Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: August 2018

เพราะอะไรจึงไม่ควรเรียนหนังสืออย่างจริงจังก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
EF (executive function)
6 August 2018

เพราะอะไรจึงไม่ควรเรียนหนังสืออย่างจริงจังก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

ระหว่างที่เรายังไม่เห็นงานวิจัยระยะยาวของประเทศไทย มีงานวิจัยระยะยาวจากต่างประเทศบางเรื่อง คัดเลือกเฉพาะเรื่องใหม่ๆ ให้เราได้อ่าน พิจารณา และคิดตาม

มีเพียงพ่อแม่ส่วนน้อยในบ้านเราที่กล้าหาญและมีทุนมากพอจะต้านกระแส นั่นคือพยายามที่จะมิให้ลูกเรียนหนังสืออย่างจริงจังมากเกินไปก่อนอายุ 7 ขวบ ในความเป็นจริงแล้วเกือบทุกบ้านส่งลูกไปโรงเรียน แต่พยายามที่จะคัดเลือกโรงเรียนที่ไม่มีการเรียนการสอนและเน้นการละเล่นเพื่อเตรียมความพร้อม

สำหรับโฮมสคูล เด็กที่เรียนโฮมสคูลรุ่นแรกๆ จบมหาวิทยาลัยเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าพวกเขาทำได้ เหมือนที่โรงเรียนทั่วประเทศทำได้ นั่นคือให้การศึกษาที่พอเพียงต่อการดำเนินชีวิตอย่างดีที่สุดเท่าที่จะดีได้

สำหรับโรงเรียนที่มิใช่โรงเรียนทางเลือก และสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่มีทางเลือก อาจจะเพราะต้องปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำหรือไม่กล้าต้านกระแสเรียนหนังสืออย่างจริงจังของคนรอบข้าง ที่ท่านควรรู้คืออะไรที่เหมาะสมกับพัฒนาการเด็กตามที่ประเทศพัฒนาแล้วทำกัน ส่วนเรื่องจะทำได้หรือทำไม่ได้ เราจะค่อยๆ คุยกันในบทต่อๆ ไป

งานวิจัยระบาดวิทยาระยะยาวติดตามเด็กนิวซีแลนด์ 1,000 คนจากวัยเด็กถึงวัยผู้ใหญ่ พบว่าคะแนนการควบคุมกำกับตนเอง (self-regulation) ทำนายผลลัพธ์ของชีวิตที่ดีกว่า ทั้งในด้านสุขภาพร่างกาย การใช้สารเสพติด ฐานะการเงิน ประวัติการก่ออาชญากรรม ทั้งนี้โดยไม่สัมพันธ์กับฐานะทางเศรษฐกิจของบ้านหรือเชาวน์ปัญญา (IQ) – Moffitt etal (2011) .A gradient of childhood self-control predicts health, wealth and public safety. Proceedings of the National Academy of Sciences of USA, 108 (7), 2693-2698. อ้างอิงใน Lynn Meltzer. Executive Function in Education, from theory to practice, 2nd edition, 2018. New York: Guilgord Press. p.66.

การควบคุมกำกับตนเอง หรือ self-regulation นี้เป็นปฐมบทของสิ่งที่เรียกว่า Executive Function (EF) ซึ่งเป็นตัวทำนายการใช้ชีวิตในอนาคตได้ดีกว่า IQ หรือผลการเรียน คือ การควบคุมตนเองให้สามารถทำงานยากได้เป็นเวลานานอย่างถูกต้อง ซึ่งต้องการสมองส่วนหน้าที่ดี และสมองส่วนหน้าที่ดีนั้นได้จากการเล่นในช่วงปฐมวัยมากกว่าการเรียนหนังสือ

อีกงานหนึ่ง จากการติดตามเด็กอนุบาลจำนวน 753 คนจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น (young adulthood) พบว่าความสามารถในการควบคุมกำกับตนเองเป็นตัวทำนายผลลัพธ์ที่ดีด้านการศึกษา การจ้างงาน ประวัติการก่ออาชญากรรม การใช้สารเสพติด และปัญหาสุขภาพจิต – Jones etal (2015). Early social-emotional functioning and public health: The relationship between kindergarten social competence and future wellness. American Journal of Public Health, 105 (11), 2283-2290. อ้างแล้ว

งานวิจัยชิ้นนี้อ้างถึงการควบคุมกำกับตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่าความสามารถเชิงสังคมคือ social competence ซึ่งนำไปสู่วิวาทะที่สำคัญของบ้านเราคือมีความจำเป็นมากน้อยเพียงไรที่เด็กๆ จะต้องไปโรงเรียนเพื่อให้มีสังคมหรือทักษะสังคม ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าโรงเรียนบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนทั่วไปหรือโรงเรียนทางเลือกมีบุคลากรที่มีความรู้ทางจิตวิทยามากพอจะช่วยเหลือเด็กหรือไม่ ทั้งนี้ยังไม่นับคำถามท้าทายคือเด็กโฮมสคูลจะเป็นเด็กที่ไม่มีสังคมจริงหรือ ซึ่งเชื่อว่าพ่อแม่ของเด็กโฮมสคูลที่เติบใหญ่แล้วจะเป็นผู้ตอบคำถามนี้ได้

อีกชิ้นหนึ่ง งานวิจัยระยะยาวในเดนมาร์ก ศึกษาข้อมูลประชากรตั้งแต่ข้อมูลการตั้งครรภ์ การคลอด การเข้าโรงเรียนเมื่ออายุ 6 ปี แล้วติดตามไปจนถึงอายุ 7 และ 11 ปี เพื่อดูภาวะสุขภาพจิต โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่เริ่มเรียนเมื่อต้นปี คืออายุ 6 ขวบเล็กน้อย กับกลุ่มที่เริ่มเรียนเมื่อปลายปี คือเกือบจะ 7 ขวบ รวมทั้งสิ้น 50,000 ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่าเด็กที่เริ่มเรียนช้ากว่า จะมีปัญหาสมาธิสั้น (attention deficit) และอยู่ไม่นิ่ง (hyperactive) น้อยกว่าเด็กที่เริ่มเรียนเร็วกว่า – Health Thomas S. Dee and Hans Henrik Sievertsen. The Gift of Time? School Starting Age and Mental. NBER Working Paper No. 21610, October 2015.

ผลการศึกษานี้มิได้แปลว่าเข้าเรียนเร็วกว่าเกิดโรคสมาธิสั้นมากกว่า ไม่เกี่ยวกัน ที่จริงการศึกษาข้อมูลประชากรลักษณะนี้เป็นเรื่องที่บ้านเราทำได้เลยหากต้องการ อาจจะมีปัญหามากตอนที่ไล่ติดตามข้อมูลเด็ก 50,000 คนว่าบัดนี้กระจัดกระจายไปที่ใดและจะควบคุมตัวแปรและตัวกวนตลอดชีวิตได้อย่างไร

อีกชิ้นหนึ่งคล้ายชิ้นที่แล้ว จากเยอรมนี ปี 2012 รายงานการศึกษาเด็กเล็ก 360 คนจากเขตไรน์-เน็คคาร์ตอนกลางของเยอรมนี พบว่าไปโรงเรียนช้ากว่ามีอุบัติการณ์ของภาวะอยู่ไม่นิ่งลดลง และเด็กมีสมาธิจดจ่อดีกว่าเมื่อตรวจวัดที่อายุ 8 ขวบ – Muhlenweg A etal (2012): Effects of age at school entry (ASE) on the development of non-cognitive skills: Evidence from psychometric data. Economics of Education Review, 31 (3), 68-76.

และอีกชิ้นหนึ่ง จากนอร์เวย์ ปี 2011 รายงานการศึกษาปัญหาสุขภาพจิตในทหารเกณฑ์ใหม่ พบว่าทหารเกณฑ์ที่มีประวัติไปโรงเรียนช้ากว่า 1 ปี ลดปัญหาสุขภาพจิตลงไปอย่างมีนัยสำคัญ – Black etal (2011): Too young to leave the nest? The effects of school starting age. The Review of Economics and Statistics, 93 (2), 455-467.

รายงานฉบับหลังนี้เป็นเรื่องที่ทำวิจัยซ้ำได้ไม่ยากเช่นเดียวกัน บ้านเรามีทหารเกณฑ์มากมายจากหลากหลายสถานะทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจให้รอสำรวจ น่าสนใจมากว่าทหารเกณฑ์บ้านเรามีปัญหาสุขภาพจิตมากน้อยเพียงไร และนักวิจัยสามารถกำจัดตัวแปรได้หรือไม่ว่าปัญหาสุขภาพจิตเหล่านั้นสัมพันธ์กับอะไร

อีกชิ้นหนึ่ง รายงานจาก NIH ปี 2007 ติดตามเด็กมากกว่า 900 คนจากอายุ 54 สัปดาห์ถึงประถม 3 โดยควบคุมตัวแปรทางครอบครัวไว้แล้วพบว่าเด็กที่เข้าอนุบาลเร็วกว่าทำคะแนนด้านการรู้จักตัวอักษร-คำ สูงกว่า แต่คะแนนด้านภาษา ความเข้าใจ และการคิดเชิงคณิตศาสตร์ต่ำกว่าเด็กที่เข้าอนุบาลช้ากว่า เด็กที่เข้าอนุบาลช้ากว่าพบว่าคะแนน 4 ด้านนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างต่อเนื่องและอย่างชัดแจ้ง คือ รู้จักตัวอักษร-คำ การแก้ปัญหา ความจำรูปประโยค และคำศัพท์จากรูปภาพ

และเมื่อถึงประถม 3 สามารถทำคะแนนการแก้ปัญหาและคำศัพท์จากรูปภาพได้สูงกว่าเด็กที่เข้าเรียนเร็วกว่า ทั้งนี้โดยเป็นอิสระจากสถานะทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจ -NICHD Early Child Care Research Network. Age of Entry to Kindergarten and Children’s Academic Achievement and Socioemotional Development. Early Education Development 2007; 18 (2): 337-368.

งานชิ้นนี้เป็นไปตามที่เรากังวลกันมานาน กล่าวคือการเร่งเรียนเร็วอาจจะทำให้เด็กดูคล้ายจะอ่านออกเขียนได้เร็ว แต่มิได้พิสูจน์ว่าการอ่านเอาเรื่อง เก็บประเด็น และความสามารถวิพากษ์จะดีตามไปด้วย อีกทั้งการคิดเลขได้เร็วมิได้บอกว่าความสามารถด้านตรรกหรือการให้เหตุผลจะดีตามไปด้วย ที่จริงแล้ว หากเพียเจต์ถูก แน่นอนว่าใครๆ ก็สามารถพูดได้ว่าเพียเจต์ผิด แต่ถ้าเพียเจต์ถูก ความสามารถด้านการอ่านเอาเรื่อง วิพากษ์ และตรรกเหล่านี้มิได้เกิดจากการเรียนหนังสือแต่เกิดจากการเล่น

ปิดท้ายด้วยงานจากประเทศไทยที่กัลยาณมิตรจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยส่งมาให้ คือ การศึกษาความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์และการมีจิตสาธารณะเพื่อการพัฒนาศักยภาพการเป็นคนดีคนเก่งของนักเรียนไทย พ.ศ. 2559 โดย รศ.ดร.ปังปอนด์ รักอำนวยกิจ และ ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า พบความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ที่ต่ำกว่าเกณฑ์อย่างมากของเด็กไทย และมีความสัมพันธ์กับจิตสาธารณะด้วย

โดยทีมวิจัยชุดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงปัจจัยเกี่ยวข้องที่สำคัญคือเรื่องความเหลื่อมล้ำของโครงสร้างพื้นฐาน ดังที่ทราบว่าจิตสาธารณะใช้กลไกทางจิตที่เรียกว่า altruism อันเป็นกลไกที่พัฒนาได้ดีในช่วงวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี ซึ่งเป็นพัฒนาการช่วง abstract operation และการคิดวิเคราะห์นั้นจะขาดซึ่งวิธีคิดเชิงนามธรรม (abstract thinking)ไปมิได้ สอดคล้องกับผลวิจัยของนักวิจัยไทยชุดนี้ที่พบว่าจิตสาธารณะแปรตามความสามารถในการคิดวิเคราะห์

กล่าวคือหากเด็กไทยคิดวิเคราะห์ไม่ได้ จะมีผลกระทบต่อจิตสาธารณะ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์และแนวโน้มที่สังคมของเรากำลังเผชิญอยู่

ระหว่างรองานวิจัยระยะยาวของบ้านเราว่าที่แท้แล้วการเร่งเรียนก่อนวัยอันควรมีประโยชน์หรือไม่และมีประโยชน์อย่างไร นักวิชาการจำนวนหนึ่งเห็นความร้ายแรงของสถานการณ์ที่รอไม่ได้เพราะเด็กไทยอยู่ยากมากขึ้นทุกวัน ยอดผู้ป่วยจิตเวชเด็กที่ถูกส่งไปจากระบบการศึกษาปฐมวัยมีมากขึ้นทุกเดือน ใครบางคนจึงมีหน้าที่บอกกล่าวแก่สังคมว่าโดยทฤษฎีแล้วเราควรทำอะไร

และถ้าสมมุติว่าทำไม่ได้ เพราะยากจนหรือเพราะไม่สามารถต้านกระแสสังคมได้ เราจะทำอะไรได้บ้าง คือเรื่องที่เราจะคุยกันต่อไป

แต่เพื่อตอบคำถามสองข้อนี้ จำเป็นที่เราควรรู้ลึกถึงประโยชน์ของการเล่นที่มีมากกว่าการเรียนในช่วงปฐมวัย ทั้งนี้โดยอ้างอิงงานเขียนของ Freud, Klein, Erikson, Piaget และ Kohlberg รวมทั้งความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์การแพทย์ด้านสมองสมัยใหม่ที่เรียกว่า Executive Function (EF)

ทฤษฎีพัฒนาการบุคลิกภาพข้างต้นผิดได้ แม้ว่าจะมีงานวิจัยสมัยใหม่หลั่งไหลออกมารองรับก็ตาม แต่ด้วยประสบการณ์ตรวจผู้ป่วยจิตเวชที่ระบบการศึกษาผลิตขึ้น ทฤษฎีพัฒนาการบุคลิกภาพเหล่านี้มีส่วนถูกมากกว่าผิด

Tags:

โรงเรียนปฐมวัยEFการกำกับตัวเอง(self-regulation)

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Related Posts

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.3 แนวทางในการเตรียมความพร้อมให้กับลูกก่อนเข้าสู่สังคม (โรงเรียน)

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(7): หย่านมแบบลูกนำ กับมื้ออาหารที่ไม่ต้องคอยป้อน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • EF (executive function)
    เพราะอะไรจึงไม่ควรส่งเด็กไปเรียนหนังสือก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนรก = ความเครียด = พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน?!

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

วัยรุ่นไอซ์แลนด์ไม่ ‘เสพยา’ : พวกเขาแค่ไม่ว่าง และมีอะไรทำ
How to get along with teenager
6 August 2018

วัยรุ่นไอซ์แลนด์ไม่ ‘เสพยา’ : พวกเขาแค่ไม่ว่าง และมีอะไรทำ

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • จะแก้ปัญหายาเสพติดในวัยรุ่น ก็จะต้องเข้าใจวัยรุ่นให้ลึกซึ้งถึงกระบวนการทำงานทางสมอง ถึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุจริงๆ
  • การป้องกันสารเสพติดจากวัยรุ่น ไม่สามารถทำได้แค่ในโรงเรียนเท่านั้น แต่ต้องร่วมมือจากหลายๆ หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ องค์กรด้านสาธารณสุข คริสตจักร ตำรวจ และหน่วยบริการทางสังคมที่เกี่ยวข้อง
  • การสร้างทางเลือกกิจกรรมที่หลากหลาย เป็นหนึ่งในวิธีสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นลดความเครียด และถอยห่างจากยาเสพติด

ปัจจุบันไอซ์แลนด์ถือเป็นประเทศที่มีเยาวชนปลอดสารเสพติดมากที่สุดในยุโรป ตัวเลขทางสถิติระบุว่า เด็กอายุ 15 และ 16 ปี ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ลดลงจาก ร้อยละ 42 ในปี 2541 เป็นร้อยละ 5 ในปี 2560 ส่วนเด็กที่ใช้กัญชาลดลงจากร้อยละ 17 เป็นร้อยละ 7 และเด็กที่สูบบุหรี่ทุกวันก็ลดลงจากร้อยละ 23 เป็นร้อยละ 3

ตัวเลขเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าไอซ์แลนด์มาถูกทางแล้วสำหรับการแก้ปัญหาการใช้สารเสพติดในหมู่วัยรุ่น เพราะกว่าจะได้วิธีการมา ต้องผ่านการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจสมองของเด็กให้ถ่องแท้ดังที่ ฮาร์วี่ มิลค์แมน (Harvey Milkman) ศาสตราจารย์ภาควิชาจิตวิทยาชาวอเมริกันในมหาวิทยาลัย Reykjavik กล่าวว่า

“นี่เป็นการศึกษาที่เข้มข้นและลึกซึ้งมากที่สุดเกี่ยวกับความเครียดในชีวิตของวัยรุ่นที่เคยเห็นมา”

วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของมิลค์แมนสรุปว่า สารเสพติดแต่ละชนิดถูกใช้เพื่อจัดการความเครียด แต่จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เช่น ผู้ใช้เฮโรอีนต้องการให้ตัวเองรู้สึกมึนงง ผู้ใช้แอมเฟตามีนต้องการเผชิญหน้ากับความเครียดอย่างจริงจัง เป็นต้น หลังจากงานวิจัยได้ตีพิมพ์แล้ว มิลค์แมนได้เป็นหนึ่งในกลุ่มนักวิจัยในสถาบันแห่งชาติของสหรัฐฯ หัวข้อ “การใช้ยาเสพติด” เพื่อหาคำตอบที่ว่า ทำไมคนเริ่มใช้ยาเสพติด? ทำไมพวกเขาใช้ต่อเนื่อง? เมื่อใดที่พวกเขาถึงเกณฑ์การละเมิด? พวกเขาจะหยุดเมื่อไหร่? และเมื่อไหร่ที่พวกเขากลับมาเป็นแบบเดิม?

ต่อมาปี 1992 ทีมงานของเขาในเดนเวอร์ (Denver) ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลมูลค่า 1.2 ล้านเหรียญเพื่อสร้างโครงการ Self Discovery โดยเน้นไปที่เด็กที่มีแนวโน้มเสพยาเสพติดและอาชญากรรมสูง แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด หรือก่อปัญหาอาชญากรรมก็ตาม ข้อมูลเหล่านี้ Milkman รวบรวมจากเด็ก ครู พยาบาลในโรงเรียนและอาจารย์ที่ปรึกษาของนักเรียน เพื่อให้พวกเขาเข้าสู่โปรแกรม Self Discovery

“พวกเราไม่ได้บอกเด็กกลุ่มนี้ว่าให้เข้ามารักษา แต่บอกเขาว่า เราจะมาสอนในสิ่งที่คุณสนใจและอยากเรียน ไม่ว่าจะเป็น ดนตรี เต้น ฮิปฮอป ศิลปะ ศิลปะการต่อสู้ เป็นต้น”

การมีตัวเลือกวิชาที่แตกต่างจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสารแคมีในสมองของเด็ก และให้พวกเขาได้เรียนรู้ในสิ่งที่สามารถเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้

เด็กที่เข้าร่วมโครงการบางคนอยู่สามเดือน หรือบางคนอยู่ถึงห้าปี จะถูกฝึกฝึกอบรมทักษะชีวิต เน้นการปรับปรุงความคิดเกี่ยวกับตัวเอง ชีวิต และวิธีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น “การให้ความรู้เด็กเรื่องยาเสพติดที่ผ่านมาไม่ได้ผล เนื่องจากไม่มีใครให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ฉะนั้นต้องทำให้เด็กมีทักษะชีวิตในการปฏิบัติตามโปรแกรมต่างๆ” Milkman กล่าว

ปี 1991 Milkman ได้รับเชิญจากไอซ์แลนด์เพื่อบรรยายผลการวิจัยและความคิดของเขา เขากลายเป็นที่ปรึกษาให้กับศูนย์บำบัดยาเสพติดท้องถิ่นเมือง Tindar และสร้างแนวทางการปฏิบัติให้กับคนในพื้นที่

จากภาคทฤษฎี สู่ภาคปฏิบัติ

ยกตัวอย่างเมือง เคานาส (Kaunas) ตั้งแต่ปี 2006 เมืองได้ทำแบบสำรวจห้าครั้งเพื่อสำรวจการใช้สารเสพติดของวัยรุ่น สร้างเครือข่ายให้โรงเรียน พ่อแม่ องค์กรด้านสาธารณสุข คริสตจักร ตำรวจ และหน่วยบริการทางสังคม ทั้งหมดร่วมมือกันปรับปรุงสวัสดิภาพเด็กและลดการใช้สารเสพติด เช่น พ่อแม่ได้รับสิทธิ์เข้ารับการอบรม 8-9 ครั้งต่อปี ให้เงินทุนเพิ่มเติมสำหรับสถาบันสาธารณสุขและ หน่วยงานเอกชนที่ทำงานส่งเสริมสุขภาพจิตและการจัดการความเครียด

ระหว่างปี 2006-2014 จำนวนเด็กอายุ 15 และ 16 ปีในเคานาสดื่มเหล้าลดลงประมาณ1 ใน 4 และสูบบุหรี่รายวันลดลงมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์

สำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ รัฐได้ระดมทุนสำหรับ การจัดกีฬา ดนตรี ศิลปะการเต้น และอื่น ๆ เพื่อให้เด็กทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และรู้สึกดีขึ้นมากกว่าการใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติด อย่างเมือง Reykjavik จะให้ครอบครัวละ 35,000 โครนา (ประมาณ 10,850 บาท) ต่อปี ต่อเด็กเพื่อจ่ายค่ากิจกรรมสันทนาการ

จากงานวิจัย และผลสำรวจเชิงลึกจำนวนมาก ซึ่งรวมไปถึงงานของ Milkman ถูกนำมารรวมกันและพัฒนาให้เป็นวาระแห่งชาติภายใต้ชื่อ “Youth in Iceland”

สืบเนื่องจาก Youth in Iceland กฎหมายเดิมก็ถูกปรับให้เข้มข้นขึ้น เช่น การซื้อบุหรี่ในวัยต่ำกว่า 18 ปี และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเป็นเรื่องผิดกฎหมาย การโฆษณายาสูบและแอลกอฮอล์ถูกห้ามทั้งหมด และสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและโรงเรียนเข้มแข็งขึ้นจากการกำหนดให้ผู้ปกครองเป็นสมาชิกสภาโรงเรียนด้วย และยังสนับสนุนให้พ่อแม่ใช้เวลาร่วมกับลูกเป็นประจำ ไม่ใช่แค่ตามโอกาสสำคัญเท่านั้น เพื่อพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของลูก เพื่อนของลูก และเพื่อให้ลูกไม่ออกไปไหนมาไหนตอนเย็นๆ เพราะกฎหมายห้ามเด็กที่อายุ 13 – 16 ปีออกนอกบ้านหลังจากเวลาสี่ทุ่มในช่วงฤดูหนาวและ เที่ยงคืนในช่วงฤดูร้อน

จากมาตราการดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จากข้อมูลทางสถิติปี 1997 และ 2012 เด็กอายุ 15-16 ปีใช้เวลากับพ่อแม่ในวันธรรมดาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากร้อยละ 23 เป็นร้อยละ 46 เล่นกีฬาอย่างน้อย 4 ครั้งต่อสัปดาห์ จาก 24 เปอร์เซ็นต์เป็น 42 เปอร์เซ็นต์

ตารางชีวิตแน่น จนไม่เหลือที่ให้ยาเสพติด

JónKonrád อายุ 21 ปีและ Birgir Ísar อายุ 15 ปี สองพี่น้องได้พูดคุยเกี่ยวกับการดื่มและสูบบุหรี่ Jón บอกว่าเขาและเพื่อนๆ ดื่นแอลกอฮอล์เป็นเรื่องปกติ แต่ Birgir บอกว่านึกไม่ออกเลยว่าใครในโรงเรียนที่สูบบุหรี่หรือดื่ม ส่วนเรื่องการเล่นกีฬา Birgir ฝึกฟุตบอล 5-6 ครั้งต่อสัปดาห์ Jón ฝึก 5 ครั้งต่อสัปดาห์ พวกเขาทั้งคู่เริ่มฝึกซ้อมหลังเลิกเรียนเมื่ออายุ 6 ขวบ

พ่อของ Jón และ Birgir บอกว่า “เรามีอุปกรณ์กีฬาทั้งหมดที่บ้าน ก่อนหน้านี้เราเคยพยายามให้เขาเล่นดนตรี แล้วก็เคยให้เขาฝึกขี่ม้า แม้ว่าภรรยาของผมจะเก่งเรื่องขี่ม้า แต่ก็ไม่สามารถให้พวกเขาสนใจได้ แล้วท้ายที่สุดพวกเขาก็เลือกเล่นฟุตบอล”

เมื่อถามเด็กทั้งสองว่า เคยรู้สึกว่าซ้อมหนักเกินไปไหม มีแรงกดดันจากการฝึกหรือไม่ Birgir ตอบว่า “ไม่เลย เราสนุกกับการเล่นฟุตบอล” ส่วน Jón กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราพยายามเล่นให้ชิน และทำมันต่อไปเรื่อยๆ”

แต่ก็ใช่ว่าทั้งสองจะเล่นแต่ฟุตบอล เพราะว่าพ่อแม่ก็พาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นด้วย เช่นพาไปดูภาพยนตร์ กินข้าวที่ร้านอาหาร เดินป่า ตกปลา สังสรรค์ภายในครอบครัว เพื่อให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมที่หลากหลาย และให้รู้สึกสนุก ผ่อนคลาย ไม่เครียด

การสร้างทางเลือกให้กับเด็ก ทำให้เด็กสามารถเลือกทำในสิ่งที่เขามีความสุขจริงๆ เขาได้เรียนรู้ว่าอะไรที่เขาชอบหรือไม่ชอบ ไม่บังคับให้เด็กอยู่ในกรอบไม่กี่กรอบ เพราะจะทำให้เด็กเกิดความเครียดได้ง่าย และอาจจะนำไปสู่การใช้สารเสพติด ไม่ว่าจะเป็น บุหรี่ เหล้า กัญชา ยาบ้า เป็นต้น

แต่เมื่อไหร่ที่เขามีความสุขในสิ่งที่ทำ กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้น เมื่อให้ความรู้เรื่องยาเสพติด เด็กก็จะสามารถเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งที่เขาจะทำในอนาคต ดังนั้นถ้าผู้ใหญ่เข้าใจกระบวนการทำงานสมองของเด็ก ก็จะรู้ว่าที่เด็กเสพยา ไม่ใช่เพราะดื้อ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี แต่เพราะสารเคมีในสมองเขาเขาต่างหาก

ที่มา: https://www.theatlantic.com

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกพ่อแม่ครูวัยรุ่น

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Everyone can be an Educator
    “เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

คาแรกเตอร์ดี ลูกมีได้ ไม่ต้องจ่าย เรียนได้กับพ่อแม่
Character building
3 August 2018

คาแรกเตอร์ดี ลูกมีได้ ไม่ต้องจ่าย เรียนได้กับพ่อแม่

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ช่วง 0-7 ปี ไม่ต้องส่งลูกออกไปเรียน เรียน และเรียน

ถ้าอยากให้ลูกมีนิสัย เห็นอกเห็นใจ มีวินัย สนใจใคร่รู้ พ่อแม่ควรทำให้เห็น  (เพราะช่วงวัยนี้เรียนรู้จากการเลียนแบบ) และสร้างได้ง่ายๆ ผ่านกิจกรรมในบ้าน สม่ำเสมอ ตลอดช่วงวัย เช่น กอด เล่น เล่านิทาน  ให้ช่วยงานบ้าน เขาจะเรียนรู้การช่วยเหลือตัวเอง

กระบวนการนี้เราเรียกว่า Character Building

1

2

3

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

CQ: CURIOSITY QUOTIENT ความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การเรียนรู้และอยู่รอด
Character building
2 August 2018

CQ: CURIOSITY QUOTIENT ความอยากรู้อยากเห็นที่นำไปสู่การเรียนรู้และอยู่รอด

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • “อันนั้นคืออะไรคะ” “ทำไมอันนี้ต้องเป็นอย่างนี้ครับ” คำถามซ้ำๆ หลายๆ รอบของลูก พ่อแม่อาจมองว่าน่ารำคาญแต่ถ้าเข้าใจลูกสักนิด ก็จะรู้ว่าเด็กๆ กำลังเรียนรู้
  • ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ หรือ CQ เป็นคุณลักษณะที่มีคุณค่ามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่วยสร้างความมั่นใจและลดความกลัวจากการไม่รู้ 
  • โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยข้อมูลมากมายและง่ายดาย แต่จะตัดทอนปฏิสัมพันธ์ในชีวิตจริงออกไป ถ้าพ่อแม่ คุณครูอดทน และพาเด็กไปค้นหาคำตอบด้วยตัวเด็กเอง เขาจะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความมั่นใจและรักการเรียนรู้

โลกยุคปัจจุบัน การหาคำตอบให้กับสิ่งที่สงสัยทำได้ง่ายเหลือเกิน เรามีอินเทอร์เน็ตเป็นคลังความรู้ขนาดใหญ่ของมวลมนุษยชาติ ข้อมูลที่เชื่อถือได้ทุกแขนงสามารถสืบเสาะได้ง่ายนิดเดียวหากรู้จักกลั่นกรองหาข้อเท็จจริง นั่นเป็นวิวัฒนาการที่ดีที่เกิดขึ้น เราไม่จำเป็นต้องออกไปถามหาจากครู อาจารย์ หรือผู้รู้ แต่อีกด้านหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ถูกบั่นทอนลงไป

เราใช้เวลาสื่อสารกับวัตถุอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ระบบตอบโต้ด้วยเสียงใน iPhone อย่าง ‘Siri’ หรือ ใน Amazon TV อย่าง ‘Alexa’ นับไปนับมาเราให้เวลาอยู่กับวัตถุพวกนี้มากกว่าคนรอบตัวเสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองมองข้ามไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงดูลูกที่จะเติบโตขึ้นมาในเจเนอเรชั่นที่รอบตัวเต็มไปด้วยวัตถุดึงดูดความสนใจแบบนี้

โทมัส ชาโมร์โร-พรีมูซิค (Tomas Chamorro-Premuzic) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาธุรกิจ University College London และ Columbia University รวมทั้งเป็นคณะทำงาน Harvard’s Entrepreneurial Finance Lab เขียนบทความเรื่อง ‘Curiosity is as Important as Intelligence’ หรือ ‘ความสงสัยใคร่รู้สำคัญเท่ากับความฉลาด’ ตีพิมพ์ใน Harvard Business Review นิตยสารที่มีความน่าเชื่อถือและมีชื่อเสียง จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดว่า มีคุณลักษณะทางจิตวิทยาที่สำคัญ 3 อย่างที่ช่วยให้มนุษย์อยู่รอดในสังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ นี้ได้ ได้แก่

ไอคิว (IQ: Intellectual Quotient) ความฉลาดทางปัญญา ยกตัวอย่างเช่น การเรียนรู้จากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลที่เสาะหามาได้

อีคิว (EQ: Emotional Quotient) ความฉลาดทางอารมณ์ คือ ความสามารถในการควบคุมและแสดงออกทางอารมณ์ สองอย่างแรกเป็นคุณลักษณะที่ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ

ซีคิว (CQ: Curiosity Quotient) ความอยากรู้อยากเห็น ที่เปิดโอกาสให้ตัวเองเรียนรู้จากผู้อื่นและโลกภายนอก

ชาโมร์โร-พรีมูซิค บอกว่า คนที่มีซีคิวสูงเป็นคนชอบถามคำถาม ชอบพูดคุยเพื่อสร้างสัมพันธ์กับผู้คน ชอบเปิดประสบการณ์ใหม่ เห็นความแปลกใหม่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เลยเบื่อง่ายหากต้องทำอะไรซ้ำซากจำเจ ทำให้ชอบคิด มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถคิดแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนได้ แตกต่างจากไอคิวที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเรียนรู้ การทำความเข้าใจองค์ความรู้และหลักการต่างๆ แต่ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คน

แล้วผู้ปกครองจะช่วยสร้างซีคิวให้ลูกได้อย่างไร?

การเลี้ยงดูให้เด็กเติบโตขึ้นมาโดยไม่ถูกปิดกั้นความคิด…ช่วยได้  

วิธีการแสดงออกถึงความสงสัยใคร่รู้อย่างหนึ่งของเด็ก คือ ‘การตั้งคำถาม’ โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู การถามซึ่งๆ หน้าหรือตัวต่อตัว นอกจากทำให้ได้รับความรู้ใหม่ที่ตอบข้อข้องใจแล้ว ยังช่วยให้เข้าใจผู้อื่นมากขึ้น เพราะต้อง ‘ฟัง’ ความคิดเห็นหรือเหตุผลของผู้อื่น

ความเข้าใจนี้ทำให้เราสร้างสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ไม่ยาก และยังทำให้ความสัมพันธ์ที่มีอยู่สนิทสนมใกล้ชิดกันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เราอยู่กับสภาพแวดล้อมที่พร้อมมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้ามากำจัดความสงสัยใคร่รู้ของเราอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่ต้องพึงระวัง เช่น พ่อแม่มักรู้สึกรำคาญหรือขี้เกียจตอบคำถาม เมื่อลูกถามเยอะ ถามไม่หยุด โรงเรียนเข้มงวดให้เด็กทำตามระเบียบ เชื่อฟังครูมากกว่าเปิดโอกาสให้นักเรียนพูดคุยสอบถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทำให้นักเรียนไม่กล้ายกมือถามหรือแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียน เพราะกลัวถามออกไปแล้วครูบอกว่าผิด กลัวถามคำถามโง่ๆ หรือกลัวถามไปแล้วโดนดุ เป็นต้น

ดังนั้น ความสงสัยใคร่รู้ จึงเป็นคุณลักษณะที่มีคุณค่า และควรค่าแก่การปลูกฝังและดูแลให้เกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก เพื่อสร้างความมั่นใจและลดความกลัวจากการไม่รู้ ดังที่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า

“I have no special talents. I am only passionately curious.”

“ฉันไม่มีพรสวรรค์พิเศษ ฉันมีแต่ความอยากรู้อยากเห็น”

อยากส่งเสริมให้ลูกเป็นคนช่างสงสัย พ่อแม่ควรเริ่มจากตรงไหนดี?

จูลี สคาเกล (Julie Scagell) นักเขียน ถ่ายทอดประสบการณ์การเลี้ยงลูกของตัวเองลงในคอลัมน์ On Parenting หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ถึง 5 วิธีเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กที่มีความสนใจใคร่รู้ว่า

หนึ่ง คำถามสั้นๆ เมื่อเด็กเริ่มพูดได้ เช่น “อะไร อะไร?” หรือแม้แต่คำถามตลอด 10 นาทีระหว่างทางขับรถ เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องใส่ใจ แต่เคล็ดไม่ลับที่สคาเกล บอกไว้อย่างแรกคือ อย่าเพิ่งตอบคำถามในทันที แต่ควรแนะนำช่องทางหรือวิธีการให้ลูกหาคำตอบด้วยตัวเองอย่างเหมาะสมตามอายุ เช่น ให้เข้าห้องสมุด ให้ไปสอบถามจากผู้รู้ ใช้อินเทอร์เน็ต หรือดูสารคดีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำถาม

สอง ตอบคำถามด้วยคำถาม ครั้งหนึ่งลูกชายของเธอ ถามขึ้นว่า “เถ้าจากภูเขาไฟเผาไหม้มนุษย์อย่างเราได้ไหม?”

“แล้วลูกคิดว่าได้ไหม” สคาเกล ถามกลับ

“ผมคิดว่าได้ เราไม่ควรสร้างบ้านใกล้ภูเขาไฟ เว้นเสียแต่ว่าเราจะมีพลาสเตอร์ปิดแผลกล่องใหญ่ๆ อยู่ในบ้าน” ลูกชายตอบ ซึ่งเป็นคำตอบที่เธอมองว่าสมเหตุสมผลตามช่วงวัยของลูกชาย

สาม เปลี่ยนเรื่องเล่าก่อนนอน เปลี่ยนพล็อตเรื่อง สลับตัวละครหรือสลับเหตุการณ์ แล้วถามความคิดเห็น เพื่อให้ลูกจินตนาการเรื่องราวหรือตอนจบด้วยตัวเอง

สี่ การจะได้อีกสิ่งหนึ่งต้องทำสิ่งหนึ่งเพื่อการเรียนรู้ ยกตัวอย่าง หากลูกขอค่าขนมเพิ่มสำหรับซื้อเสื้อผ้า ขอนอนตื่นสายหรือนอนดึกกว่าเดิม ให้โจทย์ลูกไปสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วให้ลองวิเคราะห์ว่า คุณลักษณะอะไรทำให้พวกเขามีชีวิตแบบนั้น เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ เส้นทางการเติบโตในชีวิตด้วยตัวเอง

ห้า เล่นเกม “อยากเป็นหรือทำอะไร ระหว่าง…กับ…?” เช่น อยากเป็นอะไรระหว่างสไปเดอร์แมนกับแบทแมน? อยากนอนอยู่ท่ามกลางฝนหรือหิมะที่กำลังตกลงมา? อยากอาศัยอยู่ในประเทศที่หนาวหรือร้อน? แล้วถามหาเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกคำตอบนี้ เพื่อให้ลูกได้ฝึกทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล

ไม่ว่าโลกใบนี้จะมีความซับซ้อนมากขนาดไหน ถ้าเรามีคุณลักษณะที่เหมาะต่อการใช้ชีวิตในแต่ยุคสมัย หรือในแต่ละช่วงเวลา ความซับซ้อนก็กลายเป็นความเรียบง่ายได้ พ่อแม่สามารถเปลี่ยนชั่วโมงคำถามของลูกให้เป็นความสนุกสนานเหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่นได้หากรู้วิธีการ

การเปลี่ยนความกลัวของลูกให้เป็นความกล้า ทำให้ได้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ แถมยังทำให้การตอบคำถามแบบ non-stop กลายเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายสำหรับผู้ปกครองมากกว่ามาหงุดหงิด หรือรำคาญใจเมื่อไร้คำตอบ ที่สำคัญเป็นการเปิดพื้นที่ให้ความสนใจใคร่รู้ของลูกได้เติบโต เพื่อเสริมสร้างทักษะด้านอื่นๆ ในชีวิตต่อไป

ที่มา: Curiosity Is as Important as Intelligence
“Let’s Find Out!”: Three Tips for Raising Curious Kids
Curiosity is the number one trait of awesome people
Five ways parents can encourage kids to be curious

Tags:

ความสงสัยใคร่รู้(Curiosity)คาแรกเตอร์(character building)21st Century skills

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Grit
    S.M.A.R.T GOAL ตั้งเป้าหมายให้ชัด ใกล้ ใช่ และจริง – ไม่ล้มเหลวแน่นอน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    เรากลายเป็นคนที่ ‘ไม่ตั้งคำถาม’ ไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    เลี้ยงลูกด้วยจุดแข็ง อย่าเสียเวลาไปกับข้อผิดพลาด นี่แหละพ่อแม่สายสตรอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

สื่อการเรียนมัดใจพี่ปอสอง ของ ครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์
Unique Teacher
1 August 2018

สื่อการเรียนมัดใจพี่ปอสอง ของ ครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • ครูน้ำนิ่ง แต่นักเรียนห้ามนิ่ง เพราะการที่นักเรียนนั่งนิ่ง ไม่ได้แปลว่าเรียบร้อย หรือเข้าใจเนื้อหา แต่อาจจะเบื่อและไม่อยากมีส่วนร่วมในห้องเรียน จึงเป็นหน้าที่ของครูน้ำนิ่ง ที่จะต้องสร้างบรรยากาศในห้องเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก
  • สื่อการสอนเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้เด็กๆ เปิดรับความรู้และสร้างสรรค์จินตนาการได้อย่างไม่สิ้นสุด
  • “Once a Teacher, Always a Teacher เมื่อได้เป็นครูสักครั้งแล้ว ก็จะเป็นครูตลอดไป” คงจะไม่ต่างกับครูน้ำนิ่ง ที่นอกจากเธอไม่สามารถละทิ้งความเป็นครูไปได้ เธอยังทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้นักเรียนมีความสุขกับการมาโรงเรียนทุกวัน
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อน เมื่อ ด.ญ.ณัฎฐา จบการศึกษาชั้น ป.6 จากโรงเรียนบ้านโชกเหนือ อำเภอลำดวน จังหวัดสุรินทร์ จากนั้นก็ไปต่อชั้นมัธยมในจังหวัด และสามารถสอบได้ทุนโครงการเพชรในตม เข้าศึกษาต่อคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อกลับมาโรงเรียนบ้านโชกเหนืออีกครั้ง ในฐานะ คุณครูณัฎฐา ถมปัทม์ หรือ คุณครูน้ำนิ่ง ของเด็กๆ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

ชีวิตที่วนเป็นวงกลมอย่างนี้ เป็นสิ่งที่คุณครูน้ำนิ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อน แต่พอได้ลองสวมเครื่องแบบคุณครูจริงๆ สิ่งที่ค่อยๆ เกิดขึ้นคือความรักในอาชีพ ประกอบกับเป็นโรงเรียนเก่าในบ้านเกิด เด็กๆ อ่านออกเขียนได้มีน้อยกว่าที่ควร ทั้งหมดกลายเป็นแรงฮึดให้ครูน้ำนิ่งตัดสินใจลุกขึ้นมาทำสื่อการเรียนการสอนเอง และเผยแพร่เผื่อแผ่ครูคนอื่นผ่านเพจเฟซบุ๊ค “บันทึกพี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง”

แล้วทำไมเราต้องดั้นด้นมาถึงจังหวัดสุรินทร์เพื่อมาดูสื่อการสอนของคุณครูน้ำนิ่ง?

ก็เพราะ…สื่อการสอนของครู ทำให้เด็กๆ มีความสุข สนุก อ่านออกเขียนได้ และอยากไปโรงเรียนทุกๆ วัน

อะไรทำให้คุณครูรู้สึกว่า ต้องลุกขึ้นมาทำสื่อการเรียนการสอนเองแล้ว

ช่วงแรกๆ ก็สอนไปตามหนังสือ ตามบทเรียนไปเรื่อยๆ ก็อยากทำให้มันดีกว่านี้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง เรารู้สึกท้อว่าทำไมเด็กต้องอิดออด ทำไมเด็กดูไม่สนุก เหมือนเราพยายามเข็นอะไรสักอย่าง พอผลักแล้วมันไม่ไป เลยรู้สึกท้อและเหนื่อยมาก แต่พอเข้าร่วมโครงการ เราได้เห็นทิศใหม่ๆ บวกกับหลักการสอนที่เติมเต็มให้เรา

สองปีแรกยังผลิตสื่อน้อยอยู่ เพราะเรียนต่อปริญญาโท เพิ่งมาทำสื่อการสอนแบบจริงจังเมื่อปีที่แล้ว ผลิตเยอะมาก รู้สึกมีความสุข พอทำแล้วมันตรงใจเรา ทำง่าย เรารู้ว่า สื่อนี้ใช้ยังไง เพราะว่าเราสร้างเอง แล้วก็ภูมิใจ

ปริญญาตรีเอกประถมศึกษาที่จบมา จะเหมือนเป็ด บินได้นิดหน่อย ว่ายน้ำได้ อาจไม่ชำนาญในด้านต่างๆ อย่างลงลึก เมื่อเข้าเรียนรู้ในโครงการผู้นำเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน (SCB Connext ED) ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ดูแล และเลือกเข้าโมดูลพัฒนาศักยภาพครู ยกระดับคุณภาพวิชาการ: อ่านออกเขียนได้ ได้จุดประกายเราว่าถึงเราจะเป็นเป็ด เราก็ต้องเป็นเป็ดที่ดีมีคุณภาพ เราเลยต้องเปลี่ยนตัวเองใหม่ ต้องคิดว่าเราทำได้ พอเราได้ไฟจากตรงนั้น ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเลย

ได้ไอเดียการทำสื่อมาจากไหน

ไอเดียส่วนใหญ่จะได้มาจากกลุ่มเฟซบุ๊คกลุ่มครูที่แชร์สื่อซึ่งผลิตขึ้นมาเองเพื่อใช้ในห้องเรียนของเขา เราก็จะไปเอาจากตรงนั้นมาแบ่งปัน บางทีก็เอามาเพื่อเป็นแนวทางที่จะผลิตเอง จากนั้นก็จะกลับมาดูที่เนื้อหา เช่นถ้าเราจะสอนสักเรื่องหนึ่งแล้วอยากให้เด็กรู้คำศัพท์ เราก็คิดว่าจะทำยังไงให้สนุกกับเนื้อหา เด็กๆ จะชอบเกมง่ายๆ เกมจับคู่ เกมเขียน เกมอ่าน เกมที่มีการแข่งขันเด็กจะชอบมาก เราก็เลยเอาเนื้อหาไปใส่ในเกม เด็กก็จะสนุก

การออกแบบสื่อ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงคือเนื้อหาจะต้องได้ ไม่ใช่เล่นให้สนุกอย่างเดียว ต่อให้สนุกแค่ไหน แต่เนื้อหาคุณไม่มีกรอบเลย ไม่มีคอนเซ็ปต์ มันก็ไม่เกิดประโยชน์

นอกจากสื่อแล้ว การสร้างพื้นที่การเรียนรู้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ในห้องเรียนจะจัดมุมนิทานไว้ให้เขา เราได้รับบริจาคจาก SCB ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูน้ำนิ่งอยากได้มาก แต่ไม่มีงบประมาณหรือเวลาที่จะไปซื้อ พอได้มาเราก็เริ่มเปลี่ยนห้อง พยายามเอาความรู้ไว้ตามชั้นตามมุมต่างๆ เด็กสามารถหยิบมาเล่นได้ แล้วก็พยายามหากิจกรรมให้เขาเรียนรู้ ไม่จำกัดความคิด ส่งเสริมจินตนาการให้เขาได้คิด

เวลาที่ต้องสอนวิชาที่น่าเบื่อ (สำหรับเด็กๆ) ครูน้ำนิ่งมีวิธีการทำสื่อ หรือว่าอะไรก็ได้ที่ทำให้เด็กรู้สึกสนุกกับวิชานั้นๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างวิชาพระพุทธศาสนา เด็กจะได้ยินเรื่องพระพุทธเจ้าจากการ์ตูนเป็นส่วนใหญ่ พอต้องมาสอนเราอาจจะใช้คำพูดที่ง่ายขึ้น เช่น เรื่องประวัติพระพุทธเจ้าจะเรียกชื่อพระนางพระสิริมหามายา หรือพระนางโคตชาบดี ก็จะยากไป บางทีเราจะสร้างตัวละครขึ้นมาเป็นนิทาน หรือให้เด็กทำเป็น Mind Mapping เป็นแผนผัง ว่าพระพุทธเจ้าประสูติตรงนี้ ตรัสรู้ตรงนี้ แตกออกไปเรื่อยๆ ตามเรื่องราวที่เขาจำเป็นนิทาน เหมือนเด็กวัยนี้เขาจะจำเป็นนิทาน ในสัปดาห์หนึ่งอย่างน้อย 3 วัน ครูจะเล่าตอนที่เขานั่งสมาธิ เราจะไม่เฉลยตอนจบ แต่เราจะถามเขาว่า ถ้าหนูเป็นคนนี้จะทำอย่างนี้ไหม คืออยากรู้ว่าเขาคิดยังไง แล้วทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ อย่างเช่นนิทานเรื่อง ‘มดกับตั๊กแตน’

มดจะขยัน เก็บเสบียงเป็นอาหาร ส่วนตั๊กแตนก็จะร้องเพลงเรื่อยไป ไม่รีบ เพราะอีกตั้งนานกว่าฤดูฝนจะมา สุดท้ายตอนจบของเรื่องคือ ตั๊กแตนไม่ได้อาหาร เพราะมดบอกว่า เจ้าไม่หาเอง ไม่มีความรับผิดชอบ แต่เราอยากรู้ว่า ตอนจบเด็กจะให้อาหารกับตั๊กแตนมั้ย ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ก็น่ารัก สงสาร และบอกว่าเลือกที่จะให้อาหารแก่ตั๊กแตน

ในแง่การเรียนรู้ของนักเรียน ถ้าเปรียบเทียบกับการสอนทั่วไปในตอนแรกกับตอนนี้ที่ใช้สื่อเข้ามาช่วย ต่างกันอย่างไรบ้าง

เด็กอ่านออกมากขึ้น จากเมื่อก่อนสมมุติเด็กมี 20 คน เด็กอ่านได้ฉะฉานชัดเจนได้จริงๆ จะไม่ถึงครึ่ง แต่พอมีสื่อเข้ามาช่วย มันเกินครึ่งห้อง ถ้าเปรียบเทียบภายในเทอมแรก เปลี่ยนแปลงน้อยมาก แต่พอเข้าเทอมสอง เริ่มดีขึ้นมาก สามเดือนแรกก็เห็นผลแล้วค่ะ คือไม่ใช่เด็กเราจะเก่ง เป็นเลิศ แต่เราเห็นพัฒนาการของเขา มันก้าวไปเรื่อยๆ

หนึ่ง เด็กมีความสุข สองเด็กมีความเข้าใจเนื้อหาที่เราสอนแล้วเด็กมีความสุข คือ เรื่องการอ่านออกเขียนได้นี่เป็นปัญหาระดับชาติมาก การที่เด็กอ่านออกเขียนได้ยังไงก็ส่งผลต่อวิชาอื่นแน่ๆ ขอให้เด็กได้อ่านออกเขียนได้แล้วเราก็ค่อยไปฝึกทักษะอื่นๆ ไม่ว่าทักษะการคิด หรือ อะไรของเขาก็จะตามมาด้วย

ในแง่ของการวัดผล สื่อการสอนที่ผลิตขึ้นมาส่งผลต่อการเรียนอย่างไรบ้าง

จากการวัดผลเด็กเมื่อปีที่แล้ว ถ้าวัดผลด้วยคะแนนข้อสอบเด็กส่วนใหญ่ทำข้อสอบได้ ผลการสอบของเป็นที่น่าพอใจ การเขียนของเขาดีขึ้น โดยเฉพาะการเขียนเล่าเรื่องจากจินตนาการ ส่วนใหญ่เป็นแบบแต่งประโยคหลายบรรทัด เขาเริ่มเขียนบรรยาย แม้จะไม่สละสลวย แต่เราเห็นว่าเขามีพัฒนาการ จากตอนแรกเด็กอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านได้แค่ประโยคสั้นๆ เท่านั้น

ส่วนเด็กที่จบจากครูนิ่งไป เราจะสอบถามครูที่ประจำชั้นต่อคือครูประจำชั้น ป.3 ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ตรงไหนที่เด็กไม่แน่น ยังไม่ได้ ครู ป.3 จะให้ feedback กลับมาดีมาก อย่างเช่น เด็กยังไม่ได้เรื่องนี้ เด็กยังอ่อนเรื่องนี้ เราก็จะมากลับมาปรับปรุง วางแผนว่าเราจะสอนเรื่องนี้ให้แน่น ปัจจุบันเราก็ปรับปรุงให้ดีขึ้น ครูบางท่านเคยสอนเด็กคนนี้มาตั้งแต่ ป.1 แล้วมาสอน ป.2 เขาก็ชมว่า เด็กดีขึ้นนะ กล้าตอบ เมื่อก่อนไม่เคยกล้าตอบ

ในมุมมองของครู เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเด็กจากวันแรกจนถึงตอนนี้อย่างไรบ้าง

เด็กสนุก มีรอยยิ้ม ‘ครูขาวันนี้ทำอะไร ครูขาหนูอยากทำอันนี้’ เด็กจะถามตลอด วันนี้เรียนเรื่องอะไรคะ เมื่อวานแพ้ขอแก้มือ คือเขาจะสนใจในการเรียนของเราตลอด จากเดิมไม่เคยไต่ถามอะไร บรรยากาศก็จะเงียบๆ ไม่ค่อยกระตือรือร้นด้านการเรียน หรือเนื้อหา บางทีมีผู้ปกครองที่เล่นเฟซบุ๊ค เขาก็จะบอกว่า เนี่ย น้องพิ้งค์มาอ่านหนังสือให้คุณยายฟังทุกวันเลย จากที่แต่ก่อนอ่านหนังสือไม่คล่อง (ยิ้ม)

อย่าง ป.2 รุ่นนี้ชัดมากๆ มีผู้ชาย 16 คน มีผู้หญิงแค่ 5 แล้วด้วยความที่เด็กผู้ชายซนๆ 16 คน มาอยู่รวมกัน ปวดหัว เครียดมากเลย จะทำอย่างไรให้เด็กผู้ชายพร้อมที่จะเรียนรู้ เพราะว่าเขาชอบเล่นต่อสู้ ต่อยตี ซึ่งเป็นเรื่องที่จัดการยากมากสำหรับครูนิ่งเพราะไม่ใช่คนดุมาก ก็กลับมาคิดว่าเด็กชอบอะไร เลยต้องเริ่มสังเกตว่าเด็กชอบเล่นอะไร แล้วจะใช้การเสริมแรงเข้ามาช่วย เช่น ให้ดาว สติกเกอร์ที่ออกแนวผู้ชายๆ เยอะหน่อย

สื่อก็ต้องทำ งานครูก็เยอะ ต้องไปประชุม ไหนจะสัมมนาอีก คุณครูแบ่งเวลาอย่างไร

สื่อส่วนใหญ่ครูจะทำที่บ้าน สื่อบางอย่างเด็กช่วยเราได้มาก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงเพราะเขามีความละเอียดอ่อนมากกว่า อย่างสื่อที่เห็นเราจะใช้ลังนม ปรินท์กระดาษออกมาแล้วเอามาทาบกับกระดาษลังจากนั้นตัดตามรูป เด็กอาจจะยังตัดไม่สวย ครูก็ตัดเป็นแบบให้ เด็กช่วยทากาวแปะ พับกระดาษลังตามแบบ

เด็กมีส่วนช่วยในการผลิตสื่อ ซึ่งคุณครูไม่จำเป็นต้องทำเองทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นเด็กแค่ ป.2 แต่เขาช่วยได้ พอเอามาใช้ ‘อันนี้เขาตัดนะ อันนี้ของเขา’ เขาก็จะมีความภูมิใจในสื่อที่เขาทำ

ส่วนเวลาการทำงานก็ต้องแบ่งให้ดี ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับคุณครูหลายคน บอกว่าอยากอยู่โรงเรียน อยากอยู่กับห้อง อยากอยู่กับเด็ก แต่ประชุม สัมมนาทุกอาทิตย์ไม่มีเวลาว่างอื่นเลย เขาอยากทำนะ แต่เวลาของเขาถูกเบียดเบียนด้วยเอกสาร ถูกเบียดเบียนด้วยการประเมิน แต่พอเราสร้างสื่อแล้วแชร์ให้ครูคนอื่นๆ นำไปใช้ เขาก็บอกว่าขอบคุณ อย่างน้อยเขาก็ได้ปรินท์ไปใช้โดยที่ไม่ต้องเสียเวลามาก เหมือนเป็นการช่วยอีกแรง

ครูแต่ละคนก็หน้าที่เยอะแตกต่างกันไป พอเรามาช่วยตรงนี้ ทำให้เขารู้สึกว่า มีเพื่อนผู้ร่วมอาชีพที่ต้องการแบบนี้เหมือนกัน มันสะดวกขึ้น เขาก็ไม่ต้องมาคิดใหม่ เพราะเวลาเหล่านั้นถูกบั่นทอนไปด้วยงานเอกสาร และงานประเมินทั้งหลายไปหมดแล้ว

เป็นครูเหนื่อยไหม

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ครูนิ่งเคยเขียนย้าย ตอนนั้นมันเหมือนกับเกิดความรู้สึกท้อ ไม่ใช่เพราะนักเรียน แต่เป็นปัญหาภายนอก เลยคิดว่า ‘ย้ายโรงเรียนดีมั้ยเหนื่อยจังเลย’ ตอนเขียนก็ไม่ได้กะจะย้ายจริงๆ หรอก เหมือนบางทีก็ประชด ขอเขียนหน่อยเหอะ พอเขียนไป ผู้ปกครองทราบเขาก็มาถามว่า “ครูจะย้ายจริงเหรอ อยู่นี่แหละ อยู่สอนนักเรียนต่อ” เหมือนเขาอยากให้เราได้อยู่สอนต่อ บางคนมีพี่น้อง เราสอนคนพี่ไปแล้ว ก็อยากให้อยู่สอนน้องต่อ เพราะเขาประทับใจที่เราสอนลูกคนโตเขา

แต่สิ่งที่สำคัญที่ทำให้ครูนิ่งไม่ไปไหน ก็คือนักเรียน เด็กเป็นทั้งหมดของครูนิ่งจริงๆ คนอาจจะมองว่า ครูนิ่งยังโสดไง ครูนิ่งยังไม่มีภาระเลยทำได้ บางคนอาจจะคิดอย่างนี้ แล้วถ้าสมมุติว่าวันหนึ่งแต่งงานมีครอบครัว มีลูก ยังจะขยันแบบนี้อยู่ไหม ก็เลยคิดว่า ไม่รู้ว่าจะภาระรับผิดชอบจะเป็นอย่างไร แต่ก็จะไม่ทิ้งสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้แน่นอน

หมายเหตุ: ติดตามเพจคุณครูน้ำนิ่งได้ที่นี่ค่ะ บันทึกพี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง 

Tags:

พัฒนาการครูระบบการศึกษาเทคนิคการสอนครูน้ำนิ่ง ณัฎฐา ถมปัทม์ความบกพร่องทางการเรียนรู้(Learning Disabilities)

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Education trend
    สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Unique Teacher
    พี่ปอสอง ห้องครูน้ำนิ่ง: เมื่อเด็กอ่านไม่ออก และครูเบื่อห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel