Skip to content
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    RelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the trauma
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก

Year: 2019

GRIT การอดทนเพื่อสู้สิ่งยาก ถึงยากก็อยากจะสู้!
Grit
16 October 2019

GRIT การอดทนเพื่อสู้สิ่งยาก ถึงยากก็อยากจะสู้!

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ที่ ‘พ่อเจ้าโบโบ้’ และสมุนน้องหมาพันธุ์ทาง ยังสู้และง่วนอยู่กับการทำเพจไม่ยอมแพ้แม้มีอุปสรรคมากล้น เหตุผลหลักก็เพราะรัก หลงใหล ตั้งใจอย่างแรงกล้า เห็นเป้าหมายของตัวเองชัดและใช้เป้าหมายนั้นนำทาง ทั้งเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นมีคุณค่า อย่างน้อยก็มีคุณค่าต่อเขาเอง

เหตุผลของ ‘พ่อเจ้าโบโบ้’ เริ่มต้นแค่เพราะรักในหมาพันธุ์ทาง เจ็บปวดและไม่อยากเห็นเจ้าหมาถูกทอดทิ้งอย่างง่ายดายอีกต่อไป นำไปสู่การลงมือทำที่เปี่ยมด้วยความเชื่อ ยืนกรานลงมือทำอย่างไม่ลดละ และเป็นการต่อสู้ที่ใช้เวลายาวนาน

ทั้งหมดนี้คือคอนเซปต์เดียวกันกับ GRIT ความเพียรพยายาม ความอดทนยืนกรานไม่ยอมแพ้ GRIT ไม่ใช่แค่ความอดทนกับโปรเจ็คท์ระยะสั้นราวเดือน สอง หรือสามเดือน แต่คือความอดทน ยืนกราน และไม่ยอมแพ้เพื่อทำตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วยความหลงใหล และในระยะยาวสิ่งนั้นอาจใช้เวลาเป็นปีหรือหลายปี

ใครจะไปรู้ วันหนึ่ง ‘พ่อเจ้าโบโบ้’ ที่เริ่มต้นจากความรักในน้องหมาและไม่อยากเห็นใครทอดทิ้งพวกมันอีก ต่อไปในอนาคต เขาอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน และอาจทำให้น้องหมาหลายตัวไม่ถูกทิ้งขว้างก็ได้

 ชวนอ่านบทความเกี่ยวกับ GRIT: ได้ที่ 

Tags:

Gritคาแรกเตอร์(character building)21st Century skills

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Book
    The Element: การค้นพบ ‘ธาตุ’ ที่บอกว่า ‘ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Grit
    S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • GritMovie
    วิลเลียม คัมแควมบา: ความมุ่งมั่นและกัดไม่ปล่อยของเด็กชายที่ผลิตกังหันลมจากกองขยะ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง
Learning Theory
16 October 2019

สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

เรื่องและภาพ The Potential

หัวใจของการศึกษา คือ เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

การจะเข้าถึงความรู้อย่างแท้จริง ครูต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าไปมีประสบการณ์โดยตรง มุ่งเน้นการเรียนรู้ที่เด็กได้คิดเองทำเอง และสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้กับชีวิตและการทำงานจริง

ครูสามารถสร้างการเรียนรู้แบบนี้ได้ผ่าน ‘ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์’ หรือ Experiential Learning Theory (ELT) โดย ดร.เดวิด เอ. โคล์บ (Dr.David A. Kolb) นักทฤษฎีการศึกษา

ผ่านวงจร 4 ขั้นตอนง่ายๆ ตามหลักการของ ELT  ภายใต้แนวคิดว่าคนเรามีรูปแบบการเรียนรู้อยู่ 4 โหมดซึ่งหมุนเป็นวงจร สลับสับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ได้แก่

Experiencing – เรียนรู้ข้อมูลผ่านการมีประสบการณ์และการลงมือทำ เน้นการเรียนรู้ที่เด็กได้คิดเองทำเอง

Reflecting – นำข้อมูลและประสบการณ์ที่ได้มาทบทวน ใคร่ครวญ เช่น จดบันทึก ประชุมกันในทีม

Thinking – คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ออกมาจากขั้นที่ 1 และ 2 สรุปออกมาเป็นแนวทางปฏิบัติ

Acting – ลงมือทำจากความรู้ใหม่ที่ได้ แล้วเรียนรู้ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนควรปรับปรุง

จากนั้นจะกลับเข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 อีกครั้ง เป็นวงจรเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

“เพราะโหมดการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นซ้ำ จะขยายความเข้าใจของเด็กได้ เด็กจะค้นพบว่าในทางปฏิบัติ จะเจอปัญหาอะไร และพบการประยุกต์ความรู้ใหม่ที่ทำได้หลากหลาย โดยการนำสิ่งที่เคยเรียนรู้ในสถานการณ์หนึ่งมาใช้ในอีกสถานการณ์”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ EXPERIENTIAL LEARNING: 8 ข้อครูควรรู้ เมื่อจัดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์

Tags:

ครูเทคนิคการสอนGrowth mindsetExperiential Learning Theory(ELT)

Author & Illustrator:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”
21st Century skills
14 October 2019

SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Social awareness คือการตระหนักรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นทักษะทางอารมณ์และสังคมที่สำคัญในยุคศตวรรษที่ 21
  • ความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น, การยอมรับความแตกต่างหลากหลาย, ความเคารพในผู้อื่น, การเอาทัศนคติของคนอื่นมาใส่ในใจเรา คือ คีย์เวิร์ดของทักษะนี้ 
  • เราจะช่วยให้เด็กๆ มีทักษะนี้เพิ่มขึ้นได้ง่ายๆ โดยผ่านพฤติกรรม ‘การเข้าใจผู้อื่น’ ของพ่อแม่ และการพาเด็กตั้งคำถาม ‘ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง’

ทักษะตัวสุดท้ายของทักษะศตวรรษที่ 21 – Social and cultural awareness การตระหนักรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม ทักษะสำคัญของมนุษย์ (ที่ต้องอยู่ร่วมกันในสังคม) ศตวรรษนี้

การตระหนักรู้ทางสังคมเป็นหนึ่งในทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social and Emotional Learning Skills: SEL) ที่ถูกระบุในวงการศึกษาว่า ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน จำเป็นต้องออกแบบการเรียนรู้ ให้เด็กๆ มีทักษะ ทัศนคติ และพฤติกรรมที่จะจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ตรงหน้า รวมทั้งกระบวนการคิดเรื่องการจัดการกับความสัมพันธ์ในตัวเองและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลให้เป็นไปอย่างมีคุณธรรมและเอื้ออาทร

ทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (SEL) ประกอบไปด้วย

  • Self-Awareness: การตระหนักรู้ในตัวเอง
  • Self-Management : การบริหารจัดการตัวเอง
  • Responsible Decision-Making: ความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือก
  • Relationship Skills: ทักษะด้านความสัมพันธ์
  • Social Awareness: การตระหนักรู้ทางสังคม

Social awareness คืออะไร

เฉพาะ Social and cultural awareness การตระหนักรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม ที่ถูกไฮไลต์ให้เป็น 1 ใน 16 ทักษะจำเป็นของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 และหนึ่งใน SEL หมายถึง…

ความสามารถในการมีทัศนคติแห่งความ ‘เข้าอกเข้าใจ’ (empathy) ต่อผู้อื่น ในแง่ของความแตกต่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา สังคม วัฒนธรรม บรรทัดฐานแต่ละสังคม (norm) ผู้ที่มีความต้องการพิเศษหรือเฉพาะทาง โดยเฉพาะโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซับซ้อน ขนานใหญ่ที่ยิ่งจะเพิ่มเลเยอร์ของความหลากหลายให้ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก เช่น ความหลากหลายทางเพศที่เพิ่มนิยามมากขึ้น หรือ ความหลากหลายทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ในยุคที่เส้นพรมแดนประเทศพร่ามากเลือนขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งหมดที่กล่าวไปไม่ใช่เรื่องไกลตัวเด็กเลย จำลองสถานการณ์ลงมาให้ใกล้ตัวเด็กอย่างชุมชนที่อยู่อาศัย หรือสังคมในห้องเรียนที่เด็กๆ ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทุกวัน ไม่ว่าจะในชุมชนหรือในห้องเรียน เราต่างมาจาก ‘หลายพ่อพันแม่’ หลายศาสนา หลายความเชื่อ หลายเพศ ซูมลงไปให้เล็กในระดับความสัมพันธ์ ความเข้าอกเข้าใจยังหมายถึงการทำความเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นผ่านสิ่งที่พวกเค้าไม่ได้พูด เช่น สีหน้า ท่าทาง บรรยากาศระหว่างกัน อวัจนภาษาเหล่านี้ก็นับเป็นหนึ่งในทักษะคนที่ ‘เข้าใจอกใจ’ จะมองเห็นได้ 

อ้างอิงจาก CASEL เว็บไซต์เรื่องแหล่งข้อมูลทางการศึกษาระบุคีย์เวิร์ดของการตระหนักรู้ทางสังคม ไว้ว่ามีคีย์เวิร์ดดังนี้

  • Perspective-taking: การเอาทัศนคติของคนอื่นมาใส่ในใจเรา การยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยการรับรู้มุมมองความคิดความเชื่อที่แตกต่าง
  • Empathy: ความเข้าอกเข้าใจ, การเข้าไปนั่งในใจผู้อื่น
  • Appreciating diversity: การยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
  • Respect for others: ความเคารพในผู้อื่น

รายการสารคดีจาก ThinkTV ร่วมกับ CASEL อธิบายความหมายของ Social awareness ว่านักออกแบบการเรียนรู้จะสร้างทักษะนี้ให้เด็กได้อย่างไร

Social awareness สร้างได้อย่างไรบ้าง

เมลิสสา ชลินเกอร์ (Melissa Schlinger) รองประธานกรรมการแห่ง CASEL และ เมญา ดอร์ซีย์ (Maya Dorsey) ผู้อำนวยการ Family Engagement and Community Partnerships แห่ง Learn to Earn Dayton อธิบายในสารคดีจาก ThinkTV ร่วมกับ CASEL ข้างต้นในทั้งความหมายและการออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กๆ มีทักษะด้านความเข้าใจทางสังคมว่า…

สิ่งหนึ่งที่ครูออกแบบได้คือการใส่คำถามว่า “ถ้าหนูอยู่ในสถานการณ์นั้น หนูจะรู้สึกยังไงนะ และเราจะทำอย่างไรในสถานการณ์นั้นดี?” คำถามนี้ช่วยให้เด็กมีจินตนาการถึงสถานการณ์ของคนอื่น เริ่มใส่คำถามนี้ได้ตั้งแต่การลองคิดแทนเพื่อน หรือชี้ชวนตั้งคำถามถึงความรู้สึกของตัวละครในนิทาน, ในหนังสือที่เด็กๆ จะอ่านกัน, ออกแบบให้นักเรียนทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่มบ่อยๆ และผลัดเปลี่ยนให้เด็กๆ ได้เวียนเป็นสมาชิกในกลุ่มเพื่อทำงานร่วมกับคนอื่นที่เด็กๆ ไม่สนิทด้วย หรือจะวิธีอื่นๆ ก็ได้ทั้งนั้นแล้วแต่ไอเดียสร้างสรรค์ของ ‘นักออกแบบการเรียนรู้’ ในห้องเรียนเลย

ผู้ปกครองช่วยเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เล่นกับเพื่อนที่มีความแตกต่างหลากหลายอย่างที่กล่าวไป รวมทั้งสร้างโอกาสให้เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนหลายๆ วัย เช่น ผู้สูงอายุ เพื่อนที่อายุมากหรือน้อยกว่า หรือแม้แต่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนของคุณพ่อคุณแม่ แบบนี้ก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้อยู่กับความแตกต่างหลากหลายเช่นกัน ขณะที่ดอร์ซีย์เน้นว่า การเรียนรู้ของเด็กๆ ไม่ได้มาจากการ ‘บอกให้เด็กยอมรับ’ แต่เด็กๆ เรียนรู้จากพฤติกรรมของพ่อแม่ พูดให้ง่ายกว่านั้น เค้าจะเป็นในสิ่งที่พ่อแม่เป็น – ถ้าอยากให้เด็กๆ โอบรับความแตกต่างหลากหลาย พ่อแม่ต้อง ‘เข้าอกเข้าใจ’ เป็นแบบอย่างเสียก่อน

ฟังดูแล้วการจำลองตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์คนอื่นเพื่อ ‘เข้าไปถึงใจ’ ใครอีกคนนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญจนหลายคนไม่เข้าใจว่านี่มันต้อง ‘ฝึก’ กันด้วยหรือ แต่ชลินเกอร์ปิดท้ายสารดคีสั้นไว้อย่างน่าสนใจว่า เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ หลายครั้งส่งผลยิ่งใหญ่มหาศาลในแง่การสร้างความไม่เข้าใจระหว่างกัน เรื่องเล็กน้อย เช่น บางครั้งที่คุณโกรธ – คุณต้องการพื้นที่เพื่อคลี่คลายอารมณ์ คุณต้องการให้คู่กรณีถอยไปก่อน, บางครั้งที่คุณเศร้า – คุณต้องการแค่อ้อมกอดอบอุ่นและคำปลอบโยนที่เงียบเชียบ, หรือบางครั้งที่ท้อ – คุณต้องการคำพูดเพื่อเชียร์อัพก้อนกำลังใจ ทั้งหมดนี้ต้องการการปฏิบัติอันมาจาก ‘ความเข้าอกเข้าใจ’ ในรูปแบบที่ต่างกัน

ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ชลินเกอร์ชวนดูชิ้นข่าวทั้งออฟไลน์และออนไลน์ การกระทบกระทั่งรุนแรงซึ่งหลายเหตุการณ์ต้องสังเวยด้วยชีวิต ต่างมาจากความเกลียดชังอันเนื่องจากความเชื่อที่ต่างกัน

ในโลกปัจจุบันที่พรมแดนประเทศไร้ความหมาย ความหลากหลายกลายเป็นความปกติสามัญ ถ้าเด็กๆ ไม่มีพื้นที่ทดลองได้มีประสบการณ์ปรับตัวกับความหลากหลาย คงยากจะคาดเดาว่าเราจะมีคนรุ่นใหม่มีคาแรกเตอร์แบบไหนกัน 

อ้างอิง:
Core SEL Competencies
Introduction to Social Awareness

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsความเข้าอกเข้าใจ(empathy)Social awareness

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    เลี้ยงลูกด้วยจุดแข็ง อย่าเสียเวลาไปกับข้อผิดพลาด นี่แหละพ่อแม่สายสตรอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ADVERSE CHILDHOOD EXPERIENCES: บาดแผลรุนแรงทางใจในวัยเด็กมีผลต่อโรคเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่
Family Psychology
10 October 2019

ADVERSE CHILDHOOD EXPERIENCES: บาดแผลรุนแรงทางใจในวัยเด็กมีผลต่อโรคเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Adverse Childhood Experiences (ACE) ประสบการณ์เจ็บปวดหรือบาดแผลร้ายรุนแรงทางใจในวัยเด็ก ส่งผลต่อความป่วยไข้เรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ เช่น มะเร็ง, โรคผิวหนังเรื้อรัง, โรคไขข้ออักเสบ, โรคกระดูก, การอักเสบทางสมอง โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน, ซึมเศร้า และโรคอื่นๆ
  • ACE หมายถึงสถานการณ์ที่เด็กคนหนึ่งหรือตัวเองในอดีต ต้องอยู่ในภาวะความเครียด กดดัน หาที่พึ่งหรือคนพักพิงไม่ได้ ก่อเกิดเป็นบาดแผลทางใจและฝังลึกเป็นรอยแผล
  • เยียวยาได้ไหม? เพียงเด็กรู้ว่ามีใครสักคนที่เค้าพึ่งพาได้ เป็นที่พึ่งทางใจได้ ไว้วางใจได้ และรู้สึกปลอดภัยหากมีคนผู้นี้อยู่ในชีวิต เพียง ‘พลังของผู้ใหญ่แค่คนเดียวที่พึ่งพาได้’ เท่านี้เด็กก็รอดแล้ว

เราต่างมีปมด้วยกันทั้งนั้น… นานๆ ครั้งมันก็ลุกขึ้นมาหลอกหลอนเราโดยไม่รู้ตัว

แต่มันมีเส้นบางคั่นกลางระหว่างปม (trauma) – เหตุการณ์ที่มีผลให้เราเป็นเราทุกวันนี้ ให้เจ็บปวดเปราะบางกับเหตุการณ์มากน้อยแตกต่างกันไป กับ Adverse Childhood Experiences (ACE) ประสบการณ์เจ็บปวดหรือบาดแผลร้ายรุนแรงทางใจในวัยเด็ก ซึ่งไม่ได้แค่ส่งผลลัพธ์ตรงไปตรงมาอย่างพฤติกรรมเสี่ยงในวัยผู้ใหญ่ เช่น การใช้ยาและสารเสพติด, พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ, เสพติดการใช้ความรุนแรง และอื่นๆ แต่มีนัยสำคัญถึงความป่วยไข้เรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ เช่น มะเร็ง, โรคผิวหนังเรื้อรัง, โรคไขข้ออักเสบ, โรคกระดูก, การอักเสบทางสมอง โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน, ซึมเศร้า และโรคอื่นๆ – ที่เราเคยคิดว่าโรคเหล่านี้เป็นผลจากพันธุกรรมหรือแค่ความโชคร้ายในชีวิต

แม้ฟังดูไม่น่าเชื่อว่าประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็กจะเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่อย่างไร แต่ปัจจุบัน ACE ถูกไฮไลต์โดยวงการแพทย์และคนทำงานด้านประชากร ยืนยันด้วยงานวิจัยหลายร้อยชิ้น ที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องหลายสิบปี ว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นเร่งด่วนที่คนทำงานหลายวงการต้องเข้าใจเพื่อออกแบบแก้ปัญหาให้ถูกจุด – ทั้งปัญหาสุขภาพและความรุนแรงที่แม้ไม่มีบาดแผลในครอบครัว กลับส่งผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงตลอดช่วงชีวิตคน

Adverse Childhood Experiences (ACE) คืออะไร และ ส่งผลต่อโรคร้ายในวัยผู้ใหญ่อย่างไร

ประสบการณ์เจ็บปวดหรือบาดแผลร้ายรุนแรงทางใจในวัยเด็ก – ซึ่งเป็นวัยสำคัญของพัฒนาการทางร่างกาย รวมถึงการฟอร์มและปรับเปลี่ยนกลไกทางสมองก็เปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในช่วงเวลานี้ – หมายความตรงตัวถึงประสบการณ์ร้ายที่เราเจอในวัยเด็ก เช่น ถูกทอดทิ้งทางใจ, ต้องอยู่กับพ่อแม่ที่ใช้สารเสพติด, การถูกทำร้ายร่างกาย, การต้องเห็นพ่อแม่ถูกทำร้ายร่างกายหรือตายไปต่อหน้าต่อตา และอื่นๆ ที่ทำให้จิตใจบอบช้ำและทิ้งรอยแผลเป็นที่กดลึก

ปัจจุบัน ACE ได้รับการพัฒนาและแบ่งประเภทผ่านประสบการณ์ที่เด็กๆ ได้รับบาดแผลจากใจและกายจากพ่อแม่หรือผู้ที่เลี้ยงดู ดังตารางต่อไปนี้

กลับมาที่ประเด็นว่าประสบการณ์ร้ายฝังใจในอดีตเกี่ยวกับความป่วยไข้เรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ได้อย่างไร…ในตารางข้างต้นไม่ใช่แค่ ‘ประเภทประสบการณ์’ ที่เด็กคนหนึ่งจะพบเจอ แต่มันหมายถึงสถานการณ์ที่เด็กคนหนึ่ง (หรือเราในอดีต) ต้องอยู่ในภาวะความเครียด กดดัน หาที่พึ่งหรือคนพักพิงไม่ได้ และเอาเข้าจริงแล้ว เราต่างเคยมีประสบการณ์ที่สร้างบาดแผลทางใจและฝังลึกเป็นรอยแผลไม่มากก็น้อยและในข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งเราจะพูดกันต่อไปว่าการมี ACE เป็นเรื่องปกติและอันที่จริงมันก็เป็นประสบการณ์ที่สร้างความเข้มแข็งให้เรา(ต่าง)เป็นเราวันนี้ได้เช่นกัน แต่หลังอ่านบทความจบแล้ว อยากลองชวนเข้าไปทำแบบประเมิน ACE ที่ถูกพัฒนาให้เป็นปัจจุบันได้ที่นี่

คีย์เวิร์ดของ ACE คือสถานการณ์ที่เด็กอยู่ในภาวะเครียดตลอดเวลาและยาวนาน (ต่างกับการเกิดปมที่เหตุการณ์นั้นอาจเป็นสถานการณ์ในช่วงเวลาหนึ่งแต่ทิ้งรอยแผลเอาไว้ อ่านเรื่องปมวัยเด็กได้ที่นี่) ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อคนเราเข้าสู่ภาวะเครียด จะเกิดการปรับตัวทางสมองครั้งใหญ่เพื่อต่อสู้และคลี่คลายกับความเครียดนั้นได้เอง*

แต่กับสถานการณ์ความรุนแรงทางใจและกายในบ้านที่ไม่เคยหยุดหย่อน ทำให้เกิดสมองมีภาวะตึงเครียดอย่างไม่เคยได้พัก ความเครียดที่ว่าจะส่งสัญญาณไปเปลี่ยนแปลงการทำงานสมอง เช่น…

การปรับลดเนื้อเยื่อสมองสีเทา: เกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนผ่านวัยเด็กสู่วัยรุ่นเพื่อปรับลดเซลล์ประสาทโดยธรรมชาติอันจะทำให้วงจรประสาททำงานได้ว่องไวขึ้น รับส่งข้อมูลรวดเร็วขึ้น ดึงข้อมูลที่เก็บอยู่ในความจำมาใช้เพื่อคิดตัดสินใจก็จะทำได้เร็วขึ้น แต่ความเครียดที่เกิดขึ้นในวัยเด็กทำให้ไมโครเกลีย (เป็นเซลล์ค้ำจุนชนิดหนึ่งซึ่งพบได้ในระบบประสาท) กัดกินเซลล์ประสาทและทำให้เกิดสภาวะอักเสบของเซลล์ประสาท กระตุ้นให้สมองกำหนดวิธีทำงานใหม่และยิ่งสร้างสภาพซึมเศร้าและวิตกกังวลให้เกิดขึ้น เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮามากเพราะแต่เดิมเราเชื่อว่าการอักเสบของสมองจะเกิดขึ้นเมื่อสมองได้รับความกระทบกระเทือน เช่น อุบัติเหตุ แต่การอักเสบในระดับต่ำจากความเครียดเรื้อรังก็เป็นเหตุให้เกิดการอักเสบของสมองได้เช่นกัน

เมื่อเซลล์ประสาทถูกทำลายมากเกินไป มันเชื่อมต่อกับกลไกสมองเรื่องความทรงจำ – การทำงานของฮิปโปแคมปัสเรื่องความทรงจำ และ คอร์ปัส-แคลลอสซัม และสมองส่วนหน้า – ทั้งหมดนี้มีผลต่อความสามารถในการคิด ตัดสินใจ สมาธิ และการควบคุมอารมณ์

หรือ แกนตอบสนองความเครียด HPA (ไฮโปธาลามัส-ต่อมใต้สมอง-ต่อมหมวกไต) ถูกตั้งโปรแกรมให้เร่งผลิตฮอร์โมนความเครียดในชื่อคอลติซอลและไซโตไคน์ ภาวะนี้หมายถึงสมองถูกตั้งโปรแกรมให้เราตอบสนองต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งด้วยความเครียดได้ง่ายและคลี่คลายยาก นี่เป็นคำตอบว่าทำไมบางคนจึงหลุดจากภาวะเครียดหรือเอาตัวเองออกจากความคิดด้านลบได้ยากโดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและจิตเภทบางประเภท นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยสมัยใหม่บอกว่ามันส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วย

ACE กับปัญหาโรคร้ายแรงในวัยผู้ใหญ่

ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงภายในที่เกิดจากความเครียดต่อเนื่องและคาดเดาไม่ได้ในวัยเด็ก แต่สุดท้ายแล้วกลับส่งผลกระทบออกมาเป็นความป่วยไข้ทั้งภายในภายนอก และนี่คือกลุ่มอาการที่เป็นผลพวงจาก ACE – กลุ่มอาการที่ครั้งหนึ่งวงการแพทย์ไม่คิดว่ามันเชื่อมโยงกับประสบการณ์ร้ายวัยเด็ก แต่คิดว่าเป็น
ผลจากพันธุกรรม หรือการทำลายตัวเองด้วยพฤติกรรมเสี่ยงโรคร้ายด้วยตัวเอง เช่น ภาวะติดแอลกอฮอล์, ติดสารเสพติด, พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ, การส่งต่อความเครียดจากแม่สู่ลูกในครรภ์, ซึมเศร้า, มะเร็ง, โรคอ้วน และอื่นๆ ดังปรากฎในรูปด้านล่าง

หลักฐานว่า ACE เกิดขึ้นกับเราและคนรอบข้างในสัดส่วนที่มากจนน่าตกใจ

งานวิจัยที่อาจเรียกว่าเป็นวิจัยบุกเบิกชี้ชวนให้วงการแพทย์และคนทำงานด้านประชากรต้องหันมาสนใจประเด็นนี้คืองานวิจัยของ Vincent Felitti, Robert Anda และทีมงานในปี 1995 – 1997 และยังติดตามต่อเนื่องเป็นช่วงเวลาอีกอย่างน้อยถึงปี 2009 กับประชากรชาวอเมริกันชนชั้นกลางจำนวน 17,377 คน สิ่งที่อยากรู้คือ ACE มีผลต่อการป่วยไข้เรื้อรังและการตายในวัยผู้ใหญ่หรือไม่ งานวิจัยในภาพรวมพบว่าคนทั่วไปมีคะแนน ACE มากกว่า 1 คะแนนขึ้นไป (เต็ม 8) ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่มาก ตรงนี้ตีความได้ว่าเราต่างมีบาดแผลวัยเด็กด้วยกันทั้งนั้น – แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มี ACE ทุกคนจะเสี่ยงเป็นโรคร้าย เพียงแต่พบว่า ยิ่งมีคะแนน ACE มากเท่าไร ก็ยิ่งเสี่ยงจะเป็นโรคร้ายเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่และชีวิตส่วนตัวก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากเท่านั้น

งานวิจัยพบอีกว่า ในกลุ่มที่ศึกษามี 1,539 คน เสียชีวิตระหว่างติดตามวิจัย โดยมีอายุเฉลี่ยที่ 77.5 ปี ผู้ตายส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ผิวสี ไม่แต่งงาน จบการศึกษาไม่สูง และมักมีปัญหาเรื่องการเงิน ตัวเลขที่แสดงนัยยะคือผู้ที่มีคะแนน ACE มากกว่า 6 ขึ้นไปเสียชีวิตเร็วกว่า 20 ปี ของอายุเฉลี่ย

งานวิจัยใหม่ๆ ยืนยันผลลัพธ์ที่คล้ายกันกับงานวิจัยของ Felitti และคณะ แต่ให้รายละเอียดของโรคเรื้อรังที่หลากหลายขึ้น เช่น หากเข้าไปดูรายชื่องานวิจัยที่รวบรวมไว้ใน CDC จะเห็นความหลากหลายของโรค เช่น โรคซึมเศร้า, ระบบภูมิคุ้มกัน, โรคผิวหนัง, มะเร็งชนิดต่างๆ, ไมเกรนเรื้อรัง ที่น่าสนใจคือมันเกี่ยวพันกับการอักเสบในสมองชนิด Acquired brain injury (ABI) หรือการอักเสบที่ไม่ได้มาในทางพฤติกรรมหรือมีมาแต่กำเนิด ด้วยเหตุผลอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น

ACE ในฐานะมรดกความสัมพันธ์ที่เลวร้าย

สิ่งที่ต้องไฮไลต์เวลาพูดถึง ACE คือ ‘มันเป็นมรดกความสัมพันธ์ที่เลวร้าย’ ตัวอย่างชีวิตของผู้คนในหนังสือ Childhood Disrupted How Your Biography Becomes Your Biology, and How You Can Heal โดย Donna Jackson Nakazawa บอกเล่าคล้ายกันว่า ยิ่งพวกเค้ามีคะแนน ACE มากเท่าไร เมื่อย้อนอดีตกลับไปก็ยิ่งพบว่า พ่อแม่ของพวกเค้าต่างถูกเลี้ยงดูจาก ปู่-ย่า-ตา-ยาย หรือคนใกล้ชิดด้วยวิธีที่คล้ายกับที่เลี้ยงดูพวกเค้ามา คืออาจใช้ความรุนแรง ถูกกระทำทางเพศ ถูกทอดทิ้งทางความรู้สึก (เพิกเฉย ละเลย ไม่สนใจ) อยู่ในครอบครัวที่ใช้สารเสพติดหรือยา พูดอีกแง่หนึ่งได้ว่า พ่อแม่เลี้ยงเรามาแบบเดียวกับที่พวกเค้าเคยถูกเลี้ยงดู และถ้าเราไม่เห็นวงจรเหล่านี้ เราก็อาจส่งต่อมรดกแห่งบาดแผลทางใจต่อเนื่องไปยังลูกเราได้

นอกจากนี้มันอาจส่งผลกระทบกับเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ในเรื่องความสัมพันธ์ เช่น ในหนังสือ Childhood Disrupted หลายคนอธิบายปัญหาความสัมพันธ์ทั้งในแง่เพื่อน คนรัก และกับคนในครอบครัวว่าพอถึงจุดหนึ่งพวกเค้าจะรู้สึกไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อมโยง หรือไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวกับใครไว้ได้ ลึกลงไปเป็นเพราะความหวาดกลัว ไม่เคยเห็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่มั่นคงว่าเป็นอย่างไรและเพราะประสบการณ์เลวร้ายยังหลอกหลอนให้ไม่อาจยอมรับได้ว่าความสัมพันธ์ที่มั่นคง (healthy) จะเกิดได้จริง

เยียวยาบาดแผลเลวร้ายในวัยเด็กอย่างไร

แม้ ACE คล้ายฝันร้ายที่เหมือนจะแก้ไขได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อพูดว่ามันกระทำการในทางสมองและภูมิคุ้มกันเราไปเรียบร้อย แต่ข้อดีของสมองที่ปรับเปลี่ยนอยู่เสมอและปรับตัวได้อย่างทรงพลังยืนยันกับเราว่า เราทำความเข้าใจกับมันได้ (สมองและจิตใจ)เยียวยาได้ และดูแลจัดการมันได้ และต้องไม่ลืมว่า หากเราไม่ได้มีคะแนน ACE มากเกินไป เรารู้ตัว จำเหตุการณ์เลวร้ายช่วงนั้นและทำความเข้าใจตัวละครแต่ละตัวในอดีต บาดแผลในวัยเด็กก็จะเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันสร้างความเข้มแข็งและกล้าหาญต่อเราในวันนี้ก็ได้

อย่างที่ใครพูดกัน …แม้เรื่องเลวร้ายในวันนั้น ก็ทำให้เป็นชั้นในวันนี้ และเราจะเป็น ‘ต้นอ่อนลู่ลม’ ที่เข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่รอบข้างเด็กที่เข้าข่ายได้รับการกระทำทางกายและใจ ไม่ว่าจะเป็นครู เพื่อนข้างบ้าน ลุงป้าน้าอา หรือใครก็ตาม หากเจอเหตุการณ์เข้าข่ายทำร้ายร่างกายหรือทารุณกรรมเด็ก – ให้แจ้งความก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อหาทางช่วยเหลือเด็กตามกระบวนการ**

ต่อมา มันเป็นข้อเท็จจริงว่าเพียงเด็กรู้ว่ามีใครสักคนที่เค้าพึ่งพาได้ เป็นที่พึ่งทางใจได้ ไว้วางใจได้ และรู้สึกปลอดภัยหากมีคนผู้นี้อยู่ในชีวิต เพียง ‘พลังของผู้ใหญ่แค่คนเดียวที่พึ่งพาได้’ เท่านี้เด็ก(หรือพวกเราเองนั่นแหละ) ก็รอดแล้ว

สเตปต่อมา หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่ามีบาดแผลเลวร้ายในวัยเด็ก หรือเข้าไปทำทดลองได้ที่นี่ คุณสามารถเข้ารับการพูดคุยบำบัดจากมืออาชีพเพื่อช่วยชำระเรื่องราววัยเด็กได้ ปัจจุบันมีหลายศาสตร์ที่ทำงานกับเรื่องนี้และเรายอมรับกันแล้วว่าการพูดคุยบำบัดหรือรับคำปรึกษาเป็นตัวช่วยที่ทำให้คุณเข้าใจที่มาที่ไปและจัดการกับตัวเองได้ดีขึ้น

หรือให้ง่ายและสบายใจกว่านั้น (ย้ำอีกครั้ง – สมองของเรามีการปรับตัวอยู่เสมอแม้ในวัยผู้ใหญ่) มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สมองยืนยันว่าการเล่นโยคะ, ไทเก๊กและชี่กง, ออกกำลังกาย, ฝึกสมาธิ, เขียนหรือวาดบำบัด และวิธีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการได้หยุดพัก ทบทวน และให้เวลาเพื่อจดจ่อกับอะไรบางอย่าง เหล่านี้ช่วยปรับโครงสร้างสมองเพื่อทำให้อาการป่วยทางใจและช่วยสมานการเชื่อมโยงระหว่างสมองให้ดีขึ้นได้ (ความสงบจากสมาธิช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนเครียด การจดจ่อไปที่ ‘ความรู้สึก’ ทำให้สมองส่วนความรู้สึกฟื้นฟูขึ้นมาได้)

และหากคุณเคยได้ยินกรอบคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset – วิธีคิดที่เชื่อว่าเราจัดการปัญหาได้ แก้ไขได้ ความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้า เชื่อไหมว่างานเขียนหลายชิ้นยืนยันเช่นเดียวกันว่า กรอบคิดเติบโตช่วยเราจัดการกับความคิดลบๆ ที่ถูกตั้งโปรแกรมในสมองและช่วยปรับโครงสร้างการทำงานมันได้เลยทีเดียว

เรารู้ทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?

ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำให้เรื่องที่เราเคยเพิกเฉย คิดว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว หรือฝังอดีตเลวร้ายไปกับกาลเวลาโดยไม่พยายามทำความเข้าใจมัน เปลี่ยนมันกลับขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญในสังคม หยุดวงจรการทำร้ายร่างกายและจิตใจวัยเด็ก และรู้ว่าผลกระทบของการเพิกเฉยส่งผลร้ายรุนแรงไม่ใช่แค่บาดแผลทางร่างกายที่ไม่นานก็จะหายไป ส่งข้อมูลชุดเดียวกันให้นักกำหนดนโยบาย นักการศึกษา ผู้ที่ทำงานเรื่องประชากรศาสตร์ และคนในเครือข่ายภาคประชาชน ให้เข้าใจและเข้าแก้ไขจัดการได้ทัน

สำคัญที่สุด ฟังสัญญาณร่างกายตัวเอง ถ้าคุณรู้สึกเจ็บไข้ได้ป่วยเรื้อรังตลอดเวลา บางครั้งการย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์วัยเด็กเพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์นั้นใหม่ คุณอาจพบคำตอบการแก้ปัญหาสุขภาพที่ไม่เคยคาดคิดก็ได้

Tags:

พ่อแม่ซึมเศร้าAdverse Childhood Experiences(ACE)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • How to get along with teenager
    นักจิตวิทยาโรงเรียน “น้องร้องไห้ เราจะนั่งฟัง ลูบหลัง ตบไหล่ ให้เขาไม่ลืมเห็นใจตัวเอง”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Healing the trauma
    ไม่หนี ไม่สู้ สมองถูกแช่แข็ง จากความเครียดท่วมท้นในสมองเด็ก

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaBook
    CHILDHOOD DISRUPTED : บาดแผลในวัยเด็ก สาเหตุของความป่วยไข้เมื่อเติบโต

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน
Voice of New Gen
10 October 2019

WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • เพราะเชื่อว่าไอดอลยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบให้กับใครบางคนได้อยู่ WISHDOM วงไอดอลเด็กไทยจึงจับเอาประเด็นการศึกษาและการเป็นจิตอาสามาเป็นคอนเซปท์หลักของวง
  • ภารกิจหลักของ WISHDOM  ไม่ใช่เพียงแค่ทำเพลงร้องเต้นอย่างวงไอดอลทั่วไป แต่พยายามสอดแทรกเนื้อหาด้านวิชาการต่างๆ สื่อสารผ่านโพสต์ในสื่อโซเชียลมีเดียของสมาชิกในวง
  • วงไอดอล WISHDOM พยายามเชื่อมโลกสองใบระหว่าง ‘โลกการศึกษา’ และ ‘โลกบันเทิง’ เข้าด้วยกันและย้ำว่าโลกสองใบนี้มันไปด้วยกันได้

“ทำไมเรียนวิศวะแล้วมาเป็นไอดอล เรียนมาตั้งเยอะทำไมเลือกมาทำอะไรแบบนี้ แต่เรารู้สึกโชคดีมากกว่าเพราะได้เอาความฝันทั้งสองอย่างของเรามารวมกัน เอาความรู้ที่เรามีออกมาเผยแพร่  เราอยากจะสร้าง awareness ให้คนอื่นได้รู้เรื่องนาโนเทคโนโลยี”  ริยา – อิสริยา นิรัคฆนาภรณ์ หนึ่งในวิชเกิร์ล จบเกียรตินิยม จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

…

เกียรตินิยม ได้รับทุน ชนะเลิศ รับรางวัล เป็นจิตอาสา …

ถ้อยคำเหล่านี้ถูกโปรยลงในโปรไฟล์แนะนำตัวของเด็กสาวสมาชิกไอดอลวง WISHDOM

หากใครติดตามวงการไอดอลของเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าวงการไอดอลไทยมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ มีวงไอดอลน้องใหม่ที่ออกมาโชว์การร้อง เต้น และทักษะความสามารถอื่นๆ ตามที่ตัวเองถนัดละลานตา 

WISHDOM หนึ่งวงไอดอลน้องใหม่เปิดตัวได้ไม่นาน แตกต่างด้วยคอนเซปท์และแนวคิดที่แข็งแรง จับเอาประเด็นการศึกษาและการเป็นจิตอาสามาเป็นแก่นหลักของวง

WISHDOM มาจากคำว่า WISH ที่แปลว่า ‘ความปรารถนา’ และคำว่า WISDOM ที่แปลว่า ‘ปัญญา’ รวมความได้ว่า ‘ความปรารถนาแห่งปัญญา’ ส่วน ‘วิชเกิร์ล’ เป็นคำที่ใช้เรียก ‘trainee’ ของวง เป็นชื่อที่ผสมผสานมาจากคำว่า ‘วิชา’ และ ‘เกิร์ล’ ฉะนั้นความหมายของก็คือไอดอลที่เป็นตัวแทนด้านวิชาการต่างๆ

The Potential จึงชวน ณภัทร จารุเรืองศรี, ปาณัสม์ ครุฑธาซ, ศุภกร ไชยอเนกวุฒิ ผู้บริหารทั้งสามพูดคุยถึงที่มาที่ไป เหตุผลที่หยิบฉวยเอาประเด็นการเรียนรู้ขึ้นมาเป็น ‘หน้าร้าน’ หรือลึกๆ แล้วทั้งสามมีมุมมองต่อการศึกษาไปในทิศทางไหน แล้วทำไมจึงคิดว่าโลกการศึกษาและการเอนเตอร์เทนถึงไปด้วยกันได้ 

ณภัทร จารุเรืองศรี – ปาณัสม์ ครุฑธาซ – ศุภกร ไชยอเนกวุฒิ

จุดเริ่มต้นของวง WISHDOM

ปาณัสม์: ก่อนหน้าจะมารวมตัวกันเพื่อทำวงไอดอล ต่างคนก็เคยทำงานของตัวเองมาก่อน ส่วนตัวผมเคยทำงานด้านการเก็บข้อมูล วิเคราะห์สถิติของไอดอลวงอื่นมาก่อนและรับราชการด้วย

แม้เราจะอยู่ในแวดวงการทำงานกับไอดอลไทย แต่ลึกๆ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองมองหาไอดอลที่เป็นไอดอลจริงๆ อยู่เสมอ หมายถึง เรายังไม่เจอไอดอลในแนวที่เราอยากจะได้ ก็เลยอยากจะลองทำวงเองขึ้นมา นี่คือจุดเริ่มต้นทำให้เราคิด เริ่มวางแผน แล้ววงไอดอลแบบไหนที่เราอยากได้?

ส่วนตัวผมรู้สึกว่าในปัจจุบันคนมักมองคำว่าไอดอลในเชิงการเป็นอาชีพ มองว่าไอดอลคือใบเบิกทางเข้าสู่วงการบันเทิง ไอดอลคืออาชีพทำเงิน แต่ในความรู้สึกผมยังเชื่อว่า ‘ไอดอล’ ยังเป็นคำที่ยังมีความหมาย มีพลัง และมีอิทธิพลมากกว่านั้น ไอดอลยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบสำหรับคนอื่นๆ ได้อยู่ เราจึงหยิบไอเดียตรงนี้ขึ้นมาสานต่อ และแน่นอนว่าสิ่งที่จับต้องได้มากที่สุด มักหนีไม่พ้นเรื่องการศึกษา มันน่าจะเป็นสิ่งที่มองเห็นชัดและแข็งแรงมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องการตีตลาดในยุคสมัยนี้ เราจำเป็นต้องมีจุดยืนที่แน่นอน 

wishdom
wishdom

ต่อยอดไอเดียอย่างไร และการศึกษาแบบไหนที่อยากจะชู

ปาณัสม์: จริงๆ แล้ว การศึกษาคือไอเดียแรกที่ผุดเข้ามา แต่แน่นอนว่าการศึกษามันมีหลายแบบ ไอเดียแรกที่เราตั้งเป้าไว้ คือเราต้องการน้องๆ ที่อยู่ในสายวิทย์-คณิตเพียงอย่างเดียว ความคิดเช่นนี้มาจากพวกเราในฐานะผู้ริเริ่ม เราเคยทำงานกับสถิติ อยู่กับตัวเลขและการคำนวณมาก่อน เราจึงอินและถนัดกับประเด็นนี้ 

แต่พอเราเริ่มสังเคราะห์ คิด และตกผลึกกับมัน ก็พบว่าการศึกษามันมีหลากหลายแขนง เด็กบางคนมีความสามารถในด้านที่เขาถนัด บางทีคำว่าการศึกษามันอาจจะไม่ใช่ด้านการเรียนอย่างเดียวเสมอไป มันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาหลงใหลอยู่ก็ได้ เราไปจำกัดความว่ามันคือตัวเลขอย่างเดียวไม่ได้ 

ณภัทร: โจทย์หลักที่เราต้องการจากน้องๆ คือ น้องจะนำความสนใจของเขามาถ่ายทอดให้กับแฟนๆ หรือคนที่มาติดตามเขาได้อย่างไร เราคัดเลือกสมาชิกในวงผ่านพื้นที่ในเฟซบุ๊ค โดยโปรยว่า ถึงจะร้องไม่เป็น เต้นไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร แค่น้องมาพร้อมความสามารถเฉพาะด้าน และมีใจอยากจะเผยแพร่การศึกษาและความถนัดที่มีก็พอ 

‘การเผยแพร่ความรู้’ แบบไอดอลเป็นอย่างไร

ปาณัสม์: เรามักจะบอกกับน้องๆ เสมอว่า สิ่งไหนที่เขาถนัด ให้นำสิ่งนั้นมาสังเคราะห์และปรับให้เข้ากับชีวิตประจำวัน น้องแต่ละคนจะมีช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีแฟนเพจเป็นของตัวเอง นั่นเป็นพื้นที่จะแชร์ content ของตัวเอง ตามธรรมเนียมปกติไอดอลทั่วไปจะมีการโพสต์รูปหรือข้อความให้ผู้ติดตามได้ทราบว่าวันนี้ตัวเองทำอะไรมาบ้าง หรือใช้พื้นที่นี้พูดคุยกับแฟนคลับ แต่สำหรับ WISHDOM นอกเหนือจากการพูดคุยตามปกติ เราตั้งใจให้น้องๆ พยายามสอดแทรกเกร็ดความรู้ลงไปในโพสต์นั้นด้วย

เท่าที่ผ่านมา น้องๆ จะพยายามใส่ความรู้ลงในเนื้อหาแต่ละโพสต์ อาจจะไม่ได้จริงจังหรือหวือหวา แต่เป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น น้องสมาชิกคนหนึ่งในวงมีอาการท้องเสียถึงขึ้นเข้าโรงพยาบาล แต่แทนที่จะโพสต์ว่าตัวเองป่วยเฉยๆ น้องกลับเลือกถ่ายทอดเรื่องราว โดยการอธิบายให้เห็นถึงความอันตรายของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค รวมถึงแนะนำวิธีการป้องกัน ซึ่งเรายังไม่ค่อยเห็นการนำเสนอเนื้อหาแนวนี้ในวงการไอดอลไทยซักเท่าไร

ฟีดแบกจากแฟนคลับเป็นอย่างไรบ้าง

ปาณัสม์: ถ้านับจากวันที่ออดิชั่นถึงวันนี้ WISHDOM มีอายุประมาณ 3 เดือน สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราคิดว่าเริ่มทำสำเร็จในฐานะผู้เผยแพร่ความรู้ คือมีเหตุการณ์ที่พวกเราไปออกงานพบปะแฟนคลับ แล้วแฟนคลับบางคนถือหนังสือเรียนมาถามน้องๆ สมาชิกว่า ‘ข้อนี้ทำยังไง’ ‘ช่วยอธิบายหน่อย’ มันเป็นภาพที่ไม่เคยเห็นในวงการไอดอลมาก่อน หรือแฟนคลับบางคนเมื่อมาเจอกัน ก็มาปรึกษาด้านการเรียน ‘หนูอยากเข้ามหาวิทยาลัยนี้’ ‘อยากเรียนคณะนี้’ ‘อยากจะเรียนให้ได้เหมือนพี่ต้องทำอย่างไร’ แค่นี้เรารู้สึกว่ามัน success แล้วนะ 

แบบนี้จะไม่กลายเป็นว่า เราชูแต่เด็กที่เรียนเก่งหรือ?

ณภัทร:  ในวงเราไม่ได้มีแค่เด็กที่เรียนเก่งนะครับ อย่างที่บอกในตอนแรก เราคาดหวังให้มีแต่เด็กสายคำนวณ (วิทย์-คณิต) แต่เมื่อเราตีความกันใหม่ว่าการศึกษาคืออะไร มันจำกัดเพียงเกรดใช่หรือไม่ ข้อสรุปคือไม่ใช่ การศึกษามันคืออะไรก็ได้ตามความถนัดของเขา เขาจะเก่งด้านดนตรี วิชาการ สังคม แค่เขาเชี่ยวชาญและมีแพชชั่นในอะไรบางอย่างก็พอแล้ว 

ปาณัสม์: ใช่ครับ เรามาทบทวนกันว่าจริงๆ แล้วคำว่าการศึกษาคืออะไร วิชาการก็คือการศึกษา ดนตรีก็คือการศึกษา การใช้ชีวิตก็คือการศึกษา เราเคยตั้งเป้าว่าเรากำลังมุ่งหา ‘ไอดอลสายคำนวณ’ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว WISHDOM คือ ‘ไอดอลสายการศึกษา’ น้องบางคนไม่ได้มีผลการเรียนดีมาก แต่เขาเป็นนักให้กำลังใจ แค่เขาเก่งในสิ่งที่เขาทำและมีใจอยากเผยแพร่

เพราะมองเห็นปัญหาอะไรในการศึกษาไทย

ปาณัสม์: ผมคิดว่าการศึกษาจะต้องช่วยพัฒนาศักยภาพของเด็ก ไม่ใช่แค่ผลการเรียนที่ดี แต่มันมีแง่มุมอื่นๆ ผมมองเด็กไทยสมัยนี้ในฐานะคนที่จบมาแล้ว เขาอาจจะไม่ได้มีแรงบันดาลใจในการเรียน ไม่มีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจให้เขาเรียนมากพอ ถ้าเกิดมีไอดอลหรือ symbol อะไรบางอย่างที่เป็นต้นแบบในการศึกษาของพวกเขาได้จริงๆ มันอาจจะสร้างแรงบันดาลใจหรือการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ได้

ณภัทร: ตั้งแต่แรกเรามักบอกเสมอ เราบอกให้น้องๆ ทุกคนที่จะมาออดิชั่นให้มาลองดูก่อน ถ้าไม่ชอบและคิดว่าตัวเองไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร 

เพราะผมรู้สึกว่าการศึกษาเปิดโอกาสให้เด็กไทยได้ทดลองน้อยมาก เราอยากจะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อบอกน้องๆ ว่า เรามีพื้นที่ให้คุณได้ลองทำอะไรใหม่ๆ อยู่นะ

มีจุดยืนเรื่องการศึกษาที่แข็งแรง แล้วเรื่องร้อง เรื่องเต้น จะออกมาในรูปแบบไหน

ณภัทร: ในตลาดเพลงของวงไอดอลทั่วไป แนวเพลงมักเป็นแนว J-pop (ญี่ปุ่น) แต่เราพยายามจะทำให้วงของเรามีแนวที่ต่างออกไปจากตลาด พยายามเอาหลายๆ แนวมาผสมผสานกัน โดยซิงเกิ้ลแรกจะเป็นแนวร็อคผสมอิเล็กทรอนิกส์  

ส่วนด้านเนื้อหาเพลง ในมุมมองของผม เพลงไอดอลในตลาดจะฟังกันค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม ถ้าคนทั่วไปฟังอาจจะรู้สึกไม่คุ้น ฟังแล้วจั๊กจี้ เราจึงพยายามทำเพลงให้คนที่ไม่รู้จัก WISHDOM ก็สามารถฟังได้ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่ทิ้งเรื่องการศึกษา จะพยายามใส่กิมมิคเกร็ดความรู้ต่างๆ เข้าไปในเพลง

การชูประเด็นการศึกษาขึ้นมาในวงไอดอล ประโยชน์คืออะไร

ปาณัสม์: อย่างแรกเราเชื่อว่ามันมีผลต่อตัวแฟนคลับหรือคนที่ติดตาม เขาจะได้ชื่นชมศิลปินตามคาแรกเตอร์ที่เขาชอบ และได้เกร็ดความรู้ ได้สาระประโยชน์ จากเนื้อหาที่สมาชิกในวงมอบให้

ในระยะยาวกว่านี้ เราตั้งใจไว้ว่าเราอยากผลักดันให้ WISHDOM มีโอกาสทำงานร่วมกันกับองค์กรด้านการศึกษาต่างๆ ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น นิทรรศการความรู้ต่างๆ เป็นตัวช่วยในการดึงความสนใจ เป็นแรงบันดาลใจเชิญชวนให้เด็กไทยเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เราอยากให้น้องๆ WISHDOM เป็นสื่อกลางเชื่อมต่อระหว่างวงการศึกษาและวงการบันเทิง

wishdom
wishdom

เห็นพลังอะไรในตัวน้องๆ ไอดอลบ้าง

ณภัทร: ตอนนี้เรามีเด็กในวงที่เป็นตัวจริงทั้งหมด 14 คน จากวันแรกจนถึงวันนี้ เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำได้ จากเด็กที่ร้องไม่เป็น เต้นไม่ได้ หลายคนพื้นฐานแทบเป็นศูนย์ เต้นไม่ได้ มือแข็ง ขาแข็ง ร้องเพลงไม่ตรงจังหวะ แต่ที่ผ่านมาเราเห็นความพยายาม เขาเริ่มเต้นได้ ร้องได้ ซึ่งเราเรียนรู้ว่ามันเกิดจากความตั้งใจของเขา ผมว่าไม่ต่างจากการเรียนหนังสือ ในเมื่อเด็กอยากทำ เขามีแพชชั่น เรามีหน้าที่ช่วยทำแพชชั่นนั้นให้สำเร็จ 

จากการทำงานร่วมกันมา WISHDOM เหมือนโรงเรียน เหมือนบ้านที่เรามาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เราเปิดพื้นที่ เขาสามารถแสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนในเรื่องต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ สมาชิกคือ first priority 

แม้โลกจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่หลายคนยังคงมีแนวคิดว่า เด็กเรียนเก่งมักจะไม่ทำกิจกรรมร้องเล่นเต้นรำ คุณเห็นด้วยมั้ย

ปาณัสม์: เมื่อก่อนผมก็คิดแบบนี้นะครับ (หัวเราะ) ตอนที่เรารันโปรเจคท์นี้ก็ยังกังวลอยู่เลยว่าจะมีเด็กมาสมัครไหม แต่ปรากฏว่ามีเด็กสนใจเกือบ 200 คน ซึ่งไม่ได้มีแค่เด็กเรียนดีที่สมัครมาเท่านั้น ประวัติของทุกคนน่าสนใจเกือบหมด เราจึงต้องมีคณะกรรมการหลายคน พิจารณาหลายๆ ด้าน ทั้งบุคลิก ความสามารถร้องเต้นพื้นฐาน ทัศนคติ รวมถึงการพูดคุยสัมภาษณ์ 

ณภัทร: ผมว่าชีวิตเราทุกคนต้องการมีซีนนะ เราต้องการพื้นที่ out stand แต่ที่เราติดภาพจำว่าเด็กเนิร์ดจะไม่ทำกิจกรรม มัวแต่อ่านหนังสือ ผมว่าเด็กๆ เขาอาจจะไม่รู้ว่าตัวเองมีพื้นที่ WISHDOM จึงเปรียบเสมือนพื้นที่ที่สร้างซีนให้เขามากกว่า ผลักสิ่งที่อยู่ในตัวเขาออกมา

ปาณัสม์: บางทีเด็กเนิร์ดที่มีซีน เขาอาจจะต้องเรียนเก่งมากๆ ซีนของเขาอยู่ในรูปแบบการสอบได้ที่หนึ่ง หรือเป็นตัวแทนการสอบระดับประเทศ ซีนของเขาคือการขึ้นไปรับรางวัลต่างๆ แต่สิ่งที่เรากำลังทำคือการให้พื้นที่ นำเอาคุณสมบัติที่ติดตัวเขามาฉายและ publish ต่อ

เลี้ยงสมดุลระหว่างโลกไอดอลกับโลกการเรียนของน้องๆ อย่างไร

ปาณัสม์: เรื่องนี้เราคุยกันตั้งแต่วันแรกๆ ที่เริ่มทำสัญญากัน เราให้ความสำคัญกับการศึกษามาเป็นอันดับหนึ่ง หากน้องมีภารกิจทางการศึกษาใดๆ ติดสอบ ติดอ่านหนังสือ ติดเรียน ติดรับปริญญา หรือไปเข้าค่าย สามารถลางานโดยไม่มีข้อแม้  เราจะไม่ปล่อยให้น้องๆ ต้องกังวลว่างานจะทำให้กระทบต่อการเรียน 

คาดหวังว่า WISHDOM จะจุดกระแสไอดอลไทยอย่างไรบ้าง

ปาณัสม์: ตลาดไอดอลในไทยมันค่อนข้างมีแนวโน้มโตขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเรายังจะสร้างกระแสได้ไม่มาก  แต่เราคาดหวังจะเสนอจุดยืนของเราให้ดีที่สุด จะเห็นได้ว่า content ที่เป็นข้อมูลทางการศึกษาต่างๆ ที่น้องได้โพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย ไม่จำเป็นต้องถูกกดไลค์ กดแชร์ เฉพาะแค่ในกลุ่มโอตะเสมอไป แต่มันเผยแพร่ไปถึงคนทั่วไปที่อาจจะไม่ได้สนใจไอดอล หรือไม่ใช่ฐานแฟนคลับหลักของเรา 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่น จีจี้ หนึ่งในสมาชิกในวง เคยโพสต์เรื่อง ‘อัลกอริธึม’ ของ แอปพลิเคชั่น Spotify ที่คำนวณตามพฤติกรรมฟังเพลงของ user โพสต์นี้มีคนเข้ามาแชร์และกดไลค์จำนวนมาก และนั่นคือ traffic ที่เราได้แลกเปลี่ยนโดยใช้ความรู้เป็นตัวเชื่อม

ในเมื่อ WISHDOM คือโรงเรียน ในฐานะผู้บริหารเราได้เรียนรู้อะไรจากโรงเรียนนี้บ้าง

ณภัทร: ผมค่อนข้างอยู่กับเอกสารอ้างอิงมาโดยตลอด เวลาน้องๆ อัพโหลดข้อความหรือ content ใดๆ ผมจะต้องรีเช็คความถูกต้อง โดยหารีเสิรช์ต่างๆ มายืนยัน มันก็ได้ฝึกตัวเองเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ปาณัสม์: สำหรับตัวผม การอยู่ตำแหน่ง CEO มันต้องดูแลภาพรวมทั้งโครงสร้าง มีเรื่องให้ต้องจัดการมากมาย มีการพูดคุยกับบริษัทแนวร่วม ถึงแม้ผมจะไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจมาก่อน แต่ก็ได้คำแนะนำจากคนอื่นๆ อยู่เสมอ เช่น การทำตลาดออนไลน์ การหาสปอนเซอร์ ทุกครั้งที่เราเข้าประชุมงานเหมือนกับได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เหมือนกัน

ศุภกร: การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าคุณยังเรียนในโรงเรียนหรือจบมาแล้วทำงานก็ตาม เราทุกคนยังต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา อย่างที่บอกว่าวงเรามีคอนเซปท์ที่แตกต่าง ผมได้เรียนรู้ว่าการคิดนอกกรอบนี้ มันคือการผสมผสานที่ลงตัว ทำให้การศึกษาไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ  

คุยสั้นๆ กับ 3 เมมเบอร์ ‘อะไรทำให้เข้ามาเป็นไอดอลสายการศึกษา?’

เอไมด์ – ศุภนุช สุขมะณี, ริยา – อิสริยา นิรัคฆนาภรณ์, จีจี้ – พรทิพย์ ทองอุไร

จีจี้ – พรทิพย์ ทองอุไร:
นักเรียน ม.6 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย
ถนัดด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์

“ไอดอลเป็นแค่วิชาหนึ่งในชีวิต เป็นวิชาที่หนูเข้าไปเรียน วันหนึ่งมันจะต้องมีการวัดผล ซึ่งก่อนวัดผลก็แค่เตรียมตัวให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”

จีจี้ – พรทิพย์ ทองอุไร

หนูชอบเต้นชอบร้องมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ชอบวิทย์คณิตเหมือนกัน เราเป็นคนเรียนได้ดีในระดับหนึ่ง แต่พื้นที่ให้เลือกทั้งเอนเตอร์เทนและวิทย์คณิตมันไม่ได้เยอะมาก หนูต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ WISHDOM ไม่จำเป็นต้องเลือกเลย มันมีทั้งสองอย่างที่เราชอบ หนูคิดว่าหนูมีความสามารถในเชิงวิชาการติดตัวมา และวงนี้มีคอนเซปท์ที่ตอบโจทย์ แต่พอเข้ามาแล้ว ถึงแม้หนูชอบเต้นโคฟเวอร์มากๆ แต่หนูไม่ได้เต้นเก่ง WISHDOM ช่วยให้หนูฝึกการเต้นให้ลึกขึ้น บางครั้งตอนที่เต้นไม่ได้ รู้สึกท้อมากๆ แต่เราก็พยายามทำมัน ซึ่งไม่ต่างอะไรจากการเรียน ถ้าทำไม่ได้-ก็อ่านหนังสือทวนอีกรอบ

แต่หนูเคยใช้ความพยายามผิดทาง เมื่อก่อนหนูพยายามจะเป็นใครก็ไม่รู้ อยากจะให้คนมารักมาชอบ แต่เมื่อหนูเปลี่ยนวิธีคิด ใช้ความพยายามนั้นกับตัวเอง บทบาทการเป็นไอดอลเป็นแค่วิชาหนึ่งในชีวิต เป็นวิชาที่หนูเข้าไปเรียน วันหนึ่งมันจะต้องมีการวัดผล ซึ่งก่อนวัดผลก็แค่เตรียมตัวให้ดีที่สุดก็พอแล้ว

ริยา – อิสริยา นิรัคฆนาภรณ์:
จบการศึกาาคณะวิศวกรรมศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

“เรารู้สึกว่าไอดอลยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบให้กับใครบางคนได้อยู่ ยิ่งถ้าได้ใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อช่วยคนอื่น มันทำให้เรารู้สึกมีค่าและเติมเต็มมากๆ”

ริยา – อิสริยา นิรัคฆนาภรณ์

ที่ตัดสินใจสมัครเข้ามาในวงนี้เพราะคิดว่าเรายังมีความสามารถอื่นๆ ที่เอามาใช้ได้อีก เราไม่จำเป็นต้องเลือกอะไรเลย Why choose? when we can have both เราเป็นได้ทั้งสองอย่าง 1. เป็นไอดอล 2. เป็นผู้เผยแพร่ความรู้

ก่อนหน้านี้เรารู้ว่าไอดอลคืออาชีพหนึ่งที่ออกมาร้องมาเต้น ไอดอลแค่ต้องถ่ายรูปลงโซเชียล พูดคุยกับแฟนคลับ แต่พอมาทำจริงๆ เรารู้สึกว่าไอดอลยังทำหน้าที่เป็นต้นแบบให้กับใครบางคนได้อยู่ ยิ่งถ้าได้ใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อช่วยคนอื่น มันทำให้เรารู้สึกมีค่าและเติมเต็มมากๆ ซึ่งมันเป็นคอนเซปท์ของวง

เอไมด์ – ศุภนุช สุขมะณี:
นักเรียน ม.5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ชอบค่ายและงานจิตอาสา

“การเป็นไอดอลมันยากทั้งร่างกายและจิตใจ แต่มันทำให้หนูได้ออกมาจาก comfort zone หลังจากป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เรื่องความกดดันมีอยู่บ้าง แต่หนูจะเอาข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนไม่ใช่บาดแผล มันทำให้หนูรู้สึกว่าตัวเองได้พยายามอีกครั้ง”

เอไมด์ – ศุภนุช สุขมะณี

หนูชื่นชมไอดอลวงหนึ่งอยู่แล้ว มีช่วงหนึ่งที่หนูรู้สึกแย่กับชีวิต หนูได้ไอดอลวงนี้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น – หนูจึงอยากเป็นคนหนึ่งที่ส่งต่อความรู้สึกดีๆ ส่งกำลังใจให้คนอื่นบ้าง จึงทำให้หนูสมัครเข้ามา อีกอย่างหนูชอบร้องเพลงอยู่แล้ว และคิดว่านี่คือก้าวแรกที่หนูจะได้ทำตามความฝันของตัวเอง ผ่านการทำสิ่งที่หนูรัก

ไอดอลคือสัญลักษณ์ของความพยายาม มอบความรู้ ความสุข ให้กำลังใจ

การเป็นไอดอลมันยากทั้งร่างกายและจิตใจ แต่มันทำให้หนูได้ออกมาจาก comfort zone หลังจากป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เรื่องความกดดันมีอยู่บ้าง แต่หนูจะเอาข้อผิดพลาดเป็นบทเรียนไม่ใช่บาดแผล มันทำให้หนูรู้สึกว่าตัวเองได้พยายามอีกครั้ง แม้ยอดไลค์หนูไม่เยอะ แต่ถ้าคอนเทนต์นั้นมันมีประโยชน์สำหรับใครสักคนที่เข้ามาอ่าน ก็พอใจแล้ว

หนูไม่รู้ว่าวงอื่นเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่หนูรู้สึกได้จาก WISHDOM นอกจากการฝึกร้อง เต้น เราคือวงที่พูดคุยกับเรื่องความรู้ แชร์ข้อมูลกัน แบ่งปันในสิ่งที่แต่ละคนถนัด

Tags:

ปาณัสม์ ครุฑธาซศุภกร ไชยอเนกวุฒิณภัทร จารุเรืองศรีไอดอลระบบการศึกษาศิลปินดนตรี

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Unique Teacher
    สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

    เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Voice of New Gen
    ความสำเร็จแชมป์บีบอยพระสุเมรุ ‘แพ้มันเข้าไป ไฟห้ามหมด’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Everyone can be an Educator
    รักที่จะเรียน: ความโรแมนติกในความรู้ ฉบับนักเรียนโอลิมปิกของแทนไท ประเสริฐกุล

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    รักที่จะแร็ป: เส้นสีแดงแห่งไรม์ และด้านมืดสว่างของแร็ปเปอร์

    เรื่อง

“คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา
Social Issues
9 October 2019

“คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เวทีที่สองของ #ครูขอสอน ตั้งคำถามสำคัญกับคนทั่วไปว่า “คุณมาโรงเรียนทำไม”
  • คำตอบอันดับ 1 พบว่า พวกเขามาเพื่อเรียนรู้ พัฒนาร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา ส่วนเรื่องความรู้และวุฒิการศึกษา กลับหล่นลงไปเป็นอันดับรองๆ
  • คำตอบดังกล่าว คือคีย์เวิร์ดของหัวข้อ “อนาคตที่อยาก การศึกษาที่อยากเป็น” ที่ชวนคุยในเวทีครั้งนี้

เวทีที่สองของ #ครูขอสอน* เครือข่ายครูที่ตั้งใจทำงานเป็นแกนกลางรวบรวมเสียงของครู นักเรียน ผู้ปกครอง-ในฐานะเจ้าของสิทธิใช้ประโยชน์จากแหล่งบ่มเพาะการศึกษาในรั้วโรงเรียน – ครั้งแรกพวกเขาจัดเวทีชื่อ ตั้งวงเล่า #1 เมื่อ ‘ครู’ ไม่ได้ทำหน้าที่ครู: เสรีนิยมใหม่ในโรงเรียนไทย (ดูเพิ่มเติมที่นี่) บอกเล่าเหตุผลภายใต้โครงสร้างสังคมที่ทำให้ครูไม่ได้สอนหนังสือ

แต่วันนี้ วันที่ 5 ตุลาคม 2562 ซึ่งตรงกับวันครูโลก (World Teachers’ Day) #ครูขอสอน ขอเปิดอีกหนึ่งเวที ชวนคุยกันในประเด็น ‘อนาคตที่อยาก การศึกษาที่อยากเป็น’ นำเสนอผลสำรวจความเห็นจากคนทั่วไปจำนวน 1,277 คน ในประเด็นความคาดหวังที่คนทั่วไปมีต่อโรงเรียนในอนาคต 

รายชื่อวิทยากรบนเวที มีรายนามและนำพูดในประเด็นดังนี้ 

  • ทักษิณ อำพิณ นักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม ในฐานะเสียงของนักเรียนจริงๆ
  • กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาฟินแลนด์ในแง่ ‘ตัวอย่าง’ ของโรงเรียนที่ก้าวหน้าและสร้างกำลังของประเทศได้จริง ว่าเขามีวิธีการทำงานแบบไหน
  • ครูทิว-ธนวรรธน์ วุวรรณปาล ครูโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง และ ครูพล–อรรถพล ประภาสโนบล ครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการปทุมธานี นำเสนอแบบสำรวจ ตัวแทนเสียงของครู และผู้ชี้ประเด็น ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ…. ที่กำลังจะร่างขึ้น ว่าควรมีหน้าตาแบบไหน และข้อกังวลต่อร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวคืออะไร
  • ณัฏฐเมธร์ ดุลคนิต ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 เป็นผู้ชวนคุยและนำบทสนทนา

เสียงคนทั่วไป “อนาคตที่อยาก การศึกษาที่อยากเป็น”

ครูทิว เปิดวงคุยด้วยการหยิบผลสำรวจจากครู นักเรียน ผู้ปกครอง และบุคคลในอาชีพอื่น จำนวน 1,277 คน ในประเด็นอนาคตการศึกษาแบบไหนที่พวกเขาอยากเห็น ครูทิวเริ่มด้วยคำถามว่า “เคยตั้งคำถามต่อตัวเองไหมว่ามาโรงเรียนไปทำไม” คำถามนี้ต้องการให้นัยยะว่า บุคคลทั่วไปคิดว่าบทบาทของโรงเรียนเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ใด หรือพูดให้ง่ายกว่านั้น “คุณมาโรงเรียนทำไม?”

โดยความคาดหวังต่อโรงเรียน เรียงตามอันดับดังนี้ (หนึ่งคน ตอบได้มากกว่า 1 คำตอบ คำตอบที่ได้จึงรวมกันแล้วเกิน 100 เปอร์เซ็นต์)

  • 20%: เพื่อให้ได้วุฒิการศึกษาตามกรอบที่สังคมกำหนด
  • 41%: เพื่อมาอบรมจริยธรรม คุณธรรม เพื่อให้ได้รับการขัดเกลาตามกรอบสังคม
  • 45%: เพื่อมารับการถ่ายทอดความรู้
  • 45%: เพื่อฝึกฝนการอยู่ร่วมกับคนอื่น
  • 46%: เพื่อพัฒนาตัวเองและเปลี่ยนแปลงสังคม
  • 49%: เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบตัวเอง
  • 65%: เพื่อการเรียนรู้ พัฒนาร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา

โดย 41.45 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า โรงเรียนตอบสนองต่อสิ่งที่พวกเขาคาดหวังได้ในระดับ ‘ปานกลาง’ และหากดูจากกราฟจะพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามยังคิดว่า โรงเรียนตอบสนองความต้องการของพวกเขาในสัดส่วนที่ ‘น้อย’ อยู่

จุดนี้ ครูพล ตั้งคำถามว่า หากคนมองว่าการศึกษาที่มีอยู่ยังไม่เติมเต็มการเติบโตทั้งทางกาย จิตวิญญาณ และสมรรถนะของพวกเขา ต้องกลับมาถามตัวเองดังๆ กันแล้วว่า ทำไมการศึกษาจึงไม่สามารถพาเราไปถึงจุดนั้นได้

ครูพลบอกว่าเขาได้ยินเสียงของเด็กหลายคนที่เลือกเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ เลือกทำตามความฝันของตัวเองไม่ได้ เพียงเพราะต้องทำตามแรงผลักของสังคม ต้องทำอะไรก็ตามเพื่อความอยู่รอดในชีวิต ณ เหตุการณ์ตรงหน้าก่อน แต่หน้าที่ของโรงเรียนในแง่การประกันสิทธิการเข้าถึงการศึกษาของผู้เรียน ต้องไม่สร้างเงื่อนไขให้คนต้องเลือกระหว่าง ทำตามความฝันหรือสิ่งที่สังคมบอก จะเรียนหนังสือหรือออกไปทำมาหากิน หรือเงื่อนไขอื่นๆ 

ส่งไมค์ต่อไปที่ ทักษิณ ในฐานะตัวแทนนักเรียน เขาให้ความเห็นส่วนตัวและเสียงจากเพื่อนนักเรียนใกล้ตัวเฉพาะประเด็น ทำไมการศึกษาจึงไม่ทำให้เขาพัฒนาตัวเองในทักษะที่เขาชอบและถนัดได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคาดหวังของผู้คนรอบข้างที่คอยส่งเสียงและเลือกทางเดินให้เขาและเพื่อนหลายคน

ต่อมาเป็นเรื่องการประเมินผลโดยเฉพาะการตัดเกรด ทั้งที่เขารู้ชัดเจนว่าอยากเรียนต่อเพื่อทำงานในแวดวงไหน แต่เกรดบางตัวที่เขาไม่ถนัด (ซึ่งวัดผลจากการทำข้อสอบ) ทำให้เขาและเพื่อนหลายคนเลือกเรียนในกลุ่มหรือสายวิชาที่ไม่สามารถต่อไปยังคณะที่อยากเรียนได้

อันที่จริงประเด็นนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ ไม่ว่าพูดคุยกับคนในเจนเนอเรชั่นไหนเราก็ได้ยินเรื่องเล่าทำนองนี้ ที่ต้องถามมากกว่าคือ ทำไมมรดกแห่งสถานการณ์แบบนี้ ยังคงส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ไม่เคยหายไปสักที

“การศึกษาที่ไม่เปิดโอกาสให้เป็นตัวของตัวเอง ถ้าไม่ทำตามเงื่อนไขที่วางไว้ คุณก็จะไม่ได้ความรู้” ทักษิณขมวดประเด็น

กุลธิดา ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการศึกษาฟินแลนด์ จับไมค์เพื่อขยายประเด็นว่าการศึกษาในประเทศโลกที่หนึ่งจัดการการศึกษาอย่างไร และอธิบายจาก พ.ร.บ.การศึกษาของฟินแลนด์ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ราวปี 1999 และยังคงใช้สืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน ขั้นแรกเธอกล่าวว่า ใน พ.ร.บ.การศึกษาฟินแลนด์ เขียนไว้ทั้งแบบแคบและกว้าง คือ

แบบกว้าง – การศึกษาฟินแลนด์เขียนชัดว่าการศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องเข้าถึงได้อย่างมีมาตรฐาน และฟรี

แบบแคบ – หากเด็กที่บ้านอยู่ไกลจากโรงเรียนเกินรัศมี 5 กิโลเมตร โรงเรียนต้องจัดรถรับส่งให้นักเรียนคนนั้น

ทั้งหมดนี้มีรายละเอียดอีกมาก แต่เป็นสิ่งที่เธอตั้งคำถามและพยายามนำประเด็นนี้ไปสู่วงคุยของคนระดับนโยบายว่า ในร่างพ.ร.บ.การศึกษาของไทยที่กำลังทำประชาพิจารณ์และร่างขึ้นอยู่นี้ เราจะลงรายละเอียดให้กว้าง และ แคบ ในประเด็นไหนและอย่างไร

อีกครั้ง – ทั้งหมดนี้มีรายละเอียดอีกมาก แต่ในโครงสร้างพื้นฐานการจัดการศึกษาฟินแลนด์ ประกอบไปด้วยจิ๊กซอว์ 3 ตัวที่ต่อกันสนิทคือ

ครูและคนในท้องถิ่นเป็นเจ้าของการศึกษา หนึ่ง-ออกแบบ หลักสูตร ของตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงตามมาด้วย สอง-ครูออกแบบการประเมิน ของตัวเองได้ เมื่อออกแบบการประเมินเองได้ แน่นอนที่สุด สาม-ครู ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ในห้องเรียนตัวเองอย่างอิสระเสรี

หลักสูตร การประเมิน และ การเรียนรู้ – นี่คือจิ๊กซอว์ 3 ชิ้นที่ต่อกันสนิท แต่ระหว่างรอยต่อของจิ๊กซอว์แต่ละชิ้น กุลธิดากล่าวว่า มันคือ ความเชื่อใจ เชื่อใจว่าจิ๊กซอว์ทั้ง 3 ชิ้นจะทำงานร่วมกันในการออกแบบวิธีการทำงานและกฎเกณฑ์ให้เอื้อต่อการสร้างสรรค์การเรียนรู้ของผู้เรียนจริงๆ ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อจ้องจับคนผิด ลงโทษคนที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่งาน

ก่อนจบวงสนทนา ครูพล เป็นตัวแทนกลุ่มครูขอสอน ชวนทุกคนจับตาดูร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับดังกล่าวที่กำลังเตรียมปรับปรุงและดำเนินการพร้อมใช้ หนึ่งในเหตุผลที่ต้องจับตาคือ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวมีสิ่งที่หายไปคือ ข้อความเกี่ยวกับการยืนยันสิทธิการเข้าถึงการศึกษาของผู้เรียน กลไกในการประกันสิทธิการศึกษาของผู้เรียนไม่ชัดเจน เครือข่าย #ครูขอสอน จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการรวบรวมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนและจะนำเสนอต่อคณะกรรมการร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวต่อไป


#ครูขอสอน เครือข่ายครูที่ตั้งใจทำงานเป็นแกนกลางรวบรวมเสียงของครู นักเรียน ผู้ปกครอง ในฐานะเจ้าของสิทธิใช้ประโยชน์จากแหล่งบ่มเพาะการศึกษาในรั้วโรงเรียนนี้ ทั้งหมดเพื่ออยากสื่อสารว่า
หนึ่ง – ครูทุกคนหวังใจอยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี สร้างสรรค์ และทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อพัฒนามนุษย์คนหนึ่งให้เต็มพร้อมและเติบโตอย่างสุดความสามารถ แต่ด้วยโครงการการทำงานและภาระงานที่ท่วมท้น ดึงครูออกจากหน้าที่นั้นและไปโฟกัสกับการทำงานด้านเอกสาร ติดตามข้อมูลเรื่อง ‘เวลาของครูไทยหายไปไหน’ ได้ที่นี่
สอง – ครูขอสอนเชื่อว่า การศึกษาคือสิทธิที่ทุกคนต้องเข้าถึงอย่างเท่าเทียม เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐไม่อาจเพิกเฉย งานหลักของเครือข่ายกลุ่มนี้จึงระดมสรรพกำลังเพื่อชวนคนออกมาให้ความเห็นต่อ ‘ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.…’ และจับตามองว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเพิ่ม ลด เนื้อหาส่วนใด และจะยังเป็นไปเพื่อรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนหรือไม่
สาม – เพื่อให้หลักการในข้อสอง เป็นไปอย่างราบรื่นและอย่างมี ‘เสียง’ ของผู้คนจริงๆ ครูขอสอนจึงออกแบบการรับฟังเสียงที่ให้ได้เสียงของผู้คนที่หลากหลายไม่เพียงเฉพาะครู แต่คือผู้ปกครอง พ่อแม่ นักเรียน และบุคคลทั่วไปที่ต่างได้รับผลกระทบจากการศึกษา ให้เข้ามาร่วมวงและทำประชาพิจารณ์ย่อยๆ วิธีการมีทั้งเปิดรับผ่านแบบสอบถามออนไลน์ และพวกเขาตั้งใจจัดวงระดมความคิดในหลายๆ จังหวัด
ติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ที่แฮชแท็ก #ครูขอสอน และในเพจหลักที่นี่

Tags:

กลุ่มพลเรียนครูระบบการศึกษางานเสวนาก่อการครู

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

  • Education trend
    สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

เวลาทองของพ่อแม่ เป็นหน้าที่รัฐบาลที่ใช้การได้: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
EF (executive function)
8 October 2019

เวลาทองของพ่อแม่ เป็นหน้าที่รัฐบาลที่ใช้การได้: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

คำแนะนำประเภทพ่อแม่ที่ดีควรมีเวลาให้ลูกมากๆ เป็นคำแนะนำประเภทน่ารำคาญ ดังที่ทราบกันว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ ได้ต้นเดือนกินให้ถึงปลายเดือน ชักหน้าไม่ถึงหลัง หนี้สินล้นพ้นตัว รถหนึ่งคันบ้านหนึ่งหลังรวมค่ากวดวิชาเด็กๆ จากเตรียมอนุบาลถึงมัธยมหก หาเงินทั้งชาติก็ไม่มีวันจะได้

คลอดเด็กเสร็จแล้วไปหาเงินเป็นเรื่องจำเป็น

ในชนบทวันนี้ เด็กเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่กับปู่ย่าตายาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปู่ย่าตายายยุคเบบี้บูมเมอร์ จึงเลี้ยงหลานตามมีตามเกิดและหลานไม่ควรจะเป็นอะไรเพราะเคยเลี้ยงลูกตามมีตามเกิดมาแล้ว เด็กๆ เล่นดินทรายปั้นควายเล่นได้เอง

แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน มีใครบางคนยื่นมือถือให้หลาน

หากอยู่บ้านปู่ย่าตายายมิได้เพราะเหตุใดก็ตาม หรือบางหมู่บ้าน บาง อบต. ก็มีนโยบายไม่ให้เด็กอยู่กับปู่ย่าตายายเพราะเกรงว่าจะขาดสารอาหารหรือการกระตุ้นพัฒนาการ จึงมีนโยบายให้ส่งเด็กทุกคนมาที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งมีชื่อย่อว่า ศพด. อันไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย

วิถีชุมชนเดิมถูกรบกวน พี่เลี้ยงเด็กจำนวนไม่พอหรือขาดคุณสมบัติของพี่เลี้ยงที่ดี เจ้าหน้าที่ ศพด. หลายคนก็ยังขาดความรู้ทางจิตวิทยา ทำให้เด็กพัฒนาการติดขัด พ่อแม่ไม่อยู่ ปู่ย่าตายายไม่มี มี ศพด. ที่ทรัพยากรและคุณภาพไม่เต็มร้อย

สาเหตุหนึ่งเพราะ ศพด. มิได้เป็นอิสระจากส่วนกลางด้วย

ภายใต้สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่มีทางออกนี้ เราจะแก้ไขปัญหาพัฒนาการเด็กได้อย่างไร ภายใต้ตัวชี้วัดที่ว่ามีเด็กป่วยไปรอพบจิตแพทย์เด็กที่โรงพยาบาลของรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลง

มีทางออก 3 ทาง 1.สร้างรัฐสวัสดิการโดยเร็ว 2.ให้ ศพด. มีอิสระในการบริหารรวมทั้งบริหารงบประมาณโดยเร็ว 3.ให้อำนาจจัดการการศึกษาเป็นของส่วนท้องถิ่น อันนี้เขียนแบบไม่เกรงใจคนที่พูดว่าทำไม่ได้

กลับมาที่เรื่องพ่อแม่ไม่มีเวลา ปู่ย่าตายายไม่มีความรู้ และ ศพด. ไม่มีอำนาจบริหาร เราทำอะไรได้บ้าง

เด็ก 1 คนจำเป็นต้องมีมนุษย์ 1 คนที่มีเวลาให้แก่เขา ‘มากพอ’ ที่เขาจะรับรู้ว่ามนุษย์คนนั้นเป็นเสาหลักได้ ทำให้เขาไว้ใจ ไว้ใจมากพอที่เขาจะสร้างสัมพันธ์ด้วยได้ แล้วพัฒนาตัวตนให้ชัดมากพอที่จะพัฒนาความสามารถควบคุมตนเองได้ หากเวลาที่ว่านั้น ‘ไม่มากพอ’ มนุษย์คนนั้นย่อมไม่มีอยู่จริง พัฒนาการเด็กก็จะล้มระเนระนาดเช่นทุกวันนี้

มนุษย์คนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นแม่และเมีย ดีเอ็นเอยิ่งไม่เกี่ยว

เราจะหาหรือสร้างเวลาที่มากพอนี้ได้อย่างไร บางคนเรียกว่าเวลาทอง ด้วยยังเชื่อว่าเวลามีค่าเท่าทองคำ และทองคำเป็นของมีค่า

ที่จริงแล้วเวลาทองนั้นมิใช่ของที่มีอยู่ตั้งแต่แรกด้วยเหตุผลระดับชาติข้างต้น ดังนั้นเวลาทองจึงเป็นเรื่องต้อง ‘หา’ และบางครั้งก็ต้อง ‘สร้าง’ เพราะมันไม่มีจริงๆ ตั้งแต่แรก

อีกครั้งหนึ่ง-ปากกัดตีนถีบก็ยังมีเงินไม่พอใช้แล้วจะมีเวลาทองได้อย่างไร

เด็กเติบโตได้เอง ความข้อนี้จริงแท้แน่นอน เราทำหน้าที่เพียงแค่ป้องกันอันตรายและวางวินัยที่สำคัญบางประการก็พอ นี่เป็นหลักการอีกข้อที่ควรทราบ ปัญหาพฤติกรรมเด็กจำนวนมากทุกวันนี้เกิดจากคุณพ่อคุณแม่ ‘มากไป’ และการศึกษา ‘มากไป’ ที่จริงแล้วเราปล่อยเด็กเล่นมากๆ ใน 7 ขวบปีแรกภายใต้กติกาบางประการเพื่อช่วยให้เขาควบคุมตนเองได้ก็พอแล้ว

เด็กเล่นคนเดียวได้ก็เป็นความจริงอีก มีพ่อแม่เล่นด้วยเขาก็ชอบ มีปู่ย่าตายายเล่นด้วยเขาก็ชอบ มีครูพี่เลี้ยง ศพด. หรือเพื่อนๆ เล่นด้วยเขาก็ชอบ แต่ถ้าสมมุติไม่มีใครเลยเขาเล่นคนเดียวได้และพัฒนาเองได้แน่นอน อย่าจับไปบังคับเรียนหนังสือก็พอ

แต่มีบ้างบางเวลาที่เขาจะเหลียวดูคน ถ้าเขาพบว่าข้างๆ มีมนุษย์ 1 คนอยู่เป็นประจำ สม่ำเสมอ และต่อเนื่องยาวนานมากพอ เวลาที่ว่าคือมากพอ เขาจะยอมรับมนุษย์คนนั้นเป็นเสาหลักของพัฒนาการ คือเป็นแม่ที่มีอยู่จริง โดยที่คำว่าแม่ในที่นี้มิได้จำเป็นต้องเป็นสตรี ส่วนจะเป็นหุ่นยนต์หรือเอไอได้หรือเปล่าเป็นเรื่องที่เราต้องดูกันต่อไป

ดังนั้นเวลาทองคืออะไร เวลาทองคือเวลาที่เราจะอยู่ข้างๆ ลูก เท่านี้เอง

เราในที่นี้เป็นได้ทั้งพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ครูพี่เลี้ยง ศพด. หรือเจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใดๆ พูดง่ายๆ ว่าหากเรายุ่งมาก หรือเหนื่อยมาก (จากงานปากกัดตีนถีบ) หรือมิได้อยู่บ้านทุกวัน (จากงานปากกัดตีนถีบ) ลำพังเพียงการปรากฏตัวเป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องยาวนานก็พอใช้ได้ เด็กทุกคนเรียนรู้ได้จาก ‘ความสม่ำเสมอ’

ตำราบางเล่มใช้คำว่า ‘จังหวะ’ เมื่อพ่อแม่ปรากฏกายเป็นจังหวะที่เขาทำนายได้ พ่อแม่ก็จะมีอยู่จริง

พ่อแม่ที่รู้งาน มีเวลา และมีเงินย่อมทำอะไรได้มากกว่านั้นใช่ (แต่ก็ไม่ทุกคน) อย่างไรก็ตามพ่อแม่ที่ยากจน เป็นคนชั้นล่าง ค่าแรงวันละ 300 บาท ผู้หญิงเผลอๆ ได้น้อยกว่านี้อีก ต้องฝากลูกให้คนอื่นเลี้ยง และไม่ได้มีเวลามาอ่าน The Potential (ก็เพราะปากกัดตีนถีบ) หากมีใครบางคนเดินไปบอกเขาเหล่านั้นว่าเวลาทองเป็นเรื่องสำคัญ เราอาจจะพอมีความหวังว่าเขาจะหาเวลาทองนั้นพบหรือสร้างขึ้นได้ ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าก็ไม่เคยมีใครมาบอกนี่นาว่าเวลาทองเป็นเรื่องสำคัญ

เรื่องจะกลับมาที่รัฐอยู่ดี เราไม่สามารถทำงานพัฒนาการเด็กได้เลยถ้ามีรัฐหรือรัฐบาลที่ไม่มีทั้งวิสัยทัศน์และความสามารถ ถ้าเราต้องการมีเวลาทอง (คือไม่ต้องปากกัดตีนถีบมากไป) เราจำเป็นต้องเลือกตั้ง และเลือกตั้งซ้ำๆ จนกว่าจะได้รัฐหรือรัฐบาลที่ใช้การได้

เราจึงจะมีเวลาทอง

Tags:

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาเวลาทอง

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 7 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน2) เด็กต้องการการสบตาและการเล่นกับพ่อแม่ตัวเป็นๆ มากกว่าสิ่งใด

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ใช้ลูกกวาดบ้าน vs หุ่นยนต์ดูดฝุ่น แบบไหนดีกว่ากัน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน
Voice of New Gen
8 October 2019

สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • แม้ยังมีความกังวลถึงความพร้อมของครูผู้สอนในวิชา Coding แต่หลักสูตรนี้ถือว่าเป็นหลักสูตรที่มีประโยชน์ ทำให้ผู้เรียนได้รับองค์ความรู้ใหม่ๆ และฝึกทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม ฝึกการแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงพัฒนาการทางกล้ามเนื้อมือ และการตัดสินใจได้อีกด้วย
  • หนังสือ ‘Coding as a Playground’ ระบุว่า เด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ขวบ สามารถเรียนรู้วิธีการคิดเชิงคำนวณได้ แต่การสอนนั้นจะต้องถูกวิธี เหมาะสมตามวัยและพัฒนาของผู้เรียน
  • เทคนิคสำคัญที่ทำให้การเรียน Coding แบบไม่ใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged) ทำได้จริง และผลักให้นักเรียนอยากเป็นผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีมากกว่าผู้ใช้งาน คือ ความสนุก

เมื่อโลกหมุนไป เทคโนโลยีย่อมหมุนตาม วิชา Coding คือการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าระบบการศึกษาในประเทศไทยขยับตัว

Coding คือส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิทยาการคำนวณที่บรรจุอยู่ในกลุ่มสาระเทคโนโลยี เป็นนโยบายเร่งด่วนที่กระทรวงศึกษาธิการ เตรียมผลักดันให้เด็กทุกชั้นปี-ทุกโรงเรียนต้องเรียน เริ่มตั้งแต่ ป.1 โดยจะเริ่มสอนเทอมสอง ในเดือนพฤศจิกายนนี้

บทความตอนที่แล้ว(Codiing คืออะไร) ช่วยอธิบายให้เห็นเป้าหมายโดยรวมของวิชา Coding ที่มุ่งเน้นให้เด็กฝึกคิดอย่างเป็นระบบ ค้นเจอปัญหาและเงื่อนไข รู้เหตุและผล เข้าใจกระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา โดยไม่จำเป็นต้องเรียนผ่านคอมพิวเตอร์

คำถามคือ เด็กจะเรียน Coding โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ได้จริงหรือ 

The Potential ชวน ‘ภูมิ’ ภูมิปรินทร์ มะโน วัย 18 นักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือ software developer บริษัท OmniVirt สตาร์ทอัพสัญชาติไทยในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในฐานะ ‘Coder’ คลี่คลายประเด็น เพราะภูมิคือผู้ใช้งานเทคโนโลยีตัวจริง ผ่านการจัดค่ายความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์และเทคนิคต่างๆ ให้กับเยาวชนที่สนใจ โดยสอน Coding ด้วยวิธีการง่ายๆ ผ่านการเล่นให้สนุก ให้เหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่น

ภูมิ – ภูมิปรินทร์ มะโน 

สำหรับ Coder  ‘Coding’ คืออะไร

คำว่า coding เป็นคำจำกัดความกว้างๆ ที่สามารถนิยามได้สองความหมายครับ

ในแง่หนึ่ง เราสามารถตีความได้ว่า coding คือการเขียนโค้ด ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งในการเขียนโปรแกรมที่เรานำขั้นตอนและวิธีคิดในการแก้ปัญหา ที่เรียกกันว่า ‘อัลกอริธึม’ ไปเขียนให้อยู่ในรูปแบบของโค้ดในภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นการแปลงวิธีคิดให้กลายเป็นโค้ดที่สามารถทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ได้

แต่ในอีกแง่หนึ่ง เราก็สามารถตีความ coding ว่าเป็น การคิดเชิงคำนวณ (computational thinking) ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นกระบวนการคิดแก้ปัญหารูปแบบหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดหรือใช้คอมพิวเตอร์ในการแก้ปัญหา และเป็นทักษะที่ทุกคนสามารถมีได้โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมเป็น

การคิดเชิงคำนวณ เป็นวิธีคิดที่มองวิธีการแก้ปัญหาเป็นลำดับขั้นตอน (algorithmic thinking) ที่ทำให้เราสามารถอธิบายปัญหาในรูปแบบที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยแก้ปัญหาได้ ซึ่งใช้ทักษะหลายส่วนประกอบกัน เช่นการจัดเรียงและวิเคราะห์ข้อมูลที่มี การวิเคราะห์ปัญหาและหาวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด และการประยุกต์ข้อมูลวิธีการแก้ปัญหานี้ไปใช้กับปัญหาอื่นๆ

ทำให้คำว่า coding สามารถตีความได้ทั้งสองความหมาย ขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้ในการสื่อสาร ซึ่งในบทความนี้ผมจะอิงตามความหมายที่สองเป็นหลักครับ

โปรแกรมเมอร์ หรือคนในสาย IT ใช้ Coding ในการทำงานอย่างไรบ้าง

ในการทำงาน โปรแกรมเมอร์เขียนโค้ดเพื่อสร้างซอฟต์แวร์ตามความต้องการของภาคธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและแก้ปัญหาที่ผู้ใช้พบเจอ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของแอพพลิเคชั่น เว็บไซต์ ไปจนถึงโปรแกรมที่ทำงานในฮาร์ดแวร์ต่างๆ

นอกจากนั้น โปรแกรมเมอร์ยังสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อลดทอนขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น เพื่อทำให้ขั้นตอนบางส่วนกลายเป็นระบบอัตโนมัติ เช่นการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ หรือสร้างรายงานสรุปผล โดยที่เราไม่ต้องทำขั้นตอนเหล่านั้นด้วยตัวเอง ที่เรียกว่า automation ครับ

นอกจากการทำงานแล้ว เราสามารถเขียนโปรแกรมขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่ตัวเองพบเจอในชีวิตประจำวันได้ เช่น เขียนโปรแกรมบันทึกรายรับรายจ่ายอัตโนมัติจากข้อความ SMS ที่ธนาคารส่งมา หรือเขียนโปรแกรมขึ้นมาปิดปั๊มน้ำหลังจากเดินออกจากห้องน้ำ ทำให้ทุกคนสามารถกลายเป็นนักเวทมนตร์ที่เสกสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ผ่านการเขียนโปรแกรม

ในฐานะโปรแกรมเมอร์ คิดอย่างไรกับการให้เด็กๆ เรียนวิชา Coding

โดยส่วนตัว ผมไม่แนะนำให้เริ่มสอนวิชาวิทยาการคำนวณในประเทศไทยในตอนนี้ครับ

ไม่ได้เป็นเพราะว่าหลักสูตรยังไม่พร้อม ผมเชื่อว่าหลักสูตรที่ออกแบบมามีคุณภาพดีมาก เทียบเท่าหลักสูตรของต่างประเทศได้เลย แต่เป็นเพราะผมเชื่อว่าคุณครูส่วนมากในประเทศไทย ยังไม่พร้อมที่จะส่งต่อประสบการณ์และความสนุกของวิชานี้ได้

ถ้าเริ่มสอนวิชานี้ไปโดยที่สภาพแวดล้อมในการสอนยังไม่พร้อม จะส่งผลร้ายต่อผู้เรียนมากกว่าผลดี โดยเฉพาะกับนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น ซึ่งเป็นวัยที่เริ่มวางรากฐานความสนใจในระยะยาว ทำให้เด็กมีมุมมองในแง่ลบกับการเขียนโปรแกรม มองว่าการเขียนโปรแกรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและไม่สนุก

ซึ่งการสอนวิชาวิทยาการคำนวณ โดยเฉพาะกับกลุ่มนักเรียนในชั้นประถมศึกษา เราจะตีความคำนี้ในบริบทของการสอน computation thinking ซึ่งเน้นวิธีคิดมากกว่าการเขียนโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ ทำให้ความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน และสภาพแวดล้อมในโรงเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญมากเป็นพิเศษ

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ผมเชื่อว่าทั้งครูผู้สอนและโรงเรียนในประเทศไทย ยังขาดความพร้อมในการสอนด้านวิทยาการคำนวณมาก

การสอน คือการส่งมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตนเองเคยได้รับมา ส่งมอบความสนุกในการเรียนรู้เหล่านั้นไปให้กับผู้เรียน ซึ่งการสอนจำเป็นจะต้องมีทักษะสองด้าน คือองค์ความรู้ในวิชาวิทยาการคำนวณ (domain knowledge) และทักษะในการในการสอนให้สนุกและน่าติดตาม (delivery)

การเรียนการสอนวิชาวิทยาการคำนวณให้สามารถส่งต่อความรู้และประสบการณ์ให้กับนักเรียนได้ หมายความว่าคุณครูต้องเคยสัมผัสกับประสบการณ์ความสนุกตรงนี้มาก่อน ถึงจะสามารถสอนได้เห็นภาพ เข้าใจง่าย และจับต้องได้

ด้วยความที่คุณครูหลายท่านยังไม่เคยได้รับประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้ยังขาดทั้งองค์ความรู้ที่จะสามารถสอนได้อย่างตรงประเด็น ถ่ายทอดความเข้าใจ และไม่มีทักษะ เครื่องมือ วิธีการเรียนการสอนที่ทำให้การเรียนรู้ด้านนี้เป็นเรื่องที่สนุกและจับต้องได้ จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่คุณครูเหล่านี้จะสอนวิชาวิทยาการคำนวณได้อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งไม่ใช่ความผิดของคุณครูเลย

นอกจากนั้น โรงเรียนยังขาดงบประมาณที่สามารถซื้อเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนรู้สนุก และจับต้องได้มากขึ้น อย่างของเล่นโค้ดดิ้ง (coding toys) คอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ ฮาร์ดแวร์ และเครื่องมืออื่นๆ ที่จะช่วยให้การเรียนรู้มีจุดหมาย เป็นรูปธรรม ผู้เรียนจะเห็นภาพทันทีว่าเราเรียนวิชานี้ และวิชาอื่นๆ ไปเพื่ออะไร ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน

เด็กประถมเมื่อเรียน Coding เขาจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง

หนังสือ ‘Coding as a Playground’ (สนามเด็กเล่นแห่งการโค้ด) ของคุณ Marina Umaschi Bers เป็นหนังสือที่อธิบายว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ขวบ สามารถเรียนรู้วิธีการคิดเชิงคำนวณเพื่อพัฒนาทักษะด้านการเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ๆ และทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมได้

เขาอธิบายว่าการเขียนโค้ดผ่านการเล่นที่สอนอย่างถูกวิธี ทำให้เราสามารถปลูกฝังนักเรียนให้เป็นผู้สร้างสรรค์มากกว่าผู้ใช้งานเทคโนโลยี ในรูปแบบที่สนุกสนาน และยังพัฒนาทักษะด้านการแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ การเข้าสังคม การพัฒนาทักษะทางกล้ามเนื้อมือ การเข้าใจอารมณ์ตัวเอง และการตัดสินใจได้อีกด้วย

นอกจากนั้น การเขียนโปรแกรมยังช่วยในการบูรณาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชาต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม ศิลปะ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเรียกรวมๆ ว่าวิชาในกลุ่ม STEAM (science, technology, engineering, arts, mathematics) และยังพัฒนาทักษะด้านการอ่านเขียนอีกด้วย

กระทรวงศึกษาธิการให้เหตุผลของการเรียน Coding สำหรับเด็กประถมว่า เรียนเพื่อสร้างเสริมทักษะการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ในมุมมองของคนสาย IT คิดว่าหลักสูตรนี้เวิร์คไหม ถ้าเห็นด้วย – เพราะอะไร / ถ้าไม่เห็นด้วย – เพราะอะไร

เห็นด้วยว่าเรียนไปเพื่อเข้าใจวิธีการคิดอย่างเป็นระบบครับ แต่หลักสูตรต้องออกแบบวิธีการสอน วิธีการเรียนรู้ และจัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาในหลักสูตรให้เหมาะสมกับวัย ไม่อย่างนั้นหลักสูตรนี้จะส่งผลในแง่ลบแทน

สำหรับนักเรียนในชั้นประถมศึกษาตอนต้น การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการเล่นสนุกผ่านเกม เช่น โดมิโน บันไดงู ต่อเลโก้ ไปจนถึงเล่นบอร์ดเกมต่างๆ ซึ่งเหมาะสมกับวัยมากกว่า

นอกจากนี้ การเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ผ่านการเล่นและลงมือทำ ซึ่งเรียกว่า ‘CS Unplugged’ คือการเรียนรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ แต่ใช้การจับต้อง การวิ่งเล่น ใช้อุปกรณ์บ้านๆ อย่างกระดาษ และกรรไกร

โดยที่นักเรียนจะได้รับโจทย์ที่มีกฎง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และน้องๆ จะได้ค้นพบคอนเซ็ปต์ต่างๆ ผ่านการเล่นด้วยตัวเอง ทำให้น้องๆ ไม่รู้สึกว่าไอเดียเหล่านี้เป็นเรื่องยาก แต่กลับคิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ใครๆ ก็ค้นพบได้ จดจำ และเข้าใจคอนเซ็ปต์ของวิทยาการคำนวณได้อย่างสนุกสนาน

แสดงว่าการเรียน Coding แบบ Unplugged ทำได้จริง

เดือนที่แล้ว ผมจัดกิจกรรมโค้ดเพลิน (CodePlearn) ที่พาน้องๆ ชั้นประถมศึกษามาทำความรู้จักกับ coding ผ่านการเล่นของเล่นโค้ดอย่างหุ่นยนต์ Cubetto ที่ให้น้องๆ ใส่บล็อกไม้ลงบนกระดาน เพื่อให้หุ่นยนต์เดินตามแผนที่ ท่องทะเล ท่องอวกาศ มีสีสันและรูปภาพประกอบสวยงาม

ผลที่เกิดขึ้นคือน้องๆ ทำความเข้าใจ และเล่นสนุกกับของเล่นชิ้นนี้ได้เร็วมากๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ น้องเข้าใจคอนเซ็ปต์พื้นฐานอย่าง if-else และ loops ได้ดีกว่าการเรียนการสอนทั่วไปมากๆ

มีวิธีการเรียนการสอนที่ไม่ต้องใช้ของเล่นเช่นกัน เช่นให้น้องเรียงตัวจากคนตัวเตี้ยไปตัวสูง ด้วยวิธีการจัดลำดับ (sorting algorithm) แบบต่างๆ เช่น bubble sort ก็จะเทียบกับทีละสองคน แล้วให้คนตัวสูงกว่าขยับไปด้านขวา ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกคนจะเรียงตัวกันครบ ไม่ต้องเขียนโปรแกรมก็เข้าใจอัลกอริธึมได้

ดังนั้นการเรียนการสอนแบบ CS Unplugged ทำได้จริงครับ แต่ขึ้นอยู่กับคุณครูผู้สอนว่ามีความรู้ความเข้าใจมากแค่ไหน และมีทักษะในการถ่ายทอดให้เรียนรู้ได้อย่างสนุกสนานมากแค่ไหนด้วย คุณครูต้องอินกับสิ่งที่สอน ก่อนที่เด็กจะรู้สึกสนุกไปกับมันได้

Coding จะช่วยให้เด็กๆ มีคาแรคเตอร์อย่างไร / เป็นคนอย่างไรเมื่อเขาโตขึ้น

เด็กๆ ที่ผ่านการเรียนวิทยาการคำนวณที่สอนอย่างถูกต้องมา จะเป็นคนที่คิดเชิงระบบได้ดีขึ้น มองเห็นและแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน กล้าที่จะพูดว่าตรรกะของใครไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผล มองเห็นตรรกะวิบัติในการสื่อสารในชีวิตได้ดีขึ้น เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้มีประสิทธิภาพขึ้น ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น และเติบโตมาเป็นบุคลากรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ศาสตร์ Coding จำเป็นอย่างไรในยุคอนาคต

ศาสตร์และอาชีพแห่งยุคอนาคต อย่างชีวสารสนเทศ (Bioinformatics) เป็นศาสตร์ที่นำความรู้ด้านชีววิทยามาผสมผสานกับวิทยาการคอมพิวเตอร์ ทำให้เราสามารถเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลรหัสพันธุกรรม ด้วยเทคโนโลยีอย่าง machine learning เป็นต้น

ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลส่วนนี้ไปใช้ในการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ พืช และสัตว์ ซึ่งการเข้าใจรหัสพันธุกรรมว่าแต่ละส่วนส่งผลอย่างไร จะช่วยให้เราสามารถผลิตยาใหม่ๆ และรักษาโรคอย่างโรคมะเร็ง และโรคเบาหวานได้

อาชีพในโลกอนาคตหลายๆ อาชีพ จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรมมาผสมผสาน เนื่องจากงานส่วนมากสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าด้วยคอมพิวเตอร์ เพราะการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมมนุษย์ซึ่งประกอบไปด้วยคู่เบสกว่า 3,000,000,000 คู่โดยไม่มีคอมพิวเตอร์ก็คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

คนไทยควรที่จะพร้อมเปิดรับหลักสูตรหรือทำความรู้จักกับ Coding แล้วหรือยัง – เพราะอะไร

ควร เพราะอาชีพในยุคอนาคตหลายๆ อาชีพ จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมมาประกอบด้วย นอกจากนั้น เราไม่จำเป็นต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก automation และการเขียนโปรแกรมง่ายๆ เพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้นได้

แทนที่จะต้องพิมพ์เอกสารเอง บันทึกรายรับรายจ่ายเอง หรือปิดไฟในห้องนอนด้วยตัวเอง การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาง่ายๆ เพียงไม่กี่บรรทัด ก็อาจทำให้ชีวิตเราสะดวกขึ้น ทั้งในการทำงานและในชีวิตส่วนตัว

ที่สำคัญไปกว่านั้น การคิดเชิงคำนวณ (computational thinking) เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เพราะเป็นกระบวนการคิดที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่การเขียนโปรแกรม และไม่จำเป็นต้องเป็นโปรแกรมเมอร์

หนังสือ ‘Algorithms to Live By’ ของ Brian Christian และ Tom Griffiths ยกตัวอย่างมากมายว่าอัลกอริธึมสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้อย่างไร วิธีการแก้ปัญหาที่เป็นลำดับขั้นตอนที่เรียบง่ายที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจและพฤติกรรมของมนุษย์ได้เช่นกัน

การเรียนรู้ศาสตร์ด้านเทคโนโลยีของเด็กไทยปัจจุบัน ทั้งในและนอกห้องเรียน ยังมีปัญหาอะไรไหม

จากที่ได้กล่าวไปข้างต้น เรายังขาดคุณครูที่มีความรู้ความสามารถด้านการสอนวิชาวิทยาการคำนวณ ขาดการอบรมและการแนะนำคุณครูที่มากเพียงพอ เรายังไม่มีวิธีที่ทำให้คุณครูได้สนุกกับวิทยาการคำนวณมากพอที่พวกเขาสามารถส่งต่อความสนุกเหล่านั้นให้กับเด็กๆ ได้

เราขาดทรัพยากรและอุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือในการเรียนการสอน อย่างคอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ ของเล่นโค้ดดิ้ง ฮาร์ดแวร์อย่าง Arduino และ Raspberry Pi ที่จะช่วยให้การเรียนการสอนจับต้องได้และสนุกยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น ผู้ใหญ่หลายๆ คนยังไม่เข้าใจความแตกต่างของการเขียนโปรแกรม วิทยาการคำนวณ วิทยาการคอมพิวเตอร์ การคิดเชิงคำนวณ ทำให้ไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญ และให้ความสำคัญกับการเล่นได้อย่างเพียงพออีกด้วย

ที่สำคัญที่สุด คือค่านิยมทางอาชีพและภาพจำต่างๆ การเขียนโปรแกรมยังถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่ได้มีคุณค่าเท่ากับหมอ ครูแนะแนวขาดความเข้าใจในอาชีพนี้อย่างมาก ไม่สามารถแนะนำแนวทาง สายการเรียน คณะในการเรียนให้กับเด็กมัธยมได้ ผู้ปกครองยังเข้าใจผิดๆ ว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีแต่ผู้ชายเรียนกัน (male-dominated) ไม่น่าเรียน ยาก ซับซ้อน เข้าใจว่าเขียนโปรแกรมคือนั่งเล่นเกม ซึ่งเป็นภาพจำที่ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น

นอกจาก Coding มีศาสตร์ทางด้านเทคโนโลยีใดอีกบ้างที่เห็นว่าควรจะเน้นให้เด็กไทยเรียนรู้

ส่วนตัวมองว่าคำว่า ‘coding’ ในแง่ของวิทยาการคำนวณ และการคิดเชิงคำนวณ (computational thinking) ครอบคลุมทุกส่วนแล้ว แต่ต้องทำให้ประสบการณ์เรียนรู้หลากหลายและผสมผสานกันถึงจะมีประสิทธิภาพ

ทั้งการเรียนรู้แบบ CS Unplugged ที่เน้นกิจกรรมและการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และการเรียนรู้ผ่านการเขียนโปรแกรม สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาด้วยการเขียนโปรแกรม ไปจนถึงการต่อวงจรเล่นกับฮาร์ดแวร์ และสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมา

การเรียนรู้ที่หลากหลายนี้ ทำให้นักเรียนเห็นภาพและเข้าใจว่าการเรียนรู้แต่ละส่วน เรากำลังเรียนไปเพื่ออะไร ใช้ความรู้นี้แก้ปัญหาอะไรในโลกจริงได้บ้างได้ และจะสามารถช่วยพัฒนาวิธีการใช้ชีวิตของเราให้ดีขึ้นได้ครับ

Tags:

ระบบการศึกษานวัตกรรมภูมิปรินทร์ มะโนcodingGeneration of Innovator

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trend
    เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    นวัตกรตัวน้อย: ไม้ยืนต้น รากลึกและแข็งแรงจาก ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่’

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skillsVoice of New Gen
    ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน
Education trend
7 October 2019

CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้ Coding เป็นหลักสูตรที่นักเรียนทั่วประเทศต้องเรียนอย่างเป็นทางการ (National Standards) ภายในเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยเริ่มตั้งแต่ชั้น ป.1
  • Coding คือ ส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิทยาการคำนวณที่บรรจุอยู่ในสาระเทคโนโลยี กลุ่มสาระเรียนรู้วิทยาศาสตร์
  • เป้าหมายโดยรวมของหลักสูตรวิทยาการคำนวณ มุ่งเน้นให้นักเรียนฝึกคิดอย่างเป็นระบบ ค้นเจอปัญหาและเงื่อนไข รู้เหตุและผล เข้าใจกระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นทักษะสำคัญและจำเป็นสำหรับเด็กในศตวรรษใหม่
  • ตัวอย่างการเรียน Coding ในเด็กเล็กคล้ายกับการเล่นเกม เช่น เกมบันไดงู โดยให้ฝึกคิดหาทางออกทีละขั้น ผ่านการคิดและออกคำสั่งลูกศร ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง

พฤศจิกายนนี้เด็กๆ ป.1 ป.2 ป.4 ป.5 ม.1 ม.2 ม.4 และ ม.5 จะได้เรียน Coding พร้อมกันทั่วประเทศ ในฐานะหลักสูตร National Standards 

คำถามพื้นฐานอย่าง Coding คืออะไร เรียนไปทำไม มีประโยชน์อย่างไร อาจสำคัญเท่าๆ กับ เรา-ในที่นี้คือเด็กในฐานะผู้เรียน และครูในฐานะผู้สอน พร้อมแล้วหรือยัง สำหรับการเรียนรู้ครั้งนี้

The Potential สนทนาอย่างจริงๆ จังๆ กับ ดร.เขมวดี พงศานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเครือข่ายและพัฒนาครู สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เจ้าภาพในการออกแบบหลักสูตรและเนื้อหา การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาการคำนวณ (Computer Science) และสะเต็มศึกษา (Stem education) รวมถึงรับหน้าที่จัดอบรมครูทั่วประเทศให้พร้อมสอนวิชาใหม่หมาดนี้ด้วย

‘Coding for all, All for Coding’ มอตโตของหลักสูตร วิทยาการคำนวณ ที่ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวไว้ จะเป็นจริงหรือไม่ อาจจะไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้ที่หลายคนก็ยังไม่รู้เลยว่า Coding คืออะไร 

ดร.เขมวดี พงศานนท์

Coding วิชาใหม่ที่ใส่เข้าไปในกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์

ประเทศไทย การศึกษาถูกแบ่งออกเป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้หรือ 8 กลุ่มวิชาที่เด็กทุกคนต้องเรียนเหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือ ‘กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์’ ในกลุ่มสาระฯ วิทยาศาสตร์ สมัยก่อนไม่มีสาระเทคโนโลยี มีแต่ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ จนเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการและ สสวท. ปรับหลักสูตรโดยเอาสาระเทคโนโลยีที่เดิมทีเคยอยู่ในกลุ่มการงานพื้นฐานอาชีพ โดยเพิ่มเข้ามาอยู่ในกลุ่มสาระฯ วิทยาศาสตร์ 

ทั้งนี้ กลุ่มสาระเทคโนโลยี ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

1. วิทยาการคำนวณ สำหรับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา

2. การออกแบบและเทคโนโลยี สำหรับชั้นมัธยมศึกษา  

“วิทยาการคำนวณ มี Coding อยู่ในนั้น Coding คือ 1 ใน 3 ของวิทยาการคำนวณ” 

ทำไมเด็กๆ ต้องเรียน Coding

Coding มาจากภาษาอังกฤษว่า code หมายถึงการเข้ารหัส 

รหัสคือการจำลองการทำงานของมนุษย์ทีละขั้น แต่เป็นขั้นที่เล็กที่สุด มนุษย์นำมาสร้างทีละหนึ่งขั้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ 

“การที่เราจะสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เราหรือโปรแกรมเมอร์ต้องคิดให้เป็นขั้นตอน เพราะคอมพิวเตอร์ไม่มีทางทำเองได้” 

การทำงานของคำว่า Coding จึงถูกนำมาผนวกในหลักสูตร เพื่อฝึกทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving Skill) อย่างเป็นขั้นตอนให้เด็กๆ 

“ทักษะแบบนี้เหมาะกับการสร้างนวัตกร ฝึกการเป็นผู้สร้าง เด็กในศตวรรษใหม่จำเป็นต้องเรียนเพื่อฝึกทักษะนี้ คอนเทนต์อาจจะไม่สำคัญเท่าทักษะในการทำงาน แก้ปัญหา จึงจะดำเนินชีวิตได้” 

ดีเดย์ เทอมสอง พฤศจิกายนนี้ ทุกโรงเรียน

จริงๆ แล้ว หลักสูตร Coding ในบางโรงเรียนที่พร้อมก็เริ่มสอนไปแล้วเมื่อปี 2561 ในนักเรียนชั้น ป.1 ป.4 ม.1 และ ม.4 แต่ปีนี้ กระทรวงศึกษาธิการประกาศเป็นหลักสูตรทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ (National Standards) ดังนั้น พฤศจิกายน 2562 หรือเทอมสองนี้ จะมีนักเรียน ป.1 ป.2 ป.4 ป.5 ม.1 ม.2 ม.4 ม.5 ได้เรียน Coding พร้อมกัน

แน่นอน แต่ละชั้น เรียนไม่เหมือนกัน

จึงอยากให้ทิ้งแทบเล็ต สมาร์ทโฟน หรือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ไปก่อน เพราะการสอนเขียนโปรแกรมหรือ Coding ให้เด็กเล็กโดยเฉพาะ ป.1-ป.3 แปลว่า ‘การเขียนชุดคำสั่ง’ แปลให้ง่ายกว่านั้นคือ เล่นเกม และเป็นแบบ unplugged

“ในเด็กเล็กเรามีเกมเหมือนบันไดงู ให้หาทางออก คือหาเป้าหมายให้ถูกต้องโดยเดินทีละขั้น ผ่านการใช้บัตรคำ 4 แบบ เช่น เดินซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือถ้าอ่านไม่ได้ก็ใช้สัญลักษณ์ลูกศรแทน ให้เด็กๆ เอามาเรียงกันยังไงก็ได้ ยกตัวอย่าง ให้เดินจากบ้านไปซื้อไอติมได้ แล้วให้เขาเอาบัตรนี้ไปใส่ในตารางคำสั่งเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีคำสั่งอะไรและเรียงอย่างไรบ้าง” 

ดร.เขมวดี เปรียบเทียบกับวิชาคอมพิวเตอร์ที่เด็กๆ เคยเรียนสมัยก่อนว่าตอนนั้นหัวใจหลักคือการสอนเด็กๆ ให้เป็น user เช่น แนะนำให้รู้จักฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เมาส์ ฯลฯ แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไป ต้องขยับเด็กๆ จาก user มาเป็น programmer หรือผู้สร้าง ควบคุม รับมือ และแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี 

และนี่คือเป้าหมายของหลักสูตรวิทยาการคำนวณ ในส่วนของวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science: CS) แยกตามชั้นปี

ป.1

  • สามารถแก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้การเปรียบเทียบ การลองผิดลองถูก การค้นหาอย่างเป็นระบบ 
  • เล่าเรื่องราวและกิจวัตรประจำวันได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน
  • แสดงลำดับขั้นตอนการทำงานด้วยสัญลักษณ์ผ่านกิจกรรม unplugged เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด และหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์

ป.2

  • จัดลำดับขั้นตอนที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น การทำความสะอาดบ้าน การจัดวางสิ่งของ 
  • ทดสอบการทำงานของโปรแกรม โดยตรวจสอบทีละคำสั่ง และทดสอบกับ input หลายแบบ
  • แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบโดยนำเหตุผลเชิงตรรกะมาประกอบการพิจารณา เช่น การค้นหาคำในพจนานุกรมโดยเปิดทีละครึ่งเล่ม การสืบหาสาเหตุของอาหารที่เป็นพิษ หรือเกมสืบสวนอย่างง่าย
  •  เขียนโปรแกรมแบบ unplugged โดยใช้เงื่อนไขต่อเนื่องกันหลายเงื่อนไข เพื่อสร้างผลลัพธ์หลายแบบ เช่นโปรแกรมปรุงอาหาร โปรแกรมห่อของขวัญ และโปรแกรมคำนวณค่าผ่านทางเข้าสวนสนุก

ป.3

  • มีความคุ้นเคยกับการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา สามารถจำลองการทำงานตามเงื่อนไขที่ระบุได้ สามารถใช้เหตุผลเชิงตรรกะสร้างข้อสรุปขึ้นใหม่จากข้อมูลเดิมได้
  • คิดอย่างเป็นระบบเพื่อแจกแจงทางเลือกของสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นได้ เช่น การจัดเรียงสิ่งของ การจัดตารางแผนงาน
  • เขียนโปรแกรมแบบ unplugged โดยใช้เงื่อนไขซ้อนกันหลายชั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แตกต่างกันตามสถานการณ์และความต้องการของผู้ใช้ที่ซับซ้อนขึ้น
  • เขียนโปรแกรมแบบ unplugged โดยมีการทำซ้ำแบบระบุจำนวนรอบ เช่น โปรแกรมที่สั่งให้ตัวละครเคลื่อนที่แบบเดิมหลายครั้ง

ป.4

  • รู้จักคำว่า ‘อัลกอริธึม’ สามารถออกแบบอัลกอริธึมเพื่อแก้ปัญหาอย่างง่ายในชีวิตประจำวันได้ มองเห็นวิธีการที่หลากหลายที่สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ
  • เขียนโปรแกรมแบบ block programming (แบบลาก-วาง) เพื่อให้ตัวละครสนทนา เคลื่อนที่ และวาดรูปได้ โดยจัดเรียงคำสั่งตามลำดับขั้นตอน (sequential)
  • ตรวจหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม (debug) ทั้งแบบ unplugged และ block programming โดยทดสอบทีละคำสั่ง และตรวจสอบสถานะเริ่มต้นของโปรแกรม

ป.5

  • ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา โดยการแจกแจงทางเลือก และตัดทางเลือกที่เป็นไปไม่ได้ 
  • เขียนอธิบายอัลกอริธึมด้วยข้อความที่ชัดเจน ไม่กำกวม หรือด้วยรหัสลำลอง (pseudo code)
  • เขียนโปรแกรมแบบ block programming โดยรับ input และใช้คำสั่งวนซ้ำเพื่อให้ตัวละครเคลื่อนที่หรือวาดรูปที่ต้องการ และใช้คำสั่งเงื่อนไขอย่างง่ายเพื่อให้ตัวละครตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมโดยการเปลี่ยนทิศทางหรือเปลี่ยนรูปร่างของตัวละคร
  • ตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมที่มีการวนซ้ำโดยจำลองการทำงานของโปรแกรมในแต่ละรอบ และสังเกตตำแหน่งของคำสั่งที่มีการวนซ้ำ

ป.6

  • ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหาและออกแบบอัลกอริธึม และเขียนอธิบายอัลกอริธึมด้วยผังงาน (flowchart) 
  • เขียนโปรแกรมแบบ block programming โดยใช้คำสั่งต่างๆ ผสมกับการวนซ้ำและการใช้เงื่อนไข เพื่อสร้างโปรแกรมที่มีเรื่องราวและมีการโต้ตอบ เช่น เกมอย่างง่าย หรือโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ให้เคลื่อนที่ตามเส้นทาง

“ป.1-ป.3 เราหวังแค่เด็กสามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนได้ ต่างกันแค่ความลึกของเนื้อหาที่ใส่ไป ส่วน ป.4-ป.6 คือการให้เหตุผลเชิงตรรกะ คือให้เหตุผลของการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนได้ เริ่มเน้นเรื่องเหตุผล” ดร.เขมวดีย้ำ 

เริ่มต้นกับเด็ก ป.1 ไม่เร็วเกินไปใช่ไหม

ถึงจะกางหลักสูตรให้เห็นกันไปแล้ว แต่หลายคนก็ยังเป็นห่วงว่ามันเร็วเกินไปสำหรับเด็กหรือไม่

“ไม่เร็วไปค่ะ (ตอบทันที) จริงๆ เริ่มได้ตั้งแต่อนุบาลเลย แต่ไม่ต้องเอาวิธียากๆ อย่าง ป.1 เราเริ่มวิธีแก้ปัญหา ไม่ต้องมีเหตุผลก็ได้แค่ลองผิดลองถูก เพราะเด็ก ป.1 อาจยังเชื่อมโยงเหตุผลไม่ได้ แต่ให้ฝึกแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ วางทุกอย่างเป็นขั้นตอนไปเรื่อยๆ โตขึ้นก็ค่อยๆ ปรับปัญหาที่ให้ ไม่ให้ลองผิดลองถูกแล้วแต่ต้องใช้เหตุผล”

สำหรับ ป.1 ดร.เขมวดี ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การแต่งตัว แค่การติดกระดุมเสื้อ เด็กสามารถลองผิดลองถูกได้ว่าจะเลือกติดจากบนลงล่าง ล่างขึ้นบน หรือเริ่มติดจากเม็ดกลาง โดยปล่อยให้เด็กลองให้หมด เพื่อค้นหาวิธีที่เวิร์คที่สุด 

เช็คความพร้อมของครู

หลักสูตรที่ดี ต้องมาพร้อมกับครูที่เข้าใจ ที่ผ่านมา สสวท. จัดอบรมครูเป็นระยะๆ โดยคัดวิทยากรแกนนำที่ผ่านการอบรมอย่างเข้มข้นจังหวัดละ 1-2 คน ให้ไปกระจายอบรมต่อ ควบคู่ไปกับการจัดอบรมออนไลน์ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายคู่มือวางเนื้อหาให้ครูสามารถจัดการสอนได้ตามนั้นทีละขั้นตอน โดยที่ครูผู้สอนไม่จำเป็นต้องจบด้านคอมพิวเตอร์โดยตรง 

“ต้องปรับให้เข้าใจใหม่ว่า คำว่า Coding ไม่ใช่ให้ครูและนักเรียนกระโดดลงไปเขียนโปรแกรมด้วยคอมพิวเตอร์เลยทันที แนวคิดคือวิชานี้ สอนให้เด็กทำงานเป็นขั้นตอน แก้ปัญหาอย่างมีกระบวนการ ฝึกตรรกะในการคิด” ดร.เขมวดี ย้ำ

จริงๆ สิ่งที่เด็กๆ เรียนในวิชา Coding คือ การฝึกทักษะการคิดเชิงคำนวณ หรือ Computational Thinking แต่ถูกชูด้วยคำว่า Coding แทนเพราะ Computational Thinking เป็นนามธรรม ไม่มีแนวทางให้เห็นว่าเด็กจะได้ทำอะไร

“Coding เป็นรูปธรรม เป็นสื่อหนึ่งที่สร้างภาพให้เห็นการทำงานเป็นขั้นตอนและวิธีการคิดแก้ปัญหาที่เป็นระบบ ซึ่งเป็นผลจาก Computational Thinking”

เหนือสิ่งอื่นใด อุปสรรคสำคัญของการปรับเปลี่ยนครั้งนี้คือ ความกลัวของครู 

“ครูส่วนใหญ่จะกลัวเพราะไม่เคยอ่านหลักสูตร ไม่เคยลองเปิดหนังสือ สสวท. ว่าให้ทำอะไรบ้าง แต่พอเข้ามาอบรมกับเรา เขาจะพูดเหมือนกันหมดเลยว่า กิจกรรมสนุกเหมือนเล่นมากกว่า กลับไปเขาก็ทำได้กัน” 

ไม่ต่างจาก ‘โคนัน’ ชัชวาล สังคีตตระการ ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส จาก NECTEC ที่แสดงความกังวลต่อประเด็นความพร้อมของครูผู้สอนเช่นกัน 

“สิ่งที่น่ากังวลที่สุดของ Coding คือ ความไม่เข้าใจของทุกคน ทั้งคนสอน เครื่องมือในการสอน เขาเห็นในภาพเดียวกันหรือเปล่า เช่น วิชาวิทยาการคำนวณ เขาตีความว่าอะไร ให้เด็กมานั่งเขียน python (ชื่อภาษาหนึ่งที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม) หรือไม่ หลักสูตรที่เกิดขึ้นต้องเหมาะสมและเป็นไปตามพัฒนาการ เรากำลังคาดหวังให้เด็กประถมต้องเรียนอะไรบ้าง เด็กสมัยนี้มีเวลาเล่นน้อยลง เพราะถูกยัดเยียดด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยเต็มไปหมด จึงจำเป็นต้องตีความให้ชัดว่าจะเอาอะไรกับเด็ก”

โคนัน – ชัชวาล สังคีตตระการ

โคนันยังย้ำอีกว่า โจทย์สำคัญที่ต้องหลักสูตร Coding ต้องตอบให้ได้ คือ เด็กจะใช้กระบวนการพวกนี้ไปอธิบาย การเกิดปัญหาอย่างไร รวมไปถึงจะสร้างโปรแกรมขึ้นมาช่วยแก้อย่างไร ถ้าสามารถอธิบายได้ คำตอบเบื้องหลังของ Coding มันอาจจะเป็น วิธีการคิดที่ซ่อนอยู่ ถ้ามันสอนไปถึงระดับนั้นเด็กก็คงได้ประโยชน์

สอดคล้องกับ ‘ภูมิ’ ภูมิปรินท์ มะโน นักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือ software developer วัย 18 บริษัท OmniVirt สตาร์ทอัพสัญชาติไทยในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ที่เชื่อว่า ทั้งครูผู้สอนและโรงเรียนในประเทศไทย ยังขาดความพร้อมในการสอนด้านวิทยาการคำนวณ

ภูมิอธิบายว่า เพราะการสอน คือการส่งมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตัวเองเคยได้รับมา ส่งมอบความสนุกในการเรียนรู้เหล่านั้นไปให้กับผู้เรียน ซึ่งการสอนจำเป็นจะต้องมีทักษะสองด้าน คือองค์ความรู้ในวิชาวิทยาการคำนวณ (domain knowledge) และทักษะในการในการสอนให้สนุกและน่าติดตาม (delivery)

“การเรียนการสอนวิชาวิทยาการคำนวณให้สามารถส่งต่อความรู้และประสบการณ์ให้กับนักเรียนได้ หมายความว่าคุณครูต้องเคยสัมผัสกับประสบการณ์ความสนุกตรงนี้มาก่อน ถึงจะสามารถสอนได้เห็นภาพ เข้าใจง่าย และจับต้องได้” 

​​​​ด้วยความที่คุณครูหลายท่านยังไม่เคยได้รับประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้ยังขาดทั้งองค์ความรู้ที่จะสามารถสอนได้อย่างตรงประเด็น ถ่ายทอดความเข้าใจ และไม่มีทักษะ เครื่องมือ วิธีการเรียนการสอนที่ทำให้การเรียนรู้ด้านนี้เป็นเรื่องที่สนุกและจับต้องได้ “จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่คุณครูเหล่านี้จะสอนวิชาวิทยาการคำนวณได้อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งไม่ใช่ความผิดของคุณครูเลย” ภูมิย้ำประโยคท้าย 

ภูมิ – ภูมิปรินท์ มะโน

​​​​นอกจากนั้น โรงเรียนยังขาดงบประมาณที่สามารถซื้อเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนรู้สนุก และจับต้องได้มากขึ้น อย่างของเล่นโค้ดดิ้ง (coding toys) คอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ ฮาร์ดแวร์ และเครื่องมืออื่นๆ ที่จะช่วยให้การเรียนรู้มีจุดหมาย เป็นรูปธรรม ผู้เรียนจะเห็นภาพทันทีว่าเราเรียนวิชานี้ และวิชาอื่นๆ ไปเพื่ออะไร ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน

เรื่องงบประมาณ ดร.เขมวดี ยอมรับว่า ที่ผ่านมายังไม่มีงบประมาณสนับสนุนการสอน Coding ของครูในโรงเรียนต่างๆ ครูหลายคนต้องขวนขวายเอาเอง

“หลายครั้ง สสวท. ก็ทำเป็นสื่อช่วยครู เราทำต้นแบบสื่อที่เป็นเกมออกมา หาบริษัทมาทำให้แมสแล้วช่วยขายในราคาที่ไม่แพงมาก แต่ยังไม่สามารถแจกได้ ยกเว้นบางโรงเรียนที่เป็นเครือข่าย เราพยายามหางบประมาณมาซื้อแจกได้ แต่เราไม่สามารถสนับสนุนทั้งหมดสามหมื่นกว่าโรงเรียนได้”  

ตอบโจทย์ศตวรรษที่ 21 คือประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ

ในฐานะผู้ร่างหลักสูตรและจัดการอบรม ดร.เขมวดี ยืนยันว่า วิชาวิทยาการคำนวณคือวิชาที่จะตอบโจทย์การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในหลัก 4Cs ได้แก่ creativity, critical thinking, collaboration และ communication 

Creativity คิดสร้างสรรค์ “เวลาที่เราบอกเด็กว่ามีปัญหาหนึ่งอย่าง จะมีการแก้ได้กี่วิธีบ้าง เปิดโอกาสให้เด็กคิดได้หลากหลาย และสร้างสรรค์”

Critical Thinking การคิดอย่างมีวิจารณญาณ “เพราะการออกแบบขั้นตอนการทำงานต้องใช้ทั้งวิจารณญาณและการประเมิน ประเมินผลที่เราคาดหวังข้างหน้าและประมวลผลว่าจะเลือกการแก้ปัญหาแบบไหน”

Collaboration ทำงานร่วมกับผู้อื่น “ยิ่งโตขึ้น หลักสูตรก็จะเขียนโปรแกรมรวมกับเพื่อนเพื่อแก้ปัญหากันเป็นทีม” 

Communication สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ “ตั้งแต่ ป.1 เลยคือการบอกลำดับงานเป็นขั้นตอน เขียนโฟลว์ชาร์ท เพื่อแสดงขั้นตอนการคิดแก้ปัญหาของตัวเองได้” 

อีกเหตุผลสำคัญของการดัน Coding เข้ามา ดร.เขมวดีมองว่า ปัจจุบันเด็กขาดทักษะการแก้ปัญหาและทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน 

“สมมุติเราบอกเด็กว่าอยากได้โซลูชั่นแบบนี้ ไปช่วยแก้หรือทำมาให้หน่อย เขาทำไม่ได้ เขาเริ่มไม่ถูกหรือไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหน เราต้องไปนั่งโค้ดเขาเลยว่าทำอันนี้แล้วต้องไปทำอันนั้นต่อ แต่วิทยาการคำนวณสอนให้คิดเชิงตรรกะ คือการคิดเชื่อมโยงเชิงเหตุผล ให้แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้ด้วยตัวเขาเอง

นี่คือการสร้างพื้นฐานการคิดให้เข้มแข็ง ให้เด็กพร้อมต่อยอดไปได้ในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยหรือไปทำอะไรก็ตาม” 

อธิบายให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะเด็กรุ่นนี้เติบโตมากับเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกรอบตัว ช่วยแก้ปัญหาแทบจะทุกอย่าง จนบางครั้งอาจทำให้หลงลืมการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง 

โดยคุณสมบัติสำคัญที่เด็กควรจะพัฒนาในยุคนี้ อย่างน้อยจะต้องช่างสังเกต และมีความคิดสร้างสรรค์ 

“สิ่งเหล่านี้มันจะไปปลูกฝังในเด็กผ่านการเรียนรู้ แม้เราจะเห็นการเรียนการสอนที่เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ใช้เครื่องมือทันสมัย แต่มันยังขาดมิติบางอย่างคือ วิธีการคิดโรงเรียนควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนโดยใช้วิธีการสร้างกระบวนการคิด ทำให้เด็กรู้ที่ไปที่มา ต้นตอ สาเหตุของปัญหา มากกว่าจะผลักให้เขาเรียนใช้เทคโนโลยี” โคนัน จาก NECTEC เสริม

นอกจากวางรากฐานวิธีคิดเป็นสิ่งสำคัญแล้ว การให้เด็กได้เจอโจทย์และแก้ปัญหาบ่อยๆ จะช่วยให้เด็กๆ ไม่กลัวและไม่หนีปัญหา 

“เด็กจะดีลกับปัญหาได้ รู้ว่าอะไรคือสาเหตุ ค่อยๆ หาวิธีแก้ ซึ่งประยุกต์ใช้กับชีวิตเขาได้ ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร เขาจะตั้งสติ แล้วการที่เขาเจอปัญหาตั้งแต่เด็กๆ จะทำให้เขารู้สึกว่าทุกปัญหาแก้ได้ ทำให้เขาแข็งแรงขึ้นทางจิตใจ มี mindset ว่าปัญหาคือสิ่งที่ต้องหาวิธีแก้ เป็น growth mindset” 

ถ้าครูสอนตามหลักสูตรที่ สสวท. วางไว้ได้จริง การประเมินหรือทดสอบวิชานี้จะไม่มีคำว่าถูกหรือผิด การสร้างสรรค์และกระบวนการแก้ปัญหาต่างหากคือเกณฑ์สำคัญในการวัดผล

“การกลับบ้านให้ถูก เราไม่ได้บอกว่ามีทางเดียว จากตรงนี้ไปอาจมีหลายเส้นทาง เด็กมีสิทธิเลือกไปทางไหนก็ได้ แต่ต้องให้เหตุผลให้ได้ว่าทำไมเลือกทางนั้น มันคือความคิดสร้างสรรค์ โจทย์เปิดหมด เมื่อไหร่เขียนโปรแกรม เมื่อนั้นไม่เคยมีคำตอบเดียว เพียงแต่คุณจะเลือกคำตอบไหน ด้วยเหตุผลอะไร” 

และเมื่อไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพียงเพราะว่าเขาตอบต่างจากคนอื่น เมื่อนั้น ดร.เขมวดีเชื่อว่า “เด็กๆ จะเรียนอย่างมีความสุขมากขึ้น”

พ่อแม่ช่วยลูกได้อย่างไร

จริงอยู่ที่วิชานี้จะเกิดขึ้นในห้องเรียน แต่เมื่อกลับมาบ้าน พ่อแม่และผู้ปกครองสามารถเรียนรู้และอยู่ข้างๆ พร้อมคำแนะนำอย่างคนมีข้อมูลเรื่องนี้ได้ เริ่มง่ายๆ จากการซื้อหนังสือมาลองศึกษา 

“พ่อแม่เองก็ต้องปรับความเข้าใจว่า เป็นการฝึกให้เด็กคิดอย่างเป็นขั้นตอน ไม่ใช่เขียนโปรแกรม (สำหรับเด็กเล็ก) และลองไปเปิดหนังสือดูแล้วอ่านไปพร้อมกับลูก เหมือนเล่านิทานให้เขาฟัง แล้วพอถึงส่วนที่เป็นกิจกรรมหรือเกมก็เล่นกับเด็ก โดยเฉพาะของ ป.1-ป.6 จะเป็นการ์ตูน เล่าผ่านครอบครัวครอบครัวหนึ่งมีลูกฝาแฝด จะสอดแทรกการแก้ปัญหาไปในเรื่องราวที่เด็กสองคนนี้เจอในแต่ละวัน คล้ายๆ มานะมานีที่เราเคยเรียน” 

มาถึงขั้นนี้แล้ว คำว่าพร้อมไม่พร้อม เร็วไปหรือเปล่า เริ่มช้าไปไหม ครูจะเตรียมตัวทันหรือไม่ ฯลฯ คงไม่สำคัญเท่ากับการเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับวิชาใหม่ที่มาแน่ๆ 

“ถ้ารอให้พร้อมยังไงก็ไม่ทัน หมายความว่า ถ้าเรารอให้ครูมีศักยภาพมากกว่านี้ รอให้เด็กพร้อมมากกว่านี้ รอให้งบประมาณพร้อมกว่านี้ ก็คงไม่ได้เริ่ม สุดท้ายคนที่เสียโอกาสที่สุดก็คือเด็ก”

โคนัน ชวนคิดต่อว่า สิ่งสำคัญที่น่าติดตามคือ action หลังจากนั้น เพราะเนื้อหาไม่ว่าเรื่องใดๆ จะต้องมีทั้งส่วนที่ใช้ได้ผลกับไม่ได้ผล 

“และส่วนที่เอาไปใช้แล้วไม่ได้ผล คำถามคือผู้ใหญ่จะแก้ปัญหาหลังจากนั้นอย่างไร ที่สำคัญต้องอย่าละทิ้งกระบวนการระหว่างทาง Coding เป็นเหมือนเครื่องมือที่จะมาดูกันว่าเวิร์คไม่เวิร์ค มันเป็นแค่ tool หนึ่งแค่นั้นเอง ยังไม่รู้ด้วยว่าบริบทของประเทศตอนนี้มันโอเคไหมกับหลักสูตรนี้ แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้อยู่ดี” 

Tags:

codingเขมวดี พงศานนท์ชัชวาล สังคีตตระการพ่อแม่ระบบการศึกษา21st Century skillsนวัตกรรม

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นEducation trend
    สอนให้ลูกเป็นสุนัขจิ้งจอก: ทำได้หลายแบบ คิดได้หลายโหมด และไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6
Education trend
6 October 2019

เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6

เรื่องและภาพ The Potential

พฤศจิกายนนี้ นักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.1 ทุกคนต้องเรียน Coding Coding

คือส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิทยาการคำนวณบรรจุอยู่ในสาระเทคโนโลยี กลุ่มสาระเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้นักเรียนทั่วประเทศต้องเรียนอย่างเป็นทางการ (National Standards)

การสอนเขียนโปรแกรมหรือ Coding ให้เด็กเล็ก (ป.1-ป.3) แปลว่า ‘การเขียนชุดคำสั่ง’ แปลให้ง่ายกว่านั้นคือ เล่นเกม และเป็นเกมแบบ unplugged เช่น เกมบันไดงู ให้หาทางออก คือหาเป้าหมายให้ถูกต้องโดยเดินทีละขั้น ผ่านการใช้บัตรคำ 4 แบบ เช่น เดินซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือถ้าอ่านไม่ได้ก็ใช้สัญลักษณ์ลูกศรแทน ให้เด็กๆ เอามาเรียงอย่างไรก็ได้ ยกตัวอย่าง ให้เดินจากบ้านไปซื้อไอติม แล้วให้เขาเอาบัตรนี้ไปใส่ในตารางคำสั่งเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีคำสั่งอะไรและเรียงอย่างไรบ้าง

และนี่คือเป้าหมายของวิชา Coding ในส่วนของวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science: CS) แยกตามแต่ละชั้นปี ตั้งแต่ป.1-6

อ่านบทความเกี่ยวกับ Coding เพิ่มเติม
Coding คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน  ที่นี่
สอน Coding อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน  ที่นี่

Tags:

ระบบการศึกษา21st Century skillsนวัตกรรมcoding

Author & Illustrator:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skillsVoice of New Gen
    ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Let Them Theory: ปล่อยคนอื่นไปตามทางของเขา แล้วหันกลับมาดูแลสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือตัวเราเอง
  • The Anxious Generation EP3: เมื่อการเลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ ต้องแลกมากับสมองและพัฒนาการของเด็กที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
  • Alpha Generation EP.10 สายสัมพันธ์วันนี้ กำหนดสายสัมพันธ์ในอนาคต ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่พ่อแม่ของลูกได้
  • ‘เรียนวิทย์ให้เวิร์ก’ กับโครงงานที่เด็กออกแบบเอง: กะทิ – เจได เจ้าของเหรียญทองแดง GENIUS Olympiad 2025
  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel