครัวผ่านภาวะยากลำบากได้ แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายเสมอ 

อันที่จริงคุณลักษณะเหล่านี้ คือพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ที่ดี เมื่อเป็นมนุษย์ที่ดีได้แล้ว เราย่อมทำทุกบทบาทหน้าที่ได้อย่างดีเช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญที่พ่อแม่จำเป็นต้องฝึกฝนเพิ่มเติมในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในบ้าน คือ

  • การฝึกสติตนเอง ฝึกฟังอย่างลึกซึ้ง ไม่ด่วนตัดสิน
  • เรียนรู้การพูดคุยเพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมคิด รวมทำ 
  • รับรู้ความขัดแย้งได้เร็ว เชื่อมโยงประสานให้เกิดความเข้าใจกัน
  • เน้นการสืบค้นเชิงลึกภายใน คือไม่มองทุกอย่างระดับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ค้นลึกเพื่อหาเหตุที่แท้จริงของปัญหา เพื่อแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดและยั่งยืน

การกล่าวมาทั้งหมดนี้ ผู้เขียนไม่ได้อยากให้พ่อแม่ทดท้อหรือถอดใจไปเสียก่อน เพราะไม่ว่าในบทบาทหน้าที่ใดก็ตาม มนุษย์ทั้งหลายล้วนอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนทั้งสิ้น ธรรมชาติของความเป็นพ่อแม่มักอาศัยการมองออกนอกเสมอ (มองดูว่าลูกไม่ดีอย่างไร คู่ครองบกพร่องอย่างไร) ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้มองเข้าไปด้านใน สำรวจตน มองเห็น ยอมรับ ปรับปรุง พัฒนา จนตระหนักชัดว่า อย่ามองหาความสมบูรณ์แบบในชีวิตจากใคร (ไม่ว่าลูก ภรรยา สามี) เพราะแม้แต่เราเองก็ยังมีจุดเปราะบางที่ต้องเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน การใคร่ครวญเช่นนี้จะช่วยขยายขนาดของหัวใจของเราให้กว้างขวาง ยอมรับกันและกันได้อย่างที่เป็นจริงๆ รวมทั้งช่วยขัดเกลาตนให้งดงามยิ่งขึ้นได้ในท้ายที่สุด 

Tags:

พ่อแม่พื้นที่ปลอดภัยการเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Ted Lasso: โค้ชทีมฟุตบอลก็เหมือนการเลี้ยงลูก ในวันแข่งจริง เราแค่ภาวนาให้เค้าทำอย่างที่เราสอนไป

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.2 แนวทางการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับลูกปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

Phenomenon – Based Learning: การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน
Learning Theory
17 November 2020

Phenomenon – Based Learning: การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน

เรื่อง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรวณี ชัยเชาวรัตน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานจะมุ่งสำรวจปรากฏการณ์ที่ข้ามขอบเขตข้อจำกัดของรายวิชา กระบวนการเรียนรู้และการสอนจะเริ่มจากปรากฏการณ์ (Phenomena) ที่พบได้ในโลกแห่งความเป็นจริง มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และข้อมูลความรู้คือผลที่เกิดจากการแก้ปัญหา (Problem – solving) ทำให้ผู้เรียนได้รับมุมมองแบบองค์รวมเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ ภายใต้กระบวนการวิเคราะห์
  • บทบาทของครูในห้องเรียน PhenoBL จึงไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้จากครูไปสู่ผู้เรียน แต่เป็นการช่วยพานักเรียนไปสู่เป้าหมาย ผู้สอนจำเป็นต้องเข้าใจและศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ ร่วมกับผู้เรียน สอนนักเรียนถึงวิธีตั้งคำถามซึ่งจะนำไปสู่ความน่าสนใจและเป็นโอกาสในการค้นคว้าสิ่งใหม่ๆ
  • การนำแนวการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานไปใช้นั้นไม่ง่าย แม้กระทั่งในประเทศฟินแลนด์เองก็ตาม แต่เพราะผลที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนนั้นคุ้มค่า… จึงอาจเป็นความท้าทายสำหรับครูไทย ในการส่งเสริมการเรียนรู้เด็กไทยผ่านการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน หรือ PhenoBL

ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศในโลกที่ให้ความสนใจกับระบบการจัดการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ และหากกล่าวถึงประเทศที่มีระบบการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพเป็นอันดับต้นๆ ของโลก “ฟินแลนด์” ก็น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คำตอบที่ถูกหยิบยกมากล่าวถึง

เมื่อพูดถึงการจัดการศึกษาของฟินแลนด์ทำให้เราได้รู้จักกับแนวคิดเรื่องการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน หรือ Phenomenon – Based Learning ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผ่านการทดลองและพัฒนามาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1980 (Zhukov, 2015) และได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น จากการที่ถูกใช้ในหลักสูตรแกนกลางสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐานของฟินแลนด์ และถูกนำไปใช้ในโรงเรียนทั่วประเทศฟินแลนด์ ในปี ค.ศ. 2014 โดยเชื่อว่า แนวคิดนี้เป็นแนวทางขับเคลื่อนหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (Finnish National Board of Education, 2016) 

Phenomenon – Based Learning คืออะไร?

แม้ Silander (2015) จะใช้อักษรย่อ PhenoBL แทนคำว่า “Phenomenon Based Learning” อย่างไรก็ตาม พบว่า มีการกล่าวถึงการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานโดยใช้อักษรย่อ PhBL และ PBL แทนเช่นกัน และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning) หรือ การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning) ซึ่งปัจจุบันก็ใช้อักษรย่อ “PBL” อยู่แล้วนั้น บทความนี้ ผู้เขียนจึงได้ใช้ PhenoBL แทน “Phenomenon Based Learning” หรือ การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน

ในเอกสารเรื่อง How to create the school of the future: revolutionary thinking and design from Finland พบว่า Mattila และ Silander ได้พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้และการสอนโดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานในบริบทของการสอนดิจิทัล (Mattila and Silander, 2015) ซึ่ง Silander (2015) อธิบายว่า การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน หรือ Phenomenon – Based Learning นั้น เป็นแนวคิดที่หักล้างแนวคิดการแบ่งเนื้อหาสาระออกเป็นส่วนๆ เพราะแทนที่จะให้ความสำคัญกับวิชาใดวิชาหนึ่ง เช่น คณิตศาสตร์ ภาษา หรือประวัติศาสตร์ การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานจะมุ่งสำรวจปรากฏการณ์ที่ข้ามขอบเขตข้อจำกัดของรายวิชาไปโดยสิ้นเชิง เพราะในการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานนั้น กระบวนการเรียนรู้และการสอนจะเริ่มจากปรากฏการณ์ (Phenomena) ที่พบได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งปรากฏการณ์ที่นำมาใช้ในการเรียนรู้นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ในบริบทจริง ทั้งข้อมูล ทักษะ และองค์ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จะถูกเรียนรู้แบบข้ามขอบเขตของรายวิชา ปรากฏการณ์ที่ถูกนำมาใช้จะมีลักษณะเป็นหัวข้อแบบองค์รวม เช่น ความเป็นมนุษย์ สหภาพยุโรป สื่อและเทคโนโลยี สถานการณ์น้ำและพลังงาน เป็นต้น 

การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานนั้น “ปรากฏการณ์ หรือ Phenomenon” อาจเป็นได้ทั้ง สิ่งที่ใช้ในการสังเกต หรือรูปแบบของระบบสำหรับสิ่งที่ต้องเรียนรู้ (systemic model) รวมทั้งรูปแบบเชิงเปรียบเทียบสำหรับสิ่งที่ต้องเรียนรู้ (analogous model) หรือแม้กระทั่งเป็นพื้นฐานที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนและนำไปสู่สิ่งที่จะเรียนรู้ต่อไปในอนาคต (Mattila and Silander, 2015)

และเนื่องจาก PhenoBL ช่วยทำให้เกิดการบูรณาการวิชาต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบและใช้แนวทางการจัดการเรียนรู้ที่มีความหมาย ดังนั้น PhenoBL จึงเป็นเสมือนกุญแจสำคัญที่สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพราะการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานนั้นมีจุดเริ่มต้นแตกต่างกับการเรียนการสอนแบบเดิมๆ ที่เราคุ้นชิน ซึ่งเนื้อหาต่างๆ หรือสาระการเรียนรู้แยกออกเป็นรายวิชา และเนื้อหาย่อยๆ ก็แยกส่วนออกจากกัน 

ลักษณะของ Phenomenon – Based Learning

จุดเริ่มต้นของ PhenoBL คือ Constructivism ซึ่งเป็นแนวคิดที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และข้อมูลความรู้คือผลที่เกิดจากการแก้ปัญหา (Problem-solving) ซึ่งข้อค้นพบเล็กๆ เหล่านี้เป็นเสมือนชิ้นส่วนที่ประกอบกันแล้วเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ในเวลาน้ัน โดยการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานมักจะเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมของการทำงานแบบร่วมมือรวมพลัง (Collaborative) และยังสนับสนุนทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมและทฤษฎีสังคมวัฒนธรรม ที่อธิบายว่าข้อมูลความรู้ต่างๆ นั้นไม่ได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบุคคล แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากบริบททางสังคม เช่น ระบบภาษา สูตรคณิตศาสตร์ และเครื่องมือการคิดต่างๆ  ที่สำคัญคือ ไม่ใช่ว่าผู้เรียนทุกคนจะต้องสร้างองค์ความรู้ขึ้นมาใหม่ด้วยตนเองเท่านั้น แต่ผู้เรียนสามารถใช้ข้อมูลความรู้และเครื่องมือในการเรียนรู้ผ่านกระบวนการทางสังคมวัฒนธรรมได้อีกด้วย (Silander, 2015)

แนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้แบบสืบสอบ (Inquiry) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน หรือแม้กระทั่งการใช้แฟ้มสะสมผลงาน หรือ Portfolios จึงเหมาะสมกับลักษณะของ PhenoBL  ซึ่งทำให้เกิดการบูรณาการข้ามศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รายวิชาต่างๆ หายไปจากหลักสูตร ทว่าเป็นการช่วยเสริมให้เนื้อหาสาระในรายวิชาต่างๆ มีความหมายสำหรับผู้เรียนมากขึ้น  (Zhukov, 2015) และแม้ว่า PhenoBL จะมีความคล้ายคลึงกับการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน แต่จุดเริ่มต้นกลับต่างกัน เพราะ PhenoBL จะเริ่มด้วยการสังเกตปรากฏการณ์จากมุมมองที่แตกต่างกัน  ซึ่ง Silander (2015) ระบุว่า PhenoBL จะมีลักษณะ 5 ประการ คือ 

  1. เป็นองค์รวม (holisticity) หมายถึง ความหลากหลายของการเรียนรู้ในลักษณะของสหวิทยาการ และไม่เพียงบูรณาการลงไปในรายวิชาแบบเดิม แต่มุ่งเน้นที่การสำรวจเหตุการณ์ปัจจุบันและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นระบบและครอบคลุม
  2. มีสภาพความเป็นจริง (authenticity) หมายถึง ใช้สภาพแวดล้อมจริงแทนที่จะเป็นห้องเรียนแบบเดิม เนื่องจากสภาพจริงนั้นช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง ทำให้ผู้เรียนได้ใช้วิธีการ เครื่องมือ และวัสดุจำเป็นต่างๆ ในสถานการณ์จริงเพื่อแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิต และมีความสำคัญในชุมชน ทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ว่าทฤษฎีและข้อมูลต่างๆ มีประโยชน์ในชีวิตจริง ในขณะเดียวกัน การมีผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขารวมอยู่ในชุมชนการเรียนรู้ยังทำให้ผู้เรียนจะได้รับการสนับสนุนให้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ และได้เรียนรู้แนวทางการปฏิบัติหรือการแก้ปัญหาต่างๆ ได้
  3. สอดคล้องกับบริบท (contextuality) ซึ่งมีความหมายรวมทั้งบริบทที่ถูกสร้างขึ้นและสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ในแง่นี้ “ปรากฏการณ์” ไม่สามารถกำหนดไว้ล่วงหน้าได้ คือในช่วงเริ่มต้นของการเรียนรู้ ปรากฏการณ์ที่ผู้เรียนสนใจอาจจะค่อนข้างคลุมเครือและไม่ชัดเจน แต่จะค่อยๆ มีความชัดเจนมากขึ้นเนื่องจากผู้เรียนได้สังเกตและทำความเข้าใจบริบทที่กว้างขึ้น
  4. เรียนรู้ผ่านการสืบสอบโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem-based inquiry learning) กระบวนการเรียนรู้นี้ทำให้ผู้เรียนได้ตั้งคำถามของตนเองและสร้างความรู้ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ปรากฏการณ์ที่อาจจะคลุมเครือ ไม่ชัดเจน มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น 
  5. ให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้ (learning process) ซึ่งถือเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการตั้งสมมติฐานและการนำทฤษฎีมาใช้ โดยผู้เรียนจะได้เรียนรู้และได้รับการชี้แนะว่าควรจะเรียนรู้อย่างไร ทำให้มี “Know how” และในระดับที่สูงขึ้นผู้เรียนจะสามารถวางแผนกระบวนการเรียนรู้โดยการสร้างชิ้นงานและเครื่องมือที่ต้องใช้ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนก้าวข้ามสิ่งที่เรียนรู้ในปัจจุบันไปสู่สิ่งที่จะเรียนรู้ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นและข้อจำกัด

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในอนาคตโลกจะเผชิญความท้าทายประการหนึ่ง คือ ปัญหาต่างๆ จะมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น ปัญหาเกี่ยวกับความยั่งยืน ปัญหาการกลายเป็นเมือง หรือปัญหาการเข้าสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งปัญหาเหล่านั้นจะต้องถูกแก้ไขโดยอาศัยความร่วมมือระหว่างสหสาขา และการที่ PhenoBL เน้นที่การบูรณาการข้ามศาสตร์อยู่แล้วจึงเหมาะสมมากกับสภาพในอนาคต อย่างไรก็ตาม นอกจากมีการกล่าวถึงประโยชน์และความท้าทายของการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานแล้ว ก็พบว่ามีการกล่าวถึงข้อจำกัดหรือจุดอ่อนบางประการเช่นกัน โดย Tissignton (2019) ได้สรุปประโยชน์หรือจุดเด่น และข้อจำกัดของ PhenoBL ไว้ดังนี้

จุดเด่น คือ PhenoBL เป็นแนวทางที่ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์จริง ช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้ในแต่ละด้านที่แตกต่างกันไป นอกจากจะมุ่งเน้นทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานในศตวรรษที่ 21 แล้ว ยังเน้นความสำคัญของการเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางทฤษฎีและการนำไปปฏิบัติในสถานการณ์ต่างๆ ทำให้ผู้เรียนได้รับมุมมองแบบองค์รวมเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ ภายใต้กระบวนการวิเคราะห์ 

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วม เนื่องจากมุ่งเน้นที่กระบวนการแก้ปัญหามากกว่าเน้นที่การสร้างชิ้นงานภายใต้รายวิชาใดวิชาหนึ่ง โดยผู้เรียนต้องอาศัยทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการสื่อสาร และทักษะการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ เพื่อนำไปสู่การสร้างข้อสรุป และผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้เรียนรู้ผ่านการทำงานกลุ่มอย่างอิสระเพื่อแก้ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น 

ในส่วนของผู้สอนคือ ช่วยให้ผู้สอนจากต่างสาขาวิชา สามารถทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโครงการ หรือโปรเจ็กต์สำหรับผู้เรียนได้ รวมทั้งสามารถใช้รูปแบบตารางเรียนที่ค่อนข้างยืดหยุ่นมากกว่าการยึดกรอบตารางเรียนแบบเดิมที่กำหนดเป็นคาบเรียนอิงรายวิชา เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการแก้ปัญหาเป็นกลุ่ม 

อย่างไรก็ตาม แม้ PhenoBL จะมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ คือ ไม่ใช่ทุกชั้นเรียนจะเหมาะแก่การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน บางครั้งการสอนโดยตรงแบบเดิมก็ยังจำเป็นอยู่ แม้ในประเทศฟินแลนด์ที่ PhenoBL ถูกกำหนดไว้ในหลักสูตรระดับประเทศ และมีการนำไปใช้ในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง แต่การใช้ PhenoBL ก็ยังกำหนดแค่ 1 โมดูลต่อปีการศึกษาเท่านั้น ที่เหลือก็เป็นการจัดการศึกษาตามรายวิชาในคาบเรียนปกติเช่นเดิม นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้เรียนจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนเกี่ยวกับกระบวนการทำงานกลุ่ม การระบุปัญหา และการดำเนินการวิจัยเพื่อให้ PhenoBL ประสบความสำเร็จ และการไม่คุ้นชินหรือไม่รู้กระบวนการในแนวทางการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานอาจทำให้ผู้เรียนบางคนไม่มั่นใจ รวมทั้งปรากฏการณ์บางอย่างอาจไม่ต้องอาศัยความรู้ในศาสตร์ต่างๆ สำหรับแก้ปัญหา ทำให้เกิดช่องว่างในการเรียนรู้และการฝึกฝน 

และด้วยธรรมชาติของ PhenoBL ที่มีลักษณะปลายเปิดและผู้เรียนเป็นผู้นำการเรียนรู้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่ผู้สอนจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนและช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ ในฐานะครูมักจะทราบว่าชุดความรู้บางอย่างที่จำเป็นสำหรับการแก้ปัญหาบางประการนั้นอาจไม่เหมาะสมกับระดับพัฒนาการในการเรียนรู้ของผู้เรียนทำให้เกิดอุปสรรคในการเรียนรู้ เช่น ผู้เรียนอาจระบุว่าต้องการทักษะทางคณิตศาสตร์ขั้นสูงเพื่อการแก้ปัญหา ทว่าผู้เรียนกลับยังไม่มีความรู้หรือทักษะดังกล่าวเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังจำเป็นต้องมีแหล่งเรียนรู้ที่เพียงพอและสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อีกด้วย

Phenomenon – Based Learning  ในชั้นเรียน

ในมิติของการเรียนรู้ PhenoBL จะเริ่มต้นจากการที่ผู้เรียนได้ร่วมกันสังเกตปรากฏการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม และการสังเกตปรากฏการณ์นี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่ที่มุมมองใดมุมมองหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการศึกษา สังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ อย่างเป็นองค์รวมด้วยมุมมองที่หลากหลาย ก้าวข้ามความเป็นธรรมชาติของรายวิชา และผสมผสานความรู้ที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกัน ส่วนในมิติของการสอน ผู้สอนจำเป็นต้องเข้าใจและศึกษาปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านั้นร่วมกับผู้เรียน โดยเริ่มจากการถามคำถามหรือตั้งปัญหาเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าว เช่น นักเรียนคิดว่าทำไมเครื่องบินถึงบินและลอยอยู่กลางอากาศได้? จะเห็นได้ว่า PhenoBL ก็คือ การเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาเป็นฐาน ซึ่งผู้เรียนจะสร้างคำตอบของปัญหาหรือคำถามที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่สนใจร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าปัญหาหรือคำถามนั้นผู้เรียนร่วมกันสร้างขึ้นจากปรากฏการณ์ที่สนใจจริงๆ (Silander, 2015)

การออกแบบการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการเรียนรู้เป็นฐาน ที่มา: Mattila and Silander (2015)

Tissington (2019) ได้เสนอวิธีการนำ PhenoBL ไปใช้ในชั้นเรียน ดังนี

  1. เริ่มต้นด้วยปรากฏการณ์ ไม่ใช่เนื้อหาสาระ คือ ควรเริ่มบทเรียนด้วยปรากฏการณ์ที่ต้องการให้ผู้เรียนสำรวจ แทนที่จะเน้นไปที่เนื้อหาสาระ เช่น แทนที่จะนำเสนอหัวข้อโดยระบุว่า “วันนี้เรากำลังจะเรียนรู้เกี่ยวกับ…” ให้เริ่มต้นด้วยการมีส่วนร่วมที่เป็น ‘ปรากฏการณ์’ เช่น ให้ดูภาพของคลื่นและให้นักเรียนลองหาสาเหตุที่ทำให้เกิดคลื่น หรืออาจทำให้เกิดกลิ่นขึ้นในชั้นเรียนเพื่อให้ผู้เรียนลองสำรวจว่ากลิ่นนั้นมาจากไหนและเกิดขึ้นได้อย่างไร
  2. สร้างความอยากรู้อยากเห็นของผู้เรียน เช่น ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ครูขอให้นักเรียนร่วมกันเสนอแนวคิดสำหรับหัวข้อที่ต้องการสำรวจ มีนักเรียนบางคนเสนอหัวข้อ ‘ปราสาท’ ซึ่งเป็นความอยากรู้อยากเห็น ความสนใจใคร่รู้ของผู้เรียน ในช่วง 2-3 สัปดาห์นั้น ทั้งชั้นเรียนก็จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับปราสาท ทั้งประวัติของปราสาทในยุโรป และการสร้างตารางเหล็กปิดประตูป้อมโบราณ การเขียนเรื่องราว และไปจนถึงการสร้างแท่นยิงระเบิด จะเห็นได้ว่า ทั้งวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวรรณคดี ล้วนถูกนำมาใช้ในการศึกษาปรากฏการณ์ครั้งนี้
  3. ใช้ประเด็นปัญหาในท้องถิ่น โดยปรากฏการณ์สามารถระบุได้จากชุมชนท้องถิ่น และการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถบูรณาการสิ่งที่เรียนรู้เข้ากับชุมชน ช่วยพัฒนาความรู้สึกเป็นเจ้าของและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่นของตนได้ ซึ่งประเด็นปัญหาในท้องถิ่นต่างๆ นั้น สามารถหาได้จากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ผู้ปกครองนักเรียน หรือธุรกิจห้างร้านในท้องถิ่น นอกจากนั้น ในการรวบรวมปรากฏการณ์ในท้องถิ่น ยังช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสไปทัศนศึกษาเพื่อสำรวจหัวข้อต่างๆ ด้วยตนเอง ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ PhenoBL ที่สมจริงและสมบูรณ์แบบ
  4. ใช้เหตุการณ์ปัจจุบัน โดยอนุญาตให้นักเรียนนำเสนอประเด็นสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความสำคัญหรือผู้เรียนอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านั้น เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันอาจเป็นแหล่งเรียนรู้ปรากฏการณ์อันทรงคุณค่า ตัวอย่างเช่น การให้นักเรียนนำคลิปหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ข่าวที่มีประเด็นที่นักเรียนสนใจมาแลกเปลี่ยนกัน หากหัวข้อมีความสำคัญต่อโรงเรียน ต่อชุมชน หรือเป็นประเด็นสำคัญระดับประเทศ ก็สามารถใช้เป็นโอกาสในการเรียนรู้ตามแนวทาง PhenoBL เช่น ข่าวแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ภัยพิบัติตามธรรมชาติต่างๆ ในท้องถิ่น ซึ่งหัวข้อเหล่านี้สามารถใช้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และหัวข้ออื่นๆ ในการวิเคราะห์ได้

Phenomenon – Based Learning  ในประเทศต่างๆ 

จะเห็นว่าลักษณะของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน หรือ PhenoBL นั้นค่อนข้างยืดหยุ่นจึงเอื้อให้ครูสามารถนำไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับบริบทและลักษณะของผู้เรียน ทำให้ PhenoBL ได้รับการยอมรับและนำไปใช้ทั้งในประเทศฟินแลนด์และประเทศต่างๆ อย่างแพร่หลาย ในประเทศฟินแลนด์ นักเรียนที่อยู่ในช่วงอายุ 7 – 16 ปี จะถูกกำหนดให้เข้าร่วมโมดูลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานอย่างน้อย 1 โมดูลในหนึ่งปีการศึกษา ซึ่งโมดูลดังกล่าวจัดในลักษณะสหวิทยาการหรือ Multidisciplinary และออกแบบให้สอดคล้องกับปรากฏการณ์ในโลกจริงหรือชีวิตจริงของเด็กๆ (Halinen, 2018) 

นอกจากในประเทศฟินแลนด์แล้ว แนวคิด PhenoBL ยังได้รับการยอมรับและนำไปปรับใช้อย่างแพร่หลาย เช่น ประเทศอินเดียจะยึดหลักการการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานโดยเชื่อมโยงบทเรียนในรายวิชาต่างๆ กับปัญหาที่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าผู้เรียนไม่มีทักษะชีวิต และไม่สามารถนำความรู้จากในชั้นเรียนไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อผู้เรียนได้ทำการสืบค้นข้อมูลที่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ทำให้ผู้เรียนมีความสนใจและตระหนักให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม สภาพการเมือง และสภาพสังคมซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกรับผิดชอบในความเป็นพลเมืองของสังคม ซึ่งน่าจะดีกว่าการจัดการเรียนการสอนในอดีตที่มุ่งเน้นเนื้อหามากกว่าทักษะ (Rahaan, 2016)

ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็มีผู้สนใจนำแนวคิด PhenoBL ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ ในรูปแบบที่เรียกว่าอาบูดาบีโมเดล (Abu Dhabi Model) โดยได้นำการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานไปใช้และพบว่า นักเรียนมีทักษะการอ่านสูงขึ้นและมีแรงบันดาลใจในการอ่านผ่านเรื่องราวมากขึ้น การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานจึงเป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อผู้เรียน ส่งผลให้ผู้เรียนจำและเข้าใจองค์ความรู้ ทักษะการคิดที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการที่ผู้เรียนมีความเข้าใจในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต (Valanne, Al  Dhaheri, Kylmalahti and Sandholm-Rangell, 2016) 

สำหรับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็มีการนำแนวคิด PhenoBL ไปปรับใช้ในชั้นเรียนเช่นกัน โดยจากประสบการณ์ในการทดลองจัดการเรียนการสอนตามแนว PhenoBL ที่ผ่านมาซึ่งหากนับถึงปัจจุบันจะเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้วนั้น Nielsen และDavies (2018) ได้เสนอ “กุญแจสู่ความสำเร็จในการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน” ว่า ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในระหว่างการวางแผนหน่วยการเรียนรู้ตามแนว PhenoBL คือ การเลือกปรากฏการณ์จากโลกแห่งความเป็นจริงที่นักเรียนสามารถเชื่อมโยงได้ และนำเสนอปรากฏการณ์ในลักษณะที่กว้างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในการศึกษาเรียนรู้ รวมทั้งครูควรสอนแนวคิดพื้นฐาน (subject-wise) ก่อนทำโครงงาน ตัวอย่างเช่น ในหน่วย Energy Bar ในวิชาวิทยาศาสตร์ครูจำเป็นต้องสอนเกี่ยวกับเรื่องอาหารและระบบการย่อยอาหาร และในวิชาคณิตศาสตร์ก็สอนเรื่องร้อยละและอัตราส่วน ก่อนที่จะให้นักเรียนเริ่มศึกษาด้วยตนเอง ซึ่งในลักษณะนี้จะเห็นว่า เป็นการเรียนรู้แบบไม่จำกัดด้วยกรอบเวลาหรือตารางเรียน ทำให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะข้ามขอบเขตระหว่างวิชาต่างๆ นอกจากนั้น ครูยังต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวกในระหว่างกระบวนการ โดยเน้นการเรียนรู้ที่นักเรียนเป็นผู้นำการเรียนรู้ด้วยตนเอง และครูยังต้องเรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเมื่อผู้เรียนมีปัญหา จะสามารถช่วยให้นักเรียนมีแนวทางแก้ปัญหาได้อย่างหลากหลาย

ส่วนในเวียดนามมีการศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานในการสอนภาษาฟินแลนด์และภาษาเวียดนาม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ โดยพบว่า เวียดนามมีการนำแนวคิด PhenoBL ไปปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ แม้ผลการวิจัยพบว่ามีบางองค์ประกอบที่ทำให้การจัดการเรียนการสอนของเวียดนามแตกต่างกับฟินแลนด์ แต่ในแง่ของการใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าใด เนื่องจากเวียดนามก็เน้นทฤษฎีคอนสตรัคติวิสม์และทฤษฎีสังคมวัฒนธรรม ทำให้พยายามจัดการเรียนการสอนโดยเน้นให้ผู้เรียนมีโอกาสทำงานร่วมกับบริบทและชุมชนโดยรอบเพื่อสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ ด้วยตนเอง มีการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้วิจารณ์ข้อมูลเชิงลึกของแต่ละบุคคลรวมทั้งทักษะขั้นสูงเฉพาะตน ซึ่งเป็นมุมมองของจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ทำให้นักเรียนเวียดนามไม่เพียงแต่จะเติบโตเป็นผู้ที่มีความพร้อมในเชิงวิสัยทัศน์ มีเหตุผล มีความสามารถในการตัดสินใจ การสร้างสรรค์ และลงมือทำสิ่งต่างๆ รวมทั้งการใช้ multi-sensory และสมรรถนะอย่างหลากหลาย แต่ยังได้รับการเตรียมพร้อมให้ค้นพบศักยภาพและตัวตน รวมทั้งสร้างแรงจูงใจสำหรับชีวิตในอนาคต (Nguyen, 2018)

ในส่วนของประเทศไทยนั้น แนวคิดการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ได้ถูกพูดถึงและพยายามนำมาปรับใช้หลายปีมาแล้ว แต่เริ่มชัดเจนในช่วงมีนาคม ปี 2562 ที่ผ่านมา เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ได้ดำเนินงานโครงการอบรมและสัมมนาการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ณ University of Helsinki ประเทศฟินแลนด์ ในครั้งนั้น มีหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานมีทั้งสิ้น 4 หัวข้อ ดังนี้  An overview of phenomenon based learning, Teaching and learning methods of phenomenon based learning, Implementation of phenomenon based learning และ The evaluation of phenomenon based learning (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2562)  และพบว่า แม้ประเทศไทยจะมีการจัดการเรียนการสอนแบบ active learning อยู่แล้ว กลับยังไม่มีการนำแนวคิดสหวิทยาการซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของ PhenoBL มาใช้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นจึงได้มีความพยายามในการขยายแนวคิด PhenoBL ให้กระจายสู่ระดับจังหวัดมากยิ่งขึ้น โดยมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน สำหรับครูระดับประถมศึกษา ซึ่งเน้นที่โรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดและโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล รวมทั้งมีการเผยแพร่การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานผ่าน DLTV และ OBEC Channel และส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ผ่านสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 77 จังหวัด 

อย่างไรก็ตาม Valanne et  al. (2016) ได้เสนอแนะว่า การใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน เป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและได้ลงมือปฏิบัติ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกจึงสามารถนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับกับบริบทของแต่ละประเทศได้ การนำเอาแนวการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานไปปรับใช้ในประเทศต่างๆ ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศด้วย เนื่องจากบริบทการศึกษาของประเทศฟินแลนด์มีความเฉพาะที่แตกต่างไปจากการศึกษาในประเทศอื่นๆ ซึ่งหากนำแนวการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานไปใช้ในประเทศอื่นๆ ที่มีบริบทที่แตกต่างกันแต่ไม่ได้ปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศนั้นๆ ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนการจัดในประเทศฟินแลนด์ ดังเช่นที่ Pfeifer (2017) ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ที่ไม่มีประเทศใดสามารถลอกเลียนระบบการศึกษาของประเทศอื่นได้และคาดหวังว่าระบบจะทำงานในบริบทที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เราไม่สามารถคัดลอกและนำระบบของฟินแลนด์มาใช้ในบริบทของสหรัฐอเมริกาได้ แต่เราก็ยังสามารถได้รับประโยชน์จากการทำความเข้าใจกับกระบวนทัศน์ที่เปลี่ยนไปได้”

บทบาทของครูในชั้นเรียน Phenomenon – Based Learning

อย่างที่ทราบกันว่า การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ PhenoBL นั้น จริงๆ แล้วมีลักษณะธรรมชาติใกล้เคียงกับการแก้ปัญหา คือ จะเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามหรือนำเสนอปัญหาโดยผู้สอน ส่วนผู้เรียน “ร่วมกันสร้างคำตอบสำหรับคำถามหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ที่สนใจ” โดยเป้าหมายก็จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ คือ เป้าหมายจะไม่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรก ส่วนการประเมินผลก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับเครื่องมือในการวิเคราะห์ตนเองของผู้เรียน ดังนั้น การสอนจึงเป็นลักษณะที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Learner – centred) ทำให้ผู้เรียนเชื่อมโยงทฤษฎีหรือองค์ความรู้ที่ได้เรียนรู้กับปรากฏการณ์และสถานการณ์ที่ปฏิบัติได้จริง และด้วยความเป็นองค์รวมนี้เอง ทำให้จำเป็นต้องใช้การสอนเป็นทีมที่มีครูผู้สอนหลากหลายวิชา หรือมีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างหลากหลาย ที่สำคัญคือ ในกระบวนการเรียนรู้แนวนี้ ครูจะถูกมองว่าเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ คือจะต้องใช้ความเชี่ยวชาญเพื่อกระตุ้นและชี้แนะให้นักเรียนจัดการกับปัญหาที่นักเรียนเลือกไว้ (Silander , 2015) บทบาทของครูในห้องเรียน PhenoBL จึงไม่ใช่แค่การถ่ายทอดความรู้จากครูไปสู่ผู้เรียน แต่เป็นการช่วยพานักเรียนไปสู่เป้าหมาย

ในงานประชุมวิชาการทางการศึกษาโลกที่เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตต์ ซึ่งจัดโดย EF Educational Tours “อีโล (Petteri Elo)” ซึ่งเป็นครูอยู่ที่ Hiidenkivi Comprehensive School ประเทศฟินแลนด์ มานานกว่า 12 ปี และยังเป็น “champion of PhenoBL” ได้เล่าถึงการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ซึ่งสำหรับตัวอีโลเองนั้นอาจไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่เพื่อนครูหลายคนอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวสำหรับ “PhenoBL” กันสักระยะ อีโลพบว่าเพื่อนร่วมงานหลายคนพยายามที่จะเข้าใจบทบาทของตนในกระบวนการเรียนรู้ที่ควรให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง และเข้าใจไปว่า “ครูคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการถอยออกมาและปล่อยให้ผู้เรียนได้ลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง” ซึ่งอีโลบอกว่าความคิดแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง 

การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานนั้น ครูจะต้องแน่ใจว่านักเรียนมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานที่จำเป็นในหัวข้อหนึ่งๆ เพื่อการพัฒนาคำถามวิจัยจากสิ่งที่สงสัย โดยครูจำเป็นต้องสอนนักเรียนถึงวิธีตั้งคำถามการวิจัยที่เหมาะสมซึ่งจะนำไปสู่ความน่าสนใจและเป็นโอกาสในการค้นคว้าสิ่งใหม่ๆ ที่สำคัญคือครูจำเป็นต้องหยุดการสอนแบบบอกตรงๆ แต่ควรสร้างแบบจำลองทักษะที่นักเรียนสามารถใช้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งอีโลสามารถเปลี่ยนวิธีสอนจากแบบเดิมที่สอนตรงๆ มาเป็นการให้นักเรียนได้ปฏิบัติในสิ่งที่ต้องการ และสร้างการเปรียบเทียบเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ กับการนำไปใช้จริง ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าผู้เรียนจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับทักษะหรือเนื้อหาที่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เรียนต้องการ (Mathewson, 2019)  

เราจะพบว่า ในหลายๆ ประเทศ การนำแนวการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานไปใช้นั้นไม่ง่าย แม้กระทั่งในประเทศฟินแลนด์เองก็ตาม แต่เพราะผลที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนนั้นคุ้มค่า…จึงอาจเป็นความท้าทายสำหรับครูไทย ในการส่งเสริมการเรียนรู้เด็กไทยผ่านการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน หรือ PhenoBL 

อ้างอิง
The teacher’s role in “phenomenon-based learning”
The What, Why, and How of Phenomenon Based Learning
What’s Finland’s Phenomenon-Based Learning Could Mean for Schools? Good News for Finland
Addressing the Disconnect. The Statesman
Phenomenon-Based Learning: What is PBL?
Phenomenon-Based Learning
Finnish National Board of Education. (2016). National Core Curriculum for Basic Education 2014. Helsinki, Finland: Finnish National Board of Education.
Mattila P. and Silander P. (2015). How to create the school of the future: revolutionary thinking and design from Finland. Finland: Multprint, Oulu. 
Nguyen, H. P. (2018). Phenomenon-based learning in Finnish and Vietnamese upper secondary school curriculum for English as a foreign language. Master thesis. Department of Education University of Jyväskylä, Jyväskylä.
Tissington, S. (2019). Learning with and through phenomena: An explainer on phenomenon-based learning. Paper presented at the Association of Learning Developers in Higher Education Northern Symposium, Middlesbrough UK.
Valanne,E., Al  Dhaheri, R., Kylmalahti, R. & Sandholm-Rangell, H. (2016). Phenomenon Based Learning Implemented in  Abu Dhabi School Model. International Journal of Humanities and Social Sciences, 9(3): 1-17.
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2562). รายงานการอบรมหลักสูตร Science Education for Science and Mathematically Gifted Learner, The Normal Lyceum of Helsinki. 13-20 มีนาคม 2562. กรุงเทพฯ: กลุ่มพัฒนาการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ.

Tags:

เทคนิคการสอนPhenomenon - Based Learning

Author:

illustrator

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เรวณี ชัยเชาวรัตน์

อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และรองผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Education trend
    ‘ทั้งขำ ทั้งจำได้’ ประโยชน์ของอารมณ์ขันในห้องเรียน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    Deschooling Game ถอดวิธีคิดคนสร้างเกม ออกแบบประสบการณ์อย่างไรให้รู้สึกรู้สมจนอยากเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Learning Theory
    RELATIONAL MINDSET: ความสัมพันธ์ครูกับศิษย์ในฐานะมนุษย์ เพราะสัมพันธ์ที่ดีมีผลต่อการเรียนรู้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • 21st Century skills
    สังคมดี เพราะเด็กรู้คิดและคิดดี มีคุณครูเป็นผู้ช่วยคนสำคัญ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

การพัฒนาคนคือ ‘งาน craft’ การศึกษาจึงต้องไร้พรมแดน: พิเชษฐ์ เบญจมาศ
Creative learning
16 November 2020

การพัฒนาคนคือ ‘งาน craft’ การศึกษาจึงต้องไร้พรมแดน: พิเชษฐ์ เบญจมาศ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • การเรียนรู้แบบนี้การเลือกเป็นของเด็กๆ และพื้นที่เรียนรู้เป็นชุมชนของเขา เวลาที่เรียนรู้ก็เป็นเวลาจริงๆ ที่เขาอยู่ในชุมชน มีความรู้สึกจริงกับพื้นที่ กับผู้คน เรียนรู้กับมัน ซึมซับกับมัน แล้วก็เข้าใจมัน
  • ที่สำคัญคือ เขาได้เป็นคนออกแบบการเรียนรู้ โดยมีคนในชุมชนเป็นคุณครู ครูที่ว่าก็ตั้งแต่ คนขับรถรับส่งนักเรียน คุณแม่ ข้าราชการ ครู จนถึงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
  • น่าสนใจว่าคนออกแบบการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นห้องเรียนรู้ คิด ทำ ลงมือ สร้างการเรียนรู้อย่างไร เขาทำด้วยหัวใจหรือความเชื่อแบบไหน การจัดการเรียนรู้ในพื้นที่โดยคนในชุมชนมันเป็นอย่างไร รูปแบบการเรียนรู้แบบนี้ทำได้จริงหรือไม่ ชาวบ้านนี่หรือคือคนที่จะจัดการความรู้ให้กับลูกหลานในชุมชน ไม่ใช่คุณครู?

แก่นหลักและปรัชญาการศึกษา แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ ‘การพัฒนาคน’ และการพัฒนาคน คือ ‘งาน craft’

เขาวิ่งเล่นที่ไหน อาหารที่เขากินมีที่มาที่ไปอย่างไร จินตนาการในชีวิตเขามาจากการได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวชีวิตของใครบ้าง ชุดคำถามแบบไหนที่เขาได้เจอในแต่ละวัน เขายึดถือเคารพใครในชีวิต

หากเชื่อเช่นนี้ การเรียนรู้ในรั้วโรงเรียนย่อมไม่ใช่คำตอบเดียว มองให้รอบและเขียนแผนเตรียมมนุษย์คนหนึ่งให้เติบโตสมบูรณ์พร้อมตลอดหนึ่งช่วงชีวิต มันคืองาน craft คือการรังสรรค์ปั้นแต่งโดยสิ่งแวดล้อม โดยคนที่ห้อมล้อม โดยความรู้ที่เขาได้รับตลอดการเปลี่ยนผ่านเติบโต พูดให้ตรงไปตรงมา… การเติบโตของมนุษย์หล่อหลอมจากทุกคนและทุกอย่างในชุมชน นี่คือเรื่องเดียวกับการจัดการศึกษา

หนึ่งในนักออกแบบการเรียนรู้ นักจัดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ คือ พิเชษฐ์ เบญจมาศ ผู้ประสานงานโครงการสตูล active citizen โครงการที่สนับสนุนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (Project Based Learning) เชื่อว่าการเรียนรู้โดยเฉพาะการพัฒนาคน การสร้างทักษะ (Skill) และลักษณะนิสัย (Character) ไม่ได้เกิดแค่ในรั้วโรงเรียน แต่ผ่านการทำงานที่มาจากความสนใจใคร่รู้ของบุคคลนั้นเอง งานที่กำหนดช่วงเวลาและออกแบบให้เจอเรื่องท้าทาย แก้ปัญหา และเรื่องที่หยิบมาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้นั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวในระดับชุมชน รู้จักและรู้สึกกับเรื่องใกล้ตัว รู้ว่าตัวเองคือส่วนหนึ่งที่จะจัดการแก้ปัญหาได้ โดยมี ‘เมนเทอร์’ (Mentor) หรือคนที่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้เป็นคนในชุมชน ที่มักเรียกกันว่า โค้ช หรือ พี่เลี้ยง 

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเชื่อว่า “ทุกคนจัดการเรียนรู้ได้ และจัดได้ด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน” พิเชษฐ์บอกกับเราตอนหนึ่งระหว่างนั่งคุยกัน 

วันที่เราพบพิเชษฐ์คือวันสุดท้ายของงาน Showcase เด็กในโครงการ active citizen ปีที่ 2 หรืออาจจะบอกว่าคือวันแสดงงาน (present) หลังปิดโปรเจกต์ที่ตัวเองและเพื่อนศึกษามาเป็นเวลากว่า 6 เดือนเต็ม แต่ละคนศึกษาประเด็นที่ตัวเองสนใจแตกต่างหลากหลายกันไป บางกลุ่มศึกษาข้าวพันธุ์อัลฮัมดุลิลละห์ ข้าวพื้นเมืองจังหวัดสตูล ซึ่งเหลือคนปลูกน้อยรายแล้วในปัจจุบัน บางกลุ่มศึกษาประวัติศาสตร์(มลายู)ท้องถิ่นผ่านบ้านโบราณ บางกลุ่มลุยเรื่องการทำประมงพื้นบ้านผ่านอาชีพพ่อแม่ของพวกเขาเอง ความน่าสนใจของงานครั้งนี้คือ พวกเขาจัดแสดงงานเพื่อคืนความรู้ที่ศึกษามาให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นเวลาถึง 15 วัน ผลัดกันไปนำเสนอ ณ สถานที่ที่ตัวเองศึกษา บ้างนำเสนอที่ป่าชายเลน บ้างไปที่นาข้าว บ้างไปที่บ้านโบราณ นับเป็นงาน Showcases ที่ราวกับการพาเที่ยวบ้านแต่มีความรู้หนุนหลังชั้นดี 

น่าสนใจว่าคนออกแบบการเรียนรู้แบบนี้ คิด ทำ ลงมือ สร้างการเรียนรู้อย่างไร เขาทำด้วยหัวจิตหัวใจหรือความเชื่อแบบไหนกัน การจัดการเรียนรู้ในพื้นที่โดยคนในชุมชนมันเป็นอย่างไร หน้าตาแบบไหน รูปแบบการเรียนรู้แบบนี้ทำได้จริงหรือไม่ ชาวบ้านนี่หรือคือคนที่จะจัดการความรู้ให้กับลูกหลานในชุมชน ไม่ใช่คุณครู?

ก่อนว่ากันเรื่องการจัดความรู้โดยคนในชุมชน อยากให้พูดถึงกิมมิกการจัดแสดงงานของเด็กๆ หลังปิดโปรเจกต์ โดยปีนี้จัดกันถึง 15 วันและเป็นการจัดแสดงงานแบบออนไลน์ด้วย มีที่มาที่ไปอย่างไร

15 วันที่จัดงาน เราไปจัดเวทีในป่าชายเลน จัดใต้ร่มไม้ จัดในถ้ำ จัดในสถานที่ที่เราเรียกว่าเป็น ‘Unseen’ ของหมู่บ้าน แล้วก็เปิดพื้นที่แห่งนี้ให้สาธารณะได้เห็นผ่านการ live ในเฟซบุ๊ก ฟีดแบ็คที่กลับมา เราพบว่าคนในหมู่บ้านก็เริ่มสนใจ มองเห็นเด็กๆ ผ่านกิจกรรมเล็กๆ เหล่านี้ บางเวทีเรามีคนแค่ 5-6 คน กับเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ที่สื่อสารเรื่องราวเหล่านี้ออกไป แต่เจตนาหลักๆ ของเวทีเราไม่ได้จัดเพื่อบอกว่าเราดีกว่าใคร หรือเราทำแล้วประสบความสำเร็จ ความสำเร็จไม่ได้วัดที่ตรงนี้ มันยังอีกยาวนานที่เราจะเริ่มเดิน แต่ว่านี่คือการวิ่งทางไกล ฉะนั้นนี่คือหนึ่งในเข็มไมล์ของการเดินทางไกลครั้งนี้

จัดเวทีกันที่ถ้ำ ในป่าชายเลน ที่เรียกว่าเป็น ‘Unseen’ ทำไมต้องไปจัดเวทีที่สถานที่เหล่านั้น

เพราะน้องๆ ศึกษาเรื่องราวเหล่านั้นที่สถานที่เหล่านั้นจริงๆ เมื่อศึกษาเรื่องถ้ำก็ควรจะไปที่ถ้ำ เพราะมันมีความรู้สึก มีความจริงอยู่ที่นั่น นี่คือสิ่งที่น้องๆ เขาเห็น ฉะนั้นเราอยากให้น้องๆ ได้สื่อสารเรื่องเหล่านี้โดยการเล่าในพื้นที่จริงๆ แล้วก็นำเรื่องราวเหล่านั้นออกมาสู่ผู้คนผ่านกระบวนการเรียนรู้

แต่สิ่งที่เราอยากนำเสนอไม่ใช่สิ่งที่น้องๆ ทำ แต่เป็นการเติบโตของน้องๆ จากการทำสิ่งเหล่านี้ เรื่องที่เราทำมันเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องพื้นที่สาธารณะ เป็นเรื่องชุมชน เรื่องของหมู่บ้าน ประเด็นสำคัญไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมคือเราเจอวินัยที่ดีขึ้นของพวกเขา ความเอาใจใส่ ความรักต่อพื้นที่ การรู้จักเคารพคนอื่น นี่ต่างหากคือความสำเร็จของเรา

ทำไมโครงการนี้จึงออกแบบให้เด็กๆ ออกไปรู้นอกสถานที่ เอาเข้าจริงโรงเรียนก็ออกแบบให้ผู้เรียนได้ทัศนศึกษาหรือเรียนรู้นอกห้องเรียนเช่นกัน การเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วยโค้ชซึ่งเป็นคนในชุมชนอย่างที่คุณว่ามันดีหรือแตกต่างอย่างไร

ต่างกันนิดเดียว การเลือกเป็นของเด็กๆ และพื้นที่เรียนรู้เป็นชุมชนของเขา เวลาที่เรียนรู้ก็เป็นเวลาจริงๆ ที่เขาอยู่ในชุมชน และไม่ใช่แค่ 8.00-16.00 น. วันจันทร์-ศุกร์ แต่อาจเป็น 6 โมงเย็น 2 ทุ่ม 3 ทุ่ม ในวันเสาร์-อาทิตย์ และการเรียนรู้แบบนี้เราเรียนรู้โดยใช้เงื่อนไขความจริง เราพบว่าความจริงสร้างการเจริญเติบโตให้กับเด็ก สร้างระเบียบวินัย สร้างความเข้าใจ สร้างความรู้จักกับสิ่งนี้

ถามว่าโรงเรียนทำไหม? ทำครับ แต่โรงเรียนใช้เวลาที่ไม่ปกติในการทำ แค่ช่วงกลางวันของวันจันทร์ถึงศุกร์ อาจไม่พอสำหรับการเรียนรู้ แม้จะมีเทคนิค มีกระบวนการที่ซับซ้อน มีระยะเวลา มีการโค้ชที่ดี แต่สิ่งที่หายไปคือความรู้สึกที่จริงกับพื้นที่ ความรู้สึกที่จริงกับผู้คน สิ่งที่มากกว่าสิ่งที่เด็กๆ ทำอยู่คือการลงไปสัมผัสความจริงเหล่านี้ แล้วก็เรียนรู้กับมัน ซึมซับกับมัน แล้วก็เข้าใจมัน ฉะนั้นการเรียนรู้แบบนี้ไม่จำเป็นต้องสำเร็จภายใต้เป้าประสงค์ของการไปทำนั่นนู่นนี่ อาจจะไม่สำเร็จเลยก็ได้ แต่เด็กๆ ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ได้เรียนรู้การทำงาน ได้เรียนรู้การอยู่กับคนอื่น และสำคัญมากกว่านั้นก็คือเขาได้เป็นคนออกแบบการเรียนรู้ โดยมีคนในชุมชนเป็นคุณครู และมากกว่านั้นคือไม่ใช่แค่ใครคนใดคนหนึ่งที่จะทำให้งานนี้สำเร็จ มันไม่มีซูเปอร์ฮีโร่ มีแต่ทีมอเวนเจอร์ซึ่งเราเรียกมันว่า X-Men ทุกคนเป็น X-Men ที่มีพลังพิเศษในตัวเองรอเวลาที่มารวมตัวแล้วก็ทำมันด้วยกัน

พอบอกว่าเด็กๆ เรียนรู้จากชุมชน พี่เลี้ยงก็คือคนในชุมชน พี่เลี้ยงเป็นใครบ้าง เค้าทำหน้าที่อะไร เค้าไม่ใช่ครูแต่สร้างการเรียนรู้อย่างไร

ครูในชุมชนมีตั้งแต่ คนขับรถรับส่งนักเรียน คุณแม่ ข้าราชการ ครู ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สิ่งที่เขาทำคือเขาใช้เวลาว่างจากอาชีพของเขามาสร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ หน้าที่แรกๆ ของพวกเขาเลยคือรวมตัวเด็กๆ ให้มาอยู่ในพื้นที่เดียวกันให้ได้ โดยเขาเป็นคนไปติดต่อกับผู้ปกครองบ้าง ไปชวนเด็กๆ บ้าง แต่สิ่งที่พิเศษมากคือเขาฟังเด็กๆ เขาเปิดโอกาสให้เด็กๆ มารวมกัน แล้วก็ค่อยๆ ชวนคุย ค่อยๆ ทำงานร่วมกัน สิ่งสำคัญก็คือว่าเราเห็นธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่งคือ 

ยิ่งพี่เลี้ยงของเด็กเปิดโอกาส รับฟัง พูดคุย ตั้งคำถามกับเขา แล้วให้เขาได้ทำด้วยตัวเองให้มากที่สุดนี่แหละที่จะเป็นสิ่งที่เด็กๆ ทำได้ดี เพราะถ้าโครงการไหนที่พี่เลี้ยงทนไม่ได้ จนลงมือทำให้ การเรียนรู้ของน้องๆ ก็จะลดลง ถามว่าผิดไหม ไม่ผิด แต่ประเด็นคือเราไม่เชื่อว่าในแต่ละชุมชนจะต้องมีพี่เลี้ยงคนเดียว ฉะนั้นเขาจึงมีเพื่อนที่ทำงานแบบนี้ร่วมกันในพื้นที่

กระบวนการที่ออกแบบให้เด็กๆ ไปเจอความจริงด้วยเงื่อนไขเวลาที่เป็นจริง คนออกแบบ ออกแบบกระบวนการไว้อย่างไรบ้าง

เหมือนจะออกแบบ แต่เราให้สิทธิ์เขารับฟังก่อนว่า ‘คุณทำอะไร’ แล้วค่อยลงไปช่วยถอดบทเรียน ช่วยวางแผน ซึ่งโดยส่วนตัวค่อนข้างไม่เชื่อในแผนที่รัดกุม แผนที่ละเอียดจนต้องทำตามทุกอย่าง เชื่อในเจตจำนงชัดเจน หมายถึงเป้าหมายที่ตรงและการวางแผนพอสมควร จึงลองทำแล้วมาสรุป แต่ยิ่งออกแบบให้รัดกุมเท่าไรก็จะยิ่งเป็นการมัดเขาแล้วเราจะทำอะไรไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่เรายืนยันว่ากระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดไม่อยากจะรัดกุมมาก แต่ต้องรอบคอบ เราเชื่อวิธีนี้

หมายความว่าหน้าที่ของพี่เลี้ยงคือการช่วยถอดบทเรียนแล้วช่วยคืนความรู้แค่นั้นมั้ย? หน้าที่พี่เลี้ยง จริงๆ แล้วทำอะไรบ้าง

จุดไฟ จุดแรงบันดาลใจ ตั้งคำถาม ชวนเขาไปให้ไกลกว่าสิ่งที่เขาทำ ให้พลัง โอบกอดบ้างเวลาเขาเหนื่อย กอดปลอบโยนเป็นเพื่อน คือผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องความรู้อย่างเดียว เป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นเรื่องของความสำคัญ คือความเป็นพี่เป็นน้อง ทั้งหมดทั้งมวลคือเห็นว่านี่คือคนหนุ่มสาวที่จะเติบโตขึ้นและเขาก็เป็นเพื่อนเรา เป็นพี่เป็นน้อง

ดีไซน์วิธีการเรียนรู้ไว้หลวม แต่มันก็มีโครงใหญ่ของมันอยู่ใช่ไหมคะ อยากฟังว่าเวลาทำงานจริง เด็กที่เข้ามาทำโครงการจะเจอ จะเห็น จะทำอะไรบ้าง

ไทม์ไลน์การทำงานของน้องๆ  2 เดือนแรก จะใช้ไปกับการแสวงหาความรู้ในสิ่งที่เขาสนใจ การแสวงหาความรู้ก็ใช้ทั้งช่องทางที่เป็นความรู้เดิมที่หาได้จากโซเชียลมีเดียและหนังสือ น้องๆ จะต้องค้นมา แล้วก็ทำ ข้อมูลมาคุยกัน ต่อมาเขาต้องไปหาความรู้ที่ไม่มีในตำราหรือในสื่อแต่ต้องลงไปสัมภาษณ์ไปค้นหา ไปเจอผู้คน 2 เดือนแรกเราจะเคี่ยวกรำกับเรื่องนี้ ถามว่ามันสมบูรณ์แบบตามวิธีคิดนี้ไหม ไม่ครับ ในกระบวนการ RBM (Research, Development, Movement กระบวนการทำงานบนฐานการวิจัย วิธีการหลักที่โครงการ active citizen จังหวัดสตูลใช้ในโครงการพัฒนาเด็ก) R – Research มันไม่ได้จบใน 2 เดือน แต่ใน 6 เดือนที่เด็กๆ ใช้ทำงาน ก็ทำไปสรุปไป เรียนรู้ไป หาความรู้ไป วนอยู่เป็นลูปแบบนี้

กระบวนการที่ 2 เมื่อได้แผนที่น้องๆ อยากจะทำ ก็ลงมือปฏิบัติการเรียนรู้ ลงมือในสิ่งที่เขาอยากจะทำ ทำเสร็จสรุปบทเรียน แล้วก็สื่อสารกับผู้คนเพื่อขยายการเรียนรู้ต่อไป สิ่งที่เรามองต่อไม่ใช่แค่การสื่อสารเพื่อให้ประเด็นนั้นเดินต่อไปได้ แต่เป็นการสื่อสารเพื่อให้น้องๆ มีกำลังใจจะไปต่อ

ที่ว่า ‘ไม่ใช่แค่การสื่อสารเพื่อให้ประเด็นนั้นเดินต่อไปได้ แต่เป็นการสื่อสารเพื่อให้น้องๆ มีกำลังใจเพื่อจะไปต่อ’ สองอย่างนี้ต่างกันยังไงคะ?

ต่างกันนิดเดียวครับ ปกติเวลาเราสื่อสารเราจะคิดว่าจะต้องมีคนมาจัดการ มาช่วย แต่จริงๆ ไม่ใช่ครับ การทำโปรเจกต์ยาวนานแบบนี้ ระยะเวลาแค่ 6 เดือนดูเหมือนสั้น แต่สำหรับเด็กๆ กับการใช้เวลาว่างนั้นมันยาวนาน ต้องใช้เวลา ใช้กำลังใจ ใช้ความมุ่งมั่นสูงมาก สิ่งที่เขาต้องการคือจุดไฟให้เขาต่อ ให้เห็นว่าเรื่องที่เขาทำมีค่าและเขาเติบโตขึ้น มันไม่ใช่สิ่งของที่จับต้องได้ ไม่ได้เห็นได้ด้วยตาเหมือนไปทำเรื่องต้นไม้เห็นต้นไม้ ไปทำเรื่องภาพศิลปะเห็นศิลปะ แต่สิ่งที่เราเห็นมากกว่านั้นคือเขาเติบโตข้างใน และเรายืนยันว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องไปต่อ

พี่เลี้ยงคนอื่นเข้าใจตรงกันกับคุณไหมคะว่าต้องช่วยจุดไฟ ช่วยพาเขาไปสู่เป้าหมาย

เข้าใจตรงกันครับ แต่ทักษะเทคนิคอาจจะไม่เหมือนกัน ซึ่งเรายืนยันว่าไม่ต้องเหมือนกัน ทุกคนเป็นตัวของตัวเองทำในสิ่งที่ตัวเองเคยทำ สิ่งที่ตัวเองถนัดนั่นแหละ แต่สิ่งที่เราเปิดกว้างต่อก็คือว่าเปิดโอกาสเรียนรู้และยกระดับความรู้ตัวเองขึ้น เชื่อมโยงกับคนอื่นเพิ่มขึ้น จากที่เราเคยทำคนเดียว ต้องเชื่อมโยงกับผู้คน กับหน่วยงาน เชื่อมโยงเพื่ออะไร? ไม่ใช่เพื่อเรา แต่เพื่อไปส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไร แค่ทำสิ่งที่คุณทำให้ดี ไม่ต้องมีมาตรฐานว่าต้องเป็นพี่เลี้ยงแบบนี้จึงจะเป็นพี่เลี้ยงได้ แล้วก็ยืนยันว่าไม่ต้องมีใครเปลี่ยนเป็นใคร เป็นตัวของคุณให้สุดไปเลย แล้วก็เคารพกัน ทำงานด้วยกัน

จริงๆ การเป็นพี่เลี้ยงในโครงการแบบนี้ ยากเหมือนกันนะคะ ต้องพาไปเจอสถานการณ์จริง ต้องจุดไฟการเรียนรู้ ต้องรับฟังเป็น สนใจว่าคุยกันในวงพี่เลี้ยงอย่างไรว่าพี่เลี้ยงต้องมีคาแรคเตอร์แบบไหน ทำยังไงให้เด็กยังอยากเรียนรู้ ทำโปรเจกต์จนจบ สำเร็จ

เรามีการประชุมโครงการพี่เลี้ยง เวลาลงพื้นที่เราจะคุย 2 รอบ คุยกับเด็กๆ ด้วย คุยกับพี่เลี้ยงด้วย ถามว่าคนที่เรียนรู้มากที่สุดในโปรเจกต์นี้คือใคร ไม่ใช่เด็ก แต่เป็นพี่เลี้ยงของพื้นที่ เพราะคนเหล่านี้เขามีจิตอาสา มีจิตสาธารณะที่จะสร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ ในชุมชน และอานิสงส์แบบนี้มันนำไปสู่การทำงานในมิติอื่นๆ

ที่ว่าคนที่ได้ไม่ใช่แค่เด็ก แต่เป็นพี่เลี้ยงชุมชน อยากรู้ว่าในภาพใหญ่ อยากให้โครงการที่ทำงานกับเด็กนี้ ทำงานกับคนในชุมชนอย่างไร ภาพใหญ่มันคืออะไร  

ภาพใหญ่ก็คือทุกวันนี้การพัฒนาท้องถิ่นมันอยู่กับคนรุ่นก่อนมากเกินไป ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ คนที่อายุ 40+ คนที่เป็นข้าราชการ สิ่งที่เห็นการขยับครั้งสำคัญคือมันมีเด็กๆ อยู่ในหมู่บ้านด้วยนะ มีเยาวชนที่เขาทำได้มากกว่าการไปโรงเรียน เด็กเหล่านี้ทำอะไรได้มากกว่าไปโรงเรียนตอนเช้าแล้วกลับบ้านตอนเย็นมาเล่นเกม เดิมเขาคิดว่าเด็กทำได้แค่นั้น อย่าใส่ใจเรื่องหมู่บ้าน เรื่องชุมชน แค่ตั้งใจเรียนไปเถอะ เขาก็เป็นห่วงว่าเราจะเอาตัวไม่รอดจากการทำอะไรแบบนี้ ผมว่าวันนี้โลกวันนี้มันเปลี่ยนไปเยอะ คนเริ่มเข้าใจสิ่งเหล่านี้มากขึ้น

เด็กไม่ได้ทำได้แค่ไปโรงเรียนแล้วก็กลับบ้าน ไม่ต้องรอจนเรียนจบแล้วจึงค่อยเปลี่ยนแปลงชุมชน เปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เด็กสามารถไปโรงเรียนและทำอะไรได้มากกว่านั้น ทำได้ทั้งที่บ้านตัวเองและบ้านเพื่อน ข้ามตำบล ข้ามอำเภอไปช่วยเพื่อนได้ นี่คือสิ่งที่เราเห็นในศักยภาพของคนหนุ่มสาว นี่คือคนหนุ่มสาวที่มีพลัง สำหรับผม การเจอกันในวัยหนุ่มสาวมีค่าที่สุด เราไม่รู้ว่าสตูลจะเปลี่ยนได้จากงานครั้งนี้ไหม นั่นไม่ใช่ความสามารถของเราที่จะล่วงรู้ได้ แต่ประเด็นคือเราได้ทำลงไปแล้ว เราได้ขับเคลื่อนไปแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ปล่อยให้มันเติบโต ผมบอกน้องๆ ตลอดว่าอีก 10 ปีคงไม่สามารถมาขับรถลงพื้นที่ 15 วันแบบนี้ มันไม่ไหวแล้ว แต่ว่าสิ่งที่เราอยากเห็นคือเมล็ดพันธุ์เหล่านี้คุณเอาไปเลย

เห็นการงอกงามหรือเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเด็กๆ อย่างไรบ้าง

เห็นการงอกงามจากตัวของบุคคล และที่มากกว่านั้นคือมันถูกแบ่งไปยังเพื่อนๆ แบ่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แล้วก็ไม่มีใครรู้สึกว่าตัวเองเด่นกว่าใคร หรือตัวเองด้อยกว่าใคร ทุกคนช่วยกัน อันนี้คือความสนุกที่เราเจอว่าเราอยากเห็นการเติบโตของกันและกัน อาจจะฟังดูโรแมนติกไป แต่บางมุมมันก็ต้องโรแมนติกเพื่อที่จะไปต่อได้

ถ้าเราไม่ทำแบบนี้กับเด็ก กับชุมชน คิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

ก็คงไม่เกิดอะไรขึ้นครับ ถ้าเราปล่อยก็คงเกิดอย่างอื่น แต่วันนี้เราได้ทำแล้วมันเกิดขึ้นแล้ว เกิดโอกาส เกิดคน เกิดการรวมตัว เกิดการสื่อสาร เกิดการขับเคลื่อนคนหนุ่มสาว เรื่องเหล่านี้คนมักจะมองว่ามันยากนะ ส่วนตัวผม 3 ปี 2 ซีซัน มันใช้พลัง การทำงานกับคนหนุ่มสาวนี่มันใช้อารมณ์ มันใช้ความจริง มันใช้พลังมากกว่าการทำงานที่แค่การเรียนมาตั้ง แต่การสร้างการเรียนรู้กับผู้คนมันใช้ข้างใน เวลาเราลงไปมันใช้ข้างในมากกว่า เวลาเราทำงานกับหนุ่มสาว 100 คน มันใช้พลังทั้งหมดเต็ม 100 ที่จะต้องสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน แต่ความมหัศจรรย์ก็คือพวกเขาก็คือแบตเตอรี่ มันเลยทำให้ฟันเฟืองแห่งการเรียนรู้มันยังทำงานต่อ แล้วเราก็สามารถที่จะไปด้วยกัน

‘การศึกษาอยู่ในชุมชน เพราะมีคุณครูอยู่เพียบเลย’ พอได้ยินประโยคนี้แล้วนึกถึงอะไรบ้าง

การศึกษาไม่มีพรมแดนครับ การศึกษาต้องไร้พรมแดน ต้องใจกว้างพอที่จะเปิดพรมแดนทุกอย่างแล้วก็ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่จำกัดนิยามว่าต้องเป็นแบบไหน นี่คือการศึกษา

พอเกิดโควิด-19 ทุกคนก็คาดหวังว่าโรงเรียนจะต้องถูก disrupted แน่เลย ส่วนหนึ่งมองว่าการเรียนรู้ ชุมชนจะเป็นคนจัดการเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่รอโรงเรียน ไม่ต้องรอให้เด็กเข้าไปเรียนที่รั้วโรงเรียน ในฐานะคนหนึ่งที่ทำงานการเรียนรู้โดยชุมชนเพื่อเด็กในชุมชน คุณมีความเห็นต่อเรื่องนี้มั้ย  

กระบวนการเรียนรู้ในชุมชน กระบวนการเรียนรู้ในครอบครัว กระบวนการเรียนรู้ในสังคม เกิดขึ้นมานานแล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่มีพื้นที่การแสดงตัวแล้วก็ถูกละเลยไปนาน เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ มันทำให้เราเห็นชัดขึ้นว่าการศึกษาไม่ได้อยู่แค่เพียงในรั้วโรงเรียน ไม่ได้อยู่ในมือกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ได้อยู่ในอำนาจรัฐบาล ไม่ได้อยู่ภายใต้ความคิดของใคร แต่การศึกษาเกิดขึ้นทุกหนแห่ง ในท้องถิ่น ในท้องที่ ในผู้คน เขาศึกษาอยู่ทุกเมื่อ สิ่งที่ผมอยากพูดคือมันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่สตูล ที่ active citizen แต่มันเกิดขึ้นในครอบครัวบางครอบครัว มันเกิดขึ้นในเด็กบางคนที่กำลังดูการ์ตูน Marvel อยู่ กำลังอ่านนวนิยายบางเรื่องอยู่ มันเกิดขึ้นแล้วมันเปลี่ยนแปลงข้างใน

สิ่งที่เราทำมันไม่ได้พิเศษอะไรมากกว่าสิ่งที่คนอื่นทำหรอก เพียงแต่ว่ามันเป็นโอกาสของเราที่ได้ลงมือทำสิ่งนี้ ที่ได้มาขับเน้นให้มันเด่นชัดขึ้น

Tags:

project based learningโคชคาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsพิเชษฐ์ เบญจมาศ

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Creative learning
    “ครูในชุมชน” อีกขุมกำลังและระบบนิเวศในการดูแลลูกหลาน กับทักษะ 5 ด้านที่ควรมี: ฉบับฮาวทู

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Everyone can be an Educator
    “เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

Social Dilemma พลังการเก็บข้อมูล digital  footprint ที่กำลังหลอกหลอนเรา
Movie
13 November 2020

Social Dilemma พลังการเก็บข้อมูล digital footprint ที่กำลังหลอกหลอนเรา

เรื่อง พิมพ์พาพ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

Tags:

โซเชียลมีเดียความปลอดภัยไซเบอร์พิมพ์พาพ์ภาพยนตร์

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Moxie (2021) หนังที่บอกเราว่าไม่ควรเมินเฉยต่อการถูกแกล้ง ลวนลาม แต่จงลุกขึ้นมาส่งเสียงของตัวเอง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Soul: การตามหาแพชชัน ความฝัน และบอกว่าไม่มีใครอยากกลายเป็นคนที่ Lost soul

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(5): รูปลูกออนไลน์ โพสต์แค่ไหนถึงพอดี

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • How to get along with teenager
    ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ระบุที่มาของความสุขและทุกข์ด้วยหลัก PERMA และจงวาดวงกลมความทุกข์ให้เต็มกระดาษเอสี่!
Character building
11 November 2020

ระบุที่มาของความสุขและทุกข์ด้วยหลัก PERMA และจงวาดวงกลมความทุกข์ให้เต็มกระดาษเอสี่!

เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เวลาที่เรารู้สึกดีมีความสุข เราเคยสังเกตกันไหมว่าเจ้าความสุขพวกนี้เกิดจากอะไร?
  • การฝึกสังเกตรู้จักที่มาของความสุข จะช่วยให้เราระบุที่มาของความทุกข์ได้เช่นกัน เพราะวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราแก้ไขปัญหาความทุกข์ได้ คือรู้ต้นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์นั้น
  • ชวนฝึกระบุที่มาที่ไปของอารมณ์ทุกข์และสุข ผ่านวิธีที่ชื่อว่า PERMA

น้องๆ รู้สึกไหมว่าบางที ‘เจ้าความสุข’ ก็เหมือนอากาศ เวลาที่อากาศดี เราก็อาจเฉยๆ เนอะ ไม่ได้รู้สึกอะไร มันก็ธรรมดามากเลย แต่พอวันไหนที่อากาศไม่ดี มีฝุ่นจิ๋ว PM2.5 เราจะรับรู้ได้ทันที ทั้งจามบ่อย มีน้ำมูก ร่างกายรีบมาบอกเราเชียวว่า ‘ตัวเองๆ วันนี้อากาศไม่ดีนะ ใส่แมสก์ด้วย’ 

เจ้าความสุขนี้ก็เหมือนกันค่ะ เวลาที่เรามีความสุข เราก็จะเฉยๆ ร่างกายหรืออารมณ์ก็ทำงานปกติ (นอกจากจะมีความสุขมากเท่านั้นแหละที่เราจะรู้ตัวไว) แต่พอเริ่มมีความเศร้าหรือเครียดเท่านั้นแหละ อาการทางร่างกายจะรีบมาบอกเราทันทีเลยว่าใจเรากำลังแย่นะ อาการก็เช่น  ไม่ค่อยยิ้ม หงุดหงิดง่าย ไปจนถึงร่างกายร้องเตือนอย่างการปวดหัว ปวดท้อง เป็นต้น

พี่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีนะคะที่ร่างกายบอกเราว่าเรากำลังไม่มีความสุข และเราก็จะแก้ไขได้เร็วขึ้น มีความสุขเร็วขึ้น ซึ่งวันนี้พี่อยากแชร์เคล็ดลับในการระบุที่มาของความสุขและทุกข์ เพื่อช่วยให้เราเท่าทันและจัดการกับมันได้เร็วขึ้น 

แต่ก่อนเริ่มต้นพูดคุยกัน เรามาตรวจสอบกันดีไหมคะว่า ช่วงนี้เรามีความสุขกันหรือเปล่า

1. ช่วงนี้ ฉันมีแต่เรื่องสนุกๆ ให้ทำ

2. ช่วงนี้ ฉันอารมณ์ดีมาก ยิ้มง่าย

3. ความสัมพันธ์ของฉันกับคนรอบข้างดี เราไม่ทะเลาะกัน

4. ฉันไม่ค่อยหงุดหงิด

5. ฉันดีใจที่งานที่ทำออกมาดี

นี่คือ 5 ข้อสั้นๆ เอาไว้เช็คอารมณ์ตัวเองแบบง่ายๆ ซึ่งหากเช็คตัวเองแล้วพบว่ามันตรงกับฉันหลายข้อ ก็แปลว่า น้องมีความสุขมาก แต่ถ้าตรงกับตัวเองน้อย นี่อาจเป็นสัญญาณบอกว่าช่วงนี้เราไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนะคะ 

การระบุที่มาของความสุข / ความทุกข์ด้วยหลัก PERMA 

กลับมาเข้าเรื่องการระบุที่มาของความสุข (และทุกข์) กัน สมัยก่อน เวลาที่เราพูดเรื่องความสุข เราจะพูดแค่ว่าวันนี้เราอารมณ์ดีหรือไม่ แต่ปัจจุบัน ปัจจัยเรื่องอารมณ์ดีอย่างเดียวนั้นไม่พอค่ะ เพราะยังมีปัจจัยหลายอย่างมากเลยที่ส่งผลต่อความสุข โดยนักจิตวิทยาที่พูดเรื่องความสุขที่ชื่อ มาร์ติน เซลิกแมน (Martin Seligman) อดีตประธานสมาคมจิตวิทยาอเมริกา (APA) และผู้ผลักดันแนวคิดจิตวิทยาเชิงบวก (Positive psychology) บอกว่ามีปัจจัยอยู่ 5 เรื่องด้วยกันที่ช่วยทำให้คนเรามีความสุขในชีวิต ที่เราอาจเรียกสั้นๆ ว่า PERMA 

  • P – Positive emotion อารมณ์ทางบวก คือ อารมณ์โดยรวมของเราว่าช่วงนี้เราอารมณ์ดีไหม เกี่ยวข้องกับการคิดถึงเหตุการณ์ทั้งใน อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ว่าสถานการณ์นี้ทำให้เรารู้สึกอย่างไร มันคือความสุขจากการคิดถึงเรื่องราว เช่น การที่เราอ่านหนังสืออย่างหนักแม้ว่าจะเหนื่อย แต่มันก็ทำให้ฉันมีความมั่นใจในการไปสอบนะ (คิดถึงเรื่องราวในอดีตแล้วรู้สึกดี ส่งผลให้เรามีอารมณ์ทางบวกมากขึ้น) หรือวันนี้ฉันนอนหลับเต็มที่, วันนี้ฉันได้กินเค้กร้านอร่อย (เรื่องราวในปัจจุบันที่ทำให้ฉันมีความสุข โดยส่วนใหญ่จะสอดคล้องกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสุขด้านร่างกายเป็นส่วนใหญ่ กินอิ่ม นอนหลับ หรือได้ทำกิจกรรมสนุกสนานผ่อนคลาย) หรือเรารู้สึกว่าในอนาคตจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นด้วย เช่น แม้ว่าฉันจะยังทำโครงงานวิทยาศาสตร์จไม่เสร็จ แต่ฉันเชื่อว่าฉันจะทำมันเสร็จได้เร็วๆ นี้แน่นอน (ความสุขในอนาคตจะเน้นไปที่เรื่องความหวัง ยิ่งเรามีความหวัง ก็จะเพิ่มอารมณ์ทางบวกได้)
  • E – Engagement ความผูกผัน คือ ความผูกพันที่ตัวเรานั้นได้พยายามทำกิจกรรมที่สามารถพัฒนาทักษะหรือความสามารถของตัวเอง หรืองานที่เราสนใจอย่างงานอดิเรกก็ได้ จุดสำคัญคือ เราต้องรู้สึกว่าเราเต็มใจทำมันนะ อยากทำมันมาก และไม่ใช่ความรู้สึกถูกบังคับ เพราะพอตัวเราได้ทำกิจกรรมนั้น แล้วเรารับรู้ได้ว่า “ฉันทำได้ดี ฉันชอบจังเลยที่ฉันรู้เพิ่มมากขึ้น” ก็จะช่วยทำให้เรามีความสุข (เราเก่งขึ้น ก็ต้องดีใจใช่ไหมคะ) หรือพูดง่ายๆว่า มันคือความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ เช่น วันนี้ฉันอินมากที่ไปเรียนเดินแบบ เหนื่อยกว่านี้ก็ยอมเพราะชอบมาก หรือฉันฟินมากที่ได้ไปอบรมนักตัดต่อคลิปรุ่นเยาว์ ได้เทคนิคต่างๆ เยอะมาก อยากไปตัดต่อแล้ว เป็นต้น 
  • R – Relationship ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น คือ ความสุขที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น การที่เรามีเพื่อนที่ไม่ค่อยทะเลาะกัน หรือพ่อแม่ก็เข้าใจเรา พูดคุยกันอย่างเข้าใจ พอเราไม่ต้องทะเลาะกับใคร มันก็ทำให้เรามีความสุขจริงๆ อ่ะเนอะ เช่น วันนี้ได้ไปดูหนังกับเพื่อน วันนี้ฉันได้จัดงานวันเกิดให้แม่ วันนี้แฟนมาขอคืนดี เป็นต้น
  • M – Meaning ความหมายในชีวิต คือ ความรู้สึกว่าเรารู้เป้าหมายในชีวิต หรือเข้าใจตัวเองว่าเราทำสิ่งนี้เพราะอะไร หรือสิ่งที่กำลังทำนั้นมีประโยชน์ต่อใคร ไม่ใช่อาการงงๆ เบลอๆ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ จะเรียกว่าเป็น ความสุขของการรู้เหตุผลก็ได้ เช่น ฉันรู้เป้าหมายว่าอยากเป็นครู เพื่อให้ความรู้เด็กๆ หรือฉันไปอ่านหนังสือให้คนตาบอดเพื่อสร้างหนังสือให้คนตาบอด เป็นต้น
  • A – Achievement ความสำเร็จ คนเราทุกคนต่างมีเป้าหมาย หรืองานที่ต้องทำให้สำเร็จ ซึ่งถ้าหากเราทำสำเร็จได้ เราก็จะรู้สึกดีใจกับตัวเอง หัวใจพองโต ซึ่งมันก็คือ ความสุขที่เราทำสำเร็จ โดยต้องขอบอกเอาไว้ว่า ความสุขจากความสำเร็จนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เลย มันเป็นความสำเร็จอะไรก็ได้เล็ก – ใหญ่ ได้หมด ขอให้เราดีใจกับความสำเร็จนี้ก็พอ เช่น ฉันได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดพูด ฉันได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันวิชาการของโรงเรียน หรือทุกคนชมว่าเค้กที่ฉันทำอร่อย เป็นต้น

จากทั้งหมด 5 ข้อนี้เราสามารถเรียกว่า PERMA  (ในภาษาวิจัย เซลิกแมนจะเรียกมันว่า Flourish แต่ในบทความนี้พี่นีทจะขอใช้ภาษาง่ายๆ โดยเรียกว่า ‘ความสุข’ แทนนะคะ) และบอกกับตัวเองได้ว่าอะไรที่ทำให้ฉันมีความสุข อะไรที่จะช่วยทำให้เรามีความสุขมากขึ้น ซึ่งการระบุที่มาของความสุข การทำแบบนี้ได้นั้น พี่นีทถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ทำยังไง? ก็เช่น เราบอกว่า “วันนี้ฉันมีความสุข เพราะว่าฉันได้คะแนนเต็มในวิชาฟิสิกส์ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเก่งฟิสิกส์ขึ้น และมั่นใจมากขึ้นในการจะเลือกเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์” 

เมื่อถอดสมการ PERMA ออกมา จะได้แบบนี้ 

  • วันนี้ฉันมีความสุข เพราะว่าฉันได้คะแนนเต็มในวิชาฟิสิกส์ เป็นเรื่องความความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งมั่น A – Achievement
  • ฉันรู้สึกว่าตัวเองเก่งฟิสิกส์มากขึ้น เป็นการพัฒนาทักษะ E – Engagement
  • และมั่นใจมากขึ้นในการจะเลือกเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ สิ่งนี้มีความหมายต่อฉันสำหรับอาชีพที่อยากเป็นนะ M – Meaning

ต้องบอกแบบนี้ว่า ช่วงที่เรามีความสุขอยู่นั้น เราอาจจะเฉยๆ ที่นั่งแยกหรือระบุที่มาที่ไปของความสุข แต่เชื่อไหมคะว่า ‘การฝึก’ ระบุที่มาของความสุข จะกลับมาช่วยให้เราระบุที่มาของความทุกข์ได้ดีขึ้นด้วย กล่าวคือเมื่อไรก็ตามที่เรามีความทุกข์หรือความเศร้า การระบุสาเหตุนั้นจะจำเป็นขึ้นมาเลย จะได้รู้ว่านี่ฉันเศร้าหรือทุกข์ เพราะอะไรนะ ตัวไหนใน PERMA กันนะที่กำลังผิดปกติและทำให้เราทุกข์ 

เช่น 

  • วันนี้ฉันร้องไห้ เพราะทะเลาะกับแฟน – ตัว R – Relationship ฉันกำลังมีปัญหา 
  • ฉันเสียใจที่คัดผู้นำเชียร์ไม่ผ่าน – เรื่องนี้ อาจจะเป็นตัว P – Positive emotion และ  A – Achievement เพราะรู้สึกว่าทำได้ไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจ

เมื่อเราระบุความทุกข์ได้สำเร็จชีวิตเราจะง่ายขึ้นมาก เพราะเราจะรู้ว่าเราต้องแก้ไขกับความทุกข์นี้อย่างไร ในกรณีเรื่องของแฟน เราก็อาจจะต้องดูที่มา ทำไงดีน้าที่จะเข้าใจกัน ไปง้อดีไหมนะ? หรือกรณีที่เราไม่ผ่านการคัดเลือก เราก็ลองมาพิจารณาว่าอะไรที่เราพลาดไปแล้วกลับมาให้อภัยตัวเองกัน แล้วถ้าปีหน้ามีโอกาสก็ลองใหม่ หากเราแก้ไขเช่นนี้ได้ ความสุขก็จะค่อยๆ กลับมาค่ะ

แต่ แต่ แต่… เรื่องบางเรื่อง เราก็อาจจะไม่มีโอกาสแก้ตัวหรือยังคงทุกข์กับมันอยู่เพราะยังแก้ไขไม่ได้หรือกำจัดความทุกข์ออกไปไม่หมด เช่น แฟนบอกเลิก ช่วงนี้เรียนไม่รู้เรื่อง เพื่อนโกรธ หาเป้าหมายในชีวิตไม่เจอ เราจะทำอย่างไรดี

พี่แนะนำแบบนี้ค่ะ

1. หากเรื่องใดแก้ไขได้ให้รีบแก้ไขเลย เช่น ทุกข์เพราะหิว ก็แก้ทุกข์ด้วยการไปหาข้าวกิน เดี๋ยวความสุขก็กลับมา

2. ถ้าหากบางเรื่องแก้ไขไม่ได้ ต้องการเวลา พี่อยากให้น้องๆ ลองสำรวจตัวเองว่านอกจากเรื่องที่ทุกข์แล้ว มีเรื่องไหนอีกหรือเปล่านะที่พอทำให้เรามีความสุขได้ (แม้ว่าจะต้องมีความทุกข์ แต่เราต้องไม่ลืมมองหาความสุขนะคะ) เช่น ‘ฉันอกหัก ทุกข์หนักมาก ฉันคิดว่าฉันคงมีความสุขไม่ได้อีกแล้ว’ 

พี่อยากให้น้องสำรวจตัวเองด้วยคำว่า “จริงไหมที่เราจะไม่มีความสุขอีกแล้ว” ผ่านการทดลอง จงวาดวงกลมให้เต็มกระดาษ

จริงไหมที่เราจะไม่มีความสุขอีกแล้ว? งั้นลองวาดวงกลมให้เต็มกระดาษดู! 

สมมติให้กระดาษ คือ ชีวิตของเรา แล้ววงกลมที่กำลังจะวาด นั่นคือความทุกข์ แล้วทำตามพี่นีททีละขั้นนะคะ 

1. ให้น้องๆ วาดวงกลมแห่งความทุกข์ให้ใหญ่เท่ากับความทุกข์ที่น้องๆ คิดเลยค่ะ

2. พอวาดเสร็จ ให้เรามาดูกันหน่อยนะว่ามันมีพื้นที่เหลืออยู่ไหม

พี่เชื่อว่า ต่อให้น้องวาดวงกลมใหญ่สุดจนติดกระดาษ ก็มีพื้นที่ของกระดาษเหลืออยู่แน่นอน 

สิ่งนี้กำลังบอกเราว่า ต่อให้เราคิดว่าเราทุกข์หนักแค่ไหน มันก็ยังมีพื้นที่เล็กๆ ที่ไม่โดนวงกลมกลืนกิน ซึ่งเจ้าพื้นที่เล็กๆ นี้คือความสุข ที่เราหลงลืมไปนั่นเองค่ะ

หลังจากที่เราลองวาดวงกลมและเข้าใจว่า มันยังมีพื้นที่ของความสุขอยู่นะ แม้ว่ามันจะเล็กมากๆ ก็ตาม พี่อยากให้น้องค่อยๆ ถามตัวเองต่อว่า ‘มีอะไรที่ฉันยังมีความสุขไหมนะ’ โดยเอา PERMA มาถามกันค่ะ เช่น

  • พ่อแม่ไม่ได้ทำให้ฉันมีความสุขเลยหรือ (R)
  • อยู่กับเพื่อนแล้วไม่มีความสุขเลยหรือ (R)
  • ความสำเร็จช่วงนี้ไม่มีเลยหรือ (A)
  • ช่วงนี้ไปหาของอร่อยกินไหม (P )
  • ฉันไม่มีเป้าหมายอื่นๆ นอกจากแฟนเลยหรือ อาชีพที่อยากทำคืออะไร (M)
  • ไม่มีเรื่องอะไรที่จะให้ฉันอิน จนลืมความทุกข์ได้เลยหรือ (E)

การค่อยๆ ถามเช่นนี้ จะเป็นการที่เราจะค่อยๆ ระบุความทุกข์ให้มันเล็กลง และหาพื้นที่ของความสุขมากขึ้น เพราะเราสามารถหาพื้นที่ของความสุขได้ต้อง 5 แบบนะคะ (อย่าลืมสิ)

พี่คิดว่า ‘ทุกข์ – สุข’ อยู่ที่เรามอง บางทีเราเจอความทุกข์ถาโถมเข้ามา เราก็อาจจะไปไม่เป็น ดังนั้น ตอนที่เรามึนๆ งงๆ กับความทุกข์ เรายิ่งต้องตั้งสติให้มากๆ ผ่านการวาดวงกลมและถามตนเอง เพื่อให้เราค่อยๆ มองหาความสุข เพราะความสุขเรามีอยู่ทุกวันและสัมผัสได้ เหมือนกับวันที่ฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ แต่ก็ยังรู้สึกในไออุ่นของดวงอาทิตย์

อ้างอิง
PERMA Theory well being and PERMA workshop

Tags:

สุขภาพจิตจิตวิทยาCharacter worldแบบทดสอบ

Author:

illustrator

เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์

นักจิตวิทยาโรงเรียน ผู้ฝันอยากจะเป็น “ฮีโร่” ให้กับเด็กๆ และวัยรุ่น ให้เขามีความสุขในชีวิตมากขึ้น ปรับตัวได้ดีมากขึ้น และมีพลังมุ่งหน้าไปสู่ฝัน นอกจากนี้ยังมีความโลภอยากจะเชิญชวนให้มนุษย์ผู้ใหญ่ทุกคนมาร่วมกันเป็น “ฮีโร่” ของเด็กๆ ผ่านปลายปากกา

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Life classroomHow to enjoy life
    เปลี่ยนที่ทำงานเป็นพื้นที่ฮีลใจ ‘โศรยา ทองดี’ ฮีลเลอร์แห่งโบว์เบเกอรี่เฮ้าส์

    เรื่อง The Potential

  • Book
    วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ: สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย…ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Healing the trauma
    จิตวิทยาของการกราดยิง (mass shooting): บาดแผลทางใจและการรับมือกับเหตุการณ์เลวร้าย

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    มองโลกแบบไหนถึงเรียกว่าในแง่ร้าย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    ‘คนเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขได้ คือ ตัวเรา’ 5 สถานการณ์ที่ทำให้เราไม่เชื่อในเรื่องความสุขอีกต่อไป และวิธีดึงความสุขกลับมาที่ตัวเรา

    เรื่อง The Potential

ด้วยรัก ภาระ และบาดแผล จากการเติบโตในครอบครัวใหญ่ที่ต้องทำตามความต้องการของสมาชิกหลายคน
Family Psychology
11 November 2020

ด้วยรัก ภาระ และบาดแผล จากการเติบโตในครอบครัวใหญ่ที่ต้องทำตามความต้องการของสมาชิกหลายคน

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • การเติบโตท่ามกลางครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกในบ้านหลายคน ข้อดีมีหลากหลาย เช่น มีจำนวนผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันหลายคน หากอีกด้านของเหรียญเดียวกันก็มีปัญหาไม่น้อย
  • เมริษา ยอดมณฑป เจ้าของเพจตามใจนักจิตวิทยา เขียนถึงปัญหาที่อาจเกิดในครอบครัวใหญ่ เช่น การเลี้ยงดูแบบตามใจ ทอดทิ้งหรือปล่อยปละละเลย การเลี้ยงดูแบบสับสน / สภาพแวดล้อมที่มีความขัดแย้งกันตลอดเวลา
  • และบาดแผลทางใจที่อาจเกิดขึ้น เป็นต้นว่า การถูกเปรียบเทียบระหว่างตัวเองกับพี่น้องคนอื่น การต้องทำตามความต้องการของสมาชิกในบ้าน (ซึ่งมีหลายคน) มากกว่าความต้องการของตัวเอง การไม่มีตัวตนและถูกมองข้าม การกลายเป็นคนอกตัญญูเพียงเพราะเลือกทำตามความต้องการตัวเอง

ครอบครัวส่วนใหญ่มักประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูก เราเรียกครอบครัวแบบนี้ว่า ครอบครัวเดี่ยว แต่ในบางครอบครัว อาจจะมีจำนวนสมาชิกมากกว่านั้น บางครอบครัวอาจจะอยู่รวมกันตั้งแต่ปู่ ย่า ตายาย พี่ ป้า น้า อา พ่อ แม่ ลูก หลาน ซึ่งครอบครัวลักษณะนี้เราจะคุ้นเคยกันดีในชื่อเรียก ครอบครัวขยาย หรือครอบครัวขนาดใหญ่

ข้อดีของการอยู่รวมกันหลายคน คงเป็นเรื่องของความอบอุ่น บ้านของครอบครัวใหญ่อาจจะไม่เคยเงียบเหงา เวลาจัดงานเทศกาล ลูกหลานอาจจะวิ่งเล่นกันเต็มบ้านพาให้ผู้ใหญ่ในบ้านพลอยอิ่มเอมใจไปด้วย เวลาเกิดปัญหาคนในครอบครัวสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกันและกันได้

อย่างไรก็ตามการเติบโตท่ามกลางครอบครัวใหญ่ก็อาจจะทำให้เด็กบางคนต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้…

หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยเลือกมูลเหตุของคนส่วนใหญ่ที่มาจากประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนเอง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของแต่ละคนย่อมแตกต่างหลากหลายและเป็นไปในเงื่อนไขของตัวเอง ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาลดทอนปัญหาของแต่ละคน เพียงแต่อยากยกประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ประสบขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายถึงที่มาที่ไปและแนะนำวิธีคลี่คลายบาดแผลของแต่ละคนต่อไป

การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม

 ข้อที่ 1 การเลี้ยงดูแบบตามใจ

เมื่อเด็กคนหนึ่งเกิดมาท่ามกลางสมาชิกในครอบครัวหลายคน เขาจะกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจและความรักไปโดยปริยาย ยิ่งถ้าเป็นลูกคนแรก และหลานคนแรก ทุกคนจะพร้อมเอาอกเอาใจเขาเป็นพิเศษ การถูกตามใจในทุกๆ เรื่อง ทำให้เขากลายเป็นเด็กที่ไม่รู้ขอบเขตว่า ‘อะไรควรทำ’ หรือ ‘ไม่ควรทำ’ และ ‘ไม่รู้ว่าจะต้องพยายามทำสิ่งต่างๆ เพื่อตัวเราเอง’ เพราะที่ผ่านมาทุกคนในครอบครัวช่วยเหลือเขาเร็วเกินไปด้วยการทำทุกอย่างให้กับเขา แม้ว่าสิ่งนั้นเขาควรจะเรียนรู้และฝึกฝนทำมันด้วยตัวเอง

เมื่อเขาเติบโตเข้าสู่วัยที่ต้องเข้าโรงเรียน เขาอาจไม่มีความมั่นใจเมื่อต้องจากครอบครัว เพราะเขาไม่รู้ว่าต้องจัดการตัวเองหรือรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร เขาจะกลายเป็นเด็กที่ทำอะไรไม่เป็น เพื่อนๆ จะเริ่มมองเขาแตกต่าง และยิ่งเวลาเขาเล่นกับเพื่อน อาจเกิดปัญหา เพราะเขาจะลืมไปว่าตัวเขาควรที่รอเพื่อผลัดกันเล่นกับเพื่อน และเขาควรแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้เพื่อนบ้าง แต่เขาไม่เคยรู้มาก่อน เพราะที่ผ่านมาของทุกอย่างในบ้านล้วนเป็นของๆ เขา เขาไม่เคยต้องแบ่งปันกับใคร หรือผลัดกันเล่นกับใครเลย

สุดท้ายเมื่อเด็กที่ถูกตามใจเติบโตขึ้นมากลายเป็นคนที่เอาแต่ใจ ตัวเขาก็จะปรับตัวเข้าสู่สังคมได้ยาก เพราะไม่มีใครที่คอยตามใจหรือทำอะไรให้เขาเหมือนที่บ้าน ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็รู้สึกถูกขัดใจและยากลำบากไปเสียหมด ยิ่งการเข้าสู่สังคมที่มีกฎกติกาที่ชัดเจน เด็กที่ไม่เคยรู้ขอบเขตมาก่อน จะรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องมาอยู่ภายใต้กรอบระเบียบเหล่านี้ ถ้าหากเขาเรียนรู้ที่จะปรับตัวย่อมเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเขาไม่อยากปรับตัวเอง เลือกแยกตัวออกจากสังคมแทน หรือทำสิ่งที่คนอื่นไม่ยอมรับ อาจถูกคนอื่นมองเขาไม่ดี และตัวเขาเองย่อมรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง

ข้อที่ 2 การเลี้ยงดูแบบทอดทิ้งหรือปล่อยปละละเลย

ในทางตรงกันข้ามกับการเลี้ยงดูแบบตามใจ คือ การเลี้ยงดูแบบทอดทิ้ง หรือถูกปล่อยปละละเลย บางครั้งการเติบโตในครอบครัวใหญ่ที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวทุกคนต้องทำงาน ลูกหลานอาจถูกปล่อยให้อยู่กับผู้สูงอายุภายในบ้าน เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งผู้สูงอายุบางคนก็ไม่มีแรงที่จะวิ่งเล่นไล่จับกับหลาน ซึ่งการดูแลเด็กวัยกำลังซนเป็นเรื่องยาก ทางเดียวที่จะทำให้เด็กๆ เหล่านี้อยู่นิ่ง และสงบเป็นเวลานานได้ก็คือ การเปิดหน้าจอให้ดู 

ในสมัยที่เพิ่งมีโทรทัศน์เด็กๆ ก็อาจจะต้องดูละครที่ปู่ย่าตายายดู ปัจจุบันการเข้ามาของเทคโนโลยีอย่างไอแพด แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือที่สามารถดู Youtube ได้ เด็กๆ ก็หันมาติด Youtube แทน ซึ่งโดยมากเนื้อหาที่เด็กๆ ได้ดูมักจะไม่เหมาะสมกับวัย และระยะเวลาที่ดูอย่างยาวนานอาจจะส่งผลต่อพัฒนาการหลายๆ ด้านของเขา 

โดยเฉพาะในเด็กเล็ก พัฒนาการทางด้านภาษาและสมาธิของเขาการจะถูกขัดขวางจากการดูหน้าจอ และพฤติกรรมเลียนแบบผนวกกับอารมณ์ที่รุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อเขาดูเนื้อหาที่มีความรุนแรงในนั้น เด็กกลุ่มนี้จะเสี่ยงเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคสมาธิสั้นเทียม* โรคออทิสติกเทียม** โรคขาดประสบการณ์ และอื่นๆ

นอกจากนี้ การที่เด็กถูกเลี้ยงดูแบบทอดทิ้งหรือปล่อยปละละเลยในช่วงเวลาที่สำคัญ คือ ‘ช่วงวัย 0-6 ปี’ เขาจะไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อแม่ได้ดี พ่อแม่กลายเป็นคนที่ไม่มีอยู่จริงสำหรับเขา เมื่อถึงคราวที่พ่อแม่ต้องสอนอะไร เขาจะไม่ฟัง และต่อต้านมากขึ้น เมื่อเด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ เขาอาจจะไม่รู้สึกผูกพันกับคนในครอบครัว 

ซ้ำร้ายรากฐานที่สำคัญ คือ จิตใจที่มั่นคงอาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับเขา ทำให้เมื่อเจออุปสรรคและปัญหาในชีวิต เขาอาจจะไม่มั่นใจว่าตัวเขาจะสามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้

*โรคสมาธิสั้นเทียม เด็กที่มีสภาวะปกติ แต่เพราะปัจจัยการเลี้ยงดูทำให้พวกเขามีอาการคล้ายกับเป็นสมาธิสั้น
**โรคออทิสติกเทียม คือ เด็กที่เกิดมาไม่ได้มีภาวะออทิสติก แต่เกิดจากการเลี้ยงดู เช่น ถูกปล่อยปละละเลย ไม่ได้ทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมตามพัฒนาการของวัย

ข้อที่ 3 การเลี้ยงดูแบบสับสน

ในครอบครัวใหญ่ การเข้ามามีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งเป็นเรื่องปกติ ถ้าหากแนวทางในการเลี้ยงดูของผู้ใหญ่ทุกคนในครอบครัวเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ถือเป็นเรื่องโชคดีและเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะเด็กจะเรียนรู้และปฏิบัติตามแนวทางที่พ่อแม่สอนได้อย่างดี แต่ถ้าหากแนวทางที่พ่อแม่สอนตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้ใหญ่คนอื่นในบ้านปฏิบัติต่อเด็ก ปัญหาจะเกิดขึ้นในทันที เด็กจะเกิดความสับสนว่า ‘แล้วเขาควรจะเชื่อและทำตามใครดี’

ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่อาจจะสอนให้ลูกมีวินัยและช่วยเหลือตัวเองเป็น แต่ปู่ ย่า ตา ยาย อาจจะตามใจหลาน หลานอยากได้อะไรก็ให้หมดทุกสิ่ง หลานไม่อยากทำอะไรเอง ก็ทำให้หมดทุกอย่าง ถ้าเป็นเช่นนี้เด็กจะรู้สึกว่า เขาไม่อยากมีวินัย ไม่อยากช่วยเหลือตัวเอง เพราะการถูกตามใจนั้นสบายกว่า ทำไมเขาต้องลำบากควบคุมตัวเองด้วย ดังนั้น เด็กจะอยากอยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย และไม่ชอบเวลาอยู่กับพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่และปู่ ย่า ตา ยาย ทะเลาะกันบ่อยครั้งกับเรื่องนี้

 ในท้ายที่สุด ไม่ว่าพ่อแม่จะพยายามสอนวินัยลูกมากแค่ไหน หากสภาพแวดล้อมยังมีคนตามใจลูกอยู่ จะไม่เกิดผลใดๆ กับลูก ถ้าเกิดจะแค่น้อยนิด ยกเว้นเสียแต่ว่า พ่อแม่จะแยกออกมาอยู่กันเอง หรือ ใช้เวลาอยู่กับลูกมากกว่าผู้ใหญ่คนอื่นในบ้าน จึงจะสามารถดึงลูกกลับมาสู่ทางที่เหมาะสมได้

ข้อที่ 4 สภาพแวดล้อมที่มีความขัดแย้งกันตลอดเวลา หรือ ท่ามกลางความเกลียดชังของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย

บางครั้งการอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ อาจจะนำมาซึ่งความอึดอัดระหว่าง พ่อแม่สามีกับลูกสะใภ้ หรือ พ่อแม่ภรรยากับลูกเขย ได้ง่ายขึ้น เมื่อแนวทางในการใช้ชีวิตและบุคลิกไม่ตรงกัน อาจจะทำให้เกิดปัญหาขัดใจกันได้ง่าย เมื่อเกิดการล้ำเส้นกันเพียงเล็กน้อยก็สามารถนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งกันได้ทันที

เด็กที่เติบโตมาท่ามกลางความเกลียดชังของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย มีการทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน และผู้ใหญ่พยายามให้เด็กเข้าข้างตัวเองด้วยการพูดจาให้ร้ายอีกฝ่าย เด็กจะมีแนวโน้มมีอารมณ์ที่รุนแรงและระบายอารมณ์กับผู้อื่นเมื่อมีโอกาส หากไม่สามารถระบายออกได้อย่างเหมาะสม เขาอาจจะเก็บอารมณ์ทางลบเหล่านั้นไว้ นานวันเข้าก็สามารถเป็นสาเหตุของปัญหาทางสุขภาพจิตตามมาได้

บาดแผลและภาระทางใจจากครอบครัวใหญ่

ข้อที่ 1 การถูกเปรียบเทียบระหว่างตนเองกับพี่น้องและลูกหลานคนอื่น

เมื่อเติบโตมาท่ามกลางญาติพี่น้อง ตัวเราไม่เพียงจะถูกเปรียบเทียบกับพี่น้องของเราแล้ว เรายังจะถูกเปรียบเทียบกับลูกพี่ลูกน้องของเราอีกด้วย การเปรียบเทียบเริ่มต้นตั้งแต่รูปร่างหน้าตา ไปจนถึงความสามารถในการเรียน และการทำสิ่งต่างๆ ยิ่งครอบครัวใดให้ความสำคัญกับความเป็นเลิศทางวิชาการ ลูกหลานคนไหนสอบได้คะแนนเต็ม หรือ สอบได้ที่หนึ่ง ทุกคนในบ้านจะพากันชื่นชม ความกดดันที่เพิ่มขึ้นในลูกหลานคนอื่นทวีคูณ  เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ถ้างานของเราที่ได้ ไม่ได้

ข้อที่ 2 การต้องทำตามความต้องการของคนในครอบครัวมากกว่าความต้องการของตนเอง

เมื่อเราอยู่ในครอบครัวใหญ่ การตัดสินใจของเรามักจะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ใหญ่ในครอบครัว ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงจากพ่อแม่ของเรา แต่หมายรวมถึงปู่ ย่า ตา ยาย ป้า น้า อา ของเราด้วย เพราะพ่อแม่มักจะเกรงใจผู้ใหญ่คนอื่นในบ้านด้วย ทำให้การที่เราต้องเลือกอะไรบางอย่าง เป็นเรื่องยากมากหากสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวเห็นชอบด้วย 

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ และต้องเลือกคณะที่ครอบครัวให้การยอมรับ ซึ่งก็มักจะเป็น แพทย์ วิศวกร และบริหาร-บัญชี ถ้าเราอยากเรียนในมหาวิทยาลัยและคณะเหล่านี้คงเป็นความโชคดีไปที่ใจเราตรงกับทางบ้าน แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เราคงต้องต่อสู้เพื่อสิ่งที่เราอยากเรียนมากพอสมควร เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ เราไม่เพียงแต่จะต้องต่อสู้กับพ่อแม่ แต่เราต้องต่อสู้กับคนทั้งตระกูล ทำให้เป็นเรื่องยากและตัวเรามักจะยอมทำตามความต้องการของครอบครัวไป

ข้อที่ 3 การต้องเสียสละตัวเองเพื่อพี่น้องและครอบครัว

แม้จะเป็นครอบครัวใหญ่ แต่บางครั้งรายได้ของครอบครัวก็สวนทางกับจำนวนปากท้องของสมาชิกภายในครอบครัวที่มีจำนวนมาก พี่คนโตสุดของครอบครัวมักจะกลายเป็นผู้ที่ต้องเสียสละตัวเองลาออกจากโรงเรียนเพื่อมารับผิดชอบดูแลครอบครัวร่วมกับพ่อแม่ ทั้งๆ ที่ใจจริงเขาอาจจะอยากเรียนต่อ อยากทำตามความฝันของตัวเอง แต่ความจำเป็นของครอบครัวกลับมาก่อนความต้องการของเขา เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกที่ติดค้างภายในใจยังคงตามติดเขามา เขาอาจจะกลายเป็นคนเก็บความรู้สึก และทำตามหน้าที่ก่อนความต้องการของตัวเองเสมอ

ข้อที่ 4 การไม่มีตัวตนและการถูกมองข้าม

เมื่อเป็นครอบครัวใหญ่ สมาชิกภายในครอบครัวนั้นมีหลายคน จนบางครั้งเด็กที่เกิดมาไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ อาจจะเป็นคนถูกมองข้ามเสมอ ซึ่งเด็กคนนี้อาจจะเป็นลูกคนกลางของครอบครัว พ่อแม่และผู้ใหญ่คนอื่นๆ จึงลืมเขาไป เพราะมัวแต่ให้ความสนใจกับน้องคนเล็ก ไม่ก็พี่คนโตของครอบครัว ดังนั้น เด็กอย่างเขาต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้คนในครอบครัวรับรู้ว่ามีเขาอยู่ และยอมรับในตัวเขา ถ้าเขาทำได้สำเร็จนั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเขาทำไม่สำเร็จ เด็กจะเลือกยอมแพ้ และยอมอยู่อย่างเงียบในครอบครัวนี้ หรือ เขาอาจจะเลือกทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมเพื่อเรียกร้องความสนใจจากทุกคนในครอบครัวก็เป็นได้ สำหรับเขาการไม่มีตัวตนนั้นเจ็บปวดกว่าการถูกตำหนิและลงโทษเสียอีก เพราะการถูกมองเห็นย่อมดีกว่าถูกมองข้ามแน่นอน

ข้อที่ 5 การเป็นคนอกตัญญู

เด็กบางคนเลือกที่จะทำตามฝันของตัวเอง แม้ว่าฝันนั้นจะตรงข้ามกับค่านิยมและความต้องการของครอบครัว การที่เขาทำเช่นนั้น เขาต้องถูกคนในครอบครัวใหญ่ตราหน้าว่าเป็น “คนอกตัญญู” ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นภายในใจทำให้บางครั้งตัวเขาสับสนว่า “สิ่งที่เขากำลังทำนั้นถูกจริงๆ หรือ และเขาเป็นคนอกตัญญูต่อครอบครัวจริงๆ หรือเปล่า” ยกตัวอย่างเช่น

– ครอบครัวของเด็กคนหนึ่งอยากให้เขาดูแลธุรกิจขนส่งของครอบครัวต่อไป แต่ตัวเขาอยากเรียนต่อต่างประเทศและกลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ครอบครัวอาจจะรับไม่ได้ และไม่ยอมส่งเสียเขาเรียนต่อ เพื่อให้เขากลับมาดูแลกิจการที่บ้าน

– เด็กคนหนึ่งอยากเรียนศิลปะ แต่พ่อแม่และวงศ์ตระกูลทำอาชีพแพทย์ ตัวเขาไม่ได้ชอบ และรู้ตัวดีว่าเรียนไม่ไหว เมื่อพ่อแม่กดดันมากเข้าก็ยอมเรียนแพทย์ แต่เรียนไปได้สองปีก็ไปต่อไม่ไหวอย่างที่คาดไว้ เขาลาออกและสอบเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ พ่อแม่ไม่ยอมพูดกับเขาอีกเลย

– ปัจจุบันเด็กคนหนึ่งอยากออกไปร่วมม็อบ พ่อแม่ไม่ชอบที่ลูกสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามกับตนเอง เมื่อลูกยืนหยัดจะทำตามที่ตัวเองเชื่อ พ่อแม่เลือกที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับลูก

ไม่มีลูกคนไหนที่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวังและเลิกรักเขา เพราะสำหรับเขามันเจ็บปวดมากที่เขาต้องเลือกระหว่างความฝัน ความเชื่อ และตัวตนของเขา กับ พ่อแม่ที่เขารัก

ข้อที่ 6 ความไม่เท่าเทียมในครอบครัว

“ครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว”

บางครอบครัวใหญ่ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว ด้วยวัฒนธรรมขนมธรรมเนียมที่ส่งต่อกันมา ลูกชายจะรู้สึกเป็นใหญ่ และอาจจะไม่ให้เกียรติเพศหญิง เพราะเขามองว่าผู้หญิงนั้นด้อยกว่าตัวเอง ในทางกลับกัน ลูกสาวจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง เพราะมีหน้าที่ฟังและทำตามอย่างเดียว ทำให้เมื่อลูกสาวเติบโตมา อาจจะไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และไม่กล้าปฏิเสธหรือยืนหยัดเพื่อตัวเองเลย

ครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับพี่คนโตมากกว่าน้องคนอื่นๆ

บางครอบครัวใหญ่จะให้ความสำคัญกับพี่คนโตมาก จนไม่ให้ความเท่าเทียมกับน้องคนอื่นๆ พี่คนโตจะได้ทุกอย่างหรือได้มากกว่าน้องคนอื่นเสมอ และพ่อแม่จะมอบอำนาจให้พี่คนโตเลือกและตัดสินใจในทุกอย่าง ทำให้พี่คนโตค่อนข้างวางอำนาจและเอาแต่ใจ ในขณะที่น้องคนอื่นอาจจะรู้สึกอิจฉาและไม่ชอบพี่คนโตมากๆ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับน้องคนเล็กสุดมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ

บางครอบครัวใหญ่จะประคบประหงมลูกหรือหลานคนสุดท้องมากเป็นพิเศษ เวลาเด็กอยากได้อะไรก็จะให้ทันที และพี่ๆ ต้องเสียสละให้น้องคนนี้เสมอ จนทำให้เด็กกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ส่วนพี่ๆ จะรู้สึกไม่ชอบน้องและดื้อรั้นกับพ่อแม่มากขึ้น เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเอง

ข้อที่ 7 กับดักแห่งความมั่นคง

ครอบครัวใหญ่บางครอบครัวมีธุรกิจเป็นของตัวเองทำให้ลูกหลานต่างเติบโตมาและทำงานในธุรกิจดังกล่าว ทั้งนี้เด็กบางคนอาจจะมีฝันที่จะทำอย่างอื่น แต่ก็กลัวว่าฝันของตัวเองอาจจะไม่มั่นคงเท่ากับการงานของที่บ้าน ทำให้เลือกที่จะพับฝันนั้นเก็บไป และสานต่อธุรกิจของครอบครัวเอง

แนวทางในการรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดจากการเติบโตท่ามกลางครอบครัวใหญ่

สำหรับพ่อแม่

  1. ถ้าหากเราไม่สามารถเปลี่ยนที่คนในครอบครัวใหญ่ได้ เราควรเปลี่ยนที่ครอบครัวของตัวเอง พูดคุยกับสามีหรือภรรยา และกำหนดแนวทางในการเลี้ยงลูกด้วยตนเอง ทำให้ตรงกัน และใช้วเลาอยู่ลูกให้มากที่สุด
  2. ถ้าหากเราไม่สามารถหยุดการแทรกแซงของผู้ใหญ่ที่กระทำต่อลูกเรา เราควรเลือกที่จะพาครอบครัวออกมา หากออกมาไม่ได้เราควรที่จะใช้เวลาในการเลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง และไม่ฝากลูกไว้กับใคร
  3.  ก่อนที่จะเปลี่ยนเเปลงหรือแก้ปัญหาอะไร ตัวเราทั้งกายใจต้องพร้อมก่อน เพราะหากจะลงมือเปลี่ยนแปลงหรือแก้ปัญหาอะไรแล้ว เราต้องทำอย่างจริงจัง การออกกำลังกายและกินอาหารที่มีประโยชน์อยู่เสมอสามารถทำให้ร่างกายของเราพร้อม ส่วนจิตใจหากเราไม่สามารถจัดการภาระทางใจได้ การไปพบผู้เชี่ยวชาญ อย่างเช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา และนักบำบัด สามารถช่วยเราได้
  4.  รู้จักปล่อยวาง การอยู่กับครอบครัวใหญ่ ทำให้เราต้องเผชิญเรื่องของ การติฉินนินทา ตำหนิต่อว่า และการใส่ร้าย ได้ง่ายขึ้น ดังนั้น หากเรื่องดังกล่าวที่ได้ยินมา ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องเอามาใส่ใจ
  5. มีความสุขกับครอบครัวเล็กๆ ความสุขของเราไม่ควรไปแขวนอยู่กับครอบครัวใหญ่ หากเราและลูกเรามีความสุขได้ง่ายๆ ก็เพียงพอแล้ว
  6. พึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด กับดักที่ทำให้พ่อแม่ส่วนใหญ่ที่อยู่ในครอบครัวใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจ หรือ เลือกทางเดินชีวิตให้กับครอบครัวตัวเอง เกิดจากการที่ต้องพึ่งพาครอบครัวใหญ่มากเกินไป หากอะไรที่เราทำได้ด้วยตนเอง เราก็ควรทำมันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ การเลี้ยงลูกด้วยตนเอง

สำหรับลูก

  1. ตระหนักรู้ถึงบาดแผลและภาระทางใจที่เราได้รับจากการเติบโตมา ไม่เป็นไรที่จะลืมหรือให้อภัยไม่ได้ แต่เราควรที่จะเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว และก้าวต่อไป
  2. ยอมรับตัวตนที่เราเป็น แม้ที่ผ่านมาเราจะไม่รับรู้ว่า คนในครอบครัวไม่ยอมรับในแบบที่เราเป็น ขอให้เราเริ่มต้นด้วยการยอมรับในสิ่งที่เราเป็นก่อน หาจุดที่เราสบายใจ และเรียนรู้ที่จะทำความรู้จักตัวเองในจุดนั้น
  3.  รักตัวเองก่อน หากที่ผ่านมาเรารู้สึกว่า ไม่มีใครรักเรา ขอแค่เราเองที่รักตัวเองก่อน
  4. หากข้อ 1-3 เราไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง แนะนำให้พบผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือ นักบำบัดอื่นๆ เพื่อช่วยคลายปมภายในใจ และเรียนรู้ที่จะก้าวต่อไป
  5.  กำหนดชีวิตตัวเอง เราเป็นผู้รับผิดชอบในสิ่งที่เลือก ดังนั้น ขอให้เลือกในสิ่งที่รักและเป็นตัวเรา
  6. ไม่เป็นไรที่วันนี้ยังทำไม่ได้สักข้อ เพราะอย่างน้อยแค่เริ่มทำไปวันละนิด เราจะค่อยๆ เปลี่ยนไปวันละน้อย แม้จะเปลี่ยนได้ช้า แต่ยั่งยืนกว่าการเปลี่ยนชั่วข้ามคืน เพราะในความเป็นจริงแล้ว เป็นไปได้ยากมากที่ปกในวัยเยาว์ที่สะสมมาในใจกว่าครึ่งชีวิตของเราจะสามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาสั้นๆ ให้เวลากับตัวเอง อย่ารีบร้อน

สุดท้าย ไม่ใช่ทุกครอบครัวใหญ่จะมีแต่เรื่องเลวร้าย และไม่ใช่ทุกครอบครัวเล็กที่จะมีเเต่เรื่องดี ทุกครอบครัวล้วนมีทั้งเรื่องดีและร้ายปะปนกันไป เพราะเราทุกคนล้วนก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง การที่เรามาอยู่รวมกันย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ในเมื่อเราได้เติบโต และมีประสบการณ์ในข้อผิดพลาดบางอย่างมาแล้ว เราควรเก็บเอาข้อผิดพลาดที่เราเคยประสบมาเป็นบทเรียน และไม่ทำผิดพลาดกับลูกหรือใครๆ ต่อไป

Tags:

แบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)The Untold Stories

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    พัฒนาการความสัมพันธ์ 4 ขั้นในเด็กแรกเกิด เมื่อความสัมพันธ์ใน ‘วัยแรกเกิด’ มีผลไปตลอดชีวิต

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.3 การแสดงออกซึ่งความรัก

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ลำดับการเกิดที่แตกต่าง มาพร้อมความคาดหวังและภาระที่ต้องแบกรับไม่เท่ากัน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

ชอบวางแผนชี้ขาดหรือยืดหยุ่น สไตล์ไหนที่ใช่คุณมากกว่า?
Myth/Life/Crisis
11 November 2020

ชอบวางแผนชี้ขาดหรือยืดหยุ่น สไตล์ไหนที่ใช่คุณมากกว่า?

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • คุณชอบทำงานต่างๆ ให้เสร็จ เพราะอึดอัดกับความรู้สึกค้างคา หรือคุณมักจะทำงานแบบไฟลนก้น เสร็จนาทีสุดท้าย เพราะจะรู้สึกถูกกระตุ้นให้ลงมือด้วยกำหนดส่งงานที่กระชั้นเข้ามา
  • ชวนเช็คตัวเองว่าเราใช้ชีวิตแบบวางแผนชี้ขาดหรือมีความยืดหยุ่น ผ่านแบบทดสอบ 10 ข้อ

คนเราแต่ละคนมีแนวทางการดำเนินชีวิตไม่เหมือนกัน บางคนก็ชอบดำเนินชีวิตในลักษณะที่ต้องมีการวางแผนชี้ขาด แต่บางคนก็ชอบปล่อยสบายๆ ไม่ต้องรีบตัดสินใจ ซึ่งถือว่ามีความยืดหยุ่นและพร้อมด้นสดได้มากกว่า โดยปรกติทุกคนก็ใช้ชีวิตทั้งสองลักษณะผสมผสานกันอยู่แล้ว แค่ว่าชอบหรือถนัดแบบไหนมากกว่ากัน เหมือนที่คนเราใช้มือทั้งสองข้างแต่มักจะถนัดข้างใดข้างหนึ่งมากกว่าเท่านั้นเอง

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวคุณเองชอบใช้ชีวิตในลักษณะไหนมากกว่ากัน? วันนี้ เรามีแบบทดสอบเพื่อสำรวจตัวเอง 10 ข้อมาให้คุณได้ทำสนุกๆ โดยคุณสามารถตอบคำถามแค่ว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” และถ้าใช่ก็ให้เปอร์เซ็นต์เองได้ด้วยว่า ใช่ กี่เปอร์เซ็นต์  

นอกจากนี้ หากต้องการจะให้สนุกและได้เรียนรู้ความสัมพันธ์เพิ่มขึ้นไปอีกขั้น อยากให้ลองชวนคนที่เรามีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น พ่อแม่ พี่น้อง แฟน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท ฯลฯ มาร่วมตอบแบบทดสอบด้วย เพราะนอกจากเราจะได้เรียนรู้ความชอบของกันและกัน เราก็อาจ เห็นรูปแบบบางอย่างโผล่ขึ้นมาในวงความสัมพันธ์ ด้วย เช่น ครอบครัวที่ทั้งพ่อและแม่ชอบวางแผนชีวิตอย่างเคร่งครัดและไม่ค่อยยืดหยุ่นเลย ก็อาจทำให้คนเป็นลูกคุ้นชินกับวิถีแบบนั้นและกลายเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตแบบนั้นไปด้วย หรือคนที่ชอบวางแผนชีวิตมาก อาจพบว่าตัวเองมีเพื่อนสนิทส่วนใหญ่เป็นคนค่อนข้างยืดหยุ่น ซึ่งก็สามารถไปวิเคราะห์ต่อยอดได้ว่า เอ๊ะ ลึกๆ แล้ว คนคนนั้นต้องการสมดุลใช่หรือไม่

หากว่าพร้อมกันแล้ว ก็มาลุยแบบทดสอบกันเลยดีกว่า 

  1. คุณชอบตัดสินใจชี้ขาดให้แน่นอนไปเลย ยกตัวอย่างที่เห็นชัดคือ คนบางคน แม้แต่เวลาไปเที่ยวก็ยังชอบวางแผนเป็นตารางล่วงหน้าเลยว่าวันไหนจะไปสถานที่ใดบ้าง ต้องนั่งรถไฟสายไหนบ้าง แล้วจัดกลุ่มข้อมูลเพื่อเตรียมตัวเดินทาง นอกจากนี้ก็อาจซื้อตั๋วเดินทางท้องถิ่นของประเทศปลายทางนั้นๆ แบบเหมาจ่ายไว้ล่วงหน้าแล้วด้วยซ้ำ  
  2. คุณสนุกและได้รับพลังงานจากสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจ
  3. ในปริมาณงานพอดีๆ คุณมักจะทำงานเสร็จก่อนกำหนดส่ง 
  4. คุณมักจะทำงานแบบไฟลนก้น เสร็จนาทีสุดท้าย รู้สึกถูกกระตุ้นให้ลงมือด้วยกำหนดส่งงานที่กระชั้นเข้ามา 

วิธีการทำงานของคุณมีแนวโน้มจะมีหน้าตาแบบนี้

  1. คุณชอบวิถีชีวิตที่มีการจัดระบบระเบียบและควบคุมได้ จึงมักวางแผนสิ่งต่างๆ ล่วงหน้าโดยใช้สมุดบันทึก ปฏิทิน digital planner ฯลฯ คุณมักจะวางแผนรายการสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน ซึ่งเชื่อมโยงกับเป้าหมายชีวิตระยะยาวอีกที

วิธีการทำงานของคุณมีแนวโน้มจะมีหน้าตาแบบนี้

ไทม์ไลน์ด้านบนหมายความว่าถ้างานมันจบได้ในวันนี้ ต่อให้ต้องทำเลยเวลางานจริงอีกหน่อย ก็อยากทำให้มันจบๆ ไปเลย ถึงแม้วันนี้จะยังไม่ใช่กำหนดส่งก็ตาม

  1. คุณชอบชอบวิถีชีวิตที่ยืดหยุ่น สนุกกับอิสระที่จะได้สำรวจสิ่งต่างๆ อย่างปราศจากข้อจำกัด คุณจึงอึดอัดในการทำตามตารางกิจวัตรอันซ้ำซาก
  2. คุณชอบทำงานและโครงการต่างๆ ให้เสร็จสิ้นไป คุณอึดอัดกับความรู้สึกค้างคา
  3. คุณรู้สึกผ่อนคลายกับสถานการณ์ที่ยังไม่ตัดสินใจแน่นอน ยังเป็นปลายเปิดอยู่
  4. คุณอาจจะดูเข้มงวด ตายตัว ไม่ยืดหยุ่น หรือเรียกร้องมากไป ในสายตาของคนที่ชอบความยืดหยุ่นมากกว่านั้น
  5. คุณอาจจะดูไม่มีระบบ ยุ่งเหยิง หรือดูไม่ค่อยรับผิดชอบ ในสายตาคนที่ชอบชีวิตที่มีระเบียบและการวางแผนมากกว่านั้น

หากคุณทำแบบทดสอบแล้ว ตอบเลขคี่มากกว่า (1, 3, 5, 7, 9) นั่นหมายถึงคุณมีแนวโน้มชอบใช้ชีวิตโดยมีการวางแผนชี้ขาดมากกว่า แต่หากคุณตอบเลขคู่มากกว่า (2, 4, 6, 8, 10) นั่นหมายถึงคุณมีแนวโน้มชอบใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่นมากกว่า* หรือคุณอาจจะอยู่กลางๆ ก็ได้ คือทั้งชอบวางแผนและยืดหยุ่นพอๆ กัน อย่างไรก็ตาม แบบทดสอบนี้คัดมาแต่น้อยและปรับเนื้อหามาเพื่อให้เห็นภาพคร่าวๆ ของแง่มุมหนึ่งเท่านั้น (เนื้อหาโดยละเอียดสามารถดูได้ตามหนังสือที่อ้างอิง) อีกทั้งสไตล์เหล่านี้มีระดับแตกต่างกันได้ เช่น บางคนชอบวางแผน 80 เปอร์เซ็น บางคนชอบวางแผนก็จริงแต่ก็แค่ 65 เปอร์เซ็น คุณไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการจัดประเภทอย่างตายตัว เพราะคนแต่ละคนก็มีความเฉพาะตัว จึงไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปยัดกล่องเป๊ะๆ ดังที่เราจะเห็นว่าคำตอบของคนมักเป็นแนวผสมผสาน เช่น ตอบว่าแล้วแต่เรื่อง ถ้าเรื่องงานวางแผนละเอียด ส่วนเรื่องเที่ยวด้นสดเกือบตลอด

นอกจากนี้ มันยังเปลี่ยนแปลงได้ด้วย เช่น เพื่อนของคุณใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่นมากมาก่อนจนบางทีดูเหมือนชอบดองงานหรือไม่วางแผนชีวิต แต่พอเพื่อนเปลี่ยนตำแหน่งงานหรือมีลูก ก็กลายเป็นคนชอบใช้ชีวิตวางแผนชี้ขาดมากขึ้น

และสไตล์ที่จัดการกับข้างนอก เทียบกับโลกข้างในก็อาจไม่เหมือนกัน ชั่วขณะที่บางคนดูวางแผนชี้ขาดเหลือเกิน ก็ไม่ได้แปลขณะนั้นๆ เขาปิดรับข้อมูลใหม่ๆ ไปแล้ว เพราะในใจเขาก็อาจจะยังพร้อมรับข้อมูลอื่นเพิ่มไปเรื่อยๆ แต่แค่ไม่ได้เอาข้อมูลนั้นมาทำอะไรในทางกายภาพ เช่น ฮันนาฮ์วางแผนล่วงหน้าว่าวันสุดท้ายของการเดินทาง เวลาเท่านั้นเท่านี้ โดยรถไฟสายนั้นสายนี้ เธอจะไปพระราชวังเชินบรุนน์, พิพิธภัณฑ์พิพิธภัณฑ์เบลเวอร์เดียร์ ซึ่งเก็บงานของคลิมท์ (Gustav Kilmt) และจบด้วยมหาวิหารเซนต์สตีเฟน แม้ว่าเธอเดินทางไปแค่สามที่นี้เลย แต่ระหว่างทางก็ยังคงหาข้อมูลของสถานที่น่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมไว้อีกมากมาย ในใจของเธอยืดหยุ่นพร้อมรับข้อมูลใหม่ๆ เสมอ

ในส่วนของคนที่ชอบยืดหยุ่นนั้น เคยถามเพื่อนๆ ว่า โลกภายในของเขามีแผนอะไรบ้างไหม บางคนตอบว่าข้างในก็ไม่ได้มีแผนอะไรชัดเจนเหมือนกัน มันอยากกระโจนเข้าใส่สถานการณ์เลย เหมือนถ้าวันนี้ต้องเดินทางกลับบ้านแต่หากเจออะไรถูกใจก็พร้อมจะทิ้งบัตรเดินทางเก่าที่ซื้อไว้ไปเลย หรือบ้างก็ตอบว่าถ้าไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญจริงๆ ก็แทบไม่วางแผนเลย แผนการเป็นภาพของพื้นที่อันว่างเปล่า แต่ก็มีอะไรที่น่าลองเสพเต็มไปหมด โอ้โห โลกมีอะไรให้ค้นหาอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาผู้รักความยืดหยุ่นตอบตรงกันว่า การวางแผนหมายความว่ามีแค่ “ภาพสุดท้าย” ในใจก็พอ ส่วนรายละเอียดของวิธีการไปสู่ภาพสุดท้ายนั้นพวกเขาด้นสดเอา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นอีกคือ แนวโน้มที่เหมือนหรือแตกต่างกันของคนแต่ละคน ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรจากความสัมพันธ์บ้าง? เช่น สมมุตว่าคุณชอบวางแผนอย่างมาก เมื่อไปเที่ยวกับเพื่อนคุณก็จองตั๋วเดินทางทุกอย่างล่วงหน้าแบบกำหนดแน่นอนไว้เลย (ซึ่งจะได้ราคาถูกกว่า) แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาเดินทางจริงปรากฏว่าดินฟ้าอากาศแปรปรวนอย่างไม่คาดฝัน คุณต้องจำใจทิ้งตั๋วไปโดยรีฟันด์เงินไม่ได้ ในขณะที่เพื่อนอีกคนที่เดินทางไปกับคุณทำตัวตามสบาย เขายังไม่ได้จองตั๋วอะไรไว้เลย ซึ่งทำให้เขาสามาถรถปรับตัวตามเหตุไม่คาดคิดได้คล่องกว่า สถานการณ์เหล่านี้ทำให้คุณเรียนรู้บางอย่างได้เหมือนกัน

หรือเราอาจได้เรียนรู้ว่าวิธีใช้ชีวิตที่คุณชอบมีผลต่อวิธีที่ทีคุณเลี้ยงลูก ซึ่งอาจจะหล่อหลอม ส่งเสริม ขัดแย้งหรือสร้างสมดุลกับวิธีใช้ชีวิตที่ลูกชอบก็ได้ เช่น ลูกบางคนชอบวางแผนประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ แต่พ่อแม่ ชอบวางแผนชี้ขาด 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้ว่าชอบวางแผนเหมือนกัน แต่ส่วนที่เกินมานั้นของพ่อแม่ก็อาจทำให้ลูกรู้สึกตึงเครียดและอึดอัดมาก อีกทั้งรู้สึกว่าพลาดหลายโอกาสที่จะได้ลิ้มรสประสบการณ์สดใหม่ ซึ่งถ้าพ่อแม่ผ่อนปรนไม่ได้(เพราะเราไม่อาจคาดหวังให้ใครเป็นแบบที่เราต้องการ) ก็อาจจะต้องแยกกันอยู่เป็นบางเวลาหรือแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นๆ

หรือหัวหน้าทีมที่ชอบยืดหยุ่นอาจจะทำให้ลูกทีมที่ต้องการวางแผนชี้ขาดรู้สึกอึดอัดและต้องปรับตัวมาก แต่หัวหน้าทีมเองก็อาจไม่รู้ตัวว่า (หรือจงใจ) เลือกลูกทีมที่ชอบวางแผนมากเข้ามาเป็นสัดส่วนที่มากกว่าคนลักษณะยืดหยุ่น ทั้งนี้เพื่อสร้างสมดุลให้กับสไตล์ของตัวเอง

แม้เราจะชอบใช้ชีวิตด้วยวิถีที่ต่างกัน แต่ทุกคนปรับความโอนเอียงได้ตามช่วงชีวิตหรือ สถานการณ์แวดล้อมในขณะนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีคำตอบตายตัว อีกทั้งย่อมเรียนรู้จากกันและกันได้เสมอ

*หมายเหตุ ตามเนื้อหาที่อ้างอิงมานั้น การใช้ชีวิตที่ชอบวางแผนหรือหยืดหยุ่นเป็นเพียงการอธิบายเรื่องที่เกี่ยวกับโลกภายนอก 
อ้างอิง
แบบทดสอบปรับมาจากเนื้อหาหนังสือสองเล่ม Looking at TYPE โดย Earle C. Page ตีพิมพ์โดย Center for Applications of Psychological Type
MBTI step II USES’s Guide
StereoTYPES – Judging and Perceiving
Myers – Briggs Type Indicator Workshop

Tags:

แบบทดสอบชีวิตการทำงานภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Book
    แปดขุนเขา – คือขุนเขาลูกไหน…ในใจคุณ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Everyone can be an Educator
    มุมมองใหม่ในการรู้จักตัวเอง ผ่านการดูไพ่ทาโรต์

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • How to enjoy life
    ผลัดใบจากความกลัว ผลัดใจเก่าทิ้งไป เพื่อชีวิตใหม่ที่งดงาม

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

มหากาพย์การเลือกโรงเรียน (โรงเรียนที่ดีของพ่อแม่ โรงเรียนที่แย่ของลูก)
Early childhoodFamily Psychology
9 November 2020

มหากาพย์การเลือกโรงเรียน (โรงเรียนที่ดีของพ่อแม่ โรงเรียนที่แย่ของลูก)

เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เด็กควรจะเข้าโรงเรียนตอนไหน? โรงเรียนแบบไหนที่ควรจะส่งลูกไป? โรงเรียนราคาสูงหรือโรงเรียนใกล้บ้านดี? และอีกสารพัดคำถามในประเด็น ‘เลือกโรงเรียนให้ลูก’ สามารถหาคำตอบกันได้ที่รายการโรคพ่อแม่ทำตอนที่ 4

เมื่อลูกของเราถึงช่วงที่ต้องเข้าโรงเรียน ซึ่งครูณาก็บอกว่าใช้เวลาอยู่เยอะกว่าที่บ้านซะอีก นับเอาตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม แล้วก็มหาวิทยาลัย รวมกันก็ปาเข้าไป 10 กว่าปีแล้ว

ยิ่งเดี๋ยวนี้เขาสมัครเรียนกันเร็วมาก ที่ผมตกใจคือเด็ก 2 ขวบกว่าต้องอยู่โรงเรียนแล้ว มันก็เป็นความกลุ้มใจเล็กๆ ของคนไม่ชอบเรียนหนังสืออย่างผม ตอนเด็กๆ ก็อาจถูก ‘โรคพ่อแม่ทำ’ หรือโรคใครทำไม่รู้ ทำให้เราไม่ค่อยอยากไปโรงเรียน คือโรงเรียนมันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น แต่ความรู้สึกนี้มันมาทุกครั้ง ใจเราก็ไม่อยากให้ลูกไปโรงเรียนเร็วนัก หรือไม่อยากให้ลูกไปโรงเรียน เพราะในใจลึกๆ เราก็รู้สึกว่าช่วงเวลาที่อยู่โรงเรียนเราไม่มีความสุขเลย 

ในโรคพ่อแม่ทำอีพีนี้ เราจะมาคุยกันต่อในประเด็น ‘การเลือกโรงเรียนให้กับลูก’ 

บทความนี้ถอดความมาจาก Podcast รายการ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ตอนที่ 4 มหากาพย์การเลือกโรงเรียน (โรงเรียนที่ดีของพ่อแม่ โรงเรียนที่แย่ของลูก) ดำเนินรายการโดย เม้ง-ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร และ ครูณา-อังคณา มาศรังสรรค์ กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์ 

รับฟังในรูปแบบพอดแคสต์ได้ที่นี่

เด็กควรจะเข้าโรงเรียนตอนไหน

ขอเริ่มด้วยคำถามนี้ครับ เด็กควรจะเข้าโรงเรียนเมื่อไร? อย่างลูกผม 2 ขวบแล้ว ส่งไปเรียนเร็วๆ แบบนี้มันจะดีไหมครับ?

ความจริงมันขึ้นอยู่กับเด็กแต่ละคนมากๆ ซึ่งพอตอบนี้ก็ทำให้หาข้อยุติยาก พี่ขอยกตัวอย่างของฟินแลนด์ เขาจะไม่ให้เด็กเข้าโรงเรียนจนกว่าจะ 6 ขวบ ซึ่งสอดคล้องกับการเลี้ยงเด็กแบบ Twelve Senses (สัมผัสรู้ของแต่ละช่วงวัย 12 สัมผัส) และโครงสร้างสมอง 

โครงสร้างสมองของเด็กก่อน 7 ขวบ เขาไม่ได้พร้อมเรียนหนังสืออัดแน่นความรู้ แต่เป็นวัยที่เขาควรได้เล่น เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำที่บ้านได้ เช่น ถ้าแถวบ้านที่เราอยู่มีเด็กคนอื่นๆ เราสามารถให้ลูกไปเล่นด้วยกัน แล้วค่อยส่งเขาไปโรงเรียนตอนป.1 ก็ได้ 

อีกอย่างช่วง 3 ปีแรก เป็นช่วงสร้างโครงบุคลิกภาพ โดยเฉพาะปีแรก การที่เราให้ลูกไปอยู่เนอสเซอรี่ก่อน 1 ขวบ อย่างที่คุยกันตอนที่ 1 ว่า เด็กเกิดมาแบบขวดเปล่า สิ่งแรกที่เด็กควรจะรู้คือพ่อแม่มีอยู่จริง เป็นความมั่นคงในจิตใจ คุณหมอคิวโกกุ (ชิเงโมริ คิวโกกุ) คนเขียนหนังสือ ‘โรคแม่ทำ’ เขาจะบอกเลยว่า ถ้าให้คนอื่นมีบทบาทในการเลี้ยงลูกเรามากเกินไปในช่วงขวบปีแรก เด็กจะเกิดความสับสนและไม่สามารถสร้างการยึดเหนี่ยวทางจิตใจกับใครที่มั่นคงได้ เขาจะรู้สึกเคว้ง เพราะชีวิตและตัวตนของแม่ทางจิตใจไม่ได้มีอยู่จริงที่เขาจะเกาะเกี่ยวได้

ฉะนั้น ให้ลูกเข้าเนอสเซอรี่ก่อน 3 ขวบ เป็นสิ่งที่ไม่ควรมากๆ เพราะว่าเด็กยังไม่รู้ว่าใครคือพ่อแม่ตัวจริง แล้วช่วง 1 – 3 ขวบ เป็นช่วงที่เขาเรียนรู้วิถีชีวิต ส่วนใหญ่พ่อแม่มักคิดว่าเอาลูกไปอยู่เนอสเซอรี่เพื่อให้ลูกมีสังคมกับเด็กวัยเดียวกัน อันนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจผิดนะ เพราะเด็กวัยเดียวกันไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแบบแผนชีวิตให้กันได้ อย่างเม้งมีเพื่อน เพื่อนต้องอายุเท่าเราไหม?

ทุกวันนี้ก็ไม่ครับ

ในชีวิตจริงๆ เราจะเห็นว่าเด็กที่เป็นเพื่อนกับผู้ใหญ่ เป็นเพื่อนกับรุ่นพี่ เขาได้เรียนรู้ในความหลากหลายมาก แต่พอโรงเรียนให้เขาเรียนกับคนอายุเท่ากัน อยู่ในกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน มันเป็นการสร้างสังคมที่ไม่จริง

ดังนั้น เด็ก 1 – 3 ขวบ จะไปเรียนรู้อะไรกับคำว่าชีวิตจากคนที่อายุ 1 – 3 ขวบเท่ากันล่ะ เขาควรได้รับแพทเทิร์นของชีวิตจากคนที่เป็นผู้ใหญ่ คนที่มีจิตใจแข็งแรง สามารถสอนเขาให้รู้จัก Sense ของชีวิต Sense ของความรัก มันจะค่อยๆ ประทับบรรจุอยู่ในเซลล์ 

เด็กวัย 1 – 3 ขวบ เขายังไม่ต้องการเล่น ช่วงที่เด็กต้องการเล่น ต้องการเพื่อน คือ 5 – 6 ขวบขึ้นไป เพราะเขาต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าตัวฉันเป็นยังไง ความรักรอบๆ ฉัน อันนี้ต้องเรียนจากผู้ใหญ่ที่มั่นคง เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่การไปโรงเรียนแล้วคุณจะบอกว่า คุณกำลังให้สังคมกับลูก พี่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่

ฟังอย่างนี้อาจจะมีคนแย้ง อย่างเช่นเคสเพื่อนผม ลูกเขาเป็นคนขี้อาย พ่อก็กลัวว่าลูกจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ เพราะเล่นแต่กับพ่อแม่ การส่งไปเตรียมตัวแบบนี้ก็อาจมีความจำเป็น ครูณาคิดว่าไงครับ?

ความขี้อายเกิดจากความไม่มั่นคงในจิตใจ ยิ่งเราพยายามผลักเขาออกไปอยู่กับคนอื่น เขายิ่งรับมือจัดการตัวเองยากขึ้นอีก กลายเป็นตอกย้ำความขี้อายของเขา เด็กที่ขี้อายต้องการสัมผัสที่แข็งแรงจากพ่อแม่ เพื่อส่งพลังไปข้างในตัวเขาบรรจุเป็นโปรแกรม เป็นความมั่นคงในจิตใจ ไม่ใช่การผลักให้เขาเข้าไปอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากๆ เลย เราจะเผลอพูดกับลูกว่า “คนอื่นๆ เขาไม่เห็นขี้อายเลย เขาก็เล่นกันได้” ทำแบบนี้เรายิ่งได้ลูกที่ขี้อาย

เด็กที่ขี้อายกับเด็กที่เป็นคนสงบจะเป็นคนละอย่างกัน เด็กที่เป็นคนสงบ คือ เขาสามารถจัดการตัวเองได้ เขาอาจไม่ได้ต้องการปฏิสัมพันธ์หรือเล่นอะไรกับใคร แต่เด็กขี้อาย คือ เรื่องบางเรื่องที่ควรจะจัดการด้วยตัวเอง สื่อสารด้วยตัวเอง เขาก็จะไม่พูด ไม่ทำ ไม่อยากที่จะข้องเกี่ยวกับใคร 

ถ้าอย่างนั้นเด็กที่เล่นหรือสนิทกับผู้ใหญ่ แต่ไม่ได้สนิทกับเด็กรุ่นเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องแปลก

ใช่ มันเป็นเรื่องธรรมดามากเลย เพราะเด็กก่อน 3 ขวบ เขาควรจะฝึกอยู่กับคนที่เขาคุ้นชินก่อน แล้วเมื่อเขาอยู่กับคนที่คุ้นชินได้แล้ว แปลว่าเขาพร้อมแล้ว ออกไปสู่โลกภายนอก เรายังไม่ต้องรีบเร่งเร้าเขา เพราะเราต้องการให้เขาเห็นแบบแผนชีวิตด้วยความมั่นคงก่อน

ผมขอเป็นฝ่ายค้านอีก ถ้างั้นไปเรียนก็ไม่เป็นไรสิ เพราะเดี๋ยวก็กลับมาเจอพ่อแม่แล้ว อีกอย่างไปเรียนจะได้เจอคนอื่นบ้าง 

พี่มักจะบอกพ่อแม่ว่า โรงเรียนเป็นอันดับ 2 ทางด้านจิตใจของเด็กนะ พ่อแม่คืออันดับ 1 โอเค คุณส่งลูกไปก็ไม่ได้ผิดอะไร จริงอยู่ไปเรียนเดี๋ยวก็กลับมาเจอพ่อแม่  แต่พ่อแม่เนี่ย คุณไม่ได้ทำงานหนักหรือไม่ได้แบกความเครียดกลับมาที่บ้านอีกใช่ไหม? เพราะขณะที่เด็กไปโรงเรียน เขาต้องไปเจอสังคมที่แปลกแยก ไปฝึกเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรับมือสิ่งต่างๆ แล้วการเรียนตั้งแต่ 8 โมง ถึง 3 – 4 โมงเย็น มันทำให้เด็กเหนื่อยนะ พอกลับมาบ้าน ถ้าเป็นอนุบาลที่เข้าใจเด็กจะไม่มีการบ้าน ก็ยังโอเค 

แต่ประเด็นที่กังวลคือ พ่อแม่กลับจากทำงานมาเหนื่อยๆ แล้วคุณอาจจัดการลูกแบบผิดๆ เช่น ให้ลูกเรียนพิเศษ ทำการบ้าน เพราะตอนนี้เป็นเรื่องธรรมดามากนะที่เด็กอนุบาลมีการบ้านเยอะ แล้วพ่อแม่ก็ไปแบบว่า “ไปว่ายน้ำลูก” “ไปเรียนศิลปะลูก ธรรมดาไม่ได้ใช้สมอง” เด็กไม่ได้ใช้สมองจริง แต่ว่าเด็กต้องฝืนตัวเองเยอะมากที่จะทำบางอย่าง ไม่ได้อยู่กับความสงบในตัวเขา

ที่พี่อยากให้เด็กได้อยู่แบบสงบๆ เพราะเขาจะได้กลับมาที่ข้างในตัวเองเพื่อสืบค้นว่าเขาจะเป็นอะไร เขาเกิดมาเพื่อเป็นอะไร แต่เรากลับไปสร้างกระบวนการที่ทำให้เด็กต้องออกไปทำนู่นทำนี่ เขาไม่มีโอกาสสำรวจตัวเอง มันมีหนังสือที่อธิบายนะ ชื่อ ‘The Element : ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้’ เขาบอกว่า เด็กแต่ละคนกำบางอย่างมาเกิดด้วย แต่การเลี้ยงดูที่ผิด กับโรงเรียนที่จัดการกับเวลาของเด็กมากเกินไป ทำให้เด็กปล่อยสิ่งที่เขากำมา

ยกตัวอย่างลูกพี่คนเล็ก เราสืบค้นจนพบว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นคนที่ทำงานปั้น คือตั้งแต่ 2 ขวบครึ่ง เจ้านี่อยู่กับงานปั้นมาตลอด เราก็รู้สึกว่า เอ้อ..เขาคงเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งนี้ เพราะงั้นเจ้าตัวเล็กของพี่ พี่ไม่ได้ให้ไปโรงเรียนจนกระทั่ง ม.1 นะ เพราะพี่รู้สึกว่าในเมื่อเขาเป็นสิ่งนี้ อยู่กับมันแล้วเขามีความสุข พี่ก็อยากที่จะซัพพอร์ตเขา 

แต่ในขณะที่เด็กคนอื่นๆ เขากำบางอย่างมาเกิดแต่เขายังไม่รู้ พอข้างในเรียกร้องว่าอยากเล่นอันนี้ เขากำลังจะทำ แล้วพ่อแม่ไม่เข้าใจก็บอกว่า “ไม่ได้ลูก ไร้สาระ ยังมีการบ้านอยู่” พอไปโรงเรียนก็ไม่เคยได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ได้กลับมาสำรวจอินเนอร์ของตัวเอง ชั่วโมงนี้ครูให้ทำอันนี้ พอหมดชั่วโมงปุ๊บต้องมาพยายามขยับๆ ตัวเองเพื่อไปทำอีกอย่างหนึ่ง 

ในหนังสือเขาบอกว่า ช่วงที่เด็กพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่ตัวเองกำมาเกิด เขากลับต้องใช้เวลานี้เพื่อไปทำสิ่งที่ผู้ใหญ่ลงตารางชีวิตไว้ให้ แล้วเรียกว่า ‘วินัย’ ซึ่งไม่ใช่ ไปโรงเรียนกลับมาเหนื่อย ยังต้องมาทำตามตารางที่พ่อแม่จัดให้อีก สุดท้ายสิ่งๆ นี้ก็ถูกปล่อยออกไปจากชีวิต ไม่ได้ทำ ท้ายที่สุดวันหนึ่งลืมว่า ฉันกำอะไรมาเกิด เพราะฉันไม่เคยใส่ความสนใจไปกับตรงนั้น แล้วพอตอนที่เขาอายุ 15 – 16 ปี เราก็ถามว่า ‘ลูกอยากเป็นอะไร’ ‘ทำไมตัวเองถึงไม่รู้’ ก็จะไปรู้ได้ยังไง เราไม่เคยฝึกเขาให้กลับมาที่ข้างใน 

ดังนั้น พอเขาไม่รู้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นอะไร มีศักยภาพอะไร บางคนมารู้ตัวอีกทีอายุ 30 กว่านะ เขาเริ่มรู้สึกว่างเปล่าข้างใน ทำไมงานที่ทำหรือสิ่งที่ทำ มันถึงไม่มีอะไรให้กับชีวิตเรา แล้วก็กลับมาถามตัวเองว่าฉันเกิดมาเพื่ออะไร ฉันเป็นใคร แล้วเราก็หาไม่เจอ 

สิ่งเหล่านี้พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า เราควรจะเข้าใจเด็กยังไง ถ้าท่านจะเอาลูกไปโรงเรียน เราจะจัดการกับเขาตอนที่กลับมาบ้านและช่วงเสาร์-อาทิตย์ยังไง เราต้องทำความเข้าใจสิ่งนี้ให้ชัดเจนจริงๆ เพื่อว่าเราจะไม่ไปทำให้เขาจัดการตัวเองตามสิ่งที่ผู้ใหญ่จัดตารางให้

ก็ต้องเป็นพ่อแม่ที่ใจแข็งนิดนึง เป็นพ่อแม่แบบทวนกระแส เพราะอย่างที่ครูณาบอกว่าเราต้องปล่อยวาง ให้ลูกเรียนวิชาการท่องจำให้น้อยที่สุด แต่ทุกวันนี้เราก็ถูกสังคม Automatic นิดนึงว่า ต้องส่งลูกเรียนเร็วๆ จะได้ฉลาด ไม่งั้นตามไม่ทันคนอื่น

โอเค อันนี้พี่เข้าใจมากๆ พี่ถึงบอกว่าสิ่งที่พ่อแม่ควรเข้าใจก่อนคือ คอนเซปชีวิตตัวเอง ความหมายของคำว่า ‘ชีวิต’ เราต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เพื่อให้เราเข้าใจแกนของมัน 

พี่มักถามพ่อแม่ในคลาส Twelve Senses ว่า คุณต้องการเลี้ยงลูกเพื่อให้วันที่เขาอายุ 21 ปี เขาสมาร์ท พึ่งตัวเองได้ มีความสุขกับอาชีพที่เรียนมา มีความสุขกับชีวิตของเขา หรือเราจะเลี้ยงลูกแบบเข้า ป.1 ให้ได้ ต่อ ม.1 ให้ได้ แล้วก็เรียนให้เก่ง ตรงนี้เราต้องถามตัวเองว่าเพื่ออะไร เราพยายามให้ลูกเรียนเก่ง แต่ท้ายที่สุดเขาไม่ได้เจอว่าอาชีพที่รักของเขาคืออะไร เด็กที่เรียนเก่งเยอะมากเลย แต่ไม่มีความสุขกับการทำงาน ไม่มีประโยชน์เลย 

ช่วง 0 – 7 ปี ควรเรียนความรู้แบบแห้งๆ ให้น้อยที่สุด แล้วก็ไปเล่น ไปเรียนรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าแบบสดๆ เอาง่ายๆ เลยนะ รัชกาลที่ 9 ท่านเก่งเรื่องเขื่อน เรื่องน้ำ เพราะตอนเด็กท่านทรงเล่นทราย เวลาที่เด็กเล่น เขาไม่ได้เล่นอย่างเดียวนะ เขาคิดและทำงานกับตรงนั้นเยอะมาก แล้วเด็กแต่ละคนเล่นไม่เหมือนกันตามสิ่งที่เขาเป็น การที่เราอนุญาตให้ลูกเลือกที่จะเล่นด้วยตัวเอง มันมีความหมายมากนะที่ทำให้เขาอยู่กับสิ่งนั้นอย่างลงลึก อย่างลูกพี่ถ้าเขาเล่นดินน้ำมัน แต่พี่รู้สึกว่าไร้สาระ วันนี้เขาคงไม่ได้เป็นนักปั้น 

ชัดเจนว่าครูณาเชียร์ให้ 0 – 7 อยู่บ้าน แต่ถ้าเป็นครอบครัวที่มีแค่พ่อแม่ลูก ไม่มีญาติคนอื่นช่วยเลี้ยง การส่งไปโรงเรียนก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

ถ้าเกิดเราเป็นครอบครัวเดี่ยว พ่อแม่ต้องทำงานทั้งคู่ พี่ถือว่าอันนี้เราไม่มีทางเลือก ก็จำเป็นต้องให้ลูกไปโรงเรียน แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ของพ่อแม่ที่อยู่กับลูก เห็นความหมายของลูก เข้าใจว่าต้องหล่อเลี้ยงเขายังไง ไม่ใช่ไปโรงเรียนให้เขาไปโต แล้วพอกลับมาบ้านเราก็ไม่เข้าใจอีก 

ผมขอลำดับก่อนนะ ถ้าเป็นครอบครัวใหญ่มีคนช่วยเลี้ยงดู หรือพอมีกิจกรรมต่างๆ ก็เชียร์ให้เลี้ยงลูกเอง ปล่อยเขาเล่นตามสบาย อย่าไปคาดหวังว่าเขาต้องทำอะไรได้ แต่ถ้าไม่มีก็ส่งลูกไปเรียนแทน ก็จะมีคำถามต่อว่าการส่งลูกไปเรียน อย่างเช่นเรียนว่ายน้ำ พ่อแม่ก็จะพูดว่า นี่ไม่ได้เรียน พาไปทำกิจกรรม ซึ่งเราว่ามันก็ดูดีนะ เพราะตอนเด็กๆ เราก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะทำแบบนี้เลย

กีฬาเราใช้คำว่าเล่นหรือเรียน? ในภาษาอังกฤษเองกีฬาก็ใช้คำว่า Play หรือดนตรีก็ใช้คำว่า Play แต่เด็กก่อนวัย 7 ขวบ เขาไม่ควรจะเรียนอะไรทั้งนั้นแม้กระทั่งว่ายน้ำ หรือทำกิจกรรมแบบนี้ แต่คุณควรเล่นกับเขา ให้เขาเล่น เพราะนักกีฬาหลายๆ คนที่เป็นระดับแชมป์โลกหรือเก่งมากๆ เขาก็ไม่ได้เรียนตั้งแต่เล็ก ถ้าเคยอ่านหนังสือของ John Hood เขาพูดถึงเรื่อง How to learn ของเด็ก ถ้าเราให้ลูกที่ยังเล็กยังไม่เข้าใจร่างกายตัวเอง ไปเรียนกับครูที่สอนว่ายน้ำ เรากำลังเอาร่างกายของลูกไปเชื่อมโยงและยึดกับความเป็นตัวของครูที่ว่ายน้ำ นั่นหมายถึงว่า เราให้ร่างกายของครูมาเป็นตัวโค้ชเรา โค้ชลูกเรา

ดังนั้น เด็กจะว่ายด้วยท่าที่โค้ชบอก ถูกไหม? แต่ท่าว่ายน้ำมันไม่ได้มีท่าเดียวบนโลก แล้วแต่ละคนมีเทคนิคการว่ายน้ำไม่เหมือนกันตามสรีระร่างกาย ถ้าเราให้เด็กเล่นน้ำ เขาจะเล่นโดยใช้อินเนอร์ตัวเอง พร้อมกับศึกษาว่าร่างกายเขาต้องพยุงในน้ำแบบไหน ค่อยไปเรียนรู้ท่าต่อ

อย่างลูกคนเล็ก พี่ไม่ได้ให้เขาเรียนว่ายน้ำ แต่ให้เขาเล่นน้ำกับพ่อกับพี่ เล่นด้วยกันจนว่ายเป็น เขาจะมีฐานเข้าใจร่างกายตัวเอง ค่อยไปพัฒนาเรียนจากโค้ชต่อ เวลาที่โค้ชสอนเขาจะเข้าใจเอง ถ้าว่ายท่านี้ต้องปรับร่างกายยังไง 

เรามักทำให้กีฬา ดนตรี เป็นเรื่องของความเคร่งเครียด แทนที่เขาจะได้เล่นหรือได้เรียนรู้แบบฟรีสไตล์ไปก่อนแล้วค่อยไปหาแพทเทิร์น เรากลับทำให้เขา Fix Idea มากเลย เวลาคนอยากเล่นมันอยากเล่นจากข้างในใช่ไหม? ไม่ใช่อยากเล่นจากตารางที่จัดให้ว่า ‘ทุกวันเสาร์เธอต้องเล่นตอน 10 โมงเช้า’ เมื่อไม่ได้มาจากความพร้อม แถมไปทำให้เขาเกลียดอีก แต่ถ้าเราบอกว่าไปเล่นเมื่อพร้อม ลูกลงว่ายน้ำ แม่ลงด้วย พ่อลงด้วย เราเล่นด้วยกัน แล้วพอตอนที่เขาเริ่มเห็นคนว่าย เขาจะค่อยๆ ดันตัว จนกระทั่งเขาเริ่มทำเป็น เขาก็อาจจะว่ายน้ำได้โดยที่ไม่ต้องใช้โค้ช แต่ถ้าเขาต้องการเป็นนักกีฬา คุณก็ไปพัฒนาต่อ 

แต่อย่างนักกีฬาระดับโลก Andre Kirk Agassi เขาก็เกลียดเทนนิสมากนะครับ แต่เขาตีเพราะถูกฝึกถูกสอน ไม่ได้ตีเพราะรัก

ใช่ บางคนเขาเป็นนักกีฬาโดยที่ไม่ได้เกิดจากความรัก บางทีเขาสะสมความเจ็บป่วยทางจิตใจ เขาอาจประสบความสำเร็จนะ แต่ต้องถามว่าเราอยากได้ลูกที่ประสบความสำเร็จโดยที่เขามีความสุขจากข้างใน หรือเราอยากได้เด็กที่ประสบความสำเร็จระดับโลก แต่เป็นคนที่เจ็บป่วยทางจิตใจ แล้ววันหนึ่งความเจ็บป่วยทางจิตใจก็ไปก่อโรคอื่น

แล้วสัญญาณที่จะบอกว่าลูกเราพร้อมเรียนแบบนี้ วัดจากอะไรครับ

เมื่อเขาอยาก พอพูดแบบนี้ทีไร คนมักบอกว่า “เด็กมันก็อยากเล่นแต่เกม” คือเด็กเขาเรียนรู้ได้ดีที่สุดตอนที่เขาสนุกนะ ทำไมเด็กถึงจำชื่อตัวการ์ตูน ชื่อตัวละครยากๆ ได้ แต่ทำไมแค่ท่องศัพท์กว่าจะท่องได้… ลูกพี่คนโตตอนที่ยังไม่ Homeschool นะ ถูกให้คัดลายมือ พอคัดไปแล้ว 30 รอบ แล้วให้เขาเล่นสัก 10 นาที พอเรียกเขามาถามใหม่ว่า เมื่อกี้ศัพท์คำนี้แปลว่าอะไร ลืม ถ้าเด็กเขาไม่อยากเราต้องใช้เวลายัด 10 ชั่วโมง มันเหนื่อยมากนะ แต่ถ้าเมื่อไหร่อยากนะ โอ้โห.. อยากจำตัวการ์ตูนริวคิอะ เราต้องไปฝึกเขาไหม ไม่ต้อง 

เพราะฉะนั้นที่ลูกพี่ปั้นดิน เราไม่ได้ส่งเขาเรียนนะ ให้เขาปั้นเอง แต่พอวันหนึ่ง 10 ขวบ เขาบอกว่าอยากเรียน เรียนได้เดือนหนึ่งเขาบอกไม่เรียนละ เขาเก่งกว่าครู ทั้งหมดนี้เพราะเขาทำด้วยความอยากของตัวเอง แล้ว Passion เนี่ย เราต้องได้ยินจากเสียงเด็กนะ ที่บอกว่าเด็กชอบเล่นเกม เพราะคุณจัดการเขาไง จนกระทั่งเขาจัดการตัวเองไม่ได้ ฟังเสียงตัวเองไม่ได้ เขาก็เอาเกมเป็นตัวพึ่ง เพื่อจะได้สนุกหรือมีความสุข ‘ขอให้ฉันได้เบาสบายสักหน่อย’ แต่ถ้าเราฟังเสียงเขา อย่างลูกพี่ Homeschool พี่ก็จะพาลูกไปพิพิธภัณฑ์บ้าง ไปสวนสาธารณะบ้าง ไปตามที่ต่างๆ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาจะรู้ว่าโลกข้างนอกมันมีอย่างอื่น 

โรงเรียนแบบไหนที่ควรจะส่งลูกไป

กลับมาต่อฮะ ถ้าเราต้องส่งลูกไปเรียน… เอาเด็กอนุบาลก่อนนะ ตามกฎหมายเขากำหนดให้เข้าเรียนตอน ป.1 แต่ด้วยเงื่อนไขต่างๆ เช่น เป็นคุณแม่คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องไปทำงาน ไม่มีใครดูแลลูก จำป็นต้องฝากลูกที่ที่วางใจ โรงเรียนแบบไหนที่เราควรส่งลูกไป วัดจากเกณฑ์อะไรบ้าง?

เวลาพี่ให้ลูกเรียนอะไรกับใคร พี่อยากดูคุณลักษณะหรือธรรมชาติของความเป็นครูที่นั่นก่อน เพราะพี่ถือว่าคุณลักษณะและความเป็นครูจะเป็นพลังงานที่ส่งเข้าไปในตัวลูก ที่ทำให้ลูกพี่รู้สึกถึงความหมายของโลกใบนี้ อย่างวันที่ลูกพี่บอกจะเรียนเปียโน พี่ขอดูครูก่อนนะ เพราะว่าครูสำคัญมากเลยจะทำให้ลูกฉันรักเปียโนหรือเกลียดเปียโนก็ได้ 

เพราะฉะนั้นลักษณะของโรงเรียนที่พี่จะเลือกให้กับลูก ควรเป็นโรงเรียนที่อย่างน้อยเขามีความเข้าใจธรรมชาติของเด็ก อย่างน้อยเขาไม่ได้คาดคั้นเพื่อที่จะเอาลูกฉันเข้า ป.1 โรงเรียนดังๆ แล้วก็สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนของเขา อันนี้จะเป็นคอนเซ็ปต์แรกที่พี่รู้สึกว่าเราควรจะพิจารณา 

ครูที่เข้าใจเด็กจะรู้ว่าเวลาที่เด็กมีพฤติกรรมเชิงลบ เขาจะเยียวยาเด็กเหล่านี้ได้ยังไง อันนี้คือสิ่งที่มีความหมายมาก ที่ยุโรปครูอนุบาลหรือครูระดับชั้นเล็ก จะเป็นครูที่เก่งจิตวิทยาที่สุดแล้ว เป็นระดับด็อกเตอร์เลยนะ เพราะนี่เป็นฐานของชีวิต เขาใช้คนที่เก่งมาก ใช้นักวิชาการที่เข้าใจจิตใจของเด็กมาเป็นคนสร้างเด็ก

โรงเรียนดีแต่ไกลบ้าน

พอจะได้เกณฑ์ไว้ตัดสินใจเลือกโรงเรียนคร่าวๆ ละ แต่ถ้าสมมติมีโรงเรียนที่ตรงตามเกณฑ์แบบครูณาบอก แถมถูกใจเราด้วย แต่ไกลบ้าน?

อันนี้ต้องคิดละ 1 ชั่วโมงของเด็กเล็ก ถ้าเทียบกับตัวผู้ใหญ่มันนานเป็นเดือนเป็นปีเลยนะ ถ้าใครเลี้ยงลูกจะรู้เลยว่า เราเห็นการเติบโตของเขาวันต่อวัน เพราะฉะนั้น 1 ชั่วโมงของเด็กในรถยนต์มันมีค่ามากนะ กับการที่เขาต้องใช้เวลาพัฒนาความเแข็งแรงทางด้านร่างกายและจิตใจจากการพักผ่อน ฉะนั้น ถ้าโรงเรียนไกลบ้านมากๆ แล้วทำให้ลูกของเราต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 – 6 โมง กินข้าวในรถ วินัยที่เกิดจากกิจวัตรในบ้านมีค่ามากกว่าการที่จะต้องเรียนเก่ง ดังนั้น การที่เขาต้องฝืนตัวเองตื่นเช้า แล้วอยู่กับความวุ่นวายเกือบทุกๆ วันที่ ต้องจัดการแต่งตัวเองให้ทันแล้วก็กิน พี่รู้สึกว่ามันไม่คุ้ม

ถ้าคุยลึกลงไปเดี๋ยวจะไปพูดถึงระดับประเทศชาติ เรื่องโครงสร้าง ไม่เป็นไร เราก็กลับมาว่า ท้ายที่สุดถ้าเป็นตัวพี่ ถ้าเลือกทำ Homeschool ได้ ก็จะทำให้ลูก แต่ถ้าไม่ได้ แล้วพี่ต้องส่งลูกไปโรงเรียน พี่จะเลือกโรงเรียนที่ใกล้บ้าน จะเป็นยังไงก็แล้วแต่ แต่พี่จะหาความรู้ฝึกลูกของพี่ด้วย อย่างน้อยลูกของพี่จะได้ฝึกที่บ้าน เขาจะรู้และมีวิธีจัดการความทุกข์ จัดการอารมณ์ ลูกของพี่จะต้องมองโลกในแง่บวกเพื่อหาทางที่จะดีลกับสิ่งเหล่านี้ ลูกของพี่จะต้องหาวิธีการที่ไปโรงเรียนแล้วสนุก แม้ว่าจะเจอครูดีไม่ดี แต่ว่าเขายังมองเห็นความสนุกได้ พี่จะเรียนรู้ในการที่จะทำลูกของพี่ให้แข็งแรง 

เพราะฉะนั้น โรงเรียนดีไม่ดี มันไม่ใช่โรงเรียนแพงไม่แพง บางทีโรงเรียนแพงกับโรงเรียนธรรมดาอาจจะมีคุณค่าเท่ากันนะสำหรับเด็กๆ 

แปลว่าถึงโรงเรียนจะไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด แต่คนที่สามารถชดเชยสิ่งที่ขาดไป คือ พ่อแม่

ใช่ แล้วจากประสบการณ์ที่พี่ทำงานกับครอบครัว เกินหมื่นครอบครัวนะ พี่รู้สึกว่าเด็กหลายคนที่แข็งแรงเป็นผู้ใหญ่ที่เก่งและมีจิตใจที่ดี เขาตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เกิดเพราะครอบครัวไม่ใช่โรงเรียน โรงเรียนเป็นผลลัพธ์อันดับรองมากๆ 

แล้วถ้าช่วง 3 ขวบแรก พ่อแม่ปูทางเขามาดี เขาจะอยู่โรงเรียนไหนก็ได้ทั้งนั้น แน่นอนเขาจะเจอความทุกข์บางอย่างที่โรงเรียน แต่เราสามารถสอนให้เขาจัดการได้ เราทำให้เขาเข้าใจชีวิตรอบๆ ได้ ฉะนั้น ที่บ้านเราต้องแข็งแรง ยิ่งถ้าเรา (ผู้ปกครอง) รู้สึกว่าเราไม่พร้อมเลยนะ เรายิ่งต้องจัดการตัวเองให้มีความรู้ที่ดี ให้เข้าใจในชีวิตของเราก่อน นี่แหละจะเป็นความแข็งแรง 

อาจรู้สึกว่ามันยากนะ แต่การไม่เรียนจะได้ชีวิตลูกที่ยากกว่า ถ้าเราไม่เรียนหรือทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรากำลังคุยกันอยู่เพราะเรารู้สึกว่ามันยากจัง แต่บอกเลยนะการไม่เรียน การไม่เปลี่ยนตัวเอง ไม่ทำความเข้าใจในรากหรือแก่นแท้ของมนุษย์ เราจะได้ลูกที่ยากกว่า กลุ้มใจมากกว่า จะยากตอนนี้สักปีสองปี อย่างพี่รู้สึกว่าเลี้ยงลูกพี่ทุ่มเทมากเลยนะ 6 – 7 ขวบ หลังจากนั้นพี่สบายละ

โรงเรียนแพง

เมื่อกี้ครูณาเปิดมาละ ‘โรงเรียนแพงไม่ใช่ว่าดี’ ถ้าพูดตรงไปตรงมาโรงเรียนก็มีหลายแบบ ตั้งแต่โรงเรียนรัฐ เอกชน นานาชาติ โรงเรียนทางเลือก ณ ตอนนี้คนรุ่นผมส่วนใหญ่จะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนเอกชน หรือไม่ก็นานาชาติ การส่งไปแบบนี้ดีหรือไม่ดียังไงครับ?

เปิดประเด็นนี้ก็จำเป็นต้องคุยกันก่อนนิดนึง คือพี่ได้ยินมาเยอะว่า ‘การเลือกโรงเรียนมันเป็นการเลือกสังคมให้กับลูก’ คุณต้องให้ชัดนะว่า คุณอยากให้ลูกอยู่ในสังคมแบบไหน เช่น อยากให้ลูกเข้าใจคนทุกๆ สังคม หรือให้ลูกของคุณเติบโตมาในสังคมของคนมีกินอย่างเดียว

แต่โรงเรียนนานาชาตินี่สังคมหลากหลายนะครับครูณา

โหย.. แต่ค่าเรียนในระดับแบบนั้น แสดงว่ามันก็เป็นสังคมของคนที่มีเงิน ซึ่งพี่ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ เอาเป็นว่าจะเรียนโรงเรียนอะไรก็ตาม พ่อแม่คือพื้นฐานหลัก ถ้าพ่อแม่มีคอนเซปว่า เอาไปฝากไว้ในสังคมดีๆ คำว่า ‘สังคมดีๆ’ พ่อแม่ต้องชัดเจนนะว่าสังคมดีๆ คืออะไร ถ้าเรารู้สึกว่าสังคมดีๆ คือ สังคมแพง นั่นหมายความว่าเราให้คุณค่า ‘ความแพง’ คือสังคมดี แต่มันอาจกลายเป็นทำให้ลูกเราติดในวัตถุมากๆ 

การที่เราให้คุณค่ากับราคากับระดับชั้นของคน มันค่อนข้างส่งผลต่อตัวเราที่อยู่กับลูกนะ แต่โอเค ถ้าส่งลูกไปนานาชาติ ตัวเราเข้าใจแก่นแท้ บางทีลูกของเราก็อาจไม่เผลอไผลไปอยู่กับคนที่หลงกับวัตถุอะไรมาก ก็เป็นสิ่งที่ดี 

แต่พี่อยากบอกว่า เจตจำนงแรกที่เราบอกว่าเลือกสังคมให้ลูก คุณรู้ตัวเองชัดเจนใช่ไหมว่า สังคมให้ลูกมันคือสังคมอะไร มันเป็นสังคมยังไงหรอที่เรากำลังเลือก ไม่ใช่เลือกเพราะคิดว่าแพงแล้วลูกจะได้สังคมที่ดี ซึ่งไม่จริง

มันก็มีเคสที่ลูกอยู่ในสังคมโรงเรียนที่เราคิดว่าราคาแพง แต่เขาไม่มีความสุข

มันไม่ใช่ไม่มีความสุขนะ พี่เจอเคสเด็กที่ไม่เห็นคุณค่าของเงินเลย เพราะทุกๆ คนต่างใส่ของที่แพงกัน พี่ไม่ได้เป็นคนที่แอนตี้คนใช้ของแพงนะ แต่พี่แอนตี้สังคมที่ไม่เห็นคุณค่าของเงินเลย อย่างเช่น เราให้ลูกอยู่ในสังคมที่แพงจนกระทั่งวันหนึ่งลูกให้แบงก์พันแล้วบอกว่าไปซื้อขนมที่เซเว่นให้หน่อย โดยที่จะทอนหรือไม่ทอนก็ได้… คือพี่เจอในระดับแบบนั้น คุณต้องให้ชัดนะว่าคุณอยากได้อะไร เพราะไม่งั้นคุณก็จะได้ลูกที่สามารถใช้เงินหลักแสนหลักล้านโดยที่เขาไม่ได้รู้สึกว่ามันคือเงิน เพราะมันใช้ได้ง่ายๆ 

ในขณะที่สังคมในโรงเรียนที่มันหลากหลาย มีทั้งคนที่ลำบาก คนที่มี มันคือความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เด็กสามารถเรียนรู้จากเพื่อนที่หลากหลายเหล่านี้ เพราะความเป็นจริงเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การที่เขามีประสบการณ์กับสังคมที่หลากหลายมันเป็นสิ่งที่มีค่ามากต่อเขาที่จะทำงานหรือสร้างฐานะ สร้างการงานอาชีพของตัวเขาเอง มันเป็นความหลากหลายของสังคม

หลากหลายหมายถึงว่า ไปเรียนโรงเรียนที่สภาพแวดล้อมหลากหลาย

อย่างลูกพี่บอกว่าจะเข้าโรงเรียน ตอนนั้นเขาอยู่ ม.1 พี่ก็เลือกโรงเรียนอะไรก็ได้ที่ใกล้บ้าน เอาที่เดินกลับบ้านได้ เพราะพี่เชื่อว่าเขาจะมีความแข็งแรงของเขา แล้วเขาแข็งแรงจริงนะ เรียนได้ดีด้วย เป็นเด็กที่จิตใจดี ตอนที่เขาเข้าไปแรกสุดเขาอยู่ห้องท้ายเลย แต่ปรากฏว่าด้วยพื้นฐานที่ดีของเขา ซึ่งลูกพี่ไม่ใช่คนเรียนเก่งนะ เข้าม.1 นี่บัญญัติไตรยางค์ยังทำไม่เป็นเลย เพราะพี่ไม่ได้สอน แต่ในเมื่อเขาเลือกจะเข้าโรงเรียน เขาต้องเรียนให้ได้ พอเขาเข้าไปอยู่ปรากฏว่า เขาไม่ได้เกเรหรือเหลวไหลไปตามสังคม เขาก็เห็นเพื่อนที่ไปแอบสูบบุหรี่ แต่เขาก็ไม่สูบ เขาก็ไม่ไปลอง แล้วเขาก็เลือกทำความดีในรูปแบบที่เขาเชื่อ เพราะฉะนั้นพี่ถึงกล้าพูดจริงๆ ว่าโรงเรียนเป็นอันดับรองมากจากพ่อแม่

สิ่งที่ต้องระวังคือ พอส่งไปโรงเรียน ผู้ปกครองก็มีมายเซตคาดหวังจากโรงเรียน ซึ่งบางทีความคาดหวังอาจจะพังได้ หลายคนก็พอไปฝาก ก็ไปเค้นคาดคั้นจากครู เพราะเสียค่าเทอมไปแล้ว 

ใช่ แล้วบางทีคุณไม่เข้าใจชีวิต คุณก็ไปทะเลาะกับครูอีก เด็กเล่นกัน พ่อแม่ก็ไปทะเลาะกับพ่อแม่ด้วยกันอีก นี่คือคุณไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ของชีวิตเลย ไม่เข้าใจความเป็นเด็ก ความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ฉะนั้นปัญหามันจะเกิดขึ้นเยอะมาก แต่ถ้าคุณเข้าใจโรงเรียนหรืออะไรก็ตาม คุณจะจัดการง่ายมาก

อย่างผมก็มี Pain Point ภาษาอังกฤษไม่เก่ง แน่นอนเราก็อยากให้ลูกได้ภาษา แล้วภาษามันก็มีประโยชน์จริงๆ ทำให้โลกทัศน์หรือประสบการณ์กว้าง โอกาสเราเยอะขึ้น แล้วมันมีอะไรแอบแฝงมากับการตัดสินใจแบบนี้ไหมครับ ส่งเรียนหวังให้ภาษาลูกเราดี

โห..อันนี้ยาวเลย (หัวเราะ) คือพี่จะบอกว่า เวลาพี่คุยกับเม้ง เราสามารถเข้าใจบางอย่างโดยที่เราไม่ต้องพูด ในทุกๆ ภาษาจะมีวัฒนธรรมแฝงมาด้วย ดังนั้น ตอนที่เขาเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาแม่ เขาควรจะเรียนไปพร้อมๆ กับวัฒนธรรมพื้นที่ที่เขาอยู่ สิ่งที่พี่เป็นห่วงและเจอว่ามันเป็นความยากสำหรับพี่มากๆ คือเด็กที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์แล้วปรากฏว่า พอคุณพ่อคุณแม่ไม่คุยภาษาไทยกับเขา ตรงนี้เราสูญเสียความเป็นวัฒนธรรมไป 

อยากให้ผู้ฟังตั้งใจฟังก่อนนะว่าการสูญเสียวัฒนธรรมมันยากขนาดไหน บางทีพ่อแม่พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง คุณไม่สามารถใช้ชุดภาษาที่แสดงความรู้สึกออกมาได้ เพราะว่าคุณไม่ได้มีวัฒนธรรมกับภาษานั้น แล้วในขณะที่ลูกไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เขาก็ไปรับภาษาที่ไม่ได้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของสังคมข้างนอกที่เขาอยู่ ฉะนั้นการรับภาษาของเขาก็ไม่ได้มีวัฒนธรรมของโลกภายนอกมาซัพพอร์ต สิ่งที่เขาได้คือเขาได้การใช้ภาษาและคำ แต่ไม่ได้ซึมซับวัฒนธรรมของภาษา แล้วเด็กเหล่านี้พอกลับมาถึงบ้านก็คุยกับพ่อแม่ แล้วพ่อแม่ก็พยายามจะพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่ได้เข้าใจกันมาก ท้ายที่สุดพอวันหนึ่งเด็กเก่งภาษาที่เป็นคำ เด็กเอามานินทาพ่อแม่ที่บ้าน แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเราจะเห็นว่า พ่อแม่มีความเข้าใจกับลูกน้อยลงๆ 

อย่างพี่ทำค่ายให้กับเด็ก พอวันหนึ่งเราพูดภาษาที่อยากทำให้เด็กรู้สึกซาบซึ้งใจ สะเทือนใจ Touch เข้าไปในความรู้สึก เด็กพวกนี้รับไม่เป็น เขาไม่เข้าใจภาษาไทยที่มันลึกซึ้งมาก แล้วภาษาอังกฤษเขาก็ไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเช่นกัน เขาเข้าใจเพียงการใช้ประโยคและคำ แต่เขาไม่ได้เข้าใจวัฒนธรรมที่มันเกิดขึ้นโดยรอบของชีวิต

เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการให้เด็กเก่งภาษา โอเค อยู่ที่บ้านคุณพูดภาษาไทย อยู่โลกภายนอกพูดภาษาไทย แล้วพออยู่ที่โรงเรียนเขาพูดภาษาอังกฤษเขาก็จะได้ภาษา แต่ว่าเขาจำเป็นต้องได้วัฒนธรรมของภาษาแม่ของเขา ในประเทศของเขา ในเมืองของเขา เพื่อได้ซึมซับการเรียนรู้ในระดับของความรู้สึกและเจตจำนงของชีวิต ไม่ใช่ได้แต่ภาษาที่พูดให้เข้าใจกัน แต่ไม่ได้เข้าถึงกัน

ถ้าพูดอย่างงี้ การเรียนเพื่ออยากได้ภาษามันไม่เป็นไร แต่ควรจะมีภาษาที่สามารถสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึก  

ลูกอยากจะเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียน ปล่อยเขา เมื่ออยู่บ้านถ้าคุณไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ คุณไม่ได้อินไปกับอารมณ์ของภาษานั้น ถ้าเป็นแบบนั้นคุณควรจะคุยภาษาไทยกับลูก แล้วก็ให้ลูกตั้งใจคุยภาษาไทยกับเรา ฝืนเขาตั้งแต่ต้นๆ ว่า อยู่โรงเรียนพูดภาษาอังกฤษ อยู่บ้านพูดภาษาไทยกับพ่อแม่ 

เหมือนที่ห่วงก็คือ ห่วงจะไม่ได้ดีสักภาษา ใจเราอยากได้สักหนึ่งภาษาที่เวลาเรามีปัญหา ทะเลาะกัน แล้ว Expression ออกมาได้ คุยกันได้ เวลาเราอยากอธิบายอะไรที่มันสำคัญในชีวิตเรา จริงๆ ยังอธิบายกันยากเลยนะ

ใช่ ขนาดภาษาแม่ของเราเอง เวลาจะพูดให้เข้าถึงกัน บางทีเรายังเค้นไม่ออกเลย แล้วคุณไปเลือกใช้อีกภาษาหนึ่งอะ พี่เจอว่าเป็นกำแพงสูงมาก ข้อควรระวังอย่างสูงเลย ไม่ได้ห้ามเรื่องภาษานะ ที่บ้านคุยภาษาอังกฤษกันเก่ง แต่คุยภาษาอังกฤษในระดับลึกซึ้งไหม ก็ไม่ใช่ เหมือนคุยกันแล้วมันไม่ Flow ไปกับสังคมภายนอกอะ 

Homeschool

มาที่ประเด็นสุดท้าย ‘ Homeschool’ ฟังกันมาตั้งแต่ต้น ผมว่าเราพอจะเห็นแล้วละว่า ควรส่งเด็กไปเรียนเมื่ออายุเท่าไหร่ อย่างครูณาส่งลูกไปเรียนม.1 เลย แต่แบบนี้มันเวิร์คจริงๆ ใช่ไหมครับ? การที่เราอยู่กับเขา ฟูมฟักเขา แต่เขาอาจทำบางอย่างไม่ได้ เช่น ที่ครูณาบอกว่าลูกเทียบบัญญัติไตรยางค์ไม่เป็น มันเวิร์คใช่ไหม? แล้วการ ‘Homeschool’ นี่คือ Ideal (อุดมคติ) ถูกไหมครับ? 

พี่ไม่ได้รู้สึกว่ามัน Ideal หรอก มันคือความเป็นจริงของชีวิต เพราะในอดีตเราไม่มีโรงเรียน เราคือสังคมที่อยู่กันโดยที่เรียนรู้ สิ่งแรกที่เด็กควรเรียนก่อนวัย 14 ปี คือเรื่องของชีวิต เรื่องของความเป็นจริง ไม่ใช่ Content ที่จะมาท่องว่ากรุงศรีอยุธยาแตกในพ.ศ. อะไร และอย่างที่เราคุยตอนต้นนะ สังคมจริงๆ มันต่างวัย ชีวิตจริงๆ นี่แหละคือสังคม การที่เขาได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่บ้าง อากงอาม่าบ้าง เพื่อนข้างบ้านบ้าง แต่เราไม่ได้บอกว่า ‘Homeschool’ หมายถึง School at home นะ เพราะอันนั้นน่ากลัวมาก 

คนที่ทำ ‘Homeschool’ มันหลากหลายมาก คนมักคิดว่า ‘Homeschool’ ยาก แล้วมันก็ Ideal มากๆ เป็นไปไม่ได้ พี่ก็ต้องบอกว่า ที่เราเห็นว่ามันยาก เพราะเรายังไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ของชีวิต เรายังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ของการเรียนรู้ที่แท้จริงของมนุษย์ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเรียนรู้และทำความเข้าใจมันได้ เราจะรู้เลยว่า ‘Homeschool’ ง่าย 

เพราะสำหรับพี่ ‘Homeschool’ คือ Unschooling พี่ไม่ได้สอน เพราะพี่รู้ว่าแก่นแท้ของมนุษย์เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง สิ่งที่เราทำให้กับลูกของเราคือ ทำให้เขาอยากทำ ทำให้เขาอยากเรียนรู้ แต่เราจะไม่ยัดองค์ความรู้ เราจะมองว่าอะไรคือสิ่งที่เขาอยากเรียนรู้จริงๆ แล้วพี่รู้สึกว่าเวลาที่เราเข้าใจลูกมากๆ เราเห็นเลยว่าตอนที่เขาเข้าม.1 เขาทำบัญญัติไตรยางค์ไม่ได้ เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยเลยนะ เขาบอกว่าเดี๋ยวไปเรียนก็ได้ เพียงแค่ไม่กี่เดือนเขาก็กลายเป็นอันดับต้นๆ ของห้อง แล้วพอจบปีเขาก็ย้ายมาอยู่ห้องต้นๆ แล้วเขาก็จบโดยที่เขาไม่ต้องสอบเข้าม.4 เพราะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากที่พร้อมเข้าม.4 ต่อได้เลย 

อันนี้พี่กำลังพูดถึงว่าเด็กเขามีพื้นฐานที่พร้อมจะเรียน ใจเขาได้ เป็นสิ่งที่เราควรจะสร้างให้กับลูกของเรา ให้เขารักและเคารพตัวเอง เป็นคนที่ดี ถ้าเราทำให้ลูกมีใจที่เชื่อว่าตัวเขาจะทำอะไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ แน่นอน! ทัน! อย่างลูกพี่เข้าไปเรียนไม่ถึงเดือน จากตอนแรกที่ไม่เก่งเลยนะ แต่พอเขาได้ทำอะไรได้ปุ๊บ ครูจะเรียกเขามาหน้าห้องแล้วบอกว่า “พวกเธอเรียนมาตั้ง 6 ปีเนี่ย ทำไมยังทำไม่ได้ เขาไม่ได้เรียนมายังทำได้เลย” แต่เขาไม่ได้ชอบนะเหตุการณ์แบบนี้ เขาอาย แต่เราจะเห็นได้ว่า เมื่อไรที่เขาพร้อม เขาจะทำมันได้ และมันไม่ใช่เพราะว่าลูกพี่เก่ง แต่ลูกพี่มีความพร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง มีความพร้อมที่จะอดทน แล้วพอเขาอยากจะตั้งใจอะไร เขามีความพร้อมที่จะตั้งใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก ที่ทำให้เมื่อวันหนึ่งเขาบอกเขาจะทำ เขาจะทำมันอย่างดีมากเลย 

หลายๆ ครั้งผมกับภรรยาก็ยังเตือนตัวเองว่าอะไรที่ลูกทำไม่ได้ ณ วันที่เขาพร้อมเขาก็จะทำได้ แต่หลายครั้งเราก็ไป Disrupt ลูก “ต้องได้” ส่วนหนึ่งตัวเราก็กลัวด้วย งั้นถามอีกนิดนึงฮะ มันเป็นเฉพาะลูกครูณาคนเดียวหรือเปล่าที่ ‘Homeschool’ แล้วลูกเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะบอกว่า ลูกเธอคนเดียวหรือเปล่า คนอื่นเขาตกรถกันอีรุงตุงนัง 

บางคนเขา ‘Homeschool’  เพราะว่าลูกเป็นนักกีฬา หรือเป็นนักดนตรี แต่มีหลายคนที่เราก็ได้ยินว่า พอถึงวันที่ลูกเขาอยากเรียน… พี่จะยกตัวอย่างโรงเรียนอนุบาลละกัน เช่น ที่จิตตเมตต์ เขาไม่ได้เร่งให้เด็กเรียนตัวหนังสือ แต่เขาเร่งการปูพื้นฐานการเป็นมนุษย์ที่ดีแล้วก็มีจิตใจที่ดี มีความสุขกับการเรียนรู้ในตัวเด็ก ซึ่งเด็กบางคนก็ยังอ่านเขียนไม่ได้หรอก แต่เราก็จะรู้ว่า คุณใจเย็นๆ พอเข้าไปป.1 ถ้าเขาพร้อมนะ เขาวิ่งเลยค่ะ เราต้องเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องวางพื้นฐานในตัวเด็กแต่ละวัยให้ได้ก่อน เรื่องเรียนเก่งไปเริ่มกันให้เห็นผลตอนอายุ 15-16 ปี 

เม้งมีเพื่อนที่เรียนไม่เก่งมาตั้งแต่เด็กไหม? พอขึ้นม.5 ก็บอกว่า ‘จะเอนทรานซ์’ เขาอ่านหนังสือแปปเดียวก็สอบได้คะแนนสูงๆ เลย เพราะเขาลงประสบการณ์ชีวิต เขาลงความเข้าใจในตัวเอง รู้เท่าทันความรู้สึกตัวเอง เป็นคนที่จัดการอารมณ์ตัวเองได้ แม้แต่ตอนที่ต้องทำสิ่งที่ไม่อยากทำแล้วเขาสามารถจัดการตัวเองให้ทำได้ แต่เด็กที่ไม่มีพื้นฐานแบบนี้ เรียนเก่งอย่างเดียว แต่ไม่มีพื้นฐานจัดการตัวเอง พอวันหนึ่งเขาเหนื่อย ไม่ไหวแล้ว ก็ทิ้งเลย ถึงตอนนั้นจัดการตัวเองไม่ได้ คือต่อให้เก่งมาแค่ไหนคุณจัดการตัวเองไม่ได้ คุณก็ล้ม

สรุปของสรุปนะครับ ก็คือการเร่งเรียนวิชาการไม่ได้จำเป็น และการ ‘Homeschool’ ก็ไม่ใช่ทางที่ดีที่สุดหรอก สิ่งที่ตอบคอนเซปและเราสามารถให้เขาได้ คือ ไม่ต้องไปตีกรอบเขา หรือเร่งรัดอะไรเขา ให้เขารู้จักตัวเอง เขาจะเรียนที่ไหนก็ได้ เพราะท้ายที่สุดก็ต้องกลับมาที่พ่อแม่ โดยเฉพาะ Mindset ของพ่อแม่ เหมือน 3 ตอนที่แล้วที่เราคุยกัน ให้พ่อแม่เขียนบรีฟตัวเองให้ได้ก่อน ถ้ายังเขียนไม่ได้ก็อย่าพึ่งไปตีกรอบ 

พี่รู้สึกว่ามีพ่อแม่หลายคนที่เก่งมากๆ เรื่องทำงาน ประสบความสำเร็จกันสูงมาก แต่เขากลับรู้สึกว่า เขาจะฝากลูกไว้กับครู ซึ่งพี่คิดว่ามีครูจำนวนเยอะมากนะที่ไม่ได้เก่งในการจัดการชีวิตตัวเองหรือจัดการชีวิตเด็ก คือพี่ไม่ได้บอกว่าครูทั้งหมดเป็น แต่มีครูบางคนที่เขาก็ยังจัดการทรัพย์สินของเขาไม่ได้ จัดการการเรียนรู้ของเขาไม่ได้ แต่เรากลับไปคาดหวังว่าครูจะต้องทำได้ทั้งหมดแบบนั้น ซึ่งมันไม่ใช่ บางทีถ้าเกิดคุณสงบนิ่งกับตัวเอง ครูเป็นเพียงอีกด้านหนึ่ง 

หวังว่ารายการตอนนี้ผู้ฟังจะได้ประโยชน์นะครับ สำหรับในยุคที่พ่อแม่ต้องแข่งขันส่งลูกเข้าไปเรียนตั้งแต่ 1 – 2 ขวบ ก็หวังว่าคนที่มีลูกรุ่นราวคราวเดียวกับผมก็น่าจะมีเกณฑ์เลือกโรงเรียน ส่งลูกตอนไหนดี เดี๋ยวตอนต่อๆ ไปเราจะมาคุยเรื่องการเล่น พ่อแม่จะใช้เวลา ‘เล่น’ กับลูกอย่างไร? รวมถึงศัตรูตัวฉกาจอย่างโทรศัพท์มือถือ วันนี้ขอบคุณมากๆ ครับ 

Tags:

ระบบการศึกษาโรงเรียนโฮมสคูลThe Twelve Sensesอังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์โรคพ่อแม่ทำ

Author:

illustrator

อังคณา มาศรังสรรค์

กระบวนกรและนักเยียวยาความสัมพันธ์

illustrator

ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์

คุณพ่อลูกหนึ่งและครีเอทีฟจากบริษัท ชูใจ กะ กัลยาณมิตร

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Family Psychology
    คำพูดอาจส่งเสริม หรือเป็นอุปสรรคกับพัฒนาการ ถ้อยคำเหล่านี้ชวนคิดอีกที ก่อนพูดกับเด็กๆ ของเรา

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(3): ไม่ต้องร้อง เป็นพี่ต้องเสียสละ เป็นน้องต้องเชื่อฟังพี่ เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อลูก

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(2): อย่าทำนะ เดี๋ยวตำรวจมาจับ, ตีพื้น นี่แหนะจัดการให้แล้ว, นิสัยเหมือนพ่อ/แม่ไม่มีผิด

    เรื่อง ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์อังคณา มาศรังสรรค์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งความกดดันและไร้สุข จึงต้องปรับตัวและรับผิดชอบความป่วยไข้นี้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel