นั่งคุยนานๆ กับคุณพ่อวัย 47 ที่กำลังมีอัลบั้มใหม่และเพิ่งหัดใช้เฟซบุ๊ค ตัวตนของน้อยจากวันนั้นถึงวันนี้ มีอยู่หลายคำ ทั้งลูกครึ่ง เด็กบ้านรวย มนุษย์ช่าง guilty แต่มี passion อ่อนน้อมและซ่อมตัวเองอยู่เสมอ ทั้งหมดคือหยินและหยางของน้อยที่ไม่เคยปิดบังลูก และบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “พ่อซ่อมมันอยู่นะ” ฟีดแบ็คของลูกๆ คือยอมรับ เข้าใจ ไกลไปถึงขั้นเปิดใจกับพ่อ (แห่งพรู) ว่า “อยากเป็นแบบ จัสติน บีเบอร์”
เรื่อง: วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์ ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง
หลังจากมีเฟซบุ๊คเป็นของตัวเอง Are we famous? คือ คำถามแรกจากลูกๆ หลังจากเห็นภาพครอบครัวที่พ่อโพสต์ตอนเที่ยวศรีลังกา มีคนเข้าถึงกว่า 1.5 ล้านคน
น้อยไม่ได้บอกเราว่า ตอบลูกว่าอะไร
“น้อยก็อยาก trust people ด้วย แม้มีคนสอนว่าอย่าไป trust ใครนะ แต่ I want to trust people มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร โอเค น้อยไม่ใช่ ณเดช ที่จะมีแฟนมาตาม แต่ I would like to trust people แล้วเขาก็ respect เรานะครับ”
ไม่ใช่แค่โลกออนไลน์สีฟ้าที่ ‘น้อย พรู’ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หมายความถึง แต่เขาอยากจะไว้ใจและรู้สึกปลอดภัยในโลกทั้งใบที่สร้างเขามาตลอด 47 ปี
โดยเฉพาะเป็นโลกใบเดียวกับที่มีลูกทั้งสองคนอยู่ด้วย
แถมเป็นลูกที่รบเร้าพ่อ ขอมีเฟซบุ๊คในเร็ววัน อยากเป็นยูทูบเบอร์ และมีจัสติน บีเบอร์เป็นฮีโร่!
เพราะอะไรคุณน้อยถึงเข้ามาเล่นเฟซบุ๊ค ก่อนหน้านี้เราไม่ได้เห็นคุณน้อยในโซเชียลมีเดียเลย
พูดตรงๆ ก็เพราะว่ากำลังจะปล่อยอัลบั้มใหม่หลังจากหายไปประมาณ 12 ปี แล้วทุกคนก็บอกว่าต้องมีเฟซบุ๊คด้วย ถ้าอยากให้แฟนเพลงของเรากลับมา connect กับเพลงใหม่ น้อยทุ่มเทกับอัลบั้มมาประมาณ 7-8 ปี เหนื่อยมาก แล้วอยากให้เพลงไป connect กับทุกๆ คนมากสุดเท่าที่ทำได้
อีกอย่างหนึ่ง ด้วยความที่เราหายไปนาน แต่เราก็โชคดีที่มี fan base ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง น้อยจึงรู้สึกว่าเราต้องเริ่ม re-connect กับเแฟนพลงของน้อย
พูดตรงๆ มันมีเรื่องธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เวลาเรามีอัลบั้มใหม่ มันต้องมีเงินทำ MV ต้องมีเงินทำ marketing เราต้องมีเงินเพื่อที่จะให้คนรู้จักเพลงเรา เดี๋ยวนี้เวลาเราหาสปอนเซอร์ต่างๆ เขาก็บอกเราในสัญญาเลยว่าต้องมี เฟซบุ๊ค ต้องมี อินสตาแกรม เขาถึงจะสปอนเซอร์เราได้ และเราก็อยากให้ผลงานเราไปถึงคนได้
เพลงที่น้อยทำก็เพื่อแฟนเพลง น้อยไม่ได้สนใจที่จะมาโชว์ชีวิตส่วนตัวเราว่าเป็นยังไง เราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น คิดแค่ว่า ถ้าน้อยมีแฟนเพจ น้อยอยากทำอะไรที่มันสร้างสีสัน ให้เขาอยากเข้ามาดู แล้วน้อยก็ทำได้ประมาณนึงแล้ว แต่ก็ยังหัด ต้องใช้เวลาคุ้นเคยกับมันอยู่
ถ้าไม่มีอัลบั้มใหม่ ก็อาจจะไม่เล่นเฟซบุ๊คเลย?
ใช่ ไม่เล่น น้อยไม่รู้ว่าทำไมต้องเล่นด้วยซ้ำ ทำไมต้องไปถ่ายว่าตัวเองกินอะไรด้วย พูดเล่นนะฮะ แต่ว่าเราอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปถ่ายภาพ (หัวเราะ) แต่อย่าเข้าใจผิดนะ น้อยรู้ว่าทำไมบางคนเขาเล่น มันเป็นการทำมาหากินของแวดวงบันเทิง หรือแวดวงอะไรก็ได้ ก็เข้าใจว่าเขาก็ต้องโพสต์ภาพเพื่อมี following เขาก็มีสปอนเซอร์ มีเงินสร้างบ้าน แต่บางคนก็มีเพื่อความสนุกด้วยนะครับ มันก็เข้าใจ แล้วก็ connect กับคนนู้นคนนี้ แต่น้อยไม่ได้ต้องการตรงนั้น
ถ้าทำเพื่อแฟนเพลงแล้วเขาสนุก เขาสนใจ น้อยสามารถโชว์อะไรที่มันสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้เขาคิดได้ น้อยก็จะโอเค โพสต์ได้ ล่าสุดที่น้อยโพสต์เรื่องไปเที่ยวที่ศรีลังกา น้อยคิดว่าน่าสนใจ มีอะไรแปลกใหม่ให้นำเสนอ แต่เดี๋ยวน้อยไปอเมริกา น้อยก็คงไม่โพสต์ เพราะไม่รู้ว่าน่าสนใจตรงไหน เพราะทุกคนก็เคยเห็นซานฟรานซิสโกมาก่อนแล้ว
ถ้าเราคุยบนฐานว่า มนุษย์คนหนึ่งมีคาแรคเตอร์ที่หลากหลาย คุณน้อยมีคาแรคเตอร์ที่มากกว่าหนึ่งหรือเปล่า และมีคาแรคเตอร์แบบไหนบ้าง
พอมีเฟซบุ๊ค บางคนก็บอกว่าเสียความลึกลับของพี่เลย มันแมสแล้ว ผมไม่น่าสนใจเท่ากับแต่ก่อน ใช่ ความส่วนตัวมันต้องยอมลดลงไปหน่อย ถ้าถามน้อย ทุกอย่างมันอยู่ที่แพสชั่นเรา น้อยแค่ใช้ชีวิตกับสิ่งที่น้อยรัก กับสิ่งที่น้อยมีแพสชั่น กับสิ่งที่น้อยต้องการที่จะให้มันเกิดนะครับ
ง่ายๆ เลย น้อยชอบทำอะไร มีพรสวรรค์ตรงไหน น้อยก็พยายามทำให้มันเกิดขึ้น อย่างเรื่องธุรกิจเรื่องบัญชีน้อยไม่เก่งเลย น้อยเป็นนักธุรกิจไม่ได้เลย บางทีน้อยก็อยากช่วยสังคมด้วยการพูดคุย ไปสอนคนนู้นคนนี้ แต่น้อยก็พูดต่อหน้าคนดูเยอะไม่ได้ด้วย น้อยจะเริ่มมีปัญหา ทำได้แต่ว่ามือจะสั่น บางทีออกรายการบางรายการก็ไม่กล้าออก
แต่การร้องเพลงมันง่ายกว่าหน่อยเพราะเวลาเราขึ้นเวทีเราสามารถเป็นอีกคนหนึ่งได้ ส่วนมากเพลงพรูจะเป็นเพลงเกี่ยวกับคนนู้นคนนี้ไม่เกี่ยวกับน้อย น้อยเลยสามารถสวมวิญญาณของตัวละครในแต่ละเพลงได้ แล้วมันมีเนื้อให้น้อยร้องด้วย ทำให้เราโฟกัสไปกับเพลงได้ น้อยไม่ต้องเป็นตัวเอง
ส่วนเวลาเราเล่นหนัง พอแอ็คชั่นเราก็กลายเป็นคนละคน มันก็เลยเซฟเพราะเราไม่ต้องเป็นตัวของตัวเอง
การสวมบทบาทเป็นตัวตนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา ทำไมจึงรู้สึกปลอดภัยกว่าการเป็นตัวของตัวเอง
มันเป็นปัญหาของน้อย ปัญหาของน้อยไม่ต่างจากเด็กหลายคนที่ไม่ชอบทำพรีเซนเทชั่นครับ เวลาคนดูเยอะมันจะเริ่มคิดมาก น้อยจะเริ่มสั่น มันเป็นปัญหา psychology ของน้อยที่น้อยสู้มันไม่ได้ เคยคุยกับหมอ และไม่ชอบเวลารู้สึกแบบนี้เลย น้อยรีแล็กซ์ไม่ได้ บางทีคนดูเข้ามา เขาก็อยากเข้ามาฟังน้อยพูด เขาชอบน้อย หมอก็บอก They are there because they like you, you know?. Why are you afraid. น้อยบอกว่ามันเป็นกำแพง น้อยซ่อมไม่ได้ น้อยเคยเล่นโชว์มาก่อน บางทีโชว์พังไปเลยนะครับ
พังแบบ บางทีคนดูไม่ออก แต่วันนั้นคนดูออก ตอนร้องใจมันไม่อยู่แล้ว คนเขาดูออกว่าไม่ได้อินกับเพลงไปเท่าไหร่แล้ว สายตาก็บอกว่าไม่อยากอยู่บนเวทีนี้เลย แต่ต้องอยู่ เขาอุตส่าห์จ้างเราแล้วเราก็จะเริ่มสร้างความกดดันให้กับตัวเอง เราต้องเป็น professional มากกว่านี้ มันไม่ต่างจากนักบอลที่เล่นในสนามเก่งจะตาย แต่ไม่ชอบให้สัมภาษณ์ อย่างเมสซีก็ไม่ชอบให้สัมภาษณ์เพราะ He is a football player. มันเหมือนนักบอลเวลาได้ลงสนาม เราได้เป็นคนละคน เราได้ตะโกน มันเป็นเวทีให้เราปลดปล่อย
อย่างเรา เวลาไปถึงที่ perform แล้วเราเป็นหนึ่งในเสียงเพลง รอบข้างเราก็ flow ไปหมด มันรู้สึกดีมาก รู้สึกมหัศจรรย์มากเลย แล้วการที่เราจะไปถึงความรู้สึกนั้น บางทีเราลำบาก ทรมาน แต่มันคุ้มค่ากับการที่เราไปถึงความรู้สึกนั้น ถึงผมจะมีปัญหานี้ แต่มันก็มันดี ทำให้ชีวิตสนุกดี ทุกโชว์ไม่เหมือนกัน มันสนุกตรงที่เสี่ยงเสมอ
เวลาที่คนทำเพลงบอกว่า ผมทำเพลงขึ้นมาจากตัวตนของผม มันคือตัวตนของผม หมายความว่ายังไง
ผมก็พูดแทนศิลปินคนอื่นไม่ได้นะ ทุกอย่าง เนื้อหาที่เล่าเกิดจากตัวตนผม แต่น้อยไม่ได้เขียนเนื้อภาษาไทย เนื้อจะเป็นภาษาอังกฤษก่อน น้อยก็โชคดี มีคนเก่งๆ อย่าง บอย โกสิยพงษ์ บอย ตรัย แสตมป์ ช่วยเขียนเนื้อไทยให้ ส่วนเรื่องดนตรี น้อยทำเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เลย บางทีก็แอบน้อยใจคือไม่เคยมีใครรู้ว่าน้อยคิดคอนเซ็ปท์เนื้อแล้วเขียนเพลงให้วงพรูทุกเพลง ทุกคนจะนึกว่าร้องอย่างเดียว แต่พอทำอัลบัมนี้คนเดียว น้อยไม่มี สุกี้ หรือ ยอด, คณิน มาช่วยเสริมไอเดีย น้อยต้องแต่งเองหมด น้อยจะเขียนพวกนี้ไว้หมดเลยจากจินตนาการน้อย หรือแม้แต่เพลงนี้เริ่มด้วยช้าแล้วกลับมาแรง น้อยจะเป็นคนเรียบเรียงทั้งหมดเพื่อให้ได้อารมณ์ที่เป็นน้อย
ของพวกนี้เป็นสิ่งที่คนไม่เห็น แล้วมันก็เป็นเรา มันก็เลยเป็นอย่างนี้ อัลบั้มมันเลย personal มาก เหมือนเป็นลูกเราเลย
คำว่า ‘มันเป็นเรา’ มันถูกสร้าง ถูกหล่อหลอมมาจากอะไรบ้าง
มองได้หลายแง่มุมนะครับ เหมือนศิลปินเราทุกคนได้อิทธิพลมาจากคนนู้นคนนี้ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาทุกอย่างให้มันกลายมาเป็นตัวเราเองได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นท่าเต้น น้อยก็ไม่ได้อยากเต้นฮิปฮอปหรือว่าบัลเล่ต์ 100 เปอร์เซ็นต์ น้อยก็หยิบนักเต้นที่เก่งที่สุดในโลก จาก ไมเคิล แจ๊คสัน บ้าง จาก บรูซ ลี บ้าง ผสมผสานให้ได้มาเป็นตัวน้อย น้อยก็ต้องหาวิธีที่มันเป็นน้อยให้ได้มากที่สุด
ศิลปินหลายคนก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปินที่เรานับถือ แต่ทุกคนก็ไม่อยากเหมือนใคร เราก็พยายามอยากมีเสน่ห์เฉพาะ ถ้ามีเสน่ห์เฉพาะตัว identity เราจะชัดเจน แล้วเราก็จะอยู่ได้นานหน่อยในช่วงแรกๆ แต่ในสุดท้ายมันก็คือการ be yourself แต่การ be yourself มันยาก กว่าจะสร้างการยอมรับ มันต้องใช้เวลา มันต้องพิสูจน์ตัวเองจริงๆ
‘ลูก’ น้อย
ตอนที่อยู่กรุงเทพคริสเตียน คุณน้อยโดนเพื่อนล้อ มีเรื่องชกต่อย จนต้องย้ายโรงเรียน?
ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ ช่วงนั้นไม่ได้พยายามอยากเป็น someone อายุสิบขวบเอง ห่วงเล่นอย่างเดียว ไม่ได้อยากพิสูจน์ตัวเองอะไรในวัยนั้นนะครับ สมัยนั้นลูกครึ่งยังไม่เยอะ เลยยังไม่ได้เป็นนักแสดง โดนล้อที่โรงเรียนกับพี่ชาย เลยย้ายไปอยู่โรงเรียนอินเตอร์แทน มีทั้งฝรั่ง คนไทย แอฟริกัน ญี่ปุ่น มีหมดเลย ก็เลยรู้สึกแฮปปี้
ที่น่าตลกคือผมเคยกลับไปเล่นที่โรงเรียนคริสเตียนด้วยเมื่ออัลบั้มแรก สวัสดีครับ ผมเคยเป็นศิษย์เก่าที่นี่นะครับ แต่ตอนนั้นไม่ได้บอกหรอกว่า พวกคุณชกต่อยผม
จริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้เป็นปัญหาเลย แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ตัวเองอยากได้การยอมรับมากกว่า การเกิดมาแล้วครอบครัวมีฐานะ เหมือนชีวิตมาง่าย
พอเรามาร้องเพลงร็อค เต้นบัลเล่ต์บ้าๆ บอๆ แบบนี้ มันก็มีคนหมั่นไส้ แต่เราก็เข้าใจว่าทำไมเขาหมั่นไส้ ก็ ‘พี่ชายก็เป็นเจ้าของค่ายเบเกอรี่ ได้ออกอัลบั้ม มีเงินอยู่แล้ว’ น้อยก็เริ่มรู้สึกอยากพิสูจน์ตัวเองมากขึ้นว่าฉันทำได้ อยากได้การยอมรับ รู้ว่าต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง
จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าเราโชคดี เหมือนน้อยไม่ได้รู้สึกว่าน้อยมีชีวิตอยู่ในโลกจริง ชีวิตจริงคือคนที่ลำบาก ไม่ว่าจะเป็นคนก่อสร้างตรงข้ามบ้าน หรือคนที่เหนื่อยกับชีวิตจริงๆ น้อยไม่ได้อยู่ในชีวิตจริงแบบนั้น เนื้อหาเพลงของน้อยก็จะเป็นเพลงเกี่ยวกับคนอื่นไม่เกี่ยวกับน้อย เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่มันจะเกี่ยวกับการสร้างแรงบันดาลใจ คือน้อยไม่มีทางที่จะเล่าเกี่ยวกับตัวเอง เพราะแรงบันดาลใจเกิดจากคนที่เคยล้มมาก่อนและเหนื่อยจริงๆ แล้วสุดท้ายได้เจอแสงสว่าง นั่นคือ story of inspiration ไม่ใช่คนแบบเรา
แล้วมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้น้อยเล่นหนังไทยด้วย มันเป็นวิถีทางที่จะทำให้น้อย connect กับคนตามท้องถนนได้ ไม่ได้อยู่ในโลกโรงแรม โลกนั้นก็ไม่ได้ผิดนะครับ แต่เรารู้สึก guilty เราอยากพิสูจน์ อยากให้เขายอมรับเรา ว่าเราพยายามนะ เราอาจจะดูเหมือนได้มาง่าย แต่ว่าเราก็พยายาม แล้วเราก็เก่งนะ แล้วผลงานเราก็มีคุณค่านะ มันก็ช่วยน้อยผลักดันสร้างผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
น้อยเพิ่งไปร้องในเรือนจำมา บางคนอายุ 30 บางคนก็อยู่ในคุกมา 20 กว่าปีแล้ว พอถามว่ามีใครรู้จักน้อยไหม ก็ยกมือกันบ้าง แต่พอถามว่ามีใครรู้จัก จ๊อด ฮาวดี้ จากหนังเรื่อง ‘อันธพาล’ ไหม โอ้โห เขาก็ยกมือกันเยอะเลย
น้อยก็ดีใจ เขาจำคาแรคเตอร์น้อยได้แต่เขาจำน้อยไม่ได้หรอก เขาจะจำผลงานเราได้
ตอนไหนที่คุณน้อยเริ่มคิดเรื่องการสร้างตัวตนขึ้นมา
ทุกอย่างต้องเริ่มมาจากแพสชั่นก่อน เรามีแพสชั่นอะไรเราก็อยากให้มันเกิดขึ้นมา ตอนเด็กๆ จะเก่งด้านกีฬานะครับ มี identity นักกีฬายอดเยี่ยมของโรงเรียน นั่นเป็นสิ่งที่โชคดี แต่เราก็รู้ว่าเราไม่ได้เก่งพอที่จะไปโปร พอไปเรียนต่อก็ไม่รู้จะเรียนอะไร ก็ไปเรียนด้านธุรกิจครอบครัว-การโรงแรม ปีแรกไม่ชอบเลย เลิกเลย ก็ดูว่าตัวเองชอบอะไรวะ น้อยก็ชอบ culture อยากรู้ว่าคนนี้เกิดมายังไง เขาคิดยังไง ก็เลยเริ่มเรียน anthropology (มานุษยวิทยา) เรียนเกี่ยวกับคนรอบโลก สังคม ศาสนา แต่ละคนใช้ชีวิตยังไง โสเภณีเป็นยังไง ทำไมเขาใช้ชีวิตแบบนู้น
ในเวลาเดียวกัน เราเป็นคนมีข้างในเยอะและเก็บมันเสมอ เมื่อก่อนเป็นนักกีฬาเราระบายได้ แต่ ณ ตอนนั้นเราทำไม่ได้ เวทีที่จะปลดปล่อยมีแค่นักกีฬา นักแสดง นักร้อง หรือไม่ก็นักการเมือง (หัวเราะ)
เป็นจุดเริ่มของการเป็น performer (นักแสดง) เพราะมันเป็นแพลตฟอร์มที่ให้เราปลดปล่อย มันเหมือนเด็กทั่วไปที่ไปดูหนัง ได้ร้องไห้ สนุกดีว่ะ กลายเป็นคนละคน แล้วน้อยก็ได้เรียนรู้คนทั่วไปด้วยว่าเขาคิดอย่างนี้ทำไม น้อยก็เลยตัดสินใจเลือก Minor เป็น Theatre (Major มานุษยวิทยา) ที่มหาวิทยาลัย แต่ไม่สนุก ไม่ชอบ เลยรีบเรียนให้จบแล้วย้ายไปอยู่นิวยอร์ค ที่คนหลายชาติ คนแขก คนอินเดีย คนผิวดำ คนผิวขาว ญี่ปุ่น จีน ทุกคนที่เก่งที่สุดในโลกไปอยู่ที่นั่นกันหมด เราได้ฝึกฝนการแสดง เริ่มใช้ชีวิตเหมือนนักแสดง กลางวันเราไปออดิชั่น กลางคืนก็เป็นบ๋อยเสิร์ฟอาหาร ใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้นประมาณ 4-5 ปี ก็ไม่สำเร็จ แต่ได้ฝึกฝน แต่เราก็ตัดสินใจกลับมาเมืองไทยตอนอายุ 25
กลับมาเพราะอะไร
มันอาจจะเป็นความผิดของผมเองด้วย ผมอาจจะดูหน้าเอเชียไปสำหรับเขา แม้แต่สำหรับคนไทยผมดูหน้าฝรั่ง แต่กับลูกครึ่งหลายคนก็ยังมองเราเป็นเอเชีย ผมอาจไม่มี charisma บางคนเกิดมาก็มีรังสีเป็นพระเอก ความพยายามผมก็สู้คนอื่นไม่ได้ด้วย นักแสดงคนอื่นแก่กว่าแต่ก็ฝึกหนักว่า ทำให้คิดว่าผมอาจจะไม่มีวินัยพอรึเปล่าวะ แต่ผมยังมีทางเลือกคือมาเมืองไทย ที่นี่แข่งขันไม่เท่าที่นู่น โอกาสทำสิ่งที่เรารักมันง่ายกว่า
ตอนนั้นสุกี้กำลังเปิดเบเกอรี่มิวสิคพอดี แล้วเราก็ได้ทำสิ่งที่เรารักที่นี่ แต่กลับมาก็ทำเบื้องหลังเบเกอรี่ 5 ปี เริ่มคุยกับพี่ชาย
เมื่อไหร่จะออกอัลบั้มซักทีวะ สุกี้ก็มัวแต่บริหารเบเกอรี่ น้อยก็ทำงานเบื้องหลัง หาโปรดิวเซอร์ให้โมเดิร์นด๊อก เขียน bio ให้ โจอี้ บอย แล้วเมื่อไหร่จะเป็นตาเราที่ขึ้นไปบนเวทีบ้างวะ กูจะ 30 แล้วเนี่ย ช่วงเวลาพีคเราหายไปหมดเลย จะไปแกรมมี่ ไปอาร์เอสก็ไม่ได้ เพราะว่าพี่ชายเราอยู่ที่เบเกอรี่ (หัวเราะ)
กว่าจะมาเป็นนักร้องได้ตอนอายุ 31 น้อยเริ่มสายมากเลย ก็ไม่ได้เสียดายหรอกกับการเป็นนักร้องแค่แป๊บเดียว (6 ปี-พรูชุด 1, 2) หลังจากนั้นก็หายไป จนถึงวันนี้อายุ 47 ปี
มันจึง Connect กับการที่เราอยากได้รับการยอมรับด้วยหรือเปล่า
ใช่ครับ มันใช้เวลาก่อนที่เราจะหา identity เจอ แล้วไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องมี identity คุณถึงจะต้องมีความสุข คุณต้อง ‘อยู่กับสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ฝัน’ (หัวเราะ) ไม่ได้ล้อเพลงแม่ ไม่ได้ล้อบอย แต่นั่นมันเป็นเพลงที่เราสามารถ connect ได้ เพลงนี้ที่มันฮิตเพราะส่วนมากความฝันเราไม่เป็นจริงครับ เราต้องยอมรับมัน
มันต้องใช้เวลากว่าจะเข้าใจตัวเอง เหมือนน้อยไม่เชื่อเรื่องคุณทำอะไรมุ่งมั่น 100 เปอร์เซ็นต์แล้วคุณจะสำเร็จ ถ้าเกิดบอกกับเด็กที่เล่นกีฬาแล้วเขาไม่มีพรสวรรค์จริงๆ โอเคอาจจะเล่นได้ระดับหนึ่งแต่ไม่เก่งพอ เราต้องดูว่าเขาอยากทำด้านไหนนะครับ มันใช้เวลากว่าจะเรียนรู้และยอมรับ
แต่บางคนก็มีความพยายามสูง อาจจะทำได้ เราต้องสามารถมองตัวเองได้ แล้วมันยากมากที่จะมองว่าพรสวรรค์ฉันประมาณไหน แล้วต้องมีคนช่วยซัพพอร์ตเราอย่างถูกต้องด้วย คือคนที่เชื่อมั่นในตัวเรา ตรงนั้นสำคัญ
แต่มันก็… ยากนะ แม้แต่ศิลปินรุ่นเราก็ยังยาก
เราก็ต้องรู้ว่า เฮ้ย เวลาคุณหมดแล้วนะเว้ย โดยเฉพาะวงการบันเทิง วงการเพลง ไม่ว่านักแสดงไทยหรือนักแสดงเมืองนอก วันหนึ่งโทรศัพท์มันจะไม่กริ๊งแล้วนะ เขาจะไม่ชวนคุณมาเล่นแล้วนะ เพราะอายุคุณมากแล้ว
มันไม่ใช่บทพระเอกนางเอก เมืองนอกอาจจะอยู่ได้นานกว่าหน่อย ถึงเวลาที่คุณจะต้อง มีแพสชั่นอื่นที่ไม่ใช่แค่การแสดงอย่างเดียว แต่มันก็ยากนะสำหรับใครหลายคน เพราะ Nothing last forever นอกเหนือจากพี่แอ๊ด คาราบาว (หัวเราะ)
ระหว่างการค้นหาตัวเองหลายๆ ครั้ง คุณพ่อคุณแม่ซัพพอร์ตอย่างไรบ้าง
ผมโชคดีมีพ่อแม่ที่ดี คุณแม่รู้เสมอว่า เราจะทำอะไรต้องตั้งใจอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หลายคนมักจะลืมเรื่องคุณพ่อผม หลายคนจะพูดถึงคุณแม่อย่างเดียวจนคุณพ่อน้อยใจ เพราะคุณพ่อผมไม่ได้เกิดมามีฐานะเหมือนคุณแม่ คุณพ่อเกิดมาเป็น farmer แล้วก็ย้ายมาอยู่เมืองไทย
ตอนเเด็กๆ คุณพ่อเห็นว่า ลูกฉันสบายมาก อยู่บ้านมีแม่บ้าน เขาไม่อยากให้ลูกเกิดมาแล้วรู้ว่าทุกอย่างได้มาง่าย
เช่น น้อยเล่นเบสบอลเก่งสุดในระดับอายุต่ำกว่า 15 ปี พ่อบอกไม่เอา ยูต้องไปเล่นกับลีค 15-18 ปีแล้ว แต่น้อยก็ไม่อยากเพราะว่าอยู่ตรงนี้เก่งที่สุด น้อยดีใจแล้ว แต่พ่อไม่เอา ยูต้องพัฒนา น้อยก็เลยต้องไปเล่น แล้วก็ไปให้เก่งที่สุด พ่อน้อยไม่อยากให้รู้สึกว่าชีวิตได้มาง่าย
เขา (พ่อน้อย) จะสอนว่าต้องมีวินัย เพราะคนอเมริกันจะมีวินัยสูง บางทีที่เขาได้เปรียบกว่าเราเพราะวัฒนธรรมเขามีวินัยสูงมาก ซึ่งมันก็มีทั้งข้อดี ข้อไม่ดี คือที่อเมริกา การเป็นนัมเบอร์วันเนี่ย มันอาจจะถูกปลูกฝังมาแล้วว่าชีวิตต้องพยายาม ต้องสู้ ต้องทำให้ดีที่สุด เขาก็เลยมีวินัยสูงที่จะไปไกลในทุกด้าน
แต่ว่าบ้านเรา culture คือสบายๆ ไม่ต้องไปคิดมาก อย่างนักกีฬาไทยเคยพูด In Thailand, if I said that I want to be number 1, people think I’m showing off. คือพูดไม่ได้ว่าฉันอยากเก่งที่สุดในประเทศ เกิดมาแล้วต้องถ่อมตัว แล้วคนก็จะชอบ สิ่งนี้เป็นปัญหา มันทำให้เราสบายๆ เวลาเราไปเจอระดับนู้นจริง เราไม่ชินเลย เราสู้เขาไม่ได้เพราะเราไม่ได้เกิดมาใน culture แบบนั้น
การฝึกฝนของคุณพ่อ ส่งผลมากแค่ไหน
ส่งผลมาก เพราะพ่อก็เป็นคนดี ซื่อสัตย์ แบบ Classic American แล้วเขาก็สร้างพื้นฐานนี้มาให้เรา แล้วมันยิ่งทำให้น้อยมีปมด้อย ช่วงนั้นน้อยกลุ้มใจ ออกอัลบั้มแรกตอนนั้นพันทิปด่าแรงมากเลย สมัยนี้ก็ยังด่าแรง (หัวเราะ) เข้าไปดูในเว็บบอร์ด น้อยเคยโดนว่า ได้ออกอัลบั้มทันที เป็นคนมีเงิน พี่ชายเป็นเจ้าของเบเกอรี่ น้อยก็แบบ ยูไม่รู้ว่าไอเคยพยายามที่อเมริกามาก่อน ไอเฟลมาเยอะนะเว้ย ไม่ใช่ว่ามาง่ายเว้ย แต่เขาไม่แคร์เรื่องนี้หรอก แต่น้อยก็เข้าใจนะ ก็พิสูจน์ I’ll prove you that I’m good. I’m good enough.
น้อยไม่ได้คิดว่ามีอัลบั้มแรกจะเก่งแล้ว ต้องใช้เวลาที่จะพิสูจน์ตัวเอง ก็เลยคิดตรงนั้นเสมอ
เกิดมาน้อยก็รู้สึก guilty ที่ตัวเองโชคดี น้อยก็เลยอยากได้การยอมรับจากทุกคนบนท้องถนน อยาก connect กับเขาได้ ถึงอยากเล่นหนัง เล่นหนังก็มาช่วยตรงนี้ได้เนอะ เขาก็อยากมาจับมือ เราก็สร้างคอนเนคชั่นกับเขาได้
คุณแม่รับรู้ถึงความรู้สึก Guilty ในความโชคดีนี้ไหม
คุณแม่เป็นคนมั่นใจ เขารู้ดีว่า… ยูต้องทำตัวประมาณนึงนะ เขารู้ว่าอย่าไปอวด มันต้อง honest (ซื่อสัตย์) กับชีวิตครับ ชีวิตมัน variety มีเหตุการณ์หลากหลาย ไม่ว่าจะอยู่โรงแรมที่สวยงาม หรืออยู่เกสต์เฮาส์คืนละ 500 บาท น้อยก็อยู่ได้ สวยด้วย มันก็มีเสน่ห์ของมัน
เดี๋ยวลืม…ต้องขอบคุณคุณแม่ด้วยนะ เดี๋ยวคุณแม่น้อยใจ ทำไมไม่พูดถึงแม่เลย (หัวเราะ) แม่น้อยก็ดี แม่น้อยเจ๋งครับ แม่น้อยเหมือน Romeo & Juliet ซ่านะ ตอนแรกเขาหมั้นกับผู้ชายที่มีฐานะ เสร็จแล้วก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนที่อเมริกากับผู้ชายคนนั้น แล้วแม่ก็ชอบร้องเพลง ตอนนั้นยุค 50s ไม่ค่อยมีผู้หญิงเอเชียที่ชอบร้องเพลง เผอิญพ่อเป็นหนึ่งในสามนักร้อง backup แล้วแม่ก็ตกหลุมรักพ่อ พ่อเป็นคนไม่มีเงินอะไรเลย พอคุณตารู้ คุณตาระเบิดเลย ส่งจดหมายห้ามพ่อมาเมืองไทย แล้วแม่ก็ rebel (ขบถ) ไม่! ฉันจะแต่งงานกับคนนี้ ต้องขอบคุณคุณแม่ที่ซ่า ไม่งั้นไม่มีน้อยเกิดขึ้นมา Thanks mom.
‘พ่อ’ น้อย
ในบทบาทคุณพ่อ แบ่งหน้าที่ดูแลลูกกับภรรยาอย่างไร
ก็ใกล้เคียงกับที่พ่อดูแลน้อย แล้วก็สอนน้อย การที่น้อยพยายามแล้วก็พิสูจน์ตัวเองเสมอ น้อยก็ให้ลูกน้อยเห็นเหมือนกัน น้อยอยากให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างไม่ได้มาง่าย
คุณพ่อน้อยสอนลูกอย่างไรบ้าง
ผมก็ strict เหมือนกัน แต่จริงๆ ทุกคนก็สปอยล์ลูกนิดหน่อยเนอะ ยาก เพราะเห็นคนอื่นเลี้ยงลูกแล้วก็ชอบบอกว่า สปอยล์ลูก ตามใจลูก แต่เวลาเรามีลูกบ้างเราก็เริ่มตามใจเหมือนกัน ลูกเราอะเนอะ เราก็อยากให้เขาแฮปปี้ ต้องระวังด้วยเนอะ
ก็มีกฎเยอะเหมือนกัน ลงโทษนิดหน่อย น้อยพยายามไม่ตะโกน แต่บางทีเขาก็ไม่ฟังจริงๆ มันก็ต้องนิดหน่อยถึงจะฟัง (ทำหน้าดุ) อย่าก๊อปปี้น้อยนะ ทุกคนก็มีเทคนิคตัวเอง ยิ่งเล่นคอมนี่แบบ แฟนน้อยก็บอกพูดดีๆ ก็ได้ แต่พูดดีๆ ก็ไม่ฟัง บางทีขอเวลานิดหน่อย ก็จะบอกอีกสิบนาทีๆๆ แต่ถ้าไม่เลิกน้อยจะตะโกนนะ ถ้าเขายังแอบเล่น เราก็แบบ Get off it! Get off it! เขาจะชินมาก (หัวเราะ) ก็มี discipline (กฎ) อยู่เหมือนกัน
พลังความรักต่อลูกมันมหาศาลจริงๆ ตอนแรกนึกว่ามันมหาศาลกับภรรยาแล้วนะ แต่พอมีลูกอีก มันอีกระดับหนึ่ง ช่วงเราจีบแฟนครั้งแรกๆ อยากคุย อยากกอด คุยโทรศัพท์สี่ชั่วโมง มันสุดยอดจริงๆ feeling นั้น แต่มันไม่ last forever แน่นอน แต่กับลูกเนี่ย feeling อยากกอด มันตั้งแต่เดือนนึง ถึง ยี่สิบขวบปี มันตลอดเวลา อยากกอด มันรักอย่างมากทีเดียว ความรักมันมหาศาลจริงๆ แล้วก็หวังว่าเขาจะพิสูจน์ตัวเขาเองได้ในอนาคต ก็กลัวตรงนี้เหมือนกัน เราเลยว่าเขาบ่อย เก็บอาหารเอง! (ทำเสียงดุ) Come on อย่ารอแม่บ้าน
เน้นให้เขาช่วยเหลือตัวเอง?
ใช่ฮะ บางทีเห็นเราเป็นนักร้อง ก็อยากเป็นนักร้องบ้าง แต่ยูรู้รึเปล่า มันยากนะเว้ย อยากเป็นแบบ Justin Bieber ยูต้องซ้อมเยอะๆ นะ It’s not easy แต่เขาก็ยังแค่ 9-10 ขวบเอง ยังเด็กอยู่
กลับไปเรื่อง เส้นทางบันเทิง ถ้าอยากเป็นนักแสดงนักร้อง คอนเนคชั่นไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ อาจจะช่วยช่วงต้นๆ สามารถเข้าวงการได้แป๊บนึง แต่ถ้าจะอยู่นานคุณต้องมีความสามารถจริง เพราะคนที่ judge มันไม่ใช่แค่คนกลุ่มนี้ มัน public เลย ไม่ว่าคุณจะมีคอนเนคชั่นหรือมีเงินเท่าไหร่มันก็ไม่ช่วย มันต้องบอกตัวเองว่า ลูกอยากเป็นนักแสดงจริงๆ หรือ นักร้องจริงๆ ต้องสร้างวินัยตั้งแต่ตอนนี้เลย
เขาอยากเป็น?
นิดหน่อยนะ แต่เขายังไม่รู้ว่ามันยากเท่าไหน คือเด็กหลายคนก็อยากเป็นนะ มันเป็นยุค Youtube แล้ว เดี๋ยวนี้ เป็น Youtuber เขาก็แฮปปี้กันแล้ว มันไม่ต้องมีไอดอลนักร้องด้วยซ้ำ มันเป็นยุค Youtube เขาดูเขาก็ติด คนที่มี Youtube Channel ก็เป็นฮีโร่ของเขาแล้ว โลกมันไปทางนั้นแล้ว ต้องยอมรับ จริงๆ หลายคนก็เริ่มอยากไลฟ์ อยากมีเว็บไซต์ของตัวเอง แล้วก็เป็น Youtube Idol เราสามารถเป็นดาราตัวเองได้แล้ว ซึ่งก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่อะไร
แต่มันก็ยัง… (นิ่งคิด) ไม่รู้นะ ก็อยากให้มีความสามารถจริงๆ
เรื่องอะไรที่คุณน้อยสอนลูกแล้วย้ำเป็นพิเศษ
อืม (นิ่งคิด) ความพยายาม
ไม่ใช่ Try you best กับสิ่งที่ตัวเองทำ แต่ understand ว่าอีกคนคิดหรือว่ารู้สึกแบบไหน เอาตัวลูกไปอยู่ในตัวเขาสิ เอาวิญญาณลูกเข้าไปอยู่ในตัวเขา ในรองเท้าเขา แล้วจะรู้ว่าเขารู้สึกยังไง แล้วลูกก็จะเป็นคนดีขึ้น
แต่ยังยากที่จะสอนเด็กตอนนี้นะ เพราะเขาคิดถึงตัวเอง อยากทำอะไร เราต้องเริ่มสอนตรงนี้ เขาก็จะเริ่มเข้าใจคนมากขึ้น เขาก็จะรู้วิธี treat คนยังไง
บางที สิ่งที่เราคิดก็ไม่ได้ถูกเสมอ เขาคิดไม่เหมือนเรา บางทีเราว่าเขาไม่ได้ เขาคิดอีกแบบ เพราะเขาเติบโตมาอีกรูปแบบหนึ่ง เราเปลี่ยนใจเขาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือการเมือง ก็ต้องเจอกันครึ่งทางอย่าง compromise ได้
สอนลูกๆ ผ่านการเดินทางด้วย?
ใช่ครับ บางทีการเดินทางก็เป็นสิ่งที่ดี ให้เขาไปอยู่ในที่ที่หลากหลาย ไปดูว่าเขาอยู่ยังไง เขาคิดยังไงกัน ไปอยู่กับเขาสักพัก เพราะว่าสมัยนี้โลกของเด็กทุกคนจะอยู่หน้าจอ ไม่ใช่ยุคพวกเราที่ออกไปวิ่งเล่น จินตนาการเขาก็อยู่แค่หน้าจอ สังคมมัน force ให้เราสื่อสารกันตรงนี้ อย่างน้อยมีแฟนเพจ น้อยก็ต้องเข้าไปแล้ว
ลูกๆ ทราบไหมว่ามี Facebook แล้ว
ทราบฮะ
เขาว่าไงบ้าง
ลูกๆ ก็แบบ มันก็คูลดีนะ โอ้ว Daddy post picture Sri Lanka 1.5 ล้านคนแน่ะ Is there picture of me? Are we famous?
จริงๆ มันก็มีกฎเนอะว่าอย่าไปลงรูปครอบครัว แต่น้อยก็รู้สึกว่า ถ้าเขาอยากรู้ว่าลูกเราหน้าตายังไงก็เข้าไปหาได้อยู่แล้ว จะโอเคกว่าถ้าโพสต์ภาพที่ถูกต้อง แล้วก็โชว์ว่า This is how นี่คือวิธีการเลี้ยงลูก มันก็เป็น positive ได้
แล้วน้อยก็อยาก trust people ด้วย ‘I would like to trust people’ แม้มีคนสอนว่าอย่าไป trust ใครนะ แต่ I want to trust people. มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร โอเคน้อยไม่ใช่ ณเดช ที่จะมีแฟนมาตามเยอะ แต่ I would like to trust people. แล้วเขาก็ respect เรานะครับ ก็ดีฮะ
ลูกๆ มี Facebook หรือ ช่อง Youtube ของตัวเองไหม
ยังไม่ให้มี (หัวเราะ) เริ่มขอกันแล้ว เริ่มขอโทรศัพท์มือถือ แต่เราก็ยังไม่ให้ ลูกสาวเพิ่งมี Line เป็นของตัวเอง เขาก็แฮปปี้ เดี๋ยวนี้ซักอายุ 12-13 ก็ต้องให้เขา มันยาก น่ากลัวมาก สมัยนี้สิ่งที่เขาจะเห็นตามเน็ตเขาก็เห็นได้หมดแล้ว เดี๋ยวนี้ลูกสาวผมเริ่มเรียน Sex Education แล้ว พวกพ่อแม่บางคนต้องทำใจนะ เขาอาจจะรู้สึกว่ามันเร็วไปหน่อย
แล้วเราก็เลี้ยงลูกแบบเปิดเผยว่า ให้เขารู้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น อย่างเรื่อง sex เรื่องเหล้า เรื่องติดยา บางทีเราก็คุยกับเขาแล้ว เราก็บอกว่าบางที ยูจะลองก็ได้นะ แต่ยูอย่าไปติดนะ I don’t mind you trying ไม่ใช่ trying โคเคนนะ แต่อาจจะดื่มไวน์ บางประเทศมันก็สูบกัญชาได้แล้วใช่มั้ยครับ แต่ไม่ใช่อยากให้ลูกไปสูบ (หัวเราะ) เขาก็ต้องเรียนรู้
พ่อแม่น้อยเขาก็ปล่อยให้เราเที่ยวตั้งแต่ 12-13 สมัยนั้นก็ไม่มีที่เที่ยวมากมาย พวกเด็กอินเตอร์เขาก็ไปแถวๆ พัฒน์พงศ์กันหมด ไม่ได้ไปเที่ยวผู้หญิงนะ แต่รวมตัวกันอยู่ในบาร์ เพื่อนผู้หญิงก็ไป ผู้ชายก็ไป ไม่รู้จะไปที่ไหนก็ไปร็อคกันที่นั่นตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ก็ไว้ใจเรา แล้วน้อยก็ไม่เคยสูบบุหรี่ ไม่เคยดื่มเหล้าอะไรเลยจนถึงอายุ 23 ตอนนี้ชอบสาเกมาก (ลากเสียง) โคตรทุเรศเลย (หัวเราะ)
ลูกๆ เตรียมเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว (9, 11 ขวบ) ?
ก็จวนๆ แล้วฮะ แล้วมันก็ต้อง trust ลูกเรานะครับ แต่เราก็ต้องสร้างพื้นฐานให้ดีก่อน เราก็ต้องคิดว่าเขาจะต้องไม่ตามคนอื่น จะต้องมี identity ที่แข็งแกร่ง แต่มันยาก เด็กบางคนก็ไม่ใช่อย่างนั้น บางคนเกิดมาซอฟท์หน่อย บางคนก็แกร่ง มันต้องดู ทุกคนไม่ใช่สอนวิธีแบบเดียวกัน ต้องดูลูกๆ ว่าเขาเกิดมาเป็นอย่างไร อะไรบ้างที่มี อะไรบ้างที่ไม่มี ต้องดูดีๆ และต้อง respect judgment ของเขาด้วย เราก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย
ตัวอย่างที่ดีอย่างไร
บางทีน้อยก็บอกอย่าไปทำตามพ่อ อย่าก๊อปปี้พ่อ เอาแต่ตัวอย่างที่ดี เช่น ถ้าลูกเห็นน้อย treat ทุกคนด้วย respect ไม่ว่าจะเป็นใครก็ได้ เขาก็จะเริ่มเรียนรู้ น้อยอยู่เมืองไทย ที่อาวุโสกว่าน้อยก็ไหว้ ใครก็ได้ คนรอบข้าง เราก็ต้องนับถือทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนมีเงินหรือไม่มีเงิน ทุกคนก็ต้องการ respect ทั้งนั้น สำคัญมาก
เขาเห็นเราในจุดนี้ แต่ข้อเสียเราก็มีด้วยนะ ซึ่งเราก็อยากให้เขาเห็น เราไม่ได้เพอร์เฟ็คท์อยู่แล้ว
เขาก็รู้ว่าปมด้อยน้อยคืออะไร อยู่ตรงไหน แต่น้อยแค่ต้องซื่อสัตย์กับเขา พูดความจริงกับเขาว่าพ่อก็มีปัญหาตรงนี้นะ
ให้เขาเห็นทั้งสองด้าน?
ใช่ๆ ไม่ได้พยายามแอบอะไร พ่อพยายามซ่อมมันอยู่แต่มันอาจจะซ่อมไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันต้องบาลานซ์ให้ถูกต้อง