Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Year: 2019

วิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ ไม่ได้อยู่ในตำรา การชวนคนไปเลือกตั้งของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างหากคือของจริง
Voice of New Gen
22 January 2019

วิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ ไม่ได้อยู่ในตำรา การชวนคนไปเลือกตั้งของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างหากคือของจริง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ปรากฏการณ์ Taylor Swift effect บอกนัยยะทางการเมืองได้ประการหนึ่ง พลังการโหวต -ทั้งการโหวตศิลปินดีเด่นและการเข้าคูหาเลือกตั้ง- อันมาจากความรู้สึก ‘มีส่วนร่วม’ ให้ผลลัพธ์ที่ทรงพลังมากกว่าการบอกว่านั่นคือ ‘หน้าที่พลเมือง’
  • ใกล้เลือกตั้งเข้ามาทุกที ครั้งนี้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหน้าใหม่มีรายชื่อราว 7 ล้านคน บวกลบคูณหารแล้วคิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ ของเก้าอี้ทั้งหมดในสภา
  • ย้อนดูฟังก์ชั่นวิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ วิชานี้ทำให้รู้สึก ‘มีส่วนร่วม’ เข้าใจหน้าที่ รู้สิทธิเสียงของตัวเองจริงไหม? ผู้สอนทำอย่างไรได้บ้างเพื่อให้วิชานี้มันสนุก เร้าใจ และใกล้ตัวทั้งครูและนักเรียนมากขึ้นกว่าเดิม

“รางวัลนี้ และทุกๆ รางวัลที่มีการมอบในคืนนี้ถูกโหวตด้วยคะแนนเสียงของผู้คนมากมาย และพวกคุณรู้ไหมว่าอะไรอีกที่ถูกโหวตด้วยพลังเสียงของผู้คน การเลือกตั้งในวันที่ 6 พฤศจิกายนนั่นไง อย่าลืมออกไปลงคะแนนเสียงกันนะ”

คือถ้อยแถลงของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องชาวอเมริกันวัย 29 ปี บนเวที AMAs เช้าวันที่ 10 ตุลาคม 2018 หลังขึ้นรับรางวัลศิลปินแห่งปี สวิฟต์อุทิศพื้นที่บนเวทีกล่าวเชิญชวนให้ชาวอเมริกันออกไปเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

ต้องกล่าวด้วยว่าก่อนหน้านั้นราว 2 วัน (8 ตุลาคม) สวิฟต์โพสต์รูปพร้อมแคปชั่นในอินสตาแกรมส่วนตัว แสดงความเห็นและจุดยืนทางการเมืองอย่างไม่มีใครคาดคิดว่านักร้องที่เลือกเก็บงำความคิดทางการเมืองมาโดยตลอดจะออกมาให้ความเห็นที่มีนัยสำคัญและส่งอิทธิพลต่อฐานแฟนคลับทั่วโลก โดยเฉพาะการเชิญชวน young voter ให้ออกไปลงทะเบียนและใช้สิทธิกันถล่มทลายขนาดไหน

ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้จะชวนพูดเรื่องคนรุ่นใหม่กับการเลือกตั้งในสหรัฐ ‘เสียทีเดียว’ แต่โควทคำที่ยกมา ตั้งใจวกกลับไปที่งานเขียนของ โจเซฟ คาห์น (Joseph Kahne) และ โจเอล เวสไฮเมอร์ (Joel Westheimer) สองนักวิชาการเจ้าของทฤษฎีหน้าที่พลเมือง ผู้สนใจประเด็นเยาวชนกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการพัฒนาการศึกษาในประเด็นประชาธิปไตย ในรายงาน Teaching Democracy: What Schools Need to Do (2003) ว่าด้วยการเรียนการสอนวิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ รายงานนั้นกล่าวไว้ตอนหนึ่ง คล้ายกับความเห็นของสวิฟต์ว่า

“ประชาชนไม่ได้ไร้ความสามารถจะติดตามประเด็นทางการเมืองหรือแสดงออกซึ่งสิทธิ เพราะอย่างวันที่โคคาโคล่าประกาศจะเปลี่ยนสูตรน้ำอัดลมรสดั้งเดิม สำนักงานใหญ่ที่แอตแลนตาได้รับจดหมายพร้อมลายเซ็นจากประชาชนราว 40,000 ราย ไม่นับการร้องเรียนทางโทรศัพท์อีกกว่า 5,000 สายเพื่อต่อต้านการเปลี่ยนสูตร หรืออย่างการที่วัยรุ่นอเมริกันกว่า 24 ล้านคนใช้สิทธิโหวต American Idol คนต่อไปของพวกเขา”

“ไม่ใช่ว่าประชาชนไร้ความสามารถ แต่พวกเขาไม่รู้สึก ‘มีส่วนร่วม’ มากกว่า”

สวิฟต์ กับ คาห์นและเวสไฮเมอร์ มีอย่างน้อย 2 เรื่องที่พูดตรงกัน

  • ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องไกลตัว การโหวตด้วยพลังเสียงของประชาชนเพื่อแสดงจุดยืนว่าใครควรได้ตำแหน่งศิลปินดีเด่นแห่งปี, ใครจะเป็น American Idol คนต่อไป หรือโคคาโคล่าจะเปลี่ยนสูตรน้ำอัดลมรสดั้งเดิมได้หรือไม่ เป็นเรื่องเดียวกับการใช้ สิทธิ ประชาธิปไตย และพลเมือง
  • สิทธิพลเมือง ประชาธิปไตย  สองคำ (ใหญ่) ไม่เคยถูกตัดขาดออกจาก ‘วัยรุ่น’ มันเป็นเรื่องเดียวกัน และวิธีที่แสดงออก เราต่างเคยใช้มันมาแล้วทั้งนั้น – หนึ่งในนั้นคือการโหวต (ประชาธิปไตยทางตรง)

แต่อะไรที่ขัดขวางไม่ให้นักเรียนที่นั่งในห้องรู้สึกว่าการเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัว การมีสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกาย การรู้สึกเป็นเจ้าของปัญหาในพื้นที่ชุมชน หรือแค่พูดเรื่อง ‘หน้าที่พลเมือง’ ก็รู้สึกเหม็นเบื่อและไม่เห็นว่าใกล้ตัวตรงไหน และอื่นๆ อะไรทำให้พวกเขา รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของเรา?

กลับมาตั้งหลักที่ประเด็น ‘หน้าที่พลเมือง’ ซึ่งถูกสอนอยู่แล้วในห้องเรียน และเราอาจคุ้นเคยกับค่านิยม 12 ประการ แต่มันถูกสอน หรือทำให้เข้าใจพื้นฐานสิทธิและหน้าที่พลเมืองแค่ไหน?

คาห์นและเวสไฮเมอร์ (2004) อธิบายประเภทพลเมืองไว้ 3 ความหมายดังนี้  

  1. พลเมืองที่ตระหนักในความรับผิดชอบของตนต่อสังคม (Personally Responsible Citizen)
  2. พลเมืองที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมทางสังคม (Participatory Citizen)
  3. พลเมืองที่มีจิตสำนึกด้านความยุติธรรมทางสังคม (Social-Justice-Oriented Citizen)

ประเภทพลเมืองข้างต้นอาจเป็นเรื่องทฤษฎี แต่รายงานเรื่อง Teaching Democracy: What Schools Need to Do ทำงานวิจัยกับสถาบันการศึกษา จำนวน 10 แห่ง จุดประสงค์เพื่อสำรวจและพัฒนาการศึกษาเรื่องการมีส่วนร่วมของพลเมือง คาห์นและเวสไฮเมอร์อธิบายความสำคัญของความหมาย 3 ประการข้างต้น แต่ขมวดให้เห็นภาพการทำงานผ่านกระบวน 3 อย่าง หรือ 3C ออกแบบการเรียนการสอนในวิชาพลเมืองอย่างเห็นภาพ ให้ครูนำไปจัดการเรียนการสอนในห้องได้จริง ดังนี้

  • Commitment: สร้างความรู้สึกผูกพัน หรือ สร้างการปฏิบัติ
  • Capacity: ทักษะ ความสามารถ
  • Connection: ความรู้สึกเชื่อมโยง เป็นกลุ่มเดียวกัน

Commitment: สร้างความรู้สึกผูกพัน หรือ สร้างการปฏิบัติ

“การเมืองน่าเบื่อจะตาย”

“เฮ้ย… เราไม่สนใจการเมืองเว้ยแก”

“ขอไม่พูดถึงการเมืองนะ เหนื่อย”

ไม่ได้เป็นคำพูดติดปากแค่ชาวไทย แต่เป็นประโยคที่คาห์นและเวสไฮเมอร์เจอเมื่อทำงานสำรวจในปี 2003 เช่นกัน ความเห็นเหล่านี้นับเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่พวกเขา หรือใครก็ตาม ไม่รู้สึกว่าประเด็นที่อยู่ตรงหน้า สุดท้ายแล้วเราเองนั่นแหละที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือได้รับผลกระทบ

ดังนั้น C แรก C-commitment ถูกสร้างผ่านกลยุทธ์ 2 อย่าง คือ

  1. สร้างกิจกรรมจากปัญหาสังคม หรือ ผ่านประเด็นที่กำลังเป็นที่โต้เถียงในสังคม
  2. สร้างกิจกรรมให้นักเรียนได้ลงมือทำ ‘ผ่านประสบการณ์’ จริง

ข้อแรก-ไม่ต้องใช้คำของคาห์นและเวสไฮเมอร์มาอ้างก็รับรู้ได้ว่า ประเด็นที่ผู้เรียนหรือใครหลายคนในสังคมเห็นว่า ‘ผิด’ ย่อมมีกลิ่นที่ ‘น่าสนใจ’ ในตัวเอง ผู้สอนส่วนใหญ่มักคิดไปเองว่า ประเด็นทางสังคมที่เป็นปัญหาก้ำกึ่งว่า ผิดหรือถูก ยากและซับซ้อน เช่น ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ เพศ การเลือกปฏิบัติ ความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ซับซ้อนและหนักเกินกว่านักเรียนที่อายุน้อยจะไม่เข้าใจและไม่จำเป็นต้องรู้

หากคาห์นและเวสไฮเมอร์ ตั้งคำถามผ่านงานศึกษาว่า “เราจะสร้างความรู้สึกผูกพักหรือความรู้สึกเป็นเจ้าของได้อย่างไร หากเขาไม่รู้สึกว่าปัญหาเหล่านี้มันกระทบกับตัวพวกเขา?”

ข้อสอง-เป็นเรื่องจริงที่โรงเรียนมัก ‘สอน’ เรื่องหน้าที่พลเมือง แต่ไม่เคยให้พวกเขามีประสบการณ์หรือเข้าไปปฏิบัติจริง การลงมือปฏิบัติจริงอาจเริ่มจากเรื่องง่ายๆ อย่างโครงการจิตอาสา, การรวมกลุ่มเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่รอบโรงเรียน เรื่อยไปกระทั่งจัดโต้วาทีในประเด็นทางสังคมที่พวกเขาเห็นว่าเป็นปัญหา และขยายต่อไปในขั้นให้ลงมือทำ

“แม้ ‘ประสบการณ์’ จะเป็นครูที่ดีที่สุด แต่ในเวลาที่ผู้เรียนอยู่ในช่วงตึงเครียดหรือเผชิญหน้ากับปัญหา ครูผู้สอนต้องคอยดูให้มั่นใจว่าแผนการอันรัดกุมที่พวกเขาเตรียมไว้ จะไม่บั่นทอนหรือทำให้พวกเขารู้สึก ‘หวาดกลัว’ หรือ ‘หมดหวัง’” – คาห์นและเวสไฮเมอร์

อย่างไรก็ตามความท้าทายและอุปสรรคนับเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะได้ทบทวนข้อเท็จจริงที่เจอระหว่างทาง และได้เรียนรู้ว่า ‘ความไม่กล้า’ หน้าตาเป็นอย่างไร

Capacity: ทักษะและความสามารถ

การสร้างห้องเรียนให้ผู้เรียนรู้สึกว่า ‘เป็นผู้มีส่วนร่วม’ ในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิเสียง มีฟังก์ชั่น ย่อมทำให้ผู้เรียนอยากพัฒนาความสามารถและทักษะเพื่อเข้าไปพัฒนาและแก้ไขในวาระที่พวกเขาสนใจและเห็นว่ามีปัญหาได้จริง คาห์นและเวสไฮเมอร์ยกตัวอย่างกระบวนการ 2 อย่างคือ การเวิร์คช็อป และการจำลองสถานการณ์

เวิร์คช็อป – เพื่อให้มีเครื่องมือหรือทักษะในการทำงานภาพใหญ่ สหพันธ์เยาวชนเมืองเฟรเดอริค รัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา (Frederick County Youth Service League) ออกแบบให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรม เช่น การพูดในที่สาธารณะ, การใช้โสตทัศนูปกรณ์สำหรับการบรรยาย, จัดการประชุม, หาข้อมูลด้วยการวิจัย, การสำรวจความเห็นในชุมชน, การออกแบบวิธีสำรวจความเห็น

ในเวิร์คช็อปทุกกลุ่ม ผู้เรียนจะได้ทำงานใกล้ชิดกับผู้สอนหรือผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ จากนั้นทุกกลุ่มจะต้องนำข้อมูลที่ได้มาจัดแสดงผลงาน ทุกกลุ่มจะได้คำแนะนำเรื่องการ ‘สรุปโปรเจ็คต์’ เพื่อรายงานในห้องประชุมซึ่งต้องทำให้มั่นใจว่า การสรุปงานที่ทำมายาวนานให้สั้นเพียงไม่กี่นาที ใจความสำคัญยังต้องมีอยู่ไม่หายไปไหน

ขณะที่ผู้เรียนพัฒนาทักษะด้านการหาข้อมูลและเผยแพร่นี้ สิ่งที่ได้คือความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม และการมีส่วนร่วมทำงานจนกว่าจะบรรลุผล ซึ่งแน่นอนว่านี่คือจุดประสงค์ในการเป็นพลเมือง

การจำลองสถานการณ์ – บางครั้งการเวิร์คช็อปสร้างเครื่องมือที่จะนำไปใช้ทำงานอาจไม่ได้ผลกับทุกสถานการณ์ แต่การจำลองสถานการณ์ใกล้ตัวให้เห็นซึ่งหน้าอาจให้ผลลัพธ์จริงและสนุกมากกว่า

เช่น การจำลองสถานการณ์ว่า อาหารกลางของโรงเรียนกำลังจะขึ้นราคา, จากที่เคยมีสิทธิอาหารกลางวันฟรี ต่อแต่นี้ไปจะต้องจ่ายเงินเสียแล้ว, พบว่าอาหารกลางวันที่เคยมีโภชนาการอาหารครบ บัดนี้กลับเหลือแต่วิญญาณโปรตีนแสนจืดชืด ไม่คุ้มกับราคาที่จ่ายไปเมื่อต้นเทอม หรือ สถานการณ์อื่นๆ ที่อาจเป็นประเด็นร้อนในชุมชนรอบโรงเรียน

จำลองสถานการณ์แล้วมาลองดูกันว่า เด็กๆ หรือผู้เรียนจะคิดและทำอย่างไรกับปัญหาเหล่านี้

Connection: ความรู้สึกเชื่อมโยง เป็นกลุ่มเดียวกัน

แม้คำสอนเรื่อง ‘สิทธิพลเมือง’ จะให้เซนส์ที่ว่า หน้าที่พลเมืองหรือสิทธิเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ต้องไม่ลืมว่าคุณค่าของการเป็นพลเมือง มาจากการสร้างคุณค่าร่วมกัน (รู้ว่ามาจากไหน แต่โต้เถียงและให้คุณค่าใหม่ได้ตามพลวัต) มีกิจกรรม มีหน้าที่หลายอย่างที่ต้องการทำงานแบบมีส่วนร่วม โดยเฉพาะสังคมแห่งการช่วยเหลือเกื้อกูล และคนต้นแบบที่น่าสนใจ

สังคมแห่งการช่วยเหลือเกื้อกูล – การศึกษาของคาห์นและเวสไฮเมอร์ระบุว่า สถาบันการศึกษาทั้ง 10 แห่งที่เข้าไปศึกษา ให้ความสำคัญกับ ‘ระบบนิเวศของสังคม’ ในการยกหรือมอบคุณค่าบางประการ ในแง่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่สามารถโต้เถียงคุณค่าของปฏิบัติการทางสังคมเดิมที่ยึดถือหรือเห็นว่าดี เช่น การเลือกปฏิบัติต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง กลับกัน หากมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น อาจมีการรวมตัวกันเพื่อโต้แย้งคุณค่าเดิมของสังคมนั้นได้

คาห์นและเวสไฮเมอร์สัมภาษณ์ผู้หญิงพื้นถิ่นคนหนึ่งที่เข้ามาอาศัยในเมืองใหญ่ เธอรู้สึกถูกกีดกันและเลือกปฏิบัติโดยเฉพาะในพื้นที่ของการทำงาน เพียงเพราะเธอไม่ใช่คนขาว ไม่ใช่คนในเมือง หรือกรณีของเครือข่ายผู้ติดเชื้อ HIV ที่ต้องรวมกลุ่มกันทำงานเพื่อสร้างความเข้าใจใหม่ไม่ให้ถูกเลือกปฏิบัติจากสังคม

“ถ้าฉันมีปัญหา อย่างน้อยก็มีเครือข่ายให้ฉันเข้าไปขอความช่วยเหลือ หรือแม้ฉันจะไม่เคยประสบปัญหาด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องมีอะไรสักอย่างให้ฉันมั่นใจว่าฉันไม่โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว” ผู้ให้สัมภาษณ์รายหนึ่ง

คนต้นแบบที่น่าสนใจ – การเชิญบุคคลต้นแบบ หรือคนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิทางสังคมเข้าไปเล่าประวัติความเป็นการ เล่าเรื่องราวการต่อสู้ของพวกเขา เป็นอีกวิธีที่จะสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิพลเมืองให้เกิดแก่ผู้เรียนได้ และมีทริคเล็กๆ ว่า บางครั้งการการเชิญ ‘บุคคลธรรมดา’ อาจสร้างแรงบันดาลใจได้มากว่า ‘ผู้มีชื่อเสียง’

ความท้าทายของห้องเรียน ‘พลเมือง’

“ห้องเรียนไม่ได้รับประกันความเป็นมนุษย์และความยั่งยืนของประชาธิปไตย ถ้าเราเห็นว่าการพัฒนาและการศึกษาเรื่องพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญ ก็ต้องขยายและลงลึกกับการพัฒนาการศึกษาและให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง”

นั่นคือความเห็นของคาห์นและเวสไฮเมอร์ แต่หากเป็นในบริบทไทย ท่ามกลางวัฒนธรรมการศึกษาที่มีอำนาจแนวดิ่งก่อตัวอย่างกว้างขวาง ความท้าทายประการสำคัญคือความเข้าใจ และการเห็นความสำคัญของการเป็นมนุษย์ระหว่างครูและผู้เรียน

แน่นอนว่ามีครูหลายคนเข้าใจและพยายามหลบเลี่ยงเพื่อเคารพในสิทธิเนื้อตัวร่างกาย และประนีประนอมต่อกฎระเบียบบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับความสนใจในการเรียน ทั้งที่เรื่องเหล่านี้ไม่น่าต้องมาถกเถียงกันอีกแล้ว แต่ก็มีอีกมากเช่นกัน ที่ยังคิดว่าการเรียนแบบใช้อำนาจนั้นให้ผลยอดเยี่ยมดีที่สุด สุดท้ายแล้วจึงไม่ใช่แค่ ‘ครู’ ในห้องเรียนที่จะเป็นแม่แบบของสังคมประชาธิปไตย ทุกส่วนของสังคมต่างหากที่มีส่วนรับผิดชอบหน้าที่นั้น

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมีความหวัง ใช้ห้วงเวลาของการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามานี้ปลุกพลังประชาธิปไตยในตัวเรากันเถอะ

ประเภทของพลเมือง (Kinds of Citizens)

พลเมืองที่ตระหนักในความรับผิดชอบของตนต่อสังคม (Personally Responsible Citizen)

แนวคิดหลักคือ : พลเมืองซื่อสัตย์ รับผิดชอบ เคารพกฎหมายและกติกาของสังคม

อธิบายคือ รับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน,ทำงานอย่างสุจริตและจ่ายภาษี,เคารพกฎหมาย,รีไซเคิลและบริจาคเลือด,อาสาช่วยเหลืองานสังคมกรณีเกิดวิกฤตการณ์

ตัวอย่างการปฏิบัติ เช่น บริจาคในกิจกรรมแก้ปัญหาอดอยากที่เกิดขึ้น

พลเมืองที่ตระหนักในความรับผิดชอบของตนต่อสังคม (Personally Responsible Citizen)

แนวคิดหลักคือ : เพื่อแก้ปัญหาสังคม พลเมืองที่ออกไปมีส่วนร่วมและเป็นผู้นำในการวางระบบและโครงสร้างสังคม

อธิบายคือ เป็นสมาชิกองค์กรที่กระตือรือร้นและมุ่งมั่นจะพัฒนา,จัดการให้ชุมชนใส่ใจต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น รักษาสิ่งแวดล้อม พัฒนาเศรษฐกิจ,รู้ว่ารัฐมีกระบวนการอย่างไร,รู้วิธีทำงานอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างการปฏิบัติ เช่น จัดกิจกรรมแก้ปัญหาความยากจน

พลเมืองที่มีจิตสำนึกด้านความยุติธรรมทางสังคม (Social-Justice-Oriented Citizen)

แนวคิดหลักคือ : ในการแก้ปัญหา พลเมืองต้องตั้งคำถามและเปลี่ยนระบบหรือโครงสร้างที่เป็นอยู่ ที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม

อธิบายคือ คิดเชิงวิพากษ์ต่อโครงสร้างสังคม นโยบาย เศรษฐกิจ, สืบค้นและนำเสนอประเด็นที่ไม่เป็นธรรมในสังคม, รู้ความเคลื่อนไหวทางสังคมและผลกระทบ

ตัวอย่างการปฏิบัติ เช่น ค้นหาสาเหตุ/ต้นตอปัญหาความอดอยากเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบหรือโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรม

Tags:

ประชาธิปไตยการเลือกตั้งพลเมืองศิลปิน

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Education trend
    รัฐสวัสดิการในประเด็นการศึกษา: ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Learning Theory
    ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร
EF (executive function)
22 January 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ข้อเขียนต่อไปนี้ แปล เก็บความ ตัดทอน ตีความ และเขียนเพิ่มเติมจากบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารกุมารแพทย์ที่มีชื่อเสียง คือ Yogman M, Garner A, Hutchinson J, et al; AAP COMMITTEE ON PSYCHOSOCIAL ASPECTS OF CHILD AND FAMILY HEALTH, AAP COUNCIL ON COMMUNICATIONS AND MEDIA. The Power of Play: A Pediatric Role in Enhancing Development in Young Children. Pediatrics. 2018;142(3):e20182058

ตอนนี้เป็นตอนที่ 4

ขั้วตรงข้ามของการเล่นและการเรียนเป็นความท้าทายต่อการศึกษายุคใหม่ ด้วยเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าการเล่นของเด็กๆ โดยเฉพาะการเล่นเป็นกลุ่มของเด็กๆ ทำหน้าที่เป็นนั่งร้าน (scaffolding) สำหรับพัฒนาการ

หากเป็นพัฒนาการทางจิตสังคมของ อีริค เอช อีริคสัน (Erik H Erikson,1902-1994) นั่งร้านนี้ประกอบด้วยช่วงชั้นที่ 2,3 และ 4 คือ autonomy, initiation และ industry นั่นคือการศึกษาก่อนอนุบาล อนุบาล และประถม ซึ่งกินเวลาตั้งแต่อายุ 3-12 ปี

เลฟ ไวก็อตสกี (Lev Vygotski, 1896-1934) เป็นผู้ใช้คำว่า ‘นั่งร้าน’ นี้สำหรับบรรยายธรรมชาติของพัฒนาการเด็ก เด็กสร้างตัวเองขึ้นไปเป็นชั้นๆ พวกเขาจะพบสิ่งที่เรียกว่า zone of proximal development (ZPD) คือบริเวณที่เขาไปต่อไม่ได้หากมิได้รับความช่วยเหลือ เราเคยคิดว่าความช่วยเหลือนั้นควรมาจากโรงเรียนและครูด้วยการสอนหนังสือ และเด็กๆ ควรผ่านอุปสรรคนั้นด้วยการเรียนและท่องหนังสือ

แต่ที่แท้แล้วความช่วยเหลือนั้นควรมาจากการละเล่นในกลุ่มเพื่อน เพื่อนแต่ละคนช่วยเหลือกันและกันผ่านการเล่น ทำให้เด็กๆ แต่ละคนมีความยืดหยุ่น (resiliency) ของพัฒนาการและการใช้ชีวิตแล้วก้าวข้ามอุปสรรคไป

การเล่นเป็นการระบายของเสียออกจากใจแล้วสร้างกันชนขึ้นแก่จิตใจรวมทั้งสมอง เพื่อให้เขาทนทานต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ การเล่นที่ดีเป็นการเล่นกับเพื่อนและการเรียนรู้ที่ดีเป็นการเรียนรู้โดยกลไกของกลุ่ม นั่นคือ compete, compromise และ coordination ตามพัฒนาการที่อีริคสันได้เขียนเอาไว้ นั่นคือการแข่งขัน การประนีประนอม และการร่วมมือ

หากใช้ภาษาการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ก็จะว่าเด็กๆ เรียนรู้ผ่านการทำงานร่วมกันคือ collaboration ซึ่งจะเป็นคำสำคัญสำหรับโรงเรียนทางเลือกสมัยใหม่และโฮมสคูลวันนี้

การเล่นโดยเฉพาะการเล่นเป็นทีมช่วยเสริมสร้าง executive function (EF) ทั้ง 3 องค์ประกอบคือการควบคุมตัวเอง การบริหารความจำใช้งาน และการคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น การคิดยืดหยุ่นมากับทักษะการแก้ปัญหา และทักษะการแก้ปัญหามากับการเล่นหรือเรียนรู้เป็นทีมเพื่อแก้ปัญหาของทีมมากกว่าอย่างอื่น เด็กๆ ในทีมเดียวกันไม่สามารถสร้างนั่งร้านคนเดียวได้ พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อช่วยกันต่อนั่งร้านขึ้นไป

การศึกษาสมัยเก่านิยมพาเด็กไปทัศนศึกษาแล้วกลับมาเขียนรายงาน พาเด็กเข้าห้องสมุดเพื่อฝึกค้นคว้า หรือพาเด็กไปทำกิจกรรมอาสาสมัครแล้วกลับมาสะท้อนความรู้สึก กิจกรรมเพื่อการศึกษาเหล่านี้แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีในตัวเอง แต่อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้สมัยใหม่ เหตุเพราะเป็นกิจกรรมที่เด็กคนหนึ่งสามารถทำคนเดียวได้ จะดีกว่ามากหากครูสมัยใหม่ได้ร่วมมือกับนักเรียนช่วยกันออกแบบโจทย์ปัญหาที่นักเรียน 1 คนมิสามารถทำได้ มีแต่การทำงานเป็นทีม การถกเถียง การก้าวข้ามความเห็นต่าง และการช่วยเหลือกันเท่านั้นที่จะทำงานชิ้นนั้นแล้วแก้โจทย์ปัญหาได้สำเร็จ

การเล่นเสรีในสนาม (free play) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าการเล่นช่วยเสริมสร้าง EF เด็กสมัยก่อนไม่มีปัญหากับการเล่นเสรีในสนามต่างจากเด็กๆ สมัยใหม่ที่มักจะยืนงงเมื่อปล่อยให้เล่นเสรีในสนามด้วยไม่รู้ว่าจะเล่นอะไรหากไม่มีใครกำหนดการเล่นให้

เด็กๆ จะเล่นเสรีในสนามได้เมื่อพวกเขากำหนด ‘เป้าหมาย’ ของการเล่น ความสามารถในการกำหนดเป้าหมายนั้นเองคือ EF ที่สำคัญ เราอยากได้เด็กที่กำหนดเป้าหมายเป็น เป้าหมายระยะยาวคือโตขึ้นจะเป็นอะไรแล้วไปให้ถึง เป้าหมายระยะกลางคือสอบให้ได้ เป้าหมายระยะสั้นคือทำการบ้านให้เสร็จ ทั้งสามประการนี้เริ่มต้นด้วยการเล่นและการกำหนดเป้าหมายของการเล่น

การสร้างนั่งร้านและช่วยกันสร้างนั่งร้านนี้มิได้มีประโยชน์เพียงเรื่องการเล่นและการทำงาน งานวิจัยพบว่ามีประโยชน์ต่อการอ่านด้วย เพียงจับคู่เด็ก 2 คนอ่านหนังสือให้กันและกันฟัง พบว่าทักษะการอ่านพัฒนาได้ดี เร็ว และง่าย รวมทั้งสามารถสาธิตพัฒนาการทางกายภาพของเนื้อสมองให้เห็นได้ในเอกซเรย์ด้วย

ครูสมัยใหม่ไม่ควรหยุดอยู่ที่การสอนเด็กสะกดคำ คิดเลข ใช้แฟลชการ์ด สื่อการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ และสอนไปเพื่อไปสอบ แต่ควรเปลี่ยนบทบาทมาช่วยกันคิดค้นหนทางที่จะเพิ่มพูนความสนุกสนานที่เกิดจากการเล่น แล้วด้วยความสนุกสนานนั้นเองที่จะพาเด็กก้าวข้ามความขัดแย้งไปสู่การทำงานเป็นทีม พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาด้วยความยืดหยุ่น

นำมาซึ่ง EF ที่ดีมากขึ้นทุกขณะ

Tags:

การเล่นประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษา

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นปาของดีอย่างไร? ดีตรงปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ
How to enjoy lifeFamily Psychology
21 January 2019

หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • ทั้งที่จุดตั้งต้นอาจเป็นความเป็นห่วงหรือหวังดี แต่พูดกันยังไม่ทันรู้เรื่อง คนฟังปิดประตูใส่หน้า คนพูดน้อยใจงัดมาตรการขู่เข็ญ สั่งสอน และต่อว่าเข้าสู้ นอกจากเกิดแผลที่จิตใจ สิ่งที่อยากสื่อสารก็ไม่เคยส่งถึง สิ่งที่ถึงแน่ๆ คือความขุ่นมัวไม่ลงรอยกัน
  • หรือ บางทีแค่อยากสื่อสารเพื่อทวงคืนความยุติธรรม แต่พอเจอหน้ากันทีไรเรียบเรียงเป็นประโยคไม่ได้สักที
  • ภาษายีราฟ หรือ การสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication) วิธีสื่อสารที่ตัดดราม่า ไม่ให้คิดไปเอง แต่จับไปที่ความรู้สึก ความต้องการ และสิ่งที่อยากร้องขอ ของคนพูดและฟัง เปิดให้แสดงความต้องการอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ไม่โยนก้อนความผิดไปให้คนอื่น
  • ‘3 โหมด (สื่อสาร, รับฟัง, เข้าใจตัวเอง) 4 ขั้นตอน (สังเกต, รู้สึก, ต้องการ ร้องขอ) ทั้งหมดเพื่อลดอาการบาดเจ็บจากคำพูดเชือดเฉือน ซึ่งสุดท้ายไม่ก่อประโยชน์แก่ใครเลย

1.

“ทำไมกลับบ้านมืดค่ำขนาดนี้ รู้มั้ยว่านี่มันกี่โมงแล้ว ถ้ามีนาฬิกาแล้วไม่รู้จักดูเวลา คราวหลังไม่ต้องเสียเงินซื้อใส่เลยดีมั้ย?”

หรือเปลี่ยนเป็น…

“ลูกกลับบ้านตอนนาฬิกาบอกเวลาอีก 15 นาทีจะเที่ยงคืน แม่เป็นห่วงมากเพราะกลัวว่าลูกจะได้รับอันตรายหรือประสบอุบัติเหตุเหมือนในข่าว หากเป็นไปได้ แม่อยากให้ลูกกลับบ้านไม่เกิน 4 ทุ่ม หรือถ้ามีเหตุจำเป็นขอให้โทรศัพท์บอกกันเป็นกรณีไป แม่จะได้วางใจ”

“เธอไม่ทำการบ้านส่งอีกแล้ว ถ้าเรื่องแค่นี้ยังรับผิดชอบไม่ได้ ต่อไปจะไปทำอะไรกิน?”

หรือเปลี่ยนเป็น…

“จากทั้งหมด 5 งาน เธอทำส่งครู 2 ชิ้น ครูเป็นห่วงเรื่องคะแนนเก็บและกังวลเรื่องความรับผิดชอบ เพราะครูอยากให้เธอเป็นเด็กที่มีวินัยและมุมานะทำงาน หากเป็นไปได้ เรามานั่งคุยกันหน่อยดีไหมว่าเธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถึงทำงานส่งไม่ทันกำหนด”

หนึ่ง-ลองคิดตามว่าทุกครั้งที่เราและคนฟังไม่เข้าใจกัน หรือบางครั้งลุกลามถึงระดับทะเลาะเบาะแว้ง เราพูดคุยกันด้วยวิธีไหน ก่อน หรือ หลัง ‘หรือเปลี่ยนเป็น’
สอง-ที่เป็นเช่นนั้น เพราะคนฟังไม่ยอมเข้าใจ หรือ เราสื่อสารสิ่งที่ ‘ต้องการ’ และ ‘รู้สึก’ ออกไปไม่เคยได้ (ข้อนี้ยาก เพราะสิ่งสำคัญซึ่งเก็บอยู่ในใจ อธิบายออกมายากที่สุด)
สาม-คนที่เรามักทะเลาะด้วยส่วนใหญ่คือใคร ใช่หรือไม่ว่ามักเป็นคนใกล้ตัว – พ่อ แม่ ลูก ครู ศิษย์ เพื่อนร่วมงาน
สี่-ต่อเนื่องจากข้อ สาม หากคำตอบคือคนใกล้ชิด เราจะอยากสื่อสารอย่างไม่ลงรอยกันต่อไป หรือลองหาวิธีปรับ เพื่อพูดคุยกันได้อย่างไม่เปลืองอารมณ์และเวลามากขึ้นดี?
ห้า-และเอาเข้าจริง คนที่เราทะเลาะหรือพูดจาด้วยแล้วไม่เข้าใจที่สุด คือคนอื่น หรือตัวเอง?

อันที่จริงยังไม่ต้องเคาะก็ได้ว่า ‘อยากลองปรับวิธี’ แต่อยากชวนรู้จัก ‘การสื่อสารอย่างสันติ’ (Nonviolent Communication: NVC) บางชื่อเรียกว่า การสื่อสารอย่างเห็นอกเห็นใจหรือด้วยความกรุณา (Compassionate Communication) และหลายคนเรียกอย่างน่ารักว่า การพูดจาภาษายีราฟ (Giraffe Language) ขั้วตรงข้ามกับ ‘เสียงหมาป่า’

พอพูดถึงคำว่า ‘สันติวิธี’ หลายคนนึกภาพการสื่อสารในทางการเมือง ปฏิบัติการสื่อสารเพื่อลดความรุนแรงจากการแบ่งแยกประเภทคน สันติวิธีถูกใช้ในการสื่อสารทางสังคมเช่นนั้นจริง แต่ในระดับที่เล็กลงกว่านั้น สันติวิธีถูกใช้ในระดับสถาบันศึกษา ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน

ลึกที่สุด… การสื่อสารอย่างสันติใช้เป็นเครื่องมือเพื่อรับรู้ความต้องการของ ‘ตัวเอง’ มีนัยแห่งการรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง

ทำได้อย่างไร?

กล่าวสั้นๆ ในขั้นเกริ่นนำก่อนว่า เพราะสันติวิธีจะแยกการตัดสิน, การประเมิน, การตีความ ออกจากประโยคที่จะสื่อสาร แล้วเข้าไปจับที่ความรู้สึกและความต้องการของทั้งคนพูดและฟัง พร้อมเปิดประโยคสนทนาให้แสดงความขอร้องอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม โดยคนพูดจะรู้ตัวและเตรียมใจอยู่เสมอว่า เรื่องที่ขอให้คนฟังทำ เขาจะทำหรือไม่ก็ได้ สำคัญคือ การได้แสดงเจตนารมย์ออกไปอย่างชัดเจน (ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ แล้วก็จบ) และไม่ทำให้คนฟังรู้สึกเหมือนถูกต่อว่าจนต้องรีบป้องกันตัว

ซึ่งวิธีการ เราจะยกไปขยายพร้อมตัวอย่างให้เห็นภาพในหัวข้อถัดไป

ที่มาภาษายีราฟ โดย ดร.มาร์แชล โรเซนเบิร์ก

ภาษายีราฟ หรือ การสื่อสารอย่างสันติวิธีไม่ใช่เรื่องใหม่ ในประเทศไทยมีคนพูดถึง ทำงานด้านการสื่อสารประเด็นนี้อย่างกว้างขวาง มีหนังสือหลายเล่มอธิบายการทำงานของมันอย่างเห็นภาพพร้อมวิธีปฏิบัติได้จริง เช่น สื่อสารอย่างสันติวิธี เรียบเรียงโดยดร. ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ นักฝึกอบรมอิสระด้านการสื่อสารอย่างสันติและการพัฒนาจิตวิญญาณ ผู้เริ่มต้นนำแนวคิดนี้เข้ามาฝึกสอนให้กับผู้สนใจโดยเฉพาะกลุ่มผู้ปกครอง และเนื้อหาในบทความนี้ส่วนใหญ่ เรียบเรียงและถอดความจากหนังสือเล่มนี้

แต่แง่มุมประวัติศาสตร์ของการสื่อสารอย่างสันติ หรือ Nonviolent Communication เกิดขึ้นครั้งแรกช่วงปี 1960 โดยดร.มาร์แชล โรเซนเบิร์ก (Marshall Rosenberg, 1934-2015) นักจิตวิทยา, นักสันติวิธี ครู และผู้อำนวยการศูนย์การสื่อสารเพื่อสันติ (Center for Nonviolent Communication)

วิชา: ‘เสียงหมาป่า’ 101

อย่างง่ายที่สุด ภาษาหมาป่าก็คือบรรดาเสียง ตำหนิ ตัดสิน คุกคาม ข่ม(ขิง) หรือประโยคที่คนฟังแล้วมักอยาก ‘ลุกขึ้นมาป้องกันตัวเอง’ ภาษาหมาป่ามักถูกหยิบมาใช้บ่อย ต่อเมื่อความต้องการของเราไม่ถูกตอบสนอง เช่น

“ทำไมกลับบ้านมืดค่ำขนาดนี้ รู้มั้ยว่านี่มันกี่โมงแล้ว ถ้ามีนาฬิกาแล้วไม่รู้จักดูเวลา คราวหลังไม่ต้องเสียเงินซื้อใส่เลยดีมั้ย?” – นี่คือหนึ่งใน ‘เสียงหมาป่า’

ความต้องการของผู้พูดอาจคือ ‘อยากให้ลูกกลับบ้านปลอดภัย’ ‘อยากได้รับความเคารพจากลูก’ แต่เมื่อความต้องการไม่ได้รับการตอบสนอง เสียงหมาป่าในเชิง บ่น ต่อว่า ตำหนิ จึงถูกนำมาใช้

อธิบายให้เห็นภาพลงไปกว่านั้น หมาป่าถูกจัดกลุ่มใหญ่ๆ ออกเป็น 4 ตัว คือ

  1. บ่น ตำหนิ ต่อว่า
  2. ป้องกันตัวเอง  โทษคนอื่น
  3. ประชดประชันเย้ยหยัน
  4. เงียบ ไม่พูดอะไร

หมาป่าตัวที่ 1 บ่น ตำหนิ ต่อว่า: 3 คำนี้แตกต่าง แต่ส่วนใหญ่เส้นอารมณ์มักไต่ลำดับต่อเนื่อง เช่น สมมติเราไม่ชอบใจที่แม่มักวางของไม่เป็นระเบียบ ตอนแรกเราจะบ่นก่อน ‘เก็บของไม่เป็นระเบียบเลย’ (เสียงบ่นหงุมหงิม) เมื่อแม่ยังทำเช่นเดิม เราอาจลงน้ำหนักเสียงให้เข้มงวดขึ้นจนกลายเป็นตำหนิ และเมื่อตำหนิมากๆ เข้า เส้นเสียงเราก็จะกลายเป็นการต่อว่า

หมาป่าตัวที่ 2 ป้องกันตัวเอง โทษคนอื่น: หมาป่าตัวนี้เราเห็น(ตัวเอง)บ่อยครั้ง เช่น มีเสียงบีบแตรใส่รถ เราอาจยังไม่ทันได้สำรวจว่าเขาบีบแตรใส่เราจริงรึเปล่า เพราะอะไร เราอาจเปล่งเสียงบริภาษกลับไปแล้วว่า ‘บีบแตรXคุณสิ’ หรือบางครั้งอาจเป็นการให้เหตุผลบอกปัดไปเพื่อไม่ต้องเข้าไปรับรู้ความทุกข์หรือสุขของอีกฝ่าย เช่น ‘ไม่รู้สิ’ ‘กินอะไรก็ได้ เธอเลือกเลย’ (ให้คนอื่นคิด ตัวเองจะได้ไม่ต้องคิด)

หมาป่าตัวที่ 3 ประชดประชันเย้ยหยัน: หมาป่าตัวนี้หลายคนใช้หรือได้ยินบ่อยๆ เช่น ‘ใช่ซิ (เสียงสูง) ฉันไม่ใช่คนสำคัญเหมือนเขาคนนั้น’ ‘เธอไม่เป็นฉัน เธอไม่เข้าใจหรอก’ ‘กินข้าวให้หมดไปเลย ไม่ต้องเหลือไว้ให้ฉันหรอก’

หมาป่าตัวที่ 4 เงียบ ไม่พูดอะไร: ‘อย่าเถียงเลย เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ เงียบไว้ เฉยๆ ไว้ดีกว่า’ หลายครั้งที่เราบอกกับตัวเองแบบนี้แล้วคิดว่านั่นคือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพื่อไม่ต้องปะทะ ไม่ต้องถกเถียง แต่ในเมื่อความต้องการไม่เคยถูกสื่อสาร นานวันเข้าก็อาจเก็บกักไว้จนปะทุ

3 โหมด 4 ขั้นตอน การสื่อสารไร้ความรุนแรง

ในการสื่อสารอย่างสันติมี 4 ขั้นตอนหลัก และนำไปปรับใช้ได้ใน 3 โหมด คือ การถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา (Honest Expression), เป็นผู้รับฟังที่ดี ฟังอย่างลึกซึ้งและเข้าอกเข้าใจ (Empathic Reception) และโหมดสุดท้าย การปรับใช้เพื่อเข้าใจตัวเอง (Self-Empathy)

4 ขั้นตอนการสื่อสารอย่างสันติ

การสื่อสารอย่างสันติ หรือการ ‘เรียบเรียงประโยค’ เป็นเพียงแนวทางเพื่อให้เราเรียบเรียงสิ่งที่ต้องการได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม และสื่อสารอย่างคนฟังไม่ลุกขึ้นมาตั้งการ์ดตั้งแง่ ขีดเส้นใต้ไว้ว่ามันไม่มีแบบแผนตายตัว เป็นแต่เพียงแนวทางให้ผู้พูด ‘เรียบเรียงประโยค’ และนำไปปรับอย่างยืดหยุ่นตามสถานการณ์

4 ขั้นตอนที่ว่า คือ…

  • การสังเกต (Observations): สังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น
  • ความรู้สึก (Feelings): เรารู้สึกอย่างไร
  • ความต้องการ (Needs): ที่เรารู้สึกอย่างนั้นเกิดจากความต้องการของเราในเรื่องอะไร
  • การร้องขอ (Requests): เราจะขอให้ผู้ฟัง ทำหรือตอบสนองในสิ่งที่เราต้องการอย่างไร

การสังเกต – เริ่มต้นประโยคจากการสังเกตสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บรรยายอย่างเจาะจง เป็นกลาง หรือคิดง่ายๆ ว่า เรากำลังรายงาน fact หรือข้อเท็จจริง เช่น…

จากเดิม: ทำไมกลับบ้านมืดค่ำขนาดนี้? / ไม่ทำการบ้านส่งอีกแล้วนะ

เปลี่ยนเป็น: ลูกกลับบ้านตอนนาฬิกาบอกเวลาว่าอีก 15 นาทีจะเที่ยงคืน / จากทั้งหมด 5 งาน เธอทำส่งครู 2 ชิ้น

วิธีการนี้จะทำให้คนฟังเห็นภาพจริงโดยไม่รู้สึกว่าถูกต่อว่า, ตัดสิน, ประเมิน (ถูก/ผิด ดี/ไม่ดี) อย่างที่ดร. ไพรินทร์อธิบายว่า ขั้นตอนนี้สำคัญมากในแง่การสื่อสาร เพราะส่วนใหญ่เรามักนำข้อเท็จจริงไปปะปนกับ ‘ทัศนคติ’ (ถูก/ผิด ดี/ไม่ดี) และนั่นทำให้คนฟังเกิดอาการไม่อยากฟังต่อให้จบเอาดื้อๆ การอธิบายสถานการณ์ด้วยข้อเท็จจริงยังทำให้คนพูดรู้ทันความคิด ปรับใจตัวเองไม่เผลอตัดสินคนอื่นอย่างอัตโนมัติ และยังให้เซนส์ของการรับผิดชอบปฏิกิริยาของตัวเองแทนการกล่าวโทษอีกฝ่ายด้วย

ความรู้สึก – ความรู้สึก คืออารมณ์ คือตัวตนของความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับความต้องการ ถ้าความต้องการของเราไม่ถูกตอบสนอง หรือได้รับการตอบสนอง เราจะรู้สึกอย่างไร

ความรู้สึกไม่ใช่ความคิด ความเชื่อ หรือการตีความ เช่น ‘ฉันรู้สึกไม่มีความสำคัญต่อเพื่อนร่วมงาน’ แบบนี้ไม่ใช่ความรู้สึกแต่เป็น ‘ความคิด’ (ว่าฉันไม่มีความสำคัญต่อเพื่อนร่วมงาน) ความรู้สึกจริงๆ อาจเป็น ‘ความกลัว’ ว่าตัวเองจะไม่ได้รับการยอมรับ หรือไม่ได้รับความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมงาน

เพื่อแยกความคิดออกจากความรู้สึกให้ชัดเจน จุดสังเกตคือ แม้จะเป็นความรู้สึก แต่จะไม่มีคำว่า ‘รู้สึก’ อยู่ข้างหน้าคำนั้นๆ  แต่จะเป็น ฉันกลัว, ฉันสับสน, ฉันอึดอัด, ฉันไม่มีความสุข, ฉันหิว ฉัน… ไปเลย พูดง่ายๆ คือตัดความคิด หรือการประเมินตัวเองไปเลยว่าเรา ‘คิดว่าเรารู้สึกอะไร’ หรือ ‘คิดว่าคนอื่นจะรู้สึกกับเรายังไง’ แต่ซูมไปลงจับความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา เช่น

จากเดิม: ฉันรู้สึกว่ายังทำงานนี้ได้ไม่ดีพอ / ฉันรู้สึกว่าเพื่อนร่วมงานต้องเกลียดฉันแน่ๆ (กรี๊ด) / ฉันรู้สึกว่าเค้าต้องด่าฉันอยู่

เปลี่ยนเป็น: ฉันกังวลเรื่องการทำงาน / ฉันกลัวว่าเพื่อนจะไม่รัก / ฉันอึดอัดและเสียใจที่เราทะเลาะกัน

มันคือการซูมลงไปที่ความรู้สึกของตัวเอง ตัดความซับซ้อน หยุดทุกการตีความสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในหัวตัวเอง หรืออาจลองถามตัวเองกลับเล่นๆ ว่า ถ้าความต้องการของเราไม่ถูกตอบสนอง หรือได้รับการตอบสนอง เราจะรู้สึกยังไง?

ความต้องการ – ต่อเนื่องจากข้อ ‘ความรู้สึก’ เห็นได้ชัดว่าสองข้อนี้ตัดกันไม่ขาด เพราะความรู้สึกใดๆ ที่เกิดขึ้น เป็นผลลัพธ์จากที่ความต้องการของเราได้รับการตอบสนองหรือไม่ เป็นจริงหรือไม่ (ถ้าความต้องการของเราไม่เป็นจริง ทำให้เรารู้สึก…)

ดร.โรเซนเบิร์ก อธิบายว่าความต้องการลึกๆ ของคนที่มักเจอเวลาทำกระบวนการ NVC ไม่ใช่แต่ความต้องการผิวเผินอย่างเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ แต่เป็นความต้องการการยอมรับ (เช่น จึงข่มคนอื่นไว้ก่อน) การรับฟัง (เช่น จึงเรียกร้องความสนใจ) ความร่วมมือ (เช่น จึงโมโหและประชดถ้าคนไม่ช่วย) ความยุติธรรม (เช่น จึงบ่น ตำหนิ ต่อว่า) ความเห็นอกเห็นใจ (เช่น จึงชอบโทษตัวเอง) การเป็นที่หนึ่ง (เช่น จึงหักหลังคนอื่น)  ต้องการความสมบูรณ์แบบ (เช่น จึงเจ้ากี้เจ้าการ) ต้องการความมีประสิทธิภาพ (เช่น จึงคอยจู้จี้จัดการ)

ซึ่งวิธีการเพื่อเข้าถึงความต้องการร่วมนี้เองที่ทำให้ผู้คนมีพฤติกรรมแตกต่างกัน และทำให้ผู้คนตัดสินกันว่า วิธีนั้นผิดหรือถูก – ไปจากความเชื่อถือของตัวเอง วิธิคิดของ ดร.โรเซนเบิร์ก ก็คือ อย่ามองที่วิธีการ แต่เข้าใจไปที่ ‘ความต้องการร่วม’ ของมนุษย์

มุมนี้ดร. ไพรินทร์ อธิบายให้เห็นภาพว่า สมมติว่าความต้องการร่วมคือ ‘ความสุข’ แต่ละคนอาจใช้วิธีเข้าถึงความสุขหลายอย่าง เช่น หาแฟน, ใช้สารเสพติด, ปฏิบัติธรรม, ไปเที่ยว, ช้อปปิ้ง, เป็นจิตอาสา และอื่นๆ

คนที่ปฏิบัติธรรมอาจตัดสินว่าคนที่ชอบชอปปิงไร้สาระ คนที่ชอปปิงอาจไม่ถูกใจคนที่ชอบทำจิตอาสา และหลายๆ คน คว่ำนิ้วโป้งลงให้กับคนที่ใช้สารเสพติด เช่นนี้เป็นต้น

การร้องขอ – หรืออันที่จริงอาจคือ ขั้นตอนการแสดงความต้องการ ข้อนี้เป็นปัญหาที่เราได้ยินบ่อยในชีวิตประจำวัน เพราะทุกครั้งที่มีการติเตียน คนพูดมักไม่ให้วิธีการ หรือ solution หรือ บอกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ทำอะไร (ระบายอารมณ์อย่างเดียว วิธีการไปคิดเอาเอง)

“บ่อยครั้งที่ความต้องการของเราไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองต้องการอะไร หรือไม่ได้บอกผู้อื่นว่าเราต้องการอะไร การสื่อสารอย่างสันติจะช่วยให้มีสติรู้ว่าเราต้องการอะไรและขอร้องในสิ่งนั้นอย่างจริงใจ ยิ่งเราใช้ภาษาที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจได้ชัดเจนมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ความต้องการของเรามีโอกาสได้รับการตอบสนองมากขึ้นเท่านั้น” ดร. ไพรินทร์ ในหนังสือสื่อสารอย่างสันติวิธี

การร้องขอ หรือ ขอร้อง ควรเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ระบุให้ชัดเจน ไม่คลุมเครือ และไม่ใช่การออกคำสั่งว่าให้ทำอย่างนี้ หรือให้ตอบว่าเห็นด้วยหรือไม่ วิธีคิดของขั้นตอนนี้คือ คนพูดต้องเปิดใจไว้เสมอว่านี่คือการร้องขอ ไม่ใช่คำสั่ง ผู้ฟังมีสิทธิยืนยันได้ว่า เขาสะดวก และยินยอมกระทำหรือไม่ เช่น

“ลูกกลับบ้านตอนนาฬิกาบอกเวลาว่าอีก 15 นาทีจะเที่ยงคืน (สังเกต) แม่เป็นห่วงมากเพราะกลัวว่าลูกจะได้รับอันตรายหรือประสบอุบัติเหตุเหมือนในข่าว (ความรู้สึก) หากเป็นไปได้ แม่อยากให้ลูกกลับบ้านไม่เกิน 4 ทุ่ม หรือถ้ามีเหตุจำเป็นขอให้โทรศัพท์บอกกันเป็นกรณีไป (ขอร้อง) แม่จะได้วางใจ (ความต้องการ)”

ในข้อนี้คือการระบุว่า เวลาที่แม่ต้องการ (solution) คือไม่เกิน 4 ทุ่ม หรือถ้ามีเหตุจำเป็นให้โทรศัพท์บอกเป็นกรณีไป ไม่ใช่การบอกว่า ‘ให้กลับเร็วๆ’ (เพราะคำว่า ‘เร็วๆ’ คือกี่โมงก็ไม่รู้)

หรือ

“จากทั้งหมด 5 งาน เธอทำส่งครู 2 งาน (สังเกต) ครูเป็นห่วงเรื่องคะแนนเก็บและกังวลเรื่องความรับผิดชอบ (ความรู้สึก) เพราะครูอยากให้เธอเป็นเด็กที่มีวินัยและมุมานะทำงาน (ความต้องการ) หากเป็นไปได้ เรามานั่งคุยกันหน่อยดีไหมว่าเธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถึงทำงานส่งไม่ทันกำหนด (ร้องขอ)”

จากตัวอย่างทั้ง 2 เป็นแค่ขั้นตอนการขอร้อง ไม่เกี่ยวว่าผู้ฟังจะยอมทำตามหรือไม่ แต่อย่างน้อย ผู้ฟังจะไม่ถึงกับปิดประตูใส่หน้า หรือไม่รับรู้ว่าผู้พูดมีความต้องการและรู้สึกอย่างไร หรือถ้ายังไม่อาจทำตามคำร้องขอได้ในเวลานี้ เป็นไปได้ว่าคนฟังจะเปิดประตูรอไว้เพื่อรับฟังกันและกัน และอาจหาขอสรุปร่วมกันได้ในเวลาต่อไป

จะเห็นได้ว่าการร้องขอนี้เป็นได้ทั้ง การขอให้ทำอะไรที่เป็นกติกาชัดเจน หรือ ขอให้ช่วยออกความเห็น, ช่วยคิด หรือช่วยแสดงออกซึ่งความเห็นก็ได้ หลักสำคัญที่ต้องยึดให้มั่นคือ  อยากได้รับความช่วยเหลืออะไร ให้บอกออกไปอย่างตรงไปตรงมา อย่าคลุมเครือ และ แสดงความต้องการอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย

การใช้การสื่อสารอย่างสันติ 3 โหมด

3 โหมดที่ว่าก็คือ เราจะสื่อสารสิ่งที่เราต้องการอย่างตรงไปตรงมาได้อย่างไร (Honest Expression) ซึ่งได้กล่าวไปแล้วข้างต้น, เราจะใช้เทคนิคจากภาษายีราฟ เพื่อเป็นผู้ฟังอย่างลึกซึ้ง และยอมรับต้องการในเบื้องลึกของผู้พูด (Empathic Reception) สุดท้าย เราจะใช้เทคนิคภาษายีราฟ เข้าใจถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อย่างไร (Self-Empathy) 

ถ้าอยากจะสื่อสารอย่างสันติหรือจะสื่อสารด้วยภาษายีราฟ ต้องเริ่มจาก 3 โหมด 4 ขั้นตอน ดังนี้

  • โหมดที่ 1 เป็นผู้สื่อสาร: แสดงความต้องการอย่างซื่อสัตย์ (Honest Expression)

สังเกต: ว่าเกิดอะไรขึ้น เล่าเรื่องคล้ายการจับภาพด้วยกล้องถ่ายรูป

รู้สึก: บอกว่ารู้สึกอย่างไร ไม่ใช่การตีความ

ความต้องการ: ที่เรารู้สึกอย่างนั้น เพราะเราต้องการสิ่งใด

ร้องขอ: เราจะขอให้คนฟัง ทำหรือตอบสนองสิ่งที่เราต้องการอย่างไร

  • โหมดที่ 2 เป็นผู้รับฟังที่ดีและยอมรับคนอื่นอย่างเข้าใจ (Empathic Reception)

สังเกต: ฟังว่าคุณได้เห็นหรือได้ยินอะไร โดยแยกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นออกจากการตีความของคนที่พูด

รู้สึก: ฟังความรู้สึกของตัวเองดูว่าเรารู้สึกอย่างไร

ความต้องการ: เห็นถึงความต้องการของเราต่อผู้อื่น ภายใต้ความรู้สึกของตัวเอง

ร้องขอ: รับฟังคำร้องขอ

  • โหมดที่ 3 เข้าใจตัวเอง (Self-Empathy)

สังเกต: แยกสิ่งที่สังเกตหรือพบเห็น ออกจากการตีความหรือประเมินของตัวเอง

รู้สึก: นิยามความรู้สึก หลังพบหรือสังเกตสถานการณ์นั้นๆ

ความต้องการ: ถามตัวเองว่าเรารู้สึกอะไร เกิดจากความต้องการอะไร

ร้องขอ: แสดงความต้องการหรือร้องขอต่อตัวเองและผู้อื่น

สุดท้ายนี้ ย้ำอีกครั้งว่า ‘3 โหมด 4 ขั้นตอน การพูดภาษายีราฟ’ เป็นเพียงแนวทางการสื่อสารที่ตั้งใจให้คนพูดและฟังเข้าไปจับ ‘ความต้องการ’ และ ‘ความรู้สึก’ ของผู้พูด มากกว่าวิธีการหรืออาการที่เขาแสดงออก ลึกที่สุด คือการฟังในสิ่งที่ผู้พูดอธิบายไม่ได้หรือได้ยาก

แต่ในสถานการณ์จริง ที่ความขัดแย้งรุนแรงในระดับที่ผู้พูดและผู้ฟังเปิดใจรับฟังกันไม่ได้ – ไม่ใช่เรื่องผิด แปลก หรือเลวร้าย – อาจต้องใช้เวลา ปรับเปลี่ยน ยืดหยุ่นกระบวนการตามแต่เห็นสมควร

อ้างอิง
ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน (2550), สื่อสารอย่างสันติ
Nonviolent Communication: A Humanizing Ecclesial and Educational Practice
(journals.sagepub.com)
Transforming Power Relations: The Invisible Revolution
(cnvc.org)
โครงการพัฒนาภาวะและทักษะผู้นำของพี่เลี้ยงเยาวชนจากมิติด้านใน จัดกระบวนการโดยมูลนิธิขวัญแผ่นดิน

Tags:

การสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)โคชเทคนิคการสอนการฟังและตั้งคำถาม

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    สื่อสารกันอย่างสันติ: ครูกับเด็กเป็นมนุษย์เท่ากันในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    3 คำยอดฮิตที่คุณครูใช้กระทุ้งบรรยากาศการคิดของนักเรียนได้ตลอดกาล

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ทำไมเด็กๆ จึงไม่ควรสอบเข้า ป.1
Social Issues
18 January 2019

ทำไมเด็กๆ จึงไม่ควรสอบเข้า ป.1

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เมื่อเด็กต้องสอบเข้า ป.1

1.เด็กไม่มีจินตนาการ : แทนที่สมองจะพัฒนาจากการลงมือทำ กลับถูกปิดกั้นด้วยการฝึกให้จำแต่ความรู้ทางวิชาการ

2.ระบบแพ้คัดออกทำลาย self  : เด็กจะมุ่งมั่นแต่เรื่องแพ้ชนะ เมื่อไม่ผ่านจะเสียคุณค่าในตัวเอง หากชนะจะเห็นแก่ตัว การแข่งขันจะสำคัญไปตลอดชีวิต

3.อาจเกิดอาการทางจิต : เครียด ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ฉี่ราด อาเจียน เพราะพ่อแม่ไม่เข้าใจว่าการติวส่งผลต่อสมองเด็กอย่างไร

4.ไม่มีความสุข : ไม่มีจินตนาการ ขาดความคิดสร้างสรรค์ ขาดทักษะทางสังคม

5.ถูกละเมิดสิทธิ : เด็กมีสิทธิ์เลือกที่จะไม่สอบแต่ทำไม่ได้

6.บั่นทอนความสัมพันธ์ครอบครัว : เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการกวดวิชามากกว่าอยู่กับพ่อแม่

7.เพิ่มความเหลื่อมล้ำ : เด็กที่มีฐานะมีแต้มต่อเพราะไปกวดวิชา มีโอกาสสอบเข้าโรงเรียนการแข่งขันสูงได้มากกว่า

ถ้าไม่สอบ แล้วจะเข้าโรงเรียนอย่างไร

1.ทดสอบตอนเด็กเล่น ไม่ใช่วัดที่สติปัญญาหรือการกาถูกผิด : พ่อแม่จะได้กลับไปฝึกและให้ความสำคัญกับพัฒนาการลูก

2.พ่อแม่จับฉลาก : ป้องกันเด็กไม่ให้ตกเป็นผู้รับผิดชอบ

3.ทดสอบพ่อแม่ : ทั้งเชิงปฏิบัติและทัศนคติ  (ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละโรงเรียน)

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่ :  6 เหตุผลไม่ควรสอบเข้า ป.1 กับ 3 คำอธิบายไม่สอบแล้วจะให้ทำอย่างไร ‎

อ้างอิง :
เสวนาโต๊ะกลม ‘ทำไมเด็กอนุบาลจึงไม่ควรสอบเข้าป.1’ ในวันที่ 15 มกราคม 2562
ณ ห้องศูนย์การเรียนรู้อเนกประสงค์ (Learning Auditorium) TK Park เซ็นทรัลเวิลด์

Tags:

ปฐมวัยยกเลิกสอบเข้าป.1

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.4 ปลาฉลามฟันหลอ

    เรื่อง The Potential

  • Early childhoodSocial Issues
    คัดเลือกเข้า ป.1 ถ้าไม่สอบวิชาการ ใช้วิธีอะไรได้บ้าง? ตัวอย่างโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ และ เพลินพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood
    PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

  • Early childhood
    ยกเลิกสอบเข้า ป.1 เพื่ออะไร และ สอบเข้า ป.1 กันไปทำไม

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ต๋ามฮอยกอยบ้านเกิด: รู้อะไรก็ไม่สู้ ‘รู้จัก’ และ ‘รัก’ หมู่บ้านตัวเอง
Creative learningCharacter building
17 January 2019

ต๋ามฮอยกอยบ้านเกิด: รู้อะไรก็ไม่สู้ ‘รู้จัก’ และ ‘รัก’ หมู่บ้านตัวเอง

เรื่องและภาพ The Potential

  • จิตอาสา และ สำนึกรักตัวตนบ้านเกิด คือความตั้งใจของโครงการ แต่ ‘จิตสำนึก’ ไม่ได้สร้างได้เพราะคำสั่ง กระบวนการพาให้รัก จึงถูกออกแบบ และนี่คือคีย์เวิร์ดของโครงการนี้
  • โครงการต๋ามฮีตโตยฮอยกอยบ้านเกิด โครงการที่ ‘พี่’ ตั้งใจจะพา ‘น้อง’ หมู่บ้านดงใต้พัฒนา ออกศึกษา ทำความรู้จักกับของดีในชุมชน เพื่อให้เกิดความรัก หวงแหน หันกลับมาเอาใจใส่ ช่วยกันดูแลบ้านดงใต้พัฒนา
  • ชวนอ่านวิธีสร้างกระบวนการและสร้างรูปแบบการทำงาน และการเติบโตของพลังเด็ก

ทั้ง นิกกี้-ทิวากร สุพรรณ์ และ ขิม-วรรณิกานต์ ตาจุมปา แกนนำเยาวชนบ้านดงใต้พัฒนา ค่อนข้างกังวลใจกับการทำโครงการในครั้งนี้ เพราะทั้งสองคนเห็นว่าโครงการที่เลือกทำเป็น ‘นามธรรม’ ไม่เหมือนโครงการอื่นๆ ที่เน้นเรื่องการแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ขยะ หรือประเด็นวิถีชีวิตและวัฒนธรรม

“ผลงานในโครงการเราจับต้องไม่ได้ เพราะเราทำโครงการกับคน สร้างคนให้มีจิตอาสา จึงไม่เห็นชิ้นงานเหมือนโครงการอื่นๆ”

นิกกี้บอกความกังวลใจ ขณะที่ขิมช่วยสำทับอีกเสียงว่า “เรามีเวลาในการทำโครงการแค่ 6 เดือน ก็เลยไม่ค่อยมั่นใจว่า จะพาโครงการไปรอดมั้ย”

นิกกี้-ทิวากร สุพรรณ์

ผลของความไม่มั่นใจ ทั้งเรื่องโครงการที่เป็นนามธรรมและเงื่อนไขเวลาเพียง 6 เดือน กับเป้าหมายโครงการเพื่อสร้างเยาวชนจิตอาสามาทดแทนรุ่นพี่ โดยมีเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องเติบโตพร้อมไปกับการเรียนหนังสือหรือทำงาน ทำให้ทั้งนิกกี้และขิมเกือบถอดใจและเกือบเลิกทำโครงการไปแล้ว

แต่เอาเข้าจริง ‘ความยาก’ และ ‘ข้อกังวล’ การบรรลุเป้าหมายอย่างการทำให้น้องๆ ในชุมชนลุกขึ้นมาเป็นจิตอาสาทำงานเพื่อชุมชนเหมือนที่พวกเธอทำ ไม่ใช่ความสำเร็จของทั้งนิกกี้และขิม แต่กลับเป็นเงื่อนไขเวลาที่ทั้งสองเห็นว่า อาจจะทำได้ไม่เต็มที่ เพราะขิมเป็นครู ส่วนนิกกี้เรียนหนังสืออยู่ที่เชียงใหม่

“เราก็ไปคุย ให้คำปรึกษาว่าลองวางแผนการทำงานกันดีๆ ลองทำเท่าที่สามารถทำได้ก่อน แล้วค่อยมาสรุปกันดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน” รัตน์-จินดารัตน์ สัตย์จริง โค้ชจากสถาบันหริภุญชัย จังหวัดลำพูนกล่าว   

สำหรับโครงการ ‘ต๋ามฮีตโตยฮอยกอยบ้านเกิด’ เป็นโครงการที่ขิม นิกกี้ และเพื่อนคือ วิม-วิมพ์วิภา กันทาดง ปิ้ง-ฐิติชญา หอมนาน วิกกี้-ทิวากร สุพรรณ และ ไวท์-วราพิมพ์ กันทาดง ตั้งใจจะพาน้องๆ เยาวชนในหมู่บ้านดงใต้พัฒนาออกไปศึกษาทำความรู้จักกับของดีในชุมชน เพื่อให้เกิดความรัก หวงแหน เพื่อให้หันกลับมาเอาใจใส่ ตลอดจนช่วยกันดูแลบ้านดงใต้พัฒนาในอนาคตเหมือนกับคนรุ่นก่อนๆ ปฏิบัติสืบทอดกันมา

“จริงๆ เราไม่ต้องทำโครงการนี้ก็ได้ แต่พอคิดภาพที่พวกผมไปทำงานข้างนอกโดยไม่มีแกนนำหลักในการทำงาน ใครจะเป็นคนนำน้องๆ เข้ามาร่วมทำกิจกรรมของชุมชน เพราะโครงการนี้มีความสำคัญมากๆ ที่จะต้องทำ ต้องมีแกนนำหลักในการที่ไปทำงานเป็นกำลังเสริมของผู้ใหญ่ในชุมชน” นิกกี้อธิบายถึงที่มาของการทำโครงการในครั้งนี้ เพราะเห็นว่ามีความสำคัญ ทั้งๆ รู้ว่ายาก

ขิม-วรรณิกานต์ ตาจุมปา

กระบวนการสร้างจิตอาสาโดยธรรมชาติ คือการทำให้เห็น จากรุ่นสู่รุ่น

ทั้งนี้ กระบวนการส่งต่อ ‘จิตอาสา’ จากรุ่นสู่รุ่นของคนบ้านดงใต้คือการ ‘ร้องขอให้ช่วย’ เด็กๆ ในชุมชนจึงออกมาปฏิบัติภารกิจในงานบุญงานประเพณีของชุมชนอยู่เป็นระยะๆ และเมื่อถูก ‘ใช้งาน’ อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานแบบนี้ การถูกส่งต่อ ‘รุ่นสู่รุ่น’ ช่วยให้บ้านดงใต้พัฒนามีคนรุ่นใหม่ๆ มาทำงานช่วยเหลือชุมชนอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

“ปกติเวลามีงานบุญงานประเพณี เด็กๆ จะเข้ามาประชุมร่วมกับผู้ใหญ่ เขาก็จะรับผิดชอบในส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบได้ อย่างงานจุลกฐิน การออกแบบการแสดง การจัดเครื่องแต่งกาย เด็กๆ ก็จะจัดการของเขาเอง ผู้ใหญ่แค่ให้แนวว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งเขาก็จะมีพี่โตๆ คอยดูแล น้องเล็กๆ ก็จะเป็นลูกมือคอยช่วย” ดาวเรือง ตุ้ยดง พี่เลี้ยงเยาวชนบ้านดงใต้อธิบายถึงรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ใหญ่และเยาวชนในหมู่บ้าน   

“พวกเราจะมีกลุ่มชื่อว่า ‘กลุ่มเยาวชนรักดงหลวงสบลี้’ เป็นกลุ่มเยาวชนของหมู่บ้าน ที่จะรวมทั้ง 4 หมู่บ้านก็คือ ดงเหนือ ดงเจริญ ดงหลวงและก็วังม่วง 4 หมู่บ้านนี้จะรวมกันและมีเด็กในชุมชน มาคอยช่วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสายดนตรี เล่นพวกดนตรีพื้นเมือง กลองสะบัดชัย สะล้อซอซึง กลุ่มนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เด็กในชุมชนมารวมตัวกันเล่นดนตรีและเพื่อให้เด็กในชุมชนห่างไกลยาจากเสพติด แต่หลังๆ เริ่มมีน้องๆ ผู้หญิงเข้ามาร่วม ซึ่งส่วนใหญ่จะเล่นดนตรีไม่ค่อยได้ แต่จะถนัดทำกิจกรรมนันทนาการและทำกิจกรรมต่างๆ”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นิกกี้เล่าดูเหมือนว่าบ้านดงใต้จะไม่มีปัญหาเรื่องของการส่งต่อความเป็นจิตอาสาจากรุ่นสู่รุ่นแต่อย่างใด แต่สิ่งที่โครงการตามฮีตโตยฮอยอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงคือ ‘วิธีการ’ สร้างคนรุ่นใหม่ของชุมชน

“เรามองว่าที่ผ่านมาเด็กๆ ถูกใช้ให้ทำงาน รุ่นผมก็เหมือนกัน อย่างเวลามีงาน ผู้ใหญ่ก็ให้ไปช่วยยกของ ยกเก้าอี้ เสิร์ฟน้ำ ผมเลยคิดว่า จะมีรูปแบบอื่นอีกหรือไม่ที่จะสร้างน้องๆ ให้มีจิตอาสาด้วยตัวเขาเองโดยไม่ต้องมีคนมาเอ่ยปากให้ช่วยทำนู่นทำนี่แบบรุ่นพวกเรา”

ออกแบบกิจกรรมดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

การทำให้เด็กสนุก คือโจทย์หลักของการออกแบบกิจกรรมเพื่อสร้างการเรียนรู้ให้แก่น้องๆ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 30 คน นิกกี้ให้เหตุผลว่า จากประสบการณ์การไปค่ายของตัวเองและการแลกเปลี่ยนกันภายในทีม ทุกคนเห็นตรงกันว่า ความสนุกจะช่วยสร้างความประทับใจ และจะทำให้ผู้ที่มาเข้าค่ายรู้สึกอยากมาอีกในครั้งต่อๆ ไป

“ถ้าเราทำให้เป็นวิชาการมากเกินไป น้องๆ เบื่อแน่นอน เพราะกลุ่มเป้าหมายหลักของเราคืออายุ 8-15 ปี ถ้าเด็กกว่านี้ จะทำให้เราต้องใช้พี่เลี้ยงประกบน้อง 1 ต่อ 1 ทำให้เราเสียคนทำงานไปโดยเปล่าประโยชน์”

นิกกี้เล่าว่า กิจกรรมช่วงเช้าของการจัดค่าย จะเป็นเกมหนักๆ เป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กสนุกแต่ก็แทรกการเรียนรู้ไปด้วย เช่นกิจกรรม ‘ตัวเองเป็นใคร’ ผ่านการวาดรูปที่เป็นตัวแทนของตัวเอง จากนั้นให้ไปหาสิ่งของแทนคำจำกัดความของตัวเอง และให้บอกเหตุผลของการเลือกสิ่งนั้น น้องๆ ที่มาเข้าค่ายเลือกสิ่งของที่สามารถแทนตัวเองได้ และบอกเหตุผลว่าเลือกสิ่งนี้เพราะอะไร

จากนั้นให้น้องๆ รู้จักตัวเองผ่านชุดคำถามคือ

  1. ฉันเป็นใคร ชื่ออะไร นามสกุลอะไร นามสกุลของตัวเองมาจากที่ไหน มีความสัมพันธ์กับชุมชนอย่างไร
  2. ฉันเป็นคนโชคดีเพราะที่บ้านฉันมีอะไร ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นการพาน้องๆ ออกไปสำรวจรอบหมู่บ้านโดยใช้รถอีแต๋น ไปดูที่มาของชื่อบ้านดงหลวงสบลี้ ไปดูต้นไม้ประจำหมู่บ้าน ไปทำความรู้จักกับสถานที่สำคัญๆ ของชุมชน และไปพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่ของหมู่บ้าน เพื่อให้เด็กๆ ค้นพบคำตอบของตัวเองว่า เราโชคดีที่หมู่บ้านเรามีอะไร

“ด้วยความที่เรารู้อยู่แล้วว่าเด็กในหมู่บ้านเราเป็นเด็กแบบไหน มีลักษณะอะไร แต่เราไม่เคยได้ยินเขาพูดในแง่วิชาการ แต่พอเขาออกไปนำเสนอ ก็เห็นว่ามี 4-5 คนพูดจาฉะฉาน บอกได้ว่าตัวเองเป็นแบบนี้ เพราะอะไร ยังไง พูดแบบวิชาการจนเขากลายเป็นจุดเด่นของกลุ่ม บางคนมีลักษณะของความเป็นผู้นำชัดเจน”

และเมื่อจัดค่ายครั้งที่ 2 ก็เป็นจริงตามทฤษฎี ‘ความสนุกสร้างความประทับใจ’ เพราะรอบสองมีเด็กเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม แม้คนเดิมหายไปแต่ก็มีคนใหม่เข้ามามากถึง 40 คน  

“ทำให้เราต้องมาจัดระบบหน้างานกันใหม่ บทบาทต้องชัดขึ้น เพราะรอบสองของค่ายเป็นการทำแผนที่ชุมชนคือการพาออกไปสำรวจสถานที่ต่างๆ เพื่อนำมาจัดทำเป็นแผนที่ เราต้องดูแลน้องๆ ให้อยู่ในเส้นทางที่กำหนดให้ได้ ห้ามพลาด” นิกกี้บอกวิธีการบริหารจัดการงานเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด

บริหารทีมเป็น + จัดการเวลาได้ = เงื่อนไขทำงานให้ลุล่วง

แม้จะมีเวลาค่อนข้างจำกัด และทีมแกนนำหลักต่างมีภารกิจ แต่ด้วยความเชื่อที่ว่า ‘จิตอาสาสร้างได้’ บวกกับอยากออกนอกกรอบเดิมๆ ดังนั้นการวางแผนทำงานให้รัดกุมจึงถือเป็นเรื่องสำคัญของทีมที่จะทำให้น้องๆ “รักบ้านเกิดตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอกให้รัก” โดยแกนนำหลักต้องมาประชุมก่อนว่า ในแต่ละกิจกรรมจะวางบทบาทของทีมทำอย่างไร

“อย่างที่บอกคือแผนของเราคือการจัดค่ายสองครั้ง โดยมีน้องๆ ในชุมชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย 30 คน เมื่อคนทำงานมีเวลาว่างไม่ตรงกัน เพราะต้องทำงาน และเรียนหนังสือ เราจึงวางระบบ ให้มีทีมหลัก กับ ทีมหนุน ทีมหลักคือขิมและนิกกี้ ทำหน้าที่เป็นคนนำในการวางแผนและออกแบบกิจกรรมร่วมกับทีมหนุน ซึ่งทำหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่ในชุมชน

“เราอยากทำงานตรงนี้เพราะเป็นชุมชนของเราเอง อีกอย่างก็อยากช่วยพี่ๆ ซึ่งไม่ค่อยมีเวลาว่างเนื่องจากพวกเขาต้องไปทำงาน ถึงจะทำออกมาได้ไม่ดีเท่ารุ่นพี่ แต่เราก็เลือกที่จะทำ หลังประชุมวางแผนและแบ่งงานกันแล้ว ทีมที่อยู่ที่ชุมชนก็จะคุยกันว่ามีใครมาได้บ้าง ถ้าเหลือกันอยู่สองคนก็ต้องทำกันสองคนแต่ถ้าเหลือคนเดียวก็ต้องทำคนเดียว แต่การทำงาน คนเดียวหรือสองคนไม่ได้หมายความว่าคนที่เหลือจะไม่รู้ เพราะเราสื่อสาร และปรึกษากันผ่านเฟซบุ๊ค พี่ๆ ก็จะรับรู้ด้วยว่าทำอะไรกันไปถึงไหน”

ผลของการบริหารทีมและเวลา เมื่อถึงช่วงของการจัดค่าย มีทีมหนุนมาช่วยงานกว่า 20 คน

“ผมมองว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ตอนแรกไม่คิดว่าเราจะทำได้ ถ้าจะให้ตอบว่าบทเรียนจากการทำโครงการคือเรื่องอะไร คำตอบคือ เราพุ่งเป้าไปที่การสร้างคนรุ่นใหม่คือเด็กเล็กๆ ในชุมชนมากเกินไป โดยลืมมองน้องๆ ที่เป็นทีมงานของเราเอง เราเห็นว่าพวกเขามาช่วยงานอย่างแข็งขัน ซึ่งจริงๆ แล้วกลุ่มนี้แหละคือกำลังหลักที่จะมาสานต่องานของหมู่บ้านในอนาคต แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ช่วยกันพัฒนาน้องๆ คนรุ่นต่อๆ ไปนะครับ” นิกกี้เล่าความรู้สึก

ด้านขิมชี้ว่า ตลอดช่วงเวลาของการทำโครงการ แม้เธอจะเข้ามามีบทบาทในทีมค่อนข้างน้อย แต่ประเด็นที่เธอเห็นคือการสื่อสารและให้กำลังน้องๆ ที่ทำงานอยู่ในชุมชน

“อย่างน้อยการส่งข้อความเข้ามาทักทายในเฟซบุ๊ค ก็ทำให้น้องๆ มีกำลังใจในการทำงาน เพราะพวกเขาจะรู้ว่าพี่ๆ ไม่ได้ทิ้งเขาไปไหน”

และในส่วนของน้องๆ รุ่นใหม่ ถึงขณะนี้อาจจะยังระบุไม่ได้ว่าจิตอาสาเกิดขึ้นแล้วหรือยังแต่ที่แน่ๆ คือ ทีมงานในโครงการหลัก บวกกับทีมหนุนอีกว่า 20 ชีวิต คือคำตอบที่เป็นรูปธรรมของโครงการนี้

Tags:

active citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)ชาติพันธุ์

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    เคาะประตูบ้าน ส่งต่อเพลงซอและนิทาน สืบสานต่อโดยละอ่อนปกาเกอะญอ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ที่บ้านไม้สลี เด็กๆ ที่นี่ ปั่นฝ้าย ย้อมสี และทอผ้า ใส่กันเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด
Healing the traumaFamily Psychology
16 January 2019

ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ผลการวิจัยยังพบ เด็กและเยาวชนที่ไม่มีประสบการณ์ชีวิตจากการเผชิญกับความผิดพลาดล้มเหลวเลย จะไม่รู้ศักยภาพของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ทำให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ซึมเศร้า ไม่มีชีวิตชีวาและไม่พอใจกับชีวิต
  • ความผิดพลาดล้มเหลวเป็นเชื้อเพลิงเสริมสร้าง Growth Mindset ให้เด็กและเยาวชนมีความพยายามมากขึ้นและกล้าทำสิ่งที่แตกต่างจนพัฒนาตัวเองได้
  • ความผิดพลาดล้มเหลวเป็นเชื้อเพลิงเสริมสร้าง Growth Mindset ให้เด็กและเยาวชนมีความพยายามมากขึ้นและกล้าทำสิ่งที่แตกต่างจนพัฒนาตัวเองได้

คุณกลัวความล้มเหลวไหม?

ถ้าคำตอบ คือ “ใช่” บอกได้ไหมว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณ…กลัวความล้มเหลว?

เหตุผลแห่งความกลัวอาจมีอยู่หลายอย่าง

คุณจะดูแย่ในสายตาคนอื่น คุณจะรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง รู้สึกผิดหวังและอึดอัดใจ คุณไม่อยากเริ่มต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก!!

ความล้มเหลว และ ความผิดพลาด จึงเหมือนเป็นคำสาป

แน่นอนว่าไม่มีใครอยากทำผิด ทำพลาด หรือไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำ ดังนั้นเมื่อไม่อยากเผชิญหน้า ไม่อยากรู้จักทักทายกับความรู้สึกแย่ๆ ที่จะเกิดขึ้น เราจึงพยายามสกัดกั้นไม่ให้ความล้มเหลวเดินเข้ามาหา ลามไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองที่ปกป้องลูกไม่ให้เผชิญหน้ากับความผิดพลาดล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะกลัวลูกสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง และไม่ภูมิใจในตัวเอง

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยในประเทศออสเตรเลีย พบผลลัพธ์ตรงข้ามกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด 

แมนดี ชีน (Mandie Shean) อาจารย์ประจำโรงเรียนการศึกษา (School of Education) มหาวิทยาลัยอีดิทโควาน (Edith Cowan University) ประเทศออสเตรเลีย เขียนไว้ในบทความเรื่อง ‘To make your child more resilient, you need to let her fail.’ เผยแพร่ในเวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่ม (World Economic Forum ) ว่า

ความพยายามป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดล้มเหลวเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน เป็นการตัดโอกาสที่ดีในการเรียนรู้การใช้ชีวิตไปจากพวกเขา เพราะความผิดพลาดล้มเหลวจะหยิบยื่นของขวัญที่หาไม่ได้จากที่ไหน ประสบการณ์จากการเผชิญหน้ากับมันจะนำพาไปสู่ความสำเร็จ

ของขวัญจากการเผชิญหน้า

เมื่อทำผิด-ทำพลาด สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ ความรู้สึกผิดหวังหรืออึดอัดใจ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำไม่ใช่การป้องกันไม่ให้ลูกทำผิดพลาด แต่คือ การให้ลูกได้เรียนรู้วิธีจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะความผิดพลาดเล็กๆ ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรร้ายแรงต่อการใช้ชีวิต

แมนดี เรียกความท้าทายเล็กๆ ในชีวิตนี้ว่า “steeling events”

การไม่ปล่อยให้ลูกทำสิ่งท้าทายบ้าง จะสร้างให้พวกเขากลายเป็นคนที่มีความเปราะบางทั้งทางร่ายกายและจิตใจ แทนที่จะเสริมศักยภาพให้เขาปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ ผู้ปกครองต้องเชื่อมั่นว่าเด็กและเยาวชนมีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำ และการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง

สมการการเรียนรู้ที่พวกเขาจะได้พบ เป็นเหตุเป็นผลที่เข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อทำหรือไม่ทำสิ่งนี้ สิ่งนี้เลยเกิดขึ้น เช่นถ้าไม่ตั้งใจเรียนหนังสือก็จะสอบตก หรือถ้าไม่ฝึกฝนอย่างหนักก็อาจจะไม่ได้รับคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งในทีม เป็นต้น

ผลการวิจัยยังพบอีกว่า เด็กและเยาวชนที่ไม่มีประสบการณ์ชีวิตจากการเผชิญกับความผิดพลาดล้มเหลวเลยจะไม่รู้ศักยภาพของตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลง ทำให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ซึมเศร้า ไม่มีชีวิตชีวาและไม่พอใจกับชีวิต

ของขวัญจากการเรียนรู้

ความผิดพลาดล้มเหลวเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้ การสร้างค่านิยมให้มองความผิดพลาดล้มเหลวเป็นเรื่องไม่น่าพึงประสงค์ หรือเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ไม่มีความสามารถ โดนตีตราว่าไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้เด็กและเยาวชนหลีกเลี่ยงทำสิ่งที่ท้าทายและแปลกใหม่ ทั้งที่สิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อกระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ในระยะยาว

คำชื่นชมในความพยายาม

หากเราปรับวิธีคิด (mindset) ใหม่ ให้มองความผิดพลาดล้มเหลวเป็นโอกาส สิ่งนี้จะกลายเป็นของขวัญล้ำค่าแทนภัยคุกคามชีวิต

เด็กที่มีกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เชื่อว่าความสามารถของสมองในการเรียนรู้และแก้ปัญหาสามารถเปลี่ยนแปลงได้หากพยายามฝึกฝน ในทางกลับกันเด็กที่มีกรอบความคิดแบบตายตัว (Fixed Mindset) จากการถูกปลูกฝังหรือถูกตีกรอบการใช้ชีวิต เชื่อว่าความสามารถของสมองเป็นสิ่งที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด เราเกิดมาทำได้แค่นี้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้

ข่าวดี คือ ความผิดพลาดล้มเหลวเป็นเชื้อเพลิงเสริมสร้าง Growth Mindset ให้เด็กและเยาวชนมีความพยายามมากขึ้นและกล้าทำสิ่งที่แตกต่างจนพัฒนาตัวเองได้

นอกจากปล่อยให้ลูกได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เรียนรู้จากการตัดสินใจ และแก้ปัญหาชีวิตของพวกเขาเองแล้ว พ่อแม่สามารถช่วยส่งเสริมลูกอย่างไรได้บ้าง?

สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ไม่ยาก คือ การชื่นชม เพื่อช่วยหนุนกำลังใจให้เด็กๆ รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า พร้อมเผชิญหน้ากับความล้มเหลวทุกรูปแบบ

ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ความรู้สึกของนักวิ่งเมื่อได้รับรางวัลเป็นของที่ระลึกจากการเข้าร่วมแข่งขันวิ่งแม้เข้ามาถึงเส้นชัยเป็นที่สุดท้าย ของรางวัลเป็นตัวแทนกำลังใจที่บอกว่าการไม่ได้เข้าเส้นชัยเป็นที่หนึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร   

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยบ่งชี้ว่า การชมเชยเกินจริงให้ผลลัพธ์ตรงข้าม และการกล่าวชื่นชมแบบโฟกัสไปที่ตัวบุคคล เช่น เธอสวยหรือฉลาดมาก กลับทำให้เด็กหลีกเลี่ยงทำสิ่งที่เสี่ยงหรือท้าทาย เพราะไม่อยากทำผิดพลาดหรือล้มเหลว กลัวไม่ได้รับการยอมรับและกลัวคนอื่นมองไม่เห็นคุณค่าเหมือนที่เคยได้รับ วิธีคิดแบบนี้ยิ่งทำให้เด็กมีความภาคภูมิใจในตัวเองน้อยลง ดังนั้นผู้ปกครองควรเรียนรู้วิธีการกล่าวชื่นชม โดยพุ่งเป้าไปที่แอคชั่น เช่น ความพยายาม ความกระตือรือร้น หรือการทุ่มเทแรงกายแรงใจของเด็ก แทนการชมว่า

“ดี สวย เก่ง เยี่ยม เลิศ…ที่สุดเลยลูก!!”

4 วิธีสอนลูก ให้มองความผิดพลาดแค่เรื่องเล็กๆ!

  • หนึ่ง อย่าปกป้องลูกจากผลกระทบเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นได้จากความผิดพลาดของเขา

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกไม่สนใจเรียนเท่าที่ควร ทำงานส่งไม่ทันเวลา หรือสอบไม่ผ่าน อย่าเข้าปกป้องหรือแก้สถานการณ์ให้ลูก ปล่อยให้เขาเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองก่อน

  • สอง สวมบทเป็นเพื่อนช่วยคิด

ให้ความล้มเหลวหรือข้อผิดพลาดเป็นบทเรียน เพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้และเติบโต พ่อแม่ทำหน้าที่เป็นกองหนุนให้คำปรึกษาและแสดงความคิดเห็นร่วมกันกับลูกว่า…ทำอย่างไรไม่ให้พลาดอีกในครั้งต่อไป

  • สาม บอกให้ลูกเข้าใจว่า…เป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกแย่เวลาทำพลาดหรือทำอะไรไม่สำเร็จ

แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะรู้สึกแย่ ยังมีอีกหลายอย่างรอให้ลูกได้เรียนรู้และลงมือทำ ก้าวต่อทำสิ่งอื่นที่ต่างออกไปในอนาคต

  • สี่ เมื่อลูกทำได้ดีกล่าวคำชื่นชมในความพยายามของลูก แต่ไม่อวยจนเกินพอดี เช่น “แม่เห็นความพยายามของลูก” หรือ “พ่อรู้ว่าลูกทุ่มเทขนาดไหน”  เป็นต้น

ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่พ่อแม่จะปกป้องลูกจากการทำผิดพลาดหรือความล้มเหลวในชีวิต ปล่อยให้พวกเขาได้สัมผัสและใช้ชีวิตอยู่กับมัน แล้วพวกเขาจะได้รับของขวัญตอบแทนกลับไปอย่างคุ้มค่า บทเรียนจากความล้มเหลวจะทำให้พวกเขาปรับตัวกับการใช้ชีวิตได้ดีและมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้น

อ้างอิง:
To make your child more resilient, you need to let her fail

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)ปม(trauma)Growth mindsetoverprotective parentพ่อแม่

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘ผิดได้ พลาดเป็น’ คือโอกาสการเรียนรู้ของลูก

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    รวมคำพูดที่ทำร้ายและทำลาย ‘ความฉลาด’ ของลูกคุณ

    เรื่อง The Potential

IN_T_AF CAFÉ & GALLERY: ปลุกเมืองเก่าริมแม่น้ำปัตตานี ด้วยร้านน้ำชาและแกลเลอรี
Voice of New Gen
15 January 2019

IN_T_AF CAFÉ & GALLERY: ปลุกเมืองเก่าริมแม่น้ำปัตตานี ด้วยร้านน้ำชาและแกลเลอรี

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • อาซีซี ยีเจะแว เจ้าของร้าน In_t_af café & gallery หนึ่งในสมาชิกกลุ่มมลายู ลิฟวิ่ง และนักออกแบบสกายวอล์ค ทางเดินลอยฟ้าสาธารณะเหนือป่าชายเลนและอ่าวปัตตานี
  • สิ่งที่ตั้งใจแต่แรกใน In_t_af café & gallery คือความพยายามให้ศิลปะจับต้องได้ เข้าถึงได้ กลุ่มเป้าหมายคือคนพื้นที่ในย่านเก่าบนถนนอาเนาะรู ติดแม่น้ำปัตตานี สิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจแต่เกิดจริง คือการขยายเมืองและปลุกชีวิตเมืองเก่าในปัตตานีให้หวนคืน
  • “สิ่งที่เราอยากทำก็เพื่อเมืองปัตตานีนั่นแหละ อยากใช้วิชาชีพของเราทำให้เมืองสวยงาม”  
ภาพ: ปุณิกา พุณพาณิชย์

“In_t_af (อ่านว่า อิน-ตอ-อาฟ) มาจากการเรียงตัวอักษรถอยกลับของคำว่า ‘ฟาตอนี’ (อาณาจักรปัตตานี กินพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลาบางส่วน) เพราะช่วงที่ผมกับเพื่อนจะก่อตั้งกลุ่มทำงานด้านสถาปัตย์ เหตุการณ์ในพื้นที่รุนแรงมาก เวลาพูดถึงคำว่าปัตตานี ทุกคนจะคิดถึงพื้นที่สีแดง ความหมายเป็นไปในทางลบ

“แต่ ‘ฟาตอนี’ แปลว่า ‘เมืองแห่งปราชญ์’ ซึ่งผมชอบมากเลยนะ มันใช่เลยล่ะ เพราะในพื้นที่นี้มีความรู้อยู่ทั้ง 3 ศาสนาคือ อิสลาม พุทธจีน และไทยพุทธ สำหรับผมมันคือดินแดนที่สุกงอมทางความคิด พอต้องตั้งชื่อกลุ่มทำงาน เลยมีไอเดียว่าลองถอยหลังดูไหม? ลองมองเมืองจากข้างหลังดู ลองดูว่าจะเห็นเมืองชัดขึ้นรึเปล่า

“ซึ่งสิ่งที่เราอยากทำก็เพื่อเมืองปัตตานีนั่นแหละ อยากใช้วิชาชีพของเราทำให้เมืองสวยงาม”  

ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเราคือ ซี-อาซีซี ยีเจะแว สถาปนิกวัย 38 ปี – ซึ่งเขาออกตัวว่า ในวงการสถาปัตย์ อายุเท่านี้นับเป็น ‘คนรุ่นใหม่’ ในวงการอยู่เลย! 

เจ้าของร้าน In_t_af café & gallery และ สมาชิกกลุ่มมลายู ลิฟวิ่ง (Melayu Living) กลุ่มครีเอทีฟรุ่นใหม่ที่รวมตัวกันทำงานสร้างสรรค์ ไม่จำกัดอยู่เฉพาะงานสถาปัตย์ แต่ทำงานหลากรูปแบบบนฐานความร่วมมือของคนในพื้นที่ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้ตอนล่าง

อธิบายให้ใกล้ชิดขึ้นอีกนิด ซี หรือ เรียกด้วยคำนำหน้าในภาษามลายูว่า แบซี (ได้ทั้ง บัง และ แบ แต่คนในพื้นที่มักใช้คำว่า แบ เพื่อเรียกผู้ชายอย่างให้เกียรติ) คือผู้ออกแบบ สกายวอล์ค (Skywalk) หรือ ปัตตานี แอนเวนเจอร์ พาร์ค (Pattani Adventure Park) จุดชมวิวป่าชายเลนและอ่าวปัตตานี บริเวณสวนสมเด็จเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

และนี่คืออีกหนึ่งบุคคล อีกหนึ่งกลุ่มทำงานที่ The Potential ภูมิใจนำเสนอในฐานะ Voice of New Gen กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ลุกขึ้นทำงานตามกำลังและศรัทธาของตัวเอง ทีละเล็กละน้อยแต่รวมกันเป็นพลังของเมืองได้มหาศาล

อย่างที่เขาบอกชัด “สิ่งที่อยากทำก็เพื่อเมืองปัตตานี อยากใช้วิชาชีพของเราทำให้เมืองสวยงาม”

ไม่ว่าจะในสเกลเล็กอย่าง café & gallery หรือ มลายู ลิฟวิ่ง ก็ตาม

Pre-In_t_af café & gallery: จุดเริ่มต้น ที่มา และความสำคัญ

หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย แบซีเลือกเรียนเพราะได้แรงบันดาลใจจาก อาจารย์อุสมาน เจะซู อาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรม วิทยาลัยเทคนิคยะลา อาจารย์ผู้มีอิทธิพลต่อกรอบคิดด้านการศึกษาของเขาในวัยเด็กถึงปัจจุบัน

แบซีใช้เวลา 1 ปีทำงานในบริษัทด้านสถาปัตยกรรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ก่อนจะตัดสินใจกลับปัตตานีด้วยความตั้งใจอยากกลับมาใช้เวลากับแม่ให้มากขึ้น กระนั้น เขาก็ไม่ได้ทิ้งวิชาชีพที่บากบั่นเล่าเรียน สมัครเข้าร่วมงานกับเทศบาลเมือง และกลับไปร่วมงานกับอาจารย์อุสมาน อาจารย์ที่มอบวิธีคิดด้านศิลปะและวิชาชีพสถาปัตยกรรมให้กับเขาอีกราว 2 ปี

“ตอนแรกตั้งใจอยู่บ้านแค่ 2 เดือน แต่ไปๆ มาๆ อยู่ยาว 2 ปี (หัวเราะ) ที่ตั้งใจอยากทำงานกับเทศบาล เราคิดแค่ว่าเราอยากทำงานกับเทศบาลเพื่อจะได้ออกแบบเมืองให้พื้นที่สวยขึ้น อยากเอาความรู้ที่เรียนมาใช้ และมันไม่ใช่ความอยากเพราะคิดว่าของเดิมไม่สวยหรือมีปัญหา แค่อยากทำงานและใช้ความสามารถของตัวเองให้ดีที่สุดแค่นั้น” แบซีอธิบาย

หลังอยู่บ้านได้ 2 ปี บริษัทเดิมที่เคยทำงานในกรุงเทพฯ โทรศัพท์ชวนกลับไปทำงานอีกครั้ง แต่ทำได้เพียง 1 ปีโปรเจ็คท์ที่ว่าก็ล้มเลิก และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขากลับบ้านถาวร และ In_t_af studio จึงเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้

“ตอนนั้นมันมีกลุ่มเพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้องกลับบ้านพร้อมกัน 4-5 คน พูดกันเล่นๆ ว่า ‘นี่เราจะมาแย่งงานกันเหรอ จะเป็นศัตรูกันเหรอ? ไม่น่าใช่นะ เรามาเป็นพันธมิตรกัน เปิดสตูดิโอร่วมกันดีกว่าไหม?’ ซึ่ง base หรือจุดศูนย์กลางของมันก็คือเรื่องสถาปัตยกรรมนี่แหละ

“ทำอยู่สัก 4-5 ปี ก็มาเจอบ้านหลังนี้ (ร้าน In_t_af café & gallery ปัจจุบัน) ผมมีไอเดียอยากทำออฟฟิศ ตามสไตล์แบบ… นัดลูกค้ามาคุยกันหลังร้าน หรือ ก่อนทำแบบก็มานั่งชิลด์ เอื้อยอ่อยจนไม่ได้งาน (หัวเราะ) คือมันดูชิคๆ เนอะ แต่พอไปคุยกับหุ้นส่วน ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย สุดท้ายเลยตกลงกันว่าจะแบ่งเงินกองกลางแล้วแยกกันทำตามฝัน ซึ่งเป็นการตกลงกันด้วยดีนะครับ จากนั้นผมกับเพื่อนที่เห็นด้วย เลยพัฒนาไอเดียมาเป็น In_t_af café & gallery”

ร้านที่ว่าตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่า บนถนนพูนสวัสดิ์ หรือ ถนนอาเนาะรู หลังร้านติดแม่น้ำปัตตานี บรรยากาศในร้านจึงไม่ต้องอธิบายว่าจะงามและชวนเข้าไปนั่ง ‘เอื้อยอ่อย’ จิบชาและกาแฟแค่ไหน

สารัตถะของ In_t_af café & gallery: ศิลปะที่เข้าถึงง่าย และ การชุบชีวิตเมืองเก่า

“ตอนรื้อบ้าน ผมคุยกับเพื่อนว่าจะทำอะไรดี จะเป็นร้านน้ำชาดีมั้ย? เพราะคนที่นี่ชอบกินชาอยู่แล้ว แต่ร้านน้ำชาจะให้สาระอะไรได้บ้าง หรือจริงๆ ก็ถามตัวเองว่า ‘เราควรให้สาระอะไรกับมันไหม?’ ตอนที่คิดคอนเซ็ปต์ร้าน เราย้อนไปคิดถึงไอเดียแกลเลอรีเล็กๆ ในร้านน้ำชาที่ปีนัง และมะละกา ประเทศมาเลเซี เราอยากทำแบบนั้น”

ถึงตรงนี้แบซีเล่าว่า เขาเคยเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าความเจริญต้องกระจุกตัวในเมืองใหญ่หรือเมืองหลวง จนกระทั่งได้ออกเดินทาง ทริปที่เปลี่ยนความคิดของเขาเรื่องเมืองมากที่สุดคือการไปเที่ยวที่ปีนังและมะละกา ประเทศมาเลเซีย ทั้งที่ไม่ได้เป็นเมืองหลวงเช่นกรุงเทพฯ แต่ความเจริญของเมืองโดยเฉพาะวัฒนธรรมก้าวหน้ามาก

“เราเคยคิดว่าเมืองที่เจริญต้องเป็นเมืองใหญ่ เป็นเมืองหลวง แต่ภาพบ้านเมืองของเขามันตั้งคำถามกับเราเลยนะว่า ‘เฮ้ย มันทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองใหญ่ แล้วเทศบาลของเราทำอะไรอยู่?’ เมืองแต่ละแห่งมันมีศักยภาพของตัวเอง อย่างปัตตานีเราก็เป็นเมืองท่า เปรียบเทียบก็เหมือนกับภูเก็ตหรือสงขลา ซึ่งเราก็น่าจะทำแบบนั้นได้บ้าง”

ปีนัง และ มะลากา อาจไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้ In_t_af café & gallery เป็นดังเช่นทุกวันนี้ แต่แน่นอนว่ามันส่งอิทธิพลบางอย่างต่อความคิดเขา โดยเฉพาะ ‘สาระ’ ของร้านกาแฟ

“ก่อนทำร้าน เราก็ไปดูวัตถุดิบของที่นี่ว่ามีอะไรบ้าง เช่น มีคณะศิลปะ มีคณะวิทยาการสื่อสาร มีระบบการศึกษาในเชิงครีเอทีฟแบบนี้อยู่ ถ้าเปิดแกลเลอรีจริงๆ เราให้น้องๆ มาแสดงงานที่นี่ก็ได้ มากกว่านั้น มันอาจทำให้คนที่มาดูงานนักศึกษาเห็นความหลากหลาย ‘เฮ้ย เด็กปัตตานีมันคิดแบบนี้เหรอ?’ มันอาจมีพลวัตบางอย่างเกิดขึ้นในร้านกาแฟก็ได้นะ

“ส่วนเพื่อนผมเห็นว่า ที่นี่จะต้องเหมือนสวนสนุก เหมือนสนามเด็กเล่นให้ใครก็ได้มาโชว์ผลงาน การโชว์ผลงานก็คือการเล่นกับคน คนที่มากินชา มาดูรูป รูปนั้นอาจยังไม่ทำงานกับเขา ณ ตอนนี้ แต่วันหนึ่งสารในรูปภาพนั้นอาจไปคลิกความคิดเขาก็ได้

“เปรียบเทียบง่ายๆ คนปิ้งลูกชิ้นจะเข้าไปดูแกลเลอรีในมหาวิทยาลัยไหม? แทบเป็นไปไม่ได้ แต่วันหนึ่งเขามากินชาที่ร้านนี้ ขอดูหน่อยเถอะว่ารูปนี้มันเป็นยังไง สาระของมันก็คือการทำให้ศิลปะเข้าถึงง่ายขึ้น”

‘ทำให้ศิลปะเข้าถึงง่าย’ คือสิ่งที่ตั้งใจแต่แรก หากสิ่งที่ไม่ตั้งใจแต่มาวิเคราะห์ว่าเกิดจริงในภายหลัง คือการชุบชีวิตเมืองเก่า

“ผมถูกสอนว่า ถ้าจะสร้างเมือง ให้คุณปักหมุดอนุสาวรีย์แล้วตีเส้นแบ่งเป็นบล็อกๆ ไปเลย แต่สำหรับเมืองเก่าล่ะ จะทำยังไง? ตอนที่เลือกบ้านนี้ ผมสนใจเพราะเป็นย่านเก่า ไม่มีคนสนใจเลย เราเลือกเปิดร้านที่นี่ก็เพื่อให้คนรู้จักย่านนี้ ถ้ามีคนมาร้านมันก็คงเริ่มมีชีวิต มีคนเปิดร้านนั้นร้านนี้ใกล้ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟหรือร้านอาหาร เปิดในอาคารเดิมแต่เปลี่ยนฟังก์ชั่น ซึ่งมันกระจายเมืองได้

“จากแต่ก่อนที่คนจะไปตั้งต้นทำร้านแต่ที่ มอ. (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) อย่างเดียว ตอนนี้อาจไม่มากมายแต่มันก็เกิดการกระจายเมืองแล้วแหละ การมีมลายู ลิฟวิ่ง ก็ยิ่งทำให้คนกลับมาสนใจสถาปัตยกรรมที่นี่ สนใจว่ามันควรจะอนุรักษ์ไหม? ชัดเจนคือบ้านขุนพิทักษ์รายา ก็มีคนมารีโนเวทเพื่ออนุรักษ์แล้ว”

In_t_af อาจไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ปัตตานีในวันนี้กลายเป็นอีกหนึ่งเมืองที่รวมความ ‘ฮิป’ มีร้านกาแฟและแกลเลอรีหลากหลาย แต่แบซีพูดอย่างภูมิใจว่า ณ วันที่ In_t_af เกิดขึ้น มันเป็นคาเฟ่และแกลเลอรีแห่งแรกๆ ในย่านนี้เลยทีเดียว

มลายู ลิฟวิ่ง

In_t_af café & gallery คือความตั้งใจส่วนตัวของแบซีและเพื่อนหุ้นส่วนที่อยากสร้างพื้นที่ให้ศิลปะจับต้องและเข้าถึงง่าย แต่แน่นอนว่าตัวตนของเขาจริงๆ ก็คือคนรุ่นใหม่ในวงการสถาปัตย์ การทำงานจึงไม่ได้หยุดแค่ร้านกาแฟแล้วจบไป แต่เขาคือหนึ่งในสมาชิก มลายู ลิฟวิ่ง กลุ่มครีเอทีฟรุ่นใหม่ที่รวมตัวกันทำงานสร้างสรรค์ บนฐานความร่วมมือคนในพื้นที่ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้ตอนล่าง

แบซีเล่าจุดเริ่มต้นว่า เป็นแนวคิดของ ราชิต ระเด่นอาหมัด หนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม ที่มีความคิดอยากสร้างเครือข่ายกับคนรุ่นใหม่ ทำงานสร้างสรรค์ร่วมกับสาขาอื่นๆ จะต่างคนต่างทำไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องรวมกันเป็นภูมิภาคเพื่อสร้างงานสร้างสรรค์ในพื้นที่ กลุ่มจึงเกิดขึ้นในนามสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายใต้ชื่อกรรมาธิการสถาปนิกทักษิณฯ โดยมี วิวัฒน์ จิตนวล ประธานกรรมาธิการสถาปนิกทักษิณฯ เป็นที่ปรึกษา

“เรารวมตัวกันเพื่อเชิดชูวิชาชีพและให้ความรู้ทางวิชาชีพแก่สมาชิก แต่ ‘วิชาชีพ’ ในที่นี้ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นแค่สถาปนิก หรือแนวคิดทางวิชาการ แต่เชิดชูความรู้ของชาวบ้าน เช่น คนที่ทำว่าว ซึ่งเขาเก่งมากในวิชาชีพนี้ จะทำยังไงให้เห็นว่าเค้าเป็นครู เป็นปราชญ์คนหนึ่งของที่นี่”

“ถ้า In_t_af studio ยืนบนฐานงานสถาปัตยกรรม มลายู ลิฟวิ่ง จะรวมคนทำงานสร้างสรรค์ไว้หลายอย่าง เช่น ช่างภาพ กราฟิกดีไซเนอร์ หรือนักสร้างเนื้อหา ร่วมกันสร้างกิจกรรมให้พื้นที่เกิดความเคลื่อนไหวใหม่ๆ เช่น โปรเจ็คท์ ‘อารมย์ดี’ กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงชุมชน หรือ local tour เราจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวเดินเท้ารอบเมืองปัตตานี เคาะประตูบ้านคนในพื้นที่เข้าไปพูดคุยกัน

“ชื่อ ‘อารมย์ดี’ ก็มาจากชื่อถนน 3 สายที่เราจะพานักท่องเที่ยวเดิน คือ ‘อา’ จากถนน อาเนาะรู, ‘รมย์’ จากถนน ปัตตานีภิรมย์ และ ‘ดี’ จากถนน ฤาดี” แบซีอธิบาย

แบซีเล่าถึงกิจกรรมนี้เพราะอยากอธิบายว่า มลายู ลิฟวิ่ง แม้จะอิงกับงานเมืองหรือสถาปัตย์ แต่ก็ทำงานตามโจทย์และสร้างสรรค์กิจกรรมบนฐานคนในพื้นที่และวัฒนธรรม โปรเจ็คท์นี้ยังเป็นการร่วมมือระหว่างคนทำงานในพื้นที่กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะผู้ร่วมประชาสัมพันธ์ด้วย

“ในโปรเจ็คท์อารมย์ดี ที่ต้องไปเคาะประตูตามบ้าน เชื่อไหมว่าเราเคยได้ยินว่ามีบ้านหลังหนึ่งเขาดุมาก ชาวบ้านไปถามนู่นถามนี่มากไม่ได้ แต่เชื่อไหมว่าวันที่เราทำทัวร์ เราได้รับการตอบรับจากเขาดีมาก เราจะไม่ทำโปรเจ็คท์นี้บ่อยๆ เพราะไม่อยากรบกวนการเป็นอยู่จริงๆ ของเขา แต่แค่หนึ่งวันที่เขาได้มีส่วนร่วม หายเหงา มันโอเคแล้ว” แบซีเล่ายิ้มๆ

ศิลปะเพื่อเยียวยาและเดินหน้า

ระหว่างบทสนทนา ครั้งหนึ่งเราถามเขาว่า ที่แบซีทำงานด้านศิลปะทั้งหมดนี้ เพื่ออยากแก้ไขปัญหาอะไร อยากเปลี่ยนแปลงอะไรหรือเปล่า? เขาตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาไม่อยากให้งานของ In_t_af หรือ มลายู ลิฟวิ่ง สะท้อนแต่แง่มุมความเจ็บปวด แต่อยากสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ที่มองไปข้างหน้า

“ไม่ใช่ว่าเราลืมประวัติศาสตร์ มันเป็นวัตถุดิบของเราด้วยซ้ำ แต่ไม่อยากทำศิลปะที่ชวนให้คนมาสงสาร ให้คนมาเห็นใจ ผมคิดเอาเองนะว่า งานสื่อสารแบบนั้นมันมีแต่ยิ่งตอกย้ำและทำให้จมกับความรู้สึกเช่นเดิม แต่อยากทำงานสร้างสรรค์ให้ทุกคนมีความสุขขึ้น อยากทำให้เห็นความศิวิไลซ์ในฟาตอนี อย่างที่คุณราชิตเคยบอกว่า วัฒนธรรมในท้องที่มันอบอุ่น มีความงามอีกมากที่ยังไม่ถูกนำมาทำงาน เราอยากแสดงความงามด้านนั้น”

จาก In_t_af ถึง มลายู ลิฟวิ่ง สิ่งที่ต้องการไม่ใช่การเปลี่ยนเมืองในเวลาข้ามวัน เขายืนยันในจุดประสงค์ขององค์กรว่าเป็นเพียงคนทำงานที่พยายามหาสาระและใช้ความสามารถของตัวเองทำงานเพื่อสร้าง ‘เมืองที่สวย’ ทำให้ศิลปะเข้าถึงได้ และทำกิจกรรมสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรมชุมชน

ก่อนจากกัน เขาทิ้งท้ายว่า

“สถาปนิกมักถูกสอนให้มองผัง มองอะไรใหญ่ๆ หรืออลังการไว้ก่อน แต่พอเรามาเจอกับชีวิตจริง มันอาจเริ่มจากจุดเล็กๆ เช่น ร้านนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง ก็จากการวิเคราะห์กันว่าเราชอบกินน้ำชา แล้วร้านน้ำชามันให้อะไรได้บ้าง มันก็คือศิลปะนั่นแหละ บางทีคิดใหญ่เราก็เครียดนะ ตอนนี้ก็ยังมีความคิดแบบนั้นอยู่นะ แต่พยายามซอยให้เล็กลงจนถึงสเกลงานที่เราทำได้”

เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ จุดที่ทำได้ แล้วค่อยขยายออกไปสู่การเปลี่ยนในภาพใหญ่ เหมือนที่ In_t_af ขยายไปสู่กลุ่มคนทำงานสร้างสรรค์ มลายู ลิฟวิ่ง มาแล้ว

Tags:

ศิลปะความคิดสร้างสรรค์(Creativity)สถาปนิกสามจังหวัดภาคใต้มลายู ลิฟวิ่งpublic space

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    จุฤทธิ์ กังวานภูมิ: เปลี่ยนย่านตลาดน้อย คนในต้องอยู่สบาย บ้านถึงจะกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Space
    ปัตตานี ดีโคตร: ต่อจิ๊กซอว์ประวัติศาสตร์ เดินเล่นส่องย่าน ‘PATTANI DECODED’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีกิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Space
    ปัตตานี ดีโคตร: เดินเล่นในย่านส่วนตัว แต่เรียนรู้แบบส่วนรวม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Unique Teacher
    พรรัตน์ ดำรุง: ครูละครผู้รื้อสร้างและสนใจว่านางสีดาคิดและพูดอย่างไร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Voice of New Gen
    CROSSS: นักออกแบบที่สนุกกับการฟัง ‘ความฝัน’ ชวนคนทะเลาะ เพราะทุกคนต้องมีส่วนร่วม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

CONNEXT KLONGTOEY : เรื่องจริงของ ‘เด็กคลองเตย’ ผ่านแฟชั่น แร็ป ภาพถ่ายและลายสัก
Voice of New Gen
14 January 2019

CONNEXT KLONGTOEY : เรื่องจริงของ ‘เด็กคลองเตย’ ผ่านแฟชั่น แร็ป ภาพถ่ายและลายสัก

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • ‘Connext Klongtoey’ คือโปรเจ็คต์ที่เล่าเรื่องจริงของ ‘ชุมชนคลองเตย’ ผ่านเสียงจริงของ ‘เด็กคลองเตย’ เสียงของเด็กๆ ถูกบอกเล่าผ่านศิลปะ 4 แขนงคือ แฟชั่น แร็ป ภาพถ่ายและลายสัก หลังจากได้เวิร์คช็อปอย่างเข้มข้นเป็นเวลาร่วม 2 เดือน
  • ศิลปะทั้ง 4 แขนงนี้ จะทำให้เด็กๆ ในชุมชนคลองเตย เห็นคุณค่าของตัวเอง เรียนรู้และฝึกการคิดวิเคราะห์ (critical thinking) และสร้างพื้นที่ปลอดภัยได้
  • กระบวนการเวิร์คช็อปในโปรเจ็คต์นี้ ช่วยทำให้เห็นมิติอื่นๆ ของเด็กคลองเตย เช่น ภาวะผู้นำ ที่พวกเขาไม่เคยเเสดงออกมา เช่น ภาวะผู้นำ

เรื่องเล่าที่เราเคยได้ยินมาเกี่ยวกับ ‘ชุมชนคลองเตย’ คงจะเป็นเรื่องเล่าที่พูดถึงพื้นที่สีเทา หรือชุมชนแออัดขนาดใหญ่ที่อุดมไปด้วยปัญหาต่างๆ สะสมไว้อย่างเรื้อรัง

แล้วในความจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่?

นั่นอาจเป็นเพียง ‘ภาพจำ’ บางส่วนที่คนนอกยัดเยียดให้คลองเตย หาก ‘คนใน’ รู้ดีว่าชุมชนคลองเตยยังมีอีกหลายมิติ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะสื่อออกมาอย่างไรและสื่อออกมาเพื่ออะไร แล้วใครจะฟัง

โปรเจ็คต์ ‘Connext Klongtoey’ จึงเข้ามาเพื่อ เล่าเรื่องจริงของ ‘ชุมชนคลองเตย’ ผ่านเสียงจริงของ ‘เด็กคลองเตย’

เสียงจริงของเด็กๆ เหล่านี้ ถูกบอกเล่าผ่านศิลปะ 4 แขนงคือ แฟชั่น แร็ป ภาพถ่ายและลายสัก หลังจากได้เวิร์คช็อปอย่างเข้มข้นกับตัวจริงเป็นเวลาร่วม 2 เดือน

สองในสามตัวจริงคือ กลุ่ม Eye on Field นำโดย ‘เบสท์-วรรจธนภูมิ ลายสุวรรณชัย’ ‘นัท-นันทวัฒน์ จรัสเรืองนิล’ สองนักออกแบบผู้ก่อตั้ง และอีกหนึ่งคนสำคัญคือ ‘ครูโมสต์–สินีนาฏ คะมะคต’ กำลังสำคัญจากโครงการ Teach for Thailand ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลงรุ่นที่ 4 ที่สอนประจำในวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมต้น ในโรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนาชุมชนคลองเตย

โดยปลายทางของโปรเจ็คต์ จะถูกสื่อสารผ่านนิทรรศการงานศิลปะในงาน Bangkok Design Week วันที่ 26 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ นี้

เข้ามาร่วมทำโปรเจ็คต์นี้ ได้อย่างไร

นัท: เดิมทีเราทำงานเกี่ยวกับการผลิตสื่อต่างๆ เป็น creative เป็นคนที่ทำนิทรรศการ ทำภาพเคลื่อนไหว ผนวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ ซึ่งอยู่ในรูปแบบของงานศิลปะเชิงพาณิชย์ ภายใต้ทีมที่ชื่อว่า Eyedropper fill  

และ Eye On Field ก็คือส่วนที่แตกหน่อมาจาก Eyedropper Fill ที่มีภาพจำหรือคาแรคเตอร์เดิม เป็นกลุ่มนักออกแบบที่ทำงานศิลปะ อยู่กับแสง สี เงา แต่ระหว่างทางที่ทำงานเราก็ค้นพบอีกเลเยอร์ที่เราสนใจนั่นคือเรื่องสังคม วัฒนธรรม การปกครอง การเมือง การศึกษา เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตรอบๆ ตัว ดังนั้นงานหลักของ Eye on Field ในฐานะคนทำสื่อหรือนักออกแบบ เราจึงพยายามหาช่องทางที่จะเข้าไปมีส่วนรวมกับสังคม ไม่ว่าจะในรูปแบบของงานวิดีโอ งานกราฟิก เวิร์คช็อป สารคดี นิทรรศการ เพราะเชื่อว่าสื่อทุกประเภทมันสามารถช่วยขยายเนื้อหา สร้างสะพานเชื่อมระหว่างคนทั่วไปให้เข้าถึงได้หมด

เราจึงเป็นตัวกลางที่ช่วยทำให้คนที่อาจจะไม่ได้อินเรื่องสังคมสามารถเข้าใจคอนเทนต์นั้นได้ โดยที่คอนเทนต์นั้นจะต้องเฉียบคมและมีประโยชน์ ซึ่ง Connext Klongtoey เป็นโปรเจ็คต์แรกที่ Eye on Field ได้ทดลองทำ

Eyedropper fill กับ Eye on Field แตกต่างกันไหม

เบสท์: หลังจากการได้ทำ Eye on Field เราทำงานลงพื้นที่มากขึ้น ทำงานกับชุมชนมากขึ้น มันทำให้เราได้เปิดดวงตา ได้พบปะมนุษย์อย่างหลากหลาย เราไม่ได้สื่อสารกับกลุ่มคนที่เป็นลูกค้าหรือเอเจนซีเหมือนแต่ก่อน มันทำให้เราพบกลุ่มคนอีกหลายๆ แบบที่เราต้องพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรให้สื่อสารไปถึงพวกเขา

และเมื่อเราไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องทำงานกับใครแค่กลุ่มหนึ่ง มันทำให้เห็นเฉดของความเป็นมนุษย์หลายแบบขึ้น ส่งผลให้ ศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ มันสามารถสื่อสารได้กับคนทุกรูปแบบจริงๆ

มาเป็น Connext Klongtoey ได้อย่างไร

เบสท์: โดยส่วนตัวเรามีความสนใจเรื่องการศึกษาอยู่แล้ว พวกเราเคยเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยทางการศึกษา เราเลยอินกับเรื่องนี้

“เราสองคนเป็นเด็กเรียนวิทย์-ที่ไม่ใช่เด็กวิทย์ โดนกดดันให้เรียนด้านวิทย์มาตลอด ทั้งที่เราชอบอาร์ต ชอบศิลปะ บวกกับโรงเรียนก็ไม่ได้มีอะไรที่ตอบโจทย์เราเลย พอเวลาผ่านไปจนเราเข้ามหาวิทยาลัยทำให้โลกของเราเปิดกว้างขึ้น พอได้เริ่มทำงานด้านศิลปะ มีโอกาสได้กลับไปบรรยายในโรงเรียนมัธยมต่างๆ แล้วพบว่า เฮ้ย มันยังเหมือนเดิม”

เด็กยังบ่นเรื่องเดิม เด็กยังเจอกับปัญหาแบบเดิม จึงเริ่มอยากทำอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับการศึกษาจนได้มาเจอกับครูโมสต์

ทำไมต้องทำโปรเจ็คต์กับ ‘เด็กคลองเคย’

“หนูเรียนไม่เก่ง ในโรงเรียนไม่วิชาไหนที่หนูชอบเลย ถ้าเรียนไม่เก่งแต่เอาตัวรอดได้ นี่หนูโคตรชอบเลย” ประโยคของเด็กหญิงคนหนึ่งในชุมชนคลองเตย จากในวิดีโอ

ครูโมสต์: อย่างที่เรารู้กันดีว่า การศึกษาไทยมักใช้มาตรวัดทางด้านวิชาการในการตัดสินเด็ก นั่นคือ เด็กจะต้องเรียนเก่ง สอบติดมหาวิทยาลัย ซึ่งถ้ามองย้อนดูเด็กในคลองเตย พวกเขาไม่ได้เก่งวิชาการเลย ติดศูนย์-ซ้ำชั้นเป็นเรื่องปกติ เรียนไม่จบก็ไม่เป็นไร เด็กไม่มีความฝัน ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ซึ่งการใช้มาตรวัดเช่นนี้ ทำให้เด็กคลองเตยส่วนใหญ่คิดว่า เขาไม่มีคุณค่า เขาเรียนไม่เก่ง เขาเป็นเด็กสลัม เขารู้สึกว่าตัวเองโง่ แต่ในความเป็นจริง เด็กคลองเตยหลายๆ คนเขาก็มีศักยภาพในตัวเอง มีเเววบางอย่างที่สามารถต่อยอดไปในสายอาชีพ ใช้ทำมาหากินได้ เราจึงอยากให้เขาเจอทางตัวเอง ภูมิใจในตัวเอง เรียนไม่เก่งไม่เป็นไร เด็กทุกคนไม่จำเป็นต้องเก่งวิชาการ จึงอยากทดลองทำโปรเจ็คต์นี้ขึ้นมา

กระบวนการ ตั้งแต่ต้น-กลาง-จบ ของโปรเจ็คต์นี้เป็นอย่างไร

ครูโมสต์: โปรเจ็คต์นี้จะถูกแบ่งเป็นสามช่วง pre work shop – workshop – exhibition เราจะแบ่งหน้าที่กันชัดเจนว่าใครทำอะไร ครูจะช่วยประสานงานกับตัวเด็ก-ดูแลเด็ก ส่วนทีม Eye on Field ช่วยออกแบบกระบวนการเวิร์คช็อป จัดหาวิทยากร โดยเริ่มจากการสร้างความใกล้ชิดกับเด็กในชุมชนคลองเตยก่อน เริ่มสำรวจพฤติกรรม ลงพื้นที่ชุมชนจริงๆ สร้างความคุ้นเคยกับเด็ก ส่วนที่มาที่ไปของศิลปะ 4 สาขา 4 แขนง ก็เกิดขึ้นจากความสนใจของเด็กทั้งหมด โดยสำรวจโพลว่าเด็กคลองเตยชอบอะไร สนใจอะไร อยากเรียนอะไร ซึ่งผลลัพธ์ออกมามีหลากหลาย ทั้งอยากเป็น Youtuber อยากเรียน Photoshop อยากถ่ายภาพ เราสกัดมาจนเหลือ 4 แขนง ที่พอจะเกิดขึ้นจริงได้ นั้นคือ ‘แฟชั่น แร็ป ถ่ายภาพ ลายสัก’  

เบสท์: เมื่อเราเคาะ 4 สาขาออกมาได้แล้ว เราก็จัดหาวิทยากรที่จะมาช่วยถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ซึ่งฟิลเตอร์ที่เราต้องการจากวิทยากรที่จะมาร่วมทำงานด้วยกัน คือต้องมีใจที่จะช่วยเด็กจริงๆ และต้องเข้าใจบริบทสังคม อาจจะเคยทำงานกับเด็กมาก่อน หรือเคยทำงานด้านสังคม เช่น HockHacker ที่ช่วยสอนแร็ปก็คลุกคลีอยู่กับประเด็นสังคม เราก็เชิญเขามา

ครูโมสต์: เวลาสำหรับ pre- workshop คือ ช่วงหลังเลิกเรียน ประมาณ 4 โมง – หนึ่งทุ่ม ส่วนเนื้อหาที่นำมาสอน ขึ้นอยู่กับวิทยากรจะออกแบบมา ส่วนช่วงเวิร์คช็อปจะเต็มวัน อาจจะเป็นวันธรรมดาหรือว่าเสาร์-อาทิตย์ เพราะว่ามันเป็นช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา

เด็กจะได้ประโยชน์อะไร จากการลงมือทำจริงในศิลปะ 4 แขนง

เบสท์: ประโยชน์ที่เด็กจะได้จากในคลาสต่างๆ ก็คือ ความรู้ทักษะจากวิทยาการที่ถ่ายทอดให้ ตัวอย่างเช่น เริ่มต้นจากคลาสถ่ายรูป (photo) เด็กหลายคนเข้ามาเพราะแค่อยากมีกล้องถ่ายรูป อยากโดนถ่ายรูป ไม่ได้อยากได้เรียนรู้จริงๆ ซึ่งเราไม่ได้ไปบังคับ ปล่อยอิสระตามธรรมชาติของเด็ก ถ้าคุณอยากเรียนก็มา ไม่ได้มีการเช็คชื่อ โดยเราให้เด็กแต่ละคนเขียนเล่าเรื่องก่อน ฝึกให้เขาเล่าเรื่อง จากนั้นก็เริ่มให้ออกไปถ่ายรูปในชุมชน แล้วกลับมาตั้งวงคุยกันว่า คุณคิดอย่างไรกับภาพนั้น เป้าหมายเราไม่ได้ฝึกเด็กให้เป็นช่างภาพ ต้องถ่ายเก่ง ถ่ายสวย ถ่ายเชิงเทคนิค แบบมืออาชีพ (แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี) ในเบื้องต้นเราแค่อยากทำให้คลาสนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เขาจะสื่อสารสิ่งที่ตัวเองคิด พูดคุยกันผ่านศิลปะ ผ่านรูปถ่าย และฝึกให้เขาคิดวิเคราะห์ (critical) กับภาพที่ตัวเองถ่าย ซึ่งเราจะไม่เจอวิธีคิดเช่นนี้ในห้องเรียน

ส่วนคลาสแร็ป เป้าหมายของเราก็ไม่ใช่การปั้นให้เขาเป็นแร็ปเปอร์ แต่เราฝึกความเป็นทีมเวิร์ค ให้เขารู้จักว่าการผลิตเพลงขึ้นมาสักเพลง มันต้องมีหน้าที่อะไรบ้าง คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนแร็ป คุณเป็นคนทำบีท (beats) หรือจังหวะก็ได้ คุณเป็นโปรดิวเซอร์ เป็นผู้จัดการค่ายก็ได้ ให้เห็นว่าทุกตำแหน่งมีคุณค่าในตัวเองเหมือนกัน

คลาสต่อมา คือการออกแบบแฟชั่น เริ่มจากการให้เด็กวาดรูปออกแบบชุดขึ้นมา มีทั้งรูปนก รูปเรือ รูปหมวดปริญญา โดยเหตุผลที่วาดคล้ายๆ กัน ว่ารูปที่เขาวาดจะเป็นพาหนะที่ช่วยให้เขาออกจากชุมชนนี้ไปได้

สุดท้ายคลาสสักลาย ข้อค้นพบเลยคือมันเฟล แรกๆ เด็กให้ความสนใจในคลาสนี้เยอะมาก เพราะเขาคิดว่าตัวเองจะได้สัก อยากโดนสัก แต่เมื่อเข้าเวิร์คช็อปไปเรื่อยๆ พอรู้ว่าต้องเรียนวิธีการสัก รู้เรื่องลายสัก เด็กกลับไม่สนใจ จนสุดท้ายก็ไม่เหลือนักเรียนในคลาส

ซึ่งทีมเรากับครูโมสต์ไม่ได้รู้สึกเสียใจ โปรเจ็คต์นี้เป็นโปรเจ็คต์ทดลอง อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราไม่ได้คาดหวังให้มันสวยหรู ปล่อยตามธรรมชาติของเด็ก เมื่อไม่เหลือเด็กก็ไม่เป็นไร ผลลัพธ์นี้มันสะท้อนอะไรบางอย่างขึ้นแล้ว

การเวิร์คช็อปทำให้เด็กเปลี่ยนไปไหม?

นัท: เราไม่ได้ต้องการเปลี่ยนเด็กคลองเตยให้เป็นเด็กดี เราไม่ได้ตั้งใจที่จะ change klongtoey เราก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แอบเขินเสียด้วยซ้ำที่โปรเจ็คต์เรามีคนสนใจเยอะ เพราะจริงๆ แล้ว เราอาจเป็นแค่ส่วนจุลภาคมากๆ แค่อยากเปลี่ยนทัศนคติของเด็กที่เขามีต่อตัวเอง เพียงไม่กี่คน แค่นั้นเอง

ครูโมสต์: แต่การเวิร์คช็อปครั้งนี้ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็กในห้องเรียน บางคนเปลี่ยนเเทบจะเป็นอีกคนหนึ่ง

“เราเห็นมิติอื่นๆ ของเขาเมื่อเขาอยู่ในกระบวนการเวิร์คช็อป เห็นภาวะบางอย่างที่เขาไม่เคยเเสดงออกมา เช่น ภาวะผู้นำ เขาสามารถเเบ่งงานให้เพื่อนๆ ได้โดยที่ไม่ได้ใช้อำนาจเผด็จการ แต่เป็นการแบ่งและพูดคุยตามศักยภาพของเพื่อน” ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้สึกประทับใจมากๆ

ซึ่งครูเองก็ได้เรียนรู้จากกระบวนการของโปรเจ็คต์นี้เยอะมากเช่นกัน เราเห็นมิติของเด็กเยอะขึ้น แม้กระทั่งกระบวนการของภาพถ่ายเอง ถึงแม้ไม่ได้แสดงออกถึงภาวะอะไรมากเหมือนพวกแร็ปที่ต้องทำงานกลุ่ม แต่ว่าภาพถ่ายเป็นเครื่องมือในการบอกเล่าความคิดข้างในของเขาออกมา ทำให้เราได้เรียนรู้บุคลิกนิสัยใจคอ ของเด็กได้ชัดเจนมากขึ้น

โปรเจ็คต์ช่วยบอกอะไรกับสังคม

ครูโมสต์: อยากให้เห็นภาพหัวใจของการศึกษา การศึกษาที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก คือการให้เด็กได้ลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นเด็กคลองเตยหรือเด็กที่ไหน ถ้าอยากให้เขามี critical thinking (การคิดวิเคราะห์) ก็ควรจะให้เขาลงมือค้นหาอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง

ในโปรเจ็คต์นี้เราใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือเท่านั้นเอง แต่เป้าหมายหลักคือการให้เขาค้นหาตัวเอง ฝึกการคิดวิเคราะห์  ทำให้เขามีความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง พวกเขาไม่ได้โง่ คุณมีดีแค่คุณยังไม่เห็น เพราะไม่มีโอกาสได้ทำอะไรนอกเหนือจากการเรียนแบบเดิมๆ คุณไม่มีคนมาชื่นชม ไม่มีคนมาสนับสนุนให้คุณรู้สึกภูมิใจ เพราะฉะนั้น ปลายทางเราจึงคิดให้มี exhibition เพื่อให้เด็กคลองเตยเอาผลงานของตัวเองมาโชว์ ให้คนอื่นได้เห็น ได้ชมเชยงานของพวกเขา อย่างน้อยก็ได้พูดคุยกับคนอื่น น่าจะทำให้เขารู้สึกภูมิใจในตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเองมากยิ่งขึ้น

เบสท์: อย่างที่ครูโมสต์บอก

“เด็กคลองเตยมักมีภาพติดลบกับตัวเอง คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ฉลาด แต่ถ้าไปดูในเนื้อเพลงหรือรูปถ่าย จะเห็นว่าเขาทำได้ดี อย่างน้อยก็ใช้เนื้อเพลงหรือรูปถ่ายแสดง inside อะไรบางอย่าง ช่วยลดความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองไปได้ประมาณหนึ่ง”

ที่เราใช้ชื่อโครงการว่า Connext สะกดด้วยตัว x เพราะอยากให้เป็นพื้นที่เชื่อมต่อและก้าวไปข้างหน้าด้วย ให้คนในคลองเตยกับคนภายนอกเขาได้ Connext  กัน โดยที่ไม่มีฟิลเตอร์หรือภาพจำเดิมๆ ที่เคยเหมารวมมองว่าพวกเขาเป็นอย่างไร ซึ่ง Connext มันดันเกิดขึ้นกับทีมเราด้วย อย่างเบสท์เองที่ลงไปขลุกอยู่กับเด็ก ได้เรียนรู้ผ่านเรื่องราวหลายๆ อย่างที่ค่อนข้างเซนซิทีฟ ดูเหมือนทุกอย่างเชื่อมต่อกันไปหมด และดูทุกอย่างมันก้าวไปด้วยกัน

NEXT STEP ของ Connext คลองเตย คืออะไร

ครูโมสต์: เราคุยกับทีม Eye on Field ไว้ ว่าอยากให้สิ่งที่เราร่วมกันทำมานี้มันไม่สูญเปล่า อยากให้มันยั่งยืน อยากเอาโปรเจ็คต์นี้ส่งต่อให้กับครูท่านอื่นๆ นำไปพัฒนาต่อ

นัท: สำหรับเรามองว่าโปรเจ็คต์มันค่อนข้างประสบความสำเร็จในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่พอได้ทำแล้วเราปล่อยวิดีโอออกมา เราช็อกโคตร ‘เฮ้ย ทำไมคนแชร์เยอะ ทำไมคนสนใจ ทำไมมีสื่อหลายสำนักมาสัมภาษณ์ แสดงว่าปัญหาเรื่องการศึกษา หรือปัญหาเรื่องเด็กคลองเตยมันเป็นเรื่องที่คนรู้สึกอยู่แล้ว แล้วดันไปกระทบใจของเขา

ดังนั้นก้าวต่อไปที่เราอยากเห็นและหวังว่ามันจะเกิดก็คือการพัฒนาเด็กที่ร่วมเข้าเวิร์คช็อปกับเรา ในงาน exhibition ที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ จากศิลปะ 4 แขนง จะมีเด็กประมาณ 10 คน ซึ่ง เด็ก 10 คน ก็มี 10 แบบ ถ้าพวกเขาได้รับโอกาสต่อไปก็น่าจะดี

Tags:

นวัตกรรม4CsโซเชียลมีเดียนักออกแบบTeach for Thailandชุมชนคลองเตยแฟชั่นEyedropper Fillสินีนาฏ คะมะคต

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Education trend
    เอาชนะหุ่นยนต์ได้ด้วยการ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ และความฉลาดทางอารมณ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Everyone can be an Educator
    ความสิ้นหวังการศึกษาในกราฟิกดีไซน์: ศิลปะต้องสร้างอนาคต

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    VISUALIZATION: ในโลกของ BIG DATA เราต้องการนักสร้างภาพจากมหาสมุทรข้อมูล

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊antizeptic ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • 21st Century skills
    เพราะสมองทำงานผ่านท่าทาง สัญชาตญาณวางใจการมองเห็นและได้ยิน เราจึงแตกหักกันง่ายๆ ในโลกโซเชียล

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

โรงเรียนนี้ ฟาร์มรู้ท่วมหัว เอาตัวยังไงก็รอด
Education trend
14 January 2019

โรงเรียนนี้ ฟาร์มรู้ท่วมหัว เอาตัวยังไงก็รอด

เรื่อง

  • โรงเรียนโอลนีย์ เฟรนด์ส ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา เด็กๆ ทุกคนต้องเรียนรู้และจบหลักสูตรการทำฟาร์มก่อนถึงจะสำเร็จการศึกษา
  • ยูนิฟอร์มที่นี่จึงเน้นชุดอะไรก็ได้ที่คล่องตัว เปรอะได้ พร้อมคลุกดินคลุกทราย เก็บไข่ไก่ และให้อาหารนก
  • เป้าหมายของโรงเรียนคือ ผลิตบุคคลที่รอบรู้ รู้เท่าทันต่อเรื่องการบริโภค และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่จำเป็นต้องเลือกอาชีพเกษตรกร
เรื่อง: ชนม์นิภา เชื้อดวงผุย, อรสา ศรีดาวเรือง

ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เด็กๆ มัธยมปลายที่นี่จะมารวมตัวกันเพื่อเก็บไข่ไก่ ให้อาหารและน้ำกับนกที่เลี้ยงไว้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปรับประทานมื้อเช้า

นี่เป็นหลักสูตรหนึ่งของ โรงเรียนโอลนีย์ เฟรนด์ส (Olney Friends School) โรงเรียนที่มีอายุกว่า 180 ปี ตั้งอยู่ที่รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ที่ขยับการทำฟาร์มและการทำอาหารมาเป็นวิชาสำคัญของเด็กๆ มุ่งเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำงาน มาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว

เริ่มที่โรงนา ไปจบที่ห้องเรียน

เริ่มต้นจากโรงนา ต่อไปยังห้องครัว และสรุปองค์ความรู้ในห้องเรียน เน้นให้เด็กๆ ลงมือทำในฐานะกิจกรรรมหนึ่งของการใช้ชีวิต นี่คือพิมพ์เขียวของวิชาฟาร์ม

ดอน กินดอน ผู้จัดการฟาร์มของโรงเรียน เขาเป็นรุ่นสองหลังจากรับไม้ต่อจากพ่อ เขาเองก็วิ่งเล่นอยู่ในฟาร์มนี้มาตั้งแต่จำความได้

งานที่กินดอนดูแล มีทั้งปลูกพืชหมุนเวียน พืชคลุมดิน ไถหน้าดินเตรียมการเพาะปลูก เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ดินถูกกัดเซาะและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินไว้ วัตถุดิบสำคัญคือมูลสัตว์ ขยะในครัว และเศษใบไม้ ที่ถูกนำมาผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้ภายในฟาร์ม

ฟาร์มของโรงเรียนโอลนีย์มีโคเนื้ออยู่ 52 ตัว แพะ 8 ตัว ไก่ไข่ 150 ตัว และไก่เนื้อกว่า 800 ตัว ในแต่ละปีนักเรียนจะต้องมีหน้าที่ขุนหมูให้อ้วนสมบูรณ์ ปลูกหญ้าสต็อกไว้ นอกจากนี้ก็ต้องปลูกผลไม้ ผัก และสมุนไพรหลากหลายชนิด รวมถึงเลี้ยงผึ้ง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 รัง และคาดว่าในอนาคตภายในปลายปีนี้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 5 รัง

ในสัปดาห์เเรกของการเรียน จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำฟาร์มมาบรรยายในคาบเรียนชีววิทยาเกี่ยวกับเรื่องการผสมเทียม และสัปดาห์ถัดไปจะเป็นการลงพื้นที่ไปสำรวจเรือนเพาะปลูก ลองผสมเกสรของต้นมะนาวเพื่อที่จะสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากขึ้น และต่อมาจะเป็นคาบเรียนวิชาศิลปะ เรียนรู้การออกแบบเรือนเพาะปลูก

หลากหลายในแปลงเดียวกัน

นักเรียนในโรงเรียนโอลนีย์ เฟรนด์ส มีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ โดยนักเรียนจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง และประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ จะอาศัยอยู่ในหอพักโรงเรียน ซึ่งจะมีโรงอาหารไว้ให้บริการอาหาร 3 มื้อตลอดสัปดาห์ ส่วนประกอบของอาหาร 40 เปอร์เซ็นต์จะนำมาจากผลผลิตในฟาร์มและท้องถิ่น

ยังไม่หยุดแค่นี้ มาร์ค ฮิบเบ็ทท์ (Mark Hibbett) ผู้ช่วยผู้จัดการฟาร์ม กำลังหาลู่ทางกระตุ้นให้ผลผลิตมีจำนวนมากและหลากหลายขึ้น โดยคิดว่าจะนำกะหล่ำปลีจากฟาร์มมาทำกิมจิ นำสตรอเบอร์รีมาทำเป็นแยม และนำไข่มาทำเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว นอกจากนี้เขายังกำลังมองหาวิธีที่จะให้นักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตในแต่ละขั้นตอนอีกด้วย และทางโรงเรียนได้ปรับตารางเรียนใหม่เพื่อต้องการให้นักเรียนได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

อิซรา โรซา (Izraa Rosa) ที่เพิ่งเข้าโรงเรียนปีแรก บอกว่าเธอเติบโตมาจากครอบครัวที่กินมังสวิรัติ พ่อแม่ต่างชื่นชอบอาหารจากโรงเรียน เพราะว่าเป็นอาหารจากท้องถิ่นและปลอดสารพิษ สำหรับตัวโรซานั้น การเข้ามาเรียนที่นี่ทำให้เธอข้ามพ้นคอมฟอร์ทโซนของตัวเอง

“ฉันเติบโตในสังคมเมืองที่ซึ่งตัวฉันและเพื่อนๆ ต่างหวาดระแวงว่ารองเท้าจะเปื้อนหรือสกปรก แต่ตอนนี้ฉันกลับชอบที่มือเปรอะเปื้อน และฉันก็ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้รับมาก่อน”

เรียนเพื่อรอบรู้

อดัม ไดเออร์ (Adam Dyer) พนักงานคนใหม่ของฟาร์ม เล่าว่า “ทุกครั้งนักเรียนที่นี่จะขยันและช่วยกันทำงาน แม้พวกเขาจะทราบว่างานในแต่ละวันนั้นมากมายขนาดไหน และหลังหกโมงเช้าจะมีคนไปเก็บไข่ไก่มาเพื่อนำเป็นอาหารเช้า”

แม้จุดเด่นของโรงเรียนโอลนีย์ เฟรนด์ส คือ เป็นแหล่งเชี่ยวชาญทางด้านการทำฟาร์ม แต่เป้าหมายของโรงเรียนไม่ได้มุ่งให้นักเรียนที่จบไปแล้วจะต้องเป็นเกษตรกรทุกคน และมีจำนวนน้อยมากที่จบเเล้วไปทำงานเกี่ยวกับการเกษตรหรือเป็นเกษตรกร

“เป้าหมายของเราคือการผลิตบุคคลที่รอบรู้ เป็นผู้รู้เท่าทันเรื่องการบริโภค พร้อมกับมีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งยอดเยี่ยมของโรงเรียนแห่งนี้คือเป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้บทเรียนอันซับซ้อนที่ยากจะเข้าใจ ให้เข้าใจได้อย่างยั่งยืน” กินดอนเสริม

หนึ่งในวิธีที่นิยมที่สุดในการเรียนรู้บทเรียนที่โรงเรียนโอลนีย์ คือการเลี้ยงแพะ เมื่อลูกแพะเกิดมา นักเรียนจะต้องคอยเฝ้าดูแม่แพะทำความสะอาดลูกๆ ของมัน จากนั้นพวกเขาจะต้องรอให้แน่ใจว่าลูกแพะสามารถขยับตัวและกินนมได้

“เมื่อนักเรียนได้ลงไปเรียนรู้ในทุกๆ ขั้นตอนของกระบวนการ พวกเขาจะเข้าใจมันมากขึ้น” กินดอนอธิบายต่อว่า เมื่อไม่นานมานี้แม่แพะ 6 ตัวได้ให้กำเนิดลูก 13 ตัว และมีนักเรียน 19 คน ได้ฝึกฝนการทำคลอดแพะ โดยผลัดกันเข้าออกโรงนาเพื่อดูสัญญาณการคลอดก่อนกำหนด

แอนโทเนีย ซิกมอน (Antonia Sigmon) รุ่นพี่ที่มีส่วนร่วมกับกิจกรรมภายในฟาร์มมากที่สุดในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่การเก็บมันฝรั่งไปจนถึงการตัดกีบแพะ ในช่วงฤดูหนาวปีแรกของเธอ มีลูกแพะหลายตัวเกิดมา นับเป็นช่วงเวลาอันเเสนวิเศษที่ได้เดินอยู่ในหิมะและแสงจันทร์ที่ส่องลงไปยังโรงนา ซึ่งเป็นที่ที่เธอเคยให้อาหารพวกมันในช่วงกลางคืน

“ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำงานกับสัตว์นับตั้งแต่นั้นมา” เธอกล่าว “และฉันชอบที่ได้สัมผัสกับผืนดินและทุกสิ่งที่กำลังเจริญเติบโต”

Tags:

เกษตรกรสิ่งแวดล้อม

Author:

Related Posts

  • Creative learning
    Parkใจ ปวดใจเมื่อไหร่ให้เข้าป่า

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    ‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Everyone can be an Educator
    กวิ๊: ดริปกาแฟ หมักเหล้าบ๊วยแบบโลกไม่สวยแต่ยั่งยืน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New Gen
    ฟิอนน์ เฟอร์เรรา: เจ้าของ GOOGLE SCIENCE FAIR 2019 กำจัดไมโครพลาสติกออกจากสายน้ำ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่าเลน เจอคุณปู่โกงกางและสัตว์น้ำตัวเล็กๆ

    เรื่อง The Potential

หน้าที่ของวัยรุ่นคือ ไม่ฟัง
How to get along with teenager
12 January 2019

หน้าที่ของวัยรุ่นคือ ไม่ฟัง

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

แรงบันดาลใจจากบทความ เปิดห้องเรียนพ่อแม่ : นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

ตามหลักพัฒนาการเด็ก 5 ขั้น  วัยรุ่น (12-18 ปี) จะอยู่ในขั้นที่ 5 คือ Identity

วัยรุ่นมาพร้อมกับการค้นหาอัตลักษณ์ (identity) สเต็ปหลังจากนั้นคือการจีบคนรัก (intimacy) ซึ่งไม่จำเป็นต้องผูกขาดไว้แค่หญิงหรือชาย แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ 2 ข้างต้นคือ การเข้าแก๊ง เข้ากลุ่ม หาความจงรักภักดี (loyalty)

ปัญหาที่พบบ่อยมากถึงมากที่สุด คือ พูดอะไรก็ไม่ฟัง

“อาการพูดไม่ฟังเป็น ‘หน้าที่’ ของวัยรุ่น ถ้าเขาทำหน้าที่นี้ไม่ได้ เขาจะกลายเป็นบุคคลไม่มีอัตลักษณ์ ไม่รู้จักโต เราเลี้ยงเขามาเพื่อให้ปีกกล้าขาแข็ง” คุณหมอยิ้มใจดีและตอบอย่างใจเย็น

คุณหมอย้ำว่า ตรงข้ามกับการพูดให้ลูกเชื่อฟังหรือสั่งสอน พ่อแม่ควรฟังเรื่องที่ลูกพูด ฝึกฟังให้มาก แม้ไม่เห็นด้วยหรืออะไรที่เขาพูดไม่เข้าท่า ก็ขอให้ฟังไปก่อน ไม่ขัดคอ ไม่ตั้งคำถาม เพราะเมื่อถามจะกลายเป็นซักฟอก

“ถ้าเราฟังเก่งๆ เราจะขออะไรเขาได้บ้าง เช่น กลับมากินข้าว 4 ทุ่มนะจะมีกับข้าวรอ หรือ สอบผ่านก็พอนะ หรือใช้ถุงยางทุกครั้งนะ ขอข้อเดียว อย่างมากสอง เลือกที่ซีเรียสก็พอ อย่าขอเปรอะไปหมด จะไม่ได้สักข้อ”

อดทน รัก และรอ อย่าทำแก้วแตก เขาจะกลับมา….

1

2

3

4

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นพัฒนาการทางอารมณ์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Adolescent Brain
    รวมวิธีอยู่กับวัยรุ่นโดยไม่ต้องงัดข้อ: ฉบับสุขภาพจิตผู้ใหญ่ดี สุขภาพสมองวัยรุ่นแข็งแรง

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel