Skip to content
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Myth/Life/CrisisLife classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy life
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก

Year: 2019

สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง
Growth & Fixed Mindset
20 September 2019

สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • ไม่มีใครโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เราสร้างความแข็งแรงและขยายขีดความสามารถของสมองให้มากขึ้นเหมือนกล้ามเนื้อได้
  • ถ้าเปรียบร่างกายที่สามารถฟิตซ้อมสมรรถะความแข็งแกร่งจนมีมัดกล้าม สมองก็สามารถแข็งแรงได้ด้วยการใช้งานเรียนรู้ฝึกฝนสิ่งใหม่ๆ ให้ด้านที่ไม่ถนัดสามารถพัฒนาให้คล่องแคล่ว ทักษะที่ดีอยู่แล้วก็กลายเป็นเชี่ยวชาญ
  • กรอบคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset  เป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมเด็กและคนรุ่นใหม่ ถ้าครูเสริมให้นักเรียนเข้าใจกลไกการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ก็ยิ่งช่วยขยายภาพให้พวกเขามองเห็นศักยภาพที่ไม่สิ้นสุดของตัวเอง 
  • บทความชิ้นนี้มีตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ ให้คุณครูพานักเรียนออนทัวร์ด้านการทำงานของสมอง รู้จักกระบวนการสร้าง ‘การรู้คิด’ ให้มีติดตัวพวกเขา นำไปสู่การเรียนรู้อันยั่งยืน

เราสร้างกล้ามเนื้อให้บึกบึน แข็งแกร่ง มีสมรรถนะที่สูงกว่าเดิมได้ด้วยการใช้งานทุกวัน หรือออกกำลังยกน้ำหนักเพื่อเพาะสร้างกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน แล้วกับสมองล่ะ เราสร้างความแข็งแรงและขยายขีดความสามารถของมันให้มากขึ้นเหมือนกล้ามเนื้อได้หรือไม่?

ที่จริงแล้ว สมองมีความสามารถในการจัดแจงปรับเปลี่ยนตนเองตามความรู้ที่ป้อนใส่เข้าไป ถ้าได้ลับสมองประลองปัญญาบ่อยๆ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่สม่ำเสมอ สมองส่วนที่ใช้งานเป็นประจำก็จะแข็งแรง ส่วนที่ได้เรียนรู้ใหม่ก็จะเติบโตขึ้นทั้งทางกายภาพ และมีขีดความสามารถอื่นเพิ่มขึ้นด้วย เราเรียกความสามารถของสมองในการขยายตัวเติบโตนี้ว่า Brain Plasticity หรือ Neuroplasticity 

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพด้วยอาชีพคนขับรถแท็กซี่ที่ต้องจดจำเส้นทางลัด คนกลุ่มนี้จะมีสมองส่วน hippocampi (พื้นที่เก็บความจำ) ขยายใหญ่ขึ้น หรือกรณีอันน่าพิศวงของเด็กหญิงชาวอเมริกัน คาเมรอน มอตต์ (Cameron Mott) ซึ่งป่วยด้วยโรคร้ายแรงจนได้รับการผ่าตัดเอาสมองออกไปครึ่งหนึ่ง แต่สมองของเธอที่เหลือเพียงครึ่งเดียวก็สามารถ ‘เชื่อมต่อใหม่’ จนทำงานได้เหมือนคนปกติร้อยเปอร์เซ็นต์

นี่คือพลังมหัศจรรย์ของ Neuroplasticity! 

ในขณะที่การศึกษาในปัจจุบันเล็งเห็นว่า กรอบคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมเยาวชนคุณภาพให้เท่าทันโลกที่กำลังหมุนไป หากครูเสริมให้นักเรียนเข้าใจกลไกการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ก็จะยิ่งช่วยขยายภาพให้พวกเขามองเห็นความเป็นได้อย่างชัดเจนว่า การเรียนรู้และฝึกทักษะในด้านที่ไม่เคยใช้มาก่อนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางบวกอย่างไรกับสมอง และแท้จริงแล้วพวกเขาสามารถสร้างทักษะ ปัญญา และความคล่องแคล่วเชี่ยวชาญขึ้นมาได้ด้วยตนเอง  

งานวิจัยของ แครอล ดเวค (Carol Dweck) และ ลิซา แบล็คเวล (Lisa Blackwell) แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) เรื่อง Mind-sets and Equitable Education สนับสนุนข้อเสนอข้างต้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะงานวิจัยนี้ศึกษานักเรียนเกรด 7 สองกลุ่ม กลุ่มแรกผ่านการเรียนการสอนตามปกติ กับอีกกลุ่มครูเพิ่มการสอนเรื่อง Brain Plasticity ให้พวกเขาโดยอธิบายว่าทุกๆ การเรียนรู้และการทำความเข้าใจสรรพวิชาต่างๆ นั้น สมองพวกเขากำลังเติบโตแข็งแรงขึ้นทุกขณะ ผลปรากฏว่าเด็กกลุ่มที่สองนี้มีแรงจูงใจในการเรียนมากขึ้นและทำเกรดวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีกว่ากลุ่มแรก

นอกจากจะสรุปได้ตรงๆ ว่าครูควรสอนข้อมูลเรื่องกลไกการเติบโตของสมองควบคู่ไปกับเนื้อหาความรู้ทั่วไปด้วยแล้ว การเปิดโลกทัศน์ผู้เรียนให้ตระหนักถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงตนเองอันยิ่งใหญ่นี้เท่ากับเป็นการกดปุ่มสตาร์ท Growth Mindset ให้เด็กลบล้างอคติความเชื่อเรื่องเป็น ‘อัจฉริยะฟ้าประทาน’ หรือ ‘โง่แต่กำเนิด’ ไปได้เลยทีเดียว

นักศึกษาคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวโจ๊กในกลุ่มเพื่อนมาโดยตลอด เมื่อได้เรียนรู้เรื่องนี้จากดเวค ถึงกับร้องดีใจว่า “งั้นผมก็ไม่ต้องโง่อย่างนี้ไปตลอดน่ะสิ” 

โจ โบเลอร์ (Jo Boaler) ผู้เขียนหนังสือ Mathematical Mindsets และสอนวิชาคณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน อธิบายอิทธิพลของ Growth Mindset ที่มีผลต่อการเติบโตทางสมองว่า

นักเรียนที่มี Growth Mindset เมื่อคิดคำนวณพลาดหรือแก้โจทย์ไม่ได้ กระบวนการของสมองที่ประมวลความผิดพลาดนี้จะมองจุดที่ผิดหรือยากเป็นอุปสรรคท้าทาย และลองคิดหาวิธีใหม่ต่อไป ซึ่งนี่เป็นวิธีที่กระตุ้นให้สมองค่อยๆ เติบโตพัฒนาขึ้นนั่นเอง 

ปัจจัยที่สำคัญช่วยสนับสนุน Growth Mindset อย่างได้ผลชะงัดที่สุดนั้นคงไม่พ้นครูที่ต้องสอนเพื่อให้เด็กเรียนรู้ เข้าใจ (learning subject) ไม่ใช่เพื่อให้ตอบถูก (performance subject) 

ส่วนประเด็นเรื่องการสอดแทรกความรู้ด้านกลไกสมองให้นักเรียนควบคู่ไปด้วย แม้ครูจำนวนไม่น้อยเห็นพ้อง แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับการเทรนเรื่องนี้อย่างจริงจังมาก่อน ดังนั้นครูจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวหาข้อมูลความรู้พื้นฐานเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับช่วงวัยของเขาด้วย

ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้

จุดประสงค์ในการเรียนรู้

  • นักเรียนเข้าใจส่วนประกอบที่สำคัญในสมองและหน้าที่การทำงานต่างๆ ของแต่ละส่วน
  • นักเรียนสามารถอธิบายได้ว่าการเรียนรู้สิ่งใหม่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรกับสมองของเขา 
  • นักเรียนเชื่อมโยงได้ว่าการเรียนรู้ ฝึกฝนลองผิดลองถูกนั้น หมายความว่าเขากำลังพัฒนาศักยภาพภายในสมองอยู่นั่นเอง

ความรู้เรื่องสมอง

สมองแยกออกเป็นสองฝั่ง : ซ้าย-ขวา แต่ละข้างมีส่วนประกอบแตกต่างกันไป ส่วนประกอบเหล่านั้นมี cerebrum, prefrontal cortex, hippocampus, cerebellum, brain stem, amygdala ทุกส่วนล้วนทำงานร่วมกันในการเรียนรู้และเติบโต 

ส่วนประกอบของสมอง

  • cerebrum ซีรีบรัมคือสมองส่วนที่เป็นพื้นผิวชั้นนอกที่มีรอยขดๆ หยักๆ ปกคลุมก้อนสมองใหญ่ ใช้ในการคิด แก้ปัญหา และมีส่วนในทุกกิจกรรมที่เราทำตั้งแต่ วาดรูป ว่ายน้ำ เล่นเกม
  • cerebellum ซีรีเบลลัมเป็นสมองก้อนเล็กที่อยู่ค่อนไปด้านหลัง ใช้ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย วิ่ง กระโดด เต้นรำ เป็นต้น
  • prefrontal cortex พรีฟรอนทอล คอร์เท็กซ์ เป็นสมองชิ้นที่อยู่ใต้หน้าผาก ใช้ในการตัดสินใจ ยับยั้งชั่งใจ สามัญสำนึกผิดชอบชั่วดี การคิดไตร่ตรองสิ่งสำคัญ
  • hippocampus คำว่า hippocampus มาจากภาษาละตินแปลว่าม้าน้ำ สาเหตุที่มีชื่อนี้ก็เพราะสมองส่วนที่มีรูปร่างคล้ายม้าน้ำนั่นเอง มีหน้าที่แปรประสบการณ์ที่พบเป็นความทรงจำระยะยาว 
  • amygdala อะมิกดาลาเป็นกลุ่มเซลล์สมองที่กระจุกอยู่ในสมองส่วนที่ลึกเข้าไปบริเวณแกนกลาง ใช้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด
  • brain stem ก้านสมองคือส่วนที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณจากสมองไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่ทำหน้าที่โดยอัตโนมัติ เช่น หายใจ ย่อยอาหาร หัวใจเต้น จาม หาว เป็นต้น

ส่วนประกอบของเซลล์สมอง (Neuron)

  • dendrites : เป็นแขนงของเซลล์สมองที่ยื่นออกมาเพื่อใช้รับข้อมูล ‘ขาเข้า’ จากเซลล์อื่นเข้าไปภายในตัวเซลล์
  • cell body : เมื่อรับสัญญาณข้อมูลเข้ามาแล้วก็ประมวลเป็นคลื่นไฟฟ้าส่งต่อให้กับเซลล์อื่น
  • axon : ใยประสาทที่นำส่งสัญญาณ ‘ขาออก’ ไปยังเซลล์อื่นโดยผ่านช่อง presynaptical terminal ที่อยู่ปลายสุดของเซลล์
  • presynaptical terminal : คือส่วนปลายสุดของเซลล์สมองซึ่งเชื่อมประสานกับ dendrite ของเซลล์ถัดไป สัญญาณที่ส่งจากกึ่งกลางเซลล์จะถูกส่งไปยังเซลล์อื่นผ่านจุดนี้

กลไกการเติบโตของสมอง (Neuroplasticity)

ก้อนสมองคือกลุ่มเซลล์ขนาดใหญ่ประกอบกันขึ้น แต่ละเซลล์สมอง (neuron) รับส่งข้อมูลผ่านกระแสไฟฟ้าซึ่งกันและกันในขณะที่เราทำกิจกรรมต่างๆ ความเชี่ยวชาญคล่องแคล่วในกิจกรรมใดๆ ยกตัวอย่างเช่น คนที่เต้นเก่ง ทักษะการเต้นมาจากการที่กลุ่มเซลล์สมองส่วนสั่งการเคลื่อนไหว สามารถรับส่งข้อมูลได้รวดเร็วและพร้อมกันคราวละมากๆ ถ้ายิ่งรับส่งได้มากและรวดเร็วเท่าไหร่ การเรียนรู้ (ในกรณีนี้คือการเคลื่อนไหวร่างกาย) ก็จะเป็นไปได้อย่างง่ายดายลื่นไหลมากเท่านั้น

ในคนที่เคลื่อนไหวร่างกายยังไม่เก่ง การฝึกฝนท่าทางที่ยังทำไม่ได้หรือไม่ถนัดบ่อยๆ เข้า กลุ่มเซลล์สมองส่วนการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยนักก็จะเริ่มมีการเชื่อมต่อและรับส่งข้อมูลใหม่ๆ (นึกภาพจำนวนขา axon ของเซลล์ยื่นต่อไปยังเซลล์อื่นเพิ่มมากขึ้น แขนง dendrite ก็รับข้อมูลเข้าได้มากขึ้น) หากยังฝึกฝนไปเรื่อยๆ axon ของเซลล์สมองกลุ่มนั้นก็จะเพิ่มขาไปเกาะกับเซลล์อื่นได้มากขึ้น และรับส่งได้ดีขึ้น เมื่อกระบวนการนี้ดำเนินต่อไปอีกด้วยการฝึกหนัก ท่าทางที่เราเคยทำไม่ได้ก็จะสามารถทำได้ง่ายขึ้นจนคล่องแคล่วในที่สุด นี่เองคือกระบวนการเรียนรู้และกลไกการเติบโตของสมอง 

กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้

กิจกรรมในชั้นเรียนวิธี
ปั้นแบบจำลองสมอง และ เซลล์สมองให้นักเรียนใช้แป้งโดปั้นภาพนูนต่ำบนกระดาษขาวจำลองส่วนประกอบของสมองด้วยสีต่างๆ และเซลล์ neuronอธิบายหน้าที่ของส่วนต่างๆ และกระบวนการเติบโตของสมองโดยการทำลูกศรการเดินทางของข้อมูล
ทำวิดีโอสาธิต ให้นักเรียนอัดวีดีโอบรรยายเหมือนผู้ประกาศที่อธิบายกระบวนการเรียนรู้และกลไกการทำงานของสมองโดยใช้ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวประกอบ
แต่งเพลง หรือ แต่งกลอนช่วยกันแต่งเพลงหรือกลอนที่บรรยายการเติบโตของสมอง
เล่นละครเล่นละครให้นักเรียนแสดงบทบาทหน้าที่ของการทำงานในเซลล์การเชื่อมต่อของเซลล์และการเติบโตของสมอง

ในทางอุดมคตินั้น แก่นกลางของการเปิดโลกทัศน์ให้นักเรียนตระหนักถึงพลังอันไร้ขีดจำกัดในตนเองซึ่งสามารถผลักดันให้เขาทรงปัญญาขึ้นได้คือ ‘ความรู้’ (cognition) ซึ่งเป็นความเข้าใจในวิทยาการความรู้ต่างๆ กับอีกอย่างคือ ‘การรู้คิด’ (metacognition) หรืออภิปัญญา ซึ่งเป็นการตระหนักรู้ว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ มีจุดบกพร่องตรงไหนและสามารถจัดการโดยการวางแผนปรับเปลี่ยนเพื่อยกระดับปัญญาความรู้ของตนได้ เช่น รู้ตัวว่าตนเองเหมาะกับการเรียนรู้แบบใด เช่น เวลาอ่านหนังสือแล้วชอบหลับเลยเปลี่ยนไปใช้วิธีเปิดวิดีโอที่สอนเป็นคลิปใน YouTube แทน หรือตั้งเป้าหมายกับตัวเองว่าจะเรียนรู้สิ่งนี้ไปเพื่ออะไร สามารถประเมินความเข้าใจตนเองในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นต้น รู้สิ่งใดไม่สู้ ‘รู้คิด’

ส่วนใหญ่ ‘ความรู้’ เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ผ่านการจัดการเรียนรู้โดยตรงในห้องเรียน ในขณะที่โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้กล่าวถึง ‘การรู้คิด’ แบบเป็นรูปธรรมไว้ในหลักสูตรหรือแม้แต่ครูเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงสิ่งนี้เลย ที่ผ่านมาจึงมักเป็นเพียงความคาดหวังที่ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่านักเรียนควรจะจัดการกับความคิดหรือความรู้ของตนเองได้แม้ไม่ได้สอนกันตรงๆ

สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะครูเป็นผู้เตรียมการสอนมาล่วงหน้า นักเรียนจึงไม่มีโอกาสใคร่ครวญวางแผนการเรียนรู้ของตนเอง อีกทั้งช่วงเวลาที่จะให้นักเรียนทบทวนประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ก็ทำได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยเวลาอันจำกัด

อย่างไรก็ตามมีการพิสูจน์ชัดเจนว่าการสอน ‘การรู้คิด’ ให้ผู้เรียนช่วยพัฒนาทักษะความสามารถของพวกเขาได้อย่างติดปีก โดยงานวิจัยThe Boss of My Brain ของ ดอนนา วิลสัน (Donna Wilson) และ มาร์คัส คอนเยอร์ส (Marcus Conyers) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมอง (Brain Based Learning) ซึ่งศึกษาเด็กตั้งแต่วัยก่อนเข้าโรงเรียนไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยที่มีการสอนเรื่อง ‘การรู้คิด’ ให้กับเด็กที่เข้าร่วมวิจัย ผลชี้ออกมาว่า เด็กเหล่านี้เมื่อรู้จัก ‘การรู้คิด’ ก็สามารถใคร่ครวญกระบวนการเรียนรู้ของตนเองและควบคุมให้ตนเองมีวินัยเชิงบวกในการเรียน พยายามฝึกฝนและกระตุ้นตนเองให้รับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ตลอดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิผลได้ 

อย่างนี้แล้วหากครูท่านใดตั้งเป้าเสริมสร้าง Growth Mindset ให้เด็กๆ ในชั้นเรียนอาจเริ่มก้าวแรกด้วยการสอน ‘การรู้คิด’ อย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อนเพื่อให้เขาถอยกลับมาสังเกตและประเมินตนเองจากมุมมองภายนอกก่อนวางหมุดหมายในสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ตลอดจนวางแผนกระบวนการเรียนรู้ได้ต่อไป

ต่อไปนี้คือวิธีที่ครูสามารถนำไปกระตุ้น ‘การรู้คิด’ ในชั้นเรียน

1. ใช้แผนผัง K-W-L: ให้นักเรียนสำรวจความคิดแต่ละขั้นตอนของตนตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้ในแต่ละประสบการณ์ 

What I Know
สิ่งที่ฉันรู้
What I Want to know
สิ่งที่ฉันอยากรู้
What I Learned
สิ่งที่ฉันเรียนรู้
(…เติมสิ่งที่ฉันรู้…)(…เติมสิ่งที่ฉันอยากรู้…)(…เติมสิ่งที่ฉันเรียนรู้…)


2. ใช้คำเกริ่นนำความคิดในห้องเรียน 
: ฝึกให้นักเรียนใช้คำเกริ่นนำความคิดด้านล่างให้ชินในการแสดงหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียน คำเกริ่นนำทำให้นักเรียนตระหนักว่าตนเองกำลังมีแบบแผนในการคิดอย่างไร ขณะเดียวกันครูผู้สอนก็ควรใช้คำเกริ่นนำเมื่ออธิบายให้นักเรียนฟังด้วย เช่น “ครูกำลังคิดว่าประโยคนี้มีจุดที่ยังไม่สมบูรณ์อยู่นะ เพราะเรามีประธานแต่ไม่มีกริยา ครูสงสัยว่า คำกริยาที่เราจะเติมประโยคนี้ให้สมบูรณ์มีคำว่าอะไรได้บ้าง”

  • ฉันสงสัยว่า…
  • ฉันเข้าใจว่า…
  • ฉันคิดว่า…
  • ฉันเห็นว่า…
  • ฉันรู้สึกว่า…
  • ฉันคิดออกแล้วว่า…
  • นี่ทำให้คิดถึง…
  • จากตรงนี้ ฉันเข้าใจได้ว่า…

3. ใช้ Think Sheet : ให้นักเรียนเขียนความคิดตามความเข้าใจของเขา การกรอกคำตอบจะเป็นการช่วยให้พวกเขาใช้เวลาทบทวนความคิดของตนเองอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง

ตัวอย่าง Think Sheet จาก https://www.teacherspayteachers.com/Product/Think-Sheets-1480726

4. บันทึกความก้าวหน้า: ให้นักเรียนจดบันทึกความเข้าใจวิชาต่างๆ เป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ วิธีนี้นอกจากจะสามารถติดตามพัฒนาการตนเอง ยังทำให้เห็นสไตล์การเรียนรู้ที่ใช้อยู่ เห็นข้อดีข้อด้อยของวิธีและชี้แนวทางการเรียนรู้อื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้นักเรียนอาจมองข้ามไป

5. โน้ตย่อ : กระตุ้นให้นักเรียนจดโน้ตจากความเข้าใจหรือคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างเรียนรู้ควบคู่ไปกับการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ

6. สร้างห้องเรียนที่เป็นมิตรกับความผิดพลาด : สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่นักเรียนไม่กลัวการทำผิด แต่กลับรู้สึกสนุกตื่นเต้นกับมัน เห็นความผิดพลาดของตนเองหรือเพื่อนๆ เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้เป็นประสบการณ์ได้

ขยับตัวออกท่า เพิ่มพลังสมอง

สมองชื่นชอบความตื่นเต้นเกินคาดเดาเป็นที่สุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราชอบการเซอร์ไพรส์ หรือดูหนังระทึกขวัญที่มีพล็อตเรื่องหักมุมทำใจเต้นไม่เป็นส่ำ

สมองถูกสร้างมาเพื่อรับมือกับเรื่องแปลกใหม่อยู่เสมอ ดังนั้นห้องเรียนที่จะกระตุ้นให้สมองใช้ศักยภาพการเรียนรู้อย่างเต็มกำลังได้จึงไม่ใช่ห้องเรียนที่มีบรรยากาศเหี่ยวเฉา เดาตอนจบได้ว่าครูจะสอนเรื่องไหนและให้ทำอะไรบ้าง

นอกจากเนื้อหาความรู้ทั่วไป กิจกรรมเพิ่มพลังสมองเป็นการเติมสีสันให้ชั้นเรียนไม่ซ้ำซากจำเจ ช่วยปลุกไฟให้ชั้นเรียนที่กำลังซึมเซาใกล้มอดจากงานยากๆ หรือวิชาที่คร่ำเคร่งให้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง และยังสร้างขุมพลังใหม่ให้สมองปลอดโปร่งเตรียมพร้อมกับการเรียนรู้อีกด้วย

เกมขันเกลียวมนุษย์ (Human Knot) : ทุกคนล้อมวงแล้วยื่นมือขวาไปข้างหน้าจับกับมือขวาของใครก็ได้ที่ไม่ได้ยืนอยู่ข้างตัวเอง จากนั้นมือซ้ายทำแบบเดียวกัน สร้างเป็น ‘ขันเกลียวมนุษย์’ ที่ทุกคนต้องร่วมมือกันแก้เกลียวที่พันยุ่งเหยิงนี้ด้วยวิธีใดก็ได้ จะมุด รอด บิดตัว ข้ามแขนขากันและกันเพื่อคลายเกลียวได้หมด

เกมวาดวิมานในอากาศ (Air Writing) : ตั้งหัวข้ออย่างหนึ่งเช่น อุปกรณ์ที่ใช้ในครัว แล้วให้นักเรียนตอบด้วยการวาดนิ้วชี้ในอากาศเป็นคำตอบ ให้เพื่อนคนถัดไปเป็นคนทาย ทำต่อกันไปเรื่อยๆ

โยคะพักสมอง : ให้นักเรียนได้จดจ่อสมาธิกับลมหายใจและทำท่าโยคะพื้นฐานเช่น ท่า upward facing dog หรือ warrior ที่ช่วยยืดเหยียดกระตุ้นความกระปรี้กระเปร่า

บริหารสมองด้วย YouTube (YouTube Brain breaks): หาเพลงเข้าจังหวะสนุกๆ ที่ต้องทำท่าประกอบอย่างเพลงสาละวันเตี้ยลง ก็สามารถสร้างความสนุกสนานและปรับอารมณ์ให้ผ่องใสขึ้น ใน YouTube มีคลิปที่เป็นเพลงแนว Brain Break อยู่มากมาย ครูสามารถเลือกใช้ให้เข้ากับวัยผู้เรียนตามแต่จังหวะและสถานการณ์อีกที

สุดท้ายนี้ ปลายทางของการพานักเรียนในชั้นไปออนทัวร์ด้านการทำงานของสมองและรู้จักกระบวนการสร้าง ‘การรู้คิด’ ให้มีติดตัวพวกเขา เหล่านี้ล้วนเป็นการแผ้วถางหนทางไปสู่การเรียนรู้อันยั่งยืนไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าจะเปรียบร่างกายที่สามารถฟิตซ้อมสมรรถะความแข็งแกร่งจนมีมัดกล้าม สมองก็สามารถแข็งแรงได้ด้วยการใช้งานเรียนรู้ฝึกฝนสิ่งใหม่ๆ ให้ด้านที่ไม่ถนัดสามารถพัฒนาให้คล่องแคล่ว ทักษะที่ดีอยู่แล้วก็กลายเป็นเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ เหนืออื่นใด Growth Mindset คือความเชื่อตั้งต้นที่เป็นแรงผลักสำคัญอันจะนำพาทุกคนไปสู่ปลายทางดังที่ว่าได้นั่นเอง

อ้างอิง
Hundley, A. B. (2016). My Brain is Like a Muscle That Grows! In The Growth Mindset Coach (pp. 53-71). CA: Ulyssess Press.

Tags:

ครูเทคนิคการสอนGrowth mindsetแรงจูงใจในตัวเอง(Self motivation)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • GritEF (executive function)Growth & Fixed Mindset
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Learning Theory
    สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

    เรื่องและภาพ The Potential

ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา
Social Issues
19 September 2019

ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ปัญหาความล้าหลังของระบบการศึกษา และไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันอีกต่อไป ไม่ได้เกิดแค่ในประเทศไทย แต่เป็นกันแทบทั้งโลกรวมถึงสหรัฐอเมริกา
  • อดีตฟินแลนด์ก็เคยเป็นเช่นนั้น แต่เลือกที่จะหักดิบ ปรับเปลี่ยนระบบการศึกษามาตั้งแต่ช่วงปี 1970 จนเขยิบมาอยู่แถวหน้าในปัจจุบัน
  • บทความชิ้นนี้ ยกตัวอย่างความพยายามของประเทศต่างๆ รวมถึงไทยที่ลุกขึ้นมาสร้างโมเดลการเรียนรู้แบบใหม่ และเพื่อย้ำชัดๆ อีกครั้งว่า ระบบการศึกษาไทยยังไม่หมดหวัง

ก่อนวิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษา เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ระบบการศึกษาแบบเดิมไม่ได้ล้มเหลวหรือแย่จนไม่มีอะไรดีเอาเสียเลยมาตั้งแต่แรก เพียงแต่โมเดลการศึกษาแบบเดิมนั้นล้าหลัง และไม่เหมาะกับการเรียนรู้ในยุคแห่งนวัตกรรม (innovative era) ณ ขณะนี้อีกต่อไป และนี่ไม่ได้เป็นปัญหาแค่เฉพาะการศึกษาในประเทศไทยเท่านั้น…แต่เรียกได้ว่าเป็นกันแทบทั้งโลก

ในหนังสือ Most Likely to Succeed โดย โทนี วากเนอร์ (Tony Wagner) และ เท็ด ดินเทอร์สมิธ (Ted Dintersmith) นักธุรกิจตัวฉกาจในวงการนวัตกรรม – ผู้หันมาสนใจประเด็นการศึกษา ฉายภาพให้เห็นความ ‘ใช้ไม่ได้’ ของระบบการศึกษาแบบเดิมของสหรัฐอเมริกาไว้อย่างชัดเจน

ในสหรัฐอเมริกาโมเดลการศึกษาถูกริเริ่มและนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1893 จนถึงตอนนี้ร่วม 126 ปีเข้าไปแล้ว แต่ความเคลื่อนไหวและความเปลี่ยนแปลงของโลกก้าวไปไกลมาก เราอยู่ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ไม่เพียงประมวลผลข้อมูลเร็วกว่ามนุษย์ แต่ไปถึงจุดที่คิดวิเคราะห์ได้รอบคอบกว่า แถมยังเลียนแบบพฤติกรรมและวิธีการตอบสนองของมนุษย์ได้แล้วด้วยซ้ำไป

ถ้าเทียบกับการใช้พาหนะ เราคงไม่ใช้เกวียนเดินทางไปไหนมาไหน ในยุคที่เครื่องบินโดยสารราคาถูก และพาไปถึงจุดหมายได้รวดเร็วกว่า ระบบการศึกษาก็เช่นกัน เมื่อวิธีคิด หลักสูตรและเครื่องมือเดิมที่เคยใช้ได้ผล ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ก็ป่วยการที่จะดันทุรัง แต่ทางออกที่ทำได้ คือ การยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเอ่ยถึงการปฏิรูปการศึกษา เรามักนึกถึงการปรับเปลี่ยนเชิงนโยบาย แล้วจบลงที่ว่า “ในเมื่อนโยบายไม่เอื้อ มันก็ยาก โรงเรียนและครูจะทำอะไรได้”

ส่วนเล็กๆ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ขนาดไหนกัน เมื่อนโยบายทางการศึกษาส่วนกลางไม่สอดรับ ไม่สนับสนุน และไม่ช่วยให้ครู โรงเรียน และนักการศึกษาทำงานได้ง่ายขึ้น?

วากเนอร์ และดินเทอร์สมิธ ตั้งคำถามนี้ไว้ในหนังสือ ‘Most Likely to Succeed’ เช่นกัน

คำตอบที่ได้ – พวกเขาบอกว่า ส่วนเล็กๆ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากทีเดียว หากส่วนเล็กๆ แต่ละส่วนเดินไปในทิศทางเดียวกันและแชร์วิสัยทัศน์ร่วมกัน โดยเฉพาะหากแต่ละโรงเรียน ในแต่ละพื้นที่หันมาสนใจปรับเปลี่ยนวิถีการเรียนให้ก้าวทัน เพราะส่วนเล็กๆ หลายๆ ส่วนที่กล้าลงมือทำ เมื่อรวมกันจะช่วยสร้างแรงกระเพื่อมระดับนโยบายได้

ตั้งหลักมองปัญหาการศึกษาใหม่

ปัญหาการศึกษาไม่ได้เกิดจากระบบการศึกษาเพียงอย่างเดียว ค่านิยมในสังคมก็มีส่วน ค่านิยมในสังคมเรื่องการประกอบอาชีพ (ที่ก้าวไม่ทันยุคสมัย) ส่งผลต่อความคาดหวังของพ่อแม่ และสังคม ซึ่งส่งผลต่อการวางอนาคตของเด็กและเยาวชน

จำได้ไหมว่า ยุคหนึ่งค่านิยมในประเทศไทย พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคน รับราชการ มียศมีตำแหน่ง ต่อมาการได้เข้าทำงานบริษัทใหญ่ๆ กลายเป็นความมั่นคง มีการแข่งขันสูง เพราะมีสวัสดิการดี ได้โบนัสปลายปี แต่ยุคนี้การมีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นกระแสเปรี้ยงปร้างขึ้นมา โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ อายุน้อยร้อยล้าน เกิดอาชีพใหม่ๆ เช่น บล็อกเกอร์ นักเล่นเกม และอื่นๆ ที่หลายครั้งก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามีอาชีพนี้อยู่จริง ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ในแวดวงเหล่านั้น

ค่านิยมในสังคมของคนวัยเด็ก วัยทำงาน และของผู้ใหญ่ แตกแขนงออกไป มีความหลากหลาย จนยากที่จะไปในทิศทางเดียวกัน

ระบบการศึกษาที่จะช่วยให้เด็กและเยาวชนเติบโตในสังคมโลกยุคต่อไปได้ จึงไม่ใช่การศึกษาที่ให้คุณค่ากับความรู้หรือผลคะแนนสอบเท่านั้น แต่ต้องเป็นมาตรฐานการศึกษาที่วัดคุณค่าและคุณภาพจากความสามารถที่ทำได้ ไม่ใช่จากความรู้เพียงอย่างเดียว

ความสามารถแบบไหนเป็นหัวใจหลักของการทำงาน การเรียนรู้ และการเป็นพลเมืองที่ดีในยุคนี้?

หนังสือ Most Likely to Succeed บอกว่า พื้นฐานการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย องค์ความรู้ (content knowledge) ทักษะ* (skill) และ แรงจูงใจ (will)

วากเนอร์ และ ดินเทอร์สมิธ เชื่อว่า แรงจูงใจเป็นพื้นฐานสำคัญมากที่สุด เพราะแรงจูงใจจากภายใน กระตุ้นให้ผู้เรียนขวนขวายพัฒนาตัวเองจากการเรียนรู้ทักษะรอบด้าน มีความกล้าในการตั้งคำถาม ลงมือแก้ปัญหา ที่จะนำมาสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งเป็นส่วนที่ยากที่สุด

แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า แรงจูงใจเป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาในปัจจุบันลิดรอนไป จนแทบไม่หลงเหลือแรงจูงใจแห่งการเรียนรู้ให้เห็นในห้องเรียน

เพื่อขยายภาพให้ชัดเจนมากขึ้น แรงจูงใจที่กำลังพูดถึงนี้ ประกอบไปด้วย อุปนิสัยความเพียร (Grit) ความขยัน อดทน (Perseverance) และ ความมีระเบียบวินัยในตัวเอง (Self-discipline)

วากเนอร์ และ ดินเทอร์สมิธ เน้นย้ำไปที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับเด็กเมื่อจบชั้นมัธยมปลาย พวกเขา บอกว่า สิ่งแรกที่ท้าทายไม่น้อย คือ การฉายภาพให้ทุกคนเห็นและเข้าใจตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู นักการศึกษา และผู้มีอำนาจในการวางนโยบายว่าเมื่อเรียนจบแล้ว มาตรฐานหรือคุณสมบัติที่เด็กมัธยมปลายควรมีคืออะไร เด็กควรมีความรู้ความสามารถ และมีทักษะชีวิตอย่างไรบ้าง แล้วจะนำศักยภาพที่มีไปใช้อย่างไรในวันที่กูเกิลรู้ไปหมดแทบทุกเรื่อง

ถึงตรงนี้ไม่ได้กำลังบอกว่าความรู้ไม่มีประโยชน์ หรือควรสอนแต่ทักษะชีวิตโดยไม่คำนึงถึงหลักการความรู้ แต่โจทย์คือ การเลือกเนื้อหาวิชาการอย่างรอบคอบ เนื้อหาความรู้ใดบ้างที่ควรเรียน เรียนด้วยวิธีการใดที่จะสร้างกระบวนการเรียนรู้ ที่สร้างแรงจูงใจเชื่อมไปสู่การสร้างทักษะชีวิตควบคู่กันไป

สหรัฐอเมริกาเรียกร้องปฏิรูปการศึกษามากว่า 30 ปี

ก่อนจะไปถึงทางออกที่พอมีโมเดลให้เดินตามอยู่บ้าง จากประเทศที่ลุกขึ้นมาปฏิรูประบบการศึกษาของตัวเองอย่างจริงจัง สิ่งที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง คือ สหรัฐอเมริกาเผชิญหน้ากับปัญหาทางการศึกษาไม่ต่างจากประเทศไทย

ในสหรัฐอเมริกากระแสการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการศึกษาไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปีแล้ว เครือข่ายโรงเรียนต้นแบบ และกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญก็ยังคงผลักดันกันต่อไปอย่างต่อเนื่อง แม้ยังไม่ได้รับการแก้ไขในระดับนโยบาย เรื่องหนึ่งที่ได้รับความสนใจและถูกพูดถึง คือ การวัดและการประเมินผลการศึกษา

ระหว่างวิธีการวัดที่ง่ายต่อการประเมินผลในภาพรวม ด้วยแบบทดสอบกากบาทแบบเดียวกันทั้งประเทศ กับวิธีการวัดผลด้วยเรื่องที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ ซึ่งต้องใช้แบบทดสอบที่แตกต่างตามแต่ละพื้นที่ อาจจะเป็นข้อสอบเขียน หรือให้ลงมือปฏิบัติ…จะเลือกแบบไหน?

เรื่องการวัดและการประเมินผลการศึกษานี้มีตัวอย่างให้เห็นที่ประเทศเดนมาร์ก ปี 2009 เดนมาร์กประกาศให้นักเรียนใช้อินเทอร์เน็ตระหว่างการสอบวัดผลระดับชาติได้ ในปี 2013 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประเทศเดนมาร์ก ได้ให้สัมภาษณ์ว่า

“การสอบควรสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนในชีวิตประจำวัน และสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนในชีวิตประจำวันควรสะท้อนความเป็นไปในสังคม”

แน่นอนว่าเกณฑ์การวัดผลการสอบที่ให้นักเรียนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ไม่ได้วัดแค่ความถูกต้องของคำตอบจากการคัดลอกข้อมูล แต่คือการบูรณาการข้อมูลที่หาได้จากแหล่งข้อมูลแต่ละแหล่ง แล้วตอบคำถามที่สื่อสารให้เห็นถึงการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก การเรียนการสอนนั้นถึงจะมีประสิทธิภาพ

หักดิบแบบฟินแลนด์เมื่อ 50 ปีก่อน

วากเนอร์ และ ดินเทอร์สมิธ บอกว่า หลักสูตรครูบางหลักสูตรในสหรัฐอเมริกา จัดสรรเวลาให้ครูได้ฝึกสอนเพียง 5 อาทิตย์เท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยมาก ต้องยอมรับว่าครูที่ขาดประสบการณ์และขาดทักษะการสอนเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์ทางการศึกษา

ยุคนี้เมื่อเอ่ยถึงระบบการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศแถวหน้าที่ได้รับการยอมรับและพูดถึงอยู่เสมอ จากสถิติการวัดและการประเมินผลเพื่อคุณภาพการเรียนรู้ ในโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA: Programme for International Student) ที่ใช้วัดผลทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้น ฟินแลนด์มีชื่อปรากฏอยู่ในประเทศท็อปลิสต์มาโดยตลอด แต่ก่อนจะมาถึงวันนี้ ฟินแลนด์ได้ผ่านการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาแบบหักดิบมาก่อนตั้งแต่ช่วงปี 1970

สิ่งที่รัฐบาลฟินแลนด์ทำราว 50 ปีก่อน คือ

  • รัฐบาลปิดโรงเรียนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ทั่วประเทศ คงเหลือไว้เพียงโรงเรียนที่มีเครือข่ายกับมหาวิทยาลัยซึ่งประเมินแล้วว่ามีมาตรฐานดีที่สุด
  • ครูที่จะเข้ามาสอนได้ต้องมีดีกรีด้านการศึกษาโดยตรง และมีครูที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครูที่ดีที่สุดของประเทศ เป็นที่ปรึกษาระหว่างฝึกงานในช่วงระยะเวลาหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
  • หลักสูตรการศึกษาเน้นให้นักเรียนคิดวิเคราะห์
  • ครูทำงานเพียง 600 ชั่วโมงต่อปี (เทียบกับสหรัฐอเมริกา 1,100 ชั่วโมงต่อปี มากกว่าเกือบเท่าตัว) เพื่อให้ครูมีเวลามากพอที่จะพูดคุยกับนักเรียน พบปะผู้ปกครอง และแลกเปลี่ยนระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนให้เหมาะสม

ผลลัพธ์ที่พอสรุปได้หลังจากฟินแลนด์เปลี่ยนระบบการศึกษาแบบหักดิบครั้งใหญ่ คือ

  • นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ ก้าวทันนวัตกรรม
  • ครูได้รับความเคารพ มีความน่าเชื่อถือ และมีความภาคภูมิใจในอาชีพของตนเอง
  • นักเรียนมีแรงผลักดันในการเรียน และเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
  • ไม่มีการบ้าน ไร้การสอบ ปราศจากการสอนเพื่อไปสอบ และไม่มีการเรียนพิเศษนอกตารางเรียน

ย้ำอีกครั้ง…ผลลัพธ์จากการปฏิรูปการศึกษาที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ทำให้ฟินแลนด์ได้ชื่อว่า เป็นประเทศหนึ่งที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก

บทเรียนจากฟินแลนด์สะท้อนให้เห็นว่า การปฏิรูประบบการศึกษาไม่ได้เกี่ยวกับการเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาแล้วจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้หมดจด ความพร้อมและการเตรียมตัวของครูก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก

โฉมหน้าใหม่ของการศึกษา

แล้วรูปร่างหน้าตาของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 เป็นแบบไหน?

นอกจากหัวใจ 3 ส่วนที่เป็นองค์ประกอบของพื้นฐานการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ องค์ความรู้ (content knowledge) ทักษะ* (skill) และ แรงจูงใจ (will) แล้ว ระบบการศึกษายุคนวัตกรรม ควร

1. ให้ความสำคัญกับการปรับมาตรฐานการเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา เพราะไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสก้าวเข้ามหาวิทยาลัย

นอกจากการวัดผลจากบทเรียนในห้องเรียน การเรียนระบบมัธยมศึกษาควรให้นักเรียนได้ฝึกฝนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (independent study) จากใบงานที่ได้รับมอบหมายในรายวิชาต่างๆ การฝึกงาน (work internship) และ การทำโปรเจ็คต์เพื่อสังคม (learning projects in community)

Most likely to succeed ยกตัวอย่าง เครือข่ายสมาคม New York Performance Standards Consortium ที่ตั้งขึ้นในปี 1997 จากความร่วมมือของโรงเรียนมัธยม 28 โรงเรียน ไว้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ

นักเรียนจะจบการศึกษาได้ก็ต่อเมื่อผ่านการทำโครงงาน 4 ส่วน ต่อไปนี้

บทวิเคราะห์วรรณกรรม, บทความวิจัยทางสังคมศาสตร์, การทดลองทางวิทยาศาสตร์ และการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์ขั้นสูง

กระบวนการเรียนรู้เปิดโอกาสให้นักเรียนนำเสนอโครงงานต่อเพื่อนในชั้นเรียน ครู ผู้ปกครอง รวมถึงบุคคลและชุมชนที่เกี่ยวข้อง ไปพร้อมๆ กับการบันทึกพัฒนาการของนักเรียนลงในพอร์ตฟอลิโอดิจิทัล ยกตัวอย่างเช่น การนำเสนองานเขียน คลิปการพูดในที่สาธารณะ โครงการที่ลงมือปฏิบัติ หรือแม้แต่ชิ้นงานศิลปะ เพื่อสื่อสารและสะท้อนความเป็นตัวตนของนักเรียน ในช่องทางที่เข้าถึงได้ง่ายในโลกยุคใหม่

โครงงานแต่ละส่วนจะช่วยพัฒนาทักษะ 4Cs ได้แก่ Critical Thinking (ทักษะการคิดวิเคราะห์), Communication (ทักษะการสื่อสาร), Collaboration (ทักษะการทำงานเป็นทีม) และ Creative Problem-solving (ทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์) กระบวนการทำงานทำให้เด็กรับมือกับความขัดแย้งและควบคุมตนเอง เพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

นอกจากนี้ หนังสือ Most Likely to Succeed ยังยกตัวอย่าง โครงการ HIGH TECH HIGH (HTH) โดยเครือข่ายการเรียนรู้เชิงลึก (Deeper Learning Network) ที่รวบรวมโรงเรียนของรัฐกว่า 500 โรงเรียนในสหรัฐอเมริกาเข้ามาจัดรูปแบบการศึกษาร่วมกัน ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความพยายามปรับรูปแบบการเรียนการสอน โดยมีข้อตกลงหรือหลักเกณฑ์การเรียนการสอน ดังต่อไปนี้

  • ความเชี่ยวชาญในเนื้อหาวิชาหลัก เช่น การอ่าน การเขียน คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ยังคงมีอยู่
  • กระบวนการเรียนช่วยให้เกิดการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และนักเรียนสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างสร้างสรรค์
  • ความสามารถในการทำงานเป็นทีม เข้าใจเป้าหมายงาน ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างแต่นำไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้
  • ความสามารถในการสื่อสารได้อย่างชัดเจนทั้งการพูดและการเขียน และสร้างความเข้าใจให้กับผู้ฟังและผู้อ่าน
  • การเรียนรู้ด้วยตัวเอง มีเป้าหมายการเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจ วางแผนและติดตามแผนงานของตนเองได้ มองเห็นจุดเด่นจุดด้อยของตัวเอง จากการประเมินตนเองและจากคำแนะนำของผู้อื่น
  • วิธีคิดเชิงวิธีการ (academic mindset) เป็นวิธีคิดที่เปิดรับการเรียนรู้ ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในศักยภาพของตนเอง ขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เห็นความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

วางเป้า แล้วคว้าฝัน

นอกจาก HIGH TECH HIGH แล้ว ยังมี แนวการศึกษาแบบ MALCOLM X SHABAZZ HIGH SCHOOL และ THE FUTURE PROJECT

“อะไรเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และกล้าหาญที่พวกเธออยากทำ เพื่อทำให้โลกของเธอดีขึ้น ฉันอยู่ที่นี่เพื่อช่วยให้เธอทำสิ่งนั้น”

เป็นคำพูดที่ผู้บริหารเอ่ยขึ้นถามนักเรียน คำพูดที่เอ่ยถึงเป้าหมายในชีวิตแบบที่เด็กๆ ไม่เคยได้ยินมาก่อน

โรงเรียนมัธยมมัลคอล์ม เอ็กซ์ ชาร์บาซ เมืองนวร์ค (Newark) รัฐนิวเจอร์ซีย์ (New Jersey) สหรัฐอเมริกา เป็นต้นแบบของระบบการศึกษาโรงเรียนนวร์ค (Newark school system) ที่ทำงานร่วมกับ เดอะ ฟิวเจอร์ โปรเจ็คต์ องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ทำงานด้านการศึกษาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนในสหรัฐอเมริกา

จากแนวคิดของผู้บริหารสะท้อนผ่านคำพูดข้างต้น ทำให้นักเรียนชาร์บาซในปัจจุบัน มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าทำสิ่งที่ท้าทาย มีความมุ่งมั่นและสร้างเป้าหมายใหม่ๆ ในชีวิต

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เดอะ ฟิวเจอร์ โปรเจ็คต์ ได้ริเริ่มโครงการฟิวเจอร์ยู (FutureU) ไปยังโรงเรียนในเครือข่ายอื่นๆ สนับสนุนให้นักเรียน วางเป้าหมายและความฝันในชีวิต ใช้เวลาช่วงเที่ยง ก่อนและหลังเข้าเรียน รวมทั้งวันเสาร์ เรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมที่จะช่วยให้พวกเขาคว้าฝันของตัวเองได้สำเร็จ เป้าหมายและความฝันจึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสร้างแรงผลักดันและแรงจูงใจในการเรียนรู้

2. ปรับกระบวนการเรียนรู้ในระดับวิทยาลัย/ มหาวิทยาลัย

วากเนอร์ และ ดินเทอร์สมิธ สรุปให้เห็นรูปแบบการศึกษาในระดับวิทยาลัย/มหาวิทยาลัยที่ควรจะเป็นว่า นักเรียนควรได้เรียนรู้จากการทำโครงงานหรือโปรเจ็คต์ที่ได้ลงมือทำ ได้คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจริงๆ เช่น ได้ทำงานกับบริษัทจริง หรือเช่าที่เปิดร้านแล้วลองบริหารธุรกิจด้วยตัวเอง ทั้งแบบงานเดี่ยวและจากการทำงานเป็นทีม

ตารางเปรียบเทียบด้านล่างแสดงให้เห็นความแตกต่างในกระบวนการเรียนรู้ซึ่งหลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าส่งผลต่อการสร้างทักษะและกระบวนการคิดได้อย่างมหาศาล

การเรียนในศตวรรษที่ 20การเรียนในศตวรรษที่ 21
ครูสอนหน้าห้องเรียน นักเรียนนั่งฟังนักเรียนรับผิดชอบงานสัมมนา/โปรเจ็คต์งานกลุ่ม/ โครงงานเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เน้นเนื้อหาในตำราเน้นพัฒนาทักษะ/การเรียนรู้ทักษะการเรียนรู้ที่ดี
เรียนจำแนกสาขาเรียนบูรณาการ รวมองค์ความรู้
กำหนดเส้นทางการเรียนรู้ให้นักเรียนนักเรียนสร้างสรรค์เส้นทางการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่สนใจ
จำกัดเวลาการเรียนรู้เรียนรู้อิสระตามความสามารถ
วัดด้วยคะแนน/ผลการเรียนใช้พอร์ตฟอลิโอ/ผลงาน สะท้อนความรู้ความสามารถ
เรียนรู้แค่ภายในโรงเรียน/ มหาวิทยาลัยฝึกงาน ทำงานร่วมกับองค์กรและหน่วยงานอื่น
แปลกแยกจากโลกแห่งความจริงเชื่อมโยงกับสังคม
เข้าชั้นเรียน เรียน 4 ปีต่อเนื่องเข้าชั้นเรียนบ้าง ไม่เข้าชั้นเรียนบ้าง เพราะต้องออกไปฝึกงาน มีอาจารย์ที่ปรึกษา ติดตามผลการเรียนอย่างต่อเนื่อง
จ้างพนักงานเข้ามาช่วยการจัดการแผนกต่างๆนักเรียนเข้ามาเป็นทีมงานช่วยจัดการงาน (เรียนรู้จากประสบการณ์ทำงาน)
รับเข้าเรียนจากผลคะแนนรับเข้าเรียนจากผลคะแนน
ค่าเทอมแพงมาก จนต้องกู้เงินเรียนสัดส่วนค่าเทอมลดลงตามสัดส่วนมาตรฐานค่าจ้างในการจ้างงานแต่ละอาชีพ
ให้ความสำคัญกับการจัดอันดับที่ไม่น่าเชื่อถือให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่แท้จริง โดยไม่เอาคะแนนเป็นตัวตัดสิน
เป้าหมายคือความมั่งคั่งเป้าหมายคือช่วยยกระดับ และพัฒนา

3. โมเดลการเรียนรู้แบบใหม่

นอกจากนี้ วากเนอร์ และ ดินเทอร์สมิธ ยกตัวอย่างโครงการต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาที่ได้ริเริ่มแนวคิด และแนวทางการเรียนรู้แบบใหม่ๆ ผ่านมาให้หลังราว 4 ปี ตอนนี้เราเห็นโมเดลการเรียนรู้แบบดังกล่าวแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

– คอร์สเรียนออนไลน์ เนื้อหาหลากหลายตามความสนใจของผู้เรียน เช่น MOOCs: Massive Open Online Courses (มูกส์: แหล่งเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21) http://mooc.org/ หรือ ช่องทางสำหรับคนไทย https://thaimooc.org/

– การฝึกงาน โดยใช้ชั่วโมงทำงานและประสบการณ์จากการทำงานเป็นตัวประเมินศักยภาพ

บางวิทยาลัยทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา นักเรียนรับรายได้จากการฝึกงาน แล้วนำรายได้นั้นมาหักค่าเล่าเรียนได้ หรือ แทนที่จะต้องเรียนในห้องเรียนให้จบอย่างน้อย 4 ปี บางมหาวิทยาลัยในรัฐแคลิฟอร์เนีย เวอร์จิเนีย เวอร์มอนต์ และวอชิงตัน ใช้ชั่วโมงฝึกงานเป็นมาตรฐานประเมินเพื่อออกใบปริญญาบัตร

– นักเรียนเรียนรู้จากการทำงาน และมีรายได้ เป็นตัวช่วยค่าเล่าเรียนอีกทางหนึ่ง

– การเรียนเฉพาะทาง หรือเฉพาะทักษะในคอร์สสั้นๆ ตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียนแล้วนำไปประกอบอาชีพได้ ในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ รองรับผู้เรียนคอร์สระยะสั้นเฉพาะทางมากขึ้น

ถึงตรงนี้คงต้องย้ำอีกครั้งว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปฏิรูปการศึกษา ไม่ได้มีเพียงนโยบายจากส่วนกลางเท่านั้น โรงเรียน ผู้บริหารและคณะครู สามารถเริ่มต้นได้ทันทีด้วยการปรับแนวการเรียนการสอน ฝึกฝนให้นักเรียนมีทั้งความรู้ ทักษะ และมีคุณลักษณะที่ดี

อาศัยความร่วมมือจากนักการศึกษา และองค์กรอิสระที่มีความรู้จากการทำงานในพื้นที่และการวิจัยทางการศึกษา ในประเทศไทยปัจจุบัน เรามี Teach For Thailand และ GetupTeacher ที่เน้นทำงานเสริมศักยภาพครูโดยตรง หรือ มูลนิธิสยามกัมมาจล ที่ดำเนินโครงการหนุนเสริมศักยภาพเด็กและเยาวชน ทำงานร่วมกับผู้ปกครอง โรงเรียนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้รู้ในแขนงการศึกษาและด้านสังคมมาโดยตลอด

ผู้ปกครอง ต้องเปิดใจทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นแรงหนุนให้เด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่พวกเขาสนใจ

ความร่วมมือจากชุมชน ที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงรู้องค์ความรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่น จากผู้รู้และปราชญ์ชุมชน หรือแม้แต่ องค์กรธุรกิจ ที่พร้อมเปิดรับคนทำงานจากประสบการณ์ทำงาน จากฝีมือ มากกว่าเกรด คะแนน หรือใบปริญญา เพราะทุกองค์ประกอบเล็กๆ มีส่วนผลักดันให้เกิดการปรับตัวเพื่อการเปลี่ยนแปลงได้

Fun Facts

ตัวอย่างเครือข่ายโรงเรียนเอกชนและนานาชาติในสหรัฐอเมริกา ที่ปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนจนสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้นักเรียนกลับมาสนุกและมีส่วนร่วมกับการเรียนได้

RIVERDALE COUNTRY SCHOOL
จุดเด่นของที่นี่ คือ Character Lab ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน ความสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างหนึ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญซึ่งไม่สามารถวัดได้จากคะแนนสอบ โรงเรียนจึงสนับสนุนให้นักเรียนออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วยการทำโปรเจ็คต์ที่สนใจ

BEAVER COUNTRY DAY
โจทย์คิดสำคัญของโรงเรียน คือ ห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ นักเรียนควรตอบคำถาม 2 ข้อนี้ได้“เรากำลังทำอะไร?” “แล้วทำไมถึงทำสิ่งนี้?”เมื่อปี 2010 โรงเรียนให้เวลานักเรียน 90 วัน เรียนรู้นอกห้องเรียนร่วมกับ MIT (Massachusetts Institute of Technology) Media Lab ห้องแล็บด้านการสื่อสารที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้องแล็บที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของโลกเด็กๆ ได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ทั้งวิศวกร นักออกแบบ ศิลปิน นักดนตรี และผู้ประกอบการ จาก MIT Media Lab และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สร้างสรรค์ผลงานไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผังเมืองอนาคต การพัฒนาแอพพลิเคชั่นด้านการศึกษาเพื่อเด็กชุมชนแออัดในเดลี การออกแบบโมเดลตัวอย่างด้วยพรินเตอร์สามมิติ การพัฒนาระบบเครื่องกรองน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยจักรยาน และการออกแบบและสร้างหนังสือสำหรับอนาคต เป็นต้น

AFRICAN LEADERSHIP ACADEMY (ALA)
ริเริ่มเมื่อสิบกว่าปีก่อนจากนักเรียนเก่าโรงเรียนธุรกิจสแตนฟอร์ด (Stanford Graduate School of Business) 2 คน ปัจจุบัน AFRICAN LEADERSHIP ACADEMY ตั้งอยู่ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg) เมืองที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาใต้ หลักสูตรของที่นี่ใช้ระยะเวลา 2 ปี (6 คอร์สต่อ 1 เทอม และมีการทำวิจัยอิสระ) รวมทั้งการพัฒนาภาวะความเป็นผู้นำ และการเป็นผู้ประกอบการ โดยให้ผู้ร่วมหลักสูตรลงมือเปิดกิจการจริง
“เราเลือกเด็กจากความสนใจและแรงขับของเขาที่อยากทำให้โลกนี้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ความมุ่งมั่นอยากได้เกรดดีๆ เราวัดความสำเร็จของโปรแกรมของเรา โดยดูว่าพวกเขาออกไปก่อรูปก่อร่างสังคมหรือประเทศของพวกเขาให้ดีขึ้นอย่างไรบ้าง แล้วก็เป็นที่น่าดีใจเมื่อได้รู้ว่าพวกเขากำลังออกไปทำสิ่งนั้น” คริส แบรดฟอร์ด (Chris Bradford) หนึ่งในผู้ก่อตั้งกล่าว
AFRICAN LEADERSHIP ACADEMY ทำโปรเจ็คต์ดีเอสซี (DSC) หรือ Do Something Cool กระบวนการสร้างการเรียนรู้ คือ โรงเรียนมีเวลา 48 ชั่วโมงให้นักเรียนได้ริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งที่พวกเขาอยากทำเพื่อทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น
“เมื่อเด็กๆ ลงมือสร้างสรรค์อะไรสักอย่างหนึ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างกล้าหาญ นั่นหมายถึงพวกเขาเดินเข้าหาโอกาส เด็กมีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าถึงสิ่งที่พวกเขาอยากรู้เพื่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นมาได้ ไม่มีอะไรสร้างความมั่นใจให้พวกเขาได้เท่าความสำเร็จจากการลงมือทำด้วยตัวเอง ที่นี่เราผลักดันให้พวกเขาไปถึงศักยภาพที่สูงสุดของตัวเอง เรียนรู้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร รู้ว่าตัวเองมีศักยภาพที่จะเติมเต็มเป้าหมายที่มีคุณค่าในชีวิต” แบรดฟอร์ด กล่าว
หมายเหตุ:
*ทักษะ (skill) ที่นักวิชาการการศึกษาเห็นพ้องต้องกัน และถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง คือ 4Cs ได้แก่ Critical Thinking (ทักษะการคิดวิเคราะห์), Communication (ทักษะการสื่อสาร), Collaboration (ทักษะการทำงานเป็นทีม) และ Creative Problem-solving (ทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์) ซึ่ง The Potential ได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ดังนี้
4CS: สี่ทักษะการเรียนรู้ที่ควรมี ฝึกกันได้ และไม่ต้องใช้พรสวรรค์
COLLABORATIVE SKILL: เพราะปัญหายุคใหม่แก้ไม่ได้เพียงลำพัง สร้างห้องเรียนเป็นทีมเวิร์คเสียตั้งแต่ตอนนี้
USER EXPERIENCE: นักออกแบบประสบการณ์ อาชีพใหม่ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นความสุข
3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

Tags:

ระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนDisruption21st Century skills

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Social Issues
    การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน
Voice of New Gen
19 September 2019

FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน

เรื่อง

  • ศุกร์ที่ 20 กันยายน คือ วันที่วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ และทุกวัยที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม นัดกันทิ้งงาน โดดเรียน ออกมาร่วม ประท้วงสภาพอากาศ ในชื่อกิจกรรม Fridays For Future
  • บทความชิ้นนี้จะพาไปทำความรู้จักตัวตนและความคิดของคนรุ่นใหม่ที่สู้เพื่อเป้าหมายเดียวกัน แต่อยู่คนละมุมโลก
  • คำถามที่เหมือนกันของพวกเขาคือ ทำไมผู้ใหญ่ไม่ทำอะไร แต่พวกเขาไม่ยอมเสียเวลาไปกับการนั่งรอคำตอบ พวกเขาเลือกที่จะ ‘ลง-มือ-ทำ’
เรื่อง: ชนฐิตา ไกรศรีกุล, อรสา ศรีดาวเรือง

ศุกร์ที่ 20 กันยายน คือ วันที่วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ และทุกวัยที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม นัดกันทิ้งงาน โดดเรียน ออกมาร่วม Global Climate Strike หรือ ประท้วงสภาพอากาศ

และเพราะมีหัวขบวนวัย 16 อย่างง เกรตา ธุนเบิร์ก ที่ใช้วิธีโดดเรียนทุกๆ วันศุกร์เพื่อประท้วงวิกฤตโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนลุกขึ้นมาทำตาม ลุกลามไปทั่วโลก กลายเป็นกิจกรรม Fridays For Future ที่จัดพร้อมกันในหลายประเทศ เพื่อแสดงจุดยืนสู้เพื่อกู้โลก

ล่าสุด นายกเทศมนตรีนิวยอร์กอนุญาตให้นักเรียน 1.1 ล้านคน หยุดเรียนแล้วออกมาประท้วงเป็นเพื่อนเกรตาแล้ว (ถ้าผู้ปกครองอนุญาต)

The Potential จึงพาไปทำความรู้จักตัวตนและความคิดของคนรุ่นใหม่ที่อยู่คนละมุมโลก แต่สู้เพื่อโลกใบเดียวกัน

คำถามที่เหมือนกันของพวกเขาคือ ทำไมผู้ใหญ่ไม่ทำอะไร

พวกเขาไม่ยอมเสียเวลาไปกับการนั่งรอคำตอบ พวกเขาเลือกที่จะ ‘ลง-มือ-ทำ’

1. ลุยซา นอยบาวเออร์ (Luisa Neubauer) 23 ปี ⋅ เยอรมนี

“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมาเป็น climate activist” ลุยซา นอยบาวเออร์ (Luisa Neubauer) นักศึกษา วัย 23 ปี จากกรุงเบอร์ลิน และหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม School Strike for Climate ในประเทศเยอรมนี กล่าวไว้บนเวที Ted Talk เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

สิบปีก่อน ลุยซา รู้จัก Green House Effect หรือปรากฏการณ์เรือนกระจกครั้งแรกในคาบวิชาภูมิศาสตร์ขนาด 90 นาที

“ตอนนั้นรู้สึกหงุดหงิดมากว่าทำไมเรื่องระดับใหญ่อย่างนี้ถึงถูกบีบอัดให้อยู่ในคาบหนึ่งของวิชาเดียว”

ความหงุดหงิดนั้นยังคงอยู่ ลุยซาจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาตรีด้านภูมิศาสตร์ และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นข้อมูลวิทยาศาสตร์เบื้องหลังทั้งหมด

“เรากำลังอยู่ในยุคการทำลายล้างสูงสุดของมนุษยชาติ เราอยู่ในยุคที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนการันตีได้ว่าเราจะรอด”

ตอนที่ลุยซาเรียนปีหนึ่ง ตรงกับช่วงที่ผู้นำทั่วโลกมาประชุม การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกครั้งที่ 21 หรือ COP21 ที่กรุงปารีส ปี 2015

“ตอนนั้นสื่อประโคมข่าวว่าประวัติศาสตร์หน้าใหม่กำลังเกิดขึ้น ชาวโลกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แต่คำถามคือ มันใช่ไหม” ลุยซากล่าวต่อว่า หลังทุกประเทศลงนามข้อตกลง สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น กลับเลวร้ายลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“ทั้งผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ผู้นำ นักการเมือง พวกเขากลับไปทำธุรกิจกันเหมือนเดิม สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกันต่อไป”

สำหรับลุยซา การติดตั้งพลังงานลมและแสงอาทิตย์เป็นเรื่องดี แต่มันก็ช้าเกินไป ไม่ทันกราฟอุณหภูมิที่พุ่งสูงสุดและทำลายสถิติท

“ไม่มีคำตอบใดเกินคาดหมาย แต่สิ่งที่รับไม่ได้คือ อุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลและบรรดาผู้นำ ต่างทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้การเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อผลประโยชน์และการเลือกตั้งครั้งต่อไป

“เป็นการประชุมที่ทั้งเศร้าและแปลก คนเดียวที่แตกต่างและน่าสนใจจริงๆ คือ เกรตา ธุนเบิร์ก วินาทีนั้นฉันตัดสินใจเคลื่อนไหวกับเกรตา ตอนนั้นมีแค่ฉันกับเกรตาที่นั่งอยู่ตรงนั้นในที่ประชุมใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยผู้ใหญ่ใส่สูทที่ดูยุ่งๆ ตลอดเวลาแต่ไม่มีความคิดใดๆ กับเรื่องนี้ (climate change) เลย”

การที่ผู้ใหญ่ไม่คิดทำอะไรกับเรื่องนี้ในทางกลับกันมันยิ่งสร้างพลังมหาศาลให้ลุยซา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้น ทำให้ต้องกลับมาทำอะไรที่บ้านเกิด

พอกลับมาเบอร์ลิน ลุยซาเจอกลุ่มเพื่อนที่คิดเหมือนกันและเดินหน้า Fridays for Future ด้วยกัน นำมาสู่การประท้วงครั้งแรก

“เราไม่มีเงิน ไม่มีแหล่งทุน และไม่มีไอเดียเลยว่าประท้วงยังไง ดังนั้นเราเลยเริ่มจากสิ่งที่เราถนัด คือ พิมพ์ข้อความผ่าน WhatsApp แล้วส่งทั้งวันทั้งคืนไปถึงทุกคนเท่าที่จะทำได้” ปฏิบัติการในคืนนั้นทำให้ลุยซาพบเพื่อนเต็มไปหมดในการประท้วงวันรุ่งขึ้น และวันนั้นลุยซาเรียกตัวเองได้เต็มปากเต็มคำว่า climate activist

“เรากำลังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ระยะเวลาที่สั้นที่สุด เราไม่มีเวลาแม้สักปีให้รออีกต่อไป ไม่ว่ากรณีไหนๆ โลกต้องเลิกฝากความหวังไว้กับนักประท้วงรุ่นเด็ก ใช่…พวกเราเจ๋ง และเรายังทำต่อ เราไม่มีขีดจำกัด เราคือจุดสตาร์ท แต่จงอย่าลืมว่า นี่ไม่ใช่ภารกิจของคนรุ่นนี้ แต่คืองานของมนุษยชาติ

“ทุกคนเป็น climate activist ได้ เราต้องการทุกคน ทุกวัย ทุกมุม ถ้าคุณคือนักร้อง จงร้อง ถ้าคุณคือครู จงสอน ถ้าคุณคือนักการธนาคาร บอกนายจ้างว่าคุณเตรียมตัวจะลาออกถ้าเขายังคงลงทุนในพลังงานฟอสซิล”

อ้างอิง
Why you should be a climate activist
Climate Cabinet: Luisa Neubauer considers German climate measures inadequate

2. อเล็กซานเดรีย วิลลาเซญอร์ (Alexandria Villaseñor) 14 ปี ⋅ สหรัฐอเมริกา

อเล็กซานเดรีย วิลลาเซญอร์ (Alexandria Villaseñor) วัย 14 ปี จากแมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้ง Earth Uprising กลุ่มนักเคลื่อนไหววัยเยาว์ด้านสิ่งแวดล้อม ที่นิยามตัวเองว่า “We are a team of young people who want to save the planet”

ตั้งแต่ต้นปี 2019 อเล็กซานเดรียใช้เวลาทุกวันศุกร์แบบนี้: ตื่นตอน 8 โมงเช้า แทนที่จะไปโรงเรียน เธอกลับออกจากบ้านที่แมนฮัตตัน นั่งรถไฟใต้ดิน มุ่งสู่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ และนั่งบนม้านั่ง 4 ชั่วโมง เพื่อทำหน้าที่ผู้ประท้วงเพื่อสภาพอากาศ-โดยลำพัง หรือ solitary climate striker

อเล็กซานเดรียบอกเหตุผลว่า เธอกำลังสู้เพื่ออนาคตของเธอเอง

“อย่างที่ เกรตา ธุนเบิร์ก พูด ถ้าเด็กๆ โดดเรียน มันก็จะดึงความสนใจได้ แค่หนึ่งคนที่ทำ มันก็ทำให้คนสนใจแล้ว”​ อเล็กซานเดรียให้ความสำคัญกับการดึงความสนใจ โดยเฉพาะความสนใจจากบรรดาผู้นำและเจ้าหน้าที่รัฐต่างๆ เพราะการประท้วงของเด็กคือการแสดงถึงความไม่ยอมของประชาชน และเป็นแรงกดดันต่อผู้นำประเทศทั้งหลาย”​

ประสบการณ์ตรงคืออีกเหตุผลส่วนตัวที่ผลักให้เด็กวัย 14 ทำอย่างนี้ ต้องย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน 2018 อเล็กซานเดรียกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งตรงกับช่วงเวลา camp fire – ไฟป่าที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์แคลิฟอร์เนีย แม้บ้านของอเล็กซานเดรียจะอยู่ไกลออกไปเป็นร้อยไมล์ แต่เมืองกลับถูกปกคลุมไปด้วยควัน และโรคหอบหืดของเธอก็ต้านไม่ไหว

“มันเป็นอากาศที่แย่ที่สุดในโลก ขนาดเราห่อตัวด้วยผ้าขนหนูเปียกและสอดไว้ใต้ประตู ก็เอาไม่อยู่ พ่อแม่ต้องจองตั๋วกลับแคลิฟอร์เนียเที่ยวเร็วที่สุด” นั่นเป็นประสบการณ์แรกจาก climate change ของเด็กหญิง

พอกลับมาบ้าน อเล็กซานเดรีย จึงค้นหาข้อมูลทันทีว่า ไฟป่าส่งผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศอย่างไรบ้าง ทำไมแคลิฟอร์เนียอากาศแห้งขนาดนั้น จนได้พบกับเกรตาและสปีช อเล็กซานเดรียจึงตัดสินใจดำเนินรอยตาม

“การเป็นนักเคลื่อนไหว ต้องเสียสละมากๆ ครูหนูสนับสนุนมากๆ ครูบอกให้หนูส่งลิงค์ข่าว ความเคลื่อนไหวมาให้ตลอดๆ ด้วย”

ทุกครั้งในการประท้วงอย่างโดดเดี่ยว อเล็กซานเดรียได้รับกำลังใจผ่านทางข้อความมากมาย เธอคิดว่าการเคลื่อนไหวในยุโรป ยอดเยี่ยมมาก พวกเขาไม่นิ่งนอนใจ และหวังใจว่าสหรัฐจะเป็นแบบนั้นบ้าง

“เราคือหนึ่งในกลุ่มคนที่หาทางวิ่งหนีภัยในอนาคตจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โรงเรียนจึงไม่สำคัญอีกต่อไป”

อ้างอิง
14-YEAR-OLD CLIMATE ACTIVIST ALEXANDRIA VILLASEÑOR KNOWS INACTION IS NOT AN OPTION
The Teen Activist Who’s Spent 12 Fridays Outside the United Nations Striking for the Climate

3. ไรแอนน์ คริสติน แม็กซิโม ฟรังกา (Rayanne Cristine Maximo Franca) 25 ปี ⋅ บราซิล

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หญิงชาวพื้นเมืองนับหมื่นคนเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชนและการคุ้มครองป่าไม้แอมะซอน หนึ่งในนั้นคือ ไรแอนน์ คริสติน แม็กซิโม ฟรังกา (Rayanne Cristine Maximo Franca) นักกิจกรรมหญิงชาวพื้นเมืองวัย 25 ปี หลังมีการแย่งชิงดินแดนชนพื้นเมืองและทำลายป่าแอมะซอนอย่างหนักตามนโยบายเปลี่ยนผืนป่าเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรเชิงอุตสาหกรรมและการทำเหมืองของประธานาธิบดีชาอีร์ บอลโซนาโร (Jair Bolsonaro)

ครอบครัวของฟรังกาและชนพื้นเมืองคนอื่นๆ แบ่งปันพื้นที่เพียง 13 เปอร์เซ็นต์ของป่าแอมะซอนทั้งหมดเป็นที่อยู่อาศัย เธอและสมาชิกครอบครัวเคยถูกขู่ฆ่าหลายครั้งเพราะบิดาออกมาต่อต้านคอร์รัปชัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอหยุดการเคลื่อนไหว วันนี้ฟรังกาตัดสินใจออกมาเดินขบวนด้วยตัวเองเพื่อต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมที่กำลังกัดกินดินแดนป่าแอมะซอนอย่างไร้ซึ่งความเคารพธรรมชาติและเมินสิทธิของชนพื้นเมือง

“เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแสนสำคัญ ที่บราซิล มีขบวนประท้วงหญิงล้วนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาวพื้นเมือง มีทั้งผู้ใหญ่ หญิงสาว และเด็กหญิงจากหลากหลายอาชีพเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ศิลปิน สมาชิกรัฐสภา ครู เกษตรกร ทุกคนช่างสวยงามและหลากหลาย”

หญิงชาวพื้นเมืองทุกคนรวมตัวกันเดินขบวนในหัวข้อ ‘ดินแดน: ร่างกายของเรา จิตวิญญาณของเรา’ ฟรังกาเล่าว่าร่างกายของชาวพื้นเมืองหลายคนปนเปื้อนไปด้วยพิษปรอทจากฝีมือของเหมืองผิดกฎหมายที่ผุดขึ้นในพื้นที่ป่าที่ควรเป็นของสตรีพื้นเมือง ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากที่สุด

ฟรังกาและกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงกำลังหาทางขยับขยายเครือข่ายออกไป ผ่านการอบรม สัมมนา และทำเวิร์คช็อปในหัวข้อเกี่ยวกับสิทธิและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหญิงพื้นเมืองจำนวนไม่กี่คนที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและเคยร่วมงานกับองค์การสหประชาชาติ ฟรังกาบอกว่าการเข้าถึงข้อมูลและการมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหญิงสาวชนพื้นเมืองรุ่นเยาว์ แต่คนเราจะ ‘เยาว์’ ถึงวัยไหนก็เป็นเพียงเกณฑ์ที่สังคมนั้นๆ ตั้งขึ้นมาเท่านั้น

“ถึงเวลาที่โลกต้องฟังเสียงของเรา และถึงเวลาที่ประเทศนี้ต้องตระหนักว่าผู้หญิงพื้นเมืองก็ถือสิทธิเท่าๆ กับคนอื่นทั่วไป” ฟรังกากล่าว

อ้างอิง
Inside the indigenous fight to save the Amazon rainforest
From where I stand: “It is time that the world hears our voice”

4. มาริเนล ยูบัลโด (Marinel Ubaldo) 22 ปี ⋅ ฟิลิปปินส์

ทันทีที่ซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนมาเยือนฟิลิปปินส์ในปี 2013 มาริเนล ยูบัลโด (Marinel Ubaldo) ก็รับรู้ได้ถึงสัญญาณเตือนของความน่ากลัวจากสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง

ซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน หรือคนฟิลิปปินส์จำไม่ลืมในชื่อ ‘โยลันดา’ คร่าชีวิตคนไป 11 ราย และเปลี่ยนสถานะยูบัลโด จาก ‘เด็กนักเรียนดีเด่น’ มาเป็น ‘ผู้ประสบภัย’

แม้ได้รับข้อความเตือนภัยล่วงหน้าและบอกต่อคนอื่นให้รีบอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย แต่ก็ไม่มีใครคาดถึงว่าซูเปอร์ไต้ฝุ่นโยลันดาจะ ‘ซูเปอร์’ ถึงขนาดทำลายชุมชนซามาร์ตะวันออก บ้านของยูบัลโด จนเธอไม่เหลือแม้แต่กล่องที่เคยใช้เป็นที่เก็บรางวัลต่างๆ ที่โรงเรียนมอบให้ ยูบัลโดและคนอื่นๆ ได้กินแต่หัวมันสำปะหลังประทังชีวิต โรงเรียนพังเสียหาย ส่วนพ่อที่มีอาชีพชาวประมงก็สูญเสียเครื่องมือทำกินไปกับพายุ

หลังรอดชีวิต ยูบัลโดเปลี่ยนสถานะตัวเองอีกครั้ง จากเด็กหญิงผู้ประสบภัยธรรมดาๆ มาเป็นหนึ่งในเยาวชนแกนนำเพื่อต่อต้านบริษัทเชื้อเพลงฟอสซิลขนาดใหญ่ ต้นเหตุสำคัญของสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง (climate change)

ยูบัลโดเข้าร่วมกับกลุ่ม ‘Plan International’ โครงการชุมชนเพื่อส่งเสริมสิทธิเด็กในฟิลิปปินส์เพื่อพูดคุยถึงปัญหาภูมิอากาศโลก ให้ความรู้กับชุมชน นำเสนอวิธีปรับตัวเพื่ออยู่รอด เธอเรียนรู้ผลกระทบของภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อชุมชนชายฝั่ง บ้านของเธอ

“เยาวชนเองก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เราไม่ใช่เพียงเหยื่อหรือผู้ชมเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เราต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตเรา”

ยูบัลโดเข้าร่วมการประชุม 21st Conference of the Parties (COP21) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสเพื่ออภิปรายว่าปัญหาสภาพภูมิอากาศโลก ‘ปล้น’ อนาคตเยาวชนไปอย่างไร เธอเรียกร้องให้ผู้นำประเทศต่างๆ ทั่วโลกแก้ไขปัญหาโดยร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในสารคดี ‘Girl and Typhoons’ สารคดีบันทึกเรื่องราวของยูบัลโด เด็กหญิงที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติและกลายมาเป็นนักกิจกรรมสิ่งแวดล้อม เธอบอกว่า “หนูอยากให้โลกรู้ว่าสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงในฟิลิปปินส์เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่ความคิดลอยๆ และเราต้องทนอยู่กับมัน”

ยูบัลโดเป็นหนึ่งในทีมงานร่วมจัดกิจกรรม ‘Global Climate Strike’ หรือการนัดหยุดเรียนทั่วโลกเพื่อประท้วงในประเด็นสิ่งแวดล้อมในวันที่ 20 กันยายนในปีนี้

อ้างอิง
Yolanda survivor makes waves in Paris climate talks
5 young activists who inspired us in 2018

5. เอ็มมา ลิม (Emma Lim) 18 ปี ⋅ แคนาดา

เอ็มมา ลิม (Emma Lim) นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ เรียนวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ วัย 18 ปี เธอคือนักกิจกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้ริเริ่มขบวนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขนานนามว่า #NoFutureNoChildren แคมเปญที่เธอเชิญชาวแคนาดาทุกคนให้เข้าร่วม ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่อาคารรัฐสภา Parliament Hill

วิธีการต่อสู้ของลิมน่าสนใจ เธอใช้การเจรจาต่อรองผ่านแคมเปญ โดยการสาบานตนว่าจะไม่มีลูกจนกว่าเธอจะแน่ใจว่ารัฐบาลแคนาดากำลังดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การต่อสู้ของเธอได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมาย และเมื่อเช้าวันอังคารที่ผ่านมา ผู้คนกว่า 300 คนได้ลงนามในแคมเปญออนไลน์ของเธอ ที่ระบุว่า

“ฉันสัญญาว่าจะไม่มีลูกจนกว่าฉันจะแน่ใจว่ารัฐบาลของฉันจะรับรองอนาคตที่ปลอดภัยสำหรับเรา”

ลิมกล่าวว่า “ผู้คนที่เข้าร่วมการปฏิญาณในครั้งนี้ กำลังเลิกล้มความตั้งใจในการเป็นพ่อและแม่ แม้สิ่งนี้ควรจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา สิ่งนี้จะแสดงให้เห็นว่าเราจริงจังกับเรื่องนี้มากแค่ไหน และปัญหานี้ร้ายแรงเพียงใด”

ย้อนกลับไป ลิมคือเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งที่มีความฝัน ฝันของการเป็นแม่ เธอต้องการที่จะเป็นแม่ตั้งแต่จำความได้ และเธอยังมีรายชื่อของลูกในอนาคตอยู่ในคอมพิวเตอร์อีกด้วย เธอกล่าวว่า “การลุกขึ้นมายอมแพ้ต่อความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และฉันกังวลว่าความพยายามอย่างที่สุดของฉันจะไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง”

ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก เธอมีความรักชาติ และมีความเชื่อเหมือนเด็กทั่วไปว่ารัฐบาลของเธอสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ความรู้สึกนั้นกำลังจะจางหายไป “ชัดเจนแล้วว่าผู้นำของเราไม่ได้ทำสิ่งนี้อย่างจริงจังและนี่เป็นปัญหาร้ายแรง” เธอกล่าวโดยอ้างถึงการที่รัฐบาลอนุมัติการขยายท่อส่งก๊าซทรานส์เมาน์เทนของรัฐบาลสหรัฐ

ลิมรู้สึกไม่ประทับใจในสิ่งที่เธอได้เห็นจากกลุ่มเสรีนิยม และอนุรักษนิยมในประเทศของเธอ เธอกล่าวว่า “ฉันคิดว่าพวกเขาขี้ขลาด ในแคนาดาเราต่างรู้ว่าจำเป็นต้องมีการดำเนินการเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ แต่คนที่ควรจะเป็นผู้นำของเรากลับกำลังหาทางออกง่ายๆ พวกเขาแทบจะไม่ทำอะไรเลย มีแค่นโยบายห้ามใช้พลาสติก ในขณะที่เราต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” เธอกล่าวต่อว่า “ขณะเดียวกัน แอนดรูว์ เชียร์ – หัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม กลับไม่ได้มีการวางแผนเชิงนโยบายในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจริง ไม่มีอะไรเลย และเขายังต้องการที่จะยกเลิกการกำหนดราคาคาร์บอนอีกด้วย”

เช้าวันเปิดแคมเปญของลิม แคทเธอรีน คาร์ท ผู้เป็นแม่ได้เดินทางไปยังไปออตตาวาเพื่อสนับสนุนลูกสาว เธอกล่าวว่า “มันเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะสนับสนุนลูกๆ ของพวกเรา” และเธอยังหวังว่าการต่อสู้ของครั้งนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะถึงแม้เธอจะอยากให้ลิมมีลูก แต่เธอบอกว่าโลกนี้ตกอยู่ในความระส่ำระสายเพราะวิกฤติสภาพภูมิอากาศ

“แล้วฉันจะเห็นแก่ตัวโดยการสนับสนุนให้เธอมีลูกภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างไร” แม่ของลิมกล่าว

อ้างอิง
Hundreds join student’s climate-change pledge: No kids until Canada takes action

6. เดนิซ เซวิคูซ (Deniz Çevikuş) 11 ปี ⋅ ตุรกี

ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา เดนิซ เซวิคูซ (Deniz Çevikuş) นักกิจกรรมชาวตุรกี วัย 11 ปี ใช้เวลาว่างไปกับการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมรวมไปถึงการประท้วงในวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ ( Friday Climate Strikes) ณ ศูนย์กลางของเมืองที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี และเป็นที่ที่เธอถือป้ายเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในประเทศ

“คุณรับรู้ถึงวิกฤติสภาพภูมิอากาศไหม? ถ้าอยากรู้ หนูอธิบายได้” คือประโยคบนป้ายที่เธอยืนถือเพื่อชักชวนผู้คนบนถนนที่พลุกพล่าน มากกว่านั้น เธอยังชวนเพื่อนร่วมชั้นเรียนมาร่วมเคลื่อนไหวโดยการเดินเท้าไปยังแหล่งช็อปปิ้งที่มีผู้คนขวักไขว่พร้อมทั้งอธิบายสาเหตุที่อุตสาหกรรมแฟชั่นส่งผลกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

ด้วยเพราะตุรกีเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 18 ของโลกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง เดนิซจึงตระหนักและรับรู้ปัญหาที่ผู้คนในประเทศกำลังเผชิญ ทั้งจากโครงการขุดในเทือกเขาคาซ (Kaz) ในภูมิภาคเอเจียน (Aegean) ทางตะวันตกของตุรกีที่นักเคลื่อนไหวในประเทศมักกล่าวว่า

“รัฐบาลตุรกีมักให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางธุรกิจเหนือสิ่งแวดล้อมซึ่งนำไปสู่โครงการก่อสร้างและการขุดทำลายในพื้นที่อนุรักษ์อย่างมหาศาล”

จุดเริ่มต้นของเด็กสาวนักเคลื่อนไหววัย 11 ปีคนนี้ได้เดินตามรอยเท้าของนักเคลื่อนไหวรุ่นพี่ชาวสวีเดนวัย 16 ปี นามว่า เกรตา ธุนเบิร์ก ผู้มีชื่อเสียงหลังจากการเข้าร่วมการประท้วงเรื่องสภาพอากาศนอกรัฐสภาสวีเดนเมื่อวัย 15 ปี

จนถึงเวลานี้ เป็นเวลากว่า 19 สัปดาห์แล้วที่เดนิซ ออกมาเคลื่อนไหวและขับเคลื่อนการรับรู้ของคนในกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี เธอกล่าวในโชเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า “จำนวนผู้คนที่ยินดีที่จะฟังเราอธิบายนั้นเพิ่มมากขึ้น”

อ้างอิง
Turkey’s 11-year-old activist demands grown-up action on climate change

7. แพทย์หญิงสนาธร รัตนภูมิ 31 ปี ⋅ ประเทศไทย ผู้ก่อตั้งเพจ Too Young to Die

ย้อนกลับไปในปี 2011 เพจ Too Young to Die ถูกตั้งขึ้นโดย นักศึกษาแพทย์หญิงสนาธร รัตนภูมิภิญโญ หรือหมอจอย วัย 31 ปี ครั้งนั้นเธอตั้งใจว่าเพจนี้จะทำหน้าที่รณรงค์และให้ความรู้ด้านปัญหาโลกร้อน แต่เธอก็ได้บอกเราว่า เธอก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ขี้เกียจ และละเลยด้วยมองว่าปัญหานั้นยังไกลตัว Too Young to Die จึงถูกปล่อยทิ้งร้างไว้อย่างนั้น จนปัญหาที่เธอเคยมองว่าอีก 200-300 ปีคงจะสำแดงผล มันเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอทุกที

“จนกระทั่งไปเจอรายงานของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) เขาออกข่าวมาว่า เรามีเวลาเพียง 10 ปีในการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะว่าตอนนี้มันเยอะเกินไปแล้ว เราก็ขนลุกเลย 10 ปีมันไม่นานเลยนะ คงต้องทำอะไรสักอย่าง เราเลยคุยกับเพื่อนว่าจะกลับมาขับเคลื่อนเพจ” เธอเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนปัญหาผ่านเพจ Too Young to Die ที่ถูกทิ้งร้างไว้นานหลายปีร่วมกับเพื่อนอีกสองคนคือ หมอแป้ง-วีรยา มานามวีรสิทธิ์ และ หมอซวง-ลดาทิพย์ ทองธเนศ

หมอจอยกล่าวว่า “เราอยากสื่อสารให้คนรู้สึกกลัวกับปัญหามากกว่านี้ รู้จักที่จะตั้งคำถามว่า สรุปถือแค่ถุงผ้ามันได้ผลไหม และตั้งคำถามไปยังผู้นำของเราว่าที่ทำอยู่ตอนนี้ เราพยายามกันเพียงพอหรือยัง เราไม่ได้แอนตี้พรรคการเมืองหรือรัฐบาลใด แต่จากกระแสการทำงานของหน่วยงานทั่วโลก ไม่มีที่ไหนทำได้ตามเป้าเลย เราอยากให้ทุกคนกลัวปัญหาและมีความรู้พอที่จะกล้าตั้งคำถามผู้นำ และกล้าออกมาบนถนนมากกว่านี้ด้วยนะ”

และ 20 กันยายนนี้ หมอจอยและเพื่อนได้เปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดคุยกันทั้งภาครัฐและเอกชนต่อปัญหาโลกร้อนในกิจกรรม Fridays for Future เธอเล่าว่า “เราอยากให้มานั่งคุยกันดีกว่า ว่าตอนนี้เราอยู่ถึงไหนกันแล้ว เราเชิญภาครัฐเพื่อให้โอกาสเขาได้พูดว่านโยบายไปถึงไหนแล้ว แล้วเราอยากได้อะไร และจะทำอย่างไรต่อไป”

โดยหมอจอยได้บอกถึงเป้าหมายของเธอและเพื่อนว่า “รัฐบาลต้องประกาศว่าภาวะโลกร้อนคือภาวะฉุกเฉิน บอกทุกคนว่าทุกคนกำลังแย่ บอกประชาชน โรงเรียน ทุกคนจะได้กลัว แล้วทุกคนจะได้ช่วยกัน เราต้องควบคุมก๊าซให้ได้เท่านี้ๆ นะ ติดตามปีต่อปีนะ ซึ่งในตอนนี้ก็มีหลายประเทศประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินแล้ว อังกฤษ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส แคนาดา เขาตื่นกันแล้ว”

8. นันทิชา โอเจริญชัย 21 ปี ⋅ ประเทศไทย ผู้ก่อตั้ง กลุ่ม Climate Strike Thailand

ขอบคุณภาพจาก: Greenpeace – Biel Calderon, Wanutpong Tangchalermkul

“นี่ไม่ใช่การซ้อม นี่คือภาวะฉุกเฉินวิกฤติภาวะโลกร้อน Climate Strike Thailand กลับมาแล้ว 20 กันยายนนี้ การเรียนและการงานรอได้ แต่ความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศรอไม่ได้! เราจะเรียกร้องสิทธิมนุษย์ของเรา เพื่อความอยู่รอดในอนาคตบนโลกที่เป็นบ้านเพียงหลังเดียวของเรา และเราต้องการความช่วยเหลือจากคุณ!!”

คำประกาศกร้าวบนกิจกรรม Global Climate Strike – Bangkok SEP. 20 ของกลุ่ม Climate Strike Thailand ที่เริ่มต้นและขับเคลื่อนโดย หลิง-นันทิชา โอเจริญชัย วัย 21 ปี ผู้ก่อตั้ง กลุ่ม Climate Strike Thailand เธอเล่าว่า อาจจะเพราะเธอเรียนด้านสิ่งเวดล้อม ภาวะโลกร้อนจึงเป็นเรื่องที่เธอกังวลมาโดยตลอด และก่อนหน้านี้เธอได้ใช้เพียงปลายปากกาบอกเล่าปัญหาเท่านั้น กระทั่งเธอได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ เกรตา ธุนเบิร์ก นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมวัย 16 ปี ที่ได้สร้างแคมเปญ Friday for Future ได้จุดประกายให้หลิง ขับเคลื่อนกิจกรรมนี้ในประเทศไทย

“เราได้เห็นบทสัมภาษณ์ของเกรตา เรารู้สึกเหมือนกันนะ ทำไมไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้ และทำไมคนที่เขามีอำนาจในการจัดการปัญหานี้ ไม่เห็นความสำคัญของมัน และไม่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นนะ ทุกคนเลย”

20 กันยายน คือหมุดหมายที่เยาวชนทั่วโลก ออกมารวมตัวกันที่ถนนเพื่อส่งเสียงบอกคนในโลกว่าโลกเแย่แล้ว และหลิงคือหนึ่งในผู้ที่เชื่อในสิทธิและเสียงของตน ว่าสิ่งที่พวกเรากำลังจะบอก ผู้ใหญ่ต้องฟังได้แล้ว

“ถ้าเป็นเมืองนอก เขาจะออกมาบนท้องถนนแสนสองแสน มันจะมีประสิทธิภาพ เพราะคนไม่ได้ไปทำงาน เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน มันมีผล แต่ว่าถ้าเมืองไทย เด็กคนหนึ่งไม่มาเรียนก็เรื่องของเด็ก ไม่ได้เกรด ไม่ได้คะแนน มันไม่มีมีอิมแพคเลย อีกอย่างวัฒนธรรมของเรา กดทับเด็กไม่ให้กล้าพูด เด็กไม่ควรพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด และควรจะทำตามผู้ใหญ่ และนอกจากเรื่องความเป็นเด็กภาพของการประท้วงในประเทศเรามันดูไม่ดี มันดูรุนแรง ไม่ได้มองว่าการเดินประท้วง มันเป็นการแสดงสิทธิของเรา”

กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน คือหมุดหมายในวันพรุ่งนี้ของกิจกรรม Global Climate Strike – Bangkok หลิงกล่าวว่า

“เราเรียกร้องอยู่หลักๆ 2 เรื่องคือ 1. อยากให้ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉิน (climate emergency) ที่เขาประกาศกันไปแล้วหลายประเทศ และ 2. เราอยากให้มีเป้าว่าภายในปี 2025 หยุดใช้พลังงานถ่านหิน และใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทน 50 เปอร์เซ็นต์ ของ Renewable Energy Share และอยากให้เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2040 นี่คือข้อเรียกร้องของเรา”

เมื่อการเดินขบวนครั้งนี้สิ้นสุดลง หลิงยังยืนยันว่าภารกิจของ Climate Strike Thailand จะยังคงเดินหน้าต่อไปในการรณรงค์และให้ความรู้กับคนในสังคม

“เราอยากสร้างความรู้ รณรงค์เรื่องนี้ให้คนไทยเข้าใจก่อน เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น เราจะสามารถเรียกร้องมากขึ้นได้ เพราะตอนนี้ถ้าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเรียกร้อง รัฐบาลก็ไม่ได้จำเป็นต้องมาแก้ปัญหาเรื่องนี้” หลิงทิ้งท้าย

Tags:

สิ่งแวดล้อมSchool Strike for Climate

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    ชวนฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ Voice of new gen

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ความกังวลเรื่องภูมิอากาศกับการวางแผนครอบครัว เมื่อการไม่มีลูกคือหนึ่งในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    หนูไม่ใช่ เกรตา ธุนเบิร์ก หนูชื่อ ‘ลิลลี่’ ระริน สถิตธนาสาร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Voice of New Gen
    #SCHOOLSTRIKE 4 เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ทนกับโลกร้อน

    เรื่อง

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

FRIENDSHIP BENCH ม้านั่งให้คำปรึกษาโดยคุณยาย แก้ปัญหาวิกฤติสุขภาพจิตในซิมบับเว
Social Issues
18 September 2019

FRIENDSHIP BENCH ม้านั่งให้คำปรึกษาโดยคุณยาย แก้ปัญหาวิกฤติสุขภาพจิตในซิมบับเว

เรื่อง The Potential

Friendship Bench – ความสัมพันธ์บนม้านั่งยาว คือชื่อโปรเจ็คต์การให้คำปรึกษาโดยคุณยาย แก้ปัญหาวิกฤติสุขภาพจิตในประเทศซิมบับเว

ย้อนกลับไปในปี 2004 ดิกซอน ชิบันดา (Dixon Chibanda) คือหนึ่งในสองจิตแพทย์ ที่ทำงานในระบบสาธารณสุขของภาครัฐ ประเทศซิมบับเว – ประเทศที่ประชากรราว 90 เปอร์เซ็นต์เข้าไม่ถึงการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตั้งใจอยู่ดีว่าวันหนึ่งจะต้องเปิดคลินิกเอกชนด้านจิตเวชเป็นของตัวเองตามแผนที่วางไว้ และในเมื่อมันเป็นหนทางของวิชาชีพและชื่อเสียงเงินทอง

แต่วันหนึ่ง หนึ่งในคนไข้ของเขาเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย เรื่องนี้กระทบใจชิบันดามากเพราะเขาเห็นว่าในกรณีนี้เขาน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ – ถ้าเพียงแต่เขาจะพูดคุยกับคนไข้ได้บ่อยขึ้น และนั่นทำให้แผนการด้านอาชีพของชิบันดาต้องเปลี่ยน คลินิกจิตเวชเอกชนไม่ใช่คำตอบของประชากรชาวซิมบับเว (ซึ่งส่วนใหญ่ยากจน) ราว 12 ล้านคนอีกต่อไป ชิบันดาจำเป็นต้องสร้างระบบการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตที่ทำให้ทุกคนใช้ประโยชน์ได้จริงและทั่วถึง

ดิกซอน ชิบันดา (Dixon Chibanda) บนเวที TEDWomen 2017

คุณยาย – grandmother คือคำตอบของชิบันดา

ที่ต้องเป็นผู้สูงวัยในชุมชนเป็นเพราะคุณยายคือผู้ที่ได้รับการยอมรับและเชื่อมั่นจากคนในชุมชน และหญิงสูงวัยส่วนใหญ่มักเป็นอาสาสมัครด้านสาธารณสุขในประเทศอยู่แล้ว ชิบันดาคิดว่า หากแกรนนี่เหล่านี้ถูกฝึกให้ ‘รับฟัง’ และช่วยให้ผู้พูดคลี่คลายความขึ้งเครียดในจิตใจอย่างนักจิตวิทยาแล้ว นี่จะเป็นคำตอบเพื่อลดภาวะซึมเศร้าและความกดดันในผู้คนได้

Friendship Bench เริ่มก่อตัวขึ้น โดยยึดม้านั่งในเมืองหลวงอย่างฮาราเรเป็นพื้นที่ให้คำปรึกษาเป็นเมืองแรก แล้วจึงกระจายวงไปครอบคลุมทั้งประเทศ พูดได้ว่าโปรเจ็คต์นี้ได้รับความนิยมอย่างล้มหลามและยอมรับว่าช่วยลดภาวะซึมเศร้าของคนในประเทศได้จริง และนอกจากซิมบับเว Friendship Bench ยังถูกต่อขยายโครงการเข้าไปหลายประเทศ

ที่นิวยอร์คก็มีม้านั่งให้คำปรึกษาในย่านฮาร์เล็มและบล็องซ์ โดยคาดการณ์ว่ามีผู้เข้าไปนั่งคุยราว 60,000 คน นอกจากนี้ยังมีที่มาลาวี แทนซาเนีย ล่าสุดก็มีม้านั่งให้คำปรึกษาที่ประเทศเคนยาที่เมืองเคริโช (Kericho) ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันชิบันยา ยังคงทำงานเดินสายเพื่อฝึกให้คุณยายหลายๆ ประเทศในแถบทวีปอเมริกาตะวันออกทำงานในโปรเจ็คต์นี้ นอกจากนี้ยังมีโปรเจ็คต์ใหม่คือการทำงานกับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งที่มาของโปรเจ็คต์นี้ก็เพราะข้อมูลที่ชิบันยาเก็บในเชิง data ชี้เป้าว่าปัญหาสุขภาพจิตของผู้คนในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ HIV

อีกหนึ่งโปรเจ็คต์ที่น่าสนใจคือ ชิบันยาต้องการทำงานกับกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น ข้อมูลที่เขาเก็บรวบรวมตลอดหลายปีรายงานเช่นกันว่า เมื่อเทียบกับผู้ที่เข้ามารับบริการที่ม้านั่งยาว วัยรุ่นมีสัดส่วนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนไข้ในช่วงวัยอื่น ในโปรเจ็คต์ใหม่เขาจึงอยากทำงานกับวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี โดยเปิดให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเป็นอาสาสมัครแทนแกรนนี่ในโครงการ

อย่างไรก็ตาม คำวิจารณ์เริ่มมีขึ้นหนาหูว่าคาแรคเตอร์ของ “ความเป็นแกรนนี่ที่ให้คำปรึกษากับคนในชุมชนที่พวกเขารู้จักมักคุ้นดี” ของ Friendship Bench นั้นเริ่มหายไป เพราะเมื่อไอเดียดีๆ นี้กระจายไปหลายประเทศ คนที่รับหน้าที่ให้คำปรึกษาก็อาจไม่ใช่คุณยายคุณย่า – ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจให้แก่ชิบันยาเช่นกัน แต่แม้ Friendship Bench จะหลุดคอนเซ็ปต์เรื่องการใช้ฐานชุมชนเป็นที่ตั้งมั่น แต่ในกรอบใหญ่อย่างการทำให้ระบบสาธารณสุขโดยเฉพาะประเด็นสุขภาพจิตเข้าถึงได้ง่าย ชิบันดาเชื่อว่าโปรเจ็คต์นี้ยังทำได้ดีอยู่

ท่ามกลางตัวเลขคาดการณ์ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าราว 300 ล้านทั่วโลก/ทุกกลุ่มอายุ และอย่างที่มีคนเคยพูดไว้ว่า “หากประเทศไหนประชากรเข้าถึงการให้คำปรึกษาหรือพูดคุยบำบัดได้ง่ายและทั่วถึง ประเทศนั้นเป็นประเทศพัฒนาแล้ว”

ท่ามกลางข้อจำกัดเชิงโครงสร้างมากล้น คงจะดีไม่น้อยหากเราต่างถูกฝึกให้รับฟังปัญหาและรู้ว่าจะช่วยเราคลี่คลายปัญหานั้นอย่างไร

อ้างอิง:
This ‘Friendship Bench’ is improving mental health for Zimbabweans
How a wooden bench in Zimbabwe is starting a revolution in mental health

Tags:

ซึมเศร้าจิตวิทยาสังคมสูงวัย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    เปิดเทอมใหม่ อย่าเพิ่งสอนวิชาการ เยียวยาเด็กและเพื่อนครูด้วยกันก่อน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Life classroom
    BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

SODLAWAY SILK แบรนด์ผ้าไหมที่ทอลวดลายจากเรื่องราวและชีวิตชาวกวย
Voice of New Gen
18 September 2019

SODLAWAY SILK แบรนด์ผ้าไหมที่ทอลวดลายจากเรื่องราวและชีวิตชาวกวย

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

  • การเดินทางของ Sodlaway Silk จากโครงการฟื้นฟูผ้าไหมโดยเยาวชน สู่แบรนด์ผ้าไหมธุรกิจชุมชนที่ค่อยๆ เติบโต ต้องการยืนยันว่าวิถีชาวกวยต้องไม่หายไป และ ‘ผ้า’ หนึ่งผืน ทำหน้าที่นั้นได้
  • ผ้าแต่ละผืน เริ่มต้นจากการไปพูดคุยกับชาวบ้านหลายหลังเพื่อสืบค้นข้อมูลให้ไกลเท่าที่ค้นได้มากที่สุด เช่น ผ้าเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตชาวกวยอย่างไร ผ้าแต่ละผืนที่ได้มานั้นมาจากไหน ใครเป็นผู้นำเข้ามา ถึงขั้นตามไปขอดูผ้าเก่าในตู้ของผู้เฒ่า
  • Sodlaway Silk จึงไม่ใช่แค่ผ้าไหมทอมือ แต่คือการถ่ายทอดลวดลายจากเรื่องราวและชีวิตชาวกวย

สถานประกอบการของ Sodlaway Silk หรือ กอนกวยโซดละเว ที่หมายถึงแบรนด์ผ้าไหมของชาวกวย ธุรกิจเพื่อชุมชน (SE: Social Enterprise) แห่งบ้านแต้พัฒนา ตำบลโพธิ์กระสังข์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ไม่หรูหรา ไม่มีการจัดวางอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมืออย่างเป็นกิจจะลักษณะอย่างภาพจำโรงทอผ้าแห่งอื่นๆ กลับกัน ต้นหม่อน วัตถุดิบหลักสำหรับทอผ้า ยืนต้นคละกับพืชผักสวนครัวในสวน ชั้นเลี้ยงไหมไม่เกิน 4 ใบจัดวางเป็นส่วนหนึ่งของชานบ้านเข้ามุมกำแพงง่ายๆ ด้านหนึ่ง และสัญลักษณ์หนึ่งเดียวที่ทำให้แขกไปใครมาพอจะรู้ว่านี่คือบ้านของผู้ประกอบการธุรกิจกอนกวยโซดละเว เห็นจะเป็นกี่ทอผ้าขนาดมาตรฐาน ตั้งตระหง่านหน้าบ้านราวเปียโนของนักดนตรีชั้นเอก

สิบเอกวินัย โพธิสาร หรือ ครูแอ๊ด แห่งโรงเรียนบ้านโพธิ์กระสังข์ และแกนนำธุรกิจชุมชนแบรนด์ผ้าไหม Sodlaway Silk คือเจ้าของบ้านที่ว่า เมื่อถูกถามว่า พอผ้าไหมจากกอนกวยโซดละเวเริ่มเป็นที่รู้จัก มีคนติดต่อขอซื้อผ้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ครูเองยังมีงานหลักคือการสอนหนังสือ และรับหน้าที่อีกหนึ่งบทบาทเป็นโค้ชของเด็กๆ ใน โครงการพัฒนาเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ เอาเวลาไหนมาทอผ้าซึ่งต้องใช้ความประณีตระดับชั้นครู?  

ครูแอ๊ด-สิบเอกวินัย โพธิสาร

“เวลาว่างหลังเลิกสอนหนังสือ กลับมาทอผ้าที่บ้าน ทำอะไรจุ๊กจิ๊กไปเรื่อย” และการ ‘ทำอะไรจุ๊กจิ๊ก’ แบบที่ครูแอ๊ดว่า ไม่ใช่แค่ขั้นตอนการผลิตที่เริ่มตั้งแต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การทดลองย้อมสีไหมด้วยการสกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ นำไหมสองสีมาตีเกลียวให้เป็นเส้นเดียวตามกรรมวิธีโซดละเว จับลาย กระทั่งนำไหมขึ้นกี่ทอผ้า ไม่ใช่แค่นั้น… ครูแอ๊ดยังต้องรับออร์เดอร์ลูกค้า ให้ความรู้ลวดลายและเรื่องเล่าในผ้า แจกงานให้ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกในโครงการแบ่งกันทอ บริหารจัดการเงินทุนและกำไร สุดท้าย ครูแอ๊ดรับหน้าที่สอนเด็กๆ ในชุมชนให้ทอผ้าและถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มากับผ้าสืบต่อไปด้วย

The Potential ปักหมุดจากสนามบินดอนเมืองสู่ชุมชนชาวกวยบ้านแต้พัฒนา จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อไปซื้อผ้า เอ้ย… ไม่ใช่! ไปพูดคุยกับสิบเอกวินัย ที่ไม่ใช่แค่การสร้างแบรนด์ระดับธุรกิจชุมชน แต่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางของ Sodlaway Silkแบรนด์ที่ตั้งต้นขึ้นจากความต้องการยืนยันว่าวิถีชาวกวยต้องไม่หายไป และ ‘ผ้า’ หนึ่งผืน ทำหน้าที่นั้นได้

Sodlaway Silk จุดเริ่มต้นแค่อยากให้คนในชุมชนกลับมาใส่ผ้าไหมโซดละเว

บ้านแต้พัฒนา จังหวัดศรีสะเกษ อำเภอโพธิ์กระสังข์ เป็นหมู่บ้านที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์กวย 

“แต่ก่อนทุกบ้านจะมีกี่ทอผ้า ชาวบ้านเลี้ยงและย้อมสีไหมเอง เพราะชาวบ้านจะใช้ผ้าโซดละเวหรือที่เรียกว่า ‘ผ้าไหมหางกระรอก’ ในพิธีกรรมสำคัญต่างๆ ตั้งแต่งานบวช งานแต่ง พิธีกรรมเกลนางออ (รำแม่มด) เพื่อเป็นเครื่องสมมารับแถน (เทวดาประจำตัวหรือประจำตระกูล) งานบุญเทศน์มหาชาติ งานบุญต่างๆ และรวมถึงงานอวมงคล

“แต่ก่อนคนทำผ้าเยอะมาก แต่พอชาวบ้านต้องเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ คนทำก็น้อยลง คือรู้ว่าทำยังไงแต่ไม่มีคนทำ ถามว่าถ้าไม่มีผ้าแล้วพิธีกรรมเหล่านั้นจะหายไปไหม? ไม่หาย พิธีกรรมยังมีอยู่แต่ชาวบ้านจะเลือกไปซื้อผ้าจากที่อื่นมาทำพิธีแทน”

“ตอน ม.4 ผมนุ่งผ้าเป็นครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นเริ่มเห็นว่าคนทำผ้ามีน้อยลงทุกที นอกจากผมที่ทอเป็นก็ไม่มีเยาวชนรุ่นใหม่มาสืบทอด ตอนนั้นเลยคิดว่าทำยังไงจะให้เยาวชนมาศึกษาจนเขาทอผ้าได้ จนขึ้นมหา’ลัย จำได้ว่าใส่ผ้าไหมไปช่วยงานบุญสักงานที่ชุมชน พี่ติ๊ก (ปราณี ระงับภัย เจ้าหน้าที่ศูนย์ประสานงานการวิจัยเพื่อท้องถิ่น ศรีสะเกษ) เข้ามาถามว่า มีโครงการพัฒนาเยาวชนซึ่งมีงบประมาณสนับสนุนโครงการ สนใจหรือเปล่า? เลยลองคุยกับน้องๆ ในทีม ชวนกันมาทำโครงการ” สิบเอกวินัยเล่าย้อนไปเมื่อราว 5 ปีที่แล้ว ขณะกำลังศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

กว่าจะเป็นแบรนด์อย่างจริงจังและขายจริงในปัจจุบัน สิบเอกวินัยเล่าว่าช่วงสองปีแรกของการทำโครงการฯ เขาและทีมต้องลงเก็บข้อมูลเรื่องผ้าในชุมชน ตั้งแต่ไปพูดคุยกับชาวบ้านหลายหลังเพื่อสืบค้นข้อมูลให้ไกลเท่าที่ค้นได้มากที่สุดว่า ผ้าเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตชาวกวยอย่างไรบ้าง ผ้าแต่ละผืนที่ได้มานั้นมาจากไหน ใครเป็นผู้นำเข้ามา ตามไปขอดูผ้าเก่าในตู้ของผู้เฒ่าผู้แก่ อยากรู้ว่าลายโบราณในหมู่บ้านมีมากน้อยแค่ไหน ลวดลายที่ว่ามักเป็นลายอะไร ผู้เฒ่าผู้แก่อธิบายถึงที่มาลายผ้าว่าอย่างไร จากนั้นจึงค่อยแกะลายลงกระดาษ มัดไหม และขึ้นกี่ทอผ้าต่อไป

“ลายที่เราพบส่วนใหญ่มักเป็นลายที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันหรือไม่ก็สัตว์ เช่น ลายคล้ายรูปสี่เหลี่ยมบนหลังงู ลายตะขอที่ใช้ตักน้ำในบ่อ ยังมีความหมายที่แฝงมากับโซดละเวแต่ละส่วน เช่น ผ้าที่มีตีนซิ่น ซึ่งชาวกวยเรียกว่า ‘บูลจ์บูลจ์’ มีความหมายถึงการก้าวเดิน การก้าวไปข้างหน้า ผ้าส่วน เสลิก จะเป็นการทอยกมุกก็เพื่อไม่ให้ซิ่นขาดง่าย ตัวตีนซิ่นจะทอแบบมัดหมี่ และหัวซิ่น จะยกขิดให้เกิดลายนูนขึ้นมา” ครูแอ๊ดเล่า

ลวดลายจากผ้าไหมกอนกวยโซดละเวไม่ใช่แค่เป็นลายกวยโบราณ แต่วัตถุดิบที่ใช้ทำ สิบเอกวินัยตั้งใจให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยเฉพาะการใช้สีจากธรรมชาติ

“เราเริ่มทดลองใช้สีธรรมชาติตอนทำโครงการปีที่ 2 ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่าผ้าแต่ละผืนมีสีไม่เหมือนกัน วัตถุดิบแบบเดียวกันแต่ผสมต่างฤดู ก็ได้สีไม่เหมือนกันแล้ว” 

สิบเอกวินัยย้ำว่า ไม่ใช่แค่ผู้สวมใส่จะปลอดภัย แต่ผู้จัดทำ ย่อมได้ประโยชน์ตามไปด้วย

กอนกวยโซดละเว ธุรกิจชุมชนที่ค่อยๆ เติบโต

แม้เริ่มต้นจากการเป็นโครงการพัฒนาเยาวชนในพื้นที่ แต่ปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจที่ค่อยๆ เติบโตด้วยความตั้งใจอยากให้เป็นธุรกิจเพื่อชุมชน เยาวชนมีรายได้จากการทอผ้าเป็นอาชีพ สำคัญที่สุด ผ้าไหมโซดละเวจะทำหน้าที่บอกเล่าความเป็นมาและวิถีชีวิตของชาวกวยโดยที่พวกเขาไม่ต้องพูดอะไร

“เราทำโครงการมา 2 ปี คนเริ่มทักเข้ามาผ่านเพจเฟซบุ๊คตลอดว่าขายไหม ขอเข้ามาศึกษาดูงานได้ไหม เรียกว่าเดือนๆ หนึ่งเราเปิดรับคนเข้ามาดูงานสามถึงสี่รายเลย และเพราะเราคิดกันอยู่ตลอดว่าอยากให้คนรู้จักผ้าไหมบ้านเรามากกว่านี้ การทำแบรนด์เลยเป็นตัวเลือกที่ดี 

“การทำโครงการปีที่ 3 จึงตัดสินใจทำเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์และทำแบรนด์ โดยใช้คำว่า Sodlaway Silk หรือ ‘กอนกวยโซดละเว’ บอกเล่าความเป็นกวยไปด้วยในตัว โดยได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิสยามกัมมาจล เข้ามาช่วยสอนเรื่องการทำแบรนด์ การออกแบบโลโก้ผลิตภัณฑ์”

เมื่อเริ่มต้นจากต้นทุนชุมชน สมาชิกในกลุ่มก็เป็นคนในชุมชน เมื่อตั้งใจทำแบรนด์ของตัวเอง ครูแอ๊ดตั้งใจอยากให้ Sodlaway Silk เป็นธุรกิจชุมชน ทั้งส่วนแรงงานการผลิตและการกระจายรายได้ 

“เราแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วน คือ 50 : 40 : 10 คือ 50 เปอร์เซ็นต์แรกจะถูกเก็บเป็นทุนเพื่อทำงานต่อ 40 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าแรงของผู้ทำผ้าผืนนั้น เช่น ชาวบ้านที่เราส่งงานต่อให้ หรือเยาวชนที่อยู่ในโครงการ อีก 10 เปอร์เซ็นต์สุดท้าย ไว้ใช้ในกิจกรรมสาธารณะของหมู่บ้าน” ครูแอ๊ดแจกแจงสัดส่วนการเงิน

แม้กำลังการผลิตจะมีไม่มากเพราะแรงงานแต่ละคนต่างมีหน้างานหลักเป็นของตัวเอง และด้วยธรรมชาติของงานทำมือที่ต้องใช้เวลาและความประณีต ทำให้กำลังผลิตอาจไม่มากเท่าธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ครูแอ๊ดของเด็กๆ บอกว่าพอใจกับผลผลิต รายได้เพียงพอต่อขวัญและกำลังใจคนผลิต มากไปกว่าการค้าขาย มีผู้สนใจเข้ามาขอดูงานอยู่เรื่อยๆ

เต๋า-อภิชาต วันอุบล ขณะเข้าโครงการเป็นเพียงนักเรียนชั้น ม.3 แต่ปัจจุบันกลายเป็นหนุ่มนักศึกษาได้รับทุน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเรียบร้อย ปัจจุบันเต๋าคือมือหนึ่งเรื่องการทอ ออกแบบ และทำงานจัดการด้านการขายและถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ซื้อและผู้ขอเรียนรู้งาน

เต๋า-อภิชาต วันอุบล

เต๋าเล่าให้ฟังว่าปัจจุบันมีผู้สนใจเข้ามาขอดูงานเรื่อยๆ รวมถึงมีนักศึกษาเข้ามาขอข้อมูลเพื่อเก็บเป็นแรงบันดาลใจทำผลิตภัณฑ์ที่มาจากลวดลายผ้าไหมโซดละเวโบราณต่อไป

เต๋าเล่าว่าแม้รายได้ที่มาจากกอนกวยโซดละเวจะไม่ได้มากมาย แต่เพียงพอเป็นเงินเก็บและใช้จ่ายชีวิตมหาวิทยาลัย แต่มากกว่านั้น สิ่งที่ได้คือลวดลายผ้าไหมโบราณได้ถูกบันทึกและสืบสานต่อ สิ่งที่สิบเอกวินัยและเต๋าคิดเหมือนกันคือนี่เป็นมูลค่าที่ประเมินไม่ได้

“จากแค่สิ่งที่เราชอบเล็กๆ กลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ มีคนยอมรับงานของเรา มีหลายหน่วยงานเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการมากขึ้น รู้สึกว่ามันค่อยๆ เติบโต ซึ่งตอนแรกเราไม่คิดถึงอะไรขนาดนี้เลย แค่ชอบผ้าและทำไปเรื่อยๆ เหมือนต้นไม้เนอะ มันจะออกดอกออกผลตามเวลาของมัน” ครูแอ๊ดกล่าว

Tags:

active citizenศรีสะเกษผู้ประกอบการ(entrepreneurship)ชาติพันธุ์เย็บปักถักร้อย

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • ผ้าสบงและป้ายรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ การลุกขึ้นมาจัดการป่าของเยาวชนบ้านหนองสะมอน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningVoice of New Gen
    กีฬาเยาวชน ‘เบ๊อะบละตู’ : สนามนี้ไม่ได้มีไว้ชนะ แต่ชวนปกาเกอะญอรุ่นใหม่รักษาสิทธิดูแลป่า

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    โรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ พลิกคุณภาพโรงเรียนด้วยการสอนคิดและฝึกฝีมือคุณครู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

‘HOW TO RAISE YOUR SELF-ESTEEM’ เพียงแค่รักและไว้ใจตัวเอง เราจะเป็นได้ทุกอย่างในชีวิตนี้
Character buildingBook
17 September 2019

‘HOW TO RAISE YOUR SELF-ESTEEM’ เพียงแค่รักและไว้ใจตัวเอง เราจะเป็นได้ทุกอย่างในชีวิตนี้

เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ บัว คำดี

  • หนังสือ How to Raise Your Self-esteem พาเรากลับไปหาต้นเหตุของความไม่นับถือตัวเอง กลับไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เรามักหลีกหนี
  • ไม่ใช่เพื่อให้รู้สึกแย่กับตัวเอง แต่เพื่อให้เปิดใจยอมรับความจริงว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวเรา และมองเห็นอย่างเข้าใจลึกซึ้งโดยไม่ตัดสิน เพื่อกลับไปคืนดีกับตัวเองได้
  • ทั้งหมดนี้ก็เพื่อ จะได้ใช้ชีวิตได้อย่างรู้ตัว ใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง และ ใช้ชีวิตอย่างที่เราเป็นจริงๆ และสุดท้าย…กลับมานับถือตัวเอง

มนุษย์ทุกคนมีความต้องการสูงสุดในชีวิตไม่ต่างกัน เราต้องการเป็นที่รัก ได้รับการยอมรับ มีความสุข ประสบความสำเร็จ ‘ในแบบที่ตัวเองเป็นจริงๆ’ มิใช่ต้องเสแสร้งแกล้งทำเพื่อตอบสนองความพอใจของคนอื่นหรือในแบบที่สังคมบอกว่าดี แต่มีกี่คนที่นำพาชีวิตไปถึงจุดนั้นได้จริง หลายคนประสบความสำเร็จในมุมมองของสังคม ทว่าภายในกลับรู้สึกพังทลายคล้ายคนที่หลอกตัวเองให้เป็นในสิ่งที่ไม่อยากเป็น ขณะเดียวกันก็หลอกให้คนอื่นเห็นความสุขทั้งที่มีความทุกข์ท่วมท้นใจ

How to Raise Your Self-esteem หรือ พลังแห่งการเพิ่มความนับถือตัวเอง เขียนโดย เนธาเนียล แบรนเดน (Nathaniel Branden PH.D.) นักจิตวิทยาชื่อดังที่ทำงานบุกเบิกด้านแนวคิดจิตวิทยาเกี่ยวกับการนับถือตัวเองมานาน จนได้รับการเรียกขานว่า ‘บิดาแห่งจิตวิทยาการนับถือตัวเอง’ เป็นหนังสือเล่มเล็กทรงพลังที่เชื้อเชิญให้เรากลับมาเชื่อมโยงกับตัวเอง สืบค้นหาความรู้สึกคับข้องใจภายในเพื่อนำพาไปสู่ความรู้สึกนึกคิดและมุมมองใหม่อย่างมีชีวิตชีวาในการใช้ชีวิต

การนับถือตัวเองหรือ self-esteem เป็นพลังภายในที่ขับเคลื่อนชีวิต มีผลโดยตรงต่อการคิด การตัดสินใจ การลงมือทำ การตอบสนองผู้คนและเหตุการณ์ทุกเรื่องราวในชีวิตของเรา ช่วยให้เราสำเร็จและล้มเหลวได้พอๆ กัน ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความรู้สึกต่อตัวเองอย่างไร

ผู้เขียนให้นิยามของการนับถือตัวเอง หมายถึง การมีจิตใจที่ไว้ใจและยอมรับตัวเองได้ รู้ความต้องการของตัวเองและยืนหยัดต่อความต้องการนั้น เลือกใช้ชีวิตเชิงบวกโดยเป็นผู้เลือกลงมือทำ รับผิดชอบผลของการเลือกทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ (ไม่ว่าดีหรือร้าย) และมีชีวิตที่เป็นมิตรกับตัวเองอย่างสงบสุข

ความรู้สึกนับถือตัวเองนั้นก่อตัวขึ้นจากสิ่งแวดล้อมที่เราได้รับการเลี้ยงดูทั้งจากครอบครัว โรงเรียน รวมถึงผู้คนรอบข้างที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ตลอดชีวิต เกิดเป็น self-concept หรือภาพในใจบางอย่างที่เราใช้เป็นกรอบความคิดเพื่อมองตัวเองว่า เราเป็นใคร เราเป็นคนแบบไหน ทั้งในระดับที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ส่งผลต่อการเลือก การตัดสินใจทำ/ไม่ทำ ทุกเรื่องในชีวิต สิ่งที่ปรากฏในชีวิตของเราทุกวันนี้ (ปัจจุบัน) จึงเป็นผลลัพธ์โดยตรงต่อความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเราเอง (อดีต) หากเราเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดตัวเองได้ตั้งแต่วันนี้ (ปัจจุบัน) เราย่อมสร้างสิ่งที่เราต้องการ (อนาคต) ได้อย่างไม่ยากเย็น

สิ่งที่ดีที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือ การนำพาเรากลับไปมองหาต้นเหตุที่แท้จริงของความรู้สึกนับถือตัวเองต่ำ ว่าเกิดขึ้นจากอะไร เป็นการพาตัวเรากลับไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่เรามักหลีกหนี เก็บกดเอาไว้ ผ่านคำถามสั้นๆ ที่เรียบง่ายแต่ค้นลึกถึงแก่นแท้ความเป็นจริงที่บางครั้งอาจทำให้เราต้องร้องไห้

ตัวอย่างคำถามในแบบฝึกหัด เช่น

ถ้าเด็กที่อยู่ในตัวฉันพูดได้ เขาจะพูดว่า…

สิ่งที่ตัวตนวัยเด็กต้องการจากฉันคือ…

ไม่ง่ายเลยที่ฉันจะยอมรับว่า…

ถ้าฉันยอมรับความรู้สึกของฉันได้มากขึ้น…

สิ่งที่ฉันไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเองอย่างหนึ่งคือ…

สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับตัวเองอย่างหนึ่งคือ…

ถ้าฉันต้องยอมรับว่าฉันชอบตัวเองแค่ไหน… ฯลฯ

ฉันเองได้ทดลองทำแบบฝึกหัดในหนังสือและพบว่า คำถามเหล่านั้นได้พาเรากลับไปมองเห็นความกลัว ความกังวล ความรู้สึกเชิงลบต่างๆ ที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจนกระจ่างแจ้ง และที่ชอบมากที่สุดคือการพาเราไปพบกับตัวเองตั้งแต่วัยเด็กและวัยรุ่นเพื่อเห็นการก่อรูปของความคิด ความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง แต่เพื่อให้เราเปิดใจยอมรับความจริงว่า สิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวเรา และมองเห็นอย่างเข้าใจลึกซึ้งโดยไม่ตัดสินว่ามันเกิดขึ้นในตัวเราด้วยสาเหตุใด เพื่อกลับไปคืนดีกับตัวเองได้ ขณะเดียวกันก็พาเรากลับไปสืบค้นความดีงามภายในที่เรามีอยู่ ที่บางครั้งเรากดข่มตัวเองไว้ ทำให้เรารักตัวเอง ภูมิใจในตัวเองอย่างที่เราเป็นได้ลึกซึ้งกว่าที่เคย

การยอมรับตัวเอง (self-awareness) ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่เป็นข้อจำกัดเพื่อ ‘เป็นหนึ่งเดียวกับตัวเอง’ จึงเป็นก้าวแรกของการเดินต่อ ทำให้เราได้มองเห็นทางเลือกในการลงมือทำมากขึ้น เต็มใจรับผิดชอบชีวิตของตัวเองมากขึ้น (ด้วยการตัดสินใจเลือกเอง) การเลือกด้วยตัวเองทำให้ตระหนักถึงอำนาจที่ควบคุมชีวิตตัวเองได้มากขึ้น ช่วยให้เรายืนหยัดต่อความท้าทายและโอกาสในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ

เนื้อหาหนังสือในแต่ละบทจึงค่อยๆ นำทางให้เรากลับไปสืบค้นสิ่งต่างๆ ภายในอย่างช้าๆ ทั้งการเรียนรู้ การยอมรับตัวเอง การปลดปล่อยตัวเองจากความรู้สึกผิด การหลอมรวมตัวตนวัยเยาว์ เพื่อว่านับจากนี้ไป เราจะใช้ชีวิตได้อย่างรู้ตัว (live consciously) ใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง และ ใช้ชีวิตอย่างที่เราเป็นจริงๆ

คีย์เวิร์ดสามคำนี้มีความหมายลึกซึ้งมาก เพราะผู้ที่มีความนับถือตัวเองสูงย่อมสามารถเลือกใช้ชีวิตด้วยปัญญา ตระหนักเสมอว่าอำนาจในการเลือกทำหรือไม่ทำนั้นอยู่ที่ตัวเอง จึงเป็นผู้เลือกผลักดันตัวเอง (active) เสมอ หรือ อย่างน้อยก็สร้างทางเลือกเพิ่มขึ้น กล้าเผชิญหน้าความจริง ยอมเสี่ยงลงมือทำ (และเต็มใจรับผลการกระทำนั้น) ไม่ใช่รอคอยให้เกิดสถานการณ์ที่ตัวเองต้องกลายเป็นเหยื่อของการเลือก (passive) เช่น ทำตามความต้องการของคนอื่นทั้งชีวิตโดยกดข่มความต้องการของตัวเองไว้ลึกที่สุด หรือ ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรทั้งที่รู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์มาก

คนที่รับรู้ความรู้สึก-ความต้องการของตนเองอยู่เสมอ จึงได้ทำในสิ่งที่เป็นตัวตนจริงแท้ ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกดีกับตัวเอง ชอบตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง ตระหนักรู้ว่าตัวเองมีความสามารถ คู่ควรที่จะมีความสุข และรักตัวเองได้อย่างแท้จริง

การรักตัวเองหรือการเพิ่มความนับถือตัวเองไม่ใช่การเห็นแก่ตัว หากเป็นวิธีการที่ทำให้มนุษย์แต่ละคนได้กลับไปมองเห็นศักยภาพสูงสุดภายในของตัวเองและได้ใช้ชีวิตอย่างเปล่งประกายสูงสุด

ถ้าคนทุกคนได้ ‘ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองเป็นอย่างแท้จริง’ เขาจะรักตัวเองได้ รักตัวเองเป็น คนที่รักตัวเองเป็น จะเป็นคนที่รักคนอื่นเป็นไปโดยปริยาย เพราะเขาเป็นมนุษย์ที่อิ่มเต็มแล้วด้วยตัวเอง (ไม่ต้องรอการเติมเต็มจากคนอื่นไม่ว่าเรื่องความรักหรือการยอมรับก็ตาม) โลกใบนี้จะเต็มไปด้วยมนุษย์ที่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง พูดและทำตรงกับใจอย่างรับผิดชอบต่อตัวเองและคนอื่น พอใจตัวเอง ให้เกียรติตัวเอง และเรียนรู้การปฏิบัติตนต่อคนอื่นด้วยความเคารพ รับฟัง ยอมรับและให้เกียรติคนอื่นด้วยเช่นกัน

How to Raise Your Self-esteem หรือ พลังแห่งการเพิ่มความนับถือตัวเอง จึงเป็นเครื่องมือนำทางให้เราได้กลับไปทำความรู้จัก มองเห็น และเป็นมิตรกับตัวเองได้อย่างง่ายดายและมีพลังที่สุดเล่มหนึ่งเท่าที่เราจะพึ่งพาตัวเองได้ เพราะแนวทางของคำถามในแบบฝึกหัดนั้นเป็นการกลั่นกรองจากประสบการณ์การบำบัดคนไข้ของผู้เขียนมาหลายสิบปี ผ่านคำถามเรียบง่ายที่เชื่อเถิดว่าเราจะได้มองเห็นตัวเองในอีกมุมหนึ่งอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

และวันใดที่เราเป็นมิตรกับตัวเองได้ โอบกอดตัวเองได้ รักตัวเองได้อย่างแท้จริง วันนั้นจะไม่มีคำว่า “เป็นไปไม่ได้” อยู่ในพจนานุกรมชีวิตของเราอีกต่อไป

How to Raise Your Self-esteem หรือ พลังแห่งการเพิ่มความนับถือตัวเอง เขียนโดย Nathaniel Branden PH.D. แปลโดย สาริศา มีสุขศรี โดยสำนักพิมพ์ OMG Books ราคาเล่มละ 220 บาท

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)หนังสือ

Author:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Book
    The Element: การค้นพบ ‘ธาตุ’ ที่บอกว่า ‘ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • BookFamily Psychology
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Everyone can be an Educator
    RABBITHOOD ของโจ้ วชิรา ในวันที่ลูกค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่าชอบงาน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Bookอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

นโม INSKRU: นักออกแบบการศึกษาที่อยากเห็น “ใครๆ ก็อยากเป็นครู”
Voice of New Gen
16 September 2019

นโม INSKRU: นักออกแบบการศึกษาที่อยากเห็น “ใครๆ ก็อยากเป็นครู”

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • นโม Inskru ไม่ใช่ครู แต่คือ สถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิตด้านการออกแบบและดีไซน์ UX มาสร้างสตาร์ทอัพการศึกษา
  • Inskru คือสตาร์ทอัพการศึกษาที่ต้องการสร้างพื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน ช่วยครูแก้ปัญหาภาระการศึกษา กระตุ้นจินตนาการการสอนที่สนุกและเป็นไปได้
  • “ฝันอยากเห็นอาชีพครูเป็นอาชีพที่คนสบายใจจะเป็น คนเก่งมาเป็นครูได้ ใครๆ ก็อยากเป็นครู” คือความตั้งใจและภาพที่นโมอยากเห็นภายใน 5 ปี
ภาพ: ลักษิกา จิรดารากุล

“จริงๆ Inskru มาจาก Pinterest* นะ เป็นนักออกแบบต้องดู Pinterest ก่อนใช่ไหม (หัวเราะ) หาแรงบันดาลใจน่ะพี่ ถ้าให้คิดจากศูนย์มันคิดไม่ออกอยู่แล้ว พอจะทำสตาร์ทอัพเรื่อง ‘ครู’ เลยคิดว่าครูก็น่าจะต้องมีแรงบันดาลใจในการสอนเหมือนกัน ยิ่งมี input เยอะเท่าไร เราก็ยิ่งมีวัตถุดิบในการจับนู่นเชื่อมนี่มาพัฒนาคาบสอนของเรา จากตอนแรกที่อาจเห็นมุมมองแค่ข้างเดียว แต่ถ้ามุมมองเรากว้างขึ้น คาบเรียนของเราก็ดีขึ้นไหม?” 

นโม-ชลิพา ดุลยากร เจ้าของแพลตฟอร์ม Inskru สตาร์ทอัพทางการศึกษาที่ต้องการสร้างพื้นที่แบ่งปันไอเดียการสอน กล่าวด้วยเสียงใสผ่านดวงตายิบหยี

นโม-ชลิพา ดุลยากร

หลายคนคุ้นหน้าเธอจากความเคลื่อนไหวในวงการศึกษาจนหลายคนเข้าใจผิดไปหลายทีว่าเธอต้องมีคำว่า ‘ครู’ นำหน้าชื่อแน่ๆ แต่อันที่จริงเธอเป็น ‘นักออกแบบ’ ที่เพิ่งก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดังแถวสามย่านเพียงไม่ถึง 2 ปี Inskru เองก็ถือเป็นธีสิสจบปริญญาตรีที่เธอปลุกปั้นด้วยสายตานักออกแบบเพราะต้องการแก้ปัญหาภาระงานครู 

“ins – ที่มาจากคำว่า inspire / kru – ถอดเสียงจากคำว่า ครู” นโมเล่าให้ฟังอีกครั้งแม้จะเล่าให้สื่อหลายสำนักฟังไม่รู้กี่ทีแล้ว 

ที่ชวนนโมมานั่งคุยในบ่ายแก่ๆ ของวันฝนโปรยในฤดูเปิดเทอม เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน นโมและทีมงานเพิ่งปิดจ็อบโครงการ Inskru Hackathon งานที่ชวนครูและคนหลากอาชีพมาร่วมพัฒนา ‘นวัตกรรม’ ทางการศึกษา ใช้แว่นตาของนักออกแบบพยายามแก้ปัญหาหนักในห้องเรียนฉบับ Hackathon เอาไอเดียบางอย่างมาจับทำให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างในเวลาอันรวดเร็ว

ปรัชญาของมันคล้ายว่าถ้าปล่อยให้ไอเดียนั้นอยู่ในอากาศเนิ่นนาน ความสร้างสรรค์จะไม่สดใหม่ คนคิดคนทำพลอยเฉา สุดท้ายไอเดียที่ว่านั้นจะถูกผลักเข้าไปอยู่ใน ‘wish list’ – รอคอยไปก่อนนะ เพราะต้องไปทำสิ่งที่สำคัญกว่า

ความน่าสนใจของงานคือ นโมเอาวิธีการทำงานแบบ developer มาจับกับปัญหาของครู ผู้ที่เข้าร่วมงาน Inskru Hackathon มีทั้งนักออกแบบ นักจิตวิทยา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง นักวิจัย ภาคประชาสังคม กราฟิกดีไซเนอร์ นักออกแบบประสบการณ์ (UX designer)

มันตื่นตาตื่นใจ เพราะหลายๆ ปัญหาที่เคยคิดว่าหนักหนาสำหรับครู พอนำมาจับกับวิธีคิดของคนสายอาชีพอื่น ก็กลายเป็นความสนุกและเป็นไปได้

จึงเป็นเหตุให้ The Potential สนใจอยากชวนนโมคุยถึงวิธีคิดการสร้าง Inskru โดยใช้รูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม การเป็นนักเคลื่อนไหวที่อยู่ตรงกลางระหว่างสายธุรกิจจ๋ากับคนทำงานสายสังคมศาสตร์ นอกจากนี้ นโมยังเป็นนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ในประเด็นการศึกษาที่ไม่ได้สวมหมวกครู แต่เป็นนักออกแบบ ทำงานเรื่องพื้นที่และการออกแบบการเรียนรู้สร้างสรรค์แก้ปัญหาการศึกษาในสเกลที่เป็นไปได้ เป็นบอร์ดพินเทอเรสต์ทำให้ครูมีจินตนาการเรื่องการสอนและการจัดการภาระงานศึกษาแบบใหม่ๆ ที่สนุกและเป็นไปได้

Inskru ที่มาจากสายตานักออกแบบประสบการณ์  

ก่อนจะพูดเบื้องหลังงาน Hackathon อยากให้นโมเล่าที่มาที่ไป จากนักศึกษาออกแบบ เพราะอะไรจึงเปลี่ยนมาอยู่สายงานการศึกษาได้

นโมสนใจเรื่องการศึกษาอยู่แล้ว คุณย่าเป็นเจ้าของโรงเรียนประถม บ้านนโมอยู่ในโรงเรียนเลย แต่ตอนนั้นเราไม่ชอบโรงเรียน ครูทุกคนปฏิบัติกับนโมแตกต่างจากปกติ หรือเวลาเพื่อนแกล้งก็จะบอกว่าไปฟ้องย่าสิ เรารู้สึกว่า “ทำไมต้องปฏิบัติกับเราแบบนี้ ฉันเป็นเด็ก ฉันเข้าใจ ฉันไม่ได้อยากมีอภิสิทธิ์” ตอนเด็กๆ คงไม่ได้พูดขนาดนี้นะ แต่ความรู้สึกในใจคือไม่อยากแตกต่างหรือได้รับการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นนโมเลยไม่มีความทรงจำที่ดีตอนเป็นเด็กประถมเลย แต่พอเข้ามัธยมจะอีกเรื่อง ดีขึ้น เพราะย้ายโรงเรียนแล้ว

ทีนี้เข้ามหา’ลัย เลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรม ด้านการออกแบบและเรื่องดีไซน์ UX (User Experience) หรือการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้งาน พอจับสองอันนี้มาเชื่อมกัน ก็คิดว่าเราสามารถดีไซน์ประสบการณ์ผู้เรียนให้ดีกว่านั้นได้รึเปล่านะ เราเลยยิ่งอินกับการทำ Inskru เพราะเหมือนได้เอาสิ่งที่เรียนด้านสถาปัตย์มาเชื่อมกับสิ่งที่เป็นการศึกษา นโมพบว่ามันเชื่อมได้หลายอย่างมากเลย

ไม่ได้เริ่มต้นจากความอยากเป็นครู แต่เป็นนักออกแบบที่สนใจประเด็นการศึกษา?

ชอบสอนหนังสือด้วย ก่อนหน้านั้นก็ชอบสอนหนังสือเด็ก ทำค่ายอาสา ด้วยความที่เรียนเรื่องการออกแบบมา เลยคิดเยอะมากว่าจะออกแบบการเรียนยังไงให้เด็กๆ ในห้องเรียน นโมเอาเรื่อง design thinking มาคิดกับการสอนด้วยนะ แต่พอกลับมาจากค่าย เด็กๆ ก็ต้องเรียนกับครูของเขาอยู่ดี เลยคิดว่าถ้าทำให้ครูสร้างคาบเรียนได้น่าจะอิมแพคกว่า มีวิธีการสอนที่น่าสนใจหรือมีความหมายต่อเด็กได้ ตอนนั้นมันมี inspire แบบเป็นก้อนมัวๆ อยู่ แต่พอเอาเรื่องนี้ไปคุยกับพี่ยีราฟ (สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร ผู้ก่อตั้ง Saturday School) และพี่เคนโด้ ซึ่งเป็น developer ที่เคยทำ Saturday School เขาบอกว่าคิดเหมือนกัน ก็เลยรวมตัวกันทำ Inskru แต่ด้วยความที่ทุกคนก็ขยายไปทำทางของตัวเอง Inskru เลยเหลือนโมคนเดียว (ทำเสียงร้องไห้เบาๆ)

Inskru จึงเริ่มจากสายตาของนักออกแบบ?

ทำเว็บไซต์ก่อนเลย ซึ่งแบบ… พัง (หัวเราะ) เว็บไซต์ไม่ได้มีคนอ่านขนาดนั้น แต่ใช่ มันเริ่มจากแบบนั้น นโมมาจากสายสตาร์ทอัพด้วย แต่ไม่ได้มองมันเป็นธุรกิจ แต่ใช้หลักการเรื่อง market research หรือ positioning map แล้วมาพัฒนาตัวโมเดลของเรา

แต่จริงๆ แล้ว Inskru เริ่มต้นจากธีสิสจบของนโม ตอนแรกมันไม่ใช่แบบนี้เลย แต่เป็นแอพฯ คล้ายๆ ติวเตอร์ ซึ่งมันไม่ได้ตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและไม่ใช่สิ่งที่เราอิน นโมทำโปรเจ็คต์นั้นไปแล้วหนึ่งเทอมด้วยนะ แต่สุดท้ายตัดสินใจเปลี่ยน ใช้เวลาปิดเทอมหาว่าจริงๆ แล้วเราอยากทำอะไร และเพราะบ้านนโมเองทำโรงเรียนประถม เลยลงไปโรงเรียน ไปคุยกับครูว่ามีปัญหาอะไร

นโมคุยกับครูไปทั่วเลยว่าเขาเป็นยังไง เจอปัญหาอะไร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการทำเอกสาร นี่ขนาดเอกชนก็ยังมีปัญหาเลย

มีครูคนหนึ่งสะท้อนว่าเขาต้องลบสื่อการสอนทุกครั้งและดาวน์โหลดใหม่ทุกเทอมเพราะเมมโมรีในเครื่องเต็ม เราถามเขาต่อว่ามีการแชร์ไฟล์ให้คนอื่นรึเปล่า เขาบอกว่าไม่ได้มีการแชร์ ตอนนั้นเลยเริ่มมาคิดว่า เออ… ชอบเรื่องนี้อะ ถ้าเราทำพื้นที่ที่เก็บไฟล์แล้วให้ทุกคนมาแชร์ไฟล์ไว้ใช้ร่วมกันน่าจะดี หรือถ้ามันมีที่ให้ครูได้มาใช้ source เรื่องวิธีการสอนร่วมกันน่าจะดีนะ

ความน่าสนใจของ Inskru อีกอย่าง คือเป็นการทำงานเรื่องการศึกษาผ่านเวทีสตาร์ทอัพ ในแง่ธุรกิจเพื่อสังคม

Inskru ก่อตัวมาจากเวทีสตาร์ทอัพ นโมเอาไอเดียของ Inskru ไปแข่ง EdTeach Hackathon แต่ช่วงแรกโดนตียับเพราะในเชิงการตลาด target group ไม่มีกำลังจ่าย เราหาตังค์ไม่ได้ ล้มแบบไปครั้งหนึ่งแล้วไปคิดไอเดียที่จะหาเงินได้ สุดท้ายคิดมาจนถึงตีสอง ตีสาม เราก็ยังไม่อิน เลยเอา Inskru นี่แหละพรีเซนต์ สุดท้าย Inskru ได้ที่ 2 งงมาก (หัวเราะ)

ความดีงามที่เราเริ่มจากฝั่งนี้ (ธุรกิจเพื่อสังคม) คือเราสามารถเชื่อมสายที่โคตร (ลากเสียง) จะสังคมกับสายธุรกิจให้มาเจอกันได้ เราพยายามบาลานซ์ตัวเองให้อยู่ตรงนี้ เพราะตรงนี้เป็นคอนเนคชั่นที่ดีมาก เขาพาเราไปคุยกับคนนั้นคนนี้ได้ Inskru เองก็เป็นที่รู้จักขึ้นมาเพราะสายธุรกิจช่วยผลักดันด้วย ยังขอบคุณตัวเองเลยที่เอา Inskru ไปเข้าประกวด เพราะตอนนั้นมันได้กำลังใจมหาศาล ได้คอนเนคชั่นของคนที่อยู่ในนั้น อย่างพี่ยุ้ย Stormbaker (ยุ้ย จันทนารักษ์ MD ของ StormBreaker Venture โครงการบ่มเพาะผู้ประกอบการด้านการศึกษา) ก็เป็นประตูที่ทำให้เราได้รับการสนับสนุนและเดินต่อ

หลายคนเวลาพูดถึงคำว่า ‘ธุรกิจ’ แล้วจะกลัวๆ Inskru เองก็จะไม่สร้างจุดยืนของตัวเองว่าเป็นธุรกิจขนาดนั้น

จริงๆ มีสตาร์ทอัพที่ทำเรื่องการศึกษาและเป็นธุรกิจได้เต็มไปหมดเลย แต่พอเรามาจากสายสังคม อยู่กับ พี่ก๋วย (พฤหัส พหลกุลบุตร กลุ่มละครมะขามป้อม) พี่มะโหนก (ศุภวิชช์ สงวนคัมธรณ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Black Box) ได้เจอกับกลุ่มครู ทำให้เราเอนเอียงมาสายสังคมหน่อยๆ ด้วย และการทำงานกับครูมากๆ รู้ insight ว่าคำว่า สตาร์ทอัพ มันดูน่ากลัวสำหรับพวกเขา ดูเป็นโลกธุรกิจ จนทำให้เราซึ่งตอนแรกเริ่มต้นงานในเชิงสตาร์ทอัพ ก็เริ่มไม่อยากใช้คำนี้

สิ่งที่กลัวเสมอคือ ถ้าเราใช้มุมทางธุรกิจนำทาง ผลประโยชน์มักตกไปอยู่กับคนที่มีเงิน แม้ตอนแรกเราตั้ง impact ไว้อย่างนี้ รู้ทั้งรู้ว่าเราอยากไปแบบนี้ แต่ถ้ามองในทางธุรกิจจ๋า เราก็ต้องหาเงินให้เราอยู่ได้ก่อน สุดท้ายมันก็ตั้งคำถามกับเราแหละว่า สิ่งที่ทำมันเป็นเรื่องการศึกษาจริงเหรอ มันจะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำรึเปล่า

จากที่คุย นโมมักใช้เซนส์ ‘ความอิน’ ของตัวเองนำทางในการตัดสินใจหลายๆ ครั้ง passion แบบไหนที่นโมใช้ตัดสินใจ

(นิ่งคิด) วัดว่าอะไรที่ไม่อินมากกว่า คือเวลาต้องทำอะไรที่มันไกลตัวเรามากๆ รู้ว่ามันไม่ใช่ความชอบของเราเลย แต่ Inskru มันมีความชอบของเราเองอยู่ในนั้นเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องการออกแบบการสอน

เช่น?

เช่น Inskru มาจาก Pinterest นะ เป็นนักออกแบบต้องดู Pinterest ก่อนใช่ไหม (หัวเราะ) หาแรงบันดาลใจ ถ้าให้คิดจากศูนย์มันคิดไม่ออกอยู่แล้ว พอจะทำสตาร์ทอัพเรื่อง ‘ครู’ เลยคิดว่าครูก็น่าจะต้องมีแรงบันดาลใจในการสอนเหมือนกัน ยิ่งมี input เยอะเท่าไร เราก็ยิ่งมีวัตถุดิบในการจับนู่นเชื่อมนี่มาพัฒนาคาบสอนของเรา จากตอนแรกที่อาจเห็นมุมมองแค่ข้างเดียว แต่ถ้ามุมมองเรากว้างขึ้น คาบเรียนของเราก็ดีขึ้นไหม

อย่างตอนแรก ถ้าเราไม่เห็นคาบเรียนของพล (อรรถพล ประภาสโนบล หนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘พลเรียน’) นโมก็คิดว่าคาบเรียนน่าจะเป็นแบบหนึ่ง แต่พอเห็นของพล เฮ้ย… คาบเรียนมันเป็นอีกระดับหนึ่งเลยนะ เลยคิดว่าหากมีแพลตฟอร์มที่รวบรวมไอเดียการสอนของครูหลายๆ คนมาไว้ด้วยกัน มันเปิดโลกของครูนะ

ใช้ความชอบที่ไม่ขัดกับความเชื่อของตัวเองใส่ไปในงาน?

ใช่ๆ ซึ่งรู้สึกว่ามันดีมาก ทำให้ทุกวันนี้ที่ทำอยู่มันสนุกมาก มันทำได้เรื่อยๆ ทุกงานเป็นสิ่งที่เราอยากทำทุกอย่างเลย

Inskru Hackathon: แก้ปัญหาห้องเรียนสร้างสรรค์ด้วยวิธีคิดแบบ developer

หนึ่งปีผ่านไป จากแรงบันดาลใจสร้างแพลตฟอร์มแบ่งปันไอเดียการสอนที่ตั้งต้นจาก Pinterest สู่ การระดมไอเดียสร้างสรรค์จริงรูปแบบ Hackathon อยากให้นโมเล่าวิธีคิด เบื้องหลังให้ฟังค่ะ 

เริ่มจากการคุยกับพี่ทราย TDRI (ณิชา พิทยาพงศกร นักวิจัยนโยบายด้านการปฏิรูปการศึกษา) ว่าถ้าครูได้มาสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอนกันก็น่าจะดีนะ พี่ทรายเขามีแนวคิดแบบ Hackathon อยู่แล้ว พอมาคุยกันมันเลย พรึ่บๆๆ เสร็จแล้วเลยไปชวนพี่ๆ จาก Saturday School มา kick off กัน

ตอนนโมแข่งงาน EdTech Hackathon (เฟ้นหา Edtech Startup ที่สามารถสร้างนวัตกรรม หรือ เทคโนโลยีทางการศึกษา) มันทำให้เราเห็นความเป็นไปได้ของไอเดียแบบ Inskru แต่ว่างานนั้นทำให้เราต้องมาคิดถึงการตอบโจทย์ทางธุรกิจ พอต้องคิดถึงธุรกิจทำให้มันตอบโจทย์คนแค่บางกลุ่มและจะไม่ตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำ พอจะทำของตัวเอง Inskru Hackathon เลยอยากเอาข้อจำกัดเรื่องการตอบโจทย์ทางธุรกิจออกไปและเริ่มจาก insight เริ่มจากปัญหาจริงๆ อีกอย่างคือ ในงาน EdTech Hackathon บังคับว่าต้องเป็นเทคโนโลยี งานของเราเองเลยไม่บังคับ ออกมาเป็นอะไรก็ได้ 

หนึ่งในความน่าสนใจของ Inskru Hackathon คือคนที่มาร่วมหลากหลายมาก เห็นว่ามีนักจิตวิทยา พ่อแม่ นักวิจัย นักเรียนมัธยมก็มา

ปัญหาการศึกษาเป็นเรื่องที่ทุกคนอินง่าย ทุกคนมี pain point (ปัญหาของลูกค้าที่เกิดจากสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ลูกค้าไม่ชอบหรือทำให้ชีวิตลำบากขึ้น จนทำให้ลูกค้าต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการแก้ไขปัญหาที่ว่าคือ การซื้อสินค้าหรือใช้บริการบางอย่างเพื่อแก้ปัญหานั้น) แต่พอถึงเวลาจริงๆ หลายคนจะบอกว่าเขาไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ไม่รู้จะทำเรื่องอะไร เราเลยอยากหาจุดที่เขากับการศึกษาเจอกันให้ได้ งานนี้เลยอยากเป็นจุดเชื่อมให้ทุกคน ไม่ว่าจากอาชีพอะไรได้มาเจอกัน

ตัวอย่างนวัตกรรมที่คนหลายอาชีพมาคิด solution แก้ปัญหาการศึกษาในงานและคิดว่ามันมากๆ

กลุ่ม Fasttrack ที่ทำเว็บไซต์มาจัดการเอกสารราชการ มันเป็นการทำงานร่วมกันของแก๊งครูที่มี pain point ในงานเอกสาร กับ แก๊งสตาร์ทอัพที่เคยทำผลงานด้านเอกสารการเงินมาก่อน ที่ชอบเพราะนโมเห็นเบื้องหลังการทำงานของเขา ทีมครูนำเอกสารทั้งหมดมากาง ทีม developer ก็สอนครูออกแบบการวางโครงสร้างข้อมูล เราเห็นคุณครูนั่งทำ excel ในรูปแบบคล้ายการเขียนโค้ดเลย ทีมครูก็บ่นทีม developer ว่าพูดอะไรไม่รู้เรื่อง แต่สุดท้ายด้วยความเปิดใจพร้อมเรียนรู้ของแก๊งครูก็ทำให้ก้าวข้ามอุปสรรคทุกอย่างมาได้ มันมันตรงนี้แหละ ซึ่งตอนนี้ทีมนี้เขาจะทำจริงวางขายในโรงเรียนแล้ว คุณครูก็มาเป็นฝ่ายขายด้วย

อีกกลุ่มคือ Krucare เป็นการรวมตัวกันของนักเรียน ครู ปกครอง ผู้บริหารสตาร์ทอัพ และยูทูบเบอร์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ทีมนี้มันตรงที่เขาเลือก pain point การจัดการปัญหาพฤติกรรมเด็กของฝ่ายปกครอง ครูเองก็ไม่ได้อยากจัดการเด็ก เด็กเองก็ไม่ชอบการจัดการของครู เลยเกิดปัญหาความสัมพันธ์ขึ้น กลุ่มนี้เลือกแก้ปัญหาโดยใช้แอพพลิเคชั่นจัดการคะแนนพฤติกรรมเด็ก (แอพพลิเคชั่นนี้จะทำให้เด็กทุกคนรู้ที่มาที่ไปว่าโดนหักคะแนนพฤติกรรมเพราะอะไร ให้นัยยะของระบบเป็นคนหักคะแนนไม่ใช่ครู ลดการเผชิญหน้ากันระหว่างครูและนักเรียน เด็กเองจะรู้คะแนนของตัวเองตลอดปีทำให้รู้ว่าคะแนนของตัวเองปริ่มน้ำจนจวนจะมีปัญหาตอนปลายภาคหรือเปล่า และถ้าถูกหักคะแนนอย่างไม่สมเหตุสมผล เด็กสามารถขอตรวจสอบได้ ส่วนวิธีแก้ไขคะแนนสร้างสรรค์และออกแบบได้ เช่น ถ้าเด็กคนนี้ชอบเล่นฟุตบอลมากๆ ก็อาจไม่ให้เขาลงสนามแข่งฟุตบอลเป็นเวลาหนึ่ง) 

ครูเล่าว่ากว่าจะทำให้เด็กในทีมเปิดใจคุยกับครูก็ปาไปครึ่งวันแล้ว ดราม่ามาก (หัวเราะ) แต่สุดท้ายผลงานก็ออกมาได้ พอเอาไปทดสอบในโรงเรียนปรากฏว่าเด็กไม่สนใจคะแนนพฤติกรรม แต่ต้องการพื้นที่พูดคุยกับครู pivot solution (การปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ในขั้นสุดท้าย) เป็นชีทแผ่นนึงที่ทำให้ครูและนักเรียนได้ reflect กันแทน (ดูได้ที่: https://inskru.com/idea/-LmnVN6r5CUmGZqBSgE8)

ที่ออกแบบให้คนหลากอาชีพมาเจอกัน ตั้งใจทำให้เกิดอะไร อยากเห็นภาพอะไร

นโมเชื่อในความ co-creation ตอนเรียนดีไซน์ ถ้าเอาคนจากอาชีพต่างๆ มาเจอกัน เราจะได้มุมมองจากอาชีพนั้นมาเติม เลยรู้สึกว่ามันน่าจะเกิดอะไรใหม่ได้แน่นอน แต่นโมลุ้นมากเลยนะ ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

จบงานแล้ว ได้ตามที่วาดหวังไหม

จริงๆ ฝันว่าทุกทีมจะไปต่อได้ (หลายทีมไม่ได้ไปต่อในช่วงการนำไปทดลองในโรงเรียน) ด้วยความที่คนในทีมมาจากสองฝั่งสองโลก (โลกการศึกษา กับ คนในอาชีพอื่น) ครูบางคนก็มาจากต่างจังหวัด เลยยากที่จะมาเจอกันเพื่อคุยงานให้ไปต่อได้ เข้าใจแล้วว่าทำไมงาน Ed Hackathon เขาถึงให้คนสมัครมาเป็นทีม เพราะทีมสำคัญมาก พอทีมคลิกกัน มันก็อยากทำงานกันต่อ แต่นโมมีข้อสังเกตนะ บางทีมก็มาจากต่างโรงเรียนและอยู่คนละจังหวัด แต่ไปต่อได้ เขาจะมีคาแรคเตอร์ของความขบถนิดๆ  มีความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่เขาก่อกันขึ้นมา

ข้อค้นพบหรือข้อสังเกตในด้านอื่น มีอะไรบ้าง

มันได้ product ที่หาไม่ได้ในงาน EdTech Hackathon สมมุติฐานที่ตั้งไว้มันถูกต้อง คือถ้าเราคิดด้วยธุรกิจตั้งแต่แรกมันจะไม่มีไอเดียอะไรเหล่านี้ ใครจะอยากมาแก้ปัญหาเอกสารครู แล้วจะขายนวัตกรรมแบบนี้ในโรงเรียนได้เหรอ? คำถามมากมายจะตามมาและมันจะปิดความเป็นไปได้นั้นลง แต่งานนี้มันทำให้ความเป็นไปได้ใหม่ๆ เกิดขึ้นได้จริง เพราะเราเอาข้อจำกัดนั้นออกไป และนโมก็บิลด์ทีมตั้งแต่วันแรกว่าเราทำงานนี้ด้วยจุดประสงค์ 3 ข้อ คือ

หนึ่ง – Co-creation งานนี้ไม่ได้อยากให้คุณมาถามๆๆ ครู พองานจบแล้วคุณก็ทิ้งครูไว้ แต่อยากให้ทุกคนไปพร้อมกัน เชื่อในศักยภาพของกันและกัน พัฒนา product ไปด้วยกัน

สอง – Impact งานนี้จะไม่ทำอะไรที่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่ทิ้ง target ไหนไว้ข้างหลัง ต้องทำให้มันเกิด impact ขึ้นให้ได้

สาม – เราจะไม่ทำอะไรที่เป็นการแก้ปัญหาแบบ one size fit all

อีกอย่างคือ นโมรู้สึกว่ามันเป็นคอมมูนิตี้แบบหนึ่ง จากแต่ก่อนที่เรามีแค่ครู แต่ตอนนี้เราจะเห็นคนที่มี passion ทางการศึกษามาอยู่ด้วยกัน เป็นข้อดีมากๆ

ความตั้งใจ ภาพที่อยากเห็น Inskru เป็นในอีก 3–5 ปี

(นิ่งคิด) ไม่มีเลย อยู่กับปัจจุบัน (ทำเสียงร้องไห้และหัวเราะในคราวเดียว) แต่ถ้าตอบแบบความตั้งใจรวมๆ นโมอยากเห็นระบบและวัฒนธรรมดีขึ้นจนทำให้ครูมีความสุข เด็กมีความสุข

นโมฝันอยากเห็นอาชีพครูเป็นอาชีพที่คนสบายใจจะเป็น คนเก่งมาเป็นครูได้ ใครๆ ก็อยากเป็นครู ถ้าเราไม่สร้างค่านิยมหรือระบบให้เป็นแบบนั้น มันจะไม่มีครูที่อยากเป็นครูจริงๆ เข้ามา ระบบก็ยิ่งถอยหลังไปเรื่อยๆ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่คิดตลอดเวลาว่า “ทำไงวะ?”

ส่วนนักเรียนมีความสุข คืออยากเห็นทุกห้องเรียนมีวัฒนธรรมใหม่ในการสอน ไม่มีการใช้อำนาจ ไม่มีการเรียนเพื่อท่องจำ เด็กก็จะอยู่ในห้องเรียนอย่างมีความสุขมากขึ้น

 *Pinterest เว็บไซต์ที่รวบรวมภาพ คลิปวิดีโอ กราฟิก และงานทางภาพอื่นๆ ที่เน้นความสวยงามของศิลปะและการออกแบบ เว็บไซต์ที่ถือเป็นแหล่งชุมนุมของนักออกแบบทั่วโลก แต่อันที่จริงก็เป็นเว็บไซต์ที่คนทั่วไปเข้าไปหาแรงบันดาลใจในงานออกแบบ ตัวเลขผู้เข้าใช้ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2019 อยู่ที่ 300 ล้านคน/เดือน หลายคนใช้คำว่า Pinterest ในความหมายเฉพาะ เช่น แต่งบ้านแบบ Pinterest, ทำงานอาร์ตแบบ Pinterest

Tags:

design thinkingกลุ่มพลเรียนInsKruชลิพา ดุลยากรระบบการศึกษา

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Voice of New Gen
    หนังสือ ‘WIZES’ เสกการท่องจำเป็นเข้าใจด้วย INFOGRAPHIC

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป
Life Long Learning
13 September 2019

ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • ทองคำ เจือไทย หญิงแกร่งวัย 67 จากเกษตรกรขึ้นต้นตาล-เคี่ยวตาล ชีวิตพลิกผันมาเป็นนักวิจัยชาวบ้าน เป็นหัวหน้าโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูปูแสมโดยโรงเรียนและชุมชนวัดศรีสุวรรณคงคาราม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม
  • เริ่มจากความสงสัยว่าทำไมอาชีพจับปูแสมถึงหายไปจากชุมชน สู่การลงมือทำวิจัย เป้าหมายหลักของโครงการไม่ใช่การเพิ่มจำนวนปู แต่เป็นประสบการณ์การทำงานกับคน ฝึกค้นให้เจอปัญหา ตั้งคำถาม และสร้างสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม
  • การทำวิจัยครั้งนี้ ช่วยคืนความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับคนในชุมชนโดยเฉพาะเด็กๆ แม้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างทางป้าจะท้อ เหนื่อย อยากล้มเลิกตลอดเวลา
  • ป้าทองคำ เป็นตัวอย่างของผู้สูงวัยที่ทำให้เห็นว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคในการเรียนรู้ ถึงแม้เป็นชาวบ้านก็ลุกขึ้นมาเป็นนักวิจัยและผู้นำชุมชนได้

เข็มนาฬิกาบอกเวลาตี 4 ทุกเช้าป้าทองคำจะต้องตื่นมาทำกับข้าว หุงหาอาหารเตรียมไว้เป็นมื้อเช้าสำหรับลูกๆ มือเป็นระวิงจนถึง 8 โมงจนส่งลูกๆ ไปโรงเรียนเรียบร้อย ก็ได้เวลาหยิบมีดพร้าเล่มยาวเดินเข้าสวนตาล เตรียมเนื้อตัวและใจให้พร้อมเผชิญกับความสูง 

‘ป้าทองคำ’ หรือ ทองคำ เจือไทย กับสามี เป็นชาวแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม ทั้งคู่มีอาชีพทำสวนตาล เก็บตาลลงมาเคี่ยว บรรจุลงปี๊บขายให้พ่อค้าในตลาด เป็นอาชีพหลักที่จุนเจือครอบครัว จนป้าและลุงส่งลูกเรียนจบทั้ง 4 คน

ป้าทองคำ – ทองคำ เจือไทย

ป้าเริ่มขึ้นตาลครั้งแรกหลังแต่งงานกับลุงตอน ป้ายังจำความรู้สึกนั้นได้ดี ตอนนั้นอายุแค่ 22 ปี

“ป้าร้องไห้ ต้องร้องไห้หลายหน กว่าจะขึ้นเป็น มันกลัวตก ขึ้นแล้วก็ลงอยู่อย่างนั้นหลายรอบ” ป้าทองคำบอก

“วันหนึ่งป้ากับลุง ต้องขึ้นตาลสองรอบ จะได้ประมาณสองปี๊บ เหนื่อย ไม่มีเวลาพัก ขึ้นตาลรอบแรกช่วงเช้า พอเคี่ยวเสร็จก็ประมาณเที่ยง จากนั้นก็ต้องหุงข้าวเตรียมไว้ตอนเย็น แล้วเดี๋ยวเย็นก็มาขึ้นต่อ” ป้าอยู่กับการทำตาลมาเกือบทั้งชีวิตจนปัจจุบันอายุ 67 ป้าตัดสินใจหยุดทำอาชีพนี้อย่างถาวรไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเพราะสุขภาพร่างกายไม่เอื้อ ทำให้งานหลักในชีวิตประจำวันของป้าเหลือแค่การเลี้ยงหลานและดูแลปากท้องคนในบ้านเท่านั้น

ย้อนไปสมัยยังโสด ป้าทองคำไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาปีนต้นตาลหรือเคี่ยวตาลขายมาก่อน ตอนเด็กๆ ป้าอาศัยอยู่กับแม่ที่เป็นแม่ค้ารับซื้อปูแสม ป้าเห็นแม่นำปูมาดองและส่งไปขายกรุงเทพฯ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป ชุมชนที่ป้าอาศัยอยู่ก็เปลี่ยนตาม นอกจากคนในรุ่นแม่แล้ว ป้าทองคำก็ไม่เห็นใครทำอาชีพจับปูแสมอีกเลย 

แต่ไม่รู้ว่าชะตาหรือฟ้าลิขิต เมื่อเวลาผ่าน ป้าทองคำจับพลัดจับผลูกลายเป็นนักวิจัยชาวบ้านโดยไม่ตั้งใจ และไม่น่าเชื่อว่างานวิจัยที่ป้าลงแรงศึกษานานถึง 3 ปี คลุกอยู่กับมันจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ…

“นักวิจัยชาวบ้านด้านปูแสม” น่าจะเป็นคำที่เหมาะกับป้าทองคำมากที่สุด

จากชาวสวนปีนต้นตาลกลายมาเป็นนักวิจัยชุมชนได้อย่างไร

เรื่องปูแสมไม่เคยอยู่ในหัวป้ามาก่อน ป้าไม่ได้คิดจะทำตรงนี้เลย เพราะทำตาลก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เรื่องมันเริ่มปี 2546 โรงเรียนวัดศรีสุวรรณคงคาราม โรงเรียนลูกสาว วันหนึ่งครูเขาเชิญป้าไปเป็นคณะกรรมการประธานศึกษา เพราะลูกเรียนดี นิสัยดี (ดูจากตรงนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ) ป้าได้เข้าไปเป็นกรรมการอาสา ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าครูเชิญป้าไปทำไม แต่ได้ยินว่ามีนโยบายให้โรงเรียนทั่วประเทศจัดทำหลักสูตรท้องถิ่น คงเป็นเหตุผลที่ครูเชิญป้าไปในฐานะเป็นผู้ปกครอง 

ครูบอกกำลังจะเริ่มทำหลักสูตรท้องถิ่น แต่ครูไม่มีความรู้ จึงเชิญพ่อแม่มาช่วยกัน ครูอธิบายว่าหลักสูตรท้องถิ่นคือการให้เด็กๆ กลับมาเรียนรู้อาชีพดั้งเดิมของบรรพบุรุษในชุมชนตัวเอง ครูจึงให้ผู้ปกครองทุกคนลองเสนออาชีพที่ตัวเองทำอยู่ขึ้นมา บางคนทำตาล บางคนก็เย็บผ้าขาย บางคนก็รับจ้าง 

ตอนนั้นป้านั่งฟัง ทุกอาชีพมันน้อยลงจริงด้วย เพราะคนเปลี่ยนอาชีพหันไปทำโรงงานกันหมดแล้ว แต่บางอาชีพที่ผู้ปกครองคนอื่นพูดมาก็ยังมีให้เห็นอยู่ในหมู่บ้าน

ป้าเลยเสนอ ‘อาชีพจับปูแสม’ เป็นอาชีพที่แม่ป้าเคยทำ เพราะอาชีพนี้มันหายไปจริงๆ ไม่มีคนในชุมชนทำอาชีพนี้เลย อีกอย่างป้ามองว่าอาชีพจับปูมันสามารถทำได้ทุกคนแม้กระทั่งเด็ก ครูจึงสนใจ

อีกอย่างถ้าอาชีพจับปูกลับคืนมา มันจะสร้างรายได้ให้คนในชุมชนได้ง่ายมาก ออกจับปูตอนหัวค่ำ พอเช้าก็ได้ตังค์แล้ว ทำให้คนไม่ยากจน ไม่ต้องรอพ่อค้ามาซื้อ เพราะมีคนซื้ออยู่ในหมู่บ้าน ถ้าขายไม่ได้ก็เอาไปทำอาหารกินเองในครอบครัว แถมตอนที่ออกไปจับปูก็สามารถจับกบไปด้วยได้ สร้างรายได้อีกทาง

แต่ในเมื่ออาชีพจับปูแสมมันหายไปแล้ว ป้าทำงานต่ออย่างไร

ตอนที่ป้าเสนออาชีพนี้ทุกคนในชุมชนก็ว่า “เสนอไปได้ยังไง” “อาชีพมันหมดแล้ว” และ “ไม่มีทางกลับมาหรอก” ทุกคนต่างค้าน มีแต่ครูเท่านั้นที่สนใจ เพราะมันท้าทาย แต่มันก็ไปสุดแค่นั้น ขนาดป้าเองที่เป็นคนเสนอก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ด้วยวิธีไหน ให้อาชีพนี้กลับมา มันตันไปหมด แต่โชคดีที่ได้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. เข้ามาช่วยตั้งคำถามและกระตุ้นว่าจะไปทางไหนต่อ (ขณะนี้ สกว. ได้เปลี่ยนเป็นสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ) 

ป้ามีวิธีการหรือขั้นตอนการทำวิจัยอย่างไร

ตอนนั้นป้าไม่รู้อะไรเลย รู้เรื่องแค่การจับปู การดองปู การขาย แต่ป้าไม่รู้ว่าปูมันอยู่อย่างไร มันเลี้ยงได้ไหม ไม่รู้จะไปถามใครเพราะอาชีพนี้ไม่มีใครทำแล้ว สกว. เขาเชิญคนจับปูแสมตัวจริงมาพูดคุยกันในเวที คนจับยืนยันว่าปูแสมเลี้ยงไม่ได้ เพราะว่ามันกินดิน กินใบไม้ ต้องอยู่กับน้ำสะอาด ต้องอยู่ในรูตามธรรมชาติ 

พอเจอข้อมูลแบบนี้ป้าก็ตันไปต่อไม่ถูก เหนื่อย ท้อ ยาก ทางครอบครัวก็ไม่เข้าใจ ตอนนั้นป้าเริ่มออกจากบ้านบ่อยเพราะต้องไปประชุม “ก็งานวิจัยมันทิ้งไม่ได้เนอะ (หัวเราะ)” ตอนนั้นป้าอยากเลิกทำมากๆ บอกครูว่า “ครูทำไปเถอะ ป้าไม่ไหวแล้ว” แต่ครูก็พยายามให้ป้าไปต่อ เพราะป้าเป็นเจ้าของเรื่อง ป้าก็ต้องไปต่อ

เราจึงมาตั้งโจทย์กันใหม่ ว่าเราต้องการอะไร คำตอบคือเราต้องการให้เด็กในหมู่บ้านรู้เรื่องปูแสมให้ได้ ป้าจึงตัดสินใจพาเด็กไปเรียนรู้กับคนจับปูแสมตัวจริง ไปดูซิว่า ปูมันอยู่ยังไง ปูมันกินอะไร ไปดูสภาพแวดล้อม เดินทางไปกับเขา ศึกษาชีวิตปู เอาให้ชัดไปเลย ในเมื่อปูแสมมันเลี้ยงเองไม่ได้ใช่ไหม แต่เรารู้สาเหตุแล้วว่าปูมันอยู่อย่างไร ปูมันกินอะไร ดังนั้นเราก็ต้องรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ปูมันกลับมา 

ซึ่งต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดมันคือเรื่องสิ่งแวดล้อม เราต้องไม่ทิ้งสารเคมีในหมู่บ้าน ที่ปูมันหายเพราะเกิดจากการขุดบ่อ โค่นต้นไม้ป่าชายเลน เอารถแม็คโครไปตัก รูปูพัง ปูก็จะหนีไปเรื่อยๆ โดนรุกพื้นที่ไปเรื่อยๆ 

แต่กว่างานวิจัยสำเร็จ คาดว่าน่าจะใช้เวลานาน ช่วงนั้นเจอกับความยากลำบากอะไรบ้าง

เช่น ตอนที่จะพาเด็กไปเรียนรู้เรื่องปู ต้องไปอยู่กับคนจับปู ซึ่งเวลาออกไปหาปูต้องออกไปกลางคืน กลับเข้ามาตอนเช้า เพราะตอนกลางวันปูจะอาศัยอยู่ในรู ตอนนั้นป้าก็กลัว ครูเขาก็กลัว กลายเป็นว่าเราก็ตันอีก สกว. ต้องเข้ามากระตุ้น เพื่อให้เราอย่ายอมแพ้และไปต่อ

เมื่อป้ารู้ที่มาที่ไปของอาชีพนี้แล้ว จะทำหลักสูตรท้องถิ่นขึ้นมาได้อย่างไร

ก็ต้องให้เด็กลงมือทำ ไม่ใช่ดูเฉยๆ หลังจากตกผลึกเรียบร้อย มันจึงเกิดเป็น โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูปูแสมโดยโรงเรียนและชุมชนวัดศรีสุวรรณคงคาราม ขึ้นมา เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นคนในชุมชน ทั้งครู ทั้งเด็ก ทั้งผู้ปกครอง และมีการกำหนดขอบเขตในการเริ่มทำวิจัยขึ้นมา 

ย้อนไปตอนนั้น ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร ผู้อำนวยการโรงเรียนจึงออกคำสั่งให้ขุดบ่อหลังโรงเรียน ทดลองเอาปูแสมมาเลี้ยง เพื่อทำพื้นที่ให้เด็กไปเรียนรู้ จะได้ไม่ต้องเดินทางไกล แต่มันก็มีอุปสรรคมากมาย เพราะผู้ปกครองบางคนก็ไม่เข้าใจ บอกว่า บ่อเป็นที่เพาะยุงบ้าง, กลัวเด็กตกบ่อตายบ้าง ป้าโดนกดดันทุกทาง จนรู้สึกว่า งานวิจัยมันโคตรยาก ทำไมเราต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย ต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าคนอื่นจะเข้าใจ

แต่ป้ากับครูพยายามพาเด็กๆ ลงไปพื้นที่ให้เห็นของจริงมากที่สุด ป้าจะให้เด็กๆ เตรียมกระดาษ ปากกา ดินสอ ลงไปสำรวจ โดยที่ไม่บอกว่าต้องทำอะไร ต้องเขียนอะไร จากนั้นเมื่อกลับมาครูจะทวนบทเรียนกับเด็ก ชวนกันถอดบทเรียนว่าเราเห็นปัญหาอะไร และจะแก้อย่างไร มันทำให้ป้าสนุกมากขึ้น 

อีกอย่างป้ามีโอกาสเข้าไปเวทีงานวิจัยใหญ่ๆ ไปศึกษาว่าคนอื่นเขาจัดการปัญหาในพื้นที่ของตัวเองอย่างไร ไปแลกเปลี่ยนความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม แล้วเอามาปรับใช้กับเรา

พอเรารู้ข้อมูลต่างๆ ป้าก็กลับมาจัดเวทีคืนข้อมูลให้ชาวบ้านชุมชนบ้าง เอาโครงการของเราที่ทำกับโรงเรียนมาเป็นตัวตั้ง จัดเวทีคืนข้อมูลทำให้ชาวบ้านรู้ถึงสาเหตุที่ปูหาย สาเหตุที่ทำให้อาชีพนี้หาย 

ชาวบ้านสะท้อนความคิดเห็นบอกป้าเป็นเสียงเดียวกันว่า “ใช่เลย ปูหนีออกไปไกลเรื่อยๆ เพราะการบุกรุกของคน” ปูแสมมันไม่ได้หายไปไหน แต่มันหนีไปไกล มันถอยห่างเราออกไป คนจับก็ต้องไปไกลกว่าจะถึง จนกลายเป็นอาชีพที่เลิกไป ถ้าจะให้กลับมา คนในชุมชนก็ต้องเตรียมพื้นที่ที่เหมาะสำหรับปู แล้วเขา(ปู)จะกลับมา

บทสรุปของโครงการนี้ ปูแสมกลับมาไหม แล้วเด็กๆ ได้เรียนรู้อะไรผ่านงานวิจัยของป้า

ไม่มีใครเชื่อว่าปูแสมจะกลับมา แต่หลังจากทำพื้นที่ที่เหมาะสมกับปู ไม่กี่เดือนชาวบ้านบอก มันเริ่มกลับมาแล้ว ตอนนั้นคนในชุมชนต่างฮือฮาที่เห็นรูปูอยู่ข้างบ้าน เวลานั้นไม่ใช่ปูแสมอย่างเดียวที่หายไป ปูเล็กปูน้อย ปลาตีน งูปลา ปลา ปูเปรี้ยว ทุกอย่างหายไปหมด เพราะว่าสารเคมีที่ใช้โรยบ่อกุ้ง รวมถึงการปล่อยน้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีออกมาจากฟาร์มกุ้งต่างๆ ที่ทำให้ปูตาย งานวิจัยนี้ช่วยสรุปว่า ชุมชนต้องหันมารณรงค์ไม่ให้ใช้สารเคมีได้แล้ว ไม่ให้ทำลายถิ่นที่ปูชอบอยู่ 

ส่วนเด็กๆ หลังจากที่เขาเข้าใจปัญหา รู้สาเหตุ รู้ว่าต้องรักษาสิ่งแวดล้อม เขาก็มีวิธีแก้เป็นของตัวเอง บางคนห้ามพ่อแม่ไม่ให้ทิ้งสารเคมี บางคนก็มาฟ้องครู บางคนเขียนรายงานส่งครูว่าวันนี้หนูบอกพ่อแม่ว่าอย่างนั้น อย่างนี้  

งานวิจัยเรื่องนี้มีวิธีการพาเด็กเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมแบบไม่สอนได้อย่างไร

เด็กๆ จะกลับมาหาความรู้ด้วยตัวเอง พอเด็กลงพื้นที่ไปจดบันทึก เขียน วาดภาพ เขาจะอธิบายได้หมด นำเสนอได้หมด กลายเป็นความสนุก การพาเด็กไปเจอของจริงคือเทคนิคในการทำให้เขาเคลื่อนงานไปโดยที่เราไม่ต้องสั่ง เด็กรู้เอง การลงพื้นที่ทำให้เขาอยากรู้อยากเห็น เขาจะรู้สึกอยากไป พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนก็กลับมาบอกว่า เด็กกลับบ้าน ถามเรื่องปู ถามเรื่องรูปู ปูอยู่ยังไง กินใบไม้อะไร 

มันทำให้ป้ารู้ว่า “อ๋อ ถ้าเราทำแบบนี้ นี่คือหลักสูตรท้องถิ่นที่เด็กรู้เอง” การที่เขากลับไปถามผู้ปกครองเอง ไปหาความรู้เอง แล้วก็ทำงานมาส่งครู เด็กเขียนรายงานเองได้ เขาออกไปหาคนที่เขาอยากถาม เขาวาดภาพส่ง มานำเสนอหน้าชั้น เขียนบทความเป็นเรื่องราว ครูเขาก็บอกว่าไม่น่าเชื่อเลย

แต่สำหรับป้าการที่เด็กมีความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมติดตัว นี่ไงหลักสูตรท้องถิ่นสำเร็จแล้ว

ตั้งแต่วันแรกที่ป้าบอกว่าเรื่องปูแสมไม่ได้อยู่ในหัวเลย จนวันที่ป้าเข้าสนามวิจัย เริ่มจะเป็นนักวิจัย ผ่านความท้อ ความยาก ผ่านแรงปะทะ ความกดดัน ทางตัน ทั้งหมดนี้มันให้อะไรกับป้าบ้าง

มันให้ประสบการณ์เยอะ เราต้องสู้ เคยถามตัวเองว่าเราต้องสู้เพื่ออะไร ตังค์ก็ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ มันไม่ใช่แค่เงิน ชีวิตคนไม่ใช่อยู่ด้วยการมีเงินอย่างเดียว หรือว่าการไปนั่งฟังพระเทศน์ มันอธิบายยาก การเสียสละไม่ใช่ไปเก็บขยะนะ 

ทุกวันนี้ป้าเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่ป้าทำคือการทำเพื่อบ้านเมืองตัวเอง ทำเพื่อชุมชน โดยที่เราไม่ต้องบอก เราไม่ต้องอธิบาย 

วันที่ป้าเห็นปูกลับมา ป้ารู้สึกยังไงบ้าง

รู้สึกว่าเราทำสำเร็จแล้ว แต่ตัวป้าก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องเห็นปูกลับมานะ เป้าหมายคือการให้เราเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม เขาไม่ได้บอก 1-2-3-4 ว่าเราต้องทำอะไร แต่เราเรียนรู้เอง เรียนรู้ตั้งแต่เราเริ่มออกจากบ้าน 

เช่น การที่ป้าไปนั่งอยู่ในเวทีนำเสนองานวิจัย ทำให้ป้าได้ไปเจอคน มันแปลกประหลาด มันไม่ใช่กลุ่มคนที่เคยเจอ ไม่ใช่กลุ่มชาวบ้าน มันไม่ใช่กลุ่มงานวัด งานบวช งานแต่ง ที่พูดเรื่องชีวิตในบ้าน แต่ดันพาพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ พาไปเข้าใจเรื่องใหม่ๆ แชร์ปัญหา แชร์วิธีแก้ ที่สำคัญคือการลงมือทำ ฟัง คิด วิเคราะห์ แล้วมันประจักษ์ด้วยตัวเราเอง ทุกอย่างต้องลงมือ แล้วมันเปลี่ยนชีวิต-เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมได้

จึงเป็นเหตุทำให้ป้าได้ทำงานต่อยอดโครงการ Active Citizen ด้วยใช่ไหมคะ

สำหรับโครงการ Active Citizen ป้าได้เข้าร่วมเพราะทาง สกว. ชักชวน เขารู้ว่าป้าทำงานตรงนี้ เข้าใจวิธีการทำวิจัย ทั้งที่เราก็แก่ป่านนี้ มันเป็นโครงการของเด็กวัยรุ่น ตอนแรกป้าก็งงจะให้ไปดูอะไร แต่ก็มองว่ามันเป็นโอกาสที่ดี ป้าก็ไป เพราะนิสัยอยากรู้อยากเห็นด้วย (หัวเราะ)

ใน Active Citizen หน้าที่ของป้าก็เริ่มตั้งแต่ดูโครงการของเด็กๆ ดูวัตถุประสงค์ ดูประโยชน์ที่จะได้รับ คอยช่วยลำดับภาพ คอยคอมเมนต์ เพราะว่าเราโดนมาเยอะเนอะ ถ้าใครไม่ได้ผ่านประสบการณ์มาก่อนจะยาก ป้าเหมือนเห็นภาพตัวเองตอนที่ทำวิจัย เวลาเขาตันไปต่อไม่ได้ ก็จะเข้าไปช่วย มองหาช่องและจังหวะ ไม่ซ้ำเติม

อยากให้คุณป้ายกตัวอย่าง อะไรที่เด็กๆ นำเสนอมาแล้วคุณป้ามีคอมเมนต์เพิ่มเติม

เช่น การตั้งหัวข้อโครงการ การจะทำโครงการอะไรต้องทำให้ชัด ถ้าตั้งชื่อโครงการยังไม่ชัดมันจะไปต่อไม่ได้ ป้าจะช่วยตั้งคำถามกับเด็กๆ กระตุ้นให้เขาคิดว่าเขาจะทำโครงการอะไรกันแน่ ลองเล่าให้ป้าฟังหน่อย เคยมีเด็กกลุ่มหนึ่งจะทำโครงการเรื่องยาสมุนไพรพื้นบ้านในการรักษา แต่งานที่เด็กๆ นำเสนอ มันทำยากเกินไปเมื่อเทียบกับข้อจำกัดและเวลา จะต้องไปทดลองรักษาโรคจริงๆ มันยากเกินและใช้เวลามาก ถ้าเปลี่ยนเป็นการกินสมุนไพรพื้นบ้านแทน มันน่าจะง่ายขึ้นและใช้เวลาเหมาะสม

ป้าต้องการแค่ให้เด็กอยากทำ ทำแล้วบอกได้ว่าสิ่งที่ตัวเองลงมือทำกับมือมันเกิดอะไรขึ้น และเขาได้เรียนรู้อะไร ใช้เปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างไร

กลับมาทำงานกับเด็กรุ่นใหม่ ๆ เป็นยังไงบ้างคะ

เด็กรุ่นใหม่ ไม่เหมือนเด็กเล็กๆ ในโรงเรียนที่ป้าเคยทำงานด้วย เด็กรุ่นใหม่เขาจะไม่มีเวลามาก แต่ใจเขายังใช้ได้อยู่ เด็กๆ เขามีพลังของการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว เพียงแต่มันขึ้นอยู่กับวิธีการที่ผู้ใหญ่หรือหน่วยงานต่างๆ จะให้เขาเดินอย่างไร

พอทำงานกับเด็ก ป้ามีวิธีการอย่างไร ที่ทำให้เด็กรู้สึกว่าเราไม่ไปสอนหรือสั่งเขา แต่เป็นการทำงานด้วยความเข้าใจ

เราทำงานกับเด็ก ก็ต้องทำตัวเป็นเด็ก ลงไปสนิทกับเขา ถ้าเราไม่สนิทกับเขา เรามีความต่างด้านอายุ เขาจะไม่ไว้วางใจ ไม่อยากพูดกับเรา ป้าจะใช้วิธีเข้าไปรู้เรื่องของพวกเขาให้เป็นอัตโนมัติ เมื่อเด็กๆ มานำเสนอโครงการ เวลากินข้าว นั่งเล่น เราก็เข้าไปคุยกับเขา เพื่อจะให้เขาผ่อนคลาย พอเขาวางใจเรา พอถึงเวลาเราต้องนำ เขาก็จะเปิดใจ เข้าไปเป็นเพื่อน หาจังหวะเอาจริงเอาจังในงาน เราต้องจับให้ได้ว่าตรงไหนคือจุดบกพร่องที่ต้องเติมเต็ม  

การทำงานครั้งนี้ป้าได้แลกเปลี่ยนอะไรกับเด็กรุ่นใหม่บ้าง

อาจจะไม่ได้แลกเปลี่ยนตรงๆ แต่ใช้วิธีแลกเปลี่ยนผ่านการตั้งคำถามกลับไป ป้ามองอีกมุมที่เด็กและพี่เลี้ยงมองไม่เห็น พอเห็นว่าจุดไหนที่ขาด เราก็ซัดเลย

ในฐานะที่ป้าอยู่กับคำว่าเรียนรู้มาตลอด เป็นทั้งนักวิจัย เป็นทั้ง Mentor ให้กับเด็กๆ สิ่งเหล่านี้ให้อะไรป้าบ้าง

ป้ามีมุมมองว่าทั้งหมดที่ผ่านมา ป้าเรียนรู้ไปเพียงขี้ปะติ๋วเดียว…มันยังมีเรื่องราวอีกเยอะที่เรายังไม่รู้ เราทำงานแบบคนตัวเล็ก เราไม่ได้ตัวใหญ่มาก แต่เราต้องพยายามในสิ่งที่เราทำอยู่ให้มากๆ เพราะในโลกมีเรื่องราวให้เรียนรู้อีกกว้าง

สิ่งที่ทำให้ป้าสนุกกับการใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้คืออะไร

เพราะป้าได้เรียนไปเรื่อยๆ ล่ะมั้ง ป้าคิดว่าสิ่งที่ป้าออกจากบ้านไปทำ คือ การเรียน

มันได้มองในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น มองอีกด้านหนึ่งของชีวิตคน มันไม่น่าเบื่อเลย เราเห็นความรู้ที่เราเคยรู้จากคนโบราณเอามาปรับใช้กับยุคสมัย ถ้าเราอยู่กับที่ชีวิตเราจะดักดาน ไม่มีรสชาติ ป้าบอกกับคนที่บ้านตลอดเลย “ฉันจะไป ห้ามฉันไม่ได้หรอก (หัวเราะ)” 

คนบอกว่า โอ้ย อายุป่านนี้ทำไมไม่อยู่บ้าน “ก็เนี่ย…ชีวิตฉัน พอสาวๆ ชีวิตเป็นของลูกและผัว ต้องทำงานเพื่อลูก ต้องขึ้นตาล แต่พอตอนแก่ ฉันเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองแล้ว ขอทำอะไรที่อยากทำบ้าง”

ทุกวันนี้มีคนสูงวัยจำนวนไม่น้อย ที่คิดว่าตัวเองเป็นภาระ ไม่มีคุณค่า แต่ฟังจากเรื่องที่ป้าเล่า ป้าไม่น่าจะคิดแบบนั้น?

ป้าไม่ได้รู้สึกมานานแล้วว่าเราเป็นภาระของใคร เพราะเราไม่เคยทำตัวให้เป็นแบบนั้น เราอยากทำอะไรก็ทำด้วยตัวเองหมด ป้าคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตได้คุ้มแล้ว ไม่ได้ทำตัวเองอย่างเดียว ทำเพื่อลูก ครอบครัว เราเต็มที่หมด อาจจะเป็นที่นิสัยและความคิดด้วยที่ทำให้เราเป็นคนแบบนี้ เราไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะเรา 

จะสื่อสารอะไรไปถึงเพื่อนๆ สูงวัย ที่อาจจะกำลังเฉาๆ หรือมองว่าตัวเองแก่แล้ว

เรื่องแบบนี้มันเป็นที่ความคิดของแต่ละคน ถ้าเขาออกไปพบปะ แลกเปลี่ยน ได้ไปคุยกับคน ออกไปเห็นโลก อาจจะเปลี่ยนความคิดของเขาก็ได้ ป้าโชคดีที่ได้ออกไปทำเพราะมีโครงการให้ทำ มันมอบอีกชีวิตหนึ่งให้เราเลย มันคือชีวิตคนละม้วนกับที่บ้านเลย

ป้าทองคำตอนอยู่บ้าน กับ ป้าทองคำตอนอยู่ข้างนอก ต่างกันอย่างไรบ้าง

ตอนอยู่บ้านทำทุกอย่าง หุงข้าว กวาดบ้าน ล้างถ้วยชาม เราทำคนเดียว พอออกไปข้างนอกเราไปได้นั่งสบายไปคอมเมนต์คนอื่นด้วย (หัวเราะ) ป้าเป็นคนทำงานบ้านอยู่แล้วนะ แต่การออกไปข้างนอกเราก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง อยู่บ้านเราเจอแค่ลูก อยู่ข้างนอกเราต้องไปคอมเมนต์ลูกคนอื่น จะทำอย่างไร ใช้คำพูดแบบไหน เพราะเขาก็ไม่ใช่ลูกเรา ดังนั้นเราต้องคิด วิเคราะห์ เพราะเด็กที่เราทำงานด้วยเขาก็มีความหลากหลาย เป็นโอกาสและกำไรชีวิตของป้าที่ได้รู้จักคน

ถ้าวันนั้นป้าทองคำไม่ได้เป็นนักวิจัย ไม่ได้เข้าโครงการ Active Citizen มองภาพตัวเองเป็นอย่างไร

ก็คงเป็นคนแก่ๆ อยู่กับบ้าน (หัวเราะ) คงไม่ได้ออกไปไหน ไปตลาด งานแต่ง งานบวช อย่างดีก็คงไปวัดเหมือนคนอื่น หาอะไรทำไปเรื่อย สุดท้ายคงจบที่การไปนั่งสมาธิ ออกกำลังกาย เพราะเราคงอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ล่ะมั้ง

Tags:

นักวิจัยทองคำ เจือไทยactive citizenสิ่งแวดล้อม

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Creative learningVoice of New Gen
    ‘นราทิป ชูช่วง’ กลุ่มเยาวชนคนชายเล อาสาแปลงร่างเศษขยะเป็นประติมากรรมชายหาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Everyone can be an Educator
    ‘เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง’ สร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้โอกาสเติบโต : ราฎา กรมเมือง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningVoice of New Gen
    กีฬาเยาวชน ‘เบ๊อะบละตู’ : สนามนี้ไม่ได้มีไว้ชนะ แต่ชวนปกาเกอะญอรุ่นใหม่รักษาสิทธิดูแลป่า

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New GenSocial Issues
    บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ

    เรื่อง The Potential

  • Life Long Learning
    การศึกษา ‘ป้า’ ออกแบบเองได้: ทองคำ เจือไทย นักวิจัยปูแสมที่เสกท้องร่องเป็นห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’
Learning Theory
12 September 2019

วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ครบหนึ่งร้อยปีของการก่อตั้งโรงเรียนวอลดอร์ฟ – แนวทางการศึกษาที่เน้นความเป็นมนุษย์ โดย รูดอร์ฟ สไตเนอร์
  • 1 ศตวรรษผ่านไป ปัจจุบันมีโรงเรียนประถมและมัธยมสไตล์วอลดอร์ฟราว 1,100 แห่ง และโรงเรียนอนุบาลราว 2,000 แห่งทั่วโลก
  • แนวทางการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้อัตตามนุษย์ คำถามสำคัญวันนี้และอยากชวนคิดต่อว่า “วอลดอร์ฟยังทันสมัยอยู่ไหม”

7 กันยายน 2562 – วันนี้เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้วคือวันก่อตั้งโรงเรียนวอลดอร์ฟ -การศึกษามนุษยปรัชญา- ครั้งแรกของโลกที่เมืองสตุตการ์ต ประเทศเยอรมัน ไม่ใช่แค่อนุบาลบ้านรักที่จัดงานเฉลิมฉลองอย่างน่ารักเป็นกันเอง แต่โรงเรียนวอลดอร์ฟทั่วโลกต่างกำลังร่วมกันฉลองการถือกำเนิดแนวทางการศึกษาที่เน้นความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน

ภายในงานประกอบไปด้วยร้านรวงที่มากางโต๊ะขายของ ทั้งขนม สีเทียน (สีเทียนแท่งสีเหลี่ยม ลักษณะเฉพาะที่พบได้ในการจัดการศึกษาแนววอลดอร์ฟ) อาหารการกินที่ทุกคนพร้อมใจกันนำภาชนะจากบ้านมาเองเพื่อทำให้ ‘ขยะเป็นศูนย์’ ตามคอนเซ็ปต์ของโรงเรียนในตอนนี้

ทั้งมีวงคุย 2 วง วงแรกนำคุยโดย คุณดำรงค์ โพธิ์เตียน ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยปรัชญา ว่าด้วยประวัติศาสตร์การก่อตั้งโรงเรียนวอลดอร์ฟครั้งแรก

และวงที่ 2 ว่าด้วยปรัชญาจัดการศึกษาวอลดอร์ฟ ว่าให้อะไรกับผู้เรียน ผ่านมาหนึ่งร้อยปี การศึกษาแนวมนุษยปรัชญายังทันสมัยและจำเป็นอยู่ไหม วงนี้ชวนคุยโดย ครูอุ้ย-อภิสิรี จรัลชวนะเพท ผู้ก่อตั้งอนุบาลบ้านรัก และวิทยากร 3 ท่าน ได้แก่

ครูมอส-อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี เจ้าของ ‘สตูดิโอศิลปะจากด้านใน’ (๗ Arts Inner Place)

หมอปอง-นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล แพทย์ธรรมชาติบำบัดตามแนวมนุษยปรัชญา

และ หมอชาย-นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท ดุษฎีบัณฑิตจากฮาร์วาร์ดที่ศึกษามานุษยวิทยา และบรรณาธิการ ‘สมุดปกขาวอากาศสะอาด’

หมอชาย-นพ.วิรุฬ ลิ้มสวาท, หมอปอง-นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล, ครูมอส-อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

โรงเรียนวอลดอร์ฟที่เริ่มต้นจากความคิดผู้จัดการโรงงานยาสูบช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

คุณดำรงค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยปรัชญาและผู้ที่ได้รับการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ เริ่มต้นเล่าที่มาของการก่อตั้งโรงเรียนวอลดอร์ฟแห่งแรก ณ เมืองสตุตการ์ต ประเทศเยอรมนี วันที่ 7 กันยายน 1919 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ว่า มี 2 ข้อเท็จจริงที่ต้องเล่าไปทีละขั้น คือ…

หนึ่ง นี่คือการจัดการศึกษาด้วยแนวคิดมนุษยปรัชญาโดย รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) ซึ่งสมัยนั้นถือว่าการจัดการศึกษาด้วยแนวคิดนี้เป็นเรื่องที่ใหม่มาก (อันที่จริงการจัดการศึกษาระบบโรงเรียนทั้งหลายก็เป็นเรื่องใหม่ทั้งหมด เช่น การเกิดขึ้นของโรงเรียนอนุบาลหรือ kindergarten ก็เพิ่งเกิดขึ้นในปี 1837 (ไม่เกิน 200 ปี) ที่ประเทศเยอรมนี ใหม่ขนาดที่ว่าสมัยนั้นไม่มีครูคนใดที่จัดการศึกษาแนวนี้ได้ เมื่อตั้งใจจะเปิดโรงเรียน ครูจำนวน 12 คนต้องผ่านการอบรมอย่างเข้มงวด – เข้มข้น และด้วยเงื่อนเวลาที่งวดมากๆ เพียง 14 วันก่อนเปิดเรียน อย่างที่สไตเนอร์เรียกว่า นี่เป็นการเรียนรู้ไปพร้อมกันระหว่างครูและเด็กเลยทีเดียว

สอง การก่อตั้งโรงเรียนที่ชวนสไตเนอร์มาเป็นผู้ออกแบบการศึกษา ริเริ่มโดย เอมิล โมลท์ (Emil Molt) ผู้จัดการโรงงานยาสูบที่เมืองสตุตการ์ต เยอรมนี ครูดำรงค์เล่าประวัติอย่างคร่าว (แต่ก็ยาวพอจะเข้าใจประวัติศาสตร์เยอรมนีสมัยนั้นเลยทีเดียว!) เพราะในสมัยนั้นเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีและประเทศในยุโรปเต็มไปด้วยโรงเรียนอุตสาหกรรม คนงานในโรงงานยาสูบมีจำนวนมากขึ้น โมลท์ต้องการให้การศึกษากับคนงาน ทั้งวิชา โดยช่วงแรกถึงขนาดให้คนงานเรียนตั้งแต่ ประวัติศาสตร์ การผลิตกระดาษ การเก็บเกี่ยวใบยาสูบ รวมถึงวรรณกรรม ต่อมาค่อยเปลี่ยนไปเรียนหลังเลิกงาน แต่คนงานบอกว่าวิชาพวกนี้มันยากเกินไปและเริ่มมาเข้าเรียนน้อยลงเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม โมลท์เห็นว่าการศึกษาสำคัญ และจะสำคัญมากกว่าถ้ามอบมันแก่ลูกหลานของคนงานที่เขาดูแลอยู่

รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) และ เอมิล โมลท์ (Emil Molt) ตามลำดับ

โมลท์เจอกับสไตเนอร์ครั้งแรกในงานวิชาการปี 1904 เขาตั้งใจเลยว่า ความรู้ทางมนุษยปรัชญาที่สไตเนอร์มีนี่แหละที่ควรจะนำมาใช้จัดการศึกษาจริง คุณดำรงค์เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์เล็กๆ ว่า แม้วันนี้จะถือเป็นวัน ‘เปิดเทอมวันแรก’ แต่เด็กๆ ได้เข้าห้องเรียนจริงๆ ก็เข้าวันที่ 8 กันยายน 1919 เนื่องจากว่าเฟอร์นิเจอร์ได้มาส่งในวันนั้น จุดนี้ทำเอาคนในห้องกระจกสีชมพูมีเสียงหัวเราะตามเบาๆ

ในช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 มีโรงเรียนวอลดอร์ฟจำนวน 32 แห่งในเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ฮอลแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน ฮังการี ออสเตรเลีย และ สหรัฐอเมริกา แต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนเหล่านี้บ้างถูกสั่งปิดหรือถูกทำลายด้วยเหตุผลการสงคราม อย่างไรก็ตาม หลังจบสงครามคือราวปี 1945-1989 โรงเรียนวอลดอร์ฟถูกก่อตั้งเพิ่มขึ้นและกระจายไปทั่วโลกมากขึ้น ปัจจุบันมีโรงเรียนประถมและมัธยมสไตล์วอลดอร์ฟราว 1,100 แห่ง และโรงเรียนอนุบาลราว 2,000 แห่งทั่วโลก

ก่อนจบวง ครูดำรงค์ตั้งคำถามให้แก่วิทยากรทั้ง 3 ท่านและผู้ปกครองในช่วงถัดไปว่า ผ่านมาแล้ว 100 ปี วอลดอร์ฟยังจำเป็นอยู่ไหม ทันสมัยอยู่ไหม และปัจจุบันอะไรที่จำเป็นต่อการจัดการศึกษาในรูปแบบนี้?

ดำรงค์ โพธิ์เตียน

การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการเก็บ ‘จินตภาพ’ มากกว่า ‘ความทรงจำ’

พักเบรกสิบห้านาทีเพื่อให้ผู้ฟังพักไปชมตลาดและเติมของว่างใส่ท้องแล้วค่อยกลับมาต่อที่วงคุย 3 หนุ่ม หมอชาย ดุษฎีบัณฑิตจากฮาร์วาร์ดที่ศึกษามานุษยวิทยา หมอปอง-แพทย์ธรรมชาติบำบัดตามแนวมนุษยปรัชญา และ ครูมอส-เจ้าของ ‘สตูดิโอศิลปะจากด้านใน’ (๗ Arts Inner Place)

หมอชาย เป็นผู้กล่าวเปิดวงโดยอธิบายก่อนว่าจุดเริ่มต้นที่สนใจการศึกษาวอลดอร์ฟก็เพราะลูกๆ ของคุณหมอเข้าเรียนด้วยแนวคิดนี้ และเพราะทำงานกับผู้ป่วย ต้องเห็นปัญหาสังคมที่ตามมากับชีวิตคนไข้ หมอชายตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาจนมาเจอกับแนวคิดเรื่อง Social Three Folding ของสไตเนอร์ที่ว่าด้วยปัญหาสังคม 3 มิติและเรื่องสิทธิเสรีภาพ
ส่วนคำตอบของคำถามที่ว่า การศึกษาวอลดอร์ฟยังทันสมัยอยู่ไหม? หมอชายยกบทเรียนที่สไตเนอร์ใช้อบรมครูรุ่นแรกในคลาสว่าด้วยภารกิจพื้นฐานหนึ่งของการศึกษาคือการเอาชนะอัตตา หรือ egoism

“การที่สไตเนอร์ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้อัตตามนุษย์ มันพอจะทำให้คิดต่อได้นะครับว่าวอลดอร์ฟยังทันสมัยอยู่ไหม?” หมอชายตั้งคำถามปลายเปิดก่อนอธิบายต่อว่า อีโก้ที่ว่าไม่ใช่การสร้างให้มีเพื่อโอ้อวดหรือให้ความรู้สึกน่าหมั่นไส้ แต่เป็นการศึกษาที่ทำให้เข้าใจอัตตา ความมีตัวตนของตัวเอง ก่อนที่จะเรียนรู้เพื่อจัดการกับมัน โดยเฉพาะถ้ามองไปที่จุดมุ่งหมายของการศึกษาที่เน้นให้เด็กมีความเข้าอกเข้าใจ (empathy) ซึ่งเป็นทักษะที่ถูกพูดกันบ่อยๆ ในโลกยุค disruption และเป็นหนึ่งในทักษะศตวรรษที่ 21 แล้ว วอลดอร์ฟยิ่งน่าจะถูกนำไปปรับใช้ในการศึกษากระแสหลัก

“แล้วเราจะ empathy ได้อย่างไรถ้าไม่เข้าใจตัวเอง?” หมอชายตั้งคำถามชวนคิดให้หมอปองและครูมอสขยายประเด็นต่อ

ขณะที่ หมอปอง กล่าวถึงการศึกษาแนวมานุษยปรัชญาที่เชื่อมกับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ไว้อย่างน่าสนใจว่า แต่ก่อนในวงการศึกษาและแพทย์บอกว่าการเรียนรู้ของมนุษย์มีศูนย์กลางอยู่ที่สมองและ DNA ฉะนั้นการจัดการศึกษาจึงเน้นไปที่การฝึกคิดและท่องจำองค์ความรู้ แต่ปัจจุบันวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยอมรับว่า การเรียนรู้ของเราไม่ได้อยู่แค่สมองและ DNA แต่อยู่ในชีวนิเวศจุลชีพ (microbiome) อย่างมีนัยสำคัญ

“การเรียนรู้ของเราไม่ได้จำกัดอยู่แค่สมองอีกต่อไป แต่อยู่ภายในร่างกาย ลำไส้ จิตใจ ทุกอย่างเชื่อมกันหมด ”

หมอปองกล่าวและอธิบายว่า การจัดการศึกษาจึงไม่ใช่แค่การท่องจำ แต่คือการฝึกปฏิบัติและพัฒนา senses ต่างๆ ของร่างกายให้ทรงพลังยิ่งขึ้น

ต่อมาที่ประเด็น การศึกษาวอลดอร์ฟยังทันสมัยอยู่ไหม หมอปองยกตัวอย่างดีเบต AI ใน World AI Conference ที่เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่าง แจ็ค หม่า ผู้ทรงอิทธิพลในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และ อีลอน มัสก์ ผู้สร้างนวัตกรรมระดับโลก แม้ทั้งคู่จะแสดงจุดยืนที่ต่างกัน แต่มีประเด็นร่วมที่น่าสนใจและหมอปองหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นคือ…

มนุษย์จะเอาชนะ AI ได้หรือไม่นั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าการประมวลผลเกิดขึ้นจาก ‘ความจำ’ (memory) กล่าวคือ ระบบปฏิบัติการจะจำความเป็นไปได้ที่เกิดขึ้นเป็นพันๆ รูปแบบแล้วประเมินผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น หากระบบปฏิบัติการนั้นถูกเซ็ตขึ้นมาให้เป็นอัจฉริยะการเล่นหมากรุก มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะไม่มีวันชนะเจ้า AI ตัวนี้ มนุษย์เอาตัวรอดได้ทุกวันนี้ก็เพราะ ‘ความจำ’ เช่นกัน สมองของเราจะประมวลและจำลองภาพอย่าง before & after -เพราะเราเคยทำสิ่งนี้ ผลเลยเกิดแบบนี้ ทำให้เราคาดการณ์ได้ว่าต่อไปเราจะทำหรือไม่ทำพฤติกรรมนั้น- เมื่อรวมความทรงจำมากๆ เข้า เราจะมีชุดข้อมูล (data set) บางอย่างประกอบการพิจารณาตัดสินใจ

นี่คือสิ่งที่เหมือนและถ้าแข่งกันเรื่องความจำ ให้ตายอย่างไร AI ก็จะถูกพัฒนาแซงความสามารถของมนุษย์ แต่สิ่งที่ AI ยังทำไม่ได้ในเร็ววัน คือ ‘จินตภาพ’

“การศึกษาของเรามาแบบท่องจำ นั่นคือการสร้าง data set ถ้าเป็นแบบนี้เราก็ไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์ แต่สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างคือเรามีการคิดแบบ ‘จินตนาการ’ เพื่อสร้างไอเดียใหม่ๆ”

ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องทำให้เกิดในระบบการศึกษา นอกจากนี้ยังเป็นเรื่อง will หรือ ความมุ่งมั่น การลงมือทำ ที่ทำให้เราสร้างตัวตนของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น

ขณะที่ ครูมอส ต่อประเด็นเรื่อง ‘จินตนาการ’ ว่า การศึกษาที่ควรเป็น โดยเฉพาะในโรงเรียนอนุบาลคือไม่ใช่แค่ให้เด็กมี ‘ความจำ’ ในฐานะ memory แต่ต้องทำให้มี imaginary หรือ จินตภาพ

อธิบายก่อนว่าหนึ่งในการศึกษาวอลดอร์ฟคือการใช้ศิลปะเป็นฐานการเรียนรู้ เด็กเล็กอย่างน้อย 0-7 ปีจะไม่ได้รับสื่อ เช่น สื่อจากโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และจะไม่ได้ฝึกท่องหนังสือในช่วงวัยนี้เลย ที่ไม่ให้รับสื่อก็เพราะไม่ต้องการให้เด็กได้รับ ‘สารที่ถูกตีความแล้ว’ จากสังคม เช่น ตอนเด็กๆ เรามีภาพวาดไม้ตายและเป็นตำนาน คือ ภาพบ้านริมทะเล ที่มีภูเขา ดวงอาทิตย์มีริ้วแฉก และนกเป็นตัวเอ็มมีขีดตรงปาก คำถามคือ จินตนาการภาพแบบนี้ มาจากจินตภาพของเรา หรือรับมาจากใครอีกทอดหนึ่ง หรือ ทำไมเจ้าหญิงของเราจึงเป็นหญิงผิวขาวผมบลอนด์ มาจากภาพยนตร์ หนังสือการ์ตูน หรือมาจากอะไร?

ครูมอส เล่าว่าในการทำงานศิลปะกับเด็กๆ ถ้าเราอยู่กับเด็กเล็กและปล่อยให้เขาวาดรูป เราจะอดทึ่งไม่ได้กับจินตภาพในหัวของเด็กๆ เป็นเส้นวาดที่ไม่ได้พบเห็นง่ายๆ เป็นความสร้างสรรค์ที่ไม่รวม ‘ความคิด’ ซึ่งมาจากการเก็บสะสมความทรงจำที่อาจสร้างกรอบคิดให้กับเด็กๆ (เช่น ตอนนี้เราคงไม่อาจวาดดวงอาทิตย์โดยไม่มีริ้วแฉกได้แล้ว ไม่แน่ใจว่าได้ ‘ความคิด’ เรื่องดวงอาทิตย์มาจากการ์ตูนเรื่องเทเลทับบี้หรือเปล่า) ซึ่งจินตภาพที่น่าทึ่งเหล่านี้ แม้จะค่อยๆ หายไปตาม ‘ความคิด’ หรือความทรงจำใหม่ที่ได้จากสังคม แต่อิสรภาพจากการถูกปล่อยให้ได้มีจินตภาพเช่นนี้ในวัยเด็ก จะเป็นดั่งของขวัญที่ติดตัวพวกเขาไปตลอดชีวิต

สุดท้ายนี้ ตกลงการศึกษาวอลดอร์ฟยังทันสมัยไหม?

ถ้าการศึกษาคือการที่ทำให้มนุษยชาติแก้ปัญหาใหม่ๆ ได้ การทำให้คนรุ่นใหม่มีจินตนาการ มีแรงบันดาลใจที่จะแก้ปัญหาใหม่ๆ ร่วมกัน การบ่มเพาะจินตนาการ ความสร้างสรรค์ และสำนึกร่วมในการสร้างสังคม ก็ถือว่ายังจำเป็น เพราะเรามีคุณค่าต่างจาก AI ที่ใช้เพียงข้อมูลในการแก้ปัญหา

คงไม่ใช่แค่ทำให้เราชนะ AI ได้ แต่มันคือการเรียนรู้ที่ทำงานในระดับ ‘ชีวิต’

Tags:

งานเสวนาอภิสิรี จรัลชวนะเพทการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)พ่อแม่ปฐมวัย

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Creative learning
    ‘บ้านรัก’ สู่บ้านแห่งการเรียนรู้ ชวนพ่อแม่เป็นครู เรียนผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว : ครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท อนุบาลบ้านรัก

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhood
    Rhythm Repetition Reverence: 3R ที่ผู้ใหญ่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เกิดในชีวิตเด็กอนุบาล

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodLearning Theory
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhoodCharacter building
    อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

GIRL’S SECRETS: เปลี่ยนความลับเป็นนวัตกรรม เพราะประจำเดือนไม่ใช่เรื่องต้องปิด
Voice of New Gen
12 September 2019

GIRL’S SECRETS: เปลี่ยนความลับเป็นนวัตกรรม เพราะประจำเดือนไม่ใช่เรื่องต้องปิด

เรื่อง

  • ทั้งที่ประจำเดือนอยู่คู่กับมนุษยชาติมาตั้งแต่ต้น แต่ยังไม่เคยมีสื่อการสอนที่รวบรวมข้อมูลและสิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับเมนส์ไว้ในที่เดียวกัน เนื้อหาในโปรแกรม Girl’s Secrets ทำให้ผู้ใช้ทราบถึงลักษณะการเป็นประจำเดือน การดูแลตัวเอง วิธีบรรเทาอาการปวดท้องโดยไม่ใช้ยา ไปจนถึงวิธีการปฏิบัติตัวก่อนประจำเดือนหมด 
  • ด้วยความแปลกใหม่ ทำให้ผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลพิเศษ Smart Education ของยูนิเซฟ พัฒนาโปรแกรมโดยน้องๆ โรงเรียนระยองวิทยาคม จังหวัดระยอง 
เรื่อง: กิติคุณ คัมภิรานนท์, มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

เมื่อมนุษย์เมนส์ปรากฏกาย โลกของคุณผู้ชายก็ถูกปกคลุมไปด้วยความลับ เพราะอารมณ์เหวี่ยงวีนจากฮอร์โมนของคุณผู้หญิงจะดึงเอาเรื่องราวสารพันมาโถมใส่อย่างไม่มีเหตุผล และทิ้งคุณไว้กับความงุนงงว่าเธอหงุดหงิดจากเรื่องอะไร…

ประจำเดือนกับคุณผู้หญิงคือธรรมชาติทางเพศที่แสนสามัญธรรมดา แต่ความที่จารีตบ้านเราบัญญัติว่า นี่คือเรื่องลับ! ทำให้การศึกษาเพื่อทำความเข้าใจไม่เปิดกว้างนัก คุณผู้หญิงจำนวนไม่น้อยจึงรับมือกับเรื่องลับๆ นี้ไม่อยู่มือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงในช่วงเปลี่ยนผ่านของวัย จากวัยรุ่นสู่วัยสาว และจากวัยสาวสู่วัยทอง

ถ้าความลับของเรื่องลับมันทำให้เกิดปัญหา ถ้าอย่างนั้นก็เปิดความลับให้เป็นความรู้เลยไม่ดีหรือ?

โปรแกรม Girl’s Secrets

Girl’s Secrets โปรแกรมสื่อการเรียนรู้เรื่องประจำเดือน จึงเกิดขึ้นจากความคิดและฝีมือของน้องๆ โรงเรียนระยองวิทยาคม จังหวัดระยอง เพื่อความรู้เท่าทันตัวเองของคุณผู้หญิง และเพื่อโลกอันสงบสุขของคุณผู้ชาย

จับปัญหามาทำโปรเจ็คต์

นวัตกรหลายทีมมักเลือกหัวข้อทำโปรเจ็คต์จากปัญหาที่อยู่ใกล้ตัว ซึ่ง นุ่น-วจิรัชญา เบญญากุล, ไอซ์-ฉัตราพร หัสคุณไพศาล, และ ปอ-สุทธิพงษ์ ศิริรักษ์ ก็เป็นเช่นนั้น ต่างเพียงหัวข้อโปรเจ็คต์ของทั้งสามได้แรงบันดาลใจมาจากปัญหาที่อยู่ใกล้ตัวพวกเขาชนิดถ้าเป็นงูก็โดนฉกตายไปแล้ว

ปอ-สุทธิพงษ์ ศิริรักษ์, นุ่น-วจิรัชญา เบญญากุล และ ไอซ์-ฉัตราพร หัสคุณไพศาล

“ตอนนั้นหนู ปอ นุ่น กำลังคิดหัวข้อโปรเจ็คต์ แต่คิดไม่ออก พอดีหนูกับนุ่นปวดท้องประจำเดือน หงุดหงิดก็โวยวายเหวี่ยงใส่ปอ” ไอซ์เปิดบทสนทนาอย่างร่าเริง

ถ้าเป็นคนอื่น เหวี่ยงใส่เพื่อนเสร็จแล้วก็คงตั้งหน้าตั้งตาหาหัวข้อต่อไป แต่เผอิญว่าไอซ์กับนุ่นเกิดแรงบันดาลใจฉับพลันเรื่องประจำเดือน จึงลองไปค้นข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ก่อนจะพบว่า…

“ข้อมูลมีเยอะมาก แต่บางอย่างเราไม่เคยรู้ เลยมาถามเพื่อนว่าสนใจทำแอพฯ สื่อการเรียนรู้เรื่องนี้ไหม ยังไม่มีใครเคยทำ น่าจะเป็นประโยชน์” ไอซ์เล่าต่อ

สองสาวจึงใช้อภิสิทธิ์ของผู้มีประจำเดือน ชวนแกมบังคับให้หนุ่มปอทำโปรเจ็คต์นี้ด้วยกัน

“ตอนแรกก็ช็อกๆ เอาจริงเหรอ? (หัวเราะ) ผมไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน และเอาจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่ยาก แต่พอถามครู ครูบอกน่าสนใจดี เพื่อนก็สนใจด้วย หนึ่งเสียงสู้สองเสียงไม่ได้อยู่แล้ว” ปอเล่าไปหัวเราะไป 

เมื่อหัวข้อมา หน้าที่ก็เกิด โดยไอซ์กับนุ่นเป็นคนหาข้อมูลจากหนังสือ อินเทอร์เน็ต และตรวจสอบความถูกต้องจากคุณแม่ของไอซ์ที่เป็นพยาบาล หลังจากนั้นส่งให้ปอเขียนโค้ด ส่วนไอซ์กับนุ่นทำกราฟิก จน Girl’s Secrets เวอร์ชั่นแรกสำเร็จ ได้รางวัลชมเชยในหมวดสื่อการเรียนรู้จากเวที การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (National Software Contest) หรือเวที NSC

“พอได้ข้อมูลเราก็คิดว่าแต่ละหน้าของแอพฯ ควรเป็นแบบไหน แล้วทำเป็นแอนิเมชั่นเพราะพวกหนูไม่ชอบอ่านตัวหนังสือเยอะๆ (ยิ้ม) หนูกับไอซ์ชอบเล่นเกมแต่งตัวอยู่แล้ว ก็สรรหามาประยุกต์ บางอย่างก็ได้มาจากเกมแต่งตัว” นุ่นอธิบายแนวคิดของทีม

ผลงานชิ้นเอก ของต้องแปลก! คนต้องอึด!

Girl’s Secrets เวอร์ชั่นแรกแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ช่วงวัย คือ วัยรุ่น (ก่อน/เริ่มมีประจำเดือน) วัยปกติ (มีประจำเดือนแล้ว) และวัยสูงอายุ (หมดประจำเดือน) โดยทีมได้ออกแบบเนื้อหาให้ผู้ใช้ได้ทราบถึงลักษณะการเป็นประจำเดือน การดูแลตัวเอง วิธีบรรเทาอาการปวดท้องโดยไม่ใช้ยา ไปจนถึงวิธีการปฏิบัติตัวก่อนประจำเดือนหมด ซึ่งเนื้อหาเหล่านี้เองที่ทำให้ผลงานชิ้นนี้ได้รับรางวัลพิเศษ Smart Education ของยูนิเซฟ 

“หนูว่าเราได้รางวัลเพราะมันแปลก (ยิ้ม) ยังไม่เคยมีใครทำ และพอทำออกมาแล้วมันเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมาก ยูนิเซฟก็ติดต่อมาให้เราไปนำเสนอผลงานให้คนทำงานยูนิเซฟที่เป็นต่างชาติฟัง ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ฝรั่งนั่งเต็มห้อง เขาสนใจกันมาก ถามว่าทำกันได้ยังไง มีกี่คน ใช้เวลาไม่กี่เดือนทำได้ขนาดนี้” ไอซ์เล่าอย่างภาคภูมิใจ

ก่อนที่ปอจะเชื่อมโยงไปถึงเรื่องคุณสมบัติของนวัตกรว่า “เราต้องมีความคิดต่างจากคนอื่น มีความคิดแปลกใหม่ มีความคิดสร้างสรรค์” 

ขณะที่ไอซ์สำทับด้วยรอยยิ้ม “แต่จะแปลกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีประโยชน์ต่อสังคมด้วย อย่างแอพฯ เราคือแปลกในเรื่องที่ยังไม่มีใครทำ และมีประโยชน์ต่อผู้หญิงที่มีประจำเดือน” 

และหลังจากจบ NSC ทีมก็ถูกทาบทามเข้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปี 6 ด้วยความอยากลองพา Girl’s Secrets ไปให้สุดทาง ทีมจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ซึ่งเปรียบเหมือนการพาตัวเองเข้าสู่ลู่วิ่ง และเริ่มต้นใหม่ในจุดสตาร์ท เพราะ Girl’s Secrets ถูกคอมเมนต์จากทีมโค้ชให้ปรับแก้ โดยเฉพาะการเฟ้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ให้ชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการออกแบบเนื้อหาใหม่ให้เหมาะสมขึ้น

“ตอนแรกเราแบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็น 3 กลุ่ม แต่โค้ชบอกว่าควรเน้นไปที่เด็กกลุ่มเพิ่งเริ่มมีประจำเดือนกับกำลังจะมี จึงต้องปรับใหม่ ไล่เนื้อหาไปทีละบท เปลี่ยนเมนูใหม่ รวมๆ แล้วก็คือปรับใหม่หมดเลยยกเว้นหน้าเข้าเริ่มแรก” นุ่นหัวเราะร่าท้ายประโยค 

บอม-ณัฎฐ์ ภิญโญ

ภาระงานที่เกิดขึ้น ทำให้ทั้งสามต้องชวน บอม-ณัฎฐ์ ภิญโญ เข้ามาช่วยเขียนโค้ด เพื่อผ่านพ้นมันไปด้วยกัน

“งานมันไม่ได้ยาก แต่มันเยอะ ต้องทำตลอด ข้อดีคือได้ฝึกทำงานเราก็มีทักษะมากขึ้นที่จะเอาไปใช้ในอนาคต ข้อเสียคือมันเอาเวลาช่วงวัยรุ่นของเราไปหมด” บอมหัวเราะขื่นๆ ก่อนเล่าต่อในมิติของการเป็นนักพัฒนา ว่างานหนักคือด่านที่ทุกคนต้องฝ่าฟันเพื่อผ่านพ้น

“สำคัญคือต้องอดทน และทำต่อไปเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่งเราอาจคิดว่าเสร็จแล้วพอ แต่มันมีอะไรให้ทำต่อได้อีก เพราะการพัฒนาแอพฯ ไม่ได้ทำวันสองวันเสร็จ ต้องทำเป็นเดือนๆ สำหรับผม งานโค้ดก็ต้องศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเรื่อยๆ จะรอความรู้จากคนอื่นไม่ได้ ต้องศึกษาด้วยตัวเองให้เข้าใจและไปทำได้ แก้ปัญหาได้” บอมกล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้งานจะมากมายก่ายกองแค่ไหน แต่ทั้งสี่ก็ไม่มีใครทิ้งงานหนีไป เพราะคำว่าทีมเวิร์ค

“มันช่วยฝึกเราไปในตัว เหนื่อยมาก อดหลับอดนอน ทำมากๆ แล้วปวดหัว แก้ตรงนี้ไม่ได้ซะที นานๆ ไปก็เริ่มท้อ แต่รับงานมาแล้วก็ต้องทำ มันเป็นงานกลุ่ม ไม่ได้มีแค่เรา ไม่ใช่ว่าจะเลิกก็เลิกได้ ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ” ปอเผยความรู้สึก

ทีมเวิร์คที่ดี ต้องอย่ามีความลับ…

แม้จะทำเรื่องความลับของคุณผู้หญิง แต่น่าสนใจว่าการทำงานของทีมนั้นแทบไม่มีความลับต่อกัน เพราะมีอะไรก็ใช้วิธีพูดกันตรงๆ และยึดเอาประโยชน์ของผลงานเป็นที่ตั้ง ทำให้การทำงานเดินหน้าได้เร็ว

“มีเถียงกัน ทะเลาะกันตลอด แต่ส่วนใหญ่มันไม่ได้หนัก หลักๆ คือคุยกันไม่รู้เรื่อง เสนอไปคนละความคิด เราอยากได้อันนี้ อีกคนอยากได้อันนี้ ไม่ค่อยลงตัว” ไอซ์เล่าถึงบรรยากาศการทำงาน

ก่อนที่ปอจะเสริมว่า “แต่ดีที่ทีมเราพูดอะไรกันตรงๆ ไม่มีอะไรปิดบังกัน อะไรไม่ดีก็พูด เราไม่พอใจอะไรก็พูด เราโอเคกับอะไรก็บอก ทำให้ไว้ใจกันมากขึ้น”

“หัวใจคือทีมเวิร์คต้องมี” บอมเสริมต่อ

“เวลาเราคุยกันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเห็นด้วยทุกอย่าง ต้องยอมบ้าง การยอมไม่ได้แปลว่าเราแพ้ แต่ยอมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่ทุกคนโอเคและทำด้วยกันต่อไปได้”

ซึ่งทีมก็ยอมรับว่า ความสนิทเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมสามารถเปิดความลับคุยกันได้ทุกอย่าง เพื่อให้งานไหลลื่นไปข้างหน้า

“ถ้าไม่สนิทกับเพื่อนในกลุ่ม เวลาทำงานมันลำบาก คุยกันได้ไม่เต็มที่ งานก็ไปได้ไม่ไกล” นุ่นสรุปประเด็น

ด้วยหัวข้อโปรเจ็คต์ที่เกิดจากปัญหาใกล้ตัว ทว่ามีความแตกต่าง (เพราะคนอื่นไม่ทำกัน) เป็นจุดขาย บวกกับความอดทน ความรับผิดชอบ ทีมเวิร์คที่เปิดเผยและยึดผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นที่ตั้ง ทำให้ Girl’s Secrets พัฒนาออกจากกรอบของความลับ มาสู่การเป็นแอพพลิเคชั่นความรู้เรื่องประจำเดือน ที่สาววัยแรกแย้มสามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมได้ในที่สุด

“ได้ไปทดลองกับรุ่นน้องในโรงเรียนทั้ง ม.ต้น และ ม.ปลาย รวมถึงคุณครู เสียงตอบรับจากเด็ก ม.ต้น ก็จะดี๊ด๊า เขินๆ หน่อยเวลาเห็นภาพ (หัวเราะ) ม.ปลาย ก็มีเขินบ้าง แต่น้อย เพราะมันเป็นสิ่งที่ควรรู้ และมีบางเรื่องในแอพฯ ที่เขาสนใจ ส่วนอาจารย์ก็ชมว่าไม่คิดว่าจะทำได้ขนาดนี้” ไอซ์เล่าพลางยิ้มแก้มปริ

“เป็นประสบการณ์ที่ดีที่เด็กทั่วไปไม่มีโอกาสทำ เราได้ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการกับเพื่อน พอมาถึงเส้นชัยแล้วมองกลับไป เราผ่านอะไรมาเยอะมาก พวกเราทุกคนอยากให้มันไปให้สุด อยากให้มันดีที่สุด ฝ่ายกราฟิกก็วาดออกมาดี ผมก็มาทำต่อให้ดีที่สุด แล้วมันก็ออกมาตามที่คาดหวัง ก็แฮปปี้และภูมิใจกับงานชิ้นนี้มาก” บอมกล่าวอย่างมีความสุข

“ภูมิใจที่เราได้มีแอพฯ ของตัวเอง เด็กอายุ 18 มีแอพฯ ของตัวเอง แค่นี้หนูก็ภูมิใจแล้ว มันมาไกลมาก” นุ่นยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ

Girl’s Secrets พร้อมเผยความลับเป็นความรู้สำหรับคุณผู้หญิงแล้ววันนี้ที่ Google Play แต่แม้ไม่ใช่ผู้หญิง ก็โหลดมาศึกษาได้ เพื่อพร้อมรับมือกับภัยพิบัติจากมนุษย์เมนส์

“ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมเราต้องมารู้เรื่องนี้ด้วย เราเป็นผู้ชาย แต่พอทำไปก็ได้ความรู้เยอะมาก ตอนนี้ผมอาจจะรู้เรื่องประจำเดือนมากกว่าผู้หญิงซะอีก” ปอจบบทสนทนาอย่างร่าเริง

Tags:

โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรมเพศ

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ยิ่งเปรี้ยว ยิ่งเสีย ชะลออายุปลาส้มด้วย ‘ศิริส้ม’ ของเด็กมัธยมปลาย

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    INSHELTER ราวตากผ้าอัจฉริยะ นวัตกรรมที่เกิดจากความขี้เกียจ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘กล้า’ เด็กหนุ่มที่เติบโตและอีโก้หายไปในโรงเพาะเห็ด

    เรื่อง

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘เรียนวิทย์ให้เวิร์ก’ กับโครงงานที่เด็กออกแบบเอง: กะทิ – เจได เจ้าของเหรียญทองแดง GENIUS Olympiad 2025
  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์
  • ‘ผิดเป็นครู’ เรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทุกคนสามารถลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าได้เสมอ: รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ
  • Gen Z กับ แชทบอท: เพราะโลกเปลี่ยวเหงา เราจึงไขว่คว้าความสัมพันธ์เสมือนจริง
  • The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel