Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: June 2019

คนไม่มีความรู้=คนไม่มีอำนาจ?
Creative learning
13 June 2019

คนไม่มีความรู้=คนไม่มีอำนาจ?

เรื่อง The Potential

“ถ้าเราอยากได้คะแนนตอนสอบ เราก็ต้องตอบตามที่ครูสอนเรานั่นแหละ”

สำหรับ ‘นิ้วกลม’ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ ที่บอกว่าตัวเองเป็นผลผลิตของการศึกษาแห่งประเทศไทย – ความรู้คืออำนาจ ครูไม่ได้แค่ฉลาดหรือมีความรู้มากกว่าเรา แต่เขามีอำนาจมากกว่า 

อำนาจนั้นเกิดจากความที่รู้มากกว่า 

เพราะกว่าจะไต่ไปถึงความรู้ระดับสูงมากพอจนน่าเชื่อถือ คนๆ นั้นต้องผ่านอะไรหลายอย่าง 

ในทางกลับกันคนที่ไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนนั้น กลับรู้สึกด้อยกว่า กลัวว่าความรู้ที่มีอยู่จะผิด และอำนาจที่มีอยู่จะน้อยลงไปด้วย 

การนิยามความรู้ตามระบบ ทำให้คนนอกวงจรกลายเป็นคนไม่รู้จริงไปหมด 

ความรู้สึกนี้ทำให้เกิดความสูงต่ำในโรงเรียน นักเรียนรู้สึกว่าไม่มีทางเท่ากับครูได้ 

“เพราะเรามีความถูกต้องที่แคบ ซึ่งจริงๆ แล้ว ความต่างไม่ได้แปลว่าเก่งกว่าหรือเก่งน้อยกว่า” 

แต่เพราะที่ผ่านมาเราให้ค่าว่า “ความรู้เท่ากับอำนาจ” หรือเปล่า

อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม “นิ้วกลม-สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ : ถ้าประเทศนี้ไม่มีโรงเรียน” คลิก 

Tags:

หนังสือCreative Deschoolingสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์(นิ้วกลม)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Book
    เสี้ยวส่วนความทรงจำของ Paulo Freire  ใน Pedagogy of Hope 

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    New Year’s Resolutions: อ่าน 7 เล่ม เพื่อเป็นตัวเราที่ดีกว่าเดิม

    เรื่อง พิรญาณ์ บุลสถาพร

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy lifeBook
    งานทำคุณ หรือคุณทำงาน คำถามจากหนังสือ A LIFE AT WORK – ที่ทางของคุณบนโลกนี้

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • Creative learning
    ‘นิ้วกลม’ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์: ถ้าประเทศนี้…ไม่มีโรงเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู
Everyone can be an Educator
12 June 2019

TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • ใครๆ ก็บอกว่าการศึกษาไทยมีปัญหาและล้าหลัง คุณเชื่อแบบนั้นหรือไม่?
  • คลี่คลายและเขย่าความคิดจาก 5 เสียง 5 คน 5 บทบาท: เด็กนักเรียน ครู ผู้ปกครอง รวมถึงผู้ก่อตั้งโรงเรียน ที่ออกมาถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกษา ผ่านประสบการณ์ที่แต่ละคนพบเจอ 
  • “มันเป็นเรื่องน่ากลัว ที่เด็กๆ ในโรงเรียนกลัวที่จะผิด กลัวที่จะพลาด เขาอยากเป็นที่หนึ่ง แม้ในโรงเรียนจะมีความหลากหลายมากมาย แต่มีเพียงสองเครื่องหมายเท่านั้นคือถูกกับผิด ซึ่งมันไปปิดกั้นความอยากเรียนรู้ของนักเรียน” หนึ่งในเสียงสะท้อนของ ‘ครูมิ้น’ ครูแนะแนว ที่มีต่อการศึกษาไทย
ภาพ: พัชริดา จูจรูญ, ศิริลักษณ์ พรมภักดี

“เรียนแล้วได้อะไร”

“เรียนไปทำไม”

“เราเข้าป่าแทนเรียนหนังสือได้หรือไม่”

“ทำไมถึงไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอาชีพอะไร”

“พ่อแม่ทำผิดพลาดได้หรือเปล่า”

คำถามมากมายเกิดขึ้นตลอดทางของการเรียนหนังสือ และคนส่วนใหญ่มักจะกล่าวหาว่าคำถามเหล่านี้ เกิดขึ้นจากระบบการศึกษาไทยที่ไม่ตอบโจทย์

แล้วคุณเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่ 

นี่คือเสียงจากตัวแทน 5 คน 5 บทบาท: เด็กนักเรียน ครู ผู้ปกครอง รวมถึงผู้ก่อตั้งโรงเรียน บนเวที TEP Forum 2019 ในหัวข้อ ‘ภาพใหม่การศึกษาไทย เพื่อการสร้างเสริมสมรรถนะเด็กไทย’ ณ หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา 

พวกเขาทั้งห้าคน ช่วยกันแกว่งน้ำในบ่อของการศึกษาไทยให้ตกตะกอนความคิด โดยอาศัยประสบการณ์จริงและสิ่งที่พวกเขาพบเจอเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางระบบการศึกษาที่ใครๆ ต่างก็ป้ายสีใส่ว่ากำลังมีปัญหาและไม่ตอบโจทย์ผู้เรียน

เรื่องราวของทั้ง 5 นี้ อาจเป็นแรงบันดาลใจก้อนใหญ่ เป็นฟันเฟืองเล็กๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนพัฒนา หาจุดร่วม เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการการศึกษาไทย

เราเรียนหนังสือไปทำไม

ขจรเกียรติ เก่งจันทร์วรกุล ศิษย์เก่าจากโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม

เขาเคยตั้งคำถามว่า “เรียนไปแล้วได้อะไร”

วันนี้ ‘ตี๋’ ขจรเกียรติ เข้าสู่บทบาทนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิทยาการการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากได้ใช้ทักษะกับสิ่งที่เรียนมาผสมผสานกับโลกความเป็นจริง เขาได้เรียนรู้ประสบการณ์นอกห้องเรียนเพิ่มเติมอะไรบ้าง แล้วคำถามที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกถูกคลี่คลายไปบ้างหรือยัง…?

ผมอายุ 18 ปี กำลังอยู่ในวัยเฟรชชี่ ถ้านับตั้งแต่อนุบาลผมอยู่กับการศึกษามา 15 ปีแล้ว เกิดคำถามในสมองของผมขึ้นมาเองตลอดว่า “เราเรียนไปทำไม”

ถ้าการเรียนรู้คือธงที่ใหญ่ที่สุด การศึกษาก็คือเครื่องมือที่ทำให้เราเรียนรู้ได้มากขึ้น ทำให้เรามีทักษะมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ร่างกาย สติปัญญา สังคม หรือการอยู่ร่วมกับคนอื่น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่การศึกษามอบให้เราโดยไม่รู้ตัว นั่นคือ ประสบการณ์ 

วันนี้ผมจะมาแชร์ประสบการณ์ของผมให้ทุกคนฟัง

ช่วงที่ผมอยู่ ม.5 ผมมักได้ยินว่า “เรียนๆ ไปเถอะ เรียนไปเพื่อเอาความรู้เผื่อไว้ใช้ในอนาคต อีกอย่างโรงเรียนก็เหมือนสังคมจำลอง ที่จำลองชีวิตการทำงาน เพราะครูมักพูดว่าเราทุกคนเรียนไปเพื่อทำงาน’

ผมอยากรู้ว่าสิ่งที่ครูพูดมันจริงไหม เลยไปลองสมัครทำงานร้านฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่ง

ผมไม่เคยเจอปัญหาเพื่อนร่วมงานไม่ดี ตอนเช้าเดินเข้าห้างเพื่อไปเปิดร้าน ถูพื้น เก็บของ จัดโต๊ะ จนกระทั่งรับลูกค้ารับออร์เดอร์ บางครั้งลูกค้าก็เป็นต่างชาติ ช่วงเวลา 4-5 เดือนที่ผมลองทำงาน ผมค้นพบสองอย่าง คือ 

หนึ่ง-ผมประยุกต์ใช้ความรู้จากโรงเรียนโดยที่ไม่รู้ตัว เช่น เราใช้ทักษะได้ภาษาจากการรับออร์เดอร์ ได้ใช้ทักษะด้านคณิตศาสตร์ผ่านการทอนเงิน ทักษะการจัดวางเมื่อต้องเสิร์ฟอาหาร ทำให้รู้ว่าการไปเรียนที่โรงเรียนก็ไม่ได้แย่

สอง-ผมค้นพบว่าผมไม่ได้ชอบงานที่ตัวเองทำเลย 

ซึ่งถ้าการศึกษายังไม่ทำให้เด็กค้นพบตัวเองได้ เด็กไม่รู้ว่าชอบอะไร อยากทำอะไร จนเด็กเรียนจบออกไป อนาคตของเด็กคนนั้นก็คง…(อืม) เพราะขนาดผมทดลองทำงานแค่ 5 เดือน ยังรู้สึกเบื่อเลย

นอกจากนั้นผมเคยทำทดลองทำโปรเจ็คท์หนึ่ง ที่ช่วยค้นหาเครื่องมือทางการศึกษา ทำให้ผมรู้ว่าการเป็นกระทรวงศึกษาฯ นี่โคตรยากเลย กว่าจะหาเครื่องมือมาวัดประเมินเด็ก และมันคงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งหาตัวเองเจอ 

“เมื่อก่อนผมก็เป็นคนหนึ่งที่โทษปัญหาต่างๆ ให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงฯ แต่ถ้าการศึกษามันมีไว้สำหรับทุกคน แสดงว่าทุกคนต้องช่วยการศึกษาเหมือนกัน”

สิ่งที่ผมอยากจะขอคือ ให้ทุกคนรับฟังเสียงของทุกๆ คน เพื่อนำไปแก้ไข พ่อแม่เองก็ควรเปิดกว้างให้เด็กได้ลอง-ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ ครูเองก็ควรจะทำให้ห้องเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย และเด็กทุกคนควรจะกล้าทำกล้าคิดกล้าลอง อย่างน้อยๆ เราจะได้รู้ว่าตัวเองชอบอะไรหรือทำอะไรไม่ได้บ้าง

เพราะ ‘โชค’ ชอบผู้กล้า

เป็นกำลังใจให้ทุกคนในระบบการศึกษา

พ่อแม่ต้องผิดพลาดให้ลูกเห็น

มิรา ชัยมหาวงศ์ ตัวแทนพ่อแม่

‘แม่บี’ มิรา ชัยมหาวงศ์ คุณแม่ผู้ทำ Homeschool

เมื่อประมาณ 20 ปีก่อนแม่บีเคยทำงานการศึกษา มีโอกาสได้เข้าไปร่วมในเวทีปฏิรูปการศึกษาหลายเวที จากนั้นออกมาสร้างครอบครัว และไม่นานมานี้ก็ได้กลับเข้าไปในวงการปฏิรูปการศึกษาอีกครั้ง ก่อนจะพบว่า “เขายังคุยกันเรื่องเดิม” ทำให้แม่บีเกิดคำถามว่า ‘20 ปี ทันไหม’ 

อย่างที่รู้กัน เมื่อโลกเปลี่ยนไปทุกอย่างก็เปลี่ยน แม่บีจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปี 20 ปีพอไหมที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษา ตอนนี้ลูกแม่บีอายุ 9 ขวบ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยจนเขาอายุ 29 ปี เลยหรือเปล่ากว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลง

อีกอย่างเราเป็นแม่ธรรมดาๆ ไม่ได้มีเสียงหรือมีอำนาจที่จะเอื้อมถึงผู้ใหญ่ในกระทรวง

แต่สิ่งเดียวที่แม่บีเอื้อมถึงคือลูก 2 คน

แม่บีจึงตัดสินใจทำ Homeschool แม่บีเริ่มต้นด้วยการเขียนแผนทำ Homeschool ขึ้นมา โดยตั้งไว้ว่าจะใช้กับลูกทั้ง 2 คน ปรากฏว่าเด็กทั้งสอง ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ทั้งที่เกิดจากแม่เดียวกัน พ่อเดียวกัน ลูกคนโตเวลาเขาร้องไห้ แม่บีจะร้องเพลงให้เขาฟัง แล้วเขาก็จะเงียบ ส่วนลูกคนที่สองเขาเลือกที่จะเอามือมาปิดปากเรา แผนของแม่บีจึงใช้ไม่ได้กับลูกสองคน

ลูกคนที่สอง ตั้งคำถามกับแม่บีว่า… “เราเข้าป่าแทนเรียนหนังสือได้ไหม”

เราจึงตอบคำถามเขาด้วยการทดลองเป็นการจัดทริป 1 ปี โดยมีครูเกรียง (อ.เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์) พาเด็กๆ 15 คน พร้อมพ่อแม่เข้าป่า เพื่อไปเรียนรู้เรื่องราวจากป่า

แม่บีพบว่า ป่าในประเทศเรามีความหลากหลาย ในป่าดงดิบเราอาจจะเจอสิ่งมีชีวิตมากกว่า 2 ล้านชนิด

ครูเกรียงไม่ได้พาเราเข้าป่าเพื่อไปดูว่ามีต้นไม้อะไรบ้าง แต่เราไปเพื่อเรียนรู้ว่าความหลากหลายของป่าบอกอะไรบ้าง

แม่บียังจำวันที่เราเข้าป่าที่น้ำหนาว เราเดินไปพบกองอึช้างที่มีถุงพลาสติกปะปน จากการที่ช้างกินเข้าไป แล้วมีเด็กคนหนึ่งน้ำตาคลอแล้วถามว่า ช้างจะตายไหม? นับจากวันนั้นเราไม่ต้องสอนเขาอีกเลยว่าต้องเก็บขยะออกจากป่า เด็กได้จิตสำนึก รู้ว่ามนุษย์คนหนึ่งจะสร้างผลกระทบอะไรต่อธรรมชาติบ้าง 

บางทีการเดินป่า 1 ปี มันก็คุ้มเหมือนกัน แม้เราอาจไม่ได้จำชื่อต้นไม้ได้

เวลาเราไปเจออะไรแบบนี้ทำให้เราตั้งคำถามว่า การเรียนรู้คือกลุ่มสาระ 8 วิชา (ของกระทรวงศึกษาธิการ) หรือเปล่า

ในขณะที่มนุษย์มีความสามารถหลากหลายที่ควรได้รับการให้คุณค่าในระดับที่ไม่น้อยหน้ากัน มนุษย์ไม่ได้มีปัญญาอยู่ที่สมองซีกซ้ายเพียงอย่างเดียว เรามีปัญญาอีกมากมายที่เราลืมให้ความสำคัญ คนที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว มี sensing ที่ดี มีสัญชาตญาณที่ตื่นตัว มีความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เดินเข้าไปในป่า รู้ว่ามีอะไรกินได้ กินไม่ได้ จะหาน้ำผึ้งได้จากที่ไหน นี่คือการเรียนรู้ไหม?

พอมีระบบการศึกษา เราเอาเขาเข้ามาในระบบเรียน 8 วิชา เขาไม่สามารถเรียนได้

มันยากไปไหมที่เอาคนที่มีปัญญาทั้งร่างกายมาเรียนด้วยสมองแค่ครึ่งเดียว 

ระบบการศึกษา กำลังลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์

ทีนี้คำถามถัดไป ถามว่าแม่บีสอนลูก 2 คน อย่างไร 

ถ้าให้ลองคำนวณตัวเลขนี้ 18×5 =? คุณจะใช้วิธีไหน แม่บีสารภาพตามตรง คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่แม่บีไม่ชอบที่สุด 

โชคดีที่เพื่อนส่งคลิป TED Talk ของคุณโจ โบเลอร์ (Jo Boiler) มาให้ฟัง เขาทำวิจัยเรื่อง การสอนคณิตศาสตร์กับ mindset คุณโจได้ทำการทดลองเล็กๆ โดยให้นักศึกษาไปถามคำถามนี้กับคนในมหาวิทยาลัย ปรากฏว่าได้วิธีคิดมาเกือบ 20 วิธี 

ดังนั้นการหาคำตอบหนึ่ง หรือการไปสู่คำตอบหนึ่ง จึงมีได้หลากหลายวิธี สิ่งที่แม่บีได้จากการฟังคลิปของคุณโจ มี 2 ข้อ คือ

หนึ่ง-คณิตศาสตร์คือการแก้ปัญหา เราไม่สอนการแก้ปัญหา เราเอาปัญหามาให้เขา แล้วให้เขาหาทางแก้ปัญหา แล้วคุยกันว่าเขาคิดอย่างไร เราคิดอย่างไร หัวใจของคณิตศาสตร์อย่างหนึ่งคือการแก้ปัญหา ไม่ใช่ฟอร์ม (form) ซึ่งหมายถึง ตัวเลข จำนวน หรือการบวกลบคูณหาร แต่เรามักจะสอนฟอร์มให้เด็ก ไม่ได้สอนแก้ปัญหาแบบจริงจัง 

สอง-Mistake Grows your Brain

คุณโจ โบเลอร์ ยังเล่าถึงการทดลองที่ทำโดยการแสกนสมองของคนที่กำลังเรียนคณิตศาสตร์ คุณโจเล่าว่า การสอนด้วยวิธีที่ถูกต้อง สมองจะเชื่อมต่อวงจรแค่ไม่กี่วงจร แต่เมื่อเวลาที่ทำผิด สมองจะทำงานอย่างหนักในการหาว่าจะได้คำตอบที่ถูกมาได้อย่างไร มันจะไปพยายามคิดหาวิธี พยายามประมวลผล ในสมองจะทำงานอย่างหนัก ซึ่งการเปิดโอกาสให้กับความผิดพลาดนี้ จะช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงาน และเปิดโอกาสให้เติบโต

แล้วพ่อแม่ผิดพลาดได้ไหม?

อะไรเป็นหัวใจที่แม่บีค้นพบจากการเป็นแม่ full time มา 9 ปี และจัดการศึกษาให้ลูกเองมา 4 ปี 

แม่บีพบว่าเป็น “การเปิดพื้นที่ให้ความผิดพลาด” และบางครั้งเปิดโอกาสให้ความล้มเหลว ทั้งเราและลูก เราผิดพลาดแล้วเราหาทางใหม่ด้วยกัน 

แม่บีเผลอดุลูกเกินความผิดของเขาอยู่บ่อยๆ เราก็ขอโทษบ่อยๆ

ลูกสาวคนโตของแม่บีเป็นเด็กที่ชอบดนตรี เป็นศิลปินมีอารมณ์อ่อนไหว ตั้งแต่เล็กๆ เขาฟังเสียงเพลงเศร้าๆ เขาก็ร้องไห้ เขาชอบดนตรี ขอเรียนดนตรี แต่วันหนึ่งเขามาขอไปแข่งดนตรี เราสองคน (แม่บีและสามี) คิดแล้วคิดอีก คิดกันหลายตลบว่าการแข่งในช่วงวัย 8 ขวบ จำเป็นกับลูกแล้วหรือยัง การออกจากความสบาย ซ้อมสบายๆ ไปซ้อมหนักๆ เพื่อแข่ง หรือไปเผชิญความกดดัน มันเป็นสิ่งที่ลูกจะรับได้ไหม และสิ่งที่ลึกๆ เรากลัวมากที่สุดในใจของเราคือ ถ้าลูกแพ้ล่ะ เรากลัวว่าลูกจะยอมรับความผิดหวังจากการพ่ายแพ้ไม่ได้

เขาวนเวียนมาขอแข่งหลายครั้ง จนสุดท้ายเราก็ยอมให้เขาไปแข่ง แน่นอนเขาซ้อมหนัก และพยายามอย่างมาก สัปดาห์ก่อนไปแข่ง เขาซ้อมถึง 8 ชั่วโมง เพื่อไปเล่น 1 นาที บนเวที จนวันก่อนไปแข่งเขาซ้อมแล้วมีท่อนที่เล่นกี่ครั้งก็ผิด และเขาข้ามมันไปไม่ได้

ความกดดันจากการแข่งขัน ความไม่อยากแพ้ ไม่อยากผิด ทำให้เขาระเบิดน้ำตาออกมา แม่บีนั่งฟังเขาร้องไห้ ไม่รู้จะพูดอะไรดี วันนั้นเราคุยเรื่องการทดลอง และความผิดพลาด ช่วงที่ลูกไปแข่งเป็นช่วงเดียวกับที่แม่บีกำลังเสนอโครงการที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เวลาที่แม่บีไปเสนองานแล้วต้องกลับมาแก้เอกสารหน้าคอมพิวเตอร์ บางครั้งทำงานดึกๆ ไม่ได้ไปส่งเขาเข้านอน เขาจะมาถามว่า แม่ทำอะไร แม่บีก็จะเล่าให้เขาฟัง 

เป็นเวลาปีกว่าที่แม่บีไปเสนองานแล้วไม่มีแหล่งทุนตอบรับ ต้องกลับมาแก้ไขโครงการ แล้วเสนอใหม่ เขาก็จะมาถามว่าทำไมยังไม่ได้อีก งานแม่ยังไม่ดีเหรอ ทำไมไม่เลิกทำแล้วมาเลี้ยงหนูอย่างเดียว แม่บีบอกเขาว่าจริงๆ บางครั้งก็ท้อแท้ และอยากจะเลิก แต่แม่บีมีความเชื่อและความฝัน พอนึกถึงความฝัน ความผิดพลาดมันเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว มันเป็นการเรียนรู้ ที่สำคัญคือแม่ยังไม่ยอมแพ้ แม่ยังทำมันต่อไป ถ้าเรายังไม่ได้รับการตอบรับวันนี้ วันหนึ่งเราก็จะได้เอง เราแบ่งปันเรื่องนี้กันในวันนั้น 

ระหว่างที่พูดไปแม่บีไม่มั่นใจว่าควรพูดเรื่องความผิดพลาดของตัวเองให้ลูกฟังไหม

เขามองหน้าด้วยคำถามในใจ แม่บีรู้ว่าเขาไม่เข้าใจ แต่เขาก็เช็ดน้ำตาแล้วหันไปซ้อมต่อ แม่บีก็นั่งอยู่ข้างๆ เขาต่อไป

วันไปแข่งวันนั้นเขาไม่ชนะค่ะ เขาทำไม่ได้ตามเป้าที่ตัวเองตั้งไว้ เขาเล่นพลาด แน่นอนว่าเขาเสียใจมาก เขาร้องไห้ เราก็ปลอบใจ ตอนที่เขาร้องไห้ที่ตัก แม่บีพบว่า โห โชคดีจังที่เขาได้เรียนรู้ความล้มเหลวในวันที่ยังมีแม่ เรายังมีโอกาสได้กอดและปลอบใจเขา ได้ฟัง และได้อยู่ข้างๆ กัน แม้จะเป็นการแข่งเล็กๆ แต่มันยิ่งใหญ่มากสำหรับเขา

เขาร้องไห้จนพอใจ ร้องเสร็จก็ปาดน้ำตา แล้วบอกว่า “ปีหน้าหนูขอแข่งอีกได้ไหม” แม่บีงงเล็กๆ เพราะมันไม่ใช่นิสัยปกติของลูก แม่บีถามเขาว่า “แล้วถ้าแพ้อีกหนูจะไม่เสียใจเหรอ” เขาตอบว่า ถ้าหนูแพ้ หนูก็จะซ้อมมากขึ้น แล้วมาแข่งอีก หนูไม่ยอมแพ้ แต่ถ้าหนูเสียใจ แม่จะอยู่ข้างๆ หนูได้ไหม

สิ่งที่เขาได้รับจากการเอาตัวเองออกจากความสบายไปทำเรื่องที่ยากและท้าทาย อาจจะไม่ใช่การชนะ แต่แม่บีว่าวันนั้น เขาได้ข้ามเส้นความเป็นไปไม่ได้ของตัวเอง เขาไม่ใช่เด็กที่มีความสามารถพิเศษติดตัวมา แต่เขาพยายามสร้างมันขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยด้วยตัวของเขา

“แม่บีมองว่าการแบ่งปันความผิดพลาดกับลูกเป็นเรื่องที่จำเป็นเหมือนกัน เด็กเขาจะทำตามเรา ถ้าพ่อแม่ล้มเป็น พลาดเป็น และไม่กลัวที่จะทำสิ่งใหม่ๆ ลูกก็จะเรียนรู้ไปกับเรา”

แค่โรงเรียนอย่างเดียวพอไหม?

แม่บีขอเล่าเรื่องลูกชายอายุ 4 ขวบบ้าง เขาสนใจเรื่องปลากัด เราพาเขาหาข้อมูล และพาไปหาที่เรียนรู้ แน่นอนพอเด็กสนใจอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง เราไม่สามารถไปที่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยแล้วถามว่าช่วยสอนเรื่องนี้ได้ไหม เป็นหน้าที่พ่อแม่ที่พาเขาไป เราพาเขาไปพิพิธภัณฑ์ แต่ไม่มีปลากัดให้ดู เราเลยลอง search google แล้วไปเจอคุณลุงคนหนึ่งชื่อลุงอ๋าเปิดอู่ซ่อมรถ และเป็นเซียนปลากัด

พอดีบ้านคุณลุงอยู่ไม่ไกลจากที่ที่เราอยู่ ก็เลยขับรถพาเขาไป ไปถึงคุณลุงกำลังล้างโหล และเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดอยู่ เด็กๆ ก็เลยเข้าไปช่วย ระหว่างช่วยล้างไป ก็คุยกันไป คุณลุงเล่าเทคนิคมากมาย รวมถึงประวัติความเป็นมาของคุณลุง คุณลุงเล่าว่า ที่ผสมสีให้ปลากัดได้มากมายเพราะเป็นช่างซ่อมสีรถ รู้หมดว่าผสมสีอะไรอย่างไร แล้วก็เอาความรู้นั้นมาทดลองกับปลากัด จนได้สีทอง และยังเพาะจนได้สีแบบปลาคาร์ฟ หรือปลาโค่ย 

เด็กๆ ฟังไปถามไปอย่างสนุกสนาน ฟังเรื่องคุณลุงไป ล้างโหลไป เปลี่ยนน้ำ เอาใบหูกวางใส่ ทำกันอย่างเพลิดเพลินเป็นชั่วโมง เราซื้อปลากัดราคาเบาๆ ของคุณลุงไปลองเลี้ยงสองตัว เพราะสู้ราคาไม่ไหว กำลังจะก้าวขาออกจากประตู คุณลุงบอกว่าเดี๋ยวก่อนๆ แล้วเดินไปช้อนปลากัดสีทองในตู้ ส่งให้เด็กน้อยวัย 4 ขวบ บอกว่าให้เอาไปลองเลี้ยงดู ลุงบอกว่าอย่าทำมันตายล่ะ 

ผ่านไปสองปี ตอนนี้ปลากัดตายไปแล้วค่ะ แต่สิ่งที่ไม่ตายคือแรงบันดาลใจและ passion ที่ลุงมอบให้ลูกชายแม่บี

แม่บีคิดว่าไม่ได้มีคนอย่างลุงอ๋าปลากัด หรือครูเกรียงเพียงแค่คนเดียว แต่ถ้าเราให้คุณค่ากับคนเหล่านี้เพิ่มขึ้น การเรียนรู้มันก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเรียน

แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าการเรียนรู้ไม่ใช่ภาระของครู โรงเรียน กระทรวงหรือระบบการศึกษา เราอาจจะปฏิรูปไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เราต้อง transform กับมัน ทุกคนมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการศึกษาได้

โลกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราจะรอพึ่งโรงเรียนอย่างเดียว คงไม่ทัน 

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการแม่บีชื่อ Flock แม่บีเชื่อว่ามีคนที่มีคุณค่าอย่างครูเกรียง ลุงอ๋าเลี้ยงปลากัดมากมาย เราควรออกจากกรอบ อย่ามองว่ามันเป็นภาระของโรงเรียนเพียงอย่างเดียว 

ของขวัญจากคุณครู

‘ครูมิ้น’ สุรัสวดี นาคะวะรัง ครูแนะแนว โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๒

เชื่อว่าในชีวิตของคุณครูแต่ละคน ได้พบเจอกับนักเรียนมากมายหลากหลาย ถ้าลองนับเป็นเลขกลมๆ ครูน่าจะเจอเด็กนักเรียนมาแล้วนับหลักพันแตกต่างกันไป

มิ้นเองก็เช่นกัน เราเจอนักเรียนมากมายหลากหลาย เชื่ออย่างหนึ่งว่าการที่ครูได้พบเจอเด็กสักคน ครูต้องให้อะไรบางอย่างแก่เด็กคนนั้น ไม่ว่าความรู้หรือการอบรมสั่งสอนให้เขากลายเป็นเด็กที่ดี

วันนี้จะอยากพาทุกคนมารับฟังเรื่องราวของเด็กคนหนึ่ง เป็นเด็กผู้หญิงมีพฤติกรรมชอบส่งงานช้า งานที่ส่งไม่ค่อยมีคุณภาพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยตั้งใจเรียน ชอบคุยเล่นกับเพื่อนบ้าง มีความเสี่ยงที่เขาอาจจะเรียนไม่ผ่านวิชานี้ เพราะเขาส่งงานที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ในความคิดของคุณครูทุกท่าน เด็กคนนี้เป็นยังไงบ้าง

อาจจะรู้สึกว่าเธอขี้เกียจจังเลย เธอไม่น่ารักจังเลย หรืออาจจะมองเขาว่าเขาไม่มีความรับผิดชอบ

หลายท่านก็น่าจะคิดแบบนี้ แต่มีคุณครูอยู่ท่านหนึ่งที่ไม่ได้คิดแบบนั้น เขาคิดว่าน่าจะลองเข้าไปคุยสอบถามกับเด็กคนนี้ดูก่อน จนได้คำตอบว่าเด็กคนนี้รู้สึกแย่ รู้สึกอายทุกครั้งที่เขาทำงานที่ครูมอบหมายให้ออกมาไม่ดี กลัวคุณครูมองว่าตัวเขา เป็นเด็กที่ไม่ฉลาด ไม่เก่ง แม้เขาจะคิดแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อกับงานที่ครูสั่งมา ทำอย่างไรให้งานออกมาดีที่สุดแล้วก็ตาม

มัวแต่คิดๆ แล้วก็คิดๆ จนหมดเวลาและไม่ได้ส่งงาน ก็ต้องเร่งทำให้เสร็จ ทำให้งานไม่มีคุณภาพ สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีแต่ความเครียด ความกดดัน ความคาดหวังในตัวเอง อยากเป็นเด็กที่ทำให้ครูประทับใจ

พอครูรู้เช่นนี้ ครูคิดแล้วว่าเด็กคนนี้ต้องการความช่วยเหลือ ครูจึงปลุกปั้นพลัง ให้กำลังใจ และพูดเพียงประโยคเดียวว่า ครูเชื่อว่าเราทำได้ จากเด็กที่ดูจะเรียนไม่จบพร้อมเพื่อน ดูทำงานไม่ทัน สุดท้ายเขาก็เรียนผ่านมาได้ แถมยังจบไปพร้อมกันกับเพื่อนอีกด้วย

มันก็เลยทำให้มิ้นคิดอย่างหนึ่งว่า สิ่งเหล่านี้มันเหมือนของขวัญที่ครูให้กับนักเรียน ทำให้เด็กที่คิดว่าชีวิตเขามีแต่ความมืด ถูกตัดสินว่าเป็นเด็กที่ไม่ดี เพียงแค่ครูคนหนึ่งเชื่อมั่นในตัวเขา มันช่วยปลุกปั้นแสงสว่างในตัวเขาขึ้นมา

ถ้าคิดในทางกลับกัน เด็กคนนี้ไม่ได้เจอกับครูคนนี้ ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร?

มิ้นคิดว่าเด็กคนนั้นคงรู้สึกไร้ค่า รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป

ทุกคนอาจจะคิดว่ามิ้นเป็นครูคนนั้นใช่ไหมหรือเปล่า – แต่ไม่ใช่ มิ้นเป็นนักเรียนคนนั้น

มิ้นเคยเป็นนักเรียนที่ล้มเหลวเคยถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ เป็นนักเรียนที่ดูไม่ตั้งใจเรียน แต่เพราะของขวัญที่ครูท่านนั้นยื่นมาให้ ทำให้มิ้นรู้ว่าเรายังมีคุณค่าอะไรบางอย่างอยู่

ของขวัญชิ้นนี้ทำให้เราเรียนรู้ความผิดพลาดของเรา และทำให้มิ้นรู้ว่าถ้ามิ้นไปสอนเด็กคนไหนก็ตาม ไม่ว่าเขาจะเรียนเก่ง/ไม่เก่ง เป็นเด็กดี/ไม่ดี ในสายตาของใคร สิ่งที่มิ้นจะทำกับเขา คือการหยิบยื่นโอกาสมองเห็นแสงสว่างในตาของเขา และเชื่อมั่นในตัวเขา

“เพราะกว่าเด็กหนึ่งคนจะเติบโตขึ้นมา ไม่มีใครหรอกค่ะที่ไม่เคยผิดพลาด ทุกคนล้วนผ่านการผิดพลาดมาแล้ว แต่จะมีครูสักกี่คนที่ให้โอกาสกับความผิดพลาดของเด็กๆ”

“มันเป็นเรื่องน่ากลัว ที่เด็กๆ ในโรงเรียนกลัวที่จะผิด กลัวที่จะพลาด เขาอยากเป็นที่หนึ่ง แม้ในโรงเรียนจะมีความหลากหลายมากมาย แต่มีเพียงสองเครื่องหมายเท่านั้นคือถูกกับผิด ซึ่งมันไปปิดกั้นความอยากเรียนรู้ของนักเรียน”

อยากชวนทุกๆ คน ส่งมอบของขวัญให้กับเด็กๆ ทุกคน 

ให้พวกเขาได้รับโอกาส

ให้พวกเขาได้รับแสงสว่างในตัวเอง

ย้อนกลับมาในห้องเรียน ครูหลายๆ ท่านอาจจะตั้งคำถามว่าก็ไม่ได้สอนวิชาแนะแนว ไม่ได้สอนวิชาเสรี จะไปทำอะไรได้ มันไม่ได้ง่ายแบบที่ครูมิ้นทำ 

แต่จะบอกคุณครูทุกๆ กลุ่มสาระทุกท่านว่า ครูทุกคนมีความสำคัญกับเด็กๆ มาก ทุกท่านมีหน้าที่ให้ความรู้แก่เด็กๆ แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ครูทุกท่านช่วยพาเด็กค้นหาตัวเองผ่านวิชาที่ครูสอนได้ บางครั้งเด็กไม่จำเป็นต้องเก่งในวิชาของครู แต่ครูก็อาจจะช่วยให้เขาเข้าใจว่า แม้วิชานี้เด็กไม่ถนัด แต่เขายังมีวิชาอื่นที่เขามีความถนัดอยู่

แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพราะว่าประเทศของเรายังมีเกณฑ์ที่วัดเด็กแบบเดียว ทั้งๆ ที่เด็กไทยมีความหลากหลายเกินกว่าจะเอาเกณฑ์เพียงเกณฑ์เดียวมาวัดและตัดสิน ซึ่งมันจะดีมากๆ ถ้าเด็กทุกคนได้รับการยอมรับจากความสามารถของเขาที่หลากหลาย ไม่ใช่การถูกตัดสินของคุณครูว่าเขาเก่งหรือไม่เก่งอะไร

มิ้นเชื่อว่าตอนนี้มีครูหลายๆ ท่านที่กำลังส่งมอบของขวัญให้กับเด็กๆ อยู่

มิ้นอยากจะขอบคุณคุณครูทุกท่านที่กำลังทำหน้าที่นี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะมอบของขวัญเหล่านี้ท่ามกลางความสิ้นหวัง ความเหนื่อยยาก และสายตาที่คนอื่นๆ มองมา แต่เชื่อเถอะว่าของขวัญที่ครูทุกคนมอบให้กับนักเรียนเราไม่ได้มอบให้กับตัวเขาแค่คนเดียว แต่เขาเองจะเป็นของขวัญให้กับสังคมของเราอีกต่อไป และเขาเองจะทำหน้าที่ส่งมอบของขวัญให้กับคนอื่นอีกมากมาย เหมือนที่มิ้นได้รับของขวัญจากคุณครูคนนั้น

อาตมาผู้สอนวิชาพลังงานทดแทน

พระครูวิมลปัญญาคุณ ผู้ก่อตั้ง โรงเรียนศรีแสงธรรม หรือ โรงเรียนเสียดายแดด

อาตมามาในนามของโรงเรียนเสียดายแดด ได้นำเรื่องของโซลาร์เซลล์มาบูรณาการในชั้นเรียน วิชาที่อาตมาสอนคือพลังงานทดแทนหรือโซลาร์เซลล์และจัดเข้าไปในหลักสูตร โดยอาตมาเขียนตำราเป็นวิชาเพิ่มเติมเข้าไป 

ย้อนไปปี 2553 ตอนที่อาตมาเปิดโรงเรียนแรกๆ ท่ามกลางกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เขาหาว่าเราเป็นโรงเรียนเถื่อน เป็นพระที่ไม่มีความรู้แล้วจะมาจัดการศึกษาอย่างไร ไม่มีใครอยากเข้ามาเรียน

ช่วงแรกมีเด็ก 96 คน ระดับชั้น ม.1 – ม.4 แต่เมื่อสอนๆ ไป ปีถัดมาเด็กก็เข้ามาเรียนเพิ่มขึ้น แต่อาตมาไม่มีพื้นที่เรียน ต้องมาปั้นบ้านดินเพื่อสร้างอาคารเพิ่มเติม เพราะไม่มีใครให้การสนับสนุน 

เมื่อเปิดสอนจริงจังอาตมาก็คิดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ก็เลยไปเปิดข้อมูลอ่านว่า การจะพัฒนากำลังคนในประเทศชาติต้องทำอย่างไร และดึงปัญหาออกมาช่วยชาติได้อย่างไร จึงพบข้อมูลมากมาย ทั้งเรื่องความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ปัญหายาเสพติด ท้องก่อนวัย คุณภาพการศึกษาตกต่ำ ขาดศีลธรรม ดังนั้นถ้าเราคิดจะทำโรงเรียนทั้งที ก็น่าจะไปตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ได้ จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้อาตมาทำมาตลอด 8 ปี ไม่เคยหยุด

ปัญหาที่อาตมาพบคือ วัยแรงงานเริ่มไม่ค่อยมีทักษะและฝืมือในการทำงาน ด้วยความที่อาตมาเป็นช่าง เป็นนักประดิษฐ์ ก็เลยไปขอแผ่นโซลาร์เซลล์ที่แตก ชำรุดแล้วมาใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน สำหรับสอนวิชาต่อวงจรไฟฟ้าให้นักเรียน โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ  

รวมถึงอาตมาก็สอนทฤษฎีต่างๆ ไปด้วย เช่น สอนเรื่องกฏของโอห์ม เรื่องการหาความเอียง ความชัน ทำให้เด็กเห็นว่าถ้าทำแบบนี้ เสาข้างหน้าสูง 1 มือ เอียง 15 องศา เสาข้างหลังจะเอียงเท่าไร ประยุกต์ความรู้ไป

ให้เด็กรู้สึกว่าเรียนแล้วได้ใช้งานจริง

กระทั่งมีคนมาศึกษาดูงานที่โรงเรียนแล้วบอกว่า 

‘โรงเรียนศรีแสงธรรมมีลักษณะเป็น STEM โดยธรรมชาติ’ อาตมาก็ไม่รู้ว่า STEM คืออะไร อาตมาก็แค่พาเด็กทำ พาเด็กสร้างนวัตกรรม ทำโซลาร์เซลล์ และจำลองระบบโซลาร์เซลล์ ทำทุกอย่างไว้ในโรงเรียน ทุกอาคารในโรงเรียนจะมีการติดตั้งแผ่นโซลาร์เซลล์ทั้งหมด 

ถ้ามองการแก้ปัญหาระดับชาติ ระดับชุมชน ผู้ปกครองบางคนเองก็ยังไม่อยากให้เด็กมาเรียน แต่อาตมาบอกเลยว่าถ้าไม่อยากมาเรียนที่นี่ก็อย่ามา เพราะที่นี่มีที่เพียง 25 ที่ รับเด็กได้เพียง 25 คนเท่านั้น ถ้าจะเข้ามาเรียนต้องตอบอาตมาให้ได้ก่อนว่าอยากจะเรียนคณะอะไร 

รวมถึงปัญหาการไม่มีเงินอุดหนุนมาก เงินอุดหนุนให้มาปีละ 3 แสน แต่อาตมาต้องจ่ายเดือนละ 3.2 แสน ถ้าไม่มีผ้าป่า โรงเรียนนี้ติดลบไปนานแล้ว เพราะเงินอุดหนุนกับงบมันไม่ไปด้วยกัน เราอยู่ได้ด้วยเงินบริจาค แต่ถ้ารอแต่คนมาบริจาค แล้วอาตมาตายไป ใครจะมาบริจาค

จึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้ยั่งยืน อาตมาจึงให้เด็กๆ ออกไปทำงาน รับงานติดตั้งโซลาร์เซลล์ตามสถานที่ต่างๆ

เพราะเด็กที่มาเรียนกับอาตมาอยู่ฟรี กินฟรี มีรถรับส่งฟรีอยู่แล้ว ดังนั้นต้องออกไปทำงานช่วงปิดเทอม หรือไม่ก็ช่วงเสาร์อาทิตย์ จะได้มีเงินซื้ออาหารกลางวัน แม้ปกติก็ทำนาอยู่ แต่ก็ไม่เพียงพอเพราะเราก็ต้องซื้อหมูซื้อไก่กิน

โดยที่เด็ก ม.1-3 อาตมาจะให้เขาเป็นผู้ช่วยอบรม ส่วนพี่ๆ ม.4-5 ก็จะออกทำงานติดตั้ง เคยไปทำไกลสุดที่ภูเก็ต กรุงเทพฯ ก็เคยไป ส่วนสถานที่สาธารณะก็เคยไปติดให้ เช่น โรงพยาบาลต่างๆ 

มีคนมาถามว่าอาตมาอยากทำอะไรให้ประเทศอีก อาตมาอยากติดแผงโซลาร์เซลล์ให้โรงพยาบาลรัฐ 800 แห่ง ทั่วประเทศโดยใช้งบประมาณติดตั้งอยู่ที่ประมาณ 4,320 ล้าน แต่จะช่วยลดค่าไฟของรัฐได้ 28,800 ล้าน แต่เป็นเรื่องที่กำลังดำเนินงาน ไม่รู้ว่าจะอย่างไร

ส่วนผลการศึกษา โรงเรียนศรีแสงธรรมมีเด็กจบออกไปแล้ว 6 รุ่น สอบติดมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 100 เปอร์เซ็นต์ ติดเยอะหน่อยในคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพราะในโรงเรียนอาตมาคิดว่าเหมือนสอนเตรียมความถนัดทางวิศวะ เรามีการสอน coding เขียนโปรแกรม เขียน AI เรียนการทำฮาร์ดแวร์ เพราะอาตมาเห็นว่าเทคโนโลยีมันไปไกลมากในยุคดิจิทัล ก็เลยพาเด็กเรียนเรื่องพวกนี้ นั่นแปลว่าที่หมู่บ้านดงดิบ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี (ตำบลที่โรงเรียนศรีแสงธรรมตั้งอยู่) จะมีวิศวกรที่เรียนจบพร้อมกัน 5 คน ถือเป็นประวัติศาสตร์ใหม่ของหมู่บ้านนี้ เป็นสิ่งที่อาตมาพอใจแล้ว เพราะอาตมาไม่ได้เรียนหนังสือ และสุดท้ายคือเราสามารถพึ่งพาตัวเองด้านพลังงานได้ ลดค่าไฟได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ค่าไฟในโรงเรียนเหลือ 40 บาท จากเดิม 14,000 บาท

ตอนนี้สิ่งที่ทำอยู่ก็คือการเตรียมพัฒนาเด็กให้เรียนรู้ ทั้งระบบการซื้อขายไฟ ในรูปแบบบ้าน-บ้าน ซื้อขายพลังงานไฟฟ้าผ่านบิตคอยด์ในอนาคต 

ที่ทำทั้งหมดทั้งมวล มีสิ่งที่อยากจะบอกคือ อาตมาทำทุกอย่างด้วยใจ อาตมาไม่ได้เรียนสูงจบแค่ ม.5 จึงอยากให้เด็กที่อยู่ในพื้นที่ได้เรียน โดยที่ไม่ต้องคิดว่าตัวเองมีข้อจำกัดอะไร 

ถ้าถามว่าทำไมถึงยอมขาดทุน เพราะอาตมาไม่เคยหวังว่าอาตมาจะได้อะไรจากเด็กนักเรียน แต่หวังแค่ว่าเด็กนั่นแหละจะได้อะไรจากอาตมา

ความไว้ใจสร้างตัวตน

ชุติกาญจน์ กนกกันทรากร นักเรียนโรงเรียนรุ่งอรุณ

ต้องบอกก่อนว่าแต่ก่อนหนูเป็นเด็กขี้อายมาก ไม่กล้าแสดงออก ถ้าให้ขึ้นมาพูดแบบนี้ ไม่เอาเลย ไม่พูดจนคนคิดว่าเป็นใบ้ไปแล้วก็มี แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเด็กขี้อายแบบหนูพอกลับไปบ้าน หนูจะพูดไม่หยุดเลย หนูจะเล่าทุกเรื่องในแต่ละวันที่หนูไปเจอมาให้พ่อแม่ฟังทุกวันโดยไม่เบื่อ เพราะพ่อแม่จะใส่ใจและเอ็นจอยไปกับทุกเรื่องของหนู ถึงแม้บางเรื่องอาจจะไม่ใช่เรื่องสนุกของพวกเขาก็ตาม

ย้อนกลับไปตอนเด็กๆ พ่อแม่จะพาหนูกับน้องไปเล่นไปทำกิจกรรมใช้เวลาร่วมกัน ซึ่งมันทำให้หนูสนิทและสบายใจ ที่จะเล่าทุกเรื่องให้พ่อแม่ฟัง

จริงๆ มันก็ไม่แปลกนะ ถ้าเด็กคนหนึ่งจะมี 2 บุคลิกเพราะสภาพสังคมรอบข้างเขาต่างกัน สิ่งที่หนูกลัวที่สุด คือความกดดัน ยิ่งถูกดดันจะยิ่งไม่กล้า แต่พ่อแม่หนูแทบจะไม่เคยกดดันหนูเลย มีแต่เชื่อมั่นว่าเมื่อหนูโตขึ้นไป หนูก็จะพูดได้เอง และไม่เคยกังวลว่าหนูจะขี้อายไปตลอดชีวิต เพราะพ่อแม่ไว้ใจและสร้างพื้นที่ให้หนูมาตั้งแต่เด็ก จนหนูเข้าโรงเรียนมัธยม หนูเห็นเพื่อนทำกิจกรรมในโรงเรียนโดยการเป็นพิธีกร หนูเห็นแล้วอยากทำบ้าง เพราะใจจริงอยากพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็น แต่มันติดอยู่กับความขี้อาย ไม่อยากทำเพราะกลัวคนที่เก่งกว่า หนูเป็นมือใหม่หัดพูด แต่ต้องไปพูดต่อหน้านักพูดเก่งๆ มันจะมีความกดดันเป็นธรรมดา 

แต่โรงเรียนหนูเหมือนมีเซนส์อะไรบางอย่างที่รู้ว่าเด็กต้องการอะไร 

การเป็นพิธีกรของหนู เปิดโอกาสโดยครูท่านหนึ่ง ครูแค่ไว้ใจ และเชื่อว่าหนูจะทำออกมาได้ดี ทั้งๆ ที่หนูยังไม่เคยทำผลงานอะไรออกมาให้เขาเห็นเลย 

จากโอกาสครั้งนั้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการฝึกความกล้าแสดงออกของหนู และหนูฝึกมันมาเรื่อยๆ จนได้มายืนอยู่บนเวทีนี้ เพราะครูเชื่อว่าเด็กแต่ละคนมีศักยภาพที่แตกต่างกัน และครูก็นำศักยภาพเหล่านี้มาพัฒนาต่อ

ดังนั้นการสอน จะไม่ได้สอนให้เด็กทุกคนเหมือนกัน แต่จะสนับสนุนสิ่งที่เด็กทำได้ดีมากกว่า

สำหรับหนู ครูเป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง เพราะเวลาหนูมีเรื่องอะไร หนูสามารถคุยกับครูได้ทุกเรื่อง เหมือนพ่อแม่คนที่สอง มันจึงทำให้โรงเรียนกลายเป็นบ้านหลังที่สองเช่นกัน 

เชื่อไหมว่า หนูเป็นเด็กที่อยากไปโรงเรียนทุกวันด้วยความเต็มใจ เพราะอยากรู้ว่าในแต่ละวันโรงเรียนจะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์เราอีก ล่าสุดตอนเปิดเทอม ม.3 มาหนูต้องเจอกับปัญหาที่เด็ก ม.ต้นไม่ควรหนักใจ คือ การสมัครงาน ครูทำเหมือน ม.3 เป็นทีวีช่องหนึ่ง ที่มี 3 รายการ คือ ข่าว สารคดี และนิตยสารทีวี ถ้าใครอยากทำห้องไหน ก็แค่ทำเรซูเม่ส่งให้เหมาะสมตามตำแหน่งที่ตัวเองอยากเข้า 

หนูตื่นเต้นมากว่าเด็ก ม.3 จะผ่านไหม แต่ก็ชอบที่โรงเรียนมีเซอร์ไพรส์ตลอด 

หรือแม้กระทั่งการสั่งงาน ล่าสุดหนูไปอยู่กับชุมชนริมแม่น้ำโขงเป็นเวลา 5 วัน ไปอยู่ในที่ที่ลำบาก เพราะเวลาเราโตขึ้นเราจะได้ไม่บ่นกับมันมาก ไปอยู่กับชาวบ้าน ไปดูว่าวิถีชีวิตเขาเป็นอย่างไร กำลังประสบปัญหาอะไรอยู่ เช่น ชาวบ้านที่ประสบปัญหาหาสัตว์น้ำไม่ได้ ครูจะพาเราคิดต่อว่า เราเป็นส่วนหนึ่งในวงจรปัญหานี้หรือเปล่า จากนั้นก็คิดช่วยแก้ไข โดยการทำออกมาในรูปแบบสื่อสารคดีประชาสัมพันธ์ หนังสั้น หรือทำหนังสือ

หนูจะไม่ได้เรียนอะไรแบบนี้เลย ถ้าโรงเรียนไม่ให้อิสระและความไว้วางใจ ให้ลงมือทำงานด้วยตัวเอง

นอกจากนั้นหนูมีโอกาสไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศฟินแลนด์ ที่ขึ้นชื่อว่ามีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก 

หนูพบว่ามันมีสิ่งแปลกใหม่ที่ต่างจากประเทศไทยและน่าสนใจ เช่น เวลาเปลี่ยนคาบเรียนจะใช้วิธีเดินเรียน ย้ายไปเรียนตามแต่ละวิชา โดยมีครูประจำวิชาอยู่แต่ละห้อง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ห้องเรียนมีความพร้อมในด้านอุปกรณ์การเรียนต่างๆ บวกกับจำนวนเด็กที่น้อยทำให้ครูดูแลเด็กได้อย่างทั่วถึง รวมถึงการประเมินเด็กที่ลดการเปรียบเทียบระหว่างกัน เพราะจะมีแค่ครู ผู้ปกครอง และตัวเด็กเองเท่านั้นที่รู้ และพื้นที่ทำงานที่ไม่ได้มีแค่โต๊ะและกระดาน เด็กๆ สามารถใช้พื้นที่รอบๆ โรงเรียนคิดงาน นั่งทำงานได้ เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์

นอกจากนั้นโรงเรียนในฟินแลนด์ยังแบ่งเวลาพักกับเวลาเรียนเท่าๆ กัน อีกด้วย เพื่อให้เด็กได้ใช้เวลาว่างไปทำประโยชน์อื่นๆ

แต่เขามั่นใจได้อย่างไร ถึงกล้าและไม่กลัวว่าเด็กจะเอาเวลาว่างเหล่านั้นไปทำอย่างอื่น

ท่านทูตไทยที่ฟินแลนด์ ตอบหนูสั้นๆ เพียงว่า เพราะความไว้ใจ 

ครูไว้ใจเด็ก เพราะแค่ให้ความไว้ใจและอิสระแก่เด็ก จะทำให้เด็กเรียนรู้บางอย่างขึ้นมาด้วยตัวเอง เหมือนที่หนูได้รับความไว้ใจจากพ่อแม่ ครู โรงเรียน 

“หนูไม่รู้ว่าการศึกษาที่ดีที่สุดในโลกคืออะไร แต่สำหรับหนูการศึกษาที่ดี ขอแค่มันดีกับเด็กและทำให้เด็กเป็นคนดีก็พอแล้ว”

อาจจะเริ่มจากการไว้ใจคนใกล้ๆ ตัวก่อน เช่น พ่อแม่หรือครูของหนู เพราะหนูเชื่อว่าความไว้ใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เด็กเติบโตและยิ่งใหญ่กว่าที่ทุกคนคิด

และเชื่อมั่นว่าการศึกษาไม่จำเป็นต้องพึ่งแต่ในโรงเรียนเท่านั้น พ่อแม่ หรือโรงเรียนก็มีส่วนช่วยทำให้เด็กไทยเติบโตมาได้อย่างสมบูรณ์

เอาใจช่วยการศึกษาไทยนะคะ

Tags:

ระบบการศึกษาวัยรุ่นจิตวิทยางานเสวนามิรา ชัยมหาวงศ์TEP Forum

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • How to get along with teenager
    “พื้นที่อิสระและการยอมรับ” เสียงในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากให้พ่อแม่ได้ยิน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

แปลนปูนไม่ไปโรงเรียน: เพราะการเรียนรู้ไม่จำกัดฝัน และไม่มีวันหมดอายุ
Creative learning
12 June 2019

แปลนปูนไม่ไปโรงเรียน: เพราะการเรียนรู้ไม่จำกัดฝัน และไม่มีวันหมดอายุ

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • แปลนคนพี่อายุ 17 กับปูนคนน้องวัย 12 ทั้งคู่ไป ‘โรงเล่นเรียนรู้’ แทนที่จะไปโรงเรียนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ
  • โรงเล่นเรียนรู้ชื่อเดิมคือ พิพิธภัณฑ์เล่นได้ แหล่งรวมของเล่นพื้นบ้านจากผู้เฒ่าผู้แก่ ด้วยเชื่อว่า ของเล่นสร้างการเรียนรู้ได้ และการเล่นทำให้เกิดการค้นพบ
  • จากความสงสัย พัฒนามาเป็นความสนใจและรู้เท่าไหร่ก็ไม่พอ แปลนคนพี่เรียกกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ “ผมชอบและรักการเรียนรู้แบบนี้”​
  • เป็นการเรียนรู้ที่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าโตขึ้นอยากทำอะไร แต่ได้ลงมือทำตั้งแต่วันนี้ อะไรดี ไม่ดี ชอบ ไม่ชอบ จะถูกกรองออกไปเอง
ภาพ: ฉัตรชัย วงค์เกตุใจ และโรงเล่นเรียนรู้

ณ ตำบลป่าแดด อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 60 กิโลเมตร เด็กผู้ชายสองคนเติบโตขึ้นท่ามกลางวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือที่นำมาใช้ทำของเล่นพื้นบ้าน

พวกเขาไม่ไปโรงเรียน แต่เรียนอยู่กับบ้านและใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ฐานที่มั่นซึ่งเป็นทั้งบ้านและโรงเรียนให้กับทั้งสองคน ตั้งอยู่ที่ ‘พิพิธภัณฑ์เล่นได้’ หน้าวัดป่าแดด ซึ่งปัจจุบันย้ายมาอยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคลไม่ไกลจากกันมากนัก ตั้งชื่อใหม่ให้น่าสนุกยิ่งขึ้นว่า ‘โรงเล่นเรียนรู้’

‘แปลน’ รามิล กังวานนวกุล เด็กหนุ่มวัย 17 ปี และ ‘ปูน’ นาฬา กังวานนวกุล วัย 12 ปี สองพี่น้องที่เติบโตมากับ ‘บ้านเรียน’ หรือ ‘Home School’ บอกว่า สำหรับพวกเขาการเรียนรู้ที่ดีที่สุด คือ การเรียนรู้ที่ ‘เหมาะสม’ กับตัวเอง

โรงเล่นเรียนรู้ หรือ พิพิธภัณฑ์เล่นได้ ตั้งอยู่ที่ตำบลป่าแดดมากว่า 20 ปี หลายคนรู้จักพิพิธภัณฑ์เล่นได้จากของเล่นพื้นบ้านฝีมือกลุ่ม ‘คนเฒ่าคนแก่’ ที่รวมกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชนมาใช้เวลาว่างร่วมคิด ทำ ทดลอง อนุรักษ์และฟื้นฟูของเล่นพื้นบ้านจากฝีมือและภูมิปัญญาซึ่งสืบต่อกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า

ของเล่นที่ว่า หลายอย่างเอ่ยชื่อขึ้นมายังนึกภาพออก ยกตัวอย่างเช่น กำหมุน ลูกข่าง และจานบิน แต่หลายอย่างเอ่ยชื่อขึ้นมาแล้ว ยังงงว่าของเล่นเหล่านี้หน้าตาเป็นอย่างไรและเล่นยังไง เช่น พญาลืมงาย นกหวีดน้ำ และบล็อกหมูสมาธิ ด้วยเหตุนี้ ที่โรงเล่นจึงไม่ปล่อยให้เราดูของเล่นอยู่เฉยๆ แต่พ่ออุ้ยแม่อุ้ย รวมถึงแปลนปูนเจ้าบ้านจะชวนทุกคนมาเล่นด้วยกัน ถ่ายทอดและบอกต่อเรื่องราว สร้างการเรียนรู้ให้คนที่มาเยี่ยมชมได้ทำความรู้จักกับของเล่น ได้เล่นและทำของเล่นเป็น

เพราะพื้นที่นี้เชื่อว่า ของเล่นสร้างการเรียนรู้ได้ และการเล่นทำให้เกิดการค้นพบ

‘เรียนรู้’ จากความสงสัยและสนใจ

การเดินทางเรียนรู้ของแปลนกับปูนมีจุดเริ่มต้นจากความสนใจสิ่งรอบตัว การคลุกคลีอยู่กับธรรมชาติและผู้คนทุกเพศทุกวัย ยิ่งเมื่อเทคโนโลยีเข้ามาทำให้การค้นหาความรู้ง่ายขึ้น การเรียนรู้ของพวกเขาจึงขยายพื้นที่ออกไปอย่างไม่มีขีดจำกัด

แปลน เล่าว่า สนใจเรื่องแมลงตั้งแต่อายุราว 4 ขวบ ความสนใจของเขามีที่มาจาก ‘ความสงสัย’ ในสิ่งใกล้ตัว นั่นก็คือ สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ แปลนเก็บหนอนผีเสื้อ (ดอกรัก) มาเลี้ยงเพื่อดูวัฏจักรการเติบโต แล้วเริ่มต้นศึกษาเรื่องแมลงอย่างจริงจังในช่วงวัยประถมต้น เลยเถิดไปทดลองเลี้ยงและเพาะพันธุ์แมลงชนิดอื่นๆ อีกมากมาย บางส่วนที่เลี้ยงไว้จนหมดอายุขัย ก็นำมาสตัฟฟ์ไว้เป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ด้วงกว่าง แมงป่อง ที่ถึงขนาดแปะประกาศไปทั่วชุมชนว่า “ใครเจอแมงป่องให้เอามาให้หน่อย”

ไม่ใช่แค่นั้น แปลนยังเลี้ยง ตัวบึ้งหรือแมงมุมทารันทูลา (แมงมุมขนาดใหญ่ ที่มีพิษเป็นอันตรายต่อแมลงและสัตว์อื่น พิษนี้อาจส่งผลกับคนที่มีอาการแพ้ได้) ซึ่งมารู้ตอนหลังว่า ตัวที่เขาเลี้ยงเป็นทารันทูลาสายพันธุ์ดุที่สุดในประเทศไทย และเพราะทารันทูลา แปลนเลยต้องเลี้ยงจิ้งหรีดเพื่อให้เป็นอาหารโปรดของแมงมุมด้วย

“ตอนที่ผมอยากเลี้ยงหนอนผีเสื้อ เพราะอยากเห็นว่าจะมีอะไรออกมาจากดักแด้ ไม่ได้มีห้องแล็บหรือศึกษาลงลึกอะไร ผมเก็บหนอนผีเสื้อที่เห็นอยู่ทั่วไปบนต้นรักมาใส่ไว้ในตู้ แล้วคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของมัน ด้วงกว่างก็เหมือนกันสมัยผมยังเด็ก แถวนี้มีด้วงกว่างเยอะเต็มไปหมด เลยลองเลี้ยงอย่างจริงจังด้วยตัวเอง จนเข้าใจวงจรชีวิตของด้วงกว่าง แต่ตอนนี้เห็นน้อยลงมาก ยังคิดว่าถ้าไม่สนใจศึกษาไว้แต่แรก ต่อไปอาจไม่มีโอกาสเห็นด้วงกว่างในธรรมชาติแล้วก็ได้”

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนถามถึงอนาคตว่า “อยากเป็นอะไร?” แปลนย้ำเสมอว่า ความสนใจส่วนตัวเรื่องแมลงที่ทำให้เขาได้รับความสนใจจากสื่อ หรือได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้กำหนดอนาคตว่าเขาต้องเป็นนักกีฏวิทยา หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแมลง แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่เชื่อมโยงไปยังเรื่องอื่น

“เพราะผมสนใจเลี้ยงด้วงกว่าง ทำให้หลังจากนั้นผมได้ทำงานกับศูนย์การเรียนรู้แห่งหนึ่ง ที่ต้องปั้นชิ้นงานแมลงไปจัดแสดงในศูนย์ฯ เพราะโจทย์ของงานอยากได้ชิ้นงานของเด็กไปสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กคนอื่นๆ ที่มาชมนิทรรศการ เลยเกิดโปรเจ็คท์งานแปลนปูนปั้นขึ้นมา”

ส่วนปูน น้องน้อยที่ได้เห็น ได้สังเกต และได้ลงมือเรียนรู้ร่วมกันกับพี่แปลนไม่ห่าง จะว่าไปปูนคลุกคลีอยู่กับแมลงไม่น้อยไปกว่าแปลน แถมตอนนี้กำลังทดลองเลี้ยงสัตว์อีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเต่า ปลา หรือกุ้ง ในบ่อที่ทำขึ้นเองในสวนหลังบ้าน

นั่นเป็นความสนใจส่วนหนึ่ง ปูนยังมีสิ่งที่ชอบและเป็นงานถนัด คือ การ ‘เย็บ ปัก ถัก ทอ’ จินตนาการของปูนสร้างสรรค์ให้เกิดของเล่นจากผ้าที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้มากมาย กลายเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ให้กับโรงเล่นด้วย

จากงานปักลายสัตว์น่ารัก ดอกไม้ ต้นไม้ และข้อความบนผืนผ้า ได้ลองประดิษฐ์ตุ๊กตาผ้ารูปแบบต่างๆ กับคุณแม่ เพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้และสร้างความสนุก โปรโมทในเพจ ‘ปักด้ายปักดี’ ที่เป็นแอดมินดูแลเพจด้วยตัวเอง ปูนมีความฝันอยากมีฟาร์มเป็นของตัวเอง เลยสร้างฟาร์มแบบปูน เกิดเป็นชุดของเล่น ‘ฟาร์มสุข’ ส่งต่อความสนุกจากการเล่นให้กับเพื่อนๆ ที่สนใจ

ฟาร์มสุขเป็นสิ่งประดิษฐ์เสริมสร้างจินตนาการ มีทั้งหมด 9 แบบ สามารถนำมาต่อกันเป็นฟาร์มขนาดใหญ่ได้ ฟาร์มของปูนมีทั้งบึงน้ำ แปลงผัก สัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆ และต้นไม้ใบหญ้า จะต่อให้อะไรอยู่ตรงไหนก็แล้วแต่การวางแผนของผู้เล่น เหมือนเป็นการฝึกทำการเกษตรบนแปลงพื้นที่จำลอง

“บางอย่างเคยเห็นมาก่อน บางอย่างก็กูเกิลหา แล้วลองถักทำออกมา” ปูนอธิบาย

นอกจากชุดฟาร์มแล้ว ยังมี ‘ชุดกี่ทอผ้า’ ที่จำลองเครื่องมือทอผ้าขนาดเล็กมาย่อสเกลเป็นขนาดพกพาให้เล่นได้ สามารถทำออกมาเป็นผลงาน แล้วนำไปใช้งานได้จริง

ทำให้สุด อย่าหยุดที่ ‘ทำไม่ได้’

การลงมือทำในสิ่งที่ชอบและสนใจ นอกจากทำแล้วมีความสุข ต้องมีความรับผิดชอบในงานแต่ละชิ้นที่ทำด้วย ด้วยเหตุนี้เพื่อให้งานสำเร็จ การทำงานทุกครั้งจึงต้องมีเป้าหมายว่า ต้องการทำอะไร เพื่ออะไร ทำไปให้ใคร ใครได้ประโยชน์ แล้วลงมือทำอย่างเต็มที่ที่สุด

“แค่อยากทำ เพราะอยากรู้ อยากสนุกก็เป็นเป้าหมายได้แล้ว คนที่ได้ประโยชน์ก็คือตัวเราเอง” แปลนเอ่ยขึ้น ก่อนขยายความขั้นตอนกระบวนการทำงานว่า

เป้าหมาย ทำให้วางแผนการทำงานได้ เช่น การออกแบบ สเก็ตซ์ (sketch) ให้เห็นภาพก่อน เพื่อมองหาความเป็นไปได้ รวมถึงการศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม บางเรื่องอาศัยการสอบถามข้อมูลจากคนใกล้ตัวหรือผู้รู้ บางเรื่องก็ต้องพึ่งพากูเกิล และยูทูบ บวกกับประสบการณ์เดิมที่มี

เป้าหมายและการวางแผน จะช่วยสร้างความมั่นใจและช่วยให้ประเมินความสำเร็จได้ด้วย หลังจากนั้นจึงลองลงมือทำ แล้วปรับปรุงชิ้นงานไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้า

แปลนและปูน เล่าขยายความถึงโจทย์ใหญ่ท้าทายที่ได้รับ จนเกิดแปลนปูนปั้นเมื่อ 4 ปีก่อน – ผลิตด้วงกว่างตัวเล็ก 100 ตัว และตัวใหญ่ 2 ตัว ภายในระยะเวลา 1 เดือน ให้กับศูนย์การเรียนรู้แห่งหนึ่ง ย้อนกลับไปตอนนั้นแปลนเพิ่งอายุ 13 ส่วนปูนยังอายุ 8 ปี แปลนจึงเป็นแรงงานหลัก ส่วนปูนเป็นกองหนุนคอยส่งเสบียงให้พี่

“ผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานเหมือนกัน เพราะเป็นงานที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ประเมินตัวเองแล้ว ลองคำนวณ วางแผน แล้วมั่นใจว่าทำได้ เชื่อว่าประสบการณ์หลายอย่างที่ผ่านมาสามารถพาเราไปได้ แม้ว่างานที่เคยทำมาก่อนไม่เหมือนกับงานนี้เสียทีเดียว ระหว่างทำมีปัญหาคาดไม่ถึง แต่ก็ทำสำเร็จได้ทันเวลา เพราะเรามีแผน ระหว่างทำงานเรารู้ว่าอะไรทำแล้ว แล้วยังขาดอะไร” แปลน กล่าว

ทุกที่เป็นห้องเรียน ทุกการลงมือทำคือบทเรียน

‘ความล้มเหลว’ เป็นสิ่งที่หลายคนกลัว กลัวจนไม่กล้าเพราะไม่อยากทำผิด ไม่อยากพลาด ทั้งที่ความผิดพลาด ความล้มเหลว หรือการทำสิ่งนี้ไม่ได้ ทำสิ่งนั้นไม่เป็น หรือแม้แต่ความไม่รู้ ล้วนเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ได้ทั้งหมด

การอยู่ในพื้นที่ที่มีบรรยากาศเอื้อให้ได้ทดลอง ลงมือทำ และเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ โดยไม่ต้องกังวลว่าถูกหรือผิด จะสำเร็จหรือล้มเหลว จึงช่วยสร้างการเรียนรู้ เพราะยิ่งได้ทำ ยิ่งผิดพลาด ยิ่งต้องทำซ้ำมากเท่าไร ก็ยิ่งเกิดความชำนาญมากขึ้นเท่านั้น

“การเรียนรู้จากการลงมือทำ ทำให้เราเข้าใจได้เร็ว และลงลึกกับสิ่งที่อยากทำได้มากกว่าศึกษาหาข้อมูลเฉยๆ แล้วจบไป”

“ผมเคยไม่ชอบการเขียนโครงงาน เพราะใจเราอยากทำชิ้นงานให้เสร็จก่อน ทำเสร็จแล้วค่อยมาเขียน แม่จะบอกตลอดว่าให้เขียนก่อน ทำเสร็จแล้วให้เขียนสรุปบทเรียนอีกทีว่ามีปัญหาอุปสรรค ข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง พอทำๆ ไป เราได้รู้เองว่า เออ… ถ้าเราเขียนโครงงานก่อนแล้วค่อยทำ ก็เหมือนเราได้วางแผน มันทำให้เราทำงานง่ายกว่า เพราะได้หาข้อมูล ได้ทำความเข้าใจไปทีละขั้นตอน แล้วที่เคยเขียนสรุปบทเรียนไว้หลังทำงานเสร็จแต่ละชิ้น มันมีประโยชน์เมื่อทำงานชิ้นต่อไป พอได้กลับไปอ่าน เราจะรู้เลยว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เอาสิ่งที่เคยเขียนมาพัฒนาต่อได้”

หลังจากปั้นแมลง 100 ตัวจนหนำใจ หนึ่งปีหลังจากนั้น แปลนหันมาสนใจปั่นจักรยาน ความชื่นชอบผลักดันให้แปลนออกไปปั่นขึ้นเหนือล่องใต้เป็นระยะทางกว่า 5 พันกิโลเมตร และเปิดธุรกิจทำร้านออนไลน์จำหน่ายอะไหล่และอุปกรณ์สำหรับจักรยาน ชื่อ ‘14bike’

หากวัดผลทางธุรกิจ 14bike กำลังก้าวไปได้ดี และกำลังให้ผลกำไร แต่เพราะได้ลงมือทำ แปลนจึงได้เข้าใจตัวเองว่า สิ่งนี้ยังไม่ใช่ตัวเขา

“ทำธุรกิจต้องตามความต้องการลูกค้า บางทีทำให้รู้สึกเหนื่อย เลยกลับมามองว่าอะไรที่เรามีความสามารถทำได้ แล้วไม่ต้องตามใคร อยากทำตามความสนใจของตัวเอง ตอนนี้ผมหันมาทำงานต่อยอดจากของเล่นพื้นบ้านเดิม สร้างสรรค์ของเล่นขึ้นใหม่ให้เป็นของเล่นวิทยาศาสตร์ เป็นทั้งสื่อการเรียนรู้ และจำหน่ายเป็นรายได้ด้วย”

การเรียนรู้ไม่มีวันหมดอายุ: จากนักวิจัยแมลง สู่ผู้ริเริ่มเมคเกอร์ สเปซ

จากเรื่องแมลง มาสนใจเรื่องการปั่นและปลุกปั้นธุรกิจ แปลน สังเกตความสนใจของตัวเองแล้วพบว่า เขาชื่นชอบการคิดค้นและการประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ รวมทั้งชอบงานศิลปะด้วย จึงรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ในชุมชนที่มีความสนใจเหมือนกัน ชื่อกลุ่ม ยัง เมคเกอร์ (Young Maker) คนรุ่นใหม่บ้านป่าแดด ที่ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้จาก ‘การเล่น’ และ ‘การทำของเล่น’ ร่วมกับกลุ่มคนเฒ่าคนแก่ และโรงเล่น/พิพิธภัณฑ์เล่นได้มาก่อน แล้วสร้างพื้นที่ใหม่ในโรงเล่น เรียกว่า เมคเกอร์ สเปซ (Maker Space) เป็นพื้นที่ทำงานของกลุ่ม

“ตั้งแต่จำความได้ ผมเจออะไรรอบตัวก็ชอบหยิบมาประดิษฐ์โน่นนี่ ตัวพื้นที่ ครอบครัวหรือชุมชนมีส่วนกระตุ้นการเรียนรู้ แต่ไม่เท่ากับความสนใจของตัวเอง ตอนเด็กๆ ผมไม่ได้มีเครื่องมือในการประดิษฐ์อะไรเยอะแยะเท่าที่เห็นตอนนี้ ผมเริ่มจากสิ่งที่สนใจ ทำจากสิ่งที่มีอยู่ แล้วพัฒนามาเรื่อยๆ ยังนึกไม่ออกเลยว่า ถ้าหากวันนั้นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ผมไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ตอนนี้ผมจะทำอะไรอยู่

แปลนเล่าว่า เมคเคอร์ สเปซ ถูกประดิษฐ์ เสริม เติมแต่งให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นช่วงต้นปี 2561 ห้องทดลองนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์งานช่างให้สมาชิกในกลุ่มเข้ามาใช้สอยได้เต็มที่ ที่นี่จึงเป็นเหมือนพื้นที่ให้ได้ออกแรงทางความคิด และทดลองทำ

ของเล่น งานไม้ หรืออะไรก็ตามที่เห็นมาตั้งแต่จำความได้ เด็กๆ บอกว่า พวกเขาอยู่กับของเล่นทุกวันจน ‘เบื่อ’ จึงนำความรู้ด้านการประดิษฐ์และงานกลไกที่ตนเองสนใจ มาพัฒนาต่อยอด ชุบชีวิตของเล่นให้มีชีวิตชีวา และตื่นตาตื่นใจมากขึ้น

ทำยังไงให้คนเคยมาโรงเล่นแล้วกลับมาอีก เพราะเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลง ทำอย่างไรให้ของเล่นอยู่ได้ยั่งยืน ไม่สูญหายไปพร้อมคนเฒ่าคนแก่?

นี่คือโจทย์ที่เป็นจุดมุ่งหมายของปูนแปลนและกลุ่มยัง เมคเกอร์ ซึ่งมีแกนนำหลัก 3-4 คนในตอนนี้ พวกเขารวมตัวกันสร้างสรรค์ของเล่นใหม่ๆ นำวัสดุท้องถิ่น อุปกรณ์และองค์ความรู้เดิมที่มี บวกเข้ากับจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของคนทำที่เพิ่มลูกเล่นเข้าไป ‘ของเล่นพื้นบ้าน’ จึงไม่ใช่แค่ของเล่นดั้งเดิม ไม่ใช่ของเก่าที่สื่อสารแค่ความโบราณน่าอนุรักษ์ แต่เป็นของเล่นที่ดึงดูดความสนใจและน่าสนุกมากขึ้น

แปลนปูนบอกว่า ของเล่นพื้นบ้าน ไม่จำเป็นต้องโบราณเสมอไป

จากของเล่นพื้นบ้านทั่วไปที่มีกลไกเป็นจุดหมุนธรรมดา แปลนเสริมเฟือง ลูกเบี้ยวเพิ่มความซับซ้อนให้ของเล่นเครื่องไหวได้ด้วยตัวเอง หรือในเชิงเทคนิคเรียกว่า ออโตมาตา (Automata เครื่องกลซึ่งเคลื่อนที่หรือทำงานเองได้)

“หลายคนได้ยินคำว่าของเล่นพื้นบ้านก็คิดไปแล้วว่า ‘เชย’ เราอยากทำให้คนลองหยิบอะไรก็ตามที่เป็นพื้นบ้านขึ้นมาแล้วเป็นของเล่นที่สนุกได้ สามารถเรียนรู้กับมันได้”

นอกจากนี้ แปลนยังหยิบจับความรู้ทางเทคโนโลยีที่ตัวเองสนใจมาประกอบร่าง ‘โฮโลแกรม’ สื่อ 3 มิติแบบแฮนด์เมดในรูปแบบต่างๆ ทำให้การเล่นกับการเรียนรู้เป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น

  • โฮโลแกรมเกี่ยวกับฝิ่นและประวัติความเป็นมา จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์บ้านฝิ่น อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
  • โฮโลแกรมส่งเสริมการอ่าน ไว้ใช้งานที่ห้องสมุด อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ซึ่งพัฒนาต่อจากโมเดลบ้านฝิ่นให้มีเสียงประกอบการฉายเพิ่มเข้ามาด้วย
  • โฮโลแกรมฉายภาพพระทองคำเชียงแสน ที่มีมูลค่าเกินกว่าจะนำของจริงมาจัดแสดงได้ และโฮโลแกรมฉายภาพของเล่นพื้นบ้านโบราณ ที่แสดงให้เห็นทั้งรูปแบบและวิธีการทำของเล่นแต่ละขั้นตอน

โฮโลแกรมแต่ละรุ่น ได้ผ่านการคิดค้น ทดลองทำ แก้ไข และปรับปรุงให้ใช้งานได้สะดวก มีดีไซน์สอดคล้องและเหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละสถานที่ แสดงให้เห็นถึงกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่ผลิตซ้ำความรู้เดิม แต่มีความยืดหยุ่น แล้วพัฒนาต่อยอดจนเกิดเป็นชุดความรู้ใหม่

เมื่อชัดเจนในความสนใจ และรู้ความถนัดของตัวเอง ตอนนี้แปลนอยากเปิดช่องยูทูบสำหรับเผยแพร่วิธีการประดิษฐ์ของเล่น หรือนวัตกรรมที่ได้ลองผิดลองถูก แล้วทำขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่างเพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่น เพราะตัวเขาเองก็ต้องอาศัยช่องทางเหล่านี้ ศึกษาหาความรู้จากผู้รู้ที่นำมาถ่ายทอดอยู่เสมอ

“ผมอยากจุดประกายให้คนอื่นด้วยว่า ของเล่นไม่จำเป็นต้องซื้ออย่างเดียว เราสามารถทำเองได้ แล้วระหว่างที่ได้ลองทำ จะมีอะไรให้ได้เรียนรู้อีกมาก”

“ตอนนี้ ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร หรืออยากทำอะไร แต่ผมเชื่อว่าสามารถนำประสบการณ์ที่ผ่านมาไปปรับใช้ได้ในอนาคต ถึงจะมีเรื่องอีกมากมายที่ยังไม่รู้ แต่เรารู้ว่าจะหาวิธีเข้าถึงความรู้นั้นได้อย่างไร เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตครับ”

แปลนยังคงไม่มีคำตอบให้กับคำถามที่ว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร?” เพราะสิ่งที่อยากเป็นหรืออยากทำเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งต่างๆ ที่ทำอยู่แล้วในตอนนี้

“ผมคิดว่าไม่ว่าอายุเท่าไรผมก็ยังสนุกไปกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ผมชอบและรักการเรียนรู้แบบนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนจะเป็นการศึกษาที่ดีที่สุด เพราะไม่ว่าจะเรียนแบบไหนก็ตาม ถ้าการเรียนรู้นั้นเหมาะกับเรา วิธีการนั้นจะกลายเป็นวิธีการที่ดีที่สุดได้”

ถามว่า สิ่งที่เหมาะกับตัวเองเป็นแบบไหน?

“สิ่งที่เหมาะสมกับตัวเรา คือ เราต้องชอบและทำแล้วสนุก” นี่คือคำตอบของแปลน

“วันนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีกันครับ เพิ่งทะเลาะกันมา” แปลน เอ่ยบอกขึ้นตั้งแต่แรกเมื่อเจอกันช่วงเช้า

จากสถานการณ์คุกรุ่นในตอนเช้า บวกกับอากาศที่ร้อนเสียจนแทบเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี แต่แปลนกับปูนก็สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองแล้วกลับมาเป็นทีมเวิร์คกันได้ในที่สุด

พระอาทิตย์ตกดินไปพร้อมๆ กับเกมการแข่งขันเปตองที่ถึงแม้แปลนปูนจะได้คะแนนรวมน้อยกว่าทีมผู้ใหญ่ แต่ความสามัคคีและความร่วมมือของพวกเขาในเกม แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะ ความฉลาดทางอารมณ์ และการไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งในวันที่อารมณ์ไม่ปกติ

ตามกติกาฝ่ายที่ได้คะแนนรวมน้อยกว่า ต้องเดินทำท่าเป็ดไปรอบๆ แปลงที่ดิน พวกเขาเดินไปหัวเราะไป ขันๆ เขินๆ แต่ก็ยอมรับผลการแข่งขัน ‘รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย’ อีกบทเรียนหนึ่งแห่งการเรียนรู้ชีวิตในวันนี้

หมายเหตุ:
ปี 2559 คณะทำงานย้ายพิพิธภัณฑ์เล่นได้จากพื้นที่อาคารหน้าวัดป่าแดด อ.แม่สรวย จ.เชียงราย มาสร้างพื้นที่การเรียนรู้แห่งใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น ‘โรงเล่น’ ดำเนินงานในพื้นที่ส่วนบุคคล แต่ยังคงเป้าหมายการทำงานเพื่อสร้างการเรียนรู้ที่ยั่งยืนอย่างที่เคยทำมา และเชื่อมั่นในแนวคิดที่ว่า “ความรู้ที่ดีต้องถ่ายทอดได้”

Tags:

การเล่นโรงเล่นเรียนรู้(พิพิธภัณฑ์เล่นได้)ปูน นาฬา กังวานนวกุลรามิล กังวานนวกุล

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย

    เรื่อง

  • Creative learningอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    พ่อปุ๊ วีรวัฒน์ กังวานนวกุล: โรงเล่นคือโรงเรียน เพราะเรียนเล่นคือเรื่องเดียวกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • Early childhoodLearning Theory
    เรียนปนเล่น เล่นปนเรียน: กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ
Education trend
11 June 2019

พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • พื้นที่นวัตกรรม โครงการนำร่องแห่งการปฏิรูปการศึกษา ที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน เป็นอิสระ บริหารจัดการตัวเอง เป็นการร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายและชุมชน ร่วมกันออกแบบการศึกษาเพื่อทำให้ความหลากหลายของการศึกษาปรากฏตัว
  • พื้นที่นำร่องมี 6 จังหวัดครอบคลุมจากเหนือสู่ใต้ ได้แก่ สตูล ศรีสะเกษ ระยอง เชียงใหม่ กาญจนบุรี และ จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส)
  • แลกเปลี่ยนความคืบหน้าแต่ละพื้นที่บนเวที TEP Forum 2019 ในหัวข้อ ‘ภาพใหม่การศึกษาไทย เพื่อการสร้างเสริมสมรรถนะเด็กไทย’ ณ หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ วันที่ 8-9 มิถุนายน 2562
ภาพ: พัชริดา จูจรูญ, ศิริลักษณ์ พรมภักดี

หลายคนบอกว่า การศึกษาไทย แก้ไม่ได้ในชาตินี้ ตราบใดที่…

  • หลักสูตรยังรวมศูนย์ชนิด ‘หนังสือหนึ่งเล่ม เรียนทั้งประเทศชาติ’
  • โรงเรียนไม่มีอิสระจัดการศึกษา คงความหลากหลายของพื้นที่พื้นถิ่นไว้ไม่ได้
  • องค์ความรู้เฉพาะของท้องถิ่นไม่เคยอยู่ในห้องเรียน เมื่อไม่อยู่ ความรู้เหล่านั้นก็กลายเป็นสิ่งประหลาด
  • ครูถูกบังเหียนที่ชื่อ ‘กฎกระทรวง’ ผูกรัด ดิ้นไม่หลุด ทำให้งานในห้องเรียนมีมากพอๆ กับงานเอกสาร
  • พ่อแม่ ชุมชน เอกชน และองค์กรธรรมชาติในพื้นที่ เป็นคนนอก ไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบการศึกษา

ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ คนทำงานทางการศึกษาทั้งถอดบทเรียน พูด และทำงานเพื่อขอสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่คนในได้เป็นคนจัดการศึกษาเอง และปลดล็อคพันธนาการต่างๆ ที่รัดรึง ปัญหาไม่ใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงกำลังก่อเกิดขึ้นจริง และตั้งต้นออกแบบการทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาที่กล่าวไปโดยตรง

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น และเริ่มทำงานจริงมาแล้วราว 1 ปี

เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และถอดบทเรียนว่าตลอดการทำงาน 1 ปี แต่ละพื้นที่มีองค์ความรู้อะไร เปิดพื้นที่ได้แลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบและเล่าสภาพปัญหา และสื่อสารงานออกไปในสาธารณะ วงคุยสาธารณะจึงจัดขึ้นในงาน TEP Forum 2019 ในหัวข้อ ‘ภาพใหม่การศึกษาไทย เพื่อการสร้างเสริมสมรรถนะเด็กไทย’ ณ หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ วันที่ 8-9 มิถุนายน 2562

ดำเนินรายการโดย รัตนา กิติกร ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิสยามกัมมาจล หนึ่งในภาคีหลักร่วมขับเคลื่อนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ ระยอง และสตูล

ตนา กิติกร ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิสยามกัมมาจล

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา คืออะไร

พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา คือพื้นที่ ‘นำร่อง’ ให้โรงเรียนได้ออกแบบปรับเปลี่ยนการศึกษาด้วยตัวเองร่วมกับภาคีทั้งในและนอกพื้นที่ พื้นที่นำร่องมี 6 จังหวัดครอบคลุมจากเหนือสู่ใต้ ได้แก่ สตูล ศรีสะเกษ ระยอง เชียงใหม่ กาญจนบุรี และ จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส)

ปรัชญาของพื้นที่นวัตกรรมคือ การเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน เน้นความเป็นอิสระ บริหารจัดการตัวเอง ต้องเป็นการเปลี่ยนจาก ‘คนใน’ ทั้งโรงเรียน ภาคีเครือข่าย และชุมชน ร่วมกันออกแบบการศึกษาเพื่อทำให้ความหลากหลายของการศึกษาปรากฏตัว และเป็นการทำงานเพื่อคิด ค้น ขยายผลนวัตกรรมการศึกษาที่สร้างคุณภาพการศึกษาและส่งผลต่อผู้เรียนจริง โดยหัวใจ 3 ข้อแห่งการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่นวัตกรรม คือ

  1. เปลี่ยนการสอนด้วย นวัตกรรมการศึกษาและพัฒนาบุคคล
  2. เปลี่ยนรูปแบบงาน บูรณาการการทำงานของหน่วยงานทางการศึกษาในพื้นที่ และเพิ่มอำนาจตัดสินใจในพื้นที่
  3. เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้เสียงของประชาชน ผู้ประกอบการชุมชน ได้ร่วมออกแบบและสร้างพื้นที่นวัตกรรม

พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรม พ.ศ. 2562 ที่ประกาศเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา เขียนรับรองการขับเคลื่อนการทำงานและให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานแบบใหม่ โดยให้อำนาจแก่คณะกรรมการไว้ 3 ระดับ ได้แก่

  1. คณะกรรมการนโยบาย ในการตัดสินใจระดับประเทศ, ปลดล็อคกฎระเบียบใหญ่ๆ, ทำงานข้ามส่วนระหว่างหน่วยงาน และอื่นๆ
  2. คณะกรรมการขับเคลื่อน เป็นตัวแทนของคนในพื้นที่ในการตัดสินใจ คิดวิธีการทำงาน สร้างการมีส่วนร่วมและการรับรู้คนในพื้นที่
  3. โรงเรียนนำร่อง ตัดสินใจระดับโรงเรียน เพิ่มอิสระเรื่องวิชาการ บริหารโครงการ งบประมาณ

โรงเรียนบ้านตะเคียนราม จังหวัดศรีสะเกษ

ดร.อำนวย มีศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตะเคียนราม จังหวัดศรีสะเกษ เล่าปัญหาเดิมให้ฟังว่า เพราะโรงเรียนอยู่ห่างไกลจากพื้นที่พัฒนา นักเรียนส่วนใหญ่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ขาดและหนีเรียน ไม่ใช่แค่ปัญหาทางวิชาการ แต่ทักษะการใช้ชีวิตบางอย่างเช่น ทักษะการสื่อสาร คิดวิเคราะห์เพื่อสื่อสารในเชิงตรรกะ ก็ยังมีปัญหาด้วย

ดร.อำนวย มีศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตะเคียนราม

“เรารู้ว่าการเปลี่ยนต้องเริ่มที่ครู เราเองก็อยากเปลี่ยน แต่ไม่รู้จะทำยังไง ขณะนั้นครูหลายคนก็ถอดใจ บอกว่า ‘มันก็เป็นแบบนี้แหละ’ ” ดร.อำนวยอธิบายปัญหาเดิม

วิธีแก้ปัญหาที่ ดร.อำนวยทำ ก่อนเข้าร่วมเป็นโรงเรียนนำร่องในพื้นที่นวัตกรรม คือการพาครูไปดูงานหลายโรงเรียนทั้งในและนอกพื้นที่ แต่มีวัฒนธรรมการทำงานที่ต่างกัน เช่น โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

แรงบันดาลใจและตัวอย่างในการเปลี่ยนแปลงมีแล้ว แต่ในการเปลี่ยนครั้งแรก ยากเสมอ ครูหลายท่านยังเชื่อในคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’

“ตอนนั้นมีครูหลายคนที่อยากทำ แต่คิดว่าเปลี่ยนไม่ได้ แต่เราบอกเพื่อนครูว่า ถ้าไม่เปลี่ยน มันก็จะเหมือนเดิม มติในที่ประชุมคือต้องเปลี่ยนรูปแบบการสอน และต้องเริ่มทำพร้อมกันทุกสายชั้น ครูทั้ง 30 คนต้องทำพร้อมกันทั้งหมดเลย ‘ตายเป็นตาย’ คิดแบบนั้นเลย ปรับตามเขาไป เป็นบ้างไม่เป็นบ้าง ก็ลองปรับลองเปลี่ยน”

จากวันที่มีมติ ‘ตายเป็นตาย’ ถึงวันนี้ ผ่านมาแล้ว 5 ปี และถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่องพื้นที่นวัตกรรมจังหวัดศรีสะเกษ ผลแห่งการเปลี่ยนแปลงชัด อย่างที่ ดร.อำนวย สรุปให้ฟังว่า ขณะนี้มีเด็กขาดเรียนเหลือประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์, ออกกลางคันเหลือประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น มีเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เพียง 6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนครูก็มีการวางแผนการเรียนการสอนที่ดีขึ้น สื่อ อุปกรณ์ในการสอนเปลี่ยนไป ที่ชัดเจนคือ ครูกระตือรือร้นและรับผิดชอบมากขึ้น

“เริ่มต้น เราพัฒนาการเรียนรู้ด้วยการโฟกัสมาที่ครู แต่เราจะมองแต่ครูอย่างเดียวไม่ได้ การให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติจริง เรียนรู้ด้วยตัวเองจริง พาเด็กออกไปเรียนรู้นอกชุมชน รวมทั้งสร้างการรับรู้กับชุมชน ให้ชุมชนเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญ

“สิ่งสำคัญในโครงการ คือการเปิดโอกาสให้ครูได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น ได้รับการเติมเต็ม ได้รับเครื่องมือ วิธีการ โอกาสในการฝึกฝนเพิ่มมากขึ้น”

โรงเรียนบ้านไผ่หนองแคม จังหวัดศรีสะเกษ

จังหวัดเดียวกันแต่ต่างพื้นที่ เพชร วงพรมมา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านไผ่หนองแคม จังหวัดศรีสะเกษ เล่าให้ฟังว่าสถานการณ์ที่โรงเรียนใกล้เคียงกัน คือแม้จะเป็นโรงเรียนขนาดกลาง มีนักเรียน 167 คนต่อครู 9 คน และแม้ในปี 2557 โรงเรียนบ้านไผ่หนองแคมจะถูกให้เข้าโครงการปฏิรูปการเรียนรู้สู่ผู้เรียน แต่ตัวชี้วัดทั้ง 3 ด้าน อย่าง เด็ก, ครู และ ฝ่ายบริหาร ยังไม่เข้าเกณฑ์ดี

กล่าวคือ เด็กๆ มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาตกเกณฑ์ประเมิน ครูไม่มีนวัตกรรมทางการสอน สอนตามหนังสือเรียน ขณะที่ฝ่ายบริหารเอง ผอ. ยอมรับว่ายังอ่อนด้านการนิเทศ หัวใจสำคัญในการปลุกทัพและสร้างองค์ความรู้ให้ครู

วิธีแก้ปัญหาของโรงเรียนบ้านหนองแคม เลือกใช้วิธีการเรียนการสอนโดยใช้องค์ความรู้เรื่องสมองมาใช้เป็นฐานในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ที่เรียกว่า BBL (Brain-based Learning) และผลักดันให้ครูในโรงเรียนเรียนต่อด้านการศึกษาในระดับปริญญาโททุกคน นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการถอดบทเรียนการเรียนรู้หลังการสอน หรือ AAR (After Action Review) อย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็คือ ผลประเมิน O-Net ของนักเรียนอยู่ในระดับประเทศติดต่อกัน 5 ปี และเด็กๆ อ่านออกเขียนได้ 100 เปอร์เซ็นต์

เคล็ดลับที่ ผอ.เพชรเห็นว่าสำคัญที่สุดในการหานวัตกรรมการศึกษา คือการสร้างเครือข่ายทั้งจากภายในและนอกพื้นที่ เปิดโอกาสให้ครูได้เรียนรู้เทคนิคจากเครือข่าย และการผลักดันให้ครูในโรงเรียนไปเป็นวิทยากรทั้งในบ้านและนอกบ้าน นี่คือวิธีการฝึกและสร้างทักษะการนิเทศ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นการติดอาวุธครูและผู้บริหารอย่างดีที่สุด

เมื่อถูกถามว่า อะไรคือสิ่งที่อยากผลักดันและฝากไปถึงเครือข่ายอื่นๆ ผอ. เสนอ 2 เรื่องคือ

หนึ่ง-การปลดล็อคการจัดจ้างครู ให้โรงเรียนมีอำนาจตัดสินใจจัดหาและพิจารณารับครูด้วยตัวเอง สอง-ปลดล็อคเรื่องการจัดซื้อจัดหาหนังสือให้สามารถทำได้ด้วยตัวเอง สามารถจัดสรรงบประมาณได้ด้วยตัวเอง

ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้จะถูกนำไปแก้ไขตามที่ พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรม พ.ศ. 2562 ให้อำนาจการจัดการแก่คนในพื้นที่ต่อไป

โรงเรียนอนุบาลสตูล จังหวัดสตูล

หลายคนรู้จักโรงเรียนอนุบาลสตูล จังหวัดสตูลจากชิ้นข่าวในปี 2559 เมื่อนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ค้นพบแหล่งฟอสซิลแห่งใหม่ ที่ค้นพบได้ก็เพราะกระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียนโดยใช้วิถีวิจัยนำการเรียนรู้ ทำให้ภายนอก คนอาจมองว่าโรงเรียนอนุบาลสตูลมีความเข้มแข็งทางการศึกษาอยู่ก่อนแล้ว

สุทธิ สายสุนีย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล

แต่ สุทธิ สายสุนีย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสตูล กลับยืนยันว่า ในการทำงาน เขามีปัญหาทางโครงสร้างไม่ต่างจากที่อื่น

“เราไม่มีที่ยืนในการทำงาน แม้จะเป็นผู้อำนวยการแต่ก็ต้องทำตามคำสั่ง เหมือนเขียนงานตามคำบอก เราถูกคนอื่นสั่งงานหมด แน่ล่ะว่ามันเป็นการทำงานวิถีราชการ แต่มองว่าเป็นการเสียโอกาสมากที่ต้องฟังคำสั่งอย่างเดียว” ผอ.สุทธิกล่าว

นอกจากนี้ ผอ.สุทธิยังชี้ปัญหาอีก 2 อย่างซึ่งเป็นปัญหาหนักหนาไม่แพ้กัน นั่นคือ การที่นักเรียนถูกบังคับให้เรียนด้วยความทุกข์ ทั้งที่เด็กๆ ควรมีโอกาสได้เรียนรู้โลกกว้างมากกว่าแค่ในตำรา และทั้งที่ชุมชนมีปรัชญาการเรียนรู้และวัฒนธรรมที่หลากหลาย แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของและไม่มีโอกาสเป็นผู้กำหนดการเรียนรู้ให้กับลูกหลานของตัวเองเลย

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่อง นายสุทธิ จึงกล่าวยืนยันว่า เขาจะใช้โอกาสนี้ขอจัดพื้นที่การศึกษาด้วยคนในพื้นที่เอง โดยแบ่งสูตรการเรียนรู้ออกเป็น 3 ส่วน คือ 40 : 30 : 30 ดังนี้

  • 40 : บทบาทของสถาบันครอบครัว ผู้ปกครอง
  • 30 : บทบาทของโรงเรียน
  • 30 : บทบาทของภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ

และโรงเรียนอนุบาลสตูล อาสาเป็นหัวหอก ทำงานร่วมกับโรงเรียนในพื้นที่อีก 9 โรง และตั้งใจสร้างและขยายเครือข่ายการทำงานต่อไป

ก่อนจากกัน ผอ.สุทธิยืนยันว่า ตัวเองเชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงและสิ่งที่กำลังทำ แต่ยังไม่เชื่อว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้จะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องการปลดล็อคระเบียบราชการต่างๆ เช่น ระเบียบการรับนักเรียนเข้าเรียนที่ไม่สมจริง เช่น ลูกของคุณหมอท่านหนึ่งในพื้นที่เพิ่งย้ายเข้ามาทำงานตรงข้ามกับโรงเรียน แต่ไม่สามารถให้ลูกเรียนที่โรงเรียนอนุบาลสตูลได้เนื่องจากย้ายสำมะโนครัวเข้ามาในพื้นที่ไม่ถึงปี

“ทั้งที่แต่ก่อนโรงเรียนสามารถทำได้ บริหารจัดการได้ด้วยตัวเอง จะรับนักเรียน 200 คนก็สามารถทำได้หากเห็นแล้วว่าบริหารจัดการได้ไหว แต่ปัจจุบันถ้าไม่ทำตามที่กำหนดก็จะถูก ปปช. ตรวจสอบ นี่จึงเป็นสิ่งที่ไม่เชื่อมั่นถึงแม้จะมี พ.ร.บ. เป็นตัวกำหนดก็ตาม อย่างแรกจึงต้องเริ่มต้นด้วยการให้อิสระกับโรงเรียนแต่ละพื้นที่ในการออกแบบการจัดการ การเรียนรู้ต่างๆ ด้วยตัวเอง” ผอ.สุทธิกล่าว

โรงเรียนบ้านสมานมิตร จังหวัดระยอง

ปิดท้ายวงสนทนาด้วยประสบการณ์จากโรงเรียนบ้านสมานมิตร จังหวัดระยอง โรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนจำนวน 97 คน ครู 5 คน และครูอัตราจ้าง 1 คน โดย เรืองกิตติ์ สุทธิวิรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเล่าให้เห็นภาพก่อนว่า แม้จังหวัดระยองจะเป็นจังหวัดที่การเติบโตของ GDP สูงสุดในประเทศ คล้ายว่าเป็นจังหวัดที่ร่ำรวย คึกคักด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหนักเบา แต่กับโรงเรียนบ้านสมานมิตร กลับเป็นโรงเรียนที่ขาดแคลนงบประมาณทางการศึกษา เป็นโรงเรียนของชุมชนขนาดเล็กที่เพิ่งมีข่าวว่าอาจถูกยุบลงเมื่อไรก็ได้

“แม้โรงเรียนอยู่ในอำเภอเมืองจังหวัดระยอง แต่เรากลับรู้สึกขาดแคลน รู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำเพราะไม่มีเงินบริหารจัดการเลย แต่เรามีไฟนะ ท่ามกลางปัญหา เราไม่มองว่าเราขาดแคลน แต่มองไปข้างหน้า และอยากสร้างจุดยืนให้กับโรงเรียน จนได้มาเข้าโครงการนวัตกรรม

“ตลอด 1 ปีที่ผ่านเรามาได้เรียนรู้หลากหลายอย่าง ทำให้ยิ่งยึดมั่นและดำเนินงานด้วยความศรัทธา สถาบันอาศรมศิลป์ พี่เลี้ยงของโรงเรียน ไม่ได้เอาวิธีการสำเร็จรูปมาให้เราทำตาม แต่พาโรงเรียนค้นหาต้นทุนดีๆ ค้นหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นของเราจริงๆ เพื่อสร้างนวัตกรรมของโรงเรียนด้วยตัวเอง จนตอนนี้ค้นพบแล้วว่า ต้นทุนที่ดีของโรงเรียนคือชุมชนโดยรอบที่จะมาสร้างการเปลี่ยนแปลงร่วมกับโรงเรียน

“ตอนนี้เรามีแนวคิดว่าจะระดมทุน CSR ของโรงงานต่างๆ ในตัวเมืองระยอง แล้วกระจายให้กับพื้นที่ต่างๆ อย่างเท่าเทียม”

แม้เวลาจะผ่านมาแค่ 1 ปี แต่การเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้วจริง ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่หากหัวใจของพื้นที่นวัตกรรมอยู่ที่การเป็นอิสระและมีส่วนร่วมของชุมชน จากเสียงของผู้อำนวยการจากโรงเรียนนำร่องทุกท่านบนเวที เชื่อแน่ว่า การเปลี่ยนแปลงด้วยนวัตกรรม กำลังเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

การศึกษาไทย แก้ได้ในชาตินี้แน่นอน

Tags:

ระบบการศึกษาเทคนิคการสอนงานเสวนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาBBL(Brain-based Learning)TEP Forumครู

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Education trend
    ‘เราต้องการคนที่อยู่รอดได้ทุกสถานการณ์วิกฤต’ โจทย์ใหม่ระบบการศึกษาไทย TEP@Rayong 2020

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trend
    สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นปาของดีอย่างไร? ดีตรงปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด
EF (executive function)
11 June 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นปาของดีอย่างไร? ดีตรงปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

มีคำถามเรื่องจัดการลูกชอบปาของไม่ได้อยู่เรื่อยๆ ยิ่งห้ามยิ่งปา สอนก็แล้วสอนเสร็จปาเลย จ้องหน้าก็แล้วดุก็แล้วลูกจ้องหน้ากลับแล้วปา ตีก็แล้ว ลูกปาเสร็จยื่นมือให้ตี

ปาของในบ้านทำพ่อแม่หลายคู่สติแตก แต่ที่สติหลุดกันบ่อยมาก คือ ปาอาหารบนโต๊ะ

เรามาทบทวนกันตั้งแต่แรก

1. เด็กปาของเพื่อทดสอบพลังกล้ามเนื้อ เขามิได้ปา เขาอาจจะต้องการวาง แต่เขาเพิ่งเกิดมาไม่นาน จะให้ใช้กล้ามเนื้อชิ้นไหนวาง บริเวณต้นแขนของเขามีกล้ามเนื้อเดลตอยด์ ไบเซ็ป ไตรเซ็ป แบรเคียลิส และโคแรคโคแบรเคียลิส ทั้งนี้ยังไม่นับกล้ามเนื้อที่สะบักและแผงหน้าอก รวมทั้งกล้ามเนื้อปลายแขนอีกกลุ่มหนึ่ง เขาจะบังคับกล้ามเนื้อสิบชิ้นนี้อย่างไรเพื่อวางของให้ถูกตำแหน่งที่ใจต้องการ

เขาจะฝึกฝนจนช่ำชองจึงจะเลิกปา

2. เด็กมิได้จะวาง เขาต้องการปาจริงๆ นั่นแหละ เกิดมาไม่นานเพิ่งค้นพบว่าตนเองมีพลังในการทำให้วัตถุเคลื่อนย้ายตำแหน่งได้โดยไม่ต้องเป็นแม่นาคพระโขนง เขาก็จะปา ดูว่าปาได้ไกลแค่ไหน แรงแค่ไหน เสียงวัตถุกระทบพื้นดังอย่างไร แก้วแตกหรือไม่ เสียงแก้วแตกไพเราะเสนาะหูมากเพียงไร เสียงไข่เจียวตกพื้นดังแผละ มันฟังแล้วเละเทะเพียงใด ดูข้าวต้มที่พุ่งกระจายออกจากฝ่ามือเป็นมุม 30-135 องศาด้วยความแรงเท่าไร

ใช่แล้ว เขาคือนักทดลอง  

3. เด็กเป็นนักทดลอง ปาไปของตก ปาไปของตก ปาไปของตก ทุกคนเป็นเซอร์ไอแซ็ค นิวตัน โดยกำเนิด เด็กได้เรียนรู้แรงโน้มถ่วง การเปลี่ยนตำแหน่ง ความเร็วในการตกของวัตถุ วิถีโค้ง ฯลฯ คือ Newton’s Physics พวกเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์โดยกำเนิดจริงๆ

4. มากกว่านี้คือของตกแม่เก็บ ของตกแม่เก็บ ของตกแม่เก็บ ทุกคนเป็นฌอง เปียเจต์ โดยกำเนิด มีหนึ่งต้องมีสอง มีหนึ่งต้องมีสอง มีหนึ่งต้องมีสอง คือพัฒนาการที่เรียกว่า juxtaposition เมื่อไรที่เขาค้นพบว่าของตกแม่เก็บ ของตกแม่เก็บ ของตกแม่เก็บ เป็นเรื่องน่าเบื่อมากเขาก็จะได้สรุปผลการทดลองแล้วหยุด แต่ถ้าเขาพบว่าของตกแม่ด่า ของตกแม่บ่น ของตกแม่หัวเสีย เขาพบว่าของตกสามารถสร้างเรื่องราวหลากหลายรอบตัวไม่ซ้ำกัน แต่ละฉากช่างน่าสนใจว่าแม่จะแปลงร่างได้อีกกี่ร่างจึงจะหมด เขาก็จะปาไปเรื่อยๆ

เวลาก้มหยิบของให้ทำหน้าตาน่าเบื่อเข้าไว้

5. มากไปกว่านี้อีกคือปาไปแม่ตี ปาไปแม่ตี ปาไปแม่ตี ที่แท้เขาสามารถควบคุมบังคับแม่ได้ด้วย นี่คือ autonomy อำนาจที่มาโดยอัตโนมัติ ทุกคนเป็นอิริค เฮช อิริคสัน โดยกำเนิด การตีครั้งที่ 1 แล้วลูกหยุดปาเป็นเรื่องหายาก โดยทั่วไปแม่ตีเขาปา แม่ตีเขาปา แม่ตีเขาปา เกิดการวางเงื่อนไขทางลบ (negative conditioning) เด็กกลับจะทำซ้ำๆ เพื่อให้ถูกตี

จะเห็นว่าเป็นอัจฉริยะมาเกิดทั้งนั้น หรืออยากให้ลูกนั่งนิ่งๆ

6. เด็กกำลังพัฒนาวงจรประสาทที่ใช้ในการประสานมือและสายตา เรียกว่า hand-eye coordination ซึ่งมิได้เพียงใช้กล้ามเนื้อแขน สะบัก หรือแผงอก แต่เขากำลังพัฒนาสมองน้อยคือ cerebellum เพื่อรับรู้ว่าตนเองกำลังนั่งในท่าใด หลังอยู่ในท่าใด คือ proprioception ความรับรู้ท่าร่างของตนเอง ตาเล็งเป้าหมาย แขนรวบรวมพลัง พร้อมแล้วปาไปให้ถูกตำแหน่ง นี่คือปฐมบทของการทอยกอง อันเป็นรากฐานของการละเล่นที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้เรื่องเศรษฐกิจคือ economic literacy ฮา ฮา

ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนเอาเงินที่แม่ให้ไปโรงเรียนทุกวันไปซื้อถั่ว ในซองถั่วมีตุ๊กตุ่น (แปลว่าตุ๊กตาตัวน้อย) แถมมาซองละ 1 ตัว บ้างเป็นรูปโกลด้า บ้างเป็นรูปโรดั๊ก (ตัวละครในหุ่นอภินิหารของเท็ตซึกะ โอซามุ ซึ่งสร้างเป็นหนังทีวีเมื่อห้าสิบปีก่อน) เด็กรุ่นเราสะสมตุ๊กตุ่นไปเล่นทอยกอง ผู้เขียนเริ่มด้วยตุ๊กตุ่น 5 ตัวเพราะแม่จับได้ว่าเอาเงินไปซื้อขนมจึงสั่งห้าม จากตุ๊กตุ่นห้าตัวผมเล่นกลับบ้านได้ 2 ถังใหญ่ๆ แม่เอาไปบรรจุถุงละ 5-10 ตัววางขายหน้าบ้าน (แต่ไม่เห็นจะแบ่งเงินเราอยู่ดี)

7. เมื่อเด็กทำได้ เด็กก็จะทำ นอกจากเขาทดสอบพลังของตนเองแล้ว เขากำลังทดสอบกติกาของบ้านหลังนี้ พวกเรามีหน้าที่วางกติกา ของชิ้นนี้ปาไม่ได้ ชิ้นนี้ปาได้ ที่ตรงนี้ปาไม่ได้ ที่ตรงนั้นปาได้ ในบ้านปาไม่ได้ นอกบ้านปาได้ เวลานี้ปาไม่ได้ เวลานั้นปาได้ เป็นต้น จะเห็นว่าการห้ามนั้นทำง่ายแต่ได้ผลยาก การวางกติกาทำยากแต่ได้ผลระยะยาว ไม่เพียงทำให้เด็กรู้ว่าการปามีกติกา

ที่แท้แล้วทุกๆ เรื่องมีกติกา เขาสามารถทำอะไรได้บ้าง ที่ไหน และเมื่อไร

8. อย่างไรก็ตาม การห้ามโดยไม่ให้ทางออกเลยก็เหมือนการสุมไฟให้ไอน้ำรอระเบิด พ่อแม่ที่ชาญฉลาดจึงควรใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์นั่นคือจัดลานปาของแข่งกัน คุณพ่ออาจจะเริ่มสะสมกระป๋องเบียร์ (เรียนบรรณาธิการ ไม่อนุญาตให้เซ็นเซอร์ กรุณาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง) แล้วสะสมก้อนหินหากพ่อออกแนวบู๊ หรือสะสมลูกเทนนิสใช้แล้วหากพ่อออกแนวนักกีฬา หรือตุ๊กตาผ้าขนาดเหมาะมือหากแม่เป็นผู้เล่นด้วย จากนั้นท้าดวล ตั้งกระป๋องเบียร์ให้เรียบร้อย เอาสูงเข้าว่า พื้นปูนจะดีกว่าพื้นดินเพราะเสียงกระป๋องเปล่ากระทบพื้นจะมันมาก ลูกหัวเราะเอิ๊กอ๊าก จากนั้นนัดเวลาลูก เย็นนี้เรามาเจอกัน

ด้วยวิธีนี้เด็กได้ระบาย ได้ฝึกพลัง และได้ควบคุมพลัง

9. การเล่นปาของที่หนักหน่วงเป็นวิธีระบายความเครียด ความคับข้องใจ ความก้าวร้าว พลังส่วนเกิน สถานที่ที่เหมาะสมคือชายหาดสักแห่งหรือลำธารเงียบสงัด กำเปลือกหอยเอาไว้ให้มั่น หินชายหาดก้อนเหมาะมือ จากนั้นปาออกไปให้สุดแรงเท่าที่มีพร้อมทั้งสาปแช่งโชคชะตา (อย่าคิดว่าเด็กจะทำไม่เป็น) เปลือกหอยหรือหินชายหาดเป็นวัสดุธรรมชาติ เป็นสัญลักษณ์ของของเหลือใช้ ของส่วนเกิน ของที่ไม่มีใครเอา ปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด มากที่สุด

แต่ไม่ควรปาปูเสฉวนนะครับ

ในกรณีฉุกเฉิน หากเด็กไม่ยอมหยุดปาจริงๆ เราควรอุ้มเขาออกจากพื้นที่ไปนั่งด้วยกันอย่างสงบ สอนสั้นๆ ว่าเราไม่ให้ปาอะไร ที่ไหน เมื่อไร แล้วหยุดเท่านั้น วันต่อไปเขาทำอีก เราทำอีก เท่านี้เองครับ

หมายเหตุ: ติดตามอ่านบทความที่เกี่ยวกับการเล่นของ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ที่นี่:
 อ่าน เล่น ทำงาน: พลังของการเล่นสร้าง EF
อ่าน เล่น ทำงาน: ห้ามเล่น = หยุดการสร้างสมองของคุณหนูๆ
อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร
อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร
อ่าน เล่น ทำงาน: เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่
 อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ

Tags:

อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการเล่นประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน2) เด็กต้องการการสบตาและการเล่นกับพ่อแม่ตัวเป็นๆ มากกว่าสิ่งใด

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION
Education trend
10 June 2019

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • “ทุกวันนี้ความรู้อายุสั้น ขณะที่คนอายุยืนยาว” นี่คือประโยคที่ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ กล่าวในเวที TEP Forum 2019 ในหัวข้อ ‘ภาพใหม่การศึกษาไทย เพื่อการสร้างเสริมสมรรถนะเด็กไทย’
  • ความรู้ปัจจุบันอยู่ในรูปแบบ VUCA ที่มาจากคำว่า V-Volatility การเปลี่ยนไว / U-Uncertainty ความไม่แน่นอน / C-Complexity ความซับซ้อน / A-Ambiguity ความคลุมเครือ
  • ภาพใหม่ของการศึกษาไทย จึงกลับไปที่เนื้อแท้แห่งการศึกษา นั่นคือการเรียนรู้ที่ได้ทดลอง ลงมือ มีพื้นที่แห่งการทดลอง และต้องเกิดจาก passion ความหลงใหลภายใน
ภาพ : พัชริดา จูจรูญ, ศิริลักษณ์ พรมภักดี

ไม่ใช่แค่ “ทุกวันนี้ความรู้อายุสั้น ขณะที่คนอายุยืนยาว” แต่ความรู้ในปัจจุบัน ยัง เปลี่ยนไว ไม่แน่นอน ซับซ้อน และ คลุมเครือ อย่างที่เรียกสั้นๆ ว่า VUCA

คือทัศนะส่วนหนึ่งของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เลขานุการคณะกรรมการภาคีเพื่อการศึกษา บนเวที TEP Forum 2019ในหัวข้อ ‘ภาพใหม่การศึกษาไทย เพื่อการสร้างเสริมสมรรถนะเด็กไทย’ ณ หอประชุมมหิศร ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา

แต่ก่อนที่จะพาคนในห้องประชุมราวหนึ่งพันคนและผู้ชมทางบ้านผ่าน Live เฟซบุ๊คให้เห็นภาพอย่างประโยคข้างต้น ดร.สมเกียรติ ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของธนาคารไทยพาณิชย์ในราวปี 2559 เพื่อเปรียบเทียบว่า ปรัชญาแห่งการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจ ไม่เคยเป็นคนละเรื่อง ไม่เคยแยกขาดกับการเปลี่ยนแปลง (ไปแล้ว) ในประเด็นการศึกษา 

เพราะในยุค disruption ที่องค์ความรู้และเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว ผลกระทบแห่งการเปลี่ยน มันมีพรมแดนจริงหรือ?

ไทยพาณิชย์ ตัวอย่างการปรับตัวในโลกที่เปลี่ยนไว ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ

“ย้อนเวลากลับไป 1 ปี ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศข่าวปรับทัพครั้งใหญ่ ตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี จะลดพนักงานลงให้เหลือ 15,000 คน และจะลดจำนวนสาขาให้เหลือเพียง 400 สาขา เหตุใด องค์กรใหญ่ที่อยู่มาเป็นร้อยปีอย่างธนาคารไทยพาณิชย์ จึงต้องปรับตัวครั้งใหญ่ทั้งที่ผลประกอบการก่อนหน้านั้นยังคงเติบโต ในปี 2560 ธนาคารมีรายได้เกือบ 2 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 40,000 ล้านบาทต่อปี ทำไมธนาคารใหญ่เก่าแก่ของประเทศไทย ถึงต้องปรับตัว?”

เหตุผลที่ คุณอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการ ประธานกรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการกำกับความเสี่ยง ชี้แจงคือ แม้รายได้โดยรวมของธนาคารยังคงดีอยู่ แต่ก็มีแนวโน้มที่ลดลง ชัดเจนคือรายได้จากค่าธรรมเนียม และรายได้จากสินเชื่อ เพราะการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีและการเข้าถึงระบบทางการเงินแบบใหม่ และจากผู้เล่นรายใหม่ บริษัท อาลีบาบา จากประเทศจีน คือชื่อที่ ดร.สมเกียรติ ยกตัวอย่างถึง 

การปรับตัวของไทยพาณิชย์มีหลายรูปแบบ แต่ที่ทรงพลังที่สุดในมุมของ ดร.สมเกียรติ คือการปรับตัวจากภายใน 

“ก่อนเดินเข้ามาในห้องประชุม ท่านเห็นใช่ไหมครับว่า จะมีบอร์ดที่โชว์รูปภาพพนักงานโดยถามว่า ‘ทำไมต้องตื่นมาทำงานในแต่ละวัน?’ นี่คือการปรับตัวครั้งใหญ่ของธนาคาร การปรับตัวที่ไม่ได้ขึ้นกับ CEO และกรรมการผู้จัดการใหญ่ แต่กระตุ้นให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

“และเพื่อให้เกิดความคล่องแคล่ว ธนาคารต้อง disrupt ตัวเองก่อนจะถูก disrupt สิ่งที่เป็นรูปธรรมคือ จากที่มีสายบังคับบัญชาที่ยาวมาก การปรับตัวจึงใช้ agile team เพื่อให้มีความคล่องแคล่ว ปราดเปรียว ตอนนี้ฝ่ายบริหารไม่ได้แยกตัวออกจากองคาพยพทั้งหมดแล้ว ฝ่ายบริหารถูกทลายห้อง ผู้จัดการใหญ่ตอนนี้นั่งโต๊ะตัวเดียวกัน มีอะไรจะได้พูดคุยกัน ตัดสินใจได้รวดเร็วเลย 

“นอกจากนี้ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล่นกับเทคโนโลยีมากขึ้น มีการตั้งบริษัทลูกขึ้นใหม่ เช่น SCB Abacus เพื่อทำงานด้าน big data ตั้งบริษัท Digital Ventures ไว้ลงทุนกับเทคโนโลยีเพื่อตามโลกให้ทัน และใน SCB เองก็มีการพยายามทำนวัตกรรมใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นเร็วกว่าปัจจุบัน 10 เท่า เรียกว่าแผนก SCB 10X” 

อาจไม่ต้องบอกแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ภายในตัวตึกของธนาคารไทยพาณิชย์ส่งภาพการเปลี่ยนแปลงสู่ผู้ใช้งานภายนอกอย่างไร ที่ชัดเจนที่สุดอาจเป็นความเคยชินกับ ‘แม่มณี’ และการอนุมัติสินเชื่อบางตัวที่ไวเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง 

หนึ่งในปรัชญาการเปลี่ยนแปลงภายในนี้ ดร.สมเกียรติ มองว่ามาจากความคิดที่ชื่อ VUCA: โลกที่เปลี่ยนไว ไม่แน่นอน ซับซ้อน และคลุมเครือ อันมาจากคำว่า 

  • V – Volatility การเปลี่ยนไว
  • U – Uncertainty ความไม่แน่นอน 
  • C – Complexity ความซับซ้อน 
  • A – Ambiguity ความคลุมเครือ 

ดร.สมเกียรติ ชี้ว่า ยิ่งองค์ประกอบซับซ้อนและมีองค์ประกอบตัวเล็กๆ น้อยๆ เชื่อมโยงกันหลายอย่าง ในความซับซ้อนจึงยากจะพยากรณ์ เช่น การทำนายที่ว่า หากธนาคารหนึ่งล้มไป จะส่งผลต่อธุรกิจอื่นหรือไม่ และ ส่งอย่างไร? นี่เป็นสิ่งที่สมัยนี้ไม่อาจทำนายได้ หมายความว่า ยิ่งซับซ้อนเท่าไร ก็ยิ่งคลุมเครือมากเท่านั้น 

“โลกจึงมีความไม่แน่นอนสูง พยากรณ์ได้ยาก และคลุมเครือ และนี่คือโลกที่พวกเราทุกคน และเด็กในวันนี้ต้องเผชิญ” ดร.สมเกียรติกล่าว 

ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค disruption

“ผมเรียนจบสาขาคอมพิวเตอร์ น่าสนใจมากนะครับ เพราะความรู้ที่ผมเรียนมาในปี 1 พอจบปี 4 มันใช้ไม่ได้แล้ว (หัวเราะ)” 

แม้ ดร.สมเกียรติจะหัวเราะแบบขันขื่น แต่ข้อเท็จจริงที่เขาชี้ก็คือ ‘ครึ่งชีวิต’ ของความรู้ จะมีอายุน้อยลงไปเรื่อย ความรู้-ความจริง ชุดเดิม จะถูกตั้งคำถาม รื้อ ล้ม และเกิดใหม่ ในเวลาที่สั้นลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะสาขาวิศวกรรมและคอมพิวเตอร์ ที่น่าสนุกไปกว่านั้นคือ ข้อเท็จจริงนี้สวนทางกับค่าเฉลี่ยอายุขัยของมนุษย์ที่จะยืนยาวขึ้นเรื่อยๆ

เราได้ยินกันตลอดว่าทักษะของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่ความสามารถทางวิชาการ (เพราะความรู้จะถูก disrupt) แต่ในทัศนะของ ดร.สมเกียรติ ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงพลิกผัน แค่ทักษะในศตวรรษที่ 21 ไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ต้องมี ++ ตามท้าย โดยเฉพาะ ความคิดสร้างสรรค์ และความจำเป็นต้องเข้าใจทฤษฎีแห่งการเรียนรู้ 

“แม้ความรู้จะมีอายุสั้นลง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่สำคัญ เพราะยิ่งความรู้สั้นลง เด็กกลับจำเป็นต้องรู้ถึงความเป็นไปในโลก นักเรียนต้องเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ‘ทฤษฎีความรู้’ รู้ว่าความรู้สร้างมาได้ยังไง ทำไมจึงผิดพลาดได้ และรู้ว่าแม้ว่าวันนี้มันถูกสร้าง มันอาจถูกล้มได้เช่นกัน”

ภาพใหม่ของการศึกษาไทย จึงกลับไปที่เนื้อแท้แห่งการศึกษา นั่นคือการเรียนรู้ที่ได้ทดลอง ลงมือ มีพื้นที่แห่งการทดลอง และต้องเกิดจาก passion ความหลงใหลภายใน 

“การถูกบังคับ เป็นแรงจูงใจที่ทำให้การเรียนรู้ของเด็กคนหนึ่งไม่ยืนยาว การเรียนรู้จะทำได้ ต้องเริ่มจากความหลงใหลและอยากเรียนรู้ภายใน การเรียนรู้ที่ได้ทำจากของจริง จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในอนาคต” 

ดร.สมเกียรติกล่าวปิดท้ายบนเวทีไว้อย่างน่าสนใจ โดยยกคำพูดของ เฮนรี มินท์ซเบิร์ก ศาสตราจารย์ด้านกลยุทธ์ มหาวิทยาลัยแมคกิลล์ ว่า 

“เมื่อโลกพยากรณ์ได้ เราต้องการคนฉลาด แต่เมื่อโลกพยากรณ์ไม่ได้ เราต้องการคนที่ปรับตัวได้”

สามารถดู Live Facebook ได้ที่นี่

Tags:

ระบบการศึกษาเทคนิคการสอนงานเสวนาBBL(Brain-based Learning)TEP Forumสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ครู

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    “คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

ไม่อย่า ไม่ห้าม ในห้องเรียนท้องฟ้ากับวิชาต้นไม้
Creative learning
10 June 2019

ไม่อย่า ไม่ห้าม ในห้องเรียนท้องฟ้ากับวิชาต้นไม้

เรื่องและภาพ BONALISA SMILE

ในห้องเรียนธรรมชาติ ท้องฟ้า ต้นไม้ และแมลงตัวเล็กๆ กลายเป็นคุณครูช่วยสอนลูกได้

อย่าปล่อยให้ความกลัวมาเป็นอุปสรรคในการเล่น ทดลอง และลงมือทำของลูก

เพราะในห้องเรียนใต้ท้องฟ้า มีความรู้ และทักษะชีวิตซ่อนอยู่มากมาย

อ่านบทความห้องเรียนธรรมชาติได้ ที่นี่

Tags:

โรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)สิ่งแวดล้อมeco literacy

Author & Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Learning Theory
    พัฒนาการ 8 ด้าน จากการออกไปเรียนใกล้ๆ ธรรมชาติ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ
BookEarly childhood
7 June 2019

THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ตัวอักษรในหนังสือ The Happiest Kids in the World พ่อแม่ดัตช์เลี้ยงแบบนี้หนูแฮปปี้สุดๆ กำลังถ่ายถอดเรื่องราวว่าด้วยการเลี้ยงลูกบนความต่างทางวัฒนธรรม
  • หนึ่งในสไตล์การเลี้ยงเด็กแบบชาวดัตช์คือการปล่อยให้เล่นอย่างอิสระโดยปราศจากสายตาของผู้ใหญ่ หากคนทั่วไปเห็นเด็กเล่นกับเพื่อนในสวนจะไม่มีการเดินเข้าไปถามว่า “พ่อแม่หนูอยู่ไหน” หรือแจ้งตำรวจจับพ่อแม่อย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในอเมริกาและอังกฤษ
  • หนังสือเล่มนี้พร้อมจะตบหลังตบไหล่ผู้ปกครอง และบอกว่า “ใจเย็นก่อนคุณแม่ คุณแม่ต้องได้นอน คุณแม่ต้องมีเวลาเป็นของตัวเอง คุณแม่ต้องมีความสุข คุณแม่ต้องมีชีวิต ปรัชญาของคุณแม่ชาวดัตช์คือการปล่อยวางความวิตกกังวลและปล่อยให้เด็กๆ เจอข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง

คุณเคยปล่อยให้ลูกเล็กๆ-สมมุติอายุราว 4 ขวบเล่นไกลตาที่สุดในระยะกี่เมตร?

ถามคนที่ไม่ใช่ผู้ปกครอง เคยสงสัยไหมว่าหน้าที่ของพ่อแม่คือ การวิ่งตามป้อนข้าวลูกในสนามเด็กเล่นอย่างนั้นจริงๆ หรือ?

และถ้าหนังสือเล่มนี้ The Happiest Kids in the World พ่อแม่ดัตช์เลี้ยงแบบนี้หนูแฮปปี้สุดๆ จะกล่าวว่า “เมื่อเด็กดัตช์อายุ 4 ขวบขึ้นไปพวกเขาจะได้ออกไปเล่น ‘กลางแจ้ง’ ด้วยตัวเองและไกลจากสายตาพ่อแม่โดยสิ้นเชิง” ทั้งเป็น ‘กลางแจ้ง’ ที่ไม่ได้หมายถึงแค่ในสวนหรือลานกว้างเสมอไป แต่หมายถึงตรอกข้างบ้าน ทางเดิน ปีนป่ายอยู่บนต้นไม้ใหญ่โดยไม่มีเบาะรองกันกระแทก และถ้าผู้ใหญ่ละแวกนั้นเห็นเด็กวิ่งเล่นอยู่คนเดียว พวกเขาไม่แสดงอาการตกใจและปรี่เข้าไปถามว่า “พ่อแม่หนูอยู่ไหนทำไมปล่อยให้มาเดินเล่นคนเดียว” ยังไม่รวมภาพขบวนจักรยานทั้งเด็กน้อยและผู้ใหญ่ที่ใช้ปั่นไปโรงเรียนและทุกสถานที่ด้วยตัวเอง โดยปราศจากผู้ปกครองขี่ตามท้าย

ทั้งหมดนี้จะน่าสนใจและน่าตั้งคำถามต่อวิธีคิดในการเรียนรู้ของเด็กๆ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประเทศที่ติดอันดับ1 ด้านความสุขและการศึกษา จัดอันดับโดยองค์การยูนิเซฟเมื่อปี 2013 มากขึ้นอีกนิดหรือเปล่า

The Happiest Kids in the World พ่อแม่ดัตช์เลี้ยงแบบนี้หนูแฮปปี้สุดๆ ชวนตั้งคำถามและมีคำตอบให้กับประเด็นเหล่านี้

ทารกดัตช์นอนหลับได้นานกว่า
เด็กดัตช์มีการบ้านน้อยมากหรือไม่มีเลยในโรงเรียนประถม
เด็กดัตช์ไม่เพียงมีตัวตน แต่ยังมีสิทธิมีเสียงในสายตาผู้ใหญ่
เด็กดัตช์ได้รับความไว้วางใจให้ขี่จักรยานไปโรงเรียนเอง
เด็กดัตช์ได้รับอนุญาตให้เล่นกลางแจ้งโดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่คอยดูแล
เด็กดัตช์กินอาหารปกติของครอบครัว
เด็กดัตช์ได้ใช้เวลากับพ่อแม่มากกว่า
เด็กดัตช์เพลิดเพลินกับความสุขง่ายๆ และพอใจกับของเล่นมือสอง
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เด็กดัตช์ได้กินเกล็ดช็อกโกแลตตอนมื้อเช้า!

ที่มา: The Happiest Kids in the World (หน้า 15)

การเลี้ยงลูกแบบปล่อยอิสระคืออะไร?

“การปล่อยให้พวกเขาเบื่อก็สำคัญ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเล่นคนเดียวเป็นได้อย่างไร งานของพ่อแม่ไม่ใช่การเล่นกับลูกตลอดเวลา เด็กต้องหาอะไรทำเองเล่นสนุกเองบ้างเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และความฉลาด” – หน้า 165

อ่านมาถึงหน้านี้แล้วก็ตบเข่าฉาด ทำไมเราต้องคอยเอนเตอร์เทนเด็กตลอดเวลา หนังสือเล่มนี้บอกว่า หนึ่งในสไตล์การเลี้ยงเด็กแบบชาวดัตช์คือการปล่อยให้เล่นอย่างอิสระโดยปราศจากสายตาของผู้ใหญ่ หากคนทั่วไปเห็นเด็กเล่นกับเพื่อนในสวนจะไม่มีการเดินเข้าไปถามว่า “พ่อแม่หนูอยู่ไหน” หรือแจ้งตำรวจจับพ่อแม่อย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในอเมริกาและอังกฤษ

ในวัยทารกหัดคลานไปจนถึงราว 4 ขวบจะเห็นพวกเขาเดินเตาะแตะที่ทางเดินหรือเล่นอยู่หน้าบ้าน แต่เมื่อ 4 ขวบขึ้นไปซึ่งถือเป็นวัยที่จะได้ออกไปเล่นกลางแจ้ง ออกไปเล่นที่สวนสาธารณะ หรือสนามเด็กเล่น ซึ่งมีอยู่ทุกหัวมุมถนนในกรุงอัมสเตอร์ดัม แค่เฉพาะในเมืองก็มีสนามเด็กเล่นถึง 1,300 แห่งเข้าไปแล้ว 

และมันไม่ใช่การปล่อยให้เล่นอย่างเลยเถิด พวกเขามีกติกาสำคัญด้วย คือเด็กๆ (แค่) จะสื่อสารกับผู้ปกครองว่าจะกลับถึงบ้านภายในเวลาเท่าไรและจะต้องกลับบ้านให้ตรงตามเวลานั้นๆ ซึ่งนี่เป็นเรื่องเดียวกับ ‘วินัย’ ที่ชาวดัตช์ให้ความสำคัญ

หลายๆ คนทราบกันดีอยู่แล้วว่าเด็กๆ วัย 0-7 ปีควรเล่นมากกว่าเรียน แต่ชาวดัตช์ให้ความสำคัญกับการเล่นในระดับที่รับรู้ทั่วไปในสังคมจริงจังขนาดว่าการสอบของที่นี่เป็นไปแค่การบอกพัฒนาการและ ‘คำแนะนำ’ ว่าลูกคุณควรเรียนอะไรหรือไปต่อสายไหน

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขาเชื่อตรงกันว่าองค์ประกอบสำคัญของวัยเด็กคือ ‘อิสรภาพ’ จากการได้เล่น การเล่นกลางแจ้งโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแลคือพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านให้พวกเขามีอิสระและแข็งแกร่งขึ้น มีวินัย ทรหด ยืดหยุ่น เป็นหนุ่มสาวที่พึ่งพิงตัวเองได้

หนังสือเล่มนี้ยังพูดถึงการเล่นในแง่การสร้างทักษะทางสังคมผ่านการเล่น เพราะถ้าคุณได้เล่นและได้ล้มอย่างมีอิสระโดยไม่รู้สึกถูกควบคุม คุณจะมั่นใจเคารพตัวเอง รู้ว่าจะแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าอย่างยืดหยุ่นโดยไม่รอคำสั่งจากพ่อแม่ได้อย่างไร และยังทำให้คุณเป็นคน ‘เข้าอกเข้าใจ’ ผู้อื่นผ่านการเล่นกับผู้คนหลากหลายอีกด้วย

นี่มันปรัชญาแห่งการเรียนรู้และเติบโตชัดๆ

พ่อแม่แบบดัตช์ ‘พ่อแม่ที่ดีพอไม่ใช่พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ’ 

อันที่จริงเรื่องอิสรภาพจากการเล่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของวิธีคิดการเลี้ยงเด็กสไตล์ดัตช์ หากปรัชญาที่ลึกลงไปก็คือ คนดัตช์เชื่อเรื่องการเป็นพ่อแม่ที่ดีพอไม่ใช่พ่อแม่ที่สมบูรณ์

“คนดัตช์จริงจังเรื่องนี้ พวกเขามีมุมมองที่สมจริงเรื่องความเป็นพ่อแม่ และเข้าใจว่าตนเอง (และลูกๆ) ไม่ได้สมบูรณ์แบบ พวกเขาคือพ่อแม่ที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งความจริง พวกเขายังคงดิ้นรนกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวันและความยุ่งเหยิงของชีวิต แต่เพราะพวกเขาให้อภัยความไม่สมบูรณ์และความบกพร่องของตัวเองพวกเขาจึงมีความสุขกับความเป็นพ่อแม่ได้

“(…) คนดัตช์ไม่สนใจเรื่องให้ลูกเป็นเด็กฉลาดที่สุด พวกเขาดูเหมือนจะแค่อยากให้ลูกเป็นเด็กเลี้ยงง่ายที่สุด” – หน้า 65

หนังสือเล่มนี้พร้อมจะตบหลังตบไหล่ผู้ปกครอง และบอกว่า “ใจเย็นก่อนคุณแม่ คุณแม่ต้องได้นอน คุณแม่ต้องมีเวลาเป็นของตัวเอง คุณแม่ต้องมีความสุข คุณแม่ต้องมีชีวิต ปรัชญาของคุณแม่ชาวดัตช์คือการปล่อยวางความวิตกกังวลและปล่อยให้เด็กๆ เจอข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง เพราะนั่นคือวิถีการเติบโตที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”

“ปล่อยให้ลูกจัดการกับสถานการณ์อันตรายอย่างมีศักยภาพ และพวกเขาจะเรียนรู้วิธีประเมินความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงปัญหาเมื่ออยู่นอกบ้าน” – หน้า 153 

มากไปกว่าการส่งสารถึงคุณแม่ หนังสือเล่มนี้ยังทำงานเพื่อบอกกับสังคมด้วยว่าการสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้เต็มพร้อมคนหนึ่ง…

อย่างแรก–เลิกกดดันพ่อแม่ให้ ‘ควบคุม’ จัดการลูกได้แล้ว

สอง–ทั้งสังคมต้องหารือกันอย่างจริงจังว่าการเรียนรู้แบบไหนที่จะสร้างทักษะในการเป็นมนุษย์คนหนึ่งจริงๆ เช่น ถ้าอยากให้เด็กๆ เล่นอย่างอิสระ สนามเด็กเล่นที่ปลอดภัยมีเพียงพอหรือยัง, จะให้เด็กๆ ขี่จักรยานไปโรงเรียนด้วยตัวเอง เครือข่ายเส้นทางจักรยานมีครบพร้อมและทั่วถึงไหม, จะให้เด็กเรียนใกล้บ้านจนสามารถขี่จักรยานไปโรงเรียนได้ แล้วโรงเรียนมีคุณภาพเท่าเทียมกันหรือยัง? และอื่นๆ อีกมากที่เมื่ออ่านจบแล้วอยากตายแล้วเกิดใหม่ แล้วขอให้ “ชาติหน้าเกิดเป็นคนดัตช์” อย่างโปรยปกหลังจริงๆ

ผู้เขียนไม่มีลูกแต่อ่านแล้วยังสนุกราวกับมีเพื่อนเป็นคนดัตช์เองจริงๆ แถมอ่านจบยังอยากจับตั๋วเครื่องบินไปเนเธอร์แลนด์เดี๋ยวนั้น ไปขี่จักรยาน ไปดูสวนสาธารณะ ไปดูเด็กๆ วิ่งเล่นโดยไม่มีพ่อแม่ควบคุมจนแก้มแดง จนผมหลุดลุ่ยกระเซอะกระเซิง ไปให้เห็นกับตาว่าการเลี้ยงเด็กสไตล์ดัตช์มันสบายๆ เช่นนั้นจริงหรือ? แล้วทำไมการเป็นแม่ต้องดูเหนื่อยล้าและเคร่งเครียดด้วย

อยากไป!

The Happiness Kids in the World พ่อแม่ดัตช์เลี้ยงแบบนี้หนูแฮปปี้สุดๆ บอกเล่าโดย รีนาเมอะคอสต้า และ มิเชล ฮัทชิสัน คุณแม่ชาวอเมริกันและอังกฤษซึ่งแต่งงานกับผู้ชายดัตช์ 

แม่ทั้งสองถูกเลี้ยงดูมาในวัฒนธรรมแบบอเมริกันและอังกฤษที่ซึ่งอาจถูกฟ้องได้หากคุณปล่อยลูกเล่นที่ระเบียงเพียงคนเดียว! หรือวัฒนธรรมที่พ่อแม่ต้องจับตาดูลูกน้อยตลอดเวลา ที่ซึ่งการสอบเข้าโรงเรียนอนุบาลประถมมัธยมเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด และการแทงข้างหลัง

เมื่อต้องมาอยู่ในวัฒนธรรมการเลี้ยงเด็กสไตล์ดัตช์ต้องเปลี่ยนแนวคิด ‘การเป็นแม่ที่สมบูรณ์’ เป็น ‘แม่ที่ดีพอ’ ทั้งคู่จึงร่วมกันเขียนหนังสือเล่มนี้รวบรวมจากประสบการณ์ชีวิต และการสัมภาษณ์ผู้ปกครองชาวดัตช์และต่างชาติร่วมกับนักวิชาการด้านการศึกษามากมาย

Tags:

การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกวินัยเชิงบวกการเล่นอิสระ(free play)พ่อแม่สนามเด็กเล่นปฐมวัยหนังสือ

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodBook
    พลังแห่งวัยเยาว์: ขอผู้ใหญ่ ‘อย่าเข้าไปยุ่ง’ เด็กเล็กควรเล่นอิสระมากกว่าฝึกฝน

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodBook
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • EF (executive function)
    ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Bookอ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกคุณแม่นักอ่านนิทาน: แค่คำว่า ‘กาลครั้งหนึ่ง’ ก็เปลี่ยนโลกได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

หมดเวลาชอล์กแอนด์ทอล์ค มาเรียนรู้อย่างเสรีผ่านห้องเรียน NETFLIX
Creative learning
6 June 2019

หมดเวลาชอล์กแอนด์ทอล์ค มาเรียนรู้อย่างเสรีผ่านห้องเรียน NETFLIX

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • วิชาเสรี หรือ​ FE​ (Free Elective) เป็นวิชาเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นตามความสนใจของนักเรียน​โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โดยการเรียนการสอนคล้ายกับวิชาพื้นฐาน มีสอบ​ มีตัดเกรด​จริงจัง บางรายวิชาก็เน้นปฏิบัติให้นักเรียนทดลองทำจริง
  • แม้จะเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียนเอง แต่ในยุคเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีโทรศัพท์ เด็กๆ ใช้แทบเล็ต ครูจะทำอย่างไร ให้วิชาที่ตัวเองสอนไม่น่าเบื่อ ไม่ใช่เดินเข้ามาก็ Talk and Chalk พูดๆๆ แล้วก็เขียนกระดาน แต่ต้องดีไซน์การสอนให้ดึงดูดนักเรียนได้
  • ข้อมูลสถิติช่วยยืนยันว่า การมีวิชาเลือกเสรี ทำให้นักเรียนสอบตกลดลง และเด็กๆ ส่วนใหญ่เกรดเฉลี่ยดีขึ้น เพราะเขาได้เลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

วิชาภาษาอังกฤษจากภาพยนตร์ Netflix

วิชาการแสดงขั้นพื้นฐาน 

วิชาอาหารจานเดียว

วิชาอาหารนานาชาติ 

หรือวิชาการเขียนบทภาพยนตร์เบื้องต้น

นี่คือรายชื่อวิชาเลือกเสรีบางส่วนของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ที่เผยแพร่ครั้งแรกในช่องทางทวิตเตอร์ของผู้ใช้รายหนึ่ง

ปรากฏการณ์นี้ทำให้ชาวทวิตเตอร์จำนวนมากแสดงความเห็นไปในทางเห็นด้วย หลายคนมองว่า “นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโรงเรียนมัธยม” เพราะวิชาเสรีที่ถูกระบุอยู่ในตารางต่างเป็นวิชาที่มีประโยชน์ ดูแล้วช่วยเสริมสร้างทักษะของเด็ก ตอบโจทย์ความชอบและความสนใจของนักเรียนได้อย่างแท้จริง และที่สำคัญวิชาเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้เด็กๆ ค้นพบตัวเองได้

ความหลากหลายของรายวิชาดังกล่าว ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า วิชาเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรและทำไมต้องมี 

The Potential ไปหาคำตอบกับสามหัวเรือใหญ่ ผู้ทำงานขับเคลื่อนให้เกิดตลาดวิชาเสรีขึ้นจริงในโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้

คนแรก ครูโกสุม รุ่งลักษมีศรี ผู้คิดและริเริ่มคิดทำตลาดวิชาเลือกเสรีเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ครั้งยังเป็นหัวหน้าฝ่ายวิชาการมัธยมศึกษา ปัจจุบันเป็นหัวหน้าฝ่ายโครงการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการสอน (English Immersion Program; EIP) 

คนที่สอง ครูสุดฤทัย สัจติประเสริฐ หัวหน้าฝ่ายวิชาการมัธยมศึกษา เป็นผู้ริเริ่มคิดระบบ Track* เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยยังยึดแนวทางตลาดวิชาที่ยังเหลือร่องรอยอยู่บ้าง และเคยดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายโครงการใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อการสอน

คนที่สาม ครูวศวิศว์ ปุณณะสุขขีรมณ์ หัวหน้างานนักเรียนความสามารถพิเศษด้านวิชาการ เริ่มทำงานตลาดวิชาเสรีกับครูโกสุมตั้งแต่แรก และปัจจุบันก็ยังทำอยู่ร่วมกับการจัดการระบบ Track ด้วย ซึ่งระบบการเรียนแบบ Track นี้ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า BCC Next

วิชาเสรีในโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร

ครูโกสุม: วิชาเสรีเริ่มต้นเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ขอเล่าคร่าวๆ ก่อนว่า คนที่ดูแลเรื่องวิชาเสรี จะแบ่งเป็น 2 ยุค ช่วงแรกคือครูโกสุม ช่วงต่อมาคือครูสุดฤทัย โดยจุดเริ่มต้นของการเปิดตลาดวิชาเสรีในโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย เริ่มจากสองจุดใหญ่ๆ คือ 1.นโยบายของโรงเรียนที่ต้องการผู้ที่เกี่ยวข้องให้มีส่วนในการพัฒนานักเรียนตามศักยภาพ ตามความถนัด และความสนใจ 2.ความเชื่อส่วนตัว โดยส่วนตัวครูมียูโทเปียในโลกการศึกษาที่เชื่อว่าเด็กควรจะได้เรียนในสิ่งที่พวกเขาอยากเรียน

แล้ววันหนึ่งเราก็ปิ๊งไอเดียว่าอยากปรับเปลี่ยน ไม่อยากทำวิทย์-คณิตแล้ว เราไม่อยากสร้างตะกร้า 2 ตะกร้า แล้วจับเด็กโยนใส่ลงไป

จึงคิดต่อว่า ในเมื่อเรามี 41 หน่วยกิตที่เป็นเกณฑ์บังคับของโรงเรียนอยู่แล้ว อีก 36 หน่วยกิตที่เหลือ พอจะเป็นช่องทางที่เราสามารถผลักให้เด็กเรียนอยากเรียนได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘วิชาเลือกเสรี’ 

เหตุอีกอย่างที่ทำให้วิชาเสรีเกิดขึ้นจริงในโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย คือ วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ข้อดีของโรงเรียนนี้ คือ ผู้บริหารรับฟังคนทำงาน โดยที่ยึดประโยชน์ของนักเรียนเป็นหลัก อะไรที่เห็นว่าเด็กจะได้รับผลประโยชน์ เขาจะ say yes กลับมาตลอด 

ก่อนจะปิ๊งไอเดีย ได้ฟังเสียงของเด็กๆ ก่อนไหมว่าเขาอยากเรียนอะไร

ครูโกสุม: เราคุยกับเด็กอย่างสม่ำเสมอ ก็จะมีเสียงบ่นๆ ให้ได้ยินมาบ้าง เช่น เด็กที่อยากเข้าเรียนด้านสถาปัตย์ เขาไม่อยากเรียนวิชาชีววิทยา ซึ่งเราเป็นครู ก็ต้องคิดอยู่เสมอว่า ทำอย่างไรให้การเรียนไปสนองความต้องการของเด็ก ให้เขานำไปใช้ได้มากที่สุด บางอย่างที่กำหนดให้เรียนแต่เด็กไม่ได้นำไปใช้ เรามองว่ามันเป็นการสูญเสียโดยใช่เหตุ พอได้คุยกับครูในทีมผู้ที่มีความเชื่อเหมือนกัน เราก็ช่วยกันคิดว่าจะสร้างระบบขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่างได้อย่างไร

อะไรที่ทำให้ครูเชื่อเหมือนกัน

ครูโกสุม: จริงๆ แล้วครูที่นี่ มีความคิด ความเชื่อ แบบเดียวกันเยอะนะ บวกกับผู้บริหารไม่ว่าจะยุคไหน ก็ไม่เคยชี้บังคับว่าครูต้องทำนู่น ทำนี่ ถ้าครูคนไหนมีไอเดียจะทำอะไรใหม่ๆ และมีเหตุผลที่ดี ก็สนับสนุนเต็มที่ ขอแค่ครูคิดเพื่อเด็ก 

ครูวศวิศว์: โรงเรียนมีกรอบครับ แต่ว่ามันเป็นกรอบที่หลวม ไม่ได้แน่นจนครูขยับตัวไม่ได้ มีข้อมูลให้ค้นคว้า มีการจัดอบรมบุคลากรทั้งภายในภายนอก รวมถึงต่างประเทศ ครูในโรงเรียนก็มีโอกาสได้เปิดโลกมากขึ้น

ย้อนถามเมื่อ 8 ที่แล้ว ที่เป็นก้าวแรกของการเปิดตลาดวิชาเสรี มีความยากหรืออุปสรรคอะไรบ้าง

ครูโกสุม: ณ จุดนั้น เราไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต ของเดิมเราจัดเด็กเลือกลงตะกร้าที่มีแค่วิทย์คณิตและศิลป์ แต่ของใหม่เราให้เด็กหาของลงตะกร้าด้วยตัวเอง ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่เพียงแค่ต้องปรับ และเชื่อว่าเราทำได้ 

ปัญหาที่เราพบ คือ ช่วงปีแรกที่เราเริ่มเปิดตลาดวิชาเสรี โดยเริ่มกับนักเรียนชั้น ม.4 ก่อน ถ้าปัจจุบันนักเรียนรุ่นนี้ก็น่าจะเพิ่งรับปริญญาไป โดยในตอนนั้นเราใช้วิธีแจกเอกสารให้นักเรียน ‘ติ๊ก’ เนื้อหาที่ตัวเองสนใจและอยากเรียนลงในกระดาษ เอกสารนั้นระบุ FE ทั้งหมดประมาณ 8 คาบ ซึ่งให้เด็กระบุต่อว่าในคาบเสรีของเขาอยากจะเรียนวิชาอะไรบ้าง

อย่างที่บอก กระทรวงฯ มีเกณฑ์กำหนดมา 2 แบบ นั่นคือโรงเรียนต้องมีวิชาบังคับและวิชาเลือก ดังนั้นความสำคัญอันดับแรกที่ทางโรงเรียนทำ คือการจัดวิชาบังคับตามหลักสูตรกระทรวงฯ ใส่ลงในตารางเรียนเป็นอันดับแรก

จากนั้นก็จะสลายพวกวิชาเพิ่มเติมออก เช่น วิชาภาษาอังกฤษ1 วิชาคณิตศาตร์เพิ่มเติม วิชาอังกฤษเพิ่มเติม และปรับเป็นคาบ FE ลงไปในตารางเรียนแทน โดยมีการให้เด็กๆ แชร์ไอเดียเข้ามาว่าแต่ละคาบใน FE ของพวกเขา เขาจะดีไซน์วิชาอะไรขึ้นมา โดยเราจะยึดตามที่พวกเขาอยากรู้และอยากเรียน

ซึ่งเราตั้งโจทย์และพยายามกระตุ้นให้ครูหัวหน้ากลุ่มสาระลงไปคุยกับเด็กโดยตรง ถามเลยว่า ‘ถ้าไม่ใช่วิชา ภาษาอังกฤษ1 คณิตศาตร์เพิ่มเติม อังกฤษเพิ่มเติม ฯลฯ เขาอยากจะเรียนวิชาอะไรได้บ้าง?’

จุดประสงค์ตอนนั้น ครูต้องการเพียงให้เด็กๆ เขาค้นพบความชอบของตัวเอง ให้ชัดเจนว่าตัวเองจะเดินไปทางไหนเมื่อจบ ม.6 ไป เมื่อพบคำตอบว่าเด็กๆ อยากเรียนวิศวะ เรียนสถาปัตย์ เรียนการแสดง ฯลฯ จึงก่อให้เกิดรายวิชา FE ที่เกี่ยวโลจิสติกส์ การแสดงเบื้องต้น ขึ้นมา

และสิ่งสำคัญที่ทำให้ FE มันขับเคลื่อนไปได้ เป็นเพราะเรามีพี่ๆ ศิษย์เก่าที่มีความรู้หลากหลายได้เข้ามาเป็นกำลังสำคัญที่คอยช่วยเหลือ

แสดงว่า การมีวิชา FE ขึ้นมา คือการเปิดให้เด็กดีไซน์การเรียนของตัวเองเต็มที่?

ครูโกสุม: ส่วนหนึ่ง เพราะเด็กๆ สามารถหยิบวิชาที่ตัวเองสนใจใส่ในตะกร้าของตัวเองได้ ยกเว้นวิชาหลักที่ต้องยึดอยู่ ซึ่งเราต้องเดินตามหลักสูตร และตัวชี้วัดอยู่แล้ว ในช่วงแรกที่เปลี่ยนแปลงครูที่ทำงานหรือคนในทีมมีความเครียดมาก เพราะไม่อยากให้เกิดความผิดพลาด ไม่อยากให้เด็กเรียนไปถึง ม.6 แล้วสุดท้ายพบว่าเรียนไม่ครบหน่วยกิต โรงเรียนจึงมีความระวังตรงนี้อย่างมาก ดังนั้นอะไรที่ต้องมีพื้นฐานเราจัดให้เด็กหมดอยู่แล้ว แต่เราเข้าใจโรงเรียน เราเข้าใจงาน เพราะปัญหาหนึ่งที่เราพบหลังจากทำ FE คือ ปัญหาเกี่ยวกับบุคลากรครูผู้สอน

ในช่วงแรกที่เปิดตลาดวิชาเสรี ยังไม่มีระบบออนไลน์ที่แข็งแรง ครูยกตัวอย่างวิชาหนึ่งชื่อว่า ‘อาหารจานเดียว’ ที่เปิดสอนเกี่ยวกับการทำอาหารที่เป็นอาหารจานเดียว เช่น ซาลาเปา เค้ก พาย เบเกอรี เป็นวิชาที่เด็กๆ สนใจและลงเรียนเยอะมาก จนทำให้ครูผู้สอนมีจำนวนไม่พอกับความต้องการ 

เวลาจะเริ่มเปิดวิชาเสรี (FE) ตั้งต้นจากบุคลากรครูที่มีหรือความต้องการของเด็ก

ครูโกสุม: ต้องมองทั้งสองอย่างพร้อมๆ กันนะ ถ้ามันมีความต้องการของเด็กเข้ามา แล้วไปตรงกับครู ศิษย์เก่า หรือผู้ปกครอง ที่พอช่วยเหลือ ก็ทำได้ 

ครูวศวิศว์: เรามีการทำสำรวจ แล้วนำผลนั้นมานั่งคุยกันในทีมวิชาการว่าเด็กอยากเรียกแบบนี้ หมวดนี้เปิดได้ไหม ถ้าเปิดเองได้ไม่ได้เราหาผู้สอนคนนอก

ครูโกสุม: อีกหนึ่งสิ่งที่เรานำมาพิจารณาร่วมด้วยคือเราต้องดูว่า อะไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตของเด็กๆ ในโลกที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ ต้องดูว่าเทรนด์อะไรกำลังจะมา อะไรจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตเขา บางอย่างที่เราเห็นว่ามันสำคัญมาก แต่เราไม่มีบุคลากร เราก็ต้องพยายามหาคนนอกมาสอนให้ได้ เช่น วิชาโลจิสติกส์ใน 8 ปีที่แล้ว ก็ยังไม่ได้บูมมาก แต่มาแรงและได้รับความนิยมในยุคนี้ รวมถึงวิชาคิดแบบนักเศรษฐศาสตร์และวิชาการแสดงขั้นพื้นฐานด้วย

ความแตกต่างระหว่างตลาดวิชาเสรีช่วงแรกกับตอนนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหม

ครูโกสุม: ก่อนจะไปถึงตรงนี้ เด็กเคยผ่านการเลือกวิชาอย่างสะเปะสะปะมาก่อน เพราะเนื่องจากเราไม่มีระบบแน่นอน ต้องกรอกเอกสารจากมือ ไม่มีระบบออนไลน์ ทำให้ไม่สามารถควบคุมปริมาณนักเรียนที่ลงเรียนในแต่ละวิชาได้ เราจึงคุยกันว่ามันควรจะมีครูแนะแนวที่เขามาช่วยกรองขั้นต้น เพื่อช่วยแนะเด็กในการค้นหาความชอบ ตัวตน ของนักเรียนจริงๆ

ส่วนเราจะรู้ได้อย่างไรว่าวิชาไหนที่เด็กชอบที่สุด เราวัดจากการลงทะเบียน เราจะรู้ได้เลยว่าวิชาไหนเด็กอยากเรียนมาก เด็กแย่งกันลง หรือได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ ส่วนวิชาไหนที่เด็กลงน้อยๆ 1-2 คน ก็จะค่อยๆ ตายลงไปเอง

นอกจากนั้นเมื่อเปรียบเทียบก่อน-หลัง ที่มีวิชา FE ขึ้นมา ข้อมูลหนึ่งช่วยให้เห็นชัดเจนว่า สถิตินักเรียนสอบตกมีจำนวนลดลง และเด็กๆ ส่วนใหญ่เกรดเฉลี่ยดีขึ้น เพราะเขาได้ลงเรียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเรียน

ในฐานะที่ครูโกสุมเคยสอนวิชา FE ในวิชาเบเกอรี ในคาบเรียนครูต้องทำอะไรบ้าง

ครูโกสุม: เราต้องทำตามโครงสร้างอยู่แล้ว โรงเรียนจะมีข้อกำหนดบอกว่าเก็บคะแนนครั้งที่ 1 เมื่อไร เก็บสัดส่วนเท่าไร เรายังอยู่ในกรอบ

ตอนที่เราเปิดแรกๆ ครูผู้สอนในวิชานี้ไม่ได้มีใครจบเชฟ แต่เป็นคนที่ชอบทำ ชอบกิน บวกกับเรามีใบ certificate teacher ที่ระบุว่าสามารถสอนได้ตั้งระดับ ม.1-6  จึงตัดสินใจเปิดสอน โดยที่ไม่ผิดกฎกระทรวงฯ 

แต่พอสิ่งที่เกิดขึ้นจากจุดนั้น มันมาไกลมาก นักเรียนให้ความสนใจวิชานี้อย่างถล่มทลาย ซึ่งตัวเลขพวกนี้ก็จะบอกเราเองว่าเราควรจะจัดการอย่างไรต่อ เมื่อตัวเลขความต้องการของนักเรียนเยอะขึ้น สเต็ปต่อมาคือการพัฒนาการเรียนการสอน โดยมีการสร้างห้องโภชนาการเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้ดีขึ้นอีกด้วย

แล้วบรรยากาศในห้องเรียนเป็นอย่างไร

ครูโกสุม: ส่วนบทบาทของครูผู้สอนหรือบรรรยากาศในห้องเรียน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคอร์สอะไร อย่างเช่น ในรายวิชาประกอบอาหารเบื้องต้น เราจะกำหนดเมนูขึ้นมาให้นักเรียนแต่ละสัปดาห์ ตอนนั้นได้ เชฟอาร์ท จากรายการ Iron Chef ที่เคยเป็นศิษย์เก่าก็มาช่วยสอน โดยเริ่มทำความรู้จักอุปกรณ์ในครัวก่อน เช่น การใช้มีด การใช้มีดขณะเคลื่อนไหว การใช้มีดขณะยืนอยู่กับที่ หรือเรียนแม้กระทั่งการเทนม เทของเหลวลงภาชนะอย่างไรโดยไม่กระเด็นและเลอะเทอะ ต้องเทมุมไหน ใช้องศาไหน รวมถึงการดูแลอุปกรณ์ล้างถ้วยล้างจาน 

นอกจากอาหาร มีวิชาเปิดใหม่อะไรอีกบ้างไหม

ครูโกสุม: สำหรับวิชาที่เปิดใหม่ ที่เราคิดว่ามันน่าจะเป็นของใหม่ ณ เวลานั้น เริ่มต้นตั้งแต่วิชาการแสดงเบื้องต้น การเขียนโปรแกรม กราฟิกดีไซน์ การออกแบบ Infographic ภาษาอังกฤษจากภาพยนตร์ วัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมญี่ปุ่น

ต่อมามันก็ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ จากเรียนภาษาอังกฤษผ่านภาพยนตร์ก็มาเรียนผ่าน Netflix หรือวัฒนธรรมจีนที่ตอนนี้พัฒนามาเรียนลึกเป็นวิชาบทบาทจีนกับประชาคมโลกแล้ว 

ส่วนครูผู้สอนก็จะหาจากบุคลากรครูในโรงเรียนที่นี่ก่อน เพราะครูหลายๆ คนก็ผ่านการอบรมมา ไฟแรง มีความรู้ สามารถสอนได้ เช่น วิชาด้านคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย แต่วิชาไหนที่เฉพาะทางมากๆ เราก็จะอาศัยผู้สอนที่หามาจากข้างนอก แต่เราต้องพยายามใช้ครูข้างในก่อน

ช่วยเล่าการเรียนการสอนให้ห้องเรียน Netflix ว่าทำอะไรบ้างและมันมีประโยชน์อย่างไร

ครูสุดฤทัย: อย่างที่บอกว่าคุณครูของเรามีความทันสมัย ครูเขาก็รู้จัก Netflix อยู่แล้ว และมองเห็นว่า นี่มันน่าจะสร้างประโยชน์อะไรให้เด็กได้นะ แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะใช้เครื่องมือนี้เข้ามาสอนเด็กในห้องเรียน ซึ่งมันเป็นไปได้ เพราะ Netflix เป็นคำทันสมัยที่เด็กรุ่นนี้เขารู้จักดีอยู่แล้ว แค่เขาเห็นรายชื่อวิชาก็เพิ่มความอยากเรียนรู้มากขึ้นไปอีก 

ครูวศวิศว์: วัตถุประสงค์ของวิชานี้ แบ่งเป็น 3 อย่างคือ 

  1. ต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ในบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษทั่วๆ ไป 
  2. ให้นักเรียนฝึกการฟัง ได้รู้ว่า การสนทนาภาษาอังกฤษมันอาจจะไม่เหมือนกับการเรียนแกรมม่านะ 
  3. อยากจะให้นักเรียนเห็นวัฒนธรรม สภาพความเป็นอยู่ของชาวต่างชาติผ่านหนัง Netflix จากนั้นอาจจะต่อยอดโดยการให้เปรียบเทียบหรือหาข้อแตกต่างกับประเทศไทย ซึ่งวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญของ global awareness ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆ ทักษะที่จำเป็นสำหรับทักษะสำคัญในการเรียนเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st-Century Skill) นี่คือโจทย์ของการตั้งวิชานี้ขึ้นมาในคาบ FE

ครูสุดฤทัย: เวลาคุณครูแต่ละท่านจะตั้งรายวิชาใน FE ขึ้นมา มันไม่ได้อยู่ในกติกาในหลักสูตร เพราะนี่คือวิชาเพิ่มเติมที่เป็นตัวเลือก ดังนั้นกรอบปลายทางหรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง คือการที่คุณครูกำหนดขึ้นมาเองว่าอยากจะให้เด็กเรียนรู้อะไรบ้าง เพื่อเวลาออกแบบการสอนจะได้เป็นไปตามนั้น แต่เรามีการประเมิน มีการตัดเกรด ในบางวิชามีการสอบวัดผล แต่อาจจะไม่ใช่การสอบแบบเปเปอร์

แล้วการพัฒนาตลาดวิชาตอนนี้เป็นไงบ้าง

ครูสุดฤทัย: ตอนนี้ครูทุกคนตระหนักขึ้นแล้วว่า วิชาไหนที่เด็กชอบและเด็กสนใจ อีกอย่างครูทุกคนมีตัวตน และต้องการให้วิชาที่ตัวเองสอนเกิดประโยชน์กับเด็กมากที่สุด ดังนั้นโจทย์ต่อไปคือ เหล่าบรรดาครูๆ ต้องสรรหาว่าวิชาอะไรที่จะตอบโจทย์เด็กตรงนี้ได้ 

แต่ก็อย่างที่ทราบ ถึงแม้จะเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียนเองก็ตาม ในยุคเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีโทรศัพท์ มีแทบเล็ต ครูจะทำอย่างไร ให้วิชาที่ตนเองสอน ไม่น่าเบื่อ ไม่ใช่เดินเข้ามาก็ Talk and Chalk พูดๆๆ แล้วก็เขียนกระดาน แต่ต้องดีไซน์การสอนให้ดึงดูดนักเรียนได้

แม้กระทั่งวิชาภาษาไทยเองก็ตาม ทางโรงเรียนมีการปรับเปลี่ยนเป็นให้เป็นวิชาภาษาไทยในโลก IT โดยที่เราจะลงไปเจาะดูว่าในโลกออนไลน์เขาพูดเรื่องอะไรกัน เขาใช้ภาษาอะไรกัน แล้วดึงเนื้อหาเหล่านั้นมาใช้สอน

แสดงว่าครูแต่ละทุกคนนอกจากสอนวิชาพื้นฐานของตัวเองแล้วยังต้องสอนวิชา FE เพิ่มขึ้นอีกใช่ไหม

ครูสุดฤทัย: ในโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย มีครูทั้งสิ้นเกือบๆ 400 คน ตั้งแต่ระดับชั้นประถมจนถึงมัธยมปลาย ในการสอนวิชาเพิ่มเสรี แน่นอนว่าครูทุกคนจำเป็นต้องดูรากฐานของวิชาที่ตัวเองสอนอยู่แล้ว อย่างที่ยกตัวอย่าง วิชาภาษาไทยในโลก IT แทนที่คุณครูภาษาไทยจะสอนวิชาวรรณคดีไทยเพียวๆ อย่างเดียว อาจจะทำให้เด็กยุคใหม่เขาสนใจน้อย แต่ถ้ามีอะไรที่ดึงดูดเขาไป พาวิชาภาษาไทยไปอยู่ในสิ่งรอบตัว ในสิ่งที่เขาสนใจให้ได้ ก็น่าจะดีกว่า

ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้แปลว่าพอเป็นวิชาเสรี เป็นคาบ FE แล้วเด็กจะได้เรียนแต่วิชาที่ทันสมัยอย่างเดียว ในวิชาพื้นฐานก็จะต้องปรับตัวและทำให้วิชาตัวเองตามทันเด็กด้วย

อีกอย่างในโรงเรียนนี้ตัวคุณครูเอง แทบจะได้ไม่จับชอล์กเขียนกระดาษแบบเดิม ทุกห้องเรียนใช้วิทยาการและอุปกรณ์ใหม่ๆ เป็นตัวช่วยในการสอน 

นอกจากอุปกรณ์ที่ทันสมัย ในห้องเรียนมีอะไรต้องปรับตัวอีกบ้าง

ครูสุดฤทัย: รูปแบบการสอนเป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถปรับวิธีการสอนได้ แต่เนื้อหาอย่างที่บอก เราต้องยึดตามหลักโครงของหลักสูตรแกนกลาง วิชาอะไรก็ตามที่เป็นพื้นฐานของกระทรวงเราจะไปแตะต้องหรือเขย่ามันไม่ได้สักเท่าไร อย่าลืมว่าเด็กยังต้องสอบโอเน็ตหรือข้อสอบอื่นๆ ที่เป็นหลักพื้นฐานอยู่ ดังนั้นสิ่งที่ปรับได้ คือ การออกแบบการเรียนการสอนของครูที่ต้องเป็นไปตามความสนใจและเท่าทันยุคสมัย

โรงเรียนนับว่าเป็นสถาบันที่ปลูกฝังมิติต่างๆ ให้เด็ก ปัจจุบันโรงเรียนยังทำหน้าที่แบบนั้นอยู่หรือเปล่า

ครูสุดฤทัย: จริงๆ แล้วสังคมโรงเรียนเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน สำหรับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยเรานำวิชาการและกิจกรรมให้มาควบคู่กัน บางครั้งหลายๆ คนอาจจะบอกว่าสัดส่วนของกิจกรรมมากกว่าด้วยซ้ำ แต่รู้ไหมว่ากิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียน ช่วยสอนทักษะหลายๆ อย่างให้เด็ก ช่วยสอนให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมความเป็นจริงได้ ถ้าเกิดคุณมีแต่การเรียน แต่ไม่สามารถนำความรู้เหล่านั้นไปปรับประยุกต์ให้เกิดประโยชน์กับการใช้ชีวิตได้ ก็เท่านั้น

ฉะนั้นในปีๆ หนึ่ง เด็กจะมีกิจกรรมทำเยอะมาก เช่น งานวันฉลองการก่อตั้งโรงเรียน ที่เป็นกิจกรรมประจำปีทุกปี เด็กๆ ทำงานเอง โดยพี่ ม.6 จะทำหน้าที่เป็นประธานสภา ทำงานเหมือนกับสภาจริงๆ เลย มีการแบ่งฝ่ายทำงานทั้งสิ้น 21 ฝ่าย ทุกครั้งที่มีการประชุม ถึงแม้จะมีครูที่ปรึกษา แต่การตัดสินใจทั้งหมดจะเป็นของนักเรียน เขาจะต้องเรียนรู้การหาสปอนเซอร์ หรือแม้กระทั่งงานจตุรมิตรของนักเรียน ม.5 ที่ต้องเรียนรู้การวางแผนงาน จะซ้อมเมื่อไร จะทำอย่างไร เรียนรู้การสื่อสารภายในทีม 

ครูวศวิศว์: เราไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การสอน แต่มุ่งเน้นให้นักเรียนได้ซึมซับการเรียนรู้ ผ่านกิจกรรมหลากหลาย เราไม่ได้ไปใส่หัวว่า คุณจะต้องเรียนให้ได้แบบนี้ๆ หรือจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยนั้นให้ได้ ทั้งหมดทั้งมวลจะเกิดขึ้นได้เพราะการเรียนรู้ของเขา เราเป็นได้แค่เมนเทอร์ ช่วยตบๆ ให้มันเข้าทาง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวโรงเรียนมีเยอะมาก ฉะนั้นก็จะเปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้นอกห้องเรียน

ครูในยุคปัจจุบันก็ต้องพยายามหาแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนให้เหมือนเด็กๆ เช่น วิชาสังคม เมื่อพูดเรื่องกฎหมาย ก็พาเด็กๆ ออกไปรู้พร้อมกันในศาลจริงๆ เลย มันหมดยุคของการมานั่งเปิดตำราเล่าให้ฟังแล้ว

ระบบ Track คือแผนการของนักเรียนชั้นมัธยมปลายของนักเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โดยปัจจุบันมีทั้งสิ้น 14 Tracks ได้แก่

Track แพทยศาสตร์ และกลุ่มสาธารณสุขศาสตร์
Track วิศวกรรมชีวการแพทย์
Track วิศวกรรมศาสตร์ (ทั่วไป)
Track วิศวกรรมการบินและอวกาศยาน
Track วิศวกรรมหุ่นยนต์และคอมพิวเตอร์
Track สถาปัตยกรรมศาสตร์
Track บริหารธุรกิจ บัญชี เศรษฐศาสตร์
Track สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์
Track ศิลปกรรมศาสตร์
Track อักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์
Track นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และสื่อดิจิทัล
Track ศิลปะการประกอบอาหาร Track วิทยาศาสตร์การกีฬา
Track ดนตรี-นิเทศศิลป์

Tags:

โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยระบบ Trackระบบการศึกษาภาพยนตร์การสอบซีรีส์วิชาเสรี

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Creative learning
    ไม่ได้แบ่งการเรียนสายวิทย์สายศิลป์ แต่ใช้ระบบ Track เหมือนเลือกคณะในมหา’ลัย ของกรุงเทพคริสเตียน

    เรื่อง

  • Family PsychologyMovie
    SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

    เรื่อง

  • Early childhood
    ไม่ให้สอบเข้า ป.1 แล้วจะให้ทำอย่างไร

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    หลงทางกว่า TCAS คือ การศึกษาที่วนอยู่ในเขาวงกต

    เรื่อง

  • Dear Parents
    เด็กม.6ก็มีหัวใจ อย่าให้ความหวังของผู้ใหญ่ทับเด็กตาย

    เรื่องและภาพ KHAE

เก็บบ๊วยหมักเหล้า เข้าสวนคนขี้เกียจ: เถื่อนทัวร์แบบรื่นรมย์ของคนบ้านหนองเต่า
Creative learning
5 June 2019

เก็บบ๊วยหมักเหล้า เข้าสวนคนขี้เกียจ: เถื่อนทัวร์แบบรื่นรมย์ของคนบ้านหนองเต่า

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตรอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • เถื่อนทัวร์ ถอดรหัสหมายเลข 7 ทริปที่ทำให้เรารู้จักกับมิซาโตะ หมักและปีนต้นบ๊วย จิบและชิมกาแฟ ใช้ชีวิตเนิบช้าเพื่อเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม
  • พะตีจอนิ สวนคนขี้เกียจ คือ ตัวแทนของคนที่รักษาส่งต่อความรู้ภูมิปัญญา, พะตีพะซาลอย เจ้าของสวนบ๊วยธรรมชาติ 40 ปี คือ ตัวแทนของคนที่รักษาและส่งต่อฐานทรัพยากร มายังคนรุ่นใหม่, กวิ๊ ผู้ปรุงบ๊วย ผู้ริเริ่มฐานเรียนรู้กลุ่มกาแฟ/ศาลามิตรภาพไร้พรมแดน และ โอชิ ผู้เกิดจากดิน Lazy Man College
  • ทั้งหมดนี้ คือ การเรียนรู้จากเพื่อนที่สอนเราให้เรียนรู้กับการดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
ภาพ: ภัทรพล ประสิทธิ์

ณ หมู่บ้านปกาเกอะญอ บ้านหนองเต่า ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ซึ่งเวลาเดินไปอย่างเนิบช้า สิ่งที่เราทำตลอดทริปเถื่อนทัวร์ถอดรหัสหมายเลข 7 คือ การเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม ชวนคนเมืองเรียนรู้วิถีปกาเกอะญอ ที่ บ้านหนองเต่า อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ โดย มูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) และ วงกลมเจอร์นี่ – เพียงแค่นั่งเล่น เดินสวน ป่ายปีนเก็บผลไม้ เคล้าไปกับการดมและจิบกาแฟ จังหวะชีวิตที่แม้ดูเหมือนไม่เอาการเอางานอะไรเลย แต่อาจเพราะธรรมชาติตรงหน้าทำให้ตาและใจเราเปิดกว้างขวางมากขึ้น

“คอนเซ็ปต์ของเถื่อนทัวร์ คือการพาคนเมืองมารู้จักและเรียนรู้วิถีชีวิตของคนอีกกลุ่มหนึ่ง คนเมืองที่อาจเคยรับข้อมูลข่าวสารตั้งแต่เราเรียนมาว่าชนเผ่าตัดไม้ทำลายป่า อยากให้ได้มาเห็น รู้จัก ได้ปฏิสัมพันธ์ พูดคุย ได้เห็นความจริง และได้เป็นเพื่อนซึ่งกัน อาจทำให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ‘มนุษย์กับมนุษย์’ บางอย่างที่คนเมืองไม่รู้ก็จะได้เรียนรู้จากคนชาติพันธุ์ซึ่งมีองค์ความรู้หลายอย่างที่คนเมืองบางคนอาจยังไม่เข้าใจ”

“การมาเรียนรู้บริบทที่เขาเป็นอยู่ แนวคิด หรือวิถีชีวิตเกี่ยวกับป่า เราจะเห็นภาพจริง เห็นจากการกระทำโดยไม่ต้องพูดเยอะ แต่เรามองด้วยตารับรู้ความรู้สึกตรงนั้น” หมวย-ญาดา เกรียงไกรวุฒิกุล จากมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) ผู้ริเริ่มทริปเถื่อนทัวร์กล่าวต้อนรับ

กระนั้น นวล-พาฝัน ศุภวานิช ผู้ร่วมจัดทริปจากสำนักพิมพ์วงกลม เสริม ก็อยากให้ทริปนี้เป็นการเรียนรู้อย่างรื่นรมย์ด้วยเช่นกัน

“เมื่อบรรยากาศรื่นรมย์ มันก็เอื้อต่อการเรียนรู้ ทำให้เราพร้อมเปิดรับกับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งสิ่งนั้นอาจเคยเป็นขั้วตรงข้ามกับที่เราเคยคิดมาก่อน ท่าทีที่เป็นมิตรจะไม่ force ให้เราต้องเชื่อโดยทันที ความรื่นรมย์ ก็หมายความว่าเรากำลังสุขนั่นแหละ ความรื่นรมย์ ความเป็นมิตร การได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ทั้งหมดนี้ทำให้เรากล้าพูดความแตกต่างกันได้”

ความรื่นรมย์ที่ว่ามาพร้อม ‘เสน่ห์’ และ ‘บทสนทนา’ ที่คละเคล้าไปตลอดการทำกิจกรรมตั้งแต่ อาหาร, งานฝีมือ, การเดินป่าเพื่อไป ‘เขย่งตัวปีนป่ายเก็บบ๊วย’, จิบกาแฟปลูกเอง เก็บเอง คั่วเอง โดยเกษตรกรรุ่นใหม่ ทั้งหมดที้ทำให้เรา ‘ว้าว’ ได้แบบที่ทำให้นำเรื่องกลับไปคุยต่อได้ว่าเจออะไรที่คนอื่นไม่เคยเจอ

แต่ตลอดทริป เรายังสงสัยว่าพี่น้องปกาเกอะญอใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายแค่ ทำ กิน แบ่งปัน พึ่งพาธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็รักษาผืนป่าต้นน้ำไปพร้อมกันได้อย่างไร ปรับตัวอย่างไรในโลกที่เมืองต้องการและใช้ทรัพยากรมากมายเช่นทุกวันนี้?

‘มิซาโตะ’ อะไรๆ ก็ตำกินได้

‘มิซา’ แปลว่า พริก ‘โตะ’ แปลว่า ตำ พืชผักทุกอย่างล้วนตำเป็นน้ำพริกได้ ทุกมื้อเราจะได้กินน้ำพริกผัก หรือ มิซาโตะ ฝืมือแม่บ้านปกาเกอะญอ น้ำพริกหลากหลายแตกต่างวัตถุดิบที่ชุมชนปลูกเองและเก็บเกี่ยวได้ในแต่ละวัน เช่น พริกหยวก มะเขือ ขนุนอ่อน มันสำปะหลัง หรือแม้กระทั่งผักดอง ข่า และถั่วเน่า นำมาปรุงเคล้าให้เข้ากัน

แรกเริ่มเราแปลกใจที่ทุกมื้อเรียกน้ำพริกว่า ‘มิซาโตะ’ แม้ว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไปทุกมื้อ แต่ไม่ว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไปอย่างไร เราก็กินจนหมดชามทุกมื้อ มิซาโตะมีรสชาติหลักเหมือนๆ กัน คือ ‘พริก’ ที่ให้รสเผ็ด ‘เกลือ’ ให้รสเค็ม และ ‘กระเทียม’ ให้รสกลมกล่อม

แน่นอน เมื่อกินกับผักเครื่องเคียงที่พี่น้องปลูกเองจากสวน เช่น มะเขือเทศ ยอดฟักแม้ว ผักกาดขาว น้ำพริกคลุกข้าวแล้วรสชาติช่างเข้ากัน เพราะมิซาโตะทำให้เราฝากท้องไว้กับรสชาตินี้หลายมื้อ ‘น้ำพริกชนเผ่า’ จึงเป็นเมนูที่ประทับใจของพวกเราทุกคน

ดื่มด่ำผ้าปักลูกเดือย

งานฝีมือของแม่บ้านนอกจากงานครัวแล้ว งานผ้าที่อวดตัวอย่างประณีตของหญิงชาวปกาเกอะญอ ทำให้พวกเราตาลุกไปทั้งทริป เมล็ดลูกเดือยสีขาว รูปทรงกลม และรูปทรงรี เม็ดเล็กเจาะรูตรงกลาง เมื่อมาวางเรียงกันจะได้ลายดอกสวยงามมาก ความสร้างสรรค์ของลายผ้าจัดวางได้หลายรูปแบบ ยิ่งสร้างสรรค์ งานยิ่งต้องละเอียด

นอกจากตาลุกวาวเพราะความประณีตแล้ว เราต้องเรียนรู้การปักผ้าจากการลงมือทำจริง พี่ๆ แม่บ้านสอนการปักพร้อมหยิบเสื้อตัวงามให้เราดูเป็นตัวอย่าง แน่นอนว่างานประณีตต้องใช้เวลาและการออกแบบ แม้ว่าเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยแต่พวกเราได้ทำชิ้นงานปักลูกเดือยบนผ้าเล็กๆ หนึ่งผืน ออกแบบตามความชอบของแต่ละคน

ผ้าเล็กๆ หนึ่งผืนกับเวลาครึ่งวัน มาพร้อมกับเสียงหัวเราะจากลายปักที่โย้เย้ บ้างก็เงียบเพราะต้องใช้สมาธิสูง การปักจริง แก้ปัญหาจริง ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของความงามที่กว่าแม่บ้านชาวปกาเกอะญอแต่ละคนจะทอและปักจนได้เสื้อ 1 ตัวจะใช้เวลากี่เดือนกัน?

พี่สาวบอกเราว่า วันหนึ่งๆ จะปักดอกแบบนี้ได้ 5 ดอก งานละเอียดมาก ลูกเดือยเรียงไขว้กันเป็นระเบียบ แตกลายออกไปทางนี้ทางนั้นต้องใช้เวลา

นี่คือคุณค่าของความช้าแต่งดงามที่งานผ้าสำเร็จรูปไม่อาจให้ได้ ยิ่งงานทำมือ ทำด้วยตัวเองแล้ว เราจะเข้าใจคุณค่าของความงามมากกว่าผืนผ้าอื่นใด

Lazy Man College กับวิชาขี้เกียจที่เปิดสอนทุกวัน

ในวงสนทนายามบ่ายเมื่อเดินทางมาถึงบ้าน โอชิ-ชินดนัย จ่อวาลู ที่โอบล้อมด้วยขุนเขาแม่วาง ป้าย Lazy Man College ทำให้เรารู้ว่าที่นี่ต้องเป็น ‘พื้นที่’ ที่ทุกคนเข้ามาเรียนรู้ได้

“โอชิครับ โอ แปลว่าเกลือ ชิ แปลว่าน้ำ แม่คลอดผมในน้ำ ผมก็เลยเชื่อว่าการได้อยู่ใกล้ๆ ดิน น่าจะเป็นอาชีพที่เหมาะกับผมที่สุด” โอชิแนะนำตัว

โอชิ คนรุ่นใหม่ บอกเราว่า “หมู่บ้านหนองเต่าอายุประมาณ 300 ปี อายุมากกว่ากรุงเทพฯ แก่กว่าอเมริกา หมู่บ้านนี้มีประมาณ 120 ครัวเรือน ประชากร 600 คน เด็ก 100 คน มีวัวประมาณ 1,000 ตัว ควาย 1,000 ตัว ไก่ 1,000 ตัว ยุง 2 ล้านตัว” มุกของเขาทำให้เราอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเล่าต่อ

“ป่าตรงนี้ พื้นที่หมู่บ้านของเรา 8,000 ไร่ 4,000 ไร่เป็นป่าเต็งรัง ซึ่งชุมชนตั้งใจที่จะเก็บไว้ ไม่ให้ใครไปแตะต้อง ป่าที่เหลือจากตรงนี้ก็เป็นป่าใช้สอย เวลาจะสร้างบ้านก็ไปตัดเอา แต่วิธีการสร้างบ้าน ไม่ใช่ว่าตัดปีหนึ่งให้ครบสำหรับใช้ทำบ้านหนึ่งหลัง แต่เขาจะค่อยๆ อยู่ 5-6 ปี เพื่อสร้างบ้านหลังหนึ่ง”

นั่นทำให้เรารู้จักบ้านหนองเต่าและเห็นความสำคัญว่าป่าไม้ แม้มีมาก แต่การจัดการทรัพยากรให้คนอยู่กับป่าได้โดยไม่ใช้และทำลายมากเกินไปก็สามารถทำได้ เรื่องเล่าของโอชิทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาว่าพี่น้องปกาเกอะญอสืบทอดแนวคิดการจัดการคนเพื่ออยู่กับป่าอย่างไร?

ท่ามกลางวงสนทนาที่ดำเนินไปอย่างเนิบช้าพร้อมกับลมที่พัดเอื่อยๆ โอชิเล่าต่อว่า บทสนทนาของคนปกาเกอะญอจะเกิดขึ้นระหว่างทำอาหาร ระหว่างทำงานปักผ้า ระหว่างกล่อมลูก และในรอบปีจะมี ‘วงสนทนารอบกองไฟ’ ซึ่งในระหว่างพิธีกรรม คนเฒ่าจะเล่านิทานหรือเรื่องเล่า แนวคิดถึงวิถีชีวิตของพวกเขาก็จะซ่อนตัวอยู่ในเรื่องเล่า เช่น คนกล้า เด็กกำพร้า คนขี้เกียจ ตัวละครเหล่านี้สอนให้คนปกาเกอะญอใส่ใจพี่น้องทุกคนแม้กระทั่งคนด้อยโอกาส

เรื่องเล่าคำสอนต่างๆ ไม่ได้มีเพียงในวงสนทนารอบกองไฟ แต่เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ แม้กระทั่งช่วงเวลาที่แม่พาลูกออกไปทำนาก็มีเพลงกล่อมลูก สอนลูกให้เข้าใจชีวิตเข้าใจธรรมชาติ

ตะลุยดอย ปีนป่ายเก็บบ๊วย จิบกาแฟที่บ้านกวิ๊ ฐานทัพการเรียนรู้ของเกษตรกรรุ่นใหม่

เช้าวันใหม่เราตั้งใจไปสวนบ๊วย ต้องออกเดินทางห่างจากหมู่บ้านไปเกือบ 10 กิโลเมตร นั่งรถกระบะโคลงเคลงไปตามสันเขาผ่านนา ไร่ สวน ชึ้นดอยเพื่อไปยังป่าบ๊วยเก่าแก่อายุราว 40 ปี เมื่อได้เห็นต้นบ๊วยกับตา เราถึงกับทึ่ง เพราะบ๊วยต้นใหญ่มาก กิ่งก้านแผ่ออกกว้างขวางจนเราปีนขึ้นไปยืนได้หลายคน ไม่ใช่แค่ต้นเดียวแต่ยืนหยัดอย่างน่าเกรงขามราว 50 ต้น แดดกลางฤดูร้อนทำอะไรเราไม่ได้มากเพราะใบบ๊วยหนาชั้นคอยปกคลุม

ไม่ไกลราวสายตามองเห็นคือป่าต้นน้ำ ใกล้ขนาดได้กลิ่นความชุ่มชื้นขึ้นจากผืนดิน กลิ่นบ๊วยที่เริ่มสุกและร่วงหล่นลงมาไม่ได้ทำให้เราอึดอัดแต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังงานความรื่นรมย์ร่มเย็น… เย็นกายสบายใจ

พะตีพะซาลอย เจ้าของสวนบ๊วยธรรมชาติ เล่าว่าเขาได้รับมรดกสวนบ๊วยมาจากรุ่นพ่อ เดิมพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นไร่ฝิ่น ต่อมาราชการส่งเสริมให้ปลูกบ๊วย พะตีเห็นสวนบ๊วยมาตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมาด้วยพืชผลอื่นๆ ราคาดีกว่า จึงปล่อยให้สวนบ๊วยโตตามธรรมชาติไม่ได้แต่งกิ่ง คัดพันธุ์ ใส่ปุ๋ย หรือใส่ยาใดๆ ผลบ๊วยที่นี่จึงคงความเป็นบ๊วยพันธุ์ดั้งเดิมลูกไม่ใหญ่มาก แต่ให้รสชาติที่จัดจ้าน แถมยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุที่ญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดี ถึงกับนำผลสุกมากวนเก็บไว้และขายในราคาแพงทีเดียว

กวิ๊-อำนวย นิยมไพรนิเวศน์ เกษตรกรรุ่นใหม่บ้านหนองเต่า ผู้คลั่งไคล้ บ๊วย กาแฟ และผลผลิตจากแปลงเกษตรอินทรีย์ และเป็นผู้พาเราบุกสวนบ๊วย บอกให้เราปีนเก็บได้ตามใจ เลือกผลที่ลูกใหญ่สีเขียวมาดองเหล้าบ๊วย หมักบ๊วยน้ำตาลไซรัป เลือกผลสุกสีเหลืองมาไว้กวนยาอายุวัฒนะ ด้วยต้นบ๊วยสูงใหญ่ เราจึงต้องปีนกันอย่างทุลักทุเลทั้งเช้าจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้น บ๊วย 4 ตระกร้าใหญ่ กับอีก 2 กระสอบ รวมกันหนักร่วม 30 กิโลกรัมเตรียมพร้อมลำเลียงขึ้นรถ เมื่อถึงบ้านต้องผ่านพิธีกรรมล้าง แกะขั้วออก นำลงโหลเพื่อเตรียมพร้อมหมักไว้ดื่มในฤดูกาลต่อไป

กวิ๊เล่าว่า ภูมิปัญญาญี่ปุ่นในการทำเครื่องดื่มรสหวานเป็นของแม่บ้าน น้ำบ๊วยที่รสอร่อยต้องหวานพอดีรสชาติจัดจ้าน เพราะญี่ปุ่นเชื่อว่ากินบ๊วยต้องได้รสชาติบ๊วย กินผักต้องได้รสชาติผัก ไม่ใช่ว่ากินบ๊วยแล้วได้รสน้ำตาล มันต้องเพื่อสุขภาพ ส่วนผลสุกชาวญี่ปุ่นจะนำมากวนทำยาอายุวัฒนะที่ต้องใช้ทั้งเวลาและเทคนิค

ว่ากันว่าที่ญี่ปุ่นยากวนบ๊วยหนึ่งกระปุกราคาแพงถึงหลักพัน ชาวญี่ปุ่นนิยมกินยากวนขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟทุกเช้าเพื่อบำรุงธาตุร่างกาย พวกเราบรรจงบรรจุบ๊วยลงโหลตามสูตรเคล็ดลับรสชาติที่ลงตัวของกวิ๊ บ้างดองเหล้า บ้างหมักกับน้ำตาลไซรัป รอวันที่จะได้ชิมรสชาติชื่นใจในอีก 1 ปีข้างหน้า

ตะวันตกดิน จบความสุขประจำวันนี้ด้วยรอยยิ้มเย็นๆ ของพวกเราชาวเถื่อนทัวร์ กับบทสนทนา ที่กวิ๊เล่าถึงการรวมกลุ่มของเกษตรกรปกาเกอะญอรุ่นใหม่ที่ยังคงสืบทอดแนวคิดการดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ตามที่บรรพบุรุษเล่าและส่งต่อกันมา และสามารถปรับตัวเข้ากับระบบการค้าของโลกสมัยใหม่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ โดยไม่หลงลืมปรัชญา หลักคิด ละทิ้งที่ดิน ทิ้งวิถีคนกับป่าเข้าเมืองกันหมด

“จริงๆ กลุ่มผมเน้น 5 เรื่อง คือ ทรัพยากร สุขภาพ การค้าที่เป็นธรรม คนรุ่นใหม่ และพลังงาน หากความต้องการของตลาดมันสูงขึ้น มันก็ยิ่งต้องควบคุมคุณภาพหรืออะไรเยอะมาก ผมว่าพี่น้องปกาเกอะญอตอนนี้ไม่ได้พูดเรื่องการค้านะครับ แต่เราพูดถึงการแลกเปลี่ยน”

“ผมไม่เก่งเรื่องการค้า ปีหนึ่งผมทำได้แค่นี้ ใครที่ชอบกาแฟของผมและอยากได้ก็จองหรือสั่งล่วงหน้า สมมุติว่าผมมีผลผลิตหนึ่งตัน แต่มีความต้องการห้าตัน ไม่ใช่ว่าผลิตได้ไม่พอนะครับ แต่ผมไม่มีศักยภาพหรือไม่มีพื้นที่ที่จะปลูกให้ได้ปริมาณห้าตัน ผมต้องไปเอามาจากที่อื่นซึ่งไม่ใช่จากสมาชิกของเราแน่ๆ”

“ถ้ามันคือการปลูกเพราะเป็นกระแส เห็นคนนั้นทำแล้วเวิร์ค (เกษตรกร) เลยอยากทำบ้าง แบบนี้ไม่ยั่งยืน ถ้าปีหน้าอะโวคาโดมา เราต้องตามไปปลูกอะโวคาโดเหรอ? ไม่ใช่อย่างนั้น”

สิ่งที่กวิ๊เล่าและน่าสนใจอีกประการ คือ การกลับมาของคนรุ่นใหม่

“ปัญหาที่เรากลัวคือ กลัวที่ดินหลุดมือ” เพราะคนรุ่นใหม่ออกจากพื้นที่ไปเรียนหนังสือ และทยอยขายที่ไม่ได้กลับมาทำงานในพื้นที่ของตัวเอง แต่วันหนึ่ง 60 ปี เขาต้องกลับมา แต่จะทำอย่างไรถ้าไม่มีที่ให้กลับ? เคยมีตัวอย่าง นายทุนเข้ามาซื้อที่แค่คนเดียวแต่แย่งน้ำชาวบ้านไปหมดเลย เราต้องป้องกัน ต้องซื้อคืน”

ไม่เพียงอยากเห็นการกลับบ้านของคนรุ่นใหม่ เป้าหมายของกวิ๊ คือการเห็นบ้านของตัวเองเป็นฐานการเรียนรู้ที่จะเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ของกลุ่มเพื่อน และช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ได้

“ผมใช้คำว่าฐานเรียนรู้ ทุกคนต้องมีฐานและฐานต้องมั่นคง ตอนนี้ผมมีสมาชิก 10 คน ได้ 10 ฐานการเรียนรู้ที่พร้อมให้คนเข้าไปเรียนรู้ได้”

“สิ่งที่ต้องรู้คือ เกษตรแบบไหนที่อยู่ได้ แบบไหนที่ไม่ต้องมีรายได้ก็อยู่ได้เพราะทำกินเอง ตอนนี้เราใช้คำว่า ‘กินให้มันเหลือ’ แล้วก็ขาย คุณมาหาผม อย่าคิดแต่ว่า มาเอาบ๊วย มาเอากาแฟ ผมมีบ๊วย ผมมีกาแฟ แต่คุณมีอะไรดีเยอะมาก หมายถึง ผมก็ต้องการพึ่งคุณ คุณถนัดเรื่องอาหาร เรื่องเทคโนโลยี นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการ” กวิ๊กล่าวอย่างชวนคิดตาม

ถอดรหัสหมายเลข 7 หลักธรรมชาติ ในสวนคนขี้เกียจ Lazy Garden

วันสุดท้ายก่อนกลับบ้านเราตื่นเช้ามาด้วยการหยุดดูดวงตะวันหน้าบ้านที่ค่อยๆ วิ่งข้ามผ่านจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก เรามองเห็นเทือกเขาขุนน้ำวางที่โอบล้อม สัมผัสได้ถึงลมเอื่อยๆ ที่พัดพาก้อนเมฆสีขาวปลิวผ่านไป ใบไม้ไหว นกร้อง ดวงดาวและอากาศหนาวเมื่อพระอาทิตย์ตกดินทำเอาน้ำเย็นเจี๊ยบในฤดูร้อน

เช้าวันนี้ เรามาตามหาความหมาย ‘หมายเลข 7’ ว่าซ่อนนัยยะความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติอย่างไร

ระหว่างเดินเท้าไป สวนคนขี้เกียจ (Lazy Garden) เราได้พบกับ พะตีจอนิ โอโดเชา ปราชญ์ชุมชนคนกับป่า ผู้ซึ่งมาพร้อมกับกระบอกสะพายบ่าใส่มีด 3 เล่ม “หนึ่งเล่มไว้เลื่อย อีกเล่มไว้ตัด” พะตีจอนิอธิบาย

เมื่อถึงสวนคนขี้เกียจ ทั้งสวนเต็มไปด้วยต้นไม้ซึ่งมีลูกธนูแขวนอยู่ กระบอกไม้ไผ่ส่งเสียงก๋องแก๋งราวกับจะต้อนรับเรา มองไปไม่ไกลเห็นหวายสานเป็นรู 7 ช่องขนาดใหญ่ติดอยู่ที่ห้องประชุม สัญลักษณ์นี้เองที่เราต่างสงสัย ทำไมถึงมี 7 ช่อง?

พะตีจอนิ เล่าให้เราฟังว่า นี่คือ ‘ตาแหลว 7 ชั้น’ หมายถึงตาพระอาทิตย์ ลักษณะเป็นเหมือนดาว 7 เหลี่ยม พะตีบอกว่าเป็นดาวปรัชญาที่บรรพบุรุษปกาเกอะญอสอนลูกหลานให้เรียนรู้หลักธรรมชาติ

‘เลข 7’ ของคนปกาเกอะญอ เป็นสิ่งแทนองค์ประกอบของธรรมชาติได้หลายอย่าง ตั้งแต่โครงสร้างการเกิดโลก การเกิดมนุษย์ เป็นตัวแทนของ เมฆ หมอก ลม ไฟ หิน ดิน น้ำ ซึ่งจะประกอบขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิต

เลข 7 ตัวที่เชื่อมโยงร่างกายเรากับธรรมชาติ 1 คือ หัว, 2 คือ หัวใจ, 3 และ 4 คือ แขนทั้ง 2 ข้าง, 5 และ 6 คือขา ส่วนเลข 7 ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น คือ ฟ้า 7 ซ้อน, ดิน 7 ชั้น อยู่รอบตัวเรา ซึ่งยังซ่อนความหมายของวิญญาณ เมืองผี เมืองนรก และเป็นความสัมพันธ์ของร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น

เลขทั้ง 7 ที่เรามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ คือ ความเชื่อดั้งเดิม ภูมิปัญญาเก่าแก่ของปกาเกอะญอ ที่บ่มเพาะสอนให้ลูกหลานสังเกตธรรมชาติ จับความหมายออกมาเป็นตัวเลขแทนสรรพสิ่งทั้ง 7 และสอนให้คนปกาเกอะญอเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติทั้ง 7 อย่างสังเกต สังเกตลม สังเกตน้ำ สังเกตฟ้า สังเกตดิน สังเกตไฟ และเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการธรรมชาติได้อย่างพึ่งพากัน

ก่อนกลับ พะตีจอนิ สอนเรื่องการปกครองของสัตว์ 7 แบบ แทนคุณลักษณะของผู้นำที่สอดคล้องกับการจัดการทรัพยากร ที่น่าสนใจมาก คือผู้นำที่…

ปกครองแบบเสือ คือ ใช้อำนาจปกครอง

ปกครองแบบยุง คือ ใช้มือเพื่อฆ่าแกงชีวิตคนเหมือนตบยุง

ปกครองแบบนกเหยี่ยว คือ บินสูง

ปกครองแบบนกพญาไฟ คือ มีระเบียบใช้คำสั่งตัดสินถูก-ผิด

ปกครองแบบนกเค้าแมว คือทำให้คนกลัว ต้องดุ ต้องใช้อำนาจ

ปกครองแบบนกเขาเขียว คือ พยายามหลอกตัวเองหลอกคนอื่น

ปกครองแบบนกแซงแซว คือ ใช้ปลายนิ้วมือชี้โน่นชี้นี่ไม่ทำอะไรเอง

การปกครอง 7 แบบ เป็นแบบแผนที่บรรพบุรุษสังเกตพฤติกรรมการปกครองของผู้นำ และชี้ให้เห็นว่าการปกครองแบบใดจะเหมาะสมที่สุดในการปรับตัวให้อยู่ได้ในปัจจุบัน และผู้นำแบบไหนที่เราควรเรียนรู้ที่จะไม่เป็นและไม่ทำ และทำอย่างไรที่เราจะเป็นผู้นำที่ให้คุณค่ากับตัวเองให้คุณค่ากับผู้อื่น ให้ความยุติธรรมกับธรรมชาติ และจัดสรรผลประโยชน์โดยไม่สร้างความขัดแย้งและกระจายอำนาจได้อย่างเป็นธรรมดำรงอยู่ร่วมกันได้มากที่สุด

วงกลมเจอร์นี่ วงจรการเดินทางที่นำพลังกลับคืนสู่วิถีเมือง

ปิดท้ายการเรียนรู้จากทริปเถื่อนทัวร์ เราเชื่อว่าในยุครอยต่อของกาลเวลา ‘คนเฒ่า’ คือรากฐานหนุนเสริม ‘คนรุ่นใหม่’ ให้พุ่งขึ้นไป ปรับตัวได้ในกาลเวลาที่ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงมากมายที่สุด

พะตีจอนิ สวนคนขี้เกียจ คือ ตัวแทนของคนที่รักษาส่งต่อความรู้ภูมิปัญญา พะตีพะซาลอย เจ้าของสวนบ๊วยธรรมชาติ 40 ปี คือ ตัวแทนของคนที่รักษาและส่งต่อฐานทรัพยากร มายังคนรุ่นใหม่ ทั้ง กวิ๊ ผู้ปรุงบ๊วย ผู้ริเริ่มฐานเรียนรู้กลุ่มกาแฟ/ศาลามิตรภาพไร้พรมแดน และ โอชิ ผู้เกิดจากดิน Lazy Man College และทั้งหมดนี้ คือ การเรียนรู้ที่เพื่อนสอนเราให้เราเรียนรู้ความหมายของการดำรงอยู่ร่วมกับธรรมชาติ อย่างเรียบง่ายที่สุด

การเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรมจากทริปเถื่อนทัวร์ครั้งนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า คนสัมพันธ์กับป่า คนรักษาธรรมชาติอย่างไร แง่งามของวิถีปกาเกอะญอที่ทรงคุณค่า กับความหมายอันมหัศจรรย์ของตัวเลขทั้ง 7 ส่งต่อมายังคนรุ่นหลังและทำให้ความคิดความเชื่อของเราเปลี่ยนไป ที่สำคัญเราได้เพื่อนใหม่ ที่อยู่ในความทรงจำ รอวันกลับไปพบกันใหม่และเรียนรู้แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันต่อไปในอนาคต

วันพรุ่งนี้เรากลับเข้าสู่เมืองใหญ่ วิถีชีวิตที่หาน้ำดื่มได้สะดวกสบาย น้ำไหลจากก๊อก อากาศที่เราหายใจจากแอร์ อาหารและผลไม้ที่เรากินจากซูเปอร์มาร์เก็ต คงแตกต่างจากบ้านหนองเต่า ที่เราแทบไม่รู้ว่ามาจากที่ดินหรือต้นไม้ต้นไหน แต่เมื่อสัมผัสกับธรรมชาติทุกครั้งจะทำให้เราไม่ลืมว่าพี่น้องกลุ่มหนึ่งกำลังรักษาป่า ดูแลต้นน้ำไว้ให้เราใช้อย่างสะดวกสบาย กลับเมืองรอบนี้ เราได้พลังการเรียนรู้อย่างเต็มเปี่ยม และแน่นอนว่าคุณค่าความหมายสายตาที่เรามองเห็นธรรมชาติย่อมไม่เหมือนเดิม

Tags:

เกษตรกรเข้าป่าspiritualมหาลัยเถื่อนอาหารชาติพันธุ์เย็บปักถักร้อย

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

illustrator

อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    เส้นทางการหนีออกนอกห้องเรียน สู่ผู้สร้างโรงเรียนเพื่อเด็กชนเผ่า ‘โจ๊ะมาโลลือหล่า’ ของ‘ครูนิด-อรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์’

    เรื่อง วิภาดา แหวนเพชร ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • Everyone can be an Educator
    ‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • How to enjoy life
    ผลัดใบจากความกลัว ผลัดใจเก่าทิ้งไป เพื่อชีวิตใหม่ที่งดงาม

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Life classroom
    VISION QUEST: กระโจนเข้าป่า หลอมรวมกับตัวตนที่หลงลืม

    เรื่องและภาพ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Voice of New Gen
    SODLAWAY SILK แบรนด์ผ้าไหมที่ทอลวดลายจากเรื่องราวและชีวิตชาวกวย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel