Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: September 2019

THE OLD MAN BUT YOUNG@HEART สูงวัย ใคร? ห้ามเรียนรู้
Life Long Learning
27 September 2019

THE OLD MAN BUT YOUNG@HEART สูงวัย ใคร? ห้ามเรียนรู้

เรื่อง The Potential

คนแรกคือ เสรี จินตนเสรี อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วัย 77 เพิ่งคว้าแชมป์ แบดมินตันอาวุโส ชิงแชมป์โลก 2019 มาหมาดๆ สุภาพบุรุษสูงวัยท่านนี้เพิ่งกลับมาหวดลูกขนไก่อย่างจริงจังเมื่ออายุ 60 เศษ หลังจากตรวจสุขภาพแล้วพบว่าเจอของ ‘เลวร้าย’ เยอะไปหมด

“มนุษย์เรามันต้องพัฒนาขึ้นทุกครั้งสิ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร” แพ้คู่ต่อสู้รุ่นลูกมาก็หลายครั้ง แต่ทุกครั้งคุณเสรีก็ลุกขึ้นสู้ใหม่

ครั้งหนึ่งเคยเห็นเพื่อนล้มฟุบกลางคอร์ทแบด หัวใจวายและจากไปต่อหน้าต่อตา แทนที่จะขยาด เขากลับรู้สึกว่า ตายง่ายแบบนี้ดี แทนที่จะไปโดนสายระโยงระยางทางการแพทย์ทั้งหลาย

“ให้ผมตีแบดตาย ผมก็มีความสุข” เป้าหมายของคุณเสรี

อ่านบทสัมภาษณ์ เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข

คนที่สอง โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ ทวิตเตอร์น้องใหม่วัย 71 คุณพ่อลูกสี่ที่ตอนนี้มียอด follower กว่าแสนคน ทวิตครั้งหนึ่งยอดรีทวิตไม่เคยต่ำกว่าหลักพันหลักหมื่น

“ผมก็พูดเรื่องเดิมๆ แบบที่เคยพูดมานั่นแหละ เช่น ชาติคืออะไร พอทวิตไปแป๊บเดียวรีทวิตขึ้นมาเป็นพัน เล่นเฟซบุ๊คกว่าจะถึงพันเลือดตาแทบกระเด็น พอนั่งดูไปมา แม้จะไม่ได้อ่านทุกรีทวิต ก็ชวนตกใจ ขนพองสยองเกล้าอยู่เหมือนกัน มันเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งเลย เป็นพื้นที่ที่เขาพูดกันอย่างเต็มที่จริงๆ”

สำหรับอ.โกวิท การเรียนรู้อะไรใหม่ๆ คือความสุข

“ความจริงมันเป็นนิสัยของผมมากกว่านะ หรือที่เรียกว่าสันดานก็ได้ ถ้าผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ ผมมีความสุข และผมเป็นคนชอบมีความสุขแบบนั้น”

อ่านบทสัมภาษณ์ โกวิท วงศ์สุรวัฒน์: การเรียนรู้ผ่านโลกทวิตเตอร์ 280 ตัวอักษรของน้องใหม่วัย 71

คนสุดท้าย ‘ครูบลู’ อัฒฑวินทร์ ธนเดชสำราญพงษ์ วัย 51 ครูประจำวิชาดนตรีระดับมัธยมต้น โรงเรียนวัดสะแกงาม ที่ได้รับภารกิจใหญ่จากผู้อำนวยการให้สร้างวงโยธวาทิตขึ้นมา ทั้งๆ ที่เล่นเครื่องดนตรีในวงโยฯ ไม่เป็นสักอย่าง

ครูบลูเริ่มต้นจากศูนย์ ต้องนั่งเรียนรู้เรื่องดนตรีและเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดไปพร้อมเด็กๆ

“เทคนิคการเรียนรู้คือการบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ‘เราอายุ 18’ เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่า ในวันที่เราอายุ 18 ตอนนั้นคิดและรู้สึกอย่างไร เวลาเราเห็นเด็กทำอะไรแปลกๆ หรือทำอะไรนอกลู่นอกทาง เราจะได้ทบทวนเพื่อเข้าใจว่าเขาทำแบบนั้นเพราะอะไร”

อ่านบทสัมภาษณ์ ภารกิจสร้างวงโยฯ​ และการเรียนรู้ครั้งใหม่วัย 51 ของครูผู้เล่นดนตรีไม่เป็น

Tags:

สังคมสูงวัยโกวิท วงศ์สุรวัฒน์อัฒฑวินทร์ ธนเดชสำราญพงษ์Growth mindsetเสรี จินตนเสรี

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Book
    ชวนอ่าน 7 เล่ม รับปี 2024: ปรับ Mindset เพื่อเข้าใกล้ความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Growth & Fixed Mindset
    SELF-TALK ในห้องเรียน GROWTH MINDSET: สอนเด็กฟังเสียงหัวใจ ฝึกแยกความคิดลบกับบวก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Life Long Learning
    เสรี จินตนเสรี แชมป์โลกลูกขนไก่วัย 77 ปี: ให้ผมตีแบดจนตาย ผมก็มีความสุข

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัยศรุตยา ทองขะโชค

  • Life Long Learning
    ใช้ร่างกายไล่ล่าปัจจุบัน หาความท้าทายใหม่เพื่อค้นพบตัวเอง: สูงวัยด้วยคุณภาพและพลังชีวิต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique TeacherLife Long Learning
    ภารกิจสร้างวงโยฯ​ และการเรียนรู้ครั้งใหม่วัย 51 ของครูผู้เล่นดนตรีไม่เป็น

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

ทำเรื่อง ‘เล่น’ ให้จริงจัง: เมื่อองค์ความรู้ด้านออกแบบมาชนกับพัฒนาการและจิตวิทยาเด็ก
Early childhood
26 September 2019

ทำเรื่อง ‘เล่น’ ให้จริงจัง: เมื่อองค์ความรู้ด้านออกแบบมาชนกับพัฒนาการและจิตวิทยาเด็ก

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • สนทนาเรื่อง ‘เล่น’ อย่างจริงจัง จากคนในวงการของเล่น นักออกแบบ และนักการศึกษา
  • ต้องโละความคิดว่าการเล่นเป็นเรื่องเสียเวลาออกไปก่อน เพราะการเล่นคือการเรียนรู้ ไม่มีใครมานั่งสั่งสอนระหว่างการเล่น และเด็กเติบโตได้จากการเล่น
  • สิ่งสำคัญคือ ‘ความรู้ของพ่อแม่’ และทัศนคติว่าการเรียนรู้ที่จริงควรเป็นอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าเรายังตีความ ‘ความเก่ง’ ในความหมายแคบแค่เรื่องวิชาการอย่างเดียว

เป็นที่ทราบกันดีว่า ‘การเล่น’ กับ ‘เด็ก’ เป็นของคู่กัน ไม่จำเป็นต้องใช้แนวคิดวิชาการเรื่องพัฒนาการเด็กและจิตวิทยาเข้าอธิบายก็เข้าใจดีว่า การเล่นคือการเปิดโลกแห่งจินตนาการ จำลองกระบวนการคิด และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ขมวดไอเดียให้ชัดกว่านั้น… เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการเล่น และนี่คือห้องเรียน (รู้โลก) ของพวกเขา

23 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ศูนย์การออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดห้องประชุมต้อนรับผู้ชมร่วมสนทนาประเด็น Learning Through Play: ทำเรื่อง ‘เล่น’ ให้จริงจัง ความน่าสนใจของงานอยู่ที่การพูดถึงการเล่นและพัฒนาการเด็กผ่านสายตาของนักออกแบบ (ซึ่งโดยปกติคนที่ call for action มักเป็นคนในวงการศึกษาและนักจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก) และเชิญวิทยากรในแวดวงการศึกษาและจิตวิทยาเด็กเข้ามาร่วมพูดคุยด้วย ได้แก่…

  • วิฑูรย์ วิระพรสวรรค์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร PlanToys แบรนด์ของเล่นที่ดีต่อพัฒนาการเด็กและสิ่งแวดล้อม
  • ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวรรณ เหมชะญาติ คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ และ ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล คณะจิตวิทยา จุฬาฯ ในมุมพัฒนาการเด็กในมุมมองวิชาการ
  • คุณครูต้อย-สุวรรณา ชีวพฤกษ์ ผู้บริหารจากโรงเรียนรุ่งอรุณ ในมุมบทบาทและความสำคัญของคุณครูเด็กปฐมวัย
  • ผศ.ดร.พิชญ์วดี กิตติปัญญางาม เจ้าของห้องเรียนสไตล์ฟินแลนด์สาขาเมืองไทย และ เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ นักจิตวิทยาพัฒนาการ ในมุมนวัตกรรมการเล่น

Learning Through Play: ไม่ใช่แค่การเล่นแต่คือ ‘การเข้าใจโลก’

เริ่มต้นเวทีด้วยเจ้าของแบรนด์ของเล่นอย่างวิฑูรย์ ที่ย้ำว่าตัวเองเป็นนักออกแบบและเป็นนักธุรกิจเต็มตัว และทำธุรกิจโดยคิดถึงผลกำไรเป็นหลัก แต่มากกว่านั้น เขามีนโยบายส่วนตัวว่าสินค้าที่ทำต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของพนักงาน

ใช่แล้ว… CEO ผู้นี้กล่าวบนเวทีอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผมต้องขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงสุขภาพของเด็กๆ เป็นอันดับแรก แต่คิดถึงสุขภาพของพนักงานของผมก่อน เพราะถ้าระหว่างทำ พนักงานได้รับผลกระทบทางสุขภาพ แล้วสินค้าจะดีต่อสุขภาพของเด็กๆ ได้อย่างไร”

วิฑูรย์ไม่ได้ขึ้นมาบนเวทีในแง่การโปรโมทธุรกิจ แต่กำลังพูดกับผู้ฟัง – ซึ่งกว่าครึ่งคือนิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะครุศาสตร์ และจิตวิทยา ว่า ‘คอนเซ็ปต์การเล่น’ มีส่วนพัฒนาไม่เฉพาะพัฒนาการ แต่หมายถึงจินตนาการ การรับรู้และเข้าใจโลก และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนได้อย่างไร การออกแบบผลิตภัณฑ์และพื้นที่การเรียนรู้ที่ตั้งใจทำมาตลอดหลายปี เป็นไปเพื่อรับใช้ความคิดแห่ง ‘สังคมที่เติบโตจากการได้เล่น’  

ตัวอย่างที่วิฑูรย์ทำเพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ของเด็ก (มากไปกว่าการทำผลิตภัณฑ์เพื่อพัฒนาการและสิ่งแวดล้อม) เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์ของเล่นที่จังหวัดตรัง แน่นอนว่าสร้างขึ้นเพื่อให้เด็กๆ เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ แต่มากกว่านั้น เขาต้องการทำให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าเวลาที่เด็กๆ ได้เล่นสำคัญอย่างไร ความสุขของพวกเขาหน้าตาประมาณไหน และการเล่นในพื้นที่กลาง (public space) ที่ต้องมีกติการ่วม เช่น เล่นแล้วต้องเก็บเข้าที่ เล่นแล้วห้ามนำกลับบ้าน นั้นช่วยสร้างทักษะและการเรียนรู้ให้พวกเขาได้อย่างไร

ล่าสุดกับ นิทรรศการเล่นได้ – Forest of Play นิทรรศการแบบมีส่วนร่วม (Hands-On Exhibition) โดยสำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาฯ ร่วมกับ PlanToys จัดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้เข้ามาเล่นของเล่นและให้ผู้ปกครองเข้าใจว่าของเล่นแต่ละชิ้นสร้างการเรียนรู้ด้านไหนและอย่างไร

Learning Through Play: คำถามคือ เรานิยามการเล่นว่าคืออะไร?

เริ่มต้นเวทีใหม่ด้วยคำถามที่ว่า แม้เข้าใจแล้วว่าการเล่นนั้นสำคัญทั้งในทางพัฒนาการและสร้างประสบการณ์ แต่พ่อแม่ยุคใหม่จำนวนมากยังติดใจกับคำว่า ‘เล่น’ – เล่นคือการทิ้งเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นประโยชน์ เล่นคือทักษะที่พ่อแม่ลืมไปแล้วและไม่รู้จะเริ่มกับลูกอย่างไรด้วยซ้ำ

“สิ่งแรกที่ต้องทำ อาจเป็นการกำหนดนิยามคำว่า ‘เล่น’ ก่อน” ดร.วรวรรณ แห่งคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ชวนตั้งต้น และเล่าให้ฟังว่า คำว่า Learning Through Play นั้นมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 หมายความว่าในวงการศึกษาให้ความสำคัญกับการเล่นมาแล้วตั้งแต่ช่วงเวลานั้น

ดร.วรวรรณย้ำว่า ปรัชญาของการเล่นคือ ไม่มีใครมานั่งสั่งสอนระหว่างการเล่น กระนั้น เด็กกลับเรียนรู้ได้หลากหลายผ่านสิ่งที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์ด้วย สิ่งของจะสอนเขา ของเล่นจะสอนเขา พื้นที่แห่งนั้นจะสอนเขา

“สำคัญที่สุด คนที่เขาได้เล่นด้วย …จะสอนเขา แต่เป็นการสอนที่ไม่มี ‘คำสั่งสอน’ เลย”

ต่อมาในประเด็น “รู้ว่าการเล่นสำคัญก็จริง แต่ในผู้ใหญ่ที่ลืมทักษะการเล่น ลืมจินตนาการและการไร้ขอบเขตแห่งการเล่นไปหมดแล้ว จะเริ่มอย่างไรดี?” ดร.จิรภัทร รวีภัทรกุล คณะจิตวิทยา จุฬาฯ ตอบคำถามด้วยรอยยิ้มว่า

“นี่เป็นการดีเลย การเล่นอยู่ในตัวเราทุกคนไม่เฉพาะกับเด็ก เพียงแต่เราอาจลืมไปเพราะอยู่แต่ในโลกการทำงานของตัวเอง อย่างนี้นะคะ ง่ายๆ แค่ลองเดินเข้าร้านของเล่นและลองหยิบเล่นด้วยตัวเอง ปล่อยความเครียดของตัวเองออกมาแล้วกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

“หรือให้ง่ายกว่านั้น เราถามผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นอย่างเด็กที่อยู่ตรงหน้าเราได้นะคะ เข้าไปเลย แค่เริ่มถามว่า ‘นี่ตัวอะไรเหรอ?’ ‘เล่นยังไง’ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่อะไรอื่นเลยนะคะ แต่คือความใส่ใจและปฏิสัมพันธ์”

อันที่จริงยังมีคำถามอีก 3 คำถามที่อยู่บนเวที แต่ด้วยเงื่อนเวลาทำให้อาจารย์ทั้งสองท่านต้องตอบคำถามเร็วๆ ในที่นี้ผู้เขียนจึงขอสรุปหัวข้อคำถามและคำตอบ ดังนี้

Q: EF เกิดไม่ได้ด้วยตัวเองแต่ต้องฝึกฝน?

A: อาจารย์ทั้งสองท่านช่วยกันขยายความก่อนว่า EF หรือ Executive Function เป็นระบบปฏิบัติการทางสมองที่ช่วยเรื่องการคิดเป็นเหตุผล ตัดสินใจ และควบคุมตัวเอง แบ่งการทำงานเป็น 3 หมวดพื้นฐานใหญ่คือ ความจำพร้อมใช้งาน, ความคิดยืดหยุ่น และ การหยุด

แต่ก่อนเด็กๆ อาจมี EF ได้เองโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องโฟกัสหรือสร้างสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้าง EF มาก แต่ในปัจจุบันที่สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทคโนโลยี – ซึ่งในปัจจุบันเป็นของเล่นหลักของเด็กๆ ทำให้ทุกอย่างรวดเร็วไปหมด เด็กๆ ไม่จำเป็นต้องรอ พูดง่ายๆ ว่าสิ่งแวดล้อมที่ฝึกให้เด็กได้คิด อดทน และวางแผนจัดการตัวเองโดยธรรมชาติที่ฝังในชีวิตประจำวันนั้น ค่อยๆ เลือนหายไปตามการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตมนุษย์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กๆ จะต้องถูกฝึกเพื่อสร้างทักษะพื้นฐาน EF ทั้งสามอย่างข้างต้น (อ่านเรื่อง EF โดยนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ได้ที่นี่)

Q: ลูกเราไม่เก่งเท่าลูกเพื่อน

A: อาจารย์ทั้งสองท่านตั้งคำถามฮุกกลางใจว่า “นิยามความเก่งคืออะไร?” ปัญหาสมัยนี้คือ ทุกคนมักพุ่งเป้านิยามความเก่งไปที่ ความฉลาดทางวิชาการ หรือกิจกรรมอะไรก็ตามที่ลูกเพื่อนเก่ง แต่สิ่งที่ต้องไฮไลท์คือ ทุกคนมีความเก่งแต่ละด้านแตกต่างกันไป

ความแตกต่างที่ว่านั้นมาจากสองส่วนคือ เรื่องโครงสร้างสมองและพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบไปด้วย สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ที่เด็กๆ ได้รับ และการอบรมเลี้ยงดู

ทั้งคู่ย้ำว่า ทั้งหมดต้องกลับไปถามผู้เลี้ยงดูว่าได้มอบประสบการณ์ที่ล้ำค่าเหล่านี้ให้เด็กๆ หรือยัง แน่นอนว่าหนึ่งในประสบการณ์ที่ดีเหล่านั้นคือการเล่น ความใส่ใจ และปฏิสัมพันธ์

ที่ทั้งคู่เน้นย้ำก่อนจบหัวข้อคำถามนี้คือ ไม่ใช่แค่พ่อแม่ที่กำหนดว่าคุณค่าความเก่งของเด็กคืออะไร แต่รวมถึงครูและสังคมที่มีอิทธิพล (กดดัน) เด็กด้วย ยกตัวอย่าง คำว่า ‘เก่ง’ ในฟินแลนด์ คงไม่เหมือนกับ ‘เก่ง’ ในไทยแน่นอน และนั่นคือสิ่งที่ต้องตั้งคำถามต่อว่า อะไรทำให้ความเก่งของแต่ละสังคม มีความหมายไม่เหมือนกัน?

Q: ลูกต้องมีทักษะในศตวรรษที่ 21 หรือไม่? (ภายใต้พ่อแม่ที่ถูกเลี้ยงให้มีทักษะศตวรรษที่ 20)

A: อธิบายก่อนว่าทักษะในศตวรรษที่ 21 ประกอบไปด้วย 3 หมวดคือ ทักษะการเรียนรู้ ทักษะสารสนเทศ และทักษะชีวิต ทั้งคู่ตอบว่าในมุมนักวิชาการ ทักษะศตวรรษที่ 21 สำคัญและจะยิ่งสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็ว แรง ขนาดใหญ่ ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีแต่เป็นองค์ความรู้ที่เปลี่ยนเร็วด้วย เด็กรุ่นใหม่จึงต้องเป็นนักคิดริเริ่ม ตั้งคำถาม และทักษะคาแรคเตอร์อื่นๆ ที่จะ ‘อยู่รอดในสังคมและมีความสุขด้วย’

ก่อนจบการพูดคุยในส่วนนี้ ดร.จิรภัทร กล่าวในฐานะนักจิตวิทยาที่ทำงานกับเด็กๆ ว่า

ตลอดเวลาที่ทำงานกับเด็ก ทุกครั้งที่ขุดลึกลงไปถึงสาเหตุที่ทำให้เด็กมีปัญหาในจิตใจ สุดท้ายก็คือปัญหาครอบครัวทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นการเพิกเฉยจากพ่อแม่หรือความกดดันของพ่อแม่ที่มีต่อลูกมากเกินไป ต่างเป็นปัญหาในสังคมตลอดมา และมันอาจฝังใจติดตัวเด็กๆ ไปตลอดชีวิต

Learning Through Play: ความสำคัญของคุณครูเด็กปฐมวัย

พูดถึงความสำคัญของการเล่นในฐานะ ‘การออกแบบประสบการณ์’ ติดๆ กันไปแล้วสองเวที เวทีที่สามเป็นของ คุณครูต้อย ผู้บริหารจากโรงเรียนรุ่งอรุณ พูดถึงบทบาทของครูปฐมวัย ในฐานะ ‘ดีไซเนอร์’ ออกแบบการเรียนรู้ของนักเรียน แต่เจาะในมุมว่า เมื่อต้องฝึกครูใหม่โดยเฉพาะนักศึกษาฝึกงานในทุกๆ เทอม โรงเรียนรุ่งอรุณมีวิธีทำงานอย่างไร

ก่อนจะเล่าวิธีฝึกครูปฐมวัย ครูต้อยเล่าก่อนว่า เบื้องหลังการเรียนรู้ของเด็กๆ แต่ละเทอมจะเรียนรู้ผ่าน ‘ธีม’ ไม่ใช่สอนผ่านวิชาในหนังสือแต่ใช้ประเด็นทางสังคมนำทาง เช่น ในเทอมนี้เป็นธีม ‘ประเด็นสิ่งแวดล้อมโลก’ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน น้ำ อากาศ กลุ่มคุณครูก็จะนำธงมาออกแบบการสอนและวางเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม ทุกๆ ธีม เด็กจะต้องเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงและให้บทเรียนนั้นแฝงฝังในชีวิตประจำวันของนักเรียน

เช่น นักเรียนทุกช่วงชั้นจะต้องทำอาหารเอง เมื่อต้องทำเองหมายถึงการตระเตรียมวัตถุดิบด้วยตัวเอง ทุกเช้าเด็กๆ จะต้องออกไปจ่ายตลาดกับครู (โรงเรียนจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นตลาด ของในตลาดจำนวนหนึ่งก็เป็นสิ่งที่เด็กๆ เพาะปลูกเอง) หากวัตถุดิบมีไม่ครบอย่างที่ตั้งใจไว้ จังหวะนี้เด็กๆ จะต้องปรับเปลี่ยนเมนูมื้อกลางวันร่วมกันกับครู (จุดนี้เด็กๆ ฝึกความคิดยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนแผนการ) การออกไปจ่ายตลาดเองเท่ากับเด็กๆ จะรู้จักวัตถุดิบ รู้จักหน้าตาของผักผลไม้ที่มีความหลากหลายและผันเปลี่ยนตามฤดูกาล ถ้าเด็กในระดับที่โตขึ้นไปหน่อยอย่างระดับประถม เด็กๆ จะได้เป็นคนคุมงบประมาณจัดซื้อเองด้วย

นี่เป็นแค่ตัวอย่างการออกแบบการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่เด็ก แต่ครูใหม่จะถูกฝึกผ่านการดูแลเด็กๆ ด้วยชุดประสบการณ์เดียวกัน อย่างที่ครูต้อยบอกว่า ความเข้าใจเรื่องพัฒนาการเด็ก ปรัชญาการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของเด็ก และการดูแลห้องเรียนในวิธีอื่น อะไรที่เด็กได้ผ่านการเรียนรู้ คุณครูเข้าใหม่ก็ได้รับเหมือนกัน

มากกว่านี้คือ ทุกครั้งที่มีการออกแบบการเรียนรู้ (ในฐานะดีไซเนอร์) คุณครูทุกคนไม่ว่าเก่าหรือใหม่จะถูกตั้งคำถามว่า วิชานี้มีคุณค่าอะไรต่อนักเรียนและมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขารึเปล่า ที่ถามไม่ใช่แค่อยากรู้ว่านักเรียนจะได้อะไร แต่คือ… ครูเข้าใจหรือยังว่ามันสำคัญอย่างไรกับผู้เรียน

และนี่คือหนึ่งในปรัชญาการเรียนรู้ ที่ต้องเกิดขึ้นในตัวครูผู้สอนก่อน ความเข้าใจที่ชัดเจนต่อตัวเองว่า จะมอบประสบการณ์แบบไหนให้ผู้เรียน และมันจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ใครอีกคนอย่างไร

 Learning Through Play: นวัตกรรมแห่งการเล่น

ในช่วงสุดท้าย ผศ.ดร.พิชญ์วดี เจ้าของห้องเรียนสไตล์ฟินแลนด์สาขาเมืองไทย และ เบญจรัตน์ นักจิตวิทยาพัฒนาการ ขึ้นมาจับไมค์ขมวดประเด็นนวัตกรรมการเล่นจากทั่วโลก โดยเฉพาะวิธีคิดจากห้องเรียนฟินแลนด์ที่ได้รับการยอมรับว่าไม่ใช่แค่เด็กๆ มีทักษะชีวิตและการเรียนติดอันดับโลก แต่ติดอันดับเด็กๆ ที่มีความสุขที่สุดในโลกด้วย

เวทีนี้ฉายภาพนวัตกรรมการเล่นทั่วโลก อาทิ  forest kindergarten หรือ โรงเรียนปฐมวัยที่เข้าไปเรียนในป่า ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่เริ่มได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ผศ.ดร.พิชญ์วดี ก็เพิ่งจัดค่ายนำเด็กๆ จากประเทศไทยไปร่วมแคมป์ในป่าที่ฟินแลนด์มาเช่นกัน Sure Start Program: คู่มือการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้สัมพันธ์กับพัฒนาการเด็ก และนวัตกรรมอื่นๆ

ในฐานะผู้ที่ศึกษาและใกล้ชิดกับห้องเรียนฟินแลนด์ ผศ.ดร.พิชญ์วดี อธิบายว่า สิ่งที่ทำให้ฟินแลนด์สร้างการเรียนรู้ให้คนในประเทศไม่ใช่ความคิดว่าจะใส่ความรู้ (input) อะไรให้เด็ก เพราะอ่านเกมขาดตั้งแต่สิบปีก่อนแล้วว่าโลกสมัยใหม่ความรู้จะมีอายุสั้นลง (ถูก disrupted) สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้เด็ก ‘รู้ว่าจะเรียนรู้อะไร’ (learn how to learn)

อีกประการหนึ่ง นวัตกรรมหนึ่งที่ฟินแลนด์ใช้คือ STEAM (ประเทศไทยใช้ STEM) ประกอบไปด้วย Science, Technology, Engineering, Art และ Mathematics ด้วยวิธีคิดว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุดจะเกิดเมื่อสมองสองข้างทำงานพร้อมกัน (แต่ถ้าเรียนวิชาการเครียดๆ อย่างเดียว เช่น STEM สมองจะทำงานข้างเดียว)

แน่นอนว่าฟินแลนด์ไม่ได้ใช้แค่ STEAM และการเรียนรู้นอกห้องเรียน ยังมีกลไกทางสังคมอีกมากที่ทำให้แม้แต่เด็ก 5 ขวบ ก็สร้างนวัตกรรมของตัวเองและทำให้มันเป็นจริงได้ เช่น ไม่มีการสอบวัดประเมิน ให้คุณค่ากับความสุข มากกว่านั้น ยังมีกฎหมายใหม่ๆ มาช่วยสร้างการเรียนรู้ให้เด็กๆ เยอะมาก เช่น หากวันนี้มีเด็ก 5 ขวบเขียนแปลนออกแบบท่าเรือ รัฐบาลสามารถให้เงินซื้อแบบกับเด็กคนนี้และนำไอเดียมาออกแบบท่าเรือได้

ขณะที่เบญจรัตน์ กล่าวก่อนจบว่า สิ่งที่ทำให้นวัตกรรมเล่นๆ กลายเป็นจริงได้ หรือพัฒนาการเรียนรู้ได้ สิ่งที่สำคัญคือ ‘ความรู้ของพ่อแม่’ และทัศนคติว่าการเรียนรู้ที่จริงควรเป็นอย่างไร นิยามการเรียนรู้ของเราเป็นอย่างไร และมันจะเกิดขึ้นไม่ได้หากเรายังตีความ ‘ความเก่ง’ ในความหมายแคบแค่เรื่องวิชาการอย่างเดียว

Tags:

21st Century skillsEFอีเวนต์CUD4Sการเล่นSTEM

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    ‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักเพื่อการเรียนรู้ ให้การมาโรงเรียนไม่ใช่แค่เรียนไปวันๆ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    พ่อปุ๊ วีรวัฒน์ กังวานนวกุล: โรงเล่นคือโรงเรียน เพราะเรียนเล่นคือเรื่องเดียวกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    ‘ความเหลื่อมล้ำแห่งการเล่น’ มีอยู่จริง และการที่เด็กไม่ได้เล่นคือปัญหาสังคม

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skillsEarly childhood
    โปรดจ่ายใบสั่งยาที่เขียนว่า ‘เล่น เล่น และเล่น’

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

มายาฤทธิ์: โรงละครมีฤทธิ์ เสกให้เด็กดู ฟัง รู้สึก คิด ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจคนอื่น
Space
25 September 2019

มายาฤทธิ์: โรงละครมีฤทธิ์ เสกให้เด็กดู ฟัง รู้สึก คิด ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจคนอื่น

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • มายาฤทธิ์ อาจจะเป็นโรงละครสำหรับเด็กแห่งเดียวในประเทศไทย
  • การมีและอยู่ของโรงละครมายาฤทธิ์ ย้ำถึงความสำคัญของ space สำหรับเด็ก และยืนยันสิทธิขั้นพื้นฐานของว่าเด็กในการเข้าสู่นันทนาการสร้างสรรค์ ซึ่งสังคมแทบมองไม่เห็น
  • ทำไมต้องมีโรงละคร? เพราะละครสร้างทักษะสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 คือ เมื่อเด็กได้ดู ฟัง รู้สึก เด็กจะคิด เข้าใจ นำไปสู่ความเห็นอกเห็นใจหรือ Empathy

“ทำวันนี้ให้เต็มที่…เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า”

ประโยคเนื้อเพลงจากละครเวทีเรื่อง ‘เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า’ ละครเวทีสำหรับเด็กและครอบครัวแห่งเดียวในประเทศไทย ที่หยิบยกนิทานอีสปจำนวน 9 เรื่อง มาตีความถักทอเนื้อหาใหม่ให้เหมาะแก่ศตวรรษที่ 21 และไม่ลืมชวนเด็กๆ ในฐานะผู้ชมหลักให้ตกตะกอนความคิดผ่านการแก้ปัญหาในสถานการณ์ตามนิทานแต่ละเรื่อง

ไม่บ่อยนักที่เราจะได้พบสื่อการเรียนรู้ในลักษณะ ‘ละครเวที’ และโรงละครมายาฤทธิ์เป็นหนึ่งในส่วนน้อยนั้น

จุดกำเนิดของโรงละครมายาฤทธิ์อยู่บนพื้นที่แนวคิดการเรียนรู้ สร้างประสบการณ์และช่วยกระตุ้นจินตนาการให้กับผู้ชมที่เป็นเด็กผ่านบทละครที่สร้างสรรค์ เหมาะสมตามวัยตามพัฒนาการ รวมถึงสนับสนุนให้เด็กๆ ได้ลุกขึ้นขยับร่างกาย โห่ร้อง ปรบมือ เปล่งเสียงตะโกนตอบโต้กับนักแสดงบนเวทีได้อย่างเป็นอิสระและเป็นสุขมากกว่าบังคับให้นั่งดูนิ่งๆ

The Potential ชวนถอดรหัสผ่านคำสัมภาษณ์ของ สมศักดิ์ กัณหา ผู้จัดการโรงละครมายาฤทธิ์ ถึงกระบวนการสร้างละครเวทีสำหรับเด็กโดยเฉพาะ รวมถึงไอเดีย วิธีคิด และความเชื่อที่มีต่อการเรียนรู้และพลังของนิทาน เพียงช่วงเวลาเกือบสองชั่วโมงก่อนเสียงเจื้อยแจ้วหรรษาของเด็กๆ และผู้แสดงจะลาไป ละครเวทีเรื่องนี้ได้ส่งต่อความคิดอะไรให้พวกเขา รวมถึงพ่อแม่ที่มานั่งชมไว้บ้าง

สมศักดิ์ กัณหา

จุดเริ่มต้นของโรงละครมายาฤทธิ์มีที่มาที่ไปอย่างไร

โรงละครมายาฤทธิ์ก่อตั้งเมื่อปี 2558 ประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันศิลปวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนา (มายา) ที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กและเยาวชน เราทำละครเล่นตามโรงเรียน ชุมชน หรือหอศิลป์ต่างๆ ด้วยความคิดที่ว่าการพัฒนาเรื่องการศึกษา จำเป็นต้องมี ‘นิเวศสื่อ’ นิเวศสื่อ หมายถึงการสร้างความสมดุลในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ใช้สื่อและผู้สร้างสื่อกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ซึ่งมีผลช่วยสร้างคุณภาพของชุมชน

เริ่มแรกที่ก่อตั้งเราวางวัตถุประสงค์ไว้ว่า อย่างน้อยเป็นสิ่งที่เรียกว่าพัฒนาผู้เสพสื่อดี คือ audience development สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กข้อ 31 ที่ระบุว่า รัฐภาคียอมรับสิทธิของเด็กที่จะมีการพักและเวลาพักผ่อน การเข้าร่วมกิจกรรมการละเล่นทางสันทนาการที่เหมาะสมตามวัยของเด็กและการมีส่วนร่วมอย่างเสรีในทางวัฒนธรรมและศิลปะ และ รัฐภาคีจะเคารพและส่งเสริมสิทธิของเด็ก ที่จะเข้ามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในทางวัฒนธรรมและศิลปะสนับสนุนการใช้โอกาสที่เหมาะสมเท่าเทียมกันสำหรับกิจกรรมทางวัฒนธรรมศิลปะ สันทนาการ และการพักผ่อนหย่อนใจ

ดังนั้นโจทย์คือ จะทำอย่างไรให้เด็กจะมีสื่อนันทนาการที่สร้างสรรค์ เด็กเข้าถึงสื่อและมีส่วนร่วม มันจึงต้องมีสเปซที่เด็กๆ เข้าถึงหรือเปล่า นั่นก็เลยเป็นที่มาของการจัดตั้งโรงละครมายาฯ ซึ่งมันมันเป็นโมเดล ที่นำไปพัฒนาในทุกจังหวัดได้ จะมีประโยชน์กับการพัฒนาเด็กมาก

ถ้ารัฐใช้วัฒนธรรมหรือศิลปะนำพาการพัฒนาสังคมหรือส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ มันต้องมี theatre มี space สำหรับเด็ก โรงละครมายาฤทธิ์เป็ญสัญลักษณ์ว่าเด็กมีสิทธิเข้าสู่นันทนาการสร้างสรรค์ ซึ่งเดิมสังคมมันมองไม่เห็น

แสดงว่าตั้งแต่ปี 2558 ที่โรงละครมายาฤทธิ์ เริ่มทำงาน ตั้งธงไว้กับ ‘เด็ก’ ตั้งแต่แรกเลยใช่ไหม

ตัวสถาบันศิลปะและการพัฒนาฯ เริ่มจัดตั้งตั้งแต่ปี 2524 มีเป้าหมายเรื่องการพัฒนาเด็กและเยาวชน เราคิดว่าละครเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ theatre หรือโรงละครนี่ล่ะจะช่วยได้ โดยเริ่มจากการมีละครไปเล่นตามชุมชนแออัดห่างไกลและในโรงเรียน หลังจากนั้นก็พัฒนาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กไปเรื่อย เช่น มี workshop กับกลุ่มเยาวชน ครู ครอบครัว ก็มีเครื่อข่ายร่วมกันเป็นพันๆ ครั้ง ใน 30 กว่าปี เกิดเป็นเครือข่ายด้านการพัฒนาเด็กขึ้น

ทำไมเชื่อในศาสตร์ของ theatre คิดว่าละครเป็นเครื่องมือที่ดีในการสื่อสารได้อย่างไร

เวลาเราพูดถึงละคร มันเป็นการเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองต่างๆ เพราะฉะนั้นอันดับแรก ละครมันทำให้คนได้คิด พอเขาคิดเขาก็จะสามารถวิเคราะห์ ประเมินคุณค่าแล้วก็หาทางเลือกกับการแก้ปัญหาต่างๆ อันดับที่สอง ละครจะทำให้เราเข้าใจคนอื่น เพราะละครเป็นการมองเรื่องราวผ่านมุมมองอื่น เห็นมุมมองของตัวละครแต่ละตัว

การเข้าใจคนอื่นมันสำคัญมาก โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่มีวาทกรรมที่ทำให้คนเกลียดกันมากโดยที่ไม่จำเป็นเลย ยังไม่เห็นหน้ากันเลย ได้ยินก็เกลียดกันแล้ว การที่เราเข้าใจคนอื่นมันจำเป็นมากในสมัยใหม่

อันดับที่สามที่ผมว่าสำคัญ ละครมันสร้างสิ่งที่เรียกว่า empathy หรือการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะของโลกศตวรรษที่ 21 คุณธรรมเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นในใจของเราได้อย่างไร ความเมตตา ความเสียสละ ความตระหนัก หรือความห่วงใยมันจะมาได้อย่างไร – ละครทำได้ เพราะฟังก์ชั่นของละครคือการมอบข่าวสารแล้วก็ให้อารมณ์ ความรู้สึก มันก็เลยก่อให้เกิดทัศนคติ สร้าง empathy ของเด็กได้ โดยธรรมชาติของละครมันเป็นอย่างนี้แล้ว

แล้วละครเรื่อง ‘เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า’ ต้องการจะสื่อสารอะไร

‘เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า’ เป็นการรวบรวมละครอีสปทั้ง 9 เรื่องไว้ คือ 1.อึ่งอ่างกับวัว 2.ลูกปูกับแม่ปู 3.ชาวสวนกับลูก 4.เด็กกับฝูงกบ 5.ลมเหนือกับดวงอาทิตย์ 6.ภูเขาคลอดลูก 7.ค้างคาวกับเพียงพอน 8.เมื่อทหารแตรถูกจับเป็นเชลย และ 9.ลูกแกะในฝูงแพะ โดยมีเป้าหมายร่วมกันประมาณ 3 เรื่องใหญ่ๆ

อย่างแรกคือเราต้องการเสริม self-esteem ที่ดีกับเด็ก ตระหนักรู้ในคุณค่าแห่งตน เห็นได้จากเวลานักแสดงช่วยวอร์มอัพเด็ก ทำให้เด็กๆ เปลี่ยนบทบาทจากผู้ชมที่ต้องนั่งเฉยๆ มาเป็นฝ่ายกระทำการ สามารถสั่งให้เวทีเปิดปิดไฟได้ ถึงมันจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันยิ่งใหญ่ในใจเด็ก เขาจะรู้สึกมีส่วนร่วมกับการแสดง มีสิทธิโต้ตอบตลอดเวลา เราสื่อสารกับเด็กโดยตรงกับเขาในฐานะเป็นมนุษย์ ให้เขาได้คิดตัดสินใจเอง เป็นการส่งเสริมให้เด็กมี self-esteem เราเห็นได้จากอากัปกริยาต่างๆ ที่เด็กแสดงออกมา

เป้าหมายอย่างที่สอง คือ self-empowerment หมายความว่า เราเสริมพลังอำนาจให้เด็กสามารถเผชิญกับโลกจริง เรา empower หมดเลย เช่น นิทานเรื่องกบเลือกนาย คติเดิมของนิทานเรื่องนี้บอกว่าไม่ควรเปลี่ยนเจ้านายบ่อยๆ เพราะไม่ดี แต่เราไม่เสนอแบบนั้น เราพยายามตีความใหม่ ให้ self-empowerment เสนอมุมมองใหม่ว่าเราก็สามารถปกครองเราด้วยตัวเราเองได้ ทุกอย่างมันเริ่มที่ตัวเรา เราตัดสิน เราแก้ปัญหาได้

ประเด็นที่สาม คือ การใช้ละครเป็นเครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ระหว่างทำการแสดง จะเห็นได้ว่าเราพยายามเปิดพื้นที่ วิธีคิด กระสวนภาษาใหม่ เช่น ประโยคที่ว่า ‘พรุ่งนี้จะดีกว่าถ้าเราใช้ภาษาให้ถูกต้อง’ ‘พรุ่งนี้จะดีกว่าถ้าเราเห็นอกเห็นใจคนอื่น’ มองว่านี่จะกลายเป็นเครื่องมือการเรียนรู้-เครื่องมือในการใช้ชีวิตของเด็กเลย

มองภาพรวมไปแล้ว อยากชวนถอดรหัสนิทานในละครสักเรื่องหนึ่ง ว่ามันเกี่ยวกับอะไร แล้วเด็กจะได้อะไรจากนิทานอีสปเรื่องนั้น

นิทานเป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวละคร ทุกตัวละคร ทำให้คนดูเกิดความรู้สึกรู้สมไปกับเรื่อง ได้คิด ได้จินตนาการ เช่น นิทานเรื่องลมเหนือกับพระอาทิตย์ พูดถึงสังคมที่ใช้ความรุนแรง เวลาเราจัดการสื่อสารกับเด็ก ไม่ว่าจะพ่อแม่ครู เราต้องใช้ความละมุนละม่อม เด็กก็จะอ่อนโยน เมื่อเขาอยู่ในภาวะไร้ความกดดัน เขาก็จะยอมรับฟังสิ่งที่เราอยากจะสื่อสาร

ทำไมถึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ทักษะในศตวรรษที่ 21

ต่อไปนี้จะเป็นโลกของเขานะครับ ผมมีความเชื่อกับคนรุ่นใหม่ โลกไม่ใช่ของเราอีกต่อไปแล้ว ถ้าเราไม่เชื่อเขา มันจะเดินต่อยังไง สิ่งที่ทำได้คือเตรียมพร้อมให้ได้มากที่สุด เราต้องเชื่อมั่นในเด็ก เขาเป็นคนที่จะต้องอยู่ดูแลโลกใบนี้ ถ้าสมมุติคนรุ่นเราไม่เตรียมทักษะที่จำเป็นสำหรับเขาเลย แล้วสังคมจะอยู่ได้ยังไง

ในประเทศที่เจริญแล้วการพาเด็กไปดูละคร เป็นเรื่องปกติมาก มันเป็นวัฒนธรรม เป็นเรื่องจำเป็น เพราะว่าเมื่อเด็กดูละคร เขาจะดู ฟัง รู้สึก คิด แล้วก็ใฝ่ฝัน เชื่อมชีวิตกับละคร

ภาพรวมของนานาชาติเขาให้ความสำคัญกับการดูละครมาก มีรวมตัวกันรณรงค์ให้พาเด็กไปดูละคร เช่น ออสเตรเลีย แต่ละมลรัฐ จำเป็นต้องมีโรงละครประจำรัฐ ซึ่งรัฐบาลต้องสนับสนุน มีละครไปเล่นให้เด็กดูที่โรงเรียน ขณะเดียวกันก็มีนโยบายพาเด็กไปดูละคร ปีละ 2-3 เรื่องด้วย เพราะว่าประเทศเหล่านี้เขาเห็นถึงความสำคัญของการใช้ศิลปะในการพัฒนาสังคม-พัฒนาประเทศ

ในความเห็นส่วนตัว สถานการณ์หรือการรับรู้ถึงการมีโรงละครในเมืองไทย รวมถึงวัฒนธรรมการดูละครเวทีของคนไทยเป็นอย่างไรบ้าง

สมัยก่อนวัฒนธรรมการดูละครของเราผูกติดกับราชสำนัก เป็นระบบอุปถัมภ์ โดยผู้มีฐานะจะมีคณะละครของตัวเอง และใช้เล่นเป็นนันทนาการเฉพาะกลุ่ม แต่ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนแปลง รัฐทำหน้าที่นี้แทน รัฐเองกลายเป็นผู้ส่งเสริมศิลปะประเพณีมากกว่าศิลปะร่วมสมัย โดยเฉพาะละครเวทียิ่งน้อย ไม่ต้องพูดถึงละครเวทีสำหรับเด็ก ไม่มีเลย ยิ่งในเขตต่างจังหวัดยิ่งขาดแคลน

สำหรับโรงละครในประเทศไทย ยังมีอะไรที่ต้องพัฒนาอีกไหม

สำหรับเมืองไทยภารกิจสำคัญคือการสร้างคุณภาพประชาชน ส่งเสริมสุนทรียศาสตร์ สร้างผู้เสพสื่อดี ต้องมีหน่วยงานส่งเสริม audience development รัฐบาลและภาคเอกชนร่วมมือส่งเสริมให้เกิดพื้นที่สร้างสรรค์ ทำอย่างให้มีโรงละครสำหรับเด็กและเยาวชนทุกจังหวัด และเด็กสามารถเข้าถึงได้มากกว่านี้

โรงละครสำหรับเด็กมันเหมือนหรือต่างกันกับโรงละครผู้ใหญ่อย่างไร

จริงๆ ผมว่าก็คงต้องเข้มข้นเหมือนๆ กัน เพียงแต่ว่าการทำงานละครสำหรับเด็กมันอาจจะต้องมองเรื่องสารและนำเสนอให้เด็กด้วย มายาฤทธิ์เลือกเรื่องที่จำเป็นสำหรับเด็กและครอบครัว โจทย์คือเราต้องการเห็นเด็กที่มี self-esteem ที่ดี ตระหนักรู้ในคุณค่าแห่งตน และจะทำอย่างไรที่จะ empower เด็กได้ ทำอย่างไรจะให้เด็กมีทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต อันนี้คือสิ่งที่เราคิดว่าจำเป็นสำหรับละครเด็ก

แล้วในแง่ของการสื่อสารออกมา ตัวนักแสดง แสง เพลง บรรยากาศรวมๆ ละครเด็กน่าจะต่างกับผู้ใหญ่ไหม

ถ้ามองในเรื่องเทคนิค ย้อนกลับไปสมัยก่อนเวลานั่งดูละครรามเกียรติ์ เราจะดูกับพ่อแม่เพราะมันเป็นสื่อที่เป็นองค์รวมดูได้ทั้งครอบครัว ผู้ปกครองที่มาชมละครบอกเราว่าพาลูกๆ มาเสพงานศิลปะ เหมือนเวลาเราไปดูงานศิลปะที่หอศิลป์ อาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่มันสร้างรสนิยมสุนทรียศาสตร์

โดยละครที่เหมาะกับการเรียนรู้สำหรับเด็ก เราอาจจะต้องใช้วิธีแบ่งออกเป็นตอนย่อยๆ เพื่อให้เด็กเริ่มแล้วก็จบในตอน จากนั้นก็เริ่มใหม่ คำนึงให้เข้ากับระยะความสนใจของเด็กด้วย

เราต้องเข้าใจว่าระยะเวลาที่เด็กเขาจะจดจ่อ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่สามารถต่อได้ ขยายได้โดยใช้เทคนิคการนำเสนอเป็นตอนย่อย โรงละครมายาฤทธิ์เราจะท้าทายเด็กด้วยภาษาที่ยาก ในเรื่องมีการใช้ภาษาที่ซับซ้อน เช่น ภูเขา เราใช้คำว่าบรรพต คิรี สิงขร พอเด็กได้ยินปุ๊บ เขาก็จะหันกลับมาถามความหมายกับพ่อแม่ กลายเป็นว่าลูกได้คลังคำใหม่ๆ ได้ภาษาใหม่ๆ

ข้อที่สำคัญอีกอย่าง การดูละครเวลาช่วยฝึกสมาธิให้ลูกๆ การมานั่งอยู่ในโรงละคร 1-2 ชั่วโมง มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็ก ละครของเราเด็กตั้งแต่ 2 ขวบ สามารถเข้าดูได้ จะทำอย่างไรให้เด็กไม่งอแง เราก็ต้องมาทำการบ้านเชิงเทคนิคกันต่อ

นักแสดงทั้งหมดคือใคร

เป็นอาสาสมัครหมดเลย ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ จากหลายๆ คณะ มีศิลปศาสตร์ เอกอังกฤษ เอกไทย จิตวิทยา สังคมสงเคราะห์ วารสารฯ นักแสดงทั้งหมดต่างมีความสนใจเรื่องเด็กและการพัฒนาเด็ก แต่ไม่ได้มีทักษะละครติดตัวกันมา ก็มาหัดใหม่ มา workshop ทำงานกันอย่างหนัก อย่างละครเรื่องนี้ใช้เวลาฝึกซ้อมร่วมสองเดือน

ถ้าพูดถึงการทำงาน วิธีการหยิบแต่ละ theme ขึ้นมาเป็นละคร มีวิธีคิดและเลือกอย่างไร

เรามีธงใหญ่ที่จะพาเด็กไปให้ถึง นอกจากความสนุก เราต้องติดตั้งเครื่องมือการเรียนรู้ให้เขา ขั้นตอนทำงานเราก็มานั่งคิดว่าอะไรคือสิ่งที่เด็กควรจะได้ ‘พรุ่งนี้จะดีกว่าถ้าอะไรบ้าง…’ ใช้วิธีระดมความคิดกันในทีมงาน

เริ่มจากผู้กำกับก่อนว่าเขาเห็นภาพอะไร มีไอเดียอะไร จากนั้นก็พัฒนาบท บทเป็นจุดเริ่มของการสร้างสรรค์ การผลิตเริ่มจากการอ่านบทพร้อมกัน frist reading จากนั้นก็ improvise ระหว่างซ้อมนักดนตรีเข้ามา ทำเพลง มีนักดนตรีมาทำเพลง นักแสดงมาอิมโพรไวซ์ ฝ่ายเสื้อผ้า หน้า ผม เวที ฉาก แสง เทคนิคพิเศษ อุปกรณ์ประกอบฉาก

เทคนิคที่ละครใช้เป็น object theatre เพื่อกระตุ้นจินตนาการเด็ก รวมถึงการแฝงนัยยะ เช่น เรื่อง ลูกปูกับแม่ปู ที่จะเสนอว่าตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน โดยแฝงเรื่องการใช้ภาษาของแม่ปูที่ไม่ถูกต้อง แล้วให้ลูกปูกับแม่ปูพูดคุยกันเรื่องภาษา ปิดท้ายด้วยการพาท่องเพลง 20 ไม้ม้วน ซึ่งเด็กๆ ที่มาดูก็จะได้ความรู้เรื่องภาษาติดตัวไป มีคุณแม่หลายคนที่ลูกอยู่โรงเรียนนานาชาติ เขาบอกว่า ชอบมาก ทำให้ลูกเขาใจภาษาไทยขึ้น เป็นคำสอนที่ดีที่สุด

ในฐานะคนทำละครเพื่อการเรียนรู้ แล้วระหว่างทางได้เรียนรู้อะไรจากสิ่งที่กำลังทำอยู่บ้าง

ได้เรียนรู้ว่าละครเป็นภาวะร่วมสร้างสรรค์ เขาเรียกว่าเป็น collective creativeness เพราะฉะนั้นทุกคนมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ เป็นกระบวนทางประชาธิปไตย ที่สำคัญคือสุขใจที่ผู้ชมมีความสุข

การเปิดให้เด็กจินตนาการ เด็กจะโตมามีคาแรคเตอร์แบบไหน

คือสังคมไทยต้องการให้เด็กคิดเหมือนกัน ใครคิดต่างนี่เป็นปัญหา แต่ละครไม่ใช่ เราให้เด็กเขา free to be you and me เติบโตเป็นตัวเขาในแบบที่เขาเป็น ไม่ควรไปจำกัดกรอบให้เขา มนุษย์ไม่เหมืนอนกัน เราแตกต่างกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทำอย่างไรให้เขาค้นพบตนเอง โลกสมัยใหม่เป็นสังคมที่ inclusive ต้องการความหลากหลายเพื่อขับเคลื่อนโลกของเรา

ลึกๆ แล้วมองคำว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นอย่างไร

ครอบครัวมักจะยกภาระการเรียนรู้ทั้งหมดให้กับโรงเรียน แต่จริงๆ แล้วการเรียนรู้มันเกิดขึ้นได้ทุกเวลาจริงๆ นะ เด็กจะเรียนรู้ได้ทุกที่ที่เขาอยากเรียน เพราะฉะนั้นแหล่งเรียนรู้คู่ขนานตามอัธยาศัย เช่น พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ ร้านหนังสือ โรงละคร เป็นพื้นที่ที่มีผลกับเด็กมาก เพราะเป็นที่ที่มีอารมณ์ มีความรู้สึก ก่อให้เกิดทัศนคตินำไปสู่การปรับใช้

เคยดูข่าว โอ้โห เด็กญี่ปุ่นไปพิพิธภัณฑ์บ่อยมาก ซึ่งการไปพิพิธภัณฑ์ของเด็กหมายความว่า เด็กวางแผนจะไปเรียนรู้อะไร ไปยังไง จะห่ออาหารไปยังไง มันเกิด planning มันมีเรื่องระหว่างทางที่เกิดขึ้น ไอเดียการเรียนรู้คู่ขนานสำคัญมาก แต่เรากลับไม่ให้ความสำคัญ

ลองทบทวนดูว่า พิพิธภัณฑ์สำหรับเด็ก หอศิลป์สำหรับเด็ก ร้านหนังสือสำหรับเด็ก โรงละครสำหรับเด็ก ประเทศเรามีพื้นที่ตรงนี้มากน้อยแค่ไหน หากเป็นเช่นนี้คุณภาพของเด็กจะเป็นอย่างไร ตอนนี้เด็กกำลังเติบโตในศตวรรษที่ 21 ซึ่งในโลกปัจจุบันความรู้มันอยู่กระจายทั่วทุกที่ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียนอีกต่อไปแล้ว โจทย์ต่อไปคือ จะกระตุ้นให้เด็กสนใจอยากจะรู้ได้ยังไง ซึ่งมันจะต่อยอดให้เกิดการทำงานและความคิดสร้างสรรค์ตามมา

ตั้งแต่ทำการแสดงมา feedback ของโรงละครมายาฯ เป็นอย่างไรบ้าง

ดีครับ ผู้ปกครองบอกต่อ แชร์กัน เขารู้สึกรู้สม บางคนก็มีความเป็นห่วงโรงละคร จะอยู่ยังไง ไม่มีผู้สนับสนุน แต่ที่สำคัญคือ เด็กๆ ลูกๆ ได้โตมากับละครมายาฤทธิ์

คิดว่าโรงละคร ที่เป็นส่วนหนึ่งของ public space มันจะเติมเต็มหรือช่วยเสริมอะไรให้เด็ก

ละครจะช่วยบ่มเพาะหรือเติมเต็มการเรียนรู้ ทำให้เด็กคิดและรู้สึกรู้สมไปกับสถานการณ์ตรงหน้า เห็นความแตกต่างของมนุษย์ ว่าคนเราไม่เหมือนกัน เห็นอกเห็นใจกัน มี under standing the others เข้าใจคนอื่น ละครทำให้เขาคิด วิเคราะห์ ประเมินคุณค่า แล้วก็แสวงหาทางออกสำหรับเรื่องนั้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเป็นทักษะที่จำเป็นมากในศตวรรษที่ 21

Tags:

ศิลปะการแสดงการแสดงละครสร้างสรรค์(Creative Drama)สมศักดิ์ กัณหา

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Voice of New Gen
    ธนุพล ยินดี นักการละครที่ชวนศิลปินเชียงใหม่ลุกขึ้นมา ACT UP ส่งสารเรื่องคับข้องใจในสังคม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญธีระพงษ์ สีทาโส

  • Unique Teacher
    อานันท์ นาคคง: เรียนมานุษยวิทยาดนตรีผ่านงานวัด งานประเพณี ถกเพลงประเทศกูมีในห้องเรียน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    “รู้จักตัวเองและรู้จักคนอื่น” คือสิ่งที่หายไปจากห้องเรียน แต่เรียนได้จากละคร: กลุ่มละครมะขามป้อม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique TeacherCreative learning
    ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์ : CREATIVE DRAMA วิชาดีๆ ที่เด็กไทยไม่ได้เรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)
EF (executive function)
24 September 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

สมองของคนเรามีเซลล์ประสาทหนึ่งพันล้านตัว เซลล์เหล่านี้เชื่อมต่อกันด้วยจุดเชื่อมต่อประสาท (synapses) แล้วรวมกลุ่มกันเป็นโหนด (node) ก่อร่างสร้างตัวขึ้นเป็นโครงสร้างที่เรียกว่าโมดูล (module) เซลล์และโหนดทำงานประสานกันทั้งในระดับโมดูลเดียวกัน หรือข้ามโมดูลเป็นโครงสร้างของฮับ (hub)

นี่คือคำบรรยายอย่างง่ายๆ ถึงวิธีที่สมองสร้างตัวเองขึ้นมาเป็นวงจรประสาทจำนวนมากสานกันเป็นร่างแหซึ่งจะทำงานเป็นอิสระต่อกันแต่ก็ประสานกับส่วนอื่นอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างที่อาจจะช่วยให้นึกภาพออกได้ง่ายคือเครื่องบินที่บินไปมาทั่วโลก หรือวงออร์เคสตราขนาดใหญ่ที่มีเครื่องดนตรีเกือบร้อยชิ้น

เครื่องบินทุกลำบินได้โดยไม่ชนกลางอากาศกับลำอื่นๆ เครื่องดนตรีทุกชิ้นบรรเลงส่วนของตัวแต่รวมเป็นหนึ่ง แม้กระทั่งเมื่อสมองหยุดทำงาน เหมือนเครื่องบินจอดที่ท่า หรือนักดนตรีหยุดเล่น ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นส่วนหนึ่งของโมดูลหรือฮับเสมอ

โครงสร้างแบบโมดูลเริ่มต้นในครรภ์มารดา แต่การเชื่อมต่อของเส้นประสาทและการประสานงานเริ่มขึ้นเมื่อทารกออกมาสู่โลกภายนอก และสร้างขึ้นด้วยความเร็วสูง ทารกเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส (ถูกอุ้มกอดหรือถูกมดในกองขยะรุมกัด) อย่างไร เซลล์ จุดเชื่อมต่อ โหนด โมดูล และฮับเริ่มก่อตัวทางกายภาพตามกันไป

เราจึงมีคำแนะนำเสมอว่าอย่ากังวลหากเด็กจะขอให้อ่านนิทานเรื่องเดิมทุกคืน เพราะช้างเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะไม่เหมือนช้างเมื่อคืนนี้ จะไม่เหมือนช้างคืนนี้และจะไม่เหมือนช้างคืนพรุ่งนี้ ทุกประสาทสัมผัสที่เด็กเล็กได้จะสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่ๆ ทุกเวลา กลายเป็นวงจรประสาทใหม่ๆ และฮับใหม่ๆ ในที่สุด

จนกระทั่งเมื่อเป็นเด็กโตอายุประมาณ 9 ขวบที่จุดเชื่อมต่อเหล่านี้จะหนาแน่นอย่างถึงที่สุด แล้วสมองเข้าสู่กระบวนการตัดแต่งจุดเชื่อมต่อ (synaptic pruning) ด้วยการสลายเส้นประสาทหรือวงจรประสาทที่มิได้ใช้บ่อยทิ้งไป เหลือเป็นสมองที่เป็นระเบียบมากขึ้น โล่งขึ้น ทำงานสะดวกขึ้น คำถามคือสะดวกแบบไหน

ช้างในใจลูกเติบโตขึ้นทุกวันตามพัฒนาการของสมอง สุดท้ายเราอยากให้เหลือช้างแบบไหน คำถามนี้ไม่สำคัญเท่าคำถามที่ว่าสุดท้ายเราอยากให้ลูกเหลือวงจรประสาทอะไรไว้ คำตอบคือเหลือวงจรประสาทที่รองรับการทำงานของสมองระดับสูงซึ่งเรียกกันว่า executive function (EF)

ในแง่โครงสร้าง วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่พบว่าโรคทางจิตเวชและพฤติกรรมหลายชนิดเป็นความผิดปกติของโครงสร้างด้วย โรคเหล่านี้ไม่มีความผิดปกติเฉพาะตำแหน่งแต่เป็นความผิดปกติของการสร้างจุดเชื่อมต่อที่ผิดพลาดหลายๆ ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นโรคสมาธิสั้น กลุ่มออทิสติกสเป็คตรัม โรคซึมเศร้า โรคจิตเภท พาร์คินสัน อัลไซเมอร์ หรือโรคลมชัก

หากจะเปรียบให้พอเห็นภาพลองนึกถึงวงออร์เคสตราที่วางตำแหน่งของเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ผิดที่ตั้งแต่แรก เสียงดนตรีที่ควรไพเราะและกลมกลืนกลับแตกกระสานซ่านเซ็นกลายเป็นเสียงแว่ว (auditory hallucination) ของผู้ป่วยโรคจิตโดยง่าย

ทำไมวงออร์เคสตราต้องวางตำแหน่งเครื่องดนตรีตามที่กำหนดไว้ คำตอบคือเพราะวิวัฒนาการ (evolution) ในทำนองเดียวกันมนุษย์เป็นสัตว์พวกเดียวที่มีพัฒนาการของฮับก้าวหน้ากว่าสัตว์อื่น ลิง และวานร เรามีฮับที่มีขนาดใหญ่กว่า ซับซ้อนกว่า และประสานงานข้ามฮับได้อย่างวิจิตรพิสดาร เราจึงมีการคิดคำนวณและวิเคราะห์ได้ดีกว่ารวมทั้งสามารถชื่นชมงานศิลปะได้มากกว่าด้วย เราเป็นเช่นทุกวันนี้เพราะวิวัฒนาการ

ทารกเกิดมาบนร่องธารของวิวัฒนาการ ตำแหน่งของเครื่องดนตรีได้รับการทดลองและลองผิดลองถูกมานานมากแล้วจนลงตัว การวางตำแหน่งผิดหรือการวางสายเคเบิล (wiring) ของเส้นประสาทผิดนำไปสู่ความผิดพลาดของการประสานงาน

นอกเหนือจากการวางขดลวดที่ถูกต้องแล้ว เรายังต้องควบคุมมันได้ด้วย คือ control หากเราไม่สามารถควบคุมวงออร์เคสตราได้เราจะเป็นได้แค่ผู้ฟัง มิใช่คอนดัคเตอร์ กลายเป็นสมองที่แต่ละส่วนต่างคนต่างเล่น ความสามารถที่จะควบคุมตนเองคือ self control เป็นส่วนประกอบสำคัญของ executive function (EF)

การควบคุมตนเองกลายเป็นประเด็นสำคัญมากขึ้นในศตวรรษที่ 21 เหตุเพราะเราเข้าสู่ยุคไอทีอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะปรับตัวได้ทัน เด็กเจนเนอเรชั่นอัลฟ่าซึ่งเกิดตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาเกิดมาบนโลกที่พ่อแม่และปู่ย่าตายายมีสมาร์ทโฟน โลกมีไวไฟและเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง พวกเขาพบสิ่งเร้า (stimulus) ชวนวอกแวก (distraction) มากกว่ามาก แม้ว่าจะมีความรู้มหาศาลในอินเทอร์เน็ตแต่ความรู้เหล่านั้นนำมาใช้อะไรไม่ได้เลยถ้าเด็กคนหนึ่งควบคุมตนเองมิได้

ทั้งหมดนี้คือพัฒนาการของสมองซึ่งอยู่ในกะโหลกศีรษะของลูกของเรา

ย้อนอ่านบทความ  อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

ข้อเขียนนี้แปลและเขียนใหม่จากบทความ How Matter Becomes Mind ของ Max Bertolero และ Danielle S. Bassett
หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความ อ่าน เล่น ทำงาน เรื่อง ‘การอ่าน’ ได้ที่นี่
อ่านเล่นทำงาน: อ่านนิทาน
อ่านเล่นทำงาน: เล็กๆน้อยๆ แต่สำคัญมากของ ‘นิทานก่อนนอน’ 
อ่านเล่นทำงาน: สมอง ‘อ่าน’ อย่างไร
อ่านเล่นทำงาน: ความต่างระหว่าง ‘อ่านออก (เร็ว)’ กับ ‘อ่านเอาเรื่อง’
อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน
อ่านเล่นทำงาน: เด็กทำอะไรช้ามาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆจึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน
อ่านเล่นทำงาน: อ่าน ‘อย่างมีความสุข’ เพื่อสร้างระบบความจำใช้งาน
อ่านเล่นทำงาน: อ่านวรรณคดีไทยลูกจะเผชิญด้านมืดได้ดีกว่าคำพ่อแม่สั่งสอน
อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

Tags:

พัฒนาการEFนิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงาน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติ ความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

“เวลาเราอยู่ใกล้ หัวใจแกจะเต้นแรงเหมือนเดิมเลย” ด้วยรักฉุดใจจากนักฉุกเฉินการแพทย์
Voice of New Gen
24 September 2019

“เวลาเราอยู่ใกล้ หัวใจแกจะเต้นแรงเหมือนเดิมเลย” ด้วยรักฉุดใจจากนักฉุกเฉินการแพทย์

เรื่อง

  • บุคลิกตั้งแต่วิธีพูดไปจนถึงความนิ่งสงบสยบทุกสถานการณ์ของ ‘หมอเป้ง’ ในซีรีส์ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ถอดแบบมาจาก ‘หมอหนึ่ง’ แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์
  • หมอหนึ่ง – รศ.ดร.นพ.ไชยพร ยุกเซ็น หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล คือ ผู้ริเริ่มและดูแลหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ ผลิตนักฉุกเฉินการแพทย์ หรือนายฉุกเฉิน
  • มากกว่าตามรอยแต่นี่คือบทสัมภาษณ์เพื่อลงลึกคนในวง ER ซึ่งมีภารกิจสำคัญคือทำให้หัวใจทุกคนกลับมาเต้นแรง
เรื่อง: นลินี มาลีญากุล
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล
คำเตือน: บทความต่อไปนี้เหมาะสำหรับผู้อ่านทุกวัย ดูซีรีส์ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน มาแล้วก็อ่านแบบอ๋อตามไปด้วยได้สบายๆ หรือหากใครยังไม่ได้ดู เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าสปอยล์ แต่อ่านแล้วอาจจะเข้าใจความนิ่งจนบางทีก็เหมือนคนไร้หัวใจของ ‘หมอเป้ง’ และอาจนำไปสู่ความอินกับตัวละครตั้งแต่อีพีแรกที่เริ่มดู

ขึ้นต้นมาแบบนี้ แง่หนึ่งก็เหมือนการสปอยล์ไปแล้วล่ะ

แต่ถ้าเอ่ยถึง นักฉุกเฉินการแพทย์ (Paramedic) ไม่น้อยค่อนไปทางมาก หลายคนคงส่ายหน้า ไม่รู้จัก ลามไปถึงขั้นไม่เคยใช้บริการ ซึ่งเอาเถอะ ไม่เคยใช้บริการน่ะดีแล้ว

นักฉุกเฉินการแพทย์ ชื่อไม่คุ้นหูสำหรับคนไทย แต่ใกล้ตัวและสนิทใจกับผู้ป่วยรวมถึงญาติที่ประสบความฉุกเฉินทางร่างกายในทุกกรณี พูดให้เห็นภาพมากขึ้น พาราเมดิกคือหน่วยประคับประคองที่หากเกิดอุบัติเหตุ หรือเคสฉุกเฉินประมาณ หัวใจหยุดเต้น จับชีพจรแล้วไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าอยู่หรือไป หายใจลำบาก พาราเมดิกจะต้องเป็นหน่วยแรกที่ไปถึงความฉุกเฉินนั้นๆ เพื่อทำการปฐมพยาบาลให้ทุกอย่างลดระดับความฉุกเฉินลงมาบ้าง จากนั้นจึงนำตัวบุคคลฉุกเฉินนั้นส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาแบบฟูลออพชั่น

สิ่งที่ควรต้องเน้นแบบขีดเส้นใต้หลายๆ รอบคือ นี่ไม่ใช่การทำงานแบบ ไปหาตัวผู้ป่วย จากนั้นก็ช้อนตัวมาส่งโรงพยาบาลให้หมอคนอื่นดูแลเหมือนหลายเคสฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในประเทศไทย แต่พาราเมดิกจะอยู่ประเมินตั้งแต่สถานการณ์ในที่เกิดเหตุ ระหว่างนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล รวมถึงเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในห้วงเวลาแสนสั้นแต่ใจต้องนิ่ง เพราะพลาดนิดเดียวอาจเท่ากับชีวิตของคนหนึ่งคน

ที่แน่ๆ ชีวิตคนไม่ใช่เรื่องทดลอง ความรู้สึกของญาติที่รออยู่ก็เช่นกัน สี่ปีของการเรียน วิชาฉุกเฉินการแพทย์ ที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จึงไม่ใช่แค่ห้องสี่เหลี่ยมที่แค่สร้างบุคลากรทางการแพทย์ตามขนบ

เพราะทุกเหตุการณ์คือความฉุกเฉินที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตใครสักคน และเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับที่พาราเมดิกอาจจะยื้อชีวิตของใครอีกสักคนไว้ไม่ได้ ไปพร้อมๆ กัน

และช่วยไม่ได้อีกว่า เรื่องความเป็นความตายที่ดูเป็นก้อนแสนหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจนั้น พาราเมดิกจะต้องถูกเทรนให้ชินกับมันตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปเรียน

โอ๊ต – สรวิชญ์ วัชรกิจไพศาล, หมอหนึ่ง – รศ.ดร.นพ.ไชยพร ยุกเซ็น และ แจ้ – ธนากร ลักษณะมาพันธ์

“เวลาเราอยู่ใกล้แก หัวใจเรายังเต้นแรงเหมือนเดิมเลย”

จากที่เกริ่นมา นักฉุกเฉินการแพทย์ หรือ พาราเมดิก นั้น คือวิชาชีพที่สำคัญ จำเป็นต้องมี และหากดูซีรีส์หรือภาพยนตร์ต่างประเทศก็จะพอเห็นบุคคลเหล่านี้แวบๆ อยู่ในแทบทุกฉากสำคัญที่ขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของคน

อาชีพพาราเมดิกที่ว่า หากย้อนประวัติศาสตร์กันจริงๆ แล้ว มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน แต่ถ้าย้อนไปถึงยุคนั้นก็น่าจะไกลจนจินตนาการอะไรไม่ออก

แต่ในสื่อกระแสหลักนั้น อาชีพพาราเมดิก เป็นที่รู้จักครั้งแรกจากซีรีส์ชื่อดังจากลอสแองเจอลิสอย่าง Emergency! ซึ่งฉายอยู่ในช่วงปี 1972-1979 เลยพอทำให้สันนิษฐานได้ว่า อาชีพนักฉุกเฉินการแพทย์ ก็น่าจะมีอยู่มาก่อนหรือเป็นที่รู้จักโดยคนทั่วไปในช่วงที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้

แต่กล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงในประเทศไทย หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ เพิ่งจะอนุมัติหลักสูตรและเปิดสอนเมื่อ พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมานี่เอง

ไม่ใช่ว่าไม่มีความสำคัญ แต่เพราะไม่เคยมีคนหยิบความสำคัญมาพูดถึง บวกลบกันแล้ว เราจึงเริ่มช้ากว่าประเทศอื่นเขาอยู่หลักหลายสิบปี

ส่วนจุดเริ่มต้นของอาชีพพาราเมดิกในไทย อาจเล่าเป็นจุดชี้วัดได้ยากสักหน่อย เพราะเอาเข้าจริงมันอาจย้อนไปเกือบ 20 ปีที่แล้ว ตั้งแต่นักเรียนมัธยมต้นคนหนึ่งกรอกแบบฟอร์มความฝันส่วนตัวไว้ว่า อยากไปเป็นแพทย์ข้างสนามให้กับทีมฟุตบอลที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงแต่สม่ำเสมออย่างลิเวอร์พูล

“ผมอยากเป็นหมอตั้งแต่อยู่ ม.ต้น แล้ว แต่ว่าความฝันสมัยนั้นไม่ได้อยากเป็นหมอโดยตรงเพื่อช่วยเหลือคนเจ็บ ตอนนั้นแค่คิดแบบเด็กที่ชอบเชียร์บอลคนหนึ่งเลยว่า เราเชียร์ลิเวอร์พูล คิดว่าตัวเองคงไม่มีความสามารถไปเป็นนักฟุตบอลแล้วไปเข้าทีมลิเวอร์พูลได้หรอก แต่วันหนึ่งได้ไปเห็นแพทย์สนามที่อยู่ประจำทีมฟุตบอลกำลังทำงาน นั่นเป็นแรงบันดาลใจจริงๆ ที่ทำให้อยากเรียนหมอ และคือความฝันในตอนนั้น”

หมอหนึ่ง – รศ.ดร.นพ.ไชยพร ยุกเซ็น

หมอหนึ่ง หรือ รศ.ดร.นพ.ไชยพร ยุกเซ็น ตอบคำถามด้วยคำถามอีกรอบว่า “ผมถึงได้ถามว่าจะให้ตอบเรื่องจริงหรือเอาแบบสร้างภาพดี?” เพราะคำตอบข้างบนนั่นไม่น่าจะเป็นเหตุเกี่ยวข้องใดๆ กับการเป็นหัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เริ่มพัฒนาหลักสูตรพาราเมดิก จนเริ่มมีคนรู้จักและให้การยอมรับในวิชาชีพ

นอกจากนั้น บุคลิกตั้งแต่วิธีพูดไปจนถึงความนิ่งสงบสยบทุกสถานการณ์ฉุกเฉินของ หมอเป้ง ในซีรีส์ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ที่รับบทโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ถอดแบบมาจากหมอหนึ่งแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์

“ผมเป็นคนมีแพสชั่นแรงมาก อยากทำอะไรก็จะพยายาม แล้วจะต้องทำให้ได้ แต่ทำให้ได้เนี่ย เริ่มมาจากการไปทีละสเต็ป วางแผนไว้ว่าถ้าอยากเป็นหมอ งั้นต้องเรียนสายวิทย์ไว้ก่อน ผมก็ต้องมาสอบเข้าสายวิทย์ที่โรงเรียนให้ได้ สเต็ปต่อไปก็คือพยายามสอบเข้าคณะแพทย์ให้ได้”

ส่วนการมาไกลจากความฝันแพทย์สนามให้ทีมฟุตบอลที่รัก จนมาเป็นอาจารย์แพทย์อย่างทุกวันนี้ได้ หมอหนึ่งบอกว่า มันเป็นความคิดที่เด็กแสนเด็ก

“แต่ว่ามันคือการกระทำที่ออกแบบมาจากความตั้งใจที่เกิดขึ้นตอนนั้นจริงๆ”

“คนมันจะตกหลุมรักอะ แค่นาทีเดียวมันก็ได้ปะ”

จากเด็กหลังห้อง เรียนบ้างไม่เรียนบ้าง มาสู่การตกหลุมรักในหน้าที่การงานและความหนักของวอร์ดฉุกเฉินอย่างถอนตัวไม่ขึ้นก็ตอนทำงานใช้ทุนตามขนบนักศึกษาแพทย์ หมอหนึ่งเล่าว่า ตอนแรกตั้งใจจะไปใช้ทุนประจำอยู่ที่โรงพยาบาลในจังหวัดตรังซึ่งเป็นบ้านเกิด แต่การจับฉลากไม่ได้เป็นทักษะที่ถูกเทรนมาจากโรงเรียนแพทย์ หลังพ่ายแพ้ให้คะแนนจับฉลาก ลำดับต่อไปคืออย่าเซ็งนาน จากนั้นก็ค้นหาโรงพยาบาลที่ยังว่าง สุดท้ายหมอหนึ่งก็ได้เป็นหมอใช้ทุนอยู่ในโรงพยาบาลที่ขึ้นชื่อว่าโหดระดับมีคนยิงแทงกันทุกวัน

ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอหนึ่งจำเป็นต้องเลิกถือตำราการแพทย์ เพราะสถานการณ์ความบาดเจ็บที่ไหลเวียนอยู่ในโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้หมอเปิดหนังสือไปรักษาไป จากความรับผิดชอบที่เอาแค่เรียนให้ตัวเองจบๆ ไป ก็เลยกลายมาเป็นหมอที่ใครๆ ก็เรียกหา ไม่ใช่แค่ความแม่นยำในการรักษา แต่เพราะเขาบ้างานหนักชนิดหนักมากต่างหาก

“ตั้งแต่มาอยู่นครศรีธรรมราช ผมเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งเลย ปกติหมอจะใช้ทุนกันสามปี วนๆ ไปทุกแผนก พอปีสองก็จะเลือกวอร์ดที่อยากทำงานได้ ก็เลยไปอยู่แผนกศัลยกรรมในปีที่สองและปีที่สาม มันก็ผ่าตัดได้พอสมควร”

แต่ทำอย่างไรได้ เมื่อความมั่นใจสวนทางกับผลการรักษา เก่งมาจากไหนก็อาจจะแพ้โมงยามสั้นๆ ของความผิดหวังในตัวเองกันได้ทั้งนั้น

“ตอนนั้นเป็นหมอศัลยกรรมที่คิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ดูแลเคสหนักๆ ได้ ทำทุกอย่าง ผ่าตัดอะไรได้หมด ตอนนั้นอยู่โรงพยาบาลเนี่ย เวลาใครมีปัญหาอะไรทั้งโรงพยาบาลจะโทรหาให้ผมมาช่วยดูหน่อย คนไข้ไม่ดี คนไข้แย่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แล้ววันนั้นเป็นวันที่ผมอยู่เวรห้องฉุกเฉิน มีคุณป้าคนหนึ่งเข้ามาใน ER (Emergency Room หรือห้องฉุกเฉิน) ป้าเขาใจสั่นมาก คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ แล้วความที่ตอนนั้นเราคิดว่าเราเก่ง เพราะทุกคนในโรงพยาบาลโทรหาเราหมดเลย แต่ที่จริงเราเก่งแค่บางเรื่อง เจอป้าคนนี้เข้าไปก็รักษาไม่หาย ให้ยาไม่ถูก จนป้าความดันต่ำ อาการก็แย่ลง แต่ว่าไม่ได้เสียชีวิตนะครับ…”

ให้นับเหตุการณ์ข้างต้นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแพทย์หนุ่ม-หมอหนึ่งสรุปชีวิตไว้ประมาณนี้ เพราะจากวันนั้น เขาก็ค่อยๆ ทำความสามารถของตัวเองให้สูงเท่าความมั่นใจ และพัฒนามันให้ไปด้วยกันได้แบบกราฟที่แปรผันตรงกัน

“วันนั้นผมก็เลยมาคิดแค่ว่า ความเก่งที่เรามั่นใจใช้อะไรในนี้ไม่ได้เลย รู้สึกแย่มากที่เรารักษาคนไข้คนนี้ไม่ได้ มานั่งคิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นหมอคนอื่นรักษา เป็นอาจารย์ที่เก่งจริงๆ มาดูแลป้า เขาอาจจะรักษาได้เร็วขึ้น ตั้งแต่วันนั้นมาเลยอยากเป็นหมอที่ยืนอยู่ในห้องฉุกเฉินด้วยความมั่นใจ แล้วทุกคนที่เข้ามาในวอร์ดจะต้องดีขึ้น ถ้าแย่ลงก็ต้องเป็นเพราะเงื่อนไขอื่นที่นอกเหนือจากการรักษาของเรา นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผมเลือกเรียน ER”

จะว่าไปนี่ก็ไม่อาจเรียกว่าอาการตกหลุมรัก แต่คือการไม่จมกับความผิดพลาดนานจนเสียงาน ก่อนจะพัฒนามันเป็นความชำนาญทางอาชีพ และพลังในการผลักดันให้การแพทย์ฉุกเฉินมีความรอบคอบและเข้าถึงคนทั่วไปได้มากกว่าเดิม

“ถ้ามี 1 เปอร์เซ็นต์ ที่พี่จะรอด พี่ก็มั่นใจให้มันอยู่ในมือแกนะ”

เมื่อตั้งหลักแล้วว่าหมอฉุกเฉินคือการงานพื้นฐานอาชีพต่อจากนี้ หมอหนึ่งจึงเลือกเรียนต่อเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉินอีกสามปีที่คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แต่ก่อนจะได้เรียนนั้น เรื่องที่หมอหนึ่งพูดว่าคงเป็นโชคชะตา ซึ่งเราไม่คิดมาก่อนว่าคำที่ดูไม่มีวิทยาศาสตร์รองรับอย่างคำนี้ จะหลุดออกมาจากอาจารย์แพทย์ที่ไม่ได้นิ่งแค่มาดคนนี้

แต่เมื่อไม่รู้จะอธิบายความสอดคล้องของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างไร จะเรียกมันว่าโชคชะตา ก็ไม่น่าผิด

ตัดภาพมาที่วันเดินทางไปสัมภาษณ์เข้าเป็นนักเรียนแพทย์เฉพาะทางที่โรงเรียนแพทย์ถึงสี่แห่งในกรุงเทพฯ เหตุการณ์วันนั้นคือ สามที่แรกไม่สปาร์คจอย จนมาถึงโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่เขาบอกตัวเองว่าอย่างไรก็จะเรียนและเป็นหมอที่นี่ให้ได้ และสุดท้าย เมื่อการงานปรากฏรูปเป็นความรัก หมอหนึ่งจึงไม่ได้เรียนต่อแค่ศาสตร์เฉพาะทาง แต่คือการได้อยู่ทำงานและเป็นอาจารย์แพทย์ที่นี่ต่อไป

และที่เกริ่นมายาวอย่างนี้ ก็เพื่อจะบอกว่า เรื่องราวทั้งหมดคือจุดเริ่มต้นของ หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาฉุกเฉินการแพทย์ ที่หมอหนึ่งเป็นผู้ดูแลหลักสูตรเอง สอนเอง และเป็นเหมือนอาจารย์ พี่ชาย และเพื่อนของนักศึกษาไปด้วยในคราวเดียวกัน

“ทั่วประเทศมีหมอฉุกเฉินอยู่เกือบทุกที่แล้ว แต่ที่ยังไม่ใช่ก็คือ เวลาเกิดเหตุอะไรที่บ้านเรา เช่น หัวใจหยุดเต้นหรือหลอดเลือดในสมองแตก คนไทยต้องพยายามเอาตัวมาให้ถึงโรงพยาบาลก่อน โดยขับรถมาให้เร็วที่สุด ให้คนพามา นั่งรถกระบะมา หรือบางคนเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาก็มี สมมุติว่าคนไข้ทุกคนประคับประคองตัวเองได้ก็ดี เพราะถือว่าไม่วิกฤตินัก แต่ถ้าไปดูที่ต่างประเทศจริงๆ มันไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะเขาจะเอาทีมแพทย์ฉุกเฉินไปดูคุณถึงที่บ้านเลย แต่ไทยเรายังต้องเอาตัวเองมาหาหมอฉุกเฉินให้ได้”

จะว่าเลียนแบบต่างประเทศก็ไม่ว่ากัน เพราะถ้าทำแล้วดีต่อคุณภาพชีวิตคนบ้านเรา คำถามคือ ทำไมถึงจะไม่ทำ?

“พอเป็นอาจารย์ได้สักสองปี ผมเลยบอกว่า การแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทยควรมีทีมที่ออกไปดูแลคนไข้ที่บ้าน ควรมีรถฉุกเฉินที่มีคุณภาพ มีบุคลากรที่มีคุณภาพ นั่นจึงเป็นที่มาของหลักสูตรวิชาฉุกเฉินทางการแพทย์ คือต้องมีเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถออกไปกับรถฉุกเฉินเพื่อไปหาคนไข้ที่บ้านก่อน ประคับประคองชีวิตก่อน แล้วส่งต่อมาให้ห้องฉุกเฉิน นี่คือสิ่งที่ผมอยากทำ”

ดูเป็นแพสชั่นที่เกินเลยความฝันชั้น ม.ต้น ไปไกลมาก แค่อยากเป็นแค่แพทย์สนามให้ทีมฟุตบอลที่รัก แต่หมอหนึ่งยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะความฝันมันเปลี่ยนกันได้ตามอายุที่มากขึ้น เพียงแต่ว่าแกนหลักของสิ่งที่อยากทำยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความรับผิดชอบ

เพราะเกือบทุกเคสฉุกเฉินในประเทศไทย สาเหตุการตายลึกๆ แล้วน่าจะเพราะการแพทย์ฉุกเฉินเข้าไปถึงในเวลาที่ช้าเกินไป หรือไปถึงแล้วไม่มีองค์ความรู้ในการดูแลที่ดีพอจนบางครั้งกลับทำให้คนไข้อาการแย่กว่าเดิม ในเมื่อหมอฉุกเฉินในโรงพยาบาลแข็งแกร่งพอแล้ว ถ้างั้นหมอหนึ่งขอขยับไปทำทีมที่ออกไปช่วยคนไข้นอกโรงพยาบาลให้เข้มแข็งขึ้นก็แล้วกัน

เขาพูดติดตลกถึงความทุ่มเทในช่วงที่ผ่านมานี้ ก่อนปล่อยให้การลงมือทำหลังจากนั้นพิสูจน์ความตั้งใจอีกที

“เพราะเป้าหมายอย่างเดียวของผมคือ การแพทย์ฉุกเฉินในประเทศไทยต้องพัฒนาขึ้น”

และทีมนักฉุกเฉินการแพทย์จะต้องเป็นคนทำงานที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่กับเคสฉุกเฉินอะไร ก็ต้องได้รับความไว้วางใจทั้งจากบุคลากรทางการแพทย์ด้วยกัน รวมไปถึงคนไข้และญาติที่ไม่ได้ต้องการแค่การพึ่งพาทางกาย แต่รวมถึงมิติด้านจิตใจอีกมหาศาล

ฟังดูเหมือนหน้าที่ของการเป็นหมอนั้นแสนจะยิ่งใหญ่และตัวโตมาก หมอหนึ่งจึงย้ำว่าหมอไม่ได้ใหญ่หรือแสนดีอะไรขนาดนั้น มีคนไข้เสียชีวิตคามือมาแล้วไม่รู้กี่ราย ผิดพลาดและทำญาติเสียน้ำตามาแล้วก็หลายหน แต่จุดยืนและเป้าหมายในการทำงานเป็นเรื่องที่ต้องย้ำกันให้ชัด ไม่เช่นนั้นทีมแพทย์เองนี่แหละที่จะเป๋

ส่วนประโยคจากคมๆ จากซีรีส์ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ที่หมอเป้งหรือซันนี่พูดประมาณว่า คนไข้ที่เข้ามามีโอกาสอยู่ 0 เปอร์เซ็นต์ แต่หมอทำให้มันเพิ่มเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหมายถึงโอกาสรอดชีวิตของเขานั้น มาจากเคสที่นักฉุกเฉินการแพทย์ต้องการปั๊มหัวใจ แม้คนไข้จะเสียชีวิตมานานพอสมควรแล้ว แต่เมื่อนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งเอ่ยถามอาจารย์อย่างเขาว่าควรทำยังไงต่อ หมอหนึ่งจึงตอบแบบคิดมาถี่ถ้วนแล้วว่า

“ควรให้เวลาอีกหน่อยไหม ปั๊มเพิ่มสัก 5-10 นาที ดูว่าเขาจะตอบสนองไหม อย่างน้อยที่ทำอยู่นี่ก็ไม่ได้เป็นเปอร์เซ็นต์ที่ศูนย์ แต่ถ้าหยุดปั๊มตอนนี้เลยก็เท่ากับศูนย์นะ”

แต่ถ้าหลังจากนั้นยังช่วยชีวิตคนตรงหน้าไว้ไม่ได้ ก็อย่าฟูมฟาย เพราะยังมีคนไข้ฉุกเฉินอีกหลายเตียงรอพวกเขาอยู่

“คนไข้เขาไม่มีสิทธิเลือกหมอ พวกคุณต้องเป็นหมอที่ดีที่สุดให้คนไข้”

นี่ก็ไม่ใช่ประโยคที่คนเขียนบทเขียนให้หมอฉุกเฉินทั้งหลายดูเท่ไปเฉยๆ เท่านั้น เพราะมันออกมาจากปากของหมอหนึ่ง ซึ่งถูกเล่าต่อให้ฟังโดย โอ๊ต-สรวิชญ์ วัชรกิจไพศาล และ แจ้-ธนากร ลักษณะมาพันธ์ นักศึกษาฉุกเฉินการแพทย์ในความดูแลของหมอหนึ่งอีกที

เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็ได้ เพราะสำหรับนักศึกษาทั้งสอง ความมุ่งมั่น ตั้งใจ และทุ่มเทให้วิชาชีพนั้นไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากหมอหนึ่ง แถมบางทีแพสชั่นเรื่องการพัฒนาบุคลากรด้านการฉุกเฉินการแพทย์นั้น อาจจะเห็นได้ชัดกว่าคำบอกเล่าของหมอหนึ่งเสียอีก

เพราะดวงตาของพวกเขาทั้งสองแข่งกันวิบวับเวลาเล่าถึงทุกประสบการณ์ในหน้าที่การงาน แถมไฟฝันของเด็กหนุ่ม มันช่วยสร้างเสริมความทะเยอทะยานทางวิชาชีพและเผื่อแผ่ออกมาถึงคนอื่นได้เป็นอย่างดี

โอ๊ต-สรวิชญ์ วัชรกิจไพศาล, แจ้-ธนากร ลักษณะมาพันธ์ (ตามลำดับ)

“ด้วยความที่ความรู้ทางการแพทย์มันเปลี่ยนทุกวัน สิ่งสำคัญที่ได้จากอาจารย์ก็คือ เราต้องทบทวนตัวเองทุกวัน เพราะพรุ่งนี้ตื่นมามันอาจจะเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องแล้วก็ได้ ถ้าเกิดข้อสงสัยอะไรในเคสที่ทำงานอยู่ก็ต้องกลับไปค้น ไปหา ไปอ่าน”

“เพราะคนไข้เขาไม่มีสิทธิเลือกหมอเลย เราจึงต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในคนไข้ให้ได้ ถ้าวันนี้เราทำพลาด วันหน้าเราจะได้ไม่เป็นแบบเดิมอีก จะต้องไม่มีใครรักษาไม่หาย หรือตายด้วยเรื่องเดิมๆ ที่เราเคยทำพลาดมาแล้ว”

นั่งฟังโอ๊ต นักฉุกเฉินการแพทย์พูดมาอย่างข้างต้นก็ใจฟู เพราะตลอดหลายสิบนาทีตรงหน้ากับโอ๊ตคือความมั่นใจที่พูดออกมาแล้วดูเหมือนไร้เดียงสา ทว่าหนักแน่นในน้ำเสียง

แต่อิหยังๆ อยู่เหมือนกันใช่ไหม เพราะชื่ออาชีพที่ว่า ‘นักฉุกเฉินการแพทย์’ มันยาวจนขี้เกียจเรียกให้จบ ครั้นจะย่อให้สั้นก็ไม่รู้จะย่อยังไง จะเรียกว่าหมอก็ไม่ได้ เพราะพวกเขายืนยันว่า เป็นนักศึกษาฉุกเฉินการแพทย์ ที่ทำงานเป็นตรงกลางของหมอและพยาบาล แถมมีข้อกำหนดชัดเจนว่า นักฉุกเฉินการแพทย์ทำอะไรได้บ้าง และส่วนไหนคือหน้าที่ที่ต้องส่งต่อให้หมอดูแล

“ถ้าตอบให้เข้าใจสั้นๆ ผมจะบอกว่าผมเป็นแพทย์ฉุกเฉินที่ดูแลคนไข้นอกโรงพยาบาล แต่ถามว่าน้อยใจไหม ก็อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น แต่ถามว่าผมจะนิยามตัวเองสั้นๆ ยังไงได้บ้าง ก็ยาก จะเรียกว่าหมอ ก็ไม่ใช่หมอ แล้วจะเรียกว่าอะไรดี สิ่งที่อยากทำคือน่าจะต้องประชาสัมพันธ์หรือทำกิจกรรมอะไรให้เขาเห็นภาพอาชีพของเรามากขึ้น คำนิยามสั้นๆ มันคงตามมาหลังจากนั้น”

ข้างต้นคือการพยายามชวน ‘แจ้’ นักศึกษาฉุกเฉินการแพทย์ มาทบทวนนิยามและที่ทางของตน แม้ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปว่าต่อไปนี้เราควรเรียกพาราเมดิกอย่างพวกเขาว่าอะไรที่เข้าใจง่ายเหมือนหมอและพยาบาลดี เพราะที่ผ่านมาแจ้ก็เคยเจอเหตุการณ์กระอักกระอ่วนอย่างสายตาที่ไม่ไว้ใจจากญาติคนไข้ ที่เขานั่งรถฉุกเฉินไปประคับประคองอาการถึงบ้านเมื่อสักพักที่ผ่านมา

“ก็บอกเขาไม่ได้เหมือนกันว่าเราเป็นอะไร แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรมาก คนไข้ตรงหน้าต้องดีขึ้นก่อน ก็เลยบอกญาติไปว่า เดี๋ยวผมอธิบาย (ว่าผมทำงานอะไร) แต่ขอทำงานก่อนนะ”

เพราะอย่างที่หมอหนึ่ง อาจารย์ของพวกเขาบอก ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน พวกเขาก็ต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ ต่อให้คนจะเข้าใจหรือเรียก ‘นักฉุกเฉินการแพทย์’ ว่าอย่างไรก็ตาม

Tags:

แพทย์ชีวิตการทำงาน

Author:

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy lifeBook
    ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    ใช่หรือไม่ ว่าสิ่งที่เรามักจะขุ่นเคืองไม่พอใจผู้อื่น นั่นคือตัวตนที่เราไม่สามารถเป็นได้

    เรื่อง ศรีสุภา ส่งแสงขจร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทำไมกลับเหงาได้ขนาดนี้?

    เรื่อง ธนัชพร ภูติยานันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy life
    พอกันทีถ้าต้องทำงานไปแบบใจเฉาๆ ปลุกไฟในตัวเราให้พร้อมทำงานกันเถอะ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง
Growth & Fixed Mindset
20 September 2019

สอนให้เด็กรู้ศักยภาพของสมอง: ลบความเชื่อเรื่องโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เขาจะพัฒนาได้ด้วยตัวเอง

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • ไม่มีใครโง่หรือฉลาดแต่กำเนิด เราสร้างความแข็งแรงและขยายขีดความสามารถของสมองให้มากขึ้นเหมือนกล้ามเนื้อได้
  • ถ้าเปรียบร่างกายที่สามารถฟิตซ้อมสมรรถะความแข็งแกร่งจนมีมัดกล้าม สมองก็สามารถแข็งแรงได้ด้วยการใช้งานเรียนรู้ฝึกฝนสิ่งใหม่ๆ ให้ด้านที่ไม่ถนัดสามารถพัฒนาให้คล่องแคล่ว ทักษะที่ดีอยู่แล้วก็กลายเป็นเชี่ยวชาญ
  • กรอบคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset  เป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมเด็กและคนรุ่นใหม่ ถ้าครูเสริมให้นักเรียนเข้าใจกลไกการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ก็ยิ่งช่วยขยายภาพให้พวกเขามองเห็นศักยภาพที่ไม่สิ้นสุดของตัวเอง 
  • บทความชิ้นนี้มีตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ ให้คุณครูพานักเรียนออนทัวร์ด้านการทำงานของสมอง รู้จักกระบวนการสร้าง ‘การรู้คิด’ ให้มีติดตัวพวกเขา นำไปสู่การเรียนรู้อันยั่งยืน

เราสร้างกล้ามเนื้อให้บึกบึน แข็งแกร่ง มีสมรรถนะที่สูงกว่าเดิมได้ด้วยการใช้งานทุกวัน หรือออกกำลังยกน้ำหนักเพื่อเพาะสร้างกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน แล้วกับสมองล่ะ เราสร้างความแข็งแรงและขยายขีดความสามารถของมันให้มากขึ้นเหมือนกล้ามเนื้อได้หรือไม่?

ที่จริงแล้ว สมองมีความสามารถในการจัดแจงปรับเปลี่ยนตนเองตามความรู้ที่ป้อนใส่เข้าไป ถ้าได้ลับสมองประลองปัญญาบ่อยๆ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่สม่ำเสมอ สมองส่วนที่ใช้งานเป็นประจำก็จะแข็งแรง ส่วนที่ได้เรียนรู้ใหม่ก็จะเติบโตขึ้นทั้งทางกายภาพ และมีขีดความสามารถอื่นเพิ่มขึ้นด้วย เราเรียกความสามารถของสมองในการขยายตัวเติบโตนี้ว่า Brain Plasticity หรือ Neuroplasticity 

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพด้วยอาชีพคนขับรถแท็กซี่ที่ต้องจดจำเส้นทางลัด คนกลุ่มนี้จะมีสมองส่วน hippocampi (พื้นที่เก็บความจำ) ขยายใหญ่ขึ้น หรือกรณีอันน่าพิศวงของเด็กหญิงชาวอเมริกัน คาเมรอน มอตต์ (Cameron Mott) ซึ่งป่วยด้วยโรคร้ายแรงจนได้รับการผ่าตัดเอาสมองออกไปครึ่งหนึ่ง แต่สมองของเธอที่เหลือเพียงครึ่งเดียวก็สามารถ ‘เชื่อมต่อใหม่’ จนทำงานได้เหมือนคนปกติร้อยเปอร์เซ็นต์

นี่คือพลังมหัศจรรย์ของ Neuroplasticity! 

ในขณะที่การศึกษาในปัจจุบันเล็งเห็นว่า กรอบคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) เป็นหัวใจสำคัญของการเตรียมเยาวชนคุณภาพให้เท่าทันโลกที่กำลังหมุนไป หากครูเสริมให้นักเรียนเข้าใจกลไกการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ก็จะยิ่งช่วยขยายภาพให้พวกเขามองเห็นความเป็นได้อย่างชัดเจนว่า การเรียนรู้และฝึกทักษะในด้านที่ไม่เคยใช้มาก่อนก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางบวกอย่างไรกับสมอง และแท้จริงแล้วพวกเขาสามารถสร้างทักษะ ปัญญา และความคล่องแคล่วเชี่ยวชาญขึ้นมาได้ด้วยตนเอง  

งานวิจัยของ แครอล ดเวค (Carol Dweck) และ ลิซา แบล็คเวล (Lisa Blackwell) แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) เรื่อง Mind-sets and Equitable Education สนับสนุนข้อเสนอข้างต้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะงานวิจัยนี้ศึกษานักเรียนเกรด 7 สองกลุ่ม กลุ่มแรกผ่านการเรียนการสอนตามปกติ กับอีกกลุ่มครูเพิ่มการสอนเรื่อง Brain Plasticity ให้พวกเขาโดยอธิบายว่าทุกๆ การเรียนรู้และการทำความเข้าใจสรรพวิชาต่างๆ นั้น สมองพวกเขากำลังเติบโตแข็งแรงขึ้นทุกขณะ ผลปรากฏว่าเด็กกลุ่มที่สองนี้มีแรงจูงใจในการเรียนมากขึ้นและทำเกรดวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีกว่ากลุ่มแรก

นอกจากจะสรุปได้ตรงๆ ว่าครูควรสอนข้อมูลเรื่องกลไกการเติบโตของสมองควบคู่ไปกับเนื้อหาความรู้ทั่วไปด้วยแล้ว การเปิดโลกทัศน์ผู้เรียนให้ตระหนักถึงศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงตนเองอันยิ่งใหญ่นี้เท่ากับเป็นการกดปุ่มสตาร์ท Growth Mindset ให้เด็กลบล้างอคติความเชื่อเรื่องเป็น ‘อัจฉริยะฟ้าประทาน’ หรือ ‘โง่แต่กำเนิด’ ไปได้เลยทีเดียว

นักศึกษาคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวโจ๊กในกลุ่มเพื่อนมาโดยตลอด เมื่อได้เรียนรู้เรื่องนี้จากดเวค ถึงกับร้องดีใจว่า “งั้นผมก็ไม่ต้องโง่อย่างนี้ไปตลอดน่ะสิ” 

โจ โบเลอร์ (Jo Boaler) ผู้เขียนหนังสือ Mathematical Mindsets และสอนวิชาคณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน อธิบายอิทธิพลของ Growth Mindset ที่มีผลต่อการเติบโตทางสมองว่า

นักเรียนที่มี Growth Mindset เมื่อคิดคำนวณพลาดหรือแก้โจทย์ไม่ได้ กระบวนการของสมองที่ประมวลความผิดพลาดนี้จะมองจุดที่ผิดหรือยากเป็นอุปสรรคท้าทาย และลองคิดหาวิธีใหม่ต่อไป ซึ่งนี่เป็นวิธีที่กระตุ้นให้สมองค่อยๆ เติบโตพัฒนาขึ้นนั่นเอง 

ปัจจัยที่สำคัญช่วยสนับสนุน Growth Mindset อย่างได้ผลชะงัดที่สุดนั้นคงไม่พ้นครูที่ต้องสอนเพื่อให้เด็กเรียนรู้ เข้าใจ (learning subject) ไม่ใช่เพื่อให้ตอบถูก (performance subject) 

ส่วนประเด็นเรื่องการสอดแทรกความรู้ด้านกลไกสมองให้นักเรียนควบคู่ไปด้วย แม้ครูจำนวนไม่น้อยเห็นพ้อง แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับการเทรนเรื่องนี้อย่างจริงจังมาก่อน ดังนั้นครูจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวหาข้อมูลความรู้พื้นฐานเพื่อจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับช่วงวัยของเขาด้วย

ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้

จุดประสงค์ในการเรียนรู้

  • นักเรียนเข้าใจส่วนประกอบที่สำคัญในสมองและหน้าที่การทำงานต่างๆ ของแต่ละส่วน
  • นักเรียนสามารถอธิบายได้ว่าการเรียนรู้สิ่งใหม่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรกับสมองของเขา 
  • นักเรียนเชื่อมโยงได้ว่าการเรียนรู้ ฝึกฝนลองผิดลองถูกนั้น หมายความว่าเขากำลังพัฒนาศักยภาพภายในสมองอยู่นั่นเอง

ความรู้เรื่องสมอง

สมองแยกออกเป็นสองฝั่ง : ซ้าย-ขวา แต่ละข้างมีส่วนประกอบแตกต่างกันไป ส่วนประกอบเหล่านั้นมี cerebrum, prefrontal cortex, hippocampus, cerebellum, brain stem, amygdala ทุกส่วนล้วนทำงานร่วมกันในการเรียนรู้และเติบโต 

ส่วนประกอบของสมอง

  • cerebrum ซีรีบรัมคือสมองส่วนที่เป็นพื้นผิวชั้นนอกที่มีรอยขดๆ หยักๆ ปกคลุมก้อนสมองใหญ่ ใช้ในการคิด แก้ปัญหา และมีส่วนในทุกกิจกรรมที่เราทำตั้งแต่ วาดรูป ว่ายน้ำ เล่นเกม
  • cerebellum ซีรีเบลลัมเป็นสมองก้อนเล็กที่อยู่ค่อนไปด้านหลัง ใช้ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย วิ่ง กระโดด เต้นรำ เป็นต้น
  • prefrontal cortex พรีฟรอนทอล คอร์เท็กซ์ เป็นสมองชิ้นที่อยู่ใต้หน้าผาก ใช้ในการตัดสินใจ ยับยั้งชั่งใจ สามัญสำนึกผิดชอบชั่วดี การคิดไตร่ตรองสิ่งสำคัญ
  • hippocampus คำว่า hippocampus มาจากภาษาละตินแปลว่าม้าน้ำ สาเหตุที่มีชื่อนี้ก็เพราะสมองส่วนที่มีรูปร่างคล้ายม้าน้ำนั่นเอง มีหน้าที่แปรประสบการณ์ที่พบเป็นความทรงจำระยะยาว 
  • amygdala อะมิกดาลาเป็นกลุ่มเซลล์สมองที่กระจุกอยู่ในสมองส่วนที่ลึกเข้าไปบริเวณแกนกลาง ใช้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด
  • brain stem ก้านสมองคือส่วนที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณจากสมองไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่ทำหน้าที่โดยอัตโนมัติ เช่น หายใจ ย่อยอาหาร หัวใจเต้น จาม หาว เป็นต้น

ส่วนประกอบของเซลล์สมอง (Neuron)

  • dendrites : เป็นแขนงของเซลล์สมองที่ยื่นออกมาเพื่อใช้รับข้อมูล ‘ขาเข้า’ จากเซลล์อื่นเข้าไปภายในตัวเซลล์
  • cell body : เมื่อรับสัญญาณข้อมูลเข้ามาแล้วก็ประมวลเป็นคลื่นไฟฟ้าส่งต่อให้กับเซลล์อื่น
  • axon : ใยประสาทที่นำส่งสัญญาณ ‘ขาออก’ ไปยังเซลล์อื่นโดยผ่านช่อง presynaptical terminal ที่อยู่ปลายสุดของเซลล์
  • presynaptical terminal : คือส่วนปลายสุดของเซลล์สมองซึ่งเชื่อมประสานกับ dendrite ของเซลล์ถัดไป สัญญาณที่ส่งจากกึ่งกลางเซลล์จะถูกส่งไปยังเซลล์อื่นผ่านจุดนี้

กลไกการเติบโตของสมอง (Neuroplasticity)

ก้อนสมองคือกลุ่มเซลล์ขนาดใหญ่ประกอบกันขึ้น แต่ละเซลล์สมอง (neuron) รับส่งข้อมูลผ่านกระแสไฟฟ้าซึ่งกันและกันในขณะที่เราทำกิจกรรมต่างๆ ความเชี่ยวชาญคล่องแคล่วในกิจกรรมใดๆ ยกตัวอย่างเช่น คนที่เต้นเก่ง ทักษะการเต้นมาจากการที่กลุ่มเซลล์สมองส่วนสั่งการเคลื่อนไหว สามารถรับส่งข้อมูลได้รวดเร็วและพร้อมกันคราวละมากๆ ถ้ายิ่งรับส่งได้มากและรวดเร็วเท่าไหร่ การเรียนรู้ (ในกรณีนี้คือการเคลื่อนไหวร่างกาย) ก็จะเป็นไปได้อย่างง่ายดายลื่นไหลมากเท่านั้น

ในคนที่เคลื่อนไหวร่างกายยังไม่เก่ง การฝึกฝนท่าทางที่ยังทำไม่ได้หรือไม่ถนัดบ่อยๆ เข้า กลุ่มเซลล์สมองส่วนการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยนักก็จะเริ่มมีการเชื่อมต่อและรับส่งข้อมูลใหม่ๆ (นึกภาพจำนวนขา axon ของเซลล์ยื่นต่อไปยังเซลล์อื่นเพิ่มมากขึ้น แขนง dendrite ก็รับข้อมูลเข้าได้มากขึ้น) หากยังฝึกฝนไปเรื่อยๆ axon ของเซลล์สมองกลุ่มนั้นก็จะเพิ่มขาไปเกาะกับเซลล์อื่นได้มากขึ้น และรับส่งได้ดีขึ้น เมื่อกระบวนการนี้ดำเนินต่อไปอีกด้วยการฝึกหนัก ท่าทางที่เราเคยทำไม่ได้ก็จะสามารถทำได้ง่ายขึ้นจนคล่องแคล่วในที่สุด นี่เองคือกระบวนการเรียนรู้และกลไกการเติบโตของสมอง 

กิจกรรมเพื่อการเรียนรู้

กิจกรรมในชั้นเรียนวิธี
ปั้นแบบจำลองสมอง และ เซลล์สมองให้นักเรียนใช้แป้งโดปั้นภาพนูนต่ำบนกระดาษขาวจำลองส่วนประกอบของสมองด้วยสีต่างๆ และเซลล์ neuronอธิบายหน้าที่ของส่วนต่างๆ และกระบวนการเติบโตของสมองโดยการทำลูกศรการเดินทางของข้อมูล
ทำวิดีโอสาธิต ให้นักเรียนอัดวีดีโอบรรยายเหมือนผู้ประกาศที่อธิบายกระบวนการเรียนรู้และกลไกการทำงานของสมองโดยใช้ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวประกอบ
แต่งเพลง หรือ แต่งกลอนช่วยกันแต่งเพลงหรือกลอนที่บรรยายการเติบโตของสมอง
เล่นละครเล่นละครให้นักเรียนแสดงบทบาทหน้าที่ของการทำงานในเซลล์การเชื่อมต่อของเซลล์และการเติบโตของสมอง

ในทางอุดมคตินั้น แก่นกลางของการเปิดโลกทัศน์ให้นักเรียนตระหนักถึงพลังอันไร้ขีดจำกัดในตนเองซึ่งสามารถผลักดันให้เขาทรงปัญญาขึ้นได้คือ ‘ความรู้’ (cognition) ซึ่งเป็นความเข้าใจในวิทยาการความรู้ต่างๆ กับอีกอย่างคือ ‘การรู้คิด’ (metacognition) หรืออภิปัญญา ซึ่งเป็นการตระหนักรู้ว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ มีจุดบกพร่องตรงไหนและสามารถจัดการโดยการวางแผนปรับเปลี่ยนเพื่อยกระดับปัญญาความรู้ของตนได้ เช่น รู้ตัวว่าตนเองเหมาะกับการเรียนรู้แบบใด เช่น เวลาอ่านหนังสือแล้วชอบหลับเลยเปลี่ยนไปใช้วิธีเปิดวิดีโอที่สอนเป็นคลิปใน YouTube แทน หรือตั้งเป้าหมายกับตัวเองว่าจะเรียนรู้สิ่งนี้ไปเพื่ออะไร สามารถประเมินความเข้าใจตนเองในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นต้น รู้สิ่งใดไม่สู้ ‘รู้คิด’

ส่วนใหญ่ ‘ความรู้’ เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ผ่านการจัดการเรียนรู้โดยตรงในห้องเรียน ในขณะที่โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้กล่าวถึง ‘การรู้คิด’ แบบเป็นรูปธรรมไว้ในหลักสูตรหรือแม้แต่ครูเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงสิ่งนี้เลย ที่ผ่านมาจึงมักเป็นเพียงความคาดหวังที่ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่านักเรียนควรจะจัดการกับความคิดหรือความรู้ของตนเองได้แม้ไม่ได้สอนกันตรงๆ

สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะครูเป็นผู้เตรียมการสอนมาล่วงหน้า นักเรียนจึงไม่มีโอกาสใคร่ครวญวางแผนการเรียนรู้ของตนเอง อีกทั้งช่วงเวลาที่จะให้นักเรียนทบทวนประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ก็ทำได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยเวลาอันจำกัด

อย่างไรก็ตามมีการพิสูจน์ชัดเจนว่าการสอน ‘การรู้คิด’ ให้ผู้เรียนช่วยพัฒนาทักษะความสามารถของพวกเขาได้อย่างติดปีก โดยงานวิจัยThe Boss of My Brain ของ ดอนนา วิลสัน (Donna Wilson) และ มาร์คัส คอนเยอร์ส (Marcus Conyers) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมอง (Brain Based Learning) ซึ่งศึกษาเด็กตั้งแต่วัยก่อนเข้าโรงเรียนไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยที่มีการสอนเรื่อง ‘การรู้คิด’ ให้กับเด็กที่เข้าร่วมวิจัย ผลชี้ออกมาว่า เด็กเหล่านี้เมื่อรู้จัก ‘การรู้คิด’ ก็สามารถใคร่ครวญกระบวนการเรียนรู้ของตนเองและควบคุมให้ตนเองมีวินัยเชิงบวกในการเรียน พยายามฝึกฝนและกระตุ้นตนเองให้รับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ตลอดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิผลได้ 

อย่างนี้แล้วหากครูท่านใดตั้งเป้าเสริมสร้าง Growth Mindset ให้เด็กๆ ในชั้นเรียนอาจเริ่มก้าวแรกด้วยการสอน ‘การรู้คิด’ อย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อนเพื่อให้เขาถอยกลับมาสังเกตและประเมินตนเองจากมุมมองภายนอกก่อนวางหมุดหมายในสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ตลอดจนวางแผนกระบวนการเรียนรู้ได้ต่อไป

ต่อไปนี้คือวิธีที่ครูสามารถนำไปกระตุ้น ‘การรู้คิด’ ในชั้นเรียน

1. ใช้แผนผัง K-W-L: ให้นักเรียนสำรวจความคิดแต่ละขั้นตอนของตนตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้ในแต่ละประสบการณ์ 

What I Know
สิ่งที่ฉันรู้
What I Want to know
สิ่งที่ฉันอยากรู้
What I Learned
สิ่งที่ฉันเรียนรู้
(…เติมสิ่งที่ฉันรู้…)(…เติมสิ่งที่ฉันอยากรู้…)(…เติมสิ่งที่ฉันเรียนรู้…)


2. ใช้คำเกริ่นนำความคิดในห้องเรียน 
: ฝึกให้นักเรียนใช้คำเกริ่นนำความคิดด้านล่างให้ชินในการแสดงหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียน คำเกริ่นนำทำให้นักเรียนตระหนักว่าตนเองกำลังมีแบบแผนในการคิดอย่างไร ขณะเดียวกันครูผู้สอนก็ควรใช้คำเกริ่นนำเมื่ออธิบายให้นักเรียนฟังด้วย เช่น “ครูกำลังคิดว่าประโยคนี้มีจุดที่ยังไม่สมบูรณ์อยู่นะ เพราะเรามีประธานแต่ไม่มีกริยา ครูสงสัยว่า คำกริยาที่เราจะเติมประโยคนี้ให้สมบูรณ์มีคำว่าอะไรได้บ้าง”

  • ฉันสงสัยว่า…
  • ฉันเข้าใจว่า…
  • ฉันคิดว่า…
  • ฉันเห็นว่า…
  • ฉันรู้สึกว่า…
  • ฉันคิดออกแล้วว่า…
  • นี่ทำให้คิดถึง…
  • จากตรงนี้ ฉันเข้าใจได้ว่า…

3. ใช้ Think Sheet : ให้นักเรียนเขียนความคิดตามความเข้าใจของเขา การกรอกคำตอบจะเป็นการช่วยให้พวกเขาใช้เวลาทบทวนความคิดของตนเองอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง

ตัวอย่าง Think Sheet จาก https://www.teacherspayteachers.com/Product/Think-Sheets-1480726

4. บันทึกความก้าวหน้า: ให้นักเรียนจดบันทึกความเข้าใจวิชาต่างๆ เป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ วิธีนี้นอกจากจะสามารถติดตามพัฒนาการตนเอง ยังทำให้เห็นสไตล์การเรียนรู้ที่ใช้อยู่ เห็นข้อดีข้อด้อยของวิธีและชี้แนวทางการเรียนรู้อื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้นักเรียนอาจมองข้ามไป

5. โน้ตย่อ : กระตุ้นให้นักเรียนจดโน้ตจากความเข้าใจหรือคำถามที่เกิดขึ้นระหว่างเรียนรู้ควบคู่ไปกับการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ

6. สร้างห้องเรียนที่เป็นมิตรกับความผิดพลาด : สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่นักเรียนไม่กลัวการทำผิด แต่กลับรู้สึกสนุกตื่นเต้นกับมัน เห็นความผิดพลาดของตนเองหรือเพื่อนๆ เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้เป็นประสบการณ์ได้

ขยับตัวออกท่า เพิ่มพลังสมอง

สมองชื่นชอบความตื่นเต้นเกินคาดเดาเป็นที่สุด ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราชอบการเซอร์ไพรส์ หรือดูหนังระทึกขวัญที่มีพล็อตเรื่องหักมุมทำใจเต้นไม่เป็นส่ำ

สมองถูกสร้างมาเพื่อรับมือกับเรื่องแปลกใหม่อยู่เสมอ ดังนั้นห้องเรียนที่จะกระตุ้นให้สมองใช้ศักยภาพการเรียนรู้อย่างเต็มกำลังได้จึงไม่ใช่ห้องเรียนที่มีบรรยากาศเหี่ยวเฉา เดาตอนจบได้ว่าครูจะสอนเรื่องไหนและให้ทำอะไรบ้าง

นอกจากเนื้อหาความรู้ทั่วไป กิจกรรมเพิ่มพลังสมองเป็นการเติมสีสันให้ชั้นเรียนไม่ซ้ำซากจำเจ ช่วยปลุกไฟให้ชั้นเรียนที่กำลังซึมเซาใกล้มอดจากงานยากๆ หรือวิชาที่คร่ำเคร่งให้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง และยังสร้างขุมพลังใหม่ให้สมองปลอดโปร่งเตรียมพร้อมกับการเรียนรู้อีกด้วย

เกมขันเกลียวมนุษย์ (Human Knot) : ทุกคนล้อมวงแล้วยื่นมือขวาไปข้างหน้าจับกับมือขวาของใครก็ได้ที่ไม่ได้ยืนอยู่ข้างตัวเอง จากนั้นมือซ้ายทำแบบเดียวกัน สร้างเป็น ‘ขันเกลียวมนุษย์’ ที่ทุกคนต้องร่วมมือกันแก้เกลียวที่พันยุ่งเหยิงนี้ด้วยวิธีใดก็ได้ จะมุด รอด บิดตัว ข้ามแขนขากันและกันเพื่อคลายเกลียวได้หมด

เกมวาดวิมานในอากาศ (Air Writing) : ตั้งหัวข้ออย่างหนึ่งเช่น อุปกรณ์ที่ใช้ในครัว แล้วให้นักเรียนตอบด้วยการวาดนิ้วชี้ในอากาศเป็นคำตอบ ให้เพื่อนคนถัดไปเป็นคนทาย ทำต่อกันไปเรื่อยๆ

โยคะพักสมอง : ให้นักเรียนได้จดจ่อสมาธิกับลมหายใจและทำท่าโยคะพื้นฐานเช่น ท่า upward facing dog หรือ warrior ที่ช่วยยืดเหยียดกระตุ้นความกระปรี้กระเปร่า

บริหารสมองด้วย YouTube (YouTube Brain breaks): หาเพลงเข้าจังหวะสนุกๆ ที่ต้องทำท่าประกอบอย่างเพลงสาละวันเตี้ยลง ก็สามารถสร้างความสนุกสนานและปรับอารมณ์ให้ผ่องใสขึ้น ใน YouTube มีคลิปที่เป็นเพลงแนว Brain Break อยู่มากมาย ครูสามารถเลือกใช้ให้เข้ากับวัยผู้เรียนตามแต่จังหวะและสถานการณ์อีกที

สุดท้ายนี้ ปลายทางของการพานักเรียนในชั้นไปออนทัวร์ด้านการทำงานของสมองและรู้จักกระบวนการสร้าง ‘การรู้คิด’ ให้มีติดตัวพวกเขา เหล่านี้ล้วนเป็นการแผ้วถางหนทางไปสู่การเรียนรู้อันยั่งยืนไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าจะเปรียบร่างกายที่สามารถฟิตซ้อมสมรรถะความแข็งแกร่งจนมีมัดกล้าม สมองก็สามารถแข็งแรงได้ด้วยการใช้งานเรียนรู้ฝึกฝนสิ่งใหม่ๆ ให้ด้านที่ไม่ถนัดสามารถพัฒนาให้คล่องแคล่ว ทักษะที่ดีอยู่แล้วก็กลายเป็นเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ เหนืออื่นใด Growth Mindset คือความเชื่อตั้งต้นที่เป็นแรงผลักสำคัญอันจะนำพาทุกคนไปสู่ปลายทางดังที่ว่าได้นั่นเอง

อ้างอิง
Hundley, A. B. (2016). My Brain is Like a Muscle That Grows! In The Growth Mindset Coach (pp. 53-71). CA: Ulyssess Press.

Tags:

ครูเทคนิคการสอนGrowth mindsetแรงจูงใจในตัวเอง(Self motivation)

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • GritEF (executive function)Growth & Fixed Mindset
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    ลงมือทำ-ใคร่ครวญ-วิเคราะห์-ลงมือทำซ้ำ สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Learning Theory
    สร้างวงจรการเรียนรู้ไม่รู้จบ จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง

    เรื่องและภาพ The Potential

ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา
Social Issues
19 September 2019

ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ปัญหาความล้าหลังของระบบการศึกษา และไม่เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันอีกต่อไป ไม่ได้เกิดแค่ในประเทศไทย แต่เป็นกันแทบทั้งโลกรวมถึงสหรัฐอเมริกา
  • อดีตฟินแลนด์ก็เคยเป็นเช่นนั้น แต่เลือกที่จะหักดิบ ปรับเปลี่ยนระบบการศึกษามาตั้งแต่ช่วงปี 1970 จนเขยิบมาอยู่แถวหน้าในปัจจุบัน
  • บทความชิ้นนี้ ยกตัวอย่างความพยายามของประเทศต่างๆ รวมถึงไทยที่ลุกขึ้นมาสร้างโมเดลการเรียนรู้แบบใหม่ และเพื่อย้ำชัดๆ อีกครั้งว่า ระบบการศึกษาไทยยังไม่หมดหวัง

ก่อนวิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษา เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ระบบการศึกษาแบบเดิมไม่ได้ล้มเหลวหรือแย่จนไม่มีอะไรดีเอาเสียเลยมาตั้งแต่แรก เพียงแต่โมเดลการศึกษาแบบเดิมนั้นล้าหลัง และไม่เหมาะกับการเรียนรู้ในยุคแห่งนวัตกรรม (innovative era) ณ ขณะนี้อีกต่อไป และนี่ไม่ได้เป็นปัญหาแค่เฉพาะการศึกษาในประเทศไทยเท่านั้น…แต่เรียกได้ว่าเป็นกันแทบทั้งโลก

ในหนังสือ Most Likely to Succeed โดย โทนี วากเนอร์ (Tony Wagner) และ เท็ด ดินเทอร์สมิธ (Ted Dintersmith) นักธุรกิจตัวฉกาจในวงการนวัตกรรม – ผู้หันมาสนใจประเด็นการศึกษา ฉายภาพให้เห็นความ ‘ใช้ไม่ได้’ ของระบบการศึกษาแบบเดิมของสหรัฐอเมริกาไว้อย่างชัดเจน

ในสหรัฐอเมริกาโมเดลการศึกษาถูกริเริ่มและนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1893 จนถึงตอนนี้ร่วม 126 ปีเข้าไปแล้ว แต่ความเคลื่อนไหวและความเปลี่ยนแปลงของโลกก้าวไปไกลมาก เราอยู่ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ไม่เพียงประมวลผลข้อมูลเร็วกว่ามนุษย์ แต่ไปถึงจุดที่คิดวิเคราะห์ได้รอบคอบกว่า แถมยังเลียนแบบพฤติกรรมและวิธีการตอบสนองของมนุษย์ได้แล้วด้วยซ้ำไป

ถ้าเทียบกับการใช้พาหนะ เราคงไม่ใช้เกวียนเดินทางไปไหนมาไหน ในยุคที่เครื่องบินโดยสารราคาถูก และพาไปถึงจุดหมายได้รวดเร็วกว่า ระบบการศึกษาก็เช่นกัน เมื่อวิธีคิด หลักสูตรและเครื่องมือเดิมที่เคยใช้ได้ผล ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ก็ป่วยการที่จะดันทุรัง แต่ทางออกที่ทำได้ คือ การยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม เมื่อเอ่ยถึงการปฏิรูปการศึกษา เรามักนึกถึงการปรับเปลี่ยนเชิงนโยบาย แล้วจบลงที่ว่า “ในเมื่อนโยบายไม่เอื้อ มันก็ยาก โรงเรียนและครูจะทำอะไรได้”

ส่วนเล็กๆ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ขนาดไหนกัน เมื่อนโยบายทางการศึกษาส่วนกลางไม่สอดรับ ไม่สนับสนุน และไม่ช่วยให้ครู โรงเรียน และนักการศึกษาทำงานได้ง่ายขึ้น?

วากเนอร์ และดินเทอร์สมิธ ตั้งคำถามนี้ไว้ในหนังสือ ‘Most Likely to Succeed’ เช่นกัน

คำตอบที่ได้ – พวกเขาบอกว่า ส่วนเล็กๆ สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากทีเดียว หากส่วนเล็กๆ แต่ละส่วนเดินไปในทิศทางเดียวกันและแชร์วิสัยทัศน์ร่วมกัน โดยเฉพาะหากแต่ละโรงเรียน ในแต่ละพื้นที่หันมาสนใจปรับเปลี่ยนวิถีการเรียนให้ก้าวทัน เพราะส่วนเล็กๆ หลายๆ ส่วนที่กล้าลงมือทำ เมื่อรวมกันจะช่วยสร้างแรงกระเพื่อมระดับนโยบายได้

ตั้งหลักมองปัญหาการศึกษาใหม่

ปัญหาการศึกษาไม่ได้เกิดจากระบบการศึกษาเพียงอย่างเดียว ค่านิยมในสังคมก็มีส่วน ค่านิยมในสังคมเรื่องการประกอบอาชีพ (ที่ก้าวไม่ทันยุคสมัย) ส่งผลต่อความคาดหวังของพ่อแม่ และสังคม ซึ่งส่งผลต่อการวางอนาคตของเด็กและเยาวชน

จำได้ไหมว่า ยุคหนึ่งค่านิยมในประเทศไทย พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคน รับราชการ มียศมีตำแหน่ง ต่อมาการได้เข้าทำงานบริษัทใหญ่ๆ กลายเป็นความมั่นคง มีการแข่งขันสูง เพราะมีสวัสดิการดี ได้โบนัสปลายปี แต่ยุคนี้การมีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นกระแสเปรี้ยงปร้างขึ้นมา โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ อายุน้อยร้อยล้าน เกิดอาชีพใหม่ๆ เช่น บล็อกเกอร์ นักเล่นเกม และอื่นๆ ที่หลายครั้งก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามีอาชีพนี้อยู่จริง ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ในแวดวงเหล่านั้น

ค่านิยมในสังคมของคนวัยเด็ก วัยทำงาน และของผู้ใหญ่ แตกแขนงออกไป มีความหลากหลาย จนยากที่จะไปในทิศทางเดียวกัน

ระบบการศึกษาที่จะช่วยให้เด็กและเยาวชนเติบโตในสังคมโลกยุคต่อไปได้ จึงไม่ใช่การศึกษาที่ให้คุณค่ากับความรู้หรือผลคะแนนสอบเท่านั้น แต่ต้องเป็นมาตรฐานการศึกษาที่วัดคุณค่าและคุณภาพจากความสามารถที่ทำได้ ไม่ใช่จากความรู้เพียงอย่างเดียว

ความสามารถแบบไหนเป็นหัวใจหลักของการทำงาน การเรียนรู้ และการเป็นพลเมืองที่ดีในยุคนี้?

หนังสือ Most Likely to Succeed บอกว่า พื้นฐานการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย องค์ความรู้ (content knowledge) ทักษะ* (skill) และ แรงจูงใจ (will)

วากเนอร์ และ ดินเทอร์สมิธ เชื่อว่า แรงจูงใจเป็นพื้นฐานสำคัญมากที่สุด เพราะแรงจูงใจจากภายใน กระตุ้นให้ผู้เรียนขวนขวายพัฒนาตัวเองจากการเรียนรู้ทักษะรอบด้าน มีความกล้าในการตั้งคำถาม ลงมือแก้ปัญหา ที่จะนำมาสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งเป็นส่วนที่ยากที่สุด

แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า แรงจูงใจเป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาในปัจจุบันลิดรอนไป จนแทบไม่หลงเหลือแรงจูงใจแห่งการเรียนรู้ให้เห็นในห้องเรียน

เพื่อขยายภาพให้ชัดเจนมากขึ้น แรงจูงใจที่กำลังพูดถึงนี้ ประกอบไปด้วย อุปนิสัยความเพียร (Grit) ความขยัน อดทน (Perseverance) และ ความมีระเบียบวินัยในตัวเอง (Self-discipline)

วากเนอร์ และ ดินเทอร์สมิธ เน้นย้ำไปที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับเด็กเมื่อจบชั้นมัธยมปลาย พวกเขา บอกว่า สิ่งแรกที่ท้าทายไม่น้อย คือ การฉายภาพให้ทุกคนเห็นและเข้าใจตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู นักการศึกษา และผู้มีอำนาจในการวางนโยบายว่าเมื่อเรียนจบแล้ว มาตรฐานหรือคุณสมบัติที่เด็กมัธยมปลายควรมีคืออะไร เด็กควรมีความรู้ความสามารถ และมีทักษะชีวิตอย่างไรบ้าง แล้วจะนำศักยภาพที่มีไปใช้อย่างไรในวันที่กูเกิลรู้ไปหมดแทบทุกเรื่อง

ถึงตรงนี้ไม่ได้กำลังบอกว่าความรู้ไม่มีประโยชน์ หรือควรสอนแต่ทักษะชีวิตโดยไม่คำนึงถึงหลักการความรู้ แต่โจทย์คือ การเลือกเนื้อหาวิชาการอย่างรอบคอบ เนื้อหาความรู้ใดบ้างที่ควรเรียน เรียนด้วยวิธีการใดที่จะสร้างกระบวนการเรียนรู้ ที่สร้างแรงจูงใจเชื่อมไปสู่การสร้างทักษะชีวิตควบคู่กันไป

สหรัฐอเมริกาเรียกร้องปฏิรูปการศึกษามากว่า 30 ปี

ก่อนจะไปถึงทางออกที่พอมีโมเดลให้เดินตามอยู่บ้าง จากประเทศที่ลุกขึ้นมาปฏิรูประบบการศึกษาของตัวเองอย่างจริงจัง สิ่งที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง คือ สหรัฐอเมริกาเผชิญหน้ากับปัญหาทางการศึกษาไม่ต่างจากประเทศไทย

ในสหรัฐอเมริกากระแสการเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการศึกษาไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมาอย่างต่อเนื่องกว่า 30 ปีแล้ว เครือข่ายโรงเรียนต้นแบบ และกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญก็ยังคงผลักดันกันต่อไปอย่างต่อเนื่อง แม้ยังไม่ได้รับการแก้ไขในระดับนโยบาย เรื่องหนึ่งที่ได้รับความสนใจและถูกพูดถึง คือ การวัดและการประเมินผลการศึกษา

ระหว่างวิธีการวัดที่ง่ายต่อการประเมินผลในภาพรวม ด้วยแบบทดสอบกากบาทแบบเดียวกันทั้งประเทศ กับวิธีการวัดผลด้วยเรื่องที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ ซึ่งต้องใช้แบบทดสอบที่แตกต่างตามแต่ละพื้นที่ อาจจะเป็นข้อสอบเขียน หรือให้ลงมือปฏิบัติ…จะเลือกแบบไหน?

เรื่องการวัดและการประเมินผลการศึกษานี้มีตัวอย่างให้เห็นที่ประเทศเดนมาร์ก ปี 2009 เดนมาร์กประกาศให้นักเรียนใช้อินเทอร์เน็ตระหว่างการสอบวัดผลระดับชาติได้ ในปี 2013 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประเทศเดนมาร์ก ได้ให้สัมภาษณ์ว่า

“การสอบควรสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนในชีวิตประจำวัน และสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องเรียนในชีวิตประจำวันควรสะท้อนความเป็นไปในสังคม”

แน่นอนว่าเกณฑ์การวัดผลการสอบที่ให้นักเรียนเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ไม่ได้วัดแค่ความถูกต้องของคำตอบจากการคัดลอกข้อมูล แต่คือการบูรณาการข้อมูลที่หาได้จากแหล่งข้อมูลแต่ละแหล่ง แล้วตอบคำถามที่สื่อสารให้เห็นถึงการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก การเรียนการสอนนั้นถึงจะมีประสิทธิภาพ

หักดิบแบบฟินแลนด์เมื่อ 50 ปีก่อน

วากเนอร์ และ ดินเทอร์สมิธ บอกว่า หลักสูตรครูบางหลักสูตรในสหรัฐอเมริกา จัดสรรเวลาให้ครูได้ฝึกสอนเพียง 5 อาทิตย์เท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยมาก ต้องยอมรับว่าครูที่ขาดประสบการณ์และขาดทักษะการสอนเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์ทางการศึกษา

ยุคนี้เมื่อเอ่ยถึงระบบการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศแถวหน้าที่ได้รับการยอมรับและพูดถึงอยู่เสมอ จากสถิติการวัดและการประเมินผลเพื่อคุณภาพการเรียนรู้ ในโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA: Programme for International Student) ที่ใช้วัดผลทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้น ฟินแลนด์มีชื่อปรากฏอยู่ในประเทศท็อปลิสต์มาโดยตลอด แต่ก่อนจะมาถึงวันนี้ ฟินแลนด์ได้ผ่านการปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาแบบหักดิบมาก่อนตั้งแต่ช่วงปี 1970

สิ่งที่รัฐบาลฟินแลนด์ทำราว 50 ปีก่อน คือ

  • รัฐบาลปิดโรงเรียนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ทั่วประเทศ คงเหลือไว้เพียงโรงเรียนที่มีเครือข่ายกับมหาวิทยาลัยซึ่งประเมินแล้วว่ามีมาตรฐานดีที่สุด
  • ครูที่จะเข้ามาสอนได้ต้องมีดีกรีด้านการศึกษาโดยตรง และมีครูที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครูที่ดีที่สุดของประเทศ เป็นที่ปรึกษาระหว่างฝึกงานในช่วงระยะเวลาหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
  • หลักสูตรการศึกษาเน้นให้นักเรียนคิดวิเคราะห์
  • ครูทำงานเพียง 600 ชั่วโมงต่อปี (เทียบกับสหรัฐอเมริกา 1,100 ชั่วโมงต่อปี มากกว่าเกือบเท่าตัว) เพื่อให้ครูมีเวลามากพอที่จะพูดคุยกับนักเรียน พบปะผู้ปกครอง และแลกเปลี่ยนระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนให้เหมาะสม

ผลลัพธ์ที่พอสรุปได้หลังจากฟินแลนด์เปลี่ยนระบบการศึกษาแบบหักดิบครั้งใหญ่ คือ

  • นักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ ก้าวทันนวัตกรรม
  • ครูได้รับความเคารพ มีความน่าเชื่อถือ และมีความภาคภูมิใจในอาชีพของตนเอง
  • นักเรียนมีแรงผลักดันในการเรียน และเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
  • ไม่มีการบ้าน ไร้การสอบ ปราศจากการสอนเพื่อไปสอบ และไม่มีการเรียนพิเศษนอกตารางเรียน

ย้ำอีกครั้ง…ผลลัพธ์จากการปฏิรูปการศึกษาที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ทำให้ฟินแลนด์ได้ชื่อว่า เป็นประเทศหนึ่งที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก

บทเรียนจากฟินแลนด์สะท้อนให้เห็นว่า การปฏิรูประบบการศึกษาไม่ได้เกี่ยวกับการเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาแล้วจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้หมดจด ความพร้อมและการเตรียมตัวของครูก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก

โฉมหน้าใหม่ของการศึกษา

แล้วรูปร่างหน้าตาของการศึกษาในศตวรรษที่ 21 เป็นแบบไหน?

นอกจากหัวใจ 3 ส่วนที่เป็นองค์ประกอบของพื้นฐานการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ องค์ความรู้ (content knowledge) ทักษะ* (skill) และ แรงจูงใจ (will) แล้ว ระบบการศึกษายุคนวัตกรรม ควร

1. ให้ความสำคัญกับการปรับมาตรฐานการเรียนตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษา เพราะไม่ใช่ทุกคนที่มีโอกาสก้าวเข้ามหาวิทยาลัย

นอกจากการวัดผลจากบทเรียนในห้องเรียน การเรียนระบบมัธยมศึกษาควรให้นักเรียนได้ฝึกฝนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (independent study) จากใบงานที่ได้รับมอบหมายในรายวิชาต่างๆ การฝึกงาน (work internship) และ การทำโปรเจ็คต์เพื่อสังคม (learning projects in community)

Most likely to succeed ยกตัวอย่าง เครือข่ายสมาคม New York Performance Standards Consortium ที่ตั้งขึ้นในปี 1997 จากความร่วมมือของโรงเรียนมัธยม 28 โรงเรียน ไว้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ

นักเรียนจะจบการศึกษาได้ก็ต่อเมื่อผ่านการทำโครงงาน 4 ส่วน ต่อไปนี้

บทวิเคราะห์วรรณกรรม, บทความวิจัยทางสังคมศาสตร์, การทดลองทางวิทยาศาสตร์ และการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์ขั้นสูง

กระบวนการเรียนรู้เปิดโอกาสให้นักเรียนนำเสนอโครงงานต่อเพื่อนในชั้นเรียน ครู ผู้ปกครอง รวมถึงบุคคลและชุมชนที่เกี่ยวข้อง ไปพร้อมๆ กับการบันทึกพัฒนาการของนักเรียนลงในพอร์ตฟอลิโอดิจิทัล ยกตัวอย่างเช่น การนำเสนองานเขียน คลิปการพูดในที่สาธารณะ โครงการที่ลงมือปฏิบัติ หรือแม้แต่ชิ้นงานศิลปะ เพื่อสื่อสารและสะท้อนความเป็นตัวตนของนักเรียน ในช่องทางที่เข้าถึงได้ง่ายในโลกยุคใหม่

โครงงานแต่ละส่วนจะช่วยพัฒนาทักษะ 4Cs ได้แก่ Critical Thinking (ทักษะการคิดวิเคราะห์), Communication (ทักษะการสื่อสาร), Collaboration (ทักษะการทำงานเป็นทีม) และ Creative Problem-solving (ทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์) กระบวนการทำงานทำให้เด็กรับมือกับความขัดแย้งและควบคุมตนเอง เพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

นอกจากนี้ หนังสือ Most Likely to Succeed ยังยกตัวอย่าง โครงการ HIGH TECH HIGH (HTH) โดยเครือข่ายการเรียนรู้เชิงลึก (Deeper Learning Network) ที่รวบรวมโรงเรียนของรัฐกว่า 500 โรงเรียนในสหรัฐอเมริกาเข้ามาจัดรูปแบบการศึกษาร่วมกัน ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความพยายามปรับรูปแบบการเรียนการสอน โดยมีข้อตกลงหรือหลักเกณฑ์การเรียนการสอน ดังต่อไปนี้

  • ความเชี่ยวชาญในเนื้อหาวิชาหลัก เช่น การอ่าน การเขียน คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ยังคงมีอยู่
  • กระบวนการเรียนช่วยให้เกิดการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และนักเรียนสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างสร้างสรรค์
  • ความสามารถในการทำงานเป็นทีม เข้าใจเป้าหมายงาน ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างแต่นำไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้
  • ความสามารถในการสื่อสารได้อย่างชัดเจนทั้งการพูดและการเขียน และสร้างความเข้าใจให้กับผู้ฟังและผู้อ่าน
  • การเรียนรู้ด้วยตัวเอง มีเป้าหมายการเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสนใจ วางแผนและติดตามแผนงานของตนเองได้ มองเห็นจุดเด่นจุดด้อยของตัวเอง จากการประเมินตนเองและจากคำแนะนำของผู้อื่น
  • วิธีคิดเชิงวิธีการ (academic mindset) เป็นวิธีคิดที่เปิดรับการเรียนรู้ ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในศักยภาพของตนเอง ขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดรับข้อมูลใหม่ๆ ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เห็นความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้องเรียนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

วางเป้า แล้วคว้าฝัน

นอกจาก HIGH TECH HIGH แล้ว ยังมี แนวการศึกษาแบบ MALCOLM X SHABAZZ HIGH SCHOOL และ THE FUTURE PROJECT

“อะไรเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และกล้าหาญที่พวกเธออยากทำ เพื่อทำให้โลกของเธอดีขึ้น ฉันอยู่ที่นี่เพื่อช่วยให้เธอทำสิ่งนั้น”

เป็นคำพูดที่ผู้บริหารเอ่ยขึ้นถามนักเรียน คำพูดที่เอ่ยถึงเป้าหมายในชีวิตแบบที่เด็กๆ ไม่เคยได้ยินมาก่อน

โรงเรียนมัธยมมัลคอล์ม เอ็กซ์ ชาร์บาซ เมืองนวร์ค (Newark) รัฐนิวเจอร์ซีย์ (New Jersey) สหรัฐอเมริกา เป็นต้นแบบของระบบการศึกษาโรงเรียนนวร์ค (Newark school system) ที่ทำงานร่วมกับ เดอะ ฟิวเจอร์ โปรเจ็คต์ องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ทำงานด้านการศึกษาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนในสหรัฐอเมริกา

จากแนวคิดของผู้บริหารสะท้อนผ่านคำพูดข้างต้น ทำให้นักเรียนชาร์บาซในปัจจุบัน มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าทำสิ่งที่ท้าทาย มีความมุ่งมั่นและสร้างเป้าหมายใหม่ๆ ในชีวิต

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เดอะ ฟิวเจอร์ โปรเจ็คต์ ได้ริเริ่มโครงการฟิวเจอร์ยู (FutureU) ไปยังโรงเรียนในเครือข่ายอื่นๆ สนับสนุนให้นักเรียน วางเป้าหมายและความฝันในชีวิต ใช้เวลาช่วงเที่ยง ก่อนและหลังเข้าเรียน รวมทั้งวันเสาร์ เรียนรู้ทักษะเพิ่มเติมที่จะช่วยให้พวกเขาคว้าฝันของตัวเองได้สำเร็จ เป้าหมายและความฝันจึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสร้างแรงผลักดันและแรงจูงใจในการเรียนรู้

2. ปรับกระบวนการเรียนรู้ในระดับวิทยาลัย/ มหาวิทยาลัย

วากเนอร์ และ ดินเทอร์สมิธ สรุปให้เห็นรูปแบบการศึกษาในระดับวิทยาลัย/มหาวิทยาลัยที่ควรจะเป็นว่า นักเรียนควรได้เรียนรู้จากการทำโครงงานหรือโปรเจ็คต์ที่ได้ลงมือทำ ได้คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจริงๆ เช่น ได้ทำงานกับบริษัทจริง หรือเช่าที่เปิดร้านแล้วลองบริหารธุรกิจด้วยตัวเอง ทั้งแบบงานเดี่ยวและจากการทำงานเป็นทีม

ตารางเปรียบเทียบด้านล่างแสดงให้เห็นความแตกต่างในกระบวนการเรียนรู้ซึ่งหลายคนอาจนึกไม่ถึงว่าส่งผลต่อการสร้างทักษะและกระบวนการคิดได้อย่างมหาศาล

การเรียนในศตวรรษที่ 20การเรียนในศตวรรษที่ 21
ครูสอนหน้าห้องเรียน นักเรียนนั่งฟังนักเรียนรับผิดชอบงานสัมมนา/โปรเจ็คต์งานกลุ่ม/ โครงงานเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เน้นเนื้อหาในตำราเน้นพัฒนาทักษะ/การเรียนรู้ทักษะการเรียนรู้ที่ดี
เรียนจำแนกสาขาเรียนบูรณาการ รวมองค์ความรู้
กำหนดเส้นทางการเรียนรู้ให้นักเรียนนักเรียนสร้างสรรค์เส้นทางการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่สนใจ
จำกัดเวลาการเรียนรู้เรียนรู้อิสระตามความสามารถ
วัดด้วยคะแนน/ผลการเรียนใช้พอร์ตฟอลิโอ/ผลงาน สะท้อนความรู้ความสามารถ
เรียนรู้แค่ภายในโรงเรียน/ มหาวิทยาลัยฝึกงาน ทำงานร่วมกับองค์กรและหน่วยงานอื่น
แปลกแยกจากโลกแห่งความจริงเชื่อมโยงกับสังคม
เข้าชั้นเรียน เรียน 4 ปีต่อเนื่องเข้าชั้นเรียนบ้าง ไม่เข้าชั้นเรียนบ้าง เพราะต้องออกไปฝึกงาน มีอาจารย์ที่ปรึกษา ติดตามผลการเรียนอย่างต่อเนื่อง
จ้างพนักงานเข้ามาช่วยการจัดการแผนกต่างๆนักเรียนเข้ามาเป็นทีมงานช่วยจัดการงาน (เรียนรู้จากประสบการณ์ทำงาน)
รับเข้าเรียนจากผลคะแนนรับเข้าเรียนจากผลคะแนน
ค่าเทอมแพงมาก จนต้องกู้เงินเรียนสัดส่วนค่าเทอมลดลงตามสัดส่วนมาตรฐานค่าจ้างในการจ้างงานแต่ละอาชีพ
ให้ความสำคัญกับการจัดอันดับที่ไม่น่าเชื่อถือให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่แท้จริง โดยไม่เอาคะแนนเป็นตัวตัดสิน
เป้าหมายคือความมั่งคั่งเป้าหมายคือช่วยยกระดับ และพัฒนา

3. โมเดลการเรียนรู้แบบใหม่

นอกจากนี้ วากเนอร์ และ ดินเทอร์สมิธ ยกตัวอย่างโครงการต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาที่ได้ริเริ่มแนวคิด และแนวทางการเรียนรู้แบบใหม่ๆ ผ่านมาให้หลังราว 4 ปี ตอนนี้เราเห็นโมเดลการเรียนรู้แบบดังกล่าวแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวางมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น

– คอร์สเรียนออนไลน์ เนื้อหาหลากหลายตามความสนใจของผู้เรียน เช่น MOOCs: Massive Open Online Courses (มูกส์: แหล่งเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21) http://mooc.org/ หรือ ช่องทางสำหรับคนไทย https://thaimooc.org/

– การฝึกงาน โดยใช้ชั่วโมงทำงานและประสบการณ์จากการทำงานเป็นตัวประเมินศักยภาพ

บางวิทยาลัยทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา นักเรียนรับรายได้จากการฝึกงาน แล้วนำรายได้นั้นมาหักค่าเล่าเรียนได้ หรือ แทนที่จะต้องเรียนในห้องเรียนให้จบอย่างน้อย 4 ปี บางมหาวิทยาลัยในรัฐแคลิฟอร์เนีย เวอร์จิเนีย เวอร์มอนต์ และวอชิงตัน ใช้ชั่วโมงฝึกงานเป็นมาตรฐานประเมินเพื่อออกใบปริญญาบัตร

– นักเรียนเรียนรู้จากการทำงาน และมีรายได้ เป็นตัวช่วยค่าเล่าเรียนอีกทางหนึ่ง

– การเรียนเฉพาะทาง หรือเฉพาะทักษะในคอร์สสั้นๆ ตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียนแล้วนำไปประกอบอาชีพได้ ในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ รองรับผู้เรียนคอร์สระยะสั้นเฉพาะทางมากขึ้น

ถึงตรงนี้คงต้องย้ำอีกครั้งว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปฏิรูปการศึกษา ไม่ได้มีเพียงนโยบายจากส่วนกลางเท่านั้น โรงเรียน ผู้บริหารและคณะครู สามารถเริ่มต้นได้ทันทีด้วยการปรับแนวการเรียนการสอน ฝึกฝนให้นักเรียนมีทั้งความรู้ ทักษะ และมีคุณลักษณะที่ดี

อาศัยความร่วมมือจากนักการศึกษา และองค์กรอิสระที่มีความรู้จากการทำงานในพื้นที่และการวิจัยทางการศึกษา ในประเทศไทยปัจจุบัน เรามี Teach For Thailand และ GetupTeacher ที่เน้นทำงานเสริมศักยภาพครูโดยตรง หรือ มูลนิธิสยามกัมมาจล ที่ดำเนินโครงการหนุนเสริมศักยภาพเด็กและเยาวชน ทำงานร่วมกับผู้ปกครอง โรงเรียนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้รู้ในแขนงการศึกษาและด้านสังคมมาโดยตลอด

ผู้ปกครอง ต้องเปิดใจทำความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลก เป็นแรงหนุนให้เด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่พวกเขาสนใจ

ความร่วมมือจากชุมชน ที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงรู้องค์ความรู้ และภูมิปัญญาท้องถิ่น จากผู้รู้และปราชญ์ชุมชน หรือแม้แต่ องค์กรธุรกิจ ที่พร้อมเปิดรับคนทำงานจากประสบการณ์ทำงาน จากฝีมือ มากกว่าเกรด คะแนน หรือใบปริญญา เพราะทุกองค์ประกอบเล็กๆ มีส่วนผลักดันให้เกิดการปรับตัวเพื่อการเปลี่ยนแปลงได้

Fun Facts

ตัวอย่างเครือข่ายโรงเรียนเอกชนและนานาชาติในสหรัฐอเมริกา ที่ปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนจนสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้นักเรียนกลับมาสนุกและมีส่วนร่วมกับการเรียนได้

RIVERDALE COUNTRY SCHOOL
จุดเด่นของที่นี่ คือ Character Lab ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน ความสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างหนึ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญซึ่งไม่สามารถวัดได้จากคะแนนสอบ โรงเรียนจึงสนับสนุนให้นักเรียนออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียนด้วยการทำโปรเจ็คต์ที่สนใจ

BEAVER COUNTRY DAY
โจทย์คิดสำคัญของโรงเรียน คือ ห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ นักเรียนควรตอบคำถาม 2 ข้อนี้ได้“เรากำลังทำอะไร?” “แล้วทำไมถึงทำสิ่งนี้?”เมื่อปี 2010 โรงเรียนให้เวลานักเรียน 90 วัน เรียนรู้นอกห้องเรียนร่วมกับ MIT (Massachusetts Institute of Technology) Media Lab ห้องแล็บด้านการสื่อสารที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้องแล็บที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของโลกเด็กๆ ได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ทั้งวิศวกร นักออกแบบ ศิลปิน นักดนตรี และผู้ประกอบการ จาก MIT Media Lab และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สร้างสรรค์ผลงานไม่ว่าจะเป็นการออกแบบผังเมืองอนาคต การพัฒนาแอพพลิเคชั่นด้านการศึกษาเพื่อเด็กชุมชนแออัดในเดลี การออกแบบโมเดลตัวอย่างด้วยพรินเตอร์สามมิติ การพัฒนาระบบเครื่องกรองน้ำที่ขับเคลื่อนด้วยจักรยาน และการออกแบบและสร้างหนังสือสำหรับอนาคต เป็นต้น

AFRICAN LEADERSHIP ACADEMY (ALA)
ริเริ่มเมื่อสิบกว่าปีก่อนจากนักเรียนเก่าโรงเรียนธุรกิจสแตนฟอร์ด (Stanford Graduate School of Business) 2 คน ปัจจุบัน AFRICAN LEADERSHIP ACADEMY ตั้งอยู่ที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก (Johannesburg) เมืองที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาใต้ หลักสูตรของที่นี่ใช้ระยะเวลา 2 ปี (6 คอร์สต่อ 1 เทอม และมีการทำวิจัยอิสระ) รวมทั้งการพัฒนาภาวะความเป็นผู้นำ และการเป็นผู้ประกอบการ โดยให้ผู้ร่วมหลักสูตรลงมือเปิดกิจการจริง
“เราเลือกเด็กจากความสนใจและแรงขับของเขาที่อยากทำให้โลกนี้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ความมุ่งมั่นอยากได้เกรดดีๆ เราวัดความสำเร็จของโปรแกรมของเรา โดยดูว่าพวกเขาออกไปก่อรูปก่อร่างสังคมหรือประเทศของพวกเขาให้ดีขึ้นอย่างไรบ้าง แล้วก็เป็นที่น่าดีใจเมื่อได้รู้ว่าพวกเขากำลังออกไปทำสิ่งนั้น” คริส แบรดฟอร์ด (Chris Bradford) หนึ่งในผู้ก่อตั้งกล่าว
AFRICAN LEADERSHIP ACADEMY ทำโปรเจ็คต์ดีเอสซี (DSC) หรือ Do Something Cool กระบวนการสร้างการเรียนรู้ คือ โรงเรียนมีเวลา 48 ชั่วโมงให้นักเรียนได้ริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งที่พวกเขาอยากทำเพื่อทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น
“เมื่อเด็กๆ ลงมือสร้างสรรค์อะไรสักอย่างหนึ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างกล้าหาญ นั่นหมายถึงพวกเขาเดินเข้าหาโอกาส เด็กมีศักยภาพเพียงพอที่จะเข้าถึงสิ่งที่พวกเขาอยากรู้เพื่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นมาได้ ไม่มีอะไรสร้างความมั่นใจให้พวกเขาได้เท่าความสำเร็จจากการลงมือทำด้วยตัวเอง ที่นี่เราผลักดันให้พวกเขาไปถึงศักยภาพที่สูงสุดของตัวเอง เรียนรู้ว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร รู้ว่าตัวเองมีศักยภาพที่จะเติมเต็มเป้าหมายที่มีคุณค่าในชีวิต” แบรดฟอร์ด กล่าว
หมายเหตุ:
*ทักษะ (skill) ที่นักวิชาการการศึกษาเห็นพ้องต้องกัน และถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง คือ 4Cs ได้แก่ Critical Thinking (ทักษะการคิดวิเคราะห์), Communication (ทักษะการสื่อสาร), Collaboration (ทักษะการทำงานเป็นทีม) และ Creative Problem-solving (ทักษะการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์) ซึ่ง The Potential ได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ดังนี้
4CS: สี่ทักษะการเรียนรู้ที่ควรมี ฝึกกันได้ และไม่ต้องใช้พรสวรรค์
COLLABORATIVE SKILL: เพราะปัญหายุคใหม่แก้ไม่ได้เพียงลำพัง สร้างห้องเรียนเป็นทีมเวิร์คเสียตั้งแต่ตอนนี้
USER EXPERIENCE: นักออกแบบประสบการณ์ อาชีพใหม่ที่เปลี่ยนปัญหาเป็นความสุข
3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

Tags:

21st Century skillsระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอนDisruption

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Social Issues
    การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน
Voice of New Gen
19 September 2019

FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน

เรื่อง

  • ศุกร์ที่ 20 กันยายน คือ วันที่วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ และทุกวัยที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม นัดกันทิ้งงาน โดดเรียน ออกมาร่วม ประท้วงสภาพอากาศ ในชื่อกิจกรรม Fridays For Future
  • บทความชิ้นนี้จะพาไปทำความรู้จักตัวตนและความคิดของคนรุ่นใหม่ที่สู้เพื่อเป้าหมายเดียวกัน แต่อยู่คนละมุมโลก
  • คำถามที่เหมือนกันของพวกเขาคือ ทำไมผู้ใหญ่ไม่ทำอะไร แต่พวกเขาไม่ยอมเสียเวลาไปกับการนั่งรอคำตอบ พวกเขาเลือกที่จะ ‘ลง-มือ-ทำ’
เรื่อง: ชนฐิตา ไกรศรีกุล, อรสา ศรีดาวเรือง

ศุกร์ที่ 20 กันยายน คือ วันที่วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ และทุกวัยที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม นัดกันทิ้งงาน โดดเรียน ออกมาร่วม Global Climate Strike หรือ ประท้วงสภาพอากาศ

และเพราะมีหัวขบวนวัย 16 อย่างง เกรตา ธุนเบิร์ก ที่ใช้วิธีโดดเรียนทุกๆ วันศุกร์เพื่อประท้วงวิกฤตโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนลุกขึ้นมาทำตาม ลุกลามไปทั่วโลก กลายเป็นกิจกรรม Fridays For Future ที่จัดพร้อมกันในหลายประเทศ เพื่อแสดงจุดยืนสู้เพื่อกู้โลก

ล่าสุด นายกเทศมนตรีนิวยอร์กอนุญาตให้นักเรียน 1.1 ล้านคน หยุดเรียนแล้วออกมาประท้วงเป็นเพื่อนเกรตาแล้ว (ถ้าผู้ปกครองอนุญาต)

The Potential จึงพาไปทำความรู้จักตัวตนและความคิดของคนรุ่นใหม่ที่อยู่คนละมุมโลก แต่สู้เพื่อโลกใบเดียวกัน

คำถามที่เหมือนกันของพวกเขาคือ ทำไมผู้ใหญ่ไม่ทำอะไร

พวกเขาไม่ยอมเสียเวลาไปกับการนั่งรอคำตอบ พวกเขาเลือกที่จะ ‘ลง-มือ-ทำ’

1. ลุยซา นอยบาวเออร์ (Luisa Neubauer) 23 ปี ⋅ เยอรมนี

“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมาเป็น climate activist” ลุยซา นอยบาวเออร์ (Luisa Neubauer) นักศึกษา วัย 23 ปี จากกรุงเบอร์ลิน และหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม School Strike for Climate ในประเทศเยอรมนี กล่าวไว้บนเวที Ted Talk เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

สิบปีก่อน ลุยซา รู้จัก Green House Effect หรือปรากฏการณ์เรือนกระจกครั้งแรกในคาบวิชาภูมิศาสตร์ขนาด 90 นาที

“ตอนนั้นรู้สึกหงุดหงิดมากว่าทำไมเรื่องระดับใหญ่อย่างนี้ถึงถูกบีบอัดให้อยู่ในคาบหนึ่งของวิชาเดียว”

ความหงุดหงิดนั้นยังคงอยู่ ลุยซาจึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาตรีด้านภูมิศาสตร์ และทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นข้อมูลวิทยาศาสตร์เบื้องหลังทั้งหมด

“เรากำลังอยู่ในยุคการทำลายล้างสูงสุดของมนุษยชาติ เราอยู่ในยุคที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนการันตีได้ว่าเราจะรอด”

ตอนที่ลุยซาเรียนปีหนึ่ง ตรงกับช่วงที่ผู้นำทั่วโลกมาประชุม การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกครั้งที่ 21 หรือ COP21 ที่กรุงปารีส ปี 2015

“ตอนนั้นสื่อประโคมข่าวว่าประวัติศาสตร์หน้าใหม่กำลังเกิดขึ้น ชาวโลกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แต่คำถามคือ มันใช่ไหม” ลุยซากล่าวต่อว่า หลังทุกประเทศลงนามข้อตกลง สถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น กลับเลวร้ายลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“ทั้งผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ผู้นำ นักการเมือง พวกเขากลับไปทำธุรกิจกันเหมือนเดิม สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกันต่อไป”

สำหรับลุยซา การติดตั้งพลังงานลมและแสงอาทิตย์เป็นเรื่องดี แต่มันก็ช้าเกินไป ไม่ทันกราฟอุณหภูมิที่พุ่งสูงสุดและทำลายสถิติท

“ไม่มีคำตอบใดเกินคาดหมาย แต่สิ่งที่รับไม่ได้คือ อุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลและบรรดาผู้นำ ต่างทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้การเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อผลประโยชน์และการเลือกตั้งครั้งต่อไป

“เป็นการประชุมที่ทั้งเศร้าและแปลก คนเดียวที่แตกต่างและน่าสนใจจริงๆ คือ เกรตา ธุนเบิร์ก วินาทีนั้นฉันตัดสินใจเคลื่อนไหวกับเกรตา ตอนนั้นมีแค่ฉันกับเกรตาที่นั่งอยู่ตรงนั้นในที่ประชุมใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยผู้ใหญ่ใส่สูทที่ดูยุ่งๆ ตลอดเวลาแต่ไม่มีความคิดใดๆ กับเรื่องนี้ (climate change) เลย”

การที่ผู้ใหญ่ไม่คิดทำอะไรกับเรื่องนี้ในทางกลับกันมันยิ่งสร้างพลังมหาศาลให้ลุยซา และนั่นเป็นจุดเริ่มต้น ทำให้ต้องกลับมาทำอะไรที่บ้านเกิด

พอกลับมาเบอร์ลิน ลุยซาเจอกลุ่มเพื่อนที่คิดเหมือนกันและเดินหน้า Fridays for Future ด้วยกัน นำมาสู่การประท้วงครั้งแรก

“เราไม่มีเงิน ไม่มีแหล่งทุน และไม่มีไอเดียเลยว่าประท้วงยังไง ดังนั้นเราเลยเริ่มจากสิ่งที่เราถนัด คือ พิมพ์ข้อความผ่าน WhatsApp แล้วส่งทั้งวันทั้งคืนไปถึงทุกคนเท่าที่จะทำได้” ปฏิบัติการในคืนนั้นทำให้ลุยซาพบเพื่อนเต็มไปหมดในการประท้วงวันรุ่งขึ้น และวันนั้นลุยซาเรียกตัวเองได้เต็มปากเต็มคำว่า climate activist

“เรากำลังพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ระยะเวลาที่สั้นที่สุด เราไม่มีเวลาแม้สักปีให้รออีกต่อไป ไม่ว่ากรณีไหนๆ โลกต้องเลิกฝากความหวังไว้กับนักประท้วงรุ่นเด็ก ใช่…พวกเราเจ๋ง และเรายังทำต่อ เราไม่มีขีดจำกัด เราคือจุดสตาร์ท แต่จงอย่าลืมว่า นี่ไม่ใช่ภารกิจของคนรุ่นนี้ แต่คืองานของมนุษยชาติ

“ทุกคนเป็น climate activist ได้ เราต้องการทุกคน ทุกวัย ทุกมุม ถ้าคุณคือนักร้อง จงร้อง ถ้าคุณคือครู จงสอน ถ้าคุณคือนักการธนาคาร บอกนายจ้างว่าคุณเตรียมตัวจะลาออกถ้าเขายังคงลงทุนในพลังงานฟอสซิล”

อ้างอิง
Why you should be a climate activist
Climate Cabinet: Luisa Neubauer considers German climate measures inadequate

2. อเล็กซานเดรีย วิลลาเซญอร์ (Alexandria Villaseñor) 14 ปี ⋅ สหรัฐอเมริกา

อเล็กซานเดรีย วิลลาเซญอร์ (Alexandria Villaseñor) วัย 14 ปี จากแมนฮัตตัน สหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้ง Earth Uprising กลุ่มนักเคลื่อนไหววัยเยาว์ด้านสิ่งแวดล้อม ที่นิยามตัวเองว่า “We are a team of young people who want to save the planet”

ตั้งแต่ต้นปี 2019 อเล็กซานเดรียใช้เวลาทุกวันศุกร์แบบนี้: ตื่นตอน 8 โมงเช้า แทนที่จะไปโรงเรียน เธอกลับออกจากบ้านที่แมนฮัตตัน นั่งรถไฟใต้ดิน มุ่งสู่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ และนั่งบนม้านั่ง 4 ชั่วโมง เพื่อทำหน้าที่ผู้ประท้วงเพื่อสภาพอากาศ-โดยลำพัง หรือ solitary climate striker

อเล็กซานเดรียบอกเหตุผลว่า เธอกำลังสู้เพื่ออนาคตของเธอเอง

“อย่างที่ เกรตา ธุนเบิร์ก พูด ถ้าเด็กๆ โดดเรียน มันก็จะดึงความสนใจได้ แค่หนึ่งคนที่ทำ มันก็ทำให้คนสนใจแล้ว”​ อเล็กซานเดรียให้ความสำคัญกับการดึงความสนใจ โดยเฉพาะความสนใจจากบรรดาผู้นำและเจ้าหน้าที่รัฐต่างๆ เพราะการประท้วงของเด็กคือการแสดงถึงความไม่ยอมของประชาชน และเป็นแรงกดดันต่อผู้นำประเทศทั้งหลาย”​

ประสบการณ์ตรงคืออีกเหตุผลส่วนตัวที่ผลักให้เด็กวัย 14 ทำอย่างนี้ ต้องย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน 2018 อเล็กซานเดรียกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่แคลิฟอร์เนีย ซึ่งตรงกับช่วงเวลา camp fire – ไฟป่าที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์แคลิฟอร์เนีย แม้บ้านของอเล็กซานเดรียจะอยู่ไกลออกไปเป็นร้อยไมล์ แต่เมืองกลับถูกปกคลุมไปด้วยควัน และโรคหอบหืดของเธอก็ต้านไม่ไหว

“มันเป็นอากาศที่แย่ที่สุดในโลก ขนาดเราห่อตัวด้วยผ้าขนหนูเปียกและสอดไว้ใต้ประตู ก็เอาไม่อยู่ พ่อแม่ต้องจองตั๋วกลับแคลิฟอร์เนียเที่ยวเร็วที่สุด” นั่นเป็นประสบการณ์แรกจาก climate change ของเด็กหญิง

พอกลับมาบ้าน อเล็กซานเดรีย จึงค้นหาข้อมูลทันทีว่า ไฟป่าส่งผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศอย่างไรบ้าง ทำไมแคลิฟอร์เนียอากาศแห้งขนาดนั้น จนได้พบกับเกรตาและสปีช อเล็กซานเดรียจึงตัดสินใจดำเนินรอยตาม

“การเป็นนักเคลื่อนไหว ต้องเสียสละมากๆ ครูหนูสนับสนุนมากๆ ครูบอกให้หนูส่งลิงค์ข่าว ความเคลื่อนไหวมาให้ตลอดๆ ด้วย”

ทุกครั้งในการประท้วงอย่างโดดเดี่ยว อเล็กซานเดรียได้รับกำลังใจผ่านทางข้อความมากมาย เธอคิดว่าการเคลื่อนไหวในยุโรป ยอดเยี่ยมมาก พวกเขาไม่นิ่งนอนใจ และหวังใจว่าสหรัฐจะเป็นแบบนั้นบ้าง

“เราคือหนึ่งในกลุ่มคนที่หาทางวิ่งหนีภัยในอนาคตจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โรงเรียนจึงไม่สำคัญอีกต่อไป”

อ้างอิง
14-YEAR-OLD CLIMATE ACTIVIST ALEXANDRIA VILLASEÑOR KNOWS INACTION IS NOT AN OPTION
The Teen Activist Who’s Spent 12 Fridays Outside the United Nations Striking for the Climate

3. ไรแอนน์ คริสติน แม็กซิโม ฟรังกา (Rayanne Cristine Maximo Franca) 25 ปี ⋅ บราซิล

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หญิงชาวพื้นเมืองนับหมื่นคนเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเรียกร้องสิทธิมนุษยชนและการคุ้มครองป่าไม้แอมะซอน หนึ่งในนั้นคือ ไรแอนน์ คริสติน แม็กซิโม ฟรังกา (Rayanne Cristine Maximo Franca) นักกิจกรรมหญิงชาวพื้นเมืองวัย 25 ปี หลังมีการแย่งชิงดินแดนชนพื้นเมืองและทำลายป่าแอมะซอนอย่างหนักตามนโยบายเปลี่ยนผืนป่าเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรเชิงอุตสาหกรรมและการทำเหมืองของประธานาธิบดีชาอีร์ บอลโซนาโร (Jair Bolsonaro)

ครอบครัวของฟรังกาและชนพื้นเมืองคนอื่นๆ แบ่งปันพื้นที่เพียง 13 เปอร์เซ็นต์ของป่าแอมะซอนทั้งหมดเป็นที่อยู่อาศัย เธอและสมาชิกครอบครัวเคยถูกขู่ฆ่าหลายครั้งเพราะบิดาออกมาต่อต้านคอร์รัปชัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอหยุดการเคลื่อนไหว วันนี้ฟรังกาตัดสินใจออกมาเดินขบวนด้วยตัวเองเพื่อต่อต้านลัทธิบริโภคนิยมที่กำลังกัดกินดินแดนป่าแอมะซอนอย่างไร้ซึ่งความเคารพธรรมชาติและเมินสิทธิของชนพื้นเมือง

“เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแสนสำคัญ ที่บราซิล มีขบวนประท้วงหญิงล้วนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาวพื้นเมือง มีทั้งผู้ใหญ่ หญิงสาว และเด็กหญิงจากหลากหลายอาชีพเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ศิลปิน สมาชิกรัฐสภา ครู เกษตรกร ทุกคนช่างสวยงามและหลากหลาย”

หญิงชาวพื้นเมืองทุกคนรวมตัวกันเดินขบวนในหัวข้อ ‘ดินแดน: ร่างกายของเรา จิตวิญญาณของเรา’ ฟรังกาเล่าว่าร่างกายของชาวพื้นเมืองหลายคนปนเปื้อนไปด้วยพิษปรอทจากฝีมือของเหมืองผิดกฎหมายที่ผุดขึ้นในพื้นที่ป่าที่ควรเป็นของสตรีพื้นเมือง ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนมากที่สุด

ฟรังกาและกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงกำลังหาทางขยับขยายเครือข่ายออกไป ผ่านการอบรม สัมมนา และทำเวิร์คช็อปในหัวข้อเกี่ยวกับสิทธิและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหญิงพื้นเมืองจำนวนไม่กี่คนที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและเคยร่วมงานกับองค์การสหประชาชาติ ฟรังกาบอกว่าการเข้าถึงข้อมูลและการมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหญิงสาวชนพื้นเมืองรุ่นเยาว์ แต่คนเราจะ ‘เยาว์’ ถึงวัยไหนก็เป็นเพียงเกณฑ์ที่สังคมนั้นๆ ตั้งขึ้นมาเท่านั้น

“ถึงเวลาที่โลกต้องฟังเสียงของเรา และถึงเวลาที่ประเทศนี้ต้องตระหนักว่าผู้หญิงพื้นเมืองก็ถือสิทธิเท่าๆ กับคนอื่นทั่วไป” ฟรังกากล่าว

อ้างอิง
Inside the indigenous fight to save the Amazon rainforest
From where I stand: “It is time that the world hears our voice”

4. มาริเนล ยูบัลโด (Marinel Ubaldo) 22 ปี ⋅ ฟิลิปปินส์

ทันทีที่ซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนมาเยือนฟิลิปปินส์ในปี 2013 มาริเนล ยูบัลโด (Marinel Ubaldo) ก็รับรู้ได้ถึงสัญญาณเตือนของความน่ากลัวจากสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง

ซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน หรือคนฟิลิปปินส์จำไม่ลืมในชื่อ ‘โยลันดา’ คร่าชีวิตคนไป 11 ราย และเปลี่ยนสถานะยูบัลโด จาก ‘เด็กนักเรียนดีเด่น’ มาเป็น ‘ผู้ประสบภัย’

แม้ได้รับข้อความเตือนภัยล่วงหน้าและบอกต่อคนอื่นให้รีบอพยพไปยังพื้นที่ปลอดภัย แต่ก็ไม่มีใครคาดถึงว่าซูเปอร์ไต้ฝุ่นโยลันดาจะ ‘ซูเปอร์’ ถึงขนาดทำลายชุมชนซามาร์ตะวันออก บ้านของยูบัลโด จนเธอไม่เหลือแม้แต่กล่องที่เคยใช้เป็นที่เก็บรางวัลต่างๆ ที่โรงเรียนมอบให้ ยูบัลโดและคนอื่นๆ ได้กินแต่หัวมันสำปะหลังประทังชีวิต โรงเรียนพังเสียหาย ส่วนพ่อที่มีอาชีพชาวประมงก็สูญเสียเครื่องมือทำกินไปกับพายุ

หลังรอดชีวิต ยูบัลโดเปลี่ยนสถานะตัวเองอีกครั้ง จากเด็กหญิงผู้ประสบภัยธรรมดาๆ มาเป็นหนึ่งในเยาวชนแกนนำเพื่อต่อต้านบริษัทเชื้อเพลงฟอสซิลขนาดใหญ่ ต้นเหตุสำคัญของสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง (climate change)

ยูบัลโดเข้าร่วมกับกลุ่ม ‘Plan International’ โครงการชุมชนเพื่อส่งเสริมสิทธิเด็กในฟิลิปปินส์เพื่อพูดคุยถึงปัญหาภูมิอากาศโลก ให้ความรู้กับชุมชน นำเสนอวิธีปรับตัวเพื่ออยู่รอด เธอเรียนรู้ผลกระทบของภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อชุมชนชายฝั่ง บ้านของเธอ

“เยาวชนเองก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เราไม่ใช่เพียงเหยื่อหรือผู้ชมเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เราต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตเรา”

ยูบัลโดเข้าร่วมการประชุม 21st Conference of the Parties (COP21) ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสเพื่ออภิปรายว่าปัญหาสภาพภูมิอากาศโลก ‘ปล้น’ อนาคตเยาวชนไปอย่างไร เธอเรียกร้องให้ผู้นำประเทศต่างๆ ทั่วโลกแก้ไขปัญหาโดยร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในสารคดี ‘Girl and Typhoons’ สารคดีบันทึกเรื่องราวของยูบัลโด เด็กหญิงที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติและกลายมาเป็นนักกิจกรรมสิ่งแวดล้อม เธอบอกว่า “หนูอยากให้โลกรู้ว่าสภาวะภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงในฟิลิปปินส์เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่ความคิดลอยๆ และเราต้องทนอยู่กับมัน”

ยูบัลโดเป็นหนึ่งในทีมงานร่วมจัดกิจกรรม ‘Global Climate Strike’ หรือการนัดหยุดเรียนทั่วโลกเพื่อประท้วงในประเด็นสิ่งแวดล้อมในวันที่ 20 กันยายนในปีนี้

อ้างอิง
Yolanda survivor makes waves in Paris climate talks
5 young activists who inspired us in 2018

5. เอ็มมา ลิม (Emma Lim) 18 ปี ⋅ แคนาดา

เอ็มมา ลิม (Emma Lim) นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแมคกิลล์ เรียนวิทยาศาสตร์ชีวการแพทย์ วัย 18 ปี เธอคือนักกิจกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ได้ริเริ่มขบวนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขนานนามว่า #NoFutureNoChildren แคมเปญที่เธอเชิญชาวแคนาดาทุกคนให้เข้าร่วม ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่อาคารรัฐสภา Parliament Hill

วิธีการต่อสู้ของลิมน่าสนใจ เธอใช้การเจรจาต่อรองผ่านแคมเปญ โดยการสาบานตนว่าจะไม่มีลูกจนกว่าเธอจะแน่ใจว่ารัฐบาลแคนาดากำลังดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การต่อสู้ของเธอได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมาย และเมื่อเช้าวันอังคารที่ผ่านมา ผู้คนกว่า 300 คนได้ลงนามในแคมเปญออนไลน์ของเธอ ที่ระบุว่า

“ฉันสัญญาว่าจะไม่มีลูกจนกว่าฉันจะแน่ใจว่ารัฐบาลของฉันจะรับรองอนาคตที่ปลอดภัยสำหรับเรา”

ลิมกล่าวว่า “ผู้คนที่เข้าร่วมการปฏิญาณในครั้งนี้ กำลังเลิกล้มความตั้งใจในการเป็นพ่อและแม่ แม้สิ่งนี้ควรจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา สิ่งนี้จะแสดงให้เห็นว่าเราจริงจังกับเรื่องนี้มากแค่ไหน และปัญหานี้ร้ายแรงเพียงใด”

ย้อนกลับไป ลิมคือเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งที่มีความฝัน ฝันของการเป็นแม่ เธอต้องการที่จะเป็นแม่ตั้งแต่จำความได้ และเธอยังมีรายชื่อของลูกในอนาคตอยู่ในคอมพิวเตอร์อีกด้วย เธอกล่าวว่า “การลุกขึ้นมายอมแพ้ต่อความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และฉันกังวลว่าความพยายามอย่างที่สุดของฉันจะไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลง”

ครั้งหนึ่งในวัยเด็ก เธอมีความรักชาติ และมีความเชื่อเหมือนเด็กทั่วไปว่ารัฐบาลของเธอสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ความรู้สึกนั้นกำลังจะจางหายไป “ชัดเจนแล้วว่าผู้นำของเราไม่ได้ทำสิ่งนี้อย่างจริงจังและนี่เป็นปัญหาร้ายแรง” เธอกล่าวโดยอ้างถึงการที่รัฐบาลอนุมัติการขยายท่อส่งก๊าซทรานส์เมาน์เทนของรัฐบาลสหรัฐ

ลิมรู้สึกไม่ประทับใจในสิ่งที่เธอได้เห็นจากกลุ่มเสรีนิยม และอนุรักษนิยมในประเทศของเธอ เธอกล่าวว่า “ฉันคิดว่าพวกเขาขี้ขลาด ในแคนาดาเราต่างรู้ว่าจำเป็นต้องมีการดำเนินการเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ แต่คนที่ควรจะเป็นผู้นำของเรากลับกำลังหาทางออกง่ายๆ พวกเขาแทบจะไม่ทำอะไรเลย มีแค่นโยบายห้ามใช้พลาสติก ในขณะที่เราต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” เธอกล่าวต่อว่า “ขณะเดียวกัน แอนดรูว์ เชียร์ – หัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม กลับไม่ได้มีการวางแผนเชิงนโยบายในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจริง ไม่มีอะไรเลย และเขายังต้องการที่จะยกเลิกการกำหนดราคาคาร์บอนอีกด้วย”

เช้าวันเปิดแคมเปญของลิม แคทเธอรีน คาร์ท ผู้เป็นแม่ได้เดินทางไปยังไปออตตาวาเพื่อสนับสนุนลูกสาว เธอกล่าวว่า “มันเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะสนับสนุนลูกๆ ของพวกเรา” และเธอยังหวังว่าการต่อสู้ของครั้งนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะถึงแม้เธอจะอยากให้ลิมมีลูก แต่เธอบอกว่าโลกนี้ตกอยู่ในความระส่ำระสายเพราะวิกฤติสภาพภูมิอากาศ

“แล้วฉันจะเห็นแก่ตัวโดยการสนับสนุนให้เธอมีลูกภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ได้อย่างไร” แม่ของลิมกล่าว

อ้างอิง
Hundreds join student’s climate-change pledge: No kids until Canada takes action

6. เดนิซ เซวิคูซ (Deniz Çevikuş) 11 ปี ⋅ ตุรกี

ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา เดนิซ เซวิคูซ (Deniz Çevikuş) นักกิจกรรมชาวตุรกี วัย 11 ปี ใช้เวลาว่างไปกับการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมรวมไปถึงการประท้วงในวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ ( Friday Climate Strikes) ณ ศูนย์กลางของเมืองที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี และเป็นที่ที่เธอถือป้ายเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในประเทศ

“คุณรับรู้ถึงวิกฤติสภาพภูมิอากาศไหม? ถ้าอยากรู้ หนูอธิบายได้” คือประโยคบนป้ายที่เธอยืนถือเพื่อชักชวนผู้คนบนถนนที่พลุกพล่าน มากกว่านั้น เธอยังชวนเพื่อนร่วมชั้นเรียนมาร่วมเคลื่อนไหวโดยการเดินเท้าไปยังแหล่งช็อปปิ้งที่มีผู้คนขวักไขว่พร้อมทั้งอธิบายสาเหตุที่อุตสาหกรรมแฟชั่นส่งผลกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

ด้วยเพราะตุรกีเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 18 ของโลกจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง เดนิซจึงตระหนักและรับรู้ปัญหาที่ผู้คนในประเทศกำลังเผชิญ ทั้งจากโครงการขุดในเทือกเขาคาซ (Kaz) ในภูมิภาคเอเจียน (Aegean) ทางตะวันตกของตุรกีที่นักเคลื่อนไหวในประเทศมักกล่าวว่า

“รัฐบาลตุรกีมักให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางธุรกิจเหนือสิ่งแวดล้อมซึ่งนำไปสู่โครงการก่อสร้างและการขุดทำลายในพื้นที่อนุรักษ์อย่างมหาศาล”

จุดเริ่มต้นของเด็กสาวนักเคลื่อนไหววัย 11 ปีคนนี้ได้เดินตามรอยเท้าของนักเคลื่อนไหวรุ่นพี่ชาวสวีเดนวัย 16 ปี นามว่า เกรตา ธุนเบิร์ก ผู้มีชื่อเสียงหลังจากการเข้าร่วมการประท้วงเรื่องสภาพอากาศนอกรัฐสภาสวีเดนเมื่อวัย 15 ปี

จนถึงเวลานี้ เป็นเวลากว่า 19 สัปดาห์แล้วที่เดนิซ ออกมาเคลื่อนไหวและขับเคลื่อนการรับรู้ของคนในกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี เธอกล่าวในโชเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า “จำนวนผู้คนที่ยินดีที่จะฟังเราอธิบายนั้นเพิ่มมากขึ้น”

อ้างอิง
Turkey’s 11-year-old activist demands grown-up action on climate change

7. แพทย์หญิงสนาธร รัตนภูมิ 31 ปี ⋅ ประเทศไทย ผู้ก่อตั้งเพจ Too Young to Die

ย้อนกลับไปในปี 2011 เพจ Too Young to Die ถูกตั้งขึ้นโดย นักศึกษาแพทย์หญิงสนาธร รัตนภูมิภิญโญ หรือหมอจอย วัย 31 ปี ครั้งนั้นเธอตั้งใจว่าเพจนี้จะทำหน้าที่รณรงค์และให้ความรู้ด้านปัญหาโลกร้อน แต่เธอก็ได้บอกเราว่า เธอก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ขี้เกียจ และละเลยด้วยมองว่าปัญหานั้นยังไกลตัว Too Young to Die จึงถูกปล่อยทิ้งร้างไว้อย่างนั้น จนปัญหาที่เธอเคยมองว่าอีก 200-300 ปีคงจะสำแดงผล มันเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอทุกที

“จนกระทั่งไปเจอรายงานของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) เขาออกข่าวมาว่า เรามีเวลาเพียง 10 ปีในการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะว่าตอนนี้มันเยอะเกินไปแล้ว เราก็ขนลุกเลย 10 ปีมันไม่นานเลยนะ คงต้องทำอะไรสักอย่าง เราเลยคุยกับเพื่อนว่าจะกลับมาขับเคลื่อนเพจ” เธอเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนปัญหาผ่านเพจ Too Young to Die ที่ถูกทิ้งร้างไว้นานหลายปีร่วมกับเพื่อนอีกสองคนคือ หมอแป้ง-วีรยา มานามวีรสิทธิ์ และ หมอซวง-ลดาทิพย์ ทองธเนศ

หมอจอยกล่าวว่า “เราอยากสื่อสารให้คนรู้สึกกลัวกับปัญหามากกว่านี้ รู้จักที่จะตั้งคำถามว่า สรุปถือแค่ถุงผ้ามันได้ผลไหม และตั้งคำถามไปยังผู้นำของเราว่าที่ทำอยู่ตอนนี้ เราพยายามกันเพียงพอหรือยัง เราไม่ได้แอนตี้พรรคการเมืองหรือรัฐบาลใด แต่จากกระแสการทำงานของหน่วยงานทั่วโลก ไม่มีที่ไหนทำได้ตามเป้าเลย เราอยากให้ทุกคนกลัวปัญหาและมีความรู้พอที่จะกล้าตั้งคำถามผู้นำ และกล้าออกมาบนถนนมากกว่านี้ด้วยนะ”

และ 20 กันยายนนี้ หมอจอยและเพื่อนได้เปิดพื้นที่ให้เกิดการพูดคุยกันทั้งภาครัฐและเอกชนต่อปัญหาโลกร้อนในกิจกรรม Fridays for Future เธอเล่าว่า “เราอยากให้มานั่งคุยกันดีกว่า ว่าตอนนี้เราอยู่ถึงไหนกันแล้ว เราเชิญภาครัฐเพื่อให้โอกาสเขาได้พูดว่านโยบายไปถึงไหนแล้ว แล้วเราอยากได้อะไร และจะทำอย่างไรต่อไป”

โดยหมอจอยได้บอกถึงเป้าหมายของเธอและเพื่อนว่า “รัฐบาลต้องประกาศว่าภาวะโลกร้อนคือภาวะฉุกเฉิน บอกทุกคนว่าทุกคนกำลังแย่ บอกประชาชน โรงเรียน ทุกคนจะได้กลัว แล้วทุกคนจะได้ช่วยกัน เราต้องควบคุมก๊าซให้ได้เท่านี้ๆ นะ ติดตามปีต่อปีนะ ซึ่งในตอนนี้ก็มีหลายประเทศประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินแล้ว อังกฤษ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส แคนาดา เขาตื่นกันแล้ว”

8. นันทิชา โอเจริญชัย 21 ปี ⋅ ประเทศไทย ผู้ก่อตั้ง กลุ่ม Climate Strike Thailand

ขอบคุณภาพจาก: Greenpeace – Biel Calderon, Wanutpong Tangchalermkul

“นี่ไม่ใช่การซ้อม นี่คือภาวะฉุกเฉินวิกฤติภาวะโลกร้อน Climate Strike Thailand กลับมาแล้ว 20 กันยายนนี้ การเรียนและการงานรอได้ แต่ความยุติธรรมทางสภาพภูมิอากาศรอไม่ได้! เราจะเรียกร้องสิทธิมนุษย์ของเรา เพื่อความอยู่รอดในอนาคตบนโลกที่เป็นบ้านเพียงหลังเดียวของเรา และเราต้องการความช่วยเหลือจากคุณ!!”

คำประกาศกร้าวบนกิจกรรม Global Climate Strike – Bangkok SEP. 20 ของกลุ่ม Climate Strike Thailand ที่เริ่มต้นและขับเคลื่อนโดย หลิง-นันทิชา โอเจริญชัย วัย 21 ปี ผู้ก่อตั้ง กลุ่ม Climate Strike Thailand เธอเล่าว่า อาจจะเพราะเธอเรียนด้านสิ่งเวดล้อม ภาวะโลกร้อนจึงเป็นเรื่องที่เธอกังวลมาโดยตลอด และก่อนหน้านี้เธอได้ใช้เพียงปลายปากกาบอกเล่าปัญหาเท่านั้น กระทั่งเธอได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ เกรตา ธุนเบิร์ก นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมวัย 16 ปี ที่ได้สร้างแคมเปญ Friday for Future ได้จุดประกายให้หลิง ขับเคลื่อนกิจกรรมนี้ในประเทศไทย

“เราได้เห็นบทสัมภาษณ์ของเกรตา เรารู้สึกเหมือนกันนะ ทำไมไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้ และทำไมคนที่เขามีอำนาจในการจัดการปัญหานี้ ไม่เห็นความสำคัญของมัน และไม่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นนะ ทุกคนเลย”

20 กันยายน คือหมุดหมายที่เยาวชนทั่วโลก ออกมารวมตัวกันที่ถนนเพื่อส่งเสียงบอกคนในโลกว่าโลกเแย่แล้ว และหลิงคือหนึ่งในผู้ที่เชื่อในสิทธิและเสียงของตน ว่าสิ่งที่พวกเรากำลังจะบอก ผู้ใหญ่ต้องฟังได้แล้ว

“ถ้าเป็นเมืองนอก เขาจะออกมาบนท้องถนนแสนสองแสน มันจะมีประสิทธิภาพ เพราะคนไม่ได้ไปทำงาน เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน มันมีผล แต่ว่าถ้าเมืองไทย เด็กคนหนึ่งไม่มาเรียนก็เรื่องของเด็ก ไม่ได้เกรด ไม่ได้คะแนน มันไม่มีมีอิมแพคเลย อีกอย่างวัฒนธรรมของเรา กดทับเด็กไม่ให้กล้าพูด เด็กไม่ควรพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด และควรจะทำตามผู้ใหญ่ และนอกจากเรื่องความเป็นเด็กภาพของการประท้วงในประเทศเรามันดูไม่ดี มันดูรุนแรง ไม่ได้มองว่าการเดินประท้วง มันเป็นการแสดงสิทธิของเรา”

กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน คือหมุดหมายในวันพรุ่งนี้ของกิจกรรม Global Climate Strike – Bangkok หลิงกล่าวว่า

“เราเรียกร้องอยู่หลักๆ 2 เรื่องคือ 1. อยากให้ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉิน (climate emergency) ที่เขาประกาศกันไปแล้วหลายประเทศ และ 2. เราอยากให้มีเป้าว่าภายในปี 2025 หยุดใช้พลังงานถ่านหิน และใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทน 50 เปอร์เซ็นต์ ของ Renewable Energy Share และอยากให้เป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2040 นี่คือข้อเรียกร้องของเรา”

เมื่อการเดินขบวนครั้งนี้สิ้นสุดลง หลิงยังยืนยันว่าภารกิจของ Climate Strike Thailand จะยังคงเดินหน้าต่อไปในการรณรงค์และให้ความรู้กับคนในสังคม

“เราอยากสร้างความรู้ รณรงค์เรื่องนี้ให้คนไทยเข้าใจก่อน เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น เราจะสามารถเรียกร้องมากขึ้นได้ เพราะตอนนี้ถ้าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเรียกร้อง รัฐบาลก็ไม่ได้จำเป็นต้องมาแก้ปัญหาเรื่องนี้” หลิงทิ้งท้าย

Tags:

สิ่งแวดล้อมSchool Strike for Climate

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    ชวนฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ Voice of new gen

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ความกังวลเรื่องภูมิอากาศกับการวางแผนครอบครัว เมื่อการไม่มีลูกคือหนึ่งในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    หนูไม่ใช่ เกรตา ธุนเบิร์ก หนูชื่อ ‘ลิลลี่’ ระริน สถิตธนาสาร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Voice of New Gen
    #SCHOOLSTRIKE 4 เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ทนกับโลกร้อน

    เรื่อง

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

FRIENDSHIP BENCH ม้านั่งให้คำปรึกษาโดยคุณยาย แก้ปัญหาวิกฤติสุขภาพจิตในซิมบับเว
Social Issues
18 September 2019

FRIENDSHIP BENCH ม้านั่งให้คำปรึกษาโดยคุณยาย แก้ปัญหาวิกฤติสุขภาพจิตในซิมบับเว

เรื่อง The Potential

Friendship Bench – ความสัมพันธ์บนม้านั่งยาว คือชื่อโปรเจ็คต์การให้คำปรึกษาโดยคุณยาย แก้ปัญหาวิกฤติสุขภาพจิตในประเทศซิมบับเว

ย้อนกลับไปในปี 2004 ดิกซอน ชิบันดา (Dixon Chibanda) คือหนึ่งในสองจิตแพทย์ ที่ทำงานในระบบสาธารณสุขของภาครัฐ ประเทศซิมบับเว – ประเทศที่ประชากรราว 90 เปอร์เซ็นต์เข้าไม่ถึงการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตั้งใจอยู่ดีว่าวันหนึ่งจะต้องเปิดคลินิกเอกชนด้านจิตเวชเป็นของตัวเองตามแผนที่วางไว้ และในเมื่อมันเป็นหนทางของวิชาชีพและชื่อเสียงเงินทอง

แต่วันหนึ่ง หนึ่งในคนไข้ของเขาเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย เรื่องนี้กระทบใจชิบันดามากเพราะเขาเห็นว่าในกรณีนี้เขาน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ – ถ้าเพียงแต่เขาจะพูดคุยกับคนไข้ได้บ่อยขึ้น และนั่นทำให้แผนการด้านอาชีพของชิบันดาต้องเปลี่ยน คลินิกจิตเวชเอกชนไม่ใช่คำตอบของประชากรชาวซิมบับเว (ซึ่งส่วนใหญ่ยากจน) ราว 12 ล้านคนอีกต่อไป ชิบันดาจำเป็นต้องสร้างระบบการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตที่ทำให้ทุกคนใช้ประโยชน์ได้จริงและทั่วถึง

ดิกซอน ชิบันดา (Dixon Chibanda) บนเวที TEDWomen 2017

คุณยาย – grandmother คือคำตอบของชิบันดา

ที่ต้องเป็นผู้สูงวัยในชุมชนเป็นเพราะคุณยายคือผู้ที่ได้รับการยอมรับและเชื่อมั่นจากคนในชุมชน และหญิงสูงวัยส่วนใหญ่มักเป็นอาสาสมัครด้านสาธารณสุขในประเทศอยู่แล้ว ชิบันดาคิดว่า หากแกรนนี่เหล่านี้ถูกฝึกให้ ‘รับฟัง’ และช่วยให้ผู้พูดคลี่คลายความขึ้งเครียดในจิตใจอย่างนักจิตวิทยาแล้ว นี่จะเป็นคำตอบเพื่อลดภาวะซึมเศร้าและความกดดันในผู้คนได้

Friendship Bench เริ่มก่อตัวขึ้น โดยยึดม้านั่งในเมืองหลวงอย่างฮาราเรเป็นพื้นที่ให้คำปรึกษาเป็นเมืองแรก แล้วจึงกระจายวงไปครอบคลุมทั้งประเทศ พูดได้ว่าโปรเจ็คต์นี้ได้รับความนิยมอย่างล้มหลามและยอมรับว่าช่วยลดภาวะซึมเศร้าของคนในประเทศได้จริง และนอกจากซิมบับเว Friendship Bench ยังถูกต่อขยายโครงการเข้าไปหลายประเทศ

ที่นิวยอร์คก็มีม้านั่งให้คำปรึกษาในย่านฮาร์เล็มและบล็องซ์ โดยคาดการณ์ว่ามีผู้เข้าไปนั่งคุยราว 60,000 คน นอกจากนี้ยังมีที่มาลาวี แทนซาเนีย ล่าสุดก็มีม้านั่งให้คำปรึกษาที่ประเทศเคนยาที่เมืองเคริโช (Kericho) ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันชิบันยา ยังคงทำงานเดินสายเพื่อฝึกให้คุณยายหลายๆ ประเทศในแถบทวีปอเมริกาตะวันออกทำงานในโปรเจ็คต์นี้ นอกจากนี้ยังมีโปรเจ็คต์ใหม่คือการทำงานกับผู้ติดเชื้อ HIV ซึ่งที่มาของโปรเจ็คต์นี้ก็เพราะข้อมูลที่ชิบันยาเก็บในเชิง data ชี้เป้าว่าปัญหาสุขภาพจิตของผู้คนในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ HIV

อีกหนึ่งโปรเจ็คต์ที่น่าสนใจคือ ชิบันยาต้องการทำงานกับกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น ข้อมูลที่เขาเก็บรวบรวมตลอดหลายปีรายงานเช่นกันว่า เมื่อเทียบกับผู้ที่เข้ามารับบริการที่ม้านั่งยาว วัยรุ่นมีสัดส่วนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนไข้ในช่วงวัยอื่น ในโปรเจ็คต์ใหม่เขาจึงอยากทำงานกับวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี โดยเปิดให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยเป็นอาสาสมัครแทนแกรนนี่ในโครงการ

อย่างไรก็ตาม คำวิจารณ์เริ่มมีขึ้นหนาหูว่าคาแรคเตอร์ของ “ความเป็นแกรนนี่ที่ให้คำปรึกษากับคนในชุมชนที่พวกเขารู้จักมักคุ้นดี” ของ Friendship Bench นั้นเริ่มหายไป เพราะเมื่อไอเดียดีๆ นี้กระจายไปหลายประเทศ คนที่รับหน้าที่ให้คำปรึกษาก็อาจไม่ใช่คุณยายคุณย่า – ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจให้แก่ชิบันยาเช่นกัน แต่แม้ Friendship Bench จะหลุดคอนเซ็ปต์เรื่องการใช้ฐานชุมชนเป็นที่ตั้งมั่น แต่ในกรอบใหญ่อย่างการทำให้ระบบสาธารณสุขโดยเฉพาะประเด็นสุขภาพจิตเข้าถึงได้ง่าย ชิบันดาเชื่อว่าโปรเจ็คต์นี้ยังทำได้ดีอยู่

ท่ามกลางตัวเลขคาดการณ์ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าราว 300 ล้านทั่วโลก/ทุกกลุ่มอายุ และอย่างที่มีคนเคยพูดไว้ว่า “หากประเทศไหนประชากรเข้าถึงการให้คำปรึกษาหรือพูดคุยบำบัดได้ง่ายและทั่วถึง ประเทศนั้นเป็นประเทศพัฒนาแล้ว”

ท่ามกลางข้อจำกัดเชิงโครงสร้างมากล้น คงจะดีไม่น้อยหากเราต่างถูกฝึกให้รับฟังปัญหาและรู้ว่าจะช่วยเราคลี่คลายปัญหานั้นอย่างไร

อ้างอิง:
This ‘Friendship Bench’ is improving mental health for Zimbabweans
How a wooden bench in Zimbabwe is starting a revolution in mental health

Tags:

ซึมเศร้าจิตวิทยาสังคมสูงวัย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    เปิดเทอมใหม่ อย่าเพิ่งสอนวิชาการ เยียวยาเด็กและเพื่อนครูด้วยกันก่อน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Life classroom
    BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

SODLAWAY SILK แบรนด์ผ้าไหมที่ทอลวดลายจากเรื่องราวและชีวิตชาวกวย
Voice of New Gen
18 September 2019

SODLAWAY SILK แบรนด์ผ้าไหมที่ทอลวดลายจากเรื่องราวและชีวิตชาวกวย

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

  • การเดินทางของ Sodlaway Silk จากโครงการฟื้นฟูผ้าไหมโดยเยาวชน สู่แบรนด์ผ้าไหมธุรกิจชุมชนที่ค่อยๆ เติบโต ต้องการยืนยันว่าวิถีชาวกวยต้องไม่หายไป และ ‘ผ้า’ หนึ่งผืน ทำหน้าที่นั้นได้
  • ผ้าแต่ละผืน เริ่มต้นจากการไปพูดคุยกับชาวบ้านหลายหลังเพื่อสืบค้นข้อมูลให้ไกลเท่าที่ค้นได้มากที่สุด เช่น ผ้าเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตชาวกวยอย่างไร ผ้าแต่ละผืนที่ได้มานั้นมาจากไหน ใครเป็นผู้นำเข้ามา ถึงขั้นตามไปขอดูผ้าเก่าในตู้ของผู้เฒ่า
  • Sodlaway Silk จึงไม่ใช่แค่ผ้าไหมทอมือ แต่คือการถ่ายทอดลวดลายจากเรื่องราวและชีวิตชาวกวย

สถานประกอบการของ Sodlaway Silk หรือ กอนกวยโซดละเว ที่หมายถึงแบรนด์ผ้าไหมของชาวกวย ธุรกิจเพื่อชุมชน (SE: Social Enterprise) แห่งบ้านแต้พัฒนา ตำบลโพธิ์กระสังข์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ไม่หรูหรา ไม่มีการจัดวางอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมืออย่างเป็นกิจจะลักษณะอย่างภาพจำโรงทอผ้าแห่งอื่นๆ กลับกัน ต้นหม่อน วัตถุดิบหลักสำหรับทอผ้า ยืนต้นคละกับพืชผักสวนครัวในสวน ชั้นเลี้ยงไหมไม่เกิน 4 ใบจัดวางเป็นส่วนหนึ่งของชานบ้านเข้ามุมกำแพงง่ายๆ ด้านหนึ่ง และสัญลักษณ์หนึ่งเดียวที่ทำให้แขกไปใครมาพอจะรู้ว่านี่คือบ้านของผู้ประกอบการธุรกิจกอนกวยโซดละเว เห็นจะเป็นกี่ทอผ้าขนาดมาตรฐาน ตั้งตระหง่านหน้าบ้านราวเปียโนของนักดนตรีชั้นเอก

สิบเอกวินัย โพธิสาร หรือ ครูแอ๊ด แห่งโรงเรียนบ้านโพธิ์กระสังข์ และแกนนำธุรกิจชุมชนแบรนด์ผ้าไหม Sodlaway Silk คือเจ้าของบ้านที่ว่า เมื่อถูกถามว่า พอผ้าไหมจากกอนกวยโซดละเวเริ่มเป็นที่รู้จัก มีคนติดต่อขอซื้อผ้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ครูเองยังมีงานหลักคือการสอนหนังสือ และรับหน้าที่อีกหนึ่งบทบาทเป็นโค้ชของเด็กๆ ใน โครงการพัฒนาเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ เอาเวลาไหนมาทอผ้าซึ่งต้องใช้ความประณีตระดับชั้นครู?  

ครูแอ๊ด-สิบเอกวินัย โพธิสาร

“เวลาว่างหลังเลิกสอนหนังสือ กลับมาทอผ้าที่บ้าน ทำอะไรจุ๊กจิ๊กไปเรื่อย” และการ ‘ทำอะไรจุ๊กจิ๊ก’ แบบที่ครูแอ๊ดว่า ไม่ใช่แค่ขั้นตอนการผลิตที่เริ่มตั้งแต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การทดลองย้อมสีไหมด้วยการสกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ นำไหมสองสีมาตีเกลียวให้เป็นเส้นเดียวตามกรรมวิธีโซดละเว จับลาย กระทั่งนำไหมขึ้นกี่ทอผ้า ไม่ใช่แค่นั้น… ครูแอ๊ดยังต้องรับออร์เดอร์ลูกค้า ให้ความรู้ลวดลายและเรื่องเล่าในผ้า แจกงานให้ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกในโครงการแบ่งกันทอ บริหารจัดการเงินทุนและกำไร สุดท้าย ครูแอ๊ดรับหน้าที่สอนเด็กๆ ในชุมชนให้ทอผ้าและถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มากับผ้าสืบต่อไปด้วย

The Potential ปักหมุดจากสนามบินดอนเมืองสู่ชุมชนชาวกวยบ้านแต้พัฒนา จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อไปซื้อผ้า เอ้ย… ไม่ใช่! ไปพูดคุยกับสิบเอกวินัย ที่ไม่ใช่แค่การสร้างแบรนด์ระดับธุรกิจชุมชน แต่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางของ Sodlaway Silkแบรนด์ที่ตั้งต้นขึ้นจากความต้องการยืนยันว่าวิถีชาวกวยต้องไม่หายไป และ ‘ผ้า’ หนึ่งผืน ทำหน้าที่นั้นได้

Sodlaway Silk จุดเริ่มต้นแค่อยากให้คนในชุมชนกลับมาใส่ผ้าไหมโซดละเว

บ้านแต้พัฒนา จังหวัดศรีสะเกษ อำเภอโพธิ์กระสังข์ เป็นหมู่บ้านที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์กวย 

“แต่ก่อนทุกบ้านจะมีกี่ทอผ้า ชาวบ้านเลี้ยงและย้อมสีไหมเอง เพราะชาวบ้านจะใช้ผ้าโซดละเวหรือที่เรียกว่า ‘ผ้าไหมหางกระรอก’ ในพิธีกรรมสำคัญต่างๆ ตั้งแต่งานบวช งานแต่ง พิธีกรรมเกลนางออ (รำแม่มด) เพื่อเป็นเครื่องสมมารับแถน (เทวดาประจำตัวหรือประจำตระกูล) งานบุญเทศน์มหาชาติ งานบุญต่างๆ และรวมถึงงานอวมงคล

“แต่ก่อนคนทำผ้าเยอะมาก แต่พอชาวบ้านต้องเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ คนทำก็น้อยลง คือรู้ว่าทำยังไงแต่ไม่มีคนทำ ถามว่าถ้าไม่มีผ้าแล้วพิธีกรรมเหล่านั้นจะหายไปไหม? ไม่หาย พิธีกรรมยังมีอยู่แต่ชาวบ้านจะเลือกไปซื้อผ้าจากที่อื่นมาทำพิธีแทน”

“ตอน ม.4 ผมนุ่งผ้าเป็นครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นเริ่มเห็นว่าคนทำผ้ามีน้อยลงทุกที นอกจากผมที่ทอเป็นก็ไม่มีเยาวชนรุ่นใหม่มาสืบทอด ตอนนั้นเลยคิดว่าทำยังไงจะให้เยาวชนมาศึกษาจนเขาทอผ้าได้ จนขึ้นมหา’ลัย จำได้ว่าใส่ผ้าไหมไปช่วยงานบุญสักงานที่ชุมชน พี่ติ๊ก (ปราณี ระงับภัย เจ้าหน้าที่ศูนย์ประสานงานการวิจัยเพื่อท้องถิ่น ศรีสะเกษ) เข้ามาถามว่า มีโครงการพัฒนาเยาวชนซึ่งมีงบประมาณสนับสนุนโครงการ สนใจหรือเปล่า? เลยลองคุยกับน้องๆ ในทีม ชวนกันมาทำโครงการ” สิบเอกวินัยเล่าย้อนไปเมื่อราว 5 ปีที่แล้ว ขณะกำลังศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

กว่าจะเป็นแบรนด์อย่างจริงจังและขายจริงในปัจจุบัน สิบเอกวินัยเล่าว่าช่วงสองปีแรกของการทำโครงการฯ เขาและทีมต้องลงเก็บข้อมูลเรื่องผ้าในชุมชน ตั้งแต่ไปพูดคุยกับชาวบ้านหลายหลังเพื่อสืบค้นข้อมูลให้ไกลเท่าที่ค้นได้มากที่สุดว่า ผ้าเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตชาวกวยอย่างไรบ้าง ผ้าแต่ละผืนที่ได้มานั้นมาจากไหน ใครเป็นผู้นำเข้ามา ตามไปขอดูผ้าเก่าในตู้ของผู้เฒ่าผู้แก่ อยากรู้ว่าลายโบราณในหมู่บ้านมีมากน้อยแค่ไหน ลวดลายที่ว่ามักเป็นลายอะไร ผู้เฒ่าผู้แก่อธิบายถึงที่มาลายผ้าว่าอย่างไร จากนั้นจึงค่อยแกะลายลงกระดาษ มัดไหม และขึ้นกี่ทอผ้าต่อไป

“ลายที่เราพบส่วนใหญ่มักเป็นลายที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันหรือไม่ก็สัตว์ เช่น ลายคล้ายรูปสี่เหลี่ยมบนหลังงู ลายตะขอที่ใช้ตักน้ำในบ่อ ยังมีความหมายที่แฝงมากับโซดละเวแต่ละส่วน เช่น ผ้าที่มีตีนซิ่น ซึ่งชาวกวยเรียกว่า ‘บูลจ์บูลจ์’ มีความหมายถึงการก้าวเดิน การก้าวไปข้างหน้า ผ้าส่วน เสลิก จะเป็นการทอยกมุกก็เพื่อไม่ให้ซิ่นขาดง่าย ตัวตีนซิ่นจะทอแบบมัดหมี่ และหัวซิ่น จะยกขิดให้เกิดลายนูนขึ้นมา” ครูแอ๊ดเล่า

ลวดลายจากผ้าไหมกอนกวยโซดละเวไม่ใช่แค่เป็นลายกวยโบราณ แต่วัตถุดิบที่ใช้ทำ สิบเอกวินัยตั้งใจให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด โดยเฉพาะการใช้สีจากธรรมชาติ

“เราเริ่มทดลองใช้สีธรรมชาติตอนทำโครงการปีที่ 2 ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่าผ้าแต่ละผืนมีสีไม่เหมือนกัน วัตถุดิบแบบเดียวกันแต่ผสมต่างฤดู ก็ได้สีไม่เหมือนกันแล้ว” 

สิบเอกวินัยย้ำว่า ไม่ใช่แค่ผู้สวมใส่จะปลอดภัย แต่ผู้จัดทำ ย่อมได้ประโยชน์ตามไปด้วย

กอนกวยโซดละเว ธุรกิจชุมชนที่ค่อยๆ เติบโต

แม้เริ่มต้นจากการเป็นโครงการพัฒนาเยาวชนในพื้นที่ แต่ปัจจุบันกลายเป็นธุรกิจที่ค่อยๆ เติบโตด้วยความตั้งใจอยากให้เป็นธุรกิจเพื่อชุมชน เยาวชนมีรายได้จากการทอผ้าเป็นอาชีพ สำคัญที่สุด ผ้าไหมโซดละเวจะทำหน้าที่บอกเล่าความเป็นมาและวิถีชีวิตของชาวกวยโดยที่พวกเขาไม่ต้องพูดอะไร

“เราทำโครงการมา 2 ปี คนเริ่มทักเข้ามาผ่านเพจเฟซบุ๊คตลอดว่าขายไหม ขอเข้ามาศึกษาดูงานได้ไหม เรียกว่าเดือนๆ หนึ่งเราเปิดรับคนเข้ามาดูงานสามถึงสี่รายเลย และเพราะเราคิดกันอยู่ตลอดว่าอยากให้คนรู้จักผ้าไหมบ้านเรามากกว่านี้ การทำแบรนด์เลยเป็นตัวเลือกที่ดี 

“การทำโครงการปีที่ 3 จึงตัดสินใจทำเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์และทำแบรนด์ โดยใช้คำว่า Sodlaway Silk หรือ ‘กอนกวยโซดละเว’ บอกเล่าความเป็นกวยไปด้วยในตัว โดยได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิสยามกัมมาจล เข้ามาช่วยสอนเรื่องการทำแบรนด์ การออกแบบโลโก้ผลิตภัณฑ์”

เมื่อเริ่มต้นจากต้นทุนชุมชน สมาชิกในกลุ่มก็เป็นคนในชุมชน เมื่อตั้งใจทำแบรนด์ของตัวเอง ครูแอ๊ดตั้งใจอยากให้ Sodlaway Silk เป็นธุรกิจชุมชน ทั้งส่วนแรงงานการผลิตและการกระจายรายได้ 

“เราแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วน คือ 50 : 40 : 10 คือ 50 เปอร์เซ็นต์แรกจะถูกเก็บเป็นทุนเพื่อทำงานต่อ 40 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าแรงของผู้ทำผ้าผืนนั้น เช่น ชาวบ้านที่เราส่งงานต่อให้ หรือเยาวชนที่อยู่ในโครงการ อีก 10 เปอร์เซ็นต์สุดท้าย ไว้ใช้ในกิจกรรมสาธารณะของหมู่บ้าน” ครูแอ๊ดแจกแจงสัดส่วนการเงิน

แม้กำลังการผลิตจะมีไม่มากเพราะแรงงานแต่ละคนต่างมีหน้างานหลักเป็นของตัวเอง และด้วยธรรมชาติของงานทำมือที่ต้องใช้เวลาและความประณีต ทำให้กำลังผลิตอาจไม่มากเท่าธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ครูแอ๊ดของเด็กๆ บอกว่าพอใจกับผลผลิต รายได้เพียงพอต่อขวัญและกำลังใจคนผลิต มากไปกว่าการค้าขาย มีผู้สนใจเข้ามาขอดูงานอยู่เรื่อยๆ

เต๋า-อภิชาต วันอุบล ขณะเข้าโครงการเป็นเพียงนักเรียนชั้น ม.3 แต่ปัจจุบันกลายเป็นหนุ่มนักศึกษาได้รับทุน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีเรียบร้อย ปัจจุบันเต๋าคือมือหนึ่งเรื่องการทอ ออกแบบ และทำงานจัดการด้านการขายและถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้ซื้อและผู้ขอเรียนรู้งาน

เต๋า-อภิชาต วันอุบล

เต๋าเล่าให้ฟังว่าปัจจุบันมีผู้สนใจเข้ามาขอดูงานเรื่อยๆ รวมถึงมีนักศึกษาเข้ามาขอข้อมูลเพื่อเก็บเป็นแรงบันดาลใจทำผลิตภัณฑ์ที่มาจากลวดลายผ้าไหมโซดละเวโบราณต่อไป

เต๋าเล่าว่าแม้รายได้ที่มาจากกอนกวยโซดละเวจะไม่ได้มากมาย แต่เพียงพอเป็นเงินเก็บและใช้จ่ายชีวิตมหาวิทยาลัย แต่มากกว่านั้น สิ่งที่ได้คือลวดลายผ้าไหมโบราณได้ถูกบันทึกและสืบสานต่อ สิ่งที่สิบเอกวินัยและเต๋าคิดเหมือนกันคือนี่เป็นมูลค่าที่ประเมินไม่ได้

“จากแค่สิ่งที่เราชอบเล็กๆ กลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ มีคนยอมรับงานของเรา มีหลายหน่วยงานเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการมากขึ้น รู้สึกว่ามันค่อยๆ เติบโต ซึ่งตอนแรกเราไม่คิดถึงอะไรขนาดนี้เลย แค่ชอบผ้าและทำไปเรื่อยๆ เหมือนต้นไม้เนอะ มันจะออกดอกออกผลตามเวลาของมัน” ครูแอ๊ดกล่าว

Tags:

เย็บปักถักร้อยactive citizenศรีสะเกษผู้ประกอบการ(entrepreneurship)ชาติพันธุ์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • ผ้าสบงและป้ายรณรงค์เชิงสัญลักษณ์ การลุกขึ้นมาจัดการป่าของเยาวชนบ้านหนองสะมอน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningVoice of New Gen
    กีฬาเยาวชน ‘เบ๊อะบละตู’ : สนามนี้ไม่ได้มีไว้ชนะ แต่ชวนปกาเกอะญอรุ่นใหม่รักษาสิทธิดูแลป่า

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    โรงเรียนบ้านโนนแสนคำฯ พลิกคุณภาพโรงเรียนด้วยการสอนคิดและฝึกฝีมือคุณครู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel