Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Year: 2018

อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน
Early childhoodCharacter building
24 August 2018

อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • บ้านเราไม่ต้องใหญ่ บ้านเราไม่ต้องรวย บ้านเราไม่ต้องที่สุด แต่บ้านเราต้องสะอาด หลักการง่ายๆ ที่โรงเรียนอนุบาลบ้านรักยึดถือเป็นอุดมการณ์
  • ที่นี่ไม่มีคำนำหน้าว่าโรงเรียน แต่ใช้คำว่าบ้าน ไม่มีการสอนให้เรียนเขียนอ่าน แต่ให้เด็กๆ เรียนรู้ผ่านสิ่งที่ทำกันอยู่ทุกวัน
  • การเรียนรู้แบบ ‘บ้าน’ เป็นกระบวนการทำให้เด็ก ‘มีวิถีชีวิต และกิจวัตรประจำวัน’ ผ่านการทำงานบ้าน งานครัว งานสวน
ภาพ: พชรกฤษณ์ โตอิ้ม

“ส่งลูกเข้าเรียนหลัง 7 ขวบ” ฟังดูง่ายแต่ทำยาก ในโลกปัจจุบันที่ทั้งพ่อและแม่ต้องทำงานหาเงิน ยิ่งมีลูกยิ่งต้องทำงานหนัก  ความรักที่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดนั่นโน่นนี่ เด็กๆ ส่วนใหญ่จึงถูกส่งเข้าโรงเรียนตั้งแต่ 3 ขวบ

เมื่ออยู่บ้านจริงๆ ไม่ได้ อนุบาลที่เหมือนบ้านมากที่สุดน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก

เราจึงชวนไปเปิดรั้ว ‘อนุบาลบ้านรัก’ ที่เรียกตัวเองว่าบ้าน ไม่ใช่โรงเรียน ก่อตั้งขึ้นโดย ‘ครูอุ้ย’ อภิสิรี จรัลชวนะเพท ผู้เชี่ยวชาญการศึกษาวอลดอร์ฟ

ที่ไม่เรียกว่าโรงเรียน เพราะที่นี่ไม่สอนเขียน อ่าน และนับเลข สิ่งที่เด็กๆ จะเจอทุกวัน ไม่ใช่กระดานดำ แต่คือ คลองเล็กๆ ที่มีน้องปลาและน้องเต่าแหวกว่ายไปมา สนามหญ้าที่มีกระต่ายวิ่งวุ่น ลานทรายที่ไม่จำกัดเวลาเล่น

ตารางสอนห้าวันของเด็กๆ วนเวียนอยู่กับคำสามคำคือ ‘งานบ้าน งานครัว และ งานสวน’

อนุบาลบ้านรัก เกิดขึ้นได้อย่างไร

ย้อนกลับไปก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณปู่ครูอุ้ยเป็นครูแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ (พื้นที่อนุบาลบ้านรัก) พอเกิดสงคราม โรงเรียนปิดกันหมด คุณปู่เป็นผู้ต้นคิดว่า บ้านเราเป็นครู ทำไมเราไม่เปิดบ้าน แล้วให้นักเรียนแถวนี้ มาเรียนที่บ้านกันล่ะ

พอสงครามสงบก็เปิดเรื่อยมา จนถึงรุ่นที่ 2 ของคุณป้าและคุณอา ตอนเด็กๆ ครูอุ้ย ได้เห็น ได้เติบโตในบ้านที่เป็นโรงเรียน เห็นทุกอย่างที่เขาบริหาร คุณครูที่อยู่กับเราก็ช่วยเลี้ยงครูอุ้ยด้วย

ครูอุ้ยโชคดี ตอนเด็กๆ ได้ไปอยู่อนุบาลของท่านอาจารย์หม่อมดุษฎี บริพัตร ซึ่งช่วงนั้นท่านได้นำการศึกษาเด็กอนุบาลเข้ามา แล้วเราจำได้ว่าความสุขในวัยเด็กตอนนั้น คือ ได้กินอิ่มนอนหลับ มีแค่นี้จริงๆ ไม่มีความจำในสมองเลยว่าอนุบาลมีเขียนอ่าน แต่ที่มีความสุขที่สุดคือได้ร้องเพลง เล่นทราย ได้เล่นอย่างไร้ขีดจำกัด ทั้งวัน ครูอุ้ยจึงอยากให้เด็กๆ มีความสุขอย่างที่ครูอุ้ยเคยมี

พอมาตั้งเป็นอนุบาล ก็เรียกตัวเองว่า ‘อนุบาล’ ไม่มี ‘โรงเรียน’ นำหน้า ครูอุ้ยคิดว่าตั้งแต่มีคำว่าโรงเรียนนำหน้าอนุบาล มันทำให้คุณครูอนุบาลทำงานยากขึ้น เพราะครูจะอธิบายผู้ปกครองให้เข้าใจได้ยังไงว่า การพาลูกมาอยู่ในอนุบาล หมายความแค่ การอบรม ดูแล เลี้ยงดู อย่างถูกต้องตามธรรมชาติของเด็กแล้วมีความสุข ยังไม่มีคำว่าเขียน อ่าน อย่างที่โรงเรียนทำหรือสอน

เราต้องทำความเข้าใจกับตัวเองให้ได้ว่านี่คืออนุบาล เราคือการศึกษาแบบ วอลดอร์ฟ เพราะเป็นธรรมชาติของเด็กอย่างที่เราต้องการที่สุดแล้ว

การศึกษาแบบ ‘วอลดอร์ฟ’ ของอนุบาลบ้านรัก มีรูปแบบอย่างไร

การศึกษาแบบวอลดอร์ฟคือการศึกษาที่จะทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ถ้ามองความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเป็นองค์รวม เอาง่ายๆ คือ Education toward to Freedom การศึกษาเพื่อความหลุดพ้น freedom ในที่นี้ มากกว่าเพื่ออิสรภาพ แต่เพื่อการหลุดพ้น อันนี้คือเป้าหมายที่สูงมาก คือการเป็นคนที่สมบูรณ์

ครูอุ้ย มองว่าวันนี้ของเด็กๆ จะทำอย่างไรเพื่อไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ครูอุ้ยอยากให้เด็กเข้มแข็งดั่งขุนเขา ราวกับหิน มีน้ำใจไหลรินดั่งน้ำใส ความขยันใฝ่รู้ดั่งเปลวไฟ ลึกภายในใจสงบดั่งฟ้าคราม ครูอุ้ยก็อยากให้เด็กในอนุบาลวอลดอร์ฟของครูอุ้ย มีองค์รวมแบบนี้ มีความเข้มแข็ง แล้วก็มีความไหลลื่น มีสิ่งที่อยากใฝ่หาแต่อยู่บนพื้นฐานของความสงบ ถ้าไม่เป็นแบบนี้นะ อนาคตที่อยากจะให้สมบูรณ์ครูอุ้ยก็ไม่รู้ว่าจะถึงหรือเปล่า

ครูอุ้ยมีวิธีการช่วยให้เด็กมีคุณสมบัติเหล่านี้ได้อย่างไร

สร้างผ่าน ‘งานบ้าน งานครัว งานสวน’ เพราะถ้าเราไม่ทำสามสิ่งนี้ทุกวัน บ้านก็เละ เราสอนเด็กทำทุกวัน ตารางเวลาในหนึ่งวัน fixed ไว้อยู่แล้ว ผลปลายทางคือทุกอย่างจะเรียบร้อย ทุกอย่างจะง่ายขึ้น ถ้าเราไม่ทำ อันนี้ก็ไม่ทำ เสื้อผ้าก็ไม่พอ กินแล้วก็ไม่ล้างจาน ชีวิตก็จะยุ่งเหยิงมากขึ้น อันนี้ถ้าอยู่คนเดียวก็ยังพอโอเค แต่ถ้ามี partner ด้วยก็จะยิ่งแย่ไปอีก แล้วถ้ามีลูกด้วย ปัญหาด้านอารมณ์เข้ามา เอาเป็นว่าถ้าเราไม่จัดการทุกวันให้เรียบร้อย เราจะลำบากตัวมากขึ้น

คำว่าอนุบาลคือการศึกษาสำหรับเด็ก เราจัดอนุบาลเพื่อที่จะให้การศึกษาเด็กและเลี้ยงดูเด็ก คำว่าโรงเรียนที่ถูกต้องคือใช้กับ ป.1 อนุบาลก็ไม่ใช่โรงเรียน ถ้าอนุบาลไม่ใช่แบบโรงเรียน ก็ต้องเป็นแบบบ้าน มันถึงมีคำนี้ขึ้นมาว่า คุณต้องจัดบ้านที่มันน่าอยู่สำหรับเด็ก คุณลองเข้าไปดูสถานที่เลี้ยงเด็กสิ มันมีหน้าตาเหมือนบ้าน หรือหน้าตาเหมือนโรงเรียน

เด็กทุกคนตื่นเช้ามาจากบ้าน ถ้าเช็ดถูปัดกวาดจากบ้านมาแล้ว พอมาถึงอนุบาล เด็กๆ ก็ต้องมาปัดกวาดเช็ดถู เพราะนี่ก็เป็นบ้านเด็กด้วยเหมือนกัน

โรงเรียนอนุบาลไม่ใช่ pre-school เพราะ pre-school เป็นกระบวนการการเรียนการสอนแบบท่องจำ การสร้างเนื้อหา สาระ ทั้งใกล้ตัว ไกลตัว แต่อนุบาลแห่งนี้เป็นการเรียนรู้แบบ ‘บ้าน’ เป็นกระบวนการพาทำ เป็นกระบวนการแบบบ้านที่ครูอุ้ยต้องการทำให้เด็ก ‘มีวิถีชีวิต และกิจวัตรประจำวัน’ มันถึงออกมาเป็นกิจกรรมงานบ้าน งานครัว งานสวน โดยเอาวิถีชีวิตและชีวิตประจำวันที่เป็นปกติ มาใช้เป็นการจัดกระบวนการการเรียนรู้ในเด็กเล็กทั้งหมด

เด็กจะได้อะไรจากการเช็ด ถู ปัด กวาด

เช็ดถู ได้เรื่องพื้นที่ การพับผ้าจบมุมเป็นเรื่องของความพร้อมทางเชาวน์ปัญญา เช่น คู่เหมือน อะไรเหมือนกันวางไว้ตั้งนี้ อะไรไม่เหมือนเอาออกมา คืองานบ้านทุกอันช่วยเรื่องความพร้อมเป็นแบบฝึกหัดความพร้อมไปในตัว มีวิทยาศาสตร์ด้วยนะ เช่น  ซักผ้าเสร็จไปตากแดดให้แห้ง แห้งหรือยัง ไปดูซิ

ไฟลท์บังคับของงานบ้านคือต้องทำทุกวัน  เราเป็นแบบให้เด็กเลียนแบบ เด็กก็ได้วิชาความรู้เป็นพื้นฐานทุกวัน แบบที่ไม่ต้อง set up ด้วย เพราะคุณต้องทำอยู่แล้ว และคุณก็ต้องทำงานบ้านเพราะเป็นกิจกรรมที่มีค่ากับชีวิตของทุกๆ คนในบ้าน

ตอนสายเราจัดดื่มน้ำชา ของเด็กก็เป็นน้ำสมุนไพร น้ำผลไม้ เขายังต้องจัดโต๊ะเอง มีจาน มีขนม คนเป็นพี่ใหญ่มีหน้าที่รินน้ำให้น้องๆ

การที่พี่รินน้ำให้ก็ได้เรื่องความพร้อม ระหว่างรินน้ำให้ครบคนก็ต้องนับ อันนี้ได้เรื่องคณิตศาสตร์ น้องไม่มา เอาแก้วออก ได้เรื่องการทอน-การลดออกแล้ว ถ้าวันนี้มีใครมาใหม่ ก็เพิ่มเข้าไป นี่คือการบวก ช้อนส้อมวางซ้ายวางขวา ได้แล้วเรื่องซ้ายกับขวา

สรุปแล้วงานบ้านมีทุกพื้นฐานวิชาที่จะไปเรียนศึกษาต่อใน ป.1 เพียงแต่ว่าแบบฝึกหัดเหล่านั้นไม่ได้อยู่ในกระดาษ ใครเอาแบบฝึกหัดชีวิตไปอยู่ในกระดาษ ครูอุ้ยว่าเสียโอกาส

นอกจากงานบ้านแล้วเด็กๆ ต้องทำอะไรอีก

กิจกรรมหลักของเด็ก เช่น วันจันทร์ร้อยดอกไม้ วันอังคารปั้นขนม วันพุธว่ายน้ำ ไม่ก็วิ่งเล่นข้างนอก วันพฤหัสบดีวาดสีน้ำ สีเทียน แล้ววันศุกร์เย็บปักถักร้อย เราจะทำงานศิลปะต่างๆ ในทุกวัน โดยยกมันขึ้นมาให้เป็นงานศิลปะประจำวัน นอกจากนั้นยังมีการทำสีเทียน พับกระดาษ ฯลฯ ซึ่งคุณครูจะจัดเอง

ส่วน ‘งานสวน’ พี่ๆ คนสวนจะทำงานอยู่รอบเด็กๆ ดูแลต้นไม้บ้าง กวาดต้นไม้บ้าง เด็กๆ เอง พออายุ 6 ขวบก็จะได้รับต้นไม้ให้ดูแล เพราะโตพอจะดูแลอย่างอื่นได้แล้ว ก็น่าจะดูแลต้นไม้ได้ ต้นไม้ต้องไม่ตายนะ เพราะเขาต้องมีวินัย ถ้าเขาไม่มีวินัย ต้นไม้จะตาย แล้วเขาจะดูแลตัวเองได้ยังไง

ถ้ามองจากคาแรคเตอร์ของครูอุ้ยแล้ว จะออกสไตล์ดุ เอาจริง เข้มงวด ไม่ปล่อย ครูอุ้ยจะบอกครูทุกคนว่า บ้านเราไม่ต้องรวยมาก บ้านเราไม่ต้องสวยที่สุด แต่บ้านเราต้องสะอาด ครูอุ้ยจะพูดอย่างนี้ ถ้าเก็บไม่เรียบร้อย ครูอุ้ยไม่รอช้า เก็บให้เลย เพราะครูอุ้ยจะไม่ปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นปัญหา รวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย

เด็กใหม่ๆ ครูอุ้ยจะจัดการเองหมด สอนพับผ้าเช็ดมือ หรือว่าควรจะเช็ดกระจกยังไง

เด็กที่อนุบาลบ้านรักจะมีบุคลิก หรือ คาแรคเตอร์อย่างไร

ครูอุ้ยมอง และใครๆ ก็บอกว่าเขาเป็นคนรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ เขาเป็นเด็กที่รู้อยู่ และเป็นเด็กที่เอาจริง จะไปจนสุด

มีเด็กคนหนึ่งอายุ 6 ขวบ เวลากินข้าวเราจะให้เด็กตักเอง คนนี้เขาชอบเส้นหมี่น้ำ ครูอุ้ยนั่งตรงนี้ เด็กนั่งข้างๆ เขาก็ตักช้อนที่หนึ่ง ช้อนที่สอง เราก็อื้อหือ สองช้อนเลยนะ ช้อนที่สาม เราทำตาโต แต่ไม่ได้คุยกัน เขาก็ยังส่งสายตาว่าหมด เขาเอาช้อนที่สี่ ทีนี้เราจะอ้าปากแล้ว คือกติกามีอยู่ว่า เธอต้องกินให้หมดนะ แต่ยังไม่ทันอ้าปากบอก เขาขยักเอาครึ่งช้อน แล้วก็ตวัดเอาอีกครึ่งช้อนกลับไปที่เดิม สรุปแล้วเขากินสามช้อนครึ่ง

ทีนี้เพื่อนๆ ก็กินช้อนสองช้อน แต่เด็กคนนี้กินสามช้อนครึ่ง ทีนี้พอตอนกินปุ๊บมันต้องมีน้ำใส่ไปในเส้นหมี่ด้วย เส้นมันอืด  จังหวะออกตัว ครึ่งชามหมดไป ยังโอเคอยู่ (หัวเราะ) เริ่มยืดตัวแล้ว เราก็ส่งสายตาว่าไหวไหม ไหวรึเปล่า เพราะว่าน้องๆ เขาใกล้หมดแล้ว ตัวเขาเองก็สูดหายใจ แต่เขาช้ามากเลยนะ เพราะว่าสามช้อนครึ่ง เขาก็กินเข้าไปและกินจนหมด ครูอุ้ยแบบ…หันมามองหน้าเขา ต้องจับตัวเขาเลย เหมือนอยากจะบอกว่าเขาเก่งมาก

เด็กอะไรยังไม่หกขวบ คุณคำนวณความสามารถในการบริโภคของคุณได้ชัดเจนขนาดนี้ คำว่าชัดเจนขนาดนี้คือ เขาประมาณได้ถูกต้องว่าสามช้อน แล้วเขาคะเนว่าสี่ช้อนคงไม่ไหวมั้ง เลยตวัดกลับเป็นสามช้อนครึ่ง ครูอุ้ยชอบ ณ โมเม้นท์ตรงนี้ว่าเขาใคร่ครวญและคิดแล้วว่า ของเขาสามช้อนคงไม่พอ ต้องอีกนิดนึงแต่ไม่ใช่สี่ เขาเป็นเด็กที่เก่งมาก มีความรับผิดชอบและสามารถควบคุมอะไรได้ และทำไปจนสำเร็จ

การเข้าใจพัฒนาการเด็กในแต่ละช่วงวัยสำคัญอย่างไร

การศึกษาของวอลดอร์ฟ เราตั้งเป้าประสงค์ไว้เรื่องเดียวคือ ความพร้อมที่สุดของร่างกาย เพราะเด็กจะสร้างร่างกายตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 7 ขวบ ภารกิจอันสำคัญที่เขาเกิดลงมาในโลกของมนุษย์ คือ เขาเกิดมาในร่างใหม่ เขาต้องทำงานกับร่างกาย ต้องเติบโต ต้องบำรุงเรื่องอาหาร ต้องออกกำลังกาย ฉะนั้นคุณครูต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้

เด็กสร้างเนื้อกายอยู่ ถ้าคุณครูพุ่งเป้าไปประเด็นอื่น คุณครูจะพลาดรากฐานของการเติบโตของมนุษย์ เพราะเด็กกำลังสร้างร่างกาย ทำไมคุณครูไม่ให้น้ำหนักไปที่ตรงนี้ ฉะนั้น งานบ้าน งานครัว งานสวนจึงเข้ามาตอบโจทย์ คุณมองเห็นความรับผิดชอบในตัวเด็กในเรื่องการกินอาหาร คุณมองเห็นการวางแผนที่แยบยลของเขาในการกินอาหาร คุณมองเห็นความสามารถทางด้านร่างกาย ความคล่องแคล่ว ออกไปสนาม ไปมีปฏิสัมพันธ์ เล่นกับเพื่อน ทะเลาะกับเพื่อน เล่นกับเพื่อนต้องทำยังไง ฯลฯ

แล้วสิ่งที่จะวัดว่าคุณผ่านชีวิตวัยเด็กไปแล้วก็คือ คุณทรงตัวได้ คุณบาลานซ์ได้ คุณกระโดดไปแล้วไม่ตกลงมา มือเหนียวปีนต้นไม้ได้ เท้าสามารถพยุงตัว

ครูอุ้ยใช้หลักการอะไรในการพัฒนาเด็กวัยอนุบาล

เราต้องให้ความสำคัญกับ 3 ส่วนคือ Head Hand และ Heart

3 องค์ประกอบนี้ทำให้มนุษย์มีความสมบูรณ์ได้ แต่เราจะต้องหาความรู้ไปอีกว่า แต่ละส่วนนั้นสัมพันธ์กับพัฒนาการในช่วงไหน

  • 7 ปีแรก 1-7 ปี เน้นหนักไปที่การลงมือทำผ่านสองมือ ใช้โค้ดง่ายๆ ว่า Hand
  • 7 ปีที่สอง 7-14 ปี เป็นช่วงที่สอง ช่วงนี้คือ Heart เกี่ยวข้องกับความรู้สึก
  • 7 ปีที่สาม 14-21 ปี ใช้โค้ดง่ายๆ คือ Head ใช้หัวให้คิดเป็น

7 ปีแรกที่ครูอุ้ยรับผิดชอบอยู่ เด็กเพิ่งได้ร่างกายใหม่แล้วก็เริ่มรู้ว่าตัวเองยืนตรงได้ แล้วใช้ร่างกายจนกระทั่งบาลานซ์ได้ สิ่งที่ครูควรรู้คือ ครูจะช่วยอะไรได้บ้าง ครูต้องรู้ว่าเขามีความมุ่งมั่นอะไร

ถ้าครูมุ่งไปที่ศักยภาพด้านร่างกาย เช่น เธอทำได้ ทำงานเองได้ รินน้ำให้น้องสิ เธอ 6 ขวบแล้ว น้ำหกเอาผ้ามาเช็ดสิ เธอพาน้องกลับเข้าที่สิ ดูสิทำอะไรได้เยอะแยะ สิ่งที่ทำไม่ใช่งาน แต่เด็กจะมีความรู้สึกว่า ฉันต้องทำ ฉันเป็นพี่ ฉันภูมิใจฉันทำได้ด้วย เด็กบางคนตะโกนบอกครูว่า ใครยังไม่ได้ถ้วยอีก มันเป็นสิ่งที่เขารับผิดชอบเองได้

สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยทำให้ความมุ่งมั่นของเด็กสำเร็จ มีอยู่อีก 4 ตัว เป็น sense-สัมผัสรู้ เรียกว่า lower sense ในช่วง 7 ปีแรก การสัมผัสแรกของเด็กก็คือ touching เมื่อสัมผัสเด็กก็จะรู้ว่า เลยจากมือเขาไปคือมือคนอื่น

Touching เด็กจะได้รับมาตั้งแต่แรกคลอด เมื่อครูเรียนรู้ว่าเด็กใน 7 ปีแรกว่า touching เป็นสัมผัสแรก ครูไม่ต้องทำอะไรมากเลย บางครั้งเด็กไม่ต้องตอบครูด้วย แค่สัมผัสใจก็พอ สิ่งนี้มีผลมาก เด็กที่โตมาในโรงพยาบาล ไม่มีใครเป็นผู้ปกครอง กับเด็กที่โตมาในบ้าน แตกต่างกันมาก การไว้ใจโลกก็แตกต่างกัน เด็กที่โตมาในสถานสงเคราะห์ เขาจะไม่ไว้ใจโลก ซึ่งก็คือ trust นั่นเอง

Trust คือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ ถ้าเขาได้ touching ที่สมบูรณ์ ที่ดี เป็นไปอย่างทะนุถนอม และเข้าอกเข้าใจ

Life คือ สิ่งที่เด็กมีต่อโลก เช่น มนุษย์เราเกิดมาในโลก ต้องมีชีวิตอยู่และต้องตอบสนองกับโลก เช่น ถ้าเหนื่อยมาต้องนอน หิวมาก็ต้องกิน ครูอุ้ยก็จะให้ครูสังเกตง่ายๆ คือ ถ้าเขากินดี เขาก็จะถ่ายดี ถ้าเขาเล่นดี เขาก็จะหลับดี แล้วเด็กจะโตตอนหลับ เด็กที่ไม่ค่อยหลับ เขาจะโตยาก เด็กไม่ค่อยเล่นหรือเล่นไม่ค่อยเป็น ถึงเวลาจะหลับยาก เกิดอาการพะวง กระสับกระส่าย แต่เด็กที่เล่นแบบคลุกคลีตีโมง เวลาหลับจะหลับเลย หมดแรง กินเยอะ โตไว หน้าแดงเปล่งปลั่ง

ถ้าเขาเป็นไปได้ด้วยดี ก็บอกได้ว่าในอนาคตภายภาคหน้าเขาก็ดี ราบรื่น แต่ประเภทที่โตยาก โตลำบาก ทุกอย่างยากหมดเลย แล้วก็ยังพบว่าอันนี้ก็จะไปเชื่อมโยงกับ thought ระบบคิดในอนาคต

Movement เด็กเล็กจะเคลื่อนไหวตลอด นั่งไม่ได้ พอลงสนามปุ๊บ ก็เริ่มเคลื่อนไหว เริ่มหยิบจับ เล่นทันที เขาจะหาเรื่องเล่นตลอด มันไปเชื่อมโยงกับ wording ก็คือภาษา เขาก็จะมีชุดคำเยอะแยะสำหรับการเข้าใจโลก

Trust เชื่อมโยงกับ ego ของตัวเอง Life คือชีวิตความป็นอยู่ เป็นสิ่งที่มีผลต่อโลกที่เขาดำรงอยู่ สิ่งนี้จะไปเชื่อมโยงกับระบบคิดอย่างมั่นใจ ส่วน Movement ถ้าเราให้โอกาสเด็ก ทำโน่นทำนี่ เขาจะไปเชื่อมโยงกับภาษา มีชุดคำเยอะแยะสำหรับการเข้าใจโลก นี่แค่สามตัวนะ มันยังมีความหมายขนาดนี้เลย

ถ้าเขาไม่ทำ งานบ้าน งานครัว งานสวน เขาน่าจะมีปัญหา เพราะมันคือสิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิตความเป็นอยู่ของเขา ถ้าเขาต้องไปทำแบบฝึกหัด นั่งอยู่บนหน้าจอใหญ่ๆ ไม่ว่าจะไปดูอะไรก็แล้วแต่ หลายๆ บ้านก็ให้ดูซีดี หลายๆ บ้านก็ดูสารคดี แต่ความรู้เหล่านั้นมันไม่ได้ลงมือทำไง ไม่ได้อยู่ที่ Hand มันไม่ได้อยู่ในอายุตอบโจทย์ที่เขาจะได้ แค่นี้เราก็รู้แล้วว่ามันโยงหลายระบบ เด็กมีอะไรมากมายกว่านั้น

Balance เรา-ครูอนุบาลควรทำตอนนี้คือ สร้างบาลานซ์หรือการทรงตัวให้เด็กๆ สิ่งที่ครูอนุบาลทำคือร่างกายอย่างเดียวเลย ไม่ใช่เรื่องของความจำ หรือ เขียน อ่าน แต่อย่างใด เพราะว่าเมื่อทรงตัวได้แล้ว มันจะทรงใจได้ด้วย ข้างในมันจะเข้มแข็ง ไม่ว่าต่อไปจะเรียนอะไรภายภาคหน้า คุณจะหาวิธีเรียน เอาความรู้นั้นเข้าไปหาคุณได้ โดยไม่ต้องมีการซ้อมทำ

วันหนึ่งเด็กก็ต้องอ่านเขียนได้เอง เด็กต้องไปถึงอยู่แล้ว แล้วเราไปซ้อมทำไม เสียดายโอกาสที่เขาจะได้ทำงานบ้าน งานครัวงานสวน เรื่องของการอ่านเขียนมันไม่สายไปหรอก อ่านได้เร็วกว่าก็ไม่ได้แปลว่าอ่านได้เก่งกว่า การบรรจุข้อมูลได้เยอะก็ไม่ได้หมายความว่าจะเรียนรู้มากกว่า แต่เรียนไปใช้ไปให้เห็นผล แล้วเด็กจะขวนขวายเองในสิ่งที่เขาต้องรู้ เขาจะรู้เองว่าเขาขาดอะไร ทำไปทำไม นี่เป็นการทำอย่างมีความหมาย อันนี้เรียกว่าเป็นผลประโยชน์ต่อการเรียนรู้มากที่สุดของมนุษย์

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)งานบ้าน งานครัว งานสวนอภิสิรี จรัลชวนะเพทการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhoodLearning Theory
    เข้าใจธรรมชาติวัยอนุบาล: เข้าอนุบาลไป ทำอะไรบ้าง

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Learning TheorySocial Issues
    ให้การ ‘อยู่บ้าน’ ครั้งนี้ เป็นโอกาสดีได้ทำความรู้จักลูกจริงๆ ผ่านงานบ้าน งานครัว งานสวน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

สเตลลา โบลส์ “HELLO, WORLD แม่น้ำสายนี้สกปรกมาก!”
Voice of New Gen
23 August 2018

สเตลลา โบลส์ “HELLO, WORLD แม่น้ำสายนี้สกปรกมาก!”

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • เริ่มจากการสังเกตเห็นเพื่อนบ้านปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำ แต่ผู้ใหญ่แถวนั้นไม่มีใครลงมือทำอะไรเลยสักคน
  • เด็กหญิงวัย 11 ปีจึงลุกขึ้นมาเปิดเพจเฟซบุ๊คและติดป้ายแจ้งเตือนว่า “แม่น้ำสายนี้สกปรก” หลังจากทดสอบแล้วว่าปนเปื้อนไปด้วยแบคทีเรียจากอุจจาระ…อี๋
  • นอกจากรางวัลโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ได้มา สิ่งสำคัญกว่าคือ การแก้ปัญหาน้ำเสียระดับนโยบาย โดยมีจุดเปลี่ยนมาจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

“ฉันอยากว่ายน้ำแต่แม่ก็ห้ามเสมอ”

ตอนอายุได้ 11 ปี สเตลลา โบลส์ (Stella Bowles) เธอสวมรองเท้าบู๊ทยางลงไปเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำลาเฮฟข้างบ้านมาทดสอบ บ้านของเธออยู่ในแถบชายฝั่งตอนใต้ของรัฐโนวาสโกเชีย แคนาดา หลังจาก อันเดรีย คอนราด แม่ของเธอบอกว่าเพื่อนบ้านกำลังใช้ท่อตรงอย่างผิดกฎหมาย ในปี 2015

“แม่อธิบายว่ามันเป็นท่อที่ต่อตรงจากห้องน้ำในบ้านสู่แม่น้ำ โดยไม่มีผ่านการบำบัดใดๆ นั่นทำให้ฉันมีคำถามต่อมาอีกเพียบ”

โบลส์ เรียนรู้วิธีการทดสอบน้ำจาก เดวิด แม็กซ์เวล นักฟิสิกส์และอดีตศาสตราจารย์ที่เกษียณแล้ว เด็กหญิงเก็บตัวอย่างน้ำนำมาวิเคราะห์และพบระดับของการปนเปื้อนอุจจาระในแม่น้ำสูงกว่ามาตรฐานที่รัฐบาลกลางแคนาดากำหนดไว้ – มันสกปรกเกินกว่าจะลงว่ายน้ำหรือแม้กระทั่งแล่นเรือผ่าน

ไม่นานหลังจากนั้น โบลส์ วางป้ายขนาดใหญ่ใกล้ท่าจอดเรือเตือนว่าแม่น้ำนี้ปนเปื้อนไปด้วยแบคทีเรียจากอุจจาระ เธอเปิดเพจในเฟซบุ๊คเพื่อกระตุ้นสมาชิกในชุมชนตามไอเดียของแม่ด้วย ทั้งคู่คิดว่าเพจนี้จะทำให้คนราว 100 คนรับรู้เรื่องแม่น้ำสกปรก แต่ผิดคาด เพราะมันเข้าถึงได้หลายพันคนในไม่กี่วันและกลายเป็นเรื่องที่ชาวชุมชนพูดถึงไปทั่ว

แคโรลิน โบลิวาร์-เก็ทสัน (Carolyn Bolivar-Getson) นายกเทศมนตรี กล่าวว่า กระทรวงสิ่งแวดล้อมใช้ระบบร้องเรียนเพื่อควบคุมการใช้ท่อตรงอย่างผิดกฎหมาย คือต้องมีรายงานการร้องเรียนก่อนจึงจะสามารถจัดการได้ และดูจากจำนวนครัวเรือนที่ใช้ท่อตรงทำให้การบังคับใช้เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย

“ฉันคิดจริงๆ นะว่า จุดเปลี่ยนมาจากโครงงานวิทยาศาสตร์ของเด็กหญิงวัย 11 ปี – สเตลลา โบลส์”

สเตลลา โบลส์

การตรวจสิ่งปนเปื้อนในแม่น้ำทำให้เด็กหญิงคว้าเหรียญเงินจากการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์งานแสดงวิทยาศาสตร์ปี 2017 ในฤดูร้อนปีเดียวกัน เธอช่วยโน้มน้าวให้รัฐบาลแคนาดาเปลี่ยนท่อทั้งหมดที่ต่อตรงลงแม่น้ำลาเฮฟเป็นถังบำบัดน้ำเสียภายในปี 2023 ทางการวางแผนจะติดตั้งถังบำบัดจำนวน 50-100 ถังในปี 2018 และอีกปีละ 100 ถังจนถึงปี 2023

ก่อนหน้านี้ แม็กซ์เวล เคยทดสอบและบันทึกการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียในแม่น้ำนานสองปีก่อนจะส่งผลให้รัฐบาลและเผยแพร่สู่สาธารณะในแบบของเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ เขามองว่า ความแตกต่างระหว่างแคมเปญของเขากับ โบลส์ คือแก่นของมัน

“เด็กๆ ทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอิทธิพลต่อรัฐบาลด้วยการใช้ทักษะของโลกโซเชียลมาเป็นเครื่องมือสำคัญ เพราะคุณก็รู้ดีว่าคุณไม่อาจปฏิเสธเด็กได้หรอก”

ตอนนี้ โบลส์ วัย 14 ปีได้ร่วมเขียนหนังสือเรื่อง My River และยังออกแบบอุปกรณ์ทดสอบน้ำให้กับเด็กคนอื่นๆ ในโนวาสโกเชียโดยใช้เงินทุนจากรางวัลที่เธอได้ แถมยังฝึกให้พวกเขาทดสอบแหล่งน้ำในชุมชนตัวเองด้วย

“ฉันอยากแสดงให้เด็กคนอื่นๆ เห็นว่า วิทยาศาสตร์ไม่ได้อยู่แค่ในหนังสือเหมือนที่โรงเรียน”

ผู้ใหญ่เป็นกองหนุน

งานวิจัยหลายแห่งแนะนำว่า ครอบครัวที่ทำงานอาสาร่วมกันจะมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น และการมีส่วนร่วมในชุมชนจะช่วยสร้างความมั่นใจในตัวเอง แถมลดโอกาสเกิดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเกิดในช่วงวัยรุ่น ได้ด้วย

มาดูกันว่าในฐานะผู้ใหญ่ใกล้ตัวเด็ก เราจะสามารถทำอะไรให้พวกเขาได้บ้าง

  • กระตุ้นความรับผิดชอบด้วยการมอบหมายงานบ้านให้ทำ
  • กระตุ้นให้เด็กๆ ช่วยคิดหาวิธีช่วยเหลือคนอื่นแบบง่ายๆ
  • ทุกครั้งที่คุณจะช่วยคนอื่น ลองให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมด้วย
  • อ่านหรือเล่าเรื่องเด็กคนอื่นๆ ที่ช่วยเหลือให้ชุมชนดีขึ้น
  • ส่งเสริมให้เด็กๆ เข้าร่วมในกิจกรรมที่ตรงกับความถนัดและความสนใจของพวกเขา เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ เพื่อช่วยให้เด็กๆ มองเห็นจุดแข็ง ทิศทาง เป้าหมาย และความเพลิดเพลินของตัวเอง

กิจกรรมช่วยเหลือชุมชนสไตล์เด็กๆ

อ๊ะ…ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งไปเร่งให้พวกเขากระโดดไปร่วมกิจกรรมในกลุ่มเคลื่อนไหวใหญ่ๆ เพราะพวกเขาอาจไม่เข้าใจและคงรีบถอยหนีให้เร็วที่สุด ลองมาเริ่มต้นด้วยกิจกรรมง่ายๆ ก่อนดีกว่า

  • รู้จักลงคะแนนเสียง ลองให้พวกเขาได้เลือกและออกความเห็นในสิ่งที่พวกเขาอยากช่วย แม้จะเป็นกิจกรรมเล็กน้อยอย่างให้อาหารสัตว์ มันจะมีความหมายมากหากเด็กๆ ได้เลือก
  • เริ่มต้นใกล้ๆ บ้าน เช่น ช่วยถอนหญ้าหรือกวาดใบไม้ให้คุณยายข้างบ้าน หรือช่วยทำธุระให้เพื่อนที่ป่วยอยู่ แล้วนำประสบการณ์นี้มาพูดคุยโยงไปถึงการช่วยเหลือชุมชนที่กว้างมากขึ้น
  • ส่งต่อคำขอบคุณ ชวนเด็กๆ และเพื่อนของเขามาทำกิจกรรมให้คนในชุมชน เช่น ทำการ์ดขอบคุณให้คุณลุงที่คอยรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้าน หรือทำการ์ดปีใหม่ให้คุณตำรวจจราจร ลองคุยกับพวกเขาดูว่ามีใครบ้างที่เด็กๆ อยากขอบคุณ
  • กิจกรรมรักษ์โลก เริ่มด้วยกิจกรรมง่ายๆ อย่าง พกขวดน้ำประจำตัวเพื่อลดการใช้พลาสติก ช่วยเก็บขยะตามข้างทาง หรือกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมเท่าที่เขาจะทำได้
ที่มา: https://www.pbs.org
https://www.citylab.com
https://www.scarymommy.com

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นพลเมืองคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นไอซ์แลนด์ไม่ ‘เสพยา’ : พวกเขาแค่ไม่ว่าง และมีอะไรทำ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?
Learning Theory
21 August 2018

งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • รู้สึกมีส่วนร่วม มีความสำคัญในครอบครัว จัดลำดับความสำคัญในชีวิต มองเห็นความต้องการของคนอื่น เหล่านี้คือทักษะที่ศาสตร์ ‘งานบ้าน’ มอบให้
  • สัมภาษณ์ผู้ปกครองชาวอเมริกันกว่าหนึ่งพันคนถึงความคาดหวังในตัวลูก เกือบทั้งหมดให้ความสำคัญกับวุฒิภาวะทางใจ แต่สิ่งที่สนับสนุนกลับเป็น ‘ทักษะวิชาชีพ’
  • กว่าครึ่งเข้าใจว่า ‘งานบ้าน’ สร้างทักษะชีวิตและวินัยหลายอย่าง แต่หลายครั้งที่ขอให้ทำ ลูกๆ ก็ยังนั่งเฉย เพื่อตัดรำคาญ พ่อแม่จึงทำให้แทน
  • คำถามคือ เด็กๆ ขี้เกียจ หรือ พ่อแม่มีพฤติกรรมที่ทำให้เด็กสับสน ‘อยากให้ทำงานบ้านแต่ไม่อยากบังคับขู่เข็ญ’ หรือ ‘อยากให้ทำงานบ้าน หรือการบ้านกันแน่?’

เป็นความปรารถนาของผู้ปกครองหลายคน ถ้าเด็กๆ จะหยิบจับทำ ‘งานบ้าน’

ไม่ใช่แค่ความสบายของคุณพ่อและคุณแม่บ้าน แต่หลายคนตระหนักดีว่า เบื้องหลังศาสตร์แห่งการทำงานบ้าน นำมาซึ่ง skill หรือทักษะหลายอย่าง ไม่รวมวินัย และลักษณะนิสัยเฉพาะที่ตามมาจากศาสตร์นี้ เช่น ความใส่ใจและเข้าใจความต้องการของคนอื่น – ทักษะนี้แค่น้ำจิ้ม คุณูปการของการทำงานบ้าน จะขอยกไปคุยยาวๆ ในหัวข้อถัดไป

ประเด็นที่อยากชวนคุยจริงๆ ตามที่ เคเจ เดลล์ แอนโทเนีย (KJ Dell’Antonia) คอลัมนิสต์และนักเขียนประเด็นครอบครัว เขียนไว้ในบทความเรื่อง Happy Children Do Chores (เด็กที่มีความสุขจะทำงานบ้าน) คือประเด็นที่ว่า…

ผู้ปกครองรู้ว่าการทำงานบ้านมีประโยชน์และต่างอยากขอให้ลูกๆ หยิบจับ แต่ติดที่ประโยคเหล่านี้ เช่น ‘งานหลักของพวกเขาคือเรียนหนังสือ’ ‘บอกแล้วแต่พวกเขาไม่ทำ’ ‘ไม่อยากบังคับลูกนี่นา’ และคำอธิบายอื่นๆ ตามบริบทของแต่ละครอบครัว

แต่หลังจากศึกษาด้วยแบบสำรวจและงานวิจัยหลายชิ้น เธอตั้งคำถามว่า ผู้ปกครองแสดงพฤติกรรมที่ทำให้ลูกสับสนเกี่ยวกับการจัดลำดับในชีวิตหรือเปล่า?

ไม่ใช่แค่ ‘งานบ้าน’ แต่คือ ‘ทักษะชีวิต’

มีงานวิจัยเรื่อง Involving Children in Household Task: Is It Worth the Effort? (เด็กๆ ที่ช่วยทำงานบ้าน: สำคัญพอให้เราพยายาม(สร้างทักษะนี้)ไหม?) โดยติดตามเด็กจำนวน 84 คน ผ่านการสัมภาษณ์เด็กและติดตามพฤติกรรมคนในครอบครัวเป็นเวลาร่วมสิบปี โดยจะกลับไปติดตามพวกเขา 3 ช่วงวัยคือ เมื่ออายุ 3 หรือ 4 ปี, 9 หรือ 10 ปี และ 15 หรือ 16 ปี และพูดคุยผ่านโทรศัพท์เมื่อพวกเขาอายุราว 25 ปี

ติดตามอะไรบ้าง? พวกเขาบันทึกข้อมูลตั้งแต่ พฤติกรรมครอบครัว เพศสภาพ โดยเฉพาะวิเคราะห์งานบ้านที่พวกเขาได้ทำแล้วเชื่อมกับทัศนคติและแรงจูงใจในชีวิต

เฉพาะประเด็นงานบ้าน ผลการวิจัยพบว่างานบ้านมีผลต่อทัศนคติเชิงบวกในชีวิตระยะยาวและทักษะชีวิต เช่น ความรับผิดชอบ ความสามารถ ความยืดหยุ่น รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง ปรับตัวได้ง่ายในวัยผู้ใหญ่ ผลการสำรวจยังพบว่า ยิ่งเด็กๆ ถูกสอนหรือมีส่วนร่วมในการทำงานบ้านเร็วเท่าไหร่ โดยเฉพาะเด็กที่มีส่วนร่วมตั้งแต่ 3-4 ขวบ ก็จะยิ่งสร้างคุณลักษณะดังกล่าวดีขึ้นเท่านั้น

ความเห็นเชิงจิตวิทยาต่อประเด็นดังกล่าวมีอยู่ว่า

เพราะงานบ้านไม่ใช่แค่การทำความสะอาด แต่หมายถึง ความรู้สึกมีส่วนร่วม มีความสำคัญในครอบครัว จัดลำดับความสำคัญในชีวิตได้ และมองเห็นความต้องการของคนอื่นด้วย

งานวิจัยนี้ขีดเส้นใต้ว่า การให้พวกเขามีส่วนร่วมตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะเมื่อ 3-4 ปี ไม่ได้หมายความถึงงานบ้านแบกหาม แต่เพียง ‘มีส่วนร่วม’ ในงานที่เหมาะกับพวกเขา สำคัญคือ ‘ความชัดเจน’ แน่นอน และเป็นเวลา เช่น ในอาทิตย์นี้สมาชิกคนไหนควรทำอะไรบ้าง และย้ำว่าผู้ปกครองไม่ควรสร้างเงื่อนไข เช่น ‘หากทำงานบ้านแล้วจะได้รับอนุญาตให้ …’ (จงเติมคำในช่องว่าง) งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้บอกว่าทำไมจึงไม่ให้สร้างเงื่อนไข แต่ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่าการสร้างเงื่อนไข เท่ากับบอกว่าการทำงานบ้านคือการแลกเปลี่ยน ไม่ใช่หน้าที่ และ ไม่ต้องทำก็ได้นะ ก็แค่ไม่ได้รางวัลหรือเงื่อนไขที่วางเอาไว้เอง

อยากให้ทำงานบ้าน หรืออยากให้ลูกทำการบ้าน หรือไม่อยากบังคับลูกให้ทำงานบ้าน?

เพื่อตอบข้อสังเกตดังกล่าว แอนโทเนียหยิบงานจากสถาบันวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (U.C.L.A.’s Center) สำรวจระหว่างปี 2001-2005 เป็นบันทึกวิดีโอกว่า 1,540 ชั่วโมง ของครอบครัวชนชั้นกลางจำนวน 32 ครอบครัวซึ่งมีรายได้จากทั้งสามีและภรรยาและมีลูกอย่างน้อย 2 คน ผลสำรวจพบว่า เกือบทุกครอบครัว พ่อแม่เป็นคนทำงานบ้านส่วนใหญ่เอง และถ้าลูกๆ ประสบปัญหาจากการทำงานบ้าน พ่อแม่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ยังพบว่า

  • เด็กๆ 22 ครอบครัว เพิกเฉยหรือไม่ทำตาม เมื่อพ่อแม่ขอให้ช่วยทำงานบ้าน
  • พ่อแม่ 8 ครอบครัว ไม่เคยขอให้เด็กๆ ช่วยงานบ้าน
  • เด็กๆ 2 ครอบครัวช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้านอย่างแข็งขัน

ผลสำรวจที่ได้สวนทางกับงานสำรวจอีกชิ้นจากการพูดคุยกับผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน 1,001 คน พบว่าผู้ที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นด้วยกับทักษะที่ได้จากการทำงาน

  • 75 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วยว่างานบ้านทำให้เด็กๆ มีความรับผิดชอบ
  • 63 เปอร์เซ็นต์บอกว่างานบ้านทำให้เด็กๆ มีทักษะชีวิตที่ดี
  • 82 เปอร์เซ็นต์บอกว่าพวกเขามีตารางการทำงานบ้านที่แน่นอนตั้งแต่เด็ก
  • 56 เปอร์เซ็นต์บอกว่า พวกเขาสอนเด็กๆ ให้ทำงานบ้านด้วย

งานวิจัยสองชิ้นข้างต้นอาจหมายความว่า แม้ผู้ปกครองจะเห็นด้วยกับศาสตร์การทำงานบ้าน แต่ในทางปฏิบัติจริง อาจไม่เป็นอย่างนั้น!

จากนั้นแอนโทเนียสำรวจอีกครั้งแต่สัมภาษณ์เชิงลึกกับพ่อแม่จำนวน 1,050 คน ด้วยคำถามปลายเปิดที่ว่า ‘คุณไม่ชอบอะไรที่สุดในการเป็นผู้ปกครอง’ คำตอบส่วนใหญ่ที่เธอสรุปได้คือ ‘การบังคับ’ ให้ลูกทำตามกฎ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับงานบ้าน

“ผู้ปกครองส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าเด็กๆ ควรทำงานบ้าน แต่เราไม่อยากบังคับพวกเขา” แอนโทเนียสรุปเช่นนั้น

แน่นอนว่างานสำรวจเฉพาะครอบครัวชนชั้นกลางและเลือกเอาจากแค่ 32 ครอบครัว หรือแค่ความเห็นของชาวอเมริกันเพียงพันคน อาจไม่ใช่ความจริงเดียวกับการเลี้ยงลูกของประชากรโลกกว่า 7,000 ล้านคน แต่หากเห็นด้วยกับงานวิจัยที่แอนโทเนียค่อยไล่เรียงหยิบยกมา จะเห็นประเด็นที่เธออยากชี้ว่า…

หลายครั้งผู้ปกครองเองเป็นผู้สร้างพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความสับสน ว่าอยากให้พวกเขาทำงานบ้าน ด้วยเหตุผลของการสร้างทักษะและวินัย แต่ก็ไม่อยากบังคับขู่เข็ญเอากับลูก หรือมีคำอธิบายคลาสสิก เช่น เด็กๆ ต้องทำการบ้าน, บอก (จนปากเปียกปากแฉะ) แล้วแต่เขาไม่ทำ, ไม่อยากบังคับลูกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ (เก็บพลังไว้ต่อกรเรื่องอื่น)

ยังไม่รวมของสังเกตของริชาร์ด ไวสส์เบิร์ด (Richard Weissbourd) นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ชี้ว่า แม้ผู้ใหญ่จะคาดหวังให้เด็กๆ มีคุณธรรม มีทักษะเอาตัวรอดและมีหัวใจที่เต็มพร้อมในการเป็นมนุษย์ แต่ดูเหมือนว่าเด็กๆ จะได้รับการสื่อสารที่ ‘สับสน’

จากการสำรวจเด็กนักเรียนจำนวน 10,000 คน จากโรงเรียนมัธยมต้นและปลายจำนวน 33 โรงทั่วประเทศ ระบุว่า เด็กๆ กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ให้คุณค่าเรื่องความสุขของตัวเองมากกว่าความสุขของคนอื่น และเห็นว่าพ่อแม่เขาก็จะคิดเช่นเดียววัน

“จากการสัมภาษณ์และสำรวจเด็กๆ ช่วงหลายปีที่ผ่านมาชี้ว่า พลัง อิทธิพล สารที่เด็กๆ ได้รับจากพ่อแม่เรื่องความสำเร็จและความสุข บดบังความต้องการที่ลึกยิ่งกว่า คือเรื่องการคิดถึงผู้อื่น” คุณหมอไวสส์เบิร์ดกล่าว

แอนโทเนียกล่าวสรุปบทความของเธอว่า งานบ้านอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ภายใต้กิจวัตรประจำวันนี้คือทักษะชีวิตที่ฝังลึกและกอปรเป็นทักษะชีวิตที่ส่งผลยาวยิ่งว่า

และหากผู้ปกครองยังมีคำถามคาใจว่า ระหว่างงานบ้านกับหน้าที่ในชีวิตอื่นที่เด็กๆ ต้องทำ จะเลือกอะไรดี? แอนโทเนียกล่าวว่า “งานบ้านจะสร้างสมดุล”

ไม่จำเป็นต้องเลือกให้ยุ่งยากระหว่างงานบ้านหรือกิจกรรมอื่น เพียงทำให้งานบ้านเป็นหนึ่งในหน้าที่ ไม่ต้องบังคับ เพียงแต่ ‘ยืนยัน’ ว่าพวกเขาต้องจัดการให้เสร็จและพ่อแม่ไม่เข้าไปทำให้

อ้างอิง
Happy Children Do Chores
INVOLVING CHILDREN IN HOUSEHOLD TASKS: IS IT WORTH
THE EFFORT?

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)งานบ้าน งานครัว งานสวนวินัยเชิงบวกEFพ่อแม่ปฐมวัย

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • EF (executive function)
    ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Early childhoodCharacter building
    อนุบาลบ้านรัก : ตื่นเช้าไป ‘บ้าน’ ไม่ใช่โรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    CHARACTER CAPABILITIES: 3 นิสัยดี คีย์สำคัญสู่ความสำเร็จและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

เราต่างมีภูเขาน้ำแข็งอยู่ภายใน กลไกป้องกันตัวเองของเราเป็นแบบไหนกัน
Healing the trauma
21 August 2018

เราต่างมีภูเขาน้ำแข็งอยู่ภายใน กลไกป้องกันตัวเองของเราเป็นแบบไหนกัน

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ (Virginia Satir 1916-1988) นักเขียน ครู และนักจิตบำบัดอเมริกัน ผู้บุกเบิกแนวคิดจิตบำบัดครอบครัว เสนอกรอบคิดอันโด่งดัง หนึ่งในนั้นคือ แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง (The Iceberg Model)

ซาเทียร์เห็นว่า ‘รอยแผล’ ของแต่ละคนอาจแตกต่าง มีได้หลายรอยแผล และผู้ที่ทำให้เกิดรอยแผลไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่มาจากตัวละครหลากหลายที่กระทำต่อกันเป็นลูกโซ่ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ฝากรอยแผลไว้รอยใหญ่และหนักแน่นที่สุด คือ ‘สมาชิก’ ในครอบครัว โดยเฉพาะ พ่อ แม่ และปัญหาจากความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง

และ ‘รอยแผล’ นี่เองที่สร้าง ที่สร้างวิธีคิด พฤติกรรม และที่สำคัญคือ ‘กลไกป้องกันตัวเอง (Coping Stance)’

‘กลไกป้องกันตัวเอง’ หรือรูปแบบพฤติกรรมที่มักแสดงเมื่อเจอกับปัญหา ต้องเผชิญกับความเครียด กลไกป้องกันตัวของแต่ละคนมักมีสารตั้งต้นจากประสบการณ์ในวัยเด็กหรือที่ได้รับจากครอบครัว แบ่งได้เป็น 5 พฤติกรรมใหญ่ โดยอธิบายผ่านความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวเอง(self), คนอื่น (other) และบริบท (context)

Blaming : กลไก ‘ตำหนิ’ สนใจบริบทและตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น

ตำหนิไว้ก่อน ใช้การตำหนิปิดบังความกลัว ยึดว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อถือคือสิ่งถูก เป็นผู้พิทักษ์ความถูกต้อง หลายครั้งนำไปสู่ความหวาดระแวงผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่มักป้องกันตัวเองด้วยการตำหนิ จะสนใจเนื้อหาและสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเชื่อ มักมีปัญหาทางสุขภาพเกี่ยวกับการหายใจ

Placating : กลไก ‘เอาใจ’ สนใจบริบทและคนอื่น ไม่สนใจตัวเอง

เป็น Mr. Yes man มักยอมทำตามสิ่งที่ผู้อื่นร้องขอโดยไม่สนใจความรู้สึกตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ การปฏิเสธ หรือความรู้สึกบาดหมางระหว่างกัน เคารพคนอื่น แต่ไม่เคารพตัวเอง ผู้ที่มีกลไก ‘เอาใจ’ มักมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร ไมเกรน ท้องผูก

Super­reasonable : กลไก ‘มนุษย์เหตุผล’ สนใจบริบท ไม่สนใจตัวเองและคนอื่น

บางตำราเรียกว่า ‘มนุษย์คอมพิวเตอร์’ สนใจที่เนื้อหาและความถูกต้องเป็นหลัก รู้และเข้าใจหลักการอย่างถ่องแท้ ไม่ทำงานด้วยความรู้สึก คนมักจะมองคนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ว่า เย็นชา เจ้าหลักการ ปัญหาสุขภาพมักเผชิญกับอาการเยื่อเมือกแห้ง เช่น ตาแห้ง เนื้อเยื่อในช่องปากแห้ง

Irrelevant : กลไก ‘เฉไฉ’ สนใจทั้งตัวเอง ผู้อื่น และบริบท

เราอาจพบว่าเขาคือนักเอ็นเตอร์เทน มีบุคลิกสนุกสนานเฮฮาและเข้าไปอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ทุกวง ดึงดูดความสนใจของตัวเองและคนอื่นให้หลุดออกจากความเครียดได้เก่ง บทสนทนามักเป็นเรื่องทั่วไปแต่ไม่จับยึดที่แก่นเรื่อง บางครั้งดูกระวนกระวาย หรือมีปฏิกิริยาล้นเกิน เช่น มักเป่าปาก กระพริบตาถี่ ร้องเพลง หลุกหลิก หรือไม่ก็เพิกเฉยต่อสถานการณ์เคร่งเครียดไปเลย

Congruence : สอดคล้องกลมกลืน ไม่ต้องใช้กลไกป้องกันตัวใดๆ เลย

เป็นภาวะที่ยอมรับ สมดุล เชื่อมโยง ยอมรับ หรือรู้สึกสงบอยู่ในภาวะนั้นๆ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ซาเทียร์ : เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

Tags:

The Iceberg Modelคาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาปม(trauma)ซาเทียร์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • BookFamily Psychology
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย

    เรื่อง

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to enjoy life
    ซาเทียร์: เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaEducation trend
    เมื่อนักเรียนมีบาดแผลทางจิตใจ คุณครูก็ด้วยเหมือนกัน

    เรื่อง The Potential

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน
EF (executive function)
20 August 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เราเคยมีคำว่า ‘อ่าน เขียน เรียนเลข’ เป็นความรู้พื้นฐานด้านการศึกษา เป็นสามเรื่องแรกของระบบโรงเรียนที่เด็กทุกคนต้องทำได้ สมัยก่อนทำได้เมื่อประถม 1 คือ 7 ขวบ ว่ากันว่าปัจจุบันเด็กๆ ถูกคาดหวังให้ทำได้ตั้งแต่ปฐมวัยคือ 4-6 ขวบ

อ่าน เขียน เรียนเลข สำคัญ แต่ที่สำคัญมากกว่าคือ อ่าน เล่น ทำงาน

อ่าน เล่น ทำงาน มีประโยชน์คือสร้างสิ่งที่เรียกว่า Executive Function (EF) ปัจจุบันมีนิยามของ EF มากกว่า 30 แบบปรากฏตามตำราต่างๆ แต่ที่สั้น ง่าย ชัด เป็นของ รศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร จากที่ประชุมจัดการความรู้เรื่อง EF ของรักลูกกรุ๊ป ดังนี้

EF คือความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

อธิบายว่าเด็กสมัยใหม่ควรมีความสามารถกำหนดเป้าหมายและไปให้ถึง มิใช่เรียนหนังสือโดยไร้เป้าหมาย หรือต่อให้มีเป้าหมายแต่ทำได้เพียงแค่ฝันหวานแล้วไปไม่ถึง

อ่าน เล่น ทำงาน คือ 3 วิธีพื้นฐานสร้าง EF

อ่าน เล่น ทำงาน จะช่วยเตรียมความพร้อมของโครงสร้างสมองให้พร้อมสำหรับมี EF ในวันหน้า

งานวิจัย EF สมัยใหม่ทั้งหมดวัด EF ได้เมื่ออายุประมาณ 4 ขวบ ไม่สามารถวัดได้ที่อายุน้อยกว่านี้ นั่นแปลว่าอาจจะไม่มี EF ก่อนหน้านั้น ถึงมีก็น้อยเสียจนวัดไม่ได้ ตำราบางเล่มเรียกว่า proto-EF

เนื่องจาก EF เริ่มต้นด้วยการควบคุมตัวเอง (self control) บางตำราใช้คำว่ากำกับตัวเอง (self regulation) ดังนั้นจึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ตัวเอง’ ก่อน

ตัวเอง หรือ ตัวตน มาจากคำศัพท์ว่า self เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องของจิตใจ (Theory of Mind) กับความรู้เรื่อง EF ไม่มีตัวตนก็จะไม่มีฐานราก ไม่มีชานชาลา ไม่มีแผ่นหินให้ EF ตั้งอยู่

เด็กๆ จะสร้างตัวตนได้อย่างไร? คำตอบคือสร้างแม่ก่อน

อ่านนิทานก่อนนอนเป็นวิธีสร้างแม่ที่ได้ผลและง่าย ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่ายุคสมัยใหม่ในประเทศที่ไม่มีรัฐสวัสดิการ พ่อแม่จำนวนมากมายต้องทำงาน หาเงิน ไปจนถึงปากกัดตีนถีบ กลับบ้านค่ำ และหลายครัวเรือนที่ไม่กลับบ้านเลย จำเป็นต้องฝากเด็กเล็กไว้กับปู่ย่าตายาย ญาติ หรือแม้กระทั่งจ้างเพื่อนบ้านเลี้ยง

เงินโอทีที่ทำได้เป็นค่าจ้างเลี้ยงลูกและค่านมผสม

อย่างไรก็ตาม มนุษย์พัฒนาด้วยการสร้าง ‘แม่ที่มีอยู่จริง’ ขึ้นมาก่อน ทำได้เมื่อพบว่าแม่ไว้ใจได้ (trust) ให้ความรัก ความอบอุ่น ให้ความช่วยเหลือเมื่อไม่สบายตัว เช่น ร้อน หนาว เจ็บ และป้องกันภยันตรายโดยไม่มีเงื่อนไข เช่น กำจัดยุง แมลง รักษาโรค โอบกอดเมื่อรู้สึกกลัว สำคัญที่สุดคืออยู่เป็นเพื่อนเมื่อเหงา

แม่ที่ปฏิบัติภารกิจเหล่านี้จะปรากฏตัวชัดต่อตาทารก และชัดเจนในจิตใจของลูก

ปริมาณเวลา (amount of time) เป็นเรื่องสำคัญ แต่หลายคนไม่มีเวลา ที่สำคัญเท่าๆ กับปริมาณคือความสม่ำเสมอ (consistency) ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าเด็กๆ เรียนรู้ได้จากความสม่ำเสมอ

อ่านนิทานก่อนนอนเป็นเครื่องมือประกัน (assurance) ว่าคุณพ่อคุณแม่จะปรากฏตัวตรงเวลา ที่ห้องนอน ด้วยจิตใจผ่อนคลาย ไม่เร่งรีบ ไม่ใช้สมาร์ทโฟน และเริ่มต้นอ่านหนังสือให้ลูกฟัง

ทำทุกคืน ปีละอย่างน้อย 330 คืน อย่างต่อเนื่อง 3 ปี รวมได้ประมาณ 1,000 วัน นี่คือเครื่องมือสร้างแม่ที่มีอยู่จริงได้ดีที่สุด

การอ่านนิทานเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ที่อ่านหนังสือออกทำได้ง่าย มีคำแนะนำง่ายๆ สั้นๆ ดังนี้

1. อ่านนิทานเรื่องอะไรก็ได้ที่มี ไม่จำเป็นต้องซื้อหานิทานราคาแพง ไม่จำเป็นต้องมีภาพประกอบสวยงาม ไม่จำเป็นต้องพะวงเรื่องอายุของลูก ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าเล่มไหนเหมาะกับอายุเท่าไร หลักการสำคัญคือคนอ่านสนุกก่อน คุณพ่อคุณแม่นั่นแหละที่สนุกกับการอ่านก่อน ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหรือถูกบังคับให้อ่าน ความสนุกที่แผ่เป็นออร่าจากร่างกาย สีหน้าและจิตใจของคุณพ่อคุณแม่เองจะเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าเรื่องอื่น

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่เคยอ่านนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กมาก่อนเลย ลองอ่านดูเถอะ หลายท่านเพิ่งจะค้นพบว่ามันสนุกมากกว่าที่ตัวเองเคยรู้

2. อ่านไปธรรมดาๆ ไม่มีความจำเป็นต้องดัดเสียงดัดแปลง ออกท่าออกทาง หรือทำเรื่องให้ตื่นเต้นโดยเจตนา ขอแค่อ่านไปเรื่อยๆ จากหน้าแรกไปจนถึงหน้าสุดท้าย จะเห็นว่าขอเพียงอ่านหนังสือออกคืออ่านนิทานก่อนนอนได้ ไม่ต้องฝึก ไม่ต้องเรียนคอร์สเล่านิทาน ตอนนี้เราขอน้อยมากคือแค่อ่านออกแล้วอ่านไป ให้ลูกฟัง

อ่านภาษาที่ตัวเองถนัด หากคุณพ่อคุณแม่ถนัดภาษาไทยอ่านภาษาไทย หากถนัดภาษาอังกฤษอ่านภาษาอังกฤษ หากคุณพ่อคุณแม่ถนัดคนละภาษา อ่านภาษาแม่ของตัวคนละภาษา แต่มีข้อแนะนำทั่วไปว่าการอ่านนิทานก่อนนอนสำหรับเด็กควรอ่านภาษาเดียว ไม่อ่านสองภาษา

3. อ่านตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวันที่เขาเติบใหญ่และไม่ต้องการฟังแม่อ่านนิทานอีกแล้ว ซึ่งมักจะเป็นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างอายุ 7-9 ขวบ เริ่มอ่านตรงเวลาแต่ไม่ควรเกิน 21.00 น. เพราะเด็กๆ ไม่ควรนอนดึก ความตรงเวลาจะช่วยให้เด็กๆ ตั้งตารอ รอคือมี คุณพ่อคุณแม่หลายบ้านอยู่ในสภาวะยากลำบากต้องทำงานจนค่ำ ลูกจะรอเวลานั้นทั้งวัน รอทั้งวันคือมีทั้งวัน มีอะไร? มีพ่อแม่ที่มีอยู่จริง

เรื่องทุกเรื่อง กิจกรรมทุกประเภท เราสามารถกำหนดเวลาได้ รวมทั้งการอ่านนิทาน การกำหนดกติกาอ่านคืนละครึ่งชั่วโมงหรืออ่านนิทานจำนวน 3-5 เล่ม หรือ 3-5 เรื่อง แล้วแต่ว่าจำนวนไหนจะถึงก่อนกันเป็นเรื่องที่เราสามารถพูดคุยกับลูกและตกลงกติกาล่วงหน้าได้

และนี่จะเป็นต้นแบบของการกำหนดกติกาเรื่องอื่นๆ ที่ยากกว่าในอนาคต เช่น กติกาดูการ์ตูนโทรทัศน์ กติกาเล่นเกม กติกาใช้สมาร์ทโฟน เป็นต้น

คุณพ่อคุณแม่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อคุณแม่ชนชั้นกลาง ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกลางระดับล่าง ระดับกลางหรือระดับสูง เกือบทุกครัวเรือนเหน็ดเหนื่อยจากงานประจำวัน บางคนหอบงานกลับมาทำบ้าน บางคนมีภารกิจงานบ้านต้องสะสาง ดังนั้นการกำหนดกติกาเวลา 30 นาทีเป็นเรื่องมีประโยชน์มาก สอนให้ลูกเข้านอนตรงเวลา แล้วเราถอยออกมาทำงานได้ ทุกคนได้

อ่านอะไรก็ได้ อ่านไปธรรมดาๆ และอ่านสามสิบนาที เป็นสามประการที่ควรจะทำได้

อ่านนิทานก่อนนอนเป็นการลงทุน ทุนที่ลงไปวันนี้และใน 1,000 วันนับจากลูกเกิดไปจนถึงอายุ 3 ขวบคือเครื่องมือสร้างแม่ที่มีอยู่จริง อันเป็นฐานรากของความเป็นมนุษย์ ผลกำไรจะออกดอกออกผลในวันถัดๆ ไป และเก็บเกี่ยวกำไรไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด ไม่สามารถตีค่าเป็นเงินบาทได้

แต่ถ้าจะตีค่าเป็นเงินบาทกันจริงๆ แล้ว เราพบว่าบ้านที่อ่านนิทานก่อนนอนเป็นประจำสามารถประกันความเสียหายระยะยาวของเด็กๆ และวัยรุ่นได้มากกว่า นั่นหมายความว่าอนาคตเราจะสูญเสียเงินน้อยกว่าค่านิทานและค่าสูญเสียเวลา 30 นาทีต่อคืน

โลกสมัยใหม่มีนิทานออนไลน์ให้โหลดฟรีมากมาย ถ้าไม่มีเงินซื้อ ให้โหลดฟรีออกมาอ่าน ถ้าไม่มีเงินซื้อกระดาษเอสี่รีมใหม่ คอยสะสมกระดาษใช้แล้วหน้าเดียวมาพรินท์ ถ้าไม่มีเครื่องพรินท์สี พรินท์ขาวดำก็เอา ถ้าไม่สามารถทำอะไรได้ แต่งเอาเองแล้วเขียนเอาเองอย่างไรก็ได้ ครั้งหนึ่งนานมาแล้วไก่ตัวหนึ่งเดินไปพบเป็ดตัวหนึ่งแล้วพูดว่าสวัสดีครับก็ได้ ขอเพียงเห็นความสำคัญของการอ่านนิทานก่อนนอน เราจะทำมันจนได้

ลูกมิได้ต้องการนิทานจริงหรอก ลูกต้องการคุณ

Tags:

นิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 7 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 5

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 4

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ชีวิตง่ายขึ้น เมื่อตัดสินใจได้เฉียบ เข้าใจได้ขาด
21st Century skills
18 August 2018

ชีวิตง่ายขึ้น เมื่อตัดสินใจได้เฉียบ เข้าใจได้ขาด

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • การคิดเชิงวิพากษ์ อาจฟังดูยาก แต่เป็นสิ่งที่เราใช้งานแทบทุกวัน
  • ความสงสัยใคร่รู้และความอยากรู้อยากเห็น จะช่วยให้การคิดเชิงวิพากษ์เฉียบขาดยิ่งขึ้น
  • แน่นอน ฝึกได้ตั้งแต่เด็กๆ ไม่ต้องเสียค่าเรียนราคาแพง พ่อแม่หรือคนที่บ้านก็สอนได้

จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เราใช้ การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) อยู่ทุกวันทั้งเพื่อช่วยในการตัดสินใจ เพื่อให้เข้าใจผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง หรือเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

ลองนึกดูดี ๆ ถึงการวางแผนเส้นทางเพื่อเดินทางไปยังที่ ๆ ไม่เคยไป วันที่ต้องเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเดินทางไปทำงาน หรือแม้แต่กิจกรรมยามว่างอย่างการต่อจิ๊กซอว์ เล่นเกม หรือดูรายการเกมโชว์ที่ต้องใช้ความคิด หลาย ๆ ครั้ง ผู้ใหญ่ยังมองบางเรื่องที่เอ่ยมาข้างต้นว่า…เป็นเรื่องยาก

ความคิดเชิงวิพากษ์ในที่นี้ เป็นมากกว่าการคิดอย่างชัดเจนและมีเหตุผล แต่รวมถึงการคิดอย่างอิสระ เป็นการคิดที่รวบรวมหลักการและความคิดเห็นจากประสบการณ์หรือข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อหาข้อสรุปด้วยตัวเอง โดยไม่เอาความกดดันหรือข้อกังวลจากผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง การคิดเชิงวิพากษ์จึงเป็นแบบแผนในการวิเคราะห์และเชื่อมโยงความคิดภายในบุคคล แต่ยังเคารพมุมมองและความคิดของผู้อื่น

บทความเรื่อง ความสำคัญของการคิดเชิงวิพากษ์ในเด็ก หรือ The important of critical thinking for young children โดย ไคลีย์ ไรน์มาโนวิสซ์ (Kylie Rymanowicz) นักการศึกษา การศึกษาปฐมวัย จาก Michigan State University บอกว่า การคิดเชิงวิพากษ์เป็นคุณลักษณะสำคัญที่ผู้ปกครองต้องช่วยปลูกฝังให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก เพื่อช่วยให้เด็กมีความมั่นใจ มีความกล้าตัดสินใจ และคิดแก้ปัญหาได้อย่างเฉียบขาด คุณลักษณะนี้จะช่วยให้เด็กใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ท่ามกลางสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาจะตัดสินใจและจัดการกับตัวเอง หรือแม้แต่ความคาดหวังของคนรอบข้างได้ โดยไม่ตกอยู่ในความพะวงหรือความลังเลสงสัย

เอเลน กาลินสกีย์ (Ellen Galinsky) ประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง Families and Work Institute (FWI) อธิบายถึงการสอนเด็กให้มีความคิดเชิงวิพากษ์ ไว้ในหนังสือ “Mind in the Making: The seven essential life skills every child needs” ว่า ความสงสัยใคร่รู้ หรือ ความอยากรู้อยากเห็น (curiosity) ที่มีอยู่ตามธรรมชาติเป็นพื้นฐานที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการคิดเชิงวิพากษ์อย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งการสร้างให้เด็กมีคุณลักษณะนี้ต้องเริ่มจากการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้ (แตกต่างกันตามแต่ละช่วงวัย) เช่น จากการเล่านิทานของพ่อแม่ จากการเรียนในห้องเรียน จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ วิดีโอหรือบทความต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อให้เด็กได้รับข้อมูลที่เปิดกว้าง ได้วิเคราะห์สิ่งที่รับรู้ และมีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจด้วยตัวเอง

กระบวนการทำงานของสมองเมื่อรับข้อมูลเข้ามา ข้อมูลต่าง ๆ จะถูกส่งเข้าไปเก็บยังคลังข้อมูลหรือ ‘ห้องสมุดในสมอง’ ผ่านการกลั่นกรองเพื่อเลือกสรรว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นเป็นสิ่งที่เคยรับรู้มาก่อนแล้ว เป็นข้อมูลใหม่ หรือเป็นข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงหรือข้อค้นพบใหม่ซึ่งจะเข้ามาแทนที่ข้อมูลหรือความเชื่อเดิม

จะว่าไปการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษอะไร แต่เป็นคุณลักษณะที่หลายครั้งไม่ได้ถูกนำมาใช้เพราะโดนปิดกั้นจากการเลี้ยงดูและจากเงื่อนไขทางสังคม สถาบันวิจัย Michigan State University ( MSU ) Extension เสนอ 5 เคล็ดลับในการช่วยให้เด็กเรียนรู้และฝึกการคิดเชิงวิพากษ์ไว้ ได้แก่

หนึ่ง กระตุ้นและส่งเสริมให้เด็กมีความอยากรู้อยากเห็น

เห็นได้ว่าความอยากรู้อยากเห็น และการคิดเชิงวิพากษ์เป็นทักษะที่สามารถพัฒนาไปด้วยกันได้ คำถามหาเหตุผลด้วยความอยากรู้ว่า “ทำไม?” อาจเป็นคำถามที่ทำให้พ่อแม่หลายคนขยาด แต่แทนที่จะตอบคำถาม ซึ่งหลายคำถามพ่อแม่เองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ ผู้ปกครองสามารถตั้งคำถามกลับเพื่อให้เด็กสร้างสมมุติฐาน คิดทฤษฎีและทดลองหาคำตอบด้วยตัวเอง กระตุ้นให้เด็กสำรวจและตั้งคำถามต่อ เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้และทำความเข้าใจจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการวิเคราะห์ว่าพวกเขาสามารถทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป

หรือแม้แต่การสอนในห้องเรียน ครูสามารถตั้งคำถามให้นักเรียนระดมความคิด แล้วเขียนคำตอบที่เป็นไปได้ลงในกระดาษเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิง แล้วนำมาอภิปรายร่วมกัน

สอง เรียนรู้จากผู้อื่น

ผู้ปกครองต้องช่วยกระตุ้นให้เด็กคิดอย่างลึกซึ้ง โดยการปลูกฝังให้เด็กมีความรักในการเรียนรู้ เมื่อเด็กมีความปรารถนาหรือความกระตือรือร้นอยากทำความเข้าใจว่า ปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัวเกิดขึ้นได้อย่างไร พวกเขาจะเริ่มตั้งคำถามอื่นๆ ตามมา ซึ่งจะนำไปสู่การคิดวิเคราะห์เพื่อกลั่นกรองข้อมูลต่อไป

สาม ช่วยเด็กๆ ประเมินข้อมูล

เรารับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางต่างๆ มากมาย บางเรื่องเป็นเรื่องที่ตั้งใจค้นคว้าหาคำตอบ แต่หลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่ต่อให้ไม่อยากรู้ก็ต้องรู้ ดังนั้นการรับข้อมูลที่มีอยู่อย่างท่วมท้นจึงต้องมีการประเมิน เพื่อพิจารณาว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่ มีความสำคัญหรือน่าเชื่อถือหรือไม่
ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในขั้นตอนนี้ได้ ด้วยการชวนลูกตั้งคำถามถึงที่มาของข้อมูล ชวนคิดว่าข้อมูลที่รู้มานั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับความรู้เดิมที่พวกเขามีอยู่ และให้พวกเขาประเมินว่าสิ่งที่ได้รับรู้มานั้นมีความสำคัญหรือไม่ เพราะอะไร คำตอบไม่มีถูกผิดเพราะสิ่งที่ต้องการคือ การให้เด็กได้ลองคิดประเมินข้อมูลด้วยตัวเอง

สี่ ส่งเสริมให้เด็กทำในสิ่งที่เขาสนใจ

ในวัยเด็ก เมื่อพวกเขาสนใจเกี่ยวกับอะไรสักอย่าง พวกเขาจะมีความพยายามมุ่งมั่นหาคำตอบ ขั้นตอนการพยายามค้นหาคำตอบเพื่อเพิ่มพูนความรู้ เป็นการเปิดโอกาสให้ได้ใช้ความคิดเชิงวิพากษ์ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ สำหรับผู้ปกครอง เช่น เด็กอาจมีความสนใจเรื่องรถบรรทุกหรือพาหนะ หรือมีความสนใจเรื่องแมลง ซึ่งผู้ปกครองมองว่าไม่น่าจะเป็นประโยชน์ ผู้ปกครองอาจจะชอบหรือไม่ชอบ หรือเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองต้องสนับสนุนให้เด็กได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสนใจและอยากทำ

ห้า สอนทักษะการแก้ปัญหา

เมื่อต้องจัดการกับปัญหาหรือข้อขัดแย้ง เราจำเป็นต้องใช้การคิดเชิงวิพากษ์เข้ามาจัดการ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและหาทางแก้ไขที่เป็นไปได้ การคิดเชิงวิพากษ์จึงต้องอาศัยการฝึกฝน เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง เด็กจะสามารถตอบสนองต่อปัญหาหรือข้อขัดแย้งได้อย่างมีสติ ประเมินได้ว่าควรเริ่มจัดการจากส่วนไหนก่อนและหลังตามความสำคัญ

แน่นอนว่าพ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่มีทางอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกโตขึ้น ย่างเข้าสู่วัยรุ่น ไปสู่วัยทำงาน กระทั่งมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ตลอดเส้นทางการเติบโตทุกคนต้องเจอสถานการณ์หลากหลายให้ต้องตัดสินใจ แม้ไม่สามารถการันตีผลลัพธ์จากการตัดสินใจได้ แต่คุณลักษณะการคิดเชิงวิพากษ์ จะช่วยให้ตัดสินใจด้วยความเข้าใจ จากการคิดวิเคราะห์ผ่านข้อมูล ประสบการณ์และจากความเคลื่อนไหวในสังคมรอบตัว ลดความสุ่มเสี่ยงจากการโดนชี้นำหรือชักจูงไปในทางที่ผิด

ที่มา: The importance of critical thinking for young children
12 Solid Strategies for Teaching Critical Thinking Skills

Tags:

21st Century skillsการคิดเชิงวิพากษ์(critical thinking)คาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • 21st Century skills
    ฮาวทู GET 4CS! ออกแบบกิจกรรมอย่างไรให้พัฒนาทักษะเด็ก

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    SOCIAL AWARENESS ฝึกเด็กๆ เข้าไปถึงใจคนอื่นด้วยคำถาม “ถ้าเป็นเรา-เราจะรู้สึกยังไง”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    เรากลายเป็นคนที่ ‘ไม่ตั้งคำถาม’ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    11 วิธี ฝึกเด็กๆ พร้อมเป็นผู้นำ

    เรื่อง The Potential ภาพ antizeptic

  • MovieGrit
    วิลเลียม คัมแควมบา: ความมุ่งมั่นและกัดไม่ปล่อยของเด็กชายที่ผลิตกังหันลมจากกองขยะ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

ซาเทียร์: เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง
How to enjoy life
17 August 2018

ซาเทียร์: เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • เวลาที่ลูกตั้งแง่ ศิษย์ต่อต้าน เพื่อนเย็นชาใส่ ทุกครั้งที่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์และพฤติกรรมของพวกเขา เรามักตอบสนองต่อสถานการณ์นั้นอย่างไร ยอมทำตาม, โมโหกลับ, เอาหลักการเข้าสู้ หรือ เฉไฉ ทำเป็นไม่สนใจ ไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น?
  • นี่คือ ‘กลไกป้องกันตัวเองเมื่อเราเกิดความเครียด’ 4 ข้อใหญ่ตามหลักจิตบำบัดซาเทียร์ ใต้แนวคิด ‘แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง’ หรือ The Iceberg Model
  • รู้เพื่ออะไร? ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนคนอื่น แต่เพื่อเข้าใจว่าภายใต้พฤติกรรมที่เขาแสดงออก อาจไม่ใช่สิ่งที่คิดจริงๆ เหนือสิ่งอื่นใด รู้เพื่อสำรวจกลไกตั้งรับและความคิดที่เราอาจไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
  • ซาเทียร์มีวิธีการและรูปแบบที่หลากหลาย แต่หัวข้อที่ยกมาชวนคุยวันนี้คือ การทำความเข้าใจบุคคลผ่านที่มาครอบครัว และแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2558 ให้ความหมายสำนวน ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ ว่า ‘ลูกย่อมไม่ต่างจากพ่อแม่มากนัก’ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเป็นแบบไหน มีพฤติกรรมแบบไหน ลูกย่อมเลียนแบบและซึมซับพฤติกรรมแบบนั้น

ในอีกความหมาย ไม่ใช่แค่พฤติกรรมที่ลูกซึมซับ แต่คือวิธีมองโลก พฤติกรรมอัตโนมัติ(ที่แก้ไม่หาย) คำอธิบายว่าทำไมเราจึงสร้างกำแพงป้องกันตัวเองจากเรื่องบางอย่าง หรือมักถูกดึงดูดเข้าหาบางสิ่ง ถ้าค้นให้ลึกลงไปจริงๆ อธิบายได้จากประสบการณ์ที่ได้รับจากครอบครัวหรือสิ่งแวดล้อมวัยเด็ก

เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ (Virginia Satir 1916-1988) นักเขียน ครู และนักจิตบำบัดอเมริกัน ผู้บุกเบิกแนวคิดจิตบำบัดครอบครัว ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น Mother of Family Therapy หรือ มารดาแห่งจิตบำบัดครอบครัว เสนอกรอบคิดอันโด่งดัง เช่น ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง (Virginia Satir Change Process Model), ทฤษฎีเกราะป้องกันตนเพื่อความอยู่รอด (Survival Coping Stances), แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง (The Iceberg Model)

ทั้งหมดนี้มีแก่นแกนที่ว่า พฤติกรรมที่แสดงออก (Behavior) เราจะเจ็บปวดกับอะไร เพิกเฉยกับอะไร มองโลกด้วยสายตาแบบไหน รู้สึกต่อสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร เรามั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองเรื่องไหน ไม่มั่นใจต่ออะไร ความมั่นใจที่มีอยู่ระดับไหน อธิบายได้หากเข้าใจกลไกธรรมชาติภายในจิตใจ และเข้าใจว่าความรู้สึกแต่ละส่วนทำงานสัมพันธ์กันอย่างไร ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการยอมรับตัวเอง อย่างที่ซาเทียร์เคยพูดไว้ว่า

“ฉันรู้สึกเศร้า ฉันพูดแบบเศร้า มองดูแล้วเศร้า ฉันรู้ว่าฉันเศร้า ฉันพูดถึงความเศร้าได้ และฉันจะเลือกเองว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร”

เพราะการทำงานกว่า 50 ปีของซาเทียร์ ถูกนำไปทดลองใช้กับหลายพื้นที่หลากวัฒนธรรม เธอมุ่งพัฒนา ค้นคว้า วิจัยแนวคิดจิตบำบัดครอบครัวที่นำไปปรับใช้หรือคลี่คลายปัญหาในครอบครัว กับคนทำงานทางสังคม และกับครูในโรงเรียน ด้วยวิธีการให้ผู้คนเหล่านั้นเข้าใจความคาดหวัง แรงปรารถนา และศักยภาพที่ซ่อนอยู่ผ่านระดับความเชื่อมั่นในตัวเอง

คีย์เวิร์ดของแนวคิดซาเทียร์คือ หารูปแบบที่ทำให้แต่ละคนพัฒนา เปลี่ยนแปลงวิธีการเห็นตัวเอง เข้าใจ และอธิบายตัวเองได้อย่างชัดแจ้ง เข้าใจว่า ‘สิ่งที่แสดงออก’ ใช่สิ่งที่อยู่ในใจจริงๆ หรือไม่ ซาเทียร์มีวิธีการและรูปแบบที่หลากหลาย แต่แก่นแกนหรือวิธีที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง และจะขอยกมาอธิบายในที่นี้ คือ…

การทำความเข้าใจผ่านที่มาครอบครัว และแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

ครอบครัว ปัญหาคู่ชีวิต ที่ส่งผลต่อคนเป็นลูก

ตามแนวคิดซาเทียร์ จุดประสงค์ของจิตวบำบัดครอบครัว คือการคลี่คลายปมปัญหาหรือรอยแผลที่เกิดจากครอบครัวและประสบการณ์วัยเด็ก ซาเทียร์เห็นว่า ‘รอยแผล’ ของแต่ละคนอาจแตกต่าง มีได้หลายรอยแผล และผู้ที่ทำให้เกิดรอยแผลไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่มาจากตัวละครหลากหลายที่กระทำต่อกันเป็นลูกโซ่ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ฝากรอยแผลไว้รอยใหญ่และหนักแน่นที่สุด คือ ‘สมาชิก’ ในครอบครัว โดยเฉพาะ พ่อ แม่ และปัญหาจากความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง

ในแนวคิดจิตบำบัดครอบครัวตามแนวซาเทียร์ (Satir Family Therapy Model) อธิบายต้นตอปัญหาความสัมพันธ์ครอบครัวไว้หลายประการ

สาเหตุหนึ่งที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของคู่สมรส คือเมื่ออยู่กันไป (ขีดเส้นใต้ห้าร้อยเส้นที่ว่า อยู่ร่วมบ้านกัน 24 ชั่วโมง) คือการที่ใครอีกคนไม่อาจเติมเต็มสิ่งที่คู่สมรสคาดหวัง โดยเฉพาะกับบุคคลที่มีความมั่นใจต่ำ มักมีกลไกบางประการที่หวังพึ่งพิงคู่สมรส ไม่ใช่แค่ทางกายภาพ แต่พึ่งพิงความมั่นคงมั่นใจในระดับความปรารถนา ไม่มากก็น้อย นั่นทำลายความรู้สึกเป็นอิสระในตัวเอง

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ ‘คู่สมรส’ ที่มีปัญหา ค้นให้ลึกคือทุกคนต่างมีความแหว่งวิ่นในตัวเอง แต่ในฐานะสมาชิกครอบครัว ปัญหาของพ่อแม่หรือผู้ดูแล -ในฐานะผู้บ่มเพาะเลี้ยงดู สร้างสภาพแวดล้อม ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความมั่นใจ สภาพแวดล้อม

ประสบการณ์ในบ้านเหล่านั้นส่งต่อให้ลูก มากบ้างน้อยมาก สิ่งที่ตกค้างอยู่ในตัวคนคือประสบการณ์ที่ซึบซับเอาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านและจากความสัมพันธ์ในบ้าน

แนวคิดซาเทียร์ยังเชื่อว่าประสบการณ์ ที่สร้างวิธีคิดและกลไกป้องกันตัวเฉพาะ ไม่อาจย้อนดูได้เพียงความสัมพันธ์ระดับปัจเจก แต่เชื่อว่าต้องดูความสัมพันธ์ร่วมทั้งครอบครัว เพราะสิ่งที่แม่ทำต่อลูก ไม่ได้มาจากแรงขับของแม่เพียงประการเดียว แต่มาจากประสบการณ์ที่แม่รับมาจากบุคคลอื่นอีกที

เมื่อเข้าใจที่มา ประสบการณ์ในชีวิต อันเป็นสารตั้งต้นที่กำหนดว่าเราจะคิด มีปฏิกิริยา หรือตั้งกำแพงต่อสิ่งใดแล้ว ขั้นต่อมาคือทำความเข้าใจว่าสารตั้งต้นดังกล่าว ทำให้เรามีปฏิกิริยาอย่างไร ผ่านอุปมา ‘แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง’

แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

เคยไหมที่… สิ่งที่พูดไม่ใช่สิ่งที่คิด สิ่งที่คิด ก็ไม่อาจเรียบเรียงออกไปได้ หรือบางครั้งก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทำไมจึงพูด หรือมีปฏิกิริยาอย่างนั้น เราอาจเริ่มต้นทำความเข้าใจด้วยแนวคิดซาเทียร์ ด้วยอุปมาว่าพฤติกรรมที่แสดงออก เป็นเพียง ‘ยอด’ ของภูเขาน้ำแข็ง

สิ่งที่โผล่พ้นน้ำคือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโลก สิ่งที่อยู่ใต้น้ำ คือความสัมพันธ์ของโลกภายใน

Behavior : พฤติกรรม การกระทำ คำพูด ที่แสดงออกให้เห็นได้ซึ่งหน้า เป็นปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ใดหนึ่ง ซาเทียร์เปรียบพฤติกรรมเหมือนสิ่งที่โผล่พ้นน้ำ เป็นสิ่งที่คนอื่นเห็น เป็นพฤติกรรมที่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก

Coping Stance : กลไกป้องกันตัวเอง หรือรูปแบบพฤติกรรมที่มักแสดงเมื่อเจอกับปัญหา ต้องเผชิญกับความเครียด กลไกป้องกันตัวของแต่ละคนมักมีสารตั้งต้นจากประสบการณ์ในวัยเด็กหรือที่ได้รับจากครอบครัว แบ่งได้เป็น 5 พฤติกรรมใหญ่ โดยอธิบายผ่านความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวเอง(self), คนอื่น (other) และบริบท (context)

  1. Blaming : กลไก ‘ตำหนิ’ สนใจบริบทและตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น
    ตำหนิไว้ก่อน ใช้การตำหนิปิดบังความกลัว ยึดว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อถือคือสิ่งถูก เป็นผู้พิทักษ์ความถูกต้อง หลายครั้งนำไปสู่ความหวาดระแวงผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่มักป้องกันตัวเองด้วยการตำหนิ จะสนใจเนื้อหาและสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเชื่อ มักมีปัญหาทางสุขภาพเกี่ยวกับการหายใจ
  2. Placating : กลไก ‘เอาใจ’ สนใจบริบทและคนอื่น ไม่สนใจตัวเอง
    เป็น Mr. Yes man มักยอมทำตามสิ่งที่ผู้อื่นร้องขอโดยไม่สนใจความรู้สึกตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ การปฏิเสธ หรือความรู้สึกบาดหมางระหว่างกัน เคารพคนอื่น แต่ไม่เคารพตัวเอง ผู้ที่มีกลไก ‘เอาใจ’ มักมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร ไมเกรน ท้องผูก
  3. Super­reasonable : กลไก ‘มนุษย์เหตุผล’ สนใจบริบท ไม่สนใจตัวเองและคนอื่น บางตำราเรียกว่า ‘มนุษย์คอมพิวเตอร์’ สนใจที่เนื้อหาและความถูกต้องเป็นหลัก รู้และเข้าใจหลักการอย่างถ่องแท้ ไม่ทำงานด้วยความรู้สึก คนมักจะมองคนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ว่า เย็นชา เจ้าหลักการ ปัญหาสุขภาพมักเผชิญกับอาการเยื่อเมือกแห้ง เช่น ตาแห้ง เนื้อเยื่อในช่องปากแห้ง
  4. Irrelevant : กลไก ‘เฉไฉ’ สนใจทั้งตัวเอง ผู้อื่น และบริบท เราอาจพบว่าเขาคือนักเอ็นเตอร์เทรน มีบุคลิกสนุกสนานเฮฮาและเข้าไปอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ทุกวง ดึงดูดความสนใจของตัวเองและคนอื่นให้หลุดออกจากความเครียดได้เก่ง บทสนทนามักเป็นเรื่องทั่วไปแต่ไม่จับยึดที่แก่นเรื่อง บางครั้งดูกระวนกระวาย หรือมีปฏิกิริยาล้นเกิน เช่น มักเป่าปาก กระพริบตาถี่ ร้องเพลง หลุกหลิก หรือไม่ก็เพิกเฉยต่อสถานการณ์เคร่งเครียดไปเลย
  5. Congruence : สอดคล้องกลมกลืน ไม่ต้องใช้กลไกป้องกันตัวใดๆ เลย เป็นภาวะที่ยอมรับ สมดุล เชื่อมโยง ยอมรับ หรือรู้สึกสงบอยู่ในภาวะนั้นๆ

Feeling : ความรู้สึกต่อสถานการณ์ตรงหน้า เช่น สุข เศร้า เหงา หดหู่ สงสาร

Feeling About Feeling : ความรู้สึกต่อความรู้สึก เป็นความรู้สึกในระดับที่สอง ว่าเรารู้สึกต่อความรู้สึกของเราอย่างไร เช่น เรารู้สึกสุขเมื่อไม่ทำงาน นอนดูซีรีส์อยู่เฉยๆ แต่เรารู้สึกไม่พอใจที่ตัวเองมีความสุข กังวลว่าความสุขที่เกิดขึ้นจากการดูซีรีส์แทนที่จะไปทำงาน เป็นเรื่องไม่สมควร

Perception : การรับรู้ที่ไม่ใช่แค่รู้สึก แต่ผ่านการตีความ มีความคิด สมมติฐาน ความเชื่อ ว่าตัวเองทำสิ่งนั้นเพราะอะไร ทำไปด้วยเหตุผลอะไร และเป็นทัศนคติหรือตีความผ่านประสบการณ์ของเรา

Expectation : ความคาดหวัง เป็นได้ทั้งความคาดหวังว่าอยากให้ตัวเองรู้สึกหรือคิดอะไร, คาดหวังว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรา และ ความคาดหวังของผู้อื่นต่อตัวเรา เช่น คาดหวังว่าตัวเองจะต้องเข้มแข็งกว่านี้ และคาดหวังให้คนอื่นเชื่อใจ อยากให้คนอื่นเข้าใจว่าตัวเองคิดอะไรอยู่

Yearning : ความปรารถนา ความต้องการแท้จริง เช่น ปรารถนาจะถูกรัก เคารพ ได้รับการยอมรับ อย่างที่ ศ.พญ. นงพงา ลิ้มสุวรรณ หัวหน้าภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายว่าคือ ‘อาหารใจ’

Self – ‘ตัวตน’ : ตัวตนลึกๆ หรือแก่นแกนของตัวเอง

กรณีศึกษา: แผนที่ครอบครัว และ จิตบำบัดด้วยการ ‘ผจญภัย’

เพื่อให้เข้าใจว่าจะนำอุปมา ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ ไปใช้อย่างไร กรณีนี้จะอธิบายผ่านกรณีศึกษา Adventure­Based Therapy with At-Risk Youth Using the Satir Model ที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการ The Satir Journal ปี 2008 โดยคลอส ไคลน์ (Klaus Klein) ผู้ให้คำปรึกษาสำหรับพ่อแม่และวัยรุ่น ในรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เจ้าของโครงการจิตบำบัดวัยรุ่นที่มีปัญหาผ่านการบำบัดด้วยวิธีการ ‘ผจญภัย’ ใช้วิธีทำงานผ่านแนวคิดซาเทียร์ และแบบจำลอง ‘ภูเขาน้ำแข็ง’

วิธีการของ Adventure­Based Therapy คือการทำจิตบำบัดร่วมกับสมาชิกในครอบครัว คือ

หนึ่ง – ทำจิตบำบัดในห้องเพื่อทำแผนที่ครอบครัว (Family of Origin: FOO) เพื่อให้เห็นปมปัญหาชีวิตของเด็กๆ

สอง – ออกไปตั้งแคมป์ในป่าเพื่อให้เห็นว่า เมื่ออยู่ในสังคมเล็กๆ เขาจะมีวิธีรับมือกับเครือข่ายสังคมตรงหน้าอย่างไร

ตัวละครที่ Klein อ้างถึงมี 3 ตัวละคร เพื่อให้เห็นพฤติกรรมกลไกการป้องกันตัวของคน (Coping Stance)

แผนที่ครอบครัว และตัวละครต่างๆ

คือการทำแผนผังครอบครัวของผู้เข้าบำบัดว่าครอบครัวพวกเขาประกอบไปด้วยใครบ้าง มีลำดับญาติอย่างไร เพื่อให้เห็นความเป็นมา ความสัมพันธ์ของสมาชิกแต่ละคน แผนภูมิครอบครัวจะเป็นเครื่องมืออย่างดีเพื่อให้เห็นประสบการณ์ของผู้เข้าบำบัด ประกอบกับกระบวนการตั้งคำถามเฉพาะของผู้บำบัดหรือผู้รับฟังด้วยแล้ว จะยิ่งช่วยให้เห็นปมปัญหาของผู้เข้าบำบัดได้

มอลลี่, เกรด 12 อายุ 18 ปี

Coping Stance: กลไก ‘มนุษย์เหตุผล’

แผนที่ครอบครัวของมอลลี่ระบุว่าพ่อแม่ของเธอหย่ากันขณะที่มอลลี่ยังเด็ก มอลลี่อยู่กับแม่ในบ้านพักสหกรณ์ (Cooperative Housing) เธอไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อมากนักทั้งยังพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเธอและพ่อเอาไว้ พ่อในความทรงจำของเธอคือคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ ส่วนแม่ เธอก็ไม่ได้คิดว่าแม่มีความรับผิดชอบที่ดีไปกว่าพ่อเท่าไหร่นัก คาแรกเตอร์ของมอลลี่คือเด็กสาวที่โตเกินอายุ เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ใส่ใจคนอื่น Coping Stance ของมอลลี่คือ ‘มนุษย์เหตุผล’

แอน, เกรด 11 อายุ 16 ปี
Coping Stances: กลไก ‘เอาใจ’ และ กลไก ‘ตำหนิ’

พ่อแม่ของแอนหย่าร้างเช่นกัน แอนอาศัยอยู่กับแม่แต่ยังติดต่อกับพ่ออยู่บ้าง ตลอดมา แอนพยายามทำดีกับแม่ สร้างความสัมพันธ์เพื่อเข้าไปสู่โลกของคนเป็นแม่ อยากเป็นที่รักและได้รับความเคารพ แต่ชัดเจนว่านั่นคือเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตเธอ แอนไม่เคยรู้สึกว่าเข้าไปในโลกของแม่ได้ รู้สึกว่าแม่ไม่เคารพเธอมากพอ แต่แอนยังยอมรับ ใส่ใจ และตั้งใจที่จะปฏิบัติกับแม่เช่นนั้นต่อไป กลไกป้องกันตัว(Coping Stances) ของแอน ตอนแรกเธอมักใช้กลไก ‘เอาใจ’ แต่เมื่อถึงทางตัน หลายครั้งเธอจะพลิกขั้วเปลี่ยนไปใช้กลไก ‘ตำหนิ’ แทน

แฟรงค์, เกรด 12 อายุ 18 ปี

Coping Stance: กลไก ‘เฉไฉ’

แฟรงค์อยู่กับพ่อและแม่ ทั้งคู่และสมาชิกในครอบครัวคนอื่นมีประวัติเมาแล้วทำร้ายร่างกาย แฟรงค์รักพ่อแม่ของเขาและหวังว่าเขาจะทนได้ เรื่องร้ายต้องผ่านไป หวังตลอดว่าสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวต้องดีขึ้น ภายใต้ความเครียด แฟรงค์จะใช้กลไกป้องกันตัว (Coping Stance) ‘เฉไฉ’ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนจิตใจดี ร่าเริง แต่ในเวลาเดียวกันก็เก็บเนื้อเก็บตัว

เข้าแคมป์

สถานการณ์ในแคมป์มีอยู่ว่า วันที่ 4 ของการเข้าแคมป์ มอลลี่และแอนเกิด ‘คอนฟลิก’ มีรอยขุ่นมัวในใจ ต่างไม่เข้าใจต่อพฤติกรรมของคนตรงข้าม แอนไม่รู้ว่าทำไมตลอดการเข้าค่าย มอลลี่ถึงเย็นชากับเธอ ไม่ต้องการสุงสิง และสื่อสารเท่าที่จำเป็น แอนเก็บความขุ่นหมองไว้ในใจ ทำเป็นไม่เห็นว่ามอลลี่เย็นชา และพยายามเข้าหามอลลี่ และทำทุกอย่างที่ควรทำต่อไป ขณะที่แฟรงค์พยายามหลบเลี่ยงทั้งมอลลี่และแอน ด้วยการหากิจกรรมอื่นๆ ทำอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ว่าง และต้องเข้าไปในสถานการณ์มาคุของสองสาว

‘จุดแตกหัก’ ของเรื่องคือการจัดเต็นท์ แอนเห็นว่ามอลลี่เป็นพี่โตสุด ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์และเข้ามาช่วยเหลือเธอบ้าง แต่มอลลี่ไม่ได้ทำตามที่แอนคาดหวัง แม้เหตุการณ์ในครั้งนั้นอาจไม่ร้ายแรง แต่เมื่อรวมกับสิ่งที่แอนเก็บอยู่ในใจตลอดหลายวัน เหตุการณ์เล็กน้อยนั้นกลับเป็นชนวนระเบิดลูกย่อมๆ ท้ายที่สุดแอนเดินไปหาไคลน์เพื่อขอความช่วยเหลือ และห้องให้คำปรึกษาไม่ใช่อะไรอื่น คือมุมเล็กๆ ในป่า ที่มีตอไม้และก้อนหินเป็นเก้าอี้นั่นเอง

ภูเขาน้ำแข็งของ ‘แอน’

หลังไคลน์ พูดคุยกับมอลลี่ ใช้คำถามเฉพาะที่พุ่งเป้าไปที่ ‘ความรู้สึก’ พบว่า อย่างแรก แอนไม่อาจใช้กลไก ‘เอาใจ’ ได้อีกต่อไป แอนเปลี่ยนโหมดเป็นพฤติกรรม ‘การตำหนิ’ แอนอธิบายว่ามอลลี่เย็นชา ใช้น้ำเสียงดูถูกเธอ ฉุนเฉียวง่าย และเย่อหยิ่ง

จากที่พูดคุยกับแอนทั้งหมด ภูเขาน้ำแข็งของแอนขณะนี้คือ…

  • พฤติกรรม: เดินหนีจากมอลลี่ โกรธและโมโห
  • Coping Stance: กลไกตำหนิ
  • ความรู้สึก: เจ็บปวด ผิดหวัง คับข้องใจ สับสน
  • ความเข้าใจ: ฉันไม่สมควรได้รับการปฏิบัติแบบนี้, ฉันพยายามทำดีกับมอลลี่มามาก, ฉันพยายามอย่างมากที่จะเคารพเธอ, ฉันพยายามจะเป็นเพื่อนกับเธอ
  • ความคาดหวัง แบ่งเป็น
    – ความคาดหวังต่อตัวเอง: ฉันควรจะทำตัวดี ฉันควรเคารพเธอ ฉันควรจะรู้สึกดีกับตัวเอง ฉันควรทำสิ่งที่ถูกต้อง ฉันควรเป็นเพื่อนกับเธอได้
    – ความคาดหวังต่อคนอื่น: เธอควรจะเคารพฉัน เธอควรปฏิบัติกับฉันดีกว่านี้ เธอควรเข้าใจฉัน
  • ความปรารถนา: ความเป็นธรรม การยอมรับ ความเข้าใจ ความสัมพันธ์
  • Self: รู้สึกไม่มีค่า ไม่มีความมั่นใจ

ขณะที่เธอเข้าใจ ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ ของตัวเอง ทำให้เธอย้อนกลับไปยังแผนที่ครอบครัว แอนเข้าใจว่าสิ่งที่เธอรู้สึกต่อมอลลี่ขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอใช้กลไก ‘เอาใจ’ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ใช้กับแม่มาตลอดเวลา พอถึงจุดหนึ่งที่เธอเอาใจใครต่อไปไม่ไหว สถานการณ์พลิกเปลี่ยนเป็นคนที่ชอบตำหนิ เหมือนอย่างที่เธอมีต่อมอลลี่ เมื่อเข้าใจอย่างนั้น สิ่งที่แอนเสนอจะทำ คือการปรับความเข้าใจกับมอลลี่ด้วยการสื่อสารผ่านภูเขาน้ำแข็งในของเธอที่เพิ่งค้นพบ

แต่ก่อนที่ไคลน์ จะพามอลลี่มาเจอกับแอน เขาเลือกที่จะเข้าไปคุยกับมอลลี่ เพื่อสำรวจภูเขาน้ำแข็งของเธอเสียก่อน

ภูเขาน้ำแข็งของ ‘มอลลี่’

จากที่ไคลน์ตั้งใจจะเจาะเข้าไปที่ความบาดหมางระหว่างมอลลี่กับแอน เมื่อมอลลี่นั่งอยู่ตรงหน้า ไคลน์สังเกตความผิดปกติที่เกิดกับมอลลี่ มอลลี่ที่เขารู้จักมาตลอดก่อนเข้าแคมป์ไม่ใช่คนเย็นชาและดูก้าวร้าว ไคลน์ตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับมอลลี่ ทำให้เขาคิดไปถึงเหตุการณ์ก่อนเข้าค่าย เขาทราบว่ามอลลี่เพิ่งเลิกกับแฟนซึ่งคบกันมาหลายปี ซึ่งเป็นแฟนคนแรกและเป็นรักครั้งแรก

แทนที่จะมุ่งตรงไปยังปัญหาระหว่างมอลลี่และแอน ไคลน์สนใจปัญหาที่เคยรับรู้มาข้างต้นและลองสอบถามว่า ตลอดหลายวันของการเข้าค่าย ในหัวของมอลลี่มีสิ่งใด มีภาพอะไร และเสียงในหัวเป็นอย่างไร แม้นั่นจะเป็นบาดแผลของมอลลี่ แต่การให้มอลลี่ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวโดยใช้คำถามเฉพาะที่เจาะจงไปที่ ‘ความรู้สึก’ และ ‘สถานการณ์ใดหนึ่ง’ ทำให้เห็นว่าปัญหาของมอลลี่ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของแอน แอนเพียงได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของมอลลี่เท่านั้น

และนี่คือ ภูเขาน้ำแข็งของ ‘มอลลี่’

  • พฤติกรรม: สร้างระยะห่าง ฉุนเฉียวง่าย
  • Coping Stance: มนุษย์เหตุผล
  • ความรู้สึก: เจ็บปวด หลงทาง ผิดหวัง เศร้าลึก ไม่มั่นคง
  • ความเข้าใจ: ฉันจบความรู้สึกเจ็บปวดเพราะผู้ชายคนนี้ได้, ฉันไม่เจ็บ, เรื่องนี้ไม่ได
  • ส่งผลอะไรกับฉัน, มันไม่ใช่เรื่องใหญ่, เดินต่อไป, ฉันต้องการพื้นที่
  • ความคาดหวัง
    – ความคาดหวังต่อตัวเอง: ฉันไม่ควรเจ็บแบบนี้, ไม่ควรสนใจเขาอีก, ฉันต้องมีความสุขอีกครั้ง, ฉันต้องควบคุมมันได้
    – ความคาดหวังต่อคนอื่น: ทุกคนต้องเข้าใจฉัน
  • ความปรารถนา: ความสงบ, ความเข้าใจ, ความสัมพันธ์ การยอมรับ ความรัก

การพูดคุยครั้งนี้ ชัดเจนว่าความรู้สึกที่มอลลี่มีต่อ ‘คนอื่น’ ส่งผลกระทบต่อแอน เมื่อเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าว มอลลี่จึงอยากสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจกับแอน

ภูเขาน้ำแข็งของ ‘แฟรงค์’

ระหว่างที่แฟรงค์พยายามหากิจกรรมให้ตัวเองทำตลอดเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานการณ์มาคุของสองสาว เมื่อแอนและมอลลี่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนปรับความเข้าใจไคลน์ จึงดึงแฟรงค์กลับมาเพื่อให้เขาได้มีส่วนร่วมกับการพื้นที่พูดคุยตรงหน้า สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แฟรงค์เผื่อเขาอาจอยากแลกเปลี่ยนเพื่อค้นหาภูเขาน้ำแข็งของตัวเอ

  • พฤติกรรม: หลีกเลี่ยง, หาทางให้ตัวเองยังวิ่งวุ่นวายเสมอ
  • Coping Stance: กลไก ‘เฉไฉ’
  • ความรู้สึก: กลัว รู้สึกว่ามีอย่างอื่นที่มีอิทธิพลเหนือกว่า
  • ความรู้สึกต่อความรู้สึก: ไม่สบายใจ, อึดอัด, เศร้า
  • ความเข้าใจ: มีปัญหาเยอะเกินไป, วุ่นวายเกินไป, ไว้ใจใครไม่ได้
  • ความคาดหวัง
    – ความคาดหวังต่อตัวเอง: เราควรสงบกว่านี้, เราควรรู้สึกปลอดภัย, เราควรทำงานหนักกว่านี้, เราควรใส่ใจคนอื่นกว่านี้
    – ความคาดหวังต่อคนอื่น: ผู้คนควรมีความรับผิดชอบ, พวกเขาควรเข้าใจเรา
  • ความปรารถนา: ความสงบ, ปลอดภัย, การยอมรับ, ความเข้าใจ, ความยุติธรรม
  • Self: เราอยู่กับความหวาดกลัว จึงไม่อาจให้หรือแบ่งปันแก่ใครได้

ระหว่างที่แฟรงค์ทำงานกับภูเขาน้ำแข็งของตัวเองต่อหน้าหญิงสาวทั้งสอง เขามีความกล้าที่จะอธิบายและบอกเล่าความกลัวของตัวเอง และอย่างน้อยที่สุด เขาได้เข้าใจว่า ‘ความวุ่นวาย’ (ตามที่เคยคิด) ไม่ได้ร้ายแรงและน่ากลัวเท่าในจินตนาการ

ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างการจำลอง ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ เพื่อให้เห็นภาพการนำไปปรับใช้ และวิธีการทำงาน อย่างไรก็ตาม ศาสตร์ของซาเทียร์ยังมีอีกมาก หลายระดับ และหลายประเด็น แต่ทั้งหมดเน้นให้ทำความเข้าใจ ‘ความคิดภายใน’ ของตัวเอง

ไม่ได้ให้รู้เพื่อกลัว แต่เพื่อเข้าใจ ทำงานกับมัน โดยเฉพาะคุณครู ผู้ปกครอง สมาชิกในครอบครัว ที่จะนำไปปรับใช้เพื่อเข้าใจกลไกการตอบสนอง พฤติกรรมของตัวเอง และอาจได้คำตอบว่า พฤติกรรมอะไรที่เคยเห็นว่าเล็กน้อย แท้จริงแล้วอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อคนอื่นอย่างไม่ทันรู้ตัวเลยก็ได้

อ้างอิง:
Satir Model Developmental Phases, The Satir Journal, Vol.3, No.1, 2009
Adventure­Based Therapy with At­Risk Youth Using the Satir Mode, The Satir Journal, Vol.2, No.3, 2008
The Self: Reflections on its Nature and Structure According to the Satir Model, The Satir Journal, Vol. 4, No. 1, 2010
Family Therapy and the Theories of Virginia Satir
The Positive Encourager

Tags:

จิตวิทยาซาเทียร์The Iceberg Modelพญ. นงพงา ลิ้มสุวรรณ

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Life classroom
    Midlife crisis: วิกฤตวัยกลางคน โอกาสที่จะลอกคราบ เติบโต และ “ตื่น” กับชีวิตอีกครั้ง

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family Psychology
    กลับมาเป็นพ่อแม่ที่มีหัวใจ ฟังเสียงข้างในที่ลูกไม่ได้พูด

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย

    เรื่อง

  • Healing the trauma
    เราต่างมีภูเขาน้ำแข็งอยู่ภายใน กลไกป้องกันตัวเองของเราเป็นแบบไหนกัน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

‘น้อย พรู’ อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน PASSION คือเพลงและลูก
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
16 August 2018

‘น้อย พรู’ อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน PASSION คือเพลงและลูก

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • นั่งคุยนานๆ กับคุณพ่อวัย 47 ที่กำลังมีอัลบั้มใหม่และเพิ่งหัดใช้เฟซบุ๊ค
  • ตัวตนของน้อยจากวันนั้นถึงวันนี้ มีอยู่หลายคำ ทั้งลูกครึ่ง เด็กบ้านรวย มนุษย์ช่าง guilty แต่มี passion อ่อนน้อมและซ่อมตัวเองอยู่เสมอ
  • ทั้งหมดคือหยินและหยางของน้อยที่ไม่เคยปิดบังลูก และบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “พ่อซ่อมมันอยู่นะ”
  • ฟีดแบ็คของลูกๆ คือยอมรับ เข้าใจ ไกลไปถึงขั้นเปิดใจกับพ่อ (แห่งพรู) ว่า “อยากเป็นแบบ จัสติน บีเบอร์”  
เรื่อง: วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

หลังจากมีเฟซบุ๊คเป็นของตัวเอง Are we famous? คือ คำถามแรกจากลูกๆ  หลังจากเห็นภาพครอบครัวที่พ่อโพสต์ตอนเที่ยวศรีลังกา มีคนเข้าถึงกว่า 1.5 ล้านคน

น้อยไม่ได้บอกเราว่า ตอบลูกว่าอะไร

“น้อยก็อยาก trust people ด้วย แม้มีคนสอนว่าอย่าไป trust ใครนะ แต่ I want to trust people มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร โอเค น้อยไม่ใช่ ณเดช ที่จะมีแฟนมาตาม แต่ I would like to trust people แล้วเขาก็ respect เรานะครับ”

ไม่ใช่แค่โลกออนไลน์สีฟ้าที่ ‘น้อย พรู’ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หมายความถึง แต่เขาอยากจะไว้ใจและรู้สึกปลอดภัยในโลกทั้งใบที่สร้างเขามาตลอด 47 ปี

โดยเฉพาะเป็นโลกใบเดียวกับที่มีลูกทั้งสองคนอยู่ด้วย

แถมเป็นลูกที่รบเร้าพ่อ ขอมีเฟซบุ๊คในเร็ววัน อยากเป็นยูทูบเบอร์ และมีจัสติน บีเบอร์เป็นฮีโร่!

เพราะอะไรคุณน้อยถึงเข้ามาเล่นเฟซบุ๊ค ก่อนหน้านี้เราไม่ได้เห็นคุณน้อยในโซเชียลมีเดียเลย

พูดตรงๆ ก็เพราะว่ากำลังจะปล่อยอัลบั้มใหม่หลังจากหายไปประมาณ 12 ปี แล้วทุกคนก็บอกว่าต้องมีเฟซบุ๊คด้วย ถ้าอยากให้แฟนเพลงของเรากลับมา connect กับเพลงใหม่ น้อยทุ่มเทกับอัลบั้มมาประมาณ 7-8 ปี เหนื่อยมาก แล้วอยากให้เพลงไป connect กับทุกๆ คนมากสุดเท่าที่ทำได้

อีกอย่างหนึ่ง ด้วยความที่เราหายไปนาน แต่เราก็โชคดีที่มี fan base ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง น้อยจึงรู้สึกว่าเราต้องเริ่ม re-connect กับเแฟนพลงของน้อย

พูดตรงๆ มันมีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เวลาเรามีอัลบั้มใหม่ มันต้องมีเงินทำ MV ต้องมีเงินทำ marketing เราต้องมีเงินเพื่อที่จะให้คนรู้จักเพลงเรา เดี๋ยวนี้เวลาเราหาสปอนเซอร์ต่างๆ เขาก็บอกเราในสัญญาเลยว่าต้องมี เฟซบุ๊ค ต้องมี อินสตาแกรม เขาถึงจะสปอนเซอร์เราได้ และเราก็อยากให้ผลงานเราไปถึงคนได้

เพลงที่น้อยทำก็เพื่อแฟนเพลง น้อยไม่ได้สนใจที่จะมาโชว์ชีวิตส่วนตัวเราว่าเป็นยังไง เราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น คิดแค่ว่า ถ้าน้อยมีแฟนเพจ น้อยอยากทำอะไรที่มันสร้างสีสัน ให้เขาอยากเข้ามาดู แล้วน้อยก็ทำได้ประมาณนึงแล้ว แต่ก็ยังหัด ต้องใช้เวลาคุ้นเคยกับมันอยู่

ถ้าไม่มีอัลบั้มใหม่ ก็อาจจะไม่เล่นเฟซบุ๊คเลย?

ใช่ ไม่เล่น น้อยไม่รู้ว่าทำไมต้องเล่นด้วยซ้ำ ทำไมต้องไปถ่ายว่าตัวเองกินอะไรด้วย พูดเล่นนะฮะ แต่ว่าเราอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปถ่ายภาพ (หัวเราะ) แต่อย่าเข้าใจผิดนะ น้อยรู้ว่าทำไมบางคนเขาเล่น มันเป็นการทำมาหากินของแวดวงบันเทิง หรือแวดวงอะไรก็ได้ ก็เข้าใจว่าเขาก็ต้องโพสต์ภาพเพื่อมี following เขาก็มีสปอนเซอร์ มีเงินสร้างบ้าน แต่บางคนก็มีเพื่อความสนุกด้วยนะครับ มันก็เข้าใจ แล้วก็ connect กับคนนู้นคนนี้ แต่น้อยไม่ได้ต้องการตรงนั้น

ถ้าทำเพื่อแฟนเพลงแล้วเขาสนุก เขาสนใจ น้อยสามารถโชว์อะไรที่มันสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เขาคิดได้ น้อยก็จะโอเค โพสต์ได้ ล่าสุดที่น้อยโพสต์เรื่องไปเที่ยวที่ศรีลังกา น้อยคิดว่าน่าสนใจ มีอะไรแปลกใหม่ให้นำเสนอ แต่เดี๋ยวน้อยไปอเมริกา น้อยก็คงไม่โพสต์ เพราะไม่รู้ว่าน่าสนใจตรงไหน เพราะทุกคนก็เคยเห็นซานฟรานซิสโกมาก่อนแล้ว

ถ้าเราคุยบนฐานว่า มนุษย์คนหนึ่งมีคาแรคเตอร์ที่หลากหลาย คุณน้อยมีคาแรคเตอร์ที่มากกว่าหนึ่งหรือเปล่า และมีคาแรคเตอร์แบบไหนบ้าง

พอมีเฟซบุ๊ค บางคนก็บอกว่าเสียความลึกลับของพี่เลย มันแมสแล้ว ผมไม่น่าสนใจเท่ากับแต่ก่อน ใช่ ความส่วนตัวมันต้องยอมลดลงไปหน่อย ถ้าถามน้อย ทุกอย่างมันอยู่ที่แพสชั่นเรา น้อยแค่ใช้ชีวิตกับสิ่งที่น้อยรัก กับสิ่งที่น้อยมีแพสชั่น กับสิ่งที่น้อยต้องการที่จะให้มันเกิดนะครับ

ง่ายๆ เลย น้อยชอบทำอะไร มีพรสวรรค์ตรงไหน น้อยก็พยายามทำให้มันเกิดขึ้น อย่างเรื่องธุรกิจเรื่องบัญชีน้อยไม่เก่งเลย น้อยเป็นนักธุรกิจไม่ได้เลย บางทีน้อยก็อยากช่วยสังคมด้วยการพูดคุย ไปสอนคนนู้นคนนี้ แต่น้อยก็พูดต่อหน้าคนดูเยอะไม่ได้ด้วย น้อยจะเริ่มมีปัญหา ทำได้แต่ว่ามือจะสั่น บางทีออกรายการบางรายการก็ไม่กล้าออก

แต่การร้องเพลงมันง่ายกว่าหน่อยเพราะเวลาเราขึ้นเวทีเราสามารถเป็นอีกคนหนึ่งได้ ส่วนมากเพลงพรูจะเป็นเพลงเกี่ยวกับคนนู้นคนนี้ไม่เกี่ยวกับน้อย น้อยเลยสามารถสวมวิญญาณของตัวละครในแต่ละเพลงได้ แล้วมันมีเนื้อให้น้อยร้องด้วย ทำให้เราโฟกัสไปกับเพลงได้ น้อยไม่ต้องเป็นตัวเอง

ส่วนเวลาเราเล่นหนัง พอแอ็คชั่นเราก็กลายเป็นคนละคน มันก็เลยเซฟเพราะเราไม่ต้องเป็นตัวของตัวเอง

การสวมบทบาทเป็นตัวตนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา ทำไมจึงรู้สึกปลอดภัยกว่าการเป็นตัวของตัวเอง

มันเป็นปัญหาของน้อย ปัญหาของน้อยไม่ต่างจากเด็กหลายคนที่ไม่ชอบทำพรีเซนเทชั่นครับ เวลาคนดูเยอะมันจะเริ่มคิดมาก น้อยจะเริ่มสั่น มันเป็นปัญหา psychology ของน้อยที่น้อยสู้มันไม่ได้ เคยคุยกับหมอ และไม่ชอบเวลารู้สึกแบบนี้เลย น้อยรีแล็กซ์ไม่ได้ บางทีคนดูเข้ามา เขาก็อยากเข้ามาฟังน้อยพูด เขาชอบน้อย หมอก็บอก They are there because they like you, you know?. Why are you afraid. น้อยบอกว่ามันเป็นกำแพง น้อยซ่อมไม่ได้ น้อยเคยเล่นโชว์มาก่อน บางทีโชว์พังไปเลยนะครับ

พังแบบ บางทีคนดูไม่ออก แต่วันนั้นคนดูออก ตอนร้องใจมันไม่อยู่แล้ว คนเขาดูออกว่าไม่ได้อินกับเพลงไปเท่าไหร่แล้ว สายตาก็บอกว่าไม่อยากอยู่บนเวทีนี้เลย แต่ต้องอยู่ เขาอุตส่าห์จ้างเราแล้วเราก็จะเริ่มสร้างความกดดันให้กับตัวเอง เราต้องเป็น professional มากกว่านี้ มันไม่ต่างจากนักบอลที่เล่นในสนามเก่งจะตาย แต่ไม่ชอบให้สัมภาษณ์ อย่างเมสซีก็ไม่ชอบให้สัมภาษณ์เพราะ He is a football player. มันเหมือนนักบอลเวลาได้ลงสนาม เราได้เป็นคนละคน เราได้ตะโกน มันเป็นเวทีให้เราปลดปล่อย

อย่างเรา เวลาไปถึงที่ perform แล้วเราเป็นหนึ่งในเสียงเพลง รอบข้างเราก็ flow ไปหมด มันรู้สึกดีมาก รู้สึกมหัศจรรย์มากเลย แล้วการที่เราจะไปถึงความรู้สึกนั้น บางทีเราลำบาก ทรมาน แต่มันคุ้มค่ากับการที่เราไปถึงความรู้สึกนั้น ถึงผมจะมีปัญหานี้ แต่มันก็มันดี ทำให้ชีวิตสนุกดี ทุกโชว์ไม่เหมือนกัน มันสนุกตรงที่เสี่ยงเสมอ

เวลาที่คนทำเพลงบอกว่า ผมทำเพลงขึ้นมาจากตัวตนของผม มันคือตัวตนของผม หมายความว่ายังไง

ผมก็พูดแทนศิลปินคนอื่นไม่ได้นะ ทุกอย่าง เนื้อหาที่เล่าเกิดจากตัวตนผม แต่น้อยไม่ได้เขียนเนื้อภาษาไทย เนื้อจะเป็นภาษาอังกฤษก่อน น้อยก็โชคดี มีคนเก่งๆ อย่าง บอย โกสิยพงษ์ บอย ตรัย แสตมป์ ช่วยเขียนเนื้อไทยให้ ส่วนเรื่องดนตรี น้อยทำเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เลย บางทีก็แอบน้อยใจคือไม่เคยมีใครรู้ว่าน้อยคิดคอนเซ็ปท์เนื้อแล้วเขียนเพลงให้วงพรูทุกเพลง ทุกคนจะนึกว่าร้องอย่างเดียว แต่พอทำอัลบัมนี้คนเดียว น้อยไม่มี สุกี้ หรือ ยอด, คณิน มาช่วยเสริมไอเดีย น้อยต้องแต่งเองหมด น้อยจะเขียนพวกนี้ไว้หมดเลยจากจินตนาการน้อย หรือแม้แต่เพลงนี้เริ่มด้วยช้าแล้วกลับมาแรง น้อยจะเป็นคนเรียบเรียงทั้งหมดเพื่อให้ได้อารมณ์ที่เป็นน้อย

ของพวกนี้เป็นสิ่งที่คนไม่เห็น แล้วมันก็เป็นเรา มันก็เลยเป็นอย่างนี้ อัลบั้มมันเลย personal มาก เหมือนเป็นลูกเราเลย

คำว่า ‘มันเป็นเรา’ มันถูกสร้าง ถูกหล่อหลอมมาจากอะไรบ้าง

มองได้หลายแง่มุมนะครับ เหมือนศิลปินเราทุกคนได้อิทธิพลมาจากคนนู้นคนนี้ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาทุกอย่างให้มันกลายมาเป็นตัวเราเองได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นท่าเต้น น้อยก็ไม่ได้อยากเต้นฮิปฮอปหรือว่าบัลเล่ต์ 100 เปอร์เซ็นต์ น้อยก็หยิบนักเต้นที่เก่งที่สุดในโลก จาก ไมเคิล แจ๊คสัน บ้าง จาก บรูซ ลี บ้าง ผสมผสานให้ได้มาเป็นตัวน้อย น้อยก็ต้องหาวิธีที่มันเป็นน้อยให้ได้มากที่สุด

ศิลปินหลายคนก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปินที่เรานับถือ แต่ทุกคนก็ไม่อยากเหมือนใคร เราก็พยายามอยากมีเสน่ห์เฉพาะ ถ้ามีเสน่ห์เฉพาะตัว identity เราจะชัดเจน แล้วเราก็จะอยู่ได้นานหน่อยในช่วงแรกๆ แต่ในสุดท้ายมันก็คือการ be yourself แต่การ be yourself มันยาก กว่าจะสร้างการยอมรับ มันต้องใช้เวลา มันต้องพิสูจน์ตัวเองจริงๆ

‘ลูก’ น้อย

ตอนที่อยู่กรุงเทพคริสเตียน คุณน้อยโดนเพื่อนล้อ มีเรื่องชกต่อย จนต้องย้ายโรงเรียน?

ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ ช่วงนั้นไม่ได้พยายามอยากเป็น someone อายุสิบขวบเอง ห่วงเล่นอย่างเดียว ไม่ได้อยากพิสูจน์ตัวเองอะไรในวัยนั้นนะครับ สมัยนั้นลูกครึ่งยังไม่เยอะ เลยยังไม่ได้เป็นนักแสดง โดนล้อที่โรงเรียนกับพี่ชาย เลยย้ายไปอยู่โรงเรียนอินเตอร์แทน มีทั้งฝรั่ง คนไทย แอฟริกัน ญี่ปุ่น มีหมดเลย ก็เลยรู้สึกแฮปปี้

ที่น่าตลกคือผมเคยกลับไปเล่นที่โรงเรียนคริสเตียนด้วยเมื่ออัลบั้มแรก สวัสดีครับ ผมเคยเป็นศิษย์เก่าที่นี่นะครับ แต่ตอนนั้นไม่ได้บอกหรอกว่า พวกคุณชกต่อยผม

จริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้เป็นปัญหาเลย แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ตัวเองอยากได้การยอมรับมากกว่า การเกิดมาแล้วครอบครัวมีฐานะ เหมือนชีวิตมาง่าย

พอเรามาร้องเพลงร็อค เต้นบัลเล่ต์บ้าๆ บอๆ แบบนี้ มันก็มีคนหมั่นไส้ แต่เราก็เข้าใจว่าทำไมเขาหมั่นไส้ ก็ ‘พี่ชายก็เป็นเจ้าของค่ายเบเกอรี่ ได้ออกอัลบั้ม มีเงินอยู่แล้ว’ น้อยก็เริ่มรู้สึกอยากพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นว่าฉันทำได้ อยากได้การยอมรับ รู้ว่าต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง

จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าเราโชคดี เหมือนน้อยไม่ได้รู้สึกว่าน้อยมีชีวิตอยู่ในโลกจริง ชีวิตจริงคือคนที่ลำบาก ไม่ว่าจะเป็นคนก่อสร้างตรงข้ามบ้าน หรือคนที่เหนื่อยกับชีวิตจริงๆ น้อยไม่ได้อยู่ในชีวิตจริงแบบนั้น เนื้อหาเพลงของน้อยก็จะเป็นเพลงเกี่ยวกับคนอื่นไม่เกี่ยวกับน้อย เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่มันจะเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ คือน้อยไม่มีทางที่จะเล่าเกี่ยวกับตัวเอง เพราะแรงบันดาลใจเกิดจากคนที่เคยล้มมาก่อนและเหนื่อยจริงๆ แล้วสุดท้ายได้เจอแสงสว่าง นั่นคือ story of inspiration ไม่ใช่คนแบบเรา

แล้วมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้น้อยเล่นหนังไทยด้วย มันเป็นวิถีทางที่จะทำให้น้อย connect กับคนตามท้องถนนได้ ไม่ได้อยู่ในโลกโรงแรม โลกนั้นก็ไม่ได้ผิดนะครับ แต่เรารู้สึก guilty เราอยากพิสูจน์ อยากให้เขายอมรับเรา ว่าเราพยายามนะ เราอาจจะดูเหมือนได้มาง่าย แต่ว่าเราก็พยายาม แล้วเราก็เก่งนะ แล้วผลงานเราก็มีคุณค่านะ มันก็ช่วยน้อยผลักดันสร้างผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

น้อยเพิ่งไปร้องในเรือนจำมา บางคนอายุ 30 บางคนก็อยู่ในคุกมา 20 กว่าปีแล้ว พอถามว่ามีใครรู้จักน้อยไหม ก็ยกมือกันบ้าง แต่พอถามว่ามีใครรู้จัก จ๊อด ฮาวดี้ จากหนังเรื่อง ‘อันธพาล’ ไหม โอ้โห เขาก็ยกมือกันเยอะเลย

น้อยก็ดีใจ เขาจำคาแรคเตอร์น้อยได้แต่เขาจำน้อยไม่ได้หรอก เขาจะจำผลงานเราได้

ตอนไหนที่คุณน้อยเริ่มคิดเรื่องการสร้างตัวตนขึ้นมา

ทุกอย่างต้องเริ่มมาจากแพสชั่นก่อน เรามีแพสชั่นอะไรเราก็อยากให้มันเกิดขึ้นมา ตอนเด็กๆ จะเก่งด้านกีฬานะครับ มี identity นักกีฬายอดเยี่ยมของโรงเรียน นั่นเป็นสิ่งที่โชคดี แต่เราก็รู้ว่าเราไม่ได้เก่งพอที่จะไปโปร พอไปเรียนต่อก็ไม่รู้จะเรียนอะไร ก็ไปเรียนด้านธุรกิจครอบครัว-การโรงแรม ปีแรกไม่ชอบเลย เลิกเลย ก็ดูว่าตัวเองชอบอะไรวะ น้อยก็ชอบ culture อยากรู้ว่าคนนี้เกิดมายังไง เขาคิดยังไง ก็เลยเริ่มเรียน anthropology (มานุษยวิทยา) เรียนเกี่ยวกับคนรอบโลก สังคม ศาสนา แต่ละคนใช้ชีวิตยังไง โสเภณีเป็นยังไง ทำไมเขาใช้ชีวิตแบบนู้น

ในเวลาเดียวกัน เราเป็นคนมีข้างในเยอะและเก็บมันเสมอ เมื่อก่อนเป็นนักกีฬาเราระบายได้ แต่ ณ ตอนนั้นเราทำไม่ได้ เวทีที่จะปลดปล่อยมีแค่นักกีฬา นักแสดง นักร้อง หรือไม่ก็นักการเมือง (หัวเราะ)

เป็นจุดเริ่มของการเป็น performer (นักแสดง) เพราะมันเป็นแพลตฟอร์มที่ให้เราปลดปล่อย มันเหมือนเด็กทั่วไปที่ไปดูหนัง ได้ร้องไห้ สนุกดีว่ะ กลายเป็นคนละคน แล้วน้อยก็ได้เรียนรู้คนทั่วไปด้วยว่าเขาคิดอย่างนี้ทำไม น้อยก็เลยตัดสินใจเลือก Minor เป็น Theatre (Major มานุษยวิทยา) ที่มหาวิทยาลัย แต่ไม่สนุก ไม่ชอบ เลยรีบเรียนให้จบแล้วย้ายไปอยู่นิวยอร์ค ที่คนหลายชาติ คนแขก คนอินเดีย คนผิวดำ คนผิวขาว ญี่ปุ่น จีน ทุกคนที่เก่งที่สุดในโลกไปอยู่ที่นั่นกันหมด เราได้ฝึกฝนการแสดง เริ่มใช้ชีวิตเหมือนนักแสดง กลางวันเราไปออดิชั่น กลางคืนก็เป็นบ๋อยเสิร์ฟอาหาร ใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้นประมาณ 4-5 ปี ก็ไม่สำเร็จ แต่ได้ฝึกฝน แต่เราก็ตัดสินใจกลับมาเมืองไทยตอนอายุ 25

กลับมาเพราะอะไร

มันอาจจะเป็นความผิดของผมเองด้วย ผมอาจจะดูหน้าเอเชียไปสำหรับเขา แม้แต่สำหรับคนไทยผมดูหน้าฝรั่ง แต่กับลูกครึ่งหลายคนก็ยังมองเราเป็นเอเชีย ผมอาจไม่มี charisma บางคนเกิดมาก็มีรังสีเป็นพระเอก ความพยายามผมก็สู้คนอื่นไม่ได้ด้วย นักแสดงคนอื่นแก่กว่าแต่ก็ฝึกหนักว่า ทำให้คิดว่าผมอาจจะไม่มีวินัยพอรึเปล่าวะ แต่ผมยังมีทางเลือกคือมาเมืองไทย ที่นี่แข่งขันไม่เท่าที่นู่น โอกาสทำสิ่งที่เรารักมันง่ายกว่า

ตอนนั้นสุกี้กำลังเปิดเบเกอรี่มิวสิคพอดี แล้วเราก็ได้ทำสิ่งที่เรารักที่นี่ แต่กลับมาก็ทำเบื้องหลังเบเกอรี่ 5 ปี เริ่มคุยกับพี่ชาย

เมื่อไหร่จะออกอัลบั้มซักทีวะ สุกี้ก็มัวแต่บริหารเบเกอรี่ น้อยก็ทำงานเบื้องหลัง หาโปรดิวเซอร์ให้โมเดิร์นด๊อก เขียน bio ให้ โจอี้ บอย แล้วเมื่อไหร่จะเป็นตาเราที่ขึ้นไปบนเวทีบ้างวะ กูจะ 30 แล้วเนี่ย ช่วงเวลาพีคเราหายไปหมดเลย จะไปแกรมมี่ ไปอาร์เอสก็ไม่ได้ เพราะว่าพี่ชายเราอยู่ที่เบเกอรี่ (หัวเราะ)

กว่าจะมาเป็นนักร้องได้ตอนอายุ 31 น้อยเริ่มสายมากเลย ก็ไม่ได้เสียดายหรอกกับการเป็นนักร้องแค่แป๊บเดียว (6 ปี-พรูชุด 1, 2) หลังจากนั้นก็หายไป จนถึงวันนี้อายุ 47 ปี

มันจึง Connect กับการที่เราอยากได้รับการยอมรับด้วยหรือเปล่า

ใช่ครับ มันใช้เวลาก่อนที่เราจะหา identity เจอ แล้วไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องมี identity คุณถึงจะต้องมีความสุข คุณต้อง ‘อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน’ (หัวเราะ) ไม่ได้ล้อเพลงแม่ ไม่ได้ล้อบอย แต่นั่นมันเป็นเพลงที่เราสามารถ connect ได้ เพลงนี้ที่มันฮิตเพราะส่วนมากความฝันเราไม่เป็นจริงครับ เราต้องยอมรับมัน

มันต้องใช้เวลากว่าจะเข้าใจตัวเอง เหมือนน้อยไม่เชื่อเรื่องคุณทำอะไรมุ่งมั่น 100 เปอร์เซ็นต์แล้วคุณจะสำเร็จ ถ้าเกิดบอกกับเด็กที่เล่นกีฬาแล้วเขาไม่มีพรสวรรค์จริงๆ โอเคอาจจะเล่นได้ระดับหนึ่งแต่ไม่เก่งพอ เราต้องดูว่าเขาอยากทำด้านไหนนะครับ มันใช้เวลากว่าจะเรียนรู้และยอมรับ

แต่บางคนก็มีความพยายามสูง อาจจะทำได้ เราต้องสามารถมองตัวเองได้ แล้วมันยากมากที่จะมองว่าพรสวรรค์ฉันประมาณไหน แล้วต้องมีคนช่วยซัพพอร์ตเราอย่างถูกต้องด้วย คือคนที่เชื่อมั่นในตัวเรา ตรงนั้นสำคัญ

แต่มันก็… ยากนะ แม้แต่ศิลปินรุ่นเราก็ยังยาก

เราก็ต้องรู้ว่า เฮ้ย เวลาคุณหมดแล้วนะเว้ย โดยเฉพาะวงการบันเทิง วงการเพลง ไม่ว่านักแสดงไทยหรือนักแสดงเมืองนอก วันหนึ่งโทรศัพท์มันจะไม่กริ๊งแล้วนะ เขาจะไม่ชวนคุณมาเล่นแล้วนะ เพราะอายุคุณมากแล้ว

มันไม่ใช่บทพระเอกนางเอก เมืองนอกอาจจะอยู่ได้นานกว่าหน่อย ถึงเวลาที่คุณจะต้อง มีแพสชั่นอื่นที่ไม่ใช่แค่การแสดงอย่างเดียว แต่มันก็ยากนะสำหรับใครหลายคน เพราะ Nothing last forever นอกเหนือจากพี่แอ๊ด คาราบาว (หัวเราะ)

ระหว่างการค้นหาตัวเองหลายๆ ครั้ง คุณพ่อคุณแม่ซัพพอร์ตอย่างไรบ้าง

ผมโชคดีมีพ่อแม่ที่ดี คุณแม่รู้เสมอว่า เราจะทำอะไรต้องตั้งใจอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หลายคนมักจะลืมเรื่องคุณพ่อผม หลายคนจะพูดถึงคุณแม่อย่างเดียวจนคุณพ่อน้อยใจ เพราะคุณพ่อผมไม่ได้เกิดมามีฐานะเหมือนคุณแม่ คุณพ่อเกิดมาเป็น farmer แล้วก็ย้ายมาอยู่เมืองไทย

ตอนเเด็กๆ คุณพ่อเห็นว่า ลูกฉันสบายมาก อยู่บ้านมีแม่บ้าน เขาไม่อยากให้ลูกเกิดมาแล้วรู้ว่าทุกอย่างได้มาง่าย

เช่น น้อยเล่นเบสบอลเก่งสุดในระดับอายุต่ำกว่า 15 ปี พ่อบอกไม่เอา ยูต้องไปเล่นกับลีค 15-18 ปีแล้ว แต่น้อยก็ไม่อยากเพราะว่าอยู่ตรงนี้เก่งที่สุด น้อยดีใจแล้ว แต่พ่อไม่เอา ยูต้องพัฒนา น้อยก็เลยต้องไปเล่น แล้วก็ไปให้เก่งที่สุด พ่อน้อยไม่อยากให้รู้สึกว่าชีวิตได้มาง่าย

เขา (พ่อน้อย) จะสอนว่าต้องมีวินัย เพราะคนอเมริกันจะมีวินัยสูง บางทีที่เขาได้เปรียบกว่าเราเพราะวัฒนธรรมเขามีวินัยสูงมาก ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดี ข้อไม่ดี คือที่อเมริกา การเป็นนัมเบอร์วันเนี่ย มันอาจจะถูกปลูกฝังมาแล้วว่าชีวิตต้องพยายาม ต้องสู้ ต้องทำให้ดีที่สุด เขาก็เลยมีวินัยสูงที่จะไปไกลในทุกด้าน

แต่ว่าบ้านเรา culture คือสบายๆ ไม่ต้องไปคิดมาก อย่างนักกีฬาไทยเคยพูด In Thailand, if I said that I want to be number 1, people think I’m showing off. คือพูดไม่ได้ว่าฉันอยากเก่งที่สุดในประเทศ เกิดมาแล้วต้องถ่อมตัว แล้วคนก็จะชอบ สิ่งนี้เป็นปัญหา มันทำให้เราสบายๆ เวลาเราไปเจอระดับนู้นจริง เราไม่ชินเลย เราสู้เขาไม่ได้เพราะเราไม่ได้เกิดมาใน culture แบบนั้น

การฝึกฝนของคุณพ่อ ส่งผลมากแค่ไหน

ส่งผลมาก เพราะพ่อก็เป็นคนดี ซื่อสัตย์ แบบ Classic American แล้วเขาก็สร้างพื้นฐานนี้มาให้เรา แล้วมันยิ่งทำให้น้อยมีปมด้อย ช่วงนั้นน้อยกลุ้มใจ ออกอัลบั้มแรกตอนนั้นพันทิปด่าแรงมากเลย สมัยนี้ก็ยังด่าแรง (หัวเราะ) เข้าไปดูในเว็บบอร์ด น้อยเคยโดนว่า ได้ออกอัลบั้มทันที เป็นคนมีเงิน พี่ชายเป็นเจ้าของเบเกอรี่ น้อยก็แบบ ยูไม่รู้ว่าไอเคยพยายามที่อเมริกามาก่อน ไอเฟลมาเยอะนะเว้ย ไม่ใช่ว่ามาง่ายเว้ย แต่เขาไม่แคร์เรื่องนี้หรอก แต่น้อยก็เข้าใจนะ ก็พิสูจน์ I’ll prove you that I’m good. I’m good enough.

น้อยไม่ได้คิดว่ามีอัลบั้มแรกจะเก่งแล้ว ต้องใช้เวลาที่จะพิสูจน์ตัวเอง ก็เลยคิดตรงนั้นเสมอ

เกิดมาน้อยก็รู้สึก guilty ที่ตัวเองโชคดี น้อยก็เลยอยากได้การยอมรับจากทุกคนบนท้องถนน อยาก connect กับเขาได้ ถึงอยากเล่นหนัง เล่นหนังก็มาช่วยตรงนี้ได้เนอะ เขาก็อยากมาจับมือ เราก็สร้างคอนเนคชั่นกับเขาได้

คุณแม่รับรู้ถึงความรู้สึก Guilty ในความโชคดีนี้ไหม

คุณแม่เป็นคนมั่นใจ เขารู้ดีว่า… ยูต้องทำตัวประมาณนึงนะ เขารู้ว่าอย่าไปอวด มันต้อง honest (ซื่อสัตย์) กับชีวิตครับ ชีวิตมัน variety มีเหตุการณ์หลากหลาย ไม่ว่าจะอยู่โรงแรมที่สวยงาม หรืออยู่เกสต์เฮาส์คืนละ 500 บาท น้อยก็อยู่ได้ สวยด้วย มันก็มีเสน่ห์ของมัน

เดี๋ยวลืม…ต้องขอบคุณคุณแม่ด้วยนะ เดี๋ยวคุณแม่น้อยใจ ทำไมไม่พูดถึงแม่เลย (หัวเราะ) แม่น้อยก็ดี แม่น้อยเจ๋งครับ แม่น้อยเหมือน Romeo & Juliet ซ่านะ ตอนแรกเขาหมั้นกับผู้ชายที่มีฐานะ เสร็จแล้วก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนที่อเมริกากับผู้ชายคนนั้น แล้วแม่ก็ชอบร้องเพลง ตอนนั้นยุค 50s ไม่ค่อยมีผู้หญิงเอเชียที่ชอบร้องเพลง เผอิญพ่อเป็นหนึ่งในสามนักร้อง backup แล้วแม่ก็ตกหลุมรักพ่อ พ่อเป็นคนไม่มีเงินอะไรเลย พอคุณตารู้ คุณตาระเบิดเลย ส่งจดหมายห้ามพ่อมาเมืองไทย แล้วแม่ก็ rebel (ขบถ) ไม่! ฉันจะแต่งงานกับคนนี้ ต้องขอบคุณคุณแม่ที่ซ่า ไม่งั้นไม่มีน้อยเกิดขึ้นมา Thanks mom.

‘พ่อ’ น้อย

ในบทบาทคุณพ่อ แบ่งหน้าที่ดูแลลูกกับภรรยาอย่างไร

ก็ใกล้เคียงกับที่พ่อดูแลน้อย แล้วก็สอนน้อย การที่น้อยพยายามแล้วก็พิสูจน์ตัวเองเสมอ น้อยก็ให้ลูกน้อยเห็นเหมือนกัน น้อยอยากให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้มาง่าย

คุณพ่อน้อยสอนลูกอย่างไรบ้าง

ผมก็ strict เหมือนกัน แต่จริงๆ ทุกคนก็สปอยล์ลูกนิดหน่อยเนอะ ยาก เพราะเห็นคนอื่นเลี้ยงลูกแล้วก็ชอบบอกว่า สปอยล์ลูก ตามใจลูก แต่เวลาเรามีลูกบ้างเราก็เริ่มตามใจเหมือนกัน ลูกเราอะเนอะ เราก็อยากให้เขาแฮปปี้ ต้องระวังด้วยเนอะ

ก็มีกฎเยอะเหมือนกัน ลงโทษนิดหน่อย น้อยพยายามไม่ตะโกน แต่บางทีเขาก็ไม่ฟังจริงๆ มันก็ต้องนิดหน่อยถึงจะฟัง (ทำหน้าดุ) อย่าก๊อปปี้น้อยนะ ทุกคนก็มีเทคนิคตัวเอง ยิ่งเล่นคอมนี่แบบ แฟนน้อยก็บอกพูดดีๆ ก็ได้ แต่พูดดีๆ ก็ไม่ฟัง บางทีขอเวลานิดหน่อย ก็จะบอกอีกสิบนาทีๆๆ แต่ถ้าไม่เลิกน้อยจะตะโกนนะ ถ้าเขายังแอบเล่น เราก็แบบ Get off it! Get off it! เขาจะชินมาก (หัวเราะ) ก็มี discipline (กฎ) อยู่เหมือนกัน

พลังความรักต่อลูกมันมหาศาลจริงๆ ตอนแรกนึกว่ามันมหาศาลกับภรรยาแล้วนะ แต่พอมีลูกอีก มันอีกระดับหนึ่ง ช่วงเราจีบแฟนครั้งแรกๆ อยากคุย อยากกอด คุยโทรศัพท์สี่ชั่วโมง มันสุดยอดจริงๆ feeling นั้น แต่มันไม่ last forever แน่นอน แต่กับลูกเนี่ย feeling อยากกอด มันตั้งแต่เดือนนึง ถึง ยี่สิบขวบปี มันตลอดเวลา อยากกอด มันรักอย่างมากทีเดียว ความรักมันมหาศาลจริงๆ แล้วก็หวังว่าเขาจะพิสูจน์ตัวเขาเองได้ในอนาคต ก็กลัวตรงนี้เหมือนกัน เราเลยว่าเขาบ่อย เก็บอาหารเอง! (ทำเสียงดุ) Come on อย่ารอแม่บ้าน

เน้นให้เขาช่วยเหลือตัวเอง?

ใช่ฮะ บางทีเห็นเราเป็นนักร้อง ก็อยากเป็นนักร้องบ้าง แต่ยูรู้รึเปล่า มันยากนะเว้ย อยากเป็นแบบ Justin Bieber ยูต้องซ้อมเยอะๆ นะ It’s not easy แต่เขาก็ยังแค่ 9-10 ขวบเอง ยังเด็กอยู่

กลับไปเรื่อง เส้นทางบันเทิง ถ้าอยากเป็นนักแสดงนักร้อง คอนเนคชั่นไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ อาจจะช่วยช่วงต้นๆ สามารถเข้าวงการได้แป๊บนึง แต่ถ้าจะอยู่นานคุณต้องมีความสามารถจริง เพราะคนที่ judge มันไม่ใช่แค่คนกลุ่มนี้ มัน public เลย ไม่ว่าคุณจะมีคอนเนคชั่นหรือมีเงินเท่าไหร่มันก็ไม่ช่วย มันต้องบอกตัวเองว่า ลูกอยากเป็นนักแสดงจริงๆ หรือ นักร้องจริงๆ ต้องสร้างวินัยตั้งแต่ตอนนี้เลย

เขาอยากเป็น?

นิดหน่อยนะ แต่เขายังไม่รู้ว่ามันยากเท่าไหน คือเด็กหลายคนก็อยากเป็นนะ มันเป็นยุค Youtube แล้ว เดี๋ยวนี้ เป็น Youtuber เขาก็แฮปปี้กันแล้ว มันไม่ต้องมีไอดอลนักร้องด้วยซ้ำ มันเป็นยุค Youtube เขาดูเขาก็ติด คนที่มี Youtube Channel ก็เป็นฮีโร่ของเขาแล้ว โลกมันไปทางนั้นแล้ว ต้องยอมรับ จริงๆ หลายคนก็เริ่มอยากไลฟ์ อยากมีเว็บไซต์ของตัวเอง แล้วก็เป็น Youtube Idol เราสามารถเป็นดาราตัวเองได้แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่อะไร

แต่มันก็ยัง… (นิ่งคิด) ไม่รู้นะ ก็อยากให้มีความสามารถจริงๆ

เรื่องอะไรที่คุณน้อยสอนลูกแล้วย้ำเป็นพิเศษ

อืม (นิ่งคิด) ความพยายาม

ไม่ใช่ Try you best กับสิ่งที่ตัวเองทำ แต่ understand ว่าอีกคนคิดหรือว่ารู้สึกแบบไหน เอาตัวลูกไปอยู่ในตัวเขาสิ เอาวิญญาณลูกเข้าไปอยู่ในตัวเขา ในรองเท้าเขา แล้วจะรู้ว่าเขารู้สึกยังไง แล้วลูกก็จะเป็นคนดีขึ้น

แต่ยังยากที่จะสอนเด็กตอนนี้นะ เพราะเขาคิดถึงตัวเอง อยากทำอะไร เราต้องเริ่มสอนตรงนี้ เขาก็จะเริ่มเข้าใจคนมากขึ้น เขาก็จะรู้วิธี treat คนยังไง

บางที สิ่งที่เราคิดก็ไม่ได้ถูกเสมอ เขาคิดไม่เหมือนเรา บางทีเราว่าเขาไม่ได้ เขาคิดอีกแบบ เพราะเขาเติบโตมาอีกรูปแบบหนึ่ง เราเปลี่ยนใจเขาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือการเมือง ก็ต้องเจอกันครึ่งทางอย่าง compromise ได้

สอนลูกๆ ผ่านการเดินทางด้วย?

ใช่ครับ บางทีการเดินทางก็เป็นสิ่งที่ดี ให้เขาไปอยู่ในที่ที่หลากหลาย ไปดูว่าเขาอยู่ยังไง เขาคิดยังไงกัน ไปอยู่กับเขาสักพัก เพราะว่าสมัยนี้โลกของเด็กทุกคนจะอยู่หน้าจอ ไม่ใช่ยุคพวกเราที่ออกไปวิ่งเล่น จินตนาการเขาก็อยู่แค่หน้าจอ สังคมมัน force ให้เราสื่อสารกันตรงนี้ อย่างน้อยมีแฟนเพจ น้อยก็ต้องเข้าไปแล้ว

ลูกๆ ทราบไหมว่ามี Facebook แล้ว

ทราบฮะ

เขาว่าไงบ้าง

ลูกๆ ก็แบบ มันก็คูลดีนะ โอ้ว Daddy post picture Sri Lanka 1.5 ล้านคนแน่ะ Is there picture of me? Are we famous?

จริงๆ มันก็มีกฎเนอะว่าอย่าไปลงรูปครอบครัว แต่น้อยก็รู้สึกว่า ถ้าเขาอยากรู้ว่าลูกเราหน้าตายังไงก็เข้าไปหาได้อยู่แล้ว จะโอเคกว่าถ้าโพสต์ภาพที่ถูกต้อง แล้วก็โชว์ว่า This is how นี่คือวิธีการเลี้ยงลูก มันก็เป็น positive ได้

แล้วน้อยก็อยาก trust people ด้วย ‘I would like to trust people’ แม้มีคนสอนว่าอย่าไป trust ใครนะ แต่ I want to trust people. มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร โอเคน้อยไม่ใช่ ณเดช ที่จะมีแฟนมาตามเยอะ แต่ I would like to trust people. แล้วเขาก็ respect เรานะครับ ก็ดีฮะ

ลูกๆ มี Facebook หรือ ช่อง Youtube ของตัวเองไหม

ยังไม่ให้มี (หัวเราะ) เริ่มขอกันแล้ว เริ่มขอโทรศัพท์มือถือ แต่เราก็ยังไม่ให้ ลูกสาวเพิ่งมี Line เป็นของตัวเอง เขาก็แฮปปี้ เดี๋ยวนี้ซักอายุ 12-13 ก็ต้องให้เขา มันยาก น่ากลัวมาก สมัยนี้สิ่งที่เขาจะเห็นตามเน็ตเขาก็เห็นได้หมดแล้ว เดี๋ยวนี้ลูกสาวผมเริ่มเรียน Sex Education แล้ว พวกพ่อแม่บางคนต้องทำใจนะ เขาอาจจะรู้สึกว่ามันเร็วไปหน่อย

แล้วเราก็เลี้ยงลูกแบบเปิดเผยว่า ให้เขารู้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น อย่างเรื่อง sex เรื่องเหล้า เรื่องติดยา บางทีเราก็คุยกับเขาแล้ว เราก็บอกว่าบางที ยูจะลองก็ได้นะ แต่ยูอย่าไปติดนะ I don’t mind you trying ไม่ใช่ trying โคเคนนะ แต่อาจจะดื่มไวน์ บางประเทศมันก็สูบกัญชาได้แล้วใช่มั้ยครับ แต่ไม่ใช่อยากให้ลูกไปสูบ (หัวเราะ) เขาก็ต้องเรียนรู้

พ่อแม่น้อยเขาก็ปล่อยให้เราเที่ยวตั้งแต่ 12-13 สมัยนั้นก็ไม่มีที่เที่ยวมากมาย พวกเด็กอินเตอร์เขาก็ไปแถวๆ พัฒน์พงศ์กันหมด ไม่ได้ไปเที่ยวผู้หญิงนะ แต่รวมตัวกันอยู่ในบาร์ เพื่อนผู้หญิงก็ไป ผู้ชายก็ไป ไม่รู้จะไปที่ไหนก็ไปร็อคกันที่นั่นตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ก็ไว้ใจเรา แล้วน้อยก็ไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่เคยดื่มเหล้าอะไรเลยจนถึงอายุ 23 ตอนนี้ชอบสาเกมาก (ลากเสียง) โคตรทุเรศเลย (หัวเราะ)

ลูกๆ เตรียมเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว (9, 11 ขวบ) ?

ก็จวนๆ แล้วฮะ แล้วมันก็ต้อง trust ลูกเรานะครับ แต่เราก็ต้องสร้างพื้นฐานให้ดีก่อน เราก็ต้องคิดว่าเขาจะต้องไม่ตามคนอื่น จะต้องมี identity ที่แข็งแกร่ง แต่มันยาก เด็กบางคนก็ไม่ใช่อย่างนั้น บางคนเกิดมาซอฟท์หน่อย บางคนก็แกร่ง มันต้องดู ทุกคนไม่ใช่สอนวิธีแบบเดียวกัน ต้องดูลูกๆ ว่าเขาเกิดมาเป็นอย่างไร อะไรบ้างที่มี อะไรบ้างที่ไม่มี ต้องดูดีๆ และต้อง respect judgment ของเขาด้วย เราก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย

ตัวอย่างที่ดีอย่างไร

บางทีน้อยก็บอกอย่าไปทำตามพ่อ อย่าก๊อปปี้พ่อ เอาแต่ตัวอย่างที่ดี เช่น ถ้าลูกเห็นน้อย treat ทุกคนด้วย respect ไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้ เขาก็จะเริ่มเรียนรู้ น้อยอยู่เมืองไทย ที่อาวุโสกว่าน้อยก็ไหว้ ใครก็ได้ คนรอบข้าง เราก็ต้องนับถือทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนมีเงินหรือไม่มีเงิน ทุกคนก็ต้องการ respect ทั้งนั้น สำคัญมาก

เขาเห็นเราในจุดนี้ แต่ข้อเสียเราก็มีด้วยนะ ซึ่งเราก็อยากให้เขาเห็น เราไม่ได้เพอร์เฟ็คท์อยู่แล้ว

เขาก็รู้ว่าปมด้อยน้อยคืออะไร อยู่ตรงไหน แต่น้อยแค่ต้องซื่อสัตย์กับเขา พูดความจริงกับเขาว่าพ่อก็มีปัญหาตรงนี้นะ

ให้เขาเห็นทั้งสองด้าน?

ใช่ๆ ไม่ได้พยายามแอบอะไร พ่อพยายามซ่อมมันอยู่แต่มันอาจจะซ่อมไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันต้องบาลานซ์ให้ถูกต้อง

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)กฤษดา สุโกศล แคลปป์ (น้อย วงพรู)

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    พันธุกรรมไม่สำคัญเท่าการเลี้ยงดู ความเอาใจใส่ของพ่อแม่กำหนดบุคลิกของลูกได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”
Early childhoodEF (executive function)
16 August 2018

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • เด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการทางร่างกายและสมองที่ต่างกัน ห้องเรียนพ่อแม่ จะช่วยให้เข้าใจและสร้างพัฒนาการให้กับลูกในทิศทางที่ถูกต้องและควรจะเป็น
  • ในโลกที่มี ‘Wi-Fi’ เด็กจะต้องมี EF (Executive Function) เพื่อควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายในชีวิต
  • การเล่น ไม่ใช่เพื่อเล่น แต่เพื่อสมองที่ดี สมองที่ดีเป็นฐานของ EF ที่ดี เพื่อใช้ควบคุมตัวเองให้ได้ แล้วพาตัวเองไปสู่อนาคตในศตวรรษที่ 21
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

“คิวจิตเวชเด็กมันยาว ยาวเป็นเดือน อย่าพาตัวเองไปถึงจุดนั้น ฉะนั้นเริ่มต้นให้ดีตั้งแต่แรก” ประโยคแรกของนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ก่อนเริ่มการเรียนการสอนใน ‘ห้องเรียนพ่อแม่’ ทำให้ใครหลายคนต้องเอาปากกากับกระดาษขึ้นมาจดอย่างตั้งใจ

ด้วยประสบการณ์ตรวจผู้ป่วยจิตเวชวันละกว่า 100 คนเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้คุณหมอคาดการณ์ได้ว่าเลี้ยงลูกแบบไหนจะได้ผลลัพธ์แบบไหน เลี้ยงแบบไหนถึงจะมีความสุข แล้วจึงนำมาสู่งาน เปิดห้องเรียนพ่อแม่: เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ และพัฒนาการทุกช่วงวัย จัดโดย SCB Academy ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เพื่อย่อยวิธีคิดทางจิตวิทยามาสู่ครอบครัว ให้พ่อแม่เข้าใจลูก และเห็นโอกาสในการพัฒนาเด็กๆ สู่การเติบโตในอนาคตอย่างเต็มศักยภาพ

ห้องเรียนพ่อแม่เฉพาะกิจนี้ เปิดสอนทั้งหมด 3 วิชา คือ 1. พัฒนาการเด็ก 2. EF (Executive Function) และ 3. ปรับพฤติกรรม

วิชาแรก: พัฒนาการเด็ก

มีกฎสำคัญอยู่ 3 ข้อ

1. Epigenesis พัฒนาการเด็ก: พัฒนาเป็นลำดับชั้น ถ้าเราสร้างชั้นที่ 1 ดี ชั้นต่อๆ ไปจะง่ายขึ้น ถ้าเราสร้างชั้นที่ 1 แข็งแรง ชั้นต่อๆ ไป จะแข็งแรงด้วย

“การพัฒนาเป็นลำดับชั้นหมายความว่า ถ้าพื้นดี ตอนมัธยมเราทุบเขา อย่างมากก็ไปกินเหล้า แล้วก็เลิก แต่ถ้าพื้นไม่ดี เราทุบเขา เขาก็ฆ่าตัวตายได้ ฉะนั้นพวกเราทำฐานให้ดี 3 ปีเท่านั้น”

2. Critical period เวลาวิกฤติ: ในแต่ละช่วงชั้น คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่ต้องทำและทำให้เหมาะกับวัย

“ถ้าไม่ทำ อยากย้อนเวลากลับมาทำ ได้…แต่ยาก เช่น ชั้นที่ 1 คือ 12 เดือนแรก เด็กอยากให้เรา ‘อุ้ม กอด บอกรัก’ ไม่ทำ ตอนเป็นวัยรุ่นชั้นที่ 5 อยาก ‘อุ้ม กอด บอกรัก’ แต่เขาไม่เอา เขาไม่กลับบ้าน ชั้นที่ 1 เด็กอยากให้ป้อนนม แต่ไม่ทำ กลัวติดนม ชั้นที่ 5 เราไปป้อนนม เขาไม่เอา เขาเอาเหล้า”

3. Function หน้าที่: แต่ละช่วงชั้น นอกจากพ่อแม่ เด็กก็มีหน้าที่ต้องทำ ช่วงชั้นละ 2-3 ข้อ

“หน้าที่คือ ตื่นเช้ามาต้องทำ ในแต่ละช่วงชั้น เด็กมีข้อสอบชีวิตต้องผ่าน ถ้าไม่ผ่าน ช่วงชั้นนั้นก็จะผ่านไปด้วยความผุกร่อน ไม่แข็งแรง รอวันที่ถูกทุบ”

เมื่อนำกฎทั้ง 3 ข้อมาผสมรวมกันก็จะได้ดังนี้

12 เดือนแรก: Trust สร้างแม่ที่มีอยู่จริง

มี 2  ขั้นตอน ขั้นแรกคือ ‘สร้างแม่ที่มีอยู่จริง’ ขึ้นมาก่อน เพื่อนำไปสู่ขั้นที่สอง ‘สร้างโลกที่มีอยู่จริง’

สร้างแม่ทำอย่างไร?

“ด้วยการเลี้ยง ‘อุ้ม กอด บอกรัก’ ร้อน พัดลมมา หนาว ผ้าห่มมา เหงา อุ้มลอยขึ้นมา แฉะ ผ้าแห้งทันใด ยุงกัด ตบตายเลย เด็กใช้เวลาสร้างแม่ที่มีอยู่จริง 0-6 เดือน แม่ต้องเชื่อถือได้ เรียกว่า trust”

ขั้นตอนต่อมาคือสร้างโลกที่ไว้ใจได้ ถ้าโลกไว้ใจไม่ได้ หนูไม่ไป นั่งแล้วหงายหลัง ใครจะอุ้ม ไม่มีคนอุ้ม หนูไม่นั่ง ยืนแล้วล้ม ไม่มีคนอุ้ม หนูไม่ยืน เดินไปไม่ไว้ใจ ไม่เดิน แล้วตามด้วยไม่พูด อันนี้เป็นจิตวิทยาว่าด้วยพัฒนาการ ดังนั้นโลกต้องไว้ใจได้ ก่อนโลกที่จะไว้ใจได้ แม่ต้องไว้ใจได้ เด็กจึงจะไว้ใจโลก และจะนำไปสู่สายสัมพันธ์ที่แข็งแรงกับแม่ (และพ่อ)

2-3 ปี: Self สร้างตัวตน

มนุษย์ต้องสร้างตัวตนใหม่ ตัวตนของมนุษย์จะอยู่กับแม่เต็มที่จนประมาณ 3 ขวบ หลังจากนั้นตัวตนจะแยกเป็นอิสระจากแม่ ถ้าสายสัมพันธ์แข็งแรง เขาจะหันกลับมาเป็นระยะๆ

เด็กช่วงนี้ร่างกายจะเริ่มพัฒนา หรือเรียกว่า Autonomy โดยเริ่มที่ตัวเองเป็นศูนย์กลาง การพัฒนาจะเริ่มจากกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อต้นแขน กล้ามเนื้อต้นขา กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ตามลำดับ

function ของเด็กช่วงนี้คือ ดื้อและวางกติกา

ความสามารถในการวางกติกาคือการวางสายสัมพันธ์ และคอยดูว่าคนพูดมีอยู่จริงหรือเปล่า อำนาจผู้สั่งมีจริงหรือไม่ สายสัมพันธ์แน่นหนาพอหรือเปล่า

สามข้อพื้นฐานของ self คือ 1. ห้ามทำร้ายคน ครั้งเดียวก็ไม่ให้ เด็ดขาดตั้งแต่วันแรก 2. ห้ามทำร้ายข้าวของโดยเจตนา 3. ห้ามทำร้ายตัวเอง นี่คือกติกาพื้นฐาน

ช่วงเวลานี้คุณแม่หลายคนเริ่มพาลูกเข้าโรงเรียนอนุบาล คุณแม่โฮมสคูลของลูกสาววัยสามขวบสิบเดือนคนหนึ่ง ยกมือถามคุณหมอว่า ตัวเองต้องทำงานจึงต้องพาลูกไปปรับพื้นฐานที่โรงเรียนอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง แต่ตอนนี้กำลังมีปัญหากับครู

“ครูบอกว่าส่งแล้วให้กลับเลย แต่ลูกสาวร้อง ก่อนหน้านี้ไม่เคยห่างกันเลย ครูบอกว่าถ้าคุณแม่ยังอยู่ จะเป็นการสอนเขาเรื่อยๆ ว่า ถ้าร้องแล้วแม่ก็จะกลับมา ส่วนตัวก็เชื่อว่าอยากให้เขาค่อยๆ ปรับตัว บางโรงเรียนตอนเปิดเทอมเขาจะให้ผู้ปกครองไปเรียนด้วยประมาณ 2-3 อาทิตย์ ก็เลยไม่รู้ว่าจะค่อยๆ ปรับตัวหรือตัดไปเลยดี”

คุณหมอให้ความเห็นว่า ถ้าเอาตามตำรา คำตอบคือต้องปรับตัว หมายความว่า ค่อยๆ เลื่อนจำนวนชั่วโมงที่แม่ลูกอยู่ด้วยกันก่อนจะถอนตัวออก แต่หลังจาก 7 ขวบ ถ้ายังแยกจากแม่ไม่ได้ แสดงว่าเริ่มมีปัญหาแล้ว

“ประเด็นจะอยู่ที่จังหวะการแยก และท่าทีของคุณแม่ตอนแยก สำคัญมากกว่าเวลาที่ใช้ในการปรับตัว แม่ควรมั่นคง ลาให้เรียบร้อย กอด หอม พูดคำว่า แล้วพบกันสี่โมงเย็น หันหลังแล้วเดินอย่างสง่างาม อย่าพิรี้พิไร ตรงนี้สำคัญ

อย่างไรก็ตามผมยังเห็นด้วยกับการค่อยๆ ทำ แม่จะมารับ 10 โมง พรุ่งนี้มารับ 11 โมง วันถัดไปจะมารับเที่ยง อาทิตย์หน้ามารับบ่ายสอง อาทิตย์โน้นมารับบ่ายสี่ ค่อยๆ ทำได้ สรุปคืออยู่ที่ท่าทีของแม่ตอนที่แยก ระยะทางก็ทำได้ เช่น วันนี้ส่งหน้าห้อง สัปดาห์หน้าใต้ตึก สัปดาห์โน้นเสาธง หน้าโรงเรียน เป็นต้น”

4-6 ขวบ: Initiation ริเริ่มสิ่งใหม่

ขั้นนี้เด็กเลื่อนขั้นการพัฒนาจากศูนย์กลางมาที่ ‘นิ้วมือ’ นิ้วมาก่อนสมอง เด็กจึงเล่นมากผ่านการใช้นิ้วมือทั้ง 10

“ให้เล่น ไม่ใช่เพื่อเล่น แต่เพื่อสมองที่ดี สมองที่ดีเพื่อเป็นฐานของ EF ที่ดี เพื่อควบคุมตัวเองให้ใช้ Wi-Fi ได้ แล้วพาตัวเองไปสู่อนาคต นี่คือศตวรรษที่ 21 ดังนั้น EF จะต้องมาเร็วพอสมควร”

การทำงาน เด็กจะพัฒนาจากตัวเองเป็นศูนย์กลาง เริ่มตั้งแต่รับผิดชอบร่างกายของตัวเองให้ได้ เช่น ทำงานบ้าน กินข้าวให้เรียบร้อยบนโต๊ะอาหาร อาบน้ำแปรงฟันด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้ทำให้ได้ภายในสามขวบ

ถัดจากศูนย์กลางก็ขยับออกมาเป็นพื้นที่รอบๆ เช่น กินข้าวแล้วเก็บจานให้เรียบร้อย ตื่นนอนเก็บที่นอนให้เรียบร้อย ขัดห้องน้ำตัวเองด้วยก็ดี เก็บของเล่นให้เรียบร้อย

“ถ้าไปโรงเรียนจัดตารางสอนให้เรียบร้อย อย่าลืมของให้บ่อยนัก ในวัย 4-6 ขวบต้องทำได้ แล้วค่อยๆ เลื่อนออกไปอีกเป็นบ้านทั้งหลัง กวาดบ้านถูบ้าน ล้างจาน เก็บผ้า เทขยะ”

7-12 ปี: Industry สร้างผลผลิต

เมื่อเด็กๆ เข้าสู่สังคมหรือโรงเรียน จากที่เคยเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็จะเริ่มเทน้ำหนักไปยังสังคมและเพื่อนๆ จนเกิดปฏิกิริยาสามข้อคือ

Compete – แข่งขัน ต่อสู้ และชิงดีชิงเด่นกับเพื่อนๆ

Compromise – หลังจากแข่งขัน ก็จะเกิดการรอมชอม ประนีประนอม

Coordinate – นำไปสู่การร่วมเล่น ร่วมทำการบ้าน และทำโครงการด้วยกัน

12-18 ปี: Identity อัตลักษณ์

เคลื่อนเข้าสู่ชั้นมัธยม วัยรุ่นมีหน้าที่ 4 ข้อ

  • หาอัตลักษณ์: ที่ไม่เหมือนพ่อและแม่ เป็นช่วงที่วัยรุ่น ‘ปีกกล้าขาแข็ง’ เพื่อบินไปจากรัง เพื่อเป็นผู้ใหญ่ อิสระ และไม่กลับมาขอเงินอีก
  • คนรัก: สอนให้เขารู้ว่าโลกมี 8 เพศ คือ 1. หญิง 2. ชาย 3. เลสเบี้ยนชาย 4. เลสเบี้ยนหญิง 5. เกย์ชาย 6. เกย์หญิง 7. ไบเซ็กชวล และ 8. ทรานส์เจนเดอร์หรือคนข้ามเพศ
  • แก๊งเพื่อน: เกิดการรวมกลุ่มและเชื่อเพื่อนเพื่อสวามิภักดิ์กับหัวหน้าแก๊ง
  • อาชีพ: การคิดถึงอนาคตเป็นความสามารถระดับสูงของสมองส่วนหน้าที่เรียกว่า Prefrontal cortex

“ทำหน้าที่เหมือนไฟหน้ารถยนต์ ใครแรงกว่า ใครเห็นอนาคตไกลกว่า จะสามารถกำหนดเป้าหมาย วางแผน ตัดสินใจ ลงมือทำ ประเมินแผน ปรับแผน”

วิชาที่สอง: EF-Executive Function

EF-Executive Function หมายถึงความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย (คำนิยามโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปนัดดา ธนเศรษฐกร)

สิ่งสำคัญคือสมอง และต้องมีเป้าหมาย

“ศตวรรษที่ 20 เราทำงานตามสายพาน สมองไม่ต้องมีเป้าหมาย ไม่ต้องคิด เรียนจบขอแค่มีงานทำ แต่ศตวรรษที่ 21 ต่างกัน มี Wi-Fi และเด็กๆ เข้าถึงไอทีได้เร็วมาก เขาจะเห็นว่ามีตัวเลือกเป็นแสน สิ่งเหล่านี้รบกวนความสามารถในการเลือก เขาจะเลือกไม่เป็น หาไม่เจอ เจอก็ไปไม่เป็น คะแนนที่โรงเรียนก็ไม่ช่วยอะไร

ดังนั้นเป้าหมายจึงเป็นเรื่องสำคัญ เด็กที่ EF ดี เขาจะกำหนดเป้าหมาย แล้วไปเอง ระหว่างทางเขาจะประเมินผลแล้วปรับเป้าหมาย ปรับอีกหลายๆ อย่างด้วยตัวเองจนถึงเป้าหมายที่เหมาะสมกับสมอง IQ ความถนัด ความชอบ passion ความหลงใหล จึงเป็นกระบวนการเบ็ดเสร็จของมนุษย์คนหนึ่ง”

EF ที่ดีมี 3 ข้อ

1. ดูแลตัวเองได้ หมายถึง ดูแลร่างกายได้ ได้แก่

  • ร่างกายของตัวเองดูแลได้ภายใน 3 ขวบ เช่น กินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน
  • รอบร่างกายดูแลได้ไม่เกิน 6 ขวบ เช่น เก็บของเล่น เก็บที่นอน
  • งานบ้านทำให้ได้ในไม่เกินประถม เช่น ล้างจาน ตากผ้า เทขยะ
  • งานนอกบ้าน เช่น กินข้าวในร้านอาหาร วิ่งเล่นในห้าง เข้าคิว ไม่งอแงในร้านอาหาร

2. เอาตัวรอดได้ จากสถานการณ์เสี่ยง เข้าและออกจากอบายมุขได้ เช่น มีเซ็กส์ในคืนวันวาเลนไทน์

“อยากมีก็อยาก แต่ก็กลัวท้อง ดังนั้นการมีเซ็กส์แบบ EF คือ สวมถุงยางอนามัย โดยผ่านการควบคุมความคิด อารมณ์ การกระทำที่ดีและมีสายสัมพันธ์กับแม่ที่แข็งแรง เพราะสายสัมพันธ์ของแม่จะดึงรั้งสติของลูกไว้เสมอ

3. มีอนาคต แปลว่ามีทักษะชีวิตที่ดี มองไปข้างหน้า วางแผน ลงมือทำ รับผิดชอบ ยืดหยุ่น ปรับเป้าหมาย ปรับแผนได้ตลอดเวลา ไม่โทษตัวเอง ไม่โทษผู้อื่น พลาดแล้วเริ่มใหม่ ไม่ใช่พลาดแล้วฆ่าตัวตาย

EF ประกอบด้วย 3 วัตถุดิบสำคัญ

1. การควบคุมตัวเอง (self control) คือสามารถจดจ่อได้นาน (focus) ไม่วอกแวก (distraction) รู้จักประวิงเวลามีความสุข (delayed gratification) หรืออดเปรี้ยวไว้กินหวาน

2. ความจำพร้อมใช้ (working memory) เมื่อถึงสถานการณ์ ความจำต้องพร้อมใช้เสมอๆ พ่อแม่มีส่วนช่วยพัฒนาการด้วยการเล่นและฝึกทำงานบ้าน เพราะทั้งสองกิจกรรมจำเป็นต้องบริหารความจำตลอดเวลา

3. การคิดวิเคราะห์ยืดหยุ่น (cognitive flexibility) คือ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผ่านการเปลี่ยนมุมมอง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งพ่อแม่ช่วยได้ด้วยการส่งเสริมให้ลูกๆ เล่นตั้งแต่ช่วง 2-7 ขวบ และในช่วง 8-12 ปี ทั้งสองช่วงนี้สมองจะวางโครงสร้างด้านตรรกะ การใช้เหตุผล แล้วจึงนำไปสู่การคิดวิเคราะห์ที่ยืดหยุ่นพลิกแพลงต่อไป

“เช่นลูกอยากมีเซ็กส์ แต่ลืมถุงยาง EF จะสอนให้เขาอดเปรี้ยวไว้กินหวาน การคิดวิเคราะห์ยืดหยุ่นจะบอกให้แวะไปซื้อถุงยางที่เซเว่นก่อน ระหว่างนั้นความจำพร้อมใช้จะคอยเตือนว่าท้องตอน ม.5 จะเป็นยังไงนะ แล้วถ้าติดเชื้อ HIV ด้วยล่ะ ทั้งหมดทั้งมวล คำอธิบายว่า รักแม่นะ อย่าทำนะ มันไม่พอแล้ว ความสามารถของสมองอย่าง EF จึงต้องเข้ามา”

วิชาที่สาม: การปรับพฤติกรรม

ก่อนที่พ่อและแม่จะปวดหัวและอยากปรับพฤติกรรมของลูก พ่อแม่จะต้องเข้าใจโลกของเด็กแต่ละช่วงวัยเสียก่อน

แรกเกิด – 1 ขวบ Self Centered: “เด็กเล็ก คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล”

Animism: “ทุกอย่างมีชีวิต เช่น ตุ๊กตามีชีวิตทุกตัว อย่าแยกเขาออกจากกัน”

Magic: ความคิดเชิงเวทมนตร์ “ทุกอย่างเป็นไปได้หมดด้วยเวทมนตร์”

Phenomenalistic Causality: การจับแพะชนแกะ

6-12 ปี Concrete: มีการคิดเชิงรูปธรรม “เห็นอะไรก็เห็นอย่างนั้น เห็นหมาก็เป็นหมา ไม่มีอะไรซับซ้อน”

12-18 ปี Abstract: คิดเชิงนามธรรม สมองสามารถให้ความหมายแก่สิ่งที่เห็นและสามารถให้ความหมายแก่สิ่งที่จับต้องไม่ได้

มีคุณแม่ท่านหนึ่งถามว่า ลูกวัยสองขวบแปดเดือน อยู่ในช่วงกำลังถาม เวลาเขาถามจะไม่มีจุดสิ้นสุด คนเป็นแม่สามารถตอบมั่วๆ ได้ไหม

“เวลานั่งแท็กซี่กลับบ้าน เขาจะถามว่า รถเมล์คันนี้เขาเปิดท้ายรถทำไม ก็จะบอกว่ารถเสีย เพราะระบายความร้อน ก็จะถามไปเรื่อยๆ ว่าระบายความร้อนทำไม ทำไมมันเสีย ทำไมไม่ซ่อม แม่ไม่ตอบตามความจริงได้ไหม”

คุณหมอตอบว่า ได้

“ช่วงเกือบ 3 ขวบ ชีวิตเขามีแค่เรื่องเดียว คือการสร้างแม่ และสร้างสายสัมพันธ์ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าการตอบคืออารมณ์ของแม่ ความมั่นคง แม่ตอบ แม่สนุกกับการตอบ ไม่ต้องกังวลเรื่องผิดถูก

เขายังเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง เอลซ่ามีจริงในโลก แฮร์รี พอตเตอร์ก็มีจริง เราจับแพะชนแกะได้กับทุกเรื่อง เนื้อหาตามสบาย เอาให้มีความสุข”

เมื่อลูกโตขึ้นจึงค่อยใส่เหตุผลเชิงรูปธรรม

“เช่น กลางวันกับกลางคืนต่างกันอย่างไร หนีเสือปะจระเข้แปลว่าอะไร ก็แปลว่าหนีเสือไปเจอจระเข้ไงลูก (หัวเราะ) ถ้าเหนื่อยและเบื่อก็บอกได้ตรงๆ เลยว่าแม่ขอนอนก่อนนะ เพียงแต่ว่าไม่ต้องหงุดหงิดแค่นั้นเอง”

ก่อนปิดห้องเรียนพ่อแม่ คุณหมอได้ให้เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ กับคุณพ่อคุณแม่ไว้เผื่อเอาไว้ใช้ในสถานการณ์จริง

เด็กอายุก่อน 7 ขวบ เด็กกลัวการถูกทำโทษ 14 ขวบ เด็กชอบรางวัล วิธีคือเราทำให้รางวัลในแต่ละวันให้มากกว่าการทำโทษ เพื่อให้เด็กรู้ทิศทางพัฒนาการว่าแม่ชอบหรือไม่ชอบเส้นทางสายนี้ วิธีคือเราต้องทำให้เห็นทุกๆ วัน ทำแบบนี้แม่ชอบ ทำแบบนี้แม่ไม่ชอบ แล้วสัดส่วนการชอบต้องมากกว่าไม่ชอบทุกวันทุกสัปดาห์ เช่น วันนี้ด่าไป 3 ต้องมีเรื่องชม 4 เรื่อง ไม่เช่นนั้นเด็กจะงงว่า ทำไมด่าทั้งวัน ไม่ชมสักเรื่อง”

หากหาเรื่องให้ชมไม่ได้ คุณหมอแนะนำให้ ‘มองไม่เห็น’ บ้าง

“มันเหนื่อยทุกคน ฉะนั้นกลับบ้านอย่าเพิ่งมองบ้าน ขนมไม่เก็บ รองเท้าไม่เก็บ พื้นเลอะเทอะ ผ้าเช็ดตัวกองตั้งแต่เช้า เราด่าได้หมด แทนที่จะได้ชม 4 เรื่อง เราทวีความติเตียนมากไปอีก ฉะนั้นทำตัวให้หายเหนื่อย ผ่อนคลาย อาบน้ำออกมาแล้วก็จะพบว่าทุกอย่างยังสกปรกเหมือนเดิม นั่งดูไปอีกสักพัก เราก็ใช้หลักการจูงมือไปทำทีละชิ้นๆ แล้วชมตรงนั้นว่า แม่ชอบแบบนี้แหละ ชัดๆ ไม่งั้นเด็กไม่รู้เรื่อง”

คุณหมอย้ำชัดว่าการบ่นด่าจะไม่ทำให้เด็กรู้เรื่อง ยิ่งประชดยิ่งหนัก ยิ่งไม่รู้เรื่อง

“ถ้าหาเรื่องชมไม่เจอจริงๆ พ่อแม่ต้องเริ่มทำเป็นตัวอย่าง จับมือทำแล้วชม เขาก็จะรู้ว่าเราชอบอะไร ทิศทางของพัฒนาการถึงจะไป น้ำดีจะมากขึ้น แล้วก็จะไล่น้ำเสียทิ้งไปเอง”

Tags:

พัฒนาการพ่อแม่งานเสวนาEFโซเชียลมีเดียนพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Early childhoodEF (executive function)
    เปิด ‘ห้องเรียนพ่อแม่’: นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • EF (executive function)
    วัยรุ่น: โอกาสสุดท้ายของการพัฒนา EF

    เรื่องและภาพ ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Early childhoodEF (executive function)
    ทำความเข้าใจสมองของเด็กพิเศษ ต่อยอดความพิเศษในตัวพวกเขา

    เรื่อง The Potential

‘นิทาน’ ภูมิคุ้มกันสมาธิสั้นและซึมเศร้า พ่อแม่ทุกคนคือนักเล่าของลูก
Early childhood
15 August 2018

‘นิทาน’ ภูมิคุ้มกันสมาธิสั้นและซึมเศร้า พ่อแม่ทุกคนคือนักเล่าของลูก

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • โรคซึมเศร้าและสมาธิสั้น ป้องกันได้ด้วย ‘นิทาน’
  • นอกจากจะเป็นภูมิคุ้มกัน นิทานคือธรรมชาติของความรัก ความเมตตากรุณา กล้าหาญ ซื่อสัตย์ มั่นคงแข็งแรง อ่อนน้อม ที่ส่งผ่านจากพ่อแม่สู่ลูก
  • พ่อแม่ทุกคนเป็นนักเล่านิทานได้ ไม่สำคัญว่าเรื่องไหน ลูกแค่อยากได้ยินเสียงพ่อแม่เท่านั้นเอง
ภาพ: ศุภกิจ พิทักษ์บ้านโจด

ทำไมวัยรุ่นเดี๋ยวนี้เป็นโรคซึมเศร้ากันไปหมด? ทำไมเด็กยุคใหม่ถึงสมาธิสั้นกันเหลือเกิน?

แปลกไหมถ้าจะตอบว่า ต้นเหตุของโรคทางกายและจิตของเด็กสมัยนี้ มี ‘ธรรมชาติ’ เป็นตัวแปรสำคัญ

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ โรคทั้งสองสามารถใช้ ‘นิทาน’ เป็นยาสร้างภูมิคุ้มกันได้

และไม่เพียงสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก แต่นิทานยังสามารถรักษาโลกได้อีกด้วย

‘นิทาน-เด็ก-ธรรมชาติ’ คำ 3 คำที่ดูอยู่กันคนละหมวดหมู่นี้ เป็นกลุ่มคำที่ถูกกล่าวถึงตลอดงาน ‘นิทาน ธรรมชาติ และเด็กๆ ของโลก’ ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มนิทานบันดาลใจ โรงเรียนไตรพัฒน์ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ความน่าสนใจของงานนี้ นอกจากการบรรเลงดนตรีและขับร้องเพลงนิทานจากหนังสือ ‘เรื่องเล่าจากเด็กๆ แห่งธรรมชาติ’ ซึ่งทางกลุ่มนิทานบันดาลใจจัดพิมพ์ขึ้นแล้ว ยังมีคลินิกแบ่งปันเคล็ดลับการเล่านิทานและแต่งเพลงสำหรับเด็กตามแนวทางการศึกษาวอลดอร์ฟ และไฮไลต์ของงานอย่างวงเสวนา ‘นิทานก่อนนอน ภาพสะท้อนของโลกธรรมชาติที่พ่อแม่ต้องสร้างเอง’ ที่มี ‘ครูแม่เป๊าะ’ รติรมย์ ชวิตรานุรักษ์ นักศิลปะบำบัด ครู และที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการโรงเรียนไตรพัฒน์ และ ‘ดร.อ้อย’ สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานมูลนิธิโลกสีเขียว มาร่วมแบ่งปันทัศนะและให้ข้อคิด พร้อมตอบคำถามว่า นิทานสามารถรักษาเด็กและโลกใบนี้ได้อย่างไร?

‘ดร.อ้อย’ สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์

ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นโรคซึมเศร้ากันง่ายขึ้น?

ดร.สรณรัชฎ์ : ขอเล่าย้อนกลับไปเมื่อ 4 ล้านปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่พวกเรายังอยู่ในร่างของคุณป้าลูซี่ (คุณป้าลูซี่ คือ โครงกระดูกมนุษย์ดึกดำบรรพ์อายุ 4 ล้านปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์) มาจนถึงทุกวันนี้ ทางกายภาพของเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ในร่างกายมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นเหมือนระบบนิเวศที่เป็นที่อยู่อาศัยของจุลชีพ (จุลชีพ หรือจุลินทรีย์ คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หมายรวมถึงแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และสัตว์เซลล์เดียว) จำนวนมาก และเราเองก็ต้องการจุลชีพเพื่อขับเคลื่อนการทำงานของร่างกาย ช่วยให้เรามีแรงที่จะยกน้ำหนักตัวเราสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก

จุลชีพเหล่านี้เราหาได้จากธรรมชาติ จุลชีพที่เป็นเชื้อโรคก็มีอยู่ แต่ก็มีจุลชีพอีกมากมายที่เป็นเพื่อนและเป็นคุณต่อร่างกายเรา ถ้าเราอยู่แต่ในห้องแอร์ที่อากาศหายใจถูกเวียนอยู่ในพื้นที่ปิด เราจะเริ่มไม่สบาย เพราะร่างกายไม่ได้จุลชีพใหม่ๆ แต่ถ้าเราออกไปข้างนอก เราจะได้แลกเปลี่ยนจุลชีพใหม่ๆ เข้ามาอาศัยอยู่กับเราด้วย แม้แต่การสัมผัสดินด้วยเท้าเปล่า เราก็จะได้แบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ชื่อ ไมโคแบคทีเรียม วัคเคีย (Mycobacterium vaccae) ที่อยู่ในดิน ซึ่งมันจะไปช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเซโรโตนิน ช่วยแก้อาการซึมเศร้าได้

แต่การใช้ชีวิตในห้องแอร์มันกลายเป็นวิถีของคนยุคนี้ไปแล้ว…

ดร.สรณรัชฎ์: ใช่ค่ะ คนยุคนี้กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ ‘โรคขาดธรรมชาติ’ เด็กรุ่นใหม่นี่ยิ่งหนักเลย ใส่รองเท้าตลอดเวลา ไม่เคยเดินเท้าเปล่า เท้าของเรามีข้อต่อข้างละตั้ง 33 ข้อ เส้นประสาทอีกไม่รู้เท่าไหร่ ที่ผ่านมาเราต้องไปจ่ายเงินเพื่อนวดกดจุด ทั้งๆ ที่เราสามารถกดจุดเองได้ด้วยการเดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน เด็กยุคใหม่หลายคนเป็นโรคทรงตัวไม่ได้ เพราะเดินแต่บนพื้นเรียบๆ ในห้าง พอไปเดินป่าเขาไม่สามารถทรงตัวได้เพราะเดินแบบลากเท้าตลอด เท้าไม่ถูกใช้งานจนใช้ไม่เป็น โรคขาดธรรมชาตินี้ส่งผลทั้งทางกายและทางใจ

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราขาดธรรมชาติ?

ดร.สรณรัชฎ์: เทคโนโลยีและวิถีวัฒนธรรมของคนยุคเรา! ภายในไม่กี่ 10 ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีมันอำนวยความสะดวกสบายให้ชีวิตเราเยอะมาก (ลากเสียง) พี่ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยี แต่ราคาของความสะดวกสบายที่เราได้มาก็ทำให้เราถูกตัดขาดออกจาก sense ของเรา สมัยที่บรรพบุรุษเรายังอยู่ในยุคหิน เดินป่าเราต้องใช้ประสาทสัมผัสหรือผัสสะต่างๆ อย่างเต็มที่ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเจอเสือเขี้ยวดาบซุ่มอยู่ตรงไหน (หัวเราะ) ฉะนั้นเราต้องมี sense มากมาย ตั้งแต่ญาณ ไปจนถึงการสังเกต

แต่เดี๋ยวนี้วิถีชีวิตเราไม่ต้องเกี่ยวข้องกับธรรมชาติขนาดนั้น เด็กยุคใหม่รู้จักโลโก้แบรนด์สินค้าดีกว่าพืชและสัตว์อีก คือถ้าเป็นคนป่าคุณไม่รอดแน่ เห็ดนกยูงกับเห็ดหัวกรวดครีบเขียวมันต่างกันยังไงแยกไม่ออก มันคล้ายกันมาก แต่อันหนึ่งกินอร่อยแต่อีกอันเป็นพิษ แต่เพราะเดี๋ยวนี้มันไม่จำเป็นไง อยากกินเห็ดเราก็ไปซูเปอร์มาร์เก็ต ซื้อเห็ดออรินจิได้ (หัวเราะ) เหล่านี้มันทำให้เราถูกตัดขาดออกจากธรรมชาติ และเมื่อเราห่างจากธรรมชาติเราก็ถูกตัดขาดออกจาก sense ของเรา สุขภาพกายและจิตของเราก็เริ่มแย่ ในแง่ปัญญาเราก็ถูกตัดออกจากกระบวนการเรียนรู้ เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ว่าน้ำมาจากไหน ไม่รู้ว่าไข่ออกมาจากก้นของไก่

ครูรติรมย์: ที่สำคัญคือ ธรรมชาติคือทุกอย่าง ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา แม้กระทั่งตัวเราเองก็เป็นธรรมชาติ การที่เราหลงลืมว่าเราเองก็เป็นธรรมชาติ ด้วยวิถีวิวัฒนาการของมนุษย์มันทำให้เราค่อยๆ แยกตัวออกมา จากที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ รู้จักธรรมชาติ และใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ ตอนนี้เรากำลังเดินทางไปสู่การแสวงผลประโยชน์จากธรรมชาติ

หมายถึงการทำลายธรรมชาติ?

ดร.สรณรัชฎ์: ตอนนี้เราเดินมาถึงจุดชุมทางที่เราต้องเลือก 30 ปีที่ผ่านมาคนรุ่นพี่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมไว้มากมาย ทำให้ตอนนี้เรามาอยู่ในจุดที่เป็นวิกฤติสิ่งแวดล้อม ทุกคนรู้เรื่องโลกร้อน ยิ่งกว่านั้นคือการสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์ที่ปัจจุบันความหลากหลายลดเหลือแค่ 1 ใน 3 คือมันสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว

จริงอยู่ว่าการสูญพันธุ์นั้นเป็นธรรมชาติ แต่ช่วง 30 ปีมานี้อัตราการสูญพันธุ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก นับเป็น 1,000 เท่าจากที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่ผ่านมาพืชและสัตว์เหล่านี้ รวมทั้งมนุษย์เรา คือกลไกที่ร่วมกันทำงานขับเคลื่อนวงจรแร่ธาตุต่างๆ ในโลกให้อยู่ในภาวะที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่ปัจจุบันมันกำลังเสียสมดุล ทางออกเดียวของเราคือ เราต้องหยุดทำลายและฟื้นฟูธรรมชาติขึ้นมาใหม่

ตอนนี้เราต้องการธรรมชาติมากกว่ายุคไหนๆ แต่เราเองกลับถูกตัดขาดจากธรรมชาติ นำเราไปสู่ปัญหาสุขภาพ ไปสู่วิกฤติสิ่งแวดล้อมที่กำลังกระทบชีวิตและปัญญาของทุกคน

อยากให้ช่วยขยายความเรื่องของปัญญาที่เราได้จากธรรมชาติ

ดร.สรณรัชฎ์: การที่คนจะพัฒนาศักยภาพตัวเองได้อย่างเต็มที่นั้นต้องปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติค่ะ เพราะปัญญาทุกอย่างซ่อนอยู่ในธรรมชาติหมด ยกตัวอย่างเรื่องของ Biomimicry หรือนวัตกรรมที่มนุษย์เราลอกเลียนมาจากธรรมชาติ มันมีเทคโนโลยีที่เรายืมปัญญามาจากพืชและสัตว์ต่างๆ ที่ได้ลองผิดลองถูกมาผ่านวิวัฒนาการ เช่น เราจะทำบ้านปูน แทนที่จะต้องทุบภูเขาหินปูนทั้งลูก ซึ่งต้องใช้พลังงานมหาศาล แล้วภูเขาก็งอกกลับขึ้นใหม่ไม่ได้ แต่รู้ไหมว่าปะการังก็สร้างบ้านด้วยปูน หอยก็สร้างบ้านด้วยปูน เมื่อ 10 ปีก่อนก็เลยมีคนเลียนแบบ ยืมวิธีการสร้างปูนของปะการังมาใช้ โดยนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากโรงงานมาผ่านกระบวนการที่เลียนแบบกระบวนการที่ปะการังทำปูน อย่างนี้เป็นต้น

‘ครูแม่เป๊าะ’ รติรมย์ ชวิตรานุรักษ์

แล้วจะทำอย่างไรในเมื่อผู้ใหญ่และเด็กยุคใหม่หลายๆ คนถูกตัดขาดจากธรรมชาติเสียแล้ว?

ครูรติรมย์: นั่นอาจเป็นเหตุผลที่สไตเนอร์ ผู้วางรากฐานมนุษยปรัชญา (Anthroposophy) และวางแนวทางการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf Education) ขึ้นมาเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ในมุมมองของมนุษยปรัชญา ชีวิตเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และภายในตัวเราเองก็มีธรรมชาติอยู่ทั้งดินน้ำลมไฟ มีดินที่เป็นเนื้อเยื่อต่างๆ มีน้ำที่เป็นของเหลวในร่างกาย มีลมคือลมหายใจ มีไฟคืออุณหภูมิ เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าธรรมชาติมีความหมายอะไรกับมนุษย์เรา มีแน่ เพราะเรากับธรรมชาติคือสิ่งเดียวกัน คุณไม่เพียงแค่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่คุณเป็นธรรมชาติด้วย

เพราะฉะนั้นในการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ ธรรมชาติคือสิ่งที่เด็กจะต้องเรียนรู้ รู้จัก เข้าใจ อยู่กับธรรมชาติ และใช้ธรรมชาติอย่างคนที่รู้คุณค่า

วอลดอร์ฟจะสอนให้เด็กเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร?

ครูรติรมย์: วอลดอร์ฟสอนธรรมชาติตามช่วงวัยของเด็ก โดยเราแบ่งช่วงวัยการเรียนรู้ของเด็กออกเป็น 3 ช่วง คือ

ช่วงอายุ 0-7 ปี เป็นช่วงพัฒนาการทางกาย (body) โดยพัฒนาผ่านพลังแห่งเจตจำนง (will) เราจึงมุ่งสอนเรื่องของความดี
ช่วงอายุ 7-14 ปี เป็นช่วงพัฒนาการทางจิต (soul) โดยพัฒนาผ่านความรู้สึก (feeling) เราจึงมุ่งสอนเรื่องของความงาม
ช่วงอายุ 14-21 ปี เป็นช่วงพัฒนาการทางจิตวิญญาณ (spirit) โดยพัฒนาผ่านความคิด (thinking) เราจึงมุ่งสอนเรื่องของความจริง

คำถามคือ วอลดอร์ฟพาเด็กกลับคืนสู่ธรรมชาติได้ยังไง จริงๆ มีหลายขั้นตอน แต่ขั้นตอนหนึ่งที่อยากคุยกันคือ นิทาน

นิทานคือเรื่องเล่า เราสอนเด็กให้เข้าใจโลกผ่านเทพนิยายและธรรมชาติ เด็กต้องเรียนรู้เกี่ยวกับผัก พืช ดิน หิน แร่ธาตุ เรียนรู้เกี่ยวกับผู้คน เด็กไม่ได้เรียนรู้ผ่านสมอง แต่เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า และต้องเป็นเรื่องเล่าที่สร้างความอบอุ่นในหัวใจของเด็ก ถึงจะทำให้สิ่งที่เราจะปลูกฝัง ทั้งเรื่องความรักธรรมชาติ หรือการมองเห็นคุณค่าของธรรมชาตินั้นประทับอยู่ในตัวเด็กได้

นิทานสามารถสร้างเด็กได้จริงหรือ?

ครูรติรมย์: การเล่านิทานคือการพาเด็กเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติ โดยวิธีการเล่านั้นก็จะต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย ช่วงประถมต้นเป็นวัยแห่งความรู้สึก ดังนั้นการที่คุณจะมอบอะไรให้เด็ก แล้วเด็กเก็บประทับไว้กับตัว ประทับรอยไว้ในใจ แล้วนำพามันผ่านไปสู่ชีวิตในวันข้างหน้าได้นั้น มันต้องเล่าผ่านความรู้สึก เด็กจะเก็บสะสมเรื่องราวของธรรมชาติโดยผ่านความรู้สึก เก็บเอาไว้ในใจ แล้วมันจะไปเติบโตงอกงามภายในสิ่งที่เราเรียกว่า ‘เจตจำนง’ เมื่อเขาเติบโตขึ้น มันจะไปออกดอกออกผลในเจตจำนงของเขา ในวันที่เขามีบางสิ่งบางอย่างมาสะกิดใจ แล้วต้องลุกขึ้นมาเพื่อเลือกทำอะไรบางอย่างในชีวิต ฉะนั้นเราอยากสร้างให้เด็กโตไปเป็นอย่างไร เราเล่านิทานอย่างนั้นให้เด็กฟัง

นิทานมีพลังมากขนาดนั้นจริงหรือ?

ดร.สรณรัชฎ์: Story telling คือโหมดการสื่อสารที่มีพลังมากที่สุด การเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องเล่ามีพลังมากสำหรับมนุษย์ พี่คิดว่ามันเป็นเพราะการให้ความหมาย เรื่องเล่าทำให้สรรพสิ่งที่เราเห็นมีความหมายขึ้นมา ซึ่งความหมายนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่าว่าต้องการให้ผู้ฟังเกิดทัศนคติแบบไหน

เคยได้ยินวลีที่บอกว่า ‘นิทานเปลี่ยนโลกได้’ ไหม ตั้งแต่โบราณกาลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและวิวัฒนาการมาเป็นอารยธรรมได้นั้นเกิดจากนิทาน เพียงแต่คนทั่วไปอาจไม่ได้ใช้คำว่านิทาน แต่เป็นตำนานหรือเรื่องเล่า ซึ่งมันก็คือการเชื่อมโยงความหมายไม่ต่างจากนิทานนั่นแหละ

การจะทำอะไรกับคนหมู่มากนั้นมันต้องการการสร้างความหมายบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกร่วมกัน นิทานในลักษณะของตำนานกำเนิดโลกจึงมีหน้าที่ให้ความหมาย สร้างสัญลักษณ์การรับรู้ของคนหมู่มากให้รับรู้และเข้าใจตรงกัน ทั้งเพื่อหลอมรวมและแบ่งแยกออกจากกัน อย่างที่เราทะเลาะกันทุกวันนี้ก็เพราะเรามีเรื่องเล่าที่ต่างกัน เรื่องเล่าเปลี่ยนโลกได้ นิทานจึงเปลี่ยนโลกได้

พอจะยกตัวอย่างของเด็กที่ได้ฟังนิทาน แล้วเติบโตมาเป็นคนแบบในนิทาน ได้ไหม

ดร.สรณรัชฎ์: ง่ายมาก ตัวพี่เองนี่แหละ (หัวเราะ) บ้านพี่โตมากับนิทาน พี่กับพี่สาวโตมากับเทพนิยาย แม่พี่เป็นคนที่เล่านิทานสนุกมาก สามารถทำเสียงต่างๆ นานาได้ ไม่ว่าจะเสียงสัตว์หรือเสียงแม่มดแม่ทำได้หมด แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือมุมมองของแม่ เวลาแม่เล่านิทานเกี่ยวกับสิ่งที่เราเห็นในธรรมชาติ แม่ไม่ชอบเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง นิทานเรื่องหนึ่งที่แม่เล่าแล้วมีอิทธิพลกับพี่มากคือเรื่องหนอนชอนใบ

หนอนชอนใบเป็นสัตว์ที่เกษตรกรเกลียดมาก ทุกคนจะเรียกมันว่าแมลงศัตรูพืช เพราะมันชอนใบไม้ที่เราปลูก ขุดอุโมงค์เข้าไปแล้ววางไข่ไว้ในใบไม้ เกษตรกรจะไม่พูดอะไรอื่นๆ ถึงมัน นอกจากเอายามาฉีดมันซะ! มันทำลายต้นไม้ของเรา! แต่แม่พี่จะไม่พูดอย่างนั้น แต่จะเล่าว่า

กาลครั้งหนึ่งมีแม่หนอนตัวหนึ่งที่รักลูกของมันมาก แต่หลังจากวางไข่แล้วมันจะอยู่กับลูกไม่ได้ มันจึงต้องหาที่ที่มีอาหารไว้ให้ลูกเยอะๆ มันเสาะหาใบไม้ใบใหญ่อย่างที่มันตั้งใจ และด้วยความห่วงลูก ไม่อยากให้นกมากินลูกอยากให้ลูกได้อยู่ในบ้านที่มีฝาผนังเพดานที่ปลอดภัย จึงไข่ลงไปในใบไม้ แล้วแม่หนอนก็ตายจากไป เมื่อลูกหนอนฟักออกมาก็พบว่ามีอาหารอยู่รอบตัว มันกินอาหารที่แม่หาไว้ให้อย่างเอร็ดอร่อย กินจนตัวใหญ่ขึ้นๆ จนมองเห็นเป็นเส้นในใบไม้ เป็นเส้นที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ตามตัวเจ้าหนอนและเลี้ยวไปเลี้ยวมาจนมาถึงจุดจบ แล้วเจ้าหนอนก็กลายเป็นผีเสื้อบินออกไป

สิ่งที่แม่เล่าทำให้พี่เป็นคนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา เวลาฟังคนอื่นเราจะฟังโดยคิดถึงมุมมองของคนคนนั้น หรือสิ่งมีชีวิตนั้นๆ แทนที่จะเอามุมมองของเราไปเล่า ถ้าฟังนิทานที่แม่เล่า โลกนี้จะไม่มีวัชพืช ไม่มีแมลงศัตรูพืช ไม่มีสัตว์ที่ทำร้ายเรา แม้แต่ยุงก็มีอยู่เพื่อควบคุมประชากรมนุษย์ไม่ให้ล้นโลก มันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเรา มันคือโลกทัศน์ และด้วยโลกทัศน์ที่แม่ให้ไว้ก็ทำให้ที่บ้านพี่ไม่เคยตีงูเลย

แล้วคนเป็นพ่อแม่ควรจะเล่านิทานอะไรให้ลูกฟัง?

ครูรติรมย์: เรื่องอะไรก็ได้ เพราะอย่างที่บอก ธรรมชาติคือทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะเล่าอะไรมันก็คือธรรมชาตินั่นแหละ เรื่องใจคนก็ยังเป็นธรรมชาติเลย

ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเล่าเรื่องอะไรของธรรมชาติก็ตาม แต่ในความเป็นนิทานสำหรับเด็กเล็กจะต้องมี ‘ความดี’ อยู่ในนั้นเสมอ คุณจะเล่าเรื่องต้นไม้ใบหญ้าอะไรก็ได้ แต่มันจะต้องมีความดีอยู่ในเรื่องนั้น แม้กระทั่งก้อนหินก้อนเดียวที่จะเล่าก็ต้องมีความดีของก้อนหินอยู่ในนั้นด้วย มันจึงจะเป็นนิทานที่ประทับอยู่ในเจตจำนงของเด็กที่จะเติบโตไปสู่อนาคตข้างหน้าได้

ฉะนั้นนิทานจึงต้องเป็นธรรมชาติของความรัก ความเมตตากรุณา มีความกล้าหาญ มีความซื่อสัตย์ มีสิ่งที่เรียกว่าความมั่นคงแข็งแรง อ่อนน้อม และมุ่งมาดปรารถนาหรือเจตจำนงของสิ่งนั้นๆ แล้วนิทานนั้นจะประทับรอยในใจเด็ก อย่างจะเล่านิทานถึงต้นไม้ เริ่มตั้งแต่การงอกของเมล็ดพันธุ์ ซึ่งมีเจตจำนงที่จะก้าวข้ามอุปสรรคความแห้งแล้งของผืนดิน งอกขึ้นมาเป็นต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาคุ้มครองนกเล็กๆ ตัวหนึ่งให้รอดพ้นจากพายุอันตราย ออกดอกออกผลให้กระรอกได้มาเก็บกิน นี่คือความดี นี่คือคุณธรรม และมันไม่ใช่การโกหก เพราะต้นไม้ทำหน้าที่อย่างนั้นจริงๆ

นักเล่านิทานที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง?

ครูรติรมย์: ยกตัวอย่างว่าคุณจะเล่านิทานเกี่ยวกับต้นไม้ คุณก็ต้องเข้าใจความเป็นต้นไม้ คุณถึงสามารถประทับรอยความงดงามของต้นไม้ไว้ในใจเด็กได้ ถ้าคนเล่าไม่รู้หรือไม่ซึมซาบอะไรในความงดงามของต้นไม้ มองไม่เห็นถึงความมหัศจรรย์ของเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ที่ขอแค่แสงแดดกับสายฝน เพื่อที่จะยืดตัวทะลุดินแข็งขึ้นมาแล้วกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ คุณก็ไม่สามารถมอบความประทับใจในความงดงามของต้นไม้ให้เด็กได้เลย

การจะเป็นนักเล่านิทานได้ อันดับแรกเป็นคุณสมบัติของครูประถมก็คือ ต้องมีความรักและมีจินตนาการที่จะถ่ายทอดความจริงออกมาผ่านภาษาและความรู้สึก ไม่ได้ถ่ายทอดผ่านสมอง และต้องมีความมหัศจรรย์ใจ ซาบซึ้ง และเคารพนบนอบในธรรมชาติของสิ่งที่จะเล่า เด็กอายุก่อน 9 ขวบเขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ จินตนาการของเขาจะกว้างมาก ถ้าคุณมอบความรู้สึกและความมหัศจรรย์ใจที่เกิดจากตัวคุณให้กับเด็ก นั่นคือของขวัญของความมหัศจรรย์ใจในธรรมชาติที่คุณจะมอบให้ และเด็กจะเก็บสิ่งนั้นไว้

ขณะที่กำลังเล่ามีเทคนิคอย่างไรบ้าง?

ครูรติรมย์: การเล่านิทานต่างจากการอ่านนิทาน ในที่นี้เราพูดถึงการเล่า เวลาที่คุณจะเล่าเรื่องอะไรได้คุณก็ต้องมีสิ่งนั้นอยู่ในตัวเองก่อน มีจินตนาการ มีความรู้สึก คุณถึงจะมีท่วงทำนองของการเล่าให้เด็กฟังได้ แต่ถ้าคุณอ่าน คุณก็เพียงแต่อ่านตัวหนังสือ สิ่งที่เด็กได้รับก็แค่คำเท่านั้น และสิ่งที่หายไปก็คือ คุณไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก

พ่อแม่ที่ไม่เคยเล่านิทานมาก่อนจะเล่าได้หรือเปล่า

ครูรติรมย์: ทุกคนสามารถเป็นนักเล่านิทานได้ค่ะ พ่อแม่ที่ไม่เคยเล่ามาก่อนอาจเริ่มจากการอ่านก็ได้ จากนั้นก็ลองอ่านนิทานเองก่อนรอบหนึ่ง ให้รู้เรื่องราว แล้วค่อยเล่าด้วยท่วงทำนองของพ่อแม่เอง และเมื่อทำไปเรื่อยๆ ก็จะเล่าได้เอง และยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ลูกแค่อยากได้ยินเสียงพ่อแม่เท่านั้นแหละ

ดร.สรณรัชฎ์: สิ่งสำคัญคืออย่ามัวกลัว อย่ามัวเกร็ง อยากให้คุณเริ่มต้นทำด้วยความรักที่มีต่อลูก เริ่มต้นจากสิ่งที่คุณรักคุณชอบ คุณก็จะถ่ายทอดออกมาได้เอง ไม่ต้องมีนางฟ้าก็ได้ เล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ก็ได้ มันสนุกแน่นอนถ้าคุณทำให้มันมีความหมาย นั่นคือพลังของเรื่องเล่า

ฟังดูแล้วเหมือนนิทานเป็นยาวิเศษ…

ดร.สรณรัชฎ์: มันคือ magic สิ่งที่พ่อแม่เล่าให้เราฟังในตอนเด็ก เรื่องราวที่เราต้องมนตร์ในตอนนั้นมันจะอยู่กับเราตลอดไป แม้แต่เรื่องซานตาคลอสที่ไม่มีอยู่จริง พ่อแม่เล่าให้เราฟังตอนเด็ก พอโตขึ้นเราอาจรู้ว่ามีวิธีอธิบายปรากฏการณ์นั้นอย่างไร สิ่งนั้นอาจไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่คงอยู่คือเจตนารมณ์ มันไม่ได้มาจากการหลอก พี่ไม่ได้โกรธพ่อแม่ที่หลอกว่ามีซานตาคลอส แต่เวทมนต์ของคริสต์มาสก็ยังอยู่ ทุกวันนี้พ่อแม่พี่เสียไปแล้ว แต่พวกเราพี่น้อง 4 คนก็ยังเลี้ยงคริสต์มาสกันทุกปี มันเป็นเวทมนตร์ความรักของครอบครัวที่มีความวิเศษ และพี่ว่ามันสำคัญ

ครูรติรมย์: ความเชื่อของการศึกษาวอลดอร์ฟนั้นไม่ได้หวังผลจากเด็กที่กำลังเรียนกับเราอยู่นะคะ แต่เราหวังผลในรุ่นลูกของเด็กที่กำลังเรียนกับเรา ตอนนี้เด็กของเราถูกตัดขาดจากธรรมชาติ แต่เราพยายามนำสิ่งนั้นกลับคืนมาให้ เพราะเรามองว่าในอนาคตข้างหน้าเรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกลับไปเชื่อมชีวิตเรากับธรรมชาติ เด็กของโลกในวันข้างหน้าจะต้องกลับไปสู่ธรรมชาติ และนิทานคือเครื่องมือหนึ่งในกระบวนการนี้ที่มีประสิทธิภาพมาก

Tags:

รติรมย์ ชวิตรานุรักษ์พ่อแม่ซึมเศร้างานเสวนาการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)นิทานสรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.8 ‘Perfectionism’ เมื่อลูกคาดหวังว่าตัวเองต้องสมบูรณ์แบบ

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.5 เม่นทะเล

    เรื่อง The Potential

  • Family Psychology
    ดนตรีแบบไหน เหมาะกับวัยลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel