Skip to content
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Transformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent Brain
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)

Year: 2019

3 ขั้นตอนเช็คลูก ก่อนไปหาจิตแพทย์/นักจิตวิทยา
Family Psychology
23 August 2019

3 ขั้นตอนเช็คลูก ก่อนไปหาจิตแพทย์/นักจิตวิทยา

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

การไปหาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ‘เม’ เมริษา ยอดมณฑป นักจิตวิทยาเด็กและครอบครัว เจ้าของเพจตามใจนักจิตวิทยา ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ถ้าแม่(และพ่อ)ไม่ไหว หาตัวช่วยได้” แต่ถ้าบ้านไหนยังก้ำๆ กึ่งๆ คิดไม่ตกว่าจะไปหาหรือไม่ดี มี 3 วิธีที่คุณเม แนะนำให้คนในครอบครัวเช็คให้ชัวร์ก่อนมาหา 1.หาสาเหตุว่าทำไมลูกถึงไม่ฟังเรา เพราะเรา(พ่อแม่) คาดหวังเกินวัยไปหรือเปล่า 2.เช็คความสัมพันธ์ของเรากับลูกว่าช่วงนี้เป็นอย่างไร มีช่วงเวลาที่ดีมากพอไหม ถ้าไม่ ให้รีบสร้าง เพราะถ้าเด็กรู้สึกรักหรือรู้สึกดีกับใคร เขาจะฟัง 3.เช็คอาการทางกายว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ เพราะเด็กที่พัฒนาการล่าช้ามักประสบปัญหาในชีวิตประจำวัน “ถ้าเช็คสามข้อนี้แล้วยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ พามาปรึกษานักจิตวิทยา/จิตแพทย์ได้ แต่ส่วนใหญ่ถ้าแก้แค่ข้อแรกกับข้อสองได้ ก็โอเคแล้ว”

อ่านบทความ เมริษา ยอดมณฑป: ‘นักจิตวิทยา’ เพื่อนแปลกหน้า ผู้เคียงข้างและรับฟัง ฉบับเต็มได้ ที่นี่

Tags:

ปฐมวัยจิตวิทยาพ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family Psychology
    คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง
Grit
23 August 2019

5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • ตั้งเป้าหมายทีไรไม่เคยไปถึงสักที มีอะไรมาขัดขวางบ้าง หนึ่งในนั้นคือ การเอาแต่คิดถึงเป้าหมายในภาพกว้างและความสำเร็จในระยะยาว โดยมองข้ามการตั้งเป้าจากการทำเรื่องเล็กๆ ทีละขั้นตอนที่นำไปสู่เป้าหมายนั้น
  • บทความชิ้นนี้เผย สูตรการเปลี่ยนเป้าหมายให้กลายเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้ คือ การเขียนเป้าหมาย ประกาศเป้าหมายให้ผู้อื่นรับรู้ และการลงมือทำอย่างมุ่งมั่น
  • และทุกเป้าหมายควรเริ่มต้นจากการเขียนลงบนกระดาษ เก็บกระดาษนั้นติดตัวเอาไว้ แล้วหมั่นหยิบขึ้นมาอ่านทบทวน

ผ่านมาเกินครึ่งปีแล้ว อะไรเป็นเป้าหมายที่คุณอยากทำให้ได้ในปีนี้?

แล้วคุณมีแผนการที่จะทำให้มันเกิดขึ้นไหม?

บทความวิชาการโดยสถาบันเทคโนโลยีเมอร์ด็อค (Murdoch Institute of Technology: MIT) แห่งมหาวิทยาลัยเมอร์ด็อค มหาวิทยาลัยเก่าแก่อันดับสองของเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย กล่าวถึง 5 ขั้นตอน เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเรียน (ซึ่งสามารถนำมาใช้กับการทำงานและเป้าหมายอื่นๆ ในชีวิตได้) ย้ำชัดว่า การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (strategic planning) และการตั้งเป้าหมาย (goal setting) สามารถสร้างผลลัพธ์ความสำเร็จที่แตกต่างได้อย่างมาก

วิธีคิดนี้อ้างอิงงานวิจัย ดอกเตอร์ เกล แมทธิวส์ (Gail Matthews) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโดมินิกันแห่งแคลิฟอร์เนีย (Dominican University of California)

แมทธิวส์ คัดเลือกผู้เข้าร่วมสำรวจทั้งหมด 267 คนจากหลากหลายอาชีพ ทั้งในกลุ่มธุรกิจ องค์กร และเครือข่ายต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ ทั้งเบลเยียม อังกฤษ อินเดีย ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ยกตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการ นักการศึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ศิลปิน ทนายความ พนักงานธนาคาร นักการตลาด ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ผู้จัดการ รองประธานบริษัท และพนักงานองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เป็นต้น

ผลศึกษาทำให้พบ 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้คนคนหนึ่งบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้ ได้แก่
หนึ่ง การเขียนเป้าหมาย (writing goals)
สอง การกระทำที่มุ่งมั่นต่อเป้าหมาย (committing to goal-directed actions)
และ สาม ความรับผิดชอบต่อการกระทำ/การทำงานเหล่านั้น (accountability for those actions)

จากกลุ่มตัวอย่างผู้เข้าร่วม ผู้เข้าร่วมที่เขียนเป้าหมาย บอกเล่าเป้าหมายให้เพื่อนได้รับรู้ ลงมือทำตามแผน และส่งรายงานอัพเดทเพื่อรายงานความก้าวหน้าประจำสัปดาห์ให้กับเพื่อน มีอัตราความสำเร็จสูงกว่าผู้เข้าร่วมที่ไม่เขียนเป้าหมาย และเก็บเป้าหมายไว้เงียบๆ กับตัวโดยไม่บอกให้ใครรับรู้

ด้วยเหตุนี้ สูตรการเปลี่ยนเป้าหมายให้กลายเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้ของแมทธิวส์ คือ การเขียนเป้าหมาย การประกาศเป้าหมายให้ผู้อื่นรับรู้ และการลงมือทำอย่างมุ่งมั่น ด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มความสามารถ

กระบวนการทั้งหมดจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้คนคนหนึ่งลงมือทำสิ่งที่ตั้งใจได้อย่างแน่วแน่ ไม่ไขว้เขว และไม่ยอมแพ้ระหว่างทาง

จากการเผยแพร่ข้อมูลอย่างเป็นทางการครั้งแรกเดือนพฤษภาคม ปี 2015 ในงานประชุมนานาชาติประจำปีครั้งที่ 9 โดยหน่วยงานวิจัยจิตวิทยาแห่งสถาบันเอเธนส์เพื่อการศึกษาและการวิจัย (Psychology Research Unit of Athens Institute for Education and Research: ATINER) ผลการศึกษาดังกล่าว ได้รับความสนใจและถูกตีแผ่ในสื่อหลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็น The International Business Times, Forbes, Huffington Post, The Lexington Dispatch, The Daily Herald และ The Albuquerque Journal

ต่อไปนี้เป็น 5 ขั้นตอนที่สถาบันเทคโนโลยีเมอร์ด็อค (MIT) ให้ไว้เป็นแนวทาง สามารถนำไปทดลองใช้กับการวางแผนการเรียนและการทำงานเพื่อเพิ่มศักยภาพของตัวเองได้

1. รู้ถึงความแตกต่างของเป้าหมายระยะยาว (long-term goals) และวัตถุประสงค์ระยะสั้น (short-term objectives)

เรามักนึกถึงเป้าหมายในภาพกว้างและความสำเร็จในระยะยาว โดยมองข้ามการตั้งเป้าจากการทำเรื่องเล็กๆ ทีละขั้นตอนที่นำไปสู่เป้าหมายนั้น

วัตถุประสงค์ระยะสั้น คือ แผนการที่จะนำไปสู่เป้าหมายในระยะยาว ซึ่งถ้าเราไม่ทำเรื่องเล็กๆ ให้เกิดขึ้นทีละนิด ก็ไม่มีทางที่จะสร้างสรรค์ ทำให้เรื่องใหญ่ๆ หรือทำเป้าหมายให้เกิดขึ้นจริงได้

The Potential เคยพูดถึงเรื่องนี้ไปแล้วจากประสบการณ์ชีวิตของ สตีเฟน ดูนิเยร์

การวางแผนการเรียนหรือการทำงานก็ไม่ต่างกัน ตั้งต้นจากการถามคำถามกับตัวเองว่า

“อะไรที่เราจำเป็นต้องทำในทุกๆ วันหรือทุกสัปดาห์เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น?”

“ฉันอยากได้เกรดที่ดีขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ฉันจะต้องติดตามงานที่ได้รับมอบหมาย แล้วบริหารจัดสรรเวลาให้ดีขึ้นเพื่อทำงานเหล่านั้นออกมาให้ได้” จอร์ชลิน หว่อง (Joshlyn Wong) นักศึกษา MIT ชาวมาเลเซีย กล่าว

ขั้นตอนต่อไปสำหรับหว่อง คือ การตั้งเป้าระยะสั้นให้เฉพาะเจาะจงขึ้น เช่น การแบ่งเวลาเพิ่มวันละกี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อลงมือทำงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น

2. ถ้าไม่ใช่ SMART Goal นั่นก็อาจไม่ใช่เป้าหมายที่ใช่

เครื่องมือนี้เป็นเทคนิคการพิสูจน์ความล้มเหลวที่ใช้มากว่า 40 ปี แต่ยังคงมีประสิทธิภาพในการวัดผลที่เชื่อถือได้

S.M.A.R.T. ย่อมาจาก Specific, Measurable, Attainable, Relevant และ Timely

  • Specific อะไรเป็นเป้าหมายเฉพาะเจาะจงที่คุณอยากทำให้สำเร็จ และทำไม

ยิ่งเจาะจงได้มาก โอกาสที่จะทำให้เป็นจริงได้ก็ยิ่งมีมาก

ลองเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสองความคิดนี้

“ฉันอยากรวยเป็นเศรษฐี”

“ฉันต้องการมีรายได้อย่างน้อย 5 หมื่นบาทต่อเดือน ภายในเวลา 5 ปีต่อจากนี้ จากการสร้างผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์”

เมื่อเทียบแล้วความคิดแบบที่สองมีความชัดเจนและเห็นแนวทางการลงมือทำให้บรรลุเป้าหมายได้มากกว่า

ชุดคำถามสำหรับการวางเป้าหมายให้เฉพาะเจาะจง คือ

อะไรที่อยากทำให้สำเร็จ? ที่ไหน? อย่างไร? เมื่อไร? กับใคร?

อะไรเป็นเงื่อนไขหรือข้อจำกัด? ทำไมถึงอยากทำสิ่งนี้?

และ นอกจากแผนการหลักแล้วยังมีแผนสำรองอะไรอีกบ้างที่พอจะเป็นทางเลือกได้?

  • Measurable มีหลักเกณฑ์การประเมินหรือการวัดอย่างไรว่าคุณถึงเป้าหมายนั้นแล้ว

จะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าทำตามเป้าหมายนั้นได้สำเร็จ

อย่าลืมเรื่องการวางแผนลงมือทำงานเป็นแผนย่อย แล้วเก็บสะสมความสำเร็จระหว่างทาง เพราะสัญชาตญาณของมนุษย์ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้

ยกตัวอย่างเช่น เป้าหมายมีความสุขมากขึ้น เป้าหมายนี้ไม่สามารถจับต้องได้

จะพยายามไม่สูบบุหรี่ เพราะอยากรักษาสุขภาพ และเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หันมากินผักมากขึ้น 2 มื้อต่อวัน ทานไขมันให้น้อยลง

อย่างหลังเป็นหลักเกณฑ์หรือแบบแผนการวัดที่จับต้องได้ ยิ่งเมื่อทำได้ สมองของเราจะยอมรับให้เดินหน้าทำต่อไป เพราะฉะนั้นความสำเร็จในแต่ละขั้นก็อยู่ไม่ไกล

  • Attainable ความเป็นไปได้ในการทำสิ่งนั้นซึ่งคุณยอมรับได้ที่จะเสียเวลาและลงทุนกับมัน

ข้อนี้ไม่ได้ห้ามให้เราคิดทำการใหญ่ แต่นั่นต้องมาจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบแล้วว่า เรามีความสามารถ มีทรัพยากร มีเงินทุนหรือมีคนที่จะช่วยสนับสนุนในแต่ละขั้นตอน

  • Relevant สิ่งนั้นมันใช่สำหรับคุณจริงๆ ใช่ไหม

คำถามสำคัญ คือ ทำไมคุณถึงอยากทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ? และ คุณทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร?

  • Timely กำหนดตารางเวลาเพื่อลงมือทำ

เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามาก!

การกำหนดเวลาจะทำให้เป้าหมายเดินหน้าต่อ จากเป้าหมายย่อยหนึ่งไปยังอีกเป้าหมายหนึ่ง เหมือนอย่างที่เรามักบอกว่า “งานจะเดินก็ต่อเมื่อไฟลนก้น!” ฟังดูเหมือนขาดความรับผิดชอบแต่นี่ก็เป็นเรื่องจริงในทางปฏิบัติ การกำหนดตารางเวลาจึงสำคัญ

กำหนดเวลาที่เป็นไปได้จริงและมีความยืดหยุ่นโดยไม่สร้างความเสียหาย เพราะอาจมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นได้เสมอ การเข้มงวดกับเวลามากเกินไปอาจจำกัดกรอบความคิดและสร้างความกดดัน จนทำให้ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาหรือคิดสร้างสรรค์ได้อย่างที่ควรจะเป็น

ความยืดหยุ่นเรื่องเวลา แตกต่างจากการผัดวันประกันพรุ่ง เพราะอย่างหลังสะท้อนถึงความไม่รับผิดชอบและไม่มีวินัย แต่การเผื่อเวลาไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เป็นแผนสำรองอย่างหนึ่งและเป็นเรื่องของทักษะการบริหารจัดการเวลาที่ดี

“เป้าหมายของฉันคือคะแนนที่ดีขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ฉันจะต้องมั่นใจว่าฉันแบ่งเวลาสำหรับการทบทวนบทเรียนทุกสัปดาห์ และฉันจะไม่มาอดหลับอดนอนอ่านหนังสือแค่ตอนก่อนสอบอีก” มิเคลา วิลลาโม (Mikaela Villamo) นักศึกษา MIT ชาวฟิลิปปินส์ กล่าว

3. การตั้งเป้าหมายต้องคำนึงถึงสมดุลชีวิตระหว่างการเรียน การทำงานและสุขภาพด้วย

นักเรียนส่วนใหญ่มักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตการเป็นนักเรียน คือ การสร้างสมดุลให้กับภาระและหน้าที่ที่แตกต่างกันไปตามความรับผิดชอบ

นักเรียน นักศึกษาส่วนหนึ่งนอกจากหน้าที่เรียน และภาระจากงานที่ได้รับมอบหมายในห้องเรียนแล้ว พวกเขายังต้องทำงานพาร์ทไทม์ส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือ หลายคนอาศัยอยู่ในหอพัก ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ หรืออาจแยกมาอยู่ดูแลตัวเอง การสร้างสมดุลในชีวิตจึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง

แม้ประสบการณ์ทำงานตั้งแต่วัยเรียนจะเป็นใบเบิกทางที่ดี สะท้อนความพยายามและความมุ่งมั่น แต่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ หากทำงานหนักจนเผลอหลับในห้องเรียนอยู่บ่อยๆ

ข้อสำคัญคืออย่าตั้งเป้าหมายเกินจริง ที่จะยิ่งสร้างความเครียด ความกดดันให้กับตัวเอง ทั้งในเรื่องสุขภาพ การเงินและเวลา

“ปีหน้าฉันมีเป้าหมายว่าจะถ่ายโอนวิชาเรียนจากสัตวศาสตร์ไปเป็นสัตวแพทย์ ซึ่งมีการแข่งขันสูง แต่ฉันจะพยายามอย่างดีที่สุด ฉันจะแบ่งเวลามาทุ่มเทกับการเรียนมากขึ้น เพื่อให้ได้ผลการเรียนที่ดีขึ้น จะหาประสบการณ์ทำงานจากการเป็นอาสาสมัครในฟาร์มหรือคลินิกสัตว์ต่างๆ” คี เฮง ยวง (Ki Heng Yeung) นักศึกษา MIT ชาวฮ่องกง กล่าว

4. มีความรับผิดชอบต่อเป้าหมาย

ในทางจิตวิทยาเชื่อว่าเป้าหมายจะมีพลังและมีความผูกพันกับเจ้าของเป้าหมาย ก็ต่อเมื่อเราบันทึก (เขียน) และบอกให้คนอื่นได้รับรู้ เพราะเมื่อประกาศออกไปแล้ว เราต้องรับผิดชอบต่อสิ่งนั้นและรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราพูด (accountability)

เพื่อนและครอบครัวมีส่วนช่วยได้ เพราะเมื่อเราบอกออกไป พวกเขาเป็นผู้รับสารที่รับรู้เป้าหมายที่วางไว้ ทำให้เรามีแรงจูงใจที่จะทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ

5. หมั่นตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอว่า “มาถูกทางแล้ว”

สิ่งที่สำคัญกว่าการคิด คือ คิดแล้วลงมือทำ แต่เมื่อทำแล้วสิ่งสำคัญต่อจากนั้น คือ การลงมือทำอย่างมุ่งมั่นไม่ไขว้เขว เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อตรวจสอบตัวเองกับแผนที่บันทึกไว้อย่างต่อเนื่อง

กลับไปที่ข้อที่ 1 ลองนั่งลงแล้วทบทวนตัวเองว่า…

เราได้บรรลุสิ่งที่วางแผนลงมือทำในระยะสั้น (short-term objectives) เพื่อไปสู่เป้าหมายระยะยาว (long-term goals) ตามที่กำหนดไว้หรือไม่?

เราทำตามแผนได้ดีหรือมีข้อบกพร่องตรงไหน เพราะอะไร? หากไม่สามารถทำตามแผนที่วางไว้ อะไรเป็นเหตุผลหันเหความสนใจของเรา?

มีอะไรในแผนที่เราควรปรับให้สอดคล้องกับความเป็นจริงไหม?

เราสามารถขอความช่วยเหลือหรือขอคำปรึกษาจากใครได้บ้าง?

วิธีคิดเรื่องการวางเป้าหมายตามแนวทางนี้สอดคล้องกับที่นักสร้างแรงบันดาลใจและโค้ชระดับโลกเห็นพ้องต้องกัน ไม่ว่าจะเป็น แอนโธนี รอบบินส์ (Anthony Robbins), เลส บราวน์ (Les Brown), จิม โรห์น (Jim Rohn), บ็อบ พรอคเตอร์ (Bob Proctor), ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) และ ซิก ซิกลาร์ (Zig Ziglar)

พวกเขายืนยันว่าความสำเร็จในเป้าหมายใดๆ ก็ตาม เริ่มต้นจากการเขียนลงบนกระดาษ เก็บกระดาษนั้นติดตัวเอาไว้ แล้วหมั่นหยิบขึ้นมาอ่านทบทวน เหมือนเป็นการย้ำบอกตัวเอง และเพื่อให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันอยู่บนเส้นทางเดียวกับการเดินไปสู่เป้าหมาย

“การตั้งเป้าหมายเป็นขั้นตอนแรกของการทำสิ่งที่มองไม่เห็นให้ปรากฏขึ้นได้” แอนโธนี รอบบินส์

“จงตั้งเป้าหมายไว้ที่ดวงจันทร์ เพราะถึงแม้คุณจะไปไม่ถึง คุณก็ยังอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว” เลส บราวน์

“จดทุกไอเดียของคุณ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่” ริชาร์ด แบรนสัน

อ้างอิง
5 Steps to Develop Study Goals for Success in 2019
SMART goals
wabisabilearning
Why 3% of Harvard MBAs Make Ten Times as Much as the Other 97% Combined

Tags:

วัยรุ่นคาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsGritแรงจูงใจในตัวเอง(Self motivation)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • Grit
    S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • MovieGrit
    วิลเลียม คัมแควมบา: ความมุ่งมั่นและกัดไม่ปล่อยของเด็กชายที่ผลิตกังหันลมจากกองขยะ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Life Long Learning
    คุณจะนอนเล่นมือถือบนโซฟา หรือลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปหาเป้าหมายของตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

พลอยแพรว: ตกมาจากศูนย์กลางจักรวาล ลุกขึ้นมาทำงานและได้แปรงฟันทุกๆ เช้า
Life classroom
22 August 2019

พลอยแพรว: ตกมาจากศูนย์กลางจักรวาล ลุกขึ้นมาทำงานและได้แปรงฟันทุกๆ เช้า

เรื่อง ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • เป็นเรื่องราวของหญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ผ่านจุดเปลี่ยนเร็วและเยอะกว่าคนวัยเดียวกัน ทำให้พบศักยภาพตัวเองที่ไม่เคยคิดว่าจะมี
  • จุดเปลี่ยนของ พลอยแพรว-ณิชา พัฒนเลิศพันธ์ นอกจากจะช่วยค้นพบศักยภาพ ยังพาก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง เปลี่ยนจากเด็กสาวที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล เป็นคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นและใช้การประนีประนอมเป็นหัวใจของงานปัจจุบัน
  • “สำคัญคืออย่ากดดันตัวเองว่าจะต้องดีขึ้นเดี๋ยวนั้น และต่อให้เก่งแค่ไหน มนุษย์ก็แก้ปัญหาไม่ได้ทุกเรื่อง แต่เราเผชิญหน้าและค่อยๆ สะสางมันอย่างไม่จำเป็นต้องตีโพยตีพายได้” พลอยแพรว ว่าไว้อย่างนั้น
เรื่อง: นลินี มาลีญากุล

ไม่มากก็น้อย แม้จะเป็นชีวิตที่ดูสามัญและเรียบง่ายที่สุด ก็ล้วนต้องผ่านจุดเปลี่ยนเล็กบ้างใหญ่บ้าง และในจำนวนครั้งที่ต่างกันไปตามประสา

และไม่มากก็น้อย แม้จะเป็นชีวิตที่ดูสามัญและเรียบง่ายที่สุด บทพายุจะโหมกระหน่ำเข้ามา มันก็พร้อมจะสาดเข้ามาไม่ยั้ง รู้ตัวอีกทีเราก็อาจจะบอบช้ำ โดดเดี่ยว และร้องตะโกนแสนเงียบอยู่ในใจว่า ชีวิตจะเอาอะไรจากกูอีกวะ แถมต่อให้คุ้นเคยกับความปั่นป่วนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็ใช่ว่าบางคนจะรับมือกับมันได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรเลย

ไม่ต่างจาก พลอยแพรว-ณิชา พัฒนเลิศพันธ์ ที่ต่อให้พูดย้ำแล้วย้ำอีกระหว่างบทสนทนาถึงภาพจำของวันที่ไม่มีเงินกระทั่งจะจ่ายค่าแปรงสีฟันในราคา 15 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในร้านสะดวกซื้อตอนนั้น แต่เธอก็ยังยืนยันว่า ตราบใดที่ยังตื่นเช้าขึ้นมา เราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าชีวิตจะเจอเรื่องอะไรที่เป็นเรื่องที่สุดของที่สุดได้อีกบ้าง

สำคัญคืออย่ากดดันตัวเองว่าจะต้องดีขึ้นเดี๋ยวนั้น และต่อให้เก่งแค่ไหน มนุษย์ก็แก้ปัญหาไม่ได้ทุกเรื่อง

แต่เราเผชิญหน้าและค่อยๆ สะสางมันอย่างไม่จำเป็นต้องตีโพยตีพายได้

พลอยแพรว-ณิชา พัฒนเลิศพันธ์

จุดเปลี่ยนครั้งที่ 1: พ่อแม่เลิกกัน แต่มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

สำหรับคนส่วนหนึ่งที่เติบโตมากับชุดความคิดของความสมบูรณ์แบบของครอบครัว อย่างน้อยก็ต้องมีพ่อแม่ลูก จูงมือกันไปเที่ยววันหยุด ถ้าเป็นครอบครัวใหญ่หน่อย อย่างน้อยเราก็จะมีมายาคติภาพทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากินข้าว แต่สำหรับพลอยแพรวที่พ่อกับแม่อยู่คนละบ้าน แม่คือภรรยาคนที่สาม และหลังจากแยกย้ายชีวิตคู่ไปคนละทาง พ่อเลือกให้พลอยแพรวอาศัยอยู่กับเขา ในบ้านที่มีภรรยาคนแรกและลูกๆ อีกหลายคนของพ่ออยู่ร่วมด้วย

แต่เธอก็ไม่เคยคิดว่าครอบครัวที่ต้องขยายความยาวเหยียดขนาดนี้มีปัญหาอะไร

“แต่เด็กมา เราไม่เคยรู้เลยว่าเขาเลิกกันหรือว่ายังไง เพราะว่าเราต้องไปทั้งสองบ้าน สลับไปสลับมา ศุกร์เสาร์อาทิตย์พ่อจะพาไปหาแม่ที่อยู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าคืออะไร แต่ว่าก็สนุกดีนะ มีสองที่ให้ไป เด็กแหละ มันได้ออกไปข้างนอกเนาะ ก็สนุกดีนะ”

จนเข้าสู่ชั้นอนุบาล 3 ซึ่งอายุก็น่าจะอยู่ราวๆ 5-6 ขวบ พลอยแพรวถึงเพิ่งได้รับคำชี้แจงจากพ่อว่าความรักและครอบครัวที่สร้างมานั้นจบลงไปแล้ว

“โตมาสักพักหนึ่งถึงได้รู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน จากที่ไม่เคยคิดอะไรเลยเพราะสถานการณ์ตอนนั้นก็ยังไปๆ มาๆ ทั้งสองบ้าน ไม่ได้รู้สึกอะไร เราว่ามันเริ่มรู้สึกแปลกแยกตอนเมื่อมีคนมาถามเราว่า อ้าว วันนี้ทำไมป๊าแกมาส่ง แต่อีกวันทำไมแม่แกมาส่ง เราก็ถามป๊า ป๊าก็ถามกลับว่าเราโอเคหรือเปล่า รู้สึกว่าเขาดูแลไม่ดีหรือเปล่า ถามตอนเราอยู่ในช่วงอนุบาล 3 หรือ ป.1 นี่แหละ เราก็งงๆ ก็โอเคมั้งป๊า ก็ยังมีข้าวกิน มีเพื่อนเล่น เด็กอะ มันไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น เพราะว่าภรรยาคนแรกของป๊าก็ดีกับเรามากๆ เราจึงไม่ได้ตั้งคำถามอะไร”

“แต่ก็จะมีสะกิดใจ เวลาผู้ใหญ่ชอบมาถามว่าพ่อแม่หย่ากันเหรอ เราว่าเป็นเพราะคนนอกที่ทำให้เด็กรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เพราะว่าจริงๆ เราไม่ได้รู้สึกอะไรนะ เราโอเคกับสิ่งที่เป็น”

จุดเปลี่ยนที่ 2: ลาออกจากมหาวิทยาลัย ไม่มีเงินจ่ายค่าแปรงสีฟันราคา 15 บาท

ในวัยกำลังเป็นดอกไม้บาน ใครๆ ก็อยากหาอากาศและแสงแดดที่เหมาะสมกับการเติบโต พลอยแพรวสอบติดคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่เนื่องจากเป็นลูกคนสุดท้อง พ่อทั้งหวงและห่วงมาแต่เด็ก สุดท้ายเธอจึงเข้าเรียน ปี 1 ด้านแฟชั่น ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งก็ยังคงเป็นศาสตร์ที่เธอสนุกกับมันอยู่ดี

เริ่มเรียนไปได้ไม่นาน พ่อที่มีงานหนักชนิดไม่ยอมพักผ่อนและความป่วยไข้เป็นเพื่อนคู่กายมาสักพักแล้วก็เริ่มมีอาการหนักขึ้น โรคประจำตัวที่เพิ่มขึ้นหมายถึงค่ารักษาพยาบาลที่มากขึ้นไปด้วยเช่นกัน ตัดเรื่องความปวดหัวต่อทรัพย์สินและมรดกที่ต้องถูกแบ่งเป็นหลายก้อนตามจำนวนภรรยาและลูกของพ่อออกไปก่อน สิ่งที่เธอพบว่าเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ ก็คือ “ทำไมวันนี้พ่อไม่ให้ค่าขนม?”

“ช่วงที่พ่อป่วยมันก็กระทบเยอะเหมือนกัน เพราะหนึ่งเราเรียนแฟชั่นที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ สองคือเราไม่เคยลำบากเลยเว้ย อยู่บ้านก็จะมีคนทำนู่นทำนี่ให้ตลอด พ่อก็เอาใจ พอพ่อไม่ใช่คนที่ลุกขึ้นมาทำอะไรได้มากอีกต่อไป มันมีเรื่องทรัพย์สินที่ต้องจัดการแบ่งให้เท่าๆ กันทุกฝ่าย จากปกติที่พ่อเป็นคนจ่ายค่าขนม ค่าดูแลเรามาตลอด มันก็ค่อยๆ หายไป เขาก็ดูอ๊องๆ งงๆ ป่วยมาเยอะแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ต้องถามเขายังไงว่าค่าขนมวันนี้ไม่ได้เหรอ พอวันที่เขาไม่มีให้ เราก็แบบ ฉิบหายแล้ว ทำยังไงดีวะ ต้องไปขอใคร”

มองจากคนนอก พ่อดูจะสร้างปัญหาให้เธอโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเยอะพอสมควร แต่พลอยแพรวยืนยันว่า ไม่เคยโกรธพ่อไม่ว่าจะเรื่องอะไร เพราะว่าพ่อทำหน้าที่ของคนเป็นพ่อได้ดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้ และดูแลทุกคนในบ้านอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนเรื่องภรรยาเยอะลูกมาก นั่นก็เป็นเรื่องของพ่อ ที่เธอไม่ก้าวก่ายและไม่ได้มองว่าเสียหายอะไรเลย

จนเงินเริ่มร่อยหรอ พี่น้องแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ กดดันให้เธอเลือกข้างเพื่อแบ่งสมบัติ พลอยแพรวที่ตอนนั้นการเงินเริ่มไม่มั่นคงนักจึงตัดสินใจลาออกจาก ม.กรุงเทพ แล้วกำเงินเก็บที่ได้มาจากค่าขนมของพ่อไปหาหอพักอยู่ และหางาน part-time ทำเพื่อให้มีรายได้ เมื่อถามว่าเสียดายไหม เด็กสาวไม่น่าจะคิดอยากออกจากการเรียนมหาวิทยาลัยกันได้ง่ายๆ พลอยตอบเต็มเสียงว่า “เสียดายค่ะ”

“เสียดาย ไม่บอกใครด้วย ไม่บอกเพื่อน เราเป็นคนมีอีโก้คนหนึ่งอะ คิดว่าทำไมต้องมาลำบากอะไรขนาดนี้ เพราะอยากได้อะไรพ่อก็หามาให้ ช่วงนั้นเราก็เลยหายไปเลย หายไปจากสังคม หายไปจากทุกอย่าง หายจากคนรอบข้าง หายจากเพื่อนมัธยม เพราะเราไม่อยากให้ใครรู้ว่าวันหนึ่งเราต้องมานั่งทำนู่นทำนี่เอง”

ไม่ใช่แค่นั้น ตอนเลือกลาออกจากระดับอุดมศึกษา เธอยังค้างจ่ายค่าเช่าหออยู่ 2-3 งวด แม้สุดท้ายจะจัดการได้ด้วยความช่วยเหลือของคนในครอบครัว แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอเห็นว่า ชีวิตจากนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

“เราออกมาทำงานเพื่อให้มีเงินใช้ก่อน เพราะตอนนั้นเราจำได้ว่าเราไปเฝ้าป๊าที่โรงพยาบาล ยังไม่ได้เช็คว่าตัวเองมีเงินเก็บเท่าไหร่ยังไงบ้าง แล้วตอนนั้นลืมเอาแปรงสีฟันแพ็คไปนอนโรงพยาบาลด้วย ก็จะไปซื้อแปรง แปรงอันละ 15 บาทถูกสุดแล้วในร้าน แต่ตอนนั้นมันไม่มีเงินเลย ต้องยืมพยาบาล เลยจำตอนนั้นได้แม่น ทำให้ต้องออกมาหาเงินให้ตัวเองใช้ ให้ตัวเองมีข้าวกิน มีเงินจ่ายค่าหอ”

จุดเปลี่ยนที่ 3: เพื่อนดันมาร้านกาแฟที่ทำงานอยู่

พลอยแพรวยอมรับว่าตัวเองเคยเป็นคุณหนูนิสัยไม่ดี เอาแต่ใจ อยากได้ต้องได้ ทำอะไรเองไม่ค่อยเป็น จนวันที่พ่อมาจากเธอไปจริงๆ และพี่น้องเริ่มแบ่งฝ่าย หญิงสาวเริ่มตั้งคำถามกับความเชื่อใจและคุณค่าในมนุษย์ จนค้นพบว่าตัวเอง “โดดเดี่ยวจังเลย อยากคุยกับใครสักคนที่สนิทใจ อยากมีครอบครัวให้คุย แต่ก็ไม่รู้ว่าครอบครัวที่ดีเป็นยังไง เพราะว่ามันหายไปแล้ว”

แต่โดดเดี่ยวยังไง เศร้าขนาดไหน จะต่อว่าทุนนิยมก็ไม่ได้ เพราะข้อเท็จจริงก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ว่า หากไม่ทำงาน วันพรุ่งนี้อาจไม่มีข้าวกิน

“เราอายเพราะเราไม่เคยลำบากเลย ตอนต้องทำงานพาร์ทไทม์ก็ไปเลือกที่ไกลๆ เพราะไม่อยากให้ใครมาเจอ ตอนพ่อเสียแล้วเรากลับมาอยู่ที่บ้าน แล้วในระยะใกล้ๆ กันมันมีร้านกาแฟเปิดอยู่ ก็ทำไป แต่วันหนึ่งเพื่อนสมัยมัธยมเดินเข้ามาเจอ เพราะร้านมันอยู่ใกล้โรงเรียนมากๆ แล้วทุกคนกลับมาโรงเรียนกันบ่อยอยู่แล้ว ไม่ก็มาทำอะไรแถวนั้นกัน เราตกใจมาก เห็นเพื่อนก่อนแล้ว ก็คิดในใจว่าจะหลบยังไงดี ก็หันหลังไปเปิดตู้เย็นจัดของ ก็ดันเดินเข้ามาสั่งอีก แล้วทั้งร้านมีเราคนเดียว ก็ต้องหันมา หวัดดี ทุกคนก็ตกใจ ชวนเราคุยว่าทำอะไรอยู่ แล้วก็ได้รู้ว่าไม่ได้เรียนต่อเหรอ โอเคไหม ตอนนั้นก็เริ่มอยู่ไม่สุขละ ก็เริ่มเล่า ร้องไห้ไปนิดหนึ่งแหละ รู้สึกพ่ายแพ้

“เราหนีมาตลอด หลบมาได้ 4-5 เดือน แล้วมาตกม้าตาย สุดท้ายก็ต้องเจออยู่ดี แล้วเพื่อนก็มาถามในสิ่งที่กระทบใจเรา เราไม่ได้อยากเล่าให้ใครฟัง แต่ว่าจุดนั้นมันเหมือนว่าต้องเล่าออกมา ถึงจะเล่าไปสุดแต่เราก็รู้สึกพ่ายแพ้ว่ะ จากนั้นก็เฟล กดดันตลอดว่าจะเจอใครอีกไหม พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่เคยไป ถ้าเจอคนรู้จักเดินเข้ามาถามจะทำยังไง ตอบว่าหายไปไหน ไปเรียนซัมเมอร์มาอย่างนี้เหรอ หรือจะโกหก จะพูดอะไรดี ไม่รู้ไปหมด ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้ตัวเองโอเคที่สุด”

แต่ความมหัศจรรย์ของมนุษย์คือการเรียนรู้และสะสมภูมิต้านทาน พอเจอคนรู้จักเรื่อยๆ เข้า จากความอายก็เปลี่ยนมาเป็นการทำความเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะหลบหนีหรือปิดบังอะไร เพราะคุณค่าของมนุษย์อยู่ที่การทำความเข้าใจกับความเป็นจริง และเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่หรือ

“ยังไงมันก็ต้องเจอคนรู้จักอยู่ดี คิดว่าหลบดีแค่ไหนก็ต้องเจออยู่ดี โอเค งั้นช่างมัน เงินสำคัญกว่า อายก็อายแต่ก็เพราะท่าทีที่คนรอบข้างแสดงออกมา มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าผิดแปลกอะไร เขาไม่ได้มองเราว่าต่างจากเขาที่ได้เรียนหนังสือ เขาเข้าใจว่าเราเหนื่อย หลังจากนั้นเลยรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องอายอีกแล้ว เป็นช่วงที่คุยกับตัวเอง และยอมรับตัวเองได้แล้วว่าเป็นแบบนี้”

จุดเปลี่ยนที่ 4: อยู่กับสิ่งที่มี และฝันเท่าที่อยากฝัน

พลอยแพรวบอกว่าการยอมรับตัวเองดูเป็นเรื่องที่พูดกันง่ายๆ แต่ว่าอย่างไรก็มีขั้นตอนที่ค่อยเป็นค่อยไปของมัน ส่วนวิธีนั้นแสนเรียบง่าย นั่นคือการทบทวนที่มาที่ไป มองให้เห็นสภาวะนั้น เมตตาและรู้จักขอบคุณตัวเอง

“ตอนที่ลาออกมาทำงานพาร์ทไทม์ เราเจอเพื่อนร่วมงานที่ดีมาก เจอคนที่สนับสนุนเรา เจอคนชวนไปทำงานที่นู่นที่นี่ ตอนงานศพของพ่อเรา ตอนนั้นเราทำงานพาร์ทไทม์อยู่ที่ร้าน Happening Shop ที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ พี่วิป (วิภว์ บูรพาเดชะ) กับพี่หยกที่เป็นเจ้าของร้านก็มางานศพพ่อเรา แล้วเราก็เริ่มรู้สึกว่าเราเก่งเหมือนกันว่ะ เราหาเงินเองได้นะ เริ่มให้รางวัลตัวเอง ซื้อนู่นซื้อนี่ที่ไม่ได้ซื้อมานานให้ตัวเอง”

แต่จุดเปลี่ยนจริงๆ พลอยแพรวบอกว่าอยู่ที่การนั่งรถเมล์เองครั้งแรก

“เริ่มแรกเลยที่รู้สึกภูมิใจมากคือนั่งรถเมล์เป็น มันดูเป็นเรื่องเล็กสำหรับคนอื่นนะ แต่เรารู้แล้วว่ามันต้องขึ้นลงป้ายไหน หรือว่าไอ้วนซ้ายวนขวานี่มันคืออะไร ที่เพื่อนชอบพูดว่าลงป้ายนี้แล้วไปต่ออีกสายหนึ่งมันจะได้ใกล้กว่าต่ออีกสายคืออะไร หรือว่าตอนที่จ่ายค่าหอเองครั้งแรก ภูมิใจมาก ดูสิจ่ายเองได้แล้ว เริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่าย แล้วพอมันเป็นเรื่องการจัดการแบบนี้ที่ไม่มีใครมาเกี่ยวข้องเลย เป็นเรื่องการตัดสินใจที่เรารู้สึกว่าเป็นทักษะที่สำคัญมาก เพราะครั้งแรกๆ เราจะตัดสินใจเป็นวันๆ ว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ดีไหม A B C มันมีทางไหนได้บ้าง แบบนี้มันจะดีจริงหรือเปล่า เลือกทางไหนจะเป็นยังไงได้บ้าง ซึ่งสุดท้ายมันคือทักษะติดตัวที่เอามาใช้ในการทำงานตอนนี้ด้วย ที่ต้องประสานงานกับคนหลายฝ่าย หาจุดพอใจที่สมดุลกันระหว่างทุกฝ่าย…”

นั่นทำให้เป้าหมายในชีวิตของพลอยดูเรียบง่ายสำหรับคนทั่วไป เพราะหลังจากที่ผ่านประสบการณ์ไม่มีเงินซื้อแปรงสีฟันครั้งนั้นจนถึงขั้นเคยหลอนเข้ามาในความฝัน เมื่ออะไรๆ เริ่มอยู่มือ เธอจึงฝึกเมตตาตัวเองด้วยการขอบคุณในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตมากกว่าจะพุ่งเป้าไปที่อะไรที่ดูเกินตัว

แน่นอน พออะไรเริ่มเข้าที่เข้าทาง ความต้องการและความฝันในชีวิตก็เริ่มขยับขึ้นไปอีกนิด หลังจากที่ตอนนี้เรียนจนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยแล้ว เธอเริ่มอยากไปเรียนต่อต่างประเทศ มีงานประจำที่รักและสนุกกับมัน และเริ่มวางแผนการใช้ชีวิตที่ไม่ใช่เพื่อการอยู่รอดและทำอะไรเพื่อความต้องการส่วนตัวอย่างเดียว

นอกจากนั้น ประสบการณ์ในวันมรสุมทั้งหมดที่ผ่านมา ยังเป็นเชื้อไฟชั้นดีที่ทำให้พลอยแพรวนำมาประยุกต์กับการทำงานในฐานะ Creative Content Creator ในองค์กรแห่งหนึ่ง ทำให้ความรักในการอ่านซึ่งปลูกฝังจากพ่อมาตั้งแต่วัยเยาว์ รวมกับประสบการณ์ช่วงที่ทำงานพาร์ทไทม์กับร้านหนังสือและคนในแวดวงการหนังสือมาพอสมควร รวมกันเป็นผลลัพธ์ของการจัดการปัญหา ที่เธอไม่ได้พุ่งเข้าชนมันเพื่อแก้ไข แต่จะใช้วิธีทำความเข้าใจสมการในแต่ละฝ่าย ด้วยการนำตัวเองเข้าไปนั่งในใจและความต้องการของคนที่เธอต้องประสานงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน ลูกค้า หรือว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายขาย เพราะไม่มีทางที่ใครจะเหมือนกัน แต่เธอต้องพยายามคิดในมุมของบุคคลนั้นๆ ให้มากที่สุด

ซึ่งนั่นคือศาสตร์ของการประนีประนอมที่ทำให้ความต้องการของแต่ละฝ่ายมาเจอกันในจุดที่พอใจ และไม่รบราฆ่าฟันกันเอง

“เราว่าเราเป็นคนที่เข้าใจเก่ง รู้ทันตัวเอง และจัดการมันได้แบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จำได้เลยว่าตอนป๊าตาย เสียใจนะ แต่ตอนเช้าตื่นมาต้องไปทำงานต่อว่ะ ไม่งั้นจะเอาอะไรกิน แบ่งส่วนรายละเอียดของชีวิตได้ อันนี้เศร้าแหละ แต่อันนี้ก็ต้องทำ จมไม่ได้ ต้องไปต่อ”

“แต่บางทีก็มีวันที่อยากอยู่เงียบๆ หายไปเลย ไม่อยากติดต่อใคร บางทีก็ถามตัวเองว่าทำไมมีปัญหาให้ต้องมาแก้อีกแล้ว แต่เราพยายามจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะเคยกดทับมันไว้แล้ววันหนึ่งมันก็ย้อนมาบู้ม ทำร้ายเราเอง มันไม่คลี่คลาย ถ้าอะไรที่เคลียร์ไม่ได้จริงๆ ก็ pause มันไว้ก่อนได้ แต่อย่าลืมว่ามันมีอยู่ แล้วเราต้องหาวิธีดีลกับมัน ซึ่งทุกอย่างเป็นไปเพื่อตัวเราทั้งนั้น”

พลอยแพรวบอกว่าสำคัญที่สุดคือการงานปกป้องเธอจากความทุกข์ ดึงคุณค่าบางอย่างออกมาจนทำให้เธอรู้สึกดีกับตัวเอง ทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตมันมีความหมายของมันอยู่ แต่ถามว่าตอนนี้เวลาเจอปัญหาแล้วหนีเหมือนเดิมไหม เธอตอบอย่างมั่นใจว่าไม่แล้ว

“ไม่ ไม่พอสมันแล้ว ก็เข้าใจมัน เข้าใจมันให้มากๆ แล้วปลีกตัวจากสิ่งที่ต้องทำตอนนั้นมาอยู่กับมันก่อนแป๊บหนึ่ง ให้เวลากับมัน เข้าใจมัน ยอมรับความจริงให้เยอะๆ ถ้าเรายอมรับว่ามันมีก้อนทุกข์นี้ได้เร็วเท่าไหร่เราว่ามันยิ่งดีกับตัวเราเอง เราจะรู้ว่าเราจะต้องจัดการกับอะไร เรารู้สึกว่าเรารับมือกับหลายๆ เรื่องได้ดีมากขึ้น รู้ว่าเศร้าก็เศร้า เสียใจก็เสียใจ เข้าใจมันมากขึ้น รู้ว่าปัญหามันมาให้เจอทุกวันแหละ แต่เจอมันแล้วต้องไม่ตีโพยตีพาย”

แต่ถามว่าต้องคาดคั้นให้ทุกอย่างดีขึ้นราวกับเสกได้ไหม เธอตอบแบบเร็วจนคำถามยังไม่ทันจบเลยว่า

“ไม่จำเป็น เพราะว่าเราก็คงแก้ไม่ได้ทุกเรื่องหรอก”

แต่จะเข้าใจและรับมือกับมันอย่างไรต่างหาก

Tags:

การเติบโตณิชา พัฒนเลิศพันธ์Grit

Author:

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Marshmallow
    How to enjoy life
    ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ทักษะชีวิตที่ช่วยให้เด็กรู้จักยับยั้งชั่งใจ

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • MovieMyth/Life/Crisis
    แด่วันที่เศร้าและหดหู่: เพียงคนธรรมดาที่มีบาดแผลคล้ายกันได้แบ่งปันและโอบอุ้ม

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Relationship
    ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทำไมกลับเหงาได้ขนาดนี้?

    เรื่อง ธนัชพร ภูติยานันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Life Long Learning
    เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัยศรุตยา ทองขะโชค

  • Family Psychology
    ‘ตอนนี้’ และ ‘โตขึ้น’ อยากเป็นอะไร พ่อแม่ช่วยลูกค้นหาได้ด้วย 9 วิธีนี้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

ธิปภร ธนกุลวรภาส: เป็นโค้ชนวัตกรต้องให้คำปรึกษาไม่ใช่สั่งสอน PASSION ต้องมาก่อน PRODUCT
Everyone can be an Educator
22 August 2019

ธิปภร ธนกุลวรภาส: เป็นโค้ชนวัตกรต้องให้คำปรึกษาไม่ใช่สั่งสอน PASSION ต้องมาก่อน PRODUCT

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • การเป็นโค้ชให้นวัตกรวัยทีนในโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ดร.ธิปภร ธนกุลวรภาส ยืนยันว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่การดูที่ผลงานอย่างเดียว แต่ดู passion และ ศักยภาพที่มีแววพัฒนาได้ของเด็กๆ ในทีมด้วย 
  • การเป็นนวัตกร สิ่งที่ทุกคนมีอยู่แล้วคือความรู้ในทางของตัวเอง สิ่งที่โค้ชมองหาคือคาแรคเตอร์ข้างในอย่าง ความรับผิดชอบ น้ำใจ ทำงานเป็นทีม และความคิดสร้างสรรค์
  • นวัตกรไม่ใช่แค่อาชีพ แต่ถูกบอกว่าคนในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าทำอาชีพใด จำเป็นต้องมีวิธีคิดแบบนวัตกร วิธีคิดจากโค้ชของนวัตกร จึงคู่ควรแก่การทำความเข้าใจในยุคสมัยนี้ 
เรื่อง: มณฑลี เนื้อทอง
ภาพ: โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่

เวลาพูดถึง ‘โค้ช’ แต่ก่อนคนอาจนึกถึง ‘ไลฟ์โค้ชชิง’ ผู้สร้างแรงบันดาลใจ หรือ ‘โค้ช’ ที่ให้คำปรึกษาด้านบริหารจัดการเงิน แต่เดี๋ยวนี้การเป็น ‘โค้ช’ อยู่ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นการเติมความเป็น ‘โค้ช’ ลงในพ่อแม่ ครู เพื่อน หรือใครก็ตามที่ทำหน้าที่ ‘ให้คำปรึกษา’ จากการฟังและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และเป็นปรัชญาเพื่อพัฒนาศักยภาพมนุษย์ตามไซส์คนจริงซึ่งแตกต่างกัน ไม่ใช่ ‘one size fits all’ – นี่คือหนึ่งเรื่อง

ไม่มีใครคัดค้านอีกแล้วว่าเราอยู่ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว ซับซ้อน และส่งผลรุนแรง อันเนื่องจากเทคโนโลยี เราเรียกสั้นๆ ว่านี่คือยุคแห่งการ disruption หลายอาชีพจะสูญหายแทนที่ด้วยการทำงานของ AI และเทคโนโลยีที่ไม่มีใครบอกได้ว่าต่อไปจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร นี่คือยุคของนวัตกรรม หรือ innovation era อย่างปฏิเสธไม่ได้ – นี่คือเรื่องที่สอง

โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ ปัจจุบันดำเนินมาถึงปีที่ 7 ถูกออกแบบมาเพื่อพัฒนาต่อยอดนวัตกรวัยเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นถึงมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 4 ที่บอกว่าต่อยอด เพราะนี่ไม่ใช่เวทีแข่งขันทางเทคโนโลยีที่ให้นักเรียนมาประกวดแล้วจบไป แต่ต่อยอด – ขั้นแรก ดึงเอาทีมที่น่าสนใจจากการประกวดโครงการวิทยาศาสตร์ 3 เวที* NSC, YSC และ YECC แล้วนำมาเข้าค่ายเป็นเวลา 8 เดือนเพื่อพัฒนาต่อยอดโครงการ ฟันเฟืองสำคัญในโครงการต่อกล้าฯ คือ ‘โค้ช’

“เวลาคัดเลือกหรือตัดสิน เราไม่ได้เลือกที่ผลงานอย่างเดียว สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ passion ของเด็ก เพราะเขาต้องอยู่กับเราจนจบโครงการให้ได้ วิธีการประเมินแบบนี้ไม่ได้สนใจ product มากเท่ากับการสร้างคน นี่เลยเป็นจุดที่ทำให้การเป็นโค้ชและการตัดสินในโครงการต่อกล้าฯ แตกต่างจากการเป็นกรรมการตัดสินโดยทั่วไป”

ดร.ธิปภร ธนกุลวรภาส อดีตนักวิจัยจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) และหนึ่งใน ‘โค้ช’ โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ รุ่นปีที่ 6 และ 7 – อธิบายการต่อยอดในขั้นที่สอง นั่นคือการต่อยอดพัฒนาคน 

การเป็น ‘โค้ช’ ที่ช่วยผู้คนค้นพบศักยภาพของตัวเองให้เจอว่ายากแล้ว แต่การเป็นโค้ชให้กับ ‘นวัตกร’ วัยทีนที่ต้องการความรู้เฉพาะศาสตร์เพื่อให้คำแนะนำ และการโค้ชนวัตกรที่ไม่ใช่แค่การสร้างอาชีพแต่เป็นการทำงานกับคุณลักษณะภายใน ทักษะภายใน ที่ถูกบอกว่าคนในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าอาชีพใดจำเป็นต้องมีวิธีคิดแบบนวัตกร – เรื่องนี้ยากยิ่งกว่า 

The Potential ชวน ดร.ธิปกร คุยว่าด้วยบทบาทการโค้ชนวัตกรซึ่งต้องการความรู้เฉพาะทาง เธอเป็นโค้ชแบบไหน อยากผลักดันเรื่องอะไร และพูดแทนโค้ชในโครงการต่อกล้าฯ ที่มีจุดประสงค์ร่วมคือ การโค้ชเพื่อค้นให้เจอศักยภาพของเด็กและพัฒนาต่อ ไม่ตัดโอกาสเพียงดูแค่ชิ้นงานหรือ product

ดร.ธิปภร ธนกุลวรภาส

เวลาบอกว่าเราทำหน้าที่ ‘โค้ช’ มันคืออะไร แตกต่างจากการเป็นครู หรือ การเป็นกรรมการตัดสินโครงการอย่างที่เคยทำก่อนหน้านี้อย่างไร

ต่างมาก หลักๆ เลยคือวิธีคัดเลือกโครงการ อย่างแรกที่เราจะดูคือ โครงการมีศักยภาพไปต่อได้ไหม จากนั้นมาดูที่ตัวเด็กว่ามีศักยภาพไหม ดูความตั้งใจ ดู passion ของเด็ก ความยากของโค้ชคือ เราจะมองแค่ตัวงานว่างานนี้เด่น งานนี้ดี งานนี้ขายได้ …ไม่ได้ ต้องมองยาวไปถึงขั้นว่าเด็กพร้อมไหม โรงเรียนพร้อมไหม อุปกรณ์พร้อมไหม และต้องคิดว่าเราเองจะซัพพอร์ตเขาได้ไหมด้วย เพราะเราต้องเป็นคนที่อยู่หรือต้องพัฒนาผลงานไปกับเขา  

โค้ชต้องตัดสินด้วยไหมว่าโครงการไหนจะได้ผ่านเข้ารอบต่อไป?

มีทั้งตัดสินและไม่ตัดสิน อธิบายรูปแบบโครงการก่อนว่า ระยะเวลาของโครงการต่อกล้าฯ เราทำโครงการกันยาวนานประมาณ 8 เดือน ระหว่าง 8 เดือนนี้ก็จะมีค่าย 3 ค่าย แต่ละค่าย เราจะได้เจอเด็ก 3 วัน เวลานี้แหละที่จะได้คุยกับเด็กถึงปัญหาและสารทุกข์สุกดิบกัน การให้คำปรึกษาแต่ละโครงการจะไม่ต่ำกว่าทีมละครึ่งชั่วโมง หลังจบค่ายก็จะมีการลงพื้นที่ไปติดตามผลงานเด็กๆ ที่โรงเรียนแต่ละทีมอีก 2 ครั้ง

ค่ายแรกจะรับเด็กเข้ามา 30 โครงการ พอเข้าสู่ค่ายสองจะเป็นช่วงที่เด็กต้องนำเสนอโครงการ ตอนนี้เราจะตัดบางโครงการออกให้เหลือแค่ 15 โครงการ พอได้ 15 โครงการแล้ว โค้ชจะไม่ตัดสินแล้วแต่ต้องช่วยผลักดันให้ทุกทีมอยู่จนจบโครงการให้ได้

เวลาคัดเลือกหรือตัดสิน เราไม่ได้เลือกที่ผลงานอย่างเดียว สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ passion ของเด็ก เพราะเขาต้องอยู่กับเราจนจบโครงการให้ได้ วิธีการประเมินแบบนี้ไม่ได้สนใจ product มากเท่ากับการสร้างคน นี่เลยเป็นจุดที่ทำให้การเป็นโค้ชและการตัดสินในโครงการต่อกล้าฯ แตกต่างจากการเป็นกรรมการตัดสินโดยทั่วไป

หน่อยเองเคยเป็นกรรมการตัดสินโครงการ NSC เด็กพรีเซนต์ไม่รู้เรื่องแต่งานดีเราก็ให้ เพราะเราดูที่ product แต่ถ้าเป็นโค้ช ชัดเจนเลยว่าเราต้องดูตัวเด็กด้วย   

จะมองเห็น ‘ศักยภาพ’ ภายในของเด็กได้ โค้ชมีวิธีการ ต้องคิด หรือมีมุมมองอย่างไร

เริ่มจากการ ‘ฟัง’ เข้าไปฟังว่าโครงการของเขาเนื้อหางานเป็นยังไง ทำงานอะไรบ้าง เขามีปัญหาอะไร พยายามคุยกับเขาในรูปแบบที่ทำให้เขาวางใจและไว้ใจ ไม่พยายามทำตัวเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ เป็นกรรมการกับเด็ก หรือในเซนส์ของการเป็นคนที่อายุห่างกันมากๆ หลังจากคุยและทราบแล้วว่าเนื้อหางานของเขาเป็นยังไง มีปัญหาตรงไหน รู้ว่าจะเข้าไปช่วยเขาตรงไหนได้บ้าง จากนั้นจึงมาปรับจูนกันว่ามุมมองของเขากับเราเป็นยังไง

การจะทำแบบนี้ได้ ต้องใช้เวลาพอสมควร

เพราะด้วยระยะเวลาของโครงการมันยาวนาน และหลังจบค่ายยังมีการลงพื้นที่ไปติดตามผลงานเด็กๆ ที่โรงเรียนแต่ละทีมอีก 2 ครั้ง ปีที่แล้วหน่อยลงพื้นที่เยอะมาก มี 15 โครงการก็แทบจะไปทั้ง 15 โรงเรียน ข้อสังเกตที่ชัดมากๆ ของการลงพื้นที่คือเราจะได้เห็นเขาในอีกมุมมองหนึ่ง มันไม่เหมือนกับเวลาเข้าค่ายซึ่งเขาอาจรู้สึกว่านี่คือพื้นที่ของเรา (ทีมโค้ชในโครงการ) เราเป็นเจ้าบ้าน เขาเป็นแขก เขาจะไม่เต็มที่ ไม่ค่อยกล้า แต่พอเราลงไปในพื้นที่ เราคือแขก เขาคือเจ้าบ้าน เขาจะพูดหรือทำหลายๆ เรื่องที่คล้ายกับว่าเปิดใจให้เรามากกว่า

ลงโรงเรียนเพื่อทำอะไรบ้าง

ไปติดตามผลงาน เพราะพอจบค่ายที่ 3 เราจะให้การบ้าน เด็กๆ จะมี commitment ว่านับจากนี้อีกหนึ่งเดือน โค้ชลงไปติดตามผลงานจะต้องเจอหรือเห็นผลงานอะไร ที่ต้องสร้าง commitment เพราะบางครั้งต้องให้เขาไปทดลองทำก่อนจึงจะรู้ว่าผลเป็นยังไง ถ้าผลออกมาไม่ดี ค่อยดูว่าเราจะแก้ปัญหาร่วมกันยังไง

โค้ชในโครงการต่อกล้าฯ ต้องการสร้างคน สร้างนวัตกรที่มีคาแรคเตอร์แบบไหน

เอาที่เราคุยกันในกลุ่มส่วนใหญ่นะ เราคิดว่าปัญหาใหญ่ของเด็กที่ไปต่อไม่ได้เกิดจากความไม่รับผิดชอบ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่โค้ชให้ความสำคัญมากคือความรับผิดชอบ รวมถึงความมีน้ำใจ การทำงานร่วมกันเป็นทีม ที่บอกแบบนี้เพราะเราเห็นว่าแต่ละรุ่นเขามีความเก่งในตัวอยู่แล้ว แต่บางคนทำงานคนเดียวซึ่งมันก็ทำให้ได้งานในระดับหนึ่ง แต่การทำงานเป็นทีม การได้เอาความเก่งของหลายๆ คนมารวมกัน เราจะได้งานสเกลใหญ่ขึ้น มีศักยภาพมากขึ้น มีอิมแพคต่อประเทศมากขึ้น

นอกจากนี้คือต้องมีความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบ ทำให้ตัวเองมีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นกว่าคนทั่วไป

‘รับผิดชอบ มีน้ำใจ ทักษะทำงานเป็นทีม มีความคิดสร้างสรรค์’ พูดได้ไหมว่านี่คือทักษะพื้นฐานนวัตกร

หน่อยมองว่า ไม่ว่าจะทำงานส่วนไหนก็ตาม จะเป็นนวัตกร นักวิจัย อาจารย์ หรืออาชีพอะไรก็ตาม คุณสมบัติพวกนี้เป็นคุณสมบัติพื้นฐานในการทำงาน เราเลยอยากปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ให้เด็กๆ

คาแรคเตอร์ของเด็กๆ ที่คุณกล่าวมาตรงกับทักษะในศตวรรษที่ 21 หลายข้อเลย แม้หลายคนพูดกันว่าเราต้องสร้างเด็กที่มีคุณสมบัติแบบนี้ แต่พอบอกว่าเป็น ‘คาแรคเตอร์’ มันสร้างยากกว่าการถ่ายทอดความรู้ในรูปแบบที่คุ้นชินในห้องเรียนทั่วไป

มันสร้างยาก แต่เราทำด้วยการพูดคุยนี่แหละ ไม่ได้คุยแค่เรื่องงาน คุยทุกเรื่อง เรื่องทั่วไปที่เขาสนใจ อาหารการกิน

ค่อยๆ ศึกษาต่อไปว่าเด็กแต่ละคนเป็นยังไง มีความสนใจด้านไหน มีทักษะโดดเด่นด้านไหน แล้วเราก็จะส่งเสริมเขาไปในด้านนั้นโดยการให้กำลังใจบ้าง ให้ความรู้บ้าง ถ้าติดปัญหาในทางเทคนิคก็ให้ความรู้กันไป

พูดได้ไหมว่าไม่ได้ตั้งใจให้ความรู้ขนาดนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นการดูแลเรื่องความสัมพันธ์?

ใช่ค่ะ เราต้องอ่านเด็กให้ออกก่อนว่าเด็กคนนั้นมีคาแรคเตอร์ยังไง บุคลิกแบบไหน เขาต้องการให้เราเสริมด้านไหน ไม่ใช่ว่าฉันมีความรู้แบบนี้ พอเจอเธอปุ๊บก็ยัดให้เธอเลย เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอาเข้าจริงแล้วเด็กในโครงการต่อกล้าฯ มีความแตกต่างเรื่องอายุมาก มีตั้งแต่วัยมัธยมต้นจนถึงอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 4 การที่เราจะเข้าไปหาเด็กแต่ละกลุ่ม ต้องมีวิธีการในการพูดกับเขา หน่อยเองอายุก็ต่างกับเด็ก เขาก็เป็นลูกเราได้เลยนะ ซึ่งความแตกต่างขนาดนี้ทำให้เราต้องพยายาม แต่ในความเป็นโค้ช เขาดูออกว่าเด็กคนนี้มีศักยภาพด้านไหน คนนี้ด้านดีไซน์ คนนี้ด้านโปรแกรม คนนี้ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เด็กคนไหนถนัดด้านอะไร ก็จะรู้ว่าควรส่งเสริมด้านไหน รู้แล้วก็โค้ชกันไปตามแต่ละคน

เข้าใจว่าคุณไม่ได้จบครู จิตวิทยา หรือสายมานุษยวิทยาโดยตรง อยากรู้ว่าวิธีคิดในการโค้ช วิธีการเข้าถึงเข้าใจเด็กแต่ละคน ได้มาตอนไหน

เป็นความชอบส่วนตัว หน่อยไม่ได้เริ่มทำงานกับเด็กแค่สองสามปีที่ผ่านมา แต่ทำงานกับเด็กตั้งแต่เราเริ่มทำงานเลย มีโอกาสได้ไปทำงานกับโรงเรียนในพื้นที่ต่างๆ เรามองเด็กเป็นไปตามคน ดูว่าแต่ละคนมีนิสัยยังไง ไม่พยายามตัดสินเพื่อให้เขาเป็นแบบที่เราต้องการ แต่พยายามมองว่าเขาเป็นแบบนี้ แล้วเรามีความสามารถอะไรที่จะไปสนับสนุนเขาได้

ไม่รู้ว่าพูดแบบนี้ถูกต้องหรือเปล่า คนรุ่นเราเคยชินกับการเรียนแบบสั่งสอน สั่งการจากในห้องเรียน แต่สมัยนี้เราไม่ได้เชื่อแบบนั้นแล้ว ครูไม่ได้เป็นผู้ผูกขาดความรู้เพราะความรู้มีอยู่ทั่วไป นำมาซึ่งการพูดถึงการสอนที่ต้องปรับ สิ่งที่สงสัยคือ เวลาที่ทำงานกับเด็ก เราต้องปรับตัวมากไหม ยังเคยชินกับวิธีการสอนแบบสั่งการหรือเปล่า

ไม่เลย อาจเป็นเพราะเราเป็น Gen X ที่ใกล้ Gen Y เหมือนเป็นสองเจนเนอเรชั่นในคนเดียว แต่ก็ต้องบอกว่าเราตามเด็กรุ่นนี้ไม่ค่อยทันเหมือนกันนะ แต่… เราค่อนข้างเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเลยไม่ได้ใช้วิธีการสอนแบบวิธีเดิมๆ ใช้การดูแลแบบเป็นเพื่อนกันมากกว่า

ส่วนใหญ่เด็กจะเจอเราในบทบาทกรรมการก่อนค่อยมาเป็นโค้ช ช่วงแรกเขาจะมีระยะห่างและเกร็งกับเรา แต่พอเราเป็นโค้ช เราก็จะบอกว่า “วันนี้พี่เป็นทีมงาน เรามาช่วยกัน มาคุยถึงปัญหา พี่ไม่ได้มาตัดสินนะ แต่มาเพื่อช่วยเหลือและเราคือทีม” คือทุกครั้งที่เริ่มต้น เราจะนิยามตัวเองชัดเลยว่า เราใส่หัวโขนของการเป็นโค้ชอยู่

 “เวลาเด็กคุยกับเราในฐานะกรรมการ เหมือนเขากลัวว่าถ้าบอกเราว่ามี bug เขาจะถูกหักคะแนน แต่ถ้าคุยกับเราในฐานะทีมงาน เราจะได้ข้อมูลอีกแบบ เขาบอกหมดว่ามีปัญหาแบบนั้นแบบนี้ พรั่งพรูออกมาเลย”

เด็กส่วนใหญ่บอกคล้ายกันว่าระหว่างทางทำโครงการฯ จะเจอทางตัน มันท้อ มันดาวน์ไปหมด ในขณะที่เด็กบอกเองว่าเขาหมด passion แต่โค้ชทำอย่างไรในการกระตุ้นหรือหล่อเลี้ยง passion ของเด็ก

เอาจริงๆ ทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่าที่ทำอยู่มันถูกทางมากน้อยแค่ไหนนะ แต่พยายามทำให้ดีที่สุด พยายามเป็นพี่ที่คุยกับน้อง ทำให้เขาวางใจ ทำยังไงก็ได้ให้เขาอยากเดินต่อกับเรา มีปัญหาแล้วคุยกับเราได้

จริงๆ แล้วต้องบอกก่อนว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ได้ท้อกับงานนะแต่ท้อกับคน เช่น เพื่อน พ่อแม่ หรือแม้แต่ครูอาจารย์เองก็ตาม อย่างปีที่แล้ว ในกลุ่มของเด็กๆ เองไม่มีปัญหากันเองข้างในเลย แต่เขารู้สึกเหนื่อยกับปัญหาและกระบวนการที่โรงเรียนมาก ทีนี้เวลาเราลงพื้นที่ เราไม่ได้ไปแบบ “อะ ไหนขอดูงาน 1 2 3 4 ซิว่าเสร็จไหม?” แต่จะถามก่อนว่า “เป็นยังไงบ้าง มีปัญหาอะไรไหม อยากคุยอะไรกับพี่ไหม? อยากเล่าอะไรให้พี่ฟังรึเปล่า” เด็กร้องไห้ออกมาเลย ตอนนั้นงงมากเพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพวกเขามีปัญหานี้ หมายความว่า อาจเป็นเพราะการได้ลงพื้นที่คล้ายการให้เวลาเขา ได้พูดคุยกันแบบเปิดอกคุย ได้ระบาย ได้พูด และเราก็ไม่ได้รับฟังอย่างเดียว แต่คนเป็นโค้ชต้องช่วยหาวิธีแก้ ยืนอยู่ข้างเขา ทำให้เขาไม่โดดเดี่ยว

นอกจากความรู้เรื่องจิตวิทยา ความเข้าใจกันในฐานะมนุษย์ การเป็นโค้ชเพื่อสร้างนวัตกรต้องมีความรู้เฉพาะตัวอะไรบ้าง

หลากหลายมากเลย จะบอกว่าส่วนตัวถนัดด้านซอฟต์แวร์ก็จริง แต่งานอดิเรกที่ทำอยู่เราทำงานสวน ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ทำนู่นทำนี่ โครงการของเด็กบางโครงการเขาทำเกี่ยวกับเกษตร เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปู เลี้ยงปลาบ้าง นี่เราก็ใช้ความรู้ความสามารถจากงานอดิเรกเราส่วนหนึ่งนะ หมายถึงว่า หลายเรื่องก็ต้องใช้ความสนใจส่วนตัวของโค้ชเอง ปีที่แล้วเราโค้ชเรื่องอาหารน้ำหมักชะลอความเปรี้ยวซึ่งเราไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ก็ต้องไปหาข้อมูล อ่านหนังสือไม่พอ ต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อจะมาไกด์เด็กได้ ไม่ใช่ว่าเรามาโค้ชแบบไม่มีความรู้อะไรเลย

เด็กโตเราก็โต?

ใช่ หลายเรื่องที่เด็กทำโครงการเป็นเรื่องที่เราไม่รู้มาก่อนก็ต้องไปศึกษาเพิ่มเติมเพราะเราเองก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง โครงการต่อกล้าฯ ท้าทายเรามาก ตอนเป็นกรรมการโครงการ NSC เราชำนาญเฉพาะด้าน เห็นปุ๊บก็รู้แล้วว่า bug อยู่ตรงไหน จะใช้คำถามอะไรเพื่อให้รู้ว่าคุณหมกเม็ด bug ตัวไหนอยู่ ขณะที่โครงการต่อกล้าฯ ไม่ใช่ ใช้ความรู้หลากหลายและแต่ละปีก็มีโครงการไม่ซ้ำกัน เพราะเราพยายามทำงานที่ยังไม่เคยมีโครงการนั้นหรือมีแล้วแต่ยังไม่มากพอ นั่นแปลว่าถ้าเด็กพัฒนา เราก็พัฒนาด้วย บางเรื่องเราก็ศึกษาไปพร้อมกับเด็ก แต่เราอาจมีพื้นฐานที่สูงกว่า ทำให้รู้ว่าจะค้นหาที่ไหน อย่างไร หรือมี connection มากพอเพื่อไปถามข้อสงสัยของเราได้มากกว่า

ถ้าโค้ชคือการต่อยอด passion ของเด็ก แล้ว passion ของโค้ชคืออะไร?

คือการสร้างเด็กนี่แหละค่ะ (หัวเราะ) อย่างปีที่แล้วมีโครงการราวตากผ้า ครั้งแรกที่เห็น ก็… “อื้ม” คือไม่รู้ว่าเขาจะไปต่อกันยังไง ไม่รู้ว่าเราจะไกด์ไปในแนวทางไหน จะไปยังไงดี อาจเพราะเด็กๆ เขาไม่ได้เรียนทางนี้มาโดยตรง ตัวราวตากผ้าเองก็รู้สึกว่าเห็นแล้วขายไม่ได้หรือขายยากเพราะหน้าตามันดูไม่น่าใช้งานเลย แต่เราก็เลือกเขาเข้ามาเพราะเด็กมี passion เอาเขาเข้ามาก่อนส่วน product ค่อยมาดูกันอีกที

โค้ชก็ยังกลุ้มใจอยู่ว่าจะช่วยไปแนวทางไหนดี ทุกคนช่วยกันเสิร์ช ช่วยกันดูว่าลักษณะงานแบบนี้ เราจะใช้มันมันยังไง ใช้ผ้าใบชนิดไหน จะให้มันม้วนเก็บยังไง มอเตอร์ควรเป็นแบบไหน ยาก… เราต้องหาข้อมูลเกือบทั้งหมด โค้ชทำการบ้าน เด็กก็ต้องทำการบ้าน แต่พอจบค่ายที่สาม การเปลี่ยนแปลง before & after ชัดมาก จุดนั้นมันสร้าง passion ให้เราเลยว่า… นี่แหละ เรารู้ว่าเราสร้างเด็กได้ เราช่วยให้เขาไปจนถึงจุดนั้นได้

สิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่ายากคือ การเป็นโค้ชโครงการต่อกล้าฯ คือการปั้นต่อยอดเด็กให้ทำโครงการเหมือนนักวิจัยคนหนึ่ง แต่ในอีกทาง หลายคนเป็นเด็กมัธยม

ซึ่งมันทำให้เราใจเย็นขึ้นนะ (หัวเราะ) คือต้องบอกว่าเราทำงานวิจัย ก็จะคาดหวังว่างานมันต้องไปได้ระดับหนึ่ง แต่บางครั้งเราต้องถอยกลับมานิดนึงแล้วบอกตัวเองว่า เขาคือเด็กนะ เขายังเรียนอยู่เลย แต่เพราะด้วยสไตล์การทำงาน สิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขาทดลอง มันคือการเป็นนักวิจัยเลย ต้องบอกตัวเองว่าอย่าใช้สแตนดาร์ดของเราไปประเมินเขา เรานี่แหละจะดาวน์เอง

กึ่งกลางระหว่างการท้าทายเพื่อขยายขอบความรู้ความสามารถของเด็ก กับการถอยหนึ่งก้าวเพื่อเหลือพื้นที่ให้เขาพัฒนาเติบโต คืออะไร

เวลาหน่อยมอง จะมองว่า 10 อยู่ตรงไหน แล้วค่อยๆ ป้อนให้เขาเห็นกระบวน 1 2 3 4 แล้วถามว่าเขาพอใจแค่ไหน ถ้าเขาบอก “พอใจ 3 ค่ะ” โอเคได้ เรามาคุยกัน แต่ก็ต้องเข้าใจว่าบางทีเด็กก็ประเมินเอาใจเรานะ เขาบอกว่าพอใจที่ระดับ 3 แต่เต็มที่สุดๆ แล้วอาจทำได้แค่ระดับ 2

แต่ถ้าดูแล้วว่าสิ่งที่เขาทำ ศักยภาพของเขามันได้มากกว่านี้ เราก็ต้องรุก “เฮ้ย อีกนิดเดียวน่ะ พี่ว่าถ้าทำออกมา มันจะน่าสนใจ น่าเล่น คนจะให้ความสนใจ ขายได้” แต่ถ้าเขาทำถึง 2 แล้วมันเต็มกลืนเหลือเกิน น้องเหนื่อยมาก ล้ามาก เราก็จะ “โอเค แค่นี้โอเคแล้ว” คือมันต้องมีวิธีการประเมินเขา วางว่าเราจะเข้าหากันยังไง

การเป็นโค้ช นัยหนึ่งก็คือการเป็นครู พอจะมีเคล็ดลับหรือวิธีคิดเพื่อนำบทบาทโค้ชไปอยู่ในตัวอย่างไรไหม

โค้ชคือการ consult หรือให้คำปรึกษา ไม่ใช่การสั่งสอน เหมือนเด็กเลือกเข้าไปปรึกษาเพื่อนเพราะเพื่อนไม่สั่งสอนแต่ถามว่า “แกเป็นไรวะ?” ซึ่งการสั่งสอนมันไม่ทำหน้าที่นี้ อย่างแรก อย่าคิดว่าเราต้อง push หรือยัดเยียดความรู้ให้เด็ก เราเป็นแค่คนสังเกตการณ์ว่าเด็กแต่ละคนมีศักยภาพด้านไหน ความสนใจของเขาคืออะไร แล้วค่อยเข้าไปให้ความช่วยเหลือหรือส่งเสริมศักยภาพที่เรามองเห็น หน่อยเองก็ไม่ได้มองเห็นทุกคนหรอกนะคะ แต่ถ้าเห็นแล้วรู้ว่าเราส่งเสริมเขาได้ คิดว่ามันจะทำให้เขาไปได้ไกลกว่าการพยายามยัดเยียดในสิ่งที่เราคิดว่าอยากให้เขาได้

การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (NSC) การประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (YSC) และ การประกวดวงจรอิเล็กทรอนิกส์รุ่นเยาว์ (YECC)โครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ สร้างการเรียนรู้โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สนับสนุนโดย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และมูลนิธิสยามกัมมาจล 

Tags:

โคช21st Century skillsโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นักวิจัยNECTECธิปภร ธนกุลวรภาส

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Creative learning
    การพัฒนาคนคือ ‘งาน craft’ การศึกษาจึงต้องไร้พรมแดน: พิเชษฐ์ เบญจมาศ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learningCharacter building
    สามหนุ่มอาชีวะนักพัฒนา เจ้าของ WIMC อุปกรณ์ตรวจสอบมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Creative learningCharacter building
    GO SCIF: เปลี่ยนจักรยานคันเก่าให้เป็นเกมออกกำลังกายสุดล้ำ

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Everyone can be an Educator
    ถามตอบเรื่องควอนตัม: เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตอย่าง AVENGERS ได้จริงไหม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    3 นักนวัตกรรมบนเวที THAILAND IT CONTEST FESTIVAL กับประสบการณ์ ‘เวที’ สร้างคนได้อย่างไร?

    เรื่อง

เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น
Family Psychology
21 August 2019

เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • พ่อแม่ที่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวให้ลูกฟังตั้งแต่ยังเล็กจะช่วยปะติดปะต่อระบบการเรียนรู้ที่อาจยังคิดอ่านได้ไม่สมบูรณ์ของเขาให้ค่อยๆ active ที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัวมากขึ้น
  • นำไปสู่การสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นจนก่อเกิดเป็นภาพใหญ่ให้เข้าใจได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีความหมายหรือสำคัญต่อเขาอย่างไร
  • พ่อแม่ต้องถ่ายทอดการรับรู้เรื่องราวและมุมมองความคิดผ่านความเข้าใจใคร่ครวญในตนเอง (self-reflection) มาแล้วเป็นอย่างดี ยิ่งพ่อแม่มีความเข้าใจในตนเองเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเข้าใจลูกเท่านั้น

เราอาจไม่ทันสังเกตว่าตลอดชีวิตเราเล่าเรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วนทั้งในหัวตนเองหรือให้ผู้อื่นฟังอยู่ตลอดเวลา ตอนขับรถกลับบ้านเรานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า หัวหน้าเอ่ยชมผลงานที่ผ่านมาและให้เราทำแผนเสนอเข้าที่ประชุมดู เราคิดกับตัวเองว่าต้องทำอะไรบ้างต่อจากนี้และตื่นเต้นเพียงใดกับงานที่ได้รับมอบหมาย เมื่อถึงบ้านก็เล่าเรื่องนี้ให้ครอบครัวฟังแบ่งปันความรู้สึกตื่นเต้นยินดีกับความท้าทายครั้งนี้

ทำไมเรื่องราวจึงถูกเรียงร้อยขึ้นในหัวและอยู่ในทุกการสื่อสาร ในหนังสือ ‘Parenting from the Inside Out’ โดย ดร.เดเนียล ซีเกิล (Dr.Daniel Siegel) และ แมรี ฮาร์ทเซลล์ (Mary Hartzell) ซึ่งเป็นคู่มือเลี้ยงลูกที่ชูให้พ่อแม่หันมาศึกษาใส่ใจกับสุขภาวะภายในจิตใจของทั้งตนเองและลูก อธิบายว่า

การเล่าเรื่องราวเป็นพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์จากการแปลงการรับรู้มาเป็นการแสดงออกถึงการมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ และเป็นกระบวนการที่มนุษย์ใช้ทำความเข้าใจตัวตน (self-understanding) ในแง่ความรู้สึกนึกคิดภายในและมุมมองที่มีต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น และสถานการณ์ความเป็นไปที่เกิดขึ้นรอบตัวนั่นเอง

การเล่าเรื่องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกให้ดีอย่างไร?

การเล่าเรื่องเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเสริมกระบวนการรู้จักตนเอง (self knowledge) ของเด็กกับบริบทแวดล้อมได้ พ่อแม่ที่ถ่ายทอดมุมมองความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อโลก บรรยายสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวให้ลูกฟังตั้งแต่ยังเล็กจะช่วยปะติดปะต่อระบบการเรียนรู้ที่อาจยังคิดอ่านได้ไม่สมบูรณ์ของเขาให้ค่อยๆ active ที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัวมากขึ้น และสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นจนก่อเกิดเป็นภาพใหญ่ให้เข้าใจได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีความหมายหรือสำคัญต่อเขาอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่หกล้มแล้วพ่อแม่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลว่าที่ลูกสะดุดนั้นเพราะเป็นพื้นต่างระดับ เข่ากระแทกพื้นจึงเกิดแผลและเจ็บเป็นธรรมดา บาดแผลนี้เกิดขึ้นกับทุกส่วนในร่างกายได้ถ้าได้รับการกระทบกระเทือนในส่วนนั้น พอใส่ยาแผลก็จะหายในไม่ช้า การเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งโดยใส่รายละเอียดความเป็นมากับความใส่ใจต่อความรู้สึกเจ็บกลัวของเขา ไม่เพียงเด็กจะรู้สึกอุ่นใจจากพ่อแม่ ยังช่วยให้เขาเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดในทางบวกว่า แผลที่เข่าของเขาจะได้รับการดูแลใส่ยาและหายเป็นปกติในที่สุด

ดร.เดเนียล อธิบายว่า แม้ทารกจะมีกลไกทางจิตที่พร้อมจะเรียนรู้เข้าใจโลก และความสามารถในการควบคุมอารมณ์ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิดอยู่แล้ว แต่พวกเขายังจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลหรือเรื่องราวจากพ่อแม่เพื่อเติมเต็มกระบวนการสร้างความเข้าใจในสภาวะอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตนเองที่เกิดขึ้นกับทุกสรรพสิ่งในโลกภายนอก

การเล่าเรื่องราวต่างๆ จึงเป็นปฏิสัมพันธ์ที่เป็นรากฐานสำคัญของสายใยความผูกพันที่พ่อแม่จะสร้างกับลูกได้ และเปรียบเป็นหน้าจอทีวีที่ฉายสภาพแวดล้อม เรื่องราวความเป็นไปของโลกที่จะปั้นแต่งตัวตนทั้งภายนอกและจิตใจของพวกเขาขึ้นมา โดยมีพ่อแม่เป็นผู้เขียนบทและกำกับอย่างเสร็จสรรพนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าในการเลี้ยงลูกนั้นพ่อแม่ต้องถ่ายทอดการรับรู้เรื่องราวและมุมมองความคิดผ่านความเข้าใจใคร่ครวญในตนเอง (self-reflection) มาแล้วเป็นอย่างดี ยิ่งพ่อแม่มีความเข้าใจในตนเองเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งเข้าใจลูกและสามารถเลี้ยงลูกอย่างปรับตัวยืดหยุ่น ความผูกพันก่อเกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้เข้าใจตนเองของลูกก็จะพัฒนาตามไปด้วย

เรื่องราวที่สมบูรณ์ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของสมองและจิตใจ

นอกจากจะเป็นการสื่อสารเพื่อสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัว ความสำคัญของการเล่าเรื่องของพ่อแม่อยู่ตรงที่เรื่องเล่านั้นต้องมีความเป็น ‘เรื่องราวที่สอดคล้องสมบูรณ์’ (ศัพท์ทางเทคนิคเรียกว่า coherent narrative) ด้วย

อะไรคือความสอดคล้องสมบูรณ์? ทำไมเรื่องราวที่สื่อสารกับลูกจำเป็นต้องสอดคล้องสมบูรณ์ด้วย?

คำว่า ‘สอดคล้องสมบูรณ์’ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเวลาจะคิดหรือสื่อสารแต่ละทีรูปประโยคต้องมาเต็มเสมอว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ เพื่ออะไร แต่สอดคล้องสมบูรณ์ในลักษณะว่า พ่อแม่สามารถถ่ายทอดการตระหนักรู้และเข้าใจตนเองได้อย่างเต็มที่ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่พบผ่านนั้นมีผลอย่างไรต่อมุมมอง ความรู้สึกนึกคิด หรือตัวตนของพวกเขาที่เป็นอยู่ และสะท้อนไปถึงขนาดว่าเขามีหมุดหมายในอนาคตอย่างไร เช่น

“ตอนเด็กๆ ปู่กับย่าจนมาก พ่อต้องทำงานรับจ้างไสไม้เพื่อช่วยที่บ้านตั้งแต่เล็ก ลำบากพอดูนะ แต่พ่อภูมิใจที่เราแบ่งเบาเขาได้ ปู่กับย่าเสร็จงานแล้วก็ต้มไก่ทำของอร่อยให้พ่อกินทุกวัน คุยหัวกันในวงทานข้าว มีความสุขมาก ดังนั้นเรื่องความลำบากยากแค้นจึงไม่ใช่ปัญหาในชีวิตพ่อเลยนะ ครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกันคือสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจให้เราผ่านความยากลำบากมาได้และเป็นความสุขที่เรียบง่ายที่สุดนะ”

เพราะการถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตที่สอดคล้องสมบูรณ์ให้ลูกฟัง ก็เหมือนการฉายละครน้ำดีที่ลูกดูแล้วได้พัฒนาความคิดและจิตใจของเขาให้เข้ารูปเข้ารอยตามไปด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นการจะสื่อสารเรื่องราวให้ออกมาสอดคล้องสมบูรณ์ได้ก็ต้องผ่านการกลั่นกรองตกตะกอนความเข้าใจ ด้วยกลไกการทำงานของสมองและจิตใจเสียก่อน การนั่งลงทำความเข้าใจกลไกเหล่านี้จะช่วยให้พ่อแม่สำรวจกระบวนคิดตนเองได้ถี่ถ้วน และจัดระบบระเบียบความคิดและมุมมองที่ใช้มองโลกให้กระจ่างชัดได้

เอาล่ะ เริ่มด้วยกลไกการประมวลผลทางสมองที่มนุษย์ใช้ทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ กันก่อนดีกว่า

กฎพื้นฐานคือ มนุษย์รับรู้ความเป็นไปของสิ่งรอบตัวแล้วก็จะเกิดการรับรู้ แล้วแสดงความคิดหรือพฤติกรรมบางอย่าง อธิบายเป็นสมการง่ายๆ ได้ว่า

Input -> Internal Processing -> Output

ทีนี้ลองนึกภาพสมองของเราที่ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ มากมายซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกัน แต่ในขณะเดียวกันก็เชื่อมต่อเพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกันแบบบูรณาการ การจะประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจนเกิดเป็นการรับรู้และถ่ายทอดออกมาให้เป็นเรื่องราวที่สมเหตุสมผลเข้าใจได้นั้น ต้องอาศัยการรับส่งประมวลข้อมูลที่ซับซ้อนสอดประสานกันระหว่างสมองส่วนต่างๆ (integration) นั่นเอง

ในที่นี้จะพูดถึงกระบวนการประมวลผลที่จำเป็นที่สุดสำหรับการเล่าเรื่องก่อนคือ การประมวลผลที่อาศัยการทำงานของสมองสองซีก: ซ้าย-ขวา (horizontal integrations หรือ bilateral integration)

สมองซีกซ้าย (คิด วิเคราะห์ เหตุผล)สมองซีกขวา (สัญชาตญาณ อารมณ์ ความรู้สึก)
ประมวลผลแบบเรียงลำดับขั้นใช้เหตุผล ตรรกะตีความหมายทางภาษา สัญลักษณ์ เช่น การอ่าน การพูด การเขียนสามัญสำนึก รู้ผิดชอบชั่วดีประมวลผลแบบสะเปะสะปะ ไม่มีตรรกะรายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดกับตัวเองด้านบริบท สถานที่แบบเป็นภาพรวมผัสสะจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 การรับรู้ทางจิตอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อบุคคลหรือเหตุการณ์อากัปกิริยา จินตนาการ

การจะเล่าเรื่องให้สอดคล้องสมบูรณ์ได้ต้องมีข้อมูลพื้นฐานจากสมองซีกขวา คือที่ทางของเราในบริบทของเหตุการณ์ การรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของเราในสถานการณ์นั้นเป็นข้อมูลตั้งต้นเสียก่อน แล้วสมองซีกซ้ายจึงจะสามารถตีความ คิดวิเคราะห์ อธิบายภาพเหตุการณ์หรือความรู้สึกเหล่านั้นด้วยตรรกะความเป็นเหตุเป็นผลได้

ทั้งหมดนี้คือกระบวนการเดียวกับที่เราใช้ใคร่ครวญทำความเข้าใจตนเอง เรื่องราวที่มีรายละเอียดจากข้อมูลของสมองทั้งสองฝั่ง ครบถ้วนว่ารายละเอียดต่างๆ ในเหตุการณ์เป็นอย่างไร เรากับคนอื่นๆ คิดเห็นอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น และท้ายที่สุดแล้วเราเห็นคุณค่าความสำคัญและความหมายที่เรื่องราวนั้นมีต่อเราอย่างไร ด้วยความเข้าใจนี้ เรื่องราวจึงจะเรียกว่าสอดคล้องกันโดยสมบูรณ์

แต่ทั้งนี้ต้องบอกก่อนว่า ใช่ว่าการทำงานของสมองทั้งสองซีกนี้จะประสานรับส่งอย่างสมดุลกันอยู่ตลอดเวลาเสมอไป บางทีการสั่งการของสมองซีกใดซีกหนึ่งอาจทำงานมากกว่า เช่น เวลาเรารู้สึกตื่นเต้น เครียดและกดดันมากๆ ก่อนพรีเซนต์งานให้ผู้ใหญ่ในบอร์ดที่ประชุม แต่พอถึงเวลาจริงกลับนิ่งสงบ มีความเป็นมืออาชีพขนานแท้ สามารถดึงสติตนเองออกจากความรู้สึกตื่นเต้นเหล่านั้นได้ (สมองซีกซ้ายทำงานมากกว่าซีกขวา)

หรือบางทีแค่เหลือบไปเห็นแมงมุมตัวเขื่องคืบคลานออกมาจากหลังตู้ เราก็เกิดความรู้สึกขนลุกหวาดผวาโดยอัตโนมัติว่ามันอาจจะกระโดดเข้าใส่ตอนไหนก็ได้ คิดอะไรไม่ออกนอกจากกลัวจนสติหลุด (สมองซีกขวาทำงานมากกว่าซีกซ้าย)

ในกรณีของคนที่มีปมติดค้างในใจ (ศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า unresolved issues) สมองทั้งสองซีกก็มักจะทำงานไม่ประสานสมดุลกันอย่างที่กล่าวมานี้ เหตุที่ปมติดค้างฝังลึกในใจเพราะเจ้าตัวอาจไม่เคยให้เวลาตัวเองนั่งทบทวนทำความเข้าใจกับอารมณ์ความรู้สึกที่เก็บกดไว้ หรือไม่ได้ลองปะติดปะต่อรายละเอียดเหตุการณ์นั้นเข้ากับอารมณ์ความรู้สึกอย่างยอมรับตรงไปตรงมา (การรับรู้ข้อมูลจากสมองซีกขวาอาจขาดวิ่นเว้าแหว่งจากภาวะความเครียด กดดัน หวาดกลัว หรือช็อก) เมื่อสมองซีกซ้ายซึ่งทำหน้าที่คิดวิเคราะห์และตีความหมายไม่มีข้อมูลด้านอารมณ์ความรู้สึกหรือรายละเอียดเหตุการณ์จากสมองซีกขวา การประมวลผลก็ทำได้ไม่บริบูรณ์และไม่อาจสร้างความเข้าใจในตนเองขึ้นมาได้

ตัวอย่างหนึ่งคือ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเสียคุณพ่อไปตั้งแต่เป็นวัยรุ่นและไม่เคยแสดงความเสียใจกับเรื่องนี้เลย จนกระทั่งมีโอกาสเล่าย้อนไปในช่วงเวลานั้น เธอร้องไห้ออกมาอย่างรุนแรงขณะทบทวนว่าเธอกับพ่อทะเลาะกันรุนแรงมากเรื่องที่เธอคบกับแฟนหนุ่มและพ่อบันดาลโทสะจนหัวใจวาย เพราะเหตุนี้ เธอจึงหนีจากความรู้สึกผิดและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความรู้สึกสูญเสียมาโดยตลอด จนเมื่อได้เล่าเรื่องราวของเหตุการณ์ในวันนั้นให้ใครสักคนฟังอีกครั้ง การเรียนรู้ที่จะยอมรับและเข้าใจตนเองเกิดขึ้นเมื่อจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายซึ่งก็คือความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ ถูกเชื่อมต่อเข้ากับภาพเหตุการณ์วันนั้นได้สมบูรณ์ในที่สุด

จะเห็นได้ว่า การเล่าเรื่องถือเป็นหนทางไปสู่การคลี่คลายปมบาดแผลและยกระดับจิตใจของมนุษย์กันได้เลยทีเดียว

คราวนี้ นอกจากการประมวลผลของสมองซีกซ้ายขวา ยังมีการประมวลผลของสมองอีก 2 รูปแบบคือ

  • ประมวลแนวตั้ง (vertical integration) คือเปลือกสมองด้านบนที่ทำหน้าที่คิด ประมวลผลร่วมกับส่วนที่อยู่ข้างใต้ที่ทำหน้าที่รับความรู้สึก (จำง่ายๆ ว่า คิด+รู้สึก)
  • ประมวลเป็นช่วงเวลา (temporal integration) คือสมองลำดับข้อมูลเข้ากับเวลาในรูปอดีต ปัจจุบันและอนาคตว่าเราผ่านอะไรมาบ้างจนเป็นวันนี้และมีหมุดหมายใดต่อไป

ว่ากันตามจริงแล้ว การดำรงชีวิตทุกมิติของเราจำเป็นต้องอาศัยการทำงานประมวลผลของสมองอย่างสอดผสานกันทุกรูปแบบที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อย่างไรก็ตาม ดร.เดเนียล ชี้ว่า กลไกสำคัญที่สุดที่มนุษย์ใช้สร้างเรื่องราวที่สอดคล้องสมบูรณ์เพื่อสะท้อนความเข้าใจในชีวิตหรือตนเองนั้น มาจากการประมวลผลร่วมกันของสมองซีกขวาและซ้ายเป็นหลัก

ทั้งนี้ก็เพราะบริเวณด้านข้างของสมองซีกขวามีจุดเชื่อมต่อสำคัญกับวงจรลิมบิกโดยตรง ซึ่งวงจรนี้มีหน้าที่มหัศจรรย์พันลึกด้านการสร้างความรู้สึกจากสิ่งกระตุ้นและ ‘เซนส์’ สัมผัสถึงความรู้สึกของคนอื่นจากท่าทางอากัปกิริยา ตรงนี้เองที่เป็นจุดกำเนิดของ mindsight (ความสามารถในการอ่านความรู้สึกของคนอื่นและของตนเองได้) ซึ่งนำไปสู่ความมีเมตตากรุณาต่อกัน (compassion)

คราวนี้มาดูกลไกด้านจิตใจกันบ้าง

สภาวะทางจิตเกิดจากการรับรู้ประสบการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น (ผ่านทางหู ตา จมูก ปาก และผิวหนัง) และเมื่อได้รับประสบการณ์นั้นซ้ำๆ จนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตก็จะเกิดเป็นความทรงจำขึ้นมา ซึ่งความทรงจำรูปแบบนี้เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นเองโดยปริยาย (implicit memory) ความทรงจำนี้เป็นตัวกำหนดวิธีมองและตอบสนองโลกโดยไม่รู้ตัว เช่นเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรุนแรง โดนเฆี่ยนตีทารุณ ถูกละเลย ขาดความอบอุ่น ก็จะมองว่าการใช้ความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาสามารถใช้มันกับคนอื่นได้เช่นกัน ขณะเดียวกันการจดจำความเจ็บปวดหวาดกลัวก็อาจสอนให้เขาเรียนรู้ที่จะแข็งกร้าวกับทุกคน ไม่ไว้วางใจใครง่ายๆ หรือเด็กที่เคยถูกแมวกัด พอโตขึ้นเห็นแมวเดินอยู่ใกล้ๆ ก็ตั้งท่าจะเตรียมหนีทันทีเพราะจำฝังใจ ความทรงจำโดยปริยายนี้ คือสภาวะที่ใจจดจำความรู้สึกบางอย่างได้แน่วแน่จนกลายเป็นปกติวิสัยในตัวตนของเขาไป

สาเหตุที่ทั้งพ่อแม่ต้องทำความเข้าใจกระบวนการทางจิตที่กล่าวมานี้ เพราะบางครั้งประสบการณ์ในอดีตอาจสร้างความทรงจำเลวร้ายบางอย่างที่ฝังใจโดยไม่รู้ตัว และส่งผลให้มุมมองที่มีต่อโลกนั้นปิดกั้นการเรียนรู้ทำความเข้าใจตนเองและลูกอย่างแรงกล้าได้

ดังนั้น ในประเด็นการทำงานของสมองและจิตใจกับการเล่าเรื่อง สาระสำคัญคือพ่อแม่ต้อง ทำความเข้าใจใคร่ครวญในตนเอง (self-reflection) เสียก่อนเพื่อจัดการกับปมบาดแผลบางอย่างหรือความรู้สึกนึกคิดที่ก่อเกิดอคติ การต่อต้านที่อาจก่อให้เกิดปัญหาในด้านความสัมพันธ์กับลูกหรือครอบครัว

ในที่นี้กระบวนการ self-reflection คือการหาความเชื่อมโยงสอดคล้องกันของความรู้สึกนึกคิดของตนเองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วใช้สติ (awareness) เข้ามาคิดพิจารณาสภาวะจิตใจด้านลบที่เราเก็บไว้โดยไม่รู้ตัวเหล่านั้น แยกแยะอดีตออกจากปัจจุบัน ทบทวนตนเองอย่างถี่ถ้วน และโอบกอดยอมรับทางเลือกการตัดสินใจของตนด้วยความเข้าใจและมีเมตตากรุณา เมื่อเกิดความเข้าใจในตัวเอง ความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกี่ยวพันกับการเปิดใจเรียนรู้ยอมรับความคิดความรู้สึกของลูกก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นด้วย

คำแนะนำง่ายๆ ในการทำ self-reflection คือลองพยายามเปิดรับความรู้สึกนึกคิดที่โผล่แวบขึ้นชั่วแล่นหรืออารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่ผุดขึ้นอย่างแรงกล้าทุกครั้งซ้ำๆ เมื่อเจอเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง หาความเชื่อมโยงปะติดปะต่อให้ได้ว่าความรู้สึกนี้ (เช่น ความกลัว ความโกรธโมโหอย่างรุนแรง) เชื่อมโยงกับสถานการณ์นั้นอย่างไร และเรามองเห็นตนเองในเหตุการณ์นี้ด้วยมุมมองอย่างไร

พ่อแม่ที่มองเห็นตนเองอย่างชัดแจ้งในทุกประสบการณ์ที่พบผ่านด้วยการเรียนรู้เข้าใจสภาวะจิตใจที่มีที่มาที่ไป ทั้งจากในอดีตที่ส่งผลต่อความเป็นตัวตนในปัจจุบัน เห็นความเป็นไปได้ที่จะพาตัวเองไปสู่อนาคตที่มั่นคงสดใส ก็จะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่สะท้อนการใช้ชีวิตให้กับลูกได้อย่างสร้างสรรค์

ด้วยการเล่าเรื่องที่กล่าวมานี้ จุดประสงค์เพื่อให้กำลังใจพ่อแม่ทุกคนว่า ทุกคนมีศักยภาพเต็มเปี่ยมที่จะแต่งเติมชีวิตของตนเองให้สอดคล้องสมบูรณ์ได้ และยังสามารถพัฒนาศักยภาพเดียวกันนี้ให้กับลูกๆ เพื่อเขาจะเติบใหญ่ไปอย่างงดงามด้วยเรื่องราวชีวิตที่พวกเขาเป็นผู้ลงมือแต่งเติมมันด้วยตนเอง

แบบฝึกหัดพ่อแม่

1. จากหน้าที่ของสมองซีกซ้ายและซีกขวา ให้ลองนึกเหตุการณ์ของตนเองกับลูก (เช่น พาลูกไปซื้อของเล่นแล้วลูกร้องไห้งอแง) และจดบันทึกแยกแยะการทำงานของสมองทั้งสองด้านที่มีต่อเหตุการณ์นั้น ซีกขวาบรรยายรายละเอียดเหตุการณ์อย่างไร เรารู้สึกต่อเหตุการณ์และลูกอย่างไร จากนั้นสมองฝั่งซ้ายวิเคราะห์เหตุการณ์นี้ว่าอย่างไร ตรรกะเหตุผลที่ใช้คืออะไร พยายามฝึกแยกแยะกระบวนการนี้ให้บ่อย

2. การจำบันทึกเป็นการใช้งานสมองซีกซ้าย (การประมวลผลด้วยภาษา เช่น พูด อ่าน เขียน) ดังนั้นพ่อแม่ควรหมั่นฝึกตนเองจินตนาการบ่อยๆ เพื่อสร้างสมดุลการทำงานของสมองซีกขวาด้วย การทำงานของสมองซีกขวานี้มักเป็นไปโดยไม่รู้ตัวหรือเลือนรางกว่าการคิดวิเคราะห์จากสมองซีกซ้ายข้อนี้จึงอยากให้พ่อแม่หลับตาแล้วจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์หรือความทรงจำที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูก เหตุการณ์นี้ส่งผลหรือมีความหมายต่อความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกอย่างไรบันทึกกระบวนการนี้ไว้ บรรยายความทรงจำให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทบทวนถึงความหมายของมัน จากนั้นสังเกตว่าการฝึกในข้อนี้ช่วยให้มีพัฒนาการด้านความสัมพันธ์กับลูกอย่างไรบ้าง และมีปัญหาหรือแง่มุมใดที่ยากลำบากในการจัดการกับมัน จินตนาการถึงปมบาดแผล (ถ้ามี) ลองจินตนาการถึงการเยียวยาว่าจะเยียวยาตนเองอย่างไร ถ้าปมบาดแผลที่ได้รับการคลี่คลายเยียวยาแล้ว สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร

3. ขอ 3 คำที่จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูก

3 คำนี้เป็นคำเดียวกันกับคำที่คุณใช้อธิบายความสัมพันธ์ในวัยเด็กระหว่างคุณกับพ่อแม่ด้วยหรือไม่ถ้าไม่ใช่คำเดียวกัน คำที่ต่างกันนั้นคืออะไร ต่างกันอย่างไร

3 คำนี้ครอบคลุมทุกแง่มุมความสัมพันธ์ได้หมดหรือไม่ มีความทรงจำใดบ้างที่อยู่นอกเหนือจากคำอธิบาย

3 คำนี้ความทรงจำที่อยู่นอกเหนือคำอธิบายนั้น ตรงกับความสัมพันธ์ของคุณกับพ่อแม่หรือคุณกับลูกอย่างไร
ที่มา:

Daniel J. Siegel, M. a. (2004). How We Perceive Reality: Constructing the Stories of Our Lives. In Parenting from the Inside Out (pp. 31-51). New York: tarcherperigee.

Tags:

หนังสือจิตวิทยาParenting from the Inside OutAdolescent Brainพ่อแม่

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family PsychologyBook
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่น เมื่อต้องรับมือกับความผิดหวัง อกหัก!

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

คุณวุฒิ บุญฤกษ์: เด็กชายผู้ล้มเหลวในวิชาวิทย์ สู่นักวิจัยสายสังคมศาสตร์
Voice of New Gen
21 August 2019

คุณวุฒิ บุญฤกษ์: เด็กชายผู้ล้มเหลวในวิชาวิทย์ สู่นักวิจัยสายสังคมศาสตร์

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ย้อนเส้นทางของ คุณวุฒิ บุญฤกษ์ เด็กห้องวิทย์คณิตล้มเหลวสู่การเป็นนักศึกษาปริญญาเอก, นักวิจัย, ผู้ช่วยสอนจากคณะสังคมศาสตร์ 
  • ความล้มเหลวสะท้อนผ่าน การตัดสินใจเลือกเรียนในสายวิทย์-คณิต เพียงเพราะเกรดถึงแทนที่จะเกิดจากความชอบ ผลร้ายคือเขาสอบตก แต่โชคดีที่ยังเบนเข็มกลับลู่ทางในช่วงมหาวิทยาลัย จากการทดลองทำงาน fieldwork (งานภาคสนาม) ทำให้รู้ว่าตัวเองชอบสายสังคมศาสตร์และมุ่งเอาจริงในด้านนี้
  • งานวิจัยที่เขาชอบคือการทำเรื่องอะไรก็ได้ที่เป็นเรื่อง minority (ชนกลุ่มน้อย) หรือ marginalization (สภาวะชายขอบ) แม้งานที่ทำอยู่จะต้องเจอกับภาวะเครียดและไม่ได้สนุกแบบ positive แต่งานวิชาการช่วยพาออกไปเจอคนและชุมชนใหม่ๆ “มันให้อะไรกับเราเยอะมาก”

ภาพ: ชาวโรฮิงญา ซัยดุลบาซัร

หลายครั้งที่เราอดถามคำถามบ้านๆ กับนักวิชาการที่นั่งชิลล์อยู่ตรงหน้าไม่ได้ว่า ทำไมถึงเรียนปริญญาโท แล้วทำไมยังไม่หยุดและตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอกในคอนเซ็ปต์เดิมอีก?

คุณวุฒิ บุญฤกษ์ นักวิจัยและผู้ช่วยสอนจากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บรรณาธิการเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ) นักศึกษาปริญญาเอกทุนโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ตอบง่ายๆ และจริงใจซ้ำๆ ว่า “การทำวิจัยมันสนุกมากเลย”

เด็กหลังห้องอาจจะขอกด cry

แต่คุณวุฒิก็เคยกด angry กับการศึกษาไทยมาก่อน ตำแหน่งมากมายที่เขาถือครองอยู่นี้ ไม่รวมการเป็นนักข่าวหรือนักทำภาพยนตร์สารคดี ถ้าย้อนไปเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน คุณวุฒิก็อาจจะงงเหมือนกันว่าเขาแบกรับความวิชาการทั้งหมดนี้ไว้อย่างไรไหว

ในจังหวะเวลาที่ระบบการศึกษากำลังตีรันฟันแทงกันว่าการศึกษาภาคบังคับยัดเยียดภาระเชิงวิชาการให้เด็กมากเกินไป ควรจะจัดหาศาสตร์ที่มีความหลากหลายและเปิดพื้นที่ให้เด็กได้เลือกและหาตัวตนของเขาด้วยจิตใจปลอดโปร่ง นักวิจัยที่อ่านเปเปอร์วิชาการหลังอาหารอาจจะตั้งคำถามว่า แล้วถ้าเป็นการเรียนการสอนเชิงวิชาการหนักๆ แต่เด็กเลือกแล้วว่าชอบล่ะ?

เด็กชายคุณวุฒิเป็นเพียงเด็กค่าเฉลี่ยปกติ ค่อนไปในทางห่วยเคมีในห้องที่เขาเรียกว่าเป็นห้องวิทย์-คณิตล้มเหลวที่โรงเรียน ต่อสู้กับความหฤหรรษ์ของวิชาเคมีและโลกของวิทยาศาสตร์ที่ตัวเองเข้าไม่ถึง จริตกบฏที่ตั้งคำถามกับทางเลือกที่ไม่มีน้ำใจของระบบการศึกษานำพาให้เขาตั้งชมรม English Reading Club พาเพื่อนไปดูงานที่ The Nation ทำหนังสือทำมือชื่อ ‘It’s My Way’ ขายเพื่อนสายศิลป์อย่างจริงจัง หรือแม้กระทั่งตั้งวงเล่นไพ่กับเพื่อนต่างห้องเป็นกิจวัตร

เป็นเด็กเกเรในสายวิชาการแต่เอาการเอางานอย่างมากที่จะเอาชนะความเป็นอื่นในสังคมการเรียนสมัยนั้น

ทว่าหลังจากที่ได้เลือกสิ่งที่ตัวเองอยากเรียนในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาเป็นระยะเวลา 4 ปีในช่วงปริญญาตรี ความเนิร์ดอันแรงกล้าต่อการศึกษาในสิ่งที่ชอบก็เติบโตอย่างออร์แกนิค คุณวุฒิอ่านหนังสือหรือศึกษาอย่างเกรี้ยวกราดจนเป็นนักวิจัยสายสังคมศาสตร์ที่กำลังศึกษาเรื่องโรฮิงญาด้วยแพชชั่น (และกุมขมับไปด้วย) ในระดับชั้นปริญญาเอก

เวลานี้นอกจากจะต้องเอ่ยชื่อวิทยานิพนธ์ (เอาแค่ปริญญาโทก็พอ) ว่าชื่อ Rohingya Diaspora in Thailand-Myanmar Borderland ผู้พลัดถิ่นชาวโรฮิงญาในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า อาจจะต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเขาเป็นอาจารย์ผู้ช่วยสอนที่กำลังคร่ำเคร่งกับการสอนนักศึกษาปริญญาตรีที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในวิชา เช่น Conceptualization ที่พูดถึงกระบวนการคิดเชิงสังคมศาสตร์ หรือ วิชาชาติพันธุ์สัมพันธ์และพหุวัฒนธรรม (Ethnicity and Multiculturalism) และเป็นพี่เลี้ยงโครงการพิเศษของ TCIJ School (โรงเรียนนักข่าว)

เราอาจจะต้องกาดอกจันไว้ดอกใหญ่ๆ ว่าต่อจากนี้ไป จะเป็นการสัมภาษณ์นักการต่างๆ ที่ว่ามาข้างต้นที่มีคอนเทนต์ค่อนข้างเฉพาะทางและเนิร์ดจนต้องกะพริบตาถี่ๆ บ้างในบางเวลา แต่อย่าเพิ่งกด cry หรือ angry เพราะสิ่งที่น่าสนใจคือพัฒนาการไม่มีเพดานของเด็กชายที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นนักเรียนตลอดชีวิตเสมอ ถ้าได้เรียนในสิ่งที่รัก

เพราะอะไร?

เพราะการวิจัยมันสนุกมากขนาดนั้นเลยหรือเปล่า?

หัวหน้าห้องวิทย์ – คณิตล้มเหลว – แกนนำชมรม English Reading Club – ขาประจำวงไพ่

บรรยากาศของโรงเรียนเป็นแบบไหน

เราเรียนที่วัดสุทธิวราราม เข้าได้ด้วยการจับฉลากเข้าง่ายๆ ในแง่ของวิชาการ เราคิดว่าระบบการศึกษาไทยที่ผ่านมาที่เราเจอนอกจากจะสอนให้เราเชื่องแล้ว มันสอนให้เรา passive กับสิ่งรอบตัวมากเกินไปหน่อย เราเป็นเด็ก Gen Y ยุคแรกๆ ที่คิดว่ามันมีพื้นที่ในการแสดงออกค่อนข้างน้อย

และที่โรงเรียนวัดสุทธิฯ ก็มีสังคมและชนชั้นที่ค่อนข้างหลากหลายมาก ลูกนักการเมืองก็มี นักธุรกิจก็มี แม่ค้าพ่อค้า ลูกอาจารย์ นักกีฬา หลากหลายมาก นอกจากชนชั้นทางสังคมแล้ว ชนชั้นทางวัฒนธรรมก็เยอะเหมือนกัน มีความหลากหลายทางเพศและทางศาสนา ทางชาติพันธุ์ก็มี เช่น มีคนซิกข์ ฮินดู ลูกครึ่งมาเรียน แล้วด้วยความที่ในเขตสาธร ยานนาวา เจริญกรุง มัสยิดเยอะมาก มีมุสลิมที่มาจากทั้งชวา มลายู ปากีสถาน ทำให้แม้แต่มุสลิมด้วยกันเองที่มาเรียนโรงเรียนวัดก็หลากหลาย อย่างในห้องเรียนมีมุสลิมเฉลี่ยประมาณ 4 คน รวมเราด้วยก็ถือว่าเยอะนะ แต่ค่าเฉลี่ยของเพื่อนกะเทยเนี่ย 7-8 คน (หัวเราะ) มันมี subset ของ subset ในโรงเรียนเยอะมาก อันนี้เป็นข้อดีที่เราคิดว่าได้จากการเรียนมัธยม 

จากวัฒนธรรมที่หลากหลายในโรงเรียน (ซึ่งเป็นโรงเรียนวัดด้วย) เรารู้สึกถึงการชนกันของวัฒนธรรมและศาสนาบ้างไหม

ตอนนั้นเราไม่รู้สึก เพิ่งมารู้สึกตอนที่โตขึ้นแล้วมี critical thinking (การคิดเชิงวิพากษ์) มากขึ้น ซึ่งน่าจะได้มาเพราะว่าเราอ่านหนังสือเยอะ คิดว่าตอนนั้นเรายอมตามเพราะคนอื่นเขาทำกันไง เช่น การฟังพระสวด ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้นะ เราอยากจะขออาจารย์ว่าเพื่อนที่ต่างศาสนิกขอไปนั่งรอในห้องได้ไหม ซึ่งมองในอีกมุมหนึ่ง เราก็ได้เรียนรู้เยอะเหมือนกันในความหลากหลายนี้ แต่โรงเรียนบังคับให้เราเสพเพียงศาสนาเดียว ทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่มีพื้นที่ของเรา นอกจากจะไม่มีพื้นที่ของวัยรุ่นแล้ว พื้นที่ที่อยากจะแสดงออกทางวัฒนธรรมก็ไม่มีเลย 

ระบบการศึกษาไทย Passive อย่างไร

ห้องเรามันคือห้องเด็กสายวิทย์-คณิตล้มเหลวน่ะ เป็นชื่อเรียกที่ในโรงเรียนจะรู้กัน เรายอมเรียนไปทั้งๆ ที่เราก็ตกกระจุยเลย เท่าที่จำได้ เกรดวิชาเคมีที่ดีที่สุดของเราคือ 1 ซึ่งเราได้ 1 0 1 0 สลับอยู่อย่างนี้ ฟิสิกส์ได้ 2 บ้าง แต่ประเด็นคือว่าเขาทำให้เราไม่สามารถตัดสินอนาคตของตัวเองได้ มันไม่มีแม้กระทั่งกระบวนการที่จะให้เราเลือกก่อนว่าเราอยากเรียนสายนี้ เป็นฟังก์ชั่นที่จัดให้มาเลย ให้เลือก 2 ทางคือสายวิทย์-คณิต กับ สายศิลป์-สังคม สายสังคมเป็นห้องท้ายสุดของระดับชั้นซึ่งไม่มีวิชาการคำนวณเลย แต่เราก็ยังอยากเรียนเลขอยู่บ้าง ณ ตอนนั้นไม่มีสายให้เราเลือก เราเลยเลือกเรียนวิทย์-คณิตด้วยความรู้สึกที่เลือกไม่ได้ 

ทำไมถึงไม่ย้ายสาย

เราถูกบังคับให้เรียนสายวิทย์-คณิตเพราะว่าเกรดเราถึง โรงเรียนวัดสุทธิฯ จะมีทั้งหมด 12 ห้อง ห้องวิทย์ 6 ห้อง และสายอื่นๆ อีก 6 ห้อง เกรดเราอยู่ในระดับกลางๆ ไปทางดี แต่พอเข้า ม.4 เราก็ถูกจัดให้เรียนสายวิทย์ พอเรียนไปได้ 1 เทอม เราก็ให้พ่อแม่ไปคุยกับที่โรงเรียนว่าอยากจะย้ายสาย แต่ทางโรงเรียนบอกว่าคุณมีความสามารถที่จะเรียนอยู่ ทำไมไม่เรียนห้องที่มันมีคุณภาพมากกว่า ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่สู้เพื่อให้ได้ย้ายต่อนะ แต่รู้ตัวเองเลยว่าเราไม่สามารถเรียนสายวิทย์-คณิตได้  

ที่ว่าห้องวิทย์ล้มเหลวคือล้มเหลวในแง่ไหน การศึกษา อาจารย์หรือเพื่อนในห้อง?

ทั้งหมดเลย เราไม่ได้โทษระบบอย่างเดียวนะ เราโทษตัวเองด้วย เพราะเราก็ไม่อยากเรียน เราเลยคิดว่าปัญหาคือระบบการศึกษา ตัวนักเรียน แล้วก็ตัวอาจารย์ด้วย ตัวอาจารย์ที่เรารู้สึกว่าเขาไม่มี mindset ของการคิดเชิงวิพากษ์เลย มันอาจจะไม่ต้องมีรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่การเรียนเป็นแพทเทิร์นแบบนั้นมันทำให้เราเชื่องมาก บางอย่างเรารู้อยู่แล้วว่าเราจะเรียนอะไร ก็เลยตัดสินใจไปเตะบอลดีกว่า แทนที่จะนั่งฟังเลคเชอร์นี่เราก็คิดว่าเอาเวลาไปเล่นไพ่ดีกว่า

เราแทบจะไม่รู้สึกถึงการเป็นครูของอาจารย์เลยด้วย เหมือนเขาแค่มาเลคเชอร์อย่างเดียว สุดท้ายเราเลยไปทำชมรม English Reading Club ขอให้อาจารย์ภาษาอังกฤษมาเป็นประธานชมรม ซึ่งมันก็หลุดจากความเป็นวิทย์-คณิตไปเลย

ดูไม่ใช่เด็กตั้งใจเรียนหนังสือมากมาย แล้วไปตั้งชมรม English Reading Club ที่ฟังดูค่อนข้างเนิร์ดได้อย่างไร

เราพยายามจะเป็นโรบินฮูด สิ่งที่เราทำในโรงเรียนแล้วเรารู้สึกภูมิใจมากเลยคือ เราไปรวบรวมเด็กกเฬวรากที่เล่นไพ่ เล่นดนตรี ดูดบุหรี่มาอยู่ในชมรม แล้วเราก็หาทุนกัน ลงขันกันไปดูงานที่ The Nation ตอนสมัย ม.5 เราพาเพื่อนสี่สิบกว่าคน จากหลากหลายห้อง ซึ่งเราสนิทเกือบทุกคนนะ รวมตัวกันที่ท่าเรือสาธรแล้วไปดูงานที่ตึก The Nation

ทำไมรวมเพื่อนได้เยอะขนาดนั้น

คล้ายๆ กับเป็น community ของเด็กที่เป็น subculture ของโรงเรียน เราสนใจเรื่องการแต่งตัวจากนิตยสาร Cheeze ที่ดังมากในตอนนั้น สนใจเรื่องการฟังเพลง เตะบอล แทงบอล เล่นไพ่ สูบบุหรี่ เลยไปชวนเพื่อนพวกนี้ซึ่งจัดว่าเป็นเด็กกเฬวรากเลยมาอ่านภาษาอังกฤษด้วยกัน แล้วชมรมก็ยาวนานมาจนถึง ม.6 ก็แยกย้ายกันไป เราว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จกับเพื่อนบางคนที่ตอนแรกไม่ได้สนใจการอ่านหนังสือเลย แล้วเราทำให้เขาเริ่มสนใจอ่านหนังสือ 

เรามีเทปวงร็อคฝรั่งวงหนึ่งชื่อ System of a Down ซึ่งเราก็แชร์ให้เพื่อนฟัง เทปม้วนนี้มั่นใจเลยว่าฟังวนกันตั้งแต่ห้อง 5-12 แล้วอย่างเรื่องไปดูงานที่ The Nation เรารู้สึกว่าเราปฏิบัติการสำเร็จ ตอนนั้นไม่มีใครสนใจเรื่องสำนักพิมพ์ หรือนิตยสาร Student Weekly เลย 

แล้วเราก็พยายามทำต่อ จัดบูธ จัดงานกับโรงเรียน พอย้อนกลับไปอธิบายตัวเอง เราว่าเราพยายามทำให้คนอื่นรู้ว่าเรามี agency (การกระทำของมนุษย์โดยเสรี เกิดขึ้นจากการกระทำของเจตนาของมนุษย์) ของเรานะเว้ยที่จะทำเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องในระบบ เราทำประกวดวงดนตรี จัดกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับการศึกษาเท่าไหร่ แต่มันเป็นวัฒนธรรมที่มันต่อยอดไปสู่การเรียนมหาวิทยาลัยได้ เราทำหนังสือทำมือด้วย หรือจัดงานขายเสื้อมือสอง ให้ทุกคนเอาเสื้อมือสองมาแลกกัน 

เราไม่เคยมองเพื่อนเราว่าเป็นเด็กกเฬวรากแบบที่คนอื่นมองเลยนะ แต่อยากให้อาจารย์ในโรงเรียนรู้ว่าเขาก็มีสิ่งที่เขาทำได้ และทำได้ดีด้วย โดยที่อาจารย์ไม่ต้องมายุ่งด้วยซ้ำ มันเป็นความรู้สึกแบบนั้นตอนเด็กๆ ที่เราอยากจะชนะคนที่เราเอาชนะเขาในระบบไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องวิชาการที่เราแทบจะต้องเข้าไปกราบเขาเพื่อ “ขอเกรด 1 ให้ผมได้เปล่า” 

คิดว่าอะไรเป็นชนวนสำคัญคอยผลักดันเราให้จัดกิจกรรม จัดประกวดดนตรีหรือทำสิ่งที่อยากจะพิสูจน์ให้ครูเห็นว่าเพื่อนมีศักยภาพในด้านอื่น

ความรู้สึกเป็นคนอื่นในโรงเรียนสำคัญมาก เรารู้สึกแปลกแยกกับระบบของโรงเรียนทั้งเรื่องทรงผมหรือการใช้อุปกรณ์ของโรงเรียนที่มันผลักเราออกจากระบบการศึกษา ไม่ได้พูดถึงแค่เรียนวิชาคณิต วิทย์ ไทย สังคม แต่เป็นระบบของการใช้อำนาจในโรงเรียนค่อนข้างเยอะจากทั้งศิษย์เก่าหรืออาจารย์ แล้วสิ่งเหล่านี้มันทำให้เราอยากจะเป็น someone พร้อมกับเพื่อนๆ ของเรา แต่ก็ไม่ได้อยากจะเป็น someone ของเพื่อนวิทย์-คณิตด้วย เพราะเรารู้สึกว่าเด็กวิทย์-คณิตถูก stereotype มาตลอด 

เหมือนโรงเรียนมองบทบาทค่อนข้างชัดเจนว่าครูก็คือครู นักเรียนก็คือนักเรียน

ใช่ ไอ้ศัพท์ที่ว่าแลกเปลี่ยนเรียนรู้เนี่ย ไม่เคยอยู่ในความคิดเราเลย เราก็เลยอยากทำกิจกรรมร่วมกัน ทำไมวิชาศิลปะถึงไม่ให้เรียนด้วยกัน เด็กห้องวิทย์ทำงานศิลปะโคตรเห่ย แต่ห้องสายศิลป์ทำงานดีขนาดนี้ ทำไมไม่จัดให้ช่วยกัน เด็กห้องศิลป์ห่วยวิชาเลขขนาดนั้น ทำไมไม่ให้ไปติว สนุกจะตาย เรากับเพื่อนอีกประมาณ 4-6 คนในห้องวิทย์ล้มเหลวทั้งสองห้องรู้สึกว่าเราเป็น nobody มากๆ เลยในสายวิทย์-คณิต เราเลยอยากจะทำอะไรของเราเอง

เราถือว่าเป็นเด็กที่มีภาวะผู้นำไหม?

ใช่ๆ เราเป็นโดยตั้งใจด้วย เราอยากจะเป็น someone ในห้องเราน่ะ เราไม่อยากเป็นไอ้คนที่สอบเคมีตกทุกเทอมแล้วก็เป็นใครก็ไม่รู้ที่ทำอะไรไม่ได้ ถ้าจะให้เราอธิบายตัวเองในตอนนี้ เราว่าเรามี agency มากๆ (การกระทำของมนุษย์โดยเสรี เกิดขึ้นจากการกระทำของเจตนาของมนุษย์) เลยที่จะทำเรื่องอื่นๆ แล้วเรารู้สึกไม่เหนื่อยเลยกับการกลับบ้านไปแล้วต้องมาเขียนหนังสือทำมือ แต่เราไม่ทำการบ้าน แล้วค่อยมาลอกเพื่อนตอนเช้า (หัวเราะ) เราอยากมีอะไรที่เรารู้สึกว่าเพื่อนต้องมาถาม เพื่อนต้องนึกถึงเราบ้าง เราเป็นหัวหน้าห้องสามปีรวดเลย แต่เราไม่ได้ถูกเลือกเพราะความเป็นผู้นำและเก่ง แต่เพื่อนเลือกเราเพราะเราทำอย่างอื่นได้ดีมั้ง เหมือนกับว่าเราไม่เนิร์ดขนาดที่จะอ่อนต่ออาจารย์ตลอดเวลา เราต่อรองได้บ้าง เหมือนเราอยู่กึ่งกลางระหว่างเด็กเรียนกับเด็กผี เพื่อนเลยเลือกเรา เราน่าจะเป็นคนแบบรับมือกับเด็กผีได้ และรับมือกับเด็กเรียนได้ ซึ่งมันเป็นข้อดีที่ทำให้เราเข้าถึงอาจารย์และตั้งชมรมได้ 

แล้วพอใช้ชีวิตมัธยมอยู่ในห้องวิทย์ล้มเหลวที่ไม่ได้อินกับเรื่องวิชาการมาก แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องใช้วิชาการ เราทำอย่างไร

ก็ทำๆ ไป ไม่ได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เลย ตอนแรกเราจะไปเรียนคณะสาธารณสุขที่ มศว เพราะว่าเราสอบตรงได้ แต่สุดท้ายไปเรียนวารสารฯ ที่ ม.บูรพา ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากทำอะไรที่ออกไปข้างนอก ออกต่างจังหวัด เราไม่เครียดกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย เราชอบตัวเองตอนนั้นตรงที่ว่าเราสุขภาพจิตดีมาก เราเรียนอะไรก็ได้ที่เราได้เดินทาง ได้เติบโตนอกบ้านบ้าง 

ทำไมถึงเลือกที่จะทำงานเรื่องโรฮิงญาในปริญญาโท: เพราะว่าทำวิจัยสนุกมาก

พอเข้าสู่การเรียนในมหาวิทยาลัยที่เริ่มมีความเป็นวิชาการเฉพาะทางอย่างชัดเจน เราตั้งใจเรียนตั้งแต่แรกหรือเราใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยกับมัน

ช่วงแรกๆ ก็มีอะไรที่ไม่ชอบเหมือนกัน เพราะปริญญาตรีต้องเรียนวิชาพื้นฐานต่างๆ ที่เราไม่ชอบเลย โดยเฉพาะวิชาสร้างคุณลักษณะ สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต แต่พอเรามาเริ่มเรียนการเขียนข่าวเบื้องต้นเราก็เริ่มสนุกแล้ว สนุกมากเลย เรารู้สึกว่าเราได้เรียนวิชาการเขียนบทความ แล้วอาจารย์อ่านงานเรา คอมเมนต์งานเรา เรารู้สึกว่าการฝึกปฏิบัติทำให้เราได้ลองหลายอย่าง เราได้เขียนทั้งรีวิวอาหาร คอนเสิร์ต วงเสวนา

4 ปีในมหาวิทยาลัยน่าจะเป็นการศึกษาอีกแบบหนึ่งกับที่โรงเรียน

ใช่ มันทำให้เราอ่านเยอะขึ้น สิ่งที่สำคัญและเราคิดว่าเราได้ประโยชน์จาก ป.ตรีก็คือการเรียนการทำข่าว วิธีการตั้งคำถามให้ดีต้องทำยังไง เราได้ทำ fieldwork (งานภาคสนาม) เยอะมาก เราได้เคลื่อนไหวกับชาวบ้านในหลายๆ ประเด็นโดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อมในภาคตะวันออก ซึ่งมัน shape เรา 

เหมือนกับว่าเราล่องลอยมากๆ เลย แล้ววันหนึ่งเราได้มาทำอะไรที่มันคลิก เราเริ่มทำรายงานพิเศษ เริ่มทำข่าวเจาะ สารคดีเชิงข่าว สารคดีขนาดยาวครั้งแรก ซึ่งมันทำให้เรามารู้จักกับงานสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ที่หัวใจของมันคือการทำ fieldwork เหมือนกัน เรายืนยันว่าการเรียนหนังสือพิมพ์ของเรามันเอื้อประโยชน์ให้กับการเรียนสังคมศาสตร์ตอนปริญญาโทมากๆๆ

อย่างไร?

เพราะเราจะเข้าใจ methodology (วิธีวิทยา) ในการหาข้อมูลว่าการทำข่าว วิธีการเก็บข้อมูลระยะยาว หรือตั้งคำถามเพื่อจะนำไปสู่คำตอบในการวิจัยต้องทำแบบหนึ่ง แต่การตั้งคำถามเพื่อจะนำไปสู่คำตอบที่จะนำมาเขียนข่าวเร็วๆ ต้องทำอีกแบบหนึ่ง เราเข้าใจเซนส์พวกนี้เร็ว แต่เราจะอ่อนทฤษฎีมากเลย พื้นความรู้ด้านรัฐศาสตร์หรือสังคมวิทยาเราอ่อนมาก เราแทบจะต้องมาอ่านใหม่หมดเลยตอนเรียน ป.โท ซึ่งพอเรามองมันเป็นความสนุกมันก็ไม่มีปัญหาไง การอ่านอะไรยากๆ ไม่ยากเท่ากับการอ่านแล้วไม่เข้าใจ 

เป็นคำตอบที่ค่อนข้างดีเลยนะถ้าจะพูดถึงความสำเร็จของการศึกษา

ใช่ เพราะว่ามันสนุกมาก มันสนุกตรงที่เราเรียนปุ๊บ เราทำงาน มีคอมเมนต์ คอมเมนต์แล้วแก้ แล้วงานเราดีไหม เราเห็นกระบวนการที่ชัดเจนไงว่างานเรามันมี timeline แล้วมันก็มีจุดสิ้นสุด ย้อนกลับไปเทียบกับการเรียนเคมี กูจะเอาเคมีไปทำอะไรวะ (หัวเราะ) มันไม่รีเลทกับเรา แล้วเราเรียนเคมีน่ะ เราจะเป็นนักเคมีในประเทศไทยเหรอวะ มันมีกี่คนวะ 

ปริมาณการอ่านหนังสือเทียบจากตอนมัธยมมันเพิ่มขึ้นเยอะไหม

คูณสี่คูณห้าน่ะ รวม assignment ด้วยนะ ตอนมัธยมอาจจะอาทิตย์ละเล่ม เดือนละ 4-5 เล่ม แต่มหาวิทยาลัยนี่เดือนละสิบกว่ากว่าเล่ม แน่นอน มันเป็น assignment ด้วย แล้วเราต้องรีวิวหนังสือทุกอาทิตย์ส่งอาจารย์

พอเข้าไปเรียนปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย มีจุดอะไรที่ช่วย Shape ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเราเติบโต

เราว่าเป็นเรื่องการอ่านงานแบบ monograph (หนังสือที่ย่อยมาจากงานวิจัย) ในปริมาณเยอะๆ ตอนอยู่ปี 4 เราฝึกงานที่บริษัทมติชนตอนปี 3 และได้ทำข่าวเรื่องไซยะบุรี เราอ่านงานวิจัยของอาจารย์คนหนึ่งแล้วเรารู้สึกว่าวิธีการแบบนี้มันคล้ายกับการทำข่าวเหมือนกันนะ แต่คุณอยู่ในพื้นที่นานกว่า คุณมีขอบเขตของคุณกับคนที่คุณศึกษาน้อยกว่า ทำไมนักข่าวถึงทำแบบนี้ไม่ได้ แล้วเราก็ไม่อยากทำงานรูทีนมั้ง ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นเราจะอธิบายตัวเองว่าเราอยากจะทำงานวิจัย งานสารคดี เลยเลือกมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เลย ด้วยเหตุที่ว่าหนังสือส่วนใหญ่ที่อ่านมาจากที่นี่ด้วยแหละ

ตอนตัดสินใจจะเรียนปริญญาโทคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต่อ ตัดสินใจได้เด็ดขาดเลยไหม

เด็ดขาดมาก ไม่ต้องเลือกเลย

โอ้โห เพราะอะไร

เพราะเรารู้สึกว่างานวิชาการทางสังคมศาสตร์หลายๆ ชิ้นในประเทศไทยมันใช้ methodology คล้ายกับสิ่งที่เราเคยทำข่าว แล้วมันเป็นข้อดีที่ถ้าเราเอามาปรับใช้กับการเรียนของเรา เราอาจจะทำงานข้อมูลเชิงลึกได้ดีมากขึ้นถ้าเรามีแนวคิดทางด้านสังคมศาสตร์ วิธีวิทยาและการทำงานด้านมานุษยวิทยามากขึ้นจากการเรียน ป.โท ตอนนั้นเรายังไม่ได้หวังว่าเราอยากจะไปเป็นนักวิจัยเหมือนตอนนี้นะ เราอยากทำงานข้อมูล รายงานพิเศษที่มันลึกกว่าคนอื่นเขาโดยที่มีวิธีคิดอยู่เบื้องหลังชัดเจน เลยทำให้เราไม่ลังเลเลยว่าทำไมเราถึงกระโดดไปเรียนสังคมศาสตร์ เพราะการเรียนวารสารฯ ตอน ป.ตรีแล้วไปเรียน ป.โทแบบเดิมอีก เราอาจจะต้องทำงานวิชาการด้านสื่อสารมวลชนเป็นหลักซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจ

เรารู้สึกว่าวารสารศาสตร์มันให้เครื่องมือกับวิธีคิดเรา แต่ยังไม่ให้องค์ความรู้ที่มันตกผลึกแล้วหรือถกเถียงได้ เราเพิ่งมารู้จักศัพท์ เช่น grand theory (ทฤษฎีมหภาพ) constructivism (ทฤษฎีการประกอบสร้างนิยม) positivism (แนวคิดปฏิฐานนิยม) หลังจากเรียน ป.โท ซึ่งเรารู้สึกว่าเราต้องการสิ่งเหล่านี้มากเลยในการทำงานวิจัย เราไม่อยากเป็นนักข่าวรูทีนทำงานรายวัน เรานับถือนักข่าวรายวันมากนะ แต่เราไม่อยากทำเพราะว่าเราทำได้ไม่ดีเท่าเขาหรอก ถ้าเราทำข่าวรูทีน เต็มที่ 2 ปีเราอาจจะตายน่ะ (หัวเราะ) 

ขยายความเรื่อง ‘อยากเล่าเรื่องลึกๆ’ ที่ว่าให้ฟังหน่อย

รายงานพิเศษของเราเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ตอน ป.ตรีเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมหมดเลย โรงถลุงเหล็กจันทบุรี ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แล้วเรารู้สึกว่าเราต้องการองค์ความรู้ที่มันจะอธิบายเรื่องปรากฏการณ์พวกนี้ได้ลึกยิ่งกว่าการบอกว่าชาวบ้านมีปัญหากับทุนกับรัฐแย่งพื้นที่ทำกิน ไล่รื้อที่ดิน การสังหารชาวบ้าน เช่น การใช้วาทกรรมเรื่องคนอยู่ทีหลังกับคนอยู่มาก่อน หรือการใช้วาทกรรมในการอธิบายเรื่องโฉนดที่ดินที่มันถูกกฎหมายหรือไม่ถูกกฎหมาย หรือแม้กระทั่งใช้สัญลักษณ์ในการต่อสู้ของชาวประมงแหลมฉบัง ซึ่งตอนนั้นเรายังอธิบายแบบนี้ไม่ได้ งานของเราในตอนนั้นมันขาดมุมมองความแหลมคมในเชิงวิชาการมากๆ เราเลยไม่ลังเลเลยที่จะเรียนสังคมศาสตร์ต่อเพราะเราสนุกกับมันมาก

การทำวิจัยในระดับปริญญาโท นอกจากจะทำให้เราเห็นภาพกว้างที่นอกจากสัมภาษณ์ทุกๆ ฝ่ายแล้ว เราเรียนรู้ด้วยว่าเราจะใช้วิธีการใดกับใคร ซึ่งมันไม่มีบอกในการทำข่าวหรอก และไม่มีเวลาพอด้วยที่จะให้นักข่าวใช้เวลาเพื่อที่จะทำ participant observation (การสังเกตแบบมีส่วนร่วม) กับชุมชน 

เช่น เราเข้าไปอยู่ในชุมชนนานขึ้นเพื่อที่จะขึ้นไปบนเรือเขาได้ จับปลากับเขาได้ ไอ้วิธีการแบบนี้แม้ว่าจะใช้ระยะเวลานาน แต่ทำให้ข้อมูลที่เราได้มาแทบจะเป็นคนละเรื่องเลยกับเรื่องที่เราเคยเขียนตอน ป.ตรี หรือการเข้าถึงข้อมูลของรัฐ เราก็ต้องคิดแล้วว่าไปในฐานะอะไรจะทำให้เราได้ข้อมูลที่คมกว่า มากกว่า เราอาจจะต้องใช้ทุนทางสังคมของเราในการเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะเข้าไปเก็บข้อมูล มันทำให้เราทำงานอย่างเป็นระบบเพื่อนำไปสู่ข้อมูลที่แตกต่างได้ 

สนใจทำวิทยานิพนธ์เรื่องอะไรตอนเรียนปริญญาโท

การได้มาซึ่งหัวข้อวิทยานิพนธ์ ป.โทของเรามันมาจากทั้งการเรียน การอ่าน สังคม อาจารย์ และการออกไปเจอกับสังคมวิชาการต่างๆ (เคยไปแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ National University of Singapore ราว 3 เดือน) สิ่งเหล่านี้มันช่วยหล่อหลอมวิธีการคิดทางวิชาการของเราเยอะมากเลย งาน ป.โทของเราพูดถึงเรื่อง diaspora (การพลัดถิ่น) เป็นหลัก คอนเซ็ปต์มันพูดถึงคนพลัดถิ่นที่มีทั้ง route ที่เป็นเส้นทางและ root ที่เป็นราก ซึ่งการอธิบายแบบนี้มันน่าสนใจว่าเราจะอธิบาย contemporary refugee (ผู้ลี้ภัยในบริบทปัจจุบัน) ได้ยังไง 

วิทยานิพนธ์ของเราชื่อ ‘ผู้พลัดถิ่นชาวโรฮิงญาในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า’ ตอนแรกเราไม่ได้สนใจเรื่องโรฮิงญา เราสนใจเรื่อง Burmese Muslim (มุสลิมพม่า) แต่จะทำยังไงให้งานน่าสนใจไปอีก ก็เลยทำเรื่องโรฮิงญาไปเลยดีกว่า หัวข้อนี้มันอยู่ในกระแสแล้วเรามีเพื่อนเป็นโรฮิงญาค่อนข้างเยอะในกรุงเทพฯ แต่ที่จับพลัดจับผลูต้องไปทำที่ชายแดนเพราะเราก็สนใจทั้งโรฮิงญาและชายแดนศึกษา

ทำไมจากภาพกว้างเรื่องสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา สโคปแคบมาเรื่องมุสลิมพม่า แล้วทำไมต้องชายแดนศึกษาอีก

เรารู้สึกว่าการอธิบายชุมชนมุสลิมในชายแดนในไทยยังน้อยมาก แล้วทำไมถึงเป็นโรฮิงญา? เพราะจำนวนประชาการของโรฮิงญาเยอะขึ้นในไทยและในชายแดนพม่า แต่เราต้องรู้ว่าเราจะไม่ทำงานที่ซ้ำกับคนอื่น และต้องมีข้อเสนอทางวิชาการที่มันโอเค รับได้ อาจจะไม่ได้แหลมคมเหมือนนักวิชาการเก่งๆ แต่มันต้องมีข้อเสนอใหม่ ซึ่งการจะรู้ว่ามันเป็นข้อเสนอใหม่หรือเปล่า เราต้องอ่านงานคนอื่นมาก่อนไง เราถึงจะรู้ว่าเราจะทำหัวข้ออะไร

drive ของเราคือการทำเรื่องอะไรก็ได้ที่เป็นเรื่อง minority (ชนกลุ่มน้อย) หรือ marginalization (สภาวะชายขอบ) การทำเรื่องมุสลิมพม่านี่ก็เพราะว่าอย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนไทย เราอยากทำเรื่องคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา แต่เราก็ยังอยากทำเรื่องที่เป็นไปได้อยู่ เราเป็นมุสลิม เราก็ใช้ทุนทางวัฒนธรรมของเราที่เป็นมุสลิมเพื่อเข้าสู่ชุมชนมุสลิมได้ แต่เราก็ยังได้ทำเรื่องคนอื่นอยู่ไง

มันเชื่อมโยงกับตอนที่เราเด็กๆ ด้วยไหมที่เรารู้สึกถึงความเป็นอื่นในโรงเรียน

เรารู้สึกว่าความเป็นอื่นของเราในไทยมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ความเป็นอื่นของเราที่เป็นมุสลิมมันทำให้เราใช้มันเป็นเครื่องมือในการทำงาน ทำวิจัยได้ แน่นอนว่าเราจะเข้าใจโลกทัศน์ของอิสลามและโลกทัศน์ของพุทธเพราะเราเรียนโรงเรียนวัด แต่ข้อเสียคือเราก็มักจะถูก stereotype ว่าเป็นมุสลิมต้องเป็นแบบนี้ๆๆ 1 2 3 4 ซึ่งมันทำให้เราอึดอัดตลอดเวลาเลยในการเป็นมุสลิมไทย มุสลิมกรุงเทพฯ ก็จะเป็นคนอื่นของมุสลิมจีนในเชียงใหม่ และมุสลิมในกรุงเทพฯ แบบเราที่ไม่ได้เคร่งมากก็จะเป็นคนอื่นในมุสลิมในกรุงเทพฯ ด้วยกัน เลเยอร์ของความเป็นอื่นของเรามันเยอะ แต่มันก็ข้อดีข้อเสียอยู่ที่เราจะใช้มันยังไง

เราศึกษาโรฮิงญา มุสลิมพม่า เลเยอร์ของเขาก็เยอะเหมือนกัน เราเลยอยากจะเข้าใจความเป็นอื่นในที่อื่นด้วย เวลาที่โรฮิงญามาอยู่ในปลายทางที่เขาไม่ได้ต้องการ เราจะเข้าใจเขาได้ยังไง งานเราอาจจะไม่ได้ช่วยทำให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น แต่อย่างน้อยที่สุด เราเชื่อว่าในวิทยานิพนธ์ของเรา คนอ่านจะเข้าใจ sense of belonging (สำนึกความเป็นเจ้าของ) ของคนอื่นได้แน่นอน

Sense of Belonging สำคัญอย่างไร? แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเข้าใจแล้ว

มันสำคัญกับคนทุกยุคนั่นแหละ เราอาจจะพูดถึง sense of belonging ในแง่ของอารมณ์มากๆ แต่ของผู้ลี้ภัย นอกจากเรื่องอารมณ์ ความรู้สึกแล้ว มันคือเรื่องความอยู่รอด ซึ่งมันสำคัญมาก

นักสังคมศาสตร์ทำงานวิจัยเพื่อที่จะเข้าใจมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อที่จะตอบคำถามของตัวเองเท่านั้น ถ้าเข้าใจเขาได้สักนิดหนึ่งมันก็จะเป็นงานที่มีคุณค่า แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวลมันจะเผยออกมาในงานเขียนของเราเลยว่างานคุณดีหรือเปล่า เข้าใจเขาดีจริงหรือเปล่า มันไม่มีเกณฑ์อะไรมาตัดสินเลยว่าเราเข้าใจเขาแล้ว เราคิดว่าลิมิตหรือเลเวลของการเข้าใจ subject ของเรามันอยู่ที่ว่าเราตอบคำถามของงานวิจัยเราเคลียร์หรือเปล่า เราตอบได้ดีหรือไม่ดี

พอเราศึกษาในประเด็นคนชายขอบเยอะ เรามีแนวโน้มที่จะ Romanticize คนที่เราศึกษาไหม

ใช่ ตลอดเวลา เราเลยต้องมี peer review (กระบวนการกลั่นกรองโดยผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก) มีผู้อ่าน มีอาจารย์คอยหาสมดุลความ dramatic ของเรา งานเราในยุคแรกโคตรโปรโรฮิงญาเลย ในขณะเดียวกันเรารู้สึกว่างาน ป.เอกของเราก็มองโรฮิงญาในแง่ negative มากไป 

เวลาเราค้นพบว่าเรากำลัง Romanticize งานเขียนหรือคนที่เรากำลังศึกษาอยู่ เราทำอย่างไร

บางทีเราไม่รู้ เราเลยต้องการคอมเมนต์ แต่บางครั้งเรารู้สึกว่าแล้วไงล่ะ เราอยากจะเป็น voice ให้กับเขา เราก็ใส่ลงไปเลย เช่น มันมีเคสของโรฮิงญาที่ถูกอาสารักษาดินแดนทำร้าย เราก็เขียนลงไปในเปเปอร์เลย ปรากฏว่าการเขียนของเรามันเป็นการเขียนที่ทำให้ตัวตนของอาสารักษาดินแดนดูเป็นผู้ร้ายชัดเจนมาก แล้วโรฮิงญากลายเป็นผู้ถูกกระทำ ซึ่งจริงๆ แล้วมันคือการต่อรองกันในพื้นที่ชายแดน โรฮิงญาอาจจะทำผิดกฎหมาย แต่เราไม่สนใจ เรารู้สึกว่าอาสาฯ มีอำนาจ แต่ชาวโรฮิงญาไม่มีอะไรต่อรอง ทำไมเราจะเขียนแบบนี้ไม่ได้ เราใส่บทสัมภาษณ์โรฮิงญาเข้าไปเพราะเป็นสิ่งที่เขาพูดจริงๆ แต่ข้อเสียก็คือเราไม่ได้สัมภาษณ์อาสาฯ แต่มันเป็นเปเปอร์เรื่องโรฮิงญา เราไม่ได้คิดว่าการใส่บทสัมภาษณ์ของอาสาฯ เข้าไปจะทำให้มันรอบด้านขึ้น เพราะว่ามันไม่ใช่ข้อเสนอหลัก มันเป็นแค่ ethnography (ชาติพันธุ์วรรณนา) ที่เราอยากจะใส่เพื่อให้เห็นบริบทว่ามันเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายมันขึ้นอยู่กับว่าเราจะจัดการกับชุดข้อมูลที่เรา romanticize นั้นได้สมดุลแค่ไหน

พอเรียนต่อในระดับปริญญาโท เรารู้สึกว่าเราเป็นนักมานุษยวิทยาไหม

ไม่เลย เราสนใจงานมานุษยวิทยาก็จริงแต่เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันยังไม่เข้มข้นพอ แต่พอมาเรียน ป.เอก เราก็ไม่ได้สนใจแล้วว่าจะเป็นนักอะไร เรารู้สึกว่าการค้นหาความจริงในแบบของการทำวิจัยมันยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับเทรนด์วิชาการที่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราเคยมีความคิดชุดหนึ่งตอนก่อนเรียน ป.โทด้วยว่าความรู้ทางสังคมศาสตร์มันหยุดนิ่ง เมื่อเราอ่านเยอะขึ้นเราจะรู้เยอะขึ้น แต่จริงๆ แล้วแนวคิดทฤษฎีพวกนี้มันถูกท้าทายอยู่ตลอดเวลา

งานวิชาการมันเป็นพลวัต พอเราทำเรื่อง Burmese Muslim งานต่อไปมันต้องไปไกลกว่านี้ แล้วก็จะมีคนมาเถียงเราอีก แล้วก็จะไปอีกๆๆๆ ซึ่งข้อเสนอที่มันเกิดขึ้นมา มันจะไม่มีทางเหมือนเดิม ข้อเสนอของเราเมื่อ 2 ปีที่แล้วตอนนี้มันตกไปแล้ว เราเสนอว่าความสัมพันธ์ชุมชนชายแดนมันเอื้อให้เศรษฐกิจชายแดนของโรฮิงญาอู้ฟู่ขึ้นโดยที่ไม่ต้องอาศัยการกำกับดูแลของรัฐแล้ว ซึ่งไปดูปรากฏการณ์ตอนนี้สิ มันเปลี่ยนไปแล้ว นั่นคือสิ่งที่งานวิชาการทำ

ทำไมถึงเลือกที่จะทำงานเรื่องโรฮิงญาต่อในปริญญาเอก: เพราะว่าทำวิจัยสนุกมาก

ปริญญาเอกแล้วทำไมยังสนุกอยู่อีก

เวลาเราทำวิจัยมันจะมีช่วงที่เราเครียดแต่ว่าสนุก แล้วก็เครียด แต่ว่าสนุก พอไปประชุมมีคนมาคอมเมนต์เพื่อให้เราพัฒนางาน แล้วก็มีคนชอบงานเราด้วย งานเราก็พัฒนาไปอีก เราว่ามันเป็นความสนุกที่มันไม่หยุดอยู่ที่ ทำวิจัยจบแล้วก็ทำเรื่องอื่นใหม่ มันเป็นเรื่องของกระบวนการมากกว่า เราว่าระหว่างทางในการทำวิทยานิพนธ์เล่มหนึ่งมันสนุกมากเลย มันเครียดมากเลยนะ แต่ว่าคุณจะได้ไปเสนองานหรือไปทำเวิร์คช็อป หรือไปประชุม แล้วงานคุณก็จะสะสมเลเวลไปเรื่อยๆ แก้นิดแก้หน้อย เพิ่มมุมนี้นิดหนึ่ง เพิ่มคอนเซ็ปต์นี้เข้าไป ถกเถียงกับคนนี้ แวะไปถกเถียงกับคนนี้อีกทีหนึ่ง 

แล้วเรื่องโรฮิงญาที่เราเคยทำมันยังมีแง่มุมอื่นๆ อีกมากที่น่าทำ ก็เลยตัดสินใจเรียนต่อ ป.เอก ซึ่งเรายังคิดต่ออีกว่านอกเหนือจาก ป.โท ป.เอก เรื่องโรฮิงญาก็ยังมีมุมอื่นๆ ที่น่าทำอีกมากมาย พอเรายังมีพลังคิดกับมันเยอะ มันก็เลยสนุกน่ะ พอมันเป็นสิ่งที่เราชอบแล้วเราทำได้ดี ทำไมเราจะไม่ทำต่อล่ะ

แต่มันเป็นการทำงานที่เข้มข้น ประกอบไปด้วยความขัดแย้ง ความไม่สวยหรูของคอนเทนต์อยู่มากเหมือนกันนะ

มันอาจจะสนุกตอนที่เราได้ค้นคว้าข้อมูล แต่ตอนเก็บข้อมูลหรือตอนเห็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน เราก็เสียใจและหดหู่ แต่สิ่งเหล่านี้มันกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ขับให้เราต้องทำ ต้องเขียนเรื่องพวกนี้ออกมา ไม่ได้เขียนออกมาเพื่อจะลบล้างสิ่งที่เกิดขึ้นนะ แต่อย่างน้อยที่สุด เราได้บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของเราผ่านงานวิจัย 

ซึ่งมันแสตมป์ความเป็น official academic (งานวิชาการอย่างเป็นทางการ) เรารู้สึกว่าคุณค่าทางวิชาการ ในระยะยาว มันอาจจะตอบโจทย์คนที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง ได้เทียบเท่ากับงานข่าวรายวัน (ที่เราก็ทำด้วยนะ) แต่ผ่านวิธีที่เป็นระบบและมีคำอธิบายในเชิงวิชาการ

แต่ว่างานวิชาการที่เฉพาะทางมากๆ มันวนเวียนอยู่ในวงการวิชาการหรือเปล่า ไม่ได้เผยแพร่ออกไปสู่คนหมู่มากเหมือนข่าวหรือบทความ

นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เราทำหนังเรื่อง ‘Michael’s’ (ภาพยนตร์สารคดีเล่าเรื่องชีวิตผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา 2 คนในแม่สอด จังหวัดตาก) ตอน ป.โท เรารู้แหละว่างานวิชาการบางทีมันอยู่บนหิ้งแล้วก็ไม่มีคนอ่าน ตอน ป.โทเราเลยเอางานเราไปส่งเป็นบทความลงเว็บ 2-3 ชิ้น จัดวงเสวนาบ้าง จัดนิทรรศการที่หอศิลป์กรุงเทพฯ ทำอะไรที่มันพอจะสื่อสารได้โดยที่ใช้งาน ป.โทเราเป็นเบส ป.เอกเราก็จะทำเหมือนกัน เรารู้ว่างานขึ้นหิ้งน่ะมันถกเถียงกันในวงการวิชาการแล้วก็จบ เราก็สนุกในการประชุมไง แต่หลังๆ เรารู้สึกว่าเทรนด์ของงานวิชาการ เขาจะเอางานของตัวเองมาย่อยเพื่อทำมีเดียในแพลตฟอร์มต่างๆ เยอะขึ้นมาก ตอน ป.โทนี่เราทำสารคดียาว สั้น ภาพถ่าย วงเสวนา บทความในเว็บ ซึ่งเราคิดว่าเราทำได้ดีที่สุดแค่นั้นน่ะ แต่ว่า ป.เอกเราจะพยายามทำให้ได้มากกว่านั้นอีก

นอกจากคำถามในงานวิจัย จุดประสงค์ของการทำวิทยานิพนธ์เรื่องโรฮิงญาทั้งในปริญญาโทและปริญญาเอก คืออยากให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีเหรือเปล่า

ไม่กล้าคิดถึงขั้นที่อยากให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่อยากให้คนไทยเข้าใจ ไม่ใช่เฉพาะโรฮิงญานะ อยากให้คนเข้าใจไอเดียในฐานะพลเมือง เรื่องคำว่าผู้ลี้ภัย เรื่องคำว่า ‘คนอื่นในประเทศไทย’ หรือแม้กระทั่งคนต่างศาสนาที่ไม่ใช่คนไทย อย่างน้อยที่สุดอยากให้เข้าใจเขามากขึ้นสักนิดหนึ่ง เพราะว่าในบางที่เขาเป็นฟันเฟืองเศรษฐกิจนะ ในบางที่เขาเป็นมาเฟีย บางที่เขาเป็นผู้บริจาคหลัก คือเขาหลากหลายเกินกว่าที่คุณจะเข้าใจเขาแค่ว่าเป็นพวกขี้เกียจ มามีลูกในประเทศไทย สร้างภาระอย่างเดียวทั้งๆ ที่เงินภาษีของคุณไม่เคยไปถึงเขาเลย เราอยากให้เขาเข้าใจแค่นี้เลย แล้วที่เหลือมันจะตามมาเอง

เราเลยย่อยงานของเรามาทำงานสารคดี ภาพถ่าย สารคดีเวอร์ชั่นครึ่งชั่วโมงของเราดูง่าย ดูแล้วจะเข้าใจว่าโรฮิงญามี agency สูงมาก ไปต่างประเทศ พูดภาษาอังกฤษได้ คุณจะไม่ stereotype ผู้ลี้ภัยน่ะ ไอเดียเรามีแค่นี้เลยสั้นๆ 

การ Stereotype มันส่งผลกระทบอะไรบ้าง

คุณจะไม่มีทางเห็นผลกระทบทันที แต่ในทางอ้อม การ stereotype คน มันคือการสร้างวาทกรรมชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อมันฝังอยู่ในตัวคุณแล้ว คุณไม่มีทางที่จะสลัดมันออกไปได้เลย เรากำลังจะก้าวไปสู่การเป็นพลเมืองโลกแต่ถ้าวิธีคิดของคุณเป็นแบบนี้ เราว่ามันค่อนข้างจะใจแคบมากเลย เพราะเรารีบตัดสินคนอื่นโดยที่เราไม่เข้าใจ 

ถามอีกรอบ สิ่งที่ยังดึงให้เราอยู่กับมันก็คือความสนุกอีกเหรอ

มันไม่ได้สนุกแบบ positive แบบนั้นนะ ปะปนกับความเศร้า กับพลัง กับอะไรหลายๆ อย่าง เราตื่นเต้นทุกครั้งเลยนะเวลาไปประชุม เวลาเราได้เสนอสิ่งที่เราทำอยู่แล้วมีคนคอมเมนต์ มีคนชอบ ไม่ชอบ เราไปประชุมมาตั้งแต่ ป.โทเกิน 10 ครั้งแล้ว และทุกครั้งมันพาเราออกไปเจอชุมชนวิชาการใหม่ๆ แล้วมันให้อะไรกับเราเยอะมาก

อย่างตอนที่เราไปประชุม border study (ชายแดนศึกษา) ที่เนปาลเมื่อ 2 ปีที่แล้วระหว่างที่เรียน ป.โท เป็นงาน panel (งานวิจัยต่อเนื่อง) เล็กๆ หลังจากงานวันนั้นมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ประเทศแคนาดา (McGill University-มหาวิทยาลัยที่เน้นด้านการวิจัย) เขาส่งข้อความมาว่าชอบมาก แล้วก็ส่งคอมเมนต์และแนวคิดเรื่อง capital (ทุน) มาให้อ่านเพิ่ม สุดท้ายเราได้เอาไปใส่ในเปเปอร์ของเรา แล้วพิมพ์เปเปอร์นั้นได้จากการแก้ไข เราคิดว่ามันดีมากเลย เขาไม่ได้เป็นอะไรกับเราเลยนะ เขาแค่มาฟัง panel เราและช่วยเหลือเรา

เราจะได้สิ่งที่เราตกผลึกหรือวิทยานิพนธ์ที่มันโอเค นอกจากตัวเราเองแล้ว ชุมชนนักวิชาการสำคัญมากๆ งานที่เราอ่านจะหล่อหลอมเราทั้งหมดเลย เรารู้สึกว่าชุมชนนักวิชาการไม่ได้หล่อหลอมให้เราทำงานวิจัยเก่งขึ้นนะ แต่จะหล่อหลอมได้ว่างานของเราควรจะเป็นไปในทิศทางไหน

ความตั้งใจของเราคือถ้าเราได้เป็นนักวิจัย เป็นอาจารย์ที่ดีในอนาคต เราจะเป็นคนแบบนี้ คือคนที่คิดและคอมเมนต์งานคนอื่นได้ และช่วยให้เขามีมุมมองที่แหลมคม ละเอียด หรือรอบด้านมากขึ้น 

ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง ‘Michael’s’ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศผลงานประเภทสารคดี (รางวัลดุ๊ก) จากหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และมูลนิธิหนังไทยในเทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 19: 19th Thai Short Film and Video Festival และได้รับคัดเลือกฉายในเทศกาลในต่างประเทศ อาทิ Ethnografilm 2016, Global Migration Film Festival 2017 ฯลฯ



คุณวุฒิเป็นผู้ช่วยสอนวิชา Conceptualization, Learning Through Activity, Ethnicity and Multiculturalism (ชาติพันธุ์สัมพันธ์และพหุวัฒนธรรม), Ecological Anthropology in Mekong Region (มานุษยวิทยานิเวศในลุ่มน้ำโขง) ให้กับนักศึกษาภาคปกติและนานาชาติที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ได้รับทุน SEASREP Postgraduate Fellowship by The SEASREP Foundation ในการศึกษาระดับปริญญาโท และทุนโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ในระดับปริญญาเอก

Tags:

ระบบการศึกษาการเติบโตนักวิจัยวิทยาศาสตร์ชาติพันธุ์นักมานุษยวิทยาคุณวุฒิ บุญฤกษ์

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Movie
    Becoming : ตัวตน ‘มิเชล โอบามา’ ที่ไม่ได้มาจากโลกภายนอกแต่จากโต๊ะกินข้าวในครอบครัว

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Everyone can be an Educator
    ชวนเด็กเล่นเกม เรียนรู้ผ่านกล ฝึกฝนกระบวนการคิด : ฟิสิกส์แสนสนุกฉบับ ‘วิทย์พ่อโก้’ ดร.พงศกร สายเพ็ชร์

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    กรอบเพศแบบสองขั้ว (Gender binary) : วิทยาศาสตร์ชายเป็นใหญ่ที่กดทับเด็กในระบบการศึกษา

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    เส้นทางการหนีออกนอกห้องเรียน สู่ผู้สร้างโรงเรียนเพื่อเด็กชนเผ่า ‘โจ๊ะมาโลลือหล่า’ ของ‘ครูนิด-อรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์’

    เรื่อง วิภาดา แหวนเพชร ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    อานันท์ นาคคง: เรียนมานุษยวิทยาดนตรีผ่านงานวัด งานประเพณี ถกเพลงประเทศกูมีในห้องเรียน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

อ่าน เล่น ทำงาน:  รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’
EF (executive function)
20 August 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: รู้จักพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงได้ไม่รู้จบด้วย ‘ความจำหมายเลข 4’

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ระบบความจำของคนเราแบ่งง่ายๆ ออกเป็น 2 ส่วน คือความจำระยะสั้นและความจำระยะยาว

ความจำระยะสั้น เช่น เมื่อเช้ากินข้าวกับอะไร ความจำระยะยาว เช่น วันเกิด ชื่อพี่น้อง โมเดลความจำเช่นนี้ทำให้เราเข้าใจพยาธิสภาพที่เกิดแก่โรคจิตเวชและโรคทางสมองได้เสมอมา

ต่อมาจึงมีโมเดลของระบบความจำอีกชนิดหนึ่ง คือ ความจำใช้งาน (working memory) ความจำใช้งานเป็นความจำพร้อมใช้ เกิดขึ้น ทำงาน แล้วดับไป พบว่าโมเดลของความจำใช้งานสามารถอธิบายพัฒนาการเด็กและความผิดปกติของพัฒนาการได้ดีกว่าโมเดลเดิม เช่น โรคสมาธิสั้นเกิดจากความจำใช้งานที่สั้นเกินไป เป็นต้น

โมเดลของความจำใช้งานแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนความจำด้านเสียง (phonological loop), ส่วนความจำด้านภาพ (visio spatial sketchpad) และ ส่วนบริหารกลาง (central executive) ส่วนที่หนึ่งทำหน้าที่ถือครองเสียงที่ได้ยิน ส่วนที่สองทำหน้าที่ถือครองภาพที่เห็น และส่วนที่สามทำหน้าที่บริหารงานกลาง โมเดลนี้ใช้มาจนถึงประมาณต้นศตวรรษคือปี 2000 Baddeley AD ได้เสนอส่วนที่สี่ของโมเดลนี้ เรียกว่า ส่วนประสานงาน (episodic buffer)

ส่วนที่สี่นี้ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างความจำระยะยาวเข้ากับข้อมูลอื่นๆ รวมทั้งสามส่วนแรกให้ทำงานด้วยกันอย่างกลมกลืน นำไปสู่การตัดสินใจและลงมือทำงานด้วยความสามารถที่จะพลิกแพลงหรือเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ

ปัญหาของส่วนที่สี่นี้คือเราไม่ทราบว่ามีความจุเท่าไร พูดง่ายๆ ว่ามีขนาดเท่าไร เราเชื่อว่าขนาดหรือความจุของส่วนที่สี่นี้ยิ่งมีมาก เราก็น่าจะพลิกแพลงหรือเปลี่ยนแปลงวิธีทำงานได้ดีขึ้นหรือมากขึ้น

ทั้งหมดที่เล่ามาหลายตอนนี้เป็นเพียงโมเดล มิได้หมายถึงตำแหน่งแห่งที่ในสมอง อย่างไรก็ตามโมเดลนี้ใช้ทั่วไปในอเมริกาเหนือและยุโรป อีกทั้งสามารถวัดค่าสมมุติหรือค่าสัมพัทธ์ได้ด้วย ช่วยให้เราอธิบายได้ทั้งส่วนที่เป็นพยาธิสภาพและส่วนที่เป็นพัฒนาการ และมีข้อสรุปที่ชัดเจนในเบื้องต้นว่าโมเดลนี้ทำงานได้ดีที่สุดภายใต้การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่แรก

​กล่าวคือเมื่อเด็กยืนได้ เด็กควรเล่นและทำงานตั้งแต่แรกภายใต้ความสามารถที่เขามี มิใช่เพียงเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อขา แขน หรือสมองเท่านั้น แต่เพื่อพัฒนาโมเดลความจำใช้งานทั้งสี่ส่วนด้วย และเมื่อเข้าสู่ระบบโรงเรียนเด็กควรได้รับการศึกษาที่มุ่งเน้นการเรียนรู้จากการทำงาน มิใช่เพื่อผลลัพธ์ของงานแต่เพื่อพัฒนาโมเดลความจำใช้งานด้วยเช่นกัน อันจะนำไปสู่เยาวชนและผู้ใหญ่รุ่นใหม่ที่ทำงานเป็น คิดได้ และพลิกแพลงเป็น

จะเห็นว่าความรู้เหล่านี้มิได้ถูกนำมาใคร่ครวญในระบบการศึกษาของประเทศไทยเท่าไรนัก

ในอดีตที่ผ่านมาเราวัดส่วนที่ 1 คือความจำด้านเสียงในแบบทดสอบสติปัญญา (IQ test) หรือการตรวจสภาพจิต (mental status examination) กันอยู่แล้ว ด้วยเครื่องมือทดสอบที่เรียกว่า span test โดยให้เด็กพูดตามตัวเลข ตัวอักษร หรือคำ โดยทิ้งช่วงห่างของแต่ละตัวเลข ตัวอักษร หรือคำ ช่วงละ 1 วินาที แล้วนับจำนวนตัวเลข ตัวอักษร หรือคำ ที่เด็กพูดตามได้เมื่อผู้ทดสอบให้พูดตาม

​พบว่าเด็กควรทำการทดสอบนี้ได้หลังอายุ 7-8 ขวบที่ซึ่งการทำงานของส่วนที่ 1 คือความจำด้านเสียงพัฒนาดีมากแล้ว การทดสอบที่พบบ่อยคือการพูดตามตัวเลขซึ่งเด็กควรพูดตามได้ 4-5 หลัก เป็นอย่างน้อย อย่างไรก็ตามการทดสอบนี้มีข้อควรคำนึงบางประการ เช่น เด็กอาจจะไม่ได้ยิน สมาธิสั้น หรือมีปัญหาด้านการออกเสียง และที่สำคัญคือการทดสอบนี้แปดเปื้อนด้วยความจำระยะยาวเมื่อทดสอบด้วยการพูด ‘คำ’ ตาม สิ่งที่วัดได้จึงเท่ากับการวัดความสามารถของส่วนที่ 4 คือ episodic buffer ไปด้วย

​เราอาจจะลดความผิดพลาดของการวัดจำนวน ‘คำ’ ที่เด็กพูดตามได้ด้วยการให้คำที่เขาไม่คุ้นเคย

​การทดสอบด้วยวิธีพูดตามนี้เป็นหลักฐานที่ค่อนข้างแน่นหนาว่าส่วนที่หนึ่งของความจำใช้งานคือ phonological loop นี้มีอยู่จริง และเหตุที่ใช้คำว่า loop เพราะเด็กเองสามารถวนลูปของเสียงที่ได้ยินอย่างไม่จำกัดเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพของความจำใช้งานส่วนนี้ ดังนั้นการพากย์งานตัวเองของเด็กๆ ขณะทำงานบ้านจึงเป็นเรื่องดี และคุณพ่อคุณแม่จะช่วยพากย์การทำงานบ้านของเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการกวาดบ้าน ถูบ้าน หรือล้างจาน เป็นเรื่องทำได้

จะเห็นว่าพัฒนาการที่ดีเริ่มที่บ้านและบริโภคเวลาของพ่อแม่อีกแล้ว จึงว่า ‘ปริมาณของเวลา’ เป็นเรื่องสำคัญเสมอมา ใครกันที่ว่า ‘เชื่อว่า’ คุณภาพสำคัญกว่าปริมาณ

​อีกเรื่องหนึ่งที่ควรชี้ให้เห็น นั่นคือเด็กพัฒนาส่วนที่หนึ่งนี้ได้เรียบร้อยเมื่ออายุประมาณ 7-8 ขวบ

ไม่มีใครเขา ‘บังคับ’ ให้เด็กท่องจำอะไรยาวๆ ก่อนหน้านั้น ใครกันที่จะ ‘บังคับ’ ให้เด็กไทยท่องอาขยาน

​แม้ว่าการบังคับให้เด็กท่องอาขยานจะเป็นเรื่องควรระวัง การทดสอบจำนวนคำที่เด็กจะพูดตามนี้เราสามารถเพิ่มระดับความยากไปได้จนถึงระดับที่เด็กเกิดความเครียดได้ด้วย การใช้คำหลายพยางค์ที่เด็กไม่คุ้นเคย โดยสามารถทำได้ทั้งแบบจำนวนพยางค์คงที่หรือจำนวนพยางค์ที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ เช่น ให้เด็กพูดคำต่อไปนี้ตามหลังจากที่ผู้ทดสอบพูดให้ฟังหมดแล้ว

เอราวัณ จตุรทิศ ประชาธิปไตย ปรัศวภาควิโลม ปรากฏการณ์ธรรมชาติ

​คำเหล่านี้เป็นคำที่มีในพจนานุกรมและเป็นไปได้ที่เด็กอาจจะเคยได้ยินมาก่อนจากผู้ใหญ่ วิทยุ หรือโทรทัศน์ จึงว่าการทดสอบนี้อาจจะแปดเปื้อนได้จากความจำระยะยาว เพื่อที่จะลดการแปดเปื้อนนี้ผู้ทดสอบอาจจะประดิษฐ์คำใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในพจนานุกรมให้เด็กพูดตาม เช่น มิดนะเร เข้ตู้พาวงบ กรไพอะฝุอาด เป็นต้น

อีกวิธีหนึ่งคือให้เด็กพูดตามคำของต่างประเทศที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน การทดสอบนี้ในมือผู้เชี่ยวชาญวัดความล่าช้าของพัฒนาการด้านภาษาได้

​ยังมีอีกการทดสอบหนึ่งที่น่าสนใจ คือการทดสอบคำพ้องเสียงด้วยการให้เด็กได้ยินคำสองคำที่มีเสียงพ้องกันหรือเสียงไม่พ้องกัน เช่น ช้าง-ร้าง งู-ชู กบ-อ่าง ไก่-วิ่ง เสา-เต่า แล้ววัดจำนวนคำที่เด็กตอบถูก เป็นอีกเครื่องมือที่ใช้วัดความบกพร่องของพัฒนาการด้านภาษา

​ข้อเขียนทั้งหมดนี้สรุปความว่าอะไร?

สรุปอย่างสั้นคือ 1.เราไม่รีบ 2.ทำการศึกษาให้สนุก เด็กแต่ละคนจะพัฒนาระบบความจำใช้งานด้วยจังหวะก้าวของตัวเอง รวมทั้งพัฒนาการด้านภาษา

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความที่เกี่ยวกับ ‘ความจำใช้งาน’ ของ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ที่นี่:
อ่านเล่นทำงาน: จดจ่อ-แบ่งส่วน-เปลี่ยนจุดสนใจในระบบความจำใช้งาน
อ่านเล่นทำงาน: อ่าน‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่านเล่นทำงาน: เด็กทำอะไรช้ามาจาก‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆจึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่านเล่นทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน
อ่านเล่นทำงาน: การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก4-7 ขวบควรทำงาน”

Tags:

ปฐมวัยนิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาความจำใช้งาน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: จดจ่อ-แบ่งส่วน-เปลี่ยนจุดสนใจ ในระบบความจำใช้งาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : การทำงานและความจำใช้งาน (1) “เด็ก 4-7 ขวบควรทำงาน”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

อภิศักดิ์ ทัศนี: “การได้หาดกลับมา มีค่าเท่ากับปริญญาหนึ่งใบ”
Voice of New Gen
20 August 2019

อภิศักดิ์ ทัศนี: “การได้หาดกลับมา มีค่าเท่ากับปริญญาหนึ่งใบ”

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • 7 การเดินทางของ น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี กับจุดเริ่มต้นเป็นนักเคลื่อนไหวปัญหาการพังทลายของหาดทรายจากโครงสร้างแข็งบนหาดสมิหลาตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้น ม.5 ถึงวันนี้ น้ำนิ่งกลายเป็นคนทำงานภาคสังคมเต็มตัว และเป็นนักวิจัยในงานใหญ่อย่างสงขลา สมาร์ทซิตี้ ต้นแบบเมืองอัจฉริยะที่เริ่มต้นจากรั้วมหาวิทยาลัยขยายสู่เมือง
  • วิธีคิดที่ชัดเจนของน้ำนิ่งคือ ‘การเปลี่ยนแปลงต้องใช้ความรู้ด้านสังคม’ หลายศาสตร์เข้ารวมกัน เขาไม่เชื่อเรื่องการเรียนทฤษฎีในมหาวิทยาลัยเพียงสายใดสายหนึ่ง แต่การเรียนรู้เพื่อทำงานกับสังคมคือสนามจริงที่อยู่ตรงหน้า ปะทะจริง ถกเถียงด้วยความรู้เพื่อหาข้อสรุปจริง เอาตัวเข้าไปคลุกเพื่อถามให้ชัดว่า ถ้าจะอยู่ตรงนี้ ต้องรู้อะไร เท่าไหน และหาความรู้ที่ว่าได้อย่างไร 
ภาพ: เดชา เข็มทอง

หากพูดถึง หาดสมิหลา จังหวัดสงขลา หลายคนนึกถึงภาพทะเลสีสวยคู่วัฒนธรรมผสมผสานทั้งจีน ไทย และมุสลิม แต่อีกด้านของเหรียญเดียวกัน หาดสมิหลากำลังเจอกับปัญหา ไม่สิ… ต้องเรียกว่าเป็นปัญหาเรื้อรังยาวนาน 

ย้อนกลับไปราวปี 2543 กับการกัดเซาะชายหาดรุนแรง หน่วยงานรัฐแก้ไขด้วยการก่อสร้างโครงสร้างแข็งกันคลื่นซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ยิ่งซ้ำปัญหา ทำให้เกิดการกัดเซาะมากขึ้น

หากค้นข้อมูลเกี่ยวกับข่าวข้างต้น ชื่อของ น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี เป็นต้องขึ้นมาอันดับแรกๆ และหากคลิกคำค้นในหมวดรูปภาพ คุณอาจได้พบกับน้ำนิ่งตั้งแต่ครั้งใส่กางเกงนักเรียนสีน้ำเงินขณะอยู่โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ไล่เรื่อยถึงภาพปัจจุบันที่เติบโตสูงใหญ่ประกอบบทความของงานเกี่ยวกับหาดและการพัฒนาสังคม

โครงการแรกที่น้ำนิ่งกับเพื่อนทำ คือโครงการ Beach for Life ศึกษาปัญหาการพังทลายของหาดทรายจากโครงสร้างแข็งบนหาดสมิหลา บนฐานความร่วมมือของ ‘เยาวชน’ ในจังหวัด แม้ขณะนั้นเขาเป็นเพียงนักเรียนชั้น ม.5 แต่ทำงานกับชายหาดจริงจังขนาดที่ว่ามีการ call for action หรือ ออกไปหาเครือข่ายร่วมกับเพื่อนและพี่จากสถาบันการศึกษาต่างๆ กว่า 9 สถาบัน เพื่อร่วมศึกษาและธรรมนูญเยาวชนอนุรักษ์หาดสมิหลาอย่างยั่งยืน ฉบับที่ 1 ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2557 เพื่อใช้สำหรับเปิดโอกาสให้คนสงขลามีส่วนร่วมในการดูแลหาดสมิหลา ซึ่งกว่าจะได้มาซึ่งธรรมนูญเยาวชนอนุรักษ์หาดสมิหลา ทีมงานต้องลงพื้นที่จริงเพื่อรับฟังปัญหา รวมทั้งข้อมูลพื้นฐานวัฒนธรรมของคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นจริงๆ

แม้ชื่อของน้ำนิ่งและโครงการ Beach for Life จะไม่ได้โด่งดังเป็นที่รับรู้ของคนทั้งประเทศจนหยุดยั้งการใช้โครงสร้างแข็งเพื่อป้องกันการกัดเซาะของชายหาดได้จริง แต่ความเคลื่อนไหวของพวกเขาได้สร้างการตื่นตัว ความรู้สึกฮึกเหิม ส่งต่อความรู้สึกรักและหวงแหนทรัพยากรของพวกเขาให้คนในพื้นที่ สำคัญที่สุด เวลานั้นน้ำนิ่งสร้างพลังเยาวชนจังหวัดสงขลาได้จริง

เป็นเวลากว่า 6 ปีแล้วที่เขายังทำงานอย่างต่อเนื่อง The Potential มีโอกาสพบน้ำนิ่งในวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังทำเวิร์คช็อปพัฒนาเยาวชนในพื้นที่โครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา–ทำ อย่างที่เคยถูกปฏิบัติและฝึกครั้งเป็นนักเรียนชั้น ม.5

แม้การพูดคุยครั้งนี้คล้ายการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบทั่วไป แต่ระหว่างทางของบทสนทนากลับเป็นประโยชน์ เห็นวิธีคิด การทำงาน และการเติบโตของคนคนหนึ่งบนฐานการทำงานพัฒนาชุมชนว่าถูก ‘ก่อร่าง’ จนเติบโตขึ้นและมี ‘วิธีคิด’ ต่องานของพวกเขาอย่างไร

ปัจจุบันทำอะไรอยู่บ้าง

ตอนนี้เป็นเจ้าหน้าที่สงขลาฟอรั่ม และผู้ประสานงานโครงการ Beach for Life เฉพาะที่สงขลาฟอรั่ม เราทำโครงการพลังพลเมืองเยาวชนสงขลา (The Young Citizen) กับทางมูลนิธิสยามกัมมาจล อีกหนึ่งโครงการเป็นงานวิจัยของสงขลาฟอรั่มเอง ทำประเด็น inclusive cities คือพยายามดึงภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาเมือง

คุณเพิ่งเรียนจบโปรแกรมการพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ทำไมถึงเลือกเรียนคณะนี้

เพราะตอนนั้น (ปี 55) โครงการเกี่ยวกับชายหาดที่ทำอยู่ยังไม่จบ คิดว่าคงใช้เวลาอีกนานเลยอยากเรียนใกล้บ้านเข้าไว้ ตอนนั้นเราได้ทุนไปเรียนที่จุฬาฯ คณะวิทยาศาสตร์ทางทะเล แต่ไม่ไป

จากมุมคนนอก ถ้าเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่จุฬาฯ ดูจะตรงสายกับโครงการ Beach for Life ที่ทำอยู่ แถมได้ทุนเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ อะไรที่ทำให้ตัดสินใจเลือกเรียนสาขาพัฒนาชุมชนที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้าน

ต้องเข้าใจอย่างนี้ก่อนว่า แม้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ใช้ input กับคน แต่หน้างานที่ปฏิบัติจริง สิ่งที่ใช้คือกระบวนการทางสังคมแทบทั้งหมดเลย เช่น ทำให้คนมีความรู้ทำยังไง? ทำให้ชาวบ้านมานั่งคุยกัน มีส่วนร่วม ทำให้คนคิดต่างเขาคิดเหมือน การจัดการเรื่องความขัดแย้ง ทั้งหมดนี้ทำยังไง? พวกนี้คือความรู้ทางสังคมศาสตร์ทั้งหมดเลย

แชร์อย่างนี้ว่า เราเคยทำโครงงานวิจัยวิทยาศาสตร์เรื่องสารก่อมะเร็งในระบบผลิตน้ำประปา ได้รางวัลด้วยนะ แต่หลังจากนั้นงานวิจัยเราตั้งหิ้งเลย จบงานวิจัยแล้วก็จบไป ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่โปรเจ็คต์ที่ทำแล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต้องทำกับชุมชน สำหรับเรา ความรู้สายสังคมจำเป็นมากกว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น การเรียนเรื่องกระบวนการทำงานกับชุมชนจึงเป็นเรื่องที่เราอยากทำความเข้าใจ เลยรู้สึกว่าสาขาพัฒนาชุมชนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี

ความเข้าใจที่ว่า ‘การเปลี่ยนแปลงต้องใช้ความรู้ด้านสังคม’ ได้มาตอนไหน เพราะเข้าใจว่าตอนตัดสินใจเรียนต่อ คุณยังอยู่ชั้นมัธยมอยู่เลย

ผมว่ามันมาช่วงตอนทำธรรมนูญเยาวชนฯ นะ โดยเฉพาะช่วงหลังลงสำรวจชุมชนคลองแดน (อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา) นั่งคุยกับชาวบ้านที่คลองแดนตอนปีแรก เรารู้สึกกับมันเยอะ เห็นเลยว่าคลองแดนเป็นชุมชนที่เขาสร้างกติกาชุมชนและทำอะไรได้เยอะมาก เขาไม่เห็นต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อะไรเลย หรือตอนเราลงชุมชนเก้าเส้ง (อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา) ก็รู้สึกว่าการลงไปคุยกับชุมชนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันไม่ใช่เรื่องที่จะบอกว่า โครงสร้างแข็งคืออะไรแล้วเขาจะฟัง นึกออกไหม? เลยรู้สึกว่าเราน่าจะเรียนอะไรที่เกี่ยวกับพวกนี้

ตอนที่คิดว่าจะเรียนอะไรต่อ เรามองหลายสาขามาก เช่น สาขาสันติศึกษา แต่ว่าเปิดเฉพาะปริญญาโท แต่เอาจริงๆ ตอนนั้นมันไม่ได้คิดถึงขนาดนี้หรอกนะฮะ คิดแค่ว่าประหยัดค่าเทอม ขอเรียนใกล้บ้าน เรียนแล้วต้องมีเวลาเยอะๆ เพราะจะทำเรื่องหาดต่อ ซึ่งมันต้องใช้เวลา ต้องโดดเรียนมาทำงานได้ เพราะถ้าทำแค่เสาร์-อาทิตย์ไม่พอแน่ๆ

เด็ก ม.5 คนนั้น ไม่ได้มองสิ่งที่ทำอยู่เป็นแค่โครงการฯ ในแง่พื้นที่ทดลองหรือฝึกวิชาของเยาวชน?

ไม่ได้มองเป็นแค่โครงการ ฝันของเราคือทำให้คนมีความรู้เรื่องชายหาด อยากให้หาดกลับมาเหมือนเดิม ตั้งใจไว้ว่าทำแล้วมันต้องเห็นผล ไม่อยากทำแค่ให้ได้คำตอบแต่ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง

เหมือนตอนทำวิจัยสารก่อมะเร็งในระบบผลิตน้ำประปา ทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตเลย ขนน้ำเองอะไรเอง แล้วมันก็ตั้งหิ้งเป็นเอกสารอยู่ตรงนั้น

มันอาจจะไม่ได้คิดชัดขนาดนี้ตั้งแต่ทีแรกนะ แต่มีคนช่วยทำให้เราคิดชัดขึ้นเยอะมาก อย่างเช่นป้าหนู (พรรณิภา โสตถิพันธุ์ ผู้อำนวยการสงขลาฟอรั่ม) อาจารย์สมปรารถนา (สมปรารถนา ฤทธิ์พริ้ง อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) อาจารย์สมบูรณ์ (ดร.สมบูรณ์ พรพิเนตพงศ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่) และพี่ๆ หลายคน 

เล่าบรรยากาศตอนนั้นให้ฟังได้ไหมคะ ว่าเด็ก ม.ปลาย คนหนึ่งอยู่ในสิ่งแวดล้อมหรือบรรยากาศแบบไหน จึงมีความคิดเข้มข้นขนาดนี้

จริงๆ ช่วงนั้น เรื่องชายหาดที่มันเข้มข้นในตัวเองด้วยนะ มีช่วงสถานการณ์ว่าจะวางกระสอบทรายหรือไม่ มีเรื่องข้อเสนอเรื่องเติมทราย ป้าหนูเองก็เชิญคนมาร่วมพูดคุยกันบนเวทีบ่อยมากและเราก็ไปร่วมแทบทุกเวทีเลย อาจารย์สมบูรณ์ อาจารย์สมปรารถนาก็ให้ความรู้เราเยอะมาก รู้สึกเลยว่า โห… ทำไมทั้งชีวิตมันมีแต่เรื่องชายหาดขนาดนี้

ที่พีคสุดคือเหตุการณ์ลุงพีระ (พีระ ตันติเศรณี)* โดนยิง ก็เป็นจุดที่ทำให้รู้สึก ‘เอ๊ะ’ ว่าจะไปต่อหรือหยุดดี สุดท้ายเราก็ไปต่อเพราะเพื่อนยังไปต่อ หลายเรื่องมากๆ ประกอบกัน และเราเองก็เป็นกลุ่มที่ถูกจับตามอง มันเลยรู้สึกว่าเราต้องทำเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง สงขลาฟอรั่มเองก็ทำกระบวนการกับเราอย่างเข้มข้น เวลาพี่ตั้งคำถามกับเรา เราก็รู้สึกว่ามันจะต่างจากคนอื่นมากเลย

คำถามแบบไหน?

เราฝันอยากเห็นอะไร? การทำธรรมนูญจะมีอิมแพคอะไร? หรือการที่อาจารย์มาให้ไอเดียว่าต่างประเทศเขาทำ beach monitoring กันแล้วนะ แล้วของเรานี่จะยังไง? คือมันมีการตั้งคำถามเพื่อให้คิดต่อ และเสนอตัวอย่างให้เห็น ทั้งหมดมันคือกระบวนการทำให้เราชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าเรากำลังจะทำอะไรอยู่

พูดได้ไหมว่า ข้อเสนอทุนเรียนต่อในวันนั้นจึงไม่ได้สำคัญแล้ว เพราะเราเองมีความรู้ในมือ และชัดเจนด้วยว่า เราอยากรู้อะไร ต้องการความรู้อะไรเพิ่มเติม

เราคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปเรียนสาขาเฉพาะ เช่น ตอนนี้คนมักจะบอกว่า “น้ำนิ่งควรเรียนกฎหมายนะ เพราะว่าเข้าใจกฎหมายเยอะมากเลย เข้าใจนโยบายสังคม นโยบายสาธารณะ” แต่เรารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเรียนเลย เพราะเราเรียนรู้ระหว่างทางได้ตลอด 

เราไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้กฎหมายแพ่งเพราะเราไม่ได้ใช้กฎหมายแพ่ง เราใช้กฎหมายปกครอง เราเรียนรู้เรื่องสิทธิมากกว่าที่จะไปเรียนรู้กฎหมายทั้งหมด เราเลยรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องไปเรียนให้ลึก เรียนให้ลึกหมายความว่าเรียนให้เข้าใจหลายๆ เรื่อง แต่ว่าเรียนสักเรื่องหนึ่งให้มันลึก เรียนเรื่องสิทธิก็ให้มันลึกเรื่องนี้ไปเลย

อย่างการพัฒนาชุมชน ถ้าเป็นงานที่เกี่ยวกับชุมชนแท้ๆ เลย เรื่องมานุษยวิทยา สังคมวิทยา เราก็ไม่ได้สนใจ เราสนใจตัวกระบวนการ สนใจเรื่องเครื่องมือที่จะเอามา apply กับงาน สนใจเรื่องการจัดวงคุยกับคนเพื่อให้คนได้คุยกันอย่างทั่วถึงมากกว่าที่จะไปสนใจทฤษฎีทางสังคมอย่างเดียว เราเลยรู้สึกว่าเรื่องเรียนมันไม่ได้เป็นเรื่องหลัก 

และความเป็นจริงในสาขาวิชาเท่าที่เรียนมา การเรียนในห้องไม่ได้ตอบโจทย์ความรู้ที่เราจะเอาไปใช้ได้เลยเพราะมันเรียนแค่หลักการ แต่ถ้าเราได้ลงมือทำจนเข้าใจหลักการ มันจะไปได้หมดเลย

เช่น เข้าใจเรื่องหลักการพัฒนาชุมชน เรื่องปรัชญาพัฒนาชุมชน เรื่องมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ มีความเสมอภาค เขาจะพัฒนาได้เมื่อได้รับโอกาส ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ เราก็จะทำงานได้โดยที่มีแก่นแกนของเราอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปเรียนเครื่องมือเจ็ดชิ้น อันนั้นมันหาเอาตอนไหนก็ได้ เรารู้สึกว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นคำตอบทั้งหมด ตัวที่เอามาทำงานต่างหากคือสิ่งที่ทำให้เราเห็นแก่นแกนของมหาวิทยาลัย แก่นแกนที่อาจารย์บอกชัดขึ้น

การได้มีพื้นที่การเรียนรู้แบบนั้น หมายถึงการทำโครงการนอกห้องเรียน ณ อายุเท่านั้น ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของคุณไหม?

เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนนะ เพราะก่อนหน้านั้นผมทำโครงการกับชุมชนอยู่ก่อนก็จริง แต่มันไม่ได้เป็นพื้นที่ให้เราได้ลองอย่างเป็นพื้นที่ของเราจริงๆ แต่โครงการฯ นี้มีพื้นที่ให้เราได้ลอง มีงบให้ มีพี่เลี้ยงให้ มีคนคอยทำให้มันชัดขึ้น และมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญหลายอย่าง เช่น พอทำจริงเห็นความล้มเหลวกับความสำเร็จ ไอ้ความล้มเหลวมันถูกใช้เป็นตัวตั้งและท้าทายเราต่อ ปีนี้ยังทำไม่สำเร็จ ปีหน้าจะไปต่อไหม? ขณะที่ก่อนหน้านั้น เราไม่เคยมานั่งทำอะไรแบบนี้ ทำเสร็จแล้วก็แล้วไป

อีกอันที่ผมคิดว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ คือหนังสือเรื่อง การเมืองภาคพลเมือง ที่ป้าหนูยื่นให้ช่วงทำธรรมนูญเยาวชนฯ หนังสือเล่มนี้บอกอะไรหลายอย่างถึงเรื่องการลงมือทำของคนเพื่อเปลี่ยนแปลงชุมชนที่ตัวเองอยู่ เลยรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ มันมีทางนะ เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าต้องทำเอง ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ให้ได้ ต้องทำให้มันชัดนะ แล้วองค์ประกอบอื่นๆ เช่น เรื่องงบ พี่เลี้ยง เรื่องความรู้ที่ได้จากนักวิชาการ มันเป็นจุดที่มาซัพพอร์ตทำให้เราทำมาอย่างต่อเนื่อง

เราเคยถูกตั้งคำถามเรื่องคุณค่าของสิ่งที่ทำด้วยหรือเปล่า แปลกใจว่าทำไมเด็กคนหนึ่งถึงอินเรื่องเมือง ชุมชน สังคม ไม่ค่อยพูดเรื่องของ ‘ฉัน’ สงสัยว่ากระบวนการโค้ช ตั้งคำถามเรื่องคุณค่าของสิ่งที่เราทำด้วยไหม

จริงๆ ชีวิตผมก็มีเรื่องฉันนะ ฉันจะเที่ยว ฉันจะนู่นนี่นั่น แต่เรื่องฉันมันอิ่มพอดีแล้ว รู้สึกว่าเรามีแรงที่จะทำเพื่อเรื่องอื่นๆ อย่างเรื่องหาดก็คือเรื่อง ‘ฉันฝันอยากจะเห็น’ นะ เหมือนฝันว่าเราจะเรียนจบปริญญาน่ะครับ 

แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่าการเรียนจบปริญญามีค่าสำหรับผม แต่ถ้าหาดมันกลับมา มันโคตรมีค่าเลยนะ การได้หาดกลับคืนก็เหมือนเราได้ปริญญาใบนึง และมันตอบสนองความท้าทายบางอย่างในตัวเองเหมือนกัน

อย่างช่วงนี้ผมทำเรื่องเมือง ป้าหนูจะถามว่าเมืองเป็นยังไง เราเห็นอะไรบ้างที่ไม่โอเค? ซึ่ง มันมีหลายเรื่องมากเลยนะที่เราไม่โอเคแต่เราไม่มีโอกาสได้ลงมือทำ ชีวิตเราต้องอยู่กับเรื่องพวกนี้นะ เราเห็นความเฮงซวย ความไม่พอใจบางอย่างที่เราใช้ชีวิตอยู่กับมัน และเราก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นมันเป็นอย่างนั้น เวลาคนบอกว่าทำเพื่อส่วนรวม ผมรู้สึกว่าจริงๆ มันไม่ได้เป็นเรื่องส่วนรวม ‘จ๋า’ ขนาดนั้น จริงๆ มันคือเรื่องส่วนตัวนี่แหละเพราะเราอยู่ในสังคมนี้

เข้าใจว่าคุณมีประสบการณ์เรียนรู้จากการปฏิบัติมาพอสมควร พอไปเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไรบ้าง

เป็นเด็กมหาวิทยาลัยที่ไม่ชอบกิจกรรมมหาวิทยาลัยเลย เพราะกิจกรรมมหาวิทยาลัยมันกดทับเราสุดๆ ช่วงแรกผมเข้านะเพราะอยากรู้ว่ามันคืออะไรจะได้ไม่วิจารณ์อย่างคนไม่รู้ แต่พอหมดเทอมแรกก็ไม่เข้าอีกเลย ทำอารยะขัดขืน แล้วหลังจากนั้นก็โดนแกล้งตลอดแต่ก็ยืนหยัดได้ อาจเพราะสงขลาฟอรั่มสอนให้เราเป็นคนไม่สยบยอมน่ะ 

เราทำเรื่องความเป็นพลเมือง อะไรที่มันไม่เป็นธรรม ไม่ถูกต้อง เราจะไม่สยบยอม แต่เราจะมีวิธีของเราที่จะพิสูจน์ว่ามันคืออะไร ถ้าให้ผมไปคลาน ให้ผมไปลอกคลองดีกว่า ถ้าผมต้องโดนพี่ว้าก ให้ผมไปตัดต้นไม้ แต่งอาคาร กวาดขยะ อะไรแบบนี้จะดีกว่า

กับเรื่องการเรียนในห้อง ผมเรียนพัฒนาชุมชน คลองแดนเป็นชุมชนหนึ่งที่ถูกยกตัวอย่างบ่อยมากในข้อสอบ ซึ่งการที่เรามาคลุกอยู่กับสงขลาฟอรั่ม เราเห็นอยู่ว่าชุมชนคลองแดนเป็นยังไง ข้อสอบถามว่า ‘ชุมชนเข้มแข็งคืออะไร ให้ยกตัวอย่าง’ ‘กระบวนการมีส่วนร่วมคืออะไร และจะสร้างการมีส่วนร่วมได้ยังไง’ โห… ชิลมากฮะ เราเข้าใจอยู่แล้วว่าชุมชนเข้มแข็งคืออะไร เห็นภาพอยู่ว่าคลองแดนคือชุมชนเข้มแข็งได้เพราะอะไร เรื่องกระบวนการมีส่วนร่วม เราลองผิดลองถูกจากงานเราอยู่แล้ว รู้ว่าบทเรียนมันคืออะไร เชื่อมทฤษฎีไปสู่เรื่องราวของสังคม จากเรื่องราวของสังคมกลับมาสู่เรื่องงานของเรา 

เรียกว่าเป็นการสรุปการทำงานของตัวเองลงข้อสอบกันเลยทีเดียว

ใช่ฮะ (ยิ้ม)

ตอนนี้เรียนจบแล้ว แล้วก็มีเวลาทำงานตามความตั้งใจอย่างเต็มที่ ‘สาแก่ใจ’ แล้วไหม

ถ้าไม่นับการทำงานตอนเป็นน้องในโครงการ ก็ทำงานมาปีนี้ เป็นปีที่ห้าที่หกแล้วนะ จากน้องกลายมาเป็นผู้ช่วย เป็นพี่ เป็นโค้ช ตอนนี้กลายมาเป็นคนที่ต้องดูทั้งหมดรวมถึงงานวิจัยด้วย ถึงสงขลาฟอรั่มจะเป็นองค์กรเล็กๆ แต่เราก็รู้สึกว่าเติบโต ทั้งตัวงาน ทั้งวิธีคิดมาเรื่อยๆ มันก็ ‘สาแก่ใจ’ นะ แต่ก็ยังรู้สึกว่า ‘ไม่จบ’ ยังมีความฝันอยากถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้มาเป็นงานเขียนดีๆ อยู่อีก 

คิดว่าหลักใหญ่ใจความ ในการเติบโตของมนุษย์ ของเยาวชนคนหนึ่งที่มีจิตสำนึกพลเมืองแบบนี้ มันมาจากอะไรบ้าง

โอกาสในการพัฒนาคนมันมีหลายเรื่องมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่น ป้าหนูเชื่อในตัวผม แม่เชื่อในตัวผม ว่าผมเรียนรู้ลงมือทำและเติบโตได้ มันคือหัวใจของกองไฟ คือจุดที่สว่างที่สุดของกองไฟ ถ้าเชื่อเรื่องนี้แล้ว ทุกอย่างจะโชติช่วงหมดเลย

ซึ่งถ้าเราเชื่อแบบนั้น เราย่อมให้โอกาสเขาไปเรียนรู้ ผมได้รับโอกาสเยอะมากเลยนะ ทั้งที่บางเรื่องทำแล้วมันต้องพลาดแน่ๆ แต่ก็ยังได้รับโอกาส แม้จะพลาดนะ แต่โค้ชค่อยๆ เอามาตี ทำให้ค่อยๆ โต เม็ดเงินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเดินไปได้อย่างราบรื่นนะ แต่มันก็ไม่ควรโปรยหว่านให้ใช้อย่างฟุ่มเฟือย ต้องเจอปัญหาบ้าง เพื่อให้ได้คิดและเรียนรู้

แล้วก็เอื้อเฟื้อความสะดวกให้เขา โยนหนังสือดีๆ ไปให้เขา ตั้งคำถามคมๆ ให้เขา สร้างแรงเสียดทานบ้างเล็กน้อยให้เขา มันจะได้รู้สึกว่าระหว่างทางไม่ได้สบายเกินไป หรือถ้าให้มันลำบากเกินไปมันก็หมดพลังที่จะทำ คือมันต้องมีทั้งแรงเสียดและก็มีน้ำมันคอยหล่อลื่น และถ้าทุกคนได้โอกาสแบบนี้ มันจะเกิดคนที่เติบโตงอกงามอีกเยอะมากเลย

ผมรู้สึกว่าสิ่งสำคัญที่สงขลาฟอรั่มทำคือ กลับมาทบทวนว่าอะไรคือจุดบกพร่องและความสำเร็จที่มันเกิดขึ้น จุดบกพร่องคือความท้าทายไม่ใช่ข้อผิดพลาดที่จะจมปลักอยู่ตลอดแล้วก็กักขังตัวเองว่าฉันทำไม่ได้แล้ว แต่มันคือความท้าทายที่จะก้าวต่อเมื่อฉันได้รับโอกาส 

ถ้ามันเกิดแบบนี้ขึ้นกับเด็กทุกคนนะ มันจะเกิดสิ่งสร้างสรรค์อีกเยอะมากเลย เหมือนผมที่สร้างสรรค์อะไรได้เยอะมากเลย แล้วเราก็ภูมิใจที่เราได้สร้างสรรค์เรื่องหาดและเรื่องต่างๆ เพราะเราได้รับโอกาสแบบนี้   

*พีระ ตันติเศรณี อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลนครสงขลา ถูกยิงเสียชีวิตด้วยอาวุธสงครามกลางเมืองสงขลา วันที่ 7 พฤศจิกายน 2555 จากเหตุความขัดแย้งโครงการก่อสร้างกระเช้าลอยฟ้าข้ามทะเลสาบสงขลาบริเวณหาดแหลมสนอ่อน เนื่องจากเกรงว่าการก่อสร้างจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม และนายพีระมีเจตนาต้องการอนุรักษ์ป่าสนผืนสุดท้ายกลางเมืองสงขลาไว้ 

อ้างอิง:

ปัญหาการกัดเซาะ

Beach for Life

ธรรมนูญเยาวชนอนุรักษ์หาดสมิหลาอย่างยั่งยืน

Tags:

สงขลาฟอรั่มactive citizenproject based learningพลเมืองbeach for lifeอภิศักดิ์ ทัศนี

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘เล็กแต่ลึก’ และ ‘เรื่องจริงชีวิตจริง’ การเรียนรู้พลเมืองเยาวชนสงขลาที่ทำให้หัวใจคนเรียนถูกขยาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Everyone can be an Educator
    ‘ป้าหนู’ แห่งสงขลาฟอรั่ม: เด็กที่เติบโตจากชายหาด ท้องทะเล และแผ่นดินเกิด จะงอกงามเป็นพลเมืองโลก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ขบวนการผู้พิทักษ์ ‘จ้าวทะเล’ แห่งสงขลา

    เรื่องและภาพ The Potential

โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต
Creative learning
19 August 2019

โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

เรื่อง The Potential

Bamboo School คือชื่อที่ขึ้นมา เมื่อต้องการจะเช็คอินที่ โรงเรียนมีชัยพัฒนา อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์

“มันโตเร็วและยั่งยืน” มีชัย วีระไวทยะ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนมีชัยพัฒนา อธิบายสั้นๆ

ต้นไผ่ที่โตเร็วและยั่งยืน ไม่ต่างจากเด็กๆ มัธยมราว 180 คน ที่กำลังเรียนอยู่ที่นี่

เด็กต้องช่วยเหลือตัวเองได้ เรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ แล้วกลับมาช่วยเหลือชุมชน

สิ่งที่โรงเรียนมีชัยพัฒนาปักธง คือการสร้างโรงเรียนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิต

เน้นให้ทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต ที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยไม่มีสอน เพื่อให้สอดคล้องและอยู่ได้จริงในศตวรรษที่ 21

“เราต้องการสร้างคนที่ประเทศต้องการ คนที่เคารพสิทธิของผู้อื่น นักเรียนเป็นผู้บริหารโรงเรียน”

“เราต้องการสร้างคนที่ประเทศต้องการ คนที่เคารพสิทธิของผู้อื่น นักเรียนเป็นผู้บริหารโรงเรียน”

เพราะที่ผ่านมา เราเสียเวลาไปกับการเรียนแล้วไม่รู้ มากพอแล้ว

Tags:

มีชัย วีระไวทยะระบบการศึกษาโรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)21st Century skills

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learningCharacter building
    ‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

พรรณวิภา โซลเบิร์ก: ครูไทยในห้องเรียนนอร์เวย์ ชอบพาเข้าป่า เรียนวิชา 4 ฤดู
Unique Teacher
16 August 2019

พรรณวิภา โซลเบิร์ก: ครูไทยในห้องเรียนนอร์เวย์ ชอบพาเข้าป่า เรียนวิชา 4 ฤดู

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • 7 ปีที่แล้ว ครูสาวจากสุรินทร์  พรรณวิภา โซลเบิร์ก บินลัดฟ้าไปสร้างครอบครัวที่นอร์เวย์ ปัจจุบันเธอคือครูผู้ช่วยปฐมวัยในศูนย์เด็กเล็ก ในเมืองที่ชื่อโซลเบิร์กเอลวา
  • หน้าที่ของครูปฐมวัยที่นั่นมีหลายอย่าง เช่น ดูแลเด็กเล็ก ฝึกพัฒนาการด้านต่างๆ สรรหากิจกรรมมาสอนอย่างเหมาะสม ช่วยให้เด็กได้รับการพัฒนาทางสังคมผ่านการสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์ ส่วนร่วมชุมชน การเล่น การสำรวจ และการเรียนรู้ รวมถึงต้องทำงานร่วมกับผู้ปกครองอย่างเข้มข้น
  • ‘การพาเด็กเข้าป่า เรียนวิชา 4 ฤดู’ คือวิชาสำคัญสำหรับเด็กปฐมวัยในนอร์เวย์
  • ภาษีที่คนนอร์เวย์เสียในสัดส่วนถึง 22 เปอร์เซ็นต์ ก็เพื่อการศึกษาแบบนี้
ภาพ: เฉลิมพล ปัญณานวาสกุล / Fanpage: Bacheparken Barnehage

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราสนิทสนมกับการศึกษาฟินแลนด์จนแทบไม่ต้องตั้งคำถาม หากประเทศที่พรมแดนติดกันอย่างนอร์เวย์ ที่บรรจุวิชา ‘เดินป่า’ เป็นคาบประจำทุกสัปดาห์ ห้องเรียนและหลักสูตรกลับไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก

หนนี้ ครูไทยคนหนึ่งซึ่งไปเป็นครูที่นอร์เวย์มา 7 ปี บินกลับมาเมืองไทยพอดี The Potential จึงชวนมาเปิดห้องเรียนนอร์เวย์ให้ได้รู้จักกันทุกซอกทุกมุม

ภาษีที่คนนอร์เวย์เสียในสัดส่วนถึง 22 เปอร์เซ็นต์ เพื่อสร้างการศึกษาแบบนี้…

จากสุรินทร์บินไปนอร์เวย์

7 ปีที่แล้ว ปอนด์ พรรณวิภา (โพธิ์งาม) โซลเบิร์ก แต่งงานกับสามีชาวนอร์เวย์แล้วย้ายไปอยู่ที่เมืองชื่อโซลเบิร์กเอลวา (Solbergelva) จังหวัดบุสเกอรุส ด้วยความที่เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษชั้นประถม-มัธยม หลังจากจบการศึกษาปริญญาตรี ศศ.บ. (ศิลปศาสตรบัณฑิต) สาขาภาษาอังกฤษ บวกกับความรักเด็กและอยากสอนเป็นทุนเดิม ครูไทยจึงได้มาเป็นครูที่นอร์เวย์อีกครั้ง

ต่างกันนิดเดียวตรงที่ไม่มีคำว่า ‘ครู’ นำหน้า

“จะไม่เรียกว่าครูปอนด์ เด็กๆ จะเรียกชื่อจริงเลย ที่นั่นเราจะมีชื่อเดียว เพราะเด็ก-ผู้ใหญ่เสมอภาคกันหมด แต่แน่นอนว่าเด็กก็ต้องฟังผู้ใหญ่”

ปอนด์-พรรณวิภา (โพธิ์งาม) โซลเบิร์ก

ปีแรก คุณปอนด์เริ่มต้นด้วยการเรียนภาษานอร์วีเจียนประมาณ 9 เดือน ต่อด้วยการไปฝึกภาษาที่ศูนย์เด็กเล็กซึ่งคล้ายๆ กับโรงเรียนอนุบาลบ้านเรา แต่บ้านเขาจะใช้คำว่า ‘โรงเรียน’ กับชั้น ป.1 ขึ้นไปเท่านั้น

และได้เริ่มทำงานเป็นครูผู้ช่วยหลังจากนั้นเป็นต้นมา โดยขั้นของเงินเดือนคือในตำแหน่งผู้ที่ยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพ

“คนที่แต่งงานไปอยู่นอร์เวย์ รัฐบาลมีโควตาให้เรียนภาษาฟรีมากถึง 5 ปี โดยนับตั้งแต่วันแรกของการเริ่มมาเรียน เหมือนกึ่งบังคับเพราะเราต้องขอวีซ่าถาวร ระหว่างเรียนภาษาก็ทำงานศูนย์เด็กเล็ก สะสมชั่วโมงการทำงานไปเรื่อยๆ ยังไม่ได้ทำประจำเพราะไม่มีประสบการณ์ ภาษายังไม่ถึงขั้น และที่สำคัญยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพ”

คุณปอนด์เลยไปเรียนนอกเวลาของมหาวิทยาลัยเพื่อสอบใบประกอบวิชาชีพที่เรียกว่า ประกาศนียบัตรวิชาชีพในการดูแลเด็กและเยาวชน (Barne og ungdomsarbeider) พอสอบผ่านก็ต้องทำงานนับชั่วโมงไปอีก 2 ปี เพื่อรอสอบภาคปฏิบัติ เพราะตามหลักสูตรคือผู้ที่จะสอบปฏิบัติได้ต้องทำงานมาแล้วเป็นเวลา 8,700 ชั่วโมง

“เพิ่งได้สอบปฏิบัติปีนี้ ผ่านและได้ใบประกอบวิชาชีพแล้วค่ะ (ยิ้ม)” คุณปอนด์จึงได้เป็นครูผู้ช่วยปฐมวัยเต็มตัว ที่ศูนย์เด็กเล็ก Bacheparken Barnehage เขตเทศบาลดรัมเมน

ศูนย์เด็กเล็กในความหมายของการศึกษานอร์เวย์ คือ เนิร์สเซอรีรวมกับอนุบาล ดูแลเด็กตั้งแต่ 0-6 ปี ส่วนโรงเรียนมีไว้สำหรับเด็ก 6 ปีขึ้นไป

“ศูนย์เด็กเล็กฯ ที่ปอนด์อยู่ แบ่งเป็น 2 แผนก คือ เด็กเล็ก (0-3 ปี) และ เด็กโต (3-6 ปี) ปอนด์จะดูแลเด็กโต”

ตำแหน่งปัจจุบันของคุณปอนด์คือ ‘ครูผู้ช่วยปฐมวัย’ ซึ่งแตกต่างจากครูหัวหน้าแผนกที่รับผิดชอบเอกสารและแฟ้มประจำตัวเด็กเป็นงานหลัก ส่วนการดูแลเด็กส่วนใหญ่จะเป็นความรับผิดชอบของครูผู้ช่วย

โดยหลักการ งานของครูผู้ช่วย จะมีหน้าที่ดังนี้ (อ้างอิงจาก https://utdanning.no/yrker/beskrivelse/barne-_og_ungdomsarbeider)

  • ช่วยให้เด็กได้รับการพัฒนาทางสังคมผ่านการสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์ ส่วนร่วมชุมชน การเล่น การสำรวจ และการเรียนรู้
  • ชี้แนะเด็กๆ ให้รู้จักรับผิดชอบชีวิตของตนเอง
  • วางแผนและดำเนินกิจกรรม
  • เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็กๆ
  • ครูผู้ช่วยต้องทำงานร่วมกับกลุ่มและบุคคลที่มีภูมิหลังแตกต่างกันและเงื่อนไขต่างๆ ในชีวิตที่ต่างกัน
  • ในการวางแผนการดำเนินงานและการประเมินผลของกิจกรรมให้เด็ก ขึ้นอยู่กับระดับพัฒนาการและสถานการณ์ในชีวิตของเด็ก เพื่อส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจของแต่ละบุคคล
  • กิจกรรมอาจรวมถึงการเล่นละคร, วรรณกรรม, เพลงและดนตรี, การออกแบบและกิจกรรมกลางแจ้ง หรือกิจกรรมประจำวัน เช่นการทำอาหารและการแต่งกาย

ทางศูนย์เด็กเล็กให้ความสำคัญกับการปฏิบัติจริงทุกข้อ มีการติดตามผล การประเมินผลพัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคลอย่างละเอียดผ่านการประชุมผู้ปกครองรายบุคคล การประชุมผู้ปกครองมีขึ้นประมาณ 2-3 ครั้งต่อปีการศึกษา ใช้เวลา 1-1.5 ชม./ครั้ง เด็ก 18 คน การประชุมจะเกิดขึ้น 18 ครั้ง 

“ครูผู้ช่วยจะอยู่กับเด็กมากกว่า ถ้าอยากรู้ว่าเด็กคนนี้นิสัยอย่างไรต้องถาม ตอนนี้ปอนด์ดูแลเด็กทั้งหมด 18 คน ปอนด์จะรู้ข้อมูลหมด พ่อแม่ โรคประจำตัว กินอะไรไม่ได้ นิสัย ความชอบ ฯลฯ​ สัดส่วนครูต่อเด็ก (เล็ก) จะอยู่ที่ 3:18 คน ไม่นับรวมครูพิเศษเพราะเขาจะรับผิดชอบเด็กพิเศษตัวต่อตัว แต่เมืองไทยครูหนึ่งคนต่อเด็กเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แล้วอย่างนี้ครูจะแจกความรักอย่างไรให้ทั่วถึง” 

เวลาอาหารเช้าและกลางวัน ครูจะนั่งกินร่วมโต๊ะกับเด็กๆ 5-6 คน ทบทวนและชวนคุยว่า วันนี้จะทำอะไร หรือพรุ่งนี้อยากทำอะไร คุณปอนด์เรียกชั่วโมงนี้ว่า ‘ชั่วโมงวิเศษ’

“นอกจากความใกล้ชิด ยังเป็นชั่วโมงฝึกกระตุ้นภาษาและการสื่อสารของเด็กๆ ไปในตัวค่ะ (ยิ้ม)”

ศูนย์เด็กเล็กที่คุณปอนด์ดูแลอยู่มีเด็กทั้งหมด 70 คน ครูไทยของเราจำชื่อเด็กได้หมดทุกคน

เริ่มต้นแค่หนังสือ 3 เล่ม

เพื่อสอบใบประกอบวิชาชีพครู ไม่ว่าคนนอร์เวย์หรือชาวต่างชาติที่ต้องการสอบเป็นครูผู้ช่วยที่นอร์เวย์ มีหนังสืออยู่หลักๆ แค่ 3 เล่มที่ต้องอ่านเพราะถือเป็นคู่มือพื้นฐานสำคัญของครูผู้ช่วยทั่วประเทศ

“หนังสือมีแค่ 3 เล่มคือ สุขภาพอนามัย, การทำงาน (วางแผนการสอน) และการสื่อสาร อ่าน ทำความเข้าใจ แล้วนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานเอง”

ทุกวัน คุณปอนด์และเพื่อนครูจะเริ่มต้นทำงานตั้งแต่เวลา 6.45 น. สำหรับกะเช้า จากการทำงานทั้งหมด 3 กะ คือ กะเช้า เวลา 6.45-14.15 น. กะกลางวัน เวลา 8.00-15.30 น. และ กะเย็น 9.30-17.00 น.

เริ่มต้นที่ครูกะเช้าจะไปเปิดประตูรับเด็กๆ เอาเก้าอี้ลง จัดโต๊ะ ต้มน้ำ เตรียมกาแฟ ส่วนครูกะกลางวันมาช่วยเด็กแต่งตัว ดูแลเด็กถัดจากนั้น ปิดท้ายด้วยการปิดประตูศูนย์เด็กเล็กของครูกะเย็น

“ทุกคนจะรู้หน้าที่ ไม่มีใครก้าวก่ายหน้าที่กัน แต่ถ้าอยากช่วยก็ยินดี”

7.5 ชั่วโมง (รวมเวลาพักแล้ว 30 นาที) คือเวลาทำงานของครูต่อ 1 วัน ห้ามเกินกว่านี้ ถ้ามีคือต้องจ่ายค่าล่วงเวลาหรือโอที ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการประชุมหลังกะเย็นหมดไป เพื่อแจ้งข้อมูลและยืนยันกำหนดการ เพื่อวางแผนการสอน

ทั้งหมดก็เพื่อให้ครูเต็มที่กับเด็กๆ มากที่สุด

หน้าที่ครูคือไม่สอน

ถึงจะเรียนสัปดาห์ละ 5 วันจันทร์ถึงศุกร์ แต่จะไม่มีครูคนไหนบังคับว่าต้องมาทุกวัน เด็กๆ จะมาและกลับเวลาไหนก็ได้ เพียงแค่แจ้งล่วงหน้า

ในห้องจะไม่มีโต๊ะสำหรับนั่งเรียน ทุกๆ วันครูจะเริ่มต้นด้วยการถามเด็กๆ ว่าอยากทำอะไร

“อยากวาดรูป 4 คนก็วาดไป ส่วนใหญ่เราเน้นพัฒนาการด้านภาษาและการสร้างสังคม เรามีกฎที่รู้กันเองว่า เด็กทุกคนที่ออก (จบ) จากศูนย์เด็กเล็กไป จะต้องมีเพื่อนอย่างน้อย 1 คน ไม่ได้บังคับหรือยัดเยียดให้ต้องมี แต่เราจะคอยสังเกตเด็กทีละคนเลยว่า เขาอยู่คนเดียว เล่นคนเดียวหรือเปล่า ถ้าใช่ เพราะอะไร”

ยกตัวอย่าง เด็กคนหนึ่ง นั่งซึม ไม่เล่นกับใคร ชอบอยู่คนเดียว ร้องไห้ หลายครั้งอารมณ์ร้าย นอกจากสังเกต ครูต้องหาสาเหตุเพื่อช่วยเด็กคนนั้น

“หน้าที่ของครูคือสังเกต ติดตาม หาทางแก้ และรายงานผล ตามขั้นตอน หลายครั้งเกิดจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว รัฐโดยสำนักงานคุ้มครองเด็กและเยาวชนของประเทศนอร์เวย์ มีอำนาจในการแยกลูกออกจากพ่อแม่แล้วพาไปไว้ที่สถานดูแลบ้านพักฉุกเฉิน แต่กว่าที่จะถึงกระบวนการนี้ รัฐจะส่งนักจิตวิทยามาพูดคุยและแนะนำพ่อแม่ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่คือตำรวจนอกเครื่องแบบและนักจิตวิทยาคอยติดตามผลและเฝ้าระวังเด็กอย่างน้อยอาทิตย์ละ 37.5 ชั่วโมง เพื่อประเมินว่าเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยแล้วหรือยัง”

ถ้าไม่ รัฐก็จะแยกเด็กไปยังสถานดูแลบ้านพักฉุกเฉิน และพ่อแม่ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อกับลูก จนกว่าจะปรับปรุงตัวตามกระบวนการ

“สุดท้ายแล้ว ไม่สามารถปรับปรุงตัวได้จริงๆ รัฐก็จะประกาศรับสมัคร Host Family หรือพ่อแม่บุญธรรม เพื่อรับเด็กคนนี้ไปเลี้ยงดูต่อ”

พาเข้าป่า ไม่พาทำการบ้าน

แน่นอน เมื่อไม่มีโต๊ะเรียน จึงไม่มีการบ้าน ทั้งนี้หลักสูตรจะวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี แยกย่อยว่าแต่ละเดือนจะเรียนรู้เรื่องอะไร

เมื่อร่มใหญ่ชัดแล้วว่าจะเรียนเรื่องอะไร ก็ค่อยลงรายละเอียดระดับวัน ยกตัวอย่าง ตารางคร่าวๆ ของศูนย์เด็กเล็กที่คุณปอนด์ดูแล มีดังนี้

วันจันทร์ – เดินป่า เล่น

วันอังคาร – กิจกรรมในแผนก เล่น

วันพุธ – กิจกรรมแบ่งช่วงอายุ เล่น

วันพฤหัส – กิจกรรมเน้นภาษา เล่นเป็นกลุ่ม

วันศุกร์ – ออกนอกห้องให้เด็กทุกชั้นเล่นด้วยกัน

ทุกๆ วันเด็กจะออกมาเล่นนอกห้องเรียนไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการปลดปล่อยพลัง ได้วิ่ง ปีนป่าย เต็มที่ บางวันอากาศดีจะอยู่นอกห้องทั้งวัน ครูจะยืนกระจายกันตามจุดต่างๆ และเล่นกับเด็กพร้อมสอดแทรกการสอนผ่านการเล่นของเด็ก โดยโฟกัสตามหัวข้อของเดือนนั้นๆ

โดยเฉพาะวันเดินป่า จะเป็นคาบวิชาวิทยาศาสตร์อยู่กลายๆ

“เช่น อะไรเกิดขึ้นในป่า พืชอะไรเกิดขึ้นเอง ทำไมหินมีน้ำเซาะลงมา น้ำตกมาได้อย่างไร ทำไมนกนอนตาย ฯลฯ เป็นความรู้จากการตั้งคำถามที่เขาเจอระหว่างทาง” ครูมีหน้าที่ชักนำหรือสร้างสิ่งแวดล้อม แรงจูงใจให้เด็กสงสัย ตั้งคำถาม เราจะไม่บอกว่าอันไหนผิดอันไหนถูก แต่จะบอกว่า แล้วหนูคิดว่ายังไง แล้วสะท้อนความคิดเด็กออกมา เป็นการกระตุ้น 1.การใช้ภาษา 2.ความคิดสร้างสรรค์ และ 3.ความกล้า”

พ่อแม่ถึงไม่ได้ไปเดินป่าด้วย ก็ต้องมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนี้เช่นเดียวกัน เพราะการเดินป่า จะเริ่มตั้งแต่การเตรียมตัว เสื้อผ้า รองเท้า อาหาร

พ่อแม่ทุกคนจะรู้ตารางสอนล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน จะช่วยเตรียมกระเป๋าสะพาย ในนั้นมีอาหาร น้ำ เบาะรองนั่ง และของใช้จำเป็นต่างๆ

“ถ้าเดินป่าหน้าหนาว เสื้อผ้าก็ต้องอุ่นที่สุด ทุกครั้งที่ออกนอกสถานที่จะต้องใส่เสื้อสะท้อนแสงด้วย จะได้มองเห็นชัดๆ รองเท้าแบบไหนไม่ลื่น” ระหว่างกิจกรรม เด็กๆ จะต้องจูงมือกัน ประกบด้วยผู้ใหญ่ 3 คน หนึ่งอยู่หน้า คนที่สองกลาง และคนที่สามปิดท้ายแถว ในสัดส่วนเด็ก 5-6 ต่อผู้ใหญ่ 1 คน

เพราะการที่พ่อแม่เข้ามามีส่วนร่วม นั่นหมายถึง พ่อแม่และครูพูดภาษาเดียวกัน เห็นตรงกัน

“คุยกันที่บ้านอย่างไร ครูก็ต้องพูดที่โรงเรียนแบบนั้น เพื่อไม่ให้เด็กสับสนแล้วเกิดอาการต่อต้าน”

นอกจากวิชาวิทยาศาสตร์รายทางแล้ว การได้ออกไปข้างนอก คือ การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น

“ไม่ใช่แค่เอาเด็กไปปล่อย เวลาอยู่ข้างนอก เด็กๆ ไม่ได้แค่เล่นเพื่อตัวเอง เขาต้องปรับตัวเข้ากับสังคมข้างนอก เช่น ผู้ใหญ่แปลกหน้า ระวังการจราจร เขาจะรู้ว่าทำไมไม่สามารถไปยืนฉี่ตรงไหนก็ได้ แล้วเวลาหิวน้ำจะต้องไปตรงไหน เขาจะรู้จักดูแลตัวเองโดยอัตโนมัติ”

“ไม่ใช่แค่เอาเด็กไปปล่อย เวลาอยู่ข้างนอก เด็กๆ ไม่ได้แค่เล่นเพื่อตัวเอง เขาต้องปรับตัวเข้ากับสังคมข้างนอก เช่น ผู้ใหญ่แปลกหน้า ระวังการจราจร เขาจะรู้ว่าทำไมไม่สามารถไปยืนฉี่ตรงไหนก็ได้ แล้วเวลาหิวน้ำจะต้องไปตรงไหน เขาจะรู้จักดูแลตัวเองโดยอัตโนมัติ”

ชุมชนรอบข้างก็เช่นเดียวกัน จะรู้ว่าภายในรัศมีสถานศึกษาจะไม่ขับรถเร็ว ไม่ทำเสียงดัง

ใกล้ๆ กับศูนย์เด็กเล็กที่ปอนด์ทำงาน คือบ้านพักคนชรา หลายครั้งครูจะพาเด็กๆ ไปทำกิจกรรมกับคุณตาคุณยายต่างสายเลือด

“นอกจากจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์คนต่างรุ่นแล้ว สิ่งสำคัญคือให้เด็กๆ รู้ว่า ใครอยู่ตรงนี้บ้าง เขาจะได้รู้สึกปลอดภัย และถ้าเด็กรู้สึกปลอดภัย พัฒนาการจะเดินไปตามวัย ถ้าเด็กรู้สึกตรงกันข้าม ร่างกายจะไม่สร้างฮอร์โมนหรือสารเคมีในสมอง ซึ่งไปยับยั้งการเจริญเติบโตและพัฒนาการ”

สำหรับรัฐ สำคัญเท่ากับเด็ก คือครู

อัตราการเสียภาษีของพลเมืองนอร์เวย์ในปี 2562 เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 22 ของรายได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรายได้ของแต่ละคน ผู้ที่มีรายได้น้อยจะต้องเสียภาษีน้อยกว่าผู้ที่มีรายได้สูง (อ้างอิงจาก  www.skattetaten.no) และในตำแหน่งงานของคุณปอนด์จะเสียภาษีร้อยละ 34 ของรายได้

การศึกษาของชาวนอร์เวย์จึงถือเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐาน เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาที่คุณภาพเท่าเทียมกันทั่วประเทศไปจนถึงอายุ 18 ปี ในแต่ละเทศบาลมีศูนย์เด็กเล็กกี่แห่งนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนเด็กในพื้นที่นั้นๆ

“เฉพาะรัศมี 200 เมตรที่ปอนด์ทำงานมีศูนย์เด็กเล็ก 3 ศูนย์ด้วยกัน เช่น เราอยู่พญาไท เรา (ศูนย์เด็กเล็ก) ก็จะรับแต่เด็กพญาไท ไม่ได้รับเด็กราชเทวี ยกเว้นศูนย์ฯ ที่ราชเทวีเต็มก็จะดูอีกทีว่าพ่อแม่สามารถขับรถมาส่งได้ไหม”

การเดินทางมาโรงเรียนต้องราบรื่นมากที่สุด เพื่อกระตุ้นให้พ่อแม่ชาวนอร์เวย์อยากมีลูก เพราะประชากรนอร์วีเจียนตอนนี้อยู่ที่ 6 ล้านคน และกำลังเตรียมเข้าสู่สังคมสูงวัย

“พ่อแม่รุ่นใหม่ ที่มีครอบครัว จะต้องดูแลตัวเองได้ และถ้ามีลูกก็ต้องมีคนที่ไว้ใจได้มาดูแลให้โดยไม่ต้องกังวล” นโยบายเพิ่มจำนวนประชากรทางอ้อม

คนที่ไว้ใจได้อย่างครู ก็ต้องได้รับสวัสดิการและการดูแลอย่างดีที่สุด

นอกจากชั่วโมงการทำงานต้องไม่เกิน 7.5 ชั่วโมงต่อวัน สภาพจิตใจครูก็สำคัญ ภายใต้หลักคิดว่า “ครูทุกคนต้องมีเวลาส่วนตัว”

“สอนเสร็จบางคนก็ไปออกกำลังกาย ถ้าเรามีปัญหาหรือไม่สบายใจ สามารถปรึกษาหัวหน้าครูหรือนักจิตวิทยาได้ ถ้าหากเรามีปัญหาในการทำงาน ที่นั่นจะไม่แก้ปัญหาด้วยการไล่ออกแต่จะมีการประเมินผลและคอยสอบถามครูอยู่เสมอว่า ‘คุณโอเคไหมช่วงนี้ มีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่า’ และครูสามารถลาพักร้อนเป็นเวลา 3-6 เดือนเพื่อจะไปทดลองงานใหม่ได้ เมื่อรู้ว่าเราไม่ชอบก็กลับมาเป็นครูเหมือนเดิมได้ เป็นการดูแลสุขภาพจิตของครูอย่างหนึ่ง”

ศูนย์เด็กเล็กแต่ละแห่งจะมีความคล่องตัวเพราะมีอำนาจการตัดสินใจด้วยตัวเอง ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังต้องอยู่ในกรอบใหญ่ตามแบบแผนที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งทุกโรงเรียนต้องให้ความสำคัญ คือ สังคม ภาษา และพัฒนาการตามวัย

ไม่ใช่แค่พ่อแม่ ครู โรงเรียน หรือรัฐ เด็กคนหนึ่งจะเติบโตอย่างมีคุณภาพ แข็งแรง และเอาตัวรอดได้ รถไฟขบวนนี้ก็ต้องวิ่งไปพร้อมๆ กันทั้งสังคม

“สื่อนอร์เวย์มักจะลงข่าว support เด็กในเชิงที่เป็นข่าวดี เช่น วันเกิด การคิดค้นนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ต่างจากประเทศไทยที่มักจะลงข่าวหรือนำเสนอข่าวเด็กในรูปแบบที่ไม่ค่อยดีนัก เช่น ตบตี หลายครั้งไม่คำนึงถึงถึงสิทธิเด็ก ไม่เบลอหน้า ซึ่งข่าวแบบนี้ไม่มีในนอร์เวย์”​

นำมาสู่คำถามสุดท้ายและเป็นคำถามที่คุณปอนด์ต้องตอบเป็นประจำ คือ กลับมามองการศึกษาไทยแล้วคิดอย่างไรบ้าง

“เราไม่อยากเปรียบเทียบเพราะถ้าเปรียบเทียบก็จะมีเสียงบ่นมาว่า ใช่สิ ก็เพราะคุณมีโอกาสได้ไปเมืองนอกนี่ แต่ปอนด์มองว่าหลายๆ อย่างมันสามารถประยุกต์ใช้ เพียงแต่คุณจะทำมันไหม ตอนนี้ครูรุ่นใหม่มีเยอะขึ้นมาก คำถามคือผู้บริหารได้ซัพพอร์ตจุดนี้ไหม อีกอย่างคือการเปิดพื้นที่ให้ทั้งครูรุ่นใหม่และเด็กๆ ได้แสดงออกความคิดเห็น รับฟังว่าเด็กสมัยนี้เขาชอบ-ไม่ชอบอะไร ฟังคำตอบและเหตุผล หาสาเหตุให้ได้ ดังนั้นถ้าครูซัพพอร์ตความคิดของเด็ก และครูสะท้อนความคิดของกันและกัน มันน่าจะตอบโจทย์ได้”

วิชา 4 ฤดู

ฤดูหนาว: กิจกรรมส่วนใหญ่เกี่ยวกับหิมะ พาเด็กเล่นสกีหรือสไลเดอร์ สอนวิทยาศาสตร์แทรกคำถาม เช่น ทำไมน้ำถึงกลายมาเป็นหิมะ รวมถึงการพาปั้นหิมะ เพราะนั่นคือการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก การสอนเรื่องเครื่องแต่งกายหน้าหนาว ให้ร่างกายอุ่นและเดินไปไหนไม่ลื่น

“แต่ถ้าลื่นก็ปล่อยให้เขาลื่นแล้วสอนให้เขาระวัง กระตุ้นให้เขาสงสัยว่าพื้นลื่นแบบนี้เราจะเดินอย่างไร ใส่รองเท้าแบบไหนเดินบนน้ำแข็ง รองเท้าบางแล้วจะใส่ถุงเท้าแบบไหน”



ฤดูใบไม้ผลิ: ดอกไม้เริ่มผลิ ใบไม้เริ่มแตกใบ“เราก็จะบอกว่าตอนหน้าหนาวดอกไม้เขาจะนอนหลับพอมาถึงสปริงเป็นช่วงเวลาที่ดอกไม้ตื่น เวลาเด็กๆ เดินป่าเห็นต้นไม้เริ่มมีดอกมีใบเราก็จะสอนเขาว่านี่เข้าหน้าสปริงแล้ว”

ฤดูร้อน: เป็นฤดูที่มีกิจกรรมเยอะมาก ทั้งการเดินป่า เล่นน้ำ หรือการพาเด็กๆ ออกนอกสถานที่ไปห้องสมุด ไปอ่านหนังสือ“สอนเด็กๆ ว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างในห้องสมุด โยนคำถามให้เขา เขาก็จะตอบมาว่าไม่พูดเสียงดัง ไม่ควรรบกวนคนอื่น ห้ามวิ่ง ฯลฯ เป็นการฝึกให้เขาคิดถึงผู้อื่น”

ฤดูใบไม้ร่วง: อากาศเริ่มเย็น วนกลับมาสอนเรื่องการเตรียมร่างกาย เสื้อผ้า“ส่วนกิจกรรมจะพาเก็บใบไม้ เพราะใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม มีความสวยงาม เราก็สอนเด็กๆ ต่อว่าทำไมใบไม้ถึงเปลี่ยนสี เน้นการสอนเรื่องธรรมชาติ ให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมรอบข้างทั้งสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต”

Tags:

พรรณวิภา โซลเบิร์กการเล่นปฐมวัยการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนเข้าป่าpublic space

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(6): เล่นให้เป็นเรื่อง ฉบับแรกเกิดถึงหกเดือน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Space
    PUBLIC SPACE แห่งอัมสเตอร์ดัมที่เด็กไม่เป็นส่วนเกิน

    เรื่องและภาพ ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนรก = ความเครียด = พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน?!

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Micro-Connection: เรื่องน้อยนิดมหาศาลในการสานสัมพันธ์
  • ‘ผิดเป็นครู’ เรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทุกคนสามารถลุกขึ้นอย่างมีคุณค่าได้เสมอ: รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ
  • Gen Z กับ แชทบอท: เพราะโลกเปลี่ยวเหงา เราจึงไขว่คว้าความสัมพันธ์เสมือนจริง
  • The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา
  • ‘เพราะเด็กในวันนี้คือคนขับเคลื่อนประเทศในวันหน้า’ มายด์เซ็ตที่ถูกต้องของระบบการศึกษานอร์เวย์: ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel