Skip to content
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Transformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent Brain
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)

Year: 2019

SCAFFOLDING: ครูผู้เป็น ‘นั่งร้าน’ ช่วยเด็กๆ สร้างตึกของตัวเองให้แข็งแรง
Learning Theory
18 July 2019

SCAFFOLDING: ครูผู้เป็น ‘นั่งร้าน’ ช่วยเด็กๆ สร้างตึกของตัวเองให้แข็งแรง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Scaffolding วิธีการเรียนรู้ที่ครูเปรียบเหมือน ‘นั่งร้าน’ ที่เป็น ‘ตัวช่วย’ ให้เด็กๆ ก่อร่างสร้างตึกของตัวเองระหว่างที่โครงสร้างตึกยังไม่ถูกวาง หรือ ในวันที่เขายังไม่รู้ว่าจะเรียนยังไง ไปถึงความรู้นั้นอย่างไร
  • ‘นั่งร้าน’ จัดวางตัวเองอยู่ตรงกลางระหว่าง ‘การเรียนรู้ที่ง่าย’ กับ ‘การเรียนรู้ที่ยาก’ เพราะพื้นที่กลางๆ แบบนี้ จะยิ่งช่วย ‘บูสต์’ หรือผลักดันให้ผู้เรียนพัฒนาหรือขับเคลื่อนตัวเองไปสู่จุดหมายได้
  • ครู ผู้เป็นนั่งร้าน ต้องช่วยลดความกังวล บรรเทาความท้อแท้ หรือความรู้สึกด้านลบขณะเด็กๆ ต้องเผชิญหน้ากับการเรียนรู้ที่พวกเขารู้สึกยากลำบาก มองให้ทะลุว่าเด็กๆ ต้องการตัวช่วยอะไรเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ

Scaffolding วิธีการเรียนรู้ที่ครูเปรียบเหมือน ‘นั่งร้าน’ ที่เป็น ‘ตัวช่วย’ ให้เด็กๆ ก่อร่างสร้างตึกของตัวเองระหว่างที่โครงสร้างตึกยังไม่ถูกวาง หรือ ในวันที่เขายังไม่รู้ว่าจะเรียนยังไง ไปถึงความรู้นั้นอย่างไร และเมื่อโครงสร้างแข็งแรงดีแล้ว นั่งร้านจะถูกถอดออก และต่อไปเด็กๆ จะเรียนรู้ต่อเนื่องได้ด้วยตัวเอง

‘นั่งร้าน’ ต้องมอบบทเรียนที่ไม่ง่ายเกินไป ไม่ยากเกินไป เพื่อท้าทายให้ผู้เรียนยังไปต่อและไม่ล้มเลิกกลางทาง หัวใจของ Scaffolding ยังต้องช่วยลดความกังวลหรือความรู้สึกด้านลบขณะเด็กๆ เผชิญหน้ากับการเรียนรู้ที่รู้สึกว่ายากลำบาก ครูรู้ว่าเด็กๆ ต้องการตัวช่วยอะไรเพื่อให้เขาไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ

ในระหว่างการเรียนรู้ เด็กๆ อาจผ่านช่วง ‘การเรียนรู้ที่ง่าย’ เป็น comfort zone ในขณะที่บางช่วงต้องผ่าน ‘การเรียนรู้ที่ยาก’ หรือ stress zone ซึ่งเป็นช่วงที่เขาขยายขอบเขตความรู้ตัวเองไม่ได้ ณ จังหวะนี้เขาต้องการครู ผู้เป็น ‘นั่งร้าน’ ช่วยสนับสนุนให้เขาข้ามผ่านการเรียนรู้ที่ยาก ยกระดับการเรียนรู้ของตัวเองขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งได้ เรียกกระบวนการนี้ว่า Scaffolding

‘นั่งร้าน’ จึงจัดวางตัวเองอยู่ตรงกลางระหว่าง ‘การเรียนรู้ที่ง่าย’ กับ ‘การเรียนรู้ที่ยาก’

The Zone of Proximal Development ระยะทางระหว่างความรู้เดิม กับ ความรู้ที่มากขึ้นหลังถูกพัฒนา

เพื่อขยายความและยกตัวอย่างวิธีการทำ Scaffolding จำเป็นต้องอธิบายแนวคิดเบื้องหลังของคำ นั่นคือมโนทัศน์การเรียนรู้เรื่อง The Zone of Proximal Development หรือ ZPD พัฒนาโดย วีกอตสกี (Lev Vygotsky, 1896-1934) นักจิตวิทยาชาวรัสเซียกลุ่มพุทธิปัญญานิยม

ZPD ว่าด้วย ‘ระยะทาง’ ระหว่างความรู้เดิมที่ตัวเด็กมี (level of independent development) กับ ความรู้ที่เด็กๆ จะถูกพัฒนาก็ต่อเมื่อได้รับความช่วยเหลือหรือสนับสนุน (level of potential development) จากครู สังคม เพื่อน หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในรูปแบบต่างๆ วีกอตสกีเชื่อว่าเด็กที่อยู่ในระยะ ZPD ควรได้รับความช่วยเหลือด้วยบทเรียนที่ไม่ยากเกินไปจนเด็กๆ สับสน ท้อจนอยากล้มเลิก (stress zone) แต่ต้องไม่ง่ายเกินไปจนทำให้เด็กๆ ติดอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย (comfort zone)

‘พื้นที่กลางๆ’ แบบนี้ จะยิ่งช่วย ‘บูสต์’ หรือผลักดันให้ผู้เรียนพัฒนาหรือขับเคลื่อนตัวเองไปสู่จุดหมายได้

โดยระยะการเรียนรู้ของ ZPD เด็กๆ จะพัฒนาได้ด้วยปัจจัยการเรียนรู้ 3 ปัจจัย ดังนี้

  • A More Knowledgeable Other: การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญที่รู้จริงในด้านนั้นๆ
  • Social Interactions: เรียนรู้ผ่านปัจจัยหรือบริบททางสังคม
  • Scaffolding: วิธีสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อให้เด็กๆ ผ่านระยะ ZPD ไปได้

แม้ Scaffolding จะเป็นหนึ่งในปัจจัยการเรียนรู้ที่พูดถึงโดยวีกอตสกี แต่ต้องขีดเส้นใต้ว่าผู้ที่ใช้คำว่า ‘นั่งร้าน’ เป็นที่แรกคืองานของ David Wood, Jerome S. Bruner และ Gail Ross ในปี 1976

Scaffolding: หากไม่มี ‘นั่งร้าน’ ผู้เรียนไม่อาจพัฒนาความรู้ไปถึงจุดหมายได้

สรุปอีกครั้ง Scaffolding คือวิธีการ ‘หลากหลาย’ ที่เป็น ‘ตัวช่วย’ หรือ ‘หน้าที่สนับสนุน’ ให้เด็กคนหนึ่งพัฒนาความรู้ความสามารถ ‘ในจุดที่ตัวเองยืนอยู่’ ไปจนถึงจุด level of potential development และเป็นการทำหน้าที่ของครูในวันที่เด็กไม่รู้ว่าจะไปถึงจุดหมายนั้นอย่างไร

เปรียบวิธีการที่ครูเป็น ‘นั่งร้าน’ ที่ช่วยให้เด็กๆ ก่อร่างสร้างตึกของตัวเองระหว่างที่โครงสร้างยังไม่ถูกวาง (ยังไม่รู้ว่าจะเรียนยังไง ไปถึงความรู้นั้นได้อย่างไร) เป็นจุดการเรียนรู้ที่ ถ้าเด็กๆ ไม่ได้รับการสนับสนุนแล้ว ก็คงไปยังจุดหมายนั้นหรือผ่านพื้นที่ ZPD ไม่ได้ และเมื่อโครงสร้างแข็งแรงดีแล้ว นั่งร้านจะถูกถอดออก และเด็กๆ จะเรียนรู้ต่อเนื่องไปได้ด้วยตัวเอง เมื่อถึงตอนนั้น หน้างานของครูจะค่อยๆ ลดลง

เพื่อกลับไปอธิบายว่า Scaffolding เป็นทางสายกลางของการสอนได้อย่างไร อยากอธิบายด้วยงานวิจัยของ Wood โดยเขาทำงานกับคุณแม่จำนวนหนึ่งในปีนั้น โดยให้คุณแม่ช่วยเด็กๆ สร้างโมเดลจำลอง 3 มิติ จัดกลุ่มการดูแลของคุณแม่ส่วนใหญ่ 3 แบบดังนี้

  • การสนับสนุนทั่วไป เช่น “ตอนนี้ลูกต้องทำต่อแล้วนะ”
  • สนับสนุนโดยลงรายละเอียด เช่น “ลองใช้บล็อก 4 ตัวนี้ดู”
  • อธิบายวิธีการภาพรวม เช่น แสดงให้เห็นว่าการต่อชิ้นส่วนเข้าด้วยกันทำยังไง

ผลวิจัยแสดงว่า วิธีที่ทำให้เด็กๆ สร้างโมเดลจำลองสำเร็จนั้นไม่ตายตัวและไม่ได้ใช้แค่วิธีใดวิธีหนึ่ง คุณแม่ที่ประสบความสำเร็จมักใช้วิธีหลากหลายตามแต่สถานการณ์ที่เด็กๆ กำลังเจอ เช่น เมื่อเด็กๆ กำลังทำได้ดี คุณแม่จะให้คำแนะนำ อย่างน้อยที่สุด เมื่อเด็กๆ ติดขัด คุณแม่จะให้คำแนะนำที่ลงรายละเอียดกระทั่งเด็กๆ ไม่สับสนและทำต่อได้ กล่าวได้ว่า Scaffolding ก็คือการสนับสนุนเด็กๆ เมื่อถึงช่วงที่พวกเขาต้องการและทำอย่างถูกจุด – บทเรียนไม่ยากเกินไป ไม่ง่ายเกินไป ซึ่งหากพวกเขาไม่ได้รับ เด็กๆ อาจไปไม่ถึงจุดที่ตั้งใจไว้ได้

อีกหนึ่งคำอธิบายโดย ดร.แคโรล ทอมลินสัน (Dr.Carol Ann Tomlinson) และ เจย์ แมคทิค (Jay McTighe) สองนักการศึกษาในประเด็น Scaffolding เสนอวิธีการ Scaffolding ไว้ดังนี้

  • ความชัดเจน: งานหรือโปรเจ็คท์ที่ครูให้ต้องชัดเจน รวมถึงการทำงานย่อยแต่ละโปรเจ็คท์ก็ต้องมีฟังก์ชั่นของมันชัดเจน และรู้ว่างานแต่ละชิ้นจะไปจบหรือรวมตัวกันเพื่อจุดประสงค์อะไร
  • ความเหมาะสม: งานหรือโปรเจ็คท์นั้นต้องยากและท้าทายพอ วิธีคิดของครูในการออกงานหรือโปรเจ็คท์นั้นต้องคิดไว้เสมอว่า ลำพังเด็กคนเดียวอาจทำไม่สำเร็จ แต่ต้องพึ่งการสนับสนุนบางอย่างจากครู
  • โครงสร้าง: ครูอธิบายโครงสร้างและปัญหาให้ผู้เรียนเห็นก่อนอย่างแจ่มชัด
  • ความร่วมมือ: หน้าที่ของครูไม่ใช่การประเมินหรือให้คะแนน แต่เป็นการให้ความร่วมมือ และครูควรตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของนักเรียนให้ช่วยอะไรก็ตาม ครูควรช่วยก็ต่อเมื่อเด็กๆ กำลังพยายามแก้ปัญหาอยู่
  • การฝังหรือผนึกความรู้: นั่งร้านจะถูกรื้อออก ก็ต่อเมื่อครูเห็นแล้วว่าเด็กๆ ฝังหรือผนึกความรู้ลงไปในเนื้อในตัวของพวกเขาแล้ว

นั่งร้านต้องทำหน้าที่สร้างความอุ่นใจ

ขีดเส้นใต้ว่า หนึ่งในเป้าหมายของ Scaffolding ครู ผู้เป็นนั่งร้าน ต้องช่วยลดความกังวล บรรเทาความท้อแท้ หรือความรู้สึกด้านลบขณะเด็กๆ ต้องเผชิญหน้ากับการเรียนรู้ที่พวกเขารู้สึกยากลำบาก มองให้ทะลุว่าในช่วงเวลานี้ เด็กๆ ต้องการตัวช่วยอะไรเพื่อให้เขาไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ

และให้อย่าง ‘พอดี’ อาจเรียกว่านี่คือความท้าทายสูงสุดของ Scaffolding

โดย Wood ให้คำนิยามเฉพาะของ Scaffolding ไว้ว่า ผู้สอนจะต้อง…

  • เพิ่มเติมหรือรักษาความอยากรู้อยากลองของเด็กๆ ในการพัฒนาศักยภาพหรือขณะการเรียนรู้
  • ช่วยคลี่คลายสถานการณ์การเรียนรู้หรือทำให้มันง่ายขึ้นได้
  • เจาะจงรายละเอียดหรือให้คำแนะนำที่ถูกจุดและชัดเจน
  • ช่วยคลี่คลายความกังวลของเด็กๆ
  • อธิบาย ‘ภาพรวม’ วิธีการหรือปัญหาที่เขากำลังเจอให้เห็นภาพ

ตัวอย่างวิธีการ Scaffolding

อันที่จริง Scaffolding มีหลากหลายวิธี อย่างที่กล่าวไปว่ามันคือการรวบรวมวิธีการสนับสนุนหลายอย่างตามแต่สิ่งที่ผู้เรียนต้องการขณะนั้น

แต่วิธีคิดเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในภาพรวม Scaffolding มีไอเดียใหญ่ๆ ว่า มันคือการตัดย่อยเนื้อหาในภาพรวม ดึงเนื้อหาออกเป็นก้อนเล็กๆ ให้เด็กเรียนรู้ จากนั้นจึงช่วยสนับสนุนให้เรียนรู้ด้วยวิธีคิดแบบ Scaffolding ในแต่ละพาร์ท ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพการ Scaffolding ดังนี้

1. เริ่มต้นบทเรียนด้วยเวอร์ชั่นง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แล้วค่อยเพิ่มความซับซ้อนของเนื้อหาเมื่อเห็นว่าเด็กๆ พร้อมเรียนรู้ขั้นตอนถัดไปแล้ว

ตัวช่วยคือ ครูซอยเนื้อหาออกเป็นส่วนๆ หรือคิดง่ายๆ ว่า ซอยเนื้อหาที่เป็น ‘ซีรีส์’ ให้เป็น ‘มินิซีรีส์’ เพื่อช่วยให้เด็กๆ ไต่ระดับการเรียนรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ และการเรียนรู้แต่ละมินิซีรีส์ ผู้สอนคอยเช็คว่าเด็กๆ เข้าใจคอนเซ็ปต์แต่ละก้อนไหม ให้เวลาเด็กๆ เพื่อฝึกหรือพัฒนาความคิดกับเนื้อหาในมินิซีรีส์นั้นๆ และหากเจออุปสรรค ครูอธิบายภาพรวมว่าแก้ได้อย่างไร และอธิบายด้วยว่า ทักษะที่เด็กๆ ฝึกฝนอยู่นั้นนำไปใช้แก้ปัญหาเรื่องอื่นๆ ได้อย่างไร

2. ผู้สอนอธิบายคอนเซ็ปต์เรื่องที่จะสอนให้เห็นภาพ เห็นปัญหา เห็นทางเลือกต่อวิธีแก้ปัญหาให้เด็กๆ เลือกหยิบไปใช้ได้

วิธีการนี้เหมือนการ overview ให้เห็นภาพก่อนสอน อาจใช้สไลด์ กราฟิก อธิบายปากเปล่า หรือวิธีการใดๆ เพื่อให้นักเรียนเห็นภาพ สังเกตว่าในข้อนี้คือการ ‘ถ่ายทอดความรู้’ วิธีคลาสสิกที่ครูหลายคนยังเลือกหยิบกลับมาใช้ได้

3. ให้ตัวอย่างอย่างเป็นรูปธรรม

ก่อนปฏิบัติหรือทดลองแต่ละครั้ง ผู้สอนให้ตัวอย่างรูปธรรม และอธิบายว่าตัวแปรแต่ละอย่างสำคัญอย่างไร หากเป็นการทดลองวิทยาศาสตร์ ครูอาจทำให้เห็นเป็นตัวอย่างก่อนได้ วิธีคิดในข้อนี้เพื่อทำให้นักเรียนเห็นภาพรวม

4. ก่อนการสอน ครูอธิบายคำศัพท์ยากๆ ที่นักเรียนจะเจอจากบทเรียน

ครูลิสต์คำศัพท์ที่นักเรียนจะเจอในบทเรียนและคิดว่าเป็นคำที่พวกเขาจะสงสัยกับมันแน่ๆ ครูอาจชวนพูดคุยถึงความหมาย พูดคุยเกี่ยวกับบริบทในคำศัพท์นั้นๆ เวลาเด็กๆ ต้องทำงานหรือหาความรู้ในเรื่องนั้น พวกเขาจะมั่นใจและคุ้นเคยกับประเด็น เมื่ออ่านไม่ติดขัด ก็ยิ่งช่วยให้เขาเข้าใจเรื่องที่ศึกษาได้ดีขึ้น

5. ครูอธิบายเป้าหมายการเรียนรู้แต่ละซีรีส์และมินิซีรีส์

นอกจากอธิบายเป้าหมาย ครูต้องอธิบายขั้นตอนการเรียนรู้ที่วางไว้ทีละขั้นให้เด็กๆ เข้าใจ อธิบายวิธีการให้คะแนนและประเมินผล เมื่อเด็กๆ รู้เหตุผล รู้วิธีการเรียน รู้วิธีการประเมิน พวกเขาจะเข้าใจเหตุผลที่ครูให้งานแต่ละครั้ง วิธีการนี้สำคัญในแง่การลดความกังวลของเด็กๆ จากความไม่รู้ว่ากำลังเรียนอะไร จะประสบความสำเร็จในวิชานี้ต้องมีวิธีการอะไรบ้าง ขั้นตอนนี้ทำให้พวกเขาเห็นภาพรวม รู้และวางแผนตัวเองได้

6. ทุกครั้งที่จะเริ่มซีรีส์หรือมินิซีรีส์ของบทเรียนใหม่ ครูอธิบายว่าบทเรียนที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับบทเรียนใหม่อย่างไร

นอกจากนี้ควรอธิบายว่าทักษะที่นักเรียนได้จากบทเรียนที่ผ่านมา จะมีผลหรือนำไปใช้กับบทเรียนต่อไปหรืองานครั้งต่อไปได้อย่างไร

ที่มา:

edglossary.org

simplypsychology.org

edutopia.org

researchgate.net

ascd.org

Tags:

ครูเทคนิคการสอนScaffolding

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Unique Teacher
    “เรารักนักเรียนนะ แต่เราแสดงออกไม่เป็น” เปลือยชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดราวบทหนังสือของครูเฮง

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Learning Theory
    ย่อยของยาก ซอยเป้าหมายให้ง่าย ครูช่วยได้ด้วย SCAFFOLDING

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Learning Theory
    ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    MAGICAL CLASSROOM: ครูทุกคนต่างมีเวทมนตร์ในตัวเอง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์
Healing the traumaFamily Psychology
17 July 2019

เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • พ่อแม่ทุกคนมีปมบาดแผลที่ซ่อนอยู่ ปมนั้นเกิดประสบการณ์วัยเด็ก แต่การจะข้ามผ่านไปได้ ไม่ใช่การเก็บซ่อนหรือพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึก แต่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจในตนเอง ทบทวนและยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงให้ได้ จึงจะสามารถมองบาดแผลเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนโดยไม่นำปมปัญหามากำหนดเส้นทางชีวิต
  • ปมบาดแผลคือความทรงจำที่หลงเหลือจากเหตุการณ์สะเทือนใจในอดีต ซึ่งส่งผลต่อความคิด สภาพจิตใจ การมองโลก โดยสมองมนุษย์ตอบสนองต่อประสบการณ์ด้วยกลไกการจัดเก็บความทรงจำ 2 แบบคือ ความทรงจำโดยปริยาย และ ความทรงจำชัดแจ้ง 
  • ถ้าปมนี้ไม่ถูกสะสางจะเกิดภาวะความย้อนแย้งของพ่อแม่ (parental ambivalence) ได้ แม้จะรักลูกแต่ก็กลับอดทนกับการเลี้ยงลูกไม่ได้ ทำให้รู้สึกฝืน แสดงออกมาเป็นการเฉยชา เกิดอาการปั้นปึ่งใส่ลูกโดยไม่ตั้งใจ ผลที่ตามมา ลูกอาจมีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นศัตรูของพ่อแม่ และเติบโตไปเป็นพ่อที่ไม่มีความอดทนต่อลูก

‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ หมายความว่าพ่อแม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น คำกล่าวนี้สะท้อนว่า พ่อแม่เลี้ยงลูกจากบทเรียนที่ตนเองเคยประสบ มองเห็นหรือเข้าใจโลกอย่างไรก็ถ่ายทอดไปสู่ลูกอย่างนั้น

ดังนั้นการจะปลูกฝังเลี้ยงดูให้ลูกมองโลกอย่างเปิดกว้างและเข้าใจ มีพลังใจอันงดงามเต็มเปี่ยมที่จะรับมือกับชีวิต ตัวพ่อแม่เองต้องมีทัศนคติเชิงบวก ยอมรับและเข้าใจประสบการณ์เลวร้ายที่ตนเองเคยพบก่อนจึงจะสามารถถ่ายทอดความรักความอบอุ่นมั่นคงปลอดภัยและพลังใจให้กับลูกได้

พ่อแม่บางคนอาจแบกรับปมบาดแผลบางอย่างมาจากประสบการณ์ในวัยเด็ก การถูกทอดทิ้ง ขาดความอบอุ่น หรือถูกทารุณ บาดแผลทางกายใจที่ได้รับมาจากครอบครัวหรือการต้องทนเก็บกดความรู้สึกบางอย่างเช่น ความโกรธแค้น ความกลัว หรือความน้อยเนื้อต่ำใจ ถ้าไม่เคยเปิดหัวใจยอมรับเพื่อเยียวยาสะสาง เข้าใจ ให้อภัย ปมปัญหาที่ติดค้างจากอดีตมีแต่จะขมวดแน่นขึ้นและเหนี่ยวนำเด็กน้อยที่เต็มไปด้วยบาดแผลคนนั้นให้กลายเป็นพ่อแม่ที่พร้อมจะสร้างบาดแผลแบบเดียวกันกับลูกเหมือนกับที่ตนเองเคยได้รับ

ตัวอย่างเช่นเด็กที่ถูกพ่อแม่ผละไปข้างนอกโดยไม่บอกกล่าวเพราะกลัวร้องงอแง จะเกิดความรู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัย หวาดระแวงฝังใจว่าจะถูกทิ้ง ยิ่งถ้าถูกผู้ใหญ่ในบ้านดุหรือห้ามไม่ให้ร้องไห้อีก นอกจากความกลัวถูกทิ้ง ยังถูกซ้ำเติมด้วยการผลักไสไม่เห็นใจ เด็กก็จะรับมือความเศร้าของตนเองโดยการเก็บกดความรู้สึกไว้แทน

พ่อแม่ที่ในวัยเด็กถูกทอดทิ้งในลักษณะนี้ เมื่อต้องแยกจากลูกจะเกิดอาการ panic เพราะจิตประหวัดไปถึงคราวที่ตนเองถูกทิ้งมาก่อน ความเครียดส่งผ่านไปสู่ลูก ลูกเองก็จะเครียดเมื่อต้องห่างแม่ด้วยเช่นกัน วนลูปไปเป็นลูกโซ่ 

การจะข้ามผ่านปมปัญหาได้นั้นไม่ใช่การเก็บซ่อนหรือพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึกไปจากความจริงที่เกิดขึ้น พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจในตนเอง (self-understanding) ทบทวนและยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง (reflecting) ให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถมองบาดแผลเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนโดยไม่นำปมปัญหาเหล่านั้นมาเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิต

การลบล้างปมบาดแผลในใจของพ่อแม่คือหนึ่งในคำแนะนำการเลี้ยงลูกจากหนังสือ Parenting from the Inside Out อันเป็นผลงานการจับปากกาเขียนร่วมกันระหว่างผู้อำนวยการเนิร์สเซอรีที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านแม่และเด็กซึ่งคลุกคลีกับเด็กๆ มากว่า 40 ปี แมรี ฮาร์ทเซล (Mary Hartzell) กับ คุณหมอ แดเนียล เจ. ซีกัล (Daniel J. Siegel) จิตแพทย์เด็กประจำมหาวิทยาลัยศูนย์การแพทย์แห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียหรือ UCLA ที่ผสมผสานความรู้ด้านการเลี้ยงลูก ทั้งจากแง่มุมความผูกพันปฏิสัมพันธ์ในครอบครัวเข้ากับศาสตร์ความรู้ทางประสาทวิทยาว่าด้วยกลไกการทำงานของสมอง และจิตซึ่งทั้งสองด้านส่งผลต่อพัฒนาการทางกายใจตลอดเส้นทางการเติบโตของเด็ก 

บาดแผลที่ได้รับจากครอบครัว (Left over Issues)

ฮาร์ทเซล ผู้ซึ่งคลุกคลีกับเด็กๆ หลายสิบชีวิตในเนิร์สเซอรี และเข้าใจการเลี้ยงเด็กเป็นอย่างดี ก็พบว่าในบทบาทความเป็นคุณแม่ เธอเองก็มีบาดแผลในใจที่ได้รับจากแม่จอมเจ้ากี้เจ้าการและส่งต่อบาดแผลเดียวกันนั้นไปยังลูกโดยไม่รู้ตัว

ครอบครัวฮาร์ทเซลมีพี่น้องทั้งหมด 9 คน ทุกครั้งที่แม่ลูกต้องยกโขยงกันไปซื้อรองเท้าใส่ไปโรงเรียน แม่จะเคร่งเครียดและเจ้ากี้เจ้าการกับการเลือกรองเท้าของลูกๆ ทุกคนให้คุ้มค่า คุ้มราคามากที่สุด ติดที่เท้าของเธอเป็นไซส์มาตรฐานจึงมักได้รองเท้า sale เสมอ ในขณะที่พี่ๆ บางคนใส่เบอร์ธรรมดาไม่พอดีจึงมักได้คู่ที่แพงและแตกต่าง เธอน้อยใจแต่ก็รับรู้ว่าแม่เครียดเพียงใดที่ต้องจ่ายเงินจำนวนมากทุกครั้งที่พาไปซื้อรองเท้า

เมื่อเธอกลายเป็นคุณแม่ลูกสอง คิดว่าการพาลูกๆ ไปช็อปปิ้งกันกะหนุงกะหนิงคงเป็นช่วงเวลาแสนสุข แต่กลับกลายเป็นว่า เธอถอดแบบแม่ที่เจ้ากี้เจ้าการของตัวเองในอดีตมาเป๊ะๆ ติมันไปซะทุกอย่างจนลูกหมดสนุกและลงเอยที่ “แม่ก็เลือกเองเลยแล้วกัน” ออกไปช็อปปิ้งด้วยกันครั้งใด ต้องเหนื่อยหน่ายใจด้วยกันทุกครั้ง

กระทั่งวันหนึ่งเมื่อลูกถามตรงๆ ว่า “ตอนเป็นเด็กแม่ไม่ชอบเวลาได้ออกไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่เหรอครับ?” เพียงเท่านั้น ฮาร์ทเซลก็ถึงบางอ้อ ภาพความทรงจำอันอลหม่านที่แม่ของเธอหัวหมุนในวงล้อมของลูกๆ กับรองเท้ากองพะเนินก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง 

ใช่แล้ว! ความเครียดขมึงทึงที่แม่ส่งผ่านมาถึงเธอว่าเธอไม่มีสิทธิเลือกรองเท้าตามอำเภอใจยังคงหลอกหลอนฝังแน่นอยู่ในใจ เธอเดินตามแพทเทิร์นของแม่มาทั้งดุ้น เคร่งเครียดและเจ้ากี้เจ้าการอย่างเดียวกันกับที่แม่เธอทำ

การค้นพบปมฝังใจนี้โดยบังเอิญ ทำให้ฮาร์ทเซลได้กลับไปทบทวนทำความเข้าใจตัวเอง สามารถแยกแยะสถานการณ์ที่เกิดในอดีตของตัวเองออกจากปัจจุบัน และเกิดการตระหนักรู้จนในที่สุดสามารถก้าวข้ามปมบาดแผลมาได้

ปมความรู้สึกเก็บกด (Unresolved Issues)

ปมความรู้สึกเก็บกดมักรุนแรงกว่าบาดแผลที่พ่อแม่ถ่ายทอด เพราะต้นตอปัญหาเกิดภายในจิตใจจากความสัมพันธ์หรือประสบเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนใจมากจนถึงขนาดรู้สึกสิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยากในชีวิต หวาดกลัว พลังชีวิตถูกกัดกร่อน เช่น การที่ลูกถูกทอดทิ้งในลักษณะที่ซับซ้อนรุนแรงกว่าข้างต้น คือถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตตามลำพังเพราะแม่ป่วยอยู่ในโรงพยาบาล ถูกส่งต่อเวียนตามบ้านญาติไปเรื่อยๆ พร้อมกับสภาพจิตใจแห้งแล้ง ไม่มั่นคง ขาดความอบอุ่น

เด็กที่เติบโตด้วยปมความรู้สึกนี้ฝังใจมายาวนานโดยไม่เคยสะสางความรู้สึกตนเอง ก็จะเติบโตไปเป็นแม่ที่เข้าหาลูกยาก ไม่สามารถสร้างความผูกพันเพราะตัวเองไม่เคยได้รับเช่นกัน

คุณหมอซีกัลเองก็แชร์ว่าเขามีปมความรู้สึกเก็บกดแบบนี้เช่นกัน ความหวาดกลัวรุนแรงจะปะทุขึ้นทุกครั้งเมื่อเห็นลูกร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุ คุณหมอเล่าว่าวันหนึ่งขณะพาลูกชายตัวน้อยไปปิกนิก จู่ๆ เมื่อลูกเริ่มร้องไห้ อาการหวาดผวารุนแรงอย่างประหลาดก็จู่โจม เหงื่อซึมสองมือ แม้รู้ว่าควรปลอบลูก แต่ยังไงๆ ก็ทำไม่ได้ เกิดความรู้สึกอยากเดินหนีไปซะดื้อๆ

คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าในวัยเด็กเขาเคยประสบเหตุการณ์อะไรหนอจึงหวาดผวากับเสียงร้องไห้นี้ เดาว่าอาจเป็นเพราะพ่อแม่เคยปล่อยให้ร้องไห้อย่างนี้ละมังแต่ก็จำไม่ได้ เพราะสมองของเด็กเล็ก กลไกการทำงานของสมองส่วนความจำยังพัฒนาไม่เต็มที่ แต่แม้จะพยายามทำความเข้าใจตัวเองเพียงใดกลับไม่สามารถเยียวยาอาการหวาดผวามือสั่นเมื่อได้ยินเสียงลูกร้องให้บรรเทาลงไปได้เลย แถมยังหนักขึ้นทุกครั้งจนกลายเป็นความรู้สึกต่อต้านการอยู่กับลูก

แม้พยายามทำความเข้าใจตัวเองแต่อาการก็ไม่หายไป เพราะเขายังไม่ค้นเจอเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอของปมอย่างแท้จริง จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อลูกร้อง เขาไม่เดินหนีอีกต่อไป พยายามหาคำตอบโดยการหลับตาเพ่งไปที่ความกลัวที่ผุดขึ้นในใจอย่างจดจ่อ ไม่เบนความสนใจไปจากเสียงร้องของลูก เสียงลูกน้อยร้องไห้จ้า คุณหมอหลับตามองไปที่ใจตัวเองว่าเขากำลังกลัวอะไรกันแน่

ภาพที่เห็นด้วยใจกระจ่างชัด เสียงกระจองอแงไม่ได้มาจากลูก แต่มาจากคนไข้เด็กที่ร้องสุดเสียงด้วยพิษไข้และเจ็บปวดที่เขากับเพื่อนกุมารแพทย์เมื่อครั้งยังเป็นแพทย์ฝึกหัดกำลังตรึงแขนเล็กๆ นั้นเพื่อเจาะเลือด ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นท่ามกลางเสียงเด็กร้อง สิ่งที่คุณหมอต้องทำระหว่างปฏิบัติหน้าที่รักษาเด็กๆ ที่เจ็บป่วยเหล่านั้นคือการเก็บกดความรู้สึกสงสารเห็นใจ ความรู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุให้เด็กร้องไห้เพราะต้องทำงาน (รักษา) ให้เสร็จ ตลอดการฝึกหัด คุณหมอโฟกัสเฉพาะแค่ประสบการณ์ที่ดีโดยลืมไปว่ามีความเจ็บปวดที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้ลึกสุดใจ

มาวันนี้เขาพบแล้วว่าต้นตอความหวาดกลัวในใจไม่ได้มาจากเสียงร้องของลูกน้อยตรงหน้า แต่เป็นเสียงสะท้อนที่ก้องมาจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจในคราวนั้น

ทำไมปมนี้ถึงเพิ่งมาปรากฏเอาเมื่อตอนได้ยินลูกร้องไห้ ก็เพราะปัจจัยที่กระตุ้นการระลึกความทรงจำที่เป็นปมนี้ คือการได้ประสบกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำนั้น (อยู่กับเด็กที่กำลังร้องไห้) มีแก่นของประสบการณ์พ้องกับความทรงจำ (เด็กร้องไห้) จังหวะชีวิตที่ต้องทำบางอย่างดังที่เคยทำในความทรงจำหรือเจอบุคคลที่อยู่ในความทรงจำที่เป็นปมนั้นอีกครั้ง หรือสภาพจิตใจขณะระลึกความทรงจำพ้องกันกับเมื่อตอนเกิดปมปัญหา (รู้สึกทุกข์ใจเมื่อเด็กร้องไห้)

ด้วยความที่เป็นจิตแพทย์ คุณหมอซีกัลอธิบายกลไกการทำงานของสมองที่เกี่ยวพันกับความทรงจำที่เป็นปมบาดแผลว่า การที่เขาจำอะไรไม่ได้ในตอนแรกเป็นเพราะจิตของเขาค้นหาความทรงจำที่เกิดกับตนเองเชิงเหตุการณ์ในห้วงเวลาต่างๆ (เรียกว่า autobiographical memory-จะกล่าวถึงต่อไป) ในขณะที่ช่วงเวลาการเป็นแพทย์ฝึกหัดไม่ได้ถูกเข้ารหัสเป็นความทรงจำลักษณะนี้ เพราะในตอนนั้นกลไกเพื่อความอยู่รอดของเราจะเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเรื่องที่เราหวาดกลัวโดยอัตโนมัติ ความเครียดจะไปหลั่งฮอร์โมนบางอย่างที่ขัดขวางการทำงานของสมองส่วนที่ผนึกความทรงจำด้าน autobiographical ผลคือสมองของเขาในขณะทำหน้าที่แพทย์ฝึกหัดจอมเย็นชาผนึกความทรงจำเลวร้ายนั้นมาในรูปแบบจิต (ศัพท์เทคนิคเรียกว่า mental modes) คือความรู้สึกผิด หวาดกลัว หดหู่ โดยไม่มีรายละเอียดของเหตุการณ์อยู่เลย 

คุณหมอมองว่า ปมบาดแผลนี้น่าจะถูกสะสางไปตั้งแต่เขาฝึกงานจบ ถ้าหากเขาหยุดคิดทบทวนกับตัวเองสักหน่อยว่าเด็กเหล่านั้นเจ็บและกลัวขนาดไหน ภายใต้หน้ากากความเย็นชานิ่งเฉยของคุณหมอนั้นตัวเองกลัดกลุ้มและเป็นทุกข์มากเพียงใด ให้อภัยตัวเองว่าที่ทำไปเพราะจำเป็นต้องรักษาชีวิตหนูน้อยเหล่านั้น

มาบัดนี้เมื่อความรู้สึกที่ถูกกดไว้ปะทุขึ้นในต่างวาระต่างโอกาส เขาในฐานะพ่อต้องทำความเข้าใจพร้อมกับต่อสู้กับกลไกความอยู่รอดที่พยายามผลักให้หนีจากเสียงร้องและหลีกเลี่ยงการเข้าไปรับรู้ความเปราะบางของลูก ซึ่งโน้มนำให้แสดงพฤติกรรมที่สามารถทำร้ายจิตใจลูก

หนทางการสะสางปมนี้ คุณหมอใช้วิธีพยายามเล่าย้อนความทรงจำช่วงเป็นแพทย์ฝึกหัดให้เพื่อนฟังและจดบันทึกอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจอย่างตรงไปตรงมาเมื่อได้ยินเสียงลูกร้องไห้ อาการทางกายเช่น ปั่นป่วนในช่องท้อง คลื่นไส้ ครั่นเนื้อครั่นตัว และมือสั่น เกิดขึ้นทุกครั้งที่พยายามเข้าไปเยียวยาต้นตอความกลัวนั้น

เขาอธิบายว่าวิธีระบายความรู้สึกที่กดไว้ผ่านการพูดและเขียนช่วยให้เขาค่อยๆ ยอมรับตัวเองทีละนิด ตระหนักได้ว่าในห้วงขณะนี้เขาไม่ใช่คุณหมอที่กำลังปฏิบัติภารกิจ ลูกร้องไห้เพราะความเปราะบางและต้องการที่พึ่งเป็นธรรมชาติของเด็ก เขาเปิดรับบทบาทหน้าที่พ่อที่สามารถปลอบโยนลูกและเป็นอิสระจากความรู้สึกผิดบาปที่ตัวเองเก็บซ่อนไว้ในลิ้นชักความทรงจำได้เสียที

คุณหมอชี้ว่าถ้าปมนี้ไม่ถูกสะสางจะเกิดภาวะความย้อนแย้งของพ่อแม่ (parental ambivalence) ได้ คือ แม้จะรักลูกแต่ก็กลับอดทนกับการเลี้ยงลูกไม่ได้ ความรู้สึกฝืนทนจะส่งผ่านไปยังลูก โดยแสดงออกมาเป็นการเฉยชาต่อความรู้สึกของลูกหรือออกอาการปั้นปึ่งใส่ลูกโดยไม่ตั้งใจ

ผลที่ตามมาคือ ลูกอาจมีความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นศัตรูของพ่อแม่ติดตัว และเติบโตไปเป็นพ่อที่ไม่มีความอดทนต่อลูกอย่างที่เขาเคยได้รับการปฏิบัติมาเช่นกัน

ถอดรหัสความทรงจำ สะสางปมปัญหา

กล่าวได้ว่าปมบาดแผลคือความทรงจำที่หลงเหลือจากเหตุการณ์สะเทือนใจในอดีตซึ่งส่งผลต่อความคิด สภาพจิตใจ การมองโลกความเป็นไปในปัจจุบัน การทำความเข้าใจกลไกการทำงานของสมองส่วนจัดเก็บความทรงจำอาจเป็นกุญแจไขไปสู่คำตอบว่าทำไมเราจึงสั่งสมปมบาดแผลเหล่านั้นไว้ในใจและทำอย่างไรจึงจะลบล้างเยียวยามันได้

ตั้งแต่แรกเกิด สมองก็สามารถตอบสนองสภาวการณ์รอบตัวได้แล้วโดยเซลล์ประสาทในสมองที่เรียกว่า neuron แลกเปลี่ยนคลื่นสัญญาณระหว่างกัน การเชื่อมต่อกันของเซลล์ก่อเกิดเป็นกลไกที่ทำหน้าที่จดจำและแตกแขนงเป็นโครงสร้างส่วนต่างๆ ที่เชื่อมโยงหน้าที่แตกต่างกันไว้ ทั้งหมดทั้งปวงของกลไกสมองที่ก่อร่างขึ้นนั้นคือจิตใจ (mind) นั่นเอง

และเพราะกลไกการเชื่อมต่อของเซลล์เกิดเป็นวงจรการทำงานในสมองและความทรงจำเกิดขึ้นด้วยการตอบสนองต่อประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นพัฒนาการสมองและจิตใจของบุคคลนั้นๆ จึงได้รับอิทธิพลมาจากประสบการณ์ที่ได้รับนั่นเอง 

สมองตอบสนองต่อประสบการณ์ด้วยกลไกการจับเก็บความทรงจำ 2 แบบคือ 

  • ความทรงจำโดยปริยาย (Implicit Memory)
  • ความทรงจำชัดแจ้ง (Explicit Memory)

ความทรงจำโดยปริยาย เป็นความทรงจำที่เป็นข้อมูลซึ่งถูกจัดเก็บผ่านการทำงานทางจิต (mental models) ไม่ผ่านสมองส่วนคิดตริตรอง จิตบันทึกมาเฉพาะความรู้สึกล้วนๆ มาโดยไม่มีพื้นเรื่องราวเหตุการณ์มาด้วยและเป็นไปโดยไม่รู้ตัว เช่น เด็กที่แม่คอยอยู่ฟูมฟักดูแลจะ ‘จดจำ’ ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เมื่อรู้สึกกลัว กลไกทางจิตที่จดจำความผูกพันนั้นก็จะสั่งการให้ร้องหาแม่โดยอัตโนมัติ กล่าวกันว่าความทรงจำประเภทนี้อาจเกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นทารกน้อยในครรภ์เลยก็ว่าได้

การจดจำด้วยจิตนี้เปรียบเสมือนเลนส์แว่นตาที่เหนี่ยวนำการมองเห็นและพฤติกรรมที่มีต่อโลกรอบตัวของบุคคล เราจะค่อยๆ พัฒนาวิธีการมองโลกและตัวตนแรกเริ่มขึ้นจากความทรงจำโดยปริยายนี้ บางครั้งปมบาดแผลที่เกิดจากเหตุการณ์สะเทือนใจบางอย่างอาจถูกจัดเก็บเป็นความทรงจำแบบนี้ได้ด้วยการหลั่งฮอร์โมนบางตัวด้วยความกลัวหรือเครียดถึงขีดสุด รวมทั้งกลไกเอาตัวรอดของร่างกายที่เบนความสนใจไปจากความกลัว (เช่นกรณีของคุณหมอ) ด้วยเหตุนี้จึงมีพ่อแม่หลายคนที่คิดและแสดงออกทางลบด้วยปมบาดแผลจากอดีตโดยไม่รู้ตัวหรือให้นึกสาเหตุเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

ความทรงจำชัดแจ้ง เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นเมื่อสมองส่วนที่ชื่อว่า Hippocampus พัฒนาเมื่อเด็กอายุได้ 2 ขวบ สมองส่วนนี้ทำหน้าที่จัดเก็บความทรงจำเป็นความหมายหรือความรู้ด้านต่างๆ (Semantic Memory / Factual Memory) เช่น รู้จักคำว่าพ่อแม่ กิน หิว นับเลข หรือ จำ ก-ฮ ได้ กับทั้งสามารถจำรายละเอียดของเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตนเองประสบตามช่วงเวลา (Autobiographical Memory) เช่น เข้ามหาวิทยาลัย เรียนจบ บวช แต่งงาน ภรรยาตั้งครรภ์ เป็นต้น

ความทรงจำ Autobiographical Memory นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับการทำงานของสมองส่วนหน้าสุดที่อยู่หลังกะโหลกหน้าผากเรียกว่า Prefrontal Cortex ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Hippocampus ซึ่งเริ่มพัฒนาเมื่อเข้าขวบปีที่ 2 นั่นเอง ดังนั้น สาเหตุที่เราจดจำเหตุการณ์ตอนแบเบาะหรือช่วงก่อนสองขวบไม่ได้เลย (ทางการแพทย์เรียกว่าช่วง childhood amnesia) มาเริ่มจำได้คลับคล้ายคลับคลาเอาก็เมื่อช่วงเข้าโรงเรียนแล้ว และความทรงจำในช่วงนั้นก็กระท่อนกระแท่น เช่น จำได้ว่าโดนหมากัดแต่ก็ลงรายละเอียดได้ไม่แน่ชัด นี่ก็เป็นเพราะสมองส่วนที่สามารถเก็บความทรงจำที่เป็นรายละเอียดช่วงเวลาได้เพิ่งเริ่มทำงานตอนสองขวบ

นอกจากสมองส่วน Prefrontal Cortex ทำหน้าที่จดจำเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเอง มันยังทำหน้าที่คิดตริตรองการเข้าใจความรู้สึกตนเอง (self-awareness) การเข้าอกเข้าใจผู้อื่น (mindsight) การเลือกตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างเหมาะสม (response flexibility) และการยับยั้งชั่งใจ (regulation of emotions) ด้วย

ความรู้ตรงนี้สำคัญกับพ่อแม่มาก! เพราะตอนนี้เรารู้แล้วว่าลูกในวัยเบบี๋สามารถรับรู้ความรู้สึกผูกพัน มั่นคง อบอุ่น ปลอดภัยได้แม้สมองจะยังไม่สามารถจำเหตุการณ์เป็นเรื่องราวเลยด้วยซ้ำ (ด้วยความทรงจำโดยปริยาย) 

ดังนั้น การให้ลูกได้รับความอบอุ่นและสร้างความผูกพันในช่วงเริ่มต้นของขวบปีจึงมีความสำคัญมากเท่าๆ กับการสร้างความทรงจำทางประสบการณ์ที่ดี อันเป็นพื้นฐานอันแข็งแกร่งมั่นคงสำหรับพัฒนาการทางใจที่จะกอปรรูปร่างเป็นตัวตนของเขาต่อไปในอนาคต

ในขณะเดียวกัน การจะสะสางเยียวยาปมบาดแผลของพ่อแม่ได้ก็เกี่ยวพันกับความสามารถในการเข้าถึงความทรงจำที่เป็นต้นตอเหล่านั้นด้วย เช่น จากเคสของคุณหมอซีกัล ประสบการณ์ช่วงเป็นแพทย์ฝึกหัดส่งผลกระทบต่อการบันทึกความทรงจำแบบชัดแจ้ง ความเครียดสุดจิตสุดใจในขณะนั้นบล็อกสมองส่วน Hippocampus ไม่ให้ทำงานเต็มที่ กลไกเอาตัวรอดเบนสติสัมปชัญญะออกจากความทุกข์ ความทรงจำที่เป็นต้นเหตุของปมเฉพาะที่ทำให้ผู้ป่วยร้องไห้จึงถูกบันทึกผ่านจิตใจในรูปความทรงจำโดยปริยาย แทนที่จะเป็นความทรงจำแบบชัดแจ้ง คุณหมอจึงรู้สึกต่อต้านการแสดงความอ่อนโยนเมตตากับเด็กโดยนึกถึงสาเหตุไม่ออก เมื่อจับเศษเสี้ยวความทรงจำทางความรู้สึกนั้นมาทำความเข้าใจที่มาที่ไปและสถานการณ์แวดล้อมของมัน เกิดกระบวนการที่สมองส่วน Prefrontal Cortex เข้ามาประมวลความทรงจำโดยปริยายที่เก็บไว้ คุณหมอก็เกิดความเข้าใจในตนเอง จนสามารถสะสางคลี่คลายปมความรู้สึกที่ถูกกดทับไว้ผ่านการตระหนักรู้ในที่สุด 

พ่อแม่ทุกคนมีปมบาดแผลติดตัวกันมาไม่มากก็น้อย ถ้าไม่สะสางคลี่คลายปม บาดแผลที่หลงเหลือติดค้างก็จะถูกถ่ายทอดเป็นวัฏจักรต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า พ่อแม่ที่เข้าใจตัวเองยิ่งเลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ การตั้งสติชั่วขณะหนึ่งเพื่อทบทวนปฏิกิริยาที่เราจะตอบสนองกับลูกคือหนทางยับยั้งการสร้างปมบาดแผลต่อเนื่อง การถักทอสายใยพ่อแม่ลูก ความอบอุ่นผูกพันในครอบครัวเริ่มต้นได้จากการโอบกอดปมบาดแผลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง เรียนรู้แง่มุมที่สวยงามของมันด้วยความเข้าใจและยอมรับ

ที่มา:

Daniel J. Siegel, M. a. (2004). How We Remember: Experience Shapes Who We Are . In Parenting from the Inside Out (pp. 1-30). New York: tarcherperigee.

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Parenting from the Inside Out

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • BookFamily Psychology
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Dear Parents
    ภูเขาน้ำแข็งในใจเด็ก พ่อแม่คือคนก่อ

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน
Learning Theory
15 July 2019

ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

เด็กมักไม่เข้าใจประชาธิปไตย ? ประชาธิปไตยเป็นเรื่องไกลตัวเด็ก ? จริงหรือ…?

ในเมื่อห้องเรียนคือโลกจำลองของสังคม ห้องเรียนจึงกลายเป็นพื้นที่ที่นักเรียนเรียนรู้ประชาธิปไตยได้ยอดเยี่ยมที่สุด

และครูมีบทบาทสำคัญในการสอนเรื่องประธิปไตยให้นักเรียนได้ โดยผ่านวิธีง่ายๆ เช่น การให้นักเรียนผลัดกันได้ทดลองเป็นหัวหน้าห้อง เพื่อให้เด็กไม่รู้สึกยึดติดกับอำนาจและสอนให้เขาฝึกตัวเองให้เป็นผู้นำและผู้ตามไปพร้อมๆ กัน หรือการใช้กระดาษโพสต์อิท (Post-it) เป็นตัวแทนเสียงของนักเรียน เพราะสิ่งที่เป็นฐานคิดแรกของเรื่องประชาธิไตย นั่นคือ การทำให้นักเรียนทุกคนสามารถออกเสียงของตัวเองออกมา สามารถพูดข้อเสนอแนะของตัวเองได้ หรือถ้าครูทำอะไรไม่ถูกต้อง นักเรียนก็สามารถเขียนบอกผ่านกระดาษได้

อ่านบทความ ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน ได้ ที่นี่

Tags:

พลเมืองเทคนิคการสอนประชาธิปไตยครู

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Learning Theory
    อยากเห็นเด็กๆ โตเป็นพลเมืองที่ดี การเมืองต้องเป็นเรื่องที่พูดได้ เถียงได้ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ PHAR

  • Learning Theory
    ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    วิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ ไม่ได้อยู่ในตำรา การชวนคนไปเลือกตั้งของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างหากคือของจริง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    เห็น-ฟัง-รู้สึก-ลงลึกกับสถานการณ์จริง 4 เคล็ดลับสร้าง TEAMWORK ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

เกตุวดี MARUMURA: แม้พื้นที่น้อย แต่ PUBLIC SPACE ในญี่ปุ่นกว้างมาก
Space
12 July 2019

เกตุวดี MARUMURA: แม้พื้นที่น้อย แต่ PUBLIC SPACE ในญี่ปุ่นกว้างมาก

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • คุยกับ เกตุวดี Marumura ในประเด็นพื้นที่สาธารณะ ในฐานะอดีตนักเรียนทุนญี่ปุ่น อาจารย์มหาวิทยาลัยและนักเขียนที่มีผลงานมากมายเกี่ยวกับญี่ปุ่น 
  • public space อยู่แทบทุกที่ในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ในเมือง คอนโดสูง หรือชุมชนต่างจังหวัด 
  • สิ่งที่ทำให้ public space ในญี่ปุ่นเข้มแข็ง สรุปคร่าวๆ ได้ 4 ข้อ คือ 1. วัฒนธรรมการเรียนรู้ ที่ปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ผ่านวิธีการสอนจากครอบครัว 2. สถาบันอื่นๆ ไม่ว่าจะโรงเรียน ชุมชนหรือภาคเอกชน มีนโยบายการส่งเสริมให้ public space แข็งแรงขึ้น 3. รัฐบาลและท้องถิ่นมองเห็นความสำคัญและสนับสนุนให้เกิด public space เสมอ 4. ระบบเศรษฐกิจและการตลาดที่ไม่ทอดทิ้ง public space

ทำไมเราไม่แปลกใจเมื่อเห็นเด็กญี่ปุ่นเดินทางไปไหนมาไหนเองคนเดียว หรือกับกลุ่มเพื่อน ด้วยขนส่งสาธารณะที่ดีทั้งรถประจำทางและรถไฟ 

ทำไมแม่ๆ ถึงต้องตื่นเช้า ทำข้าวกล่องหรือเบนโตะให้ลูกไปกินที่โรงเรียนทุกมื้อกลางวัน 

ทำไมเทศกาลชมดอกซากุระจึงเป็นเรื่องสำคัญและถูกยกระดับให้เป็นกิจกรรมของครอบครัว ทุกๆ โกลเด้นวีค (เทศกาลวันหยุดยาวประจำปี)

และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย ญี่ปุ่นมีพื้นที่น้อยกว่า 1.5 เท่า และมีประชากรมากกว่าถึง 2 เท่า 

ญี่ปุ่นสร้างวัฒนธรรมเหล่านี้ได้อย่างไร ทำไมถึงหา ‘พื้นที่สูดหายใจ’ ได้มากกว่า 

คุยกับ ดร.กฤตินี พงษ์ธนเลิศ (เกด) อดีตนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ผู้ใช้ชีวิตในช่วงวัยเรียนมหาวิทยาลัย ตรี-โท-เอก นานกว่า 8 ปี เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต จนพบว่าสิ่งที่ทำให้หลงใหลไปกับประเทศนี้ นอกจากรอยยิ้มและความใจดีของคนแล้วคือหลักคิดการทำธุรกิจแบบยั่งยืน 

ทั้งหมดนี้ดุนหลังให้มาเป็นอาจารย์ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีผลงานด้านการเขียนออกมาให้เห็นอีกมากมาย ภายใต้ชื่อ เกตุวดี Marumura

จุดเริ่มต้นกับการไปเรียนที่ญี่ปุ่น

เมื่อ 20 ปีที่แล้วก่อนไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เรารู้สึกว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเสน่ห์มากๆ ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้จักญี่ปุ่นมากนัก แต่ถือว่าเป็นประเทศในเอเชียที่พัฒนามาก จีนเองก็ยังไม่ผงาดและยังไม่โดดเด่นเท่าญี่ปุ่น ซึ่งคนไปเรียนต่อในยุคนั้น ส่วนใหญ่มักเลือกทางอเมริกา-ยุโรป มากกว่า แต่เรากลับรู้สึกว่าคนเลือกไปฝั่งนั้นเยอะมากแล้ว อีกอย่างมีความคิดว่าแนวคิดแบบฝรั่งจะเอามาประยุกต์ใช้กับบ้านเราได้จริงหรือ ก็เลยอยากลองเลือกอะไรที่แตกต่าง 

ตอนเด็กมีฝันอะไร ทำไมต้องไปเรียนถึงญี่ปุ่น

อยากพัฒนาประเทศ อยากเป็นนายกรัฐมนตรี (หัวเราะ) อยากทำให้ประเทศดีขึ้น เราจะรู้สึกเศร้าเวลาเห็นคุณยายสูงอายุมานั่งขายพวงมาลัย อีกอย่างหนึ่งคือคุณพ่อ-คุณแม่ ทำงานบริษัทญี่ปุ่นเลยคุ้นเคยกับญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็ก ตัวการ์ตูนญี่ปุ่น ขนมญี่ปุ่น เรารู้สึกว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใกล้ตัวเรา บวกกับความชอบส่วนตัวเราด้วย และอยากออกไปเรียน ตัดสินใจไปเรียนที่นู่น 

ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นตัวไหน 

(หัวเราะ) บอกไปก็อายเหมือนกัน เราชอบ ‘เครยอนชินจัง’ นอกจากความตลกของการ์ตูนเรื่องนี้ เรารู้สึกว่าการ์ตูนชินจังสามารถเล่าชีวิตของคนญี่ปุ่นออกมาได้อย่างมาก ขนาดตัวเราเองที่ไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งนาน ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันมีวันเนื้อลดราคา แต่เรารู้เรื่องนี้ได้จากการอ่านการ์ตูนชินจัง หรือว่าถั่วนัตโตะ (ถั่วหมัก) ที่เจอในการ์ตูน เราไม่คิดว่าคนญี่ปุ่นจริงๆ เขาจะชื่นชอบและรับประทานกันได้มากขนาดนี้ เพราะสมัยนั้นคนก็รู้จักแค่ซูชิ เทมปุระ ไม่มีใครพูดถึงถั่วหมัก หรือแม้กระทั่งชุดนักเรียนที่เห็นในการ์ตูนมันก็ดูน่ารักไปหมด ทุกอย่างมันดูว้าวและถ่ายทอดชีวิตคนญี่ปุ่นออกมาได้เป็นอย่างดี

พอไปสัมผัสญี่ปุ่นจริงๆ มันเหมือนหรือต่างจากที่เราอ่านมาจากการ์ตูนไหม

เหมือนนะ แต่มันเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราจริงๆ เช่น เรารู้ว่าคนญี่ปุ่นขยัน แต่พอไปอยู่จริงๆ เขาขยันมาก เราเคยอยู่ชมรมดนตรีเล่นกีตาร์ มันมีงานแสดงแค่คอนเสิร์ตเล็กๆ จัดแสดงในโรงเรียน แต่เขาซ้อมกันอย่างดี ซ้อมกันเอาเป็นเอาตาย เช้ายันเย็น มันเลยทำให้เรารู้สึก “อ๋อ ไอ้ที่เขาบอกว่าคนญี่ปุ่นขยัน มันต้องขยันประมาณนี้เนอะ” ทำให้เราซึมซับและเห็นภาพชัดขึ้นมากกว่า

เพราะเหตุผลใดบ้างถึงทำให้เขามีวัฒนธรรม ‘มุ่งมั่น’ แบบนี้

หลักๆ น่าจะเป็นเพราะการศึกษา เป็นวิธีสอนคนแบบญี่ปุ่น วิธีสอนของพ่อแม่ญี่ปุ่นมีความต่างกับที่ไทยเล็กน้อย พ่อแม่ไทยจะห่วงลูก ดูแลดี ส่วนพ่อแม่ญี่ปุ่นจะปล่อยให้เด็กคิดเอง ทำเองค่อนข้างมาก สื่อและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ก็มีส่วน ในละครไทย พระเอก-นางเอก รักกันแง่งอนกัน น่ารักๆ แต่ญี่ปุ่นละครแทบทุกเรื่องมักจะมีเรื่องอาชีพแฝงอยู่ในเนื้อเรื่อง เช่น ทนายความที่สู้เพื่ออะไรบางอย่าง หรือ นายธนาคารที่สู้เพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ละครเอง inspire เราตลอดเวลา

สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเห็นเฉดของการทำงานในแต่ละอาชีพ เช่น พนักงานขายคอนโด เราคิดว่ามันไม่น่าสนใจ แต่ญี่ปุ่นสามารถทำให้เห็นว่าผู้ขายคนนี้เข้าใจ user ได้ขนาดไหน เข้าใจความต้องการที่ไม่มีใครเห็นได้ และทำมุมมองออกมาได้อย่างน่าสนใจ เราคิดว่าด้านสื่อ และสิ่งแวดล้อม จะทำให้คนญี่ปุ่นขยัน ทำให้มองเห็นว่าทุกอาชีพมีเป้าหมาย

อย่างที่สอง คือการสอนของพ่อแม่ญี่ปุ่น มันจะมีคำพูดติดปากของแม่ญี่ปุ่นที่มักจะบอกลูกว่า ‘กัมบารุ’ หมายถึง ‘พยายามนะ-สู้สู้นะ’ แทนที่จะชมว่า ลูกเก่ง การชมเด็กด้วยคำว่าพยายามนะ จะทำให้เด็กมีความรู้สึกอยากพยายามเข้าไปอีก

อย่างที่สาม ครูในญี่ปุ่นเองก็มักจะไม่ค่อยชม หรืออวยเด็กมาก ยิ่งกรณีที่เด็กโตแล้ว เช่น เด็กมัธยม เด็กมหาวิทยาลัย หากเด็กคนไหนเก่งและทำได้แล้ว ก็จะนิ่งๆ ไว้ อยากให้เด็กทำได้อีก หากเด็กยังทำไม่ได้ก็จะเข้าไปช่วยฝึกจนเด็กทำได้ด้วยตัวเอง

บทบาทของครูเอง ก็สำคัญในการสร้างคน เราคนไทย ชินกับการที่คุณครูสั่งให้เราทำการบ้าน ทำรายงานส่ง บางที ครูก็พาเราไปทัศนศึกษาใช่ไหมคะ ครูญี่ปุ่นก็ทำ แต่รูปแบบจะแตกต่างนิดหนึ่ง

ตัวอย่างเช่น วันนี้ครูญี่ปุ่นจะพาเด็กไปทัศนศึกษา ใครอยากรู้อะไร อยากดูอะไร ไปหาข้อมูลมาและเขียนเส้นทางออกมาเสนอครูได้เลย ซึ่งวิธีการนี้ไม่ใช่การสั่งให้เด็กเดินตามครู เด็กจะคิด ได้วางแผน ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองสนใจจริงๆ นี่คือสิ่งที่เป็นจุดต่าง เมื่อเด็กญี่ปุ่นโตขึ้นมากลายเป็นว่า เขาจะสนุกกับการหาข้อมูล สนุกกับการคิด สนุกกับการลงมือทำ กล้าคิดกล้าทำมากขึ้น โดยเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองชอบ และจะนำพาความขยันเข้ามาเองเหมือนกับว่าเด็กญี่ปุ่นถูกเลี้ยงมาโดยให้พื้นที่มาตั้งแต่แรกเลย

แล้วในแง่ของครอบครัวญี่ปุ่นเป็นอย่างไรบ้าง 

ตอบโดยทั่วๆ ไป ญี่ปุ่นมีความน่ารักอย่างหนึ่ง คือ คุณแม่ญี่ปุ่นมักจะทำอาหารให้ลูก ดูได้จากซีรีส์ญี่ปุ่น จะเห็นฉากทำอาหาร ทำให้ตัวเองทาน ทำให้ลูก ทำให้สามี ถ้าเด็กคนไหนที่หิ้วข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อไป ครูจะตั้งข้อสังเกตแล้วว่าที่บ้านเด็กสถานการณ์โอเคดีไหม ทำไมแม่ถึงไม่ทำเบนโตะให้ลูก 

ส่วนการกดดันในเรื่องเรียน เราเชื่อว่าในญี่ปุ่นมีคุณแม่หลายแบบ 1. แม่ที่ปูทุกอย่างในชีวิตให้ลูก (education mama) อยากให้เรียนจบสูงๆ ส่งเรียนกวดวิชา อยากให้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ เข้าทำงานบริษัทใหญ่ๆ แต่ด้วยความที่ญี่ปุ่นเขาให้เกียรติคนทุกอาชีพอยู่แล้ว ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นพนักงานดับเพลิง คุณต้องเรียนไม่เก่ง 

เพียงแต่ว่าช่วงเศรษฐกิจไม่ดี พ่อแม่หลายๆ คน ก็อยากให้ลูกทำงานราชการมากขึ้น เพราะงานราชการ เงินเดือนมั่นคง ไม่ได้ถึงขั้นต้องบังคับลูกให้เป็นอาชีพใด 

เราว่าพ่อแม่เด็กไทยมีผลต่อความคิดลูกมากๆ จากประสบการณ์ที่เคยเห็น ลูกอยากทำงานแบบนี้ พ่อแม่ก็จิ้มเลยให้ไปเข้าบริษัทนี้นะ แต่ญี่ปุ่นไม่ถึงขั้นนั้น ยังปล่อยให้เด็กเลือกเองอยู่บ้าง 

การมอบ space ให้ลูกแบบครอบครัวญี่ปุ่น คือการให้ลูกพึ่งพาตนเอง มันมีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง 

แล้วแต่วัฒนธรรมเลยค่ะ เขาก็ชินแบบนี้ ของไทยเราก็พึ่งพิงกัน พ่อแม่ดูแลลูกสุดๆ แล้วพอพ่อแม่แก่ ไม่ไหวจริงๆ ลูกก็มาดูพ่อแม่สุดๆ ซึ่งญี่ปุ่นก็จะประหลาดใจว่า เฮ้ย เราตักข้าวให้พ่อแม่ ญี่ปุ่นจะไม่ขนาดนั้น พ่อแม่ก็ตักเองสิ พ่อแม่ก็พยายามช่วยตัวเองด้วยนะ ไม่อยากให้ใครมายุ่ง อยากพึ่งพาตัวเองให้ได้ คิดคนละแบบกัน 

นิสัยการรู้จักพึ่งพาตัวเอง ใช่การสอนให้ลูกรู้จักทำความสะอาดห้องเรียนเอง เดินไปโรงเรียนเอง โตขึ้นมาก็แยกไปอยู่เอง หรือเปล่า? 

ใช่ค่ะ พยายามไม่รบกวนคนอื่น ญี่ปุ่นพื้นที่เล็กกว่าไทย 1.5 เท่าแต่ประชากรมากกว่าไทย 2 เท่า พื้นที่เขามีจำกัดมาก การที่เราใช้ชีวิตโดยไปสร้างความลำบากให้คนอื่น มันเป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่น่ารัก แค่เอาอาหารกลิ่นเหม็นมาทานในห้องพักกลางวัน ก็ไม่มีใครกล้าทำแล้วเพราะกลัวว่ากลิ่นจะไปรบกวนคนอื่น 

ทุกอย่างถูกคิดมาด้วยความคิดว่า อย่ารบกวนคนอื่นนะ สมมุติเรายืนอยู่ในรถไฟ แล้วคนอื่นเอาเท้ามาเหยียบเรา เราจะเป็นฝ่ายขอโทษนะ ขอโทษที่ฉันวางเท้าไม่ดี ที่ไปรบกวนการเดินของคุณ คือขอโทษทั้งสองฝ่าย แต่ฝ่ายที่โดนเหยียบแทนที่จะโมโห ก็ขอโทษด้วย 

หรือเด็กวิ่งเล่นในรถไฟ แม่จะดุ อย่ารบกวนคนอื่นสิลูก เป็นแม่ไทยอาจจะบอกว่าอย่าวิ่ง แต่แม่ญี่ปุ่นจะพูดชัดเลยว่า อย่ารบกวน ทำอะไรต้องระวัง นึกถึงคนอื่นด้วยนะ แล้วจะมีวิธีการสอนให้เราคิดถึงคนอื่นตลอดเวลาจริงๆ 

เวลาไปงานแต่ง ปกติคนไทยก็ไปขอซองหน้างาน ญี่ปุ่นต้องซื้อซองใหม่ ซองต้องสวยงาม ต้องใช้พู่กันเขียนชื่อ ถ้าเขียนไม่สวยก็ให้ที่ร้านเขียนให้ เงินใส่ซอง ก็ต้องแลกธนบัตรใหม่เพราะเป็นการแสดงความยินดีกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของคู่บ่าวสาว มีความจุกจิกแบบนี้เราต้องคอยนึกถึงฝ่ายตรงข้ามตลอดๆ 

เด็กๆ ก็จะถูกสอนเวลาไปบ้านคนอื่น ถอดรองเท้าบ้านใคร ต้องกลับรองเท้าแล้วหันออกนะ ไม่อย่างนั้นเจ้าบ้านจะมาหยิบรองเท้าให้เราแล้วกลับให้ มือเขาจะเลอะ เราก็ต้องกลับเอง เมืองไทยเราใครจะถอดก็ถอดไป ใส่กลับก็ใส่ไป แขกก็จัดการของแขกเอง ญี่ปุ่นพยายามทรีต อีกฝ่ายก็เกรงใจ ไม่อยากให้ทรีตมากจนเกินไป ดูเป็นความมีเยื่อใยต่อกันและกัน 

มีความเกรงใจแต่ก็มีเยื่อใยซึ่งกันและกัน – ภายใต้แนวคิดแบบนี้ เหตุผลคืออะไร 

มันคือการอยู่ร่วมกัน แล้วประเทศเขาภัยพิบัติเยอะมาก เดี๋ยวสึนามิ เดี๋ยวแผ่นดินไหว ถ้าเขาไม่รู้จักกัน ไม่อยู่ร่วมกันได้ ต่างคนต่างอยู่มันไม่รอดหรอก นึกถึงภาพบ้านเราตอนน้ำท่วมก็ได้ค่ะ หรือสึนามิ ยังจำได้เลย ฝรั่งมาเข้าแถวบริจาคเลือด คนทุกชาติ ทุกชนชั้นมาช่วยกัน เวลาเกิดภัยพิบัติที มันทำให้คนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนะ แล้วมันทำให้เขารู้สึกมีสายสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ในทางกลับกันเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่น เพราะเวลาประสบภัยคนอื่นช่วยเรา คนอื่นประสบภัยเราก็ไปช่วยเขา 

public space หรือพื้นที่ให้คนใช้ร่วมกันของญี่ปุ่นมีมากแค่ไหน

มาก (ลากเสียงยาว) เยอะกว่าไทยมากเลย สวนสาธารณะ พิพิธภัณฑ์ ดีไซน์อาร์ท หน้าคอนโดก็ยังต้องมีพื้นที่สวนเลย 

ที่ให้ความสำคัญ เพราะเขาวางผังเมืองและมองว่าทุกคนเท่าเทียมกัน วิธีคิดนี้สำคัญมาก จำได้ว่าภาพคนญี่ปุ่นไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มีลานจอดของซูเปอร์คาร์ เราก็ชี้ให้ดูว่าเฮ้ย ยูดูสิ ลานจอดรถหรูมากเลย ญี่ปุ่นไม่มีเนอะ เขาก็บอกเออ ไม่มี แล้วก็ถามว่าทำไมต้องสร้างลานจอดซูเปอร์คาร์ พอบอกว่ามันจอดหน้าห้างแล้วมันเท่ แล้วห้างเราหาที่จอดยาก เขาพูดมาคำหนึ่ง เจ็บมากเลย ว่า ถ้าเป็นห้างญี่ปุ่น เราจะไม่พยายามกันพื้นที่พิเศษให้คน แต่พยายามหาว่าทำอย่างไรให้รถทุกคันได้มีสิทธิจอด 

มันเป็นระบบศักดินาที่เราค่อยๆ สร้างขึ้นมา ใครจ่ายเยอะ มีบัตรเครดิต เราก็จะมีสิทธิพิเศษให้ ลัดคิวให้ แต่ญี่ปุ่นจะคิดกลับกันว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนได้บริการที่ดีหมด เท่าเทียมกัน 

มันเป็นการเอาพื้นที่ส่วนกลางไปให้คนที่เค้ามีสิทธิบางอย่าง แปลว่าถ้าฉันไม่จ่ายเงินเยอะ แล้วฉันไม่มีสิทธิเหรอ มันต่างกันตั้งแต่มายด์เซ็ตแล้วว่าญี่ปุ่นทุกคนเท่าเทียมกัน แปลว่า public space ทุกคนมีโอกาสใช้ร่วมได้ ถึงขั้นที่บริษัทเอกชนหลายแห่งเอาพื้นที่ตัวเองไปทำ public space เพราะเขารู้สึกว่า เขาจะอยู่ไม่ได้เลยถ้าไม่มีชุมชนคอยช่วย

ญี่ปุ่นสอนหลักที่เรียกว่า ซัมโปโยชิ-หลัก 3 ได้ มาตั้งแต่โบราณว่า คนขายได้ ลูกค้าได้ สังคมได้ เคยถามคนญี่ปุ่นว่าทำไมต้องมีสังคม เขาบอกว่า ถ้าเราดีแต่คนในชุมชนเกลียดเรา เขาอาจไม่อยากให้ลูกมาทำงานในบริษัทเราก็ได้ อาจไม่อยากให้ลูกค้าคนอื่นมาซื้อของในบริษัทเราก็ได้ เราก็จะอยู่ลำบาก 

(อย่างตอนนี้ แถวบ้านเรามีตลาดนัดตอนกลางคืนแห่งหนึ่งมาเปิด รถเยอะมาก ติดมาก แท็กซี่จอด ยึดเลนหนึ่งไปเลย นักท่องเที่ยวจีนอีก จนทางเท้าไม่มีทางเดิน ทุกวันเรานั่งคิดว่าเมื่อไหร่ตลาดนัดนี้จะไป ถ้าหนักเข้า ชาวบ้านแถวนั้นอาจถึงขั้นรวมตัวประท้วง แล้วธุรกิจเขาอาจไปไม่ได้เลยนะ) นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชุมชนจึงสำคัญ 

ญี่ปุ่นคิดว่าการที่เราไปอยู่ อาจรบกวนคนในชุมชนก็ได้ ฉะนั้นเราต้องใส่ใจและทำยังไงให้คนในชุมชนอยู่ได้ด้วย เราก็จะอยู่ได้ด้วย 

public space ที่สร้างโดยบริษัทต่างๆ มีอะไรบ้าง

บริษัทรับรีโนเวทบ้านที่จังหวัดคานากาวะ ชื่อ ซากุระจูทาขุ บริษัทกันออฟฟิศส่วนหนึ่งเป็นห้องเล็กๆ เปิดให้เป็น public space มีพนักงานมาเฝ้า ใครจะเดินไปกินชา กาแฟ มีชมรมมานั่งพูดคุยกันก็ได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย แขวนป้ายหน้าห้องว่า ใครอยากใช้ห้องน้ำ ยินดีต้อนรับ อยากจัดงานอะไรก็มาจัดที่ space นี้ได้ บางทีเชิญเชฟมาสอนทำอาหาร ซึ่งไม่เกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ต้องมาใช้บริการรีโนเวทบ้านก็ได้ แต่พอเขาทำดีแบบนี้ คนก็นึกถึงเขาดี บอกต่อกัน เวลาใครรีโนเวทบ้าน ก็จะนึกถึงเขาเป็นคนแรก เขาก็จะได้ด้วย 

โรงเรียนสอนขับรถยนต์ในญี่ปุ่นอีกที่ที่เคยไป มีพื้นที่ให้คนฝึกขับรถ และช่วงต้นปีเขาจะปิดลานนี้ให้คนในชุมชนมาออกร้าน คิดค่าเช่าร้านแค่ 100 เยน แล้วเอาเงินนี้ไปบริจาคให้คนสนุก ทำอาหารขาย ได้มาเจอหน้ากัน กลายเป็น festival เล็กๆ ถ้าเมืองไทย ไม่ใช่ห้าง นึกไม่ออกเลยนะ บริษัทไหนทำแบบนี้ อย่างมากเราก็ส่งเงินเป็นสปอนเซอร์ แต่เราไม่ค่อยสร้างพื้นที่

อีกที่ โรงงานผลิตวุ้น คิดว่าจะทำอย่างไรให้คนมาเที่ยวเมืองเล็กๆ เลยสร้างสวนดอกไม้ มีร้านอาหารที่ใช้ผงวุ้น คิดว่าถ้านักท่องเที่ยวเดินทางมากินที่นี่ และแวะซื้อของ คนในชุมชนก็น่าจะมีรายได้ด้วย วิน-วิน

แนวคิดเหล่านี้มีมานานแค่ไหน

หลักคิดซัมโปโยชิ มีมากว่า 400 ปีก่อนแล้วตั้งแต่สมัยเอโดะ แนวคิดที่ต้องดีกับสังคม แต่รูปแบบอาจเป็น public space เริ่มจากพ่อค้าเมืองโอมิ จังหวัดชิกะ ที่เป็นต้นแบบห้างไดมารู คนจะสงสัยว่าทำไมตระกูลนี้ประสบความสำเร็จจัง ก็ย้อนกลับไปดูในเผ่านี้คือ ทุกคนจะมีหลัก 3 ได้ ไม่ใช่แค่ฉันดี ลูกค้าต้องได้ สังคมต้องได้ด้วย 

public space ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กๆ มีอะไรบ้าง

ระดับเบสิคคือสวนสาธารณะหน้าคอนโด ทุกคอนโดต้องมี จะกลายเป็น community space ให้คนได้มาเจอหน้ากัน ยิ่งคนที่มีลูกวัยเดียวกันก็ทักทาย คุ้นเคยกัน ลูกโตไปโรงเรียนด้วยกัน พึ่งพากัน เป็นสิ่งที่ public space ให้ 

ระดับเมือง ทุกเมืองมีห้องสมุด ทุกคนไปยืม เพราะตอนเด็ก มีวิชาหนึ่ง ตอนปิดเทอมฤดูร้อน ชื่อวิชาวิจัยอิสระ เด็กจะไปหาหัวข้ออะไรก็ได้ที่ตัวเองสนใจ ไปวิเคราะห์ หาข้อมูล ส่วนหนึ่งไปหาที่ห้องสมุด เด็กจะรู้จักไปห้องสมุดเมือง ยืมหนังสือหาข้อมูล โตขึ้นมาก็ติดเป็นนิสัย ห้องสมุดดูง่าย ใครๆ ก็ยืมได้ คนดูแลก็เป็นอาสาสมัครที่เกษียณแล้ว 

ศูนย์การเรียนรู้ เช่น มิไรคัง (Miraikan) National Museum of Emerging Science and Innovation พิพิธภัณฑ์ด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมสมัยใหม่แห่งชาติ จะสอนเรื่องวิทยาศาสตร์สำคัญอย่างไร โดยนำเสนอสนุกๆ ขยับขึ้นมาเป็นพิพิธภัณฑ์ แบบเก็บค่าเข้าชม ติดโปสเตอร์ทั้งเมือง จนทำให้เรารู้สึกอยากไปดู อยากไปเรียนรู้ ไม่ได้แปลว่าศิลปะเข้าหายาก ไม่ต้องรู้ทฤษฎีอะไรแต่มันก็สนุกแล้ว 

บ้านเก่า รัฐบาลท้องถิ่นจะเข้าไปซื้อ รีโนเวท หาคนดูแล และ educate คน ทำให้คนเห็นความสำคัญของบ้านแบบนี้มากขึ้น 

พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมสมัยใหม่แห่งชาติมิไรคัง

‘วิชาวิจัยอิสระ’ เป็นความพยายามเชื่อมโยงโรงเรียนกับ public space หรือเปล่า

เป็นวิชาที่เด็กญี่ปุ่นทุกคนต้องเรียน ไปหาข้อมูลแล้วมาพรีเซนต์หน้าห้อง ซึ่งเราจะทำไก่กาไม่ได้เพราะเพื่อนทั้งห้องดูเราอยู่ เรียนตั้งแต่ประถม บางคนก็ทำเรื่องแมลงของเรา ไปนั่งพลิกฝาท่อ ดูแมลง มีอะไรที่ไหนบ้าง ในเมือง แล้วไปห้องสมุดเพื่อหาว่าแมลงตัวนี้ชื่ออะไร แล้วกลับมาเขียนรายงาน วาดรูป

หลักสูตรโรงเรียนประถมญี่ปุ่นเป็นอย่างไร

แทบจะไม่ต่างกับไทยเลย แต่ที่ต่างกันคือวิธีการสอน เด็กมีอิสระในการคิด ติดตามสิ่งที่สนใจมากกว่า โตขึ้นมาเขาก็จะรู้ว่าชอบอะไร ชอบรถไฟ crazy มากๆ จำรถไฟได้หมดประเทศ

พอโตเป็นผู้ใหญ่ ยัง crazy อยู่ จะหาความรู้เพิ่มยังไงดี อะ มีพิพิธภัณฑ์รถไฟ บริษัทเอกชนก็ทำวารสารเกี่ยวกับรถไฟ มันโตไปด้วยกันทั้งสาย กลายเป็นว่ายิ่งอยู่ ก็ยิ่งเจอสิ่งที่ชอบและยิ่งอิน ยิ่งอยากสนุกในการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ 

เด็ก ม.ปลายญี่ปุ่น จะกดดันกว่า แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว จะผ่อนคลายมากขึ้น ต่างจากบ้านเรา? 

เด็กไทย ถ้าเป็นเด็กมหาวิทยาลัยก็ยังกดดันอยู่นะ เพราะเกรด เกียรตินิยมยังสำคัญ เข้าทำงานบริษัทยังดู แต่ญี่ปุ่นไม่ดูเพราะรู้สึกว่าความรู้มหา’ลัย ไม่สามารถเอาไปใช้ในบริษัทได้ แต่ละบริษัทจะมีองค์ความรู้และทักษะที่ต่างกันมาก บริษัทญี่ปุ่นจะรับเด็กจบอะไรก็ได้แต่ขอให้ความคิดทัศนคติเหมือนกันเป็นหลักมากกว่า 

แล้วบรรยากาศในห้องเรียนไทยกับญี่ปุ่นต่างกันอย่างไร

เมืองไทยเราสอนให้เด็กเข้าใจ ตำรายาก ทฤษฎียาก อาจารย์จะพยายามอธิบายให้เข้าใจง่าย คลาสสนุก แต่ญี่ปุ่นจะสอนให้ล้มลุกคลุกคลานแล้วคิด อาจารย์ไม่สอนเท่าไหร่ จะถีบให้เราไปคิด เช่น เราโดนให้เปรียบเทียบรายได้บริษัทยางรถยนต์ 4 เจ้า ทำกราฟมา แล้ววิเคราะห์จากข้อมูลที่เราทำ คือจะชี้จุดให้คิดเอง 

ตอนเรามาสอน ป.โท เด็กก็ยังบอกว่าทำยังไงดี บอกมาเลย ต้องเขียนแผนยังไง ซึ่งอาจารย์ญี่ปุ่นจะกัดฟัน ไม่บอก ไปคิดเอง แล้วในทางกลับกันถ้าเด็กไม่คิดมา โหย จะโดนเยอะ แบบเสียเวลาผม 

เป็นความท้าทายของอาจารย์ที่เรียนแบบญี่ปุ่นมา แล้วกลับมาสอนนักศึกษาไทย?

กลายเป็นว่าเรากลับสอนให้เขาคิดและสนุกนะคะ พอเจอคำตอบ สีหน้าเขาจะเปลี่ยนไปเลย ‘อ้อ มันเป็นอย่างนี้เอง’ เราว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับครูไทย และสนุกกว่าการสอนให้ท่องจำ สำหรับผู้สอน การสอนท่องจำมันง่ายมากเลย แต่สอนให้เขาคิด คนสอนจะเหนื่อย กว่าเขาจะคิดถึงตรงนั้น

กลับมาเรื่อง public space ทำไมพื้นที่สาธารณะในญี่ปุ่นถึงแข็งแรง เหตุผลหนึ่งคือ ประชาชนเสียภาษีเสียค่อนข้างสูงใช่ไหม

เพราะญี่ปุ่นโครงสร้างรัฐที่สนับสนุนให้เราทำเพื่อสังคม เพื่อคนอื่น เขากระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ของไทยรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง เมืองโกเบ แผ่นดินไหวทั้งเมือง ท้องถิ่นจะทำยังไงเพื่อฟื้นฟู ของเราอาจต้องรอกระทรวงนิดนึง แต่ญี่ปุ่นให้อำนาจกับท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นรู้จักตัวเองดีที่สุด เชื่อใจเขาให้เขาไปคิดเองทำเอง 

สมมุติจะทำอะไรบางอย่างในเมือง เช่น จะปรับเมืองให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยว จะต้องมีกระบวนการพูดคุยกันก่อน รัฐบาลท้องถิ่น ชาวบ้าน เจ้าของโรงแรม เจ้าของร้านอาหาร มาคุยกันว่าถ้าทำโปรเจ็คท์นี้จะแฮปปี้ไหม สมมุติว่า เราจะทำให้เมืองนี้เป็นเมืองแห่งชาเขียว ทุกคนได้โจทย์ไป เจ้าของโรงแรมทำเครื่องดื่มชาเขียว ร้านอาหารทำบะหมี่รสชาเขียว ทุกอย่างก็จะไปทิศทางเดียวกัน กลับกันกับบ้านเราที่ต่างคนต่างทำ

ตรงข้ามกับรัฐไทย ที่ไม่ได้ทำหน้าที่รัฐบาล รัฐบาลค่อยเข้ามาแก้เวลาเอกชนแก้ปัญหาเองไม่ได้ เราจะเอื้อให้คนที่มีอำนาจเหมือนกัน คดีเสือดำ นาฬิกา เราก็ยังช่วยคนที่มีอำนาจ มันกลายเป็นว่าทุกคนต้องมีอำนาจ มีเงินเยอะ เพื่อ protect ตัวเอง แต่ญี่ปุ่น รัฐบาลมีหน้าที่จัดสรรปันส่วนให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ และอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

คุณจอดรถเกะกะ ตำรวจมาแล้ว ไม่รับใต้โต๊ะ ไม่รับทิป เพราะมันคืองานเขา รายได้เขาสูงโดยไม่ต้องรับเงินพวกนี้ ของไทย ค่าตอบแทนน้อย ตำรวจก็ลำบาก พอคนไม่เคารพตำรวจ จอดรถเกะกะ public ก็เดือดร้อน จะมาบอกให้เราคิดถึงคนอื่นก็ลำบากนะ ที่จอดรถน้อย ไม่มีที่จอดเป็นที่เป็นทาง เราต้องตะเกียกตะกายนึกถึงตัวเองก่อน แค่นี้ฉันก็จะตายอยู่แล้ว คนนั่งรถเมล์ทุกวันทำไมจะไม่อยากนั่งแท็กซี่หรือขับรถ เพราะรถเมล์มันแย่มาก ขณะที่ประเทศอื่น อย่างตอนเราไปเดนมาร์ก เห็นโปรเจ็คท์ดีไซน์รถเก็บขยะ เขาให้ดีไซเนอร์มาออกแบบรถขยะ ที่ทำให้คนเก็บขยะทำงานได้ง่าย ถังขยะไม่เกะกะ รกเมือง ทำยังไงให้เป็น public space ที่คนมาใช้งานจริงๆ 

public space ต้องเป็นทั้งโครงสร้างและจิตใจ?

ต้องถามว่าทำไปเพื่ออะไร เพื่อตัวเองหรือคนอื่น public space คือการทำเพื่อคนอื่น ชุมชนแฮปปี้ 

ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็เข้าสู่สังคมสูงวัย มี public space อะไรที่ช่วยเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตบ้าง

มีมหาวิทยาลัยที่เปิดเป็น Live Long Education ตอนที่เราเรียนอยู่ที่เมืองโกเบ (Kobe) มีวิทยาลัยเล็กๆ ชื่อว่า Silver College ที่หมายถึงผมสีเงินหรือผมหงอก เป็นโรงเรียนของผู้สูงวัย รับสอนตอนเช้า ตอนบ่ายก็จิบชา นั่งคุยกัน หากิจกรรมให้ผู้สูงวัยทำ จะมีแขนงต่างๆ เช่น การเรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศอื่น เราเคยไปสอนที่นี่ สอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย รวมถึงแขนงที่เรียนเกี่ยวกับดูแลสุขภาพตัวเอง

หรือในกรณีบ้านที่มีผู้สูงอายุอยู่ลำพัง บางครั้งผู้สูงอายุเสียชีวิต ท้องถิ่นก็จะเข้ามาดูแล อาจจะเปิดบ้านหลังนั้นให้คนเช่าในราคาย่อมเยา และส่วนใหญ่ผู้ที่เข้าไปเช่า คือเด็กวัยรุ่น เด็กรุ่นใหม่ ที่อยากจะเรียนรู้วิถีชีวิต ทำนา เพื่อดึงคนเข้าท้องถิ่นอีกด้วย 

แต่จากข่าวที่ปรากฏมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในบ้าน เป็นเพราะผู้สูงอายุญี่ปุ่นรู้สึกเกรงใจและไม่อยากรบกวนคนอื่นด้วยหรือเปล่า

ส่วนหนึ่ง คนญี่ปุ่นอยู่กันอย่างไม่รบกวนใคร ไม่อยากรบกวนลูกหลาน ซึ่งความสัมพันธ์ก็จะไม่ได้ใกล้ชิดเหมือนกับครอบครัวไทย ส่วนการพยายามลดปัญหาตรงนี้ ก็มีอาสาสมัครในท้องถิ่นที่จะคอยเข้าไปดูแลผู้สูงอายุ เพราะลูกหลานอาจจะเข้าไปทำงานในเมือง 

ความฝันที่อยากเปลี่ยนแปลงประเทศ ยังอยากจะทำมันอยู่ไหม

ก็เปลี่ยนในแบบฉบับตัวเอง ได้สอนหนังสือ เขียนคอนเทนต์ ให้ผู้ประกอบการหรือลูกศิษย์มีหลักการ เพื่อไปต่อยอดให้ดีกับชุมชน ดีกับพื้นที่ อาจจะง่ายกว่าการเปลี่ยนรัฐบาลด้วยซ้ำ

ญี่ปุ่นทำให้เราเปลี่ยนอย่างไรบ้าง

เปลี่ยนมาก จากคนที่ชอบแข่งขัน ทุกอย่างต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องเป็นผู้นำ ต้องเป็นประธานเชียร์ เราไดรฟ์ตัวเองเพื่อให้ได้ที่หนึ่ง แต่พอเราไปญี่ปุ่น แต่ก่อนที่เราเคยคิดถึงแต่ตัวเอง จิตใจค่อนข้างแข็งกร้าว ญี่ปุ่นทำให้เราได้รับจิตใจที่ดีกลับมามหาศาล อยู่ดีๆ ป้าข้างบ้านก็ยกเสื้อผ้าลูกสาวให้เรา พอเราได้รับมากก็ทำให้เราอ่อนโยนขึ้นในระดับหนึ่ง จนเราอยากเป็นผู้ให้กับคนอื่นบ้าง

Tags:

พลเมืองญี่ปุ่นpublic spaceกฤตินี พงษ์ธนเลิศ

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Space
    หนึ่งวันที่ฉันเบื่อห้าง ออกไปเรียนรู้โลกกว้าง ใน PUBLIC SPACE

    เรื่อง BONALISA SMILE

  • Space
    PUBLIC SPACE …WHERE ARE YOU?

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Voice of New Gen
    CROSSS: นักออกแบบที่สนุกกับการฟัง ‘ความฝัน’ ชวนคนทะเลาะ เพราะทุกคนต้องมีส่วนร่วม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Unique Teacher
    ศุภรัช จรัสเพ็ชร์: ตื่นเช้ามา ‘ครูบอม’ อยากไปสอนเด็กๆ ทุกวัน

    เรื่อง

  • Early childhoodEducation trend
    ทำไมพ่อแม่ญี่ปุ่นถึงไว้ใจ ให้เด็กเล็กเดินทางโดยลำพัง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น
Character building
12 July 2019

ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • สิ่งที่เราเรียนรู้ในโรงเรียนส่วนใหญ่ต่อไม่ติดกับโลกที่เราต้องทำงานจริง ทั้งๆ ที่เรียนมาหมดแล้วไม่ว่าจะเลข ภาษาอังกฤษ สังคม วิทยาศาสตร์ แต่สุดท้ายกลับไม่รู้ว่าโตไปแล้วจะทำอะไรดี
  • อย่างมีเป้าหมายทางธุรกิจอาชีพ มี mindset ที่ไม่กลัวปัญหา มองเห็นโอกาส มีไอเดียแปลกใหม่และรู้วิธีว่าจะนำไอเดียนั้นมาสร้างนวัตกรรมหรือบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ได้อย่างไร
  • แนวคิดพื้นฐานของหลักสูตรนี้ ไม่ยัดเยียดทัศนคติอายุน้อยร้อยล้าน เน้นให้เป็นผู้ประกอบการ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เงินมาเป็นอันดับหนึ่ง ความคิดสร้างสรรค์ก็มักจะตีบตันทันที

เพียงระยะไม่กี่ปีนี้ เกิดธุรกิจ startup ทั้งแอพพลิเคชั่นหรือสินค้าบริการหลากหลายต่างๆ ขึ้นเป็นจำนวนมาก ไม่เพียงธุรกิจเหล่านั้นเข้ามาเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ยังส่งอิทธิพลถึงโครงสร้างเศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างรวดเร็วด้วย ผู้ประกอบการยุคใหม่ที่ทั้งเจ๋งและน่าสนใจก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Grab, Wongnai, Airbnb, Lazada พวกเขามองเห็นโอกาสและสามารถผสมผสานไอเดียเข้ากับนวัตกรรมใหม่ๆ มาสร้างความสะดวกสบายให้ชีวิตง่ายดายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ยิ่งการเติบโตของธุรกิจแนวนี้กำลังสร้างเม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำและยังมีอิทธิพลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจบ้านเรา ผู้คนยิ่งกระตือรือร้นที่จะหาโอกาสทางธุรกิจเป็นของตัวเองกันมากขึ้นเช่นกัน เราจึงเริ่มเห็นภาคการศึกษาตอบรับกระแสความตื่นตัวนี้อย่างจริงจังด้วยการเปิดหลักสูตรเน้นด้าน ‘ความเป็นผู้ประกอบการ’ (Entrepreneurship) โดยเฉพาะ

เช่น มหาวิทยาลัยกรุงเทพก่อตั้งภาควิชาที่เรียกว่า School of Entrepreneurship and Management หรือ BUSEM มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีหลักสูตรการพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการในคณะศึกษาศาสตร์ และหลักสูตร Innovative Entrepreneurship ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น

ทำไมโรงเรียนต้องสอนความเป็นผู้ประกอบการ?

แต่ไหนแต่ไรมา สิ่งที่เราเรียนรู้ในโรงเรียนส่วนใหญ่ต่อไม่ติดกับโลกที่เราต้องทำงานประกอบอาชีพจริง ทั้งๆ ที่เรียนมาหมดแล้วไม่ว่าจะเลข ภาษาอังกฤษ สังคม วิทยาศาสตร์ แต่สุดท้ายหลายคนกลับไม่รู้ว่าโตไปแล้วจะทำอะไรดี พวกเขาไม่รู้ว่าจะแปลงทักษะความรู้เหล่านั้นให้เป็นงานหรืออาชีพใดที่เป็นความต้องการของตัวเองจริงๆ

เราคาดหวังว่าโรงเรียนจะสอนให้สันทัดต่อโลกที่ไม่หยุดนิ่งและสอนวิทยาการให้เราสามารถรับมือกับโลกทั้งใบด้วย passion บางอย่าง อาชีพในอนาคตที่จะกลายส่วนหนึ่งของตัวตน คุณค่า และความพอใจในตัวเองจะเปิดอ้ารอรับเรา แต่แล้วทำไมจนบัดนี้จึงยังมีคนมากมายที่ใช้เวลามากกว่าสิบปีในรั้วการศึกษาแต่กลับยังไม่เคยได้รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองเก่งทางไหนและควรทำอะไรดี

สาเหตุก็เป็นเพราะนอกจากเรียนรู้แบบเลื่อนลอย การศึกษาไม่ให้โอกาสเราได้ลองประสบการณ์ทำงานจริงแบบมีเป้าหมายในตัวเองมาก่อนเลย

คอนเซ็ปต์การพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการคือ การศึกษาเรียนรู้อย่างมีเป้าหมายทางธุรกิจอาชีพ เปิดโลกทัศน์ให้เรามีทางเลือกในอนาคตว่าจะสามารถสร้างงานหรืออาชีพสำหรับตนเองได้เมื่อมีทักษะประสบการณ์จากการทำงานจริง มี mindset ที่ไม่กลัวปัญหา สามารถมองเห็นโอกาส มีไอเดียแปลกใหม่และรู้วิธีว่าจะนำไอเดียนั้นมาสร้างนวัตกรรมหรือบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ได้อย่างไร

ทั้งหมดทั้งมวลไม่ใช่สอนแบบให้รู้ แต่คือสอนให้ทำได้ ทำเป็น และนำไปสู่เส้นทางอาชีพที่มาจากการเลือกอย่างเข้าใจรู้จักตัวเอง

หลักสูตรพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการควรสอนอะไรบ้าง?

รายละเอียดปลีกย่อยของหลักสูตรผู้ประกอบการในสถาบันและบริบทสังคมเศรษฐกิจของแต่ละแห่ง อาจมีจุดเด่นแตกต่างกัน แต่จำเป็นต้องเป็นแบบพหุวิทยาการ (Multidisciplinary) ฝึกให้ผู้เรียนคิดและทำจริงโดยเชื่อมโยงความรู้จากสาขาวิชาต่างๆเช่น การสื่อสาร การตลาด เศรษฐศาสตร์การเงิน การบริหาร หรือกระทั่งบริบทสังคมมาประสานสอดคล้องกันเป็นภาพใหญ่ได้

สำหรับหลักพื้นฐานทั่วไปที่โรงเรียนต้องใส่ใจ ยูจีน ลุชคิฟ (Eugene Luczkiw) ที่ปรึกษาพิเศษและวิทยากรด้านผู้ประกอบการคณะบริหารธุรกิจแห่ง Brock University แคนาดาชี้ว่าต้องประกอบไปด้วยหลัก 5E นี้เสมอคือ

Environment – กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจสิ่งแวดล้อม ความเป็นไปรอบตัวหรือชุมชนที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมความเป็นอยู่ หรือในทางกลับกันวัฒนธรรมการใช้ชีวิตส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร พร้อมๆ กับกระตุ้นให้พวกเขาตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านั้น ว่า “ทำอะไร” “ทำอย่างไร” “ทำเมื่อไร” “เพราะอะไรจึงทำ”

Economy – ฝึกผู้เรียนให้สังเกตความเป็นไปทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเอง ธุรกิจใดกำลังรุ่ง ธุรกิจใดกำลังร่วง และกลุ่มธุรกิจใดบ้างอิงอิทธิพลซึ่งกันและกัน ธุรกิจเหล่านั้นดำเนินการอย่างไร

Entrepreneurs – สร้างแรงจูงใจด้านความสำเร็จจากวิสัยทัศน์และประสบการณ์ตรงของผู้ประกอบการหลากหลายประเภท เขามีอะไรเป็นแรงจูงใจในการค้นหาโอกาสธุรกิจ มองปัญหาเป็นไอเดียต้นทางไปสู่นวัตกรรมสร้างสรรค์หรือทางออกที่ช่วยแก้ปัญหาในชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้อย่างไร

Enterprise – (สำคัญสุดๆ ข้อนี้) ห้องเรียนต้องเปิดโอกาสและเป็นพื้นที่ให้ผู้เรียนสร้างและค้นหาตัวตน passion ความถนัด จุดแข็งจุดอ่อน ความสามารถพิเศษ เป้าหมายชีวิต ความใฝ่ฝัน ลักษณะนิสัยเมื่อต้องทำงานกับคนอื่น จริตในการเรียนรู้เข้าใจ ไปจนกระทั่ง จิตสำนึกต่อเพื่อนมนุษย์ สิ่งแวดล้อมหรือโลกใบนี้

Entreplexity – ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนได้นำความรู้แต่ละด้าน และศักยภาพเฉพาะของตนทั้งหมดมาผสมผสานผ่านการลงมือทำจริง (active learning)

นอกจากนี้ คุณสมบัติด้านอื่นๆ เช่น ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ความคิดยืดหยุ่น ความมานะอุตสาหะ ความเป็นผู้นำ และจริยธรรมก็จำเป็นต้องได้รับการขัดเกลาปลูกฝังพร้อมกันไปด้วย กว่าจะแข็งแกร่งทางทักษะ มีความมั่นใจจากประสบการณ์ กลไกการเรียนรู้เติบโตทั้งปวงใช้เวลา ดังนั้นจะยิ่งได้เปรียบมากหากเด็กได้รับความรู้ด้านผู้ประกอบการจากพ่อแม่และโรงเรียนตั้งแต่ยังเล็ก (Shikati, 2018)

ในชั้นเรียนครูทำหน้าที่ผู้แนะแนว (mentor) หรือกระบวนกร (facilitator) โฟกัสที่กระบวนการการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตนเอง (experiential learning) ของนักเรียน มากกว่าการสอนแบบขึ้นกระดานเรียนและเรียนแต่ละวิชาแบบแยกย่อย โดยรู้แค่หลักการแต่ปะติดปะต่อให้เกิดเป็นแนวทางธุรกิจจริงๆ ไม่เป็น

ด้านล่างนี้คือตารางสรุปเปรียบเทียบวิธีสอนแบบดั้งเดิมที่ไม่ได้ผล กับวิธีที่ครูควรนำมาใช้

วิธีสอนที่ตกยุคและไม่ได้ผลวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพ
สอนตามตำราออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้หลากหลายและเปลี่ยนแปลงได้
เน้นทฤษฎีเป๊ะๆเน้นลงมือปฏิบัติ และถอดบทเรียนจากประสบการณ์
เน้นการท่องจำเน้นให้เข้าใจที่มาที่ไป และต้องดำเนินการอย่างไร
เน้นการเรียนแบบแยกรายวิชาเน้นการเรียนแบบองค์รวมและการแก้ปัญหา
ครูคือผู้ควบคุมการเรียนรู้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างเสรีด้วยตนเอง
ครูบอกคำตอบและวิธีการครูร่วมเรียนรู้และส่งเสริมการเรียนรู้ไปพร้อมกับผู้เรียน
ผู้เรียนเป็นผู้รับข้อมูลความรู้ที่ครูสอนผู้เรียนสร้างความเข้าใจความรู้นั้นด้วยตนเอง
เนื้อหาความรู้เป็นแบบตายตัวตามที่กำหนดไว้เนื้อหาความรู้ปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นตามความต้องการผู้เรียน
จุดประสงค์การเรียนรู้เป็นข้อบังคับที่ต้องทำตามจุดประสงค์การเรียนรู้ปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
จาก Teaching Teachers in Effectual Entrepreneurship p.1 โดย Ruud Koopman

แรงบันดาลใจ vs ความล้มเหลว

อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติหรือพลังสำคัญอย่างหนึ่งอันเป็นจุดกำเนิดของภาพความเป็นผู้ประกอบทั้งหมดซึ่งหาได้ยาก และยังสามารถสร้างอิทธิพลแรงกล้าต่อความเชื่อมั่นในตนเอง และความสำเร็จของผู้ที่ใฝ่ฝันจะสร้างธุรกิจให้เกิดขึ้นได้ก็คือ inspiration

แรงบันดาลใจไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน กับทั้งไม่ใช่เครื่องการันตีความสำเร็จเสียทีเดียว มันเป็นแรงผลักที่ปลุกความเชื่อมั่นให้กล้าทำตามฝัน เหมือนกับมีใครสักคนคอยยืนยันกับเราว่า “เธอทำไอเดียนั้นให้เกิดขึ้นจริงได้แน่!” โรเบิร์ต กริน (Robert Gryn) ประธานบริษัท Codewise ซึ่ง Financial Times ยกย่องให้เป็นบริษัทเจ้าแรกในอุตสาหกรรมการตลาดดิจิตอลที่ใช้ AI ในการวัดผลโฆษณาออนไลน์ที่เติบโตเร็วที่สุดในยุโรป ยืนยันว่า ‘แรงบันดาลใจ’ คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างที่ทำให้เขาก้าวข้ามปมด้อยด้านการศึกษาและเงินสนับสนุน ทำให้เขาตัดสินใจลองตั้งบริษัทของตัวเองเป็นครั้งแรกในโปแลนด์ขณะที่สภาพเศรษฐกิจไม่ได้เอื้ออำนวย ทั้งยังโดนสบประมาทอย่างหนักจากพ่อว่า “อย่าหวังว่าแกจะรันบริษัทสำเร็จ ถ้ายังไม่มีประสบการณ์อย่างน้อยก่อนสักสิบปี”

ไม่กี่เดือนต่อมาเขาพบว่าพ่อพูดถูก บริษัทเจ๊งไม่เป็นท่า แต่เขาก็ยักไหล่เฉยๆ กับมันทั้งยังคงไว้ซึ่งแรงบันดาลใจและความกล้าที่จะเริ่มต้นใหม่ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อความล้มเหลว

ก็แล้วคนเราจะเก่งได้อย่างไรล่ะถ้าไม่ได้ล้มเหลวผิดพลาดเลย? คือมุมมองหนึ่งที่จะต่อยอดแรงบันดาลใจของนักฝันได้ แต่อย่างไรก็ตาม กรินก็ยอมรับว่าทัศนคติต่อความล้มเหลวของพ่อแม่และครูสำคัญมากสำหรับการปั้นผู้ประกอบการให้เป็นนักสู้อย่างเขา เพราะสำหรับคนส่วนใหญ่ แรงบันดาลใจมักมอดดับไปจากความกลัวการล้มเหลวผิดพลาด

มุมมองนี้ของกรินยังสอนเราอีกด้วยว่าเมื่อโรงเรียนและครอบครัวอยากสอนให้เด็กๆ เอาตัวรอดในโลกนี้ให้เป็น ก็จงอย่ายึดติดกับ comfort zone หรือศักดิ์ศรี และอย่ารีรอที่จะเริ่มบางอย่างเพราะเอาแต่มองความล้มเหลวเป็นเรื่องผิด ความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งที่แสนธรรมดาของชีวิต และเป็นเส้นทางบังคับที่ทุกคนต้องผ่านไปสู่ความสำเร็จ

ผู้ประกอบการหรือพ่อค้าหน้าเงิน?

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะบอกว่าการสอนความรู้ผู้ประกอบการโดยผิวเผินแล้วก็คือการสอนให้เด็กๆ คิดแบบหัวการค้าดีๆ นี่เอง เห็นอะไรเป็นเงินเป็นทอง ทำยังไงจะได้กำไร? ทำยังไงจึงจะรวย? เหล่านี้ก็อาจถูกเพียงบางส่วน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ไมค์ สเติร์ม (Mike Sturm) บรรณาธิการ The Junction และ The Understanding Project ใน MEDIUM Startups มองว่าแนวทางที่ยัดเยียดให้ผู้เรียนเอาความรวยเป็นจุดหมาย ไขว้เขวจากแนวทางความเป็นผู้ประกอบการที่ถูกต้อง ผลที่ตามมาเมื่อผู้คนหวังแต่จะรวยเพียงอย่างเดียวจากการสร้างธุรกิจอะไรสักอย่าง

เราจะเห็นธุรกิจเลียนแบบซ้ำกันไปมาเกิดขึ้นเต็มไปหมด คนหนึ่งคิดไอเดียได้ อีกคนอยากรวยบ้างก็รีบทำตามทันทีจนกลายเป็นเฝือ (คล้ายๆ กับปรากฏการณ์ชานมไข่มุกในตอนนี้) แก่นแท้ของผู้ประกอบการที่ทุกคนต้องมีจริงๆ และโรงเรียนต้องปั้นให้เกิดกับผู้เรียนให้ได้ จึงเป็น อัตลักษณ์ทางความคิดสร้างสรรค์และการยกระดับพัฒนาบริการ และนวัตกรรมขึ้นมาใหม่เป็นของตนเอง

สเติร์มไม่ได้โลกสวย ใครทำธุรกิจก็อยากรวยทั้งนั้น ต้องแคร์ด้วยหรือว่าจะซ้ำกับใครถ้าขายแล้วได้เงิน แต่อย่าลืมว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เงินมาเป็นอันดับหนึ่ง ความคิดสร้างสรรค์ก็มักจะตีบตันลงทันที ไอเดียเจ๋งๆ มักแว้บขึ้นมาตอนเรารู้สึกอิสระ ไร้กรอบกำหนดหรือปราศจากความกลัวว่าจะเป็นไปไม่ได้หรือล้มเหลวขาดทุน ดังนั้นในโรงเรียนที่เริ่มสอนเรื่องเป้าหมายการทำธุรกิจหรือสร้างอาชีพตั้งแต่อายุยังน้อย จึงจำเป็นต้องพุ่งเป้าไปที่การสอนคิดสร้างสรรค์ ขณะเดียวกันเด็กๆ ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างสมวัย สามารถเล่นสนุกเสรีตามวัยของเขาด้วย ไม่ยัดเยียดทัศนคติอายุน้อยร้อยล้านแต่อย่างเดียว หรือผูกขาดความคาดหวังการเป็นผู้ประกอบการด้วยความรวย

มิเช่นนั้นแล้ว สังคมก็จะเต็มไปด้วยธุรกิจของพ่อค้าหน้าเลือดที่หวังแต่จะฟันกำไร ส่วนหนึ่งของผู้บริโภคจะกระเหี้ยนกระหือรือสร้างอาชีพด้วยเป้าหมายแบบเดียวกัน วนลูปกันจนเป็นงูกินหางในที่สุด

อ้างอิง:

Should children be taught entrepreneurship?

Teaching Teachers in Effectual Entrepreneurship. 

The Problem With Teaching Entrepreneurship. 

Why entrepreneur should start at shool. 

Why are there so few entrepreneur?

Entrepreneurship and Higher Education

Tags:

ครูระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน21st Century skillsผู้ประกอบการ(entrepreneurship)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

โรงเรียนธรรมชาติ: ‘วิชาลูกทะเล’ ฝึกเด็กๆ ให้ฟังปลาและหากิน
Creative learning
11 July 2019

โรงเรียนธรรมชาติ: ‘วิชาลูกทะเล’ ฝึกเด็กๆ ให้ฟังปลาและหากิน

เรื่องและภาพ เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

  • บทความภาคต่อจากโรงเรียนธรรมชาติ คราวนี้ถึงที ‘วิชาลูกทะเล’ พาเด็กไปใช้ชีวิต มากิน มานอน บนเนินทราย อยู่หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ
  • ‘ลูกทะเล’ เป็นหนึ่งในวิชา ‘เป็น-อยู่-คือ’ ที่จะฝึกให้เด็กๆ ได้ทดลองใช้ศักยภาพของตัวเองในการหากิน โดยเอาพื้นที่จริงมาให้เด็กๆ ได้ใช้เป็นห้องเรียน
  • ทำให้เด็กๆ ได้รู้จักทะเลในอีกมิติ เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญไม่น้อยกว่า ‘นาข้าว’ เราคงไม่ต้องบอกเด็กๆ กลุ่มนี้ว่า “อย่าทิ้งขยะลงทะเล” อีกแล้ว

ผมพาเด็กๆ กว่ายี่สิบคนมายืนอยู่บนสันทรายชายหาด มองเห็นเรือประมงลำเล็กวิ่งลิ่วมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเราที่ยืนเรียงรายกัน เพียงไม่กี่นาทีเรือลำนั้นก็มาเกยหาดทราย ชายร่างคล้ำกระโดดแผล็วลงมาจากเรือ ขณะที่ผมกับเด็กๆ กรูลงไปล้อมลำเรือนั้นไว้ กลางลำเรือมีเข่งใหญ่ที่เต็มไปด้วยปูม้าขนาดตัวเกินฝ่ามือ

“เอ้า… เด็กๆ สวัสดีครูบังนีก่อน” ผมบอกเด็กๆ ให้สวัสดีชายเจ้าของเรือที่เรากำลังห้อมล้อมอยู่

นี่คือ ‘บังนี’ หนึ่งในบรรดา ‘ครู’ ที่จะสอนเด็กเมืองให้รู้จักแก่นแท้ของทะเล ต้อนรับพวกเราพร้อมปูเข่งใหญ่

สีหน้าท่าทางของเด็กในเมืองยามนี้ต่างตื่นเต้นราวกับเห็นของเล่นใหม่ “มันตายหรือยัง” “จับยังไง” “ปลาหมึกมีชีวิตไหม” “ผมเอาไปปล่อยได้ไหม” “มันว่ายน้ำยังไง” หลากหลายคำถามพรูพรั่ง จนทั้งครูบังนีและผมตอบแทบไม่ทัน ก่อนที่ผมจะไล่ต้อนเด็กๆ ออกเพื่อให้ครูบังนีได้จัดการกับเรือ และปูเข่งใหญ่

ฉากแรกของ วิชา ‘ลูกทะเล’ ช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียจริงๆ ผมเองก็ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้พาเด็กๆ มาฝึกเป็นลูกทะเล สีหน้าแววตาของเด็กๆ แต่ละคนประทับอยู่ในความทรงจำของผมทุกครั้งที่ได้มายืนอยู่หน้าหาดสวนกงแห่งนี้

นี่เป็นเพียงวันแรก อีกเจ็ดวันที่เหลือจะมีเรื่อง สนุก สุข หรือ ทุกข์ แค่ไหน รอลุ้นกันครับ

เพราะเด็กๆ รู้ว่าข้าวมาจากนา แต่อาจไม่รู้ว่าปูปลามาจากไหน

ปลายเดือนเมษายน เนินทรายใหญ่ใต้ร่มเงาของสนทะเลที่เคยเป็นที่วิ่งเล่นของเด็กๆ ผิวคล้ำเข้ม เป็นที่ที่ผู้ใหญ่ขับรถเครื่อง ขับรถปิคอัพมาปูเสื่อนั่งกินอาหารที่หอบหิ้วมาจากบ้าน ตอนนี้กลายเป็นลานกางเต็นท์หลากสี เด็กวัย 6-10 ขวบมากกว่ายี่สิบคนกำลังวิ่งเล่นกันไปทั่วเนินทราย ผู้ใหญ่ต่างถิ่นหลายคนกำลังจัดเตรียมที่หลับที่นอนภายในเต็นท์

เป็นภาพที่แตกต่างไปจากความคุ้นชินเดิมๆ ของผู้คนในละแวกนี้ แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกใจแต่อย่างใด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จะมีกองพลย่อมๆ ของเด็กเมืองเหล่านี้ ทั้งหมู่บ้านต่างรู้กันดีว่านี่คือ เด็กๆ ลูกศิษย์ของผมที่พากันมาอยู่ มากิน มานอน บนเนินทรายเหล่านี้ เพื่อมาฝึกเป็น ‘ลูกทะเล’ ตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็ม

เนินทรายที่ทอดยาวขนานไปกับถนนลาดยางของหมู่บ้านสวนกง อำเภอนาทับ จังหวัดสงขลา เชื่อมต่อกับผืนทะเลกว้าง ที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งอาหารทะเลชั้นดี ทรัพยากรสัตว์น้ำอุดมสมบูรณ์ แค่ทะเลหน้าหาดก็สามารถหากินได้ง่ายๆ

“ทำไมต้องเป็นที่นี่ กระบี่ ภูเก็ต หรือที่อื่นๆ ก็ทะเลสวยนะ” ผู้ปกครองบางท่านอยากทราบ

“ทะเลแต่ละที่อาจจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ แต่ที่ผมเลือกที่นี่เพราะมี ‘ครู’ อยู่ครับ ที่อื่นๆ ผมไม่แน่ใจว่าชาวบ้าน ชาวประมงพื้นบ้านเขาจะอยากสอนพวกเราไหมครับ”

“ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านบางคนประสานผ่านเพื่อนให้ผมมาดูสถานที่ว่าสามารถใช้พื้นที่เป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติได้ไหม ผมมาดู ก็พบว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่ชายหาดกับทะเล ยังมีเนินทรายเก่าแก่ บนเนินทรายมีป่าที่มีพืชที่น่าสนใจหลายชนิด เช่น พวกหม้อข้าวหม้อแกงลิง ไลเคน เฟิร์น ผมก็เลยเสนอว่าเราลองพาเด็กๆ มาเรียนรู้เรื่องนิเวศชายหาดกัน ผมกลับมาใหม่พร้อมเด็กๆ อีกสิบกว่าคน และชวนเด็กๆ ที่อยู่ในภาคใต้อีกจำนวนหนึ่งมาร่วมขบวนในการทำความรู้จักกับพื้นที่และนิเวศของทะเล ชายหาด และป่าสันทราย นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ระหว่างเรียนพอมีเวลาว่างก็ทำความรู้จักกับชาวบ้านไปด้วย คุยไปคุยมา ผมสะดุดกับคำว่า ดุหลำ หรือการฟังเสียงปลาของบังนี ผมซักไซ้จนได้ความ บังนียังใช้วิธีนี้ในการหาปลาอยู่ ไม่ใช่ศาสตร์โบราณที่ตกยุคไปพร้อมๆ กับการมาของเครื่องโซนาร์ ผมมองเห็นภาพที่สอดคล้องกับวิถีการเรียนการสอนของ BNS ที่ผมเน้นเรื่องการใช้ทักษะในเรื่องเซนส์ของเด็กๆ โดยเฉพาะการฟัง กลับกรุงเทพฯ มาคราวนั้น ผมวางแผนเรื่องเรียนของเด็กๆ ใหม่ และนั่นคือการเกิดขึ้นของวิชาลูกทะเลครับ”

‘ลูกทะเล’ เป็นหนึ่งในวิชา ‘เป็น-อยู่-คือ’ ที่จะฝึกให้เด็กๆ ได้ทดลองใช้ศักยภาพของตัวเองในการ ‘หากิน’ โดยเอาสถานการณ์จริง พื้นที่จริงมาให้เด็กๆ ได้ใช้เป็นห้องเรียน โดยใช้เวลา 6-7 วัน ในการฝึกฝนเรียนรู้

ทำไมถึงเลือกทะเล เพราะว่าเด็กๆ จะคุ้นเคยกับอาหารที่เรากินกันทุกวัน ส่วนใหญ่จะมาจากทะเล ไม่ว่าจะเป็นปู ปลา กุ้ง หอย แมงกะพรุน รวมไปถึงเครื่องปรุง เช่น กะปิ น้ำปลา แต่เด็กเมืองน้อยคนมากที่จะรู้ว่าอาหารเหล่านี้มีที่มาอย่างไร เด็กยุคใหม่จำนวนมากคุ้นเคยการทำนาปลูกข้าว มีคอร์สสอน-เรียนเรื่องการดำนา เกี่ยวข้าว พร้อมลงมือปฏิบัติจริง แม้จะไม่ครบถ้วนทั้งขบวนการก็ตามที แต่เด็กๆ ก็พอได้เห็นเส้นทางเดินของ ‘ข้าว’ ก่อนจะมาถึงมื้ออาหาร หรือแม้แต่ พืช ผัก ผลไม้ ต่างๆ ก็มีแหล่งเรียนรู้มากมาย

แต่กับอาหารจากทะเล หากเด็กๆ ไม่ได้เป็นลูกหลานชาวประมง ก็จะเป็นเรื่องไกลตัวมาก แหล่งเรียนรู้ก็มีแต่ภาพกับวีดิทัศน์ การจะไปเรียนรู้จากของจริง และได้ลงมือปฏิบัติจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย จึงเป็นเรื่องที่ควรจะสร้างเนื้อหาการเรียนรู้ให้เด็กๆ ได้ทดลองสัมผัสจริง ลงมือปฏิบัติจริง เพื่อที่เมื่อใดที่เรากินอาหารทะเล เด็กๆ จะมองเห็นภาพที่มาของอาหารเหล่านี้ รวมทั้งมองเห็นคุณค่าของอาหารมากขึ้น

แหล่งอาหารทะเลไม่ได้มีเพียงในร้านซูเปอร์มาร์เก็ต หรือตลาดสดเท่านั้น และแหล่งอาหารจะอุดมสมบูรณ์ได้ ก็ต้องมาจากสภาพแวดล้อมที่ดี อาหารทะเลก็ต้องมาจากทะเลที่ดี ถึงเวลานั้นเราก็คงไม่ต้องพูดถึงหรือบอกเด็กๆ แล้วว่า ทำไมเราต้องรักษาทะเลไว้ ทำไมเราจึงต้องดูแลรักษาสภาพแวดล้อม ผมเชื่อว่าเด็กๆ จะเข้าใจได้มากขึ้น

ผมกำหนดเวลาไว้ในเบื้องต้น 6-7 วัน ซึ่งเป็นปัญหากับผู้ปกครองอยู่พอสมควรที่ไม่สามารถลางานได้ตลอดทั้งสัปดาห์ เนื่องจากนักเรียนที่ผมรับมีอายุอยู่ในช่วง 8-10 ขวบ ซึ่งมีเด็กหลายคนที่ยังดูแลตัวเองได้ไม่ดีนัก หรือผู้ปกครองคิดว่าลูกของตัวเองยังเล็กเกินไป ต้องมีผู้ปกครองอยู่ด้วย มีนักเรียนบางส่วน ราว 6-7 คน ที่พ่อแม่ปล่อยให้มากับทีมครู พ่อแม่บางส่วนตั้งใจว่าจะให้ลูกได้ทดลองรับผิดชอบตัวเองดูบ้าง

นักเรียนลูกทะเลในรุ่นที่ผ่านมาเมื่อเดือนเมษา ปี 62 มีนักเรียน อายุ 7 ขวบ ที่พ่อแม่ปล่อยให้มากับครู อายุขนาดนี้จะว่าเล็กเกินไปไหมที่จะต้องดูแลตัวเองตลอด 8 วัน ที่อยู่กับครู พูดยากครับ ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความใจแข็งของพ่อแม่แต่ละบ้านมากกว่า บางวันอาจจะมีคิดถึงแม่บ้าง ก็ให้โทรคุยกันได้ในช่วงค่ำๆ ส่วนเรื่องการจัดการเรื่องเสื้อผ้า อาบน้ำ เข้านอน ผมกับทีมครูจะเข้าไปยุ่งให้น้อยที่สุด เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ทดลองจัดการชีวิตตัวเองไป ถ้ามีปัญหาค่อยมาคุยกัน ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

เนื้อหาของ ‘ลูกทะเล’ เป็นการเรียนรู้รอบตัวของการทำประมงพื้นบ้านครับ ตั้งแต่การหากินบริเวณริมหาด เช่น การเก็บหอยเสียบ การวางอวนทับตลิ่ง หากินในทะเล เช่น การออกเรือไปวางอวน โดยใช้วิธีการดั้งเดิมของชาวบ้านในการหาฝูงปลา นั่นคือการฟังเสียงปลาใต้น้ำ การสาวอวนขึ้นจากน้ำ ทำความรู้จักกับเครื่องมือประเภทต่างๆ อวนปู อวนกุ้ง อวนหมึก อวนปลา อวนทับตลิ่ง เบ็ดราว ลอบปู การใช้เปลือกหอยจับปู การผูกอวน การแกะปูออกจากอวน การสร้างแหล่งอาศัยให้ปลาได้มีที่หลบภัย ได้มีที่วางไข่ขยายพันธุ์

การเรียนรู้เรื่อง ลม ในทิศทางต่างๆ ทั้ง 8 ทิศ ลมแบบไหนจะเหมาะกับการจับสัตว์น้ำแบบไหน ช่วงฤดูกาลหรือเดือนไหนจะเหมาะสำหรับการออกไปจับหมึก เดือนไหนจับกุ้ง

สุดท้ายเมื่อจับสัตว์น้ำมาได้ และกินไม่หมด ต้องมีการถนอมอาหาร เช่น การทำปลาเค็มฝังทราย

ทั้งหมดเป็นหลักสูตรเร่งรัดให้เด็กๆ ในเมืองได้มองเห็นทะเลในอีกมิติหนึ่งที่ไม่ได้มีไว้แค่เล่นน้ำ ก่อกองทราย ผมเชื่อว่าวิชา ‘ลูกทะเล’ จะเปลี่ยนมุมมองทะเลของเด็กๆ ไปบ้างไม่มากก็น้อย

น้ำทะเลสีครามเข้มช่างยั่วยวนใจให้วิ่งเข้าใส่เสียจริงๆ แต่กติกาคือ ห้ามลงน้ำหากครูเกรียงไม่อนุญาต นี่คือกติกาสำคัญ หากใครฝ่าฝืนมีโทษหนักคือ งดเล่นน้ำในวันต่อๆ ไป

บ่ายแก่ๆ ของวันแรก เราพาเด็กๆ ไปยังชายหาดเพื่อปฏิบัติการหาน้ำจืดเอาไว้ใช้ โดยเราจะขุดหลุมทรายให้ลึกลงไปราวๆ หนึ่งเมตร ที่ ‘ครูบังซบ’ บอกว่าเราจะได้น้ำจืดมาไว้ใช้ ช่างขัดแย้งกับความเป็นจริงที่ว่าชายทะเลจะต้องมีน้ำทะเลซึมผ่านเข้ามาอย่างแน่นอน แต่ทำไมน้ำที่ได้จึงไม่เค็ม กลายเป็นน้ำจืดได้อย่างไร

คนทะเลสมัยก่อนเวลาออกเรือไปหาปลา แวะนอนตามหาด ก็ใช้วิธีนี้เอาน้ำจืดมาใช้ จะได้ไม่ต้องขนน้ำจืดลงเรือไปให้หนักเรือ

วิชาดุหลำ – ฟังปลา

คืนแรกของการนอนเต็นท์บนเนินทรายหาดสวนกง อบอ้าวจนค่อนข้างร้อน ทั้งลมที่นิ่งในช่วงค่ำ ทั้งการกางเต็นท์ที่ชิดกันมากเกินไปจนขวางทางลมซึ่งกันและกัน ทำเอาเด็กๆ นอนหลับๆ ตื่นๆ กันไปตลอดคืน แต่ก็หมดสิทธิที่จะลุกขึ้นมานั่งเล่นนอกเต็นท์ เพราะไม่มีใครอยู่แล้ว ต่างคนต่างเข้านอน นี่คือบทเรียนแรกของการปรับตัว

ตีห้า เด็กๆ หลายคนตื่นได้ตามเวลานัดหมาย ผมแจ้งไว้ตั้งแต่ก่อนนอนว่าตีห้าครึ่งเราจะพร้อมเรียนบทเรียนแรกกัน พร้อมคือ ชุดพร้อมลงน้ำ และใส่ชูชีพเรียบร้อยแล้ว เราจะลงน้ำกันตอนฟ้าเริ่มสว่าง

ครูบังนียืนรออยู่บนหาดทรายริมน้ำ พร้อมอวนยาวกว่าสองร้อยเมตรกำลังคลี่ออก เมื่อเด็กมากันพร้อม ครูบังนีลากหัวอวนลงทะเลไป โดยมีเด็กๆ เกาะติดตามไปด้วย ชั่วเวลาไม่นานนัก หัวอวนก็ตีวงโค้งออกไปไกลในทะเล และวกเข้ามายังฝั่งอีกด้านหนึ่ง อวนแผ่ออกเป็นรูปครึ่งวงกลม ครูบังนีค่อยๆ สาวอวนเข้าฝั่ง หวังว่าจะล้อมปลาให้ติดตาข่ายอวนมาได้บ้าง เป็นการทำ ‘อวนทับตลิ่ง’ ของการหาปลาชายฝั่งแบบง่ายที่สุด แต่อาจจะไม่ได้ปลาถ้าไม่สามารถดูฝูงปลาหน้าหาดได้ นั่นคือลำดับต่อไปที่เราจะให้เด็กๆ ได้หัดสังเกตฝูงปลา แต่บทแรกเอาแค่วิธีทำอวนทับตลิ่งก่อน ซึ่งคราวนี้เราได้ปลาตัวจิ๋วๆ ไม่กี่ตัว บวกกับแมงกะพรุนอีกหลายตัว เราสรุปบทเรียนกันสั้นๆ ว่าทำไมจึงไม่ได้ปลา

“เช้านี้ครูยังไม่เห็นฝูงปลาเลย” ครูบังนีบอกเรา “แต่เราก็ลงอวนเพื่อให้ได้รู้จักวิธีทำกันก่อน เดี๋ยววันต่อๆ ไป เราจะทำใหม่”

ปลาที่ได้ ไม่ตายเปล่าครับ บางตัวที่ยังแข็งแรงดีเมื่อปลดจากอวนได้เราก็ปล่อยลงน้ำไป ตัวไหนทำท่าไม่รอดเราส่งไปห้องครัวเป็นอาหารสดๆ จากทะเลของเราเช้านี้ครับ

เราเริ่มฝึกดุหลำกันในตอนเช้าของวันต่อมา หลังจากเราเก็บอวนทับตลิ่งรอบสองเรียบร้อยแล้ว วันแรกขอแค่ให้เด็กๆ ได้เข้าใจเบื้องต้นว่าดุหลำคืออะไร และเราก็ฝึกการใช้หูในการฟังเสียงต่างๆ ใต้น้ำ โดยครูบังนีจะทดลองตบมือหรือกระทืบเท้าใต้น้ำ ครั้งแรกแทบจะไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลย แต่พอฝึกไปหลายๆ รอบก็เริ่มได้ยินเสียง และเด็กๆ ก็ตอบได้ใกล้เคียง เราจะฝึกกันแบบนี้อีกหลายครั้ง ก่อนจะลงไปทดสอบฟังเสียงกันกลางทะเลอีกทีในวันที่เราต้องออกไปหาปลากับเรือประมง

เพื่อให้การฝึกใช้หูได้ประสิทธิภาพมากขึ้น เราจำเป็นจะต้องปิดตา แม้ว่าการหลับตาเมื่อดำน้ำจะทำอยู่โดยอัตโนมัติอยู่แล้วก็ยังไม่เพียงพอ นั่นทำให้ครูบังนีทดลองฝึกในความมืดของกลางคืนดูบ้าง ทุ่มเศษของวันต่อมา เด็กๆ 20 คนก็ใส่ชุดลงน้ำ พากันเดินลงทะเลไปอยู่ในวงล้อมของผู้ปกครองที่ลงไปจับมือยืนล้อมเป็นวงกลมรออยู่แล้ว

พรายน้ำสีเขียวจากแพลงก์ตอนสะท้อนแสงเลือนรางผุดพรายขึ้นระยิบระยับเมื่อเด็กๆ กวาดมือไปมาใต้น้ำ เป็นภาพมหัศจรรย์ตื่นตาตื่นใจทั้งเด็กๆ เองและผู้ปกครองด้วย

เด็กๆ ดำผุดขึ้นลง ขึ้นลง อยู่มากกว่าสิบครั้ง เพื่อให้หูได้ปรับตัวในการได้ยิน เราผ่านการฝึกในตอนกลางวันมาแล้ว วิธีการจึงไม่ได้ยุ่งยากอะไร เพียงแต่ต้องพยายามฟังเสียงที่เกิดขึ้นใต้น้ำให้ได้ เด็กๆ เกือบทั้งหมดสามารถได้ยินเสียงที่ครูบังนีทำขึ้นใต้น้ำได้เป็นอย่างดี และสามารถบอกทิศทางที่มาของเสียงได้ใกล้เคียง หลายคนไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า หูของตัวเองจะได้ยินเสียงใต้น้ำได้

ได้เวลาคนเล็กออกจากฝั่ง

ผมพยายามวางตารางเรียนไว้แบบหลวมๆ แต่เอาเข้าจริงก็มีอะไรให้เด็กๆ ได้ทำทั้งเช้าและบ่ายไม่มีหยุดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการไปเรียนเรื่องการแกะปูออกจากอวนอีกหมู่บ้านหนึ่ง การไปดูการย่างปลาแบบง่ายๆ ที่ชาวบ้านทำขาย การผูกอวน ทำความรู้จักกับอวนที่ใช้ในการจับสัตว์น้ำที่แตกต่างกัน การทำปลาเค็มฝังทราย ไปตัดทางปาล์มเพื่อมาเตรียมทำ ‘อูหยำ’ (นำทางปาล์ม 4-5 ทาง มาผูกติดกัน แล้วผูกด้านหนึ่งด้วยถุงทรายเพื่อถ่วงให้จมลง ก่อนนำไปวางในทะเลเพื่อให้ปลาได้มีที่หลบภัย หรือวางไข่ คล้ายๆ แนวปะการัง)

และวันสำคัญที่เด็กๆ รอคอยก็คือการออกเรือไปหาปลากลางทะเล เป็นการออกไปจับปลาจริงๆ เราแบ่งเด็กลงเรือประมงชายฝั่งของชาวบ้านสามลำด้วยกัน แถมอีกลำหนึ่งเป็นของผู้ปกครองที่อยากจะเห็นวิธีการของจริงด้วยเช่นกัน โดยวันนี้ครูบังนีจะทำการจับปลาโดยการใช้วิธี ดุหลำ คือการฟังเสียงปลาใต้น้ำ ว่ามีปลาอยู่บริเวณไหนบ้าง เราจะไม่วางอวนแบบสุ่มสี่สุ่มห้า จะทำให้เราเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

เรือประมงขนาดใหญ่มีเครื่องมือช่วยที่เรียกว่า ‘โซนาร์’ เป็นเรดาห์ที่ส่องทะลุไปใต้ผิวน้ำเพื่อตรวจหาฝูงปลาว่าอยู่แถวไหนบ้าง ก่อนจะลงอวน ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกันกับ ‘ดุหลำ’ เพียงแต่เครื่องมือที่ครูบังนีใช้เป็นอุปกรณ์ที่ติดตัวครูบังนีและพวกเราทุกคนมาตั้งแต่เกิด

แต่การฟังเสียงใต้น้ำก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ใครก็ได้ดำน้ำลงไปแล้วเราจะได้ยินและอ่านเสียงนั้นออก ต้องผ่านประสบการณ์ในการฝึกฝนมาพอสมควร เราได้ยินเสียงแน่ๆ แต่เราไม่รู้เลยว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคือเสียงของอะไร สำหรับเด็กๆ เราต้องการเพียงให้ได้ยินเสียงใต้น้ำเท่านั้นก็พอ แต่ถ้าสามารถแยกเสียงหรือทิศทางที่มาของแต่ละเสียงได้ก็ยิ่งดี

เรือพาเราแล่นลิ่วออกไปสู่ความเวิ้งว้างของทะเล มองเห็นหาดสวนกงอยู่ไกลลิบ ครูบังนียืนเด่นอยู่บนหัวเรือ ราวสิบห้านาทีครูบังนีก็ส่งสัญญาณให้ครูบังซบที่เป็นคนขับเรือจอดลอยลำ ก่อนที่ตัวเองจะหย่อนตัวลงทะเลไปแบบเงียบๆ และดำหายไปพักใหญ่ ครูบังนีกลับขึ้นเรือ แล้วบอกทิศทางให้ครูบังซบขับเรือมุ่งหน้าไปอีกด้านหนึ่ง เขาไม่ได้ยินเสียงปลามากพอที่จะวางอวนได้ เลยขอย้ายไปดูบริเวณอื่นแทน

ครูบังนีลงน้ำไปอีกสองสามรอบ ก่อนจะส่งสัญญาณด้วยแกลลอนน้ำมันสีขาว (แกลลอนสีขาวจะช่วยให้คนบนเรือสังเกตเห็นได้ง่ายในระยะไกล) ให้ครูบังซบค่อยพาเรือเข้าไปใกล้ๆ จากนั้นอวนยาวกว่า 500 เมตรก็ค่อยปล่อยลงทะเล ตีวงกว้างก่อนแล้วจึงค่อยบีบให้แคบลงเรื่อยๆ ช่วงนี้เราให้เด็กๆ ที่อยู่เรือลำอื่นสลับกันข้ามมาบนเรือที่วางอวน เพื่อให้ทุกคนได้ฝึกการวางอวนลงทะเล น่าจะชั่วโมงเศษๆ เราจึงค่อยๆ สาวอวนกลับขึ้นเรือ ได้ปลาติดขึ้นมาบ้าง ทำเอาเด็กๆ ตื่นเต้นกันใหญ่ ที่ได้เห็นปลาเป็นๆ จากทะเลและส่วนหนึ่งมาจากฝีมือของพวกเขา แม้ปลาที่ได้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่โตมากนัก แต่เพียงแค่นี้ก็จะประทับฝังลงไปในใจของพวกเขาตลอดกาล เป็นประสบการณ์อันมีค่าของเด็กเมืองหลายคนที่เคยรู้จักทะเลแค่ชายหาด

หลังจากสาวอวนขึ้นจนเรียบร้อย เราจะทดลองฝึก ‘ดุหลำ’ กันอีกครั้งเป็นการส่งท้าย แต่ครั้งนี้เป็นกลางทะเล ที่ขายืนไม่ถึง เด็กหลายคนยังว่ายน้ำไม่แข็งนัก และหวั่นๆ กับการออกไปลอยคอกลางน้ำ แต่สามสี่วันที่ผ่านมาเราได้กล่อมพวกเขามาระดับหนึ่งแล้ว วันนี้จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ทุกคนจะกระโดดตูมลงไปลอยคออยู่กลางทะเลได้โดยไม่วิตกกังวลอะไร ก้าวข้ามความกลัวและเพิ่มความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง

การทดสอบรอบนี้เด็กๆ ‘ได้ยิน’ และแยกเสียงที่เกิดขึ้นใต้น้ำได้มากขึ้น บอกทิศทางที่มาของเสียงได้แม่นยำขึ้น ทั้งหมดไม่ได้มีอะไรพิเศษ เพียงแค่การได้ฝึกแค่นั้นเอง จบภารกิจ เล่นน้ำตามสบาย ก่อนจะขึ้นเรือกลับเข้าฝั่ง

ร่ำลา ‘พ่อทะเล’

ปลาทูสดตัวเขื่องเกือบเต็มกะละมังใหญ่เมื่อหลายวันก่อนที่เด็กๆ ช่วยกันควักไส้ ใส่เกลือ แล้วห่อกระดาษ และนำไปรวมกันในกระสอบใบใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะถูกฝังลงในหลุมทรายบนชายหาดในจุดที่น้ำทะเลขึ้นไม่ถึง เพียงห้าวัน ความเค็มยังไม่เข้าเนื้อดีนัก แต่ก็ได้เวลาที่พวกเราจะต้องลาหาดสวนกง จึงต้องขุดขึ้นมาก่อนกำหนดเพื่อเอาไปผึ่งแดดต่อที่บ้าน

เด็กๆ ร่ำลาครูที่เป็น ‘พ่อทะเล’ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นครูบังซบ ครูบังลี ครูบังเหด ครูบังหมาน ครูบังนี รวมทั้งครูก๊ะเลาะ ครูก๊ะตี ที่มาพาเด็กๆ หาหอยเสียบริมทะเลเมื่อวันวาน ขอบคุณทุกๆ คนในหมู่บ้านที่ให้ผมและเด็กๆ มารบกวน

วิชา ‘ลูกทะเล’ ได้ทำให้เด็กๆ รู้จักทะเลในอีกมิติหนึ่งที่เป็นทั้งที่เล่นสนุก เป็นทั้งแหล่งอาหารที่สำคัญไม่น้อยกว่า ‘นาข้าว’ เราคงไม่ต้องบอกเด็กๆ กลุ่มนี้ว่า “อย่าทิ้งขยะลงทะเล” อีกแล้ว

Tags:

โรงเรียนธรรมชาติเกรียงไกร สุวรรณภักดิ์สิ่งแวดล้อมeco literacyประมง

Author & Photographer:

illustrator

เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    Parkใจ ปวดใจเมื่อไหร่ให้เข้าป่า

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Creative learningSpace
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
EF (executive function)
11 July 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านวรรณคดีไทย ลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ต้นฉบับนี้เขียนเมื่อวันสุนทรภู่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ใช้เลขไทยสักหน่อยนะ

มีคำถามมาหาเสมอๆ ว่าลูกอ่านรามเกียรติ์ได้ไหม เห็นมีฉากฆ่ากันมากมาย และถ้าใครคุ้นเคยรามเกียรติ์ก็จะรู้ว่าฉากหอกปักอก ศรทะลุร่าง บั่นคอหลุดกระเด็นไป เหล่านี้มีให้อ่านเป็นระยะๆ

ผมตอบเสมอว่าอ่านได้ ด้วยเหตุผลสองข้อ

ข้อแรกคือวรรณกรรมหรือวรรณคดีทุกประเทศ หากไล่ที่มาที่ไปแล้วทุกเรื่องตั้งอยู่บนจิตวิเคราะห์ เรื่องปมปิตุฆาต หรือ Oedipal complex จิตวิเคราะห์นี้เป็นเรื่องธรรมชาติ จะช้าเร็วเด็กก็ต้องเผชิญ จะหันไปทิศใดก็จะได้พบเห็นแน่ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่ที่ว่ารักกัน และรักตนนักหนามิได้ตรงไปตรงมาดังที่เข้าใจ ไม่มีอะไรอธิบายเรื่องยากๆ พวกนี้ได้ดีเท่าวรรณคดี

ผมจึงไม่เคยกังวลกับเรื่องสโนว์ไวท์ (พรากพรหมจรรย์) แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ (ขโมยและฆ่า) หรือหนูน้อยไม้ขีดไฟ (ความตายของเด็ก) ด้านมืดเป็นสิ่งที่ลูกของเราต้องเผชิญ และวรรณกรรมช่วยให้เขาเผชิญได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน

ข้อสองคือไม่มากก็น้อย ผู้เขียนหรือดัดแปลงวรรณคดีสำหรับเด็กมิได้ตั้งใจเขียนเรื่องเรทอาร์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อยากได้เรทอาร์ต้องไปที่อื่น รูปประกอบและคำบรรยายได้ถูกดัดแปลงให้เหมาะสำหรับเด็ก อาจจะดีบ้างไม่ดีบ้างแต่เท่าที่ตนเองเคยสุ่มอ่าน หรือซื้อมาอ่านให้ลูกฟังก็พบว่ามิได้มีอะไรน่าห่วงแม้ว่าบางเล่มจะเลือดสาดก็ตาม

ไกรทอง ปลาบู่ทอง ขุนช้างขุนแผน เรทอาร์ทั้งนั้น

อย่าลืมว่าสมมุติว่าเด็กกลัว เราสามารถเก็บขึ้นได้เสมอ ปีหน้าค่อยหยิบออกมาอ่านใหม่ เด็กเปลี่ยนไปทุกปี เราไม่รีบ

เซ็กส์และความรุนแรงปรากฏในชีวิตคนเรา ปรากฏในจิตวิเคราะห์ และปรากฏในวรรณคดี ลูกของเราเผชิญมันได้ตั้งแต่แรกด้วยสื่อที่ดี และสื่อที่ดีนั้นมีชื่อว่าวรรณคดี

คุณแม่เล่าว่าผมไม่ยอมเข้าห้องเรียนอยู่นาน ถือกิ่งไม้วิ่งรอบสนามปากตะโกนว่า “อัศวินม้าขาวมาแล้ว” อยู่เช่นนั้น คือหนังซามูไรญี่ปุ่นเรื่องดังสมัยก่อน ครั้นเริ่มเรียนหนังสือจริงๆ ก็จำได้ว่าไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรนักในตอนแรกๆ

คุณแม่ต้องลงมาคลุกด้วยตนเองจับมือเขียนหนังสือและทำการบ้านอยู่เสมอๆ

พอถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก็สอบได้ที่ 1 เป็นครั้งแรก โรงเรียนให้หนังสือชุดวรรณกรรมภาพวิจิตรเรื่องสังข์ทองเป็นรางวัล หากจำไม่ผิดน่าจะเป็นลายเส้นของเหม เวชกร หนังสือชุดนี้หายไปแล้วแต่ที่จำได้เพราะตนเองอ่านอยู่หลายเที่ยว สนุกดี นี่ก็ปล่อยแม่เลี้ยงตายต่อหน้าต่อตา

คุณพ่อและคุณแม่เป็นคนจีนโพ้นทะเล คือ ชนกลุ่มน้อยที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์เวลานั้น เหมือนที่บางคนยังทำกับชนกลุ่มน้อยตามชายขอบวันนี้ พวกเราพี่น้องสมัยเด็กๆ เรียนหนังสือจีนด้วย ใช้ชื่อจีนมีแซ่ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชื่อยาวนามสกุลยาวในเวลาต่อมา ก็เหมือนชนเผ่าต่างๆ เวลานี้เช่นกัน

​คุณพ่อซื้อนิทานประกอบภาพภาษาจีนมาอ่านให้ฟัง ท่านทำงานเดินสายต่างจังหวัดจึงกลับบ้านไม่บ่อย แต่กลับมาก็จะอ่านนิทานและประดิษฐ์ไพ่ขึ้นมาชวนลูกเล่น (วันหนึ่งคงถึงเวลาเขียนถึงของเล่นอย่างที่ 11 ไพ่ดีอย่างไรและเล่นได้อย่างไร) เมื่อพวกเราอ่านหนังสือไทยออกเพราะคุณแม่อ่านหนังสือไทยไม่ออกก่อนที่ท่านจะเรียนด้วยตนเองจนอ่านได้ในเวลาต่อมา ท่านซื้อนิทานประกอบภาพเรื่องไซอิ๋วของนานมีบุ๊คส์มาให้พวกเราอ่าน เป็นหนังสือเล่มเล็กมีภาพลายเส้นวิจิตรอย่างจีนและคำบรรยายใต้ภาพทุกหน้า ความยาว 32 เล่มจบ นั่นเป็นปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เลขไทยอีกสักหน่อยนะ

​หนังสือชุดไซอิ๋วนี้ขาดจากท้องตลาดไปนานแล้ว แว่วว่านานมีบุ๊คส์กำลังจะจัดพิมพ์ใหม่

ตอนที่พวกเราอายุเท่าไรก็จำไม่ได้อีกเหมือนกัน คุณแม่พาพวกเราไปเที่ยวงานกาชาด ที่ไหนก็จำไม่ได้ งานกาชาดเวลานั้นก็เหมือนสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเวลานี้ จะมีแผงหนังสือลดราคาร้อยละ 50 พวกเรามีโอกาสซื้อหนังสือราคาแพงปีละครั้ง แม่ซื้อสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) 2 เล่มจบ ส่วนผมกำลังบ้ารามเกียรติ์จึงซื้อบทละครรามเกียรติ์พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 ราคาลดแล้วไม่เกิน 50 บาทต่อเรื่อง ถือว่าราคาสูง

​พี่ชายอ่านสามก๊กไปมากกว่าสามรอบ ผมอ่านรามเกียรติ์ไปหลายรอบ สนุกดี

​ตอนที่เรียนประถมศึกษาปีที่ 5-7 พวกเราทยอยซื้อหนังสือวรรณคดีเข้าบ้าน ทั้งจีนและไทย ห้องสิน ซ้องกั๋ง ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี อิเหนา ราชาธิราช เป็นต้น ล้วนซื้อจากงานกาชาดหรืองานวชิราวุธซึ่งจะมีแผงลดราคาร้อยละ 50 ทุกปีอย่างสม่ำเสมอ

​วันหนึ่ง ผมจึงไปพบรามเกียรติ์ฉบับพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 จำนวนหลายสิบเล่มจบในห้องสมุดประจำโรงเรียนชั้นมัธยม จึงขอยืมกลับมาอ่านตั้งแต่เล่มที่ 1 หิรัญยักษ์ม้วนแผ่นดินไล่ไปเรื่อยๆ สัปดาห์ละ 1-2 เล่มจนอวสานอย่างสมบูรณ์ จนถึงวันนี้หากให้ตนเองลงความเห็นว่าวรรณคดีเรื่องใดดีที่สุดก็คงไม่พ้นชุดนี้ แม้ว่าจะชอบสามก๊ก กามนิตและมหาภารตยุทธมาก แต่เวลาใจประหวัดถึงวรรณคดีที่มีผลกระทบต่อชีวิตตนเอง ก็จะเป็นรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 นี้ผุดขึ้นชื่อแรกเสมอ

​ด้วยเหตุผล 2 ข้อ

ข้อแรกคือสนุกมาก ไม่ว่าจะฉากรบฉากรัก ฉากรบหัวขาดกันกระจุย ตายกันเป็นหมื่นแสนเหมือนหนังสเปเชียลเอฟเฟ็คต์ยุคใหม่ ฉากรักวาบหวามถึงใจแม้จะไม่เอ็กซ์เท่าพระอภัยมณีหรือขุนช้างขุนแผนก็ตาม

ข้อสองคือคำคลังเยอะมาก ไม่สิ ควรเรียกว่ามหาศาลเสียมากกว่า (จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าการ์ตูนญี่ปุ่นแปลไทยทำไมถึงชอบมีบทสนทนาว่า ไม่สิ บ่อยมาก คนญี่ปุ่นชอบพูดว่า ไม่สิ หรืออย่างไร) ท่านที่อยากได้คลังคำจำนวนมากเก็บไว้ในหัวสมองโดยไม่ต้องนั่งท่องลองอ่านรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 นี้ไปสองเที่ยว รับประกันความเยอะ

ผมอ่านสองเที่ยวจริงๆ พอเรียนแพทย์ตนเองมีเงินเก็บบ้างแล้วจึงซื้อรามเกียรติ์ฉบับรัชกาลที่ 1 นี้เวอร์ชั่น 4 เล่มจบกลับบ้านมาอ่านซ้ำ อ่านเสร็จตัดปฏิทินรามเกียรติ์วัดพระแก้วทำหน้าปกเองห่อพลาสติกเรียบร้อยเป็นหนังสือคู่กายทุกวันนี้

ยามใดเขียนหนังสือไม่ออก หัวติดขัด ก็จะหยิบรามเกียรติ์มาอ่านไปสักสิบยี่สิบหน้า พอให้คลังคำสตาร์ททำงาน เมื่ออิเล็กตรอนวิ่งชนกันในสมอง เราจะรู้ได้เองว่าสัปดาห์นี้จะเขียนอะไรเพื่อเอาตัวรอด

เช่นข้อเขียนนี้เป็นต้น ๕๕๕ หัวเราะแบบไทยโบราณ

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความที่เกี่ยวกับการอ่านของ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ที่นี่:
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน
อ่าน-เล่น-ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ของ ‘นิทานก่อนนอน’
อ่าน เล่น ทำงาน: สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร
อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน

Tags:

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 7 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 5

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน-เล่น-ทำงาน: เล็กๆ น้อยๆ แต่สำคัญมาก ของ ‘นิทานก่อนนอน’

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

10 ทักษะผู้นำของคนในวงการไซเบอร์ ที่โลกอนาคตต้องการ
21st Century skills
11 July 2019

10 ทักษะผู้นำของคนในวงการไซเบอร์ ที่โลกอนาคตต้องการ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • บทความล่าสุดจาก World Economy Forum เรื่อง ’10 reasons why today’s cyber leaders are tomorrow’s world leaders’ ชี้ว่า ทักษะสำคัญของผู้นำในโลกไซเบอร์อาจเป็นทักษะของผู้นำในโลกอนาคต
  • เพราะธรรมชาติงานในวงการไซเบอร์นั้นเปลี่ยนเร็ว อยู่กับข้อมูลละเอียดอ่อน ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติที่ต้องตัดสินใจเร่งด่วนและแบกรับความกดดันหลายครั้ง
  • 10 ทักษะนี้ ไม่จำเป็นต้องมีครบ อาจเป็นผู้นำทีมที่รวมสมาชิกไว้ครบทุกทักษะ…ก็ได้
ภาพประกอบ: ชาลิสา พุทธรักษา

คงไม่ต้องพูดกันอีกแล้วว่าเราอยู่ในยุค Digital Disruption Technologies หรือสภาวการณ์ที่โลกเปลี่ยนเร็วเพราะเทคโนโลยี ตลอดมามีการทำนายคุณลักษณะของมนุษย์, รูปแบบงาน กระทั่งเทคโนโลยีในวันข้างหน้า เพื่อหาทางปรับตัวให้ทันกับโลกอนาคตเรื่อยมา

บทความล่าสุดจาก World Economy Forum (สภาเศรษฐกิจโลก) เรื่อง ‘10 reasons why today’s cyber leaders are tomorrow’s world leaders’ (10 เหตุผล ทำไมผู้นำด้านไซเบอร์วันนี้ จะกลายเป็นผู้นำโลกในวันข้างหน้า) โดย ฟรานเซสกา บอสโก (Francesca Bosco) หัวหน้าโปรเจ็คค์ความปลอดภัยไซเบอร์ และ รีเบคกา ลิวอิส (Rebekah Lewis) หัวหน้าโปรเจ็คค์นโยบายธรรมาภิบาล แห่ง World Economy Forum อธิบายว่า…

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หนึ่งในอาชีพที่ถูกจับตาคือคนที่ทำงานในวงการไซเบอร์ ซึ่งธรรมชาติงานนั้นเปลี่ยนเร็ว ต้องอยู่กับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เมื่อเจอวิกฤติแต่ละครั้ง พวกเขาต้องตัดสินใจเร่งด่วนภายใต้ความกดดันที่ขึ้งเครียดและด้วยข้อมูลจำกัด ทักษะของคนวงการไซเบอร์จึงน่าสนใจและน่าจับตาดูว่า ผู้ที่ผลิตและทำงานกับเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้านั้น มีลักษณะและมีทักษะอะไร 

บอสโก และ ลิวอิส ยกตัวอย่าง 10 ทักษะของ ‘ผู้นำในโลกไซเบอร์’ และชี้ว่านี่อาจเป็นทักษะของผู้นำโลกอนาคต (อันใกล้) ก็ได้

1. ความรู้และทักษะที่กว้างขวาง

ในสายงานความปลอดภัยไซเบอร์ ต้องการผู้นำที่เข้มแข็งและโดดเด่นรอบด้าน เพราะต้องวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลขไปจนถึงบริหารจัดการคน ยิ่งอาวุโสในสายงานเท่าไร สิ่งที่ต้องรับผิดชอบไม่ใช่แค่กระบวนการทำงานภายในอย่างการบริหารจัดการธุรกิจหรือจัดการความเสี่ยง แต่ต้องรับมือกับปัจจัยภายนอก เช่น ขั้วความสัมพันธ์การเมือง เข้าใจระบบ ระเบียบ ความเคลื่อนไหวของแต่ละภูมิภาคและระดับโลก 

พวกเขาต้องรอบรู้ให้กว้างเพื่อนำกลับมาประเมินสถานการณ์ เพราะทุกอย่างที่ว่ามานี้ จะกลับไปกระทบต่อองค์กรที่ทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์แทบทั้งสิ้น

2. ความสามารถด้านการทำนาย

ธรรมชาติของงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานต้องมีสายตาพิเศษเพื่อจับทิศทางข้างหน้า ต้องรักการทำนาย และเปิดกว้างต่อเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่พวกเขาต้องทำนายสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเสี่ยง’

ผู้นำในสายงานความปลอดภัยไซเบอร์ที่เข้มแข็ง ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอจะทำนายผลกระทบต่อการพัฒนาโปรเจ็คท์ใหญ่ๆ เช่น ผลจาก AI, คอมพิวเตอร์เชิงควอนตัม (Quantum Computer), ข้อมูลในประเทศ รวมถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน เช่น การเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกแผนงานบางอย่างของบริษัทคู่ค้า, ความผันผวนรุนแรงของสภาพอากาศ มัลแวร์ หรือกระทั่งการโจมตีไซเบอร์เอง แล้วนำมาวิเคราะห์ให้ได้ว่าท่ามกลางปัจจัยเหล่านี้ ความเสี่ยงใดที่อาจเกิดขึ้น

3. ความสามารถในการวิเคราะห์และแยกแยะ

ผู้นำในโลกไซเบอร์ต้องอยู่กับข้อมูลที่ท่วมท้นและหลากหลายอันมาจากปัจจัยภายในและนอก ไม่เพียงต้องเข้าใจปัจจัย บริบท ประเด็น สิ่งที่กำลังทำเท่านั้น ผู้นำไซเบอร์ต้องมีปฏิภาณไหวพริบ ‘แยกแยะ’ ข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องซึ่งปะปนอยู่กับข้อมูลที่ต้องใช้จริง แยกความแตกต่างระหว่างข้อมูลจริงกับเท็จ และยังต้องเข้าใจหยิบข้อมูลพื้นฐานบางอย่างขึ้นมาตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์ได้

4. ความสามารถเชื่อมโยง หาทางลัดด้านกลยุทธ์

เพราะการเป็นผู้นำในกลุ่มการบริหารความปลอดภัยไซเบอร์ จำเป็นต้องใช้ข้อมูลแวดล้อมหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นจากสถิติ จากรายงาน หรือข้อถกเถียงของคนในทีมไปจนถึงข้อถกเถียงของคนในวงการต่างๆ นอกจากความเฉลียวฉลาดในการหาข้อมูล ผู้นำในสายงานนี้เป็นต้องมีทักษะเชื่อมโยงข้อมูล ‘ระหว่างสายงาน’ เพื่อคิดค้นกลยุทธ์การทำงานและพัฒนาความปลอดภัยองค์กร

การทำงานจึงต้องเป็นรูปแบบ Agile ที่ให้ความสำคัญกับการสื่อสารข้ามฝ่ายและไม่มีรูปแบบการทำงานแบบเป็นขั้นตอน วิธีการทำงานแบบนี้ยิ่งเรียกร้องต่อผู้ปฏิบัติงานให้มีความสงสัยใคร่รู้ที่จะประเมินข้อมูลและกำหนดกลยุทธ์การทำงานอยู่เสมอ

5. การบริหารจัดการความเสี่ยง

ไม่ว่าจะเตรียมพร้อมดีแค่ไหน แต่ปัญหาไซเบอร์เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระดับเล็กถึงใหญ่ ผู้นำด้านไซเบอร์ต้องเตรียมรับมือ ตอบสนองต่อวิกฤติอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเพราะทุกครั้งที่เกิดปัญหาต้องมีการตัดสินใจ สิ่งเหล่านี้เลี่ยงการสูญเสียไม่ได้ ผู้นำต้องชั่งตวงวัดข้อมูลเท่าที่มี ตัดสินใจ และรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น

เวลาเกิดสถานการณ์ทำนองนี้ ผู้นำไซเบอร์ต้องทำงานภายใต้ความกดดัน ผู้นำต้องมีความสามารถในการประเมินข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แม่นยำ หาความสัมพันธ์ของข้อมูลที่กระจัดกระจาย และการตัดสินใจนั้นต้องยุติธรรม ไม่มีอคติจากบุคคลหรือคนในทีม

6. มีจริยธรรมและรับผิดรับชอบ

เพราะความซับซ้อนและการขยายขอบเขตของสภาวะไซเบอร์ ยิ่งทำให้จริยธรรมของคนทำงานในพื้นที่นี้ถูกท้าท้ายมากขึ้นเรื่อยๆ และเพราะธรรมชาติของงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์นั้นมีความละเอียดอ่อนมาก ข้อมูลบางอย่างเปิดเผยไม่ได้ หรือถูกท้าทายว่าสมควรเปิดเผยได้แค่ไหน หลายครั้งคนทำงานด้านนี้จึงต้องตัดสินใจด้วยประสบการณ์ และการตัดสินใจหลายๆ ครั้งเป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจ 

7. มองเห็นภาพรวม แต่ซูมลึกลงไปจนเห็นรายละเอียดเล็กๆ ได้

ปัจจุบันองค์กรต่างๆ แยกหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ออกจากโครงสร้างการทำงานทั่วไป แต่ธรรมชาติของงานด้านนี้ ต้องการความเข้าใจและต้องเข้าไปรับผิดชอบหน่วยปฏิบัติการระบบงานหลักหลายส่วน เช่น งานการเงิน, หน่วยปฏิบัติการ, ทรัพยากรบุคคล, ประกัน และอื่นๆ 

ด้วยรูปแบบงานที่ไม่มีเส้นพรมแดนนี้ ผู้นำด้านไซเบอร์ต้องขีดเส้นใต้ให้ชัดว่าจะเข้าไปควบคุมดูแลงานส่วนไหนและแค่ไหน การทำงานแบบนี้ ผู้นำด้านไซเบอร์ต้องมีทักษะเลือกรับข้อมูลและรู้ว่าจะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทีมงานต่างๆ ทั้งภายในและนอกองค์กรอย่างไร ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาที่ว่า ผู้นำไซเบอร์ต้องมีความเชี่ยวชาญในการมองภาพรวม แต่ซูมลึกลงไปในรายละเอียดเล็กๆ ได้

8. มอบหมายงานเป็น

คล้ายกับผู้นำทั่วไป ผู้นำไซเบอร์ประสบความสำเร็จไม่ได้ด้วยตัวคนเดียว การมีทีมงานสำคัญมาก ทักษะการมอบหมายงานให้ถูกคนจำเป็นไม่แพ้ทักษะอื่นๆ ผู้นำควรรู้ว่าจะมอบหมายงานให้ใคร จัดสรรแบ่งเบาความรับผิดชอบงานให้คนในทีมอย่างไร สำคัญที่สุดคือทำให้ชัดว่างานแบบไหนที่มอบหมายให้ทีมทำได้ งานแบบไหนที่ผู้นำต้องทำเอง เช่น งานด้านความสัมพันธ์ หรือการตัดสินใจในเรื่องสำคัญบางอย่าง

9. หามติร่วมเพื่อตัดสินใจ

การทำงานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ต้องทำงานกับผู้เชี่ยวชาญหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การตลาด การสื่อสาร และคนในแวดวงเทคโนโลยีด้วยกันเอง ในการทำงานจริง การแก้ไขปัญหาไซเบอร์จึงไม่อาจแก้ได้ด้วยความเห็นของทีมงานเดียว 

ผู้นำไซเบอร์จึงต้องสื่อสารให้คนทุกสายงานเข้าใจร่วมกัน โดยเฉพาะการปรับคำศัพท์เฉพาะแต่ละสายงานให้เป็นภาษาที่เข้าใจได้ทุกทีม จากนั้นจึงต้องเป็นตัวกลางเพื่อหามติและลงความเห็น

ข้อนี้-การสื่อสารเพื่อหามติ เหมือนเป็นสิ่งที่ผู้นำหลายองค์กรต้องมี แต่ต้องไม่ลืมว่าการทำงานด้านไซเบอร์ไม่ได้ทำงานแค่คนในประเทศแต่ทำงานกับผู้คนต่างภาษาด้วย แปลว่านอกจากการสื่อสารที่ชัดเจนในภาษาของตัวเองแล้ว ผู้นำไซเบอร์ยังต้องมีความเชี่ยวชาญทางภาษาต่างประเทศระดับลึกซึ้งอีกด้วย

10. สร้างบรรยากาศเพื่อสร้างประสิทธิภาพการทำงาน

ผู้นำไซเบอร์ต้องทำงานอยู่กับสภาวะที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด แน่นอนว่านี่คือโอกาส แต่ก็หมายถึงจุดอ่อนในแง่การตามไม่ทันเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน เพื่อจะยืนอยู่ในวงการนี้ได้ พวกเขาจำเป็นต้องคัดผู้ที่มีคุณสมบัติคนทำงานแบบใหม่ ต้องการคนทำงานที่ยืดหยุ่น รักษามาตรฐานงาน และรักในการเรียนรู้อยู่เสมอ

เพื่อหาคนทำงานที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ผู้นำไซเบอร์ต้องปรับนโยบายด้านการทำงานเพื่อเอื้อให้เกิดบรรยากาศและรักษาคนที่มีคุณสมบัติดังที่กล่าวไปให้ทำงานกับทีมได้ สำคัญคือผู้นำไซเบอร์จะถูกเรียกร้องเรื่องความเป็นธรรม และการประเมินการทำงานที่เสมอภาคและโปร่งใส

ปัจจุบันผู้นำไซเบอร์ไม่ได้ถูกเรียกร้องแค่ให้เป็นผู้นำโลก – โลกที่จะซับซ้อนและหลากหลายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่การเป็นผู้นำของคนทำงานรุ่นใหม่ที่ต้องใช้ทั้งทักษะสังคมและทักษะวิชาชีพ แต่ยังเป็นต้นแบบของผู้นำรุ่นใหม่ แบบที่โลกอนาคตต้องการ 

ที่มา:

 weforum.org/

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)Disruption21st Century skillsภาวะผู้นำ(leadership)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    11 วิธีสร้างสิ่งแวดล้อมให้เด็กเป็นผู้นำ: เคารพตัวเอง มุ่งมั่น ยืดหยุ่น ตัวอย่างนิสัยข้างในที่เด็กๆ จะได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

ยิ่งเปรี้ยว ยิ่งเสีย ชะลออายุปลาส้มด้วย ‘ศิริส้ม’ ของเด็กมัธยมปลาย
Voice of New Gen
10 July 2019

ยิ่งเปรี้ยว ยิ่งเสีย ชะลออายุปลาส้มด้วย ‘ศิริส้ม’ ของเด็กมัธยมปลาย

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • ศิริส้ม (SiriSOM) ผลิตภัณฑ์ช่วยชะลอความเปรี้ยวและยืดอายุของปลาส้ม ให้ผู้ค้าในชุมชนท่าบ่อวางขายได้นานขึ้นโดยไม่ต้องแช่เย็น ผลงานของน้องๆ ชุมนุมนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ โรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษดิ์
  • ความก้าวหน้าและน่าสนใจของศิริส้ม คือด้วยกระบวนการทดลองที่เป็นวิทยาศาสตร์ ความตั้งใจจะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ โลโก้ และมีกลุ่มผู้ใช้รอซื้อจริง ขาดก็เพียงการขอมาตรฐานรับรองผลิตภัณฑ์เท่านั้น ความฝันของสมาชิกในทีมก็จะเป็นจริง
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่


แม้แม่ช้อยฯ ไม่ได้กล่าวไว้ แต่คนส่วนใหญ่รู้ดีว่า ปลาส้มที่อร่อยเนื้อต้องไม่เละ และความเปรี้ยวต้องพอดี หากปลาส้มแผงใดเปรี้ยวโดด ให้สงสัยได้ทันทีว่า ปลาส้มนั้นค้างแผงนานจนใกล้เสีย

ในมุมวิทยาศาสตร์ ต้นเหตุที่ทำให้ปลาส้มเปรี้ยวจวนเสีย คือ ‘แลคติกแอซิดแบคทีเรีย’ ที่มากเกินไป เจ้าแบคทีเรียนี้ยิ่งมีมาก ปลาส้มยิ่งเสียเร็ว ถ้าแม่ค้าขายไม่ทันก็เท่ากับทุนหายกำไรหด ถ้าลูกค้าโชคร้ายหยิบไปก็สูญเงิน และอาจได้อาการท้องเสียเป็นของแถม

“จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะลองใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาช่วยคุมปริมาณแลคติกแอซิดแบคทีเรีย เพื่อยืดอายุให้ปลาส้ม แม่ค้าและลูกค้าจะได้แฮปปี้กันทุกคน” 

คือสิ่งที่ 3 สาวและ 3 หนุ่มจากโรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษดิ์ อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม คิดออกมาดังๆ ก่อนจะเปิดประตูแห่งการเรียนรู้ออกไปทดลองทำจริงๆ เพื่อพบว่า มีความสำเร็จและผิดพลาดมากมายรออยู่หลังประตูบานนั้น…

ทดลองเข้มข้น จากรุ่นสู่รุ่น

ศิริส้ม (SiriSOM) ผลิตภัณฑ์ช่วยชะลอความเปรี้ยวและยืดอายุของปลาส้มโดยไม่ต้องแช่เย็น เป็นผลงานของน้องๆ ชุมนุมนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ โรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษฏ์ ที่พัฒนาต่อเนื่องกันมาถึง 3 รุ่น แต่เดิมเคยทำโครงงานเรื่องการนำน้ำเหลือทิ้งมาทำปลาส้ม จนมาถึงรุ่นของ มายด์-ชยมล ลิปูหนอง ชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สานต่อโปรเจ็คท์ดังกล่าวจนได้รางวัลในการประกวดนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และต่อยอดมาถึงรุ่นปัจจุบัน ที่ทำโครงงานเรื่องการยับยั้งแลคติกแอซิดแบคทีเรียในปลาส้ม

“ตอนทำโครงงานรุ่นแรก เรามีองค์ความรู้เรื่องสารที่สามารถยับยั้งแบคทีเรียได้ รุ่นหนูเลยคิดต่อยอดไปเรื่องการตลาด เริ่มจากไปสัมภาษณ์คนทำปลาส้มว่า ‘นอกจากปัญหาน้ำทิ้งแล้วมีปัญหาอะไรอีกบ้าง?’ ก็เจอปัญหาหนึ่งคือ ปลาส้มเปรี้ยวเร็ว วางขายแค่ 2-3 วันก็เสีย สังเกตได้จากแผงว่าจะมีปลาเก่ากับปลาใหม่ ราคาจะต่างกัน ปลาเก่าคือตัวที่เปรี้ยวมาก ราคาจะถูกกว่า เราเลยนำเรื่องนี้มาเป็นหัวข้อหลักในการทำโครงงาน” มายด์เล่าถึงที่มาของโครงงาน ที่เป็นการยกระดับผลงานเพื่อช่วยแก้ปัญหาธุรกิจปลาส้ม จากระดับกระบวนการผลิต ไปสู่ระดับการตลาด

แต่ด้วยภารกิจที่ต้องพัฒนาโปรเจ็คท์โครงการพัฒนาอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับเด็กและเยาวชน (Junior Science Talent Project: JSTP) ของตัวเอง และเพื่อนร่วมทีมก็อยู่ในช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย จึงส่งต่อผลงานศิริส้ม (ตอนนั้นอยู่ในขั้นผลการทดลอง) ให้รุ่นน้องอย่าง ต๋อง-ภานุพงษ์ อินทะศรี ชั้นม.5, โม-ชญานิกานต์ เจนการค้า ม.6 และ เมย์-พิมลวรรณ สุพะสอน ม.6 โรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษดิ์ ทำต่อเพื่อส่งแข่งขันโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (Young Scientist Competition: YSC) โดยมายด์ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเพื่อส่งต่อองค์ความรู้ สนับสนุนงานเอกสาร และมีอาจารย์ที่ปรึกษาช่วยสนับสนุนการทดลอง 

แม้ต้องทิ้งงานของตัวเองเพื่อมารับช่วงต่อจากรุ่นพี่ และไม่ใช่สิ่งที่ทั้ง ต๋อง โม และเมย์ คิดฝันไว้ แต่ด้วยเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่กลุ่มผู้ใช้จะได้รับ ทั้งสามจึงเข้ามารับงานศิริส้มอย่างเต็มตัว

“ตอนนั้นเราทำโครงงานอื่นอยู่ แต่โครงงานนี้มีกลุ่มผู้ใช้ชัดเจนคือ คนในชุมชนท่าบ่อ เลยทิ้งโครงงานเดิมมาทำโครงงานนี้ ตอนนั้นพวกหนูก็ยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไง พี่มายด์ต้องสอนงานใหม่หมด ดูค่า pH ก็ยังไม่เป็น ไม่รู้สีอะไรเป็นสีอะไร แยกไม่ออก ก็ต้องทำใหม่เรื่อยๆ” โมเล่าอย่างอารมณ์ดี

โปรเจ็คท์ศิริส้มมีเป้าหมายอยู่ที่การพัฒนาสารเพื่อช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียในปลาส้ม ทำให้ปลาส้มมีอายุยาวนานขึ้น ให้ผู้ค้าในชุมชนท่าบ่อสามารถวางจำหน่ายได้นานขึ้นโดยไม่ต้องแช่น้ำแข็ง ซึ่งสิ่งที่ทีมต้องทำก็คือ พิสูจน์สมมุติฐานว่า อนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์ (อนุภาคของซิงค์ออกไซด์ที่มีขนาด 25-50 นาโนเมตร) สามารถยับยั้งเชื้อราและกำจัดแบคทีเรีย สามารถยับยั้งปริมาณแบคทีเรียกรดแลคติก (Lactic Acid Bacteria) ได้จริงหรือไม่ และถ้าสามารถยับยั้งได้ ต้องใช้ในปริมาณความเข้มข้นเท่าไหร่

“ตอนแรกเราวัดผลแค่ตอนปลาย คือวัดค่า pH กับการไทเทรต (Titration) หาความเข้มข้นของกรด เพราะแบคทีเรียเพิ่มปริมาณได้จากกรด เราจึงทดลองจากสมมุติฐานแรกคือ ถ้าเราใส่ปริมาณซิงค์ออกไซด์ที่เท่าไหร่ มันจะให้ความเข้มข้นที่ต่างกัน แล้วมันจะสามารถยับยั้งได้ที่ปริมาณความเข้มข้นที่เท่าไหร่ ทีแรกผลที่ได้อยู่ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าใช้กับของที่เป็นอาหาร ปริมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าสิ้นเปลือง จะเพิ่มต้นทุนมากกว่าลดต้นทุน และอาจตกค้างในร่างกายจากการที่มันแตกตัวไม่หมด เราเลยทดลองสมมุติฐานเพิ่มว่า ถ้าปริมาณน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นอย่างไร แล้วเราก็ทดลองลดความเข้มข้นไปเรื่อยๆ จนถึงประมาณ 0.1 เปอร์เซ็นต์ จนพบว่าช่วงประมาณ 0.1-0.3 เปอร์เซ็นต์ สามารถลดปริมาณแบคทีเรียได้เหมือนกัน” มายด์เล่าถึงกระบวนการทำงานของทีม ซึ่งกว่าจะได้ปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสม ต้องผ่านการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายร้อยรอบ

เมื่อความผิดพลาดกลายเป็นความคุ้นชิน

นอกจากโม-เมย์-ต๋อง ยังมี มาร์ค-ชาญชล ลิปูหนอง และ กุ้ง-ณัฐภัทร ไชยกา โรงเรียนสหราษฎร์รังสฤษดิ์ เข้ามาร่วมทีมในช่วงเข้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปี 6 ได้เปิดโลกของการเรียนรู้หลายๆ อย่าง แต่อย่างหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือ การฝึกปรือเทคนิคการทดลองทางวิทยาศาสตร์

“หนูไม่เคยทำโครงงานมาก่อน ไปแข่งแค่โครงงานคณิตศาสตร์ก็แทบไม่ได้ทำอะไรเลย รอไปนำเสนอเฉยๆ (หัวเราะ) พอมาทำงานนี้ พี่สอนให้ทำเองทุกอย่าง เขาจะไม่ทำการทดลองให้ แต่จะสอนและซัพพอร์ตอยู่ห่างๆ เราต้องลงมือทำเองหมด ถ้าเราทำผิดพลาดเราก็ต้องเริ่มทำใหม่เอง เหนื่อยมาก สมมุติฐานแรกเราทดลองกัน 20-30 ครั้ง ซึ่งมันเฟล ซื้อปลาส้มมาเต็มตู้เย็นจนแช่อย่างอื่นไม่ได้เลย” โมเล่าด้วยเสียงหัวเราะ

“ตอนเข้ามาแรกๆ ผมยังทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไม่เคยทำแล็บวิทยาศาสตร์ ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ทำให้ได้เรียนรู้วิธีชั่งสารว่าต้องทำอย่างไร รวมทั้งกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์ด้วย” ต๋องเสริม

“ก่อนจบ ม.6 หนูถ่ายทอดทุกสิ่งที่มีให้น้อง ทั้งการผสมสารแต่ละสูตร วิธีเลี้ยงเชื้อ วิธีการไทเทรต วิธีหาความเข้มข้น การใช้เครื่องมือต่างๆ สอนเกือบครึ่งเดือน ทำการทดลองซ้ำๆ วัดปริมาณกรดและทดลองการเลี้ยงเชื้อว่ามันสามารถยับยั้งเชื้อที่เราเลี้ยงได้ไหม” มายด์กล่าว

ใครที่ไม่เคยทำแล็บวิทยาศาสตร์ อาจนึกภาพไม่ออกว่าการทดลองซ้ำๆ ของนักวิทย์นั้นเขาทำกันมากน้อยแค่ไหน เมื่อได้ยินคำถามนี้ โมก็หัวเราะและตอบอย่างร่าเริงว่า

“ถ้านับเป็นชุดการทดลองเราทำหลายรอบมาก ความเข้มข้นที่ 1 เปอร์เซ็นต์ ทำ 3 ชุดการทดลอง ชุดละ 3 ครั้ง ก็ 9 ชุดแล้ว และมีชุดควบคุมอีก 3 ชุด ตีว่า 1 ชุดความเข้มข้นเราต้องทดลอง 9+3 ครั้งตลอด แล้วลดความเข้มข้นไปทีละ 0.1 เปอร์เซ็นต์ รวมแล้วเราทดลองประมาณ 500 ครั้งที่ได้ผล กับอีกประมาณ 300 ครั้งที่ไม่ได้ผล ใช้ปลาส้มในการทดลองไปประมาณ 800 ตัว”

การทดลองเหยียบ 1,000 ครั้งถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเรียน ม.ปลาย อย่างพวกเขา หนำซ้ำในการทดลอง 800 กว่าครั้งนั้นก็ไม่ใช่จะสำเร็จไปทุกครั้ง หากแต่พวกเขาต้องประสบกับความผิดพลาดไปถึง 300 ครั้ง

พวกเขารับมือกับความพลาดหวังดังกล่าวกันอย่างไร?

“ถ้าเราทำผิดพลาดเราก็ต้องเริ่มทำใหม่” คือประโยคที่โมทวนให้ฟังอีกรอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนคุ้นชินไปแล้วกับความผิดพลาดที่เจอเป็นประจำ 

“สิ่งที่ทำให้เรารู้ว่ามันเฟลคือ จะมีปลาที่เน่าตอนวันที่ 4 หรือ 5 หลังการทดลอง ซึ่งจริงๆ มันต้องไม่เน่าเพราะมีแบคทีเรียที่ผลิตกรดอยู่แล้ว เราก็ต้องไปดูว่าช่วงระหว่างนั้นทดลองยังไง ผิดตรงไหน ใส่อะไรแปลกไป หรือเปิดฝาทิ้งไว้ ก็ต้องสืบจากคำบอกของน้องว่าทำอะไรไปบ้าง ต้องหาให้ได้ว่าผิดพลาดตรงจุดไหน แล้วทำใหม่ บางครั้งก็ไม่รู้สาเหตุจริงๆ ว่าเกิดจากอะไร ก็ทำใหม่” มายด์เสริม

แม้จะต้องพบกับความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นความคุ้นชิน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาหยุดยั้งการทดลอง ส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามีผู้ใช้ที่รอคอยผลงานของพวกเขาอยู่

“เราเอาผลงานไปเสนอให้ร้านค้าปลาส้มลองใช้ ตอนนี้มี 2 เจ้าแล้วที่ลองแล้วเวิร์ค เขาชอบ ทีแรกพวกหนูต้องการแก้ปัญหาแค่เรื่องน้ำแข็ง แต่เขาฟีดแบ็คกลับมาว่ามันแก้ปัญหาเรื่องถุงได้ด้วย คือปกติถุงที่เขาซีลปลาส้มไว้มันจะพองลม เพราะแบคทีเรียไม่ได้ผลิตแค่กรดอย่างเดียว แต่มันผลิตแก๊สด้วย พอผลิตแก๊ส ถุงก็จะพอง ทำให้เขาต้องเปลี่ยนถุงใหม่เรื่อยๆ เพราะถุงไม่สวยใครก็ไม่อยากซื้อ ซึ่งถุงมีราคาแพงมาก ถ้าต้องเปลี่ยนบ่อยๆ ก็เพิ่มต้นทุน อีกอย่างพอใส่น้ำแข็งถุงก็แตก ตรงนี้เลยเป็นผลพลอยได้ เพราะทีแรกเราคิดแค่ยับยั้งกรด แต่พอแบคทีเรียน้อยแก๊สมันก็น้อยลงด้วย” มายด์เล่าอย่างภาคภูมิใจ

ความผิดพลาดครั้งใหญ่ กับความฝันที่ยังไม่หายไป

ดูจากพัฒนาการของผลงานแล้ว กล่าวได้ว่าศิริส้มเป็นโปรเจ็คท์ที่มีความก้าวหน้าชนิดน่าจับตามอง ด้วยกระบวนการทดลองที่เป็นวิทยาศาสตร์ ความมุ่งมั่นตั้งใจในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ที่เป็นรูปธรรม มีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ โลโก้ และมีกลุ่มผู้ใช้รอซื้อจริง ขาดก็เพียงการขอมาตรฐานรับรองผลิตภัณฑ์เท่านั้น ความฝันของสมาชิกในทีมก็จะเป็นจริง

“ตอนค่ายสองโค้ชบอกว่า ผลงานของเราเป็นของกิน ต้องส่งขอ อย. ก็ได้ไปจ้างแล็บของห้องปฏิบัติการศูนย์วิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ระหว่างนั้นเราก็พัฒนาแพ็คเกจไปเรื่อยๆ” มายด์เล่า

ขณะที่โมขยายความต่อ “ตอนค่ายสามมีผลแล็บประมาณหนึ่งแล้ว พี่โบ้ (สิทธิชัย ชาติ นักวิชาการ งานพัฒนาเยาวชนและเขตพื้นที่ด้านไอที ฝ่ายสนับสนุนการวิจัย NECTEC และหัวหน้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่) ก็ให้ไปศึกษาวิธีการขอ อย. ว่าต้องผ่านอะไรบ้าง หนูก็ไปค้นหาในอินเทอร์เน็ตว่าผลิตภัณฑ์นี้สามารถยื่นประเภทไหนได้บ้าง เขาบอกว่ามันเป็นประเภทเจือปนในอาหาร ก็ไปดูว่าต้องผ่านเกณฑ์อะไรบ้าง ซึ่งมันเป็นเรื่องใหม่ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน แต่ก็อยากทำให้ได้ เพราะส่วนหนึ่งที่ชุมชนยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในผลงานเรา เพราะเรายังไม่มี อย. ติดข้างขวด”

รูปการณ์เหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในวันสุดท้ายก่อนที่จะปิดค่ายโครงการต่อกล้าฯ ทีมก็ได้รับข่าวร้ายที่ไม่มีใครคาดคิด

“กรรมการและทีมโค้ชเรียกให้เข้าไปคุยในห้องประชุม หนูก็ชิลล์ๆ เข้าไปนั่ง แต่ก็กะว่าต้องมีเรื่องแล้ว เพราะเห็นทุกคนหน้าตาจริงจังมาก แล้วเขาก็แจ้งว่าทางศูนย์นาโนเทคโนโลยีฯ แจ้งมาว่า สารที่เราใช้ มันใช้กับภายนอกได้ แต่ยังไม่มีผลวิจัยที่บอกว่าสามารถกินได้ คือไม่ได้บอกว่ากินไม่ได้ แต่ยังไม่มีผลวิจัยมารองรับว่ากินได้ มันก็เลยยังไม่ควรกิน” มายด์เล่าถึงข่าวร้ายที่ทีมได้รับ

“ตอนนั้นรู้สึกเสียใจ เพราะอีกนิดเดียวมันก็จะเสร็จแล้ว สุดท้ายโค้ชบอกว่าให้ลองเปลี่ยนจากอนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์เป็นสารอื่นที่สามารถกินได้ แต่ตอนนั้นเราก็แบบ… อุตส่าห์ทำแทบตาย” โมเล่าถึงอารมณ์ในตอนนั้น

ขึ้นชื่อว่าความพลาดหวัง เป็นภาวะที่ไม่มีใครอยากพบเจอ แต่สำหรับสมาชิกทั้งหกที่มีภูมิคุ้มกันเรื่องความผิดพลาดมาอย่างโชกโชน แม้จะเสียใจ แต่พวกเขายังไม่ท้อ

“เสียใจ แต่ไม่ท้อ มันน่าเสียดายแต่ก็ไม่ถึงกับสูญเปล่า ถ้าให้เทียบก็เหมือนจากที่ทำมาได้ 99 เปอร์เซ็นต์แล้ว อยู่ดีๆ ก็ถูกตัดออกไปเหลือแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ ก็คิดกันเสียว่าเหลืออีก 49 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องมาลองทำกันใหม่” โมเผยความรู้สึก

เพราะกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์สอนพวกเขาว่า ความผิดพลาดคือผลลัพธ์อย่างหนึ่งในการทดลอง แม้ความผิดพลาดครั้งล่าสุดนี้จะทำให้โครงงานของพวกเขาสะเทือน แต่ที่สุดแล้วมันก็คือความสำเร็จอย่างหนึ่งที่พบว่า อนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์ยังไม่ใช่สารที่สามารถใช้ในโปรเจ็คท์นี้ได้ในเวลานี้ และขั้นตอนต่อไปก็คือ การทดลองหาสารตัวใหม่มาใช้ทดแทน

“คิดว่าไม่เป็นไร แค่ทดลองใหม่ หนูก็กลับมาหาข้อมูลใหม่ เพราะหนูก็ชอบทำอะไรพวกนี้ อ่านไว้ประดับความรู้ ได้ประโยชน์ก็บอกต่อ ก็เจอว่าตัวที่ยับยั้งแบคทีเรียได้มันมีหลายสาร แต่ตอนแรกที่เราไม่เลือกแทนนิน (Tannin) เพราะแทนนินบริสุทธิ์ยังไม่มีขาย ต้องมาสกัดเอง เป็นเรื่องยุ่งยาก และแทนนินมีรสฝาด ถ้าใส่ในปลาส้มมันจะไม่เปรี้ยว มันจะกลายเป็นขม เราก็ต้องมาเทสต์เรื่องรสชาติ เรื่องประสิทธิภาพ และการทำซ้ำมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่างน้อยเรารู้แล้วว่าทำแบบนี้ เทคนิคนี้ มันก็จะไม่ยาก ก็แค่ทำใหม่” มายด์กล่าว

แม้จะฟังดูเป็นคำพูดง่ายๆ แต่เราก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักของความสัตย์จริงในคำพูดนั้น เพราะถึงที่สุด นอกจากความผิดพลาดและความสำเร็จจากการทดลองแล้ว สิ่งที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้ผลงานศิริส้มพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยมาก็คือความฝันของทั้งหก ที่อยากเห็นศิริส้มถูกพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายได้จริง

“เราอยากให้ผลงานพัฒนาไปถึงจนขอ อย. เสร็จแล้วขายได้ นั่นคือเป้าหมายสูงสุดของเรา” โมสำทับความฝันของทีม

เพราะกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์สอนพวกเขาว่า ความผิดพลาดคือผลลัพธ์อย่างหนึ่งในการทดลอง ความผิดพลาดในความหมายทางวิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่ความล้มเหลว หากแต่มีคุณค่าเทียบเท่าความสำเร็จชนิดหนึ่ง เพราะมันอาจนำไปสู่การค้นพบสิ่งใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน

นักวิทยาศาสตร์ผู้คุ้นชินกับความผิดพลาด จึงไม่ยี่หระอะไรนักเมื่อการทดลองสะดุดจากผลที่ไม่เป็นไปดังใจ หากแต่มองความผิดพลาดนั้นเป็นความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเปิดประตูแห่งการเรียนรู้ให้กว้างออกไป

เพื่อพบว่า มีนวัตกรรมที่ดีกว่ารออยู่หลังประตูบานนั้น…

Tags:

project based learningโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรรม

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Voice of New Gen
    กล้าดี D.I.Y: พาสองมือสร้างธรรมชาติ ปั้นกระถางต้นไม้รักษ์โลกด้วยตัวเอง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์ ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Creative learningCharacter building
    THE EXERCISE OF ELDERS: เครื่องบริหารกล้ามเนื้อผู้สูงวัยที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจของหลานๆ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์ ภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    INSHELTER ราวตากผ้าอัจฉริยะ นวัตกรรมที่เกิดจากความขี้เกียจ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    ไอเดียพลุ่งพล่านแต่ขัดสนด้านเทคนิค (ยากๆ) MAKER PLAYGROUND ช่วยได้!

    เรื่องและภาพ The Potential

PUBLIC SPACE …WHERE ARE YOU?
Space
10 July 2019

PUBLIC SPACE …WHERE ARE YOU?

เรื่องและภาพ SHHHH

หากลองหลับตา หลังจากอ่านคำว่า Public Space คุณนึกถึงอะไร?สวนสาธารณะที่มีหญ้าสีเขียว มีลมพัดเอื่อยๆพื้นที่โล่งกว้าง มีบ่อน้ำ ปกคลุมด้วยต้นไม้สูง มีเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อน 

หน้าตาของ Public Space จะเป็นอะไรก็ได้ หากประโยชน์ของมันคือเป็นพื้นสาธารณะที่ ‘ทุกคน’ สามารถเข้าถึงและเข้ามาใช้ร่วมกัน การมี Public Space ไม่ใช่แค่

การมีบรรยากาศดีๆ แต่มันคือ ‘ประสบการณ์’ ที่มอบสัมผัส (senses) โดยเชื่อมโยงตัวเรากับสิ่งรอบข้าง 

เด็ก: ได้วิ่งเล่นและเรียนรู้ ในพื้นที่ปลอดภัย ส่งเสริมพัฒนาการตามวัยผู้ใหญ่: ได้พักผ่อน พบปะ ออกกำลังกาย 

จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ถ้าเราออกแบบเมือง โดยไม่คำนึงถึงพื้นที่สาธารณะ  

เพราะท้ายที่สุด Public Space จะอยู่ในได้แค่ในจิตนาการ

Tags:

generation gappublic spaceการเล่นวัยรุ่นพลเมือง

Author & Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Learning Theory
    พื้นที่ที่ 5 (THE 5TH SPACE) สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อค้นพบศักยภาพและเปลี่ยนแปลงสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Learning Theory
    The 5th space: พื้นที่ที่ 5 ที่คนรุ่นใหม่สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า “ฉันเป็นใคร มีศักยภาพอะไร”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    เมื่อสังคมก้มหน้าฆ่าคนที่เรารักให้กลายเป็นอากาศ : นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์
  • ‘ผิดเป็นครู’ เรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทุกคนสามารถลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าได้เสมอ: รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ
  • Gen Z กับ แชทบอท: เพราะโลกเปลี่ยวเหงา เราจึงไขว่คว้าความสัมพันธ์เสมือนจริง
  • The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา
  • ‘เพราะเด็กในวันนี้คือคนขับเคลื่อนประเทศในวันหน้า’ มายด์เซ็ตที่ถูกต้องของระบบการศึกษานอร์เวย์: ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel