Skip to content
Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    RelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the trauma
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)

Year: 2019

ออกไปเรียนรู้ อย่าอยู่แค่ในห้องเรียน
Creative learning
8 May 2019

ออกไปเรียนรู้ อย่าอยู่แค่ในห้องเรียน

เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

สิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ที่แท้จริงคืออะไร ?

บางครั้ง ‘ห้องเรียน’ ก็ไม่ใช่คำตอบเดียวและคำตอบสุดท้ายสำหรับการเรียนรู้ เพราะ ‘การเรียนรู้’ เกิดได้ทุกที ทุกเวลา ไม่อยู่เพียงแค่ในตำราเท่านั้น

สิ่งที่เราจะต้องทำคือช่วยให้เด็กมีความสามารถและพร้อมเรียนรู้ได้ในทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวพวกเขาเป็นครูผู้มอบบทเรียนอันล้ำค่าให้ โดยเป้าหมายของการเรียนรู้ คือข้อมูล ความสัมพันธ์ ประสบการณ์ ทักษะ ตลอดจนความล้มเหลว ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพราะในชีวิตมนุษย์ทุกคนย่อมต้องผ่านและเผชิญหน้ากับมัน

Tags:

Creative Deschooling

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Kru Jo
    Social Issues
    จากครูปกครองสุดเฮี้ยบที่ผลักเด็กจากระบบการศึกษา สู่ครูนางฟ้าที่สื่อสารด้วยหัวใจ: ครูโจ-วิฑูลย์ แซมสีม่วง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Kru Lisa
    Social Issues
    “การเป็นครูแปลว่าต้องดูแลเด็กตั้งแต่จิตใจ” ครูลีซ่า-นูริทรา แปแนะ ครูนางฟ้าที่ใช้การสื่อสารเชิงบวก รับฟังและอยู่เคียงข้าง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    Cultural Ecology(1): เครื่องมือทางศิลปะที่จับมือชุมชน เสนอศิลปะดั้งเดิมในเงื่อนไขใหม่ สร้างคนลูกผสมที่มี critical mind

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    คนไม่มีความรู้=คนไม่มีอำนาจ?

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘นิ้วกลม’ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์: ถ้าประเทศนี้…ไม่มีโรงเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ
SpaceCreative learning
8 May 2019

โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • บทความภาคต่อจากโรงเรียนธรรมชาติโดย เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ครูสอนธรรมชาติศึกษา ที่สอนเรื่องเล็กๆ ในธรรมชาติ หวังให้เด็กๆ ได้เติบโตไปพร้อมๆ กับความเข้าใจเรื่องธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
  • “น้อยมากที่เด็กรุ่นใหม่จะออกห่างหรือ ‘ขาด’ จากสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ เรียกได้ว่าพวกเขาอยู่กับมันจนเคยชินไปแล้ว ทำให้เราไม่ค่อยได้สนใจทักษะความสามารถอื่นๆ ในการดำรงชีพประจำวัน”
  • รู้ชีวิต ที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ / รู้ธรรมชาติ ที่ขาดร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้า / รู้จิตใจ ที่มองเห็นธรรมชาติด้วยใจ 3 เป้าหมายที่ครูเกรียงต้องการให้เกิดขึ้นจริงกับเด็กๆ 

รู้ธรรมชาติ รู้ชีวิต รู้จิตใจ 

สามด้านที่ผมตั้งเป้าหมายการเรียนการสอนที่ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติบ้านนา (Banna Nature School หรือ BNS) ผู้ปกครองที่เพิ่งรู้จักอาจจะเห็นว่าเราเน้นที่สาระเรื่องธรรมชาติเป็นหลัก แน่นอน นั่นเป็นหัวใจหลักในเชิงรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุด แต่ถ้าบ้านไหนติดตาม BNS ไปยาวๆ จะเห็นว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่ง ‘ครอบครัว’ ที่ทีมครู BNS ไม่ได้เป็นแค่ครู เรายังเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นลุง เป็นน้า เป็นอา (หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นพ่อ เป็นแม่) ของเด็กๆ

ผมอยากให้เป็นบรรยากาศที่เอื้ออาทรแบบคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่ส่งลูกมาเรียนเพียงอย่างเดียว เราอยากให้เรียนกันทั้งครอบครัว พี่มาเรียน น้องมาเล่น พ่อแม่ผู้ปกครองมาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนการดูแลลูกร่วมกัน เด็กๆ ได้มีโอกาสปรับตัวกับเพื่อนใหม่ๆ ร่วมกัน ผ่านการเล่นในชั่วโมงเล่น (ซึ่งถือว่าเป็นการเรียนแบบหนึ่ง) เล่นกลุ่มใหญ่บ้าง แบ่งเป็นกลุ่มย่อยบ้าง มีการทะเลาะกันบ้าง โกรธกันบ้าง ขอโทษกันบ้าง ช่วยเหลือกัน เป็นการเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นประเด็นหลักของเนื้อหาสาระเรื่องธรรมชาติด้วย (ว่าด้วยความสัมพันธ์กันในชีวิตธรรมชาติ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ได้เพียงลำพังในธรรมชาติ) นี่คือการ ‘รู้ชีวิต’ ในเบื้องต้น

รู้ชีวิต (ที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ)

เนื้อหาสาระของวิชาเรียน ‘รู้ธรรมชาติ’ ที่ผมกำหนดขึ้นเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองเข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่อีกมุมหนึ่งผมอยากพัฒนาศักยภาพของเด็กในยุคปัจจุบันที่เกิดและเติบโตมาพร้อมด้วยสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

น้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่เด็กเหล่านี้จะ ‘ขาด’ จากสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ เรียกได้ว่าพวกเขาอยู่กับมันจนเคยชินไปแล้ว ทำให้เราไม่ค่อยได้สนใจทักษะความสามารถอื่นๆ ในการดำรงชีพประจำวัน

ทุกคนตื่นเช้ามาเปิดก๊อกน้ำล้างหน้าแปรงฟัน เสียบปลั๊กหม้อหุงข้าว ไมโครเวฟ กาน้ำร้อน เตาไฟฟ้า มีชีวิตวนเวียนอยู่กับ สวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ เป็นหลัก พ่อแม่เองก็อาจจะหลงลืมไปว่าเราจะต้องให้ลูกๆ เรียนรู้ชีวิตที่ไม่มี สวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำบ้าง เพื่อให้สัญชาตญาณของเด็กๆ ได้ตื่นตัว เพราะ สวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำอาจจะไม่ได้อยู่กับเราในวันใดวันหนึ่ง เราก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้ โดยไม่โวยวายบ้านแตก

BNS จึงเปิดชั้นเรียน ‘เป็น-อยู่-คือ’ ให้เด็กๆ ได้ลองฝึกเบื้องต้น ในการใช้ชีวิตแบบไม่มีสวิตช์และปลั๊กไฟดูบ้าง เราจะกินจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีมัน เริ่มตั้งแต่ก่อไฟ หุงข้าว ทำกับข้าว มีเตาเป็นก้อนหินสามก้อนเท่านั้นกับไม้ฟืนอีกกองหนึ่ง กลางคืนอยู่ด้วยแสงไฟริบหรี่ อาบน้ำเย็นๆ จากลำห้วย

อาหารที่เด็กๆ ทำเอง กินเอง รสชาติอาจจะแย่ในครั้งแรกที่กิน แต่ก็ต้องกิน และบางคนก็กินด้วยความอร่อย อร่อยเพราะภูมิใจที่พวกเขาปรุงมันขึ้นมาเองกับมือ มีการตัดสินใจร่วมกันในกลุ่ม แม้จะไม่เห็นด้วยก็ต้องยอมรับเสียงส่วนใหญ่ แม้จะไม่ชอบใจในรสชาติฝีมือเพื่อน ก็ต้องกิน เพราะไม่มีอาหารสำรอง ก็ฝึกให้กินง่ายขึ้น เพื่อให้อิ่มท้องต่อชีวิตไปอีกวันหนึ่ง

สำหรับเด็กในวัย 6-10 ขวบ การฝึกเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และง่ายด้วยซ้ำที่พวกเขายังไม่ได้ ‘ติดกลิ่น-ติดรสชาติ’ มากนัก ยังสามารถปรับได้ และการได้ทดลองทำอะไรแบบนี้มันก็เหมือนกับการเล่นมากกว่าที่พวกเขาจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังฝึกทักษะของการใช้ชีวิตอยู่ และได้ ‘รู้ชีวิต’ ขึ้นมาโดยปริยายว่าถ้าไม่มี สวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ พวกเขาพอจะเดาได้ว่าจะปรับตัวใช้ชีวิตอย่างไร

อีกมุมหนึ่งเรื่องการอยู่ง่าย กินง่าย ก็จะสามารถเข้าไปเรียนรู้เรื่องราวของธรรมชาติได้ง่ายขึ้น หลายสถานที่ไม่ได้มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากนัก จะได้ไม่เป็นข้อจำกัดเมื่อต้องเข้าไปยังพื้นที่อื่นๆ

นี่เป็นเบื้องต้นเท่านั้น เรายังมีการฝึกที่หนักขึ้นไปอีกขั้นสำหรับนักเรียนในวัย 8 ขวบขึ้นไป นั่นคือการไปใช้ชีวิตเกือบเสมือนจริง ทั้งการเข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ เรานอนเต็นท์กันบนลานดิน ลานหิน ก่อไฟหุงข้าว จับปลาจากลำห้วยมาทำกินกัน ต้องเดินกันไปด้วยสองเท้าของตัวเองไปกลับเกือบ 20 กม.

หรือการไปเป็นชาวประมง (วิชาลูกทะเล) ที่หาปลา หาหอย หาหมึก มาทำกินเอง รู้จักการใช้อุปกรณ์เครื่องมือในการจับสัตว์น้ำ อยู่ชายทะเลจะหาน้ำจืดได้อย่างไร รู้จักลม รู้จักน้ำ นี่คือการเรียนรู้ควบคู่กับการลงมือทำจริงจากสถานการณ์จริง วันนี้คลื่นลมแรงออกเรือหาปลาไม่ได้ เราจะหากินแถวชายฝั่งแบบไหนได้บ้าง ตรงไหนมีปลา ตรงไหนมีหอย จะจับมันมาได้อย่างไร

รู้ธรรมชาติ (ที่ขาดร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้า)

ไหนบอกว่า BNS สอนเรื่องธรรมชาติ?

ไม่ผิดครับ นี่ก็คือการเรียนรู้จากธรรมชาติในรูปแบบหนึ่ง ชีวิตคนเราก็ต้องกิน และหากินแบบง่ายๆ ด้วยการสังเกตธรรมชาติเป็นเบื้องต้น ถ้าเราไม่ต้องเข้าร้านสะดวกซื้อ ไม่ไปห้างสรรพสินค้า เราจะยังมีชีวิตอยู่ได้ไหม นี่คือพื้นฐานของชีวิต ที่ร้านสะดวกซื้อไม่ได้เป็นหมุดหมายสำคัญแต่อย่างใด

เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวของเราเองกับทรัพยากรธรรมชาติ และการหากินที่ง่ายที่สุด เด็กได้รู้จักความสามารถของตัวเอง ได้รู้จักการทำงานเป็นทีม เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน ช่วยเหลือ แบบไม่ต้องท่องจำ ไม่ต้องพร่ำสอน แต่ให้เด็กพร่ำทำตามสถานการณ์ และทุกเรื่องที่เด็กกำลังทำ ไม่ใช่ ‘งาน’ ไม่ใช่ ‘เรียน’ แต่พวกเขากำลังเล่น มีสนุกบ้าง เบื่อบ้าง อยากหยุดบ้าง อยากทำต่อบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ครูก็ต้องยืดหยุ่นปรับแผน ปรับกระบวนไปตามสถานการณ์

รู้จิตใจ (ที่มองเห็นธรรมชาติด้วยใจ)

เรื่องจิตใจเป็นเรื่องบอบบาง และเด็กแต่ละคนมาจากบ้านที่แตกต่างกัน ผ่านการอบรมเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน บางคนแกร่ง บางคนเปราะบาง เมื่อมาอยู่รวมกันย่อมมีเรื่องกวนใจกันบ้าง นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องสำคัญที่ BNS กำลังพุ่งเป้าไปก็คือการ “มองเห็นธรรมชาติด้วยใจ” เรื่องนี้ผมไม่ได้สอน แต่ให้เด็กๆ ได้สัมผัสผ่านขบวนการเรียนรู้ในเรื่องอื่นๆ เช่น เมื่อเราไปเดินป่า นอกจากจะเรียนรู้ในเรื่องของธรรมชาติที่เป็นรูปธรรมแล้ว ในช่วงพักเหนื่อย เราจะนั่งมองป่า มองชีวิตในธรรมชาติ ฟังเสียงต่างๆ ที่อยู่รายรอบตัว เอนตัวลงนอนบนพื้นป่า แหงนหน้ามองเรือนยอดไม้สูงลิบลิ่ว

“ถ้าเราได้คุยกับต้นไม้ เราอยากจะถามอะไร”

“ทำไมสูงจัง”

“กินข้าวหรือยัง”

“ข้างบนหนาวไหม”

“มีใครอยู่บนนั้นบ้าง”

“อายุเท่าไหร่แล้ว”

“สบายดีไหม”

ฯลฯ

เป็นคำถามง่ายๆ ที่เด็กๆ อยากถามต้นไม้ และชวนเงี่ยหูรอฟังคำตอบ

“คุณลุงต้นไม้ตอบว่า ลุงแก่แล้ว…”

“คุณตาต้นไม้บอกว่า กลับมาอีกนะ…”

“ข้างบนนั้นลมแรงมาก แต่มีแดดเยอะดี…”

“คุณตาต้นไม้ชวนไปนั่งเล่นบนนั้น…”

น้ำเสียงจากคำพูดคุยของเด็กๆ เต็มไปด้วยความสุข ความสนุกกับการได้พูดคุยกับต้นไม้ มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องเล่นๆ จากจินตนาการ แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นเรื่องที่เด็กๆ เริ่ม ‘อิน’ กับความเป็นธรรมชาติของแท้ ที่ไม่ได้มีกรอบของความรู้จากรูปธรรมมากำหนด

วันหนึ่งผมได้พาเด็ก 8-9 ขวบกลุ่มหนึ่งเดินเท้าเข้าป่าเขาใหญ่ เพื่อเข้าไปเยี่ยมเยียนคุณปู่สมพง ซึ่งเด็กกลุ่มนี้เรามากันอย่างน้อยปีละครั้ง ปู่สมพงเป็นต้นไม้ใหญ่ที่รากพูพอนแผ่กว้างมากกว่า 20 เมตร เป็นความใหญ่โตอลังการของต้นไม้ในป่าที่เด็กๆ สัมผัสได้ วันนั้นผมชี้ให้พวกเขาดูว่ามีต้นไทรขึ้นเกาะเกี่ยวบนลำต้นของต้นสมพง ซึ่งรากต้นไทรกำลังขยายตัวบีบรัดต้นสมพงอยู่

“ปู่สมพงน่าจะอยู่กับเราอีกไม่นานแล้ว” ผมบอกเด็กๆ

“เราจะทำยังไงกันดีครับ… เราช่วยกันตัดต้นไทรออกได้ไหมครับ” ม่อนแสดงความเห็น หลังจากยืนแหงนหน้ามองนิ่งๆ อยู่พักใหญ่

“คงไม่ได้หรอก… นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติที่เขาจะดูแลและจัดการกันเอง”

ม่อนน้ำตาซึม ทำเอาเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างๆ อีกหลายคนเศร้าไปด้วย

“งั้นเราเอาน้ำให้คุณปู่กัน” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น และพร้อมใจกันเปิดขวดน้ำดื่มของตัวเองเทลงบนพื้นดินโคนต้นสมพงจนหมดขวด

“เฮ้ย… เราต้องเดินอีกไกลนะ กว่าจะออกจากเส้นทางได้ น้ำไม่มีแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ ผมยอมอดน้ำ”

เล่นเอาผมน้ำตาซึมไปด้วยครับ ผมไม่เคยสอนเรื่องนี้ ไม่เคยแนะนำให้ทำแบบนี้ แต่ขบวนการเรียนรู้เรื่องธรรมชาติที่ผ่านมากับการมาเยี่ยมเยียนต้นสมพงยักษ์ที่เราให้ชื่อว่า ‘ปู่สมพง’ ที่ไม่ได้เป็นแค่ต้นไม้ต้นหนึ่ง แต่นี่คือญาติผู้ใหญ่ของพวกเราทุกคน เรามาเยี่ยม เรามาไหว้คารวะ ด้วยความรู้สึกที่เป็นชีวิต

ผมคิดว่าเรื่องนี้จะ install เข้าไปสู่จิตใจเบื้องลึกของพวกเขาแล้ว และไม่มีวันที่จะ uninstall ออกไปจากจิตใจได้ง่ายๆ

Tags:

เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์เข้าป่าสิ่งแวดล้อมeco literacyโรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)โรงเรียนธรรมชาติ

Author:

illustrator

เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ‘วิชาลูกทะเล’ ฝึกเด็กๆ ให้ฟังปลาและหากิน

    เรื่องและภาพ เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • Creative learning
    ไม่อย่า ไม่ห้าม ในห้องเรียนท้องฟ้ากับวิชาต้นไม้

    เรื่องและภาพ BONALISA SMILE

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    พัฒนาการ 8 ด้าน จากการออกไปเรียนใกล้ๆ ธรรมชาติ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์: การเรียนรู้คือเนื้อตัว คือการเดินทางที่คนอื่นไปแทนไม่ได้
Creative learning
7 May 2019

นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์: การเรียนรู้คือเนื้อตัว คือการเดินทางที่คนอื่นไปแทนไม่ได้

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • สำหรับคุณหมอโกมาตร การแยกการเรียนออกจากการเรียนรู้ คือสิ่งที่ผิดพลาด
  • จบแพทยศาสตร์บัณฑิต แล้วบินไปศึกษาต่อปริญญาเอกด้านมานุษยวิทยา แต่คุณหมอไม่อายที่จะรำผีฟ้าเพื่อรักษาชาวบ้าน เพราะเชื่อว่านี่เป็นการรักษาตามระบบทฤษฎีโรคในหมวดความเชื่อพื้นบ้าน
  • นั่นเพราะคุณหมอเข้าใจในความเป็นมนุษย์ ที่เป็นส่วนผสมอันลงตัวระหว่างการเรียนและการเรียนรู้ จนหลอมรวมเป็นเนื้อตัว เป็นการเดินทางของเราที่คนอื่นเดินแทนไม่ได้
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

เพราะ ‘ความรู้’ ใหม่ๆ ที่มากขึ้นตามกาลเวลา ทำให้คนรุ่นใหม่ แยกความหมายของคำว่า ‘เรียน’ กับ ‘เรียนรู้’ ออกจากกันอย่างเด็ดขาด

ในทัศนะของ นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กลับคิดว่า การแยกการเรียนออกจากการเรียนรู้ คือสิ่งที่ผิดพลาด

“มันมีอคติบางอย่างของการเรียนรู้สมัยใหม่ เรามักจะพูดกันว่าเรียนรู้แบบท่องจำหรือเรียนรู้แบบก๊อปปี้มันจะมีคุณค่าอะไร เพราะมันก็มีความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามา ความรู้ชุดเก่าก็ถูกพิสูจน์ว่ามันอาจจะไม่ใช่”

คุณหมอยืนยันว่าเราจำเป็นต้องตั้งคำถามกับความคิดความเชื่อชุดนี้ อาจจะไม่ใช่เพื่อหักล้าง หรือเพื่อหาว่าฝั่งไหนชนะ เพราะด้วยชีวิตและประสบการณ์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ของคุณหมอ ประกอบขึ้นทั้งจากการเรียนและเรียนรู้

แพทยศาสตร์บัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ไปศึกษาต่อปริญญาเอกสาขามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอย่างคุณหมอ ยอมรับว่า ถึงจะเรียนแพทยศาสตร์มาตั้งแต่จบมัธยมปลาย แต่ความรู้สึกพร้อมที่จะเป็นแพทย์มากที่สุด กลับปรากฏต่อเมื่ออายุ 40 ปลายๆ เข้าไปแล้ว

อาจพูดได้ว่า เพราะตอนนั้นคุณหมอมี ‘ความเข้าใจในความเป็นมนุษย์’ ซึ่งสั่งสมมาจากการเรียนและการเรียนรู้ จนหลอมรวมเป็นเนื้อเป็นตัว และเป็นการเดินทางที่คนอื่นจะมาเดินแทนไม่ได้

คุณหมอเคยอธิบายว่า พื้นฐานของมนุษย์มีอยู่ 3 อย่าง 1.ถูกจดจำ 2.ได้รับการให้อภัย และ 3.ทำให้ชีวิตมีความหมาย

ความต้องการ 3 อย่างนี้เป็นประสบการณ์ของผู้ชายคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน เขาทำงานช่วยชีวิตคน ซึ่งมักเสียชีวิต เขาได้เจอคนที่กำลังจะตายหรือมีโอกาสเสียชีวิตสูงเยอะ ผู้ชายคนนี้รู้สึกว่าการบอกคนที่กำลังจะตาย ว่า ตาย ทำให้คนคนนั้นยิ่งกลัวหนักเข้าไปอีก เขาเลยหลีกเลี่ยง บอกแต่ว่าไม่เป็นไร หมอจัดการได้ แต่ไม่นานคนพวกนั้นก็ตาย

จนวันหนึ่งเขาไปเจอเด็กประสบอุบัติเหตุ อายุ 22 ประสบอุบัติเหตุตอนขับมอเตอร์ไซค์ เด็กถามเขาว่าจะตายไหม ไม่รู้ด้วยสัญชาตญาณหรือว่าอะไร ผู้ชายคนนี้บอกไปว่า คุณอาจจะไม่รอด เด็กคนนั้นก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยไปจัดการสิ่งที่ผมต้องการให้หน่อย ผู้ชายคนนี้ก็ทึ่งในความไม่ตื่นกลัว มีสติของเด็ก

ตั้งแต่นั้นมาเขาจึงตัดสินใจบอกคนที่ประสบอุบัติเหตุว่าคุณมีโอกาสเสียชีวิต ถ้าคุณใกล้เสียชีวิตคุณอยากทำอะไร คุยกับคนเป็นร้อยๆ คน ไม่เกี่ยงเชื้อชาติ ภาษา การศึกษา คนรวย คนจน ส่วนใหญ่จะตกมาที่ความต้องการ 3 ประการ ก่อนตาย

หนึ่ง ต้องการได้รับการให้อภัย คนอยู่ในสังคม ต้องเคยทำอะไรผิดพลาด ละเมิดคนอื่น ทำให้คนอื่นเสียใจ หรือเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ใส่ใจคนอื่น โดยเฉพาะคนรัก คนใกล้ชิด พ่อแม่ ลูก ภรรยา สามี เราจะมีเรื่องรู้สึกผิดอยู่ในใจติดตัวมาก ทุกคนจึงอยากได้รับการให้อภัย

สอง ถูกจดจำ เป็นธรรมดาที่เราอยากถูกจดจำในเรื่องที่ดีๆ แม่ที่ใกล้เสียชีวิต มักบอกลูกว่า เรื่องที่แม่เคยทำผิดอะไรมาขอให้รู้ว่าแม่รักเขาก็พอ

สาม อยากให้ ชีวิตที่ผ่านมา ได้ทำอะไรที่มีความหมาย ไม่ปล่อยปละละเลยชีวิต ไม่เหลวไหลไปวันๆ แม้จะเป็นแกงสเตอร์ หรือเด็กแว้น ถึงเวลาจริงๆ เขาก็อยากถามว่า การใช้ชีวิตที่ผ่านมา มันยังมีคุณค่าอยู่ใช่ไหม การทำเรื่องนั้น เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ดีใช่ไหม

สามเรื่องนี้เป็นคำถามที่ไม่ใช่มีใครสามารถตอบและถามแทนคุณได้ หรือเป็นคำถามในวันที่คุณนอนอยู่บนเตียงใกล้จะตาย รู้สึกว่าจะไม่มีชีวิตรอด และคุณก็จะต้องตอบสามเรื่องนี้ให้ได้

จะดีกว่าไหมถ้าสามข้อนี้ถูกเอามาใช้คิดในการดำเนินชีวิตของเรา มากกว่าที่จะไปนั่งตอบในวาระสุดท้ายของชีวิต

ก่อนจะตอบสามข้อนี้ได้ต้องเข้าใจความเป็นมนุษย์ก่อน?

ทั้งสามข้อนี้มันสะท้อนว่าลึกๆ แล้วความเป็นมนุษย์ของเรามันอยู่ตรงไหน ในเวลาที่เราเผชิญกับสถานการณ์ที่เราเรียกว่าวาระสุดท้าย เรื่องราวไร้สาระทั้งหลายมันถูกลอกถูกร่อนออกไปหมด มันไม่มาห่วงว่าเรา ขาว ดำ ผอม หน้าเรียวหรือเปล่า เราไม่ได้ห่วงเรื่องเกียรติยศ ชื่อเสียง หน้าตา หรือสมบัติอะไรแล้วเพราะเรื่องพวกนี้ถูกลอกออกไปหมด แต่สิ่งที่เป็นแก่นหรือเป็นแกนของมนุษย์เป็นสิ่งที่เราแคร์ ที่เรารู้สึกว่าอันนี้คือสาระสำคัญของการมีชีวิตอยู่

โดยส่วนตัวคุณหมอ คำว่าเรียนและเรียนรู้มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

ผมอยากตีความว่าการเรียนอาจจะอาศัยความรู้ที่คนอื่นเขาสะสมมา แล้วเราก็ไปเรียน

ส่วนการเรียนรู้มันเป็นเนื้อเป็นตัวของเรามากกว่า เป็นการเดินทางของเราเองที่จะให้คนอื่นมาเดินแทนไม่ได้ คนอื่นอาจจะเคยได้บทเรียนแบบนี้ในชีวิตของเขา แต่เราไม่รู้สึกรู้สมไปกับสิ่งที่เขาได้เรียนรู้หรอก ถ้าตัวเราเองไม่ได้เรียนรู้เอง

ยกตัวอย่าง สตีฟ จอบส์ ที่สนใจอ่านหนังสือเรื่องเซน หรือเรื่องความตาย เขาคิดว่าตัวเองได้อ่านได้เรียนเรื่องแบบนี้ รวมถึงเรื่องการเผชิญความตายมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่ในวันที่เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งในตับอ่อน และมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงหกเดือน เขาก็บอกว่า ทำไมไม่เหมือนกับที่เรียนหรือที่อ่านมาก่อนหน้านี้ มันทำให้เขาลุกขึ้นมาตอนเช้าแล้วถามตัวเองว่า เรื่องที่ทำอยู่นี้มันใช่เรื่องที่ควรเสียเวลาทำไหม ถ้าคำตอบคือไม่ใช่ มันก็ควรจะเลิกทำแล้วหันไปทำอย่างอื่นได้แล้ว

เรื่องพวกนี้มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราเรียนจากการจำที่คนอื่นเขาบอกมา แต่เป็นเนื้อเป็นตัวของเราเอง ซึ่งการเรียนและการเรียนรู้อาจจะต่างกันอย่างนี้มั้ง

สำหรับผมรู้สึกว่าเวลาเราเรียนรู้ มันเหมือนกับเป็นการเดินทางสองเส้นทางต่อกัน เส้นทางภายนอกก็เรียนไป โลกมีอะไรให้เรารู้ ความรู้อื่นที่เขาสะสมมา เราทำราวกับว่ามันเป็นสุญญากาศไม่ได้ ทุกเรื่องที่เราเรียนเรารู้เป็นเรื่องใหม่หมดหรือเปล่า มันก็ไม่จริง มันก็มีภูมิปัญญาสะสมมาอยู่ตลอดในประวัติศาสตร์ของภูมิปัญญามนุษย์ แต่ขณะเดียวกันก็มีการเดินทางอีกอันหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครมาเดินแทนเราได้ ถ้าเราใช้ความรู้ของคนอื่นมันก็ได้ในระดับหนึ่ง แต่นี่คือการเดินทางของตัวเองซึ่งเรียกว่าการเรียนรู้ภายใน

เช่น ทำไมประชาธิปไตยบ้านเรามันจะมีแต่ความลุ่มๆ ดอนๆ เราก็ไปหาความรู้มา แต่ความรู้ทั้งหมดนั้นมันจะมีความหมายอย่างไรกับตัวเราเอง ต้องมีการทำงานอีกรอบหนึ่ง อันนี้ผมคิดว่าเป็นความสำคัญของการเรียนรู้

ในสังคมปัจจุบันเราจำเป็นต้องไปเรียนก่อนหรือเปล่าถึงจะออกไปเรียนรู้ หมายความว่าเรียนก่อนเพื่อให้รู้ว่าเราขาดอะไรจะได้ไปเรียนรู้เพิ่มเติม ในสิ่งที่เราอยากรู้จริงๆ

อันนี้ผมไม่ค่อยจะคิดอย่างนั้นนะ ผมรู้สึกว่าการแยกออกเป็นสองอันมันเป็นการแยกที่ผิดพลาด

มีหนังสือน่าสนใจอยู่เล่มหนึ่ง เป็นหนังสือด้านมานุษยวิทยา ชื่อ ‘Learning in Likely Place’ การเรียนรู้ในที่ที่ควรจะไปเรียน การตั้งชื่อของหนังสือเล่มนี้หมายความว่าสถานที่ที่เราไปเรียนรู้ ทุกวันนี้มันอาจจะไม่เป็นสถานที่ที่ควรไปเรียนก็ได้นะ เช่น ไปถูกขังอยู่ในคอก

แต่หนังสือเล่มนี้มีตัวอย่างว่าการเรียนรู้ในจารีตของความรู้จริงๆ เขาทำกันยังไง บทความตอนหนึ่งเล่าถึงการเรียนรู้เรื่องศิลปหัตถกรรมของญี่ปุ่น คนเขียนไปทำวิจัยโดยไปเป็นศิษย์ของช่างกลุ่มนี้จริงๆ ก่อนจะพบว่าเขาเรียนไม่เหมือนที่เราเรียน หลักการข้อแรก เขาจะต้องเรียนวิธีก๊อปปี้ วันๆ ไม่ต้องทำอะไร ไปเอางานชั้นครูมาแล้วคุณก็ก๊อปปี้ให้มันเหมือน อย่าไปรีบครีเอทีฟ การที่เราจะครีเอทีฟได้ทักษะพื้นฐานเราต้องแน่น เลื่อยไม้ยังไม่ตรง เข้ามุมไม่สนิท คุณจะไปครีเอทีฟได้ยังไง เพราะงานชั้นครูมันต้องใช้ทักษะพื้นฐานขั้นสูง กว่าคุณจะทำให้เหมือนของเขาได้คุณต้องใช้สิ่ว ใช้ค้อน ใช้เลื่อย มันต้องฝึกซ้ำซากอยู่นั่น จนทักษะพื้นฐานเหล่านี้มันอยู่ในมือคุณ แล้วค่อยมาพูดถึงเรื่อง creativity กัน

มันมีอคติบางอย่างของการเรียนรู้สมัยใหม่ เรามักจะพูดกันว่าเรียนรู้แบบท่องจำหรือเรียนรู้แบบก๊อปปี้มันจะมีคุณค่าอะไร อันนี้ต้องตั้งคำถามไว้เยอะๆ เพราะมันจะสวิงไปสวิงมา บางครั้งมันเป็นไปตามอคติของยุคสมัยก็ได้

อคติของยุคสมัยคืออะไรบ้างคะ เช่น ดูถูกความรู้ชุดเดิม?

คือความรู้ชุดเดิมเราก็ไม่ใช่ว่าเราจะไปโรแมนติกกับมันได้สักขนาดไหนนะ เพราะมันก็มีความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมเข้ามา ความรู้ชุดเก่าก็ถูกพิสูจน์ว่ามันอาจจะไม่ใช่ แต่มันก็มีแนวคิดชุดหนึ่งที่ศึกษาสิ่งที่เรียกว่า Presentism หรือ ปัจจุบันนิยม มันแปลว่า คิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบันมันดีที่สุด ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่ดีที่สุดก็ได้ มันอาจจะมีอคติอะไรแฝงอยู่เยอะเลย อันนี้เราจำเป็นต้องรู้ทันมันพอสมควรเหมือนกัน

หรือหมายความว่าเราต้องรู้ภาคทฤษฎีถึงจะลงมือปฏิบัติได้

ที่สำคัญกว่ามันต้องวิพากษ์กันหน่อย ไม่ใช่เอาแต่รับมา มันก็ง่ายและเราก็ชอบที่จะถูกยืนยันว่าสิ่งที่เราเชื่ออยู่ในปัจจุบันมันถูก เพราะมันก็อุ่นใจดี ใช่ไหม

หลังๆ มาผมก็ไปอ่านบทความบทหนึ่งเขาบอกว่า แนวคิดที่แยกการเรียนรู้ โดยแบ่งเป็นฐานกาย ฐานใจ มันเหลวไหลทั้งปวงเลย งานวิจัยไม่มีการยืนยันในเรื่องนี้ มีแต่ว่าคนไหนที่ถนัดเรียนเรื่องนั้นก็จะรู้สึกว่ามันสบายที่จะไปเรียนด้วยวิธีการแบบนั้น แต่เมื่อติดตามประเมินผลในระยะยาว ก็ไม่ได้ดี ไม่ได้เป็นประโยชน์และทำให้การเรียนรู้ดีกว่าการเรียนที่มันต่างไปจากฐานที่เขาถนัด ดีไม่ดีการที่เราจำเป็นต้องไปเรียนฐานอื่นบ้าง มันอาจจะสำคัญมากก็ได้

ถ้าเราไปดูประวัติการศึกษาของแถบสแกนดิเนเวียน มีรูปแบบการศึกษาหนึ่งที่เรียกว่า Sloyd (สลอยด์) เป็นวิธีการสอนเด็ก เช่น เด็กเข้ามาเรียนชั้นประถมปุ๊บก็ให้ไปเรียนเป็นช่างไม้ตั้งแต่ทำอะไรไม่เป็น ประถมปลายอาจจะต่อเป็นกล่อง โตขึ้นมาหน่อยก็ต่อเป็นรถ มัธยมก็ทำโต๊ะตู้เก้าอี้ไปเลย การเรียนโดยการฝึกใช้มือมันแตกต่างจากการเรียนโดยการฝึกใช้หัว

การให้เด็กทุกคนเรียนแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าต่อไปทุกคนจะเป็นช่างไม้ทุกคน แต่เขาให้ทุกคนฝึกการเป็นช่างในตัวเอง ทำให้คนพวกนี้โตไปในอนาคตไม่ดูถูกงานช่าง แตกต่างจากบ้านเรา ช่างมีหน้าที่ซ่อมสิ่งที่ชำรุดเสียหาย แต่ไม่ใช่ช่างที่ทำงานสร้างสรรค์

ทำไมเราถึงมีเฟอร์นิเจอร์ดีๆ ที่ทำจากสแกนดิเนเวีย เพราะเมื่อคนไม่ดูถูกงานที่ใช้มือ คนที่มีความสามารถก็ได้รับการส่งเสริมในสิ่งที่เขาเป็น

การเรียนรู้ควรข้ามไปเรียนฝั่งอื่นบ้าง ไม่ใช่มามัวนั่งแยกฐานกาย ฐานใจ โอ้ย ฉันฐานใจจะไปให้นั่งคำนวณได้ยังไง ยิ่งต้องให้มาฝึกต้องผ่านความยากลำบาก จะไปเอาแต่ที่ตนถนัด ตนเป็น โลกของคุณก็จะแคบไปแคบมา จะเป็นคนที่ข้ามศาสตร์ข้ามสายไม่ได้

เหมือนกับความเป็นมนุษย์ ที่เราก็ต้องอยู่กับสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ ทำในสิ่งที่ไม่ได้เลือก

พอพูดถึงความเป็นมนุษย์ มันมีอะไรอยู่ในนี้เต็มไปหมด แต่เวลาเราพูดถึงเรื่องการศึกษาความเป็นมนุษย์ อยากให้มองความเป็นมนุษย์ว่าเป็นเรื่องศักยภาพ มันคือความเป็นไปได้ มันมีความเป็นไปได้อยู่ในคน ถ้าเราเห็นความเป็นไปได้เราก็เห็นว่าไอ้ที่เป็นอยู่เนี่ย มันมีความเป็นไปได้มากกว่านั้นอีก ไม่ใช่ว่าเขาเป็นแบบนี้เขาก็จะต้องเรียนรู้แค่แบบนี้

ถ้าคุณสร้างการศึกษาโดยวิธีคิดทำนองนี้ มันคือการศึกษาบนความเป็นไปไม่ได้ เด็กมันเป็นมาแบบนี้แล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอกที่มันจะต้องเป็นอย่างอื่น หรือเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไปเรียนด้วยวิธีอื่น ไม่ใช่ละ ถ้างั้นเราไม่ต้องการครูบาอาจารย์ที่เก่งในการอ่านเด็กใช่ไหม เห็นศักยภาพของเขา เห็นความเป็นไปได้ที่เขาจะไปไกลกว่านั้น

ผมเคยไปคุยกับคุณหมอเรื่องการแพทย์และสาธารณสุข หมอก็ถามผมว่าถ้ามีคนในหมู่บ้าน เกเร ไปข่มขืนลูกสาวชาวบ้าน แล้วเขาก็มาหาเรา แต่เราไม่อยากจะรักษาเขาเลย เราจะทำยังไง

ถ้าเราหลับหูหลับตารักษาเขาไปเหมือนซ่อมมอเตอร์ไซค์ ไม่รู้หรอกว่ามอเตอร์ไซค์ไปทำอะไรมาก็ซ่อมๆ ไป แต่นี่ไม่ได้ มันมีเรื่องราวแล้วเราจะทำยังไง ถ้าเราไปมองความเป็นมนุษย์ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ตายตัวเราก็จะเจอปัญหาอย่างนี้ แต่ถ้าเรามองว่ามนุษย์คือความเป็นไปได้ วันนี้เขาอาจจะเป็นแบบนี้แต่ก็เป็นไปได้ว่าต่อไปเขาอาจจะกลับตัวกลับใจได้ อาจจะกลายมาเป็นคนที่ช่วยเหลือคนอื่นได้ เป็นไปได้

บางทีคิดเอามันไม่เกิดหรอก มันอาจไม่เป็นความจริงที่คนคนนี้จะกลายเป็นคนประพฤติดีประพฤติชอบขึ้นมา แต่การคิดเช่นนั้นมันต่ออายุอุดมคติของเราได้ เรารักษาคนไข้ก็คิดว่าถ้าเขาหายเขาจะได้ไปดูแลครอบครัว แต่เขาจะดูแลหรือเปล่าเราไม่รู้ แต่การที่เราคิดเช่นนั้นมันหล่อเลี้ยงอุดมคติของเราให้มั่นคง มันก็คือการทำงานกับความเป็นมนุษย์ในตัวเรา อย่าเพิ่งสิ้นหวังกับมนุษยชาติ มองมันเป็นศักยภาพไป

ดังนั้นครูบาอาจารย์ในห้องเรียน บางทีก็อาจจะต้องมองแบบนี้ให้มากหน่อยว่า เขาจะงอกงามไปเป็นอะไรมากกว่าสิ่งที่เราเห็นในตอนนี้ สำหรับคนที่มีอาชีพครูบาอาจารย์ สิ่งตอบแทนสูงสุดในชีวิตเขาคือเห็นคนเติบโตงอกงามขึ้นมาต่อหน้าต่อตา

ซึ่งอาจไม่ต้องเป็นครูก็ได้ แต่เป็นคนในครอบครัว?

พ่อแม่ก็สำคัญ บางทีพ่อแม่ก็มีประสบการณ์ในช่วงชีวิตของตัวเองมาเพื่อนิยามความสำเร็จแบบหนึ่ง พ่อแม่มีชีวิตดิ้นรนอยู่กับการสร้างเนื้อสร้างตัวเพราะยุคสมัยเป็นแบบนั้น เวลามีลูกก็จะเป็นห่วงว่าลูกจะมั่นคงไหม ลูกจะต้องมาลำบากเหมือนเราไหม

ตอนผมเรียนแพทย์ จบมาก็ไปอยู่โรงพยาบาลอำเภอชนบท คลินิกก็ไม่เปิด โรงพยาบาลเอกชนก็ไม่ไป ต่างจากเพื่อนหมอที่อยู่จังหวัดเดียวกัน พ่อแม่เขาก็จะมาเล่าว่าลูกทำนั่นทำนี่ แม่ก็ฟังแล้วคิดว่าน่าจะรายได้ดีกว่าลูกเรานะ (หัวเราะ) แม่ก็คอยโทรมาถามว่าเป็นไง มีเงินไหม พอกินไหม มั่นคงหรือเปล่า

ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก ตอบแม่ไปว่า ก็อยู่ได้ สบายๆ พี่ชายคนโตโทรมาบอกว่าแม่เป็นห่วง เอางี้ดีไหม โกมาตร เอาเงินมา 2,500 ทุกเดือน เขาจะเอาเงินอีก 2,500 มาใส่ แล้วก็ส่งไปให้แม่เดือนละ 5,000 ทุกเดือน เพื่อให้แม่รู้สึกว่ามีเงินส่งไปให้แม่ แม่เขาไม่ได้อยากได้เงินหรอกเพราะธุรกิจที่บ้านมั่นคงพอสมควร ผมก็บอกพี่ชายไปว่า แม่ไม่ได้ต้องการให้ทำแบบนั้น แม่ต้องการมั่นใจว่าเรามีความมั่นคงเท่านั้น เดี๋ยวผมจะแสดงให้แม่ดูเองว่ามันมั่นคงอย่างไร

เป็นธรรมดาเพราะเขานิยามความสำเร็จจากสิ่งที่เขาต่อสู้ดิ้นรน พอมาถึงยุคเรา เราก็นิยามความสำเร็จบนความดิ้นรนของเรา เช่น มีลูก เราอยากให้ลูกเราเป็น somebody เพราะเราเองต่อสู้มาจาก ไพร่ หรือพ่อค้าห้องแถว เรียนให้เก่งเพื่อให้สอบเอนทรานซ์ให้ได้ เอนทรานซ์เป็นด่านพิสูจน์เลยว่าเอ็งเป็น somebody หรือเปล่า ถ้าเอ็งสอบได้ถือว่าโอเค ผ่านด่าน ได้ไปต่อ จริตแบบนี้อยู่กับเรา วันๆ เราก็พาไปกวดวิชาตอนเช้า ตอนบ่ายเรียนเกาหลี ตอนเย็นเรียนยูโด กลางคืนเปียโนต่อคุมอง เอาให้โดดเด่นเป็นหลักประกันว่าต่อไปจะได้มีชีวิตอยู่ในสังคมแบบไม่ต้องมาดิ้นรนเหมือนเรา

ยิ่งถ้าเราไปเอาสคริปต์หรือบทที่เราเคยเล่นจนชำนาญมาเป็นบทให้ชีวิตลูกแสดง ยิ่งอันตราย เราไม่เห็นว่าลูกมีความเป็นไปได้ต่างจากคำตอบสำเร็จรูปที่คนรุ่นเราสร้างขึ้น เคยชินและคุ้นเคยกับมัน

เหมือนที่คุณหมอเคยเปรียบเทียบการเลี้ยงดู ระบบการศึกษาเหล่านี้ว่าเหมือนโดนดมยา

(พยักหน้า) ผมคิดว่ามีส่วน ไม่ว่าระบบการศึกษา หรือ ระบบงาน มันไม่อนุญาตให้เราได้ทำอะไรตามความรู้สึกสักเท่าไหร่ เหมือนเราก็เดินไป ไม้รู้สึกรู้สมกับสิ่งที่อยู่ข้างทาง

อาจจะเป็นผลของการศึกษาแบบหนึ่งก็ได้ คือการศึกษาที่ไม่เน้นให้เรากลับไปหาสิ่งที่เรามุ่งมั่น สิ่งที่เรามีแรงปรารถนาที่อยากจะทำ พอเราไม่ได้รู้สึกกับเรื่องที่เราเรียน เราก็ไม่ต้องมารู้สึกกับเรื่องที่เราทำ

ผมย้อนกลับไปนึกถึงการเรียนแพทย์ของตัวเอง ผมไม่มีความทรงจำที่รู้สึกว่ามันมีประสบการณ์บางอย่างที่ทำให้ผมอยากจะเป็นแพทย์อย่างมาก ผมกลับมีความรู้สึกว่าผมพร้อมที่จะเป็นแพทย์มากตอนผมอายุ 40 ปลายๆ ผมรู้สึกว่าความงดงามของการเป็นแพทย์ มันไม่เคยปรากฏ เราเรียนแพทย์เหมือนเราเรียนเป็นหุ่นยนต์มากกว่า ซึ่งถ้าผมมีความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมอายุ 40 ปลายๆ ถ้าความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นตอนผมเรียนแพทย์ ผมก็จะเรียนอีกแบบหนึ่ง ผมคงจะมีความสนุกกับมัน มีความรู้สึกถึงความอัศจรรย์ของวิชาการมากกว่านี้ มากกว่าเรียนเพื่อที่จะสอบให้ผ่าน ให้ได้เกรด แล้วก็เรียนจบไป

ระหว่างที่เรียนมัธยมได้อ่านหนังสือหมอเมืองพร้าว และ หมอแมกไซไซ ชีวประวัติของนพ.กระแส ชนะวงศ์ เขียนโดย คุณสุมิตร เหมะสุธน ก็รู้สึกว่าเป็นหมอก็ช่วยคนได้เยอะดี อำเภอพร้าวทั้งอำเภอมีหมออยู่คนเดียว สู้มันทุกเรื่อง โรคติดต่อ โรคระบาดยันสุขภาพความเป็นอยู่ ชาวบ้านถูกนายทุนเอาเปรียบ ทำให้เราสนใจ แต่พอมาเรียนในมหา’ลัย มันไม่มีอะไรมาหล่อเลี้ยงอุดมคติเหล่านี้ มีแต่เป็นกิจกรรมนอกหลักสูตร ค่ายชนบท

เอาเข้าจริง การเรียนในหลักสูตร มันแทบไม่ได้เป็นแรงบันดาลใจ ทั้งที่เราเดินอยู่ในโรงเรียนแพทย์ มีทั้งห้องประชุม ห้องสมุด มีชื่อคนนั้น คนนี้ แต่เราไม่เคยได้ฟังว่าคนคนนี้ ได้ทำอะไรบ้าง

มีหมอที่รวมตัวกันออกไปผ่าตัดซ่อมเด็กหูน้ำหนวกทุกปี เราไม่เคยรู้ เราก็เรียนของเราไป ตะบี้ตะบัน ถามว่าเรียนแพทย์จบมามีบุคคลในอุดมคติไหม ก็มี 2 คนที่อ่านในหนังสือ ส่วนที่เห็นตัวเป็นๆ ได้เรียนรู้กับเขาในโรงเรียนแพทย์ ผมไม่รู้จักเลย ไม่ใช่ไม่มีนะแต่หลักสูตรไม่ได้ให้ความสำคัญ รู้แต่เด็กนักศึกษาเข้ามานั่งคุยกันว่าอาจารย์คนนี้นะเว้ย อยู่เอกชน กระจกหน้ารถเบนซ์มีป้ายจอดรถโรงพยาบาล 5 ดาว อยู่กี่อัน มันเป็นระบบการศึกษาที่ไม่ได้หลอมหัวใจเรา

แต่คุณหมอรู้สึกพร้อมที่จะเป็นแพทย์ก็ตอนไปเรียนต่อด้านมานุษยวิทยา?

มันก็มีส่วนนะ พอเราไปเรียนเราก็รู้สึกว่าการแพทย์มันเป็นศิลปะจริงๆ เพราะคนแต่ละคน ไม่เหมือนกัน โรคที่เขาเป็น เป็นโรคเดียวกัน แต่ประสบการณ์ความเจ็บป่วยและความทุกข์มันไม่เหมือนกันเลย เราชนชั้นกลางไส้ติ่งอักเสบก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ ชาวบ้านในชนบทเป็นก็อีกเรื่องหนึ่ง

ยุคสมัยก็เกี่ยว คนติดเชื้อเอดส์สมัยหนึ่งอยู่ในโลกแห่งความโกรธ เกลียดและกลัว เวลาผ่านไป 20 ปี ปัจจุบันประสบการณ์ความเจ็บป่วยก็เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ทางการแพทย์ คนเป็นโรคเดียวกันแต่วิธีการที่เราจะดูแลเขาเราต้องเป็นศิลปินที่จะสร้างสรรค์การดูแลที่เหมาะกับเขา

เราต้องเป็นศิลปินออกแบบสร้างสรรค์การดูแลให้เหมาะกับคนไข้ ยกตัวอย่าง คุณยายเป็นมะเร็งที่ผิวหนังใต้ตา ในทางการแพทย์ไม่ได้ร้ายแรงอะไร หมอนัดทุกอย่างแล้วก็ไม่ยอมมา ทางการแพทย์ถือว่าเคสแบบนี้คือคนไข้ดื้อ ไม่รักตัวเอง โรครักษาได้ก็ไม่ยอมมา แต่พอตามไปดูที่บ้าน พบว่า คุณยายคนนี้มีหลานสองคนที่พ่อแม่ทอดทิ้ง ยายต้องดูแลทุกวันตั้งแต่เล็ก ถ้าเรานัดเขามาผ่าตัด พักฟื้นหลายวัน หลานจะอยู่อย่างไร พอเราเจอแบบนี้ก็ต้องคอยแก้ปัญหาอื่นๆ ดูว่าเขามีญาติไหม หรือให้หลานๆ มานอนด้วยที่โรงพยาบาลเลย

มันเห็นความเป็นไปได้มากขึ้น เห็นชีวิต ความเป็นมนุษย์ สังคมความเป็นอยู่ที่เขามี จะทำให้เห็นได้ชัดขึ้นว่าการแพทย์เป็นศิลปะจริงๆ มันต้องการครีเอทีฟที่จะมาสร้างสรรค์กระบวนการเยียวยาที่มันงดงามและมีประสิทธิภาพ เอาความรู้ทางการแพทย์มาใช้ให้เป็นประโยชน์

ซึ่งถ้าเราสามารถเร้าให้นักศึกษาไม่เฉพาะแพทย์ ทำให้เขาได้เห็นว่า วิชาของเขามันงดงาม และมีแต่ความเป็นไปได้ สิ่งนี้ก็เป็นอาวุธที่ใช้ในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ การเรียนแบบนี้ทำให้คนกล้าคิด กล้าครีเอท ไม่ใช่เรียนมาเพื่อผลิตซ้ำความรู้แบบเดิมๆ

ในความเห็นของคุณหมอ อุปสรรคที่กั้นไม่ให้เราค้นหาศักยภาพตัวเอง คืออะไรบ้าง

เวลาที่ผมชวนคนอื่นคิดเรื่องนี้ ก็มักจะได้ยินว่า ถ้าให้แพทย์ดูแลลงไปถึงความเป็นมนุษย์ขนาดนั้นน่าจะตายก่อน เพราะแค่นี้ก็รักษาจะไม่ทันกันอยู่แล้ว คนไข้วันละ 100-200 คน บางครั้งแพทย์พยาบาลก็ต้องปักน้ำเกลือขึ้นวอร์ดก็มี ซึ่งจุดนี้มันมีสองแง่มุม

แง่หนึ่งการดูแลในฐานะผู้สร้างสรรค์กระบวนการเยียวยา ได้ครีเอทวิธีการใหม่ๆ มันเป็นพลังมากๆ มีตัวอย่างที่วอร์ดผู้ป่วยเด็กมะเร็ง จุฬาฯ เด็กๆ เหล่านี้จะร้องตลอดเวลา เพราะเขาไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว พ่อแม่ก็เศร้า เพราะเห็นลูกป่วย จึงมีโครงการขึ้นมาที่ตอบโจทย์ความเป็นมนุษย์มากขึ้น เช่น พาเด็กไปเที่ยวพร้อมพ่อแม่พี่น้องของเขา ไปทะเล ไปเล่นน้ำ ไปวิ่งเล่น กลับมากลายเป็นว่ามีแรงสู้มากขึ้น ฉะนั้นบางทีมันก็ไม่ได้ตรงไปตรงมา บางอย่างก็เป็นอุปสรรคจริงๆ ที่หนีไม่ได้ เช่น เรื่องงบประมาณ แต่พอได้ทดลองทำแล้ว มันพาไปเจอความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่มันทำให้เราไม่ยอมแพ้

แง่ถัดมา ก็ต้องยอมรับว่าระบบมันก็ยังไม่เอื้อขนาดนั้น มันเป็นเรื่องที่จะหาคนตำหนิ ต่อว่าก็ยาก ระเบียบราชการก็แน่นหนาขึ้น ความคาดหวังเยอะขึ้น พอเจอเรื่องที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ร้องเรียน ฟ้องร้อง มันบั่นทอนจิตใจพวกเรา เหนื่อยกับสภาพที่เป็นอยู่ (เศร้า) แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา บางช่วงก็มีความหวังมากหน่อย บางช่วงก็ไม่มี มนุษย์มีความสามารถหนึ่งที่ติดตัวมา คือการเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

แล้วอุปสรรคการค้นหาศักยภาพด็กไทย คืออะไร

ผมคิดว่ามีเหตุผลที่มันสร้างสภาพที่เราเจอ คือ ‘สภาพที่ไร้พลังสร้างสรรค์’ ครอบครัว เป็นส่วนสำคัญ ผมรู้สึกว่าครอบครัวปัจจุบันผลักภาระการเลี้ยงดูไปให้โรงเรียนเยอะ คาดหวังจากโรงเรียนเยอะ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโรงเรียน ผมเคยเข้าไปนั่งเรียนกับลูก สมัยเรียนที่เมืองนอก อย่างน้อยอาทิตย์ละวัน ไปนั่งช่วยจัดของ ช่วยดูแล ทำให้เราได้เห็นบรรยากาศ สภาพห้องเรียน และเห็นว่าครูปฏิบัติต่อลูกเราอย่างไร

พอย้ายกลับมาที่ไทย เรียนโรงเรียนในอำเภอหนึ่ง ผมเสนอให้แม่บ้านที่ว่างๆ เข้าไปเป็นอาสาสมัครในโรงเรียน เขาก็ไม่อนุญาต สังเกตได้จากทางขึ้นตึกที่มีป้ายแปะไว้เลยว่า “ผู้ปกครองห้ามเข้า” แต่ผมก็เข้าใจนะ เพราะถ้าเปิดให้พ่อแม่เข้ามา เขาก็จะดูแลแต่ลูกเขาคนเดียว โดยที่ไม่สนใจลูกคนอื่น

ผมก็ไม่แน่ใจว่าไอเดียแบบนี้จะเหมาะกับทัศนคติที่ไหลเวียนอยู่ในประเทศไทยได้หรือเปล่า มันเลยทำให้ระบบการศึกษาไทยเป็นแบบนี้

ในต่างประเทศ ถ้าผมจำไม่ผิดประเทศยุโรปประเทศหนึ่ง รถติดมาก ลองจัดระบบการเข้างานให้เหลื่อมกัน โดยเข้าเรียน 7 โมงครึ่ง พนักงานออฟฟิศเข้า 9 โมง โรงงานเข้า 10 โมง จากนั้นก็เริ่มศึกษาว่า เวลาชีวิตของหนึ่งครอบครัวจะเป็นอย่างไร ปรากฏว่าวิธีนี้ทำให้เวลาคุณภาพของสมาชิกครอบครัว พ่อแม่ลูกลดลงไป เขาจึงไม่สานต่อนโยบายนี้

รวมถึงบ้านพัก ที่เปิดให้เช่า ถ้ามามากกว่าหนึ่งเจนเนอเรชั่น มาเป็นครอบครัว ค่าเช่าก็จะถูกลงมาก เช่นเดียวกับรถไฟที่ตีตั๋วแบบครอบครัวก็จะถูกลงเพราะส่งเสริมให้ไปกันแบบครอบครัว แต่ประเทศไทยชีวิตครอบครัวยังล้มเหลวในเชิงการจัดการให้ครอบครัวมีเวลาอยู่ด้วยกัน สิ่งที่ตามมาคือพ่อแม่ไม่เข้าใจลูก ไม่เห็นศักยภาพของลูกรวมถึงเวลาที่จะเรียนรู้ลูกด้วยตัวเอง สร้างสรรค์วิธีเลี้ยงลูกที่ไม่สำเร็จรูปเกินไป

พูดง่ายๆ เหมือนสังคมแบบปรนัย วันหยุดไม่ดูทีวีก็ไปห้าง เราเหน็ดเหนื่อยจากงานที่เราทำ เสาร์อาทิตย์วันหยุดต้องไปซื้อกับข้าวมาตุนเพราะวันอื่นไม่มีเวลาไป โลกยิ่งซ้ำเติมเข้าไปใหญ่

รวมถึงระบบโรงเรียน ที่ยังเน้นให้การบ้านต้องถูก ถ้าทำผิดนั่นคือความผิดของเด็ก จริงๆ ถ้าผิดก็ให้เรียนรู้ไปว่าผิด ใช้อักษรอะไรให้ถูกก็เรียนรู้ไป

ยกตัวอย่าง ตอนลูกผมกลับมาเรียนที่เมืองไทย ผ่านไป 6 เดือน วันหนึ่งเขาบอกว่าไม่อยากไปโรงเรียนในวันจันทร์ ขอไปเรียนตอน 10 โมงได้ไหม เพราะตอนเช้าวันนั้นมีวิชาศิลปะ เขาไม่อยากไปเรียน

เราก็แปลกใจ ให้เขาไปหยิบสมุดวาดรูปมาให้ดู พอมาเปิดดูพบว่า ครูให้คะแนนรูปวาด 3/10 แถมครูยังบอกว่าลูกผมวาดรูปขี้เหร่ที่สุดในห้อง ผมก็ถามเขาว่า แก่น (ลูก) วาดอะไร แก่นตอบว่า ครูให้วาดรูปโจทย์วันแม่ แก่นจึงวาดรูปคุณยายที่ยืนอยู่หน้าประตู แล้วให้เงินตอนแก่นขึ้นรถสองแถวไปเรียน

ตั้งแต่เรียนอยู่ที่อเมริกาไม่มีหรอกคนแก่ที่รักเด็ก พอเขากลับมาเมืองไทย คุณยายจะตื่นเช้ามาให้เงินเขาไปโรงเรียน ไปซื้อขนมกิน เกิดมาเขาไม่เคยได้รับสิ่งนี้ นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาตั้งแต่กลับมาเมืองไทย ผมก็เลยไปถามครูคนนั้นว่า มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมลูกผมถึงไม่มีความสุขในการวาดรูปอีกแล้วทั้งที่แต่ก่อนเขาชอบมาก

ครูก็ยอมรับกับผมตามตรงว่า จริงๆ แล้วครูเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ ซึ่งพาเด็กไปสอบวิทยาศาสตร์ ได้รางวัลกลับมามากมาย ผอ. ก็เลยให้มาช่วยสอน ครูก็สอนด้วยการไปซื้อโปสเตอร์เกี่ยวกับรูปศิลปะสำเร็จรูปมานั่งศึกษาและพบว่า รูปที่จะแข่งแล้วชนะ จะต้องเป็นรูปใหญ่ๆ ต้องฝนสีให้เต็มอย่าให้มีรูรั่ว ส่วนโจทย์วันแม่ที่ครูมอบหมายให้นักเรียนวาด รูปที่ครูคิดว่าดีคือรูปที่มีแม่ มีพวงมาลัย มีลูกนั่งข้างๆ อยู่ในบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์ นอกบ้านต้องมีต้นไม้ มีธรรมชาติ

ผมก็ถามต่อว่า ครูครับ รูปวาดที่ครูต้องการมีเด็กสักกี่เปอร์เซ็นต์ที่จะวาดได้ ครูก็ตอบทันทีว่า ‘โอ้ยมีไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์หรอก’ งั้นแสดงว่าสิ่งที่ครูกำลังทำอยู่ ครูกำลังทำร้ายเด็กอีก 95 เปอร์เซ็นต์ ให้เขารู้สึกเกลียดศิลปะใช่ไหม?

ซึ่งสิ่งนี้ไม่น่าจะถูกต้อง เราจะไปรู้ได้ไงว่าภาพดอกทานตะวันของแวนโกะห์มันมาจากความรู้สึกอะไร เพราะศิลปะมันมีเพื่อรับใช้มนุษย์ การที่ครูตัดสินให้คะแนนเด็ก โดยไม่รู้ความหมาย ไม่รู้ที่มาที่ไป มันจะทำได้อย่างไร รูปที่แก่นวาดอาจจะเป็นประสบการณ์ที่ใกล้กับความเป็นแม่มากที่สุดก็ได้

หลังจากนั้น ลูกผมก็ได้คะแนนเต็ม 10 หมด ซึ่งไม่รู้เป็นวิธีแก้ที่ถูกต้องหรือเปล่านะ (หัวเราะ) แต่ทุกวันนี้ลูกผมก็ทำงานเป็นกราฟิกดีไซน์

ระบบโรงเรียนมันก็คงเป็นแบบนี้ด้วย ระบบที่สำเร็จที่ถูกนิยามไว้ล่วงหน้าว่าเด็กทำสิ่งนี้ถึงจะดี ถึงจะใช่ เราก็แค่ทำคำตอบสำเร็จรูปที่ครูมี เป็นการเรียนแบบปรนัย คิดดูสิขนาดวิชาศิลปะยังต้องมีปรนัย

สุดท้าย เพื่อให้เข้าใจในความเป็นมนุษย์ (ที่แปลว่าเป็นไปได้) คุณหมอจึงมีโครงการให้แพทย์ ‘เล่าเรื่อง’ อยากให้คุณหมออธิบาย และอะไรคือเป้าหมายปลายทาง

ถ้าเป็นโรงพยาบาลรัฐ จะมีความรู้ 2 ชุดที่ครอบงำ อย่างแรกคือแผนบริหาร การจัดการองค์กรสมัยใหม่ ซึ่งเน้นหนักไปที่กระบวนการสร้างมาตรฐาน เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมาตรฐานเป็นสิ่งประกันคุณภาพ ถ้าหากโรงพยาบาลไม่มีมาตรฐานเลย ไม่มีการวางระบบ ก็จะเกิดปัญหาต่างๆ ตามมา

แต่ในกระบวนการพัฒนาระบบเหล่านี้ เราใช้ระบบการประเมินในเชิงปริมาณทั้งหมด หมายถึงทุกอย่างถูกทอนมาเป็นตัวเลข ตัวชี้วัด เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในองค์กรทุกอย่างจะมีความสำคัญเมื่อถูกนับได้ ไม่ว่าจะ KPI หรืออะไรก็ตาม ชีวิตเราถูกลดทอนเป็นตัวเลขลงไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่แปลว่าจะดีเสมอไป

ถามว่า ชีวิต ความเจ็บป่วย การสูญเสีย ที่ต้องเผชิญ มันมีเครื่องมือที่ใช้วัดเหรอ?

อ๋อ แม่ตายเหรอ ไหนลองทำแบบประเมินความสูญเสียซิ เราจะได้ประเมินและวัดการเยียวยาคุณ ซึ่งกระบวนการพวกนี้มันทำลายความเป็นมนุษย์ ความรู้สึกของคน ซ้ำเติมเข้าไปอีก เมื่อเราพูดถึง narrative หรือ เรื่องเล่าการดำเนินชีวิตผู้คนในโรงพยาบาล เราจำเป็นต้องใส่ใจ เพราะตัวเรื่องมันมาชดเชยสิ่งที่ตัวเลขไม่มี ถ้าเราจะให้แพทย์ พยาบาล ทำงานโดยเอาแค่ตัวเลขอย่างเดียว ป่วยมาก็ดูแค่เลือดกี่เปอร์เซ็นต์ โดยไม่คำนึงถึงเรื่องราวอื่นๆ ในชีวิตเลย คุณไม่ต้องเข้าใจ ไม่ต้องใส่ใจ แบบนั้นก็ไม่ต้องมีหมอก็ได้ มีแค่คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวก็พอ

ผมเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่งเป็นมะเร็งกระดูก ถูกตัดขาจนเสมอต้นขา แม่เป็นมะเร็ง พี่สาวล้มละลาย ชวนกันไปซื้อยาฆ่าแมลงกินให้ตายๆ ไป แต่แม่ห้ามไว้ ผมไปเยี่ยมแก แกนั่งเย็บผ้าของแกไป ผมถามเขาว่ามีความฝันอะไรอีกไหม เขาบอกว่ามีหลานอยู่คนหนึ่งเรียนใกล้จบปริญญาตรีแล้ว ทุกวันที่นั่งเย็บผ้าก็เพื่อส่งหลานเรียนให้จบ ซึ่งเป็นหลานคนเดียวในตระกูลที่จะเรียนจบปริญญา

นี่คือเรื่องราวที่ถ้าเราทำงานอยู่กับตัวเลข เราจะไม่มีทางรู้เลย และมันสำคัญมากสำหรับเราที่มีหน้าที่ดูแล เยียวยาพวกเขา มันทำให้เรารู้สึกมีคุณค่าที่เราได้ดูแลเขา ไม่งั้นก็คงไม่ต่างกับการซ่อมเครื่องจักร เพราะเราทำงานกับมนุษย์ มนุษย์มีเรื่องเล่า เราไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้มันจะไปจบลงตรงไหน รู้แต่ข้อมูลเชิงปริมาณ รู้ระดับน้ำตาล รู้ตัวเลขมากมาย แต่ไม่รู้เลยว่า ผู้หญิงคนนี้เคยผ่านปัญหาอะไรมาบ้าง

เราในฐานะแพทย์ ความเจ็บปวดไม่ได้อยู่แค่ในร่างกายแต่มันอยู่ในชีวิต ถ้าเราไม่สนใจ story เราจะเข้าใจคนได้อย่างไร

เรื่องเล่าช่วยถอนพิษชีวิตได้ ต่างจากตัวเลขซึ่งไม่เหลือเรื่องราวที่เชื่อมโยงไปถึงความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนได้เลย

นี่เป็นสิ่งที่เราพยายามฝึกทักษะ การฟัง การเขียน ให้หมอพยาบาลเป็นนักเขียนก็ได้ เพราะผมเชื่อว่าถ้าคุณมีสายตาของนักเขียน คุณจะมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง ถ้าคนป่วยเดินเข้ามา เราจะไม่ได้สนใจแค่บัตรผู้ป่วย แต่เราจะมองไปถึงเสื้อผ้าที่เขาใส่ สีหน้าแววตาเขาต่างกับเดือนที่แล้วที่เจอไหม แววตาเขาบอกความฝัน ความทุกข์ อดีตที่ตามมาหลอกหลอนเขาหรือไม่ แล้วอนาคตอะไรที่เขายังเป็นห่วงอยู่

การเขียนจะทำให้มีมุมมองของความอยากรู้อยากเห็น การเขียนคือการเอาตัวเราเข้าไปอยู่ในเรื่องราวของเขา คือการเอาตัวเราเข้าไปนั่งในตัวเขา ถ้าเราฝึกบ่อยๆ empathy หรือการเข้าอกเข้าใจ จะเกิด

เราไม่ต้องสูญเสียลูก แต่เราจะเข้าใจได้ทันทีเลยว่าความรู้สึกเหล่านั้นมันเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกอาชีพ

Tags:

นพ. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์Creative Deschooling

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Kru Jo
    Social Issues
    จากครูปกครองสุดเฮี้ยบที่ผลักเด็กจากระบบการศึกษา สู่ครูนางฟ้าที่สื่อสารด้วยหัวใจ: ครูโจ-วิฑูลย์ แซมสีม่วง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Kru Lisa
    Social Issues
    “การเป็นครูแปลว่าต้องดูแลเด็กตั้งแต่จิตใจ” ครูลีซ่า-นูริทรา แปแนะ ครูนางฟ้าที่ใช้การสื่อสารเชิงบวก รับฟังและอยู่เคียงข้าง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    Cultural Ecology(1): เครื่องมือทางศิลปะที่จับมือชุมชน เสนอศิลปะดั้งเดิมในเงื่อนไขใหม่ สร้างคนลูกผสมที่มี critical mind

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    คนไม่มีความรู้=คนไม่มีอำนาจ?

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘นิ้วกลม’ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์: ถ้าประเทศนี้…ไม่มีโรงเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

เก็บความเชื่อเก่าเข้ากรุ แค่ครู ‘แคร์เด็ก’ วินัยในห้องเรียนก็เกิด
Learning Theory
3 May 2019

เก็บความเชื่อเก่าเข้ากรุ แค่ครู ‘แคร์เด็ก’ วินัยในห้องเรียนก็เกิด

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

การสร้างวินัยเชิงบวกไม่ใช่การออกกฎ ระเบียบ หรือบังคับ ให้เด็กทำตามคำสั่ง แต่เป็นการส่งเสริม ให้กำลังใจ และสนับสนุน ให้เด็กรู้จักบทบาทและหน้าที่ของตัวเอง

‘ครู’ เป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญที่จะช่วยสร้างให้เด็กมีวินัย เมื่อครูต้องการให้นักเรียนทุกคนอยู่ในกฎระเบียบอย่างเคร่งคัด ฉะนั้นครูต้องทำความเข้าใจก่อนว่า นักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่าง และมีพื้นฐานครอบครัวไม่เหมือนกัน

อาจสรุปได้ว่าพฤติกรรมดุด่าหรือสั่งห้ามที่เกิดจากความหวังดีของครู จะทำให้เด็กนักเรียนเกิดความรู้สึกต่อต้าน ในท้ายที่สุด ‘ระเบียบวินัยในห้องเรียน’ ก็ไม่เกิดขึ้น

ครูควรละทิ้งความเชื่อเก่าๆ เปลี่ยนมาสร้างความไว้ใจและวินัยเชิงบวกในห้องเรียน ด้วยวิธีง่ายๆ แค่แสดงออกว่า ‘แคร์เด็ก’

อ่านบทความวินัยในห้องเรียนเพิ่มเติมได้ที่นี่

Tags:

การลงโทษโรงเรียนเทคนิคการสอนวินัยเชิงบวก

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    สุข สนุก และได้เลือกเรียนเอง เด็กๆ บ้านควนเก จึงอยากมาโรงเรียนทุกวัน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    เอะอะก็ตี ลูกเจ็บแต่ไม่จำ

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Education trend
    ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน
Learning Theory
30 April 2019

เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • หลายครั้ง ‘ระเบียบวินัย’ ในห้องเรียน เกิดจากการดุด่าและสั่งห้ามของครู ท้ายที่สุดอาจทำให้เด็กนักเรียนรู้สึกอยากต่อต้าน ครูควรละทิ้งความเชื่อเก่าๆ เปลี่ยนมาสร้างความไว้ใจและวินัยเชิงบวกในห้องเรียน เพราะจะทำให้เด็กมีสมาธิและโฟกัสกับการเรียนได้ดีขึ้น
  • 3 วิธีง่ายๆ ที่ครูควรแสดงออกให้เด็กรู้ว่าครูก็แคร์ คือ เชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กทุกคน-เติมเต็มความภาคภูมิใจ-สื่อสารความแคร์อย่างตรงไปตรงมา
  • “เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แทนที่จะลงโทษเพื่อหวังเปลี่ยนพฤติกรรมนักเรียน ครูควรมองมุมใหม่ด้วยการหาคำตอบว่า อะไรเป็นเหตุผล ความเชื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมดังกล่าว แล้วหาทางแก้ไขจากจุดนั้น”

ระเบียบวินัยเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการฝึกฝน เป็นเรื่องของการเคารพ เชื่อฟังและทำตามกฎระเบียบ 

ปัญหาก็คือหลายครั้งความมีระเบียบวินัยที่เกิดขึ้น มาจากความรู้สึกไม่เห็นด้วย เหมือนโดนบังคับให้ทำทั้งที่ไม่อยากทำ ความรู้สึกเหล่านี้มักเกิดขึ้นเมื่อมีเรื่องของ ‘การห้าม’ หรือ ‘คำสั่ง’ เข้ามาเกี่ยวข้อง 

ยิ่งห้าม ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้าน ทั้งที่แสดงออกและไม่แสดงออก

ข้อมูลจากการศึกษาโดย สมาคมสุขภาพ การวิจัยและสวัสดิการแห่งอินเดีย (Indian Association of Health, Research and Welfare) เผยแพร่ในวารสารจิตวิทยาเชิงบวกของอินเดีย (Indian Journal of Positive Psychology) บอกว่า การสร้างวินัยเชิงบวกควรเป็นเรื่องของการส่งเสริม ให้กำลังใจ และสนับสนุนให้ทำ มากกว่าการห้าม

สถาบันครอบครัว และสถาบันการศึกษามีส่วนสำคัญในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในส่วนนี้ได้ เพื่อให้พวกเขาเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงในสังคม ทักษะสำคัญที่เด็กควรมีในยุคนี้ คือ การรู้จักควบคุมตัวเอง (self-control) ในสถานการณ์ต่างๆ บนพื้นฐานของการมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบ และเชื่อมั่นว่าตนเองมีศักยภาพและเป็นกำลังสำคัญให้กับชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่

การส่งเสริม ให้กำลังใจ และสนับสนุน (encouragement) จากบุคคลใกล้ชิด โดยเฉพาะจากโรงเรียน พื้นที่ที่เด็กๆ ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยอย่างเต็มที่ มีส่วนสำคัญอย่างมากในการปูพื้นฐานการใช้ชีวิตให้กับนักเรียน ทั้งด้านความรู้และทักษะชีวิต การส่งเสริม ให้กำลังใจ และสนับสนุนจะช่วยกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนลงมือทำสิ่งต่างๆ โดยปราศจากความกลัว เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ และสร้างความเข้าใจในสิ่งที่ทำ หรือที่เรียกว่า ‘เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก’

ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนคิดค้นสิ่งประดิษฐ์หรือชุดความรู้ทฤษฎีใดได้จากการทดลองเพียงครั้งเดียว หากเด็กได้ลองผิดลองถูก กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนี้เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จขั้นหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างคาดไม่ถึง คือ ความภาคภูมิใจในตัวเอง (self-esteem)

เด็กจะเกิดความรู้สึกมั่นใจว่า “ฉันมีความสามารถและจัดการชีวิตตัวเองได้” ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ แม้จะเป็นนามธรรมแต่ก็เป็นกุญแจสำคัญทำให้พวกเขา ‘เห็นคุณค่าในตัวเอง’ 

เมื่อโรงเรียนเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีส่วนปลูกสร้างตัวตนของเด็ก เราจะส่งเสริมวินัยเชิงบวกในโรงเรียนด้วยวิธีไหนได้บ้าง? มั่นใจได้อย่างไรว่าวิธีการนี้มีประสิทธิภาพ? แล้ววิธีการดังกล่าวสามารถช่วยแก้พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของนักเรียนได้หรือไม่? บทความนี้มีคำตอบ

หน้าที่ของครูไม่ได้มีแค่ ‘การสอน’ แต่ครูมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เพราะต้องเป็นทั้งนักสังเกตการณ์ เป็นผู้ให้คำปรึกษา ดูแล และให้ความรู้แก่นักเรียน บทบาทของครูจึงเป็นเรื่องท้าทาย ยิ่งเมื่ออยากให้นักเรียนอยู่ในระเบียบ และอยากสร้างวินัยเชิงบวก ครูต้องเข้าใจนักเรียนทุกคน เพราะแต่ละคนมีความต่างและมีพื้นฐานครอบครัวไม่เหมือนกันเลย

การสร้างวินัยเชิงบวก (Positive Discipline) คืออะไร?

ย้ำอีกครั้ง การสร้างวินัยเชิงบวกไม่ใช่การออกกฎ ระเบียบ หรือการบังคับ แต่เป็นการส่งเสริม ให้กำลังใจ และสนับสนุน ให้นักเรียนรู้จักบทบาท หน้าที่ของตัวเอง คุณค่าของการสร้างวินัยเชิงบวกอยู่ที่การทำให้เด็กและเยาวชนมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบ และเชื่อมั่นว่าตนเองมีศักยภาพและเป็นกำลังสำคัญให้กับชุมชน ประเทศชาติ และส่วนรวมได้

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แทนที่จะลงโทษเพื่อหวังเปลี่ยนพฤติกรรมนักเรียน ครูควรมองมุมใหม่ด้วยการหาคำตอบว่า อะไรเป็นเหตุผล ความเชื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมดังกล่าว แล้วหาทางแก้ไขจากจุดนั้น

การสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนอย่างเปิดใจ ด้วยการพูดที่ไม่ใช่การตำหนิ ดุด่า หรือว่ากล่าว แต่เป็นการพูดด้วยท่าทีที่ทำให้เด็กวางใจ ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร จะทำให้เด็กเปิดใจและไว้ใจครู เมื่อบทสนทนาเริ่มขึ้นโดยปราศจากความกลัว ครูจะรู้ว่าอะไรเป็นเหตุผลเบื้องหลังให้เด็กแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม นี่เป็นทักษะการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง (problem solving skills) ที่ครูจำเป็นต้องมี 

กระบวนการการสร้างวินัยเชิงบวก จึงเป็นเรื่องของการตั้งเป้าหมาย (setting goals) เพื่อการเรียนรู้ และค้นหาวิธีการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์ (constructive solutions) อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์

สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนในแต่ละวันจึงเป็นโจทย์ที่ครูต้องตั้งรับ ส่วนจะรับมือได้ดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ปฏิภาณไหวพริบ และความเข้าใจในตัวเด็กของครู อย่างที่บอก บทบาทของครูจึงไม่ใช่แค่การสอน แต่ครูต้องมีความสามารถในการจัดการความเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในห้องเรียน เอาใจใส่นักเรียนเพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างกัน และเข้าใจพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนด้วย

งานวิจัยชิ้นนี้บอกว่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับนักเรียนเป็นแรงจูงใจและแรงกระตุ้นชั้นเยี่ยมให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียน และมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในห้องเรียน แทนการนั่งเหม่อลอย หรือมองดูเวลาว่าเมื่อไหร่จะหมดคาบเรียน

“เมื่อเราเข้าใจพัฒนาการทางความคิดของเด็ก เราจะเข้าใจว่าทำไมเด็กถึงมีพฤติกรรมแตกต่างกันในแต่ละช่วงอายุ เมื่อเราเข้าใจพัฒนาการทางสังคมของเด็ก เราจะเข้าใจเหตุผลได้ดีขึ้นว่าทำไมแรงจูงใจหรือแรงกระตุ้นในตัวเด็กถึงได้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามปัจจัยภายนอก”

ข้อแตกต่างระหว่างความเชื่อแบบเก่ากับการสร้างวินัยเชิงบวก

ความเชื่อแบบเก่า: การลงโทษเป็นเรื่องจำเป็น ถ้าไม่ลงโทษก็คุมเด็กไม่ได้

การสร้างวินัยเชิงบวก: ยิ่งใช้ความรุนแรงหรือลงโทษ ยิ่งทำให้เกิดการต่อต้าน และหาทางออกด้วยการหลบเลี่ยง เช่น โกหก โดดเรียน ดร็อปเรียนไปเลย หรือขาดแรงจูงใจในการเรียน ขาดความมั่นใจ แล้วไม่อยากเรียนหนังสือ 

แทนที่เด็กจะเคารพครู การลงโทษทำให้เด็กกลัวเสียมากกว่า ครูไม่ควรทำให้เด็กขยาดแต่ต้องทำให้เขาไว้วางใจ เด็กถึงจะเปิดใจ ให้ความเคารพและเชื่อฟัง โดยไม่ต่อต้านและไม่พยายามฝ่าฝืนระเบียบ

ความเชื่อแบบเก่า: ครูมีหน้าที่ให้ความรู้ เด็กนั่งเรียน นั่งฟังอย่างสงบ ‘จดและจำ’ ความรู้

การสร้างวินัยเชิงบวก: เด็กต้องการการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ “เด็กมีพลังเยอะ อยากให้เด็กเรียนรู้ต้องให้เด็กได้ใช้ทั้งสมองและพลัง”  ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จากการทดลอง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง วิธีการนี้จะทำให้เด็ก ‘จำ’ แล้วเกิดพัฒนาการได้โดยไม่ต้อง ‘จด’

ความเชื่อแบบเก่า: การที่เด็กนั่งเรียนในห้องเงียบๆ ไม่พูดไม่จา แสดงว่าเด็กเคารพครู ถ้าเด็กถามคำถามหรือแสดงความคิดเห็นแสดงว่าเด็กกำลังท้าทายครู 

การสร้างวินัยเชิงบวก: จากการศึกษาพบว่า ความเงียบ เป็นสัญญาณของความกลัว กังวล อึดอัด เบื่อ เป็นการแสดงออกว่าสิ่งนั้นไม่น่าสนใจ และไม่เข้าใจ มากกว่าแสดงความเคารพ 

การถามและแสดงความคิดเห็นเป็นการแสดงออกถึงความสงสัยใคร่รู้โดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นคุณลักษณะจำเป็นสำหรับการเรียนรู้อย่างยั่งยืน และมีประสิทธิภาพมากกว่าการยัดเยียดให้ท่องจำ 

ความเชื่อแบบเก่า: เด็กไม่สมบูรณ์แบบ ไม่รู้เรื่อง ครูต้องช่วยสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับเด็ก

การสร้างวินัยเชิงบวก: เด็กมีความสมบูรณ์แบบในตัวเองตามวัย พวกเขาอาจเข้าใจสิ่งรอบตัวต่างจากผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด 

พวกเขาก็มีความฉลาดแหลมคม และมีความรู้สึกไม่ต่างจากผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เด็กเท่านั้นที่ต้องเคารพผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เองก็ต้องเคารพความคิดเห็น และเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกตามแนวทางของเขาเช่นกัน 

ตัวแปรสำคัญอยู่ที่ ‘ครู’

เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ และสร้างวินัยให้กับนักเรียน ครูต้องเปิดใจและพิจารณาตัวเองก่อน

เพราะอะไร…?

เพราะสิ่งที่ครูมองว่าเป็นปัญหา เช่น นักเรียนไม่ตั้งใจเรียน ไม่ทำการบ้าน และหนีเรียน สาเหตุอาจมีที่มาจากตัวครูเอง!

เป็นไปได้หรือไม่ว่า ห้องเรียนของครูน่าเบื่อ เด็กไม่ได้มีส่วนร่วมคิดหรือแสดงความคิดเห็นหรือเปล่า?

การเรียนการสอนของครูควรกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก และกระตุ้นให้เด็กเกิดความอยากรู้อยากเห็น ลืมบรรยากาศห้องเรียนแบบนั่งอยู่กับโต๊ะ แล้วจดตามกระดานไปได้เลย ยิ่งครูฉายเดี่ยวให้นักเรียนแสดงออกน้อยเท่าไหร่ เด็กก็จะยิ่งออกนอกลู่นอกทางมากเท่านั้น

อย่างที่บอก ก่อนครูจะตำหนิ หรือลงโทษพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียน ครูควรมองให้ลึกเพื่อทำความเข้าใจที่มาที่ไปของพฤติกรรมเหล่านั้น

พวกเขาต้องการเรียกร้องความสนใจหรือเปล่า? ครูบังคับนักเรียนเกินไปไหม? จนทำให้พวกเขาต่อต้านด้วยการพยายามแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีตัวตนในสายตาคนอื่น เช่น การแหกกฎ หรือตั้งกลุ่มแก๊งคอยแกล้งเพื่อนนักเรียนด้วยกัน 

หนักกว่านั้น หากการเรียกร้องความสนใจใช้ไม่ได้ผล การพยายามสร้างตัวตนก็ยังไม่ได้ อาจนำมาสู่การใช้ความรุนแรงและแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากขึ้น คราวนี้ไม่เฉพาะกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน แต่กับครูด้วย 

แม้แต่ความไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น แล้วหลบหลีกการมีส่วนร่วมกับเพื่อนในชั้นเรียน ก็นำมาสู่การตัดสินตัวเองว่า ‘ฉันทำไม่ได้หรอก!’ ‘ทำไมเราไม่ได้เรื่องเลย’ ความคิดแบบนี้จะทำให้เด็กไม่สนใจเรียน ไม่ทำการบ้าน จนทำให้เด็กคนหนึ่งล้มเหลวในการเรียนได้ 

ด้วยเหตุนี้ ครูจึงควรเปิดพื้นที่ทั้งในห้องเรียนและในโรงเรียนให้นักเรียนทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่ง และมีส่วนร่วมกับการเรียนการสอน ทำให้พวกเขารู้สึกว่า

หนึ่ง พวกเขามีความสามารถ (capable) ทำงานสำเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย ตรงตามความต้องการของชั้นเรียนและโรงเรียน จุดนี้ครูต้องมอบหมายให้เด็กทำงานตามที่ตนเองถนัดและสนใจ

สอง พวกเขาต้องรู้สึกว่าสามารถสื่อสารกับครูได้เสมอ และมีเพื่อนร่วมชั้นเป็นทีมเดียวกัน (connect)

และ สาม ทำให้พวกเขารับรู้และเข้าใจว่า ไม่ว่างานที่ได้รับมอบหมายให้ทำคืออะไร มากน้อยแค่ไหน แต่งานทุกงานมีความสำคัญต่อภาพรวม จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้ (contribute)

สร้างความไว้วางใจในห้องเรียน

เมื่อนึกถึงโรงเรียนเรามักจินตนาการเห็นครูผู้น่าเกรงขาม คอยห้ามปรามนักเรียน มากกว่าครูใจดีที่เป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยกับนักเรียนได้ แต่อย่างที่บอก ลืมการตำหนิ การคาดโทษ การตัดคะแนนความประพฤติหรือจิตพิสัยอย่างที่ทำกันอยู่ทั่วไปไปได้เลย เพราะการสร้างวินัยเชิงบวกต้องอาศัย การสื่อสารกันบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน (reciprocal respect) ระหว่างครูกับนักเรียน

‘เด็กจะแคร์ คนที่แคร์เขา’ ยิ่งเด็กรู้สึกว่าครูสนใจและเอาใจใส่พวกเขา เด็กจะยิ่งให้ความเคารพครู เหตุผลทางจิตวิทยา คือ เราต่างอยากเป็นคนสำคัญในสายตาของคนที่สำคัญกับเรา และครูคือคนสำคัญของนักเรียน

จากการศึกษา พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนมีผลโดยตรงต่อสมาธิและการตั้งใจเรียนของนักเรียน นักเรียนที่ไม่ชอบ หรือรู้สึกไม่ไว้วางใจครูผู้สอนวิชาไหน มักไม่ตั้งใจเรียนในวิชานั้น พาลไปถึงไม่ยอมทำการบ้าน หรือโดดเรียนไปเลยก็มี

ถึงตรงนี้หลายคนอาจกำลังนึกถึงพฤติกรรมต่อต้านของนักเรียนวัยมัธยม พวกเขาจะแสดงสีหน้า หรือท่าทางให้เห็นอย่างชัดเจนเมื่อรู้สึกไม่พอใจ แต่จากการสำรวจกลับพบว่า พฤติกรรมขัดขืน ไม่ให้ความร่วมมือในชั้นเรียนเกิดขึ้นในวัยอนุบาลและประถมศึกษามากกว่า โดยมักแสดงออกด้วยการร้องไห้ หรือเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีอื่น

แสดงออกอย่างไรให้เด็กรู้ว่าครูแคร์

  • ความคาดหวังมีได้ แต่ต้องมาพร้อมกับการให้ความหวัง และสร้างกำลังใจ

ครูต้องเชื่อมั่นใจศักยภาพของเด็กทุกคน ไม่เฉพาะแค่คนที่โดดเด่นหรือคนที่เก่ง เพราะความเชื่อมั่นของครูจะสร้างแรงบันดาลใจ และส่งผลต่อความสำเร็จของเด็ก ให้โอกาสนักเรียนได้แสดงออกอย่างเท่าเทียมกัน เช่น การถามตอบในชั้นเรียน ให้เวลานักเรียนแต่ละคนได้คิดและแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ไม่เจาะจงเฉพาะเด็กเก่ง หากนักเรียนตอบไม่ได้ ครูให้คำใบ้เพื่อกระตุ้นให้เด็กได้คิดแล้วตอบตามความเข้าใจของตัวเอง ไม่มีผิดไม่มีถูก เป็นต้น

  • เติมเต็มความภาคภูมิใจ 

พื้นที่นำเสนอผลงานที่นักเรียนลงมือทำด้วยตัวเอง เป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้นักเรียนรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนและมีคุณค่า สิ่งที่ต้องระวังคือ ครูไม่ควรเอาคะแนนมาเป็นตัวตัดสินหรือเลือกผลงานขึ้นนำเสนอจากคะแนน ลืมคะแนนไปเลย แล้วเปิดพื้นที่ให้ผลงานของนักเรียนได้อวดโฉม

  • สื่อสารความแคร์อย่างตรงไปตรงมา

การถามว่า วันนี้สบายดีไหม? เมื่อนักเรียนเดินผ่านหรือกำลังผ่านประตูห้องเรียนเข้ามา 

คำถามง่ายๆ สั้นๆ ก็สร้างความชื่นใจและประทับใจให้นักเรียนได้ พวกเขาจะรู้สึกว่าครูสนใจชีวิตของพวกเขา รวมถึงการรับฟังเมื่อนักเรียนถามหรือต้องการปรึกษา และให้กำลังใจเมื่อเด็กอยู่ในภาวะที่กำลังเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนใจ เช่น การสูญเสีย เป็นต้น

เด็กและเยาวชนต้องการความสนใจและเชื่อมั่นจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ครู หรือแม้กระทั่งเพื่อน ด้วยเหตุนี้การแสดงออกด้วยความรักและความห่วงใย จะสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีอย่างแน่นแฟ้น หากครูสามารถสร้างสายใยที่ดีนี้ระหว่างครูกับนักเรียนได้ พวกเขาจะ ‘เชื่อและฟัง’ ครูโดยไม่ขัดขืน ไม่แสดงพฤติกรรมต่อต้าน และไม่ก้าวร้าว เป็นวิธีการสร้างวินัยเชิงบวกที่เป็นแรงจูงใจให้เด็กรักการเรียนรู้ นำมาสู่การพัฒนาตัวเองเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ตามแบบฉบับของตัวเองไปได้ตลอดชีวิต 

สภาพแวดล้อมและบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี จะช่วยสร้างและเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง (confidence and competence) ด้วยคุณลักษณะเหล่านี้ เด็กจะกลายเป็นพลเมืองที่ดี มีความรับผิดชอบทั้งต่อตัวเอง (self-discipline) ชุมชน และสังคม

ที่มา:

Thakur, Kalpna, (2017). Fostering a positive environment in schools using positive discipline.
Summer-Hill Shimla: Department of Psychology, Himachal Pradesh University

Tags:

ครูโรงเรียนเทคนิคการสอนวินัยเชิงบวกการลงโทษ

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Learning Theory
    เก็บความเชื่อเก่าเข้ากรุ แค่ครู ‘แคร์เด็ก’ วินัยในห้องเรียนก็เกิด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Social Issues
    เกิดเป็นครูไทย ต้องทำอะไรบ้าง?

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

THE 12 SENSES กับหมอปอง: ทำไมเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่เห็นอกเห็นใจ และไม่มี COMMON SENSE
Early childhoodLearning Theory
29 April 2019

THE 12 SENSES กับหมอปอง: ทำไมเด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่เห็นอกเห็นใจ และไม่มี COMMON SENSE

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • The 12 Senses พัฒนาการการเติบโตในทางการแพทย์มนุษยปรัชญา กระบวนการสร้างประสบการณ์ผ่านสัมผัสของเด็กแต่ละช่วงวัยแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ Sense of Body ในช่วงวัย 0-7 ปี, Sense of Soul ในช่วงวัย 7-14 ปี และ Sense of Spirit ในช่วงวัย 14-21 ปี
  • บรรยายอย่างเข้าใจง่ายพร้อมยกตัวอย่างประกอบโดย นายแพทย์ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล หรือ หมอปอง แพทย์ธรรมชาติบำบัด
  • คำถามที่เราได้ยินบ่อยๆ ว่า ทำไมเด็กรุ่นใหม่จึงไม่รู้จักกาลเทศะ, ไม่เห็นอกเห็นใจ, ไม่มี common sense ทั้งหมดนี้มีที่มาตั้งแต่แรกเกิดและอธิบายได้ผ่าน The 12 Senses

พัฒนาการต้องสำคัญ, ถ้าเด็กอ่านไม่ออกเขียนได้ไม่ทันเพื่อนจะทำอย่างไร, พัฒนาการของร่างกายช้าไปรึเปล่า, กินอาหารเสริมอะไรดี เล่นของเล่นสร้างพัฒนาการอย่างไรจึงจะดีที่สุด?

ยังมีความกังวลอีกมากของผู้ปกครอง -ไม่ใช่แค่พ่อแม่ แต่รวมถึงลุง ป้า น้า อา ปู่ย่าตายาย รวมถึงเพื่อนของพ่อๆ แม่ๆ มาช่วยกังวลด้วยว่า ต้องเลี้ยงลูกอย่างไรจึงจะพร้อม พัฒนาการสมวัย

แน่นอนว่าพัฒนาการทางกายเป็นสิ่งสำคัญ แต่พัฒนาการทาง ‘จิตใจ’ ในฐานะพื้นฐานภายในที่เต็มพร้อมเป็นพลังงานขับเคลื่อนชีวิตของเขา (และเรา) ไปตลอดชีวิตนั้นไม่ค่อยมีใครพูดถึง ยังไม่มีใครชี้ชัดๆ ว่า หากไม่ทำ ไม่สร้าง หรือหากเข้าไปรบกวนพัฒนาการทางจิตวิญญาณจะส่งผลกระทบระยะยาวอย่างไร เป็นต้นว่า หลายคนเริ่มตั้งคำถามเช่น ทำไมเด็กรุ่นใหม่จึงไม่รู้จักกาลเทศะ, ไม่เห็นอกเห็นใจ, ไม่มี common sense ทั้งหมดนี้อธิบายได้ผ่าน The 12 Senses พัฒนาการผ่านสัมผัสรู้ในมุมการเติบโตในทางการแพทย์มนุษยปรัชญา (Anthroposophic Medicine)

“ในการพัฒนาการมนุษย์ ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงการเติบโตในเชิง spirit หรือจิตวิญญาณ 3 สิ่งคือ body, soul และ spirit ยังไม่ค่อยมีใครอธิบายว่าทั้งหมดนี้จะเข้ามาอยู่ในร่างกายและเชื่อมโยงทำงานร่วมกันอย่างไร แต่สิ่งที่เราบอกได้คือ ประสบการณ์ในอดีต (การถูกเลี้ยงดู) จะเป็นตัวปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์หรือความคิดจิตใจของเราให้เป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่เคยชินหรือถูกเลี้ยงดูมา หมายความว่า ถ้าประสบการณ์เดิมไม่ดี ซอฟต์แวร์ที่ถูกเขียนขึ้นก็จะไม่ดี

“ในทางการแพทย์มนุษยปรัชญาจึงบอกว่า กระบวนการกล่อมเกลาหรือเลี้ยงดูเด็กให้มีพัฒนาการทั้งกายและจิตใจ ต้องทำผ่านการสร้างประสบการณ์ให้กับผัสสะ (สัมผัส) ต่างๆ เพราะผัสสะเป็นการรับรู้โลกภายนอก เด็กไม่ได้เรียนรู้ผ่านการสอน แต่ผ่านประสบการณ์ผัสสะของเขา เราใส่อะไรผ่านผัสสะให้เขารับรู้ มันจะฝังในหัว ในตัวตน และจะส่งผลต่อการเป็นเขาในระยะยาว

คือคำอธิบายของ นายแพทย์ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล หรือ หมอปอง แพทย์ธรรมชาติบำบัด ตามแนวมนุษยปรัชญา ในเวิร์คช็อปห้องเรียนพ่อแม่ไทยพาณิชย์* ณ อนุบาลบ้านรัก วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562

พูดในอีกความหมาย The 12 senses คือกระบวนการสร้างประสบการณ์ผ่านสัมผัสของเด็กแต่ละช่วงวัย แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ

  • Sense of Body: สร้างประสบการณ์ของเด็กในช่วงวัย 0-7 ปี
  • Sense of Soul สร้างประสบการณ์ของเด็กในช่วงวัย 7-14 ปี
  • Sense of Spirit สร้างประสบการณ์ของเด็กในช่วงวัย 14-21 ปี

อย่างที่คุณหมออธิบายว่า

“พัฒนาการของผัสสะทั้ง 12 เซนส์ เหมือนประตูของดวงจิตที่เปิดออกสู่โลกสามโลก โลกที่หนึ่ง-ผัสสะที่รับรู้ร่างกายของตัวเอง (Sense of Body), โลกที่สอง-ผัสสะที่จะรับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอก (Sense of Soul) สุดท้าย-ผัสสะและดวงจิตที่เชื่อมโยงกลับไปยังสิ่งที่เรียกว่า ปัญญา ความคิด (Sense of Spirit)”

The Potential เข้าไปซิทอิน จดเลคเชอร์วิธีคิดของคุณหมอ และเรียบเรียงออกมาให้คุณพ่อคุณแม่ คุณป้าคุณน้า หรือใครก็ตามที่กำลังมีบทบาทใดบทบาทหนึ่งในชีวิตที่ต้องกอปรสร้างเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นเป็นมนุษย์ ที่ไม่ได้เติบโตแค่ ‘พัฒนาการ’ แต่คือการเติบโตภายใน

Sense of Body

สร้างประสบการณ์ผ่าน ‘ร่างกาย’ ในช่วงวัย 0-7 ปี

ใน 4 เซนส์ หรือ 4 ประสบการณ์ทางผัสสะแรกในกลุ่มนี้ ประกอบด้วย Senses of Touch, of Life, of Movement และ of Balance

คุณหมออธิบายเพื่อทำความเข้าใจก่อนว่า ในช่วงขวบปีแรก คิดง่ายๆ ว่าเป็นทารกที่เพิ่งคลอด ทารกยังไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความทรงจำติดตัวมา เปรียบเทียบในแง่พัฒนาการ ช่วงทารกเป็นวัยที่มองไม่เห็น เดินไม่ได้ เท่ากับว่าความเข้าใจเรื่อง ‘ชีวิต’ ยังไม่เคยเกิดขึ้น ผัสสะที่จะถูกสร้าง คนรอบข้างมอบให้ คือประสบการณ์ใหม่ทั้งหมด

ผัสสะแรก – Senses of Touch จึงเป็นการรับประสบการณ์ผ่านการสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการโอบกอด อุ้ม ให้นมจากเต้า และสัมผัสอื่นๆ จึงเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ทำให้เขารับรู้ถึงการมีชีวิต มั่นคง และ ‘ไว้วางใจ’ (trust) ต่อโลก – ย้ำว่าไม่ใช่แค่ trust ที่เกิดแค่กับผู้มอบสัมผัส แต่เป็น trust ต่อโลก

ผัสสะที่สอง – Senses of Life อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า เพราะทารกเกิดมาโดยที่ไม่มีไอเดียของชีวิตอยู่เลย สัมผัสต่างๆ ที่ได้รับย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจต่อชีวิต พลังงานของชีวิต คุณหมอยกตัวอย่างให้เห็นถึงภาพกิจวัตรของเด็กที่มักร้องไห้ ด้วยเหตุผลที่ตรงไปตรงมาคือ ร้องเพราะไม่สบายตัว ร้องเพราะหิว ซึ่งหากสังเกต จะพบว่าเด็กมักร้องไห้อย่างเป็นเวลา เป็นจังหวะ หรือ rhythm

“จังหวะชีวิตสำคัญมากที่ทำให้เด็ก กิน อยู่ หลับ นอน ง่ายดาย ในภาษาแพทย์เรียกว่า rhythm ถ้า rhythm ไม่ดี เด็กจะมีอาการงอแง โยเย เลี้ยงยาก สังเกตได้เลยว่าถ้าวันไหนเราไม่อยู่บ้าน ไปช็อปปิ้ง เปลี่ยนที่เปลี่ยนทาง เช่น พาออกไปเที่ยว เราทำให้ Sense of Life ของเด็กผิดจังหวะ งอแงผิดปกติ แก้ยังไง? ถ้าอยากให้ลูกมีความมั่นคงต่อพลังชีวิต ก็ต้องสร้าง rhythm ที่สม่ำเสมอ

“สิ่งที่เราจะเห็นในการจัดการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ คือการจัดจังหวะ เช่น การจัดกิจกรรมในโรงเรียนต้องมีจังหวะที่ชัดเจน เช่น เข้ามาที่ห้องอาหารปุ๊บ จังหวะคือ เด็กต้องร้องเพลงขอบคุณอาหาร กินร่วมกัน จากนั้นจึงช่วยกันล้างจาน แล้วไปรวมกันอีกห้องซึ่งมีแต่นิทานและมีที่นอน ถ้าทำแบบนี้ทุกวันเป็นจังหวะเดิม เราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย ถึงเวลากินข้าว กิน ถึงเวลานอน นอน สำคัญคือเราต้องชัดเจน ถ้าเข้าไปห้องนอนแล้วมีเกมเต็มไปหมด เด็กก็จะสับสนว่าจะให้เล่นหรือนอนกันแน่? หรือ กำลังจะกินข้าว แต่บนโต๊ะอาหารมีหนังสือนิทาน นั่นเท่ากับเราสื่อสารไม่ชัดว่าจังหวะนี้ต้องการอะไร

“ถ้าเราอยากให้ลูกเราสุขภาพดีในระยะยาว การฝึกสิ่งเหล่านี้ให้เขารับรู้พลังชีวิตของตัวเอง และจังหวะเหล่านี้จะติดตัวเขาไปตลอด”

ผัสสะต่อชีวิต สำคัญต่อวิธีคิดในการจัดจังหวะชีวิต ส่งผลต่อวิธีคิดในการจัดการเวลาตอนโตขึ้น ทั้งยังเกี่ยวพันถึงเรื่องสุขภาพในระยะยาว อย่างที่คุณหมอยกตัวอย่างติดตลกว่า

‘เคยไหมที่เห็นเพื่อนบางคน ถึงเวลากินไม่กิน ถึงเวลานอนไม่นอน ถึงเวลาป่วย ดันโหมทำงาน?’ นี่นับเป็นผลพวงหนึ่งของการที่ถูกเลี้ยงอย่างไม่มีกิจกรรมที่มีจังหวะชัดเจน

ผัสสะที่สาม – Sense of Movement พัฒนาการที่สำคัญในช่วงผัสสะนี้คือช่วงที่เด็กเริ่มอยากจะเคลื่อนไหว การตั้งไข่ หัดคลาน หัดเดิน คุณหมอย้ำว่าพัฒนาการในช่วงนี้ไม่ใช่แค่ ‘การเดินได้เร็ว’ แต่คือการเห็นภาพ อยากจะยืดเหยียดแขนออกไปจับต้องสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เป็นการเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงกับความปรารถนาของตัวเองและการควบคุมจังหวะชีวิต

“การรู้ว่าร่างกายเราเคลื่อนไหวได้ มันสำคัญยังไง? เมื่อรู้ว่าเราเคลื่อนไหวได้ มันเกิดความเชื่อมโยงระหว่างความปรารถนาของตัวเองกับการเคลื่อนไหวไปหยิบจับ เช่น สมมุติเขาเห็นผลส้มอยู่ตรงหน้า การที่เขาสั่งจิตตัวเองให้เคลื่อนไปหยิบส้มลูกนั้นได้ มันเชื่อมโยงระหว่างความคิดกับเจตจำนงของตัวเขา

“มีคนบอกว่า ถ้าอยากให้เด็กเดินเร็วขึ้น ก็มีอุปกรณ์ให้เด็กเดินเร็ว เครื่องช่วยพยุง หรือพาไปลอยในน้ำดีไหมครับ? ถ้ามองในแง่พัฒนาการ เราอาจบอกว่า… ก็ดีนะ เขาอาจเดินเร็วขึ้นอีกหน่อย แต่ในมุมมองมนุษยปรัชญาบอกว่า สิ่งที่เขาไม่ได้ คือกระบวนการเรียนรู้บางอย่าง เช่น การใช้ความพยายามหาจังหวะจะคืบคลาน หรือเด็กที่ไม่เคยได้ออกไปวิ่งเล่นข้างนอก ส่วนใหญ่ใช้เวลากับเทคโนโลยี อาจไม่รู้จังหวะที่จะเข้าหาคน ทำอะไรไม่เคยสอดคล้องกับจังหวะสังคม คือเข้ากับคนอื่นได้ยากไม่เท่ากับที่ศักยภาพเขาควรมี เพราะเขาไม่เรียนรู้จังหวะภายใน เราไปขัดขวางกระบวนการเรียนรู้จังหวะควบคุมการกระทำของตัวเขาเอง”

ผัสสะที่สี่ – Sense of Balance ต่อเนื่องจากการคลาน พัฒนาการต่อไปคือการตั้งไข่และเริ่มก้าวเดิน การเดินที่หมายถึง ทักษะการทรงตัว อันหมายถึง ชีวิตที่สมดุล แต่นอกจากความสมดุลในชีวิต ผลพวงที่ได้มาคือการได้มองโลก ในทางการแพทย์ยังพบด้วยว่า คนที่มีสมดุลทางกายไม่ดี มีผลต่อทักษะการพูดและการฟังด้วย (ความเชื่อมโยงทักษะการฟัง จะกล่าวถึงใน Sense of Hearing)

“Sense of Balance หรือทักษะการทรงตัว โดยส่วนใหญ่จะพัฒนาเสร็จสิ้นในช่วง 1 ปี เร็วหรือช้ากว่านั้นไม่มาก สิ่งที่ล้ำลึกคือ นอกจากการพัฒนากล้ามเนื้อที่ได้มาพร้อมการยืนหรือทรงตัว คือการพูด เพราะเมื่อไรที่เรายืนได้อย่างมั่นคง เด็กจะมองไปไกล โอ้… ตรงนั้นมีคนอยู่ คุณแม่กำลังทำอะไรนะ ผู้ชายที่แม่เรียกว่าพ่อเขาทำอะไร ความอยากรู้อยากเห็นจากการมองไปได้ไกลเป็นตัวกระตุ้นทำให้เขาอยากพูด”

คุณหมอยกตัวอย่างเคสที่เคยให้คำปรึกษาครอบครัวหนึ่ง มีเด็กผู้ชายอายุราว 8 ขวบเข้าปรึกษาคุณหมอด้วยอาการติดอ่าง รักษาหลายศาสตร์แล้วแต่ไม่ดีขึ้น จนมาถึงคุณหมอปอง เมื่อพูดคุยแล้วพบว่า แม้น้องคนนี้จะอายุ 8 ขวบแล้วแต่ยังขี่จักรยานไม่ได้ คุณหมอจึงแนะนำให้ครอบครัวรักษาด้วยการ ‘ไปฝึกขี่จักรยาน’ และเล่น ‘โรลเลอร์เบลด’ ฝึกราว 1 ปี น้องคนนี้เริ่มพูดคล่องขึ้น”

กล่าวโดยสรุป 4 ผัสสะแรก คือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ผ่านผัสสะของร่างกายในช่วงที่ทารกยังไม่รับรู้เซนส์ของการมีชีวิต ซึ่งแต่ละผัสสะไม่ใช่แค่พัฒนาตรงตัว แต่เกี่ยวกับทักษะชีวิตในอนาคต กล่าวคือ

  • Senses of Touch เชื่อมโยงกับความรู้สึกมั่นคง (trust) ปลอดภัยต่อโลก
  • Senses of Life เชื่อมโยงกับการจัดจังหวะ (rhythm) และการมีสุขภาพดีในระยะยาว
  • Sense of Movement เชื่อมโยงกับการมองเห็น ความปรารถนา เจตจำนง และการควบคุมจังหวะชีวิต
  • Sense of Balance เชื่อมโยงกับการมองเห็นโลก ทักษะการพูดและการฟัง

Sense of Soul
สร้างประสบการณ์ของเด็กในช่วงวัย 7-14 ปี

4 เซนส์ต่อมา คือ Sense of Smell, of Taste, of Sight และ of Warmth ผัสสะเหล่านี้จะถูกพัฒนาอย่างยิ่งยวดในช่วงปฐมวัย จากที่เคยเล่นน้ำกลางแดดได้หลายชั่วโมง พอเข้าช่วงประถมก็เริ่มบ่นร้อนหนาวหนักเป็นพิเศษ จากที่เคยหยิบของตกพื้นมากิน ในวัยนี้แค่ปอกกล้วยแล้วขั้วดำ ก็เริ่มร้องยี้ไม่ขอจับอีกต่อไป

ผัสสะที่ห้า – Sense of Smell หรือการดมกลิ่น ในทางการแพทย์อธิบายว่าการดมกลิ่นมีความเชื่อมโยงสำคัญกับประสาทสมองทำให้แยกกลิ่นออกเป็นประเภทๆ ได้ ในอีกมุมหนึ่ง กลิ่นยังบอก เตือน หรือให้สัญญาณต่อชีวิตบางอย่าง จำแนกว่าสิ่งที่ดี หรือ อันตราย ร่างกายควรรับเข้าไปหรือไม่

“ปัญหาคืออะไร? ปัญหาคือถ้าเราเลี้ยงเขาด้วยกลิ่นสังเคราะห์ เลี้ยงด้วยเทคโนโลยีที่เห็นแต่ภาพ ไม่เคยพาออกไปเล่นข้างนอก ไม่เคยให้สัมผัสกับดอกไม้จริงหรือได้กลิ่นดินกลิ่นโคลน นอกจากสัมผัสจมูกเสียแล้ว คอมมอนเซนส์หรือการแยกแยะสิ่งดีสิ่งผิดปกติก็หายไปด้วย”

ผัสสะที่หก – Sense of Taste ต่อจากการดม คือการรับรสหรือการกิน ซึ่งเป็นการกินที่ ‘เลือก’ ว่าจะรับพลังงานอะไรเข้าไปในร่างกาย แน่นอนว่าการเลี้ยงลูกให้กินในสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่สวย ไม่น่ารับประทาน เป็นเรื่องชวนหัวในหมู่ผู้ปกครอง แต่คุณหมอย้ำว่า การฝึกให้กิน นอกจากฝึกให้สมองคุ้นชินกับรสชาติอาหาร ยังเป็นเรื่องของการฝึกให้ ‘อดในสิ่งที่อยาก ทนในสิ่งที่ไม่ชอบ’ การกินไม่ใช่แค่การรับพลังงานเข้าร่างกาย แต่ผัสสะในการกิน มีผลต่อ ‘เทสต์’ หรือรสนิยมของเขาด้วย

“มนุษยชาติเป็นนักชิมและรู้ด้วยว่าอะไรดีต่อร่างกายโดยไม่ต้องเสิร์ชหา แต่มีเซนส์จับได้ว่า กินสิ่งที่มีรสฝาดๆ เข้าไปนี้รู้เลยว่ามันจะทำให้ร่างกายกลับสู่สมดุลยังไง กินสิ่งนี้เข้าไปแล้วทำให้ร้อนในรึเปล่า รับรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดีกับสุขภาพ หมายความว่า เมื่อไรที่เสียเซนส์นี้ไป ไม่ได้เสียเรื่องการกิน แต่เสียเรื่องความคิดด้วย เหมือนในรากศัพท์ภาษาอังกฤษ taste ยังแปลว่ารสนิยม

“จะทำลายเทสต์ได้ยังไง? แทนที่จะกินอาหารสด ก็กินอาหารกระป๋อง กินอาหารสังเคราะห์ กินไปเรื่อยๆ เทสต์เราก็ฝาดไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้เขามีรสนิยมดี ก็ต้องให้เขากินดีหน่อย รวมทั้งต้องสอนให้เขา ‘ทนในสิ่งที่อยาก และอดในสิ่งที่ไม่อยาก’ เช่น รู้ว่าผักมันขม แต่กินนะลูก”

ผัสสะที่เจ็ด – Sense of Sight การสอนให้เด็กมีผัสสะทางสายตา หมายถึง การไม่ตัดสินจากภายนอก แต่ให้สร้างกระบวนการให้เด็กมองเห็นคุณค่าจากภายใน

“อันนี้วิกฤติเหมือนกัน ทำไมเดี๋ยวนี้เด็กอยากเป็นดารากันหมด เพราะเราเชื่อทุกอย่างที่ตาเห็นแต่ไม่รู้สึกถึงความเป็นจริงด้านอื่นที่อยู่ตรงหน้า ทุกคนอยากสวย อยากหล่อ เกิดเทรนด์การทำศัลยกรรม สำหรับคนที่อยากทำ เป็นสิทธินะครับ แต่กำลังชี้ว่า หน้าที่ของพ่อแม่คือทำยังไงให้เขามองข้ามสิ่งเหล่านี้ มองเห็นคุณค่าสิ่งที่อยู่ข้างใน เป็นเรื่องที่เราต้องสอนให้เขาเรียนรู้”

ผัสสะที่แปด – Sense of Warmth นอกจากผัสสะที่รับรู้ว่าถึงความร้อน/เย็น ลึกไปกว่านั้นคือความอบอุ่นจากข้างใน

“ตัวอย่าง ถ้ามีอ่างน้ำสองใบ ใบหนึ่งใส่น้ำร้อน ใบหนึ่งใส่น้ำเย็น เราเอามือข้างหนึ่งจุ่มน้ำร้อน อีกข้างจุ่มน้ำเย็น สักพักหนึ่งแล้วลองสลับข้างกัน มือที่เคยอยู่ในน้ำเย็นจะรู้สึกร้อน ส่วนมือที่อยู่ในน้ำร้อนจะเย็น หมายความว่าการรับรู้ร้อนเย็นไม่เหมือนปรอทหรือการวัดค่าสัมบูรณ์ แต่รับรู้ว่ากำลังมีอะไรเคลื่อนเข้ามาในตัว หรือกำลังสูญเสียอะไรออกไป การเข้าหรือออกของสิ่งนั้นมันเปลี่ยนความรู้สึก

“ความรู้สึกนี้เช่นเดียวกับ smell และ taste นะครับ คือมันอยู่ในการรับรู้ของดวงจิต ในแก่นของเราด้วย ถ้าเด็กคนไหนร้องอยู่ในเปลแล้วไม่มีคนสนใจ เด็กเหล่านี้ต้องทำตัวดื้อๆ หน่อย โดนตีก็ยังดี เด็กคนหนึ่งล้มเจ็บแล้วมีคนมาทายาให้ มีคนเข้ามาปลอบประโลม ข้างในมันรับรู้ได้ว่า กำลังมีความอบอุ่นจากข้างนอกเข้ามาข้างใน”

“เราจะไปบอกเด็กว่าช่วยทำตัวน่ารักหน่อยได้ไหม ไม่ได้ เพราะเราไม่เคยใส่ผัสสะความอบอุ่นให้กับเขาเลย ถ้าคุณพ่อคุณแม่คนไหนกำลังมีลูกอยู่ในวัยประถม คือ 7-14 ปี ช่วยดูแลสิ่งเหล่านี้ให้หน่อยนะครับ โตไปจะได้มีอนาคตที่ดี ไม่ได้พูดถึงอนาคตไหนนะครับ (หัวเราะ) อนาคตไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ที่บ้าน”

กล่าวโดยสรุป 4 ผัสสะใน Sense of Soul นี้ ไม่ใช่การแค่การรับรู้ในเชิงกายภาพ แต่เชื่อมโยงกับการเติบโตในการเป็นมนุษย์อีกด้วย คือ

  • Sense of Smell เชื่อมโยงกับ การแยกแยะสิ่งที่ดีและผิดปกติ
  • Sense of Taste เชื่อมโยงกับ รสนิยมในการใช้ชีวิต
  • Sense of Sight เชื่อมโยงกับ การไม่ตัดสินจากภายนอก
  • Sense of Warmth เชื่อมโยงกับความรู้สึก ‘อบอุ่น’

Sense of Spirit
สร้างประสบการณ์ของเด็กในช่วงวัย 14-21 ปี

4 ผัสสะสุดท้าย คือหมวดจิตใจภายใน คือ Sense of Hearing, of Speech, of Thought และ of Self ความน่าสนใจของเซนส์ในกลุ่มนี้คือ แต่ละเซนส์จะโยงกลับไปที่พัฒนาการทางผัสสะใน 4 เซนส์แรก เป็นการย้ำเตือนว่า หากพัฒนาการในช่วงแรกไม่ดี หรือประสบการณ์ในช่วงแรกไม่ถูกเติมเต็ม ยิ่งมีผลต่อพัฒนาการทางความคิดในตอนโต

ผัสสะที่เก้า – Sense of Hearing ไม่ใช่การได้ยินในเชิงสู่รู้อยากรู้เรื่องของคนอื่น แต่เป็นการเปิดให้อะไรบางอย่างเข้ามาในตัวเรา และวิวัฒนาการหูมนุษย์ยังถอยห่างจากอวัยวะภายในเชิงปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ ออกมาอยู่สูงขึ้นและแยกจากอวัยวะอื่น นั่นจึงทำให้เราได้ยินเสียงที่ละเมียดละไม ประณีต และสุนทรียะขึ้น มากกว่านั้นคือ ไม่ใช่การได้ยิน แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับการทรงตัว หรือ Sense of Balance ด้วย

“ที่ยกตัวอย่างในช่วงแรกว่า ถ้าเราไปเร่งหรือช่วยให้เด็กยืนเร็วเกินไป หรือไม่มี Sense of Balance สิ่งที่ตามมาคือ เขาจะเสียจังหวะในการอ่านด้วย เช่น ‘ไก่ จิก เด็ก ตาย เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง’ จังหวะการอ่านเขาอาจเสีย หรือความคิดในหัวไม่ flow อ่านไม่แตก เวลาอ่านต้องเริ่มจากการลดรูป กอ-ไอ-ไก-ไม้เอก-ไก่ เพราะอย่างนั้นจะกลับไปแก้อะไร? ไปหัดขี่จักรยาน (หัวเราะ) แต่มากกว่านั้น เวลาอ่านหรือพูด เราต้องเห็นภาพคำศัพท์ในหัว ต้องเชื่อมคำให้เป็นประโยค ต้องเกิด flow ในหัว ที่เกิดเป็นอีกทักษะที่เรียกว่า Sense of Language”

ผัสสะที่สิบ – Sense of Language ถ้าการได้ยิน เชื่อมกลับไปที่ทักษะการทรงตัว ทักษะด้านภาษา ก็เชื่อมกลับไปที่การเคลื่อนไหว หรือ Sense of Movement เช่นกัน

“ในเรื่องภาษา เด็กหลายคนสะกดคำได้ อ่านออก แต่ไม่มีทักษะทางภาษา ไม่สามารถแตกเป็นประโยคหรือทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางภาษาได้ ถ้าเราอยากพัฒนาสิ่งเหล่านี้ เราต้องให้เขามีการเคลื่อนไหวเยอะๆ เทคนิคหนึ่งคือการให้เด็กโยนรับของแล้วสับคำในหัว เช่น โยนหมอนแล้วเรียกชื่อคนมารับ โยนปุ๊บ ‘หนูไก่’ หนูไก่โยนต่อ ออกเสียง ‘คุณพ่อ’ กระบวนการนี้ช่วยให้พัฒนาการทางภาษาดีขึ้นเพราะเชื่อมคำให้เป็นประโยคจากมูฟเมนต์ของเขา”

ผัสสะที่สิบเอ็ด – Sense of Thought ไม่ใช่แค่ทักษะทางภาษาในเชิง พูดได้หรือไม่ได้ แต่เป็นเชิงการตีความระหว่างบรรทัด หรือ read between the line ซึ่งเชื่อมกลับไปยัง Sense of Life ในแง่การเข้าใจ ‘ชีวิต’ อีกด้วย

“งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า การสื่อสารของเราใช้วัจนภาษาแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 70 เปอร์เซ็นต์ผ่านอวัจนภาษาหรือน้ำเสียง เช่น ถ้าหมอบอกว่า ขอยืมรถคุณหน่อยได้ไหม สวยจังเลย แล้วคุณบอกว่า ‘ได้สิ’ (กดเสียงต่ำ) หรือ ‘ได้ซิ’ (ขึ้นเสียงสูง) แบบนี้ … ผมไม่ยืมนะ (หัวเราะ) ไม่น่าจะใช่คำอนุญาต

“ในทางการศึกษาจึงมักฝึกให้เด็กเล่นละคร เพราะคือการ integrate ระหว่างความคิดและการเคลื่อนไหว และความคิดกับภาษากายได้ดี”

ผัสสะที่สิบสอง – Sense of Self หรือ ‘I’ หมายถึงความเข้าใจในตัวตน เป็นได้ทั้งเข้าใจตัวตนของคนอื่นและตัวเอง เชื่อมโยงกลับไปสัมพันธ์กับ Sense of Touch ในแง่ที่ว่า หากตอนเด็กๆ ได้รับสัมผัสที่เต็มพร้อมจากคนรอบข้าง รู้ได้ว่านี่คือแม่ มีความชอบ มีตัวตนแบบนี้ นี่คือพ่อ มีความชอบ มีตัวตนแบบนี้ เด็กจะรับรู้ได้ว่า มีตัวตนอื่นอยู่ในสังคมนี้

“นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ถ้าเด็กคนหนึ่งเดินไปเจอของสิ่งหนึ่งวางอยู่ อยากได้ จึงหยิบมา เพราะเขาไม่รู้ว่าของนี้มีตัวตนของเจ้าของอยู่นะ สไตเนอร์บอกว่านี่คือหลักของคุณธรรม หรือ moral เลย ไม่ว่าจะเป็น ความเห็นอกเห็นใจ ความเกรงใจ แล้วจะพัฒนา moral ยังไง ให้เด็กท่องศีล 5? (หัวเราะ) ไม่ต้องหรอก แค่กอดเยอะๆ ให้ความสัมพันธ์ดีๆ กับเขาก่อนมันจึงเกิดความรู้สึกว่า เออ… มันมีคนอื่นที่มันต้องปฏิสัมพันธ์นะ”

กล่าวโดยสรุปใน 4 ผัสสะสุดท้าย คือ

  • Sense of Hearing เชื่อมโยงกับความละเมียดละไม สุนทรียะ และ กลับไปเชื่อมโยงกับทักษะการทรงตัว หรือ Sense of Balance
  • Sense of Language เชื่อมโยงกับทักษะการเคลื่อนไหว หรือ Sense of Movement
  • Sense of Thought เชื่อมโยงกับ การตีความระหว่างบรรทัด และกลับไปเชื่อมโยงกับ Sense of Life ในแง่การเข้าใจ ‘ชีวิต’
  • Sense of Self เชื่อมโยงกับการรับรู้ตัวตนของตัวเองและคนอื่น กลับไปเชื่อมโยงกับ Sense of Touch

ก่อนปิดห้องเรียนและมีกิจกรรมสร้างพัฒนาการด้วยเสียงเพลงกันต่อ คุณหมอกล่าวปิดท้ายว่า

“ถ้าเรามี Sense of Thought แน่นอนเรามี IQ สูง แต่สิ่งที่อยากได้มากกว่าคือความเป็นคน และทั้งหมดไม่ได้เกิดจากการนั่งเรียนในห้อง แต่เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ทุกคน

“ในช่วง 0-7 ปีของเขา ให้เขาได้เคลื่อนไหวเยอะๆ, 7-14 ปี สอนให้อดให้ทน อดในสิ่งที่ชอบ ทนในสิ่งที่ไม่ชอบ มองข้ามสิ่งที่ตาเห็นเข้าไปสู่คุณค่าที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ และ 14-21 ปีค่อยพัฒนาเรื่องปรัชญา ความจริง ศิลปะ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ถ้าทำแบบนั้นได้ เราจะได้นักปรัชญาที่เป็นมนุษย์”

Fun Fact

*ห้องเรียนพ่อแม่ไทยพาณิชย์: ธนาคารไทยพาณิชย์ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจล ทำโครงการห้องเรียนพ่อแม่ไทยพาณิชย์ ด้วยเข้าใจถึงความสำคัญในการจัดการศึกษาในชั้นอนุบาลที่ต้องเน้นสร้างพัฒนาการร่างกายมากกว่าเร่งเนื้อหาทางวิชาการ ขณะเดียวกัน ตระหนักดีว่ามีผู้ปกครองหลายท่านเข้าใจข้อเท็จจริงนี้ดีแต่มีข้อจำกัดในชีวิตการทำงาน ทั้งโรงเรียนทางเลือกในลักษณะนี้มีจำกัดและมักมีค่าใช้จ่ายสูง

เพื่อให้พ่อแม่พนักงานไทยพาณิชย์มีความรู้ความเข้าใจในการดูแลและส่งเสริมให้ลูกเกิดพัฒนาการตามวัย จึงจัดตั้งโครงการห้องเรียนไทยพาณิชย์เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้กับพนักงาน สร้างพื้นที่การเรียนรู้ตามพัฒนาการในพื้นที่ของตัวเองได้

**The 12 Senses คือกระบวนการสร้างประสบการณ์ผ่านสัมผัสของเด็กแต่ละช่วงวัย เสนอครั้งแรกโดย รูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) นักปรัชญาชาวเยอรมัน-ออสเตรีย ทั้งยังเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม สถาปนิก และสนใจปรัชญาแบบ คุยหลัทธิ (Esotericism) มีนักวิชาการและนักการศึกษา ศึกษาและตีความแนวคิดของสไตเนอร์อย่างกว้างขวาง หนึ่งในนั้นคือการตีความด้วยแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf)

Tags:

จิตวิทยาการเติบโตการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)The Twelve Sensesนพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • How to enjoy life
    ใช้ ‘สติ’ ค้นหา ‘ความหลงใหล’ ไปสู่สิ่งที่ใช่โดยไม่หลงทาง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    ‘ตอนนี้’ และ ‘โตขึ้น’ อยากเป็นอะไร พ่อแม่ช่วยลูกค้นหาได้ด้วย 9 วิธีนี้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.2: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • Social Issues
    “กู้หมูป่าให้สุด แล้วหยุดที่ชีวิตปกติ” พญ.พรรณพิมล วิปุลากร

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Social Issues
    “ปล่อยทีมหมูป่าไป แล้วพวกเขาจะกลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคต” นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็ก-วัยรุ่น และโค้ชทีมฟุตบอล

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง
SpaceCreative learning
29 April 2019

โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • ข้อกังวลหลักของผู้ปกครองในยุคนี้น่าจะเป็นความไม่คุ้นชินที่ต้องออกไปในพื้นที่ธรรมชาติ อาจเป็นเพราะผู้ปกครองผ่านวัยเด็กมาแบบไม่เคยย่างกรายออกนอกพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งก็ต้องนับถือน้ำใจอันหาญกล้าที่ตัดสินใจปล่อย ‘ไข่’ มาอยู่ในมือผม ที่ผมอาจจะทำให้บอบช้ำก็ได้
  • การเรียนเรื่องธรรมชาติมีความจำเป็นต้องออกไปในพื้นที่จริง ไปดู ไปเห็น ไปได้ยิน ไปดม ไปสัมผัส การเรียนผ่านการใช้โสตสัมผัสต่างๆ ของร่างกายเราเป็นการเรียนที่เห็นผลมากที่สุด ซึ่งเด็กๆ ควรจะได้รับการฝึกฝน โดยเฉพาะกับเด็กช่วงสี่ขวบขึ้นไปควรจะได้พัฒนาทักษะพวกนี้อย่างมาก
  • เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ครูสอนธรรมชาติศึกษา ที่สอนเรื่องเล็กๆในธรรมชาติ หวังให้เด็กๆ ได้เติบโตไปพร้อมๆ กับความเข้าใจเรื่องธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าห้องเรียนที่ดีที่สุดของเด็กปฐมวัยก็คือ “ห้องเรียนธรรมชาติ”

ผมหลงใหลธรรมชาติมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามีอะไรดลใจให้ผมติดหนึบอยู่กับโลกใบนี้ ทั้งๆ ที่ในช่วงวัยรุ่น ผมมีทางเลือกมากมายที่จะหลุดเข้าไปในอุโมงค์อันหลากหลาย แต่ผมก็ไม่ได้เลือก ผมกลับเลือกกล้องถ่ายภาพตัวหนึ่ง หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊กของนักเขียนบางคน แล้วก็เปิดประตูโลกธรรมชาติ ก้าวเท้าเดินหน้าเข้าไป นับตั้งแต่อายุ 20 เป็นต้นมา ผมไม่เคยถอยหลังออกมาจากโลกใบนี้

กล้องถ่ายภาพ

หนังสือ

และธรรมชาติ

ผมใช้ชีวิตกับ ‘สามสิ่ง’ นี้มาเกือบสี่สิบปี ผมไม่ได้รู้สึกว่านานหรือโลกหมุนช้าไปเลยแม้แต่นาทีเดียว แม้กระทั่งอาชีพที่หล่อเลี้ยงชีวิตมายาวนานก็มาจาก “สามสิ่ง” ที่ว่านี้ หมุนเวียนหน้าที่ไปตามภารกิจของแต่ละช่วงแต่ละยุคสมัย

จนล่าสุด เมื่อสิบปีที่แล้ว ผมเริ่มเปลี่ยนจากเขียนหนังสือมาเป็นการ ‘พูด’ เพื่อสื่อสารแทน แน่นอนว่าการสื่อสารของผมยังคงเป็นเรื่องเดิม ‘ธรรมชาติ’ เป็นการเอาประสบการณ์ด้านธรรมชาติในช่วงแสวงหาที่ผ่านมาของผมมาถ่ายทอดต่อผ่านคำพูด โดยมีสื่อการสอนเป็นทั้งภาพถ่ายและวิดีโอที่ผมเก็บเกี่ยวมาด้วยตัวเอง

มักมีคนถามผมอยู่บ่อยๆ ว่าผมสอนอะไรในวิชาธรรมชาติ ถ้าจะตอบสั้นๆ เข้าใจง่าย และไม่มีเวลาอธิบายยาวๆ ก็น่าจะเป็น ‘ชีววิทยา’ ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงเท่าไหร่นัก ความเป็นจริงเนื้อหาที่อยู่ในใจผมทั้งหมดก็คือ ‘ความสัมพันธ์กันในธรรมชาติ’ หรือพูดให้สวยหน่อยก็ประมาณ ‘นิเวศวิทยา’

ไม่ว่าเราจะเรียนรู้เรื่องอะไรในธรรมชาติ ท้ายที่สุดแล้วถ้า ‘ไม่ได้เชื่อมโยง’ ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ที่โยงใยกันอยู่ในธรรมชาติก็ยากที่จะเข้าใจและมองเห็นประโยชน์ของการเรียนรู้ในเรื่องนี้ ไม่ต่างจากการเรียนวิทยาศาสตร์จากภาพประกอบในหนังสือเพียงเพื่อทำข้อสอบให้ผ่านเท่านั้นเอง

ธรรมชาติ เป็นคำที่มีความหมายลึกซึ้ง ‘ธรรม + ชาติ’ มันคือความจริงของชีวิตที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ ทุกเรื่องในธรรมชาติสอนเราได้หมด ขึ้นอยู่กับเราจะเป็นนักเรียนแบบไหน ตั้งใจ เข้าใจ และมองเห็นเรื่องราวในธรรมชาติได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับการมองของเราเอง

ธรรมชาติสอนเราทั้งเรื่องชีววิทยา เรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ เรื่องการพึ่งพาอาศัย เรื่องของสังคม เรื่องการเปลี่ยนแปลง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่ล้วนเป็นสัจธรรม และทุกเรื่องที่เราเรียนจากธรรมชาติก็คือความเป็นชีวิตจริง ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติเราจะมองโลกมองสังคมเป็นอีกแบบหนึ่ง เราจะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในธรรมชาติล้วนแต่มีเหตุ มีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดผุดขึ้นมา เกิดขึ้นมา แบบโดดๆ หาความเป็นมาไม่ได้ ไม่มี

ธรรมชาติสัมพันธ์กับชีวิตเราทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติในอีกซีกโลกหนึ่งก็ตาม เมื่อเข้าใจธรรมชาติ เราก็เข้าใจความจริงของชีวิต ศาสตร์ทุกศาสตร์ที่เราเรียนรู้บนโลกนี้ก็เช่นกัน ต่างเชื่อมโยงถึงเสี้ยวส่วนของธรรมชาติทั้งสิ้น

นี่เป็นเรื่องที่ผมนำมาถ่ายทอด นำมาสื่อสารต่อไปยังเด็กๆ รุ่นใหม่ ผมไม่รู้หรอกว่าลึกๆ แล้วในความคิด ในมุมมองของผู้ปกครองที่ส่งลูกๆ มาเรียนกับผมคาดหวังอะไร แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่ง อย่างน้อยผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็คงมองเห็นว่า ‘เรื่องราวของธรรมชาติ’ ไม่ได้มีพิษภัยที่ต้องควรระมัดระวัง รู้ไว้ก็ไม่เสียหลาย อะไรทำนองนั้น

ข้อกังวลหลักของผู้ปกครองในยุคนี้ น่าจะเป็นความไม่คุ้นชินที่ต้องออกไปในพื้นที่ธรรมชาติ อาจเป็นเพราะผู้ปกครองผ่านวัยเด็กมาแบบไม่เคยย่างกรายออกนอกพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งก็ต้องนับถือน้ำใจอันหาญกล้าที่ตัดสินใจปล่อย ‘ไข่’ มาอยู่ในมือผม ที่ผมอาจจะทำให้บอบช้ำก็ได้

การเรียนเรื่องธรรมชาติมีความจำเป็นต้องออกไปในพื้นที่จริง ไปดู ไปเห็น ไปได้ยิน ไปดม ไปสัมผัส การเรียนผ่านการใช้โสตสัมผัสต่างๆ ของร่างกายเราเป็นการเรียนที่เห็นผลมากที่สุด ซึ่งเด็กๆ ควรจะได้รับการฝึกฝน โดยเฉพาะกับเด็กช่วงสี่ขวบขึ้นไปควรจะได้พัฒนาทักษะพวกนี้อย่างมาก ปัจจุบันเราส่งลูกไปโรงเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล บางโรงเรียนเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับทักษะอันนี้ ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกการเขียน ฝึกการอ่าน เพียงอย่างเดียว

การฝึกทักษะเรื่องสัมผัสต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ประสาทส่วนต่างๆ เหล่านี้ได้ทำงานบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการดมกลิ่น การฟัง การเห็น การสัมผัสร้อน อุ่น เย็น ของผิวหนังส่วนต่างๆ สามารถฝึกได้ที่บ้าน ไม่ต้องรอโรงเรียน

แต่ถ้าเราได้เข้าไปในพื้นที่ธรรมชาติ เข้าไปในที่ที่เราไม่คุ้นเคย เราจะตื่นตัวกับการใช้ประสาทสัมผัสเหล่านี้โดยอัตโนมัติ เป็นการกระตุ้นทางอ้อม เมื่อเด็กๆ ได้ใช้บ่อยๆ ระบบการทำงานประสาทพวกนี้ก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เรื่องการทรงตัว ยืน เดิน วิ่ง ก็สำคัญ กล้ามเนื้อเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา เอว ก็จะถูกกระตุ้นให้พัฒนาขึ้นเมื่อเด็กๆ ได้ไปเดินในสภาพพื้นที่ไม่เรียบ มีสูงต่ำ สภาพที่ไม่ปกติจากชีวิตประจำวัน จากเด็กที่เดินแล้วล้มบ่อย หรือวิ่งทีไรก็สะดุดเท้าตัวเองทุกที ก็จะค่อยๆ ดีขึ้น

ผมว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องสำคัญของเด็กในช่วงปฐมวัยที่ควรถูกพัฒนาก่อนที่จะโตเกินไป

ถามว่า ไม่ไปในพื้นที่ธรรมชาติ เราฝึกเรื่องเหล่านี้ได้มั้ย? ฝึกได้ครับ แต่เรามักหลงลืมที่จะทำเท่านั้นเอง จนกว่าหมอจะแนะนำให้เราทำนั่นแหละจึงจะเริ่มต้น

ที่สำคัญเด็กบางครอบครัวอาจจะต้องอยู่ในภาวะ ‘ปลอดสายตา’ ของพ่อแม่บ้าง เปิดโอกาสให้ครูได้ใช้ขบวนการต่างๆ ฝึกทักษะให้กับเด็ก หรือพ่อแม่ต้องหักห้ามใจตัวเองไม่ให้กล่าว

“อย่านะลูก เดี๋ยว…”

อย่านะลูก เดี๋ยวล้ม…

อย่านะลูก เดี๋ยวโดนกัด…

อย่านะลูก เดี๋ยวเจ็บ…

อย่านะลูก เดี๋ยวไม่สบาย..

คำเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่จะหักห้ามใจไม่ให้พูดสำหรับพ่อแม่บางคน

การเรียนเรื่องธรรมชาติและการออกไปสัมผัสกับธรรมชาติโดยตรง เป็นการทำงานไปพร้อมๆ ทั้งทางร่างกายและทางสมอง การเรียนรู้ของเด็กๆ แต่ละคนมีความชอบแตกต่างกัน (ที่อาจจะมาจากยีน มาจากพัฒนาการของร่างกาย มาจากระดับอายุ และปัจจัยอื่นๆ) เมื่อมาเรียนเรื่องธรรมชาติด้วยวิธีการเรียนการสอนผ่านการเล่น การสัมผัสจริง เปิดโอกาสให้เด็กๆ ใช้ศักยภาพของตนเองในทางที่ถนัดมากขึ้น เช่น บางคนชอบดู ชอบสัมผัส ชอบทดสอบ บางคนชอบบันทึกโดยการเขียน ลากเส้น วาดภาพ บางคนบันทึกโดยการจำ ซึ่งถ้าเปิดโอกาสให้ทำตามที่ถนัด เด็กก็สามารถเรียนรู้และเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่แพ้กัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้สอนก็มีส่วนสำคัญในการขบวนการเรียนการสอน ถ้ายังใช้รูปแบบเดิมๆ ที่เป็นรูปแบบเดียวกันกับห้องเรียนตามปกติ ขบวนการเรียนรู้เรื่องธรรมชาติก็อาจจะไม่ได้ให้ผลดีต่อศักยภาพของเด็กตามที่ควรจะเป็น ผู้สอนก็ควรมีความยืดหยุ่นไปตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน ซึ่งอันนี้จะเป็นเรื่องยากของครูที่สอนอยู่ในชั้นเรียนแบบปกติทั่วไป

และไม่ว่าเด็กจะมีศักยภาพแบบไหน ในพื้นที่ธรรมชาติก็เป็นสนามเด็กเล่น เป็นพื้นที่ของการผจญภัย เป็นโลกมหัศจรรย์ที่น่าเล่นสนุกสำหรับเด็กเกือบจะร้อยทั้งร้อยอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะพาเด็กๆ เรียนรู้เรื่องอะไร เมื่อเด็กเบื่อจากเรื่องหนึ่ง เด็กก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องหนึ่งได้ไม่ยาก และการเรียนรู้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างการเล่นสนุกของเด็กๆ นั่นเอง

ผมจึงคิดว่า ธรรมชาติ คือ ครู ที่สุดยอดของพวกเด็กๆ ทุกคน

Tags:

โรงเรียนธรรมชาติเกรียงไกร สุวรรณภักดิ์เข้าป่าสิ่งแวดล้อมeco literacyโรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)

Author:

illustrator

เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ‘วิชาลูกทะเล’ ฝึกเด็กๆ ให้ฟังปลาและหากิน

    เรื่องและภาพ เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • Creative learning
    ไม่อย่า ไม่ห้าม ในห้องเรียนท้องฟ้ากับวิชาต้นไม้

    เรื่องและภาพ BONALISA SMILE

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    พัฒนาการ 8 ด้าน จากการออกไปเรียนใกล้ๆ ธรรมชาติ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

พ่อแม่เคยชอบพี่เบิร์ดอย่างไร ลูกก็ชอบ BLACKPINK อย่างนั้น: นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์
How to get along with teenager
29 April 2019

พ่อแม่เคยชอบพี่เบิร์ดอย่างไร ลูกก็ชอบ BLACKPINK อย่างนั้น: นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

เรื่อง

  • ทำความเข้าใจ ‘ความติ่ง’ ให้ลึกลงไปด้วยฟังข้อมูลและคำแนะนำจากจิตแพทย์ ที่นิยามสั้นๆ ว่า ติ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ลุ่มลึกและทำลายยาก
  • ค่อยๆ แนะนำและอธิบายอย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา โดย นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทยย์เด็กและวัยรุ่น โฆษกกรมสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
  • “พ่อแม่เคยชอบพี่เบิร์ดอย่างไร ลูกก็ชอบ BLACKPINK อย่างนั้นล่ะครับ”  คุณหมอเปรียบเทียบ
นายแพทย์วรตม์ โชติพิทยสุนนท์
โฆษกกรมสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

ข่าวดี!! ศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปสุดฮ็อต จะมาจัดคอนเสิร์ตในไทยอีกครั้ง ถึง 2 รอบการแสดง #เก็บเงินกันรัวๆ เลย

ประโยคนี้คงเป็นข่าวดีมากสำหรับแฟนๆ ที่เป็นติ่ง แต่คงไม่ใช่ข่าวดีสำหรับพ่อแม่แน่ๆ โดยเฉพาะแฮชแทคปิดท้าย

พ่อ-แม่-ลูก หลายๆ บ้าน โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกวัยรุ่น น่าจะคุ้นกับสถานการณ์เช่นนี้ บางบ้านก็ดีลได้ แต่หลายบ้านจบลงด้วยการทะเลาะกัน เพราะต่างฝ่ายต่างคาดหวังความเข้าอกเข้าใจ แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียง “การไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ”

“ติ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ลุ่มลึกและทำลายยาก”

ประโยคสำคัญจาก นายแพทย์วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ที่อธิบายความรู้สึกของติ่งในฐานะจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกลับมาฟัง เข้าใจ และไม่ดูถูกหัวใจจนบาดหมางกัน

นับหนึ่งด้วยการสังเกตพฤติกรรม

สมัยนี้เป็นอะไรที่สังเกตเห็นง่ายมากๆ ครับ จากรายการทีวีที่ลูกชอบดู Youtube ที่ลูกชอบเปิด เพลงที่ลูกชอบฟัง ผมว่าเราก็เห็นได้แล้วว่าลูกชอบอะไร ยิ่งถ้าเป็นเพื่อนกับลูกใน social media ยิ่งชัดเจนมากๆ เพราะเขาจะโพสต์อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เขาชอบบน Facebook แน่นอน ยิ่ง Twitter ที่เป็นวงสังคมหลักของกลุ่มแฟนด้อมต่างๆ นี่ง่ายเลย อันนี้อ่านไม่กี่ทวิตของลูกก็รู้แล้วว่าลูกเราชอบวงอะไร ชอบดารานักร้องคนไหน กำลังรอจะไปคอนเสิร์ตหรือแฟนมีตติ้งที่ไหนบ้าง

ความรัก (ของติ่ง) คือนามธรรมและไม่มีจุดตรงกลางสมบูรณ์

ถ้าถามผมว่าพฤติกรรมติ่งมีกี่ระดับนี่คงตอบยากมากๆ ครับ เพราะระดับความรักความชอบของคนมันเป็นนามธรรม มันเป็นความรู้สึกที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ จับต้องไม่ได้ แม้จะใช้เครื่องมือทางจิตวิทยาก็ยังเอามาประเมินได้ยากเลย ถ้าจะไปวัดตรงระดับพฤติกรรมแทนก็อาจจะยากเช่นเดียวกัน เพราะว่าพฤติกรรมของมนุษย์มันไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าแบบไหนมาก แบบไหนน้อย ไม่มีจุดตรงกลางสมบูรณ์ มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าบรรทัดฐานทางสังคม ในขณะที่บางสังคมมองว่าพฤติกรรมแบบนี้ถือว่าเล็กน้อยมาก แต่บางสังคมอาจมองว่านี่มันมากเกินไปจนรับไม่ได้แล้ว คนละสังคมค่านิยมก็ต่างกัน นอกจากนั้น การรับรู้บรรทัดฐานทางสังคมของแต่ละบุคคลเองก็สำคัญมากเช่นกัน

ถ้าเราไปยืนอยู่ตรงจุดขวาสุดตรงจุดที่เกลียดไอดอลเกาหลีเข้าไส้ เราอาจมองว่าใครก็ตามที่ยืนอยู่ซ้ายมือถัดเราไป พวกนี้เป็นติ่งเกาหลีน่ารำคาญทั้งหมด

เอาเป็นว่าถ้าจะให้แบ่งจริงๆ ผมคงแบ่งเป็น พฤติกรรมติ่งทั่วไป กับ พฤติกรรมติ่งแบบเสียสุขภาพ ครับ ถ้าพฤติกรรมติ่งของลูกนั้นอยู่ในขอบเขตที่ไม่ทำให้เสียหน้าที่ในการทำงาน เสียการเรียน เสียเงินทองจนเกินตัว หรือสูญเสียความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว และคนรอบข้าง ผมก็ยังมองว่าแบบนี้ก็เป็นปกติทั่วๆ ไป ใครก็เป็นได้ เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ถ้าเป็นติ่งแล้วเสียสุขภาพกายและสุขภาพจิต เป็นติ่งแล้วต้องเสียสละอนาคตตัวเองไปนี่ อันนี้ไม่โอเค พ่อแม่คงต้องเริ่มหาทางช่วยเหลืออะไรบางอย่าง

ติ่งอย่างไรถึงเสียสุขภาพ

พฤติกรรมติ่งแบบเสียสุขภาพมีการพูดถึงในบางกลุ่มอาการทางจิตเวชเหมือนกัน เช่น Celebrity Worship Syndrome ที่มีอาการย้ำคิดวกวนอยู่กับเรื่องของคนที่ตัวเองชอบ ควบคุมความคลั่งไคล้ของตัวเองไม่ได้ ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ขั้น

ระดับ Entertainment-social อันนี้เป็นขั้นต้นที่มีความย้ำคิดวกวนเรื่องไอดอลซ้ำๆ เฉยๆ ชักชวนให้คนอื่นมาชอบเหมือนตนเองบ้าง ติดตาม social media ของไอดอลอย่างใกล้ชิด ระดับต้นนี้ถ้าในวัยรุ่นหญิงอาจมีปัญหา เช่น อยากหุ่นดีแบบไอดอลจนเริ่มลดน้ำหนักด้วยวิธีที่ผิดๆ

ระดับ Intense-personal เป็นระดับกลาง เริ่มเอาเรื่องไอดอลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ขาดไม่ได้เหมือนเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต เริ่มรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ กลัวไอดอลจะไม่ชอบตัวเอง ในบางคนอาจเริ่มทำศัลยกรรมเพื่อให้ไอดอลชอบหรือให้เหมือนไอดอลที่ตัวเองชอบ

ระดับ Borderline-pathological เป็นระดับรุนแรง เริ่มแยกเส้นแบ่งความเป็นจริงกับเรื่องในจินตนาการไม่ได้ มีการตัดสินใจในการใช้เงินแบบไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก มีอาการหวาดระแวงวิตกกังวลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไอดอล ต้องได้รับความช่วยเหลือโดยด่วน

หรือบางคนอาจมีอาการ Erotomanic คือ มีความเชื่ออย่างสนิทใจว่าไอดอลคนนั้นก็มีความรู้สึกรักเรากลับมาเหมือนกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้เหตุผลอะไรมารองรับความเชื่อนี้เลย ถ้ามีอาการแบบนี้คงต้องมาบำบัดรักษากันอย่างจริงจัง เพราะเราจะได้ยินข่าวบ่อยๆ ว่า บางคนพัฒนาไปเป็น stalker หรือ บางคนถึงขั้นบุกบ้านทำร้ายร่างกายไอดอลเพราะไม่อยากให้คนอื่นมาแย่งไป ก็มีให้เห็นตามข่าวต่างประเทศบ่อยๆ

‘ติ่ง’ ความสัมพันธ์ลุ่มลึกและทำลายยาก

การเป็นติ่ง โดยหลักๆ แล้วเป็นรูปแบบความสัมพันธ์แบบด้านเดียว (one-sided relationship) ที่มีต่อเหล่าไอดอลที่มีชื่อเสียง ความสัมพันธ์ด้านเดียวนี่หมายถึง การที่ฝ่ายหนึ่งเริ่มรู้จักอีกฝ่ายดีเป็นอย่างมาก โดยที่ฝ่ายหลังนั้นแทบไม่รู้จักหรือรับรู้การมีตัวตนอยู่ของฝ่ายแรกเลย การเข้าสู่การเป็นติ่งเกาหลี เริ่มจากตระหนักการมีตัวตนของไอดอลก่อน อาจจะตระหนักเพราะเขา/เธอหน้าตาดี ความสามารถดี หรือเพื่อนชักชวน พอเริ่มล็อคเป้าแล้วว่าบุคคลนี้น่าสนใจ น่าค้นหา จึงเริ่มติดตามผลงานและเรื่องส่วนตัวมากขึ้น ความรู้สึกใกล้ชิดและผูกพัน (sense of attachment) จึงเริ่มเกิดขึ้น ยิ่งรับข้อมูลข่าวสารหรือดูรายการที่เกี่ยวกับไอดอลคนนั้นมากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดความผูกพันมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดความสุขในการผูกพัน จึงใช้กำลังกายและกำลังเงินในการหาความสุขในการเป็นติ่งมากขึ้นตามลำดับ

บริษัทที่ดูแลไอดอลทั้งเกาหลีและญี่ปุ่นก็ฉลาดด้านธุรกิจ พยายามวาง position ของไอดอลทั้งหลายให้สัมผัสผลงานได้ง่ายแต่กลับสัมผัสตัวจริงไม่ง่ายนัก กว่าจะได้สัมผัสตัวตนอย่างใกล้ชิดต้องมีหลายขั้นตอน ต้องรอคอย มาดักรอสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ บางครั้งกว่าจะได้ไฮทัชไอดอลเกาหลีต้องต่อคิวเบียดเสียดกับคนอื่นมหาศาล ฝั่งติ่งไอดอลญี่ปุ่นก็ต้องเสียเงินเพื่อจับมือสั้นๆ ซึ่งนี่เองเป็นการส่งเสริมให้ความสัมพันธ์แบบด้านเดียวเข้มแข็งขึ้น

ความสัมพันธ์แบบนี้ลุ่มลึกและทำลายยาก เพราะเป็นความชอบแบบไม่คาดหวัง แม้จะได้ใกล้ชิดกันเพียงสั้นๆ ก็ตาม แต่อีกฝ่ายที่เป็นไอดอลนั้นปฏิเสธเราไม่ได้ เราจึงรู้สึกมั่นคง เราจินตนาการอะไรเพิ่มเติมลงไปก็ได้ในเนื้อหาความสัมพันธ์ เป็นความสัมพันธ์ที่เราเองควบคุมได้ ความสัมพันธ์จะหายไปก็ต่อเมื่อเราตัดสินใจแล้วว่าจะเท…เท่านั้นเอง

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้พฤติกรรมติ่งกระจายเป็นวงกว้างออกไป คงเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยารูปแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า Bandwagon effect อธิบายง่ายๆ ว่า พฤติกรรมใดเป็นที่นิยมมากๆ ในวงสังคม ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ทำตาม ยิ่งในวัยรุ่นต้องการเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ มีแรงกดดันจากเพื่อน (peer pressure) อยู่สม่ำเสมอ การเป็นคนเดียวที่คุยเรื่องไอดอลเกาหลีไม่รู้เรื่องอาจทำให้รู้สึกไม่สบายใจและกลายเป็นคนนอกกลุ่ม คนที่สนใจเล็กน้อยก็จะได้รับแรงเสริมจากเพื่อนอย่างสม่ำเสมอ สักพักก็จะสนใจและรู้สึกผูกพันมากขึ้นไปเอง

ก่อนจะดีลกับลูก พ่อแม่ต้องดีลกับตัวเองก่อน

ก่อนจะไปดีลอะไรกับลูก พ่อแม่ต้องดีลกับตัวเองก่อนเลยครับ สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรนึกถึงอย่างแรกคือ การที่ลูกบ้าดารานักร้องนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย มันเป็นเรื่องปกติจริงๆ และการบ้าดารานักร้องนั้นมีมานานตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายแล้วด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ ครับ ย้อนไปประมาณ 50 ปีก่อน ผู้คนทั่วโลกคลั่งไคล้วงเดอะบีเทิลส์ (The Beatles) มากๆ สมัยนั้นพูดได้เลยว่าวัยรุ่นแทบจะทุกคนคลั่งวงนี้หมด คลั่งขนาดเปลี่ยนภาพลักษณ์วัยรุ่นอังกฤษที่มักถูกสอนให้เงียบขรึม กลายเป็นคลุ้มคลั่งวิ่งไล่ตามพ่อสี่หนุ่มเต่าทองกันเป็นหมื่นๆ คนเลยทีเดียว ต้องไปนอนเฝ้าซื้อบัตรกันเป็นวันๆ เพราะสมัยนั้นไม่มีจองออนไลน์ ถ้าเอาตัวอย่างในประเทศไทย สมัยคุณพ่อคุณแม่เองตอนวัยรุ่นก็น่าจะเคยเห็นภาพผู้คนเป็นพันๆ วิ่งไล่ตามรถของพี่เบิร์ด ธงไชย ก่อนขึ้นคอนเสิร์ตเหมือนกันใช่ไหมครับ นั่นแหละครับแบบเดียวกัน

เมื่อพ่อแม่เข้าใจแล้วว่าเรื่องนี้อยู่กับสังคมมนุษย์มานาน ก็ให้ทำความเข้าใจเพิ่มเติมว่ารายละเอียดต่างๆ ของการคลั่งดารานักร้องก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและเทคโนโลยี เมื่อมีเทคโนโลยีมากขึ้น การเข้าถึงง่ายมากขึ้น วิธีการแสดงออกของเด็กวัยรุ่นก็จะต่างไปจากยุคก่อน บรรทัดฐานการแสดงออกก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสังคม เมื่อทำความเข้าใจตรงนี้แล้ว พ่อแม่ก็จะใจเย็นลง ไม่ได้มองเรื่องนี้ว่าแปลกประหลาด

หลังจากนั้นค่อยลองพูดคุยกับลูกดู เริ่มทำความรู้จักในสิ่งที่เขาชอบ เขาชอบวงไหน เขาเมนคนไหน เขาชอบเพลงอะไร ทำความรู้จักลงไปในรายละเอียดต่างๆ ไม่ใช่ไปเหมารวมๆ ว่า โถ่..ก็วงเกาหลีเหมือนๆ กันนั่นแหละ แบบนี้ไม่ถูกต้อง เท่ากับว่าเราไม่รับฟังลูก แล้วลูกจะหันกลับมารับฟังเราเหมือนกันได้อย่างไร

ถ้าได้พูดคุยแล้ว และเราไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านในสิ่งที่เขารักที่จะทำ ก็จะเกิดการเปิดใจคุยกันมากขึ้น แล้วจึงค่อยๆ พูดคุยถึงขอบเขตการติ่งที่เหมาะสม และเรื่องซีเรียสๆ เช่น การจัดระเบียบชีวิตตัวเองไม่ให้ความติ่งนั้นไปรบกวนหน้าที่หลักในชีวิตประจำวัน หรือสอนการใช้เงินอย่างสมฐานะและสมวัย อย่าเพิ่งเข้าไปจัดการอะไรทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจ พ่อแม่ต้องเข้าใจความติ่งก่อน ถึงจะไปดีลกับความติ่งของลูกได้สำเร็จ

ติ่งแบบหมกมุ่นและขาดวินัยก็มีอยู่จริงๆ แต่ก็มากพอๆ กับพ่อแม่ที่ไม่พยายามเข้าใจ

ส่วนมากความกังวลเกิดจากความไม่เข้าใจและความพยายามจะไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจว่าแฟนด้อมคืออะไร ซาแซงคืออะไร ไฮทัชคืออะไร มีแต่พฤติกรรมและเรื่องราวที่ไม่เข้าใจสำหรับพ่อแม่เต็มไปหมด ซึ่งความไม่รู้และไม่เข้าใจก่อให้เกิดความกลัวและกังวลของมนุษย์ตามหลักจิตวิทยาพื้นฐาน หลายครั้งที่แค่ถามลูกลูกก็พร้อมจะอธิบาย แต่พ่อแม่หลายคนก็ไม่ค่อยมีเวลาที่จะพยายามจะเข้าใจอยู่ดี ความกังวลก็เลยยังคงอยู่แบบนั้น

แต่ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เกิดจากวัยรุ่นบางคนก็ไม่อยากจะอธิบาย และขาดวินัยในการติ่งจริงๆ หมกมุ่นมากเกินไปจนการเรียนตกลง หรือใช้เงินมากเกินตัว ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีคนที่เป็นแบบนี้ปริมาณมากในกลุ่มวัยรุ่น และไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่พร้อมจะรับมือพฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกที่พ่อแม่หลายคนจะรู้สึกกังวล

โชคเรื่องเล็ก ความพยายามคือเรื่องใหญ่ – ไอดอลไม่ได้กล่าว

ประเด็นติ่งหลายคนพยายามชดเชยด้วยการตั้งใจเรียน ทุ่มเทกับการสอบ เพื่อชดเชยที่ตัวเองเป็นติ่ง ผมคิดว่าไม่เกี่ยวกันครับ ความชอบก็ส่วนความชอบ วินัยก็ส่วนวินัย ความพยายามก็ส่วนความพยายาม ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลแต่ละคน แต่หลายกรณีที่ผมเห็นคือ ไอดอลหลายคนได้สอนถึงความพยายามให้เด็กๆ ได้รู้จัก ในยุคก่อนๆ เด็กวัยรุ่นอาจจะเห็นเพียงภาพนักร้องที่เขาชอบแล้วก็รู้สึกดี รู้สึกอยากเป็นแบบนั้นบ้าง ได้แต่เฝ้าขอพรต่อโชคชะตาว่าขอให้มีโอกาสแบบนั้นบ้างเถอะ แต่เรื่องราวของไอดอลเกาหลีในยุคปัจจุบันนั้นแตกต่างออกไป เรื่องโชคเป็นเรื่องเล็ก เรื่องความพยายามนั้นเป็นเรื่องใหญ่กว่ามาก กว่าจะเดบิวท์ได้ตอนเป็นเด็กฝึกทำงานหนักมาหลายต่อหลายปี ซ้อมเต้น ซ้อมร้อง ซ้อมการแสดง ทั้งวันอย่างหนัก จึงจะประสบความสำเร็จได้ ผมเชื่อว่าวัยรุ่นที่ชอบนักร้องเกาหลีหลายคนรู้เรื่องนี้ และมีส่วนหนึ่งเก็บมาคิดได้ ปรับใช้กับชีวิตของตัวเอง จนมีความพยายามมุมานะต่อสิ่งต่างๆ มากขึ้นจนได้ดี

บัตรคอนเสิร์ตแพงมาก vs ความชอบของแต่ละคนไม่เคยเป็นเรื่องไร้สาระ

พ่อแม่มีสิทธิที่จะตกใจหรือหงุดหงิด แต่ขอให้รับฟังความอยากของลูกก่อนครับ ให้เขาได้พูดความต้องการและความจำเป็นในการที่ต้องซื้อบัตรแพงขนาดนั้น

ถ้าลูกจะใช้เงินที่ตัวเองเก็บหอมรอมริบมา มันก็เป็นสิทธิของเขา เงินของเขา ไม่ใช่เงินของพ่อแม่ เจ้าของเงินมีสิทธิทุกประการที่จะเอาเงินก้อนนั้นไปซื้อความสุขให้ตัวเองอย่างไรก็ได้ แม้ว่ามันจะดูไม่สมเหตุสมผลในสายตาของคุณพ่อคุณแม่ก็ตาม

สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ดีที่สุดคือ ชื่นชมในความพยายามเก็บเงินของลูก และบอกความรู้สึกในใจของพ่อแม่ออกไป เช่น พ่อคิดว่าตั๋วตรงนี้แพงไป ซื้อโซนหลังไปหน่อยดีไหม หรือ แม่รู้สึกว่าเงินก้อนนี้มีค่ามาก ลูกอาจจะอยากเก็บไว้ซื้อของที่จำเป็นต่อลูกในอนาคต แบบนี้ก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องไม่คาดหวังมากนักว่าลูกวัยรุ่นจะทำตาม เพราะมันก็เป็นเงินของเขา

แต่ถ้าลูกมาขอเงินเพื่อไปซื้อ อันนี้จะเป็นอีกกรณีหนึ่ง พ่อแม่มีสิทธิที่จะให้หรือไม่ ก็แล้วแต่พ่อแม่ ถ้าเราเห็นว่าไม่สมควรก็ควรพูดคุยกับลูกตรงๆ โดยอธิบายว่าความไม่สมควรนั้นเกิดจากราคาที่แพงเกินไปสำหรับสถานะการเงินของครอบครัว ลูกควรจะตั้งใจอดออมหรือทำงานพิเศษเก็บเงินเอง การพูดแบบนี้จะดีกว่าการบอกไปว่า มันไม่สมควรเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระ พูดไปแบบนี้ทะเลาะกันแน่ๆ เพราะความชอบของแต่ละคน ไม่เคยเป็นเรื่องไร้สาระ

ความปลอดภัยและวินัย สิ่งที่พ่อแม่เตือนได้เรื่องการใช้ Social Media

คนในยุคปัจจุบัน ใช้โซเชียลมีเดียเพราะตนเองอยากรู้ข้อมูลข่าวสารรอบๆ ตัวอยู่แล้ว ซึ่งข้อมูลที่เราเสพก็มักเป็นข้อมูลที่เราชอบและสนใจ การใช้เพื่อติดตามดารานักร้องก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ทั่วๆ ไปในโลกโซเชียล สิ่งที่ควรตระหนักมากที่สุด 2 เรื่อง คือ ความปลอดภัยในการใช้งานและวินัยในการใช้งาน social media ซึ่งพ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับทั้งสองเรื่องนี้ ตระหนักและพูดคุยเรื่องนี้กับลูกด้วย

ความปลอดภัยในการใช้งาน social media นั้นสำคัญมาก เช่น ข่าวสารปลอมต่างๆ อาจทำให้เกิดการรับรู้ผิดๆ และลิงค์ข่าวบางอย่างอาจนำไปสู่ไวรัส หรือ การไตร่ตรองก่อนการพิมพ์ข้อความต่างๆ ก็สำคัญมาก เพราะการชอบหรือการเกลียดนักร้องเกาหลีสักคน ย่อมมีคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับเรา ถ้าความเห็นของเราถูกเอาไปประจานไปล่าแม่มดคงไม่ดีต่อตัวเราแน่ๆ

วินัยในการใช้งาน social media ก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรพูดคุยกับลูกถึงระยะเวลาที่เหมาะสมในการใช้งาน จะทำอย่างไรให้การใช้งานนั้นไม่รบกวนการเรียน การทำงาน และการพักผ่อนจนเสียสุขภาพ ไม่ใช่แต่เรื่องดารานักร้องอย่างเดียว ไม่ว่าจะใช้งานกับเรื่องอะไรก็ต้องมีวินัยและความปลอดภัยควบคู่ด้วยเสมอ

ถ้าลูกขโมยเงินไปซื้อบัตรคอนเสิร์ต – ‘ตัด ลด งด’ ได้ผลชะงัดกว่าตี

ต้องมองว่าพฤติกรรมลักขโมยนั้นเป็นพฤติกรรมละเมิดสิทธิคนอื่นรูปแบบหนึ่ง การจะสอนลูกไม่ให้หยิบเงินของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นต้องสอนให้เขาเข้าใจถึงการรักษาสิทธิของตัวเองและไม่ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น หากใครมาละเมิดสิทธิของลูก ลูกก็คงไม่ชอบเหมือนกัน ตรงนี้ไม่ต่างกัน ใครมาหยิบเงินของพ่อแม่ไปโดยไม่ขอก่อน พ่อแม่ก็คงไม่พอใจเหมือนที่ลูกรู้สึก

ถ้าลูกเป็นคนมาสารภาพเอง สำคัญมากๆ คือพ่อแม่ต้องทำใจให้สงบก่อน เชื่อว่าโกรธมากแต่ขอให้นึกว่าอย่างน้อยลูกก็แมนพอที่จะเอ่ยปากยอมรับสารภาพ ไม่โกหกต่อให้เป็นเรื่องยาว พ่อแม่อาจจะต้องเอ่ยปากชมลูกสักเล็กน้อยที่เขารับสารภาพ แล้วจึงค่อยอธิบายว่าการหยิบของคนอื่นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ไม่ใช้คำด้านลบเช่น ขโมยเงิน หรือขี้ขโมย เพราะไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อการปรับพฤติกรรม หากลูกสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำแล้ว ก็ให้คืนเงินส่วนที่ใช้ไป อาจจะคืนทั้งหมดหากมีเงินเก็บอยู่ หรือทยอยตัดจากค่าขนม อันนี้ก็แล้วแต่ครอบครัวจะตกลงกัน อาจใช้ร่วมกับการตักเตือนว่าหากมีครั้งหน้า เขาจะเสียสิทธิอะไรไปบ้าง

เด็กๆ มักกลัวการเสียสิทธิมากกว่าการถูกตี เพราะการถูกตี แป๊บเดียวก็หายเจ็บแล้ว แต่การถูกตัด งด ลด สิทธิที่ควรจะได้ อันนี้เจ็บยาวและจำ

ถ้าลูกไม่รับสารภาพ พ่อแม่ต้องมั่นใจก่อนว่ามีหลักฐานแน่นอนจริงๆ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ เพราะการที่เด็กคนหนึ่งถูกต่อว่าว่าเป็นหัวขโมยโดยที่ไม่ได้ทำเช่นนั้น อาจเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อจิตใจ หรือร้ายกว่านั้น อาจทำให้เด็กรู้สึกว่าไหนๆ ก็ถูกด่าแล้ว ก็ขโมยจริงๆ เลยแล้วกัน จุดนี้ต้องระมัดระวังให้มากๆ แล้วก็จัดการตัด งด ลด สิทธิ ต่อไป โดยอธิบายเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องทำแบบนี้และจะเป็นผลดีต่อตัวเขาเองอย่างไรในอนาคต

มุ่งมั่นให้หมดหน้าตัก รักทั้งไอดอลและตัวเอง

การมีความรู้สึกรักและชอบใครสักคนนั้นเป็นสิ่งที่ดีเสมอ ถ้าคนนั้นสามารถบริหารความรู้สึกของตัวเองให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม เพราะความรู้สึกเชิงบวกจะทำให้สุขภาพจิตเราดีมากขึ้น ใช้ชีวิตได้แบบมีพลังมากขึ้น การได้ติดตามและการได้ทำอะไรบางอย่างให้คนที่เรารู้สึกดีด้วยก็เป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน ได้แบ่งปันรอยยิ้ม ได้รู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำย่อมดีเสมอ นอกจากนั้นความเป็นติ่งจะพาให้เราออกไปทำความรู้จักคนอื่นๆ มากขึ้นทั้งในแฟนด้อมเดียวกันหรือคนต่างบ้านต่างเมือง

เรียนรู้ที่จะอยู่กับความชอบที่แตกต่างกันไปของแต่ละคนในสังคม ทุกคนมีสิทธิที่จะชอบสิ่งที่ต่างกัน มีเมนคนละคนกัน หรือแม้แต่บางคนก็ไม่ชอบคนที่เราชอบ สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือการเคารพสิทธิของคนในสังคม ทุกคนมีความเชื่อและความชอบที่แตกต่างกันได้ แต่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

การเป็นติ่งจะยังช่วยสอนการบริหารการใช้เงิน เพราะแน่นอนว่ามีของราคาแพงล่อตาล่อใจอยู่เสมอ ถ้าจะเป็นติ่งก็ต้องรู้ลิมิตของตัวเอง ไม่ใช่ทำตามสายเปย์ไปเสียหมดทั้งๆ ที่เราเองก็ไม่ได้มีเงินทองขนาดนั้น หากอยากใช้เงินมากขึ้น ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอดออมหรือทำงานพิเศษมากขึ้นเพื่อให้ได้สิ่งที่อยากได้ในอนาคต

สุดท้ายคงเป็นเรื่องความพยายามของไอดอล ผมเชื่อว่าไอดอลเกาหลีเป็นหนึ่งในอาชีพที่ใช้ความมุ่งมั่น พยายาม และทะเยอทะยานอย่างมากอันดับต้นๆ ต้องทุ่มเทหมดหน้าตักเพื่อทำอนาคตของตัวเองให้ดีขึ้นและไปสู่จุดมุ่งหมายที่หวังไว้ ถ้าเราสามารถหยิบจุดนี้จากไอดอลขึ้นมาพัฒนาตัวเองให้เหนือไปกว่าการเป็นติ่งธรรมดาๆ ไปวันๆ และรับแรงบันดาลใจนี้เข้ามาใส่ตัวเอง การเป็นติ่งที่หลายคนดูแคลนนั้นอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตได้เลยทีเดียว

ถ้าไม่สามารถชอบในสิ่งที่ลูกชอบได้ แค่เคารพความรู้สึกลูกก็พอแล้ว

การจะชอบใครหรือคลั่งไคล้อะไรบางอย่างไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาด ถ้าเราสามารถชอบในสิ่งที่ลูกเองก็ชอบได้ เราก็จะเป็นทั้งพ่อแม่และเพื่อนไปพร้อมๆ กัน ความสัมพันธ์ในครอบครัวก็ย่อมดีขึ้น แต่หากพ่อแม่ไม่สามารถทำใจชอบไอดอลเกาหลีญี่ปุ่นได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็เคารพความรู้สึกของลูกก็เพียงพอแล้ว ส่วนขอบเขตของพฤติกรรมนั้นคงต้องค่อยๆ คุยรายละเอียดลึกลงไป แต่อย่าเพิ่งไปปิดประตูตั้งแต่แรกโดยไม่ยอมรับฟัง พฤติกรรมอันไหนที่ไม่รบกวนชีวิต หน้าที่ความรับผิดชอบ หรือก่อให้เกิดปัญหาการเงิน ก็ให้การสนับสนุนได้ พฤติกรรมอันไหนที่มีแนวโน้มจะเกินขอบเขตก็พยายามสอดส่องดูแลและตักเตือนกันเป็นช่วงๆ เป้าหมายเพื่อพัฒนาให้ลูกเป็นติ่งเกาหลีที่มีคุณภาพนั่นเอง

Tags:

วัยรุ่นนพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์เกาหลีใต้ติ่ง

Author:

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    ‘ขยะวิทยา’ ตลอดชีวิต ของเด็กๆ คลองโต๊ะเหล็ม จังหวัดสตูล

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    เพราะติ่งและเต้นอย่างจริงจัง VICTORY CREW คว้าแชมป์โลกคัฟเวอร์ BLACKPINK

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • How to get along with teenager
    ติ่งก็รักของติ่ง ทำไมพ่อแม่ไม่ฟังและไม่พยายามเข้าใจ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Social Issues
    เมื่อสังคมก้มหน้าฆ่าคนที่เรารักให้กลายเป็นอากาศ : นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

หม้อห้อมของ กมล อินดิโก้ ย้อม-มัด-ทอ ให้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกใส่
Voice of New Gen
26 April 2019

หม้อห้อมของ กมล อินดิโก้ ย้อม-มัด-ทอ ให้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกใส่

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • เรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นจากการสอบสัมภาษณ์ เธอรู้ทุกแบรนด์ Dior, Vivienne Westwood ถามมาเถอะ ตอบได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องของศิลปินแห่งชาติบ้านตัวเองที่ทอผ้าตีนจก
  • คำถามฝังใจนั้นจึงพาเธอกลับบ้านที่แพร่หลังเรียนจบ มาทำเสื้อผ้าหม้อห้อม แต่เพราะความชอบไม่ได้หยุดอยู่แค่สีฟ้าคราม วัตถุดิบต่างๆ อย่างครั่ง ดาวเรือง มะเกลือ และใบหูกวาง จึงถูกหยิบมาใช้หมด
  • คนใส่ควรรู้จักเสื้อผ้า รู้เรื่องราวว่ามันผ่านกระบวนการอะไรบ้าง เพื่อที่จะรักและรักษา อยากใส่เสื้อตัวนี้ไปนานๆ ไม่ได้ใส่แล้วทิ้ง
ภาพ: จินตพงศ์ สีพาไชย

กมลชนก แสนโสภา หรือ กุ๊กกิ๊ก ในวัย 19 ปี คือนักศึกษาที่มุ่งมั่นจะเรียนแฟชั่นที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่ปีหนึ่ง ตอนสอบสัมภาษณ์เธอท่องเรื่องราวในตำนานของแบรนด์ระดับโลกอย่าง Dior, Vivienne Westwood ไปอย่างดี แต่ความมั่นใจนั้นต้องพังครืนลงเมื่ออาจารย์ที่คณะเอ่ยถามว่า

“แล้วศิลปินแห่งชาติที่ทอผ้าตีนจกถวายพระราชินี ที่เป็นคนแพร่บ้านเธอน่ะเธอรู้จักไหม”

กุ๊กกิ๊กเล่าว่าตอนนั้นเธอหน้าเสีย เพราะรู้หมดว่า Dior มีประวัติศาสตร์อย่างไร แต่กลับไม่รู้ว่าที่บ้านตัวเองมีศิลปินแห่งชาติอยู่ กลับไปถามพ่อแม่ที่บ้านเขาก็รู้หมด คำถามของอาจารย์จึงตั้งรกรากอยู่ในใจ ไม่ไปไหน

“คำถามมันกระแทกใจจนจำมาถึงทุกวันนี้ เหมือนว่าเราลืมรากเหง้าที่เราเกิดอยู่ที่นี่ เรามัวแต่ไปท่องอะไรตามในหนังสือ ไม่ดูอะไรรอบตัว ตอนนั้นเรายังไม่มีอะไรที่เราโฟกัสที่เป็นตัวเอง เหมือนแค่คนอยากสอบติด ไม่ได้มีเป้าหมายที่ว่าฉันจะมาเรียนสิ่งนี้เพราะอะไร”

เมื่อได้เข้าเรียนสาขาวิชาศิลปะการออกแบบพัสตราภรณ์ เอกออกแบบสิ่งทอ จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อย่างจริงจัง กุ๊กกิ๊กจึงตั้งใจศึกษาเรื่องการทอผ้าด้วยการไปลงพื้นที่เองกับ อาจารย์ประนอม ทาแปง ศิลปินแห่งชาติ สาขาประณีตศิลป์-ศิลปะการทอผ้า (คนที่อาจารย์เอ่ยถึงนั่นแหละ) ที่ศูนย์การเรียนรู้ผ้าจกเมืองลอง บ้านเกิดของเธอ กินนอนกับชาวบ้านราวหนึ่งเดือน ได้วิทยายุทธ์การทอผ้าจกมานิดหน่อย บวกกับประกายที่ยังเปล่งแสงวับๆ แวมๆ เรื่องการย้อมผ้า เพราะเห็นว่าคนที่นั่นย้อมใบมะม่วงกัน

การย้อมผ้าและคำถามของอาจารย์จึงค้างอยู่ในฝันแค่ครู่เดียว

จบปีสี่ปุ๊บ จึงได้เกิดเป็นกมลชนกผู้มีพลังประดิษฐ์เสื้อหม้อห้อมอยู่ในตัว ลองผิดลองถูก เริ่มตั้งแต่เรียนแบบไม่รู้จนเรียนรู้และจะเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ มาจนถึงตอนนี้เธออายุ 26 ปี แบรนด์ กมล อินดิโก้ (Kamon Indigo) แบรนด์เสื้อผ้าและข้าวของสารพัดของกุ๊กกิ๊กดำเนินมาถึงปีที่สาม

วันที่เราเจอแคปชั่นน่ารักในอินสตาแกรมทำนองว่า “ใบห้อม หอมฟุ้ง กมลกลับถึงเมืองแป้แล้วเน้อเจ้า พร้อมรับงานละเน้อ”

วันที่เธอไม่อยากหยุดแค่ทำผ้าย้อมครามหรือลวดลายซ้ำเดิมอีกต่อไป

ค่อยๆ ย้อมตัวเองให้เป็นตัวเอง

ความคิดที่จะทำแบรนด์เริ่มมาตั้งแต่สมัยเรียนเลยไหม

กมลชนก: เราอยากทำตั้งแต่อยู่ปีสองแล้ว แต่ยังไม่ได้ชัดเจน เมื่อก่อนอยากทำงานทอเพราะว่าได้ไปเรียนรู้เรื่องราวการทอผ้าอย่างลึกซึ้งกับครูนอม แล้วเราก็เหมือนหลงมันเพราะมันมากกว่าที่เราเห็นข้างนอก ยิ่งเรียนก็ยิ่งชอบยิ่งอยากรู้ ตอนแรกก็อยากทอผ้านั่นแหละ แต่เพราะการทอผ้าก็ทำให้เรามาเจอการย้อมผ้าด้วย เพราะกว่าจะเป็นผ้าเป็นชิ้นเราก็ต้องย้อมก่อนเอามาทอ ได้ไปช่วยพี่เขาย้อมฝ้าย แล้วเขาเอาใบมะม่วงมาย้อมได้สีเหลืองๆ ออกเขียวๆ นิดๆ เลยรู้สึกว่าจริงๆ เราเอาสีมาจากธรรมชาติได้เนอะ

การไปลงพื้นที่เปลี่ยนความคิดเราไปเลยไหมว่าเราจะกลับมาทำสิ่งนี้

ตอนนั้นก็คิดว่าถ้าจบมาอยากทอผ้า เพราะรู้สึกว่าตรงนั้นไม่มีวัยรุ่นอย่างเราทำเลย มีแต่เด็กน้อยที่พ่อแม่เขามาทอ ซึ่งก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราอย่างหนึ่งว่าเด็กตัวแค่นี้ยังทอได้เลย แต่ช่วงเราเรียนจบเรากลับไปที่เดิมกลายเป็นว่าเด็กเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำแล้วและครอบครัวเขาก็ไม่ได้สนับสนุน ช่วงประมาณปีสอง เทอมสองเราได้โอกาสไปสาธิตเรื่องการทอผ้าที่เมืองทองธานี แล้วไปเจอการย้อมห้อมที่อยู่บูธตรงข้ามกัน เลยได้ไปเจอป้าที่ทำห้อมแล้วป้าบอกว่าเธอรู้ไหมว่าหม้อห้อมมันมาจากต้นนี้ เขาก็บอกว่าถ้าอยากรู้ปิดเทอมให้ไปบ้านป้า เดี๋ยวป้าสอนให้ เราก็เลยไปเรียนรู้ ถึงจะไม่ได้จริงจังขนาดที่ก่อหม้อได้ แต่เราก็มองเห็นช่องทาง ตอนเริ่มขึ้นปีสามก็เริ่มคิดว่าอยากลองทำงาน ลองขายของดู จึงเริ่มเอาหม้อห้อมมาขายที่กรุงเทพฯ

หลังจากเรียนจบจึงตัดสินใจลุยทำแบรนด์เสื้อผ้าหม้อห้อมเลยไหม

ทำเลยเพราะมีผ้ามัดย้อมเหลืออยู่ เลยลองเอามาเย็บขาย ลองให้เพื่อนใส่ก่อน แล้วเพื่อนก็บอกปากต่อปาก เราเลยเริ่มได้ลูกค้าข้างนอกมา เริ่มอยู่ได้แล้ว แต่ก็คิดว่ายังไงก็อยากจะทำเรื่องทอผ้าอยู่ ติดตรงที่ว่ามันใช้ทุนและกำลังเยอะ เราจึงกลับมามองที่หม้อห้อมเหมือนกันว่าสิ่งนี้มันก็อยู่ในคำขวัญบ้านเราด้วย เราอยากกลับมาอยู่บ้าน เพราะสิ่งที่เรานึกถึงมันอยู่ที่บ้าน หรือสิ่งที่อยากทำในอนาคตก็อยู่ที่บ้าน

ดังนั้นกลับมาบ้านแล้วสิ่งที่ทำก็คือ…

ก็ทำห้อมแบบไม่ศึกษา (หัวเราะ) คิดว่ารู้ดีแล้วไง ไม่หาความรู้เพิ่ม แล้วพอมีโอกาสได้ไปออกงานสไตล์ออร์แกนิคซึ่ง เขาขายงานคราฟต์ที่มาจากธรรมชาติจริงๆ เราก็เห็นราคาของเรากับเขามันแตกต่างกันมาก สมมุติของเรา 200-300 บาท ของเขา 500-600 บาท แบบเดียวกันเลย เลยมีสองความคิดว่าทำไมเขาขายแพงจัง เพราะมันเป็นงานธรรมชาติหรืองานมือเหรอ อีกความคิดหนึ่งคือเรากำลังทำอะไรที่เราไม่รู้รึเปล่า ขายอยู่หลายวันเลยได้ลองถามร้านข้างๆ เขาเลยอธิบายให้ฟังว่าสีเทียนมันมีหลายประเภท รู้ไหมว่าทำสีอะไรอยู่ กลายเป็นว่าเราไม่รู้ เราซื้อเป็นแกลลอนมาแล้วเอามาย้อม เพราะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก มันยาก เราเข้าใจว่ามันก็หม้อห้อมเหมือนกัน เขาเลยให้กลับไปดูใหม่ตั้งแต่เริ่มว่ามันปลูกที่ไหน กว่าเขาจะย้อมได้เขาทำยังไงกับมันบ้าง

Kamon Indigo แปลว่า หัวใจสีคราม

จากวันที่เป็นแค่คนที่เอาสีมาย้อมอยู่หลังบ้าน เราเปลี่ยนตัวเองอย่างไรบ้าง

เราเปิดโลกให้กว้างขึ้น ถามทุกที่ที่อยู่ในชุมชนทุ่งโฮ้งนั่นแหละว่าเขาย้อมกันทำยังไง ใช้เวลาเกือบปีถึงได้รู้ว่าการย้อมมันมีหลายแบบ บางคนเขาก็ทำมะเกลืออยู่แล้ว ย้อมสีดอกไม้อย่างอื่นด้วย แต่เราก็ไม่ได้รู้สูตรมากนัก เราไปขอยืมหนังสือที่ศูนย์การเรียนรู้ฯ มาอ่านบ้างว่ามีพืชอะไรที่ให้สีบ้างแล้วมาทดลองเอง ทำมั่ว (หัวเราะ) สมมุติเขามีน้ำสนิม เราก็ทำตาม มีน้ำด่าง มีเกลือ มีสารส้ม เราก็เอามาลองเทสต์หมดเลยว่าถ้าเอามาจุ่มอันนี้แล้วได้สีอะไร ใส่ตู้เก็บไว้ พอนานแล้วก็มาดูอีกทีว่าสีมันเปลี่ยนไหม ถ้าสีมันซีดเราก็ไม่ทำสีนั้น เช่น เราทำงานเขียนเทียน แล้วเทียนมันอยู่กับสีย้อมร้อนไม่ได้ เราก็ไปคิดสูตรให้มันซับซ้อนกว่าเดิมว่าทำยังไงให้สีที่เย็นแล้วมันติดเส้นใยผ้า เราก็ไปทดลองเอง ใส่อันนี้ แช่อันนี้แล้วเอามาย้อมได้ไหม ลองผิดลองถูกเอาจนกว่ามันจะติดสีแล้วก็ลายชัดเหมือนเดิม

ด้านวัตถุดิบในการย้อมผ้า นอกจากห้อม นานเท่าไหร่เราถึงขยายไปทำสีอื่นๆ

ที่แพร่ไม่ได้มีห้อมเยอะ คนปลูกมีอยู่แค่สองสามที่ ซึ่งมันน้อย อย่างช่วงเดือนเมษายนห้อมจะตายหมดเลย เวลาเราได้มาเราก็จะเอามาเก็บไว้ เมื่อก่อนเวลาไม่มีห้อมเราก็สั่งครามธรรมชาติอีสานมาทำ ซึ่งตอนแรกคิดว่าเราไม่อยากเล่าเรื่องวัตถุดิบอื่นเพราะจะกลายเป็นทำให้ห้อมไม่ชัดเจน แต่พอเราอยู่กับมันเยอะๆ เราก็เริ่มย้อนกลับไปหาตัวเองว่าเมื่อก่อนเราเป็นยังไงนะ เราสนุกกับอะไรบ้าง จริงๆ แล้วตัวเองไม่ได้ชอบสีฟ้าคราม ชอบแต่งตัวสีสัน อยากให้มีทุกสีอยู่ด้วยกัน เพราะมันสดใส โลกมันน่าอยู่ ก็เลยคิดว่าจะทำยังไงดีให้กลับมาเป็นตัวเองแบบสมัยเรียนอีกครั้ง

วัสดุธรรมชาติที่ใช้ตอนนี้มีอะไรบ้าง ใช้เกณฑ์อะไรเลือก

ตอนนี้มีครั่ง ใบหูกวาง ดาวเรือง มะเกลือ แล้วก็มีห้อม เลือกสีมาจากวัตถุดิบที่มีในพื้นที่ของเรา อย่างใบหูกวางกับดาวเรืองมันให้สีเหลืองเหมือนกันแต่คนละเฉด อย่างคำแสดจะได้สีส้ม แต่เท่าที่เราสังเกตมาคือมันออกปีละครั้ง นั่นหมายความว่าเราจะทำสีส้มได้แค่ปีละรอบเท่านั้น เราเลยต้องใช้ทฤษฎีแม่สีที่เราเรียนมาก็คือเอาสีมาผสมกัน หลักๆ ก็คือเราใช้พืชรอบตัวที่มีในฤดูกาลไหนก็ได้ แต่ขอให้มันได้แม่สี แล้วเราค่อยไปแปลงให้มันได้สีเฉดอื่นๆ

ด้วยความที่วัตถุดิบมีจำกัด วิธีทำซับซ้อน จำนวนชิ้นงานก็ไม่ได้มีเยอะใช่ไหม

ใช่ อย่างเราเอาใบไม้มาทำสี เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องไปตัดต้นไม้มา เพราะนั่นก็เหมือนกับว่าเราเอาเรื่องมาเล่าแต่เรากลับไปทำลายเขา สิ่งที่เราทำคือเราอาจจะไปเด็ดเอาใบไม้จากต้นที่เขาตัดมาแล้วเอามาแช่น้ำถนอมมันไว้ ถ้าเรายังไม่ได้ย้อมเราก็สกัดเอาน้ำทิ้งไว้ แล้วก็เอาไปทิ้งเป็นปุ๋ยใต้ต้นไม้ดีกว่าปล่อยให้มันแห้งเหี่ยวไป มันก็ไม่มีคุณค่า คนก็ไม่รู้จักพืชตัวนี้ แล้วถ้าสมมุติในหน้านั้นใบหูกวางร่วงหมดเลย เราอาจจะต้องใช้ใบมะม่วงแทนซึ่งจะได้สีเหลืองคนละเฉด เราก็ต้องสื่อสารกับลูกค้าด้วยว่าตอนนี้มีสีแบบนี้นะ ถ้าเขาอยากได้สีอื่น เขาก็ต้องรอ เรามีเครือข่ายนะ ถ้าเขาสนใจเราก็แนะนำร้านอื่นให้เขา

ทิศทางการดีไซน์เสื้อผ้า วัตถุดิบ การทำแบรนด์ไปสู่การเป็นธรรมชาติเต็มตัว ใช้เวลานานเท่าไหร่

เกือบปีเลยนะ อย่างเราทำห้อมเศรษฐกิจ จู่ๆ เกิดจะมาเปลี่ยนเป็นธรรมชาติเลย ต้นทุนก็เปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน ถ้าเราเปลี่ยนเลยจะขายของไม่ได้แน่ๆ เพราะว่าสินค้าจะแพงมาก เลยมานั่งคิดว่าคนเข้าใจเราจากการเล่าเรื่อง เลยคิดว่าคงมีคนที่เป็นกลุ่มที่เสพงานแบบนี้อยู่แล้ว มีกำลังซื้อ แล้วเราต้องดูด้วยว่าตลาดงานคราฟต์ธรรมชาติไม่ได้อยู่ง่ายๆ เราต้องรู้ว่าเขาทำอะไรกันมาแล้วบ้าง เราเรียนออกแบบมาเราต้องทำไม่เหมือนเขา แต่ทำยังไงให้มันขายได้ จะเป็นเราหมดก็ไม่ได้ เลยเหมือนแยกตัวเองออกมาว่าชอบอะไร อยากจะเล่าอะไร

เราก็ค่อยๆ ปรับเอาเคมีกับธรรมชาติมาผสมกัน มีการลดต้นทุน พยายามอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจ เพราะเราเองก็เคยเล่าในเรื่องที่เราไม่ได้เข้าใจจริงๆ เลยทำให้เราอยากเล่าใหม่ ทีนี้ไม่ได้ขายของอย่างเดียวแล้ว เราเริ่มลงรูปต้นห้อม แล้วเล่าให้เขาฟังไปด้วยว่าเราใช้วัตดุดิบนี้ทำนะ กว่ามันจะได้มันต้องทำยังไง เรียนรู้ไปพร้อมๆ กันเลย

แต่แบรนด์ไหนๆ ก็เล่าเรื่องกันทั้งนั้น เรามีวิธีวางแผนที่จะเล่าเรื่องของเราไหมและเล่าอย่างไร

เราว่าเราเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ทำให้มันสนุก ตลกได้ เรายังอายุไม่มาก เราคิดว่าเราสามารถส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ได้มากกว่า อย่างเราทำเสื้อกุยเฮง (เสื้อแบบจีน คอกลม แขนสั้น ผ่าอก) ถ้าเป็นเสื้อกุยเฮงแบบปกติคนรุ่นใหม่อาจจะไม่ใส่หรอกเพราะมันเหมือนชุดใส่ไปทุ่งนา เราก็พยายามจับมันมามิกซ์กับอย่างอื่น อย่างน้อยถ้าเขาไม่ซื้อแต่เขาได้เห็นเสื้อกุยเฮงก็พอแล้ว

หรือเราทำเสื้อสายธรรมชาติอยู่แล้ว เราเห็นแมลงที่มาเกาะเสื้อ เราเลยอยากให้ธรรมชาติมาอยู่ด้วยกัน ก็เลยคิดว่างั้นเอาแมลงมาไว้บนผ้าเลยแล้วกัน สิ่งนี้เลยทำให้แบรนด์ของเราไม่เหมือนคนอื่น นั่นก็คือลายผ้ากับการเล่าเรื่อง เวลาเราถ่ายรูปชุด บางทีเราไม่ได้ต้องการจะขายโดยตรง เราอยากเล่ามากกว่า อยากให้คนอ่านมาเป็นเพื่อนเรา

เสื้อผ้าแต่ละตัวกว่าจะเสร็จใช้เวลานานเท่าไหร่

ถ้ารวมย้อมและปั๊มก็ประมาณ 2-3 วัน แล้วแต่ ยิ่งถ้าเป็นห้อมแล้วหม้อย้อมไม่ดี จุลินทรีย์ไม่แข็งแรงก็จะย้อมไม่ติด เราก็ต้องเลื่อนวันออกไปอีก อย่างลายแมลงที่คิดขึ้นมา เราก็ประดิษฐ์บล็อก ไม่ต้องวาดทุกรอบ ขึ้นแบบก่อนเพื่อให้สามารถนำไปปั๊มได้ แต่เราก็ต้องวาดแมลงตัวอื่นออกมาเพื่อทำให้มันมามิกซ์กันได้ด้วย แต่การทำบล็อกนี่ไม่ได้แปลว่าปั๊มปุ๊บแล้วเสร็จเลยนะ เราต้องมาใส่ลายในตัวแมลงของเราอีก

เอาองค์ความรู้หรือภูมิปัญญาเก่าๆ มาประยุกต์กับงานเราบ้างไหม

ส่วนใหญ่จะเป็นการย้อมที่เอามาประยุกต์ เช่น ดีไซน์ของชุด เราจะประยุกต์ไม่ให้มันดูโบราณ เมื่อก่อนเขาย้อมฝ้ายที่จะเอามาทอหรือย้อมบนผ้าที่เป็นผืน หรือเอาเทคนิคเขียนเทียนที่โบราณใช้ไม้เขียนเป็นลายเลย เราก็เอามาประยุกต์กับเทคนิคสมัยเรียน คือทำบล็อกขึ้นมาเอง วาดลายแล้วดัดเป็นลายตามที่เราวาด จากนั้นค่อยมาทำลวดลายบนผ้า ผสมผสานกันเพื่อที่จะเล่าเรื่องท้องถิ่นเรานี่แหละ ว่าธรรมชาติรอบตัวเรามีอะไรบ้าง เช่น เราจะทำลายเสือเพื่อเชื่อมโยงกับพระธาตช่อแฮซึ่งเป็นพระธาตุประจำปีขาล แล้วเริ่มเอามาทำตุ๊กตา ทำลายปักบนผ้า ทำให้มันเป็นเสื้อหม้อห้อมที่ดูเท่ วัยรุ่นก็อยากใส่ ในขณะเดียวกันก็เล่าเรื่องได้ด้วย

แม่สีแบบ ‘กุ๊กกิ๊ก’ ในอนาคต

ทำไมเราถึงอยากเล่าทั้งเรื่องผ้าทอหรือห้อมมากขนาดนี้

เพราะคิดว่าหลายๆ คนที่เป็นคนแพร่เหมือนกัน เขาอาจจะยังไม่รู้จักห้อมดีเหมือนที่เราเพิ่งรู้ว่ามันเป็นพืชตอนเราอยู่ปีสอง แล้วเราทำได้เลยอยากลองทำ ส่วนเรื่องผ้าทอ เรารู้สึกว่าคนทำเรื่องผ้าทอมีแต่คนอายุเยอะ อีกอย่างบนผ้าทอมีเรื่องให้เล่าเยอะมากแต่คนรุ่นใหม่ส่วนมากมองผ้าทอเชย มองว่าเป็นของคู่กับคนรุ่นแม่ รุ่นยายที่ใส่ไปวัด แต่พอเราได้รู้จักเลยเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงใส่ซิ่นเข้าวัด เพราะบนซิ่นน่ะมันเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนา เมื่อก่อนเขาทอเพื่อที่จะใส่ไปวัดเอง เลยยิ่งมีตัวเดียวในโลกที่เป็นของคนคนนั้น

อย่างสมัยนี้จะมีแบรนด์ใช่ไหม คนโบราณเขาก็มี เขาเรียกว่า ‘หมาย’ ที่เขาจะทำเป็นลายของเขาเองใส่ไว้ตรงขอบซิ่น ถ้าซิ่นนี้ไปอยู่กับใครก็ตามถ้าเขาเห็นลายนี้ เขาก็จะรู้ว่าซิ่นนี้มาจากเขา เราเลยคิดว่ามันเจ๋งมาก

จำเป็นไหมที่เราจะต้องรู้ที่มาของเสื้อผ้าที่เราใส่

เราคิดว่ามันจำเป็นนะ เพราะเราคิดว่ามันมีคุณค่า เวลาเราจะขายของ เราจะเล่าเรื่องราวของชิ้นงานก่อนว่ามันผ่านกระบวนการอะไรมาบ้าง มันมาจากไหน คนที่อยากได้เขาก็ต้องรักษามัน อย่างการซักผ้าของเรามันซักแบบปกติไม่ได้นะ ต้องรักมันตั้งแต่การใส่มันอย่างทะนุถนอมแล้วก็ทำความสะอาดมันอย่างดี เลยคิดว่าคนที่อยากได้จะต้องรักและดูแลมัน เหมือนรักธรรมชาติและรักเสื้อผ้าของเขาไปด้วย เลยอยากใส่เสื้อตัวนี้ไปนานๆ ไม่ได้ใส่แล้วทิ้ง

จนมาถึงตอนนี้รู้สึกว่าอาชีพมั่นคงไหม

เราคิดว่ามันมั่นคงเพราะมนุษย์ก็อยู่กับธรรมชาตินั่นแหละ แต่เราจะอยู่ได้เพราะเราทำงานแบบไม่หยุดอยู่กับที่ พยายามหาสิ่งใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ไม่ใช่เข้าใจแต่ตัวเองแต่ต้องเข้าใจผู้บริโภคหรือคนที่เราจะสื่อสารกับเขาด้วย อีกอย่างหนึ่งคือเสื้อผ้ามันอยู่ในปัจจัยสี่ แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะทำแค่เสื้อผ้า อนาคตถ้าเราเรียนรู้เรื่องอาหารมากกว่านี้ เราก็อาจจะไปทำอาหารหรือยา ถ้าเรายังอยู่แบบนี้เราก็คิดว่าเราน่าจะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน การที่เราพยายามทำสิ่งใหม่ทำให้เราไม่ต้องแข่งกับใคร แค่แข่งกับตัวเอง

เทรนด์กลับเข้าหาธรรมชาติก็มี แต่โลกก็พัฒนาไปรวดเร็ว จัดสมดุลตรงนี้อย่างไร

เทรนด์เรื่องธรรมชาติก็เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม แต่ก็มีอีกมุมหนึ่งที่เราเป็นเหมือนๆ เขา เราเลยคิดว่าเราเข้าใจความก้าวหน้าของโลกเหมือนกัน ซึ่งก็ต้องเอามันเข้ามาปรับกับแบรนด์ด้วยเพราะว่าเราอาจจะอยู่บ้านนอก อยู่กับธรรมชาติ แต่บางอย่างเราก็วัตถุนิยมเหมือนกัน สำหรับเราการพัฒนาบางอย่างถ้ามีก็ดีกว่าไม่มี ในอนาคต สิ่งที่เรากำลังจะทำเพิ่มคือเราอยากจะเชื่อมโยงแบรนด์ให้เข้ากับธรรมชาติ เราคิดว่าปัญหาตอนนี้คือบ้านเราขยะเยอะ มันไม่สามารถย่อยสลายในเวลารวดเร็วได้ เลยคิดว่าเราสามารถเอาขยะมาทำอะไรได้บ้าง เช่น อาจจะเอาพลาสติกมาทอเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ได้อยู่กับร่างกาย ก็อาจจะลดขยะได้

ความตั้งใจในการสืบสานวัฒนธรรมหรือการเล่าเรื่องผลงานในพื้นที่มีพลังมากขึ้นไหม

เราว่ามันมีตรงที่ว่าเราเป็นคนรุ่นใหม่ที่สามารถดึงคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาสนใจได้ เรามีเวิร์คช็อป คนที่สนใจก็ได้มาทำความรู้จัก มันกำลังมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีคนเข้ามาเรื่อยๆ เรากลับมาทำงานที่บ้านเพราะอยากมาอยู่กับครอบครัว แล้วก็มองว่านี่คือสิ่งเล็กๆ ที่เราทำให้ตัวเอง ครอบครัว และบ้านเกิดของเรา ตอนนี้ก็ชวนหลานเรามาช่วยทำงานด้วยเพราะมองว่าเราอยากให้คนที่อยู่รอบตัวเรามีชีวิตที่ดี มีชุมชนที่ดี และมีบ้านที่ดี ทำกับวงเล็กๆ ให้ดีก่อน แล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นเป้าหมายอย่างหนึ่งของเราเหมือนกัน

Tags:

ศิลปินกมลชนก แสนโสภาผู้ประกอบการ(entrepreneurship)แฟชั่น

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Everyone can be an Educator
    ฟังปลา รู้น้ำ รู้ลม และ(ไลฟ์) ขายปลาเค็มเป็น: อัพเดทวิชาจากท้องทะเล

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Everyone can be an Educator
    SPIRITUAL SPACESHIP การออกไปตามหาความหมายบางอย่างที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักมาก่อน ของ ‘เหิร’ ต่อลาภ ลาภเจริญสุข

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Everyone can be an Educator
    รักที่จะเรียน: ความโรแมนติกในความรู้ ฉบับนักเรียนโอลิมปิกของแทนไท ประเสริฐกุล

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    รักที่จะรักหลากหลาย: นักเขียนรางวัลซีไรต์กับนิยายYของเธอ

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

เพราะทำผิดเท่ากับโดนลงโทษ ลูกจึงโกหก
Family Psychology
26 April 2019

เพราะทำผิดเท่ากับโดนลงโทษ ลูกจึงโกหก

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เคยกล่าวไว้ว่า จริงๆ แล้ว พฤติกรรมโกหกอาจไม่มีจริงในวัยเด็ก เพราะเด็กไม่ได้มีความเข้าใจว่าโกหกคืออะไร  เขาจึงต้องแสดงออกโดยการไม่พูดความจริง เพราะคิดว่าทำแบบนี้พ่อแม่จะชอบและพอใจ

ซึ่งแน่นอนว่าการพูดไม่จริง เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ แต่เมื่อเด็กทำไปแล้ว พ่อแม่ควรแสดงให้เขารู้ว่าเรารู้ ด้วยท่าทีที่สงบ นิ่ง เหมือนหลายๆ เรื่อง เพื่อทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย แม้ว่าเราจะจับได้

ฉะนั้นวิธีรับมือเมื่อลูกโกหกที่ดีที่สุดคือการไม่ถามว่าทำไม ไม่คาดคั้น ไม่ซ้ำเติม บอกเขาตรงๆ ว่า ‘ไม่อยากให้ทำแบบนี้’ แนะนำวิธีที่ลูกสามารถพูดความจริงกับเราได้ รวมถึงหมั่นทบทวนตัวเองอีกด้วย

อ่านบทความเพิ่มได้ ที่นี่

Tags:

ปฐมวัยวินัยเชิงบวกการลงโทษ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Learning Theory
    เก็บความเชื่อเก่าเข้ากรุ แค่ครู ‘แคร์เด็ก’ วินัยในห้องเรียนก็เกิด

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    ลงโทษแค่หลาบจำ ลูกจะกลับมาทำอีก ‘หนุนเสริมเชิงบวก’ เวิร์คกว่า เขาจะรู้ผิดถูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • EF (executive function)
    ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel