Skip to content
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    RelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the trauma
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
เทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิก

Year: 2019

เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน
Creative learningCharacter building
4 December 2019

เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • เพราะไม่ได้มองว่าโครงงานวิทย์เป็นแค่กิจกรรมแลกเกรด แต่คือความท้าทายที่จะพัฒนาเส้นใยจากต้นงิ้วแดงที่เห็นดาษดื่นในชุมชนให้เป็นสินค้าขายและใช้งานได้จริง 
  • นักเรียนชั้น ม.4 และ ม.6 จากโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย จึงค้นคว้า ระดมสมอง ทดลอง (ซ้ำแล้วซ้ำอีก) ที่จะผสมฝ้ายขาวและใยจากต้นงิ้วแดงซึ่งสองอย่างนี้ยังไม่เคยมีใครผสมสำเร็จมาก่อนให้กลายเป็นเส้นใยที่แข็งแรง เหนียว แต่ยังคงความนุ่ม และนำไปใช้งานได้จริง 
  • แม้จะบอกว่านี่คือโครงงานนักเรียนชั้นมัธยมปลาย แต่การทดลองขยายจากห้องแล็บในโรงเรียนสู่ชุมชนข้างนอก เพราะเรื่องนี้ต้องให้ปู่ย่าตายายที่ทอผ้าเป็นจริงๆ ช่วยกันคิดแก้ไขและร่วมทดลอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

การสร้างมูลค่าให้กับผลผลิตในท้องถิ่นถือเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งน้องๆ ทีมโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย ก็ได้ยกระดับแนวคิดของพวกเขาไปอีกขั้นหนึ่งด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสิ่งที่แทบไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างฝักของต้นงิ้วแดง โดยนำมาผ่านกระบวนการผลิตเป็นเส้นด้ายใยผสมเพื่อเป็นวัตถุดิบให้กับผ้าทอ และนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อย่างน่าสนใจ

ใยใหม่ในหลอดเก่า

ด้ายงิ้วแดง มีจุดกำเนิดมาจากการที่ทีมต้องคิดทำวิชาโครงงาน โดยค้นหาหัวข้อจากปัญหาที่ชุมชนประสบอยู่ เดิมทีนั้นทีมเลือกหัวข้ออื่น แต่หลังจากทดลองทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ อาจารย์ที่ปรึกษาจึงชี้เป้าไปที่เรื่องเส้นใยจากวัตถุดิบทางธรรมชาติที่ชุมชนมี เมื่อนั้นเองทีมก็เกิดไอเดีย

“แถวบ้านมีเส้นใยเยอะ ครูบอกให้ลองไปหาว่าจะเอามาทำอะไรได้ไหม ตอนแรกเราจะใช้หญ้าแห้วหมู แต่กระบวนการนำเส้นใยออกมามันยาก จึงไปหาอะไรที่เป็นเส้นใยเลย จนไปเจอว่าแถวบ้านมีงิ้วแดงเยอะ ยังไม่มีใครเอามาทำ เราเลยลองเอามาทำ” เนย-จินตนารี สุบานงาม เล่าถึงที่มาของโครงงาน

ทีมศึกษาแนวทางจากโครงงานของรุ่นพี่ที่เคยทำเส้นด้ายใยผสมจากแกนข้าวโพด จนเกิดแนวทางที่จะสร้างเส้นใยใหม่จากโครงร่างเดิมของรุ่นพี่ ด้วยการทำด้ายใยผสมระหว่างฝ้ายขาวกับงิ้วแดง ด้วยมุ่งหมายให้เป็นวัตถุดิบสำหรับชุมชนนำไปต่อยอดสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ผ้าทอและอื่นๆ เป็นการสร้างอาชีพโดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในพื้นที่ ซึ่งไม่ได้มีการใช้ประโยชน์ใดๆ อยู่แล้วด้วย

แต่ทีมหารู้ไม่ว่า ที่ไม่มีใครเอางิ้วแดงมาทำเป็นเส้นใยนั้น ก็เพราะว่ามันทำยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมคิดที่จะทำด้ายใยผสม ซึ่งต้องหาอัตราส่วนที่พอเหมาะระหว่างฝ้ายขาวและงิ้วแดง

เนยเล่าต่อว่า “พ่อบอกว่าต้นงิ้วมีกระเปาะที่มีตัวเส้นใยเหมือนฝ้าย แต่เอามาทำเส้นด้ายไม่ได้หรอก ส่วนใหญ่เขาเอาไว้ยัดหมอน แต่หนูคิดว่ามันน่าจะทำได้นะ เลยไปหายายคนหนึ่งในหมู่บ้านที่เขาปั่นฝ้าย ให้ยายช่วยลองปั่นให้หน่อย ตอนแรกไม่เวิร์ค ยายบอกว่ามันยาก ปั่นออกมาก็ขาด วุ่นวาย ยายเลยบอกไม่ต้องทำหรอก (หัวเราะ)”

ด้ายใยผสมงิ้วแดงคงกลายเป็นหมันไปแล้ว หากทีมเชื่อที่พ่อของเนยและยายบอก ทว่าทีมกลับนำคำพูดนั้นมาเป็นเชื้อไฟสร้างแรงบันดาลใจในแง่ หากไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนแต่ทีมทำได้ มันย่อมหมายถึงการค้นพบสิ่งใหม่ที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนไม่มากก็น้อย

“หนูคิดว่าวิทยาศาสตร์ทำได้ทุกอย่าง ทุกปัญหามันมีทางแก้เสมอ และมันสามารถโยงเข้าวิทยาศาสตร์และปรัชญาได้หมด วิธีแก้ว่าทำไมมันไม่ผสมกัน มันก็อยู่ที่อัตราส่วน ลองผสมในอัตราส่วนใหม่ก็แก้ปัญหานั้นได้แล้ว” สไปร์ท-ชุติมา ราชคมน์ กล่าวอย่างมั่นใจ

ทีมจึงถอยหลังกลับมาทดลองปรับวิธีการและส่วนผสม ด้วยการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ต้องศึกษาเพิ่มเติมเพราะมันเป็นเส้นด้ายใยผสม ซึ่งคุณสมบัติการเกาะตัวกันมันอ่อนมาก พวกหนูต้องไปศึกษาว่าต้องผสมในอัตราส่วนแค่ไหนขึ้นไปจึงจะผสมกันได้ จนได้สูตรฝ้ายต่องิ้วแดงที่ 7:3” สไปร์ทแจกแจงการค้นพบของทีมด้วยรอยยิ้ม

พิสูจน์ความเจ๋งด้วยกระบวนวิทย์

แม้จะปรับอัตราส่วนผสมระหว่างฝ้ายขาวและงิ้วแดงได้แล้ว แต่ทีมก็ต้องการการรับรองคุณสมบัติที่เป็นวิทยาศาสตร์ของด้ายใยผสมผลงานของตัวเอง ส่วนหนึ่งก็เพื่อขยายผลสู่การสร้างอาชีพในชุมชนได้อย่างสนิทใจ และอีกส่วนคือการพิสูจน์ความเจ๋งของผลงานผ่านการประกวด

“ความโดดเด่นของเส้นใยงิ้วแดงคือความนุ่ม แต่ถ้านุ่มมากความแข็งแรงจะน้อย เราเลยต้องวัดความแข็งแรงว่าจะทนแรงกระทำเพื่อผลิตเป็นผ้าได้ไหม รวมไปถึงการติดสี และการเก็บอุณหภูมิของเส้นใย เพราะถ้าเส้นใยเก็บอุณหภูมิดีจะทำให้มันอุ่น นอกจากทำเสื้อก็สามารถทำเป็นผลิตภัณฑ์อื่นได้ เช่น ฉนวนความร้อน หรือแก้วเก็บความร้อน เป็นต้น” สไปร์ทกล่าวถึงกระบวนคิดทางวิทยาศาสต์และการต่อยอดผลงานของทีม

หลังจากปั่นเป็นด้ายใยผสมออกมาได้แล้ว ทีมได้ทำการทดสอบคุณสมบัติของด้ายงิ้วแดงใน 4 ประเด็น ได้แก่ ความนุ่ม ความแข็งแรง การเก็บอุณหภูมิของเส้นด้าย และการย้อมติดสี ซึ่งน่าสนใจที่การทดสอบบางประเด็นนั้น ทีมก็ใช้วิธีการง่ายๆ ทุนน้อย แต่ได้ผลเช่นเดียวกัน

“ตอนนั้นคิดถึงเครื่องทดสอบใหญ่ๆ เช่น เครื่องวัดแรงตึง แต่มันหายากและมีราคาสูง ครูเลยบอกว่าอย่าไปคิดเยอะ ให้ทำการทดลองแบบง่ายๆ ที่วัดได้เหมือนกัน เลยนึกถึงแล็บอนุบาลที่เป็นเครื่องชั่งสปริง คือทำให้เส้นใยขาดโดยการชั่งน้ำหนัก แต่เครื่องชั่งสปริงมันจะดีดกลับถ้าแรงสองฝั่งไม่เท่ากัน เลยลองเครื่องชั่งลูกตุ้ม ทำให้ได้ค่าใกล้เคียง” สไปร์ทยกตัวอย่างการแก้ปัญหาของทีม

การทดสอบคุณสมบัติทำให้ผลงานของทีมมีความน่าเชื่อถือ จึงไม่แปลกที่ด้ายงิ้วแดงจะได้รับคัดเลือกไปแข่งโครงการแลกเปลี่ยนที่ประเทศสิงคโปร์จนได้เหรียญทองแดงกลับมา รวมไปถึงการเข้าแข่งขัน YSC (การประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์) และต่อยอดมาสู่โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 

“ตอนนั้นมันยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่ เราจึงอยากทำต่อไปเรื่อยๆ ให้มันพัฒนาได้มากกว่านี้” เนยบอกถึงเหตุผลที่ทีมสมัครเข้าโครงการต่อกล้าฯ

ซึ่งทุกคนต่างก็สมหวัง เพราะได้รับการกระตุ้นจากทีมโค้ชให้พัฒนาผลงานให้ดีที่สุด

“สิ่งที่เราต้องทำเพิ่มในโครงการต่อกล้าฯ คือ ทำให้เส้นใยผสมกันให้ดีมากกว่าเดิม ไม่ขาดง่าย เพิ่มความแข็งแรงให้มากที่สุด เราจึงเน้นเรื่องการหาวิธีผสมเส้นใยใหม่ เพราะวิธีผสมฝ้ายกับงิ้วแดงแบบพื้นบ้านนั้นผสมได้ไม่ดีพอ ก็ได้ช่วยกันประดิษฐ์เครื่องผสมขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ” สไปร์ทเล่าถึงงานที่เพิ่มขึ้นของทีม

และมากกว่านั้นก็คือ การนำเอาเส้นใยที่ผสมได้นั้นไปทดลองทอเป็นผ้าจริงๆ

การไม่ยอมแพ้จะช่วยแก้ทุกปัญหา!

แน่นอนว่าการนำเส้นใยไปทอเป็นผ้าจริงนั้น ในทีมไม่มีใครทำเป็น ทีมจึงต้องเดินออกจากห้องทดลองไปลงชุมชนจริง ที่กลุ่มทอผ้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา บ้านเกิดของเนย เพื่อให้กลุ่มช่วยสอนวิธีการทอผ้าให้ รวมถึงให้กลุ่มได้ทดลองใช้ด้ายงิ้วแดงไปในตัว

“กลุ่มเป้าหมายเราคือกลุ่มผู้ทอผ้า และพี่โค้ชก็อยากเห็นว่ามันเอาไปใช้ได้จริงๆ เราเลยต้องไปฝึกทอกี่ใหญ่ ก็เจอปัญหาว่าต้องใช้ด้ายเยอะมาก ซึ่งเราทำวัตถุดิบไม่ทัน เลยปรับเป็นทอกี่เอวแทนเพราะใช้ด้ายน้อยกว่า ไปฝึกทอกับกลุ่มคุณยายในชุมชน ไปทดลองไม่กี่คน เขาก็บอกว่ามันนุ่มนะ พอซักแล้วยิ่งนุ่มกว่าเดิม” เนยเล่าด้วยรอยยิ้ม 

“ตอนนี้ผลสำเร็จคือ ทำด้ายออกมาได้ รู้แนวทางการนำด้ายไปใช้ คือสามารถเอาไปทอได้ ใช้การทอแบบกี่เอวได้ ครูที่โรงเรียนก็มีหลายคนที่ใช้ผ้าพวกนี้เยอะมาก เขามาดูก็บอกว่าคุณสมบัติโอเค เขาชอบเนื้อสัมผัส แต่อยากให้ใช้สีที่เป็นธรรมชาติมากกว่านี้ เล่นสีไทยๆ และครูหลายๆ คนก็ชอบ มาขอซื้อ บอกว่าจะเอาไปใส่กับผ้าซิ่น” สไปร์ทเสริมถึงผลตอบรับอย่างมีความสุข

ซึ่งแน่นอนว่ากว่าที่ผลงานจะพัฒนามาถึงขั้นนี้ได้ พวกเขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ต้องทดลองไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ และบางครั้งก็ต้องเสียน้ำตาไปหลายหยด

“ช่วงที่ต้องไปนำเสนอผลงานที่งาน NECTEC-ACE (งานประชุมวิชาการและนิทรรศการ) หนูแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ต้องไปแข่งงานอื่นที่บาหลี แล้วกลับมากรุงเทพฯ ตีกลับมาเชียงรายเปลี่ยนกระเป๋าเพื่อไปกรุงเทพฯ ต่อ ตอนนั้นยังทำงานไม่เสร็จ พอเสร็จงานก็ไม่ได้นอนเพราะวันรุ่งขึ้นมีสอบไฟนอล ไม่ได้อ่านหนังสือสักตัว ตอนนั้นเครียดจนน้ำตาไหล” สไปร์ทเล่าย้อนถึงสิ่งที่ผ่านมา

ก่อนที่เนยจะเล่าถึงในช่วงเวลาเดียวกันนั้นในส่วนของตัวเองว่า “ตอนนั้นต้องเอางานไปโชว์ หนูเริ่มเครียดต้องวางแผนว่าแต่ละอาทิตย์ต้องทำอะไรบ้าง ต้องไปติดต่อยายในชุมชน แต่หนูกลับบ้านแค่เสาร์อาทิตย์ คนที่รับภาระแทนทั้งหมดคือแม่ รู้สึกผิดที่ต้องโยนให้แม่ช่วยทำ (น้ำตาซึม) ตอนทอตัวเสื้อ พี่โค้ชบอกให้เอาตัวตั้ง (เส้นยืน) เป็นด้ายของเรา แต่ยายบอกว่าทำไม่ได้แต่ให้ใช้ด้ายจากโรงงานเพราะมันแข็งแรงกว่า แม่ต้องหาวิธีให้มันตั้งเป็นเส้นยืนให้ได้ อาทิตย์ก่อนนั้นต้องย้อมสี แต่ทำแล้วพัง สีเพี้ยน ฝ้ายก็หมด แม่ต้องขับรถไปลาวเพื่อซื้อฝ้ายมาให้ใหม่ แล้วขับรถมาที่โรงเรียนกับยาย นั่งเย็บเสื้อให้จนเสร็จ ตอนนั้นหนูนั่งร้องไห้คนเดียวอยู่ที่บาหลี โทรไปบอกแม่ว่าหนูขอโทษ รู้สึกว่าทำให้แม่ลำบากทั้งๆ ที่มันเป็นงานของหนู แต่ก็ผ่านมาได้… (ยิ้มทั้งน้ำตา)”

นั่นคือส่วนหนึ่งในการฟันฝ่าอุปสรรคของทีม ที่นอกจากจะมีแรงสนับสนุนจากภายนอก ทั้งครูอาจารย์ ผู้ปกครอง และกลุ่มผู้ใช้แล้ว ทีมเวิร์คภายในทีมก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ 

“เป็นประสบการณ์ดีๆ ที่ได้เรียนรู้เมื่ออยู่กับเพื่อน ได้เรียนรู้นิสัยกัน ได้มาทำงานหนักด้วยกัน เผชิญอุปสรรคต่างๆ ด้วยกัน ดีใจที่เราไม่ได้ตัวคนเดียว มีเพื่อนที่ประคับประคองกันไปให้ผ่านพ้น สู้ต่อไปให้สำเร็จ ได้มีผลงานให้เราได้เห็นได้ภูมิใจ ซึ่งตอนนี้ก็ภูมิใจมากแล้ว” ฝน-ศุภวรรณ การงาน กล่าว

และเหนืออื่นใดทั้งหมด สิ่งที่พวกเขามีอยู่เต็มเปี่ยมก็คือ ความไม่ยอมแพ้! และเชื่อมั่นว่าวิทยาศาสตร์จะหาทางออกให้กับทุกปัญหาหากเราพยายามมากพอ ความมุ่งมั่นนี้คือสิ่งที่ช่วยฝ่าทางตันของคำว่า ทำไม่ได้ ผลักดันให้ทีมสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม ที่จะต่อยอดไปสู่การสร้างอาชีพให้ชุมชนได้จริงต่อไปในอนาคต

“มันต้องอดทนไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน เชื่อว่าทุกอย่างมีทางออกของมัน ถ้าชีวิตมันง่ายมันก็ไม่ใช่ชีวิต” เนยกล่าว

“มันเป็นประสบการณ์ว่าเราผ่านมาได้ วันข้างหน้าก็ต้องผ่านไปได้ การทำโครงงานมันไม่มีใครแพ้ อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเรายอมแปลว่าเราแพ้ แต่ถ้าเราทำ แม้ไม่ได้เสร็จวันนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราแพ้” สไปร์ทสำทับ

ถึงวันนี้ด้ายงิ้วแดงได้ถูกพัฒนาจากจุดเริ่มต้นมาไกลโข แต่แน่นอนว่ามันยังไม่ใช่สุดท้ายปลายทาง ทุกคนในทีมต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำเพื่อผลักดันผลงานชิ้นนี้ไปให้ไกลกว่าเดิม

“นี่คือนวัตกรรม ความจริงนวัตกรรมไม่ต้องเอาเทคโนโลยีมาเกี่ยว แต่ทำแล้วสามารถนำมาทดแทนหรือแก้ปัญหาบางอย่างในสังคมได้ สำหรับด้ายงิ้วแดงหนูรู้สึกว่ามันไม่จบแค่นี้ มันต้องทำต่อไปเรื่อยๆ” สไปร์ทกล่าวอย่างมุ่งมั่น

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรผู้ประกอบการ(entrepreneurship)

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    สามหนุ่มอาชีวะนักพัฒนา เจ้าของ WIMC อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน
Healing the traumaMovie
3 December 2019

HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Honey Boy เรื่องจริงของนักแสดงไชอา ลาบัฟ (Shia LaBeouf) กับวัยเด็กที่ต้องใช้ชีวิตกับพ่อที่เพิ่งออกจากคุกในข้อหาค้ายา ติดเฮโรอีน เพิ่งหายจากภาวะแอลกอฮอลิค อาศัยอยู่กับโอติสในโมเต็ลเก่าที่คนข้างบ้านเรียกมันว่า ‘แหล่งซ่องสุม’ บทภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนขึ้นจากไดอารีขณะเข้าบำบัดอาการ PTSD สภาวะเจ็บ (ปวด) ป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง
  • ชั้นแรกมันคือการกลับไปทบทวนชีวิตวัยเด็กที่ทิ้งร่องรอยในตัวเขาผ่านการเขียน อีกชั้น มันคือการกลับไปทำความเข้าใจคนเป็นพ่อผ่านการสวมบทเป็นพ่อเขาเองในภาพยนตร์เรื่องนี้

“The only thing that dad gave me was pain, and you are going to take that away?”
“Can I?”  

สิ่งเดียวที่พ่อให้ผมมาคือความเจ็บปวด แล้วคุณยังจะเอามันไปอีกหรือ?
เอาไปได้หรือ?

สำหรับฉัน ไดอะล็อกนี้ไม่ใช่บทที่เจ็บปวดที่สุดในภาพยนตร์ Honey Boy แต่มันเหมือน ‘โอติส’ หมดสิ้นแล้วทุกสิ่งอย่าง เพราะแม้แต่ความเจ็บปวดที่พ่อทิ้งไว้และนี่คือสิ่งที่เขาใช้หล่อเลี้ยงมันในชีวิต

แค่นี้ คุณ-นักบำบัด ก็คิดว่าเราไม่ควรเก็บมันไว้ ต้องการให้เราทิ้งมันไป อย่างนั้นหรือ? 

แต่แทนที่จะตอบคำถาม นักบำบัดกลับสวนกลับทันที “Can I?” ฉันเอาได้เหรอ? ก็เหมือนยิ่งตบหน้าว่า คงมีแต่เจ้าของความทรงจำเท่านั้นที่จะทำความเข้าใจแล้วค่อยๆ ปล่อยมันไป

Honey Boy คือเรื่องของ ‘โอติส’ เด็กหนุ่มอายุ 12 ปี ขณะนั้นเขากำลังเป็นนักแสดงเด็กถ่ายทำซีรีส์ครอบครัวเรื่อง Even Stevens เผยแพร่ทางช่องดิสนีย์ และ ณ วัยนั้น ณ วันนั้น โอติสเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปรอดกับอาชีพนี้รึเปล่า บทของโอติสใน Even Stevens เป็นเด็กธรรมดาทั่วไปที่เรียกร้องต้องการความรักจากพ่อ ต้องการให้พ่อ (ในซีรีส์) ทำตัวเป็นพ่อที่ปกป้องลูกบ้างและทำซักที ขณะที่พ่อของโอติสในชีวิตจริงคืออดีตตัวตลกโรดิโอ (Rodeo การแสดงการขี่ม้าผาดโผนโจนทะยาน) อดีตทหารในสนามเวียดนามที่เพิ่งออกจากคุกในข้อหาค้ายา (แถมออกมาแล้วก็ยังปลูกต้นกัญชาริมถนนและมีเทศบาลเป็นคนรดน้ำให้อย่างดี, แสบชะมัด) ติดเฮโรอีน เพิ่งหายจากภาวะแอลกอฮอลิค อาศัยอยู่กับโอติสในโมเต็ลเก่าที่คนข้างบ้านเรียกมันว่า ‘แหล่งซ่องสุม’

นี่ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ของพ่อลูก แต่ยังเป็นเจ้านายกับลูกน้อง โอติสคือเจ้านาย เขาจ้างพ่อตัวเองมาเป็นคนดูแลนักแสดง ช่วยซ้อมบท และอยู่เป็นเพื่อน ขณะที่มีแบ็คกราวด์ลึกลงไปอีกว่า พ่อกับแม่โอติสเลิกกันตั้งแต่เขาอายุ 3 ขวบ โอติสอยู่กับแม่ที่ซาน เฟอร์นันโด วัลเลย์, ลอสแองเจลิส ตั้งแต่นั้นจนกระทั่งวันหนึ่งมีคนบุกเข้ามาในบ้านและข่มขืนแม่ของเขาแล้วหนีหายไป วันนั้นโอติสอายุ 10 ขวบ วันนั้นเขาอยู่ในบ้านด้วย 

ทั้งหมดข้างต้นคือโอติสในพาร์ทเด็ก แต่หนังตัดสลับชีวิตของโอติสในวัยผู้ใหญ่ด้วย วัยที่เขาคุยกับนักบำบัด – ไดอะล็อกที่เขียนถึงในย่อหน้าแรก โอติสในพาร์ทนี้คือโอติสที่เป็นนักแสดงฮอลลีวูดที่ทำงานและมีชื่อเสียงตั้งแต่เด็ก โด่งดังจากซีรีส์ช่องดิสนีย์ แต่ถูกส่งเข้าสถานบำบัดเพราะนี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เขาถูกจับกุมตัวข้อหาอาละวาดและดูหมิ่นเจ้าพนักงาน อ่อ… ส่วนข้อหาที่เขาถูกจับก่อนหน้าจนบันดาลโทสะใส่ตำรวจก็คือ เมามากจนขับรถชน

ในสถานบำบัดนี้ โอติสถูกวินิจฉัยว่าเป็น PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) สภาวะเจ็บ (ปวด) ป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง วิธีการบำบัดของโอติสต้องใช้ ‘การเขียน’ เป็นเครื่องมือ ในช่วงเริ่มแรกในสถานบำบัด โอติสปฏิเสธการรักษาและบอกว่า… 

“พ่อไม่ได้ทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดไว้ ที่เขาเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะพ่อ” 

แต่ก็สมุดเล่มนี้เองที่กลายเป็นที่มาของบทภาพยนตร์ทั้งเรื่อง เขียนโดย ไชอา ลาบัฟ (Shia LaBeouf) นักแสดงชาวอเมริกันที่โด่งดังตั้งแต่วัยเด็ก เป็นนักแสดงนำใน Even Stevens นี่เป็นเรื่องจริงของเขา และคนที่แสดงบทเป็นพ่อของโอติส ก็คือ ลาบัฟ เอง – เขาเล่นเป็นพ่อของตัวเอง

“วันที่แม่ถูกข่มขืน เขาอยู่ที่นั่นด้วย” อัลมา ฮาเรล (Alma Har’el) ผู้กำกับภาพยนตร์เชิงสารคดีชาวอิสราเอล-อเมริกัน ให้สัมภาษณ์เอาไว้

มันจะเป็นอย่างไรนะ วันที่ลาบัฟจรดมือเขียนเรื่องราววัยเด็ก นั่นหมายถึงเขาต้องกลับไปเปิดกล่องความทรงจำแล้วปลุกมันขึ้นมาใหม่ทั้งในฐานะผู้ถูกกระทำและในฐานะผู้ตรวจสอบผู้คนที่อยู่ล้อมรอบเหตุการณ์นั้นทั้งหมดอีกที นักบำบัดทำเกินไปรึเปล่า ทำไมต้องให้เขากลับไปยังวันและวัยที่เจ็บปวดที่สุดและเริ่มเปิดเทปม้วนนั้นใหม่อีกครั้งด้วย? 

ฟากหนึ่ง ‘โอติส’ คือเด็กอายุ 12 ปีที่ต้องรับมือกับพ่อที่พูดคำหยาบไม่หยุด ไม่ใช่แค่กับเขาแต่พร้อมจะตะโกนจนสุดเสียงกับทุกคนรอบข้าง เล่นมุกตลกที่ไม่ขำแต่คล้ายเป็นอาวุธป้องกันตัวเองมากกว่า ไม่เคยอยู่เคียงข้างโอติส อารมณ์สวิงขึ้นลงเสมอ เดี๋ยวให้กำลังใจเดี๋ยวต่อว่า เดี๋ยวดีเดี๋ยวโมโหร้าย พ่อพร้อมจะล้อเลียน เยาะเย้ย ถากถางเขาทุกเรื่องเพื่อยืนยันว่าเขายังมีตัวตนในโลกของโอติสอยู่ หรือบางครั้งก็เพียงเพื่อจะได้ยินว่าเขายังสำคัญสำหรับลูก 

แต่ทั้งหมดนั้น หนังไม่ได้เล่าภาพของลาบัฟผู้พ่อในฐานะผู้ร้าย ไม่เลย เพราะทุกไดอะล็อกที่ลาบัฟผู้พ่อพูด เราเห็นความเปราะบาง ไม่มั่นคง พยายามแล้วที่จะไม่ทำลายทุกอย่างให้ล้มครืนเพื่อจะเป็นพ่อที่ดี – ทั้งในสายตาคนอื่นและตัวเอง 

“But I am in pain” คือคำพูดของลาบัฟผู้พ่อในสถานบำบัดผู้ติดสุรา และแทบจะเป็นครั้งเดียวที่เขาพูดอย่างเปิดเปลือยถึงความล้มเหลวในฐานะพ่อ แต่เขาพยายามแล้ว แต่เราก็รู้ว่านี่เป็นคำพูดที่ผ่านปลายปากกาของโอติส หรือของลาบัฟในชีวิตจริง 

เขารู้ว่าลาบัฟผู้พ่อเป็นคนเส็งเคร็ง เป็นบาดแผลในชีวิต แต่ก็เป็นเขาอีกเช่นกันที่รู้ว่าพ่อพยายามแล้ว พ่อก็มีบาดแผลเหมือนกัน มันมีบางไดอะล็อกที่ลาบัฟผู้พ่อบอกเล่าว่าตัวเขาเองก็รับมรดกความเจ็บปวดผ่านพ่อของตัวเองอีกทอด และเขาก็ส่งต่อมันให้กับโอติส หรือลาบัฟตัวจริงอย่างช่วยไม่ได้ 

มันยากไหมนะ ที่ต้องทำงานกับ ไชอา ลาบัฟ ในฐานะผู้เขียนบท เจ้าของเรื่อง นั่งดูชีวิตของเขาวัยเด็กผ่าน ‘โอติส’ และดูเขาเล่นเป็นพ่อตัวเอง? ผู้สัมภาษณ์นาม เจมส์ มอทแทรม (James Mottram) ถามผู้กำกับ และบันทึกลงในบทความในเว็บไซต์ inews.co.uk/

“มันมากเกินกว่าจะบรรยายนะ เหมือนเรากำลังมองงูไล่กินหางตัวเองเพื่อจะผลิตไข่ทองคำออกมา หลายครั้งมากที่ฉันนั่งอยู่หลังจอมอนิเตอร์แล้วร้องไห้ หลายครั้งมากที่ฉันต้องต่อสู้กับเขาเพื่อดึงให้พวกเราออกจากภาวะกัดกินแบบนี้” ฮาเรลตอบ  

มอทแทรมผู้สัมภาษณ์คนเดิมเขียนในบทสัมภาษณ์ของเขาว่าก่อนหน้านี้เขาก็เคยสัมภาษณ์ลาบัฟตอนที่เขาแสดงหนังเรื่อง Wall Street: Money Never Sleeps ครั้งนั้นลาบัฟบอกเขาว่า

“พ่อเป็นผู้ชายที่ไม่เดินจูงมือเขา เพียงเพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเป็นผู้ชายที่ตุ๋ยเด็ก นั่นแหละ คือชีวิตวัยเด็กของผม”

“ปมของลาบัฟมันลึกและกัดกินมาก” ฮาเรลกล่าว

อย่างที่บอก อย่างที่รู้สึก ไม่ว่าจะเป็น ลาบัฟ ผู้เขียนบท/เจ้าของเรื่องจริง หรือ โอติส เด็กชายวัย 12 ที่ถูกเขียนขึ้นจากความทรงจำผ่านบทที่ถูกรีไรท์ ไม่ได้เล่าให้พ่อตัวเองเป็นผู้ร้าย ไม่ได้บอกว่าโอติสดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อไปจากพ่อเส็งเคร็งนี้ กลับกัน โอติสทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อยังอยู่ ใช้อำนาจเข้าข่มในฐานะนายจ้างก็ทำมาแล้ว แม้ว่านั่นจะเป็นการจุดไฟเผากำแพงด่านสุดท้ายของคนเป็นพ่อจนเรื่องราวบานปลายกลายเป็นปมฝังใจสุดลึก แต่นั่นก็เพราะโอติสต้องการต่อสู้ต่อรองเพื่อให้ยังมีกันและกันอยู่ 

“ผมรอให้พ่อ เป็น ‘พ่อ’ มาโดยตลอด” บทพูดของโอติสฉากหนึ่ง เขานั่งพูดกับตัวเอง

การเป็นพ่อที่ดีคืออะไรนะ? ตอบไม่ได้จริงๆ หรอก เพราะต่อให้ดีแค่ไหนก็ต้องมีสักจังหวะที่เราเผลอทำร้ายกันจนกลายเป็นปมได้อยู่ดี มนุษย์เราเปราะบางจะตายเนอะ แต่ไม่ว่าพ่อที่ดีคืออะไร และต่อให้ตลอดทั้งเรื่อง Honey Boy จะทำเราปั่นป่วนและเห็นใจสองพ่อลูกตรงหน้าแค่ไหน หนังจะปลอบใจเราด้วยภาพพ่อลูกนั่งสูบกัญชาริมทางหลวงและหวังว่าต่อไปนี้เราจะใช้ชีวิตในแบบของเราให้ดี 

ภาพมันฟังดูบ้าชะมัด แต่มันอุ่นใจจริงๆ นะ หรืออันที่จริงอาจเป็นลาบัฟเองก็ได้ที่รู้สึกว่า ความสงบ ไว้ใจได้เพราะพ่อนั่งโอบกอดอยู่ข้างหลัง คือความหมายที่เขาเคยกระซิบกับตัวเองแล้ว …ผมรอให้พ่อ เป็น ‘พ่อ’ มาโดยตลอด

ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี ทำไมจะไม่? แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

Tags:

ซึมเศร้าภาพยนตร์จิตวิทยาศิลปินแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • MovieMyth/Life/Crisis
    แด่วันที่เศร้าและหดหู่: เพียงคนธรรมดาที่มีบาดแผลคล้ายกันได้แบ่งปันและโอบอุ้ม

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Dear ParentsMovie
    Whisper of the heart : เมื่อลูกมีความฝันต่างจากคนอื่น อยากให้ครอบครัวถามไถ่ รับฟัง และเชื่อใจ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

VISION QUEST: กระโจนเข้าป่า หลอมรวมกับตัวตนที่หลงลืม
Life classroom
3 December 2019

VISION QUEST: กระโจนเข้าป่า หลอมรวมกับตัวตนที่หลงลืม

เรื่องและภาพ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • ทำความรู้จัก Quest ในคอร์สภาวนา 3 มิติ คือ รู้ตัว รู้ตน รู้ธรรมชาติ กับ ณัฐ-ณัฐฬส วังวิญญู นักเคลื่อนไหวทางสังคม จากสถาบันขวัญแผ่นดิน
  • ละ-ลอกคราบ-หลอมรวม คือกระบวนการเควส เพื่อเปิดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ได้หยั่งลงไปอย่างลึกซึ้งในธรรมชาติดั้งเดิม และได้ค้นเจอจิตวิญญาณเดิมแท้
  • เมื่อหันหลังให้ป่ากลับสู่เมือง การทำเควสทำให้พบว่า โลกทัศน์ต่อธรรมชาติเปลี่ยนไป น้ำที่เราดื่ม คนที่เราคุยด้วย ลมที่พัดผ่านเรา ทำให้ลึกซึ้งกับภาวะตรงหน้ามากขึ้น

My Soul Journey to the Quest

เราเป็นคนกรุงเทพฯ แท้ๆ พ่อแม่ให้ชีวิตเกิดมาและก็ใช้ชีวิตไปตามปกติสุข แต่พอเข้าสู่ช่วงกลางของชีวิตที่ว่ากันว่ามันจะมี midlife crisis เกิดขึ้นได้กับคนหนึ่งคน สำหรับเราก็เป็นเหมือนกันแต่มันผ่านมา 2 ปีแล้ว ตอนนั้นเราคิดว่าเรามีตัวตนแข็งทื่อ ขับเคลื่อนด้วย passion ที่มุ่งเป้าไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ยึดเหนี่ยวอยู่กับสิ่งที่สังคมให้ค่าและมันเกาะยึดเราจนรู้สึกว่าหนักอึ้ง งานการสำเร็จก็จริงแต่ยุ่งยากซับซ้อน ความสัมพันธ์รอบตัวเรียบง่ายแต่ก็ซ่อนความขัดแย้งไว้อยู่ แม้รู้สึกว่าเป้าหมายชัดเจนแต่ยังลังเลสับสนและกังวลเสมอว่าหนทางที่ว่านั้นชัดเจนจริงหรือเปล่า

ช่วงเวลานั้นเราเลยตัดสินใจเดินทางเพื่อรู้จักกับการเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ ที่เข้าไปทำความรู้จักตัวตนด้านใน เราเห็นความกลัวที่แช่แข็งอยู่ในตัวเรา เรามีความขัดแย้งภายในที่สะท้อนออกไปแสดงออกยังโลกภายนอก ยิ่งเรียนรู้โลกภายในเท่าไรก็ยิ่งทำให้อยากคืนกลับสู่ความเป็นธรรมชาติและความจริงแท้ที่ธรรมชาติมอบให้ 

หนึ่งในนั้นทำให้เราได้รู้จักกับเควส (Quest) ในคอร์สภาวนา 3 มิติ คือ รู้ตัว รู้ตน รู้ธรรมชาติ กับ พี่ณัฐ-ณัฐฬส วังวิญญู กระบวนกรจากสถาบันขวัญแผ่นดิน จัดขึ้นในป่าลุ่มน้ำไทรโยค เมืองกาญฯ ทำให้ได้ชิมลางกับการเข้าสู่ธรรมชาติ เราอดอาหาร 1 วัน 1 คืน เราได้เผชิญหน้ากับความกลัว กับความเชื่อมโยงอันหลากหลายกับต้นไม้ หิน ดิน น้ำ บรรดาผีเสื้อ แมลง นก ดวงดาวและพระจันทร์ ธรรมชาติให้พลังต่อชีวิตเรามาได้เฮือกหนึ่ง พร้อมกับปัญญาญาณมากมาย ที่ทิ้งร่อยรอยเอาไว้ให้เราได้ทำการบ้านต่อ หลังจากนั้น บอกได้เลยว่า… “ชีวิตเราไม่ง่ายเลย” 

แน่นอน…ครบรอบเดือนเกิดในรอบปีแห่งวัยกลางของชีวิต เราสัญญากับตัวเองว่าจะไปเควสอีกครั้ง เราวางใจให้ GAIA  MOTHER EARTH หรือแม่ธรรมชาติ ได้โอบกอดเรา ได้ขัดเกลาดวงจิตอย่างที่มันควรเป็น ได้ให้ขุมพลังและสารสำคัญ ที่จะเป็นปัญญาญาณให้เราได้ใช้ชีวิตต่อในเส้นทางเดินหลังขวบวัยนี้

การเดินทางเริ่มต้น

กลางดึกในคืนแรมจันทร์ ใต้ร่มไม้ใหญ่ที่บ่อน้ำพุร้อนยางปู่โต๊ะ ป่าต้นน้ำดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เราได้แม่ธรรมชาติให้พลังกับเรา ความร้อน-เย็นช่วยให้ร่างกายเราปรับสมดุล ชั่วขณะที่น้ำเย็นแช่ตัวไหลผ่านร่างกายและหัวใจเรา มือเราเท้ากับก้อนหินก้อนหนึ่งที่เราคว้าขึ้นมา หินรูปทรงกลมก้อนเท่าหัวใจ เราลูบคลำไปจนพบเส้นสายแร่ธาตุ นูนขึ้นมาเป็นเส้นๆ ใช่…เหมือนเป็นเส้นเลือด ฉับพลันเราคิดทันทีว่า นี่คือหัวใจที่แข็งเป็นหินของเรา

เช้าวันนั้น เราพกหินเดินทางไปเชียงราย ด้วยเป้าหมายที่จะหาคำตอบว่าเราจะเยียวยา ‘หินในใจ’ เราได้อย่างไร หินที่ทำให้ใจเราแข็งแกร่ง แข็งแรงมุ่งมั่น ท้าทายฝ่าฟัน ต่อโลกที่เรายืนอยู่นี้

Journey Down

“เควสเป็นพิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่าน ละทิ้ง ตายแล้วเกิดใหม่ เดินทางดิ่งลงสู่ดิน การเข้าไปเผชิญกับความกลัว ความโดดเดี่ยว ความตาย เดินทางไปสู่สภาวะไร้ที่พึ่ง เพื่อค้นหาว่า soul (จิตวิญญาณ) ของเราคืออะไร ต้องการอะไร” และนี่คือการเดินทางอย่างท้าทายของฮีโร่ พี่ณัฐบอก… 

แม้ว่าการเดินทางของจิตวิญญาณแบ่งได้เป็น 3 ระดับ หนึ่ง journey up ไปหาแสงสว่าง สวรรค์ ท้องฟ้าอันแผ่ไพศาล สอง journey middle การแสวงหาการพัฒนาตัวเองเพื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์ เครื่องมือในการเข้าใจตัวเองและการกลับมาเป็นปกติ และสุดท้าย journey down เดินทางดำดิ่ง เข้าไปเผชิญกับความกลัวของตัวเอง ซึ่งมันยั่วหัวใจเรามาก ทั้งๆ ที่เรากลัวว่าเราจะเปราะบางมาก เหมือนเมื่อย้อนกลับไป 2 ปีที่ผ่านมา ก็ตามที

เพียงคืนแรกที่มาถึง ความมืดและเงาของความกลัวก็เคาะประตูเราอย่างเบาๆ ขณะเล่าชีวิตให้เพื่อนร่วมทริปทั้ง 10 คนฟัง เราเผยชีวิตในวัยเด็กให้เพื่อนๆ ที่เรียกว่า ‘สภาอันศักสิทธิ์’ ได้สืบค้นและช่วยสร้างความชัดเจน 

แน่นอน…การเป็นตัวเราที่ช่างเล่าและวางโครงเรื่องผ่านการกลั่นกลองด้วยความคิด ทำให้เพื่อนเห็นได้ว่าช่างไร้ชีวิตและความรู้สึก ซึ่งนั่นคือส่วนลึกที่ปิดประตูเอาไว้ในตัวเรา พอถามความรู้สึกจึงไม่อาจรู้สึกได้ ขณะถูกท้าทายความรู้สึกที่ชวนให้หยั่งถึง ทันใดนั้น ทีมเจ้าบ้านที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่งา ขุนน้ำวัง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย จึงออกมาทำงานเป็นตัวแทนความรู้สึกภายในของเรา ด้วยธรรมชาติจัดสรร เมาท์ออร์แกน ‘เพลงเดือนเพ็ญ’ ถูกเป่าอย่างเยือกเย็น ในความเงียบ…พอๆ กับความหนาว และความมืดในคืนนั้น พลันต่อมาด้วยขอบของการแสดงความรู้สึกของครอบครัวที่เราเองก็ไม่สามารถสวมบทได้ เราคิดว่านี่เป็นบทบาท (role) ที่ผุดขึ้นมาสะท้อนจิตวิญญาณของเราในปัจจุบันที่ไม่อาจเป็นอื่นได้อีกต่อไป  

 “ชายผู้ใช้ความคิด หัวใจที่เป็นหิน นักเล่าเรื่องที่ไม่เข้าไปแตะความรู้สึก เด็กน้อยที่โดดเดี่ยว” คือส่วนหนึ่งของบทที่เราเล่นในชีวิตจริง เป็น archetype (รูปแบบ) หนึ่งในแบบแผนทางจิตของชีวิตมนุษย์ที่มีอีกมากมาย คงคุณลักษณะโบราณมีมายาวนานแต่เป็นสากล แบบแผนที่มีอิทธิพลในชีวิตอย่างที่สุด ถ้าเรายึดเกาะกุมมันเข้ามาและเล่นบทนั้นยาวนานเกินไป เพราะขั้วบวก ขั้วลบที่ไหลวนอย่างไม่สมดุล

เช่น ‘นักเลง’ ด้านหนึ่งคืออันธพาลระรานคนอื่น ด้านหนึ่งมันให้อำนาจและภาวะผู้นำที่เราเฉลิมฉลองได้ทุกครั้งเมื่อคนอื่นบาดเจ็บ “นางฟ้า นางบำเรอ นักรัก นักเล่น กษัตริย์ ชายแก่ พ่อ แม่” ล้วนเป็นบทที่เราเล่นเป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นบทบาทที่ให้เรื่องราวในชีวิตที่ทั้งแข็งแกร่ง เสริมพลังอำนาจ และความเปราะบาง ไปพร้อมๆ กัน เส้นบางๆ ที่คั่นกลางอยู่ภายในตัวเราเช่นนี้ คือ ขอบ (edge) ที่ท้าทายเราให้ก้าวข้ามความคุ้นชินเดิม ไปสู่อาณาเขตที่เราไม่รู้จัก ขอบที่ผุดปรากฏขึ้นมานี้เองที่เชื้อเชิญให้เราทำงานกับมันต่อ เพื่อให้ทั้งขั้วบวกและขั้วลบนั้นกลับมาสมดุล

ละ (Severance) ลอกคราบ (Threshold) หลอมรวม (Incorporation)

กระบวนการเควส เป็นพิธีกรรมโบราณที่ช่วยให้เราหลงลืมเวลาของมนุษย์ เพื่อเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของตัวเอง ณ กาลเวลาที่โบราณจนมันไร้กาลเวลา การอดอาหารทำให้เราอ่อนแอทางร่างกาย ที่จะช่วยส่ง ‘ความทรงจำ’ บางอย่างมาทำงานต่อ

หากเล่าโดยง่าย เราเข้าไปเควสในป่าผ่านการตั้งโจทย์อะไรบางอย่างที่อยากหาคำตอบ เข้าสู่ธรรมชาติ เพื่อให้ป่าหยิบยื่นคำตอบ ผ่านปรากฏการณ์ที่เผยให้กับเรา พี่ณัฐเรียกว่าเป็น “ภาษาจิตวิญญาณธรรมชาติ” ลม ความร้อน ความพลิ้วไหว สัตว์ทั้งหลาย และบรรดาความฝันคือ ญาณทัศนะที่เราจะนำกลับมา รอให้เราถอดรหัส และหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

สละ/ละ (severance) คือขั้นแรกที่เราได้เข้าสู่พิธีกรรมแห่งการตาย รอบกองไฟก่อนจะเข้าสู่ป่า เราบอกกับตัวเองว่า เราขอสลัดละตัวตนที่ติดดี ความหลอกลวงและการยึดติดในวัตถุนิยม เราขอให้เรา “ค้นพบตัวตนอันจริงแท้ ขุมพลัง และหนทางการเดินต่อของเราต่อไปในชีวิตนี้” คืนแห่งการใคร่ครวญเพื่อทำความเข้าใจตัวตนความเป็นมนุษย์ของตัวเรา เพื่อแยกออกสู่การสัมผัสจิตวิญญาณที่ต้องการเดินทางสู่การเติบโต ทำให้เราได้คำถามและเควสที่เราต้องการชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เราละที่จะกินอาหาร 3 คืน 3 วัน สละที่พำนักอันสะดวกสบาย เสื้อผ้าที่เสริมสร้างอำนาจในบทบาทที่เราเป็นในชีวิตประจำวัน หยิบเอาเพียงข้าวของบางส่วนที่จะช่วยให้เราอยู่ในป่าได้อย่างไม่ตายไปจริงๆ

ป่าสนผสมผสานกับไม้ใหญ่ต้นน้ำวัง ร่องรอยของเฟิร์น มอส และความชื้นที่ปกคลุมเขาหินปูน ความสูง 1,000 เมตรสูงจากระดับน้ำทะเล ต้นไม้ใหญ่ปากทางต้อนรับเราตั้งแต่ทางเข้า เราแวะขอพรอันศักดิ์สิทธิ์จากต้นไม้ หลับตาเพื่อให้เราหลอมรวมกับความนิ่งเงียบ การเติบโต และจังหวะชีวิตแบบที่ป่าเป็นอยู่จริง เราเดินทางไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่จุดสูงสุดของพื้นที่ป่าลึก โอบล้อมด้วยสันเขาที่สูงใหญ่ของผืนป่าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง ที่ซึ่งผืนดินยืนสูงแตะสู่ผืนฟ้า ลมหนาวพัดโชยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปลุกวิญญาณความกล้าระหว่างเดินข้ามขอบถนนตรงดิ่งเข้าสู่ป่าของเรา 

ลอกคราบ (threshold) กล้าๆ กลัวๆ คือ ความรู้สึกที่มาถึงในที่สุด ในความว่างเปล่าจากโลกวุ่นวาย ความมืดของค่ำคืน ท้องฟ้า ดวงดาว แสงจันทร์ นอกจากเสียงแมลง ลม ในความมืดนั้นค่อยๆ ปรากฏ เสียงที่ดังก้องจากการคุยกับตัวเองอยู่โดดเดี่ยว และความอ่อนล้าของร่างกาย นำพาความทรงจำหนึ่งที่ผุดขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ‘ที่พึ่งพา’ ในวัยเด็ก หญิงหม้าย นักต่อสู้ที่เราพักพิงมาแต่อ้อนแต่ออก ในยามที่เราไม่มีใคร ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าในคืนนั้น คนที่เราตัดขาดความรู้สึก คิดถึง รัก ห่วงหา นับตั้งแต่วันที่เขาตายจาก ‘ตัวตนที่รู้สึก’ ของเราได้ตายลงไปพร้อมๆ กับความทรงจำที่เรามี 

ต้นไม้ที่เราพัก กระตุ้นให้เราสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณความเก่าแก่ของเพศหญิง ที่โอบอุ้มเรา พระจันทร์เต็มเดือนที่เรียกร้องให้เราออกมายืนโดดเดี่ยวในป่ายามค่ำคืน ท้าทายความกลัวที่ลึกลงไปในหัวใจ ชั่วขณะที่ลมพัด นกร้อง ผีเสื้อบินมาเกาะ เราหันกลับไปก้มมองเงาในตัวเราที่พาดผ่านจากฟ้าลงสู่ดิน ไม่มีอะไรปลุกเราได้เท่าเงาในตัวเราเอง กล้า-กลัว สว่าง-มืด สายตาของหญิงหม้ายในเงาของตัวเรา ทำงานส่งสัญญาณให้เราใช้ปัญญาญาณทำงานต่อ น่าแปลกตรงที่การทำงานของคืนนั้นไม่ได้ลอกคราบเราในทันที แต่กระตุ้นให้เรานำมาทำงานต่อ ในสภาอันศักดิ์สิทธิ์ 

3 วัน 3 คืนกับการเดินไปพำนักกับต้นไม้ ต้นแล้วต้นเล่า ลมที่พัดขัดเกลาจิตให้ปั่นป่วน การเดินทางของ มด แมลง นก ผีเสื้อในยามเช้า เสียงจิ้งหรีด กรีดร้องฟ้องพระจันทร์ ความว่าง และอิดโรย นำพาให้เรามาถึงจุดที่อ่อนแรงที่สุด ไข้ขึ้นจนเพ้อทุกบ่ายของวัน แต่นั่น ไม่ได้ทำให้เราตายได้เลย 

พอช่วงเย็นของคืนสุดท้ายที่อยู่ในป่า เราได้ไปสวนดอกไม้ซึ่งอยู่ระหว่างทางไปป่าชื้น ตรงนั้นได้ให้พลังงานอาหารและความตื่นตาตื่นใจ เหมือนที่ตั๊กแตน ผีเสื้อ ผึ้ง มากินดื่มน้ำหวานจากดอกไม้ พลังงานจากภูเขาสูงใหญ่ร้องขอให้เราหนักแน่น ไว้ใจในความโดดเดี่ยว ในฉับพลันนั้นมันผลักดันให้เราเคลื่อนไหวในจังหวะเดียวกับธรรมชาติ จู่ๆ การเคลื่อนไหวร่ายรำ คำพูดไม่มีความหมายก็ผุดขึ้นมาเอง เราเต้นรำต่อเนื่อง ไปพร้อมกับนก แมลง และป่าสนที่ส่งเสียง นั่นหรือไม่ที่เรียกว่าการลอกคราบทางจิตวิญญาณ ที่เขย่าให้เราได้ด้นสดแบบไม่ต้องคิดและคาดหวังอะไร จากสิ่งรอบตัวในที่แห่งนี้

เวลาผ่านไป ในเช้าวันใหม่ เรากับเพื่อนเดินอย่างอิดโรยก้าวออกจากพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ กายอ่อนแรง แต่จิตวิญญาณตื่นรู้ดื่มด่ำกำซาบเข้ามาพร้อมให้เรานำกลับไปใช้ในโลกมนุษย์เมืองอย่างเรา

หลอมรวม (incorporation) ตัวตนที่เราได้รับ คือ ตัวตนรู้สึก การคอนเนคกับจิตวิญญาณธรรมชาติ รวมถึงผู้คน การทำความเข้าใจด้านที่เราตัดขาดอย่างลึกซึ้งเพราะความกลัวเปราะบางเป็นของขวัญที่นำกลับมา สภาอันศักดิ์สิทธิ์เชื้อเชิญให้เราได้คุยกับคนรักที่ตายจาก บรรดาเสียงที่เราไม่เคยพูดได้พรั่งพรูบอกออกมา การเดินทางสู่ความมืด ตัวตนที่เราไม่ยอมเป็นเหมือนมันได้เปิดโอกาสให้เราได้หลอมรวม

ตำนานชีวิต (Life Myth)

เหมือนกับว่าตำนานชีวิตเราไม่จบลงง่ายๆ หรอก vision quest เปิดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ให้เราได้หยั่งลงไปอย่างลึกซึ้งในธรรมชาติดั้งเดิม ให้เราได้ค้นเจอจิตวิญญาณเดิมแท้ 

วันนี้เรากลับมายังเมืองหลวงที่ไร้ป่าเขาแล้ว ระหว่างกินข้าวมดดำเดินไต่ขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร แต่เราไม่ฆ่าทิ้งเหมือนที่เคยทำ เรายิ้มและพูดคุยกับมดดำอย่างงงๆ เรานั่งรถผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ข้างถนน ทักทายเหมือนเพื่อนอีกคนที่เราไม่ได้ทักทายมานาน โอ้โห… เราว่าโลกทัศน์ต่อธรรมชาติของเราเปลี่ยนไป น้ำที่เราดื่ม คนที่เราคุยด้วย ลมที่พัดผ่านเรา เราว่าเราลึกซึ้งถึงความศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างจากตอนที่อยู่บนเขา บนดอย 

ที่สำคัญ เราเห็นได้ว่า หัวใจของเรามันกลับมาไว้ใจในความรู้สึก และเชื่อมั่นในตัวของเราเองมากขึ้น พอๆ กับเชื่อมั่นในทุกจิตวิญญาณที่เราพบเจอในแต่ละวัน “ด้วยความเคารพ และการอยู่ร่วมกัน” 

จนวันนี้ เรายังคิดถึงเพื่อน พี่ น้อง ในสภาอันศักดิ์สิทธิ์ พี่น้องผู้ดูแลป่าต้นน้ำแม่งา พี่น้องหมู่บ้านงิ้วเฒ่า อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ที่ดูแลป่าต้นน้ำให้คนปลายน้ำอย่างเรา และที่สำคัญ เราเชื่อว่าถ้ามีโอกาสอีก เราอยากอนุญาตให้เราได้เข้าไปทบทวนตำนานชีวิตของเรา ได้เล่าเรื่อง ได้ดูละครตำนานชีวิตของเราอีกครั้ง…

ขอขอบคุณ พี่ณัฐ-ณัฐฬส และ พี่อ้อ-จิตติมา วังวิญญู และครอบครัว และทีมงานสถาบันขวัญแผ่นดิน ที่จัดกระบวนการเรียนรู้ ให้เราได้เรียนรู้อย่างดำดิ่ง และกระโจนไปสู่ป่าอย่างห้าวหาญ


นิเวศภาวนา (Vision Quest) พัฒนามาจากพิธีกรรมของชาวอินเดียนแดงโบราณ ผสมผสานกับการสมาทานธุดงควัตรบางข้อในพุทธศาสนา ออกแบบมาเพื่อให้คนมีประสบการณ์การเปลี่ยนผ่านของช่วงชีวิต และเติบโตทางจิตวิญญาณจากการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

นิเวศภาวนาเป็นการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณที่อาศัยการอดอาหารและอยู่ลำพังในธรรมชาติ เพื่อสลัดละความปลอดภัยมั่นคงอย่างอ่อนน้อม ผู้เดินทางจะต้องยอมสละชีวิตของตนให้เป็นของธรรมชาติ ยอมตายลงในเชิงจิตวิทยาเพื่อเกิดใหม่อย่างมีเป้าหมาย เพื่อค้นหาว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร โลกปรารถนาให้เราทำอะไรที่จะเกิดประโยชน์ ศักยภาพและความหมายของชีวิตของเราคืออะไร นิเวศภาวนาจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยเปลี่ยนผ่าน เช่น วัยรุ่นกำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ คนที่กำลังจะเปลี่ยนงาน หรือคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตนเอง รวมถึงคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่พื้นที่ใหม่ในชีวิต เช่น กำลังจะบวช กำลังจะแต่งงาน หรือแม้แต่กำลงจะหย่า นิเวศภาวนาจะช่วยให้เราละทิ้งตัวตนเก่าและเพิ่มพลังชีวิตใหม่

ในวัฒนธรรมโบราณ มนุษย์เฉลิมฉลองและประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในช่วงสำคัญของชีวิต ไม่ว่าจะตอนเกิด วัยรุ่น หรือย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ และในบางพื้นที่ยังมีพิธีกรรมในช่วงที่ชีวิตประสบภาวะวิกฤตหรือการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เช่น ประสบอุบัติเหตุ หรือต้องเดินทางไกล เป็นต้น แต่วิถีชีวิตสมัยใหม่ทำให้คนห่างหายจากพิธีกรรมเหล่านี้ จึงไม่มีโอกาสใคร่ครวญและถอดบทเรียน โลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์เก่าก็ทำให้คนมองว่าพิธีกรรมเป็นเรื่อง “งมงาย” และไม่เกี่ยวข้องกับชีวิต นี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สมัยใหม่รู้สึกว่างเปล่าและไม่เชื่อมโยงกับใครเลย นิเวศภาวนาจะนำเราเข้าสู่เส้นทางการเปลี่ยนผ่านอย่างมีความหมาย

อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่

ที่มา คุณ Nueng Srisuda Chomp

Tags:

เข้าป่าspiritualกิตติรัตน์ ปลื้มจิตรจิตวิทยาปม(trauma)

Author & Photographer:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    ในวันที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสังคมไม่โอเค : คุยกับสมภพ แจ่มจันทร์ Knowing Mind

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Adolescent Brain
    พรากลูกจากพ่อแม่ สร้าง ‘ความเครียดที่เป็นพิษ’ และทำลายสมองตลอดชีวิต

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Relationship
    TOP 5 ครูพูดอะไรที่ทำให้หัวใจเราพองโตที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Dear Parents
    ความในใจ 5 อย่าง ของเด็กสอบตก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ดนตรีแบบไหน เหมาะกับวัยลูก
Family Psychology
2 December 2019

ดนตรีแบบไหน เหมาะกับวัยลูก

เรื่องและภาพ The Potential

ในทางมนุษยปรัชญา (anthroposophy) ‘ดนตรี’ มีส่วนสำคัญในการสร้างมนุษย์คนหนึ่งให้เติบโตอย่างสมดุลและมีจังหวะของตัวเองที่เข้ากับโลก  แล้วเราจะใช้ดนตรีแบบไหน เพื่อสร้างจังหวะให้ลูกแต่ละวัยอย่างเหมาะสม ?

อายุ 0-7 ปี: ดนตรีและเสียงที่ดีที่สุดมาจากพ่อแม่ 

เสียงที่ดีที่สุดสำหรับเด็กเล็กคือเสียงพ่อแม่เขา ถ้าพ่อแม่ร้องเพลงกับลูก​ เพราะเขาไม่ได้ฟังแค่เสียง เขาไม่ได้สนใจว่าพ่อแม่ร้องเพลงเพี้ยนไหม แต่เสียงเหล่านั้นมันเป็นเสียงที่มีความรัก ความอบอุ่น เด็กจะรับสิ่งนั้นได้

พ่อแม่หลายคนบอกว่าอยากให้ลูกรักดนตรี แต่ไม่เคยร้องเพลงกับลูก​ อย่าหวังว่าลูกจะรักดนตรี ลูกจะรักดนตรีเมื่อพ่อแม่รักดนตรีและใช้ดนตรีและเสียงร้องเพลงเลี้ยงเขา โดยไม่จำเป็นต้องใช้เพลงเด็ก เป็นเพลงอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่จังหวะหนักๆ เพราะจังหวะที่เร้ามากเกินไปจะส่งผลให้เด็กตื่นก่อนวัย คาแรคเตอร์ของเด็กเล็กคือเขาจะอยู่ในห้วงภวังค์ฝัน อ่อนหวาน เบลอๆ ไม่มีความฝันไหนที่มีลักษณะเป็นเสียงกลองหนักๆ ฉะนั้นเพลงที่เหมาะกับเด็กวัยนี้คือเพลงที่มีเสียงและจังหวะที่อ่อนโยน ดีที่สุดเมื่อพ่อแม่ร้องเพลงให้ลูกฟัง

อายุ 7-14 ปี: เครื่องดนตรีแบบสายสร้างสมดุล

เด็กช่วงนี้มาพร้อมกับความรู้สึกเต็มเปี่ยม เขาจะชอบเพลงที่ตรงกับความรู้สึกตัวเอง โดยเฉพาะช่วงหลังอายุ ​12​ เด็กๆ จะเริ่มเลือกฟังเพลงต่างๆ ด้วยตัวเอง​ พ่อแม่อาจแนะนำเพลงดีๆ ให้ลูกได้​ แต่เด็กก็จะชอบเพลงที่เขาเลือกฟังด้วยตัวเองมากกว่า​ ลูกจะชอบเพลงที่มีทำนองเพราะๆ​ ใช้ภาษาสวยๆ จังหวะดีๆ​ ​ไม่ว่าจะเป็น เพลงเกาหลี เพลงไทย ทุกอย่างจะเป็นไปตาม feeling ของเขา โดยเครื่องดนตรีอย่าง ไวโอลิน เชลโล เหมาะกับเด็กวัยนี้ เพราะเครื่องสายช่วยทำให้เด็กวัยนี้ที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัวมากๆ เกิดความสมดุล นิ่ง ฟังอย่างดี และเล่นให้เสียงที่แม่นยำจากการฟัง

อายุ 14-21 ปี: เด็กเลือกฟังด้วยตัวเอง

เด็กช่วงนี้จะเลือกฟังดนตรีด้วยตัวเอง​ ในฐานะพ่อแม่เราสามารถเตรียมสิ่งที่คิดว่าดีไว้ให้เขาได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงระยะหนึ่งเท่านั้น จากนั้นเขาจะกลายเป็นผู้เลือกเอง พ่อแม่ควรเคารพการเลือกของเขา

อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม ดนตรีบำบัด:ไม่ใช่แค่ฟังแต่ร้องมันออกมา ให้ท่วงทำนองเยียวยา เสียงเพลงสร้างพัฒนาการชีวิต

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาดนตรีการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)

Author & Illustrator:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    ดนตรีบำบัดสร้างจังหวะของลูกให้ตรงกับจังหวะของโลก

    เรื่อง The Potential

  • Family Psychology
    ดนตรีบำบัด: ไม่ใช่แค่ฟังแต่ร้องมันออกมา ให้ท่วงทำนองเยียวยา เสียงเพลงสร้างพัฒนาการชีวิต

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Early childhood
    ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

นพ.สุริยเดว ทรีปาตี: ให้ลูกร่วมทุกข์สุข เรียนวิชาผิดหวัง รับมือเด็กเจนอัลฟ่าด้วยพลังบวก
Early childhoodSocial Issues
29 November 2019

นพ.สุริยเดว ทรีปาตี: ให้ลูกร่วมทุกข์สุข เรียนวิชาผิดหวัง รับมือเด็กเจนอัลฟ่าด้วยพลังบวก

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ทำความเข้าใจและรู้ที่มาที่ไปในธรรมชาติของเด็กๆ เจนอัลฟ่า (เกิดตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นไป) ว่าทำไมเขาคิดและทำอย่างนี้ เพื่อนำไปสู่การรับมือด้วยวิธีคิดเชิงบวก
  • นำขบวนโดย นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ที่ย้ำว่าในโลกเหวี่ยงเร็ว แรง และไวเช่นนี้ การให้ลูกเรียนวิชาผิดหวัง กับ เปิดโอกาสให้เขาร่วมทุกข์ร่วมสุข คือเกราะอย่างดีที่จะติดตัวเขาไปจนโต
  • ท้ังหมดนี้จะไม่สามารถเกิดได้ด้วยพลังงานลบ พ่อแม่ควรรับมือและไปต่อด้วยพลังงานบวก การให้โอกาส ให้อภัย และพลังใจ ภารกิจถึงจะลุล่วง
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

“สู้ๆ นะ”

ประโยคของนักแสดงหญิงในโฆษณาชุดหนึ่ง เป็นโฆษณาที่นำเสนอเรื่องราวของชายหญิงเจนเนอเรชั่นซี (Z) สองคนที่อยู่ในวัยเริ่มต้นทำงาน ทั้งสองต้องเจอกับอุปสรรคต่างๆ ทำให้เกิดความรู้สึกท้อ นักแสดงผู้หญิงจึงได้พูดประโยคข้างต้นเพื่อให้กำลังใจตัวเองผ่านกระจก บอกตัวเองให้ผ่านพ้นปัญหานั้นไปให้ได้

นี่คือโฆษณาที่ถูกฉายภายในงานเสวนา ‘ฟังเสียงลูกด้วยหัวใจ’ จัดโดยชมรมห้องเรียนพ่อแม่ไทยพาณิชย์ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ SCB Academy โดยมี รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มาให้คำแนะนำวิธีการเลี้ยงลูก โดยเฉพาะเด็กในเจนเนอเรชั่นซี และ อัลฟ่า (ด้วยหัวใจ)

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

คุณหมอให้เหตุผลที่เปิดโฆษณาตัวนี้ให้ดูไว้หลายประการ ตั้งแต่การตั้งต้นเข้าใจเด็กในเจนเนอเรชั่นซีและอัลฟ่า การให้กำลังใจ ให้พลังใจ หรือทัศนคติเชิงบวกกับลูกในวันที่เด็กๆ ต้องออกไปเจอกับปัญหา (โดยเฉพาะในวันซึ่ง gap ระหว่างลูกกับผู้ปกครองถ่างกว้างเพราะโลกเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ) จุดนี้พ่อแม่มีส่วนสำคัญมากๆ ในฐานะ ‘ระบบนิเวศ’ ของลูก

เจนอัลฟ่า อยู่คนเดียวได้ไม่ต้องพึ่งใคร

ก่อนที่จะพูดคุยกันเรื่อง ‘วิธีฟังเสียงลูกด้วยหัวใจ’ รศ.นพ.สุริยเดว อธิบายก่อนว่าธรรมชาติของเด็กในเจนเนอเรชั่นนี้เป็นอย่างไร เพราะนี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่เฉพาะพ่อแม่ที่ปวดหัว ปวดใจ ไม่เข้าใจ แต่ในสนามทำงาน คนในเจนเนอเรชั่นเบเบี้บูมเมอร์ หรือ เจน Y ก็ส่งเสียงกังวลถึงความแตกต่างในธรรมชาติ และต้องหาคู่มือเพื่อทำความเข้าใจความต่างระหว่างวัยนี้เช่นกัน

รศ.นพ.สุริยเดว เจาะจงไปที่ ‘เจนเนอเรชั่นอัลฟ่า (Gen Alpha)’ หรือเด็กที่เกิดตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นไป เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคเทคโนโลยีก้าวหน้า สังคมขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว แรง และขนาดใหญ่ ทำให้เด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่ามีลักษณะที่แตกต่างกับเด็กเจนอื่นๆ ดังนี้

ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว (Individualism) เด็กเจนอัลฟ่าสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง อาศัยเทคโนโลยีในการใช้ชีวิต ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น

เชี่ยวชาญเทคโนโลยี (Robust Education Technology Savvy) เทคโนโลยีจะมีบทบาทในชีวิตของเด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่าเป็นอย่างมาก พวกเขาจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยเทคโนโลยีและให้ความสำคัญเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

อาชีพผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Generation) เด็กเจนเนอเรชั่นนี้จะกล้าลองกล้าทำสิ่งใหม่ๆ ทำให้อาชีพส่วนใหญ่ของคนในเจนนี้เป็นการประกอบธุรกิจ

ขาดการปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่น (Less of Human Contact or Relationship) เมื่อสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว การติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นก็น้อยลง แม้แต่ในครอบครัวของตัวเอง

ได้ความรักท่วมท้น (Extreme Coddle) มาจากการที่พ่อแม่ยุคปัจจุบันมีลูกน้อยลง มีหลานน้อยลง ทำให้ทุ่มเทความรักความเอาใจใส่และความหวังไปที่ลูกมากเกินไป ซึ่งบางครั้งอาจกลายเป็นปัญหาได้ (หากมองในมุมเศรษฐศาสตร์ก็คือการที่คนคนหนึ่งแชร์ทรัพยากรกับคนในครอบครัวน้อยลง)

ขาดความยืดหยุ่น (Less of Resilience) การใช้ชีวิตผูกติดกับเทคโนโลยีมากเกินไป ก็อาจทำให้เด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่ามีพฤติกรรมคล้ายกับหุ่นยนต์ ใช้ชีวิตประจำวันตามโปรแกรมที่พ่อแม่ตั้งให้ไว้ ห่างไกลจากธรรมชาติและสังคม

คุณธรรมและจิตวิญญาณลดลง (Moral and Spiritual Weakness) เมื่อใช้ชีวิตแบบหุ่นยนต์ความรู้สึกก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป พวกเขาอาจรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอดทนคอยอะไร ไม่ต้องรู้สึกผิดหวัง หรือเสียใจกับเรื่องอะไร

รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี

ข้อดีของเจนเนอเรชั่นนี้คือรับมือกับเทคโนโลยีได้เร็ว ค้นหาความรู้เก่ง ไม่จำเป็นต้องนั่งในห้องเพื่อรอฟังคุณครูถ่ายทอดความรู้ และด้วยความที่เทคโนโลยีถึงพร้อม พวกเขามีความเป็นผู้ประกอบการอยู่ในตัวเอง ไม่รอ (และไม่จำเป็นต้องรอ) เรียนจบตามขั้นทางการศึกษา ส่วนข้อที่คนเจนเนอเรชั่นเบเบี้บูมเมอร์และ Y เป็นห่วงและบอกว่าเป็นปัญหา คือเรื่องคาแรคเตอร์ เช่น ขาดความยืดหยุ่น มีความอดทนจำกัด ทักษะการร่วมงานเป็นทีมน้อยลง

ความกังวลที่สุดไม่ใช่การตัดสินว่าเจนเนอเรชั่นอัลฟ่าจะ ‘นิสัยไม่ดี’ แน่ๆ เลย แต่คือการเตรียม ‘สภาพแวดล้อม’ อุดช่องโหว่เรื่อง soft skills ให้พวกเขาเติบโตอย่างเต็มพร้อมโดยเฉพาะทางจิตใจ

จุดนี้จึงตามมาด้วยวิธีการเลี้ยงดูของคนในบ้านที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับธรรมชาติของเด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่า ซึ่งรศ.นพ.สุริยเดวถือว่าจำเป็นมาก ในฐานะที่พ่อแม่เป็นผู้ใกล้ชิดกับลูกที่สุด และพ่อแม่คือระบบนิเวศของลูก การที่ลูกจะออกมาเป็นคนแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู

พ่อแม่เป็นระบบนิเวศของลูก

การที่เด็กจะเติบโตมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็ก ผู้ปกครองเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับลูกมากที่สุด เรียกว่าเป็น ‘ระบบนิเวศ’ ของลูกได้เลย เด็กจะเป็นในสิ่งที่ผู้ปกครองเป็น แม้โตเป็นวัยรุ่นแล้ว แต่วัฒนธรรมครอบครัวแบบไทยๆ ก็ยังใกล้ชิดกับพ่อแม่เช่นเดิม ทำให้อย่างไรพ่อแม่ก็ยังคงมีอิทธิพลต่อโลกของลูกเสมอ

“นักแสดงสาวในโฆษณา ถ้าเขาไม่มีพลังใจที่เป็นบวก เวลาที่เจอกับปัญหา การแสดงออกของเขาอาจจะเป็นอีกอย่างไปเลย ถ้าตัวพ่อแม่และครูไม่มีทัศนคติที่บวก ใจไม่เปิด ไม่สามารถอยู่เพื่อให้กำลังใจเขาได้ ภาวะโรคซึมเศร้าคงเกิด”

รศ.นพ.สุริยเดว กล่าวและเพิ่มว่า โดยเฉพาะเวลาที่เด็กเจนเนอรชั่นอัลฟ่าซึ่งมีธรรมชาติที่อธิบายข้างต้นเจอกับอุปสรรคปัญหา เป็นเรื่องดีทีเดียวที่ผู้ปกครองจะปล่อยให้เขาเผชิญหน้า คอยประคอง

“สำคัญที่สุด คือ รับฟังเสียงของลูก ตรงนี้สำคัญมาก เพราะต้องไม่ลืมว่าช่องว่างระหว่างเจนเนอเรชั่นมักทำให้คนที่อาวุโสกว่าตั้งแง่เสมอ“

ระบบนิเวศที่คอยประคับประคอง รับฟังอย่างไม่ตัดสิน คือระบบนิเวศที่จะช่วยหนุนเสริมให้เจนเนอเรชั่นอัลฟ่าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

การเลี้ยงดูลูกไม่มีสูตรตายตัว แล้วแต่สไตล์ของแต่ละครอบครัว สิ่งที่ใช้ได้ คือ “ถ้าพ่อแม่อยากให้ลูกเราเป็นคนอย่างไร เราก็ต้องเป็นคนแบบนั้น” เช่น พ่อแม่คงไม่อยากให้ลูกโตมาเป็นคนที่อารมณ์ร้อน หงุดหงิดง่าย หรือต่อต้านสังคม พ่อแม่ก็ไม่ควรเลี้ยงลูกแบบใช้ความรุนแรง หรือไม่อยากให้ลูกโตมาเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าทำอะไร พ่อแม่ก็ต้องให้อิสระกับลูก ให้เขาสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเองได้ ไม่กดดันลูกจนเกินไป

และถ้าหากพ่อแม่อยากให้ลูกโตมาพร้อมความเข้มแข็งและทัศนคติที่เป็นบวก ก็ต้องเริ่มจากการเลี้ยงดู การแสดงออกของพ่อแม่มีผลต่อลูก การควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ

“แรงบันดาลใจรวมถึงศรัทธาเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดมาจากพลังงานลบ หากแต่มาจากพลังงานบวก การให้โอกาส ให้อภัย และพลังใจ”

รศ.นพ.สุริยเดว ทิ้งท้ายในเซคชั่นนี้

วิชาความผิดหวัง เกราะป้องกันที่ต้องถูกสร้างในเจนเนอเรชั่นอัลฟ่า

“ที่สวิตเซอร์แลนด์มีโมเดลการศึกษาที่น่าสนใจ มีวิชาที่สอนให้รู้จักผิดหวังและเปิดสอนตั้งแต่ชั้นประถมเลย”

เพราะความผิดหวังคือเกราะป้องกันในการทำงาน หนึ่งในธรรมชาติของเจนเนอเรชั่นอัลฟ่าคือการเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่อายุยังน้อย จะมีสตาร์ทอัพเกิดขึ้นจำนวนมาก แต่หากดูธรรมชาติของคนรุ่นนี้ในข้ออื่นๆ ทักษะการจัดการตัวเองกลับเป็นกราฟดิ่งลง ‘วิชาผิดหวัง’ จึงควรถูกป้อนคู่ขนานกันไปตั้งแต่ยังเล็ก

ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ให้ลูกลองทำกิจกรรมบางอย่างแต่ลูกทำไม่ได้ ถ้าพ่อแม่เลือกที่จะปลอบลูกด้วยการบอกว่า “ทำไม่ได้ไม่เป็นไรช่างมัน” เด็กก็อาจจะรู้สึกผิดหวังในตัวเอง ทำให้ไม่กล้าลองทำอีก แต่ถ้าพ่อแม่ให้โอกาสเด็กลองพยายามทำ โดยคอยเป็นกำลังใจและช่วยเหลือเขา เมื่อเด็กผ่านไปได้ ความรู้สึกที่เขาจะได้รับ คือ ความกล้าพร้อมสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต

ที่สำคัญ คือ พ่อแม่จะต้องไม่ตั้งเป้าหมายหรือคาดหวังกับลูกมากจนเกินไป เพราะจะสร้างความกดดันให้กับเด็ก ทำให้เวลาที่เด็กไม่สามารถทำตามที่พ่อแม่คาดหวังได้จะทำให้เขารู้สึกแย่ ขาดความมั่นใจ และไม่อยากทำอีกต่อไป พ่อแม่จะต้องคำนึงเสมอว่าเด็กแต่ละคนมีความแตกต่าง ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำได้หรือพยายามอย่างเต็มความสามารถแล้ว พ่อแม่อาจปลอบใจลูก แล้วบอกให้เขาลองทำใหม่โดยไม่ต้องกดดันหรือกำหนดว่าลูกต้องทำตอนไหน แต่ให้ทำเมื่อเขาพร้อม

ลูกควรได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข

นอกจากการเลี้ยงดูของผู้ปกครองแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือการรับฟังความรู้สึกของกันและกัน คุณหมอใช้คำว่า ‘ร่วมทุกข์ร่วมสุข’ ซึ่งประโยคนี้เรามักเจอในบริบทที่พูดถึงความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา คู่ชีวิต พอเอามาใช้กับลูกอาจสร้างความแปลกใจ เพราะบทบาทในครอบครัว พ่อและแม่มักเล่นบทผู้นำ ส่วนลูกเป็นผู้ตาม

ถ้าเป็นความสัมพันธ์ ‘ร่วมทุกข์ร่วมสุข’ แบบพ่อ แม่ ลูก จะทำให้ทุกคนอยู่ในระดับเดียวกัน แชร์ความรู้สึกร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ทำให้คำว่าครอบครัวชัดเจนขึ้น

ตัวอย่างเช่น ลูกอาจไม่ชอบพฤติกรรมบางอย่างที่พ่อแม่ทำกับตัวเอง ถ้าเขาเก็บไว้ไม่กล้าบอกออกมาเพราะกลัว พ่อแม่ก็จะไม่มีทางรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำลูกไม่ชอบ หรือเมื่อพูดออกมาแล้ว พ่อแม่ก็ต้องเปิดใจยอมรับฟังสิ่งที่ลูกพูด และเอามาคุยกันเพื่อหาทางออก หรือเวลาที่ครอบครัวเกิดปัญหาอะไรแล้วพ่อแม่ไม่ยอมเล่าให้ลูกฟัง เพราะมองว่าลูกเป็นเด็ก ไม่มีสิทธิรับรู้ จะกลายเป็นว่าพวกเขากันเด็กออกไป เด็กก็จะไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น ในอนาคตปัญหานั้นอาจจะส่งผลกระทบกับตัวเด็กเอง พ่อแม่จึงควรแชร์ เล่าปัญหาให้ลูกฟัง อาจจะเล่าโดยไม่ได้หวังให้ลูกมาช่วยแก้ไข แต่เพื่อทำให้ลูกรู้สึกถึงความสำคัญว่าเขาก็เป็นสมาชิกสำตัญคนหนึ่ง มีสิทธิที่จะรับรู้ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว

“ความรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุข รักของพ่อแม่ที่มีให้ลูกต้องรู้จักร่วมทุกข์ร่วมสุข การที่ลูกเจอกับความทุกข์ยาก ไม่ได้เจอแต่ความสุขเท่านั้น จะทำให้ลูกมีพลังฮึดสู้”

สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นครอบครัว คือ การรับฟัง ทั้งพ่อ แม่ และลูกต่างก็ต้องเป็นผู้รับฟังที่ดี แชร์ความรู้สึกของกันและกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเข้มแข็งขึ้น

สุดท้ายแล้วทั้งเด็กรุ่นใหม่อย่างเจนเนอเรชั่นอัลฟ่า เด็กเจนเก่า หรือเด็กเจนในอนาคต ล้วนแล้วแต่ต้องการทัศนคติพลังบวกในการใช้ชีวิต ซึ่งพลังงานเหล่านี้ก็ได้มาจากพ่อแม่ที่เป็นระบบนิเวศของพวกเขา คนที่คอยสั่งสอน คนที่เป็นต้นแบบของพวกเขา

อ้างอิง:
thepotential.org/
https://www.amarinbabyandkids.com/
https://med.mahidol.ac.th/
https://thepotential.org/

Tags:

ปฐมวัยนพ.สุริยเดว ทรีปาตีgeneration gapGeneration Alpha

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    This is my Generation. This is our Generation เข้าใจวัยที่แตกต่างเพราะเราเติบโตจากโลกที่ต่างกัน

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    7 คาแรคเตอร์ของเด็กเจนฯ อัลฟ่า

    เรื่อง The Potential

  • Early childhood
    PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

  • Social Issues
    ยกเลิกสอบเข้า ป.1 จริงหรือไม่ สถานะทางกฎหมายตอนนี้เป็นอย่างไร?

    เรื่อง The Potential

วิจารณ์ พานิช: เตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย เข้าสู่อาชีพที่ชอบ ใช่ และเหมาะกับตัวเอง
Learning Theory
28 November 2019

วิจารณ์ พานิช: เตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย เข้าสู่อาชีพที่ชอบ ใช่ และเหมาะกับตัวเอง

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

บันทึกชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลนนี้ ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียนและเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู ผมคิดว่าสาระในหนังสือเล่มนี้ เป็นชุดความรู้ที่เหมาะสมต่อ ‘ครูเพื่อศิษย์’ ที่สอนนักเรียนที่มีพื้นฐานขาดแคลน ผมเข้าใจว่าในประเทศไทยนักเรียนกลุ่มนี้เป็นนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ   

บันทึกที่ 25 เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย หรือเข้าสู่อาชีพนี้ เป็นบันทึกสุดท้ายใน 3 บันทึก ภายใต้ชุดความคิดเพื่อความสำเร็จของนักเรียน (graduation mindset) ตีความจาก Chapter 20: Prepare for College or Careers

มีนักเรียนจำนวนหนึ่งที่เรียนไม่เก่ง แต่จะเรียนดีขึ้นทันตา หากครูจัดการเรียนรู้แบบใหม่ ที่ให้นักเรียนฝึกปฏิบัติโดยใช้มือ ทำกิจกรรมทางกาย หรือออกไปเรียนนอกห้อง นักเรียนเหล่านี้จะเรียนได้ดีหากมีกิจกรรมฝึกวิชาชีพ เรียนนอกห้อง เรียนโดยทำโครงงาน ทัศนศึกษา เรียนโดยฝึกปฏิบัติ และเรียนรับใช้ชุมชน (service learning)

ให้นักเรียนระดับประถมทำกิจกรรมเหล่านี้ใกล้ๆ โรงเรียน แค่ได้ออกไปทัศนศึกษาใกล้ๆ เด็กก็ตื่นเต้นแล้ว แต่จะให้ได้เรียนรู้มากกว่าต้องให้นักเรียนทำโครงงานเล็กๆ จากกิจกรรมนอกห้องเรียนด้วย และแม้ทำโครงงานเล็กๆ นอกห้องเรียน แต่อยู่ในบริเวณโรงเรียน ก็ช่วยสร้างความตื่นตัวในการเรียนได้มาก

ครูพึงตระหนักว่า นักเรียนเบื่อเมื่ออยู่ในห้องเรียน หรือต้องนั่งนิ่งๆ เป็นเวลานาน และมีนักเรียนจำนวนหนึ่งที่เบื่อง่ายกว่าคนอื่นๆ ครูพึงเอาใจศิษย์มาใส่ใจตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใจที่นึกถึงอนาคตของตัวเอง เขาแนะนำรายการคำถามต่อไปนี้

คำถามเกี่ยวกับความพร้อมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย

นักเรียนมีทักษะชีวิตไปเผชิญชีวิตในมหาวิทยาลัยหรือไม่ นักเรียนมีทักษะการเรียนรู้วิชาต่างๆ หรือไม่ นักเรียนมีที่ปรึกษาที่ตนใกล้ชิดเอาไว้ปรึกษายามจำเป็นหรือไม่ หากนักเรียนไม่ได้รับทุนการศึกษา จะทำอย่างไร ในบริบทของสหรัฐอเมริกา เขาบอกให้นักเรียนรู้ว่า มีมหาวิทยาลัยที่เรียน online ฟรี ชื่อ The University of the People (https://www.uopeople.edu/) แต่หากต้องการสอบเพื่อรับปริญญามีค่าใช้จ่ายราวๆ 1,000 เหรียญสหรัฐ   

คำถามเกี่ยวกับความพร้อมเข้าสู่อาชีพ

นักเรียนที่เรียนจบออกไปมี resume สำหรับเป็นหลักฐานรับรองสมรรถนะในการทำงานหรือไม่ นักเรียนทุกคนมีทักษะเข้ารับการสัมภาษณ์เข้างาน โดยผ่านการฝึกและได้รับ feedback หรือไม่ นักเรียนแต่ละคนมีงานที่ตอบรับแล้ว หรืออยู่ในรายชื่อรอเรียกเข้าทำงานหรือไม่ นักเรียนแต่ละคนมีที่ปรึกษายามต้องการหรือไม่

หนังสือแนะนำเว็บไซต์ช่วยแนะนำการสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ที่ครูควรเข้าไปทำความเข้าใจพร้อมกับนักเรียนเพื่อช่วยทำความเข้าใจ ในสหรัฐอเมริกามีวิทยาลัยชุมชน (community college) ที่สอนวิชาชีพ ครูควรแนะนำ ซึ่งจะตรงกับคำแนะนำของครูชั้นมัธยมต้นของไทย ที่แนะนำให้นักเรียนพิจารณาเข้าเรียนวิทยาลัยอาชีวะ หลังเรียนจบ ม.3 ซึ่งจะเป็นเส้นทางสู่การเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในภายหลังได้

ในสองตอนต่อจากนี้ เป็นตัวอย่างที่โรงเรียนคุณภาพสูง ดำเนินการช่วยนักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัยหรือเข้าสู่อาชีพอย่างได้ผลดี 

กลยุทธ์เตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย และสู่อาชีพ

ต่อไปนี้เป็นวิธีการที่โรงเรียนคุณภาพสูงในสหรัฐอเมริกาใช้ ทั้งโรงเรียนระดับประถมและระดับมัธยม

  • ให้มีโอกาสได้ไปเห็นหรือมีประสบการณ์ เช่น ให้นักเรียนชั้น ป.5 จับคู่ ร่วมกันไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอาชีวศึกษาใกล้ๆ และศึกษาข้อมูล เช่น ค่าเล่าเรียน ทุนช่วยเหลือการศึกษา สาขาที่สอน ตำแหน่งที่ตั้ง อายุของนักศึกษา เป็นต้น นำมาทำโปสเตอร์สำหรับนำเสนอต่อนักเรียนชั้น ป.2 ซึ่งผมคิดว่าในกรณีของบริบทไทยสามารถดำเนินการได้ในหลายรูปแบบ เช่น ให้คู่นักเรียนแยกย้ายกันไปศึกษาสถาบันที่อยู่ไม่ไกลโรงเรียนนัก ทีมละ 1 สถาบัน หากจะซ้ำสถาบันก็ให้ซ้ำได้สถาบันละไม่เกิน 3 ทีม นำมาจัดทำโปสเตอร์เสนอต่อเพื่อนๆ ในชั้นหรือในโรงเรียน   

หนังสือเอ่ยถึงการให้นักเรียนชั้น ป.4 จับคู่กับเพื่อน ศึกษาอาชีพที่ต้องการวุฒิ ม.3 เช่น ช่างหล่อ ช่างไฟ ช่างก่อสร้าง เจ้าหน้าที่บริการบนเครื่องบิน เป็นต้น   

  • เชื่อมโยงพฤติกรรมเข้ากับผลต่อตนเอง ช่วยให้นักเรียนทำกิจกรรมและเชื่อมผลลัพธ์ของงานสู่เป้าหมายในชีวิต  “เวลาที่เธอใช้ทำการบ้านจะมีความหมายต่ออนาคตของเธอ มันจะช่วยให้เธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้”
  • เชื่อมโยงสาระวิชาเข้ากับอนาคตการงาน เช่น ในนักเรียนชั้นมัธยม เมื่อเรียนวิชาใด ครูเอ่ยถึงหน้าที่การงานที่ใช้ความรู้และทักษะของวิชานั้นๆ หาทางให้คนในอาชีพนั้นๆ มาแชร์ประสบการณ์กับนักเรียน
  • ใช้ถ้อยคำที่ให้ความหวัง เช่น ไม่ใช้คำว่า “ถ้าเธอเรียนจบ” แต่ใช้คำว่า “เมื่อเธอเรียนจบ” ไม่ใช้คำว่า “ถ้าเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย” แต่ใช้คำว่า “เมื่อเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย”
  • จัดการเรียนเสริมแก่นักเรียนชั้นมัธยม ดังตัวอย่าง

– จัดติวเตอร์จากมหาวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ๆ มาสอนทุกวันหลังชั้นเรียน เป็นเวลา 45 นาที (โดยไม่มีค่าใช้จ่าย) เพื่อช่วยให้นักเรียนทำการบ้านถูกหมด 

– มีครูที่ปรึกษาที่ทำงานเข้มแข็งให้แก่นักเรียนใหม่ทุกคน

– กรณีที่พ่อแม่เด็กเป็นคนต่างชาติที่อพยพเข้าเมือง โรงเรียนจัดบริการแปลภาษาให้

– หาทุนเป็นค่าเดินทางแก่เด็กยากจน

– ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าเรียนชั้นเข้มข้น (honor class) ทางอินเทอร์เน็ต (www.avid.org) เพื่อกระตุ้นแรงบันดาลใจ

– นักเรียนตั้งแต่ชั้น ม.1 เป็นต้นไปทุกคนต้องเข้าร่วมนิทรรศการของโรงเรียน และร่วมสัปดาห์วิทยาศาสตร์ของโรงเรียน

– จัดการประชุมปฏิบัติการเรื่อง ‘เมื่อลูกเข้ามหาวิทยาลัย’ ให้แก่พ่อแม่ผู้ปกครอง เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองส่งเสริมลูกให้ประสบความสำเร็จในการเรียน

เขายกตัวอย่างโรงเรียนที่นักเรียนทุกคนเป็นเด็กยากจน แต่ร้อยละ 90 ของนักเรียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย (หรือวิทยาลัยชุมชน) กิจกรรมตัวอย่างข้างต้นเป็นกิจกรรมในบริบทของสหรัฐอเมริกา โรงเรียนไทยต้องปรับให้เข้ากับบริบทของเรา

กลยุทธ์หนุนสู่อาชีพและอาชีวศึกษา

โรงเรียนต้องไม่มุ่งให้นักเรียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย (หรือวิทยาลัยอาชีวะ) เพียงอย่างเดียว ต้องดำเนินการเตรียมนักเรียนเข้าสู่อาชีพไปพร้อมๆ กันด้วย ตัวอย่างของอาชีพที่ควรให้นักเรียนได้ฝึก ได้แก่

  • การลงโค้ดคอมพิวเตอร์ และพัฒนาซอฟต์แวร์
  • ช่างอุตสาหกรรม (ช่างเชื่อม, ช่างก่อสร้าง, ช่างประปา)
  • ช่างบริการวิทยุ โทรทัศน์ ช่างเทคโนโลยีการสื่อสาร ช่างระบบข้อมูล
  • นักวิทยาศาสตร์การอาหาร เชฟ
  • นักการตลาด นักธุรกิจ
  • นักการเกษตร
  • เทคนิคและธุรกิจการเลี้ยงสัตว์
  • กิจการด้านการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบริการ
  • กิจการรักษาความปลอดภัย และบังคับใช้กฎหมาย

ตัวอย่างข้างบนเป็นบริบทสหรัฐอเมริกา โรงเรียนไทยพึงปรับตามบริบทไทย และท้องถิ่นที่โรงเรียนตั้งอยู่

เขาแนะนำให้โรงเรียนจัดโปรแกรมการสอนทักษะอาชีพอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ใช่แค่เป็นกิจกรรมให้นักเรียนเลือกเรียนนอกเวลาเรียนหรือเป็นวิชาเลือก กิจกรรมนี้จำเป็นมากสำหรับโรงเรียนในเขตยากจน กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของเด็กวัยรุ่นลงอย่างมากมายและทำให้เด็กอยากมาโรงเรียน  

เขาแนะนำโมเดลการดำเนินการของโรงเรียนแห่งหนึ่งในรัฐแมสซาชูเสตส์ ที่ดำเนินการได้ผลดีมีชื่อเสียงมาก โดยร้อยละ 96 ของนักเรียนสอบผ่านการสอบชั้น ม.ปลาย ที่เข้มงวดของรัฐ โดยโมเดลดังกล่าวมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ

  1. ติดต่อกระทรวงศึกษาธิการของรัฐ เพื่อปรึกษาว่ามีลู่ทางผสมผสานการศึกษาเพื่ออาชีพ และการศึกษาเชิงเทคนิคเข้ากับกิจกรรมในโรงเรียนอย่างไรบ้าง
  2. เริ่มช้าๆ เพิ่มปีละ 1 โปรแกรม
  3. จัดมินิโปรแกรมที่ใช้เวลาน้อยกว่า ดังตัวอย่าง

– นักเรียนค้นคว้าและดำเนินการฝึกซ้อม กรณีเกิดเพลิงไหม้ จับตัวประกัน น้ำท่วม หรือมีการรังแกกัน

– นักเรียนพัฒนาความสัมพันธ์กับธุรกิจในท้องถิ่นเพื่อการฝึกงาน

– นักเรียนพัฒนาการดูงานภายในโรงเรียนเพื่อเรียนรู้จากเจ้าหน้าที่ เรียนรู้เรื่องต้นไม้ และการออกแบบสถาปัตยกรรม

– นักเรียนจัดทัวร์สถานประกอบการในท้องถิ่น ในช่วงที่มีการเรียนน้อย เช่น วันหยุดหรือในสัปดาห์ที่ไม่มีการสอบ

– นักเรียนจัดกิจกรรมร่วมกับองค์การลูกเสือ เนตรนารี หรือกิจกรรมเดินป่าในท้องถิ่น

เขาแนะนำว่า อย่าพยายามผลักดันนักเรียนทุกคนไปสู่เส้นทางเข้ามหาวิทยาลัย สำหรับนักเรียนที่ไม่พร้อมหรือไม่อยากเข้ามหาวิทยาลัย เขาแนะนำแหล่งความรู้สำหรับเด็กเหล่านั้นคือ

  • หนังสือ Better than College: How to Build a Successful Life Without a Four-Year Degree by Blake Boles
  • หนังสือ 40 Alternatives to College by James Altucher
  • TED และ TEDx Talk แนะนำอาชีพ ค้นในกลุ่ม education   

หน้าที่ของครูคือ ให้ศิษย์ได้เห็นลู่ทางอาชีพที่หลากหลายสำหรับเลือกตามที่ตนชอบและเหมาะต่อตัวเอง โดยครูไทยพึงปรับคำแนะนำเหล่านี้ให้เหมาะต่อบริบทไทย และบริบทท้องถิ่นของศิษย์

จะสมาทานชุดความคิด “ฉันได้พยายามคิดบวกแล้ว แต่เด็กเหล่านี้มาจากสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ฉันไม่คิดว่าเขาจะประสบความสำเร็จในชีวิต” หรือ “ฉันเอาใจใส่เรื่องสำคัญ ที่จะช่วยให้ศิษย์เข้ามหาวิทยาลัยได้หรือพร้อมทำงาน”

หมายเหตุ: อ่านบทความ วิจารณ์ พานิช สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน ตอน 1 และ ตอน 2 

Tags:

ครูวัยรุ่นเทคนิคการสอนสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลนศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    RELATIONAL MINDSET: ความสัมพันธ์ครูกับศิษย์ในฐานะมนุษย์ เพราะสัมพันธ์ที่ดีมีผลต่อการเรียนรู้

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning TheoryBook
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    วิจารณ์ พานิช: ใช้ศิลปะและการเล่นกีฬากระตุ้นการเจริญงอกงามของสมองเด็ก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

ธนุพล ยินดี นักการละครที่ชวนศิลปินเชียงใหม่ลุกขึ้นมา ACT UP ส่งสารเรื่องคับข้องใจในสังคม
Voice of New Gen
27 November 2019

ธนุพล ยินดี นักการละครที่ชวนศิลปินเชียงใหม่ลุกขึ้นมา ACT UP ส่งสารเรื่องคับข้องใจในสังคม

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญธีระพงษ์ สีทาโส

  • กอล์ฟ-ธนุพล ยินดี นักการละครและเจ้าหน้าที่ กลุ่มมะขามป้อม หนึ่งในผู้จัด ผู้ริเริ่ม และเจ้าของความฝันอยากเห็นพื้นที่รวมเครือข่ายศิลปินเชียงใหม่ให้มาทำงานขับเคลื่อนประเด็นร่วมกัน
  • กอล์ฟอยากชวนศิลปินส่งเสียงผ่านละคร  เพราะเราต่างถูกกดทับอยู่และไม่ได้ถูกฝึกให้ใช้สิทธิใช้เสียง แต่ก็ต้องเล่ามันออกมาอย่างมีสุนทรียะ
  • จริงๆ แล้วศิลปินรุ่นใหม่อย่างกอล์ฟมีโอกาสไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่กลับปัดข้อเสนอนี้ไป โดยให้เหตุผลว่า “ยิ่งมันกดฉันใช่ไหม แพชชั่นยิ่งร้าย ยิ่งท้องฟ้ามืดเท่าไร ดวงดาวยิ่งสว่างและสวยมากเท่านั้น ดังนั้นฉันจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าประเทศฉันจะดี”

ตอนเห็นโปสเตอร์งาน Act Up: Chaingmai Transformative Theatre Festival ครั้งแรกผ่านฟังก์ชั่นอีเวนต์ในเฟซบุ๊ค คำอธิบายอีเวนต์นี้ขึ้นว่ามันคือ เทศกาลละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง ครั้งที่ 1 แถมพ่วงด้วยว่าละครจะมีทั้งหมด 8 เรื่อง จาก 8 กลุ่มละครทั่วจังหวัดเชียงใหม่ พวกเขาจะมา act up – คำกริยาที่แปลว่า ‘แสดงอาการออกมา’ หรือ ‘ทำให้สภาพที่เป็นอยู่แสดงอาการออกมา’ – ประเด็นสังคมอย่างเข้มข้น …เข้มข้น ในโปสเตอร์ใช้คำนี้จริงๆ

ความสนใจแรกไม่ใช่แค่เรื่องละคร แต่อยากรู้ว่านักการละครทั้งมืออาชีพและรุ่นใหม่ เขากำลังพูดคุยกันเรื่องอะไร ประเด็นทางสังคมที่พวกเขาอยากสื่อสารคือเรื่องอะไร และด้วยท่าทีน้ำเสียงแบบไหนกัน

และนี่คือลิสต์รายชื่อกลุ่มนักการละครและประเด็นที่สื่อสารในงานนี้

  • Orange: ประเด็นโรค/ภาวะซึมเศร้า โดย กลุ่มนักการละครรุ่นใหม่ Sirisook Dance Theatre 
  • ปีก: ประเด็นการเหยียดชาติพันธ์ุโดยเฉพาะแรงงานเพื่อนบ้าน โดย กลุ่มละครมืออาชีพ มะขามป้อม
  • FARmily: ความกดดันกะเกณฑ์ชีวิตจากคนในครอบครัว โดย กลุ่มนักการละครรุ่นใหม่ Chapter One
  • WHY? สิ่งแวดล้อมที่เชื่อมกับการเมือง โดย กลุ่มละครมืออาชีพ พระจันทร์พเนจร
  • กระดานดำ: การไร้อิสรภาพในการศึกษา โดย กลุ่มนักการละครรุ่นใหม่ Define Love
  • ขี้แห้งจับตาหมา: ความสวยงามตามกรอบสังคม จากนักการละครมืออาชีพ Foong Bur Dance Theatre
  • THE CAGE: กรอบหรือกงขังมนุษย์ จากกลุ่มนักการละครรุ่นใหม่ ลานยิ้มการละคร
  • HO Butoh Contempolary Dance: และการตีความเรื่องชาตินิยมในบ้านเรา โดย กลุ่มนักการละครมืออาชีพ Sonoko Prow & Khandha Arts

การศึกษา ครอบครัว เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ อิสรภาพ – คือหมวดใหญ่ที่ศิลปิน …ซึ่งนัยหนึ่งก็คือเพื่อน พี่น้อง คนในสังคม ยังรู้สึกเจ็บปวดและอึดอัดกับมันอยู่

จาก 4 ใน 8 เรื่อง ซึ่งจัดแสดงโดยกลุ่มละครคนรุ่นใหม่ – Orange, FARmily, กระดานดำ, THE CAGE: ภาวะซึมเศร้า ครอบครัว สถานการณ์การศึกษาไทย และความสวยงามที่สังคมเป็นคนกำหนด – ทั้งหมดนี้กำลังจะบอกอะไรกับเราไหมว่า คนรุ่นใหม่ในยุคสมัยนี้ เจ็บช้ำและรู้สึกถูกกดขี่กดดันจากสถานการณ์แบบใด? เขามองประเด็นทางสังคมด้วยสายตาอะไร?

วางประเด็นความคับข้องใจของคนในสังคมไว้ข้างหนึ่งก่อน The Potential ชวน กอล์ฟ-ธนุพล ยินดี นักการละครและเจ้าหน้าที่ กลุ่มมะขามป้อม หนึ่งในผู้จัด ผู้ริเริ่ม และเจ้าของความฝันอยากเห็นพื้นที่รวมเครือข่ายศิลปินเชียงใหม่ให้มาทำงานขับเคลื่อนประเด็นร่วมกัน

พูดคุยกันถึงเบื้องหลังโครงการ Act Up ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมาในฐานะโครงการที่ต้องการสร้างกระบวนการผลิต ‘ผู้นำนักการสื่อสารละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง’ เริ่มตั้งแต่กระบวนการอบรมการเป็นผู้นำการสื่อสารละครเพื่อการเปลี่ยนแปลง และอบรมทักษะการละคร ช่วงเวลาฝึกซ้อมละคร การออกทัวร์ทั่วเมืองเชียงใหม่ของแต่ละทีม ทีมละ 2 ครั้ง มาจนถึงอีเวนต์งาน Act up ณ Dream space Gallery CNX เมื่อวันที่ 2-3 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

กอล์ฟ-ธนุพล ยินดี

ไม่ใช่แค่ถอยเวลากลับไปตลอด 1 ปี แต่การเกิด Act Up ย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ธนุพลใช้เวลา 2 ปี ศึกษาหรืออาจเรียกว่าเป็นการทำวิจัยส่วนตัวเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของเครือข่ายศิลปินในพื้นที่ชุมชน ตั้งต้นจากคำถามที่ว่า เชียงใหม่ที่ใครก็ว่าเป็นพื้นที่ศิลปะศิลปิน แต่เพราะอะไรการรวมตัวกันขับเคลื่อนประเด็นสังคม ที่ร่วมกันตั้งแต่ภาครัฐ เอกชน และภาคสังคม จึงไม่เคยเกิดขึ้นจริงสักครั้งเลย?

หากคนหนุ่มสาวขับเคลื่อนชีวิตด้วยไฟฝันและจินตนาการข้างใน ธนุพลก็เช่นนั้น ฝันของเขาคืออยากเห็นการรวมตัวของศิลปินในพื้นที่ ศิลปินต้องไม่ไส้แห้ง และร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นสังคมที่กดทับพวกเราอยู่ – เพราะศิลปะไม่ใช่แค่สุนทรียะแต่คือพื้นที่ระบายออกซึ่งความคับข้องใจ การถูกกดทับกดขี่ หรือส่งมอบอารมณ์บางอย่างที่ไม่สามารถสื่อสารผ่านตัวอักษรหรือการบอกเล่าทางตรงได้ ในหลายพื้นที่ ศิลปะจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารเพื่อพลิกเปลี่ยนความคิดคนและสร้างความเคลื่อนไหว (movement) บางอย่าง

เหมือนที่คนหนุ่มสาวและทุกเพศออกมา act up หลากประเด็นในพื้นที่กลางแห่งนี้

ที่มาโปรเจ็คต์ Act Up

Act Up เป็นพื้นที่ที่อยากสร้างนักการละครเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมเชียงใหม่ วางไว้ว่าอยากทำงานกับนักการละครเยาวชน 4 กลุ่มและมืออาชีพ 4 กลุ่ม ที่วางแบบนี้เพราะเป็นจำนวนที่ไม่มากไม่น้อยไป จัดการได้ แต่กระบวนการที่ใช้จะเป็นกระบวนที่เน้นสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในตัวเอง ในกลุ่ม หรือสังคมที่เขาอยู่ ทำทั้งหมดนี้โดยใช้กระบวนการละครนำ ซึ่งเราคิดว่าละครและงานศิลปะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เริ่มต้นตั้งแต่ในคนทำงาน เปลี่ยนทั้งวิธีคิด ท้าทายความเชื่อเก่าๆ ตั้งคำถามกับความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาตลอดแล้วพยายามรื้อสร้างความเชื่อใหม่ๆ ที่สร้างคุณค่าร่วมกันในสังคม 

อันนี้รู้สึกว่าจะเป็นโจทย์แรกเลยที่ว่า “การเปลี่ยนแปลงคืออะไร?” ก็คือเริ่มที่ตัวเองก่อน ถ้าคุณเปลี่ยนได้ คนอื่นจะเปลี่ยนได้ เราอยากเห็นแววตาที่เป็นความเชื่อว่าเขาเปลี่ยนตัวเองได้ มันต้องใช้เวลาในการ empowering สูงมาก

เห็นว่าการเดินทางของ Act Up ไม่ใช่แค่หน้างานวันนี้ แต่ดำเนินงานมาเกือบปีแล้ว

(พยักหน้า) กิจกรรมมีตลอดทั้งปีเลย ช่วงสองเดือนแรกจะเป็นค่ายแลกเปลี่ยนให้พี่ๆ นักการละครรุ่นใหญ่ แต่ละกลุ่มออกแบบกิจกรรมและหลักสูตรเพื่อแชร์ประสบการณ์ให้น้อง และน้องก็ได้แชร์ประสบการณ์ให้กลุ่มพี่ๆ ได้ฟังด้วย

หลังจากนั้นอีกสามเดือน เราจะให้ทุนเล็กๆ กับแต่ละกลุ่มไปผลิตงาน ออกแบบกระบวนให้พี่กับน้องได้เจอกันบ่อยๆ ทั้งเรื่องจัดที่ซ้อม เวลา หรือหาเวลามา follow up ร่วมกัน มา feed back กัน พี่ฟังน้อง น้องฟังพี่ ต่อมาอีกเดือนนึงจะเป็นช่วงที่แต่ละกลุ่มต้องไปทัวร์ด้วยเงื่อนไขว่าแต่ละกลุ่มต้องแสดงอย่างน้อย 2 รอบ ซึ่งบางกลุ่มก็มากกว่านั้นนะ แสดงไป 4-5 รอบก็มี แต่หมายความว่ามันจะเกิดพื้นที่ศิลปะในเชียงใหม่อย่างน้อย 16 ที่ในเดือนเดียว

การเลือกสถานที่แสดงละครก็ต้องดีไซน์นะว่าทำไมคุณไปเล่นที่นี่ ไม่ใช่เพราะเขาให้คุณเล่นฟรี แต่เพราะคุณรู้จักที่นี่ เพราะ performance art ที่คุณจะแสดงมันเหมาะกับพื้นที่นั้นๆ เพราะคุณรู้ว่าถ้าเล่นที่นี่มันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิด social change ต่อพื้นที่นี้ได้ หรือ ถ้าคุณจะไปเชิญคนมาดู คนกลุ่มไหนที่คุณเชิญมาแล้วน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเด็นที่คุณจะเคลื่อนจริง นี่คือสิ่งที่เราก็พยายามออกแบบกระบวนการให้เห็นว่าการออกแบบเพื่อพัฒนาคนดู มันทำได้ตั้งแต่การเลือกสถานที่แล้วนะ

เบื้องหลังคือกระบวนการสร้างนักการละคร งาน Act Up: Chiang Mai Transformative Theatre Festival เหมือนเป็นงานโชว์ผลงานหรือเปล่า หรือความตั้งใจต่องานวันนี้คืออะไร

กับงานวันนี้ ใจจริงเราอยากประกาศนามให้สังคมได้รู้มากกว่าว่ามันมีแปดกลุ่มนี้อยู่จริงๆ และเราไม่ได้มาเล่นๆ นะ / ซ้อมกันมา 7-8 เดือนนะ / ทัวร์มาแล้วด้วยนะ / โดนสาป โดนแช่ง โดนด่า โดนชมมาตลอดทางนะ แต่เขาก็ยังทำอยู่ เอาเข้าจริง แปดกลุ่มนี้ก็เพิ่งมาแสดงเวทีเดียวกัน แม้ว่าเขาจะเคยไปที่อื่นมาแล้ว และแม้ว่าบางทีมจะเคยแสดงร่วมกันมาก่อนหรือไปดูแต่ละทีมแสดงตอนทัวร์กันมาก่อนหน้านี้ แต่งานนี้เป็นเหมือนเวทีที่ให้พวกเขามาแสดงร่วมกันจริงๆ เวทีแรก และเราเห็นคนดูหน้าใหม่ๆ ที่เราไม่เคยรู้จักแต่คิดว่ามันเป็นแรงกระทบจากการเดินทางไปทัวร์มาตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมา  

อีกอย่าง ที่เราฝันมากๆ คืออยากให้ภาคประชาชนในเชียงใหม่เข้าถึงงานศิลปะ งานศิลปะมันเป็นเครื่องมือที่สร้างการเรียนรู้ให้คนทำงาน และสร้างการรับรู้ให้คนดูไปด้วย

คุณกล่าวก่อนหน้านี้ว่างาน Act Up เป็นการสร้างเครือข่ายคนทำงานศิลปะในพื้นที่เชียงใหม่ มีสองคำถาม คำถามแรก – ทำไมคุณไฮไลต์คำว่า ‘เครือข่ายคนทำงานศิลปะในเชียงใหม่’ คำถามที่สอง – เข้าใจว่าเชียงใหม่ถูกบอกว่าเป็นพื้นที่ศิลปะ แต่ฟังดูเหมือนมันไม่มีเครือข่ายในพื้นที่นี้?

จริงๆ เชียงใหม่มีพื้นที่ performing art festival หลายที่หลายจุดนะ แต่สังเกตได้เลยว่าคนที่จัดหรือการแสดงต่างๆ ที่มาเข้าร่วมเป็นของต่างเมืองต่างประเทศทั้งนั้น ไม่เคยมีเทศกาลไหนที่รวมศิลปินท้องถิ่นมากๆ ได้ นี่คือความแตกต่างของ act up กับเทศกาลอื่นๆ ในเชียงใหม่ และเอาจริงๆ นะ พอเราจัดงานนี้ปุ๊บ เราก็ช็อกเหมือนกันที่พบว่านี่เป็นครั้งแรกของศิลปินซึ่งแม้เป็นที่รู้จักในพื้นที่ได้มาร่วมงานกันเป็นครั้งแรก คือเขารู้จัก อิ๊อ๊ะ ทักทายกันแต่ไม่เคยร่วมงานกัน เลยคิดว่า เออ… เราก็มาถูกทางเหมือนกันนะที่ทำให้ศิลปินที่ต่างทำงานของตัวเองอยู่แล้วได้มาเจอกัน

คำถามที่สอง ถ้าบอกว่าการรวมกันทำงานไม่ใช่ธรรมชาติของศิลปิน ทำไมจึงอยากทำให้เกิดเครือข่ายของนักการละคร

เพราะทำงานคนเดียวลำบากแน่ (ตอบทันที) soft power อย่างศิลปะมีอำนาจและอิทธิพลในการขับเคลื่อนคน อารมณ์ สังคม ก็จริงอยู่ แต่มันจะไม่ได้เคลื่อนร่วมกันเป็นคลื่น มันจะไม่ขับเคลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงได้เลยถ้าคุณทำด้วยตัวเองคนเดียวหรือมันไม่มีแผนยุทธศาสตร์ในการเคลื่อนมวลใหญ่ เราไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องมาช่วยกันในมวลใหญ่ตลอดเวลานะ ทำงานเดี่ยวก็ได้ แต่คุณรู้รึเปล่าว่างานเดี่ยวของคุณมันอยู่ในแผนใหญ่ด้วยกันรึเปล่า อยู่ในความตั้งใจร่วมกันรึเปล่า

ประเด็นที่ 8 กลุ่มละครเลือกหยิบมาเล่า เป็นประเด็นสังคมทั้งหมด เป็นโจทย์ของ Act Up หรือแต่ละกลุ่มมีประเด็นที่อยากเล่าอยู่แล้วแต่บังเอิญรวมกันแล้วกลายเป็นประเด็นสังคมทั้งหมด?

แต่จริงๆ แล้วทุกคนทำงานและประเด็นการเมือง ประเด็นสังคมหมดเลย จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม การที่คุณลุกขึ้นมาพูดมันคือเสียงหนึ่งของสังคม ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงนั้นก็คือการแสดงออกทางการเมือง และศิลปะก็เป็นงานสื่อสารที่คุณทำและจับอยู่ เราอยากยกระดับการสื่อสารให้คนเห็นว่ามันไม่ใช่แค่ละคร แต่เป็นการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม อยากให้มองเห็นกระบวนการคิด ออกแบบ วิเคราะห์ปัญหา รวมไปถึงเสนอทางแก้อย่างเป็นภาพรวม ไม่ใช่แค่มองว่าฉันสนใจปัญหาซึมเศร้าแล้วจะจบแค่นั้น ไม่จริง ทุกอย่างมันลิงค์กันหมด

เช่น หนึ่งในเรื่องซึมเศร้าก็คือปัญหาการศึกษา คนทำละครต้องไม่ลืมว่าเราอยู่ภายใต้โครงสร้างสังคมเดียวกัน ภายใต้คลื่นลูกเศรษฐกิจเดียวกัน เราอาจจะถูกกระทบคนละจังหวะเวลาแต่สุดท้ายเราก็โดนเหมือนกัน

กระบวนการผลิตละครต้องชี้ให้คนทำละครเห็นว่าสิ่งที่อยากจะมาพูด อยากจะมาส่งเสียงผ่านละคร จริงๆ แล้วก็เพราะเราถูกกดทับอยู่ไง เราไม่ได้ถูกฝึกให้ใช้สิทธิใช้เสียงไง เราเลยอยากทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา แต่ก็ต้องบริหารเรื่องเล่าว่าทำยังไงให้ดูมีสุนทรียะนิดนึง

แต่สารภาพว่าตอนรับสมัครเราไม่ได้เลือกน้องที่ประเด็นนะ แค่ถามว่าเขาสนใจอะไร หมกมุ่นเรื่องอะไร มี passion อะไร สนใจเรื่องไหน กับกลุ่มน้องๆ ที่ไม่เคยเล่นละครในประเด็นทางสังคมมาก่อนเขาก็เหวอไปแป๊บนึงแล้วถามเราว่า “จะต้องยังไง สังคมแค่ไหนนะ มันต้องการเมืองขนาดไหนคะ ต้องเครียดไหมคะ?”

เราก็ค่อยๆ ให้กระบวนการเป็นตัวผ่าตัดความคิดเขา เช่น ช่วยถามว่า “หนูตั้งใจจะทำอะไร หรือหนูอยากพูดเรื่องอะไรก่อน?” เขาก็จะค่อยๆ เห็นว่า เออ… ประเด็นการศึกษาที่เขาอยากพูดถึงนี่มันก็การเมืองนะ มันก็สังคมนะ และมันก็ลิงค์กับชีวิตเขาหลายเรื่องนะ ท้ายที่สุดกระบวนการละครมันก็นำไปสู่ประเด็นที่เกี่ยวกับความคับข้องใจหรือความขัดแย้งที่ตัวเขามีต่อประเด็นนั้น ทั้งหมดนี้ใช้กระบวนการนำไม่ใช่ชี้นำ ค่อยๆ พาเขาไปเจอประเด็นที่อยากสื่อสารจริงๆ  

อยากให้ช่วยเล่า process การทำงานกับนักการละครรุ่นใหม่ในช่วงพัฒนาประเด็น เพราะเข้าใจว่าก่อนจะมาที่ประเด็นนี้นักแสดงต้องทำหลายอย่างมาก เช่น เอาประเด็นมาวางเพื่อเลือกกัน ต้องวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ว่าที่เขาแสดงออกแบบนั้นเพราะอะไร อยากให้เล่าตรงนี้เพิ่มเติมเพราะอยากทราบว่านักการละครจะเปลี่ยนสังคมได้ยังไง ด้วยกระบวนการแบบไหน

เชื่อไหมว่าเราเริ่มต้นจากการที่ให้ค้นหา being ของตัวเองก่อน โดยจะมีกิจกรรมที่ชวนให้นึกถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของเราแต่ละคนว่ามันมีผลอย่างไรกับจุดยืนในปัจจุบัน กิจกรรมนี้จะทำให้แต่ละคนถูกปลดล็อค ได้ทบทวน ได้เติมคำตอบให้ชีวิต และเสริมพลังภายใน 

จากนั้นเราจะเอาประเด็นสังคมที่แต่ละกลุ่มเลือกว่ามันเชื่อมโยงอะไรกับชีวิตส่วนตัวของแต่ละคนยังไง ทำเพื่อหาแรงขับในการทำงาน เพื่อหาคำถามที่พวกเขาใช้กระบวนการในกิจกรรมเพื่อหาคำตอบ และนำไอเดีย ความคิด ข้อความ ภาพที่ต้องการ เทคนิคการแสดงมาเสนอกันแล้วผสมผสานหาจุดเชื่อมและจุดแย้ง หาสิ่งที่น่าสนใจจากการสนทนา กระบวนการนี้เรียกว่า devising theater เพราะกิจกรรมนี้จะสร้างความเป็นเจ้าของและความ,uส่วนร่วมจากทุกคนอย่างมาก 

จากนั้นเราจะชวนแต่ละกลุ่มคิดว่าถ้าประเด็นปัญหาสังคมที่จับมันคือปรากฏการณ์บนภูเขาน้ำแข็ง แล้วอะไรที่เป็นแนวคิด ความเชื่อ วัฒนธรรมที่อยู่ล่างปัญหาเหล่านั้น และเมื่อเห็นแล้ว ประเด็นปัญหาที่เราจับมันไปเชื่อมโยงได้อย่างไรกับประเด็นปัญหาที่กลุ่มอื่นจับ เพราะเราต้องการให้เห็นว่าปัญหาทุกอย่างมันอยู่ภายใต้โครงการสร้างสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อที่ซับซ้อน เราจึงต้องให้ความละเอียดในการหาข้อมูล วิเคราะห์ และนำเสนออย่างเป็นเข้าใจ 

เราถึงเชื่อว่าการทำละครเพื่อการเปลี่ยนแปลงต้องสามารถเปลี่ยนตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราเชื่อว่า ประชาชนอย่างเราก็มีเสียง อำนาจในการเปลี่ยนแปลง แล้วเมื่อรวมกลุ่ม รวมเครือข่ายเรายิ่งจะมีอำนาจในการต่อรองและสร้างการเปลี่ยนให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น 

ตอนที่คิดจะทำโปรเจ็คต์นี้ เราฝันเห็นภาพแบบไหน มีแรงขับอะไรที่ตัดสินใจทำมัน

ฝันของเราคือ BTF (Bangkok Theatre Festival เทศกาลละครกรุงเทพฯ) ตอนเด็กๆ เราลงไปกรุงเทพฯ เพื่อดูละครครั้งแรกแล้วแบบ “เฮ้ย BTF โอ้ มายก็อช” (ลากเสียง) มีละครเป็นร้อยเรื่องให้จิ้มๆๆ และฟรี (กดเสียง) นี่คือฝันของเรา มันติดตาตรึงใจไปหมด พอโตขึ้นเราก็มีโอกาสไปเทศกาลอื่นๆ ในต่างประเทศ … (นิ่งคิด/ตัดประโยค) แต่ไม่หรอก เรารู้ว่าแม้แต่ BTF ก็ไม่เหมาะกับบริบทสังคมเชียงใหม่ ซึ่งปัญหาตอนนั้นก็คือเราก็ไม่แน่ใจว่าอะไรคือโจทย์คนเชียงใหม่ เข้าใจไหม? เราเลยต้องไปรีเสิร์ช

รีเสิร์ชในแง่ไหน ค้นข้อมูลส่วนตัวหรือเป็นการทำวิจัยในสถาบันการศึกษา

ทำของเราส่วนตัวเลย ไปนั่งไล่อ่านวิจัยต่างๆ เวลาเขาสร้างพื้นที่ศิลปะแต่ละที่เขาทำยังไง และใช้เวลาสองปีทำรีเสิร์ช ออกไปสัมภาษณ์ผู้คน สมมุติฐานของเราตอนนั้นคือทำไมมันไม่มีพื้นที่ทางกายภาพของศิลปะในเชียงใหม่เลย แล้วมันจะโตยังไงวะ? ก็ไปถามคนหลายๆ กลุ่มที่ไม่ใช่แค่กลุ่มละคร ถาม art producer ถามนักธุรกิจ ถามคนทำงานการศึกษา ถาม NGO ถามแอคติวิสต์

ถ้าเป็นนักธุรกิจจะตอบว่าเพราะมันใช้เงินเยอะ เพราะทำแล้วมันไม่ได้อะไร มีคนมาดูงานแต่ไม่เห็นมานอนโรงแรมฉันเลย ฝ่ายการศึกษาตอบว่าเพราะมันจะขโมยเวลาเด็กๆ ออกจากห้องเรียน พวกที่ทำก็เป็นแต่พวกเด็กกิจกรรมและไม่สนใจเรียน แอคติวิสต์ก็บอก โอ๊ย พวกนี้มันติสต์กันมาก แม้เรื่องที่พูดจะดูเป็นการเมืองเหอะนะ แต่สื่อสารไม่รู้เรื่องเลย เราก็เลยพอเข้าใจว่าศิลปะในความหมายแต่ละกลุ่มมันไม่เชื่อมกันและไม่สื่อสารกัน

จากจุดเริ่มต้นของ BTF นำมาซึ่งการทำรีเสิร์ชการเกิดชุมชนละครในพื้นที่หนึ่งๆ และนำมาซึ่งงาน Act Up ในปีนี้

(พยักหน้า) และภาพ BTF มันทำให้เราไฝว้ (fight) มากนะ เราส่งใบสมัครไปที่เทศกาลละครการเมืองฝ่ายซ้ายที่ใหญ่มากของเยอรมัน ปีนั้นเขาเปิดรับศิลปินจากทั่วโลก เราเป็น 1 ใน 30 ศิลปินทั่วโลกที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งเรางงมากว่านี่ฉันติดเหรอ? เขาให้เหตุผลว่าเพราะเราฝันแรงมาก เขาเห็นไฟในตัวเรา เลยคงอยากเห็นว่าเด็กคนนี้มันเป็นยังไงนะ ไหนเอาตัวมาดูหน่อย (หัวเราะ) พอไปดูมันแบบ … (คำอุทาน) นี่เหรอ พื้นที่ละครมันเป็นแบบนี้เหรอ มันเป็นความยั่งยืนที่มาจากการสนับสนุนภาครัฐ รัฐปันเงินจากภาษีประชาชนมาทำพื้นที่แบบนี้นะ โรงละครใหญ่มาก มีงบเป็นล้านให้ทำละครไม่ใช่แค่หมื่นสองหมื่น และบอกให้คนทำงานขายบัตรเข้าชมไปเลยเพราะสังคมต้องมีส่วนร่วม และโมเดลการเรียนรู้ศิลปะมันไปทุกทิศทุกทางไม่ใช่แค่ตัวละคร

กลับมาเมืองไทย ซัพเฟอร์ไหม ดูเหมือนมันไม่มีทางเป็นไปได้ในระยะเวลาอันใกล้

อยู่ที่วิธีการมอง เราว่าเราก็เห็นเหมือนที่ทุกคนเห็น รู้สึกเหมือนที่ทุกคนรู้สึก แต่เราจะเลือกกุมฝันหรือกุมทุกข์ ถ้าคุณเลือกจะฝัน ยังไงคุณก็มีแรงพลังจากทุกคน เคยมีคนเสนอให้ไปเรียนเมืองนอกไม่ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นจะได้ทำงานศิลปะได้ แต่ไม่ ฉันต้องอยู่ในพื้นที่แบบนี้แหละ อาร์ตฉันจะแพงมาก (หัวเราะ) ฉันจะมีแรงบันดาลใจในการทำอาร์ต ยิ่งมันกดฉันใช่ไหม แพชชั่นยิ่งร้าย ยิ่งท้องฟ้ามืดเท่าไร ดวงดาวยิ่งสว่างและสวยมากเท่านั้น (หัวเราะ) ดังนั้นฉันจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าประเทศฉันจะดี

Tags:

พลเมืองศิลปะการแสดงการแสดงละครสร้างสรรค์(Creative Drama)ธนุพล ยินดี

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • Space
    มายาฤทธิ์: โรงละครมีฤทธิ์ เสกให้เด็กดู ฟัง รู้สึก คิด ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจคนอื่น

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Social Issues
    CONNECT TO THE FUTURE: “มันต้องไม่เป็นอย่างนี้” เปลี่ยนอนาคตด้วยการไม่ทนอีกต่อไป

    เรื่อง

  • Everyone can be an Educator
    “รู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น” คือสิ่งที่หายไปจากห้องเรียน แต่เรียนได้จากละคร: กลุ่มละครมะขามป้อม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningUnique Teacher
    ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์ : CREATIVE DRAMA วิชาดีๆ ที่เด็กไทยไม่ได้เรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    อนาคตทุกคนจะเรียนศิลปะและความผิดพลาดจะกลายเป็นความงาม ‘วิชากู’ ของ พิเชษฐ กลั่นชื่น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง
Creative learningCharacter building
26 November 2019

OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Or Health ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์อัจฉริยะ พัฒนาโดยคู่หูเทคนิค มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา พัฒนาขึ้นเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัดที่มีภาวะโลหิตจาง หรือผู้ที่ห่วงใยสุขภาพทั่วไป 
  • จากความตั้งใจแค่ทำโปรเจ็คต์ให้จบกลายเป็นความต้องการลึกๆ ที่อยากเห็นคนใกล้ตัวอย่างอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านมและต้องดื่มน้ำจากต้นข้าวสาลีได้อย่างมั่นใจและราคาถูกลง 
  • แม้วันนี้อาจารย์ผู้เป็นแรงบันดาลใจจะไม่อยู่แล้ว แต่พวกเขาก็มุ่งมั่นและทำต่อไป เพราะสิ่งที่อาจารย์หวังไว้คือการทำได้ถึงจุดสูงสุด
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

หนึ่งในผลข้างเคียงของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เข้ารับการรักษาแบบเคมีบำบัดคือภาวะโลหิตจาง มีงานวิจัยพบว่าผู้ป่วยมะเร็งที่รับประทานน้ำคั้นจากต้นอ่อนข้าวสาลีจะช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงและป้องกันภาวะโลหิตจางได้ดี

อย่างไรก็ตาม น้ำต้นอ่อนข้าวสาลีในท้องตลาดมีราคาสูง และไม่รับประกันว่าต้นอ่อนข้าวสาลีนั้นมีการใช้สารเคมีหรือไม่?

เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและรับประกันถึงความสะอาดของน้ำต้นอ่อนข้าวสาลี Or Health ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์อัจฉริยะ จึงเกิดขึ้นด้วยฝีมือของ กัน-อิตาลี จรัสภิญโญ และ นุ๊ก-กรรณิการ์ เกือบสันเทียะ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา เพื่อผู้รักสุขภาพและผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกคน 

(ซ้าย) กัน-อิตาลี จรัสภิญโญ, (ขวา) นุ๊ก-กรรณิการ์ เกือบสันเทียะ

หัวข้อและความหวังจากอาจารย์

Or Health มีจุดเริ่มต้นจากโปรเจ็คต์จบการศึกษาของกันและนุ๊ก อาจเดาได้ว่าทั้งสองมีแรงขับเคลื่อนจากคติที่ว่า ‘ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า’

“อาจารย์แนะนำว่าสุดท้ายเราต้องทำโปรเจ็คต์จบอยู่แล้ว เราเริ่มทำโปรเจ็คต์ตั้งแต่ปี 2 แล้วส่งประกวด จะได้รางวัลหรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่ก็จะได้มีผลงานออกมา การที่เราได้ทำก่อนเพื่อนจะพัฒนาได้มากกว่าโดยไม่ต้องรอถึงปี 4 ค่อยทำ (หัวเราะ) ตอนแรกอาจารย์ถามว่าอยากทำอะไร แต่ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย อาจารย์เลยแนะนำหัวข้อให้เราเลือก แล้วเราก็เลือกทำชุดปลูกข้าวสาลี” กันเล่าถึงจุดเริ่มต้นของผลงาน Or Health

แนวคิดของกันและนุ๊กในเวลานั้นคือ การพัฒนาชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอัจฉริยะที่สามารถควบคุมปัจจัยแวดล้อมให้ต้นอ่อนสามารถเติบโตได้อย่างอัตโนมัติและไม่ต้องใช้สารเคมี โดยที่ผู้ปลูกไม่ต้องเสียเวลามาคอยดูแล 

“โจทย์คือจะปลูกข้าว เริ่มจากการทดลองปลูกข้าวสาลีหลายๆ พันธุ์เพื่อดูว่าพันธุ์ไหนขึ้นสวย แล้วเราก็ประดิษฐ์เครื่องมาเพื่อควบคุมเรื่องต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อัตโนมัติ เพื่อประหยัดเวลา ผู้ปลูกไม่ต้องมาคอยดูแล” 

โดยกลุ่มเป้าหมายก็คือ ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ป่วยโรคมะเร็ง ที่จำเป็นต้องรับประทานน้ำต้นอ่อนข้าวสาลี ซึ่งกลุ่มหลังนี้เองคืออีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนของกันและนุ๊ก

เนื่องจากอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเขาเองป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมอยู่ในขณะนั้น กันบอกอีกเหตุผลสำคัญ

“ส่วนหนึ่งที่ทำหัวข้อนี้ เพราะอาจารย์ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม อาจารย์ต้องสั่งซื้อน้ำต้นอ่อนข้าวสาลีจากอินเทอร์เน็ตมาทาน แต่ไม่รู้ว่าน้ำที่ซื้อมามีสารปนเปื้อนไหม จึงคิดว่าปลูกเองปลอดภัยกว่า” 

นุ๊กช่วยเสริมว่า “อีกปัจจัยหนึ่งก็คือน้ำต้นอ่อนข้าวสาลีมีราคาแพง ถ้าปลูกเองมันจะง่าย ประหยัดเงินและเวลากว่า” 

Or Health ถูกพัฒนาขึ้นจากแนวคิดนั้น โดยยกระดับขึ้นจากความตั้งใจเดิมของกันและนุ๊ก ที่ต้องการเพียงให้เป็นโปรเจ็คต์จบการศึกษา หากพัฒนาไปสู่การประกวดวงจรอิเล็กทรอนิกส์รุ่นเยาว์ (YECC) และโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6

กระบวนการทำงานสร้างนวัตกร

แรกๆ แรงจูงใจในการทำงานของกันและนุ๊กมีแค่อยากทำให้เสร็จเพื่อลดภาระการทำโปรเจ็คต์เท่านั้น ปราศจากความกระหายอยากรู้อยากทดลองเหมือนธรรมชาติของนวัตกรทั่วไป ทว่าหลังจากที่ได้เริ่มลงมือทำ Or Health หลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไป

โดยเฉพาะการเสียชีวิตของอาจารย์ที่ปรึกษา…

“ระหว่างที่เราพัฒนาเครื่องจนสามารถสั่งงานผ่านโปรแกรมได้ แต่ยังไม่ได้ทดสอบว่าคุณสมบัติของต้นอ่อนข้าวสาลีเป็นยังไง ช่วงครึ่งเดือนก่อนไป YECC อาจารย์ก็เสีย ส่วนหนึ่งก็คือห่วงชื่อเสียงอาจารย์ ถ้าเราทำไม่เสร็จอาจารย์ก็จะเสียชื่อ ผลงานนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์อยากให้ทำ จึงอยากทำต่อให้สำเร็จ อีกส่วนคือเราเริ่มทดลองไปแล้วก็อยากทดลองต่อว่าผลจะออกมาเป็นยังไง มันจะมีประโยชน์ต่อใครบ้าง เผื่อมันจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นๆ เหมือนได้ทำบุญ” กันเล่าด้วยรอยยิ้ม

กันและนุ๊กพัฒนา Or Health ให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานผ่านโปรแกรมได้ ให้เครื่องสามารถรดน้ำต้นอ่อนข้าวสาลีและแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว และนำเวอร์ชั่นนี้ส่งประกวด YECC ก่อนจะเข้าร่วมโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปีที่ 6 ตามปณิธานของพวกเขาที่อยากพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสำหรับการใช้งานจริง

“เวอร์ชั่นแรกจริงๆ มันก็โอเคแล้ว ข้าวสวย โตเร็ว จากที่ปลูกปกติจะใช้เวลาประมาณ 7 วัน แต่ถ้าใช้เครื่องนี้จะประมาณ 5-7 วัน เห็นอย่างนั้นเราจึงตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าควบคุมเรื่องอื่นๆ ได้อีกมันก็น่าจะโตเร็วขึ้นกว่าเดิม จึงอยากทดลองต่อดู” นุ๊กเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ต่อยอดผลงานสู่โครงการต่อกล้าฯ

ด้วยคำแนะนำจากกรรมการและทีมโค้ชก็ทำให้กันและนุ๊กพัฒนา Or Health ไปได้ไกลกว่าเดิม ทั้งการเปลี่ยนโครงสร้างชุดปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่ เพิ่มการควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และแสง เพื่อให้ต้นอ่อนข้าวสาลีโตได้เร็วขึ้น

“รวมไปถึงการพัฒนาเซนเซอร์วัดความชื้นทั้งในอากาศและในดินให้สัมพันธ์กัน และเปลี่ยนจากโซลินอยด์วาล์วมาเป็นปั๊ม เพื่อให้สามารถพักน้ำได้ คลอรีนจะหายไป แต่ถ้าเราต่อจากสายยางโดยตรงจะมีคลอรีนอยู่ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่โค้ชต่อกล้าฯ แนะนำมา” กันอธิบายถึงการพัฒนาผลงาน

จนปัจจุบัน Or Health เวอร์ชั่นล่าสุดสามารถรดน้ำได้อัตโนมัติ มีการควบคุมความชื้นด้วยพัดลมระบายอากาศ ซึ่งช่วยป้องกันโรคและแมลงให้กับต้นอ่อนข้าวสาลีได้ และทำให้ต้นอ่อนข้าวสาลีที่ปลูกด้วยชุดปลูกนี้ มีอัตราการเติบโตเร็วกว่าการปลูกแบบทั่วไป 1-2 วัน โดยปริมาณผลผลิตต่อเครื่องต่อรอบปลูกอยู่ที่ 1 กิโลกรัม หรือประมาณ 4 ถาดปลูก ซึ่ง 1 ถาดจะสามารถนำต้นอ่อนข้าวสาลีมาคั้นเป็นน้ำได้ 4-5 ช็อต

“พอได้ต้นอ่อนแล้วเราก็เอาไปคั้นแยกกากออกมาเป็นน้ำ แล้วผมก็ลองเอาน้ำนั้นไปขายที่ฟิตเนส สำหรับกลุ่มคนออกกำลังกายหรือผู้ที่ดูแลสุขภาพ ดื่มช็อตหนึ่งก็เหมือนทานผักใน 1 วัน โดยที่เขาไม่ต้องวิ่งซื้อผักมาทำเอง ผมเอาน้ำใส่ขวดไปเทใส่แก้วกระดาษขายช็อตละ 30 บาท ปรากฏว่าขายดี ปกติท้องตลาดจะขายช็อตละ 70 บาท ไปขายมา 3 ครั้ง ได้กำไรครั้งละ 300 กว่าบาท (หัวเราะ) ก็ถือเป็นการลองตลาดคร่าวๆ ยังไม่ได้จริงจังมาก”

ประสบการณ์การนำผลผลิตจาก Or Health ไปทดลองตลาดจริง สำหรับกัน ถือเป็นภาพที่ห่างไกลจากตอนที่เริ่มทำโปรเจ็คต์มาก

“ความรู้สึกตอนทำครั้งแรกคืออยากเรียนจบไวๆ (ยิ้ม) จะได้ไม่ต้องเหนื่อยตอนปี 3 ปี 4 แต่พอได้ทำไปแล้วมันเริ่มมีประโยชน์ ก็รู้สึกว่ามันมีคุณค่าและความหมายที่จะทำ” กันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ไม่มีทางลัดสำหรับนวัตกร

แม้การเริ่มต้นโปรเจ็คต์จะปราศจากแรงบันดาลใจเชิงบวกมากนัก รวมไปถึงไม่มีองค์ความรู้รองรับในสิ่งที่กำลังจะทำ แต่การที่ทั้งกันและนุ๊กสามารถพัฒนาผลงาน Or Health มาจนถึงจุดที่สามารถใช้งานได้จริง ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอยู่เฉยๆ ปล่อยให้สภาพแวดล้อมของกระบวนการพัฒนาผลงานนำพาพวกเขาไปโดยไม่ได้ลงมือทำอะไรเพิ่มเติมกับตัวเอง 

กลับกัน หากนวัตกรคนอื่นๆ ต้องลงทุนลงแรงไปมากเท่าไรเพื่อให้ได้ผลงานออกมาชิ้นหนึ่ง กันและนุ๊กก็ต้องลงทุนลงแรงลงเวลาไม่ต่างกับนวัตกรคนอื่นๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแสวงหาความรู้ในสิ่งที่ไม่รู้ คือกระบวนการสำคัญที่ทั้งสองต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเป็น 2 เท่า

 “ความท้าทายที่สุดของการทำงานนี้ก็คือ ความรู้ของเรายังไม่เพียงพอ อย่างเรื่องการเขียนโค้ด การทำงานของเซนเซอร์ การเลือกวัสดุโครงสร้างต่างๆ โปรแกรมออกแบบโครงสร้าง แม้แต่เรื่องถ่าน ดิน เมล็ดพันธุ์ พูดง่ายๆ ก็คือต้องเรียนรู้ใหม่หมดทุกอย่างเลย (หัวเราะ)” 

และวิธีการได้มาซึ่งความรู้ของพวกเขาก็ตรงไปตรงมา นั่นคือแสวงหาจากผู้รู้ จากอาจารย์ รุ่นพี่ ผู้รู้เฉพาะทาง ทีมโค้ชโครงการต่อกล้าฯ รวมถึงการค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง

“ถ้าอยากรู้เรื่องถ่านหรือดินที่ใช้ปลูกเราก็ต้องไปที่ร้านต้นไม้ จากที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยปลูกอะไร ไม่เคยทำโครงสร้าง ไม่เคยออกแบบ (หัวเราะ) ก็ไปถามคนรู้จักในเฟซบุ๊คที่เป็นพวกสถาปัตย์หรือออกแบบภายในว่าจะออกแบบโครงสร้างยังไง ต้องเรียนรู้เรื่องวัสดุว่าต้องใช้อะไรถึงจะแข็งแรง หรือวัสดุเท่านี้ถ้าถึงความสูงเท่านี้จะแข็งแรงได้เท่าไหน รวมทั้งเรื่องความใหญ่ น้ำหนัก ความสูงของแต่ละชั้นด้วย ต้องศึกษาหมดเลย ซึ่งในภาพรวม ทีมโค้ชช่วยเยอะมาก ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ การตลาด อย่างเรื่องโครงสร้างตอนแรกผมออกแบบเป็นแนวนอน เขาก็แนะนำให้เป็นแบบคอนโด 4 ชั้น ซอฟต์แวร์เขาก็แนะนำการเพิ่มระบบควบคุม การตลาดก็แนะนำเรื่องเว็บไซต์หรือการหาลูกค้าว่าเราต้องทำไปเพื่อใคร กลุ่มเป้าหมายเราคือใคร” กันเล่าถึงกระบวนการเรียนรู้ของทีม

และแน่นอนว่าผู้รู้คือผู้ที่สนับสนุนความรู้ แต่คนลงมือทำนั้นก็คือตัวกันและนุ๊กเองที่ต่างต้องแบ่งเวลาจากการเรียนมาอดทนมุงานให้แล้วเสร็จ และการมุงานนั้นก็ไม่ใช่แค่การทำเพราะเป็นแค่โปรเจ็คต์จบการศึกษา แต่ทำเพื่อให้ใช้งานได้จริงในเชิงพาณิชย์

“เหนื่อยมาก (ลากเสียง) เพราะถ้าทำแค่โปรเจ็คต์จบก็แค่ให้จบๆ ไป แค่เครื่องติดใช้งานได้ ใช้ค่าประมาณเอา แต่ถ้าเราทำให้คนใช้งานได้จริง มันต้องเป๊ะทุกอย่าง เรื่องอุณหภูมิก็ไม่สามารถเฉลี่ยหรือเมคขึ้นมาได้ ยิ่งทำให้คนกินก็ต้องทำให้เป๊ะ คลาดเคลื่อนน้อยมาก ซึ่งแม้จะเหนื่อย แต่ก็ถือเป็นข้อดีของการทำงานนี้คือเราได้เปิดอีกมุมมองหนึ่ง ได้ไปในโลกของการเรียนรู้ เหมือนเราต้องทำโปรเจ็คต์ 2 รอบ ต้องพัฒนา ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น” 

และแม้ถึงวันนี้ผลงาน Or Health ยังคงมีเรื่องให้พัฒนาต่ออีกหลายแง่มุม แต่กันและนุ๊กก็พร้อมที่จะทำงานต่อไป และพร้อมส่งมอบงานต่อให้รุ่นน้องเมื่อถึงเวลาอันสมควร เพราะในวันนี้พวกเขาไม่ใช่คนเดิมที่รีบทำโปรเจ็คต์เพราะอยากจบเร็วๆ อีกต่อไป หากคือนวัตกรที่ทำงานหนักเพื่ออยากเห็นผลงานของตัวเองสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้มากที่สุด

“จะทำผลงานต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่อาจารย์อยากให้ทำ…เสียดายที่อาจารย์ไม่ได้เห็น”

กันกล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น

“เป็นสิ่งที่ดีที่ได้ทำงานสานต่อจากที่อาจารย์อยากให้ทำ เพราะอาจารย์ก็หวังว่าพวกเราจะทำได้ถึงจุดสูงสุด ก็ขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยชี้แนะ ยังไงก็จะทำต่อ” นุ๊กทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)AI21st Century skillsโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรผู้ประกอบการ(entrepreneurship)แพทย์

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    สามหนุ่มอาชีวะนักพัฒนา เจ้าของ WIMC อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningCharacter building
    เส้นด้ายฝ้ายขาวกับต้นงิ้ว จากห้องวิทย์เด็กๆ มัธยม ส่งให้ปู่ย่าทอต่อในชุมชน

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Unique Teacher
    ‘ครูฝ้าย’ ครูผู้ชักใยและชวนเด็กๆ ออกไปใช้ชีวิตนอกห้องเรียนด้วย PROJECT BASED LEARNING

    เรื่อง

‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักในการเรียนรู้ ประตูสู่การเรียนรู้ไม่รู้จบ
Learning Theory
25 November 2019

‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักในการเรียนรู้ ประตูสู่การเรียนรู้ไม่รู้จบ

เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

ถอดรหัสจากเกรต้า ธันเบิร์ก ทำไมเธอจึงลุกขึ้นมา act up และปลุกพลังมวลชนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องสิ่งแวดล้อมได้ทรงพลังขนาดนี้?

เหตุผลหนึ่งในนั้นก็เพราะเธอ(และเรา) รู้สึก เพราะมี passion กับมันอย่างลึกซึ้งและมากพอ และทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกับประเด็นการเรียนรู้ อย่างตัดไม่ขาด

ข้อเท็จจริงทางประสาทสมองยืนยันว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุดเกิดขึ้นเมื่อสมองซีกหน้าทั้งสองข้าง ทั้งส่วนความรู้สึกและการคิดวิเคราะห์ ทำงานพร้อมกัน

ไม่ต้องให้งานวิจัยบอกก็ได้ แต่เคยมั้ยที่เรารู้สึกกับอะไรมากๆ ก็อยากเข้าไปค้นคว้ากับมัน, มี passion กับมัน, สงสัยกับมัน, บ้าบอไปกับมัน, ล้มลุกคลุกคลานไปกับมัน และเป็นเจ้า ‘ความรู้สึก’ นี่เองที่ทำให้เรารู้สึกอยากเป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง อยากจะทำความรู้สึกกับมันโดยไม่ต้องมีใครบอก

ประเด็นนี้จริงจังขนาดที่ว่านำไปสู่การออกแบบการศึกษาทั่วโลกออกแบบสภาพแวดล้อมให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อย่างมีความรู้สึก เช่น การเรียนรู้แบบ STEAM ของฟินแลนด์, การสร้าง making space ในหลายประเทศเช่น สิงคโปร์, การใช้ design thinking ในการศึกษาเพื่อให้เด็กเข้าอกเข้าใจประเด็นนั้นอย่างลึกซึ้งแล้วจึงสร้างนวัตกรรมมาแก้ไขปัญหานั้น

เจ้าความรู้สึกนี่สำคัญนะ อย่าดึงมันออกจากการเรียนรู้เลย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักเพื่อการเรียนรู้ ให้การมาโรงเรียนไม่ใช่แค่เรียนไปวันๆ

Tags:

ความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สมองExperiential Learning Theory(ELT)STEAMเทคนิคการสอน

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • Social Issues
    เปิดเทอมใหม่ อย่าเพิ่งสอนวิชาการ เยียวยาเด็กและเพื่อนครูด้วยกันก่อน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    ‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักเพื่อการเรียนรู้ ให้การมาโรงเรียนไม่ใช่แค่เรียนไปวันๆ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    วิจารณ์ พานิช: ใช้ศิลปะและการเล่นกีฬากระตุ้นการเจริญงอกงามของสมองเด็ก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3
EF (executive function)
19 November 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เนื้อหาที่จะได้อ่านต่อไปนี้สรุปความจากคำบรรยายให้แก่คณะครูจำนวนประมาณ 500 คนที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ วันที่ 8 ตุลาคม 2562 ที่เมืองทองธานี จัดโดยสำนักพิมพ์แปลนฟอร์คิดส์ ซึ่งได้กรุณาช่วยทำสไลด์นิทานหลายเรื่องประกอบคำบรรยายทางวิชาการ

อ่านนิทานได้อะไร?

ความเดิมตอนที่แล้ว อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2: ประโยชน์ของการอ่านนิทาน ข้อ1-4

5. ตัวเอกพัฒนา (self esteem)

เด็กเกิดมาเพื่อพัฒนา (develop)

เด็กคนหนึ่งจะพัฒนาได้ต้องการองค์ประกอบสำคัญคือแม่ที่ไว้ใจได้ เหลียวหลังเมื่อไรก็ได้เห็น ในห้องนอนที่แม่กำลังนอนอ่านนิทานกับลูก ลูกกำลังสวมรอยเป็นตัวเอกผจญภัยไปในนิทาน เมื่อไรที่ตัวเอกพบอุปสรรคหรือเรื่องน่ากลัว เสียงแม่จะเป็นเครื่องปลอบประโลมว่าแม่ยังอยู่ และถ้าแม่เงียบไป ตัวเอกจะหยุดชะงัก หน้ากระดาษถูกพลิกค้างไว้ แล้วลูกจะเงยหน้าหันดูแม่ว่ายังอยู่หรือเปล่า

ส่วนใหญ่แม่หลับ ถ้าเป็นพ่ออ่าน หลับเร็วกว่า

แม่เป็นต้นแบบ (prototype) ของจักรวาล ว่าจักรวาลนั้นไว้ใจได้เหมือนแม่ที่ไว้ใจได้ คำสำคัญคือความไว้ใจ (trust) เป็นองค์ประกอบที่สองของการพัฒนา ถ้าโลกไม่น่าไว้ใจเด็กจะหยุดพัฒนาหรือพัฒนาล่าช้า

องค์ประกอบที่สามคือความสามารถที่จะรู้ว่าตนเองทำอะไรได้บ้าง เราเรียกว่า self-esteem ซึ่งอาจจะแปลว่าความรักตนเอง มั่นใจตนเอง ภูมิใจตนเองก็ได้ แต่คำนิยามที่ดีกว่าคือเด็กรู้ว่าเราทำอะไรได้บ้าง

ในชีวิตจริงเด็กสูญเสียเซลฟ์เอสตีมได้ด้วยเหตุสารพัด บ้านที่พ่อแม่ห้ามทุกเรื่อง ตำหนิบ่อยๆ หรือโรงเรียนที่คอยพูดว่าเด็กช้า รั้งท้าย ที่โหล่ แต่ในหนังสือนิทานที่เขากำลังสวมรอยตัวเอกเขาสามารถไปได้ในโลกใหม่โดยง่าย พัฒนาตนเองไปตามตัวเอกที่ผจญภัย ฝ่าฟันอุปสรรค สู้พ่อ (มด) แม่ (มด) หรือเหล่า (ครู) ร้าย เด็กไม่มีเพื่อนได้มีเพื่อนในนิทาน เด็กไม่มีพ่อแม่ได้มีพ่อแม่ในนิทาน เด็กที่ถูกขังทั้งวันได้หนีออกจากที่คุมขังในนิทาน เหล่านี้ช่วยให้ตัวตนสามารถพัฒนาไปข้างหน้า

6. วัตถุมีอยู่จริง (object constancy)

วัตถุมีอยู่จริงเรียกว่า object constancy ตอนทารกเกิดใหม่ แม่หายไปจากสายตาคือหายไปจากจักรวาล วัตถุอื่นๆ ก็เช่นกัน จนถึงวันที่เขารู้ว่าแม่มีจริง แม้หายไปจากสายตาก็มิได้หายไปจริงๆ เมื่อนั้นวัตถุอื่นจึงจะมีอยู่จริงตามมา แม่เป็นต้นแบบของการสร้างวัตถุอื่นๆ

บนหน้ากระดาษนิทานมีวัตถุมากมาย วัตถุนั้นมิได้อยู่บนแผ่นกระดาษ วัตถุบนแผ่นกระดาษอยู่ในโลกนิทานรอบตัวเอกซึ่งกำลังผจญภัย หน้าต่อหน้า แผ่นต่อแผ่น วัตถุหนึ่งข้ามจากหน้าหนึ่งไปปรากฏที่อีกหน้าหนึ่งเสมอ ช่องว่างระหว่างหน้าที่หายไป (gap) คือบริเวณที่ว่างเปล่า (space) ที่เด็กจะต้องเติมวัตถุลงไปอยู่เรื่อยๆ วัตถุจึงมีอยู่จริง

7. คนอื่นที่มีอยู่จริง

วัตถุเป็นคำรวมๆ เรียกว่า object กินความรวมถึงผู้คนและสรรพสิ่ง คือสัตว์ ต้นไม้ ดอกไม้ ภูเขา ก้อนหิน ลำธาร เครื่องเรือน เครื่องใช้ สารพัดที่จะปรากฏในนิทาน

กล่าวเฉพาะผู้คน ผู้คนมิได้มีอยู่จริงจนกว่าสายสัมพันธ์ (attachment) กับแม่จะแข็งแรงมากพอ เมื่อสายสัมพันธ์มีมากพอและแข็งแรงพอ ทั้งล้นเหลือและทอดออกไปห่างจากร่างกายแม่ได้เป็นระยะทางไกล สายสัมพันธ์ที่มากพอนั้นจึงมีเหลือเฟือให้เด็กใช้ในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนและสรรพสิ่ง เรียกว่า object relation

ในหน้านิทาน ช่วงสั้นๆ เพียงครึ่งชั่วโมงก่อนเข้านอน คือช่วงเวลาที่พ่อแม่ไม่ไปไหน วางมือถือและอ่านนิทานด้วยกัน เวลาสั้นๆ นั้นเองที่สายสัมพันธ์มีปริมาณมากมาย เหมือนกัมมันตรังสีที่มีพลังล้นเหลือ พลังนั้นไม่จ่ายไปไหนเพราะมือถือได้ถูกวางแล้ว ไม่มีอะไรให้พ่อแม่วอกแวก พลังงานของสายสัมพันธ์จ่ายให้แก่ลูกเพียงคนเดียว หรือถ้ามีลูกหลายคนก็จ่ายไปตามลำดับความสำคัญของพี่คนโตไปจนถึงน้องคนสุดท้องตามลำดับ อย่าลืมว่าทุกคนอยู่ในนิทาน

พลังงานสายสัมพันธ์ที่ล้นเหลือจะมีพอแจกจ่ายให้แก่ตัวละครทุกๆ ตัวในนิทาน

8. ปฏิสัมพันธ์ (interaction)

โลกเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์

หากทารกหรือเด็กเล็กนอนนิ่งในห้องปฏิบัติการที่ไร้สิ่งเร้า โลกจะไม่เกิดขึ้นเหตุเพราะโลกเงียบเกินไป ทารกไม่ปฏิสัมพันธ์กับโลกที่เงียบ ลูกลิงที่ดูดกินนมจากหุ่นลิงจึงไม่โตเพราะหุ่นลิงแข็งกระด้างนั่งเฉยอยู่เช่นนั้น แม่ที่เฉยเป็นหุ่นก็เช่นกัน ลูกลิงที่ดูดนมจากแม่ลิงจริงๆ จึงเติบโตได้เพราะไม่เพียงแม่มีอยู่จริง แต่โลกมีอยู่จริงด้วย อวกาศขยายตัวออกจากร่างกายของตนเองกลายเป็นโลกใบใหญ่ที่ร่างกายของตนเองสามารถขยายตาม

แม่ลิงมีปฏิสัมพันธ์กับลูก แม่คนก็ควรทำเช่นนั้น

ในหน้านิทาน ลูกกำลังสวมรอยตัวเอก แล้วมีปฏิสัมพันธ์กับก้อนหินดินน้ำ ต้นไม้ใบหญ้า ท้องฟ้าดวงดาว เช่นนี้โลกเกิดขึ้นได้เพราะทุกประการล้วนมีชีวิต นิทานนั้นมีตัวละครหลากหลาย เช่น สัตว์ที่พูดได้ หรือคนที่พูดได้ ตัวเอกมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครเท่ากับสร้างโลกขึ้นมา มันคือโลกนิทานที่อยู่ในหน้ากระดาษ และเด็กๆ มิใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นตัวเอกที่เดินไปในโลกนิทานและพูดคุยกับสรรพสิ่งทั้งสัตว์และคน

โลกในห้องนอนครอบโลกในนิทานไว้ชั้นหนึ่ง พ่อแม่ที่นอนข้างๆ มีอยู่จริงเสมอ อ่านนิทานไปเรื่อยๆ ไม่หยุดยั้ง รอยต่อระหว่างสองโลกจึงจะบังเกิดขึ้น เด็กๆ ผลุบเข้าออกระหว่างสองโลกอยู่ตลอดเวลา

หน้ากระดาษ 1 หน้า คือโลก

ตอนต่อไป สร้างโลก

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน ของคุณหมอเรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน
อ่าน เล่น ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมากของ ‘นิทานก่อนนอน’
อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน–สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน–สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)นิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน : สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ของ ‘นิทานก่อนนอน’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Let Them Theory: ปล่อยคนอื่นไปตามทางของเขา แล้วหันกลับมาดูแลสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตคือตัวเราเอง
  • The Anxious Generation EP3: เมื่อการเลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ ต้องแลกมากับสมองและพัฒนาการของเด็กที่เปลี่ยนไปตลอดกาล
  • Alpha Generation EP.10 สายสัมพันธ์วันนี้ กำหนดสายสัมพันธ์ในอนาคต ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่พ่อแม่ของลูกได้
  • ‘เรียนวิทย์ให้เวิร์ก’ กับโครงงานที่เด็กออกแบบเอง: กะทิ – เจได เจ้าของเหรียญทองแดง GENIUS Olympiad 2025
  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel