Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: August 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน
EF (executive function)
20 August 2018

อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทาน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เราเคยมีคำว่า ‘อ่าน เขียน เรียนเลข’ เป็นความรู้พื้นฐานด้านการศึกษา เป็นสามเรื่องแรกของระบบโรงเรียนที่เด็กทุกคนต้องทำได้ สมัยก่อนทำได้เมื่อประถม 1 คือ 7 ขวบ ว่ากันว่าปัจจุบันเด็กๆ ถูกคาดหวังให้ทำได้ตั้งแต่ปฐมวัยคือ 4-6 ขวบ

อ่าน เขียน เรียนเลข สำคัญ แต่ที่สำคัญมากกว่าคือ อ่าน เล่น ทำงาน

อ่าน เล่น ทำงาน มีประโยชน์คือสร้างสิ่งที่เรียกว่า Executive Function (EF) ปัจจุบันมีนิยามของ EF มากกว่า 30 แบบปรากฏตามตำราต่างๆ แต่ที่สั้น ง่าย ชัด เป็นของ รศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร จากที่ประชุมจัดการความรู้เรื่อง EF ของรักลูกกรุ๊ป ดังนี้

EF คือความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

อธิบายว่าเด็กสมัยใหม่ควรมีความสามารถกำหนดเป้าหมายและไปให้ถึง มิใช่เรียนหนังสือโดยไร้เป้าหมาย หรือต่อให้มีเป้าหมายแต่ทำได้เพียงแค่ฝันหวานแล้วไปไม่ถึง

อ่าน เล่น ทำงาน คือ 3 วิธีพื้นฐานสร้าง EF

อ่าน เล่น ทำงาน จะช่วยเตรียมความพร้อมของโครงสร้างสมองให้พร้อมสำหรับมี EF ในวันหน้า

งานวิจัย EF สมัยใหม่ทั้งหมดวัด EF ได้เมื่ออายุประมาณ 4 ขวบ ไม่สามารถวัดได้ที่อายุน้อยกว่านี้ นั่นแปลว่าอาจจะไม่มี EF ก่อนหน้านั้น ถึงมีก็น้อยเสียจนวัดไม่ได้ ตำราบางเล่มเรียกว่า proto-EF

เนื่องจาก EF เริ่มต้นด้วยการควบคุมตัวเอง (self control) บางตำราใช้คำว่ากำกับตัวเอง (self regulation) ดังนั้นจึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ตัวเอง’ ก่อน

ตัวเอง หรือ ตัวตน มาจากคำศัพท์ว่า self เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องของจิตใจ (Theory of Mind) กับความรู้เรื่อง EF ไม่มีตัวตนก็จะไม่มีฐานราก ไม่มีชานชาลา ไม่มีแผ่นหินให้ EF ตั้งอยู่

เด็กๆ จะสร้างตัวตนได้อย่างไร? คำตอบคือสร้างแม่ก่อน

อ่านนิทานก่อนนอนเป็นวิธีสร้างแม่ที่ได้ผลและง่าย ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่ายุคสมัยใหม่ในประเทศที่ไม่มีรัฐสวัสดิการ พ่อแม่จำนวนมากมายต้องทำงาน หาเงิน ไปจนถึงปากกัดตีนถีบ กลับบ้านค่ำ และหลายครัวเรือนที่ไม่กลับบ้านเลย จำเป็นต้องฝากเด็กเล็กไว้กับปู่ย่าตายาย ญาติ หรือแม้กระทั่งจ้างเพื่อนบ้านเลี้ยง

เงินโอทีที่ทำได้เป็นค่าจ้างเลี้ยงลูกและค่านมผสม

อย่างไรก็ตาม มนุษย์พัฒนาด้วยการสร้าง ‘แม่ที่มีอยู่จริง’ ขึ้นมาก่อน ทำได้เมื่อพบว่าแม่ไว้ใจได้ (trust) ให้ความรัก ความอบอุ่น ให้ความช่วยเหลือเมื่อไม่สบายตัว เช่น ร้อน หนาว เจ็บ และป้องกันภยันตรายโดยไม่มีเงื่อนไข เช่น กำจัดยุง แมลง รักษาโรค โอบกอดเมื่อรู้สึกกลัว สำคัญที่สุดคืออยู่เป็นเพื่อนเมื่อเหงา

แม่ที่ปฏิบัติภารกิจเหล่านี้จะปรากฏตัวชัดต่อตาทารก และชัดเจนในจิตใจของลูก

ปริมาณเวลา (amount of time) เป็นเรื่องสำคัญ แต่หลายคนไม่มีเวลา ที่สำคัญเท่าๆ กับปริมาณคือความสม่ำเสมอ (consistency) ภายใต้ข้อเท็จจริงที่ว่าเด็กๆ เรียนรู้ได้จากความสม่ำเสมอ

อ่านนิทานก่อนนอนเป็นเครื่องมือประกัน (assurance) ว่าคุณพ่อคุณแม่จะปรากฏตัวตรงเวลา ที่ห้องนอน ด้วยจิตใจผ่อนคลาย ไม่เร่งรีบ ไม่ใช้สมาร์ทโฟน และเริ่มต้นอ่านหนังสือให้ลูกฟัง

ทำทุกคืน ปีละอย่างน้อย 330 คืน อย่างต่อเนื่อง 3 ปี รวมได้ประมาณ 1,000 วัน นี่คือเครื่องมือสร้างแม่ที่มีอยู่จริงได้ดีที่สุด

การอ่านนิทานเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ที่อ่านหนังสือออกทำได้ง่าย มีคำแนะนำง่ายๆ สั้นๆ ดังนี้

1. อ่านนิทานเรื่องอะไรก็ได้ที่มี ไม่จำเป็นต้องซื้อหานิทานราคาแพง ไม่จำเป็นต้องมีภาพประกอบสวยงาม ไม่จำเป็นต้องพะวงเรื่องอายุของลูก ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าเล่มไหนเหมาะกับอายุเท่าไร หลักการสำคัญคือคนอ่านสนุกก่อน คุณพ่อคุณแม่นั่นแหละที่สนุกกับการอ่านก่อน ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหรือถูกบังคับให้อ่าน ความสนุกที่แผ่เป็นออร่าจากร่างกาย สีหน้าและจิตใจของคุณพ่อคุณแม่เองจะเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าเรื่องอื่น

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่เคยอ่านนิทานประกอบภาพสำหรับเด็กมาก่อนเลย ลองอ่านดูเถอะ หลายท่านเพิ่งจะค้นพบว่ามันสนุกมากกว่าที่ตัวเองเคยรู้

2. อ่านไปธรรมดาๆ ไม่มีความจำเป็นต้องดัดเสียงดัดแปลง ออกท่าออกทาง หรือทำเรื่องให้ตื่นเต้นโดยเจตนา ขอแค่อ่านไปเรื่อยๆ จากหน้าแรกไปจนถึงหน้าสุดท้าย จะเห็นว่าขอเพียงอ่านหนังสือออกคืออ่านนิทานก่อนนอนได้ ไม่ต้องฝึก ไม่ต้องเรียนคอร์สเล่านิทาน ตอนนี้เราขอน้อยมากคือแค่อ่านออกแล้วอ่านไป ให้ลูกฟัง

อ่านภาษาที่ตัวเองถนัด หากคุณพ่อคุณแม่ถนัดภาษาไทยอ่านภาษาไทย หากถนัดภาษาอังกฤษอ่านภาษาอังกฤษ หากคุณพ่อคุณแม่ถนัดคนละภาษา อ่านภาษาแม่ของตัวคนละภาษา แต่มีข้อแนะนำทั่วไปว่าการอ่านนิทานก่อนนอนสำหรับเด็กควรอ่านภาษาเดียว ไม่อ่านสองภาษา

3. อ่านตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวันที่เขาเติบใหญ่และไม่ต้องการฟังแม่อ่านนิทานอีกแล้ว ซึ่งมักจะเป็นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่างอายุ 7-9 ขวบ เริ่มอ่านตรงเวลาแต่ไม่ควรเกิน 21.00 น. เพราะเด็กๆ ไม่ควรนอนดึก ความตรงเวลาจะช่วยให้เด็กๆ ตั้งตารอ รอคือมี คุณพ่อคุณแม่หลายบ้านอยู่ในสภาวะยากลำบากต้องทำงานจนค่ำ ลูกจะรอเวลานั้นทั้งวัน รอทั้งวันคือมีทั้งวัน มีอะไร? มีพ่อแม่ที่มีอยู่จริง

เรื่องทุกเรื่อง กิจกรรมทุกประเภท เราสามารถกำหนดเวลาได้ รวมทั้งการอ่านนิทาน การกำหนดกติกาอ่านคืนละครึ่งชั่วโมงหรืออ่านนิทานจำนวน 3-5 เล่ม หรือ 3-5 เรื่อง แล้วแต่ว่าจำนวนไหนจะถึงก่อนกันเป็นเรื่องที่เราสามารถพูดคุยกับลูกและตกลงกติกาล่วงหน้าได้

และนี่จะเป็นต้นแบบของการกำหนดกติกาเรื่องอื่นๆ ที่ยากกว่าในอนาคต เช่น กติกาดูการ์ตูนโทรทัศน์ กติกาเล่นเกม กติกาใช้สมาร์ทโฟน เป็นต้น

คุณพ่อคุณแม่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อคุณแม่ชนชั้นกลาง ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกลางระดับล่าง ระดับกลางหรือระดับสูง เกือบทุกครัวเรือนเหน็ดเหนื่อยจากงานประจำวัน บางคนหอบงานกลับมาทำบ้าน บางคนมีภารกิจงานบ้านต้องสะสาง ดังนั้นการกำหนดกติกาเวลา 30 นาทีเป็นเรื่องมีประโยชน์มาก สอนให้ลูกเข้านอนตรงเวลา แล้วเราถอยออกมาทำงานได้ ทุกคนได้

อ่านอะไรก็ได้ อ่านไปธรรมดาๆ และอ่านสามสิบนาที เป็นสามประการที่ควรจะทำได้

อ่านนิทานก่อนนอนเป็นการลงทุน ทุนที่ลงไปวันนี้และใน 1,000 วันนับจากลูกเกิดไปจนถึงอายุ 3 ขวบคือเครื่องมือสร้างแม่ที่มีอยู่จริง อันเป็นฐานรากของความเป็นมนุษย์ ผลกำไรจะออกดอกออกผลในวันถัดๆ ไป และเก็บเกี่ยวกำไรไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด ไม่สามารถตีค่าเป็นเงินบาทได้

แต่ถ้าจะตีค่าเป็นเงินบาทกันจริงๆ แล้ว เราพบว่าบ้านที่อ่านนิทานก่อนนอนเป็นประจำสามารถประกันความเสียหายระยะยาวของเด็กๆ และวัยรุ่นได้มากกว่า นั่นหมายความว่าอนาคตเราจะสูญเสียเงินน้อยกว่าค่านิทานและค่าสูญเสียเวลา 30 นาทีต่อคืน

โลกสมัยใหม่มีนิทานออนไลน์ให้โหลดฟรีมากมาย ถ้าไม่มีเงินซื้อ ให้โหลดฟรีออกมาอ่าน ถ้าไม่มีเงินซื้อกระดาษเอสี่รีมใหม่ คอยสะสมกระดาษใช้แล้วหน้าเดียวมาพรินท์ ถ้าไม่มีเครื่องพรินท์สี พรินท์ขาวดำก็เอา ถ้าไม่สามารถทำอะไรได้ แต่งเอาเองแล้วเขียนเอาเองอย่างไรก็ได้ ครั้งหนึ่งนานมาแล้วไก่ตัวหนึ่งเดินไปพบเป็ดตัวหนึ่งแล้วพูดว่าสวัสดีครับก็ได้ ขอเพียงเห็นความสำคัญของการอ่านนิทานก่อนนอน เราจะทำมันจนได้

ลูกมิได้ต้องการนิทานจริงหรอก ลูกต้องการคุณ

Tags:

นิทานประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษาการอ่าน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 3

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่านเถอะนะ ง่ายจะตายชัก

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ชีวิตง่ายขึ้น เมื่อตัดสินใจได้เฉียบ เข้าใจได้ขาด
21st Century skills
18 August 2018

ชีวิตง่ายขึ้น เมื่อตัดสินใจได้เฉียบ เข้าใจได้ขาด

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • การคิดเชิงวิพากษ์ อาจฟังดูยาก แต่เป็นสิ่งที่เราใช้งานแทบทุกวัน
  • ความสงสัยใคร่รู้และความอยากรู้อยากเห็น จะช่วยให้การคิดเชิงวิพากษ์เฉียบขาดยิ่งขึ้น
  • แน่นอน ฝึกได้ตั้งแต่เด็กๆ ไม่ต้องเสียค่าเรียนราคาแพง พ่อแม่หรือคนที่บ้านก็สอนได้

จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เราใช้ การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) อยู่ทุกวันทั้งเพื่อช่วยในการตัดสินใจ เพื่อให้เข้าใจผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง หรือเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

ลองนึกดูดี ๆ ถึงการวางแผนเส้นทางเพื่อเดินทางไปยังที่ ๆ ไม่เคยไป วันที่ต้องเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเดินทางไปทำงาน หรือแม้แต่กิจกรรมยามว่างอย่างการต่อจิ๊กซอว์ เล่นเกม หรือดูรายการเกมโชว์ที่ต้องใช้ความคิด หลาย ๆ ครั้ง ผู้ใหญ่ยังมองบางเรื่องที่เอ่ยมาข้างต้นว่า…เป็นเรื่องยาก

ความคิดเชิงวิพากษ์ในที่นี้ เป็นมากกว่าการคิดอย่างชัดเจนและมีเหตุผล แต่รวมถึงการคิดอย่างอิสระ เป็นการคิดที่รวบรวมหลักการและความคิดเห็นจากประสบการณ์หรือข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อหาข้อสรุปด้วยตัวเอง โดยไม่เอาความกดดันหรือข้อกังวลจากผู้อื่นมาเกี่ยวข้อง การคิดเชิงวิพากษ์จึงเป็นแบบแผนในการวิเคราะห์และเชื่อมโยงความคิดภายในบุคคล แต่ยังเคารพมุมมองและความคิดของผู้อื่น

บทความเรื่อง ความสำคัญของการคิดเชิงวิพากษ์ในเด็ก หรือ The important of critical thinking for young children โดย ไคลีย์ ไรน์มาโนวิสซ์ (Kylie Rymanowicz) นักการศึกษา การศึกษาปฐมวัย จาก Michigan State University บอกว่า การคิดเชิงวิพากษ์เป็นคุณลักษณะสำคัญที่ผู้ปกครองต้องช่วยปลูกฝังให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก เพื่อช่วยให้เด็กมีความมั่นใจ มีความกล้าตัดสินใจ และคิดแก้ปัญหาได้อย่างเฉียบขาด คุณลักษณะนี้จะช่วยให้เด็กใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ท่ามกลางสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาจะตัดสินใจและจัดการกับตัวเอง หรือแม้แต่ความคาดหวังของคนรอบข้างได้ โดยไม่ตกอยู่ในความพะวงหรือความลังเลสงสัย

เอเลน กาลินสกีย์ (Ellen Galinsky) ประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง Families and Work Institute (FWI) อธิบายถึงการสอนเด็กให้มีความคิดเชิงวิพากษ์ ไว้ในหนังสือ “Mind in the Making: The seven essential life skills every child needs” ว่า ความสงสัยใคร่รู้ หรือ ความอยากรู้อยากเห็น (curiosity) ที่มีอยู่ตามธรรมชาติเป็นพื้นฐานที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการคิดเชิงวิพากษ์อย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งการสร้างให้เด็กมีคุณลักษณะนี้ต้องเริ่มจากการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้ (แตกต่างกันตามแต่ละช่วงวัย) เช่น จากการเล่านิทานของพ่อแม่ จากการเรียนในห้องเรียน จากการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ วิดีโอหรือบทความต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อให้เด็กได้รับข้อมูลที่เปิดกว้าง ได้วิเคราะห์สิ่งที่รับรู้ และมีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจด้วยตัวเอง

กระบวนการทำงานของสมองเมื่อรับข้อมูลเข้ามา ข้อมูลต่าง ๆ จะถูกส่งเข้าไปเก็บยังคลังข้อมูลหรือ ‘ห้องสมุดในสมอง’ ผ่านการกลั่นกรองเพื่อเลือกสรรว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นเป็นสิ่งที่เคยรับรู้มาก่อนแล้ว เป็นข้อมูลใหม่ หรือเป็นข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงหรือข้อค้นพบใหม่ซึ่งจะเข้ามาแทนที่ข้อมูลหรือความเชื่อเดิม

จะว่าไปการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษอะไร แต่เป็นคุณลักษณะที่หลายครั้งไม่ได้ถูกนำมาใช้เพราะโดนปิดกั้นจากการเลี้ยงดูและจากเงื่อนไขทางสังคม สถาบันวิจัย Michigan State University ( MSU ) Extension เสนอ 5 เคล็ดลับในการช่วยให้เด็กเรียนรู้และฝึกการคิดเชิงวิพากษ์ไว้ ได้แก่

หนึ่ง กระตุ้นและส่งเสริมให้เด็กมีความอยากรู้อยากเห็น

เห็นได้ว่าความอยากรู้อยากเห็น และการคิดเชิงวิพากษ์เป็นทักษะที่สามารถพัฒนาไปด้วยกันได้ คำถามหาเหตุผลด้วยความอยากรู้ว่า “ทำไม?” อาจเป็นคำถามที่ทำให้พ่อแม่หลายคนขยาด แต่แทนที่จะตอบคำถาม ซึ่งหลายคำถามพ่อแม่เองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้ ผู้ปกครองสามารถตั้งคำถามกลับเพื่อให้เด็กสร้างสมมุติฐาน คิดทฤษฎีและทดลองหาคำตอบด้วยตัวเอง กระตุ้นให้เด็กสำรวจและตั้งคำถามต่อ เพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้และทำความเข้าใจจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งการวิเคราะห์ว่าพวกเขาสามารถทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป

หรือแม้แต่การสอนในห้องเรียน ครูสามารถตั้งคำถามให้นักเรียนระดมความคิด แล้วเขียนคำตอบที่เป็นไปได้ลงในกระดาษเพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิง แล้วนำมาอภิปรายร่วมกัน

สอง เรียนรู้จากผู้อื่น

ผู้ปกครองต้องช่วยกระตุ้นให้เด็กคิดอย่างลึกซึ้ง โดยการปลูกฝังให้เด็กมีความรักในการเรียนรู้ เมื่อเด็กมีความปรารถนาหรือความกระตือรือร้นอยากทำความเข้าใจว่า ปรากฏการณ์ต่างๆ รอบตัวเกิดขึ้นได้อย่างไร พวกเขาจะเริ่มตั้งคำถามอื่นๆ ตามมา ซึ่งจะนำไปสู่การคิดวิเคราะห์เพื่อกลั่นกรองข้อมูลต่อไป

สาม ช่วยเด็กๆ ประเมินข้อมูล

เรารับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางต่างๆ มากมาย บางเรื่องเป็นเรื่องที่ตั้งใจค้นคว้าหาคำตอบ แต่หลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่ต่อให้ไม่อยากรู้ก็ต้องรู้ ดังนั้นการรับข้อมูลที่มีอยู่อย่างท่วมท้นจึงต้องมีการประเมิน เพื่อพิจารณาว่าข้อมูลเหล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่ มีความสำคัญหรือน่าเชื่อถือหรือไม่
ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในขั้นตอนนี้ได้ ด้วยการชวนลูกตั้งคำถามถึงที่มาของข้อมูล ชวนคิดว่าข้อมูลที่รู้มานั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับความรู้เดิมที่พวกเขามีอยู่ และให้พวกเขาประเมินว่าสิ่งที่ได้รับรู้มานั้นมีความสำคัญหรือไม่ เพราะอะไร คำตอบไม่มีถูกผิดเพราะสิ่งที่ต้องการคือ การให้เด็กได้ลองคิดประเมินข้อมูลด้วยตัวเอง

สี่ ส่งเสริมให้เด็กทำในสิ่งที่เขาสนใจ

ในวัยเด็ก เมื่อพวกเขาสนใจเกี่ยวกับอะไรสักอย่าง พวกเขาจะมีความพยายามมุ่งมั่นหาคำตอบ ขั้นตอนการพยายามค้นหาคำตอบเพื่อเพิ่มพูนความรู้ เป็นการเปิดโอกาสให้ได้ใช้ความคิดเชิงวิพากษ์ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ สำหรับผู้ปกครอง เช่น เด็กอาจมีความสนใจเรื่องรถบรรทุกหรือพาหนะ หรือมีความสนใจเรื่องแมลง ซึ่งผู้ปกครองมองว่าไม่น่าจะเป็นประโยชน์ ผู้ปกครองอาจจะชอบหรือไม่ชอบ หรือเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองต้องสนับสนุนให้เด็กได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสนใจและอยากทำ

ห้า สอนทักษะการแก้ปัญหา

เมื่อต้องจัดการกับปัญหาหรือข้อขัดแย้ง เราจำเป็นต้องใช้การคิดเชิงวิพากษ์เข้ามาจัดการ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและหาทางแก้ไขที่เป็นไปได้ การคิดเชิงวิพากษ์จึงต้องอาศัยการฝึกฝน เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง เด็กจะสามารถตอบสนองต่อปัญหาหรือข้อขัดแย้งได้อย่างมีสติ ประเมินได้ว่าควรเริ่มจัดการจากส่วนไหนก่อนและหลังตามความสำคัญ

แน่นอนว่าพ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่มีทางอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกโตขึ้น ย่างเข้าสู่วัยรุ่น ไปสู่วัยทำงาน กระทั่งมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ตลอดเส้นทางการเติบโตทุกคนต้องเจอสถานการณ์หลากหลายให้ต้องตัดสินใจ แม้ไม่สามารถการันตีผลลัพธ์จากการตัดสินใจได้ แต่คุณลักษณะการคิดเชิงวิพากษ์ จะช่วยให้ตัดสินใจด้วยความเข้าใจ จากการคิดวิเคราะห์ผ่านข้อมูล ประสบการณ์และจากความเคลื่อนไหวในสังคมรอบตัว ลดความสุ่มเสี่ยงจากการโดนชี้นำหรือชักจูงไปในทางที่ผิด

ที่มา: The importance of critical thinking for young children
12 Solid Strategies for Teaching Critical Thinking Skills

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsการคิดเชิงวิพากษ์(critical thinking)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    5 จิตสำคัญ แห่งศตวรรษที่ 21

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

ซาเทียร์: เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง
How to enjoy life
17 August 2018

ซาเทียร์: เข้าใจตัวเอง ศิษย์ เพื่อน ผ่านที่มาครอบครัวและแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • เวลาที่ลูกตั้งแง่ ศิษย์ต่อต้าน เพื่อนเย็นชาใส่ ทุกครั้งที่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์และพฤติกรรมของพวกเขา เรามักตอบสนองต่อสถานการณ์นั้นอย่างไร ยอมทำตาม, โมโหกลับ, เอาหลักการเข้าสู้ หรือ เฉไฉ ทำเป็นไม่สนใจ ไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น?
  • นี่คือ ‘กลไกป้องกันตัวเองเมื่อเราเกิดความเครียด’ 4 ข้อใหญ่ตามหลักจิตบำบัดซาเทียร์ ใต้แนวคิด ‘แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง’ หรือ The Iceberg Model
  • รู้เพื่ออะไร? ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนคนอื่น แต่เพื่อเข้าใจว่าภายใต้พฤติกรรมที่เขาแสดงออก อาจไม่ใช่สิ่งที่คิดจริงๆ เหนือสิ่งอื่นใด รู้เพื่อสำรวจกลไกตั้งรับและความคิดที่เราอาจไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
  • ซาเทียร์มีวิธีการและรูปแบบที่หลากหลาย แต่หัวข้อที่ยกมาชวนคุยวันนี้คือ การทำความเข้าใจบุคคลผ่านที่มาครอบครัว และแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2558 ให้ความหมายสำนวน ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น’ ว่า ‘ลูกย่อมไม่ต่างจากพ่อแม่มากนัก’ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเป็นแบบไหน มีพฤติกรรมแบบไหน ลูกย่อมเลียนแบบและซึมซับพฤติกรรมแบบนั้น

ในอีกความหมาย ไม่ใช่แค่พฤติกรรมที่ลูกซึมซับ แต่คือวิธีมองโลก พฤติกรรมอัตโนมัติ(ที่แก้ไม่หาย) คำอธิบายว่าทำไมเราจึงสร้างกำแพงป้องกันตัวเองจากเรื่องบางอย่าง หรือมักถูกดึงดูดเข้าหาบางสิ่ง ถ้าค้นให้ลึกลงไปจริงๆ อธิบายได้จากประสบการณ์ที่ได้รับจากครอบครัวหรือสิ่งแวดล้อมวัยเด็ก

เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ (Virginia Satir 1916-1988) นักเขียน ครู และนักจิตบำบัดอเมริกัน ผู้บุกเบิกแนวคิดจิตบำบัดครอบครัว ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น Mother of Family Therapy หรือ มารดาแห่งจิตบำบัดครอบครัว เสนอกรอบคิดอันโด่งดัง เช่น ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง (Virginia Satir Change Process Model), ทฤษฎีเกราะป้องกันตนเพื่อความอยู่รอด (Survival Coping Stances), แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง (The Iceberg Model)

ทั้งหมดนี้มีแก่นแกนที่ว่า พฤติกรรมที่แสดงออก (Behavior) เราจะเจ็บปวดกับอะไร เพิกเฉยกับอะไร มองโลกด้วยสายตาแบบไหน รู้สึกต่อสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร เรามั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองเรื่องไหน ไม่มั่นใจต่ออะไร ความมั่นใจที่มีอยู่ระดับไหน อธิบายได้หากเข้าใจกลไกธรรมชาติภายในจิตใจ และเข้าใจว่าความรู้สึกแต่ละส่วนทำงานสัมพันธ์กันอย่างไร ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการยอมรับตัวเอง อย่างที่ซาเทียร์เคยพูดไว้ว่า

“ฉันรู้สึกเศร้า ฉันพูดแบบเศร้า มองดูแล้วเศร้า ฉันรู้ว่าฉันเศร้า ฉันพูดถึงความเศร้าได้ และฉันจะเลือกเองว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร”

เพราะการทำงานกว่า 50 ปีของซาเทียร์ ถูกนำไปทดลองใช้กับหลายพื้นที่หลากวัฒนธรรม เธอมุ่งพัฒนา ค้นคว้า วิจัยแนวคิดจิตบำบัดครอบครัวที่นำไปปรับใช้หรือคลี่คลายปัญหาในครอบครัว กับคนทำงานทางสังคม และกับครูในโรงเรียน ด้วยวิธีการให้ผู้คนเหล่านั้นเข้าใจความคาดหวัง แรงปรารถนา และศักยภาพที่ซ่อนอยู่ผ่านระดับความเชื่อมั่นในตัวเอง

คีย์เวิร์ดของแนวคิดซาเทียร์คือ หารูปแบบที่ทำให้แต่ละคนพัฒนา เปลี่ยนแปลงวิธีการเห็นตัวเอง เข้าใจ และอธิบายตัวเองได้อย่างชัดแจ้ง เข้าใจว่า ‘สิ่งที่แสดงออก’ ใช่สิ่งที่อยู่ในใจจริงๆ หรือไม่ ซาเทียร์มีวิธีการและรูปแบบที่หลากหลาย แต่แก่นแกนหรือวิธีที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง และจะขอยกมาอธิบายในที่นี้ คือ…

การทำความเข้าใจผ่านที่มาครอบครัว และแบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

ครอบครัว ปัญหาคู่ชีวิต ที่ส่งผลต่อคนเป็นลูก

ตามแนวคิดซาเทียร์ จุดประสงค์ของจิตวบำบัดครอบครัว คือการคลี่คลายปมปัญหาหรือรอยแผลที่เกิดจากครอบครัวและประสบการณ์วัยเด็ก ซาเทียร์เห็นว่า ‘รอยแผล’ ของแต่ละคนอาจแตกต่าง มีได้หลายรอยแผล และผู้ที่ทำให้เกิดรอยแผลไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่มาจากตัวละครหลากหลายที่กระทำต่อกันเป็นลูกโซ่ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ฝากรอยแผลไว้รอยใหญ่และหนักแน่นที่สุด คือ ‘สมาชิก’ ในครอบครัว โดยเฉพาะ พ่อ แม่ และปัญหาจากความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง

ในแนวคิดจิตบำบัดครอบครัวตามแนวซาเทียร์ (Satir Family Therapy Model) อธิบายต้นตอปัญหาความสัมพันธ์ครอบครัวไว้หลายประการ

สาเหตุหนึ่งที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่ของคู่สมรส คือเมื่ออยู่กันไป (ขีดเส้นใต้ห้าร้อยเส้นที่ว่า อยู่ร่วมบ้านกัน 24 ชั่วโมง) คือการที่ใครอีกคนไม่อาจเติมเต็มสิ่งที่คู่สมรสคาดหวัง โดยเฉพาะกับบุคคลที่มีความมั่นใจต่ำ มักมีกลไกบางประการที่หวังพึ่งพิงคู่สมรส ไม่ใช่แค่ทางกายภาพ แต่พึ่งพิงความมั่นคงมั่นใจในระดับความปรารถนา ไม่มากก็น้อย นั่นทำลายความรู้สึกเป็นอิสระในตัวเอง

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ ‘คู่สมรส’ ที่มีปัญหา ค้นให้ลึกคือทุกคนต่างมีความแหว่งวิ่นในตัวเอง แต่ในฐานะสมาชิกครอบครัว ปัญหาของพ่อแม่หรือผู้ดูแล -ในฐานะผู้บ่มเพาะเลี้ยงดู สร้างสภาพแวดล้อม ความไว้เนื้อเชื่อใจ ความมั่นใจ สภาพแวดล้อม

ประสบการณ์ในบ้านเหล่านั้นส่งต่อให้ลูก มากบ้างน้อยมาก สิ่งที่ตกค้างอยู่ในตัวคนคือประสบการณ์ที่ซึบซับเอาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านและจากความสัมพันธ์ในบ้าน

แนวคิดซาเทียร์ยังเชื่อว่าประสบการณ์ ที่สร้างวิธีคิดและกลไกป้องกันตัวเฉพาะ ไม่อาจย้อนดูได้เพียงความสัมพันธ์ระดับปัจเจก แต่เชื่อว่าต้องดูความสัมพันธ์ร่วมทั้งครอบครัว เพราะสิ่งที่แม่ทำต่อลูก ไม่ได้มาจากแรงขับของแม่เพียงประการเดียว แต่มาจากประสบการณ์ที่แม่รับมาจากบุคคลอื่นอีกที

เมื่อเข้าใจที่มา ประสบการณ์ในชีวิต อันเป็นสารตั้งต้นที่กำหนดว่าเราจะคิด มีปฏิกิริยา หรือตั้งกำแพงต่อสิ่งใดแล้ว ขั้นต่อมาคือทำความเข้าใจว่าสารตั้งต้นดังกล่าว ทำให้เรามีปฏิกิริยาอย่างไร ผ่านอุปมา ‘แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง’

แบบจำลองภูเขาน้ำแข็ง

เคยไหมที่… สิ่งที่พูดไม่ใช่สิ่งที่คิด สิ่งที่คิด ก็ไม่อาจเรียบเรียงออกไปได้ หรือบางครั้งก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทำไมจึงพูด หรือมีปฏิกิริยาอย่างนั้น เราอาจเริ่มต้นทำความเข้าใจด้วยแนวคิดซาเทียร์ ด้วยอุปมาว่าพฤติกรรมที่แสดงออก เป็นเพียง ‘ยอด’ ของภูเขาน้ำแข็ง

สิ่งที่โผล่พ้นน้ำคือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโลก สิ่งที่อยู่ใต้น้ำ คือความสัมพันธ์ของโลกภายใน

Behavior : พฤติกรรม การกระทำ คำพูด ที่แสดงออกให้เห็นได้ซึ่งหน้า เป็นปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ใดหนึ่ง ซาเทียร์เปรียบพฤติกรรมเหมือนสิ่งที่โผล่พ้นน้ำ เป็นสิ่งที่คนอื่นเห็น เป็นพฤติกรรมที่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก

Coping Stance : กลไกป้องกันตัวเอง หรือรูปแบบพฤติกรรมที่มักแสดงเมื่อเจอกับปัญหา ต้องเผชิญกับความเครียด กลไกป้องกันตัวของแต่ละคนมักมีสารตั้งต้นจากประสบการณ์ในวัยเด็กหรือที่ได้รับจากครอบครัว แบ่งได้เป็น 5 พฤติกรรมใหญ่ โดยอธิบายผ่านความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวเอง(self), คนอื่น (other) และบริบท (context)

  1. Blaming : กลไก ‘ตำหนิ’ สนใจบริบทและตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น
    ตำหนิไว้ก่อน ใช้การตำหนิปิดบังความกลัว ยึดว่าสิ่งที่ตัวเองเชื่อถือคือสิ่งถูก เป็นผู้พิทักษ์ความถูกต้อง หลายครั้งนำไปสู่ความหวาดระแวงผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่มักป้องกันตัวเองด้วยการตำหนิ จะสนใจเนื้อหาและสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นเชื่อ มักมีปัญหาทางสุขภาพเกี่ยวกับการหายใจ
  2. Placating : กลไก ‘เอาใจ’ สนใจบริบทและคนอื่น ไม่สนใจตัวเอง
    เป็น Mr. Yes man มักยอมทำตามสิ่งที่ผู้อื่นร้องขอโดยไม่สนใจความรู้สึกตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ การปฏิเสธ หรือความรู้สึกบาดหมางระหว่างกัน เคารพคนอื่น แต่ไม่เคารพตัวเอง ผู้ที่มีกลไก ‘เอาใจ’ มักมีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร ไมเกรน ท้องผูก
  3. Super­reasonable : กลไก ‘มนุษย์เหตุผล’ สนใจบริบท ไม่สนใจตัวเองและคนอื่น บางตำราเรียกว่า ‘มนุษย์คอมพิวเตอร์’ สนใจที่เนื้อหาและความถูกต้องเป็นหลัก รู้และเข้าใจหลักการอย่างถ่องแท้ ไม่ทำงานด้วยความรู้สึก คนมักจะมองคนที่มีพฤติกรรมเหล่านี้ว่า เย็นชา เจ้าหลักการ ปัญหาสุขภาพมักเผชิญกับอาการเยื่อเมือกแห้ง เช่น ตาแห้ง เนื้อเยื่อในช่องปากแห้ง
  4. Irrelevant : กลไก ‘เฉไฉ’ สนใจทั้งตัวเอง ผู้อื่น และบริบท เราอาจพบว่าเขาคือนักเอ็นเตอร์เทรน มีบุคลิกสนุกสนานเฮฮาและเข้าไปอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ทุกวง ดึงดูดความสนใจของตัวเองและคนอื่นให้หลุดออกจากความเครียดได้เก่ง บทสนทนามักเป็นเรื่องทั่วไปแต่ไม่จับยึดที่แก่นเรื่อง บางครั้งดูกระวนกระวาย หรือมีปฏิกิริยาล้นเกิน เช่น มักเป่าปาก กระพริบตาถี่ ร้องเพลง หลุกหลิก หรือไม่ก็เพิกเฉยต่อสถานการณ์เคร่งเครียดไปเลย
  5. Congruence : สอดคล้องกลมกลืน ไม่ต้องใช้กลไกป้องกันตัวใดๆ เลย เป็นภาวะที่ยอมรับ สมดุล เชื่อมโยง ยอมรับ หรือรู้สึกสงบอยู่ในภาวะนั้นๆ

Feeling : ความรู้สึกต่อสถานการณ์ตรงหน้า เช่น สุข เศร้า เหงา หดหู่ สงสาร

Feeling About Feeling : ความรู้สึกต่อความรู้สึก เป็นความรู้สึกในระดับที่สอง ว่าเรารู้สึกต่อความรู้สึกของเราอย่างไร เช่น เรารู้สึกสุขเมื่อไม่ทำงาน นอนดูซีรีส์อยู่เฉยๆ แต่เรารู้สึกไม่พอใจที่ตัวเองมีความสุข กังวลว่าความสุขที่เกิดขึ้นจากการดูซีรีส์แทนที่จะไปทำงาน เป็นเรื่องไม่สมควร

Perception : การรับรู้ที่ไม่ใช่แค่รู้สึก แต่ผ่านการตีความ มีความคิด สมมติฐาน ความเชื่อ ว่าตัวเองทำสิ่งนั้นเพราะอะไร ทำไปด้วยเหตุผลอะไร และเป็นทัศนคติหรือตีความผ่านประสบการณ์ของเรา

Expectation : ความคาดหวัง เป็นได้ทั้งความคาดหวังว่าอยากให้ตัวเองรู้สึกหรือคิดอะไร, คาดหวังว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับเรา และ ความคาดหวังของผู้อื่นต่อตัวเรา เช่น คาดหวังว่าตัวเองจะต้องเข้มแข็งกว่านี้ และคาดหวังให้คนอื่นเชื่อใจ อยากให้คนอื่นเข้าใจว่าตัวเองคิดอะไรอยู่

Yearning : ความปรารถนา ความต้องการแท้จริง เช่น ปรารถนาจะถูกรัก เคารพ ได้รับการยอมรับ อย่างที่ ศ.พญ. นงพงา ลิ้มสุวรรณ หัวหน้าภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี อธิบายว่าคือ ‘อาหารใจ’

Self – ‘ตัวตน’ : ตัวตนลึกๆ หรือแก่นแกนของตัวเอง

กรณีศึกษา: แผนที่ครอบครัว และ จิตบำบัดด้วยการ ‘ผจญภัย’

เพื่อให้เข้าใจว่าจะนำอุปมา ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ ไปใช้อย่างไร กรณีนี้จะอธิบายผ่านกรณีศึกษา Adventure­Based Therapy with At-Risk Youth Using the Satir Model ที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการ The Satir Journal ปี 2008 โดยคลอส ไคลน์ (Klaus Klein) ผู้ให้คำปรึกษาสำหรับพ่อแม่และวัยรุ่น ในรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เจ้าของโครงการจิตบำบัดวัยรุ่นที่มีปัญหาผ่านการบำบัดด้วยวิธีการ ‘ผจญภัย’ ใช้วิธีทำงานผ่านแนวคิดซาเทียร์ และแบบจำลอง ‘ภูเขาน้ำแข็ง’

วิธีการของ Adventure­Based Therapy คือการทำจิตบำบัดร่วมกับสมาชิกในครอบครัว คือ

หนึ่ง – ทำจิตบำบัดในห้องเพื่อทำแผนที่ครอบครัว (Family of Origin: FOO) เพื่อให้เห็นปมปัญหาชีวิตของเด็กๆ

สอง – ออกไปตั้งแคมป์ในป่าเพื่อให้เห็นว่า เมื่ออยู่ในสังคมเล็กๆ เขาจะมีวิธีรับมือกับเครือข่ายสังคมตรงหน้าอย่างไร

ตัวละครที่ Klein อ้างถึงมี 3 ตัวละคร เพื่อให้เห็นพฤติกรรมกลไกการป้องกันตัวของคน (Coping Stance)

แผนที่ครอบครัว และตัวละครต่างๆ

คือการทำแผนผังครอบครัวของผู้เข้าบำบัดว่าครอบครัวพวกเขาประกอบไปด้วยใครบ้าง มีลำดับญาติอย่างไร เพื่อให้เห็นความเป็นมา ความสัมพันธ์ของสมาชิกแต่ละคน แผนภูมิครอบครัวจะเป็นเครื่องมืออย่างดีเพื่อให้เห็นประสบการณ์ของผู้เข้าบำบัด ประกอบกับกระบวนการตั้งคำถามเฉพาะของผู้บำบัดหรือผู้รับฟังด้วยแล้ว จะยิ่งช่วยให้เห็นปมปัญหาของผู้เข้าบำบัดได้

มอลลี่, เกรด 12 อายุ 18 ปี

Coping Stance: กลไก ‘มนุษย์เหตุผล’

แผนที่ครอบครัวของมอลลี่ระบุว่าพ่อแม่ของเธอหย่ากันขณะที่มอลลี่ยังเด็ก มอลลี่อยู่กับแม่ในบ้านพักสหกรณ์ (Cooperative Housing) เธอไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อมากนักทั้งยังพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเธอและพ่อเอาไว้ พ่อในความทรงจำของเธอคือคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ ส่วนแม่ เธอก็ไม่ได้คิดว่าแม่มีความรับผิดชอบที่ดีไปกว่าพ่อเท่าไหร่นัก คาแรกเตอร์ของมอลลี่คือเด็กสาวที่โตเกินอายุ เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ใส่ใจคนอื่น Coping Stance ของมอลลี่คือ ‘มนุษย์เหตุผล’

แอน, เกรด 11 อายุ 16 ปี
Coping Stances: กลไก ‘เอาใจ’ และ กลไก ‘ตำหนิ’

พ่อแม่ของแอนหย่าร้างเช่นกัน แอนอาศัยอยู่กับแม่แต่ยังติดต่อกับพ่ออยู่บ้าง ตลอดมา แอนพยายามทำดีกับแม่ สร้างความสัมพันธ์เพื่อเข้าไปสู่โลกของคนเป็นแม่ อยากเป็นที่รักและได้รับความเคารพ แต่ชัดเจนว่านั่นคือเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตเธอ แอนไม่เคยรู้สึกว่าเข้าไปในโลกของแม่ได้ รู้สึกว่าแม่ไม่เคารพเธอมากพอ แต่แอนยังยอมรับ ใส่ใจ และตั้งใจที่จะปฏิบัติกับแม่เช่นนั้นต่อไป กลไกป้องกันตัว(Coping Stances) ของแอน ตอนแรกเธอมักใช้กลไก ‘เอาใจ’ แต่เมื่อถึงทางตัน หลายครั้งเธอจะพลิกขั้วเปลี่ยนไปใช้กลไก ‘ตำหนิ’ แทน

แฟรงค์, เกรด 12 อายุ 18 ปี

Coping Stance: กลไก ‘เฉไฉ’

แฟรงค์อยู่กับพ่อและแม่ ทั้งคู่และสมาชิกในครอบครัวคนอื่นมีประวัติเมาแล้วทำร้ายร่างกาย แฟรงค์รักพ่อแม่ของเขาและหวังว่าเขาจะทนได้ เรื่องร้ายต้องผ่านไป หวังตลอดว่าสถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวต้องดีขึ้น ภายใต้ความเครียด แฟรงค์จะใช้กลไกป้องกันตัว (Coping Stance) ‘เฉไฉ’ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนจิตใจดี ร่าเริง แต่ในเวลาเดียวกันก็เก็บเนื้อเก็บตัว

เข้าแคมป์

สถานการณ์ในแคมป์มีอยู่ว่า วันที่ 4 ของการเข้าแคมป์ มอลลี่และแอนเกิด ‘คอนฟลิก’ มีรอยขุ่นมัวในใจ ต่างไม่เข้าใจต่อพฤติกรรมของคนตรงข้าม แอนไม่รู้ว่าทำไมตลอดการเข้าค่าย มอลลี่ถึงเย็นชากับเธอ ไม่ต้องการสุงสิง และสื่อสารเท่าที่จำเป็น แอนเก็บความขุ่นหมองไว้ในใจ ทำเป็นไม่เห็นว่ามอลลี่เย็นชา และพยายามเข้าหามอลลี่ และทำทุกอย่างที่ควรทำต่อไป ขณะที่แฟรงค์พยายามหลบเลี่ยงทั้งมอลลี่และแอน ด้วยการหากิจกรรมอื่นๆ ทำอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ว่าง และต้องเข้าไปในสถานการณ์มาคุของสองสาว

‘จุดแตกหัก’ ของเรื่องคือการจัดเต็นท์ แอนเห็นว่ามอลลี่เป็นพี่โตสุด ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์และเข้ามาช่วยเหลือเธอบ้าง แต่มอลลี่ไม่ได้ทำตามที่แอนคาดหวัง แม้เหตุการณ์ในครั้งนั้นอาจไม่ร้ายแรง แต่เมื่อรวมกับสิ่งที่แอนเก็บอยู่ในใจตลอดหลายวัน เหตุการณ์เล็กน้อยนั้นกลับเป็นชนวนระเบิดลูกย่อมๆ ท้ายที่สุดแอนเดินไปหาไคลน์เพื่อขอความช่วยเหลือ และห้องให้คำปรึกษาไม่ใช่อะไรอื่น คือมุมเล็กๆ ในป่า ที่มีตอไม้และก้อนหินเป็นเก้าอี้นั่นเอง

ภูเขาน้ำแข็งของ ‘แอน’

หลังไคลน์ พูดคุยกับมอลลี่ ใช้คำถามเฉพาะที่พุ่งเป้าไปที่ ‘ความรู้สึก’ พบว่า อย่างแรก แอนไม่อาจใช้กลไก ‘เอาใจ’ ได้อีกต่อไป แอนเปลี่ยนโหมดเป็นพฤติกรรม ‘การตำหนิ’ แอนอธิบายว่ามอลลี่เย็นชา ใช้น้ำเสียงดูถูกเธอ ฉุนเฉียวง่าย และเย่อหยิ่ง

จากที่พูดคุยกับแอนทั้งหมด ภูเขาน้ำแข็งของแอนขณะนี้คือ…

  • พฤติกรรม: เดินหนีจากมอลลี่ โกรธและโมโห
  • Coping Stance: กลไกตำหนิ
  • ความรู้สึก: เจ็บปวด ผิดหวัง คับข้องใจ สับสน
  • ความเข้าใจ: ฉันไม่สมควรได้รับการปฏิบัติแบบนี้, ฉันพยายามทำดีกับมอลลี่มามาก, ฉันพยายามอย่างมากที่จะเคารพเธอ, ฉันพยายามจะเป็นเพื่อนกับเธอ
  • ความคาดหวัง แบ่งเป็น
    – ความคาดหวังต่อตัวเอง: ฉันควรจะทำตัวดี ฉันควรเคารพเธอ ฉันควรจะรู้สึกดีกับตัวเอง ฉันควรทำสิ่งที่ถูกต้อง ฉันควรเป็นเพื่อนกับเธอได้
    – ความคาดหวังต่อคนอื่น: เธอควรจะเคารพฉัน เธอควรปฏิบัติกับฉันดีกว่านี้ เธอควรเข้าใจฉัน
  • ความปรารถนา: ความเป็นธรรม การยอมรับ ความเข้าใจ ความสัมพันธ์
  • Self: รู้สึกไม่มีค่า ไม่มีความมั่นใจ

ขณะที่เธอเข้าใจ ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ ของตัวเอง ทำให้เธอย้อนกลับไปยังแผนที่ครอบครัว แอนเข้าใจว่าสิ่งที่เธอรู้สึกต่อมอลลี่ขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอใช้กลไก ‘เอาใจ’ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ใช้กับแม่มาตลอดเวลา พอถึงจุดหนึ่งที่เธอเอาใจใครต่อไปไม่ไหว สถานการณ์พลิกเปลี่ยนเป็นคนที่ชอบตำหนิ เหมือนอย่างที่เธอมีต่อมอลลี่ เมื่อเข้าใจอย่างนั้น สิ่งที่แอนเสนอจะทำ คือการปรับความเข้าใจกับมอลลี่ด้วยการสื่อสารผ่านภูเขาน้ำแข็งในของเธอที่เพิ่งค้นพบ

แต่ก่อนที่ไคลน์ จะพามอลลี่มาเจอกับแอน เขาเลือกที่จะเข้าไปคุยกับมอลลี่ เพื่อสำรวจภูเขาน้ำแข็งของเธอเสียก่อน

ภูเขาน้ำแข็งของ ‘มอลลี่’

จากที่ไคลน์ตั้งใจจะเจาะเข้าไปที่ความบาดหมางระหว่างมอลลี่กับแอน เมื่อมอลลี่นั่งอยู่ตรงหน้า ไคลน์สังเกตความผิดปกติที่เกิดกับมอลลี่ มอลลี่ที่เขารู้จักมาตลอดก่อนเข้าแคมป์ไม่ใช่คนเย็นชาและดูก้าวร้าว ไคลน์ตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีบางสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับมอลลี่ ทำให้เขาคิดไปถึงเหตุการณ์ก่อนเข้าค่าย เขาทราบว่ามอลลี่เพิ่งเลิกกับแฟนซึ่งคบกันมาหลายปี ซึ่งเป็นแฟนคนแรกและเป็นรักครั้งแรก

แทนที่จะมุ่งตรงไปยังปัญหาระหว่างมอลลี่และแอน ไคลน์สนใจปัญหาที่เคยรับรู้มาข้างต้นและลองสอบถามว่า ตลอดหลายวันของการเข้าค่าย ในหัวของมอลลี่มีสิ่งใด มีภาพอะไร และเสียงในหัวเป็นอย่างไร แม้นั่นจะเป็นบาดแผลของมอลลี่ แต่การให้มอลลี่ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวโดยใช้คำถามเฉพาะที่เจาะจงไปที่ ‘ความรู้สึก’ และ ‘สถานการณ์ใดหนึ่ง’ ทำให้เห็นว่าปัญหาของมอลลี่ ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของแอน แอนเพียงได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของมอลลี่เท่านั้น

และนี่คือ ภูเขาน้ำแข็งของ ‘มอลลี่’

  • พฤติกรรม: สร้างระยะห่าง ฉุนเฉียวง่าย
  • Coping Stance: มนุษย์เหตุผล
  • ความรู้สึก: เจ็บปวด หลงทาง ผิดหวัง เศร้าลึก ไม่มั่นคง
  • ความเข้าใจ: ฉันจบความรู้สึกเจ็บปวดเพราะผู้ชายคนนี้ได้, ฉันไม่เจ็บ, เรื่องนี้ไม่ได
  • ส่งผลอะไรกับฉัน, มันไม่ใช่เรื่องใหญ่, เดินต่อไป, ฉันต้องการพื้นที่
  • ความคาดหวัง
    – ความคาดหวังต่อตัวเอง: ฉันไม่ควรเจ็บแบบนี้, ไม่ควรสนใจเขาอีก, ฉันต้องมีความสุขอีกครั้ง, ฉันต้องควบคุมมันได้
    – ความคาดหวังต่อคนอื่น: ทุกคนต้องเข้าใจฉัน
  • ความปรารถนา: ความสงบ, ความเข้าใจ, ความสัมพันธ์ การยอมรับ ความรัก

การพูดคุยครั้งนี้ ชัดเจนว่าความรู้สึกที่มอลลี่มีต่อ ‘คนอื่น’ ส่งผลกระทบต่อแอน เมื่อเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าว มอลลี่จึงอยากสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจกับแอน

ภูเขาน้ำแข็งของ ‘แฟรงค์’

ระหว่างที่แฟรงค์พยายามหากิจกรรมให้ตัวเองทำตลอดเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานการณ์มาคุของสองสาว เมื่อแอนและมอลลี่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนปรับความเข้าใจไคลน์ จึงดึงแฟรงค์กลับมาเพื่อให้เขาได้มีส่วนร่วมกับการพื้นที่พูดคุยตรงหน้า สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แฟรงค์เผื่อเขาอาจอยากแลกเปลี่ยนเพื่อค้นหาภูเขาน้ำแข็งของตัวเอ

  • พฤติกรรม: หลีกเลี่ยง, หาทางให้ตัวเองยังวิ่งวุ่นวายเสมอ
  • Coping Stance: กลไก ‘เฉไฉ’
  • ความรู้สึก: กลัว รู้สึกว่ามีอย่างอื่นที่มีอิทธิพลเหนือกว่า
  • ความรู้สึกต่อความรู้สึก: ไม่สบายใจ, อึดอัด, เศร้า
  • ความเข้าใจ: มีปัญหาเยอะเกินไป, วุ่นวายเกินไป, ไว้ใจใครไม่ได้
  • ความคาดหวัง
    – ความคาดหวังต่อตัวเอง: เราควรสงบกว่านี้, เราควรรู้สึกปลอดภัย, เราควรทำงานหนักกว่านี้, เราควรใส่ใจคนอื่นกว่านี้
    – ความคาดหวังต่อคนอื่น: ผู้คนควรมีความรับผิดชอบ, พวกเขาควรเข้าใจเรา
  • ความปรารถนา: ความสงบ, ปลอดภัย, การยอมรับ, ความเข้าใจ, ความยุติธรรม
  • Self: เราอยู่กับความหวาดกลัว จึงไม่อาจให้หรือแบ่งปันแก่ใครได้

ระหว่างที่แฟรงค์ทำงานกับภูเขาน้ำแข็งของตัวเองต่อหน้าหญิงสาวทั้งสอง เขามีความกล้าที่จะอธิบายและบอกเล่าความกลัวของตัวเอง และอย่างน้อยที่สุด เขาได้เข้าใจว่า ‘ความวุ่นวาย’ (ตามที่เคยคิด) ไม่ได้ร้ายแรงและน่ากลัวเท่าในจินตนาการ

ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างการจำลอง ‘ภูเขาน้ำแข็ง’ เพื่อให้เห็นภาพการนำไปปรับใช้ และวิธีการทำงาน อย่างไรก็ตาม ศาสตร์ของซาเทียร์ยังมีอีกมาก หลายระดับ และหลายประเด็น แต่ทั้งหมดเน้นให้ทำความเข้าใจ ‘ความคิดภายใน’ ของตัวเอง

ไม่ได้ให้รู้เพื่อกลัว แต่เพื่อเข้าใจ ทำงานกับมัน โดยเฉพาะคุณครู ผู้ปกครอง สมาชิกในครอบครัว ที่จะนำไปปรับใช้เพื่อเข้าใจกลไกการตอบสนอง พฤติกรรมของตัวเอง และอาจได้คำตอบว่า พฤติกรรมอะไรที่เคยเห็นว่าเล็กน้อย แท้จริงแล้วอาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อคนอื่นอย่างไม่ทันรู้ตัวเลยก็ได้

อ้างอิง:
Satir Model Developmental Phases, The Satir Journal, Vol.3, No.1, 2009
Adventure­Based Therapy with At­Risk Youth Using the Satir Mode, The Satir Journal, Vol.2, No.3, 2008
The Self: Reflections on its Nature and Structure According to the Satir Model, The Satir Journal, Vol. 4, No. 1, 2010
Family Therapy and the Theories of Virginia Satir
The Positive Encourager

Tags:

พญ. นงพงา ลิ้มสุวรรณจิตวิทยาซาเทียร์The Iceberg Model

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Relationship
    เกมของความรัก เกมที่ชนะคนเดียวไม่ได้

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    SAND TRAY THERAPY: ปลดล็อคเรื่องเศร้าที่เล่ายากด้วยการบำบัดในถาดทราย

    เรื่อง

  • Healing the trauma
    เราต่างมีภูเขาน้ำแข็งอยู่ภายใน กลไกป้องกันตัวเองของเราเป็นแบบไหนกัน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    สอบตกไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำยังไงให้เด็กไว้ใจเล่าให้ฟัง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

‘น้อย พรู’ อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน PASSION คือเพลงและลูก
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
16 August 2018

‘น้อย พรู’ อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน PASSION คือเพลงและลูก

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • นั่งคุยนานๆ กับคุณพ่อวัย 47 ที่กำลังมีอัลบั้มใหม่และเพิ่งหัดใช้เฟซบุ๊ค
  • ตัวตนของน้อยจากวันนั้นถึงวันนี้ มีอยู่หลายคำ ทั้งลูกครึ่ง เด็กบ้านรวย มนุษย์ช่าง guilty แต่มี passion อ่อนน้อมและซ่อมตัวเองอยู่เสมอ
  • ทั้งหมดคือหยินและหยางของน้อยที่ไม่เคยปิดบังลูก และบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “พ่อซ่อมมันอยู่นะ”
  • ฟีดแบ็คของลูกๆ คือยอมรับ เข้าใจ ไกลไปถึงขั้นเปิดใจกับพ่อ (แห่งพรู) ว่า “อยากเป็นแบบ จัสติน บีเบอร์”  
เรื่อง: วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

หลังจากมีเฟซบุ๊คเป็นของตัวเอง Are we famous? คือ คำถามแรกจากลูกๆ  หลังจากเห็นภาพครอบครัวที่พ่อโพสต์ตอนเที่ยวศรีลังกา มีคนเข้าถึงกว่า 1.5 ล้านคน

น้อยไม่ได้บอกเราว่า ตอบลูกว่าอะไร

“น้อยก็อยาก trust people ด้วย แม้มีคนสอนว่าอย่าไป trust ใครนะ แต่ I want to trust people มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร โอเค น้อยไม่ใช่ ณเดช ที่จะมีแฟนมาตาม แต่ I would like to trust people แล้วเขาก็ respect เรานะครับ”

ไม่ใช่แค่โลกออนไลน์สีฟ้าที่ ‘น้อย พรู’ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หมายความถึง แต่เขาอยากจะไว้ใจและรู้สึกปลอดภัยในโลกทั้งใบที่สร้างเขามาตลอด 47 ปี

โดยเฉพาะเป็นโลกใบเดียวกับที่มีลูกทั้งสองคนอยู่ด้วย

แถมเป็นลูกที่รบเร้าพ่อ ขอมีเฟซบุ๊คในเร็ววัน อยากเป็นยูทูบเบอร์ และมีจัสติน บีเบอร์เป็นฮีโร่!

เพราะอะไรคุณน้อยถึงเข้ามาเล่นเฟซบุ๊ค ก่อนหน้านี้เราไม่ได้เห็นคุณน้อยในโซเชียลมีเดียเลย

พูดตรงๆ ก็เพราะว่ากำลังจะปล่อยอัลบั้มใหม่หลังจากหายไปประมาณ 12 ปี แล้วทุกคนก็บอกว่าต้องมีเฟซบุ๊คด้วย ถ้าอยากให้แฟนเพลงของเรากลับมา connect กับเพลงใหม่ น้อยทุ่มเทกับอัลบั้มมาประมาณ 7-8 ปี เหนื่อยมาก แล้วอยากให้เพลงไป connect กับทุกๆ คนมากสุดเท่าที่ทำได้

อีกอย่างหนึ่ง ด้วยความที่เราหายไปนาน แต่เราก็โชคดีที่มี fan base ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง น้อยจึงรู้สึกว่าเราต้องเริ่ม re-connect กับเแฟนพลงของน้อย

พูดตรงๆ มันมีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เวลาเรามีอัลบั้มใหม่ มันต้องมีเงินทำ MV ต้องมีเงินทำ marketing เราต้องมีเงินเพื่อที่จะให้คนรู้จักเพลงเรา เดี๋ยวนี้เวลาเราหาสปอนเซอร์ต่างๆ เขาก็บอกเราในสัญญาเลยว่าต้องมี เฟซบุ๊ค ต้องมี อินสตาแกรม เขาถึงจะสปอนเซอร์เราได้ และเราก็อยากให้ผลงานเราไปถึงคนได้

เพลงที่น้อยทำก็เพื่อแฟนเพลง น้อยไม่ได้สนใจที่จะมาโชว์ชีวิตส่วนตัวเราว่าเป็นยังไง เราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น คิดแค่ว่า ถ้าน้อยมีแฟนเพจ น้อยอยากทำอะไรที่มันสร้างสีสัน ให้เขาอยากเข้ามาดู แล้วน้อยก็ทำได้ประมาณนึงแล้ว แต่ก็ยังหัด ต้องใช้เวลาคุ้นเคยกับมันอยู่

ถ้าไม่มีอัลบั้มใหม่ ก็อาจจะไม่เล่นเฟซบุ๊คเลย?

ใช่ ไม่เล่น น้อยไม่รู้ว่าทำไมต้องเล่นด้วยซ้ำ ทำไมต้องไปถ่ายว่าตัวเองกินอะไรด้วย พูดเล่นนะฮะ แต่ว่าเราอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปถ่ายภาพ (หัวเราะ) แต่อย่าเข้าใจผิดนะ น้อยรู้ว่าทำไมบางคนเขาเล่น มันเป็นการทำมาหากินของแวดวงบันเทิง หรือแวดวงอะไรก็ได้ ก็เข้าใจว่าเขาก็ต้องโพสต์ภาพเพื่อมี following เขาก็มีสปอนเซอร์ มีเงินสร้างบ้าน แต่บางคนก็มีเพื่อความสนุกด้วยนะครับ มันก็เข้าใจ แล้วก็ connect กับคนนู้นคนนี้ แต่น้อยไม่ได้ต้องการตรงนั้น

ถ้าทำเพื่อแฟนเพลงแล้วเขาสนุก เขาสนใจ น้อยสามารถโชว์อะไรที่มันสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เขาคิดได้ น้อยก็จะโอเค โพสต์ได้ ล่าสุดที่น้อยโพสต์เรื่องไปเที่ยวที่ศรีลังกา น้อยคิดว่าน่าสนใจ มีอะไรแปลกใหม่ให้นำเสนอ แต่เดี๋ยวน้อยไปอเมริกา น้อยก็คงไม่โพสต์ เพราะไม่รู้ว่าน่าสนใจตรงไหน เพราะทุกคนก็เคยเห็นซานฟรานซิสโกมาก่อนแล้ว

ถ้าเราคุยบนฐานว่า มนุษย์คนหนึ่งมีคาแรคเตอร์ที่หลากหลาย คุณน้อยมีคาแรคเตอร์ที่มากกว่าหนึ่งหรือเปล่า และมีคาแรคเตอร์แบบไหนบ้าง

พอมีเฟซบุ๊ค บางคนก็บอกว่าเสียความลึกลับของพี่เลย มันแมสแล้ว ผมไม่น่าสนใจเท่ากับแต่ก่อน ใช่ ความส่วนตัวมันต้องยอมลดลงไปหน่อย ถ้าถามน้อย ทุกอย่างมันอยู่ที่แพสชั่นเรา น้อยแค่ใช้ชีวิตกับสิ่งที่น้อยรัก กับสิ่งที่น้อยมีแพสชั่น กับสิ่งที่น้อยต้องการที่จะให้มันเกิดนะครับ

ง่ายๆ เลย น้อยชอบทำอะไร มีพรสวรรค์ตรงไหน น้อยก็พยายามทำให้มันเกิดขึ้น อย่างเรื่องธุรกิจเรื่องบัญชีน้อยไม่เก่งเลย น้อยเป็นนักธุรกิจไม่ได้เลย บางทีน้อยก็อยากช่วยสังคมด้วยการพูดคุย ไปสอนคนนู้นคนนี้ แต่น้อยก็พูดต่อหน้าคนดูเยอะไม่ได้ด้วย น้อยจะเริ่มมีปัญหา ทำได้แต่ว่ามือจะสั่น บางทีออกรายการบางรายการก็ไม่กล้าออก

แต่การร้องเพลงมันง่ายกว่าหน่อยเพราะเวลาเราขึ้นเวทีเราสามารถเป็นอีกคนหนึ่งได้ ส่วนมากเพลงพรูจะเป็นเพลงเกี่ยวกับคนนู้นคนนี้ไม่เกี่ยวกับน้อย น้อยเลยสามารถสวมวิญญาณของตัวละครในแต่ละเพลงได้ แล้วมันมีเนื้อให้น้อยร้องด้วย ทำให้เราโฟกัสไปกับเพลงได้ น้อยไม่ต้องเป็นตัวเอง

ส่วนเวลาเราเล่นหนัง พอแอ็คชั่นเราก็กลายเป็นคนละคน มันก็เลยเซฟเพราะเราไม่ต้องเป็นตัวของตัวเอง

การสวมบทบาทเป็นตัวตนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา ทำไมจึงรู้สึกปลอดภัยกว่าการเป็นตัวของตัวเอง

มันเป็นปัญหาของน้อย ปัญหาของน้อยไม่ต่างจากเด็กหลายคนที่ไม่ชอบทำพรีเซนเทชั่นครับ เวลาคนดูเยอะมันจะเริ่มคิดมาก น้อยจะเริ่มสั่น มันเป็นปัญหา psychology ของน้อยที่น้อยสู้มันไม่ได้ เคยคุยกับหมอ และไม่ชอบเวลารู้สึกแบบนี้เลย น้อยรีแล็กซ์ไม่ได้ บางทีคนดูเข้ามา เขาก็อยากเข้ามาฟังน้อยพูด เขาชอบน้อย หมอก็บอก They are there because they like you, you know?. Why are you afraid. น้อยบอกว่ามันเป็นกำแพง น้อยซ่อมไม่ได้ น้อยเคยเล่นโชว์มาก่อน บางทีโชว์พังไปเลยนะครับ

พังแบบ บางทีคนดูไม่ออก แต่วันนั้นคนดูออก ตอนร้องใจมันไม่อยู่แล้ว คนเขาดูออกว่าไม่ได้อินกับเพลงไปเท่าไหร่แล้ว สายตาก็บอกว่าไม่อยากอยู่บนเวทีนี้เลย แต่ต้องอยู่ เขาอุตส่าห์จ้างเราแล้วเราก็จะเริ่มสร้างความกดดันให้กับตัวเอง เราต้องเป็น professional มากกว่านี้ มันไม่ต่างจากนักบอลที่เล่นในสนามเก่งจะตาย แต่ไม่ชอบให้สัมภาษณ์ อย่างเมสซีก็ไม่ชอบให้สัมภาษณ์เพราะ He is a football player. มันเหมือนนักบอลเวลาได้ลงสนาม เราได้เป็นคนละคน เราได้ตะโกน มันเป็นเวทีให้เราปลดปล่อย

อย่างเรา เวลาไปถึงที่ perform แล้วเราเป็นหนึ่งในเสียงเพลง รอบข้างเราก็ flow ไปหมด มันรู้สึกดีมาก รู้สึกมหัศจรรย์มากเลย แล้วการที่เราจะไปถึงความรู้สึกนั้น บางทีเราลำบาก ทรมาน แต่มันคุ้มค่ากับการที่เราไปถึงความรู้สึกนั้น ถึงผมจะมีปัญหานี้ แต่มันก็มันดี ทำให้ชีวิตสนุกดี ทุกโชว์ไม่เหมือนกัน มันสนุกตรงที่เสี่ยงเสมอ

เวลาที่คนทำเพลงบอกว่า ผมทำเพลงขึ้นมาจากตัวตนของผม มันคือตัวตนของผม หมายความว่ายังไง

ผมก็พูดแทนศิลปินคนอื่นไม่ได้นะ ทุกอย่าง เนื้อหาที่เล่าเกิดจากตัวตนผม แต่น้อยไม่ได้เขียนเนื้อภาษาไทย เนื้อจะเป็นภาษาอังกฤษก่อน น้อยก็โชคดี มีคนเก่งๆ อย่าง บอย โกสิยพงษ์ บอย ตรัย แสตมป์ ช่วยเขียนเนื้อไทยให้ ส่วนเรื่องดนตรี น้อยทำเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เลย บางทีก็แอบน้อยใจคือไม่เคยมีใครรู้ว่าน้อยคิดคอนเซ็ปท์เนื้อแล้วเขียนเพลงให้วงพรูทุกเพลง ทุกคนจะนึกว่าร้องอย่างเดียว แต่พอทำอัลบัมนี้คนเดียว น้อยไม่มี สุกี้ หรือ ยอด, คณิน มาช่วยเสริมไอเดีย น้อยต้องแต่งเองหมด น้อยจะเขียนพวกนี้ไว้หมดเลยจากจินตนาการน้อย หรือแม้แต่เพลงนี้เริ่มด้วยช้าแล้วกลับมาแรง น้อยจะเป็นคนเรียบเรียงทั้งหมดเพื่อให้ได้อารมณ์ที่เป็นน้อย

ของพวกนี้เป็นสิ่งที่คนไม่เห็น แล้วมันก็เป็นเรา มันก็เลยเป็นอย่างนี้ อัลบั้มมันเลย personal มาก เหมือนเป็นลูกเราเลย

คำว่า ‘มันเป็นเรา’ มันถูกสร้าง ถูกหล่อหลอมมาจากอะไรบ้าง

มองได้หลายแง่มุมนะครับ เหมือนศิลปินเราทุกคนได้อิทธิพลมาจากคนนู้นคนนี้ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาทุกอย่างให้มันกลายมาเป็นตัวเราเองได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นท่าเต้น น้อยก็ไม่ได้อยากเต้นฮิปฮอปหรือว่าบัลเล่ต์ 100 เปอร์เซ็นต์ น้อยก็หยิบนักเต้นที่เก่งที่สุดในโลก จาก ไมเคิล แจ๊คสัน บ้าง จาก บรูซ ลี บ้าง ผสมผสานให้ได้มาเป็นตัวน้อย น้อยก็ต้องหาวิธีที่มันเป็นน้อยให้ได้มากที่สุด

ศิลปินหลายคนก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปินที่เรานับถือ แต่ทุกคนก็ไม่อยากเหมือนใคร เราก็พยายามอยากมีเสน่ห์เฉพาะ ถ้ามีเสน่ห์เฉพาะตัว identity เราจะชัดเจน แล้วเราก็จะอยู่ได้นานหน่อยในช่วงแรกๆ แต่ในสุดท้ายมันก็คือการ be yourself แต่การ be yourself มันยาก กว่าจะสร้างการยอมรับ มันต้องใช้เวลา มันต้องพิสูจน์ตัวเองจริงๆ

‘ลูก’ น้อย

ตอนที่อยู่กรุงเทพคริสเตียน คุณน้อยโดนเพื่อนล้อ มีเรื่องชกต่อย จนต้องย้ายโรงเรียน?

ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ ช่วงนั้นไม่ได้พยายามอยากเป็น someone อายุสิบขวบเอง ห่วงเล่นอย่างเดียว ไม่ได้อยากพิสูจน์ตัวเองอะไรในวัยนั้นนะครับ สมัยนั้นลูกครึ่งยังไม่เยอะ เลยยังไม่ได้เป็นนักแสดง โดนล้อที่โรงเรียนกับพี่ชาย เลยย้ายไปอยู่โรงเรียนอินเตอร์แทน มีทั้งฝรั่ง คนไทย แอฟริกัน ญี่ปุ่น มีหมดเลย ก็เลยรู้สึกแฮปปี้

ที่น่าตลกคือผมเคยกลับไปเล่นที่โรงเรียนคริสเตียนด้วยเมื่ออัลบั้มแรก สวัสดีครับ ผมเคยเป็นศิษย์เก่าที่นี่นะครับ แต่ตอนนั้นไม่ได้บอกหรอกว่า พวกคุณชกต่อยผม

จริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้เป็นปัญหาเลย แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ตัวเองอยากได้การยอมรับมากกว่า การเกิดมาแล้วครอบครัวมีฐานะ เหมือนชีวิตมาง่าย

พอเรามาร้องเพลงร็อค เต้นบัลเล่ต์บ้าๆ บอๆ แบบนี้ มันก็มีคนหมั่นไส้ แต่เราก็เข้าใจว่าทำไมเขาหมั่นไส้ ก็ ‘พี่ชายก็เป็นเจ้าของค่ายเบเกอรี่ ได้ออกอัลบั้ม มีเงินอยู่แล้ว’ น้อยก็เริ่มรู้สึกอยากพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นว่าฉันทำได้ อยากได้การยอมรับ รู้ว่าต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง

จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าเราโชคดี เหมือนน้อยไม่ได้รู้สึกว่าน้อยมีชีวิตอยู่ในโลกจริง ชีวิตจริงคือคนที่ลำบาก ไม่ว่าจะเป็นคนก่อสร้างตรงข้ามบ้าน หรือคนที่เหนื่อยกับชีวิตจริงๆ น้อยไม่ได้อยู่ในชีวิตจริงแบบนั้น เนื้อหาเพลงของน้อยก็จะเป็นเพลงเกี่ยวกับคนอื่นไม่เกี่ยวกับน้อย เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่มันจะเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ คือน้อยไม่มีทางที่จะเล่าเกี่ยวกับตัวเอง เพราะแรงบันดาลใจเกิดจากคนที่เคยล้มมาก่อนและเหนื่อยจริงๆ แล้วสุดท้ายได้เจอแสงสว่าง นั่นคือ story of inspiration ไม่ใช่คนแบบเรา

แล้วมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้น้อยเล่นหนังไทยด้วย มันเป็นวิถีทางที่จะทำให้น้อย connect กับคนตามท้องถนนได้ ไม่ได้อยู่ในโลกโรงแรม โลกนั้นก็ไม่ได้ผิดนะครับ แต่เรารู้สึก guilty เราอยากพิสูจน์ อยากให้เขายอมรับเรา ว่าเราพยายามนะ เราอาจจะดูเหมือนได้มาง่าย แต่ว่าเราก็พยายาม แล้วเราก็เก่งนะ แล้วผลงานเราก็มีคุณค่านะ มันก็ช่วยน้อยผลักดันสร้างผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

น้อยเพิ่งไปร้องในเรือนจำมา บางคนอายุ 30 บางคนก็อยู่ในคุกมา 20 กว่าปีแล้ว พอถามว่ามีใครรู้จักน้อยไหม ก็ยกมือกันบ้าง แต่พอถามว่ามีใครรู้จัก จ๊อด ฮาวดี้ จากหนังเรื่อง ‘อันธพาล’ ไหม โอ้โห เขาก็ยกมือกันเยอะเลย

น้อยก็ดีใจ เขาจำคาแรคเตอร์น้อยได้แต่เขาจำน้อยไม่ได้หรอก เขาจะจำผลงานเราได้

ตอนไหนที่คุณน้อยเริ่มคิดเรื่องการสร้างตัวตนขึ้นมา

ทุกอย่างต้องเริ่มมาจากแพสชั่นก่อน เรามีแพสชั่นอะไรเราก็อยากให้มันเกิดขึ้นมา ตอนเด็กๆ จะเก่งด้านกีฬานะครับ มี identity นักกีฬายอดเยี่ยมของโรงเรียน นั่นเป็นสิ่งที่โชคดี แต่เราก็รู้ว่าเราไม่ได้เก่งพอที่จะไปโปร พอไปเรียนต่อก็ไม่รู้จะเรียนอะไร ก็ไปเรียนด้านธุรกิจครอบครัว-การโรงแรม ปีแรกไม่ชอบเลย เลิกเลย ก็ดูว่าตัวเองชอบอะไรวะ น้อยก็ชอบ culture อยากรู้ว่าคนนี้เกิดมายังไง เขาคิดยังไง ก็เลยเริ่มเรียน anthropology (มานุษยวิทยา) เรียนเกี่ยวกับคนรอบโลก สังคม ศาสนา แต่ละคนใช้ชีวิตยังไง โสเภณีเป็นยังไง ทำไมเขาใช้ชีวิตแบบนู้น

ในเวลาเดียวกัน เราเป็นคนมีข้างในเยอะและเก็บมันเสมอ เมื่อก่อนเป็นนักกีฬาเราระบายได้ แต่ ณ ตอนนั้นเราทำไม่ได้ เวทีที่จะปลดปล่อยมีแค่นักกีฬา นักแสดง นักร้อง หรือไม่ก็นักการเมือง (หัวเราะ)

เป็นจุดเริ่มของการเป็น performer (นักแสดง) เพราะมันเป็นแพลตฟอร์มที่ให้เราปลดปล่อย มันเหมือนเด็กทั่วไปที่ไปดูหนัง ได้ร้องไห้ สนุกดีว่ะ กลายเป็นคนละคน แล้วน้อยก็ได้เรียนรู้คนทั่วไปด้วยว่าเขาคิดอย่างนี้ทำไม น้อยก็เลยตัดสินใจเลือก Minor เป็น Theatre (Major มานุษยวิทยา) ที่มหาวิทยาลัย แต่ไม่สนุก ไม่ชอบ เลยรีบเรียนให้จบแล้วย้ายไปอยู่นิวยอร์ค ที่คนหลายชาติ คนแขก คนอินเดีย คนผิวดำ คนผิวขาว ญี่ปุ่น จีน ทุกคนที่เก่งที่สุดในโลกไปอยู่ที่นั่นกันหมด เราได้ฝึกฝนการแสดง เริ่มใช้ชีวิตเหมือนนักแสดง กลางวันเราไปออดิชั่น กลางคืนก็เป็นบ๋อยเสิร์ฟอาหาร ใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้นประมาณ 4-5 ปี ก็ไม่สำเร็จ แต่ได้ฝึกฝน แต่เราก็ตัดสินใจกลับมาเมืองไทยตอนอายุ 25

กลับมาเพราะอะไร

มันอาจจะเป็นความผิดของผมเองด้วย ผมอาจจะดูหน้าเอเชียไปสำหรับเขา แม้แต่สำหรับคนไทยผมดูหน้าฝรั่ง แต่กับลูกครึ่งหลายคนก็ยังมองเราเป็นเอเชีย ผมอาจไม่มี charisma บางคนเกิดมาก็มีรังสีเป็นพระเอก ความพยายามผมก็สู้คนอื่นไม่ได้ด้วย นักแสดงคนอื่นแก่กว่าแต่ก็ฝึกหนักว่า ทำให้คิดว่าผมอาจจะไม่มีวินัยพอรึเปล่าวะ แต่ผมยังมีทางเลือกคือมาเมืองไทย ที่นี่แข่งขันไม่เท่าที่นู่น โอกาสทำสิ่งที่เรารักมันง่ายกว่า

ตอนนั้นสุกี้กำลังเปิดเบเกอรี่มิวสิคพอดี แล้วเราก็ได้ทำสิ่งที่เรารักที่นี่ แต่กลับมาก็ทำเบื้องหลังเบเกอรี่ 5 ปี เริ่มคุยกับพี่ชาย

เมื่อไหร่จะออกอัลบั้มซักทีวะ สุกี้ก็มัวแต่บริหารเบเกอรี่ น้อยก็ทำงานเบื้องหลัง หาโปรดิวเซอร์ให้โมเดิร์นด๊อก เขียน bio ให้ โจอี้ บอย แล้วเมื่อไหร่จะเป็นตาเราที่ขึ้นไปบนเวทีบ้างวะ กูจะ 30 แล้วเนี่ย ช่วงเวลาพีคเราหายไปหมดเลย จะไปแกรมมี่ ไปอาร์เอสก็ไม่ได้ เพราะว่าพี่ชายเราอยู่ที่เบเกอรี่ (หัวเราะ)

กว่าจะมาเป็นนักร้องได้ตอนอายุ 31 น้อยเริ่มสายมากเลย ก็ไม่ได้เสียดายหรอกกับการเป็นนักร้องแค่แป๊บเดียว (6 ปี-พรูชุด 1, 2) หลังจากนั้นก็หายไป จนถึงวันนี้อายุ 47 ปี

มันจึง Connect กับการที่เราอยากได้รับการยอมรับด้วยหรือเปล่า

ใช่ครับ มันใช้เวลาก่อนที่เราจะหา identity เจอ แล้วไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องมี identity คุณถึงจะต้องมีความสุข คุณต้อง ‘อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน’ (หัวเราะ) ไม่ได้ล้อเพลงแม่ ไม่ได้ล้อบอย แต่นั่นมันเป็นเพลงที่เราสามารถ connect ได้ เพลงนี้ที่มันฮิตเพราะส่วนมากความฝันเราไม่เป็นจริงครับ เราต้องยอมรับมัน

มันต้องใช้เวลากว่าจะเข้าใจตัวเอง เหมือนน้อยไม่เชื่อเรื่องคุณทำอะไรมุ่งมั่น 100 เปอร์เซ็นต์แล้วคุณจะสำเร็จ ถ้าเกิดบอกกับเด็กที่เล่นกีฬาแล้วเขาไม่มีพรสวรรค์จริงๆ โอเคอาจจะเล่นได้ระดับหนึ่งแต่ไม่เก่งพอ เราต้องดูว่าเขาอยากทำด้านไหนนะครับ มันใช้เวลากว่าจะเรียนรู้และยอมรับ

แต่บางคนก็มีความพยายามสูง อาจจะทำได้ เราต้องสามารถมองตัวเองได้ แล้วมันยากมากที่จะมองว่าพรสวรรค์ฉันประมาณไหน แล้วต้องมีคนช่วยซัพพอร์ตเราอย่างถูกต้องด้วย คือคนที่เชื่อมั่นในตัวเรา ตรงนั้นสำคัญ

แต่มันก็… ยากนะ แม้แต่ศิลปินรุ่นเราก็ยังยาก

เราก็ต้องรู้ว่า เฮ้ย เวลาคุณหมดแล้วนะเว้ย โดยเฉพาะวงการบันเทิง วงการเพลง ไม่ว่านักแสดงไทยหรือนักแสดงเมืองนอก วันหนึ่งโทรศัพท์มันจะไม่กริ๊งแล้วนะ เขาจะไม่ชวนคุณมาเล่นแล้วนะ เพราะอายุคุณมากแล้ว

มันไม่ใช่บทพระเอกนางเอก เมืองนอกอาจจะอยู่ได้นานกว่าหน่อย ถึงเวลาที่คุณจะต้อง มีแพสชั่นอื่นที่ไม่ใช่แค่การแสดงอย่างเดียว แต่มันก็ยากนะสำหรับใครหลายคน เพราะ Nothing last forever นอกเหนือจากพี่แอ๊ด คาราบาว (หัวเราะ)

ระหว่างการค้นหาตัวเองหลายๆ ครั้ง คุณพ่อคุณแม่ซัพพอร์ตอย่างไรบ้าง

ผมโชคดีมีพ่อแม่ที่ดี คุณแม่รู้เสมอว่า เราจะทำอะไรต้องตั้งใจอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หลายคนมักจะลืมเรื่องคุณพ่อผม หลายคนจะพูดถึงคุณแม่อย่างเดียวจนคุณพ่อน้อยใจ เพราะคุณพ่อผมไม่ได้เกิดมามีฐานะเหมือนคุณแม่ คุณพ่อเกิดมาเป็น farmer แล้วก็ย้ายมาอยู่เมืองไทย

ตอนเเด็กๆ คุณพ่อเห็นว่า ลูกฉันสบายมาก อยู่บ้านมีแม่บ้าน เขาไม่อยากให้ลูกเกิดมาแล้วรู้ว่าทุกอย่างได้มาง่าย

เช่น น้อยเล่นเบสบอลเก่งสุดในระดับอายุต่ำกว่า 15 ปี พ่อบอกไม่เอา ยูต้องไปเล่นกับลีค 15-18 ปีแล้ว แต่น้อยก็ไม่อยากเพราะว่าอยู่ตรงนี้เก่งที่สุด น้อยดีใจแล้ว แต่พ่อไม่เอา ยูต้องพัฒนา น้อยก็เลยต้องไปเล่น แล้วก็ไปให้เก่งที่สุด พ่อน้อยไม่อยากให้รู้สึกว่าชีวิตได้มาง่าย

เขา (พ่อน้อย) จะสอนว่าต้องมีวินัย เพราะคนอเมริกันจะมีวินัยสูง บางทีที่เขาได้เปรียบกว่าเราเพราะวัฒนธรรมเขามีวินัยสูงมาก ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดี ข้อไม่ดี คือที่อเมริกา การเป็นนัมเบอร์วันเนี่ย มันอาจจะถูกปลูกฝังมาแล้วว่าชีวิตต้องพยายาม ต้องสู้ ต้องทำให้ดีที่สุด เขาก็เลยมีวินัยสูงที่จะไปไกลในทุกด้าน

แต่ว่าบ้านเรา culture คือสบายๆ ไม่ต้องไปคิดมาก อย่างนักกีฬาไทยเคยพูด In Thailand, if I said that I want to be number 1, people think I’m showing off. คือพูดไม่ได้ว่าฉันอยากเก่งที่สุดในประเทศ เกิดมาแล้วต้องถ่อมตัว แล้วคนก็จะชอบ สิ่งนี้เป็นปัญหา มันทำให้เราสบายๆ เวลาเราไปเจอระดับนู้นจริง เราไม่ชินเลย เราสู้เขาไม่ได้เพราะเราไม่ได้เกิดมาใน culture แบบนั้น

การฝึกฝนของคุณพ่อ ส่งผลมากแค่ไหน

ส่งผลมาก เพราะพ่อก็เป็นคนดี ซื่อสัตย์ แบบ Classic American แล้วเขาก็สร้างพื้นฐานนี้มาให้เรา แล้วมันยิ่งทำให้น้อยมีปมด้อย ช่วงนั้นน้อยกลุ้มใจ ออกอัลบั้มแรกตอนนั้นพันทิปด่าแรงมากเลย สมัยนี้ก็ยังด่าแรง (หัวเราะ) เข้าไปดูในเว็บบอร์ด น้อยเคยโดนว่า ได้ออกอัลบั้มทันที เป็นคนมีเงิน พี่ชายเป็นเจ้าของเบเกอรี่ น้อยก็แบบ ยูไม่รู้ว่าไอเคยพยายามที่อเมริกามาก่อน ไอเฟลมาเยอะนะเว้ย ไม่ใช่ว่ามาง่ายเว้ย แต่เขาไม่แคร์เรื่องนี้หรอก แต่น้อยก็เข้าใจนะ ก็พิสูจน์ I’ll prove you that I’m good. I’m good enough.

น้อยไม่ได้คิดว่ามีอัลบั้มแรกจะเก่งแล้ว ต้องใช้เวลาที่จะพิสูจน์ตัวเอง ก็เลยคิดตรงนั้นเสมอ

เกิดมาน้อยก็รู้สึก guilty ที่ตัวเองโชคดี น้อยก็เลยอยากได้การยอมรับจากทุกคนบนท้องถนน อยาก connect กับเขาได้ ถึงอยากเล่นหนัง เล่นหนังก็มาช่วยตรงนี้ได้เนอะ เขาก็อยากมาจับมือ เราก็สร้างคอนเนคชั่นกับเขาได้

คุณแม่รับรู้ถึงความรู้สึก Guilty ในความโชคดีนี้ไหม

คุณแม่เป็นคนมั่นใจ เขารู้ดีว่า… ยูต้องทำตัวประมาณนึงนะ เขารู้ว่าอย่าไปอวด มันต้อง honest (ซื่อสัตย์) กับชีวิตครับ ชีวิตมัน variety มีเหตุการณ์หลากหลาย ไม่ว่าจะอยู่โรงแรมที่สวยงาม หรืออยู่เกสต์เฮาส์คืนละ 500 บาท น้อยก็อยู่ได้ สวยด้วย มันก็มีเสน่ห์ของมัน

เดี๋ยวลืม…ต้องขอบคุณคุณแม่ด้วยนะ เดี๋ยวคุณแม่น้อยใจ ทำไมไม่พูดถึงแม่เลย (หัวเราะ) แม่น้อยก็ดี แม่น้อยเจ๋งครับ แม่น้อยเหมือน Romeo & Juliet ซ่านะ ตอนแรกเขาหมั้นกับผู้ชายที่มีฐานะ เสร็จแล้วก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนที่อเมริกากับผู้ชายคนนั้น แล้วแม่ก็ชอบร้องเพลง ตอนนั้นยุค 50s ไม่ค่อยมีผู้หญิงเอเชียที่ชอบร้องเพลง เผอิญพ่อเป็นหนึ่งในสามนักร้อง backup แล้วแม่ก็ตกหลุมรักพ่อ พ่อเป็นคนไม่มีเงินอะไรเลย พอคุณตารู้ คุณตาระเบิดเลย ส่งจดหมายห้ามพ่อมาเมืองไทย แล้วแม่ก็ rebel (ขบถ) ไม่! ฉันจะแต่งงานกับคนนี้ ต้องขอบคุณคุณแม่ที่ซ่า ไม่งั้นไม่มีน้อยเกิดขึ้นมา Thanks mom.

‘พ่อ’ น้อย

ในบทบาทคุณพ่อ แบ่งหน้าที่ดูแลลูกกับภรรยาอย่างไร

ก็ใกล้เคียงกับที่พ่อดูแลน้อย แล้วก็สอนน้อย การที่น้อยพยายามแล้วก็พิสูจน์ตัวเองเสมอ น้อยก็ให้ลูกน้อยเห็นเหมือนกัน น้อยอยากให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้มาง่าย

คุณพ่อน้อยสอนลูกอย่างไรบ้าง

ผมก็ strict เหมือนกัน แต่จริงๆ ทุกคนก็สปอยล์ลูกนิดหน่อยเนอะ ยาก เพราะเห็นคนอื่นเลี้ยงลูกแล้วก็ชอบบอกว่า สปอยล์ลูก ตามใจลูก แต่เวลาเรามีลูกบ้างเราก็เริ่มตามใจเหมือนกัน ลูกเราอะเนอะ เราก็อยากให้เขาแฮปปี้ ต้องระวังด้วยเนอะ

ก็มีกฎเยอะเหมือนกัน ลงโทษนิดหน่อย น้อยพยายามไม่ตะโกน แต่บางทีเขาก็ไม่ฟังจริงๆ มันก็ต้องนิดหน่อยถึงจะฟัง (ทำหน้าดุ) อย่าก๊อปปี้น้อยนะ ทุกคนก็มีเทคนิคตัวเอง ยิ่งเล่นคอมนี่แบบ แฟนน้อยก็บอกพูดดีๆ ก็ได้ แต่พูดดีๆ ก็ไม่ฟัง บางทีขอเวลานิดหน่อย ก็จะบอกอีกสิบนาทีๆๆ แต่ถ้าไม่เลิกน้อยจะตะโกนนะ ถ้าเขายังแอบเล่น เราก็แบบ Get off it! Get off it! เขาจะชินมาก (หัวเราะ) ก็มี discipline (กฎ) อยู่เหมือนกัน

พลังความรักต่อลูกมันมหาศาลจริงๆ ตอนแรกนึกว่ามันมหาศาลกับภรรยาแล้วนะ แต่พอมีลูกอีก มันอีกระดับหนึ่ง ช่วงเราจีบแฟนครั้งแรกๆ อยากคุย อยากกอด คุยโทรศัพท์สี่ชั่วโมง มันสุดยอดจริงๆ feeling นั้น แต่มันไม่ last forever แน่นอน แต่กับลูกเนี่ย feeling อยากกอด มันตั้งแต่เดือนนึง ถึง ยี่สิบขวบปี มันตลอดเวลา อยากกอด มันรักอย่างมากทีเดียว ความรักมันมหาศาลจริงๆ แล้วก็หวังว่าเขาจะพิสูจน์ตัวเขาเองได้ในอนาคต ก็กลัวตรงนี้เหมือนกัน เราเลยว่าเขาบ่อย เก็บอาหารเอง! (ทำเสียงดุ) Come on อย่ารอแม่บ้าน

เน้นให้เขาช่วยเหลือตัวเอง?

ใช่ฮะ บางทีเห็นเราเป็นนักร้อง ก็อยากเป็นนักร้องบ้าง แต่ยูรู้รึเปล่า มันยากนะเว้ย อยากเป็นแบบ Justin Bieber ยูต้องซ้อมเยอะๆ นะ It’s not easy แต่เขาก็ยังแค่ 9-10 ขวบเอง ยังเด็กอยู่

กลับไปเรื่อง เส้นทางบันเทิง ถ้าอยากเป็นนักแสดงนักร้อง คอนเนคชั่นไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ อาจจะช่วยช่วงต้นๆ สามารถเข้าวงการได้แป๊บนึง แต่ถ้าจะอยู่นานคุณต้องมีความสามารถจริง เพราะคนที่ judge มันไม่ใช่แค่คนกลุ่มนี้ มัน public เลย ไม่ว่าคุณจะมีคอนเนคชั่นหรือมีเงินเท่าไหร่มันก็ไม่ช่วย มันต้องบอกตัวเองว่า ลูกอยากเป็นนักแสดงจริงๆ หรือ นักร้องจริงๆ ต้องสร้างวินัยตั้งแต่ตอนนี้เลย

เขาอยากเป็น?

นิดหน่อยนะ แต่เขายังไม่รู้ว่ามันยากเท่าไหน คือเด็กหลายคนก็อยากเป็นนะ มันเป็นยุค Youtube แล้ว เดี๋ยวนี้ เป็น Youtuber เขาก็แฮปปี้กันแล้ว มันไม่ต้องมีไอดอลนักร้องด้วยซ้ำ มันเป็นยุค Youtube เขาดูเขาก็ติด คนที่มี Youtube Channel ก็เป็นฮีโร่ของเขาแล้ว โลกมันไปทางนั้นแล้ว ต้องยอมรับ จริงๆ หลายคนก็เริ่มอยากไลฟ์ อยากมีเว็บไซต์ของตัวเอง แล้วก็เป็น Youtube Idol เราสามารถเป็นดาราตัวเองได้แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่อะไร

แต่มันก็ยัง… (นิ่งคิด) ไม่รู้นะ ก็อยากให้มีความสามารถจริงๆ

เรื่องอะไรที่คุณน้อยสอนลูกแล้วย้ำเป็นพิเศษ

อืม (นิ่งคิด) ความพยายาม

ไม่ใช่ Try you best กับสิ่งที่ตัวเองทำ แต่ understand ว่าอีกคนคิดหรือว่ารู้สึกแบบไหน เอาตัวลูกไปอยู่ในตัวเขาสิ เอาวิญญาณลูกเข้าไปอยู่ในตัวเขา ในรองเท้าเขา แล้วจะรู้ว่าเขารู้สึกยังไง แล้วลูกก็จะเป็นคนดีขึ้น

แต่ยังยากที่จะสอนเด็กตอนนี้นะ เพราะเขาคิดถึงตัวเอง อยากทำอะไร เราต้องเริ่มสอนตรงนี้ เขาก็จะเริ่มเข้าใจคนมากขึ้น เขาก็จะรู้วิธี treat คนยังไง

บางที สิ่งที่เราคิดก็ไม่ได้ถูกเสมอ เขาคิดไม่เหมือนเรา บางทีเราว่าเขาไม่ได้ เขาคิดอีกแบบ เพราะเขาเติบโตมาอีกรูปแบบหนึ่ง เราเปลี่ยนใจเขาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือการเมือง ก็ต้องเจอกันครึ่งทางอย่าง compromise ได้

สอนลูกๆ ผ่านการเดินทางด้วย?

ใช่ครับ บางทีการเดินทางก็เป็นสิ่งที่ดี ให้เขาไปอยู่ในที่ที่หลากหลาย ไปดูว่าเขาอยู่ยังไง เขาคิดยังไงกัน ไปอยู่กับเขาสักพัก เพราะว่าสมัยนี้โลกของเด็กทุกคนจะอยู่หน้าจอ ไม่ใช่ยุคพวกเราที่ออกไปวิ่งเล่น จินตนาการเขาก็อยู่แค่หน้าจอ สังคมมัน force ให้เราสื่อสารกันตรงนี้ อย่างน้อยมีแฟนเพจ น้อยก็ต้องเข้าไปแล้ว

ลูกๆ ทราบไหมว่ามี Facebook แล้ว

ทราบฮะ

เขาว่าไงบ้าง

ลูกๆ ก็แบบ มันก็คูลดีนะ โอ้ว Daddy post picture Sri Lanka 1.5 ล้านคนแน่ะ Is there picture of me? Are we famous?

จริงๆ มันก็มีกฎเนอะว่าอย่าไปลงรูปครอบครัว แต่น้อยก็รู้สึกว่า ถ้าเขาอยากรู้ว่าลูกเราหน้าตายังไงก็เข้าไปหาได้อยู่แล้ว จะโอเคกว่าถ้าโพสต์ภาพที่ถูกต้อง แล้วก็โชว์ว่า This is how นี่คือวิธีการเลี้ยงลูก มันก็เป็น positive ได้

แล้วน้อยก็อยาก trust people ด้วย ‘I would like to trust people’ แม้มีคนสอนว่าอย่าไป trust ใครนะ แต่ I want to trust people. มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร โอเคน้อยไม่ใช่ ณเดช ที่จะมีแฟนมาตามเยอะ แต่ I would like to trust people. แล้วเขาก็ respect เรานะครับ ก็ดีฮะ

ลูกๆ มี Facebook หรือ ช่อง Youtube ของตัวเองไหม

ยังไม่ให้มี (หัวเราะ) เริ่มขอกันแล้ว เริ่มขอโทรศัพท์มือถือ แต่เราก็ยังไม่ให้ ลูกสาวเพิ่งมี Line เป็นของตัวเอง เขาก็แฮปปี้ เดี๋ยวนี้ซักอายุ 12-13 ก็ต้องให้เขา มันยาก น่ากลัวมาก สมัยนี้สิ่งที่เขาจะเห็นตามเน็ตเขาก็เห็นได้หมดแล้ว เดี๋ยวนี้ลูกสาวผมเริ่มเรียน Sex Education แล้ว พวกพ่อแม่บางคนต้องทำใจนะ เขาอาจจะรู้สึกว่ามันเร็วไปหน่อย

แล้วเราก็เลี้ยงลูกแบบเปิดเผยว่า ให้เขารู้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น อย่างเรื่อง sex เรื่องเหล้า เรื่องติดยา บางทีเราก็คุยกับเขาแล้ว เราก็บอกว่าบางที ยูจะลองก็ได้นะ แต่ยูอย่าไปติดนะ I don’t mind you trying ไม่ใช่ trying โคเคนนะ แต่อาจจะดื่มไวน์ บางประเทศมันก็สูบกัญชาได้แล้วใช่มั้ยครับ แต่ไม่ใช่อยากให้ลูกไปสูบ (หัวเราะ) เขาก็ต้องเรียนรู้

พ่อแม่น้อยเขาก็ปล่อยให้เราเที่ยวตั้งแต่ 12-13 สมัยนั้นก็ไม่มีที่เที่ยวมากมาย พวกเด็กอินเตอร์เขาก็ไปแถวๆ พัฒน์พงศ์กันหมด ไม่ได้ไปเที่ยวผู้หญิงนะ แต่รวมตัวกันอยู่ในบาร์ เพื่อนผู้หญิงก็ไป ผู้ชายก็ไป ไม่รู้จะไปที่ไหนก็ไปร็อคกันที่นั่นตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ก็ไว้ใจเรา แล้วน้อยก็ไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่เคยดื่มเหล้าอะไรเลยจนถึงอายุ 23 ตอนนี้ชอบสาเกมาก (ลากเสียง) โคตรทุเรศเลย (หัวเราะ)

ลูกๆ เตรียมเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว (9, 11 ขวบ) ?

ก็จวนๆ แล้วฮะ แล้วมันก็ต้อง trust ลูกเรานะครับ แต่เราก็ต้องสร้างพื้นฐานให้ดีก่อน เราก็ต้องคิดว่าเขาจะต้องไม่ตามคนอื่น จะต้องมี identity ที่แข็งแกร่ง แต่มันยาก เด็กบางคนก็ไม่ใช่อย่างนั้น บางคนเกิดมาซอฟท์หน่อย บางคนก็แกร่ง มันต้องดู ทุกคนไม่ใช่สอนวิธีแบบเดียวกัน ต้องดูลูกๆ ว่าเขาเกิดมาเป็นอย่างไร อะไรบ้างที่มี อะไรบ้างที่ไม่มี ต้องดูดีๆ และต้อง respect judgment ของเขาด้วย เราก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย

ตัวอย่างที่ดีอย่างไร

บางทีน้อยก็บอกอย่าไปทำตามพ่อ อย่าก๊อปปี้พ่อ เอาแต่ตัวอย่างที่ดี เช่น ถ้าลูกเห็นน้อย treat ทุกคนด้วย respect ไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้ เขาก็จะเริ่มเรียนรู้ น้อยอยู่เมืองไทย ที่อาวุโสกว่าน้อยก็ไหว้ ใครก็ได้ คนรอบข้าง เราก็ต้องนับถือทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนมีเงินหรือไม่มีเงิน ทุกคนก็ต้องการ respect ทั้งนั้น สำคัญมาก

เขาเห็นเราในจุดนี้ แต่ข้อเสียเราก็มีด้วยนะ ซึ่งเราก็อยากให้เขาเห็น เราไม่ได้เพอร์เฟ็คท์อยู่แล้ว

เขาก็รู้ว่าปมด้อยน้อยคืออะไร อยู่ตรงไหน แต่น้อยแค่ต้องซื่อสัตย์กับเขา พูดความจริงกับเขาว่าพ่อก็มีปัญหาตรงนี้นะ

ให้เขาเห็นทั้งสองด้าน?

ใช่ๆ ไม่ได้พยายามแอบอะไร พ่อพยายามซ่อมมันอยู่แต่มันอาจจะซ่อมไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันต้องบาลานซ์ให้ถูกต้อง

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)กฤษดา สุโกศล แคลปป์ (น้อย วงพรู)

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning TheoryFamily Psychology
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Family Psychology
    พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์: เพราะรักจึงไม่ปล่อยให้ลูกเจ็บปวด ‘เลย’ ?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Growth & Fixed Mindset
    รู้ไหมว่า ‘คำชม’ บางคำ ทำร้ายและกดดันลูกโดยไม่รู้ตัว?

    เรื่องและภาพ KHAE

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”
Early childhoodEF (executive function)
16 August 2018

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • เด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการทางร่างกายและสมองที่ต่างกัน ห้องเรียนพ่อแม่ จะช่วยให้เข้าใจและสร้างพัฒนาการให้กับลูกในทิศทางที่ถูกต้องและควรจะเป็น
  • ในโลกที่มี ‘Wi-Fi’ เด็กจะต้องมี EF (Executive Function) เพื่อควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายในชีวิต
  • การเล่น ไม่ใช่เพื่อเล่น แต่เพื่อสมองที่ดี สมองที่ดีเป็นฐานของ EF ที่ดี เพื่อใช้ควบคุมตัวเองให้ได้ แล้วพาตัวเองไปสู่อนาคตในศตวรรษที่ 21
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

“คิวจิตเวชเด็กมันยาว ยาวเป็นเดือน อย่าพาตัวเองไปถึงจุดนั้น ฉะนั้นเริ่มต้นให้ดีตั้งแต่แรก” ประโยคแรกของนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ก่อนเริ่มการเรียนการสอนใน ‘ห้องเรียนพ่อแม่’ ทำให้ใครหลายคนต้องเอาปากกากับกระดาษขึ้นมาจดอย่างตั้งใจ

ด้วยประสบการณ์ตรวจผู้ป่วยจิตเวชวันละกว่า 100 คนเป็นเวลาหลายสิบปี ทำให้คุณหมอคาดการณ์ได้ว่าเลี้ยงลูกแบบไหนจะได้ผลลัพธ์แบบไหน เลี้ยงแบบไหนถึงจะมีความสุข แล้วจึงนำมาสู่งาน เปิดห้องเรียนพ่อแม่: เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ และพัฒนาการทุกช่วงวัย จัดโดย SCB Academy ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ เพื่อย่อยวิธีคิดทางจิตวิทยามาสู่ครอบครัว ให้พ่อแม่เข้าใจลูก และเห็นโอกาสในการพัฒนาเด็กๆ สู่การเติบโตในอนาคตอย่างเต็มศักยภาพ

ห้องเรียนพ่อแม่เฉพาะกิจนี้ เปิดสอนทั้งหมด 3 วิชา คือ 1. พัฒนาการเด็ก 2. EF (Executive Function) และ 3. ปรับพฤติกรรม

วิชาแรก: พัฒนาการเด็ก

มีกฎสำคัญอยู่ 3 ข้อ

1. Epigenesis พัฒนาการเด็ก: พัฒนาเป็นลำดับชั้น ถ้าเราสร้างชั้นที่ 1 ดี ชั้นต่อๆ ไปจะง่ายขึ้น ถ้าเราสร้างชั้นที่ 1 แข็งแรง ชั้นต่อๆ ไป จะแข็งแรงด้วย

“การพัฒนาเป็นลำดับชั้นหมายความว่า ถ้าพื้นดี ตอนมัธยมเราทุบเขา อย่างมากก็ไปกินเหล้า แล้วก็เลิก แต่ถ้าพื้นไม่ดี เราทุบเขา เขาก็ฆ่าตัวตายได้ ฉะนั้นพวกเราทำฐานให้ดี 3 ปีเท่านั้น”

2. Critical period เวลาวิกฤติ: ในแต่ละช่วงชั้น คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่ต้องทำและทำให้เหมาะกับวัย

“ถ้าไม่ทำ อยากย้อนเวลากลับมาทำ ได้…แต่ยาก เช่น ชั้นที่ 1 คือ 12 เดือนแรก เด็กอยากให้เรา ‘อุ้ม กอด บอกรัก’ ไม่ทำ ตอนเป็นวัยรุ่นชั้นที่ 5 อยาก ‘อุ้ม กอด บอกรัก’ แต่เขาไม่เอา เขาไม่กลับบ้าน ชั้นที่ 1 เด็กอยากให้ป้อนนม แต่ไม่ทำ กลัวติดนม ชั้นที่ 5 เราไปป้อนนม เขาไม่เอา เขาเอาเหล้า”

3. Function หน้าที่: แต่ละช่วงชั้น นอกจากพ่อแม่ เด็กก็มีหน้าที่ต้องทำ ช่วงชั้นละ 2-3 ข้อ

“หน้าที่คือ ตื่นเช้ามาต้องทำ ในแต่ละช่วงชั้น เด็กมีข้อสอบชีวิตต้องผ่าน ถ้าไม่ผ่าน ช่วงชั้นนั้นก็จะผ่านไปด้วยความผุกร่อน ไม่แข็งแรง รอวันที่ถูกทุบ”

เมื่อนำกฎทั้ง 3 ข้อมาผสมรวมกันก็จะได้ดังนี้

12 เดือนแรก: Trust สร้างแม่ที่มีอยู่จริง

มี 2  ขั้นตอน ขั้นแรกคือ ‘สร้างแม่ที่มีอยู่จริง’ ขึ้นมาก่อน เพื่อนำไปสู่ขั้นที่สอง ‘สร้างโลกที่มีอยู่จริง’

สร้างแม่ทำอย่างไร?

“ด้วยการเลี้ยง ‘อุ้ม กอด บอกรัก’ ร้อน พัดลมมา หนาว ผ้าห่มมา เหงา อุ้มลอยขึ้นมา แฉะ ผ้าแห้งทันใด ยุงกัด ตบตายเลย เด็กใช้เวลาสร้างแม่ที่มีอยู่จริง 0-6 เดือน แม่ต้องเชื่อถือได้ เรียกว่า trust”

ขั้นตอนต่อมาคือสร้างโลกที่ไว้ใจได้ ถ้าโลกไว้ใจไม่ได้ หนูไม่ไป นั่งแล้วหงายหลัง ใครจะอุ้ม ไม่มีคนอุ้ม หนูไม่นั่ง ยืนแล้วล้ม ไม่มีคนอุ้ม หนูไม่ยืน เดินไปไม่ไว้ใจ ไม่เดิน แล้วตามด้วยไม่พูด อันนี้เป็นจิตวิทยาว่าด้วยพัฒนาการ ดังนั้นโลกต้องไว้ใจได้ ก่อนโลกที่จะไว้ใจได้ แม่ต้องไว้ใจได้ เด็กจึงจะไว้ใจโลก และจะนำไปสู่สายสัมพันธ์ที่แข็งแรงกับแม่ (และพ่อ)

2-3 ปี: Self สร้างตัวตน

มนุษย์ต้องสร้างตัวตนใหม่ ตัวตนของมนุษย์จะอยู่กับแม่เต็มที่จนประมาณ 3 ขวบ หลังจากนั้นตัวตนจะแยกเป็นอิสระจากแม่ ถ้าสายสัมพันธ์แข็งแรง เขาจะหันกลับมาเป็นระยะๆ

เด็กช่วงนี้ร่างกายจะเริ่มพัฒนา หรือเรียกว่า Autonomy โดยเริ่มที่ตัวเองเป็นศูนย์กลาง การพัฒนาจะเริ่มจากกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อต้นแขน กล้ามเนื้อต้นขา กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ตามลำดับ

function ของเด็กช่วงนี้คือ ดื้อและวางกติกา

ความสามารถในการวางกติกาคือการวางสายสัมพันธ์ และคอยดูว่าคนพูดมีอยู่จริงหรือเปล่า อำนาจผู้สั่งมีจริงหรือไม่ สายสัมพันธ์แน่นหนาพอหรือเปล่า

สามข้อพื้นฐานของ self คือ 1. ห้ามทำร้ายคน ครั้งเดียวก็ไม่ให้ เด็ดขาดตั้งแต่วันแรก 2. ห้ามทำร้ายข้าวของโดยเจตนา 3. ห้ามทำร้ายตัวเอง นี่คือกติกาพื้นฐาน

ช่วงเวลานี้คุณแม่หลายคนเริ่มพาลูกเข้าโรงเรียนอนุบาล คุณแม่โฮมสคูลของลูกสาววัยสามขวบสิบเดือนคนหนึ่ง ยกมือถามคุณหมอว่า ตัวเองต้องทำงานจึงต้องพาลูกไปปรับพื้นฐานที่โรงเรียนอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง แต่ตอนนี้กำลังมีปัญหากับครู

“ครูบอกว่าส่งแล้วให้กลับเลย แต่ลูกสาวร้อง ก่อนหน้านี้ไม่เคยห่างกันเลย ครูบอกว่าถ้าคุณแม่ยังอยู่ จะเป็นการสอนเขาเรื่อยๆ ว่า ถ้าร้องแล้วแม่ก็จะกลับมา ส่วนตัวก็เชื่อว่าอยากให้เขาค่อยๆ ปรับตัว บางโรงเรียนตอนเปิดเทอมเขาจะให้ผู้ปกครองไปเรียนด้วยประมาณ 2-3 อาทิตย์ ก็เลยไม่รู้ว่าจะค่อยๆ ปรับตัวหรือตัดไปเลยดี”

คุณหมอให้ความเห็นว่า ถ้าเอาตามตำรา คำตอบคือต้องปรับตัว หมายความว่า ค่อยๆ เลื่อนจำนวนชั่วโมงที่แม่ลูกอยู่ด้วยกันก่อนจะถอนตัวออก แต่หลังจาก 7 ขวบ ถ้ายังแยกจากแม่ไม่ได้ แสดงว่าเริ่มมีปัญหาแล้ว

“ประเด็นจะอยู่ที่จังหวะการแยก และท่าทีของคุณแม่ตอนแยก สำคัญมากกว่าเวลาที่ใช้ในการปรับตัว แม่ควรมั่นคง ลาให้เรียบร้อย กอด หอม พูดคำว่า แล้วพบกันสี่โมงเย็น หันหลังแล้วเดินอย่างสง่างาม อย่าพิรี้พิไร ตรงนี้สำคัญ

อย่างไรก็ตามผมยังเห็นด้วยกับการค่อยๆ ทำ แม่จะมารับ 10 โมง พรุ่งนี้มารับ 11 โมง วันถัดไปจะมารับเที่ยง อาทิตย์หน้ามารับบ่ายสอง อาทิตย์โน้นมารับบ่ายสี่ ค่อยๆ ทำได้ สรุปคืออยู่ที่ท่าทีของแม่ตอนที่แยก ระยะทางก็ทำได้ เช่น วันนี้ส่งหน้าห้อง สัปดาห์หน้าใต้ตึก สัปดาห์โน้นเสาธง หน้าโรงเรียน เป็นต้น”

4-6 ขวบ: Initiation ริเริ่มสิ่งใหม่

ขั้นนี้เด็กเลื่อนขั้นการพัฒนาจากศูนย์กลางมาที่ ‘นิ้วมือ’ นิ้วมาก่อนสมอง เด็กจึงเล่นมากผ่านการใช้นิ้วมือทั้ง 10

“ให้เล่น ไม่ใช่เพื่อเล่น แต่เพื่อสมองที่ดี สมองที่ดีเพื่อเป็นฐานของ EF ที่ดี เพื่อควบคุมตัวเองให้ใช้ Wi-Fi ได้ แล้วพาตัวเองไปสู่อนาคต นี่คือศตวรรษที่ 21 ดังนั้น EF จะต้องมาเร็วพอสมควร”

การทำงาน เด็กจะพัฒนาจากตัวเองเป็นศูนย์กลาง เริ่มตั้งแต่รับผิดชอบร่างกายของตัวเองให้ได้ เช่น ทำงานบ้าน กินข้าวให้เรียบร้อยบนโต๊ะอาหาร อาบน้ำแปรงฟันด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้ทำให้ได้ภายในสามขวบ

ถัดจากศูนย์กลางก็ขยับออกมาเป็นพื้นที่รอบๆ เช่น กินข้าวแล้วเก็บจานให้เรียบร้อย ตื่นนอนเก็บที่นอนให้เรียบร้อย ขัดห้องน้ำตัวเองด้วยก็ดี เก็บของเล่นให้เรียบร้อย

“ถ้าไปโรงเรียนจัดตารางสอนให้เรียบร้อย อย่าลืมของให้บ่อยนัก ในวัย 4-6 ขวบต้องทำได้ แล้วค่อยๆ เลื่อนออกไปอีกเป็นบ้านทั้งหลัง กวาดบ้านถูบ้าน ล้างจาน เก็บผ้า เทขยะ”

7-12 ปี: Industry สร้างผลผลิต

เมื่อเด็กๆ เข้าสู่สังคมหรือโรงเรียน จากที่เคยเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็จะเริ่มเทน้ำหนักไปยังสังคมและเพื่อนๆ จนเกิดปฏิกิริยาสามข้อคือ

Compete – แข่งขัน ต่อสู้ และชิงดีชิงเด่นกับเพื่อนๆ

Compromise – หลังจากแข่งขัน ก็จะเกิดการรอมชอม ประนีประนอม

Coordinate – นำไปสู่การร่วมเล่น ร่วมทำการบ้าน และทำโครงการด้วยกัน

12-18 ปี: Identity อัตลักษณ์

เคลื่อนเข้าสู่ชั้นมัธยม วัยรุ่นมีหน้าที่ 4 ข้อ

  • หาอัตลักษณ์: ที่ไม่เหมือนพ่อและแม่ เป็นช่วงที่วัยรุ่น ‘ปีกกล้าขาแข็ง’ เพื่อบินไปจากรัง เพื่อเป็นผู้ใหญ่ อิสระ และไม่กลับมาขอเงินอีก
  • คนรัก: สอนให้เขารู้ว่าโลกมี 8 เพศ คือ 1. หญิง 2. ชาย 3. เลสเบี้ยนชาย 4. เลสเบี้ยนหญิง 5. เกย์ชาย 6. เกย์หญิง 7. ไบเซ็กชวล และ 8. ทรานส์เจนเดอร์หรือคนข้ามเพศ
  • แก๊งเพื่อน: เกิดการรวมกลุ่มและเชื่อเพื่อนเพื่อสวามิภักดิ์กับหัวหน้าแก๊ง
  • อาชีพ: การคิดถึงอนาคตเป็นความสามารถระดับสูงของสมองส่วนหน้าที่เรียกว่า Prefrontal cortex

“ทำหน้าที่เหมือนไฟหน้ารถยนต์ ใครแรงกว่า ใครเห็นอนาคตไกลกว่า จะสามารถกำหนดเป้าหมาย วางแผน ตัดสินใจ ลงมือทำ ประเมินแผน ปรับแผน”

วิชาที่สอง: EF-Executive Function

EF-Executive Function หมายถึงความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย (คำนิยามโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปนัดดา ธนเศรษฐกร)

สิ่งสำคัญคือสมอง และต้องมีเป้าหมาย

“ศตวรรษที่ 20 เราทำงานตามสายพาน สมองไม่ต้องมีเป้าหมาย ไม่ต้องคิด เรียนจบขอแค่มีงานทำ แต่ศตวรรษที่ 21 ต่างกัน มี Wi-Fi และเด็กๆ เข้าถึงไอทีได้เร็วมาก เขาจะเห็นว่ามีตัวเลือกเป็นแสน สิ่งเหล่านี้รบกวนความสามารถในการเลือก เขาจะเลือกไม่เป็น หาไม่เจอ เจอก็ไปไม่เป็น คะแนนที่โรงเรียนก็ไม่ช่วยอะไร

ดังนั้นเป้าหมายจึงเป็นเรื่องสำคัญ เด็กที่ EF ดี เขาจะกำหนดเป้าหมาย แล้วไปเอง ระหว่างทางเขาจะประเมินผลแล้วปรับเป้าหมาย ปรับอีกหลายๆ อย่างด้วยตัวเองจนถึงเป้าหมายที่เหมาะสมกับสมอง IQ ความถนัด ความชอบ passion ความหลงใหล จึงเป็นกระบวนการเบ็ดเสร็จของมนุษย์คนหนึ่ง”

EF ที่ดีมี 3 ข้อ

1. ดูแลตัวเองได้ หมายถึง ดูแลร่างกายได้ ได้แก่

  • ร่างกายของตัวเองดูแลได้ภายใน 3 ขวบ เช่น กินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน
  • รอบร่างกายดูแลได้ไม่เกิน 6 ขวบ เช่น เก็บของเล่น เก็บที่นอน
  • งานบ้านทำให้ได้ในไม่เกินประถม เช่น ล้างจาน ตากผ้า เทขยะ
  • งานนอกบ้าน เช่น กินข้าวในร้านอาหาร วิ่งเล่นในห้าง เข้าคิว ไม่งอแงในร้านอาหาร

2. เอาตัวรอดได้ จากสถานการณ์เสี่ยง เข้าและออกจากอบายมุขได้ เช่น มีเซ็กส์ในคืนวันวาเลนไทน์

“อยากมีก็อยาก แต่ก็กลัวท้อง ดังนั้นการมีเซ็กส์แบบ EF คือ สวมถุงยางอนามัย โดยผ่านการควบคุมความคิด อารมณ์ การกระทำที่ดีและมีสายสัมพันธ์กับแม่ที่แข็งแรง เพราะสายสัมพันธ์ของแม่จะดึงรั้งสติของลูกไว้เสมอ

3. มีอนาคต แปลว่ามีทักษะชีวิตที่ดี มองไปข้างหน้า วางแผน ลงมือทำ รับผิดชอบ ยืดหยุ่น ปรับเป้าหมาย ปรับแผนได้ตลอดเวลา ไม่โทษตัวเอง ไม่โทษผู้อื่น พลาดแล้วเริ่มใหม่ ไม่ใช่พลาดแล้วฆ่าตัวตาย

EF ประกอบด้วย 3 วัตถุดิบสำคัญ

1. การควบคุมตัวเอง (self control) คือสามารถจดจ่อได้นาน (focus) ไม่วอกแวก (distraction) รู้จักประวิงเวลามีความสุข (delayed gratification) หรืออดเปรี้ยวไว้กินหวาน

2. ความจำพร้อมใช้ (working memory) เมื่อถึงสถานการณ์ ความจำต้องพร้อมใช้เสมอๆ พ่อแม่มีส่วนช่วยพัฒนาการด้วยการเล่นและฝึกทำงานบ้าน เพราะทั้งสองกิจกรรมจำเป็นต้องบริหารความจำตลอดเวลา

3. การคิดวิเคราะห์ยืดหยุ่น (cognitive flexibility) คือ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ผ่านการเปลี่ยนมุมมอง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งพ่อแม่ช่วยได้ด้วยการส่งเสริมให้ลูกๆ เล่นตั้งแต่ช่วง 2-7 ขวบ และในช่วง 8-12 ปี ทั้งสองช่วงนี้สมองจะวางโครงสร้างด้านตรรกะ การใช้เหตุผล แล้วจึงนำไปสู่การคิดวิเคราะห์ที่ยืดหยุ่นพลิกแพลงต่อไป

“เช่นลูกอยากมีเซ็กส์ แต่ลืมถุงยาง EF จะสอนให้เขาอดเปรี้ยวไว้กินหวาน การคิดวิเคราะห์ยืดหยุ่นจะบอกให้แวะไปซื้อถุงยางที่เซเว่นก่อน ระหว่างนั้นความจำพร้อมใช้จะคอยเตือนว่าท้องตอน ม.5 จะเป็นยังไงนะ แล้วถ้าติดเชื้อ HIV ด้วยล่ะ ทั้งหมดทั้งมวล คำอธิบายว่า รักแม่นะ อย่าทำนะ มันไม่พอแล้ว ความสามารถของสมองอย่าง EF จึงต้องเข้ามา”

วิชาที่สาม: การปรับพฤติกรรม

ก่อนที่พ่อและแม่จะปวดหัวและอยากปรับพฤติกรรมของลูก พ่อแม่จะต้องเข้าใจโลกของเด็กแต่ละช่วงวัยเสียก่อน

แรกเกิด – 1 ขวบ Self Centered: “เด็กเล็ก คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล”

Animism: “ทุกอย่างมีชีวิต เช่น ตุ๊กตามีชีวิตทุกตัว อย่าแยกเขาออกจากกัน”

Magic: ความคิดเชิงเวทมนตร์ “ทุกอย่างเป็นไปได้หมดด้วยเวทมนตร์”

Phenomenalistic Causality: การจับแพะชนแกะ

6-12 ปี Concrete: มีการคิดเชิงรูปธรรม “เห็นอะไรก็เห็นอย่างนั้น เห็นหมาก็เป็นหมา ไม่มีอะไรซับซ้อน”

12-18 ปี Abstract: คิดเชิงนามธรรม สมองสามารถให้ความหมายแก่สิ่งที่เห็นและสามารถให้ความหมายแก่สิ่งที่จับต้องไม่ได้

มีคุณแม่ท่านหนึ่งถามว่า ลูกวัยสองขวบแปดเดือน อยู่ในช่วงกำลังถาม เวลาเขาถามจะไม่มีจุดสิ้นสุด คนเป็นแม่สามารถตอบมั่วๆ ได้ไหม

“เวลานั่งแท็กซี่กลับบ้าน เขาจะถามว่า รถเมล์คันนี้เขาเปิดท้ายรถทำไม ก็จะบอกว่ารถเสีย เพราะระบายความร้อน ก็จะถามไปเรื่อยๆ ว่าระบายความร้อนทำไม ทำไมมันเสีย ทำไมไม่ซ่อม แม่ไม่ตอบตามความจริงได้ไหม”

คุณหมอตอบว่า ได้

“ช่วงเกือบ 3 ขวบ ชีวิตเขามีแค่เรื่องเดียว คือการสร้างแม่ และสร้างสายสัมพันธ์ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าการตอบคืออารมณ์ของแม่ ความมั่นคง แม่ตอบ แม่สนุกกับการตอบ ไม่ต้องกังวลเรื่องผิดถูก

เขายังเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง เอลซ่ามีจริงในโลก แฮร์รี พอตเตอร์ก็มีจริง เราจับแพะชนแกะได้กับทุกเรื่อง เนื้อหาตามสบาย เอาให้มีความสุข”

เมื่อลูกโตขึ้นจึงค่อยใส่เหตุผลเชิงรูปธรรม

“เช่น กลางวันกับกลางคืนต่างกันอย่างไร หนีเสือปะจระเข้แปลว่าอะไร ก็แปลว่าหนีเสือไปเจอจระเข้ไงลูก (หัวเราะ) ถ้าเหนื่อยและเบื่อก็บอกได้ตรงๆ เลยว่าแม่ขอนอนก่อนนะ เพียงแต่ว่าไม่ต้องหงุดหงิดแค่นั้นเอง”

ก่อนปิดห้องเรียนพ่อแม่ คุณหมอได้ให้เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ กับคุณพ่อคุณแม่ไว้เผื่อเอาไว้ใช้ในสถานการณ์จริง

เด็กอายุก่อน 7 ขวบ เด็กกลัวการถูกทำโทษ 14 ขวบ เด็กชอบรางวัล วิธีคือเราทำให้รางวัลในแต่ละวันให้มากกว่าการทำโทษ เพื่อให้เด็กรู้ทิศทางพัฒนาการว่าแม่ชอบหรือไม่ชอบเส้นทางสายนี้ วิธีคือเราต้องทำให้เห็นทุกๆ วัน ทำแบบนี้แม่ชอบ ทำแบบนี้แม่ไม่ชอบ แล้วสัดส่วนการชอบต้องมากกว่าไม่ชอบทุกวันทุกสัปดาห์ เช่น วันนี้ด่าไป 3 ต้องมีเรื่องชม 4 เรื่อง ไม่เช่นนั้นเด็กจะงงว่า ทำไมด่าทั้งวัน ไม่ชมสักเรื่อง”

หากหาเรื่องให้ชมไม่ได้ คุณหมอแนะนำให้ ‘มองไม่เห็น’ บ้าง

“มันเหนื่อยทุกคน ฉะนั้นกลับบ้านอย่าเพิ่งมองบ้าน ขนมไม่เก็บ รองเท้าไม่เก็บ พื้นเลอะเทอะ ผ้าเช็ดตัวกองตั้งแต่เช้า เราด่าได้หมด แทนที่จะได้ชม 4 เรื่อง เราทวีความติเตียนมากไปอีก ฉะนั้นทำตัวให้หายเหนื่อย ผ่อนคลาย อาบน้ำออกมาแล้วก็จะพบว่าทุกอย่างยังสกปรกเหมือนเดิม นั่งดูไปอีกสักพัก เราก็ใช้หลักการจูงมือไปทำทีละชิ้นๆ แล้วชมตรงนั้นว่า แม่ชอบแบบนี้แหละ ชัดๆ ไม่งั้นเด็กไม่รู้เรื่อง”

คุณหมอย้ำชัดว่าการบ่นด่าจะไม่ทำให้เด็กรู้เรื่อง ยิ่งประชดยิ่งหนัก ยิ่งไม่รู้เรื่อง

“ถ้าหาเรื่องชมไม่เจอจริงๆ พ่อแม่ต้องเริ่มทำเป็นตัวอย่าง จับมือทำแล้วชม เขาก็จะรู้ว่าเราชอบอะไร ทิศทางของพัฒนาการถึงจะไป น้ำดีจะมากขึ้น แล้วก็จะไล่น้ำเสียทิ้งไปเอง”

Tags:

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์พัฒนาการพ่อแม่งานเสวนาEFโซเชียลมีเดีย

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Family Psychology
    การสื่อสารและตอบสนองจากพ่อแม่อย่างเข้าใจ ไม่บั่นทอน จะสร้างความรู้สึก ‘มีตัวตน’ ให้ลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ antizeptic

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • EF (executive function)
    เพราะอะไรจึงไม่ควรส่งเด็กไปเรียนหนังสือก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

  • Early childhoodEF (executive function)
    เปิด ‘ห้องเรียนพ่อแม่’: นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • EF (executive function)
    วัยรุ่น: โอกาสสุดท้ายของการพัฒนา EF

    เรื่องและภาพ ชลิตา สุนันทาภรณ์

‘นิทาน’ ภูมิคุ้มกันสมาธิสั้นและซึมเศร้า พ่อแม่ทุกคนคือนักเล่าของลูก
Early childhood
15 August 2018

‘นิทาน’ ภูมิคุ้มกันสมาธิสั้นและซึมเศร้า พ่อแม่ทุกคนคือนักเล่าของลูก

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • โรคซึมเศร้าและสมาธิสั้น ป้องกันได้ด้วย ‘นิทาน’
  • นอกจากจะเป็นภูมิคุ้มกัน นิทานคือธรรมชาติของความรัก ความเมตตากรุณา กล้าหาญ ซื่อสัตย์ มั่นคงแข็งแรง อ่อนน้อม ที่ส่งผ่านจากพ่อแม่สู่ลูก
  • พ่อแม่ทุกคนเป็นนักเล่านิทานได้ ไม่สำคัญว่าเรื่องไหน ลูกแค่อยากได้ยินเสียงพ่อแม่เท่านั้นเอง
ภาพ: ศุภกิจ พิทักษ์บ้านโจด

ทำไมวัยรุ่นเดี๋ยวนี้เป็นโรคซึมเศร้ากันไปหมด? ทำไมเด็กยุคใหม่ถึงสมาธิสั้นกันเหลือเกิน?

แปลกไหมถ้าจะตอบว่า ต้นเหตุของโรคทางกายและจิตของเด็กสมัยนี้ มี ‘ธรรมชาติ’ เป็นตัวแปรสำคัญ

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ โรคทั้งสองสามารถใช้ ‘นิทาน’ เป็นยาสร้างภูมิคุ้มกันได้

และไม่เพียงสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก แต่นิทานยังสามารถรักษาโลกได้อีกด้วย

‘นิทาน-เด็ก-ธรรมชาติ’ คำ 3 คำที่ดูอยู่กันคนละหมวดหมู่นี้ เป็นกลุ่มคำที่ถูกกล่าวถึงตลอดงาน ‘นิทาน ธรรมชาติ และเด็กๆ ของโลก’ ซึ่งจัดขึ้นโดยกลุ่มนิทานบันดาลใจ โรงเรียนไตรพัฒน์ เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา

ความน่าสนใจของงานนี้ นอกจากการบรรเลงดนตรีและขับร้องเพลงนิทานจากหนังสือ ‘เรื่องเล่าจากเด็กๆ แห่งธรรมชาติ’ ซึ่งทางกลุ่มนิทานบันดาลใจจัดพิมพ์ขึ้นแล้ว ยังมีคลินิกแบ่งปันเคล็ดลับการเล่านิทานและแต่งเพลงสำหรับเด็กตามแนวทางการศึกษาวอลดอร์ฟ และไฮไลต์ของงานอย่างวงเสวนา ‘นิทานก่อนนอน ภาพสะท้อนของโลกธรรมชาติที่พ่อแม่ต้องสร้างเอง’ ที่มี ‘ครูแม่เป๊าะ’ รติรมย์ ชวิตรานุรักษ์ นักศิลปะบำบัด ครู และที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการโรงเรียนไตรพัฒน์ และ ‘ดร.อ้อย’ สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ประธานมูลนิธิโลกสีเขียว มาร่วมแบ่งปันทัศนะและให้ข้อคิด พร้อมตอบคำถามว่า นิทานสามารถรักษาเด็กและโลกใบนี้ได้อย่างไร?

‘ดร.อ้อย’ สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์

ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นโรคซึมเศร้ากันง่ายขึ้น?

ดร.สรณรัชฎ์ : ขอเล่าย้อนกลับไปเมื่อ 4 ล้านปีก่อน ตั้งแต่สมัยที่พวกเรายังอยู่ในร่างของคุณป้าลูซี่ (คุณป้าลูซี่ คือ โครงกระดูกมนุษย์ดึกดำบรรพ์อายุ 4 ล้านปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์) มาจนถึงทุกวันนี้ ทางกายภาพของเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ในร่างกายมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นเหมือนระบบนิเวศที่เป็นที่อยู่อาศัยของจุลชีพ (จุลชีพ หรือจุลินทรีย์ คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า หมายรวมถึงแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และสัตว์เซลล์เดียว) จำนวนมาก และเราเองก็ต้องการจุลชีพเพื่อขับเคลื่อนการทำงานของร่างกาย ช่วยให้เรามีแรงที่จะยกน้ำหนักตัวเราสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก

จุลชีพเหล่านี้เราหาได้จากธรรมชาติ จุลชีพที่เป็นเชื้อโรคก็มีอยู่ แต่ก็มีจุลชีพอีกมากมายที่เป็นเพื่อนและเป็นคุณต่อร่างกายเรา ถ้าเราอยู่แต่ในห้องแอร์ที่อากาศหายใจถูกเวียนอยู่ในพื้นที่ปิด เราจะเริ่มไม่สบาย เพราะร่างกายไม่ได้จุลชีพใหม่ๆ แต่ถ้าเราออกไปข้างนอก เราจะได้แลกเปลี่ยนจุลชีพใหม่ๆ เข้ามาอาศัยอยู่กับเราด้วย แม้แต่การสัมผัสดินด้วยเท้าเปล่า เราก็จะได้แบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ชื่อ ไมโคแบคทีเรียม วัคเคีย (Mycobacterium vaccae) ที่อยู่ในดิน ซึ่งมันจะไปช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเซโรโตนิน ช่วยแก้อาการซึมเศร้าได้

แต่การใช้ชีวิตในห้องแอร์มันกลายเป็นวิถีของคนยุคนี้ไปแล้ว…

ดร.สรณรัชฎ์: ใช่ค่ะ คนยุคนี้กำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ ‘โรคขาดธรรมชาติ’ เด็กรุ่นใหม่นี่ยิ่งหนักเลย ใส่รองเท้าตลอดเวลา ไม่เคยเดินเท้าเปล่า เท้าของเรามีข้อต่อข้างละตั้ง 33 ข้อ เส้นประสาทอีกไม่รู้เท่าไหร่ ที่ผ่านมาเราต้องไปจ่ายเงินเพื่อนวดกดจุด ทั้งๆ ที่เราสามารถกดจุดเองได้ด้วยการเดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน เด็กยุคใหม่หลายคนเป็นโรคทรงตัวไม่ได้ เพราะเดินแต่บนพื้นเรียบๆ ในห้าง พอไปเดินป่าเขาไม่สามารถทรงตัวได้เพราะเดินแบบลากเท้าตลอด เท้าไม่ถูกใช้งานจนใช้ไม่เป็น โรคขาดธรรมชาตินี้ส่งผลทั้งทางกายและทางใจ

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เราขาดธรรมชาติ?

ดร.สรณรัชฎ์: เทคโนโลยีและวิถีวัฒนธรรมของคนยุคเรา! ภายในไม่กี่ 10 ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีมันอำนวยความสะดวกสบายให้ชีวิตเราเยอะมาก (ลากเสียง) พี่ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยี แต่ราคาของความสะดวกสบายที่เราได้มาก็ทำให้เราถูกตัดขาดออกจาก sense ของเรา สมัยที่บรรพบุรุษเรายังอยู่ในยุคหิน เดินป่าเราต้องใช้ประสาทสัมผัสหรือผัสสะต่างๆ อย่างเต็มที่ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเจอเสือเขี้ยวดาบซุ่มอยู่ตรงไหน (หัวเราะ) ฉะนั้นเราต้องมี sense มากมาย ตั้งแต่ญาณ ไปจนถึงการสังเกต

แต่เดี๋ยวนี้วิถีชีวิตเราไม่ต้องเกี่ยวข้องกับธรรมชาติขนาดนั้น เด็กยุคใหม่รู้จักโลโก้แบรนด์สินค้าดีกว่าพืชและสัตว์อีก คือถ้าเป็นคนป่าคุณไม่รอดแน่ เห็ดนกยูงกับเห็ดหัวกรวดครีบเขียวมันต่างกันยังไงแยกไม่ออก มันคล้ายกันมาก แต่อันหนึ่งกินอร่อยแต่อีกอันเป็นพิษ แต่เพราะเดี๋ยวนี้มันไม่จำเป็นไง อยากกินเห็ดเราก็ไปซูเปอร์มาร์เก็ต ซื้อเห็ดออรินจิได้ (หัวเราะ) เหล่านี้มันทำให้เราถูกตัดขาดออกจากธรรมชาติ และเมื่อเราห่างจากธรรมชาติเราก็ถูกตัดขาดออกจาก sense ของเรา สุขภาพกายและจิตของเราก็เริ่มแย่ ในแง่ปัญญาเราก็ถูกตัดออกจากกระบวนการเรียนรู้ เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ว่าน้ำมาจากไหน ไม่รู้ว่าไข่ออกมาจากก้นของไก่

ครูรติรมย์: ที่สำคัญคือ ธรรมชาติคือทุกอย่าง ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา แม้กระทั่งตัวเราเองก็เป็นธรรมชาติ การที่เราหลงลืมว่าเราเองก็เป็นธรรมชาติ ด้วยวิถีวิวัฒนาการของมนุษย์มันทำให้เราค่อยๆ แยกตัวออกมา จากที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ รู้จักธรรมชาติ และใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ ตอนนี้เรากำลังเดินทางไปสู่การแสวงผลประโยชน์จากธรรมชาติ

หมายถึงการทำลายธรรมชาติ?

ดร.สรณรัชฎ์: ตอนนี้เราเดินมาถึงจุดชุมทางที่เราต้องเลือก 30 ปีที่ผ่านมาคนรุ่นพี่สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมไว้มากมาย ทำให้ตอนนี้เรามาอยู่ในจุดที่เป็นวิกฤติสิ่งแวดล้อม ทุกคนรู้เรื่องโลกร้อน ยิ่งกว่านั้นคือการสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์ที่ปัจจุบันความหลากหลายลดเหลือแค่ 1 ใน 3 คือมันสูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว

จริงอยู่ว่าการสูญพันธุ์นั้นเป็นธรรมชาติ แต่ช่วง 30 ปีมานี้อัตราการสูญพันธุ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก นับเป็น 1,000 เท่าจากที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่ผ่านมาพืชและสัตว์เหล่านี้ รวมทั้งมนุษย์เรา คือกลไกที่ร่วมกันทำงานขับเคลื่อนวงจรแร่ธาตุต่างๆ ในโลกให้อยู่ในภาวะที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ แต่ปัจจุบันมันกำลังเสียสมดุล ทางออกเดียวของเราคือ เราต้องหยุดทำลายและฟื้นฟูธรรมชาติขึ้นมาใหม่

ตอนนี้เราต้องการธรรมชาติมากกว่ายุคไหนๆ แต่เราเองกลับถูกตัดขาดจากธรรมชาติ นำเราไปสู่ปัญหาสุขภาพ ไปสู่วิกฤติสิ่งแวดล้อมที่กำลังกระทบชีวิตและปัญญาของทุกคน

อยากให้ช่วยขยายความเรื่องของปัญญาที่เราได้จากธรรมชาติ

ดร.สรณรัชฎ์: การที่คนจะพัฒนาศักยภาพตัวเองได้อย่างเต็มที่นั้นต้องปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติค่ะ เพราะปัญญาทุกอย่างซ่อนอยู่ในธรรมชาติหมด ยกตัวอย่างเรื่องของ Biomimicry หรือนวัตกรรมที่มนุษย์เราลอกเลียนมาจากธรรมชาติ มันมีเทคโนโลยีที่เรายืมปัญญามาจากพืชและสัตว์ต่างๆ ที่ได้ลองผิดลองถูกมาผ่านวิวัฒนาการ เช่น เราจะทำบ้านปูน แทนที่จะต้องทุบภูเขาหินปูนทั้งลูก ซึ่งต้องใช้พลังงานมหาศาล แล้วภูเขาก็งอกกลับขึ้นใหม่ไม่ได้ แต่รู้ไหมว่าปะการังก็สร้างบ้านด้วยปูน หอยก็สร้างบ้านด้วยปูน เมื่อ 10 ปีก่อนก็เลยมีคนเลียนแบบ ยืมวิธีการสร้างปูนของปะการังมาใช้ โดยนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากโรงงานมาผ่านกระบวนการที่เลียนแบบกระบวนการที่ปะการังทำปูน อย่างนี้เป็นต้น

‘ครูแม่เป๊าะ’ รติรมย์ ชวิตรานุรักษ์

แล้วจะทำอย่างไรในเมื่อผู้ใหญ่และเด็กยุคใหม่หลายๆ คนถูกตัดขาดจากธรรมชาติเสียแล้ว?

ครูรติรมย์: นั่นอาจเป็นเหตุผลที่สไตเนอร์ ผู้วางรากฐานมนุษยปรัชญา (Anthroposophy) และวางแนวทางการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf Education) ขึ้นมาเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ในมุมมองของมนุษยปรัชญา ชีวิตเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และภายในตัวเราเองก็มีธรรมชาติอยู่ทั้งดินน้ำลมไฟ มีดินที่เป็นเนื้อเยื่อต่างๆ มีน้ำที่เป็นของเหลวในร่างกาย มีลมคือลมหายใจ มีไฟคืออุณหภูมิ เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าธรรมชาติมีความหมายอะไรกับมนุษย์เรา มีแน่ เพราะเรากับธรรมชาติคือสิ่งเดียวกัน คุณไม่เพียงแค่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่คุณเป็นธรรมชาติด้วย

เพราะฉะนั้นในการศึกษาแบบวอลดอร์ฟ ธรรมชาติคือสิ่งที่เด็กจะต้องเรียนรู้ รู้จัก เข้าใจ อยู่กับธรรมชาติ และใช้ธรรมชาติอย่างคนที่รู้คุณค่า

วอลดอร์ฟจะสอนให้เด็กเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร?

ครูรติรมย์: วอลดอร์ฟสอนธรรมชาติตามช่วงวัยของเด็ก โดยเราแบ่งช่วงวัยการเรียนรู้ของเด็กออกเป็น 3 ช่วง คือ

ช่วงอายุ 0-7 ปี เป็นช่วงพัฒนาการทางกาย (body) โดยพัฒนาผ่านพลังแห่งเจตจำนง (will) เราจึงมุ่งสอนเรื่องของความดี
ช่วงอายุ 7-14 ปี เป็นช่วงพัฒนาการทางจิต (soul) โดยพัฒนาผ่านความรู้สึก (feeling) เราจึงมุ่งสอนเรื่องของความงาม
ช่วงอายุ 14-21 ปี เป็นช่วงพัฒนาการทางจิตวิญญาณ (spirit) โดยพัฒนาผ่านความคิด (thinking) เราจึงมุ่งสอนเรื่องของความจริง

คำถามคือ วอลดอร์ฟพาเด็กกลับคืนสู่ธรรมชาติได้ยังไง จริงๆ มีหลายขั้นตอน แต่ขั้นตอนหนึ่งที่อยากคุยกันคือ นิทาน

นิทานคือเรื่องเล่า เราสอนเด็กให้เข้าใจโลกผ่านเทพนิยายและธรรมชาติ เด็กต้องเรียนรู้เกี่ยวกับผัก พืช ดิน หิน แร่ธาตุ เรียนรู้เกี่ยวกับผู้คน เด็กไม่ได้เรียนรู้ผ่านสมอง แต่เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า และต้องเป็นเรื่องเล่าที่สร้างความอบอุ่นในหัวใจของเด็ก ถึงจะทำให้สิ่งที่เราจะปลูกฝัง ทั้งเรื่องความรักธรรมชาติ หรือการมองเห็นคุณค่าของธรรมชาตินั้นประทับอยู่ในตัวเด็กได้

นิทานสามารถสร้างเด็กได้จริงหรือ?

ครูรติรมย์: การเล่านิทานคือการพาเด็กเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติ โดยวิธีการเล่านั้นก็จะต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย ช่วงประถมต้นเป็นวัยแห่งความรู้สึก ดังนั้นการที่คุณจะมอบอะไรให้เด็ก แล้วเด็กเก็บประทับไว้กับตัว ประทับรอยไว้ในใจ แล้วนำพามันผ่านไปสู่ชีวิตในวันข้างหน้าได้นั้น มันต้องเล่าผ่านความรู้สึก เด็กจะเก็บสะสมเรื่องราวของธรรมชาติโดยผ่านความรู้สึก เก็บเอาไว้ในใจ แล้วมันจะไปเติบโตงอกงามภายในสิ่งที่เราเรียกว่า ‘เจตจำนง’ เมื่อเขาเติบโตขึ้น มันจะไปออกดอกออกผลในเจตจำนงของเขา ในวันที่เขามีบางสิ่งบางอย่างมาสะกิดใจ แล้วต้องลุกขึ้นมาเพื่อเลือกทำอะไรบางอย่างในชีวิต ฉะนั้นเราอยากสร้างให้เด็กโตไปเป็นอย่างไร เราเล่านิทานอย่างนั้นให้เด็กฟัง

นิทานมีพลังมากขนาดนั้นจริงหรือ?

ดร.สรณรัชฎ์: Story telling คือโหมดการสื่อสารที่มีพลังมากที่สุด การเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องเล่ามีพลังมากสำหรับมนุษย์ พี่คิดว่ามันเป็นเพราะการให้ความหมาย เรื่องเล่าทำให้สรรพสิ่งที่เราเห็นมีความหมายขึ้นมา ซึ่งความหมายนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่าว่าต้องการให้ผู้ฟังเกิดทัศนคติแบบไหน

เคยได้ยินวลีที่บอกว่า ‘นิทานเปลี่ยนโลกได้’ ไหม ตั้งแต่โบราณกาลทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและวิวัฒนาการมาเป็นอารยธรรมได้นั้นเกิดจากนิทาน เพียงแต่คนทั่วไปอาจไม่ได้ใช้คำว่านิทาน แต่เป็นตำนานหรือเรื่องเล่า ซึ่งมันก็คือการเชื่อมโยงความหมายไม่ต่างจากนิทานนั่นแหละ

การจะทำอะไรกับคนหมู่มากนั้นมันต้องการการสร้างความหมายบางอย่างที่ทำให้คนรู้สึกร่วมกัน นิทานในลักษณะของตำนานกำเนิดโลกจึงมีหน้าที่ให้ความหมาย สร้างสัญลักษณ์การรับรู้ของคนหมู่มากให้รับรู้และเข้าใจตรงกัน ทั้งเพื่อหลอมรวมและแบ่งแยกออกจากกัน อย่างที่เราทะเลาะกันทุกวันนี้ก็เพราะเรามีเรื่องเล่าที่ต่างกัน เรื่องเล่าเปลี่ยนโลกได้ นิทานจึงเปลี่ยนโลกได้

พอจะยกตัวอย่างของเด็กที่ได้ฟังนิทาน แล้วเติบโตมาเป็นคนแบบในนิทาน ได้ไหม

ดร.สรณรัชฎ์: ง่ายมาก ตัวพี่เองนี่แหละ (หัวเราะ) บ้านพี่โตมากับนิทาน พี่กับพี่สาวโตมากับเทพนิยาย แม่พี่เป็นคนที่เล่านิทานสนุกมาก สามารถทำเสียงต่างๆ นานาได้ ไม่ว่าจะเสียงสัตว์หรือเสียงแม่มดแม่ทำได้หมด แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือมุมมองของแม่ เวลาแม่เล่านิทานเกี่ยวกับสิ่งที่เราเห็นในธรรมชาติ แม่ไม่ชอบเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง นิทานเรื่องหนึ่งที่แม่เล่าแล้วมีอิทธิพลกับพี่มากคือเรื่องหนอนชอนใบ

หนอนชอนใบเป็นสัตว์ที่เกษตรกรเกลียดมาก ทุกคนจะเรียกมันว่าแมลงศัตรูพืช เพราะมันชอนใบไม้ที่เราปลูก ขุดอุโมงค์เข้าไปแล้ววางไข่ไว้ในใบไม้ เกษตรกรจะไม่พูดอะไรอื่นๆ ถึงมัน นอกจากเอายามาฉีดมันซะ! มันทำลายต้นไม้ของเรา! แต่แม่พี่จะไม่พูดอย่างนั้น แต่จะเล่าว่า

กาลครั้งหนึ่งมีแม่หนอนตัวหนึ่งที่รักลูกของมันมาก แต่หลังจากวางไข่แล้วมันจะอยู่กับลูกไม่ได้ มันจึงต้องหาที่ที่มีอาหารไว้ให้ลูกเยอะๆ มันเสาะหาใบไม้ใบใหญ่อย่างที่มันตั้งใจ และด้วยความห่วงลูก ไม่อยากให้นกมากินลูกอยากให้ลูกได้อยู่ในบ้านที่มีฝาผนังเพดานที่ปลอดภัย จึงไข่ลงไปในใบไม้ แล้วแม่หนอนก็ตายจากไป เมื่อลูกหนอนฟักออกมาก็พบว่ามีอาหารอยู่รอบตัว มันกินอาหารที่แม่หาไว้ให้อย่างเอร็ดอร่อย กินจนตัวใหญ่ขึ้นๆ จนมองเห็นเป็นเส้นในใบไม้ เป็นเส้นที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ตามตัวเจ้าหนอนและเลี้ยวไปเลี้ยวมาจนมาถึงจุดจบ แล้วเจ้าหนอนก็กลายเป็นผีเสื้อบินออกไป

สิ่งที่แม่เล่าทำให้พี่เป็นคนที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา เวลาฟังคนอื่นเราจะฟังโดยคิดถึงมุมมองของคนคนนั้น หรือสิ่งมีชีวิตนั้นๆ แทนที่จะเอามุมมองของเราไปเล่า ถ้าฟังนิทานที่แม่เล่า โลกนี้จะไม่มีวัชพืช ไม่มีแมลงศัตรูพืช ไม่มีสัตว์ที่ทำร้ายเรา แม้แต่ยุงก็มีอยู่เพื่อควบคุมประชากรมนุษย์ไม่ให้ล้นโลก มันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเรา มันคือโลกทัศน์ และด้วยโลกทัศน์ที่แม่ให้ไว้ก็ทำให้ที่บ้านพี่ไม่เคยตีงูเลย

แล้วคนเป็นพ่อแม่ควรจะเล่านิทานอะไรให้ลูกฟัง?

ครูรติรมย์: เรื่องอะไรก็ได้ เพราะอย่างที่บอก ธรรมชาติคือทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะเล่าอะไรมันก็คือธรรมชาตินั่นแหละ เรื่องใจคนก็ยังเป็นธรรมชาติเลย

ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเล่าเรื่องอะไรของธรรมชาติก็ตาม แต่ในความเป็นนิทานสำหรับเด็กเล็กจะต้องมี ‘ความดี’ อยู่ในนั้นเสมอ คุณจะเล่าเรื่องต้นไม้ใบหญ้าอะไรก็ได้ แต่มันจะต้องมีความดีอยู่ในเรื่องนั้น แม้กระทั่งก้อนหินก้อนเดียวที่จะเล่าก็ต้องมีความดีของก้อนหินอยู่ในนั้นด้วย มันจึงจะเป็นนิทานที่ประทับอยู่ในเจตจำนงของเด็กที่จะเติบโตไปสู่อนาคตข้างหน้าได้

ฉะนั้นนิทานจึงต้องเป็นธรรมชาติของความรัก ความเมตตากรุณา มีความกล้าหาญ มีความซื่อสัตย์ มีสิ่งที่เรียกว่าความมั่นคงแข็งแรง อ่อนน้อม และมุ่งมาดปรารถนาหรือเจตจำนงของสิ่งนั้นๆ แล้วนิทานนั้นจะประทับรอยในใจเด็ก อย่างจะเล่านิทานถึงต้นไม้ เริ่มตั้งแต่การงอกของเมล็ดพันธุ์ ซึ่งมีเจตจำนงที่จะก้าวข้ามอุปสรรคความแห้งแล้งของผืนดิน งอกขึ้นมาเป็นต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาคุ้มครองนกเล็กๆ ตัวหนึ่งให้รอดพ้นจากพายุอันตราย ออกดอกออกผลให้กระรอกได้มาเก็บกิน นี่คือความดี นี่คือคุณธรรม และมันไม่ใช่การโกหก เพราะต้นไม้ทำหน้าที่อย่างนั้นจริงๆ

นักเล่านิทานที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง?

ครูรติรมย์: ยกตัวอย่างว่าคุณจะเล่านิทานเกี่ยวกับต้นไม้ คุณก็ต้องเข้าใจความเป็นต้นไม้ คุณถึงสามารถประทับรอยความงดงามของต้นไม้ไว้ในใจเด็กได้ ถ้าคนเล่าไม่รู้หรือไม่ซึมซาบอะไรในความงดงามของต้นไม้ มองไม่เห็นถึงความมหัศจรรย์ของเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ที่ขอแค่แสงแดดกับสายฝน เพื่อที่จะยืดตัวทะลุดินแข็งขึ้นมาแล้วกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ คุณก็ไม่สามารถมอบความประทับใจในความงดงามของต้นไม้ให้เด็กได้เลย

การจะเป็นนักเล่านิทานได้ อันดับแรกเป็นคุณสมบัติของครูประถมก็คือ ต้องมีความรักและมีจินตนาการที่จะถ่ายทอดความจริงออกมาผ่านภาษาและความรู้สึก ไม่ได้ถ่ายทอดผ่านสมอง และต้องมีความมหัศจรรย์ใจ ซาบซึ้ง และเคารพนบนอบในธรรมชาติของสิ่งที่จะเล่า เด็กอายุก่อน 9 ขวบเขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ จินตนาการของเขาจะกว้างมาก ถ้าคุณมอบความรู้สึกและความมหัศจรรย์ใจที่เกิดจากตัวคุณให้กับเด็ก นั่นคือของขวัญของความมหัศจรรย์ใจในธรรมชาติที่คุณจะมอบให้ และเด็กจะเก็บสิ่งนั้นไว้

ขณะที่กำลังเล่ามีเทคนิคอย่างไรบ้าง?

ครูรติรมย์: การเล่านิทานต่างจากการอ่านนิทาน ในที่นี้เราพูดถึงการเล่า เวลาที่คุณจะเล่าเรื่องอะไรได้คุณก็ต้องมีสิ่งนั้นอยู่ในตัวเองก่อน มีจินตนาการ มีความรู้สึก คุณถึงจะมีท่วงทำนองของการเล่าให้เด็กฟังได้ แต่ถ้าคุณอ่าน คุณก็เพียงแต่อ่านตัวหนังสือ สิ่งที่เด็กได้รับก็แค่คำเท่านั้น และสิ่งที่หายไปก็คือ คุณไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก

พ่อแม่ที่ไม่เคยเล่านิทานมาก่อนจะเล่าได้หรือเปล่า

ครูรติรมย์: ทุกคนสามารถเป็นนักเล่านิทานได้ค่ะ พ่อแม่ที่ไม่เคยเล่ามาก่อนอาจเริ่มจากการอ่านก็ได้ จากนั้นก็ลองอ่านนิทานเองก่อนรอบหนึ่ง ให้รู้เรื่องราว แล้วค่อยเล่าด้วยท่วงทำนองของพ่อแม่เอง และเมื่อทำไปเรื่อยๆ ก็จะเล่าได้เอง และยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ลูกแค่อยากได้ยินเสียงพ่อแม่เท่านั้นแหละ

ดร.สรณรัชฎ์: สิ่งสำคัญคืออย่ามัวกลัว อย่ามัวเกร็ง อยากให้คุณเริ่มต้นทำด้วยความรักที่มีต่อลูก เริ่มต้นจากสิ่งที่คุณรักคุณชอบ คุณก็จะถ่ายทอดออกมาได้เอง ไม่ต้องมีนางฟ้าก็ได้ เล่าเรื่องวิทยาศาสตร์ก็ได้ มันสนุกแน่นอนถ้าคุณทำให้มันมีความหมาย นั่นคือพลังของเรื่องเล่า

ฟังดูแล้วเหมือนนิทานเป็นยาวิเศษ…

ดร.สรณรัชฎ์: มันคือ magic สิ่งที่พ่อแม่เล่าให้เราฟังในตอนเด็ก เรื่องราวที่เราต้องมนตร์ในตอนนั้นมันจะอยู่กับเราตลอดไป แม้แต่เรื่องซานตาคลอสที่ไม่มีอยู่จริง พ่อแม่เล่าให้เราฟังตอนเด็ก พอโตขึ้นเราอาจรู้ว่ามีวิธีอธิบายปรากฏการณ์นั้นอย่างไร สิ่งนั้นอาจไม่มีอยู่จริง แต่สิ่งที่คงอยู่คือเจตนารมณ์ มันไม่ได้มาจากการหลอก พี่ไม่ได้โกรธพ่อแม่ที่หลอกว่ามีซานตาคลอส แต่เวทมนต์ของคริสต์มาสก็ยังอยู่ ทุกวันนี้พ่อแม่พี่เสียไปแล้ว แต่พวกเราพี่น้อง 4 คนก็ยังเลี้ยงคริสต์มาสกันทุกปี มันเป็นเวทมนตร์ความรักของครอบครัวที่มีความวิเศษ และพี่ว่ามันสำคัญ

ครูรติรมย์: ความเชื่อของการศึกษาวอลดอร์ฟนั้นไม่ได้หวังผลจากเด็กที่กำลังเรียนกับเราอยู่นะคะ แต่เราหวังผลในรุ่นลูกของเด็กที่กำลังเรียนกับเรา ตอนนี้เด็กของเราถูกตัดขาดจากธรรมชาติ แต่เราพยายามนำสิ่งนั้นกลับคืนมาให้ เพราะเรามองว่าในอนาคตข้างหน้าเรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกลับไปเชื่อมชีวิตเรากับธรรมชาติ เด็กของโลกในวันข้างหน้าจะต้องกลับไปสู่ธรรมชาติ และนิทานคือเครื่องมือหนึ่งในกระบวนการนี้ที่มีประสิทธิภาพมาก

Tags:

สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์รติรมย์ ชวิตรานุรักษ์พ่อแม่ซึมเศร้างานเสวนาการศึกษาแนววอลดอร์ฟ(Waldorf)นิทาน

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Creative learning
    ‘บ้านรัก’ สู่บ้านแห่งการเรียนรู้ ชวนพ่อแม่เป็นครู เรียนผ่านงานบ้าน งานสวน งานครัว : ครูอุ้ย – อภิสิรี จรัลชวนะเพท อนุบาลบ้านรัก

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Family Psychology
    ดนตรีบำบัดสร้างจังหวะของลูกให้ตรงกับจังหวะของโลก

    เรื่อง The Potential

  • Learning Theory
    วอลดอร์ฟ 100 ปี: การศึกษามนุษยปรัชญาที่ต้องการสร้าง ‘จินตภาพ’ และ ‘ความสร้างสรรค์’ มากกว่า ‘ความจำ’

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

พี่หนูเท่สุดๆ : ตัวตนเติบโตผ่านการเป็นพี่ใหญ่
Family Psychology
13 August 2018

พี่หนูเท่สุดๆ : ตัวตนเติบโตผ่านการเป็นพี่ใหญ่

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • พลิกวิกฤติพี่อิจฉาน้องให้กลายเป็นโอกาสเรียนรู้และเติบโตจากการเป็นพี่ใหญ่ ให้คอยดูแลน้อง
  • และรู้หรือไม่ น้องๆ เลียนแบบพี่มากกว่าพ่อแม่เสียอีก
  • บทความนี้จะแนะนำวิธีเปลี่ยนความกังวลของเด็กๆ ให้เป็นความตื่นเต้น ภูมิใจ และกระตือรือร้นที่จะได้เป็นพี่กันตั้งแต่เนิ่นๆ

ถึงการเป็นพี่คนโตจะมาพร้อมกับเรื่องสุดช้ำใจว่าทำไมต้องเกิดมาก่อนด้วย เพราะเรื่องเดียวกันแท้ๆ แต่พ่อแม่กลับดุน้องน้อยกว่าที่เคยดุคุณอีก แต่เฮ้ … เป็นพี่คนโตก็มีข้อดีนะ ทั้งออกคำสั่งได้ เสื้อผ้าในตู้ก็ไม่ได้มีแต่ของส่งต่อ แถมยังได้ทวีตเรื่องฮาๆ แบบพี่เหล่านี้ได้ด้วย

ลองดูว่ามีทวีตเรื่องของพี่คนไหนโดนใจคุณบ้าง

  • คิดเล่นๆ: เป็นพี่คนโตนี่ถือเป็นคำชมนะ คิดดูสิ พ่อแม่ตัดสินใจว่าเธอน่ะสุดแสนมหัศจรรย์ แล้วก็อยากมีเธอเพิ่มอีกคน (@amyvandyken)
  • ลูกสาววัย 9 ขวบเพิ่งพูดถึงน้องชายสองคนว่าเป็น “ภาคต่อ” ของเธอ (@kierstenwhite)
  • รู้ว่าตัวเองเป็นพี่คนโตก็ตอนที่น้องสาวดีกรีปริญญาพยาบาลโทรมาหาเพื่อขอคำแนะนำเรื่องการแพทย์ 🙂 (@shannonstacey)
  • น้องชายเริ่มถึงวัยมีแฟนแล้ว ส่วนผมก็ต้องขับรถพาพวกมันไปทุกที่เลย #OldestChildProbs (@TierraJolene)
  • จริงๆ ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีวันไหนที่ถือน้ำปั่นโดยไม่มีน้องสี่คนมาล้อมรอบแล้วขอชิม #Oldestchildlife (@gracechitwood)
  • บางครั้งการเป็นพี่คนโตก็คือพ่อแม่คนที่สองหรือสามนั่นแหละ LOL (@Quincy)

พี่ = พ่อแม่คนที่สอง

เด็กๆ เลียนแบบพี่มากกว่าพ่อแม่เสียอีก

ในงานวิจัยปี 2004 ริชาร์ด เรนด์ (Richard Rende) ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบราวน์ พบว่า พี่น้องอาจมีอิทธิพลที่สำคัญต่อเด็กๆ – แต่โชคร้ายนิดหน่อยตรงที่การศึกษานี้พุ่งเป้าไปที่พฤติกรรมการสูบบุหรี่ โดยเปรียบเทียบจากครอบครัวที่พ่อแม่สูบบุหรี่และครอบครัวที่มีพี่คนโตสูบด้วย ผลก็คือพี่คนโตมีผลต่อน้องมากกว่าพ่อแม่ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ แต่ เรนด์ ก็มั่นใจว่า พฤติกรรมดีๆ ของพี่คนโตติดต่อถึงน้องได้พอๆ กับพฤติกรรมไม่ดี

เช่นเดียวกับอีกผลการศึกษาในปี 2014 ที่แสดงให้เห็นว่า

พี่สามารถผลักดันให้น้องประสบความสำเร็จด้านการศึกษาได้ ด้วยการเป็นต้นแบบด้านบวกตอนช่วยน้องทำการบ้านหรือให้คำแนะนำเรื่องการเรียน

ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนด้านการศึกษากับลูกคนโตจะยิ่งส่งผลดีในต่อลูกคนต่อไปได้เช่นกัน

นอกจากเลียนแบบแล้ว ยังมีความเชื่อมโยงบางอย่างที่น่าสนใจ โดยในงานวิจัยในปี 2009 ของ แพทริเซีย อีสต์ (Patricia East) นักจิตวิทยาสาขาวิทยาพัฒนาการ ที่ UC San Diego School of Medicine ซึ่งสนใจด้านความสัมพันธ์พี่น้องและครอบครัว  พบว่า ผู้หญิงที่มีพี่สาวตั้งท้องจะมีโอกาสตั้งท้องมากกว่าคนที่ไม่มีพี่สาวหรือพี่สาวไม่ได้ท้องถึง 5 เท่า โดย อีสต์ เริ่มวิจัยหัวข้อนี้หลังจากพบว่ามักมีพี่สาวน้องสาวที่ตั้งท้องและไปคลินิกสูตินรีเวชด้วยกัน

เตรียมลูกให้พร้อมเป็นพี่

หน้าที่อันยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง – ไม่ใช่สไปเดอร์แมน แต่เป็นเส้นทางสู่การเป็นพี่ของเด็กๆ เพราะแม้พวกเขายังเป็นหนูน้อยของพ่อแม่ แต่หน้าที่ของพี่จะเป็นความรับผิดชอบและเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในชีวิต

วิธีเหล่านี้อาจช่วยให้พ่อแม่เปลี่ยนความกังวลของเด็กๆ เป็นความตื่นเต้น ภูมิใจ และกระตือรือร้นที่จะได้เป็นพี่กันเสียแต่เนิ่นๆ ลองเอาไปทำดูนะ

  • สร้างสถานการณ์สมมติ เช่น ลองแทนตัวสัตว์หรือตุ๊กตาที่พวกเขาเล่นว่า น้องสาว น้องชาย และให้พวกเขาเรียนรู้การแบ่งปัน การเล่น และการสื่อสารกับน้อง ก่อนที่น้องจริงๆ จะมาถึง
  • บอกชื่อน้อง ถ้าเลือกชื่อให้ทารกแล้ว อย่าลืมบอกลูกคนโตและให้ชื่อนั้นอยู่ในทุกการพูดคุยถึงน้องที่กำลังจะมาถึง
  • โชว์รูปน้องให้ดู แม้ว่าจะเป็นรูปอัลตราซาวด์ก็ตาม
  • ตอบทุกคำถาม เด็กๆ มีกองทัพคำถามมาถล่มใส่คุณแน่ๆ หน้าที่ของคุณคือใจเย็นและตอบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งแต่ความโกลาหลในสองสามเดือนแรก ทั้งการนอน การกิน ขนาดตัวของทารกที่ยังเล็กเกินจะเล่นแรงๆ ได้ ถ้าพวกเขาโตพอแล้วก็ลองให้ช่วยดูแลน้อง เป็นวิธีที่ดีในการสร้างความรักระหว่างพี่น้องให้เกิดขึ้น
  • จัดห้องหรือเตียงให้เสร็จก่อนมีน้อง ถ้าลูกต้องย้ายห้องหรือเปลี่ยนเตียง ทำให้เสร็จก่อนคลอด เพื่อให้เขารู้สึกสบายใจและมีความสุขกับสภาพแวดล้อมใหม่ก่อนน้องจะมาถึง
  • ทำทุกอย่างเหมือนเดิม กิจวัตรประจำวันที่เหมือนเดิมจะทำให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยและมั่นคง ซึ่งช่วยให้พวกเขารับมือกับน้องคนใหม่ได้ง่ายขึ้น
  • ให้เด็กๆ เป็นผู้ช่วย ถ้าพวกเขาอยากช่วย จงมอบหน้าที่ที่พวกเขาจะทำได้ อาจเป็นการหยิบผ้าอ้อมให้คุณ หรือให้เลือกหนึ่งชุดสำหรับทารกจากสองชุดที่คุณเตรียมไว้แล้ว
  • ทำให้เด็กๆ รู้ว่ายังรักและห่วงใยเหมือนเดิม บางครั้งเด็กๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกทิ้งในเวลาที่ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ทารก เป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องทำให้พวกเขารู้ว่าพ่อแม่ยังรักมากเหมือนเดิม ในช่วงตั้งท้องและหลังคลอดใหม่ๆ อย่าลืมแบ่งเวลาที่จะมีแค่คุณกับลูกคนอื่นๆ ด้วยนะ

ที่มา: https://www.huffpost.com
https://www.curosity.com
https://pathways.org

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)การเติบโตพ่อแม่

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Character building
    สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Transformative learning
    เดชรัต สุขกำเนิด: วาร์ปไปเข้าใจโลกที่ต่างโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ด้วยบอร์ดเกม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

มิรา ชัยมหาวงศ์: ขีดเส้นใต้การเป็นแม่ ‘ตัวตนเป็นของลูก ไม่ใช่ของแม่’
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
10 August 2018

มิรา ชัยมหาวงศ์: ขีดเส้นใต้การเป็นแม่ ‘ตัวตนเป็นของลูก ไม่ใช่ของแม่’

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • ลูกคนแรกปักธงเป็นนักดนตรีคลาสสิก แต่คนที่สองรักการผจญภัยและเคยเลี้ยงด้วงจนเกือบเป็นพิพิธภัณฑ์ สิ่งที่ ‘แม่บี’ ทำ คือสั่งลุย ไม่ใช่เพราะตัวเองชอบ แต่เพราะขีดเส้นชัด ‘ตัวตนเป็นของลูก ไม่ใช่ของแม่’
  • มิชชั่นของพ่อแม่คือเป็น ‘นักสืบ’ ช่วยลูกค้นหาตัวตน แต่ต้อง ‘ระแคะระคาย’ ให้เป็น
  • หลักสูตรบ้านเรียน ‘แกงโฮะ’ เน้นสร้างพื้นที่ ตัวตน เปิดโอกาสให้ลูกทดลองและประเมินความเสี่ยงด้วยสายตาตัวเอง ปีนต้นไม้ได้ ใช้มีดเป็น อนุญาตให้ร้องไห้ โดยมีทีมพ่อแม่อยู่ข้างๆ ช่วยกันก้าวข้ามทุกความรู้สึก
  • “เราไม่ได้สร้างลูก แต่สร้างพื้นที่ สร้างสเปซให้คนในครอบครัว เป็นพื้นที่ให้คนที่มีตัวตนไม่เหมือนกันอยู่ร่วมกันได้”

“หนึ่งในงานที่ทำคือ Transformation Game เป็นกระบวนการที่พาคนสำรวจและพัฒนาพื้นที่ภายในตัวเอง ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาเห็นชัดเลยว่ามีคนใช้ชีวิตเพื่อแม่ เพื่อพ่อ และมีความทุกข์เพราะไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ จนทุกข์ และหาทางออกไม่ได้ บางคนซึมเศร้า บางคนเบื่อโลก บางคนไม่รู้คุณค่าของตัวเอง ไม่มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต เราแก้ปัญหาเรื่องนี้ในคนที่โตแล้วเยอะมาก ในฐานะคนทำกระบวนการ พอเห็นแบบนี้มากเข้า เราถามตัวเองว่า ทำยังไงเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นกับลูกของเรา”

คือคำตอบข้างต้นของ มิรา ชัยมหาวงศ์ หรือ ‘แม่บี’ – นักวิจัยอิสระด้านการศึกษาทางเลือก ผู้มีประสบการณ์ด้านการเรียนรู้กว่า 20 ปี โดยเริ่มทำงานที่สถาบันอาศรมศิลป์ในฐานะนักวิจัย คุณแม่และครูเต็มเวลาของลูกๆ สองคนในบ้านเรียน ปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมัชชาพ่อแม่-เครือข่ายแม่พ่อไม่รอระบบ

ลองตั้งคำถามกับตัวเอง ตัวตนของคุณในวันนี้ อะไรที่เหมือนกับพ่อแม่และอะไรที่ต่าง หลายครั้งต้องทำในสิ่งที่ไม่ได้ชอบ บางทีเฉยๆ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ทำ (ทำๆ ไป) เพียงเพราะมันเป็นความคาดหวังต้องการของพ่อแม่บ้างไหม? หรือถามจี้ไปให้สุดขั้ว เคยไหมที่บางครั้งเราขัดใจในนิสัยบางอย่างของพ่อแม่เหลือเกิน แต่โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว หลายครั้งเรากลับทำสิ่งนั้นเสียเอง

ถ้าไม่ได้ติดใจ ไม่รู้สึกเป็นปัญหา ไม่ได้ทุกข์ร้อนจากความคาดหวังกดดันจากพ่อแม่ การเข้าใจว่าตัวตนของเราย่อมเป็นสิ่งตกทอดจากพวกท่านอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และหากมองตัวเองอย่างเข้าใจ สามารถขีดเส้นให้ชัดได้ว่า ‘นี่เรา’ ‘นี่เขา’ ก็อาจเป็นเรื่องทำได้ในวันหนึ่งที่โตพอ แต่ถ้าเป็นเงื่อนไขที่กลับข้าง ความทุกข์หลายระดับคงถมทับยากดิ้นหลุด

ขมวดประเด็นให้ชัด สิ่งที่เราอยากชวน ‘แม่มิรา’ พูดคุยวันนี้คือ…

มุมมองการเลี้ยงลูกของคุณแม่มิรา ในฐานะนักวิจัยด้านการศึกษาทางเลือก และคุณแม่ที่ทำบ้านเรียนหรือโฮมสคูลให้ลูก ผู้พยายามขีดเส้นใต้ (ในใจตัวเอง) ให้ชัดว่า…

“ความคาดหวังของแม่ คือของแม่ ความคาดหวัง ความต้องการ ความสุข ความทุกข์ ความผิดพลาดของลูก คือของลูก”

ทั้งหมดนี้เพียงเพื่ออนุญาตให้ลูกไม่กลัวในสิ่งที่แม่กลัว ให้ลูกไม่ชอบในสิ่งที่แม่ชอบ อนุญาตให้เขาได้มีพื้นที่และสิทธิเสียงเลือก ‘ตัวตน’ ของตัวเอง

“แน่นอนว่าพ่อแม่เป็นจุดเริ่มต้น เขามีตัวตนของเขาเองอยู่แล้ว แต่ด้วยความใกล้ชิดจากการเลี้ยงดู เขาได้รับอิทธิพลจากความเป็นเรา บางทีความชอบและความต้องการของเรากับของลูกมันนัวเนียกันเนียนมาก เนียนขนาดที่ว่า เอ๊ะ… นี่มันความต้องการของแม่หรือของลูกกันนะ? แต่ถึงพ่อแม่จะมีอิทธิพลกับลูกขนาดไหน ก็ต้องระลึกให้ได้ว่าเรากับลูกเป็นคนละคนกัน”

“การสร้างครอบครัว เราไม่ได้แค่สร้างลูก แต่สร้างพื้นที่ สร้างสเปซให้คนในครอบครัว เป็นพื้นที่ให้คนที่มีตัวตนไม่เหมือนกันอยู่ร่วมกันได้”

แม่บีย้ำตลอดบทสนทนาว่า วิธีคิดจาก ‘ทีม’ ของเธอ -ใช่ เธอนิยามเธอและสามีว่าคือ ทีม- ไม่ใช่สิ่งถูกหรือผิด แต่ละบ้านมีวิธีสร้างพื้นที่ครอบครัวหลากหลาย เพียงแต่จากประสบการณ์ทำงานด้านการเรียนรู้เกือบยี่สิบปี ทั้งความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์สมอง แนวคิดการพัฒนาตัวเองภายใน จิตวิทยา การศึกษาทางเลือกต่างๆ และบทบาทล่าสุดคือการสร้างเครือข่ายสมัชชาพ่อแม่ ทำให้หลักสูตรบ้านเรียน ‘แกงโฮะ’ ของเธอเน้นไปที่การสร้างพื้นที่ สร้างตัวตน และเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ทดลองและประเมินความเสี่ยงด้วยสายตาตัวเอง โดยมีทีมพ่อแม่อยู่ข้างๆ

เกริ่นคร่าวๆ ว่าหลักสูตร ‘แกงโฮะ’ ของบ้านเรียนดิน หิน ไม้ น้ำ มีหัวใจหลัก 5 ข้อด้วยกันคือ

  • แยกตัวตนของพ่อแม่ออกจากลูก: ขีดเส้นใต้ให้ชัด นี่คือความต้องการของแม่หรือของลูก
  • ให้ความสำคัญกับตระกูล self: เช่น self-organize บริหารจัดการตัวเอง, self-regulating การกำกับตัวเอง โดยมีปลายทางคือ self-evaluation หรือ การประเมินตนเอง และโลกด้วยสายตาและประสบการณ์ตัวเอง (ไม่ใช่ประสบการณ์ของผู้ใหญ่)
  • อนุญาตให้ ‘ผิดพลาด’ และ ‘ทุกข์’: ความหมายตรงตัว เพิ่มเติมคือ ไม่ใช่สอนลูกให้มีความสุขอย่างเดียว แต่ต้องเขาให้เผชิญกับความทุกข์ด้วยการมีประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ปิดกั้น และเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยังมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ เพื่อที่จะได้เรียนรู้วิธีการแก้ไขและผ่านมันไปด้วยกันได้
  • ให้รู้จัก ‘อารมณ์ (ทั้งบวกและลบ): เจ็บ โกรธ อิจฉา หงุดหงิด ไม่พอใจ และอื่นๆ คลี่ออกมาให้หมดและชี้แจงว่าอารมณ์ที่แตกต่างมีชื่อว่าอะไร แล้วจึงช่วยกันหาวิธีระบายออก หรือแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเหมาะสม
  • อยู่ข้างๆ เสมอ: อยู่เพื่อให้เขามั่นใจว่าโลกนี้ปลอดภัย และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะได้รับความรักจากพ่อกับแม่เสมอ และความรักนั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สำคัญคือ อยู่ข้างๆ ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วย แต่อยู่เพื่ออธิบายและช่วยเขาก้าวข้ามความรู้สึกผิดพลาดนั้น

หลักสูตร ‘แกงโฮะ’
บ้านเรียนดิน หิน ไม้ น้ำ

จุดเริ่มต้น… ฉันต้องไม่เป็นแม่แบบในโฆษณาทีวี!

ในฐานะนักวิจัยอิสระด้านการศึกษาทางเลือกที่ผันตัวเองจากแวดวงธุรกิจสู่การเรียนรู้กว่ายี่สิบปี เคยมีจินตนาการก่อนเป็น ‘คุณแม่’ ไหมว่า ถ้าเป็น จะเป็นคุณแม่แบบไหน?

“คำตอบอาจสวนทางกับคำถาม แต่เราเป็นแม่ที่พยายามจะเอาภาพ ‘คุณแม่ในทีวี’ ออกไป เราเติบโตมากับยุคที่โฆษณา ภาพในทีวีฝังหัวเราว่าครอบครัวประกอบไปด้วย บ้านหลังสีขาว มีสวนเล็กๆ หน้าบ้าน คุณพ่อไปทำงาน คุณแม่เป็นแม่บ้าน มีหมาหนึ่งตัว ลูกๆ รักการเรียนรู้ เวลาที่อยู่ร่วมกันทุกคนจะยิ้มแย้ม พูดคุยกันสนุกสนาน แม้แต่หมายังยิ้มเลย เรามี stereotype แบบนี้ในหัวซึ่งเราไม่รู้ตัวเลยนะ

“เราไม่ได้คาดหวังแค่กับตัวเอง แต่เราอยากให้ครอบครัวเป็นแบบนั้น มีสามีแบบภาพนั้น อยากมีลูกน่ารักๆ เชื่อฟังเราแบบในภาพนั้น แต่พอมันไม่ตรงกับความจริงซึ่งอยู่ตรงหน้า มันก็ทุกข์น่ะสิ”

แม้ตั้งใจจะทลายภาพจำ ‘คุณแม่ในอุดมคติ’ แบบนั้น แต่ #แม่ก็คือแม่ และเป็นคุณแม่ที่มีความรู้ทางวิชาการเต็มสิบ อะไรที่คิดว่าดี เธอทำทั้งนั้น

โดยเฉพาะในช่วงแรกของการมีลูก ความคาดหวังมีร้อยแปดอย่าง ทั้งด้านโภชนาการ ด้านอารมณ์ เป็นแม่ห้ามโมโห เป็นแม่ต้องจัดการได้ ควบคุมสถานการณ์ได้ ยิ้มเสมอ และอีกมากมายที่พยายามกดดันตัวเอง และข่มตัวตนของตัวเองไว้ เพื่อให้เป็น ‘แม่ที่ดี’ โดยเฉพาะ การเลือกตัดสินใจว่าจะเป็นคุณแม่เต็มเวลา หรือเป็นคุณแม่ที่ทำงานไปด้วย?

“ตอนที่เลี้ยงลูกเองแรกๆ ลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูกเลย เพราะภาพจำอีกแล้ว ภาพที่บอกว่าการเป็นแม่ต้องโฟกัสที่ลูก ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นคนชอบทำงานมาก บ้างานเลยแหละ แต่มันมีความคิดว่า ‘ถ้าฉันทำงานแล้วไม่โฟกัสลูก ไม่ได้นะ ฉันจะไม่เป็นแม่แบบนั้น’ พอลาออกมาก็กลายเป็นว่า เอาลูกมาเป็นงาน ความคาดหวังในชีวิตของเราทั้งหมดทุ่มไปอยู่ที่ลูก แต่พอถึงจุดหนึ่งมันเห็นตัวเอง มันเห็นว่า เอ๊ะ… นี่ไม่ใช่ฉันละ ฉันทำอะไรอยู่เนี่ย เพี้ยนละๆ แบบนี้ไม่ได้ แย่แล้ว แย่แล้ว เปลี่ยนๆๆ”

ทั้งหมดนี้เป็นจุด ‘เอ๊ะ’ ครั้งแรกๆ ที่ทำให้เธอเข้าใจภาพ ‘ความคาดหวัง’ ที่เริ่มก่อเกิดในตัวเอง เดาได้ไม่ยากว่าวงจรสุดท้ายของความคาดหวังจะไปจบที่ใครและอาจให้ผลลัพธ์อะไรแก่คนเป็นลูก โดยเฉพาะเมื่องานส่วนหนึ่งของเธอคืองานด้านกระบวนการภายใน หลายครั้งที่เรื่องเล่าของคนที่ทำงานร่วมกับเธอ บอกเล่าว่าทุกข์สุขสะสมเรื้อรังส่วนหนึ่งมาจากการใช้ชีวิตเพื่อคนในครอบครัว

เพื่อตัดวงจร เธอและสามีจึงมีคำขวัญประจำตัว 5 อย่าง เพื่อสร้างพื้นที่ให้ลูก พัฒนาตัวตนของตัวเองโดยมีความคาดหวังของพ่อแม่น้อยที่สุด

หลักสูตร ‘แกงโฮะ’: แยกตัวตนของพ่อแม่ออกจากลูก

“ลูกสองคนไม่เหมือนกันเลย คนแรกอายุ 8 ขวบ และเขาปักธงว่าอยากเป็นนักดนตรีคลาสสิก ซึ่งเรารู้สึกว่าปักธงเร็วมาก แต่เขาก็ปักแล้ว จะให้เราแบบ… ‘มันไม่ใช่หรอกลูก’ ก็ไม่ได้ สิ่งที่ทำได้คือสนับสนุน ขณะที่คนเล็กเขาสนใจธรรมชาติ เคยเลี้ยงด้วงที่บ้าน มีหนอนด้วงเกือบสองร้อยตัว ซึ่งพี่ไม่ชอบเลยนะ ด้วงสองร้อยตัวอยู่ในบ้าน แล้วมันกระดึ๊บๆ (ทำเสียงสยอง) แต่เช่นกัน มันคือความชอบของเขา เป็นพื้นที่ของเขา ไม่ใช่ของแม่

“สิ่งที่เรากับสามีคุยกันตลอดหลังจากที่ลูกคนโตปักธงว่าจะเป็นนักดนตรีคลาสสิกคือ ถ้าลูกเดินมาบอกว่า ไม่เอาแล้ว จะเลิกแล้ว ต้องได้ เขาต้องเลิกได้ และเราต้องไม่เป็นอะไร”

ในจุด ‘เรา’ หรือพ่อแม่ต้องไม่เป็นอะไรนี่แหละ คือคีย์เวิร์ดที่มิราเห็นว่า มันคือการแยกตัวตน แยกความคาดหวังของพ่อแม่ ออกจากลูก

“ที่บอกว่า ‘ต้องไม่เป็นอะไร’ คือเป็นการบอกกับความคาดหวังข้างในตัวเราเองในฐานะพ่อแม่ เพราะจริงๆ เราคงเสียใจแหละ เราทุ่มทรัพยากร และเวลา จ่ายค่าเรียนตั้งแพง คอยรับคอยส่ง และเอาเข้าจริง แม้เราบอกว่าเราไม่คาดหวัง แต่ลึกๆ เราจะจินตนาการ มโนไปถึงเส้นทางอาชีพของลูกไปแล้ว แล้วอยู่มาวันหนึ่งจะบอกว่าไม่เอาแล้ว เราคงเสียใจ แต่เราตั้งใจบอกกับตัวเองตั้งแต่แรกเลยว่า ถ้าลูกตัดสินใจจะเลิกจริงๆ หรือเปลี่ยนเส้นทาง เขาต้องได้โอกาสนั้น เพราะนั่นเป็นชีวิตของเขา และนั่นไม่ใช่การเสียเปล่า เพราะการเรียนรู้และการฝึกฝนมันย่อมส่งผลให้เกิดบางสิ่งในตัวเขา

“การเรียนดนตรี การลงทุนกับเขาด้านดนตรี ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องได้ดนตรี แต่การลงทุนของเราคือการให้ลูกได้มีโอกาสฝึกตัวเองเป็นนักดนตรี ซึ่งเขาจะเป็นรึเปล่า ให้เขาตัดสินใจ และมันอาจจะนำมาซึ่งคุณลักษณะบางอย่าง เช่น ‘การกัดไม่ปล่อย’ และถ้ามันบ่มเพาะนิสัยนั้นได้ เราถือว่าคุ้ม”

เธอขยายความต่ออีกว่า ไม่ใช่แค่กับเรื่องดนตรี แต่คือวิธีมอง ‘การเรียนรู้’ การเรียนเลขไม่ใช่เพื่อให้บวก ลบ คูณ หารได้ แต่เรียนรู้การแก้ปัญหา เรียนศิลปะไม่ใช่การวาดรูปสวย แต่คือการเป็นผู้สรรสร้าง รู้จักเอาสิ่งต่างๆ มาผสมกันแล้วสร้างเป็นสิ่งใหม่ และถ้ามองการเรียนรู้เช่นนี้ ไม่ว่าคุณลักษณะที่เกิดในตัวลูกคืออะไร เธอถือว่า ‘คุ้ม’

อย่างไรก็ตาม คำถามที่ควรต้องถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่านี่คือตัวตนของลูก เพราะตัวตนของลูกจะมาจากไหน ถ้าไม่ได้ปลูกฝังมาจากคนเป็นพ่อและแม่?

“จะบอกว่าเราไม่บิลด์เลย อยู่ดีๆ เขาเกิดความชอบนี้ขึ้นมาเองมันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว พ่อแม่ทำหน้าที่คล้ายๆ นักสืบ หาจุด ‘ระแคะระคาย’ และมันสำคัญมากที่ต้อง ‘ระแคะระคาย’ ให้เป็น เช่น ลูกคนโต เขาชอบฟังเพลง และเขาเป็นคน emotional สุดๆ คือฟังเพลงแล้วน้ำตาไหล ซึ้งไปกับบทเพลง ใช้หูเยอะ เวลาเขาฟังเพลง แป๊ปเดียวเท่านั้นเขาก็จำเนื้อร้องได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ซึ่งเด็กจะคอยส่งสัญญาณให้เราเห็น เรามีหน้าที่ค่อยๆ แกะรอย จากจุดนั้นมันจะมีจุดให้เราสังเกตไปเรื่อยๆ บางทีก็ชวน ‘ไปฟังคอนเสิร์ตกันมั้ย?’ ไปฟัง ไปดูซิว่าชอบเพลงแบบไหน ชอบเครื่องดนตรีอะไรมั้ย เสียงนั้นแปลก เสียงนี้เพราะ พาเขาไปมีประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วก็คอยแกะรอยต่อไปอีก

“ช่วงแรกเรายังไม่ให้เขาเรียน แต่ที่บ้านจะมีเปียโนเก่าๆ ของแม่อยู่หลังหนึ่ง ทุกวันเขาจะไปนั่งบรรเลงเพลงซึ่งไม่รู้ว่าคือเพลงอะไรของเขาไปตามเรื่อง เป็นเพลงที่เขาแต่งขึ้นมาเองตามอารมณ์ของเขา ทำแบบนี้ทุกวัน จนวันหนึ่งถามเขาว่า อยากเรียนเปียโนมั้ย? ก็เริ่มพาเขาไปเรียนเปียโน ซึ่งตอนที่พาไป เราก็บอกกับเขาว่าถ้าไม่ชอบเลิกได้นะ ทุกวันนี้เขาซ้อมแล้วเครียด หรือบางทีไปแข่งแล้วกดดัน เราก็ยังย้ำคำเดิม ว่าไม่ชอบเลิกได้นะ แต่ถ้ายังชอบ ยังมุ่งมั่น เต็มที่เลยลูก เราก็สนับสนุนเขาให้สุดด้วยเช่นกัน ซ้อมด้วยกัน หาครูที่ดี แล้วพอเจอครูที่ใช่ วันหนึ่งเขาเดินมาบอกว่า ‘แม่ หนูอยากเป็นนักดนตรี’

เธอเล่าต่อไปว่า ขณะที่ลูกคนเล็กในวัย 5 ปี ชอบกิจกรรมผจญภัยนอกบ้าน โดยเฉพาะการอยู่กับธรรมชาติ ซึ่งแม้ว่านั่นจะไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ของมิราเลย แต่เช่นเคย เธอก็… ลุย

“ขณะที่คนที่สอง เราเห็นว่าเขาไม่เคยอยู่ในบ้านเลย ออกนอกบ้านตลอด เวลาเดินอยู่ในสวนก็ชอบไปแคะ ขุด หาอะไรในดิน เราก็เอ๊ะ เขาน่าจะชอบอะไรแบบนี้นะ ก็เลยเริ่มพาเขาเข้าป่า เท่านั้นแหละ โอ้โห… เด็กสี่ขวบเดินป่าสามชั่วโมง สนุกสนาน เห็นไม้ผุก็เอามือล้วงเข้าไปแล้วได้หนอนด้วงออกมา ขณะที่แม่แบบ… โอย ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยแล้วนะ”

เรื่องท้าทายจากความ ‘เอ๊ะ’ ในการเป็นคุณแม่ ‘เจ๊ดัน’ ผลักดันลูกให้มีโอกาสได้ลองค้นหาตัวตนของตัวเอง คือการค้นพบว่า สิ่งที่ลูกชอบ อาจไม่ใช่สิ่งที่แม่ชอบ หรือไม่ใช่ตัวตนของแม่เลย ข้อสังเกตนี้เธอตอบชัดว่า…

“เพราะถ้าเราแยกชัดว่า ‘เขา’ กับ ‘เรา’ ตั้งแต่แรก เราจะได้มีโอกาสเห็นว่าเวลาที่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ สนใจด้วยตัวเอง การเรียนรู้มันจะเหมือนระเบิด ประกายตาสนใจใคร่รู้ของเขา ความพยายามหาว่าทำยังไงถึงจะรู้เรื่องที่เขาสนใจได้ คำถามของเขา การรบเร้าให้เราพาไปเข้าป่า หรือการให้เราอ่านหนังสือเรื่องเดิมให้ฟังซ้ำๆ มันทำให้เราสงสัยว่า เด็กสี่ห้าขวบ ทำอะไรได้มากขนาดนี้เลยเหรอ”

เรื่องของเด็กสี่ห้าขวบที่ไม่ถูกสกัดการเรียนรู้จนเหมือนระเบิดที่มิราว่า เธอยกตัวอย่างการเดินทางด้านการเรียนรู้ของลูกคนเล็ก ที่แม้ไลฟ์สไตล์ไม่ตรงกับตัวเธอไว้ว่า การเรียนรู้ด้านธรรมชาติของลูกคนเล็กเริ่มต้นที่การเพาะเลี้ยงหนอนด้วงจำนวนสองร้อยตัวที่บ้าน จากนั้นพลิกไปสู่ความสนใจเรื่องงู เปลี่ยนเป็นการตกปลา ปัจจุบันดำเนินมาที่สามก๊ก

“นี่คืออีกบทเรียนที่ให้แม่ได้ซ้อมว่า ถ้าวันหนึ่งลูกเปลี่ยนความสนใจไปเลย มันจะไม่เป็นไร เพราะอย่างตอนลูกเลี้ยงด้วงแรกๆ ในหัวเรามันจะจินตนาการถึงอาชีพแบบอัตโนมัติ ‘อุ้ย… เขาต้องเป็นนักชีววิทยา นักกีฏวิทยาแน่ๆ’ คือคิดไปถึงขนาดนั้น เวอร์ไปถึงขนาดนั้น แต่พอเขาเปลี่ยนความสนใจไปที่งู ในหัวเราเริ่มปลอบใจตัวเองละ ‘เอาน่า ยังอยู่ในข่ายของสิ่งมีชีวิต’ จากนั้นไปเป็นปลา แต่เขาไม่ได้สนใจปลาแบบชีววิทยา เขาต้องการเป็นผู้ล่า อยากจะเย่อ อยากจะใช้แรง (หัวเราะ) แล้วตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นสามก๊ก ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับ ด้วง งู ปลา เลยสักนิดเดียว นักกีฏวิทยาหายไปแล้ว และแม่ก็ได้รู้จักความมโนของตัวเอง แต่เขาก็ยังคงชอบธรรมชาติ เดินในสวนก็หาด้วง แต่หาด้วงไปด้วยถือทวนฟันดาบไปด้วย

“คือถ้าไม่บอกตัวเองไว้ตั้งแต่แรกว่า ลูกมีโอกาสเปลี่ยนได้ มันคงแย่ เพราะ passion เปลี่ยนได้ มนุษย์เราเปลี่ยนตลอดเวลา และลูกก็ยังเด็ก มีโอกาสจะเปลี่ยนความสนใจอีกมาก ตรงนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นที่ตัวตนของเขาจะก่อรูปก่อร่าง พ่อแม่ ก็ระแคะระคาย สนับสนุน แล้วก็คอยดูว่าเขาจะไปทางไหนนะ เอ๊ะๆ มันเปลี่ยนอีกแล้ว สนุกไปกับการเป็นผู้เฝ้ามองชีวิตลูกเติบโต”

แต่เธอยังกระซิบ “เอาจริงๆ มันสนุกมาก เหมือนเล่นเป็นนักสืบเลย คุยกันกับสามีตลอดว่า ดูๆ แล้วเดี๋ยวเขาจะไปทางไหนอีก วันหนึ่งลูกอาจจะสร้างสิ่งใหม่ เป็นนักอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีก็ได้”

หลักสูตร ‘แกงโฮะ’: ตระกูล Self

‘self’ ที่แปลว่า ‘ตัวเอง’ และเมื่อไปรวมกับคำนามคำไหน จะให้ความหมายว่า ‘ด้วยตัวเอง’ คำศัพท์ภาษาอังกฤษตระกูล ‘self’ ในความหมายของแม่มิรา หมายถึงกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ ที่ลงท้ายด้วย ‘ด้วยตัวเอง’ เช่น self-organize บริหารจัดการตัวเอง, self-regulating การกำกับตัวเอง

แต่ไม่ว่าจะ ‘self’ แบบไหน ปลายทางขอให้ไปจบที่คำว่า ‘self-evaluation’ หรือ การประเมินด้วยตัวเอง

“เช่น การปีนต้นไม้ ถ้าประเมินจากเราในฐานะผู้ใหญ่ ด้วยน้ำหนักเรา ประสบการณ์ของเราที่เราอาจเคยได้ยินเรื่องเสี่ยงๆ หรือเคยถูกห้าม เคยตกต้นไม้ เราจะคิดไปเองว่าปีนขึ้นไปคือหักแน่ ในหัวเราประเมินแล้วว่าการปีนต้นไม้เท่ากับอุบัติเหตุ ขณะที่เด็กไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาไม่ได้มีข้อมูลชุดนั้นในหัว

“ไม่ได้บอกว่า พ่อแม่ทุกคนจงเอาลูกไปปีนต้นไม้กันเถอะ แต่เปิดโอกาสและหาโอกาสให้เขาได้ประเมินตัวเอง เขาปีนได้แค่ไหน จะขึ้นสูงแค่ไหน กิ่งตรงนี้เหยียบได้มั้ย กิ่งนี้อ่อนไปรึเปล่า เขาหนักไปมั้ยสำหรับกิ่งนี้ นี่คือการเปิดโอกาสให้ประเมินด้วยตัวเอง แต่ถ้าเราเอาแต่พูดว่า ‘อย่านะมันอันตราย’ ใครประเมิน? ผู้ใหญ่ประเมิน วันนึงเขาจะไม่รู้ว่า ความสามารถเขาอยู่ตรงไหน เขาทำอะไรได้หรือไม่ได้ เขาต้องปรับปรุงอะไรเพิ่ม หรือเขาทำอะไรได้ดี เขาจะทำไม่เป็น เพราะต้องคอยถามพ่อแม่ว่า เขาทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นตัวตนจะเกิดได้ยังไง

“ที่บ้านเราไม่มีแก้วหรือจานพลาสติกเพราะลูกต้องหัดใช้ เขาจะทำแตก แต่ทุกครั้งที่ทำแตกเขาจะเสียใจ แต่ครั้งต่อไปจะระวังขึ้น เพราะเขาจะประเมินเป็น ที่ผ่านมาถืออย่างนี้ ทำให้หล่นแตก ครั้งหน้าต้องระวังอย่างไร เขาจะรู้เอง อย่างการใช้มีดเหมือนกัน เราให้เขาใช้มีดเหลาไม้ตั้งแต่เล็กๆ มีดบาดแน่นอน แต่ครั้งต่อไปจะระวังขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่ระวังเลย ปล่อยให้ลูกใช้จนนิ้วขาดก็ไม่ใช่ แม่ก็ต้องอยู่ตรงนั้นด้วยเพราะเขายังเด็ก”

นอกจากข้อนี้จะเชื่อมกับข้อแรก คือการแยกประสบการณ์แม่ ออกจากประสบการณ์ลูกแล้วให้เขาประเมินเหตุการณ์จากมุมมองของตัวเอง ยังเชื่อมโยงกับข้อถัดไปคือ ‘ให้รู้จักทุกข์’ และ ‘ความผิดพลาด’

หลักสูตร ‘แกงโฮะ’: อนุญาตให้ ‘ผิดพลาด’ และ ‘ทุกข์’

ในหลักสูตรข้อนี้เธอเน้นย้ำเป็นพิเศษ นอกจากให้เผชิญความทุกข์และข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง สำคัญที่สุดคือการเห็นทุกข์ในขณะที่เด็กๆ ยังมีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ ในแง่นี้หมายความว่า เมื่อวันที่ลูกเพิ่งรู้จักและจำแนกความรู้สึกเป็นครั้งแรกๆ และยังอยู่ในวัยที่โลกทั้งใบคือพ่อแม่ สำคัญมากที่เขาจะมีใครไว้แอบอิงพิงหลังและปลอดภัยพอจะระบายความทุกข์เศร้าออกมาได้อย่างซื่อตรงและปลอดภัย

“เป็นข้อที่ทำได้ยากมากที่สุด ในฐานะที่เรามีสัญชาตญาณความเป็นแม่ แม่ไม่อยากให้ลูกทุกข์ ไม่อยากให้ลูกผิดพลาด เราจะรู้สึกว่าลูกเจ็บไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ ลูกอยู่กับเรา เรามีหน้าที่ทำให้เขามีความสุข เรียนรู้ที่จะมีความสุขบนโลกใบนี้ นั่นเป็นหน้าที่หนึ่งของพ่อแม่ แต่อีกหน้าที่หนึ่งคือการพาเขาเผชิญความทุกข์ เพราะความทุกข์เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เราจะปกป้องเขาไม่ให้เผชิญทุกข์เลยตลอดชีวิต เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือ อยู่ด้วยกันกับเขาในเวลาที่เขาต้องใช้ความพยายามในการยอมรับความทุกข์ และแก้ไขความผิดพลาดด้วยความรู้สึกเป็นปกติ ไม่ได้มองเห็นความผิดพลาดเป็นความทุกข์

“ลองนึกภาพวันหนึ่งที่ไม่มีเรา หรือวันที่เขาไม่กล้ามาหาเรา วันที่เขาเป็นวัยรุ่นซึ่งเขาอาจจะไม่เคยชินในการบอกเรื่องความผิดพลาดหรือความทุกข์ของเขากับพ่อแม่ วันที่เขาเห็นความผิดพลาดเป็นความทุกข์ใหญ่ ผิดไม่ได้ พลาดไม่ได้ ตอนนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่และยากมาก แต่ถ้าเราทำตั้งแต่ตอนนี้ ผิดพลาดล้มเหลวไปด้วยกันแล้วบอกเขาว่า ‘ผิดแล้วแก้ได้นะ’ เราอยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในครอบครัวแล้วก็พยายามกับมันมากๆ ด้วย เรียกว่าเป็นการละวางความเป็นแม่หรือสัญชาตญาณความเป็นแม่ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกไปเลย”

แต่การจะอธิบายข้อนี้ จำเป็นต้องอธิบายคู่ไปกับหลักสูตร 2 ข้อถัดไปคือ ‘การรู้จักกับอารมณ์’ และ ‘พ่อแม่จะอยู่ข้างๆ เสมอ’

หลักสูตรแกงโฮะ: ให้ลูกรู้จักกับ ‘อารมณ์’

ในความเห็นของมิรา เราจะเข้าใจความทุกข์หรือเรียนรู้ความผิดพลาดที่เกิดไม่ได้ ถ้ายังไม่เข้าใจ ยอมรับ และแบ่งแยกความแตกต่างของอารมณ์ที่เกิดได้

“คำต้องห้ามที่เรากับสามีคุยกันเลยว่าห้ามพูดเด็ดขาด คือ เวลาลูกหกล้ม เราจะไม่พูดคำว่า ‘ไม่เจ็บ’ ‘ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้’ ‘เก่งมากเลย ไม่ร้องไห้’ เราจะไม่พูดเลย เพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะความจริงคือมันเจ็บไง เลือดไหลขนาดนี้ มันต้องเจ็บใช่มั้ย แล้วทำไมแม่พูดว่าไม่เจ็บ?

“จริงๆ แล้ว คำพูดที่เราบอกเด็กว่า ไม่เจ็บ เราบอกใคร มันอาจเป็นความรู้สึกตื่นตระหนกของเราเอง เพราะถ้าลูกร้องไห้ฉันก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ฉันก็ตกใจเหมือนกันที่เข่าเขาเลือดไหล

เวลาที่เราบอกออกไปว่า ‘ไม่เป็นไรลูก ไม่เจ็บเลยเนอะ’ ลูกจะงง เพราะความรู้สึกเจ็บของเขา กับคำพูดของแม่มันสวนทางกัน กลายเป็นอีกหน่อยเขาจะไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร เวลาเจ็บตัว ต้องเก็บไว้ใช่ไหม แล้วต้องจัดการยังไง ระบายออกก็ไม่ได้ เพราะการไม่ร้องไห้นั้นเก่งมาก แล้วยังไงต่อ?

มันจะฟอร์มเขาให้โตขึ้นมาเป็นผู้ชายที่บอกว่าตัวเองร้องไห้ไม่ได้ ซึ่งการร้องไห้ไม่ได้นี่โคตรทรมาน (เน้นเสียง) เลยนะเพราะมันเป็นวิธีการระบายออกของมนุษย์”

นี่เป็นแค่จุดเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่มหาศาลที่เด็กคนหนึ่งจะรับรู้ความรู้สึกของตัวเองและรู้จักพื้นที่ปลอดภัยที่จะสามารถอธิบายความรู้สึกออกมาได้ แต่เรื่องที่ใหญ่กว่านั้นคือ เมื่อเด็กๆ เริ่มโตขึ้นและเริ่มรู้จักกับความอิจฉา โกรธ ไม่พอใจ โมโห อึดอัด สำคัญที่สุดคือต้องรู้จักว่าอารมณ์นั้นคืออารมณ์ไหน และต้องรู้จักวิธีจัดการหรือแสดงอารมณ์ ซึ่งสองอย่างนี้ มิราย้ำว่านั่นไม่เหมือนกัน

“หรืออย่างอารมณ์ลบๆ เช่น ความอิจฉา เป็นเรื่องปกติของบ้านที่มีลูกสองคนแล้วเด็กจะอิจฉากัน เป็นเรื่องปกติมาก แต่ที่บ้านเราความอิจฉานั้นปรากฏตัวขึ้นได้ พูดมันออกมาได้ เรียนรู้ได้ วันที่อารมณ์นั้นปรากฏขึ้นมา เราจะคุย จะไม่ฆ่ามันทิ้ง ไม่บอกลูกว่า ‘อิจฉาไม่ได้ อิจฉาไม่ดีนะ’ เราเอาเลย คุยเลยว่า ‘ความรู้สึกแบบนี้มันคือยังไงนะ มันขุ่นเคืองเหรอ มันแสบๆ คันๆ หมั่นไส้ หรือบางทีมือไม้มันจะอยากออกเหรอ ความรู้สึกมันมาจากไหนนะ กลัวแม่รักน้องมากกว่าเหรอ แล้วหนูคิดยังไง หนูว่าแม่รักน้องมากกว่าหนูจริงมั้ย? เวลาคิดอย่างนั้นแล้วรู้สึกยังไง’ เราก็จะคุย พาเขาระบุความรู้สึกที่เกิดขึ้นว่านี่หงุดหงิด อิจฉา โกรธ ทำให้เห็นว่าแต่ละอารมณ์ไม่เหมือนกันนะ

“อารมณ์ลบมันคู่กับมนุษย์น่ะ และถ้ามันปรากฏขึ้นที่บ้าน เราดีใจนะ ดีกว่าไปเกิดขึ้นในที่ที่เราไม่เห็น เพราะในเวลาที่เราอยู่ด้วย เรามีโอกาสบอกเขา พาเขาไปรู้จักมัน สอนเขา ทำให้เห็นว่า เราดูแลได้ ให้อภัยกันได้และแก้ไขทัน”

นอกจากจำแนกแจกแจงว่าอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมันคืออะไร ขั้นต่อไปคือช่วยลูกๆ ‘เอาออก’

“โกรธได้ ไม่ผิด แต่เราเลือกวิธีแสดงออกซึ่งความโกรธได้ และสองอย่างนี้เป็นคนละเรื่องกัน คือคุณ ‘รู้สึก’ โกรธได้ เราไม่อั้น แต่ถ้าควบคุมไม่ได้แล้วทำร้ายคนอื่น อันนี้ต้องคุย การระบายออกต้องมีขอบเขต อยู่ในขอบเขตที่ไม่ทำร้ายคนอื่น แต่จะอั้นไว้ก็ไม่ได้ ต้องหาวิธีระบายออก อันนี้สำคัญที่แม่ต้องอยู่ด้วยเพราะเขายังเล็ก เขายังไม่รู้ได้ว่าต้องทำยังไง และการไล่ให้เขาไปอยู่ในห้อง หรือ time out แล้วจัดการกับความโกรธคนเดียว มันทำไม่ได้ ทำยังไง? (เสียงสูง)

“เราก็ไปอยู่กับเขา โกรธใช่มั้ย? ไหนเล่าให้ฟังซิ เล่าไม่ได้เหรอ? เล่าไม่ได้งั้นเขียน เขียนไม่ได้ลองขีดเส้น ระบายออกมา ตีหมอน แล้วพออารมณ์เขาเย็นลง เราค่อยชวนคุยต่อเรื่องการแสดงออก”

ยัง… ยังไม่หมดเท่านั้น ขั้นตอนนี้ยังต้องอธิบายต่อในข้อถัดไป เพราะเมื่อผิดพลาด เรียนรู้จักอารมณ์แล้ว เด็กๆ ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ และ ‘แม่จะอยู่ข้างๆ เสมอๆ’

หลักสูตรแกงโฮะ: แม่จะอยู่ข้างๆ เสมอ

มิราย้ำหนักแน่น การอยู่ข้างๆ ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วย ให้ท้าย หรือปกป้องว่าลูกไม่ผิด แต่เป็น ‘เพื่อน’ เป็นฟูกนิ่มๆ ที่ให้ลูกทิ้งตัวลงนอนและปลอดภัยพอจะเล่าได้ว่า วันนี้รู้สึกอย่างไร หรือทำผิดพลาดเรื่องอะไรมา

“ข้ออื่นๆ เหมือนเป็นทฤษฎีเนอะ แต่ข้อสุดท้ายนี้เป็นเรื่อง ‘ใจๆ’ เป็นสิ่งที่พยายามบอกและทำให้เห็น คือ

ไม่ว่าลูกจะทำอะไร เราจะอยู่ข้างๆ เสมอ เช่น สมมุติว่าลูกไปทำของบ้านคนอื่นแตกแล้วเขาต้องเดินไปขอโทษ เราจะไม่ปล่อยให้เขาไปคนเดียว

“เขาไม่จำเป็นต้องเผชิญความรู้สึกผิดคนเดียวจนไม่ชอบมัน และไม่กล้ายอมรับความผิด แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาทำถูก ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วยกับการกระทำของเขา แต่ทำให้เห็นว่าเขาจะมีพื้นที่ให้เริ่มใหม่ได้เสมอ เขาสามารถก้าวข้ามความรู้สึกผิดของตัวเองได้ด้วยการขอโทษ และการแก้ไขให้ถูกต้อง ทำให้เห็นว่า การผิดพลาด และการแก้ไขเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ และถ้ามันยาก แม่ก็อยู่ข้างๆ เป็นเพื่อน เหมือนเพื่อนที่ไปไหนไปกัน และความรักของพ่อกับแม่จะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแม้ว่าลูกจะทำของบ้านใครแตก”

และอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องผิดพลาดหรือการจัดการความรู้สึกด้านลบ แม้แต่เรื่องธรรมดาอย่างการซ้อมดนตรี หรือการอยู่ข้างๆ ในวันที่ลูกเพาะพันธุ์ด้วงซึ่งอาจไม่ใช่ความหลงใหลของเธอ แม้ไม่เห็นด้วย แต่นี่ก็เข้าข่าย ‘แม่จะอยู่ข้างๆ เสมอ’ เช่นกัน

ประเมินหลักสูตร

สุดท้ายนี้ ถ้าให้ต้องสรุปหลักสูตร ‘แกงโฮะ’ หรือคำขวัญประจำบ้านเรียนดิน หิน ไม้ น้ำว่าคืออะไร ทำทุกอย่างทั้งหมดนี้ อยากเห็นลูกๆ ของเธอเติบโตขึ้นมาเพื่อมีคุณลักษณะแบบไหน เธอนิ่งคิดไปนาน ก่อนจะตอบว่า

“ไม่รู้ว่าจะตอบได้ไหมนะ คิดไม่สุดเหมือนกัน แต่พูดบ่อยๆ ว่าพ่อแม่เป็นเบ้าหลอมตัวตนของลูก ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ลูกจะเป็นอย่างที่เราเป็น ทั้งหมดที่พูดมานั้นวันนี้เรายังทำได้ไม่หมด และกำลังฝึก ผิดพลาด แก้ไข ปรับเปลี่ยน และเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก

เวลาเราทำอะไรไม่ถูกกับลูก เราก็ขอโทษ ทำให้เขาเห็นว่า เรายอมรับความผิดพลาด ที่จะบอกคือ ทั้งหมดนั้นจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าพ่อแม่ไม่เป็นก่อน พ่อแม่จะพาลูกยอมรับอารมณ์ได้ ก็ต้องรู้จักยอมรับอารมณ์ของตัวเอง ลูกจะเรียนรู้เป็น เมื่อพ่อแม่เรียนรู้เป็น ลูกจะรู้จักตัวตนของตัวเองได้ เมื่อพ่อแม่รู้จักตัวตนของตัวเอง

“ตัวตนเริ่มต้นที่บ้านไม่ใช่โรงเรียน เริ่มตั้งแต่วันที่เขามีโอกาสได้เลือกอาหารที่ชอบ มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่สะสมมาในชีวิตเล็กๆ ของเขา เป็นเรื่องเล็กๆ ที่จะบอกเขาว่าเขามีโอกาสได้เลือกตัวตนของตัวเองบนโลกใบนี้ไหม โดยมีพ่อแม่อยู่ข้างๆ ถ้าเราฝากความหวังไว้กับโรงเรียน กับระบบการศึกษา ในห้องเรียนอย่างน้อยที่สุด คือครูหนึ่งคนต่อเด็ก 40 คน อย่างมากคือครูหนึ่งคนต่อเด็ก 60 คน เขาจะเห็นได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้เป็นใคร ชอบอะไร มีวิธีคิดอย่างไร รู้สึกอะไร ไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องมาโฮมสคูล หรือโฮมสคูลดีที่สุด แต่จะดีกว่าไหมถ้าโรงเรียนให้การศึกษา และพ่อแม่ก็มีหน้าที่ช่วยสังเกตตัวตน ช่วยบ่มเพาะตัวตน ช่วย ‘ระแคะระคาย’ ทำให้เขารู้จักตัวเอง ถ้าร่วมมือกันแบบนี้ได้ เด็กรอดเลยนะ”

สารภาพตามตรง ฟังมาถึงตรงนี้แล้วทำให้คิด ‘การเป็นพ่อแม่จะยากเย็นอะไรขนาดนี้’ แน่นอนว่าความเบื่อหน่ายและทุกข์ใจเกิดขึ้นหลายขณะ แต่อะไรที่ทำให้แม่คนนี้ยังสนุก และดวงตาเป็นประกายขณะเล่าวีรกรรมสุดซ่าของลูกๆ และเอ่ยปากตลอดการสนทนาหลายครั้งว่า ‘เฮ้ย มันสนุกนะ’

ชอบอะไรในการเป็นแม่ที่สุด – เราถาม?

“ชอบโมเมนต์ฟินๆ ดวงตาเป็นประกายเวลาที่เขาวิ่งมาบอกเราว่าเขาทำอะไรสักอย่างสำเร็จ โดยเฉพาะการทำโฮมสคูลยิ่งเป็นโอกาสที่ทำให้เราต้องเป็นประจักษ์พยานในความสำเร็จของลูก ถ้าให้นึกเร็วๆ จะนึกถึง ตอนที่ลูกสาวฝึกดนตรีเพลงหนึ่งซึ่งมันยากมาก ซ้อมเท่าไรก็ไม่ได้ เขาพยายามอยู่กับมันนานมาก เราก็นั่งอยู่ข้างๆ เขา เห็นว่าเขากำลังเผชิญความยาก แล้วพอทำได้ เขาหันมาขอไฮไฟว์กับเรา ตอนเขาหันมาสบตากับเรา เรารู้สึกเลยว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเขา เขานับรวมเราเข้าไปอยู่ในชีวิตเขา”

แม่บี มิรา ปิดท้ายและดวงตายังเป็นประกายอยู่

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)โฮมสคูลFlock Learningมิรา ชัยมหาวงศ์

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นEducation trend
    สอนให้ลูกเป็นสุนัขจิ้งจอก: ทำได้หลายแบบ คิดได้หลายโหมด และไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Family Psychology
    FLOCK LEARNING: มาคุยกันหน่อยได้ไหม ทำไมฉันต้องเป็นพ่อแม่ที่ดีแล้วลืมความสุขของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    “วันวัน ทำอะไร? เมื่อไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน” จากคุณแม่โฮมสคูล

    เรื่องและภาพ สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Family Psychology
    ‘วิชาแพ้’ พ่อกับแม่แค่ปล่อยและคอยนั่งอยู่ข้างๆ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น
Life classroom
10 August 2018

BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

เรื่องและภาพ SHHHH

ปลายปี 2017 ที่ผ่านมา กรมสุขภาพจิตเปิดเผยตัวเลขน่ากังวลพบว่า วัยรุ่นไทยมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าถึง 44 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นตัวเลขง่ายๆ คือ 3 ล้านคน จากการศึกษาวัยรุ่นทั่วประเทศอายุระหว่าง 10-19 ปี พร้อมกันนั้นยังคาดการณ์ว่า มีวัยรุ่นที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าแล้วกว่า 1 ล้านคน

พวกเขามัก ‘ใจร้ายกับตัวเอง’ จนนำไปสู่ความเครียดและโรคซึมเศร้า

เช่น ชอบตะโกนใส่ตัวเองซ้ำๆ ว่า ‘ฉันยังเก่งไม่พอ’ ‘ฉันแต่งตัวแบบนี้ดูอ้วนหรือเปล่า’ หรือ ‘ทุกคนดูชีวิตดีและมีความสุขกว่าฉัน’ และวัยรุ่นถือเป็นจุดพีค

ปัจจัยขับเคลื่อนทางจิตวิทยาที่ก่อให้เกิดความเครียดเพิ่มขึ้นในสังคมทุกวันนี้คือ ความหวาดกลัว (fear) ความไม่แน่นอน (uncertainty) และไร้การควบคุม (lack of control)

หนึ่งในวิธีทุเลาอาการ คือ Self-compassion  แปลเป็นไทยว่า การเมตตาต่อตัวเอง คือความสามารถในการมองเห็นและเข้าใจข้อผิดพลาดในชีวิต ตระหนักรู้ว่าไม่ใช่เราคนเดียวที่เผชิญกับปัญหาเพียงลำพัง เห็นอกเห็นใจและให้อภัยต่อตัวเอง ไม่ตัดสิน ไม่กล่าวโทษและไม่ลงโทษตัวเอง

Self-compassion ถูกหยิบยกมาพูดครั้งแรกโดย คริสติน เนฟฟ์ (Kristin Neff) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยรัฐเท็กซัส (University of Texas) สำหรับบำบัดผู้ป่วยทางจิตที่เป็นผู้ใหญ่ เพื่อลดอาการเจ็บปวดทางใจ เปิดใจยอมรับสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว มองทุกอย่างด้วยสติ โดยเนฟฟ์ยังชี้อีกว่า Self-compassion ช่วยกระตุ้นแรงบันดาลใจและมาตรฐานการทำงานให้สูงขึ้นภายใต้ความคิดว่า ‘เราไม่จำเป็นต้องใจร้ายกับตัวเองเพื่อให้ประสบความสำเร็จ’

เรเชล ซิมมอนส์ (Rachel Simmons) ผู้เขียนบทความเรื่อง ‘The Promise of Self-compassion for Stressed-out Teens’ ลง New York Timesกล่าวว่า Self-compassion เป็นอุปนิสัยที่ช่วยลดอาการโลกแตก หัวร้อนและความเครียดของวัยรุ่น

จากประสบการณ์ของเรเชลนั้น อุปนิสัยที่กลุ่มวัยรุ่นซึ่งมีความเสี่ยงว่าเป็นโรคซึมเศร้าหรือเป็นโรคซึมเศร้ามีเหมือนกันนั้นคือ การชอบวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง (Self-criticism) และมีความรู้สำนึกถึงตัวตนเอง (self-consciousness) สูง เช่น ‘ฉันยังเก่งไม่พอ’ ‘ฉันแต่งตัวแบบนี้ดูอ้วนหรือเปล่า’ หรือ ‘ทุกคนดูชีวิตดีและมีความสุขกว่าฉัน’ เป็นต้น โดยเฉพาะเด็กหญิงช่วงวัยมัธยมจะมีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้มากที่สุดและมี Self-compassion ต่อตนเองน้อยที่สุด

“ช่วงวัยรุ่นถือเป็นจุดพีคของความเครียดของชีวิตและวัยรุ่นที่มีความรู้สำนึกถึงตัวตนเอง (Self-consciousness) สูง พวกเขาจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองภายในสูงกว่าคนอื่น” เรเชลกล่าว

ขีดเส้นใต้หนาๆ เอาไว้ว่า Self-compassion ไม่ใช่การปลอบใจให้ตัวเองรู้สึกดีไปวันๆ แต่เป็นการเตือนใจให้พวกเขารู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะได้มีคุณค่า กล่าวคือ การปรับทัศนคติทางความคิดให้ค่อยๆ ยอมรับความผิดพลาดของตนเองเพื่อที่จะกลับไปเดินตามเส้นทางที่ตั้งเป้าเอาไว้อย่างมีสติ

Tags:

ซึมเศร้าวัยรุ่นจิตวิทยา

Author & Illustrator:

illustrator

SHHHH

Related Posts

  • Social Issues
    โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    “วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง
Creative learning
9 August 2018

‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • เลิกเรียนแล้วได้วิ่งเล่นอยู่กลางทุ่งนา ร้องเพลง เล่นดนตรีท่ามกลางธรรมชาติ ช่างเป็นภาพที่เป็นไปได้ยาก แต่โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง ทำให้มันเป็นจริงได้
  • สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเด็กก็คือ ‘จินตนาการ’ เพราะจินตนาการจะพาชีวิตไปเจอความงาม และจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความแตกต่างของคน หรือที่เรียกว่า อัตลักษณ์ของคน
  • การเล่นนอกห้องเรียน นอกจากสร้างพัฒนาการให้เด็กได้แล้ว ยังเปลี่ยนบุคลิกภาพและนิสัยของเด็กให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้อีกด้วย
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

โอ่..โอ้…โอ…โอ่
แสงแห่งยามเช้าส่องกระทบตัว หมู่หมอกสลัวทอดยาวขาวพราวตา
วิหกเจ้าผกผินบินล้อลอยลมบน เหมือนดั่งชีวิตคนออกทำมาหากิน
ป่าดงพงไพรกว้างใหญ่เหลือคณา ฉันเดินออกค้นหาเส้นเสียงแห่งเสรี
อย่ามัวรีรอคอยฟ้าคอยฝนดลเกิดมาเป็นคนอย่าจนจิตใจ
ไปเถิดเราไปเรียนรู้โลกกว้างใหญ่ผ่านเป็นบทเพลงกู่ร้องกล่อมไพร
โอ่…โอ้…โอ…โอ่…

เสียงร้องเพลงกล่อมไพรของ ‘เก่ง’ นริศรา ตระกูลศรี เด็กสาวชั้น ม.6 เคล้าด้วยพิณเสียงใสๆ ของ ‘ท็อป’ ธนโชติ เฉลิมศิลป์ หนุ่มน้อยชั้น ป.4 ดังทั่วทุ่งนาเขียวขจี ที่โอบล้อมด้วยภูเขาจำนวนเกินนิ้วนับ

กว่า 3 นาทีของเสียงเพลง ทั้งคู่ไม่มีท่าทีเขินอาย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้อวดโอ้ว่าตัวเองเก่ง แววตาของเก่งและท็อปฟ้องว่า พวกเขาตั้งใจร้องให้ผู้มาเยือน ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ฟังจริงๆ

ผู้ก่อตั้งโรงเรียนกับคนแต่งเพลง คือ คีตา วาริน ซึ่งเป็นคนตำบลถาวร อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยกำเนิด และเป็น ‘ครูลี่’ ของเด็กๆ

ครูลี่ คีตา วาริน

“เมื่อก่อนผมเป็นนักดนตรี เดินสายไปทั่วประเทศ จากบ้านไปเกือบยี่สิบปี แล้ววันหนึ่งเรากลับมาเพื่อดูแลพ่อแม่ ท่านก็อายุเยอะแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือวิถีของผู้คนเปลี่ยนไป เด็กๆ อยู่แต่กับหน้าจอโทรศัพท์ ผู้คนขาดการแบ่งปัน มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เราไปเก็บเห็ดบนภูเขา กลับมาเราก็เอามาขายให้กัน ซึ่งเมื่อก่อนมันไม่ใช่ เมื่อก่อนเป็นการให้

สิ่งที่ผมสะเทือนใจกับหมู่บ้านของผมคือ พ่อแม่ลูกไม่ได้อยู่ด้วยกัน คนหนุ่มสาวทิ้งบ้าน เดินทางไปกรุงเทพฯ ไปเมืองท่าอุตสาหกรรม ทิ้งลูกหลานไว้กับปู่กับย่า ให้เขาเผชิญชีวิตตามลำพัง เงินคือเป้าหมายอย่างเดียว ตอนนี้พ่อแม่กำพร้าลูก ไม่ใช่ลูกกำพร้าพ่อแม่ ไร่นาก็ไม่มีใครทำ ลูกก็ไม่มีใครสอน แล้วสิ่งที่เขาหามา ผมว่ายังไงก็ไม่คุ้มค่า

จึงมาเปิดโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เพราะต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็กๆ การเปลี่ยนแปลงของสังคม อีกสาเหตุหนึ่งคือเราทำแล้วเรามีความสุข เมื่อไหร่ที่เราได้มองแววตาที่มีความสุขของเด็ก นั่นคือเงินเดือน ค่าจ้างผม มันอิ่ม มันละมุน มันบอกไม่ถูกแต่มันรู้สึกได้”

ใบสมัครสีเขียวๆ

ทุกๆ วันเมื่อท็อปและเก่งเลิกเรียน แม่จะรับมารับที่โรงเรียน กลับบ้านอาบน้ำกินข้าว จากนั้นแม่จะมาส่งที่โรงเรียนของครูลี่ มีเพื่อนๆ แบบนี้อีกสิบกว่าคน

เมื่อมาถึงโรงเรียน สิ่งที่ท็อปและเก่งทำเป็นอันดับแรกคือ เดินตรงมาที่ ‘ใบสมัคร’ ของตัวเอง

ใบสมัครที่ว่านี้ หน้าตาสีเขียวๆ ต้องการความดูแลใส่ใจทุกวัน

“ใบสมัครคือแปลงผัก หลังจากเลิกเรียนก็จะมาดูแลใบสมัครของตัวเอง มารดน้ำผัก มาพรวนดิน” เก่งอธิบายไปยิ้มไป

ต้นคิดใบสมัครกินได้คือ ครูลี่

“เด็กหนึ่งคนจะมีแปลงผักหนึ่งแปลง ก่อนเข้ามาเรียน หรือแปลงเดียวสองคนก็ได้ ผมใช้แผ่นดินเป็นกระดาษ ใช้จอบเป็นปากกาในการวาดใบสมัคร แล้วเขาจะวาดชีวิตเขาในแปลงผัก ผักหนึ่งแปลงมันจะบ่งบอกตัวตนของเด็กๆ เลย ว่าเขาเป็นคนอย่างไร

เช่นคนที่ไม่เอาใจใส่แปลงผักตัวเอง นั่นคือเขาไม่เอาใจใส่ชีวิตของเขา ความรับผิดชอบน้อย ถ้าจะรวบไปถึงดนตรี ถ้าเขาดูแลแปลงผักไม่ได้ เขาก็จะเล่นตรีไม่ได้เหมือนกัน เช่น ไวโอลิน ไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่ไม่มีบันไดเสียง คุณต้องใช้ความแม่นยำมากในการที่จะพานิ้วไปให้ได้ตรงโน้ต ต้องใช้ความเพียร ใช้การสังเกต ใช้ความรับผิดชอบ”

หลังจากดูแลใบสมัครเสร็จ ทุกคนก็เริ่มฝึกซ้อมดนตรีตามความถนัดของตัวเอง เช่น เก่ง ก่อนจะมาร้องเพลง เธอเคยเล่นทั้ง อูคูเลเล่ โปงลาง ไวโอลิน ล่าสุดมีโปรเจ็คท์จะเล่นพิณ งานนี้เก่งวางแผนฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์ของรุ่นน้องวัย 9 ขวบอย่างท็อป

“สอนพิณให้เก่งน่าจะยากนะครับ” ครูท็อป-ยังไม่ทันจะสอนก็แซวศิษย์พี่ซะแล้ว

ส่วนท็อป พิณคือวิชาแรกหลังดูแลใบสมัครจนผ่าน แถมพูดดังๆ ด้วยว่า “เล่นพิณไม่ยากครับ”

“ที่เห็นผมย่ำเท้าตลอดในคลิป ไม่ได้ตื่นเต้นครับ เท้ามันไปเอง (ยิ้ม) แต่เราต้องมีจังหวะในใจ เข้ามาแรกๆ ผมเล่นพิณไม่เป็นเลย ก็ได้ฝึกจังหวะ เขย่าน้ำเต้า เดินจากโน่นไปนี่บ้าง แล้วก็ย่ำเท้า ซ้ายขวาซ้ายไปเรื่อยๆ แล้วจังหวะมันก็ได้ ค่อยๆ ฝึกไปทีละขั้น”

โรงเรียนที่อยากไปทุกวัน

เสาร์อาทิตย์ ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งสวรรค์ของเด็กๆ โรงเรียนเล็กฯ เลยก็ว่าได้ เด็กทุกคนจะมานอนและใช้ชีวิตที่โรงเรียนตั้งแต่คืนวันศุกร์ถึงค่ำของวันอาทิตย์ กิจกรรมที่เด็กๆ จะได้ทำคือ เดินป่า ปั่นจักรยาน เก็บเห็ด เล่นน้ำ เป็นต้น แต่ละกิจกรรม เด็กจะได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน แสดงความคิดเห็น และที่สำคัญคือการใช้จินตนาการ

“ดนตรีคือความละมุนภายใน ดนตรีสำหรับผม ผมจะไม่ให้เด็กท่องจำ ผมจะล้อมวงเด็ก แล้วให้ทุกคนออกความคิดเห็นว่า ตรงนี้จะทำอะไร ท่อนนี้ควรจะร้องยังไง เราอยากให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น แต่เราก็จะคุมหางเสืออยู่ หรืออย่างทำบ้านดิน บ้านดินเปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการออกแบบบ้าน ไม่มีกฎเกณฑ์กับเด็ก อย่างแปลงผัก เด็กคนหนึ่งปลูกผัก แปลงแค่นิดเดียวแต่ปลูกห้าอย่าง ผมก็จะบอกว่า เอาเลย ทำเลยลูก แต่เราดูอยู่ห่างๆ

“การที่จะให้เด็กเก่ง หนึ่ง ต้องปล่อยให้เขาเผชิญ ต้องกล้าให้เขาได้ไปเผชิญและใช้จินตนาการ แต่ทุกวันนี้เด็กๆ ไม่ได้เผชิญ เด็กๆ มีแต่ท่องจำเพื่อเอาไปสอบ หวังผลแต่กับคะแนนเสียมากกว่า” ครูลี่กล่าว

เก่งชอบเล่นน้ำมากที่สุด ส่วนท็อปก็ชอบเล่นน้ำเหมือนกัน เพิ่มเติมคือเดินป่า ท็อปเล่าด้วยใบหน้าเขินอายว่า

“ที่ทุกคนเห็นในคลิปเล่นดนตรีของพวกเรา เห็นว่าพวกเรายิ้มแย้ม ที่จริงแล้วมันจะมีข้อตกลงครับ ถ้าเราเล่นแบบยิ้มแย้มแจ่มใส เทคเดียวผ่าน ครูจะพาไปเล่นน้ำ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พวกเราสามารถเล่นได้เทคเดียวผ่าน เวลาเล่นน้ำของพวกเราเลยลดน้อยลง”

เมื่อวันอาทิตย์สิ้นสุดลง วันจันทร์ก็เวียนกลับมาอีกครั้ง ทุกเช้าที่ต้องตื่นไปโรงเรียนช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนลำบาก ยากมากกว่าจะลากตัวเองออกมาจากเตียงได้

“ความรู้สึกตอนไปโรงเรียน กับไปโรงเรียนเล็กฯ ต่างกันมากเลยค่ะ ตื่นเช้าไปโรงเรียนรู้สึกว่าใจไม่ค่อยอยากไป เหนื่อย แต่ว่าหลังจากเลิกเรียนแล้ว เราตื่นเต้นที่จะมาโรงเรียนเล็ก เวลาเรียนเราก็นั่งรอว่า เอ…เมื่อไหร่จะเลิกเรียนสักที จะได้มาที่นี่ จะได้มาเจอเพื่อนๆ มาดูแลใบสมัครของตนเอง แล้วอีกอย่างวิวที่นี่ก็สวยดี ได้เจอทุ่งนา ได้อยู่กับธรรมชาติ รู้สึกว่ามันโล่ง ไม่แออัด อยู่แล้วรู้สึกสบายใจ”

มือพิณของเราก็สารภาพเสียงอ่อยๆ ว่า ตอนเช้าก็ไม่อยากไปโรงเรียนเหมือนกัน

“เพราะว่ามันไม่มีอะไรสนุกเลย อยู่แต่ในห้อง แต่ถ้ามาที่โรงเรียนเล็กฯ ผมได้เปิดประสบการณ์ใหม่ เรียนไม่ซ้ำกันเลย” ท็อปพูดเสียงเบาๆ

จินตนาการ สร้าง ความเป็นคน

โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้างมีกิจกรรมเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น เล่นดนตรี ปลูกผัก แสดงละคร ทั้งหมดนี้เป็นวิชาสร้างจินตนาการสำหรับครูลี่

“ทุกวันนี้เด็กโดนทำร้ายจากการขาดจินตนาการ เด็กตั้งแต่แรกเกิด จนถึง สิบสองปี เป็นช่วงที่เขากำลังสร้างจินตนาการให้กับตัวเอง สองปีถึงยี่สิบปี เป็นวัยที่อยากเรียนรู้ อยากรู้อยากเห็น และวัยยี่สิบปีเป็นต้นไปเป็นวัยที่เขาต้องเผชิญโลก”

ครูลี่บอกว่า จินตนาการเป็นเรื่องสำคัญมาก จินตนาการจะพาชีวิตไปเจอความงาม จินตนาการบ่งบอกถึงความแตกต่างของคน บ่งบอกถึงความงามของแต่ละคน แต่ทุกวันนี้เด็กถูกปลูกฝังให้ทำอะไรเหมือนๆ กัน อย่างการอ่านหนังสือเพื่อไปสอบ

“ทุกวันนี้เด็กสามขวบเข้าโรงเรียนแล้ว ผมไม่เรียกโรงเรียนนะ ผมเรียกว่าคอก แล้วเลี้ยงเหมือนไก่พันธุ์ ทุกคนให้อาหาร ถึงเวลาตอนเช้าแปดโมง เคารพธงชาติ เที่ยง ตีระฆัง ไล่ออกจากจากคอก บ่ายเข้าคอก เย็นตีระฆัง วนแบบนี้ห้าวัน ขาขาดการวิ่งเล่นในโลกกว้างๆ ทุ่งกว้างๆ”

ครูลี่ย้ำว่าคนเป็นสัตว์ที่ต้องอยู่กับธรรมชาติ แต่วิถีปัจจุบันกำลังทำให้คนเหินห่างจากธรรมชาติ และความห่างเหินจากธรรมชาติจะทำให้คนแปลกแยกจากธรรมชาติ

“แปลกแยกหมายถึง อยู่กับธรรมชาติ แต่ใจไม่อยู่กับธรรมชาติ ใจมันไปอยู่ที่อื่น ใจมันไปอยู่ที่เงิน อยู่กับการเป็นหนี้ หรือเป็นทุกข์กับครอบครัว แล้วเด็กที่ขาดจินตนาการ พอเขาโตขึ้น ชีวิตของพวกเขาจะหาความงามไม่ได้ เพราะถ้าขาดจินตนาการแล้ว ชีวิตจะกลายเป็น copy ชีวิต ทุกวันนี้การ copy ชีวิตเป็นเรื่องธรรมดาของเด็ก แต่ผมมองว่าเป็นภัย เพราะเราจะไม่มีวิถีชีวิตที่หลากหลาย ถ้าความหลากหลายของชีวิตน้อยลง เราจะหาความงามไม่เจอ”

Before & After ของเก่งและท็อป

2 ปีแล้วที่เก่งและท็อปเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนเล็กฯ ทั้งคู่บอกว่า before และ after ต่างกันลิบลับ

เก่งยกมือตอบก่อนเลยว่า รู้สึกตัวเองเปลี่ยนไปมาก จากเด็กชอบเล่นโทรศัพท์ ชีวิตติดทีวี มาวันนี้มีความรับผิดชอบเข้ามาแย่งเวลาไปหมด

“นอกจากใบสมัคร (แปลงผัก) แล้วก็ยังต้องซ้อมดนตรี ตรงต่อเวลาในการซ้อม ฝึกวินัยด้วย พอเรามาเรียนที่นี่ การบ้านก็จะเยอะ เราต้องแบ่งเวลา นี่ก็เป็นการฝึกการแบ่งเวลา ฝึกความอดทนด้วย”

แสบที่สุดต้องยกให้ ท็อป หนุ่มน้อยโดนฝึกหนักกว่าเพื่อนๆ พี่ๆ คนอื่น โทษฐานที่เป็นหลานแท้ๆ ของครูลี่

“เจ้าท็อป สายพิณ คนนี้แสบ คนนี้คือหลานแท้ๆ เป็นคนแรกที่มาเรียนกับผม 4-5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอยู่เชียงใหม่ วางแผนจะกลับบ้าน ระหว่างนั้นไปกลับเชียงใหม่-บุรีรัมย์บ่อยมาก ก็จะเจอเจ้าท็อป หยอกบ้าง เล่นบ้าง ตอนเช้าผมก็พาไปวิ่ง ว่ายน้ำ แต่พอผ่านไปแค่ปีเดียว ผมกลับมา แววตาของเขาเปลี่ยนไปหมดเลย เหม่อลอย แล้วค่อนข้างก้าวร้าว แล้วก็เป็นเด็กที่เรียกร้อง เพราะเขาก้มหน้าอยู่แต่กับจอโทรศัพท์ทั้งวัน นั่นแสดงว่าโทรศัพท์กำลังสอนเขาให้เขาเป็นคนแบบนั้น เขาเรียกร้องจากพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน เราก็เลยคิดว่าเราจะทำยังไงดี พอเขามาอยู่กับเรา เราเริ่มเล่นกับเขา พอเราเล่นบ่อยๆ เขาก็เริ่มห่างจากโทรศัพท์ ผมก็เลยมาสรุปได้ว่า

การแก้ไขปัญหาคือการเปลี่ยนกิจกรรม แค่เปลี่ยนกิจกรรม ให้เขาปลูกผักบ้าง เล่นละครบ้าง ว่ายน้ำบ้าง ปั่นจักรยาน ผมทำหลากหลายมาก แล้วเราก็มาตกผลึกว่า เราทำวิธีนี้เด็กเปลี่ยนนะ แม้ว่ายังคงเล่นมือถืออยู่ แต่เล่นเป็นเวลา ก็ถือว่าดีขึ้นเยอะแล้ว”

พฤติกรรมเปลี่ยน แล้วนิสัยล่ะ?

“คิดว่าดีขึ้นค่ะ (ยิ้ม) แต่ก่อน จะเป็นคนร้อนแรงมาก อย่างเวลาอยู่ครอบครัว ยายจะชอบบ่น แล้วเราไม่ชอบ จะมีอารมณ์แล้วก็โต้ไปด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควร พอเรามาอยู่ที่นี่ครูลี่ก็สอนเรื่องการจัดการกับภายใน จัดการกับอารมณ์ พอเรารู้ตรงนี้ เราก็เอาไปปรับใช้กับยาย กับครอบครัวดู

พอเราเข้าใจเรื่องภายในแล้ว พอยายบ่น เราก็เข้าใจว่าที่ยายบ่นก็เพราะว่าหวังดี เลยไม่ตอบโต้ไป เพราะว่าเบื้องหลังคำด่า คำว่าของยาย เพราะแกเป็นห่วง เพราะแกรักเรา เราต้องขอบคุณแกมากกว่าที่เตือนเรา” after ของเก่ง

อดีตนักก้มหน้าอย่างท็อปก็บอกว่า “ผมว่าผมนิสัยดีขึ้นครับ”

“ตอนแรกอยู่บ้านชอบเล่นเกม เล่นไม่เป็นเวลา พอแม่กับพ่อเตือน เราก็ด่าในใจ แล้วก็เดินหนี”

ด่าว่าอะไร?

“แหม เล่นแค่นิดหน่อยไม่ได้ (ยิ้มเขิน) พอมาอยู่โรงเรียน ครูลี่สอน สมมุติถูกครอบครัวด่า เราก็ต้องมารู้สึกตัว กลับมาอยู่กับตัวเอง ไม่ด่ากลับ แต่เปลี่ยนมามองว่าที่เขาด่า เพราะเขาหวังดีกับเราจริงๆ”

วิชา Reset แก่นของชีวิต

“ความรู้ที่เราเรียนจากที่นี่ มันได้ทั้งวิชาชีพและวิชาชีวิต วิชาชีพคือวิชาที่สามารถเลี้ยงชีพเราได้ เป็นอาชีพของเรานั่นเอง ส่วนวิชาชีวิตเป็นเรื่องการจัดการภายในของเรา อันนี้โรงเรียนในระบบไม่มีสอนค่ะ แต่โรงเรียนครูลี่มีสอน”

สำหรับเก่ง สิ่งที่นำไปใช้ได้แน่นอนคือ เรื่องการจัดการกับภายใน

“เราเรียกวิชานี้ว่า reset คือการกลับมารู้สึกกับตัว ออกจากความคิดแล้วมาอยู่กับความรู้สึกตัว เราจะไม่ฟุ้งซ่าน พอเราออกจากโรงเรียนเล็กไปแล้ว เราต้องออกไปทำงาน หรือออกไปเรียนต่างจังหวัด ต้องเจอสังคมอื่นๆ ต้องเจอปัญหา เราก็เอาวิชา reset ไปใช้”

ครูลี่ อธิบายให้กระจ่างว่า วิชา reset ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากครูบาอาจารย์อีกที คือการฆ่าเชื้อร้ายในกระแสใจ

“สมมุติว่าร่างกายกินอาหารแล้ว ร่างกายเป็นพิษ แล้วร่างกายไม่สบาย เราต้องขับถ่ายออกมา เช่นกัน ถ้าอาหารใจติดเชื้อ ถ้ามันติดเชื้อในกระแสใจ มันจะขับถ่ายยังไงอันนี้คือสาเหตุ เรารู้อาหารกายก่อน คือข้าว คือน้ำ อาหารใจคือ อารมณ์

อารมณ์มีสองแบบ คือ ชอบกับชัง เราจะอยู่อย่างไรกับสิ่งที่ชอบ แล้วเราจะอยู่อย่างไรกับสิ่งที่ไม่ชอบ

“มันคือการตัดวงจรความคิด ตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส พวกนี้เป็นประตูทำให้เกิดอารมณ์ ใจเป็นประธาน แล้วตัดสินสองอย่างคือ ชอบกับไม่ชอบ แล้วถ้าไม่ชอบเมื่อไหร่ ทำยังไง อันนี้คือประเด็น

มันคือการกลับมารู้สึกตัว ถ้าเราเจอสิ่งที่เราไม่ชอบ เช่น สอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด กระโดดตึกตาย ทำไมแค่เรื่องสอบไม่ติด ถึงต้องโดดตึกตาย เพราะว่าเขาออกจากความคิดนั้นไม่ได้ เราต้องตัดวงจร มันคือต้องกลับมารู้สึกตัว นี่คือการลดน้ำหนักของเรื่องราวให้มันเบาลง เป็นการเยียวยาใจตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือต้องให้เขารู้สึกถึงสิ่งที่เขาทั้งชอบและไม่ชอบ แล้วก็จัดการกับมัน”

ท้้งหมดนี้คือวิชาชีวิตที่ครูลี่อธิบาย ซึ่งหาไม่ได้จากห้องเรียนสี่เหลี่ยมและกระดานดำ แต่ต้องวิ่งออกไปในทุ่งกว้างๆ เท่านั้นถึงจะเจอ

Tags:

การเล่นครูระบบการศึกษาโรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)เทคนิคการสอน

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Unique Teacher
    ‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel