Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: July 2018

5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว
Early childhood
31 July 2018

5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

เรื่อง ภาพ บัว คำดี

5 วิธีฝึกลูกให้รู้จักความโกรธ เศร้า เหงา กลัว

1.บอก ‘ชื่อ’ ความรู้สึก เช่น ถ้าลูกนอนอยู่และบอกว่าเหนื่อยจนยอมให้คุณเลือกเสื้อผ้าให้ เป็นโอกาสดีที่คุณจะแนะนำให้เขารู้จักความรู้สึกที่เรียกว่า ‘หมดแรง’

2.เข้าใจปัญหาของเขา เป็นกองหนุนด้านอารมณ์ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ว่า ต่อให้รู้สึกแย่แค่ไหนเขาก็จะผ่านมันไปได้ เช่น บอกเขาว่า ความรู้สึกท้อระหว่างพยายามทำสิ่งใหม่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้

3.ช่วยหาทางออก ลองพูดคุยกับเด็กๆ ถึงไอเดียในการจัดการความรู้สึกตัวเอง ช่วยกันสร้างจุดที่ตัวเขาจะรู้สึกสงบและร่วมกันฝึกทักษะการจัดการอารมณ์บ่อยๆ

4.มองข้ามการกระทำ อะไรที่ผ่านแล้วก็ให้ผ่านไป ใส่ใจสิ่งที่เด็กๆ รู้สึกมากกว่าท่าทีที่เขาแสดงออกมา ลองเปลี่ยนการลงโทษเป็นความเห็นอกเห็นใจในความรู้สึกของพวกเขาดูสิ

5.หาวิธีสื่อสารใหม่ๆ การปล่อยให้เด็กๆ บ่นหรือสั่งได้ทุกอย่างตามใจอาจทำให้พวกเขาไม่สนใจอารมณ์บูดๆ ที่เกิดขึ้น ลองสอนวิธีที่จะทำให้เขาสื่อสารความรู้สึกในแบบที่ต่างจากเดิม เช่น อาจถามเขาว่า “หนูคิดว่าควรพูดขอความช่วยเหลือยังไงดีคะ”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

ที่มา : เจนนิเฟอร์ อันเดอร์วู้ด (Jennifer Underwood) ผู้เขียนบล็อกเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กวัยรุ่นในเว็บไซต์ SexandtheSilly.com

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)การจัดการอารมณ์พัฒนาการทางอารมณ์ความกลัว (Fear)พ่อแม่ปฐมวัย

Author:

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodBook
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    คาแรกเตอร์ดี ลูกมีได้ ไม่ต้องจ่าย เรียนได้กับพ่อแม่

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

คาแรคเตอร์ดีๆ ที่สร้างได้ ถ้าพ่อแม่ไม่รังแกฉัน
Character building
26 July 2018

คาแรคเตอร์ดีๆ ที่สร้างได้ ถ้าพ่อแม่ไม่รังแกฉัน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • สภาพแวดล้อม สไตล์การเลี้ยงดู และความอ่อนแอทางจิตใจ คือ 3 ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาลักษณะนิสัยของเด็ก
  • ถ้าเด็กต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรงในครอบครัว หรือเหตุการณ์ร้ายแรงที่คาดไม่ถึง อาจทำให้สมองของเด็กทำงานแบบหยุดชะงัก
  • ครอบครัวที่มีพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือการเป็นลูกบุญธรรม และระดับการศึกษาของพ่อแม่ จะไม่ส่งผลกระทบต่อการสร้างลักษณะนิสัย ตราบใดที่ผู้ปกครองเชื่อมั่นในศักยภาพการเลี้ยงดูบุตรหลานของตัวเอง

เราเคยพูดถึงความสำคัญของการพัฒนาตัวเองให้มีลักษณะนิสัยที่ดีไปแล้ว ทั้ง ความขยันหมั่นเพียร (application) การควบคุมตนเอง (self-regulation) และการเอาใจใส่และเข้าใจผู้อื่น (empathy) 3 อย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยความสำเร็จ และเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิต กระทั่งมีความหวังจากงานวิจัยที่ยืนยันว่าลักษณะนิสัยเป็นทักษะที่ ‘สร้างได้’ ซึ่งหากใครมีคุณลักษณะเหล่านี้อยู่ในตัว จะส่งผลต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้และหน้าที่การงานที่ก้าวหน้า มีสุขภาพกายใจที่แข็งแรง และส่งผลต่อเนื่องไปถึงความสามารถในการเข้าสังคมและการเป็นที่ยอมรับในสังคม

แล้วมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อการสร้างลักษณะนิสัยของเด็กตั้งแต่แรกเกิด?

นอกจากบุคคลรอบตัวโดยเฉพาะพ่อแม่จะมีอิทธิพลต่อการสร้างลักษณะนิสัยของเด็กแล้ว ค่านิยม วัฒนธรรมและบรรทัดฐานทางสังคม ที่ปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่ในวงแคบแค่ชุมชนรอบบ้านหรือในรั้วโรงเรียนอีกต่อไป แต่ได้ขยายขอบเขตเชื่อมโยงเครือข่ายไปทั่วโลกผ่านการรับรู้ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และการเดินทางที่ง่ายขึ้น สภาพแวดล้อมเสมือนจริงในโลกอินเทอร์เน็ต และประสบการณ์ในชีวิตจริงทั้งจากการใช้ชีวิตและการเดินทาง มีส่วนประกอบสร้างให้เกิดลักษณะนิสัยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

หนังสือ ‘Parents are the Principal Architects of a Fairer Society…’ หรือ ‘พ่อแม่คือสถาปนิกคนสำคัญต่อการสร้างสังคมที่เป็นธรรม’ ผู้เขียน เจน เลกซ์มอนด์ (Jen Lexmond) และ ริชาร์ด รีฟส์ (Richard Reeves) เผยแพร่โดย DEMOS ประเทศอังกฤษ บอกว่า มีปัจจัย 3 อย่างที่ส่งผลต่อการพัฒนาลักษณะนิสัยของเด็กและเยาวชน ได้แก่

หนึ่ง สภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์ชีวิต (structural circumstances) ไม่ว่าจะเป็นสภาพความเป็นอยู่ เชื้อชาติ เพศสภาพ และสิ่งที่มีที่มาจากพื้นฐานครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปัจจัยที่เห็นได้อย่างชัดเจนทางกายภาพ

สอง สไตล์การเลี้ยงดู (parenting style) เช่น วิธีการให้ความรักความอบอุ่นและความเอาใจใส่จากพ่อแม่ รวมถึงการปลูกฝังความรับผิดชอบและความมีระเบียบวินัย เป็นต้น

สาม ความอ่อนแอทางสภาพจิตใจ (psychological vulnerability) ซึ่งมีที่มาจากความผิดปกติตามธรรมชาติตั้งแต่แรกเกิด เช่น การคลอดก่อนกำหนดและความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจของเด็ก เป็นต้น

สำหรับปัจจัยเรื่องสภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์ชีวิต ยูรี บรอนเฟนเบรนเนอร์ (Urie Bronfenbrenner) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาพัฒนาการ ผู้พัฒนาโมเดลการพัฒนาของมนุษย์ กล่าวว่า การพัฒนามนุษย์เกี่ยวข้องกับการปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างบุคคลและความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมรอบตัว การพัฒนาด้านสุขภาพของเด็กขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการสร้างปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ด้วย

ทารกตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 ขวบอยู่ในช่วงวัยที่ปรับตัวเองไปตามสภาพแวดล้อมได้ง่าย แต่หากเด็กต้องเติบโตอยู่ท่ามกลางสภาวะที่ตึงเครียด หรือต้องเผชิญหน้ากับภาวะฉุกเฉินจากความผิดปกติของร่างกายในช่วงเวลานี้ เด็กจะเติบโตขึ้นอย่างเปราะบางทั้งทางกายและทางใจ

หากกำลังอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ปกครองต้องเปลี่ยนความตื่นตระหนกเป็นความเข้าใจ แล้วหันมาเอาใจใส่ดูแลลูกเป็นพิเศษเพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว

นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่า ไม่ว่าเด็กจะอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือมีผู้ปกครองเป็นใครก็ตาม การได้รับความรักความอบอุ่นจากบุคคลที่ตนเองอาศัยอยู่ด้วย การสร้างระเบียบวินัยและข้อตกลงในครอบครัว รวมทั้งทัศนคติของผู้ปกครองต่อการเรียนรู้และการศึกษา หัวข้อบทสนทนาที่คนในครอบครัวพูดคุยกันเมื่ออยู่บ้าน ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับการสร้างลักษณะนิสัยอย่างแยกไม่ออก

ความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัวสามารถสร้างให้เกิดขึ้นจนสำเร็จได้ มีพื้นฐานครอบครัวและปัจจัยภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมทางประชากรศาสตร์ ที่เด็กใช้ชีวิตเติบโตขึ้นมา เช่น สถานภาพทางการเงินของครอบครัว โครงสร้างครอบครัว และการศึกษาหรือการประกอบอาชีพของผู้ปกครอง เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการใช้ชีวิตของเด็กในแต่ละวันและในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ภาพรวมของการพัฒนาเด็กจึงต้องคำนึงถึงสิ่งรอบตัวที่มีอิทธิพลต่อเด็ก ซึ่งแต่ละคนต้องเผชิญหน้ากับเงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้แตกต่างกัน

ศูนย์พัฒนาเด็ก (Center on Developing Child) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา สรุปปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเด็กในช่วงก่อนและระหว่างปฐมวัย สนับสนุนสิ่งที่เลกซ์มอนด์ รีฟส์ และบรอนเฟนเบรนเนอร์ ได้ศึกษาไว้ ผลการศึกษายืนยันว่า สถานการณ์รอบตัวและประสบการณ์ชีวิตมีความสำคัญต่อการสร้างลักษณะนิสัยของเด็ก

ทารกและเด็กสามารถรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามเมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นกับครอบครัวและสภาพแวดล้อมรอบตัว ยกตัวอย่างเช่น หากเด็กต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรงในครอบครัว หรือเหตุการณ์ร้ายแรงที่คาดไม่ถึง สิ่งที่เกิดขึ้นอาจทำให้สมองของเด็กทำงานแบบหยุดชะงัก ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาระบบการทำงานร่างกายในระยะยาว รวมไปจนถึงการแสดงออกทางพฤติกรรมและความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

นอกจากปัจจัยด้านสถานการณ์แวดล้อมทั่วไปและประสบการณ์การใช้ชีวิตแล้ว สไตล์การเลี้ยงดู (parenting style) ก็เป็นสิ่งสำคัญ

สตีเฟน สก็อต (Stephen Scott) ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและพฤติกรรมเด็ก จาก King’s College London และหัวหน้าแผนกวิจัย National Academy of Parenting Practitioners บอกว่า ‘ความขาดแคลน’ หรือ ‘Poverty’ แม้ไม่ใช่ปัจจัยหลักแต่ก็มีผลต่อการสร้างลักษณะนิสัยของเด็ก ความขาดแคลนที่ว่าไม่ใช่ความขาดแคลนทางการเงินหรือทางวัตถุ ที่มักทำให้นึกถึงความยากดีมีจน แต่หมายถึงการขาดประสบการณ์หรือความไม่พร้อมในการเลี้ยงดูบุตรหลานของพ่อแม่ผู้ปกครอง

แล้วพ่อแม่ควรสวมบทบาทอย่างไรเพื่อสนับสนุนให้ลูกพัฒนาลักษณะนิสัยได้?

ไดอะนา บามรินด์ (Diana Baumrind) นักจิตวิทยาคลินิกและนักจิตวิทยาพัฒนาการชาวอเมริกัน ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ 2 คู่ ได้แก่ ความอบอุ่นกับการตอบสนอง (warmth/responsiveness) และการควบคุมกับความต้องการ (control/demandingness)

ความอบอุ่นกับการตอบสนอง (warmth/responsiveness) สะท้อนให้เห็นได้จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ หากเด็กได้รับความอบอุ่น พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองได้รับการเอาใจใส่ ส่งผลให้การตอบสนองทางอารมณ์ของเด็กเป็นไปในเชิงบวก กล่าวคือ พฤติกรรมของเด็กจะไม่ก้าวร้าว เพราะสามารถควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางพฤติกรรมได้

การควบคุมกับความต้องการ (control/demandingness) สะท้อนความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ของพ่อแม่ เมื่อต้องดูแลและรับมือกับลูกขณะที่พวกเขาดื้อและไม่เชื่อฟัง รวมถึงการทำให้เด็กรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและสังคม ก่อนที่พวกเขาจะรู้จักตัวเองและรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เมื่อถึงเวลาพวกเขาจะสามารถสื่อสารสิ่งที่พวกเขาต้องการได้

การเลี้ยงดูแบบ ‘Tough Love’ เป็นคำตอบของคำถามนี้

Tough Love เป็นวิธีการเลี้ยงดูที่บาลานซ์ความนุ่มนวลกับความแข็ง ใช้ทั้งการชื่นชมและการเข้มงวดในระเบียบที่ตกลงร่วมกัน วิธีนี้ช่วยสร้างความมั่นคงทางใจให้เด็กที่มีความบกพร่องตามธรรมชาติตั้งแต่แรกเกิดได้ด้วย ช่วยแก้ปัญหาปัจจัยข้อที่สามเกี่ยวกับความอ่อนแอทางสภาพจิตใจที่มีผลต่อการสร้างคุณลักษณะทางความสามารถของเด็ก

เด็กจะได้ความรักความอบอุ่นจากการดูแลของผู้ปกครอง ขณะเดียวกันมีการวางข้อตกลงที่มีแบบแผนปฏิบัติอย่างชัดเจน เพื่อฝึกระเบียบวินัยและความรับผิดชอบ เป็นการเลี้ยงดูที่ใช้เหตุผลพูดคุยกันมากกว่าการลงโทษ จากการศึกษาพบว่า เด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวลักษณะนี้มักมีลักษณะนิสัยที่ดี รู้จักการทำงานเป็นทีม สามารถควบคุมจัดการตนเองได้ และมีความรับผิดชอบต่อสังคม

นอกจากการดูแลเอาใจใส่จากผู้ปกครองแล้ว การที่ผู้ปกครองเปิดโอกาสให้ลูกได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นบ้างก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะมีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของเด็ก ให้เด็กเรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่กับหลากหลายในสังคมและยอมรับความแตกต่าง ซึ่งมีผลต่อการสร้างลักษณะนิสัยที่เกี่ยวข้องกับการเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่น (empathy)

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่หลายคนนึกไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาของพ่อแม่ ปัจจัยเบื้องหลังที่ส่งผลต่อวิธีคิดของพ่อแม่ผู้ปกครองในการเลี้ยงดูลูก จากการศึกษา พบว่า ปัจจัยนี้มีผลเชิงบวกต่อการพัฒนาลักษณะนิสัยของเด็กตั้งแต่แรกเกิดไปจนกระทั่งอายุ 5 ปี ระดับการศึกษาของผู้ที่อยู่ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเป็นพ่อแม่หรือบุคคลอื่น มีส่วนส่งเสริมให้เด็กพัฒนาลักษณะนิสัยได้ดี ขณะที่อาชีพหรือลักษณะการประกอบอาชีพไม่ได้มีผลกระทบต่อเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม แม้เด็กจะเติบโตขึ้นจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์พร้อม ทั้งในแง่สถานการณ์การเงิน สถานภาพครอบครัว ยกตัวอย่างเช่น

ครอบครัวที่มีพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือการเป็นลูกบุตรธรรม รวมทั้งเงื่อนไขด้านระดับการศึกษาของพ่อแม่ เงื่อนไขเหล่านี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการสร้างลักษณะนิสัย ตราบใดที่ผู้ปกครองมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเลี้ยงดูบุตรหลานของตัวเอง (parental confidence)

ความมั่นใจที่ว่านี้ช่วยให้ผู้ปกครองดึงศักยภาพตามสัญชาตญาณของตัวเองออกมาใช้เลี้ยงดูบุตรหลานได้อย่างเต็มที่

จากผลการศึกษาที่กล่าวมาทั้งหมด ยิ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือบุคคลใกล้ชิดรอบตัวเด็ก มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการสร้างเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ เป็นคุณภาพที่ดีทั้งต่อตัวเองและสังคม ใครก็ตามเป็นผู้ครอบครองลักษณะนิสัยเหล่านี้ ย่อมสะท้อนถึงความพร้อมในการพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เมื่อชีวิตมีการพัฒนาก็ย่อมมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับชีวิต

คงไม่ใช่เรื่องกล่าวเกินจริงที่จะบอกว่า การมีลักษณะนิสัยที่ดี ช่วยให้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ง่ายขึ้น ทำให้สังคมเป็นสังคมที่ดีขึ้น และผลลัพธ์ที่ตามมา ก็คือการที่เราจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodBook
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

บอกเด็กๆ อย่างไร เรื่องความตายและการพลัดพราก
Character building
26 July 2018

บอกเด็กๆ อย่างไร เรื่องความตายและการพลัดพราก

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • การบอกเด็กไปว่าใครสักคนได้ตายไปแล้ว และเขาจะไม่กลับมาอีก จะทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
  • ข้อดีของเด็กๆ คือ การแสดงความเสียใจ และร้องไห้อย่างเปิดเผย สิ่งนี้ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ใหญ่ใกล้ตัวเสียอีก
  • วิธีสนับสนุนเด็กๆ ที่รู้สึกสูญเสียได้ดีที่สุดคือ ฟังเขาโดยไม่ตัดสิน และ ให้กำลังใจขณะที่เขาเศร้า เปิดใจและเปิดกว้าง ยินดีตอบทุกๆ คำถามของพวกเขาที่จะนำไปสู่การรู้ทันความรู้สึก

ความตายเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ แต่สำหรับเด็กๆ มันอาจจะยากมากกว่าถ้าจะอธิบายให้เขาเข้าใจว่า ความตายคืออะไร ในทางกลับกัน เด็กๆ มักจะถามว่า “แล้วเมื่อไหร่ …จะกลับมา” หรือ “เมื่อไหร่หนูจะได้เจอ…อีก”

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แชนนอน เบอร์เบอร์รี (Shannon Burberry) มืออาชีพผู้รับจัดงานศพที่บ้าน (Funeral Home Manager) ในสหรัฐอเมริกา แนะนำว่า การบอกเด็กไปตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นจะเป็นการดีกว่า อย่างไรก็ตาม รายละเอียดและข้อมูลว่าควรบอกอย่างไร ต้องคำนึงเรื่องอายุเด็กเป็นสำคัญ

หลายปีก่อนที่การ์ตูนชุด Sesame Street มีเหตุกาณ์สำคัญคือ การเสียชีวิตของ Mr.Hooper และ Big Birds ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ได้เพื่อนๆ ช่วยกันอธิบายอย่างตรงไปตรงมาผ่านภาษาที่กระชับ ชัดเจน ว่าการตายคืออะไรและไม่สามารถทำให้มนุษย์กลับมามีชีวิตได้อีก ท้้งหมดนี้ช่วยให้ Big Birds เข้าใจและยอมรับได้ว่า Mr.Hooper ได้ตายไปแล้วและเขาจะไม่มีวันกลับมาอีก การเศร้าเสียใจเป็นสิ่งที่พึงกระทำ ขณะเดียวกันเราก็สามารถระลึกถึงความทรงจำดีๆ ที่เราเคยใช้ชีวิตร่วมกับผู้เสียชีวิตได้เช่นกัน

ปล่อยให้เขาเศร้าและร้องไห้

เด็กๆ มีความสามารถในการทำความเข้าใจมากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด การบอกเขาด้วยประโยคว่า “คุณย่าหลับไปแล้ว” หรือ “”คุณปู่จากเราไปแล้ว” ยิ่งจะทำให้เขาสับสน

การบอกเด็กไปว่าใครสักคนได้ตายไปแล้ว และเขาจะไม่กลับมาอีก จะทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าครอบครัวค่อนข้างเคร่งศาสนา พ่อแม่หรือญาติใกล้ชิดสามารถอธิบายไปพร้อมๆ กับความเชื่อในโลกหลังความตายของศาสนานั้นๆ ก็ได้

โดยประสบการณ์ส่วนตัวของนักจัดการงานศพอย่าง แชนนอน เบอร์เบอร์รี เห็นว่า ข้อดีของเด็กๆ คือ การแสดงความเสียใจ และร้องไห้อย่างเปิดเผย สิ่งนี้ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าผู้ใหญ่ใกล้ตัวเสียอีก การแสดงอารมณ์ ความรู้สึกได้อย่างอิสระ ทำให้พวกเขาฝึกแชร์ความคิด ความรู้สึกได้อย่างสบายใจ โดยไม่กังวลนั่นนี่ เพียงแค่ผู้ใหญ่ให้โอกาสเด็กๆ แสดงความรู้สึกออกมาเท่านั้น

การบอกให้ หยุดร้อง หรือ เงียบ เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่ง

ให้พวกเขามีส่วนร่วมด้วย

โดยส่วนใหญ่ เด็กๆ มักจะชอบหรือดีใจเมื่อถูกมอบหมายให้ทำงาน เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ ใครๆ ก็อยากรู้สึกว่าตัวเองมีค่า มีประโยชน์ และสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่จะฝึกความรับผิดชอบให้พวกเขา

เช่นเดียวกับเด็กๆ ในงานศพ เราสามารถมอบหมายหน้าที่เล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาคอยช่วยในงานที่ถือว่าเป็นการ “บอกลาบุคคลที่รักครั้งสุดท้าย” ได้ เขาจะเต็มใจและกระตือรือร้นอย่างมาก

หรือจะให้เด็กๆ ทำของขวัญก็เป็นอีกความคิดที่ดี

เด็กๆ ชอบทำของขวัญและมอบให้คนที่ตัวเองรัก นั่นเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน แม้ว่าผู้รับจะไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม การให้พวกเขาเข้าไปมีส่วนร่วม จะยิ่งช่วยให้เด็กๆ เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น รวมถึงคนในครอบครัวทุกคน เป็นการดีที่จะร่วมกันทำของขวัญให้ผู้จากไป โอกาสนี้ดีมากที่จะใช้ตอบคำถามต่างๆ ที่เด็กๆ สงสัย สุดท้ายความร่วมมือร่วมใจที่เกิดขึ้นอาจกลายเป็นประสบการณ์หรือเหตการณ์ที่ช่วยบำบัดความเศร้า และให้ทุกคนไม่อายที่จะแสดงความรู้สึกออกมา

เราเศร้าไม่เท่ากัน เด็กก็เช่นกัน

ไม่มีวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการหยุดความเศร้า เด็กๆ เองก็ไม่รู้วิธีที่จะควบคุมและรู้ทันความรู้สึกตัวเอง พวกเขามักจะใช้วิธีหนีไปอยู่ในจินตนาการหรือโลกความฝันที่สร้างขึ้นมาเพื่อลืมความสูญเสีย

เด็กบางคนอาจอยู่กับเพื่อนในจินตนาการที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเพื่อข้ามผ่านความสูญเสียไปให้ได้ สิ่งนี้จะพาเด็กๆ ให้เข้าไปสำรวจโลกใบที่เขารู้สึกว่าปลอดภัย ผู้ใหญ่ควรให้โอกาสเด็กๆ เข้าไปสำรวจ ตรวจสอบความคิดและความเชื่อว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งตาย จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

วิธีสนับสนุนเด็กๆ ที่รู้สึกสูญเสียได้ดีที่สุดคือ ฟังเขาโดยไม่ตัดสิน และ ให้กำลังใจขณะที่เขาเศร้า เปิดใจและเปิดกว้าง ยินดีตอบทุกๆ คำถามของพวกเขาที่จะนำไปสู่การรู้ทันความรู้สึก

พาเด็กๆ ไปงานศพด้วย

เด็กๆ มีสิทธิไปงานศพเช่นผู้ใหญ่ หลายคนอาจคิดว่ามันอาจจะหนักเกินไป หรือเด็กๆ ไม่เข้าใจหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่พ่อแม่ทำได้และควรทำคือ อธิบายกระบวนการข้้นตอนต่างๆ และบอกว่าเมื่อไปถึงงาน เด็กๆ จะเจอหรือต้องทำอะไรบ้าง

งานศพบางงานจัดที่บ้าน อนุญาตให้ครอบครัวและเด็กๆ เข้าร่วมได้ ก่อนเข้างานอาจจะให้เวลาเด็กๆ ยืนสังเกตการณ์ข้างนอกก่อนว่า ในงานมีอะไรบ้าง เด็กจะได้รุู้สึกเป็นส่วนหนึ่งและรับรู้ว่านี่คือพื้นที่ในการแสดงความรู้สึก

สุดท้าย ความเศร้าและความเจ็บปวดจะค่อยๆ ง่ายขึ้น

เด็กๆ ก็ต้องโตขึ้น ความเจ็บปวดจะค่อยๆ ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่ผู้ใหญ่ควรทำคืออยู่ใกล้ๆ และบอกว่ามีหลายวิธีที่จะทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นได้ จนเมื่อเด็กๆ อายุ 6 ขวบ พวกเขาจะเริ่มรู้ว่าความตายคือสิ่งถาวร เมื่อมีใครสักคนจากไป เขาจะจากไปตลอดกาล

สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ ต้องอธิบายให้เขารู้ว่า เราต่างรักคนที่จากไปมากแค่ไหน ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ ปัจจุบันจึงสำคัญกว่า ความเจ็บปวด ความเสียใจจะคลี่คลายเป็นประสบการณ์ คล้ายกองหนุนช่วยให้พวกเขาผ่านเรื่องเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น คงเหลือไว้แค่ความทรงจำดีๆ ให้ระลึกถึง

ที่มา: Tell Your Children The Honest Truth About Death And Dying

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)จิตวิทยาการเติบโตพัฒนาการทางอารมณ์ความตาย

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Education trend
    ล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ หนูไม่โอเค

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    ปราบ ‘อสูรร้าย’ ทำลายและทำร้ายใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Character building
    สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    “กู้หมูป่าให้สุด แล้วหยุดที่ชีวิตปกติ” พญ.พรรณพิมล วิปุลากร

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Social Issues
    “ปล่อยทีมหมูป่าไป แล้วพวกเขาจะกลายเป็นโค้ชที่ดีในอนาคต” นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็ก-วัยรุ่น และโค้ชทีมฟุตบอล

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”
How to get along with teenager
25 July 2018

วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • เด็กควรได้เรียนรู้การสร้างปฏิสัมพันธ์ในชีวิตจริงก่อน เมื่อเขาเรียนรู้แล้ว และเติบโตขึ้น จะกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงให้เขาสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • อย่าลืมว่าดิจิตอลไม่ได้อยู่ในอวกาศ แต่มันซ้อนอยู่ในโลกจริง ฉะนั้นก่อนที่เขาจะเป็น digital native เขาต้องเป็นมนุษย์เสียก่อน
  • ครูต้องไม่มีบทบาทแค่สอนเด็กใช้แอพพลิเคชั่นอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่ครูควรใช้บรรยากาศของชั้นเรียนให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านโลกดิจิตอลด้วย
  • การอ่านหนังสือ It’s Complicated: the social lives of networked teens อาจช่วยให้เราพบว่าจริงๆ แล้วปัญหาวัยรุ่นแต่ละวัยแต่ละยุคสมัยแทบจะเหมือนกันหมด ต่างกันแค่เครื่องมือที่อยู่รอบๆ ตัว

วัยรุ่นกับอินเทอร์เน็ตแทบจะแยกออกจากกันไม่ได้แล้ว ผู้ใหญ่หลายคนต่างเป็นห่วงว่าอินเทอร์เน็ตจะทำให้เด็กและเยาวชนมีปัญหา ด้วยโจทย์แบบนี้ ทางสำนักพิมพ์ Bookscape และ dtac BOOK TALK จึงจัดเสวนาในหัวข้อ ‘เข้าใจโลกใหม่ของวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต’ พร้อมเปิดตัวหนังสือ It’s Complicated: the social lives of networked teens ผลงานของ ดานาห์ บอยด์ (Danah Boyd) นักวิจัยของไมโครซอฟท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและวัฒนธรรมวัยรุ่น

หนังสือเรื่อง It’s Complicated มุ่งให้ผู้อ่านเข้าใจและย้อนกลับถามตัวเองว่า ความ (ที่คิดว่า) เข้าใจต่อปัญหาเหล่านี้ เอาเข้าจริงแล้ว มันถูกต้องหรือเปล่า ทำไมวัยรุ่นถึงใช้ social media มากยิ่งกว่ากิจกรรมใดๆ ในชีวิต และยังสะท้อนการใช้ social media ของเด็กและวัยรุ่นผ่านสายตาของเด็กเอง ไม่ใช่ผู้ใหญ่

ผู้เขียนเป็นหัวหน้านักวิจัยอยู่ที่บริษัทไมโครซอฟท์ และเป็นนักมานุษยวิทยาที่ศึกษาภาคสนามเกี่ยวกับสื่อออนไลน์ของเด็กมากว่า 10 ปี เล่มนี้จึงเป็นการกลั่นกรองข้อมูลภาคสนามของผู้ที่พยายามเข้าใจการใช้ social media ผ่านสายตาของเด็กจริงๆ

ดานาห์ บอยด์ มองเด็กในฐานะ social agency หรือผู้กระทำการทางสังคม คือเด็กไม่ได้เป็นผู้ถูกกระทำหรือถูกกำหนดโดยเทคโนโลยี แต่เขาพยายามตามไปดูว่าเด็กไปมีปฏิสัมพันธ์กับมันอย่างไร แล้วสร้างความหมายให้กับชีวิตพวกเขาได้อย่างไร

จนต่อยอดมาเป็นวงเสวนา ‘เข้าใจโลกใหม่ของวัยรุ่นยุควุ่นเน็ต’ ผ่านการพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองจากคนหลากหลายวงการ ได้แก่ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานเครือข่ายการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เกรียงไกร วชิรธรรมพร นักเขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์ซีรีส์ ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น และ พัทน์ ภัทรนุธาพร นักศึกษา MIT Media Lab

มีคำกล่าวที่ว่า “อินเทอร์เน็ตเป็นเหมือนกระจกสะท้อนสังคม แล้วกระจกจะสะท้อนสิ่งที่เราเห็น ถ้าเราไม่ชอบสิ่งที่เราเห็นในกระจก ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การซ่อมแซมกระจก แต่วิธีมันอยู่ที่การซ่อมแซมสังคมต่างหาก” ฉะนั้นถ้าสังคมมัวแต่โทษเทคโนโลยีอย่างเดียว เราอาจจะเข้าใจปัญหาผิดๆ และซ่อมแซมมันอย่างผิดๆ

นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

แต่สำหรับ นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา มองว่าอินเทอร์เน็ตไม่ได้เป็นเพียงกระจกที่สะท้อนตรงๆ แต่เป็นกระจกนูนที่ขยายภาพขึ้น

“แน่นอนว่าอินเทอร์เน็ตไม่ใช่ตัวสร้างปัญหา แต่มันเร่งให้ปัญหานั้นปรากฏขึ้น ถูกเห็น และทำให้คนตระหนกกับมันมากขึ้น ฉะนั้น ความเป็นกระจกนูนของอินเทอร์เน็ตก็เป็นเรื่องที่เราอาจจะต้องรับรู้เข้าใจ และพยายามมองกลับไปว่า แล้วตัวจริงของปัญหา มีลักษณะอย่างไร แล้วเราจะแก้ปัญหากันอย่างไร”

นพ.ประวิทย์ยังให้คำแนะนำว่า เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรใช้โทรศัพท์ โทรทัศน์ หรือสื่อใดๆ ทั้งสิ้น เพราะมีผลต่อการพัฒนาด้านสมอง เด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ขวบ ผู้ปกครองจะต้องดูแลให้ดี เด็กควรได้เรียนรู้การสร้างปฏิสัมพันธ์ในชีวิตจริงก่อน เมื่อเขาเรียนรู้แล้ว และเติบโตขึ้น จะกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงให้เขาสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตจะไม่อาจรู้ถึงสีหน้าท่าทาง ไม่รู้อารมณ์ ถ้าเด็กยังไม่สามารถเรียนรู้โลกจริง จะทำให้เขาเกิดความสับสนระดับหนึ่ง ว่าอันไหนคือโลกจริงและโลกเสมือน

พัทน์ ภัทรนุธาพร นักศึกษา MIT Media Lab

นอกจากนี้ พัทน์ ภัทรนุธาพร นักศึกษา MIT Media Lab ยังเสริมและตั้งคำถามชวนคิดว่า “อย่าลืมว่าดิจิตอลไม่ได้อยู่ในอวกาศ แต่มันซ้อนอยู่ในโลกจริง ฉะนั้นก่อนที่เขาจะเป็นมนุษย์ digital native เขาต้องเป็นมนุษย์เสียก่อน การที่เราอยู่ในสองโลกคือ โลกดิจิตอลและโลกจริง มันเปลี่ยนวิธีที่เรามองตัวเองและมองโลกอย่างไร เวลาคนเรามีหลายแอคเคาท์ เขามีหลายตัวตนหรือเปล่า หรือคนเดียวกันแต่แค่อยู่ในพื้นที่ต่างกัน”

เมื่อหลุดจากอ้อมกอดและปริมณฑลของพ่อแม่แล้ว สถานีต่อไปที่เด็กจะต้องเจอคือโรงเรียน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เข้ามา เด็กจะต้องเรียนรู้ผ่านคุณครูด้วย อาจารย์อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า

“ในห้องเรียนยุคใหม่ ครูรุ่นใหม่ มีการใช้พวกอุปกรณ์สมัยใหม่ในการเรียนการสอนมากขึ้น แต่การทำให้เด็กเข้าใจและมีเกราะป้องกันในการใช้อินเทอร์เน็ต ครูจึงต้องไม่ได้มีแค่บทบาทสอนเด็กใช้แอพพลิเคชั่นอย่างเดียว แต่ยังมีประเด็นที่เปราะบางหลายๆ เรื่องที่คุณครูควรใช้บรรยากาศของชั้นเรียนให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านโลกดิจิตอลด้วย”

ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานเครือข่ายการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองประชาธิปไตย

ขณะที่คุณครูจำนวนหนึ่งที่มองเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต ด้วยสายตาจับผิด จ้องจะระแวง หรือไม่อยากให้เป็นส่วนหนึ่งในห้องเรียน ครูเหล่านี้ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าการให้เด็กเข้าถึงสื่อออนไลน์โดยมีครูเป็นไกด์นำทาง ยิ่งเป็นการสริมพลังให้เด็กใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพและเท่าทัน มากกว่านั้นจะช่วยป้องกันเด็ก เอาเด็กออกจากความเสี่ยงจากการกีดกันการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็ก

“มันมาพร้อมกับการลดโอกาสของเขาในการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตด้วย แล้วการเรียนรู้ความเสี่ยงเป็นกระบวนการทางสังคมของเขา เราจะออกแบบสังคมอย่างไรเพื่อให้เขาอยู่กับความเสี่ยงพวกนี้ และใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” อ.อรรถพล ชี้

ดังนั้นพ่อแม่และโรงเรียนจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เด็กเข้าใจและรู้วิธีการใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างปลอดภัย เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งเขาจะเติบโตและใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างแข็งแรง

อีกปัญหาหนึ่งที่ผู้ใหญ่หลายคนมองว่าเป็นปัญหาใหญ่คือ การที่วัยรุ่นติดโทรศัพท์ ติดอินเทอร์เน็ตมากเกินไป กลายเป็นสังคมก้มหน้า แต่ถ้าเรามองในมุมของเด็กเหล่านั้นเหมือนที่หนังสือ It’s Complicated พยายามให้ความสำคัญกับมุมมองของเด็ก เราก็จะเห็นโลกอีกใบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นักเขียนบทและผู้กำกับภาพยนต์อย่าง เกรียงไกร วชิรธรรมพร ช่วยอธิบายเพื่อให้เห็นภาพ

เกรียงไกร วชิรธรรมพร นักเขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์ซีรีส์ ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น

“ปัญหาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดว่า อินเทอร์เน็ตทำให้เกิดสังคมก้มหน้า ทำให้เด็กๆ เป็นคนมีปัญหา แต่กลายเป็นว่าสังคมต่างหากที่มีปัญหากับเขา

ถ้าถามว่า ‘ทำไมไม่เงยหน้ามาคุยกับคนอื่น’ ก็ความสุขของเขาอยู่ตรงนั้น คุณคุยสิ่งเดียวกับเขาได้ไหมล่ะ คุณฟังเขาไหมล่ะ คุณพร้อมจะฟังเรื่องของเขาไหม พร้อมที่จะอินไปกับสิ่งที่เขาสนใจไหม ถ้าพร้อมจะอินไปกับเขา เขาจะเงยหน้ามาคุยกับคุณ”

ความรู้สึกที่ว่าวัยรุ่นคืออะไร เรามีคำถามเต็มไปหมด แล้วการอ่านหนังสือ It’s Complicated: the social lives of networked teens อาจช่วยให้เราพบว่าจริงๆ แล้วปัญหาวัยรุ่นแต่ละวัยแต่ละยุคสมัยแทบจะเหมือนกันหมด ต่างกันแค่เครื่องมือที่อยู่รอบๆ ตัว ไม่ต่างอะไรจากการที่เราไม่อยากให้พ่อแม่เข้าไปยุ่งในห้องนอน ทุกวันนี้ เราก็ไม่อยากให้พ่อแม่เข้ามาเที่ยวในโลกเฟซบุ๊คของเหมือนกัน

หรือเอาเข้าจริงโลกไม่ได้อยู่ยากขึ้นหรอก แต่เครื่องมือต่างๆ ในชีวิตต่างหากที่มากมาย สิ่งที่ทำได้คือรับรู้ เข้าใจว่ามัน complicate จริงๆ แล้วไม่ทิ้งมันไว้ข้างหลัง เพียงเพราะเราไม่เข้าใจหรือแค่คิดว่าเข้าใจมันดีแล้ว

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นหนังสืองานเสวนาโซเชียลมีเดียBookscapeอรรถพล อนันตวรสกุล

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

Related Posts

  • How to get along with teenager
    “พื้นที่อิสระและการยอมรับ” เสียงในใจของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากให้พ่อแม่ได้ยิน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social IssuesBook
    WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามง่ายแต่ตอบไม่ได้จริงๆ

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Social IssuesBook
    IT’S COMPLICATED: เป็นวัยรุ่น (ในโลกโซเชียล) มันเหนื่อย

    เรื่อง

5 วิธีดึงวัยรุ่นให้กลับมารู้สึกดีและรักตัวเอง
Transformative learning
20 July 2018

5 วิธีดึงวัยรุ่นให้กลับมารู้สึกดีและรักตัวเอง

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ไม่เห็นอกเห็นใจตัวเอง ไม่ชอบตัวเอง ไม่เห็นคุณค่าตัวเอง อยากเป็นคนสมบูรณ์แบบ คือปัญหาที่วัยรุ่นปัจจุบันกำลังเผชิญ

ผลที่ตามมาคือ กลายเป็นคนไม่มีความเชื่อมั่น ไม่ยอมรับและนับถือตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือการโบยตีตัวเองมากกว่าเดิมเมื่อพลาดหรือทำอะไรผิด

ก่อนเขาจะดิ่งไปมากกว่านี้ พ่อแม่และผู้ใหญ่ใกล้ชิดสามารถช่วยดึงวัยรุ่นให้กลับมารู้สึกดีและรักตัวเองได้ผ่าน 5 วิธีต่อไปนี้

แม้มันจะไม่ง่ายแต่ก็คุ้มค่าที่จะทำถ้าสำเร็จ

ที่มา : แอมมี แอล อีวา (Amy L. Eva) ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาการศึกษา (the education content specialist) จาก Greater Good Science Centre

อ่านรายละเอียดและเนื้อหาฉบับเต็มได้ที่นี่ : เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

Tags:

วัยรุ่นจิตวิทยาAdolescent Braintransformative learning

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Education trend
    วัยรุ่นวัยเรียนและจิตวิทยาแห่งการ ‘โกง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent Brain
    รักที่จะแว้น: เด็กหลังห้องที่ถูกผู้ใหญ่ปิดประตู

    เรื่อง

ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ
Early childhood
20 July 2018

ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • สุข เศร้า เหงา โกรธ มาด้วยกันเสมอ ถ้าเด็กๆ ได้สัมผัสอารมณ์บูดเหล่านั้นด้วยตัวเอง เขาจะเรียนรู้จัดการได้อย่างถูกต้องสมวัย
  • พ่อแม่ควรให้พื้นที่และเวลา เขาจะค่อยๆ สัมผัสความรู้สึกด้านลบเหล่านั้น ไม่ต่างจากการฝึกกินผัก แปรงฟัน และนอนหลับให้เต็มอิ่ม
  • การโอ๋จนลูกสงบลง พยายามทำให้เขาสนุก หรือให้ขนมดึงความสนใจเขาออกจากความทุกข์ พูดบ่อยๆ ว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง – นี่ต่างหากที่ไม่ควรทำ

ถ้าให้เลือก Joy กับ Sadness ในหนังเรื่อง Inside Out เชื่อว่าพ่อแม่คงเลือกข้าง Joy เลือกเสียงหัวเราะ เสียงออดอ้อนจากลูก มากกว่าน้ำตา ความเศร้า และเสียงหวีดร้อง

บ่อยครั้งที่อารมณ์บูดๆ ของลูกทำให้พ่อแม่รู้สึกอึดอัดยามต้องรับมือ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์เศร้า ผิดหวัง โกรธ ซึ่งผู้ใหญ่มักตั้งโปรแกรมตัวเองไว้ว่าจะต้องปกป้องเด็กๆ จากความรู้สึกแบบนี้ และทำให้เขากลับมามีความสุขอีกครั้งให้ได้

แต่เพราะอารมณ์สุข เศร้า เหงา โกรธ มาด้วยกันเสมอ จะดีกว่าไหม หากเด็กๆ ได้สัมผัสและเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์บูดเหล่านั้นด้วยตัวเองและทำได้อย่างถูกต้องสมวัย

พื้นที่และเวลาของความเศร้า

เจนนิเฟอร์ อันเดอร์วู้ด (Jennifer Underwood) ผู้เขียนบล็อกเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กวัยรุ่นในเว็บไซต์ SexandtheSilly.com เกี่ยวกับการเลี้ยงดูลูกสาววัยรุ่นตอนต้นของเธอ เขียนเล่าว่า การเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่เคยพูดถึงความรู้สึกอย่างจริงจัง ทำให้เราฝังมันไว้จนระเบิด ไม่เกิดการเรียนรู้ที่รับผิดชอบต่อความเสียหายและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการระเบิดความรู้สึกที่ไม่เหมาะสม ไม่มีการขอโทษ และไม่มีการเรียนรู้ แล้วก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

“เรามักถูกตั้งโปรแกรมมาให้โอ๋จนลูกๆ สงบลง พยายามทำให้เขาสนุกหรือให้ขนมดึงความสนใจเขาออกจากความทุกข์ พร่ำบอกว่าเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง แน่นอนล่ะว่าเด็กๆ อยากให้เราปลอบ แต่พวกเขาก็ต้องเรียนรู้วิธีปลอบตัวเอง ฉุดตัวเองขึ้นจากความเศร้า ก้าวพ้นความเจ็บปวดทั้งทางกายและจิตใจได้เองด้วย ซึ่งนั่นแหละคือหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องทำให้เขามั่นใจว่าเราจะไม่ไปไหนในเวลาที่อยากร้องไห้ ตะโกน และคร่ำครวญ”

สิ่งที่จำเป็นสำหรับเด็กจริงๆ คือ พื้นที่และเวลาค่อยๆ สัมผัสความรู้สึกด้านลบเหล่านั้น เหมือนกับที่พวกเขาต้องกินผัก แปรงฟัน นอนหลับเต็มอิ่ม – เพราะสิ่งเหล่านี้จำเป็นกับชีวิตมากๆ

5 วิธีฝึกให้ลูกรู้จักความโกรธ เศร้า เหงา กลัว

  • บอก ‘ชื่อ’ ความรู้สึก เช่น ถ้าลูกนอนอยู่และบอกว่าเหนื่อยจนยอมให้คุณเลือกเสื้อผ้าให้ เป็นโอกาสดีที่คุณจะแนะนำให้เขารู้จักความรู้สึกที่เรียกว่า ‘หมดแรง’
  •  เข้าใจปัญหาของเขา เป็นกองหนุนด้านอารมณ์ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ว่า ต่อให้รู้สึกแย่แค่ไหนเขาก็จะผ่านมันไปได้ เช่น บอกเขาว่า ความรู้สึกท้อระหว่างพยายามทำสิ่งใหม่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
  • ช่วยหาทางออก ลองพูดคุยกับเด็กๆ ถึงไอเดียในการจัดการความรู้สึกตัวเอง ช่วยกันสร้างจุดที่ตัวเขาจะรู้สึกสงบและร่วมกันฝึกทักษะการจัดการอารมณ์บ่อยๆ
  • มองข้ามการกระทำ อะไรที่ผ่านแล้วก็ให้ผ่านไป ใส่ใจสิ่งที่เด็กๆ รู้สึกมากกว่าท่าทีที่เขาแสดงออกมา ลองเปลี่ยนการลงโทษเป็นความเห็นอกเห็นใจในความรู้สึกของพวกเขาดูสิ
  • หาวิธีสื่อสารใหม่ๆ การปล่อยให้เด็กๆ บ่นหรือสั่งได้ทุกอย่างตามใจอาจทำให้พวกเขาไม่สนใจอารมณ์บูดๆ ที่เกิดขึ้น ลองสอนวิธีที่จะทำให้เขาสื่อสารความรู้สึกในแบบที่ต่างจากเดิม เช่น อาจถามเขาว่า “หนูคิดว่าควรพูดขอความช่วยเหลือยังไงดีคะ”

คำพูดดีๆ แทนคำว่า “หยุดร้องไห้”

“หยุดร้องนะ” “ดูสิ คนอื่นมองหมดแล้ว” “อย่าโง่น่ะ” “หุบปากเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นโดนตีแน่”

เคยพูดหรือได้ยินคำเหล่านี้กันใช่ไหม … สุดท้ายแล้วเด็กๆ ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น บางครั้งกลับร้องไห้อาละวาดหนักกว่าเดิมเสียอีก

ในเมื่อตอนนี้เรารู้แล้วว่า ควรปล่อยให้ลูกสัมผัสอารมณ์ด้านลบของตัวเองเพื่อเรียนรู้การจัดการอารมณ์ คำพูดข้างบนนี้จึงรังแต่จะทิ่มแทงจิตใจให้บอบช้ำ ลองเปลี่ยนเป็นคำพูดแบบนี้ดูสิ เพราะทุกคนต่างก็ชอบฟังคำพูดดีๆ กันทั้งนั้นแหละ

  • หนูเศร้าได้ ไม่เป็นไรหรอก
  • สำหรับหนู มันคงหนักหนาจริงๆ
  • ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม
  • พ่อ/แม่อยู่ตรงนี้กับหนูนะ
  • พ่อ/แม่ฟังอยู่จ้ะ
  • สำหรับหนู นั่นคงน่ากลัว/น่าผิดหวัง/น่าหงุดหงิด/น่าเศร้า (ฯลฯ) จริงๆ
  • พ่อ/แม่จะคอยช่วยหนูนะ
  • ไม่ยุติธรรมเลยนะ
  • พ่อ/แม่เข้าใจว่าลูกต้องการพื้นที่ แค่อยากให้รู้ว่าพ่อ/แม่อยู่ใกล้ๆ เสมอ พร้อมเมื่อไหร่ก็มาหาได้เลยนะจ๊ะ
ที่มา:
Why We Should Let Our Kids Be Sad
LET YOUR CHILDREN FEEL THEIR FEELINGS
10 Things to Say Instead of ‘Stop Crying’

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)พัฒนาการทางอารมณ์

Author:

illustrator

ลีน่าร์ กาซอ

ประชากรชาวฟรีแลนซ์ที่เพลิดเพลินกับเรื่องสยองกับของเผ็ด และเป็นมนุษย์แม่ที่ศึกษาจิตวิทยาเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodBook
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Character building
    คาแรกเตอร์ดี ลูกมีได้ ไม่ต้องจ่าย เรียนได้กับพ่อแม่

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING
Character building
19 July 2018

สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • เนื่องจากโลกไม่เหมือนเดิม เราจะบอกว่าเราโตมาอย่างนี้ได้ แต่ลูกเราอาจจะโตไม่ได้ ด้วยความที่โลกไม่เหมือนเดิม ก็ต้องการคุณสมบัติที่ไม่เหมือนเดิม
  • เด็กมีศักยภาพมาตั้งแต่กำเนิด แต่พ่อแม่ต้องช่วยฝึก สิ่งนี้เรียกว่า Character Building หรือ การสร้างสันดานดี
  • ‘กิน กอด นอน เล่น เล่า ช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลืองานบ้าน’ คือ short cut สู่ Character Building
ภาพ: โกวิท โพธิสาร

ในยุคที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม ประสบการณ์พ่อแม่ที่สั่งสมมา อาจนำไปใช้กับลูกไม่ได้อีกต่อไป หลายคนจึงต้องเปิดตำราหาวิธีใหม่ๆ หรือเลี้ยงไปตามสัญชาตญาณ ทั้งหมดก็เพื่อให้ลูกอยู่รอดได้ในปัจจุบันและอนาคต

อย่าเพิ่งถอดใจไป ในเมื่อของเก่ามันใช้ไม่ได้ พ่อแม่ก็ต้องสร้างและปั้นกันขึ้นมาใหม่ คำถามสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ถูกวิธี

คำตอบอยู่ที่การบ่มเพาะและปลูกบุคลิกภาพขึ้นใหม่ หรือ Character Building คือ สิ่งที่พ่อแม่ทำได้และควรทำตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้อง

“เราใช้คำไทยว่า สันดาน นั่นแหละค่ะ” เป็นคำพูดตรงไปตรงมาทว่าน้ำเสียงอ่อนโยนของ สุภาวดี หาญเมธี ประธานสถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) ที่ทำงานด้านแม่ เด็กและครอบครัวมากว่า 30 ปี ที่ย้ำชัดตั้งแต่ต้นว่า

จะคาแรคเตอร์, บุคลิกภาพ หรือ สันดาน ล้วนเป็นสิ่งที่พ่อแม่สร้างได้…และง่ายกว่าไปดัดเอาตอนโต

Character Building หรือการสร้างบุคลิกภาพคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร

character หรือบุคลิกภาพ คือสิ่งที่สะท้อนออกจากการเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิต เรียนรู้อะไรมา มีประสบการณ์มาอย่างไร และได้ก่อรูปประสบการณ์เหล่านั้นขึ้นมาเป็นชุดความคิดของตัวเอง แล้วปรากฏออกมาเป็นท่าทางพฤติกรรม การแสดง ปฏิบัติต่อตัวเองและผู้อื่น

Character Building ไม่ใช่แค่ยืนเต้นท่าได้สวย หลังตรง ฉีกยิ้ม แต่เป็นการสะสมความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ในตัวเอง มองโลกอย่างไร มองตัวเองอย่างไร มองคนอื่นอย่างไร จากนั้นจึงนำมาสู่การปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อดำรงชีวิตตัวเองต่อไปได้ ในขณะเดียวกันก็ดำรงสัมพันธภาพที่ดีกับครอบครัว เพื่อนฝูง สังคม ชุมชน รวมไปถึงความคิดที่มีต่อโลก

แล้ว Character Building มีความสำคัญอย่างไร

เนื่องจากโลกไม่เหมือนเดิม เราจะบอกว่าเราโตมาอย่างนี้ได้ แต่ลูกเราอาจจะโตไม่ได้ ด้วยความที่โลกไม่เหมือนเดิม ก็ต้องการคุณสมบัติที่ไม่เหมือนเดิม เราบอกว่า อายุสามสิบ สี่สิบ ถามว่าเรามั่นใจที่จะไปอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วย AI ไหม เราก็ยังกังวลเลย เพราะว่าโลกแบบใหม่ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนใหม่ ไม่เหมือนเดิม

พ่อแม่ต้องทบทวนจริงจัง อย่าคิดง่ายๆ ว่าเราก็ผ่านมาได้ ตอนนี้เด็กมัธยมปลายหนึ่งห้อง เด็กผู้หญิงที่ยังไม่ได้นอนกับผู้ชายมีอยู่แค่คนเดียวหรือสองคน พ่อแม่ทุกคนกังวลมาก และข้อมูลพวกนี้ไม่ไกลตัว ในกรุงเทพฯ โรงเรียนดีๆ จำนวนไม่น้อยที่เป็นแบบนี้ ฉะนั้นผู้ปกครองก็เห็นว่าปัญหามันแย่

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Character ของเด็กที่ถูกสร้างขึ้นมา เป็นอย่างไร

ระบบการศึกษาไทยจะให้ความสำคัญกับ character บางเรื่อง เช่น ความเป็นคนเชื่อฟัง อ่อนน้อม ไม่โต้เถียง เกรงใจ แต่ในโลกที่เป็นจริง มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองไปได้เต็มที่ คิดได้ ทำได้ สร้างสรรค์ได้ แก้ปัญหาได้ พูดง่าย จัดการตัวเอง และจัดการสภาพแวดล้อมของตัวเองได้ จึงจำเป็นต้องมี character อีกหลายอย่าง ตั้งแต่กล้าคิดกล้าทำ กล้าสงสัย กล้าตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเห็นอยู่ว่าใช่ไม่ใช่ ดีไม่ดี

มนุษย์ต้องทำได้ เพราะเรามีสิ่งที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่มี มนุษย์ต้องสร้างสัมพันธภาพที่เหนือกว่าแค่เลี้ยงดูลูกเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป แต่เป็นสัมพันธภาพอยู่ในกลุ่มที่ละเอียด ประณีต มีปรัชญาของการเคารพกัน เคารพความเป็นมนุษย์ มนุษย์มีโอกาสไปถึงศักยภาพเหล่านั้นได้ทั้งนั้น แต่ว่าเรายังไปใส่ใจกับบางเรื่องเท่านั้น

คำถามตอนนี้คือทำอย่างไร เราถึงจะปลดปล่อยศักยภาพเด็กของเราให้ไปถึงศักยภาพสูงสุดของมนุษย์ที่เราได้มาจากธรรมชาติ แล้วถึงจะทำให้เขากลายเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี ดีต่อตัวเอง และดีต่อคนอื่นๆ

โลกสมัยใหม่ได้เปิดประตูให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ไว้กว้างมาก เราบ่มเพาะบุคลิกภาพแบบนี้ให้เขา ซึ่งมันไม่พอดีกับโลกสมัยใหม่ โลกสมัยใหม่ที่คุณเข้าถึงได้หมดผ่านเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ คุณแสดงตัวเองได้กับโลกทั้งหมด

คำถามคือคุณจะแสดงออกกับโลกทั้งหมด คุณมีอะไรจะไปแสดงออกกับเขา อันนี้คือโจทย์สำคัญ

เด็กเราคิดไม่ค่อยเก่ง เวลาแสดงออกมีแค่เรื่องดราม่า เรื่องกระจุ๋มกระจิ๋ม กระจุ๊กกระจิ๊ก ขณะที่โลกกำลังพูดเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม โจทย์ใหญ่ๆ ที่ยาก แต่ว่า character ที่บ่มเพาะมันน้อยเกินไป มันเป็น character ที่มาจากการท่องจำ จดจำมาแล้วมาตอบ คุยแต่เรื่องเบาๆ พอโลกซีเรียสขึ้น เด็กจะไม่สามารถตอบสนองในหลายๆ มิติ บางมิติพอไปได้ ในทางสนุกสนาน ทางศิลปะอาจจะไปได้ แต่ถ้าเรื่องที่ยากซับซ้อนก็จะไปไม่ได้

Character อะไรที่ควรสร้างให้เด็กหรือเด็กควรมี เพื่อที่เขาจะเติบโตในโลกที่อยู่ยากขึ้น

อันแรกต้อง คิดเป็น คือ ถูกฝึกให้ใช้ความคิดในสถานการณ์ต่างๆ อย่างหลากหลาย และต่อเนื่องตามวัยเขา ถ้าเขาคิดเป็นแล้ว เมื่อเจอสถานการณ์ เด็กจะใช้ความคิดไม่ใช่สัญชาตญาณ ถ้าเด็กคิดเป็น ฝึกใช้ความคิดบ่อยๆ ลองผิดลองถูก คิดผิดไม่เป็นไร คิดใหม่ แล้วลองดูว่าที่ถูกเป็นยังไง ถูกวันนี้ บริบทนี้ แต่พอไปอีกที่อาจไม่ถูกก็ได้ ก็ต้องคิดใหม่

ฐานการคิดต้องได้รับการฝึกบ่อยๆ ได้ฝึกตั้งคำถาม ทำไม ทำไม ต้องให้เขาใช้ความคิด อันนี้คือหัวใจ

อันที่สองคือ ทำ ทำอะไรก็ได้ ก่ออิฐเป็น ก่อหลุม การทำทั้งหมดทำให้เด็กได้เรียนรู้ ยิ่งถ้าผู้ใหญ่คิดเป็น พาเด็กไปทำ ยังไงการคิดกับการกระทำจะช่วยเราได้

คิดเป็นและทำเป็น สองสิ่งนี้จะทำให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้ ส่วนเรียนรู้ แก้ปัญหา อยู่กับคนอื่น มีความสุข จะตามมาเอง

Executive Function จะมีส่วนช่วยพ่อแม่สร้าง Character ให้เด็กๆ ได้อย่างไร

ความรู้ใหม่ในโลกตอนนี้ทำให้เข้าใจว่าทุกๆ ประสาทสัมผัสที่เด็กคนหนึ่งได้รับตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นได้ยินเสียง มองเห็น ใช้มือสัมผัส ชิมรส ทั้งหมดนี้ทำให้เส้นใยประสาน ก่อเกิดการเชื่อมต่ออะไรที่เจอบ่อยๆ ทำซ้ำๆ ก็จะเกาะเกี่ยวพันกัน ก่อให้เกิดเป็นโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมทางสมอง (Brain Architecture)

แต่สิ่งนี้ที่สำคัญคือมันเป็นรูปแบบที่บรรจุอยู่ในสมอง ทุกครั้งที่ทำซ้ำไปเรื่อยๆ เส้นใยที่เกี่ยวรัดพันกันจะฝังตัวอยู่แถวๆ นั้นตลอดไป ถ้าเด็กได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ตอบสนองต่อเขาดี เด็กได้รับการตอบสนองเมื่อหิว เมื่อเจ็บ เมื่อมดกัด สิ่งนี้ก็เกาะเกี่ยวพันกันเกิดโครงสร้างในชุดสมองที่ว่า “ฉันเป็นคนที่ได้รับการตอบสนอง โลกนี้ดีกับฉัน โลกนี้ไม่ทิ้งให้ฉันโดดเดี่ยว” ฉะนั้นเส้นใยประสาทจะก่อเกี่ยวพันกันในทางบวก อันนี้คือ character ที่จะฝังเป็นชิพ แล้วสะท้อนออกมาเป็นพฤติกรรม เวลาเขาไปปฏิสัมพันธ์กับโลก เขาจะรู้สึกบวกเพราะว่าโลกปฏิสัมพันธ์กับเขาดีมาโดยตลอด นี่คือสิ่งที่เรียกว่า EF (Executive Functions)

บุคลิกภาพของเด็กคนหนึ่ง ถ้าถูกเลี้ยงดูมาแบบตั้งอกตั้งใจ เด็กก็อาจเป็นคนอ่อนหวานนุ่มนวลไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเด็กถูกใช้ความรุนแรง ถูกกระทบกระแทก แล้วถูกซ้ำย้ำอย่างนี้ตลอด เขาก็จะไม่เชื่อใจคน หวาดระแวง ไม่รู้สึกดีกับตัวเอง รู้สึกว่าโลกทั้งโลกน่ากลัว ไม่พร้อมที่จะเผชิญ นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าความเข้าใจที่ได้จากเรื่อง EF แล้วนำไปสู่การพัฒนาบุคลิกภาพ หรือเราใช้คำไทยได้ว่า ‘สันดาน’

วิธีการที่พ่อแม่จะทำหรือแสดงออกกับลูกในแต่ละช่วงวัยควรจะเป็นอย่างไร

ต้องพูดถึงตั้งแต่ลูกอยู่ในครรภ์ ความสุขของแม่สะท้อนผ่านสารเคมีที่หลั่ง ผ่านรกไปถึงตัวเขา เขาก็รู้สึกได้ รับรู้ได้ อาหารที่เข้าไป สารเคมีที่เข้าไป รวมทั้งความเครียดด้วย เพราะเวลาเราเครียด สารเคมีในสมองก็จะหลั่งออก

ต่อมาวัยแรกเกิด เด็กต้องได้รับการตอบสนองอย่างเหมาะสม เช่น ทุกครั้งที่เด็กร้อง แสดงว่าต้องมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น หิว มดกัด ก้นแฉะ การร้องแปลว่าต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ ก็อย่าไปรำคาญ การที่เรารีบเข้าไป ในด้านหนึ่ง มันคือการแก้ปัญหา เช่น การเปลี่ยนผ้าอ้อมเพราะก้นแฉะ แต่อีกด้านหนึ่ง มันกำลังทำงานกับสมองเด็ก เขาเรียนรู้ว่าสัมผัสนี้มาช่วยเหลือเขา มาตบก้นเบาๆ มาให้กำลังใจ พูดเพราะๆ ซึ่งเด็กที่ได้รับการตอบสนองอย่างสม่ำเสมอจะเลี้ยงง่าย

การเรียนรู้แค่พัฒนาการไม่เพียงพอ เราต้องเรียนรู้เรื่องสมองของเขาด้วย เช่น เด็กเริ่มจำหน้าพ่อแม่ได้ เป็นช่วงเวลาที่เราเรียกว่า working memories ก่อนหน้านั้นเด็กยังจำไม่ค่อยได้ ก็ค่อยๆ สะสม ค่อยๆ เรียนรู้ว่าสัมผัสแบบนี้ โครงหน้าประมาณนี้ แต่พอหกเดือนมองได้ชัดขึ้น เขาก็จะจำหน้าได้ฉะนั้นเราต้องรู้ว่า working memories เริ่มขึ้นแล้ว

อยากให้พ่อแม่จำหลักได้ว่า
หนึ่ง เด็กมีศักยภาพมาตั้งแต่กำเนิด แต่ต้องฝึก เพราะไม่มีทางเกิดขึ้นเองอย่างเดียว
สอง ทำซ้ำๆ บ่อยๆ จะเกิดเป็นชิพฝังเข้าสมองเด็ก
สาม ‘กิน กอด นอน เล่น เล่า ช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลืองานบ้าน’ ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ สมองของเด็กจะตอบสนอง ไม่งอแง เพราะเด็กจะเริ่มมีเหตุผล มีความมั่นใจ มีความสุข

กิน: กินอาหารครบห้าหมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เค็มอ่อนและหวานอ่อน (ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต)

กอด: การแสดงความรัก

นอน: เวลานอนสำคัญมากสำหรับพัฒนาการสมอง ทุกครั้งที่เด็กได้นอน สมองเขาจะจดจำและจัดระเบียบข้อมูลที่ได้รับก่อนหน้านี้ แต่ถ้าเด็กนอนไม่พอ จะหงุดหงิด

เล่น: สมมุติเด็กเล่นซ่อนแอบ เขาต้องคิด เขาต้องใช้สมองในการแอบ สมองเด็กในทุกๆ ครั้งที่เล่น ไม่ว่าเล่นอะไร เล่นก้อนหิน เล่นทราย กระบวนเหล่านี้เป็นการคิด การทำอยู่บนความสุข เมื่อเด็กเล่นมันคือความสุข ไม่มีกฎกติกามากมาย ถ้าเป็นกติกา จะเป็นกติกาที่เขาว่ากันเอง อย่างเช่น ห้ามเลยเส้นนี้ มันเป็นข้อตกลงที่เขาพอใจ

เล่า: อ่านหนังสือ เล่าหนังสือ ร้องเพลง กล่อม อ่านหนังสือกับลูก

ช่วยเหลือตัวเอง: ‘เอง’ เป็นคำที่เรากำลังรณรงค์ เอง ก็คือ self ก็คือตัวเอง เรากินเอง เราจับเอง เราเล่นเอง เก็บเอง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการช่วยเหลือตัวเอง

ช่วยเหลืองานบ้าน: งานง่ายๆ เช่น เด็กขวบหนึ่งถือแก้วตัวเองไปวาง เอาขยะไปทิ้งที่ถัง เมื่อเขาทำแล้วเราชมเขาว่าเก่งจังเลย บางครั้งอาจจะจำไม่ได้ แต่พูดบ่อยๆ ก็จะเริ่มฝังเข้าไปสมองของเด็ก ถ้าอยากให้ลูกได้ จะต้องให้ลูกเป็นคนทำ ‘ใครทำใครได้’ นี่เป็นหลักที่พ่อแม่ต้องเข้าใจ ฉะนั้นอย่าช่วยลูกมากเกินไป อยากให้ลูกได้อะไร ให้เขาทำสิ่งนั้นด้วยตัวของเขาเอง

เมื่อเด็กเริ่มเข้าโรงเรียน ครูประถมส่วนใหญ่เข้าใจเรื่องพัฒนาการดีพอสมควร แต่คนที่ไม่เข้าใจคือระบบนโยบายข้างบน ไม่เข้าใจเลยว่าประถมวัยเป็นช่วงเวลาที่สมองต้องเรียนรู้ผ่านการเล่น ทุกๆ ความสุขที่เขาได้จากการเล่นจะทำให้ศูนย์ข้อมูลพร้อมทำงาน แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเอาเด็กอนุบาลบังคับขีดเขียน ศูนย์ข้อมูลของเขาจะไม่เปิด แล้วจะทำให้เครียดมาก ถ้าพ่อแม่คุณครูเข้าใจก็จะไม่พาเด็กไปสู่กระบวนการแบบนั้น

ต่อมาเมื่อถึงช่วงวัยรุ่น ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกดี ต่อให้ลูกเหวี่ยงใส่แค่ไหนก็ตาม ก็จะเป็นการเหวี่ยงแบบชั่ววูบของวัยรุ่นเท่านั้น เดี๋ยวเขาก็จะกลับมา ถ้าพ่อแม่เข้าใจพัฒนาการของลูกก็จะปรับตัวตามพัฒนาการของลูก

ในวัยแรกสุด เราอาจต้องเป็นแม่ที่ปกป้องคุ้มครองลูก เน้นความดูแล ปลอดภัย แต่ทุกๆ วันลูกจะห่างกับเราไปเรื่อยๆ คำถามคือเรายอมรับสภาพแบบนี้ไหม ถ้าเรายอมรับ วันที่เขาเป็นวัยรุ่น เขาไม่ได้ต้องการคนที่มาปกป้องเขา เพียงคนที่มายืนข้างๆ แล้วต้องยื่นห่างๆ พ่อแม่ต้องจับจังหวะตัวเองให้ดี อย่าห่วงเขาแต่เราต้องเชื่อมั่นในตัวเขา

พ่อแม่ครูพยายามหาข้อมูลหรือเครื่องมือเพื่อจะช่วยเรื่องนี้ แต่นโยบายหลักของประเทศกลับไม่ได้ส่งเสริม แล้วสิ่งที่ทำมาจะฟังก์ชั่นได้อย่างไร?

พูดได้ว่า social media เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งของพ่อแม่ เท่าที่สังเกต คิดว่าข้อมูลที่ผ่าน social media เกี่ยวกับการเลี้ยงลูก ไม่ค่อยมีอะไรบกพร่อง คนที่ตั้ง Facebook มักเป็นกลุ่ม ‘แม่ช่วยแม่เลี้ยงลูก’ เนื้อหาส่วนใหญ่สนใจเรื่องพัฒนาการที่ดีของลูก

ทั้งนี้ทั้งนั้น ต่อให้พ่อแม่ให้ความสำคัญกับพัฒนาการและการสร้างบุคลิกภาพของลูกแค่ไหน แต่ถ้าความรู้กระแสหลักของประเทศอย่าง นโยบาย ค่านิยม ไม่สอดคล้อง การพัฒนาศักยภาพของเด็กก็ไม่สามารถไปถึงปลายทางได้

ขออนุญาตโจมตีกระทรวงศึกษา เพราะไม่เคลียร์กับหลักการที่ควรจะเป็น กระทรวงศึกษาต้องเป็นคนชี้ออกมาว่า ‘เวลานี้โลกเขาเรียนรู้เรื่องแบบนี้ เรามาดูแล้ว มาวิเคราะห์แล้วว่าแบบนี้เหมาะกับเด็กไทย ขอเสนอให้พ่อแม่เอามาพิจารณา เสนอให้ครูไปปฏิบัติการ’ แต่นี่มันไม่ใช่ นี่กลายเป็นปล่อยให้พ่อแม่ ครู หาสะเปะสะปะ ไม่ได้มาตรฐานตามที่ระบบควรจะเป็น

พ่อแม่ต่างแสวงหาความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงลูก ทุกคนหยิบมือถือก็จะรู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงมาก มันกระทบต่อตัวเรา เปลี่ยนชีวิตเราไปมากมาย คำถามคือเสาที่มีในสังคมกลับไม่พูดอะไรเลย ไม่เห็นเขาบอก หรือเขาบอกเหมือนกับตอนที่เรายังอยู่มัธยม ตอนนี้อายุสามสิบ สี่สิบปี ยังให้สอนเหมือนเดิม ความสับสนก็มี ความกังวลก็เกิด ถ้าโชคดีก็จะเจอคนที่ดี แต่ถ้าเจอไม่ดีก็เหมือนไปทำร้ายและทำลายสมองลูกโดยพ่อแม่ไม่รู้ตัว

Tags:

ระบบการศึกษาปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)สุภาวดี หาญเมธีพัฒนาการพ่อแม่

Author:

illustrator

กนกอร แซ่เบ๊

อดีตนักศึกษามานุษยวิทยา เกิดในครอบครัวคนจีนจึงพูดจีนได้คล่องราวภาษาแม่ ปัจจุบันเป็นคุณน้าที่หลงหลานสุดๆ และขยันฝึกโยคะเกือบเท่างานประจำ

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    4CS สี่ทักษะต้องมีเพื่ออนาคต – สร้างสรรค์ แก้ปัญหา สื่อสาร ร่วมงานกับคนอื่นได้

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    5 วิธี ปราบอสูรร้ายในตัวเด็กให้หายไปตลอดกาล

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    ภาวะผู้นำ ลักษณะนิสัยดีที่พ่อแม่ร่วมสร้าง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

CHARACTER CAPABILITIES: 3 นิสัยดี คีย์สำคัญสู่ความสำเร็จและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
Character building
18 July 2018

CHARACTER CAPABILITIES: 3 นิสัยดี คีย์สำคัญสู่ความสำเร็จและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • เราสามารถสร้างคุณลักษณะนิสัย (ที่ดี) ให้กลายเป็น ความสามารถหรือเป็นความเชี่ยวชาญได้โดยไม่จำเป็นต้องแยกทั้งคู่ออกจากกัน
  • ความขยัน การควบคุมตนเอง และการเอาใจใส่ผู้อื่น คือ 3 คุณลักษณะนิสัยที่ดี ที่สามารถพัฒนาจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญได้
  • ถ้าทำได้ ปลายทางคือ คุณภาพชีวิตที่ดี รายรับ และหน้าที่การงานที่ก้าวหน้า สุขภาพกายใจที่แข็งแรง และความสามารถในการเข้าสังคมด้วย

ปกติแล้ว คุณลักษณะ (character) กับ ความสามารถหรือความเชี่ยวชาญ (capability) มักถูกนำมาเปรียบเทียบเสมอว่าสิ่งไหนสำคัญกว่าในบริบทที่แตกต่างกันไป Business Insider สื่อออนไลน์อังกฤษ เคยทำการสำรวจจนได้ข้อสรุปว่า สำหรับนักการเมืองแล้วคุณลักษณะหรือคุณสมบัติที่ดีมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างคะแนนนิยมมากกว่าความสามารถเสียอีก

แต่สำหรับ Jen Lexmond (เจน เลกซ์มอนด์) และ Richard Reeves (ริชาร์ด รีฟส์) ผู้เขียนหนังสือ Parents are the principal architects of a fairer society… หรือ พ่อแม่คือสถาปนิกคนสำคัญต่อการสร้างสังคมที่เป็นธรรม (มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน) เผยแพร่โดย DEMOS ประเทศอังกฤษ เชื่อว่า เราสามารถสร้างคุณลักษณะนิสัย (ที่ดี) ให้กลายเป็น ความสามารถหรือเป็นความเชี่ยวชาญได้โดยไม่จำเป็นต้องแยกทั้งสองสิ่งออกจากกัน

Character Capabilities คืออะไร?

“character” ที่เลกซ์มอนด์และรีฟส์ กล่าวถึง ไม่ใช่แค่เรื่องบุคลิกภาพที่สื่อสารให้เห็นภายนอก แต่เป็นคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับความดีงามและคุณธรรมจริยธรรม เป็นทักษะการใช้ชีวิตที่เป็นความสามารถส่วนบุคคล (a set of personal capabilities) อย่างที่อริสโตเติล นักปรัชญากรีกโบราณ กล่าวว่า การดำรงอยู่ในความดีเป็นทักษะการใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง (Being good was a skill.)

เมื่อเป็น “ทักษะ” นั่นหมายความว่าเป็นสิ่งที่สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้

สำหรับ “Character Capabilities” หรือ “คุณลักษณะความสามารถ” (ที่สามารถพัฒนาได้) เลกซ์มอนด์และรีฟส์ ให้คำนิยามว่า คือ ส่วนผสมสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์สามารถติดตามและดึงศักยภาพของตัวเองมาใช้ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพตามแบบฉบับที่ตัวเองต้องการได้

เราจะสร้างสังคมที่ทุกคนมองเห็นศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่ได้อย่างไร?

ถึงตรงนี้ลืมเรื่องพรสวรรค์ไปก่อนได้เลย เพราะจากการศึกษาพบว่า คุณลักษณะที่ว่าเป็นทักษะที่สามารถพัฒนาและสร้างได้หากผู้ปกครองมีความรู้ความเข้าใจและให้ความร่วมมือตั้งแต่ต้น

เลกซ์มอนด์และรีฟส์ บอกว่า ผู้ปกครองสามารถเข้ามามีส่วนช่วยดูแลบุตรหลานได้ตั้งแต่แรกเกิด เมื่อโตขึ้นไม่ว่าพื้นฐานครอบครัวจะยากดีมีจนก็ไม่ใช่อุปสรรค

หากผู้ปกครองสามารถสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้อบอวลไปด้วยความรักความอบอุ่น จากการดูแลเอาใจใส่ของคนในครอบครัว รวมทั้งการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีทั้งในบ้าน ที่โรงเรียน และเปิดพื้นที่ให้เด็กอยู่ท่ามกลางสังคมที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ปัจจัยทั้งหมดมีส่วนหล่อหลอมคุณลักษณะของเด็ก และช่วยให้เด็กมองเห็นศักยภาพของตัวเอง

คุณลักษณะนิสัยดีที่สามารถพัฒนาได้มีความสำคัญอย่างไร? ทำไมต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็ก?

ความขยันหมั่นเพียร (application) การควบคุมตนเอง (self-regulation) และ การเอาใจใส่และเข้าใจผู้อื่น (empathy) เป็นคุณลักษณะความสามารถ 3 อย่างที่เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยความสำเร็จและทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิต ที่น่าประหลาดใจกว่านั้น คือ การศึกษาพบว่าคุณลักษณะความสามารถนี้มีผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดี รายรับ และหน้าที่การงานที่ก้าวหน้า สุขภาพกายใจที่แข็งแรง และความสามารถในการเข้าสังคมด้วย

การศึกษานี้ใช้ฐานข้อมูลจาก Millennium Cohort Study (MCS) ที่ได้ทำการวิจัยคุณลักษณะความสามารถของเด็กอายุ 5 ปี โดยใช้แบบสำรวจพฤติกรรมเด็กชื่อว่า Strengths and Difficulties Questionnaire (SDQ) สร้างโดย โรเบิร์ต กู้ดแมน (Robert Goodman) จิตแพทย์ชาวอังกฤษ ประกอบด้วยคำถาม 25 ข้อ เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณลักษณะความสามารถของเด็กครอบคลุมทั้ง 3 ส่วน ได้แก่

หนึ่ง ความขยันหมั่นเพียร (Application)

แอพพลิเคชั่นที่ว่านี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับแอพบนมือถือเลยสักนิดเดียว แต่เป็นคุณลักษณะเกี่ยวกับ “ความขยันหมั่นเพียร” ของบุคคลล้วน ๆ คำนี้ใช้อธิบายถึง ความสามารถในการจดจ่อ ความมีวินัย และความสามารถในการกระตุ้นตัวเองให้มีความมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรามีความสามารถในการควบคุมตัวเอง หรือที่นักจิตวิทยาเรียกว่า Locus of Control (LOC) – “ลักษณะควบคุมตน มุ่งอนาคต” เป็นทัศนคติที่บุคคลหนึ่งมีต่อความสามารถของตัวเองในการควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเองและคนรอบข้าง สิ่งนี้จะเป็นตัวผลักดันหรือหักห้ามให้เราทำหรือไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวัน งาน หรือโปรเจ็คท์ต่างๆ

เกณฑ์การวัด Locus of Control มีขอบเขตตั้งแต่ระดับ internal ถึง external คนที่มี LOC สูง (Internal LOC) มักคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้ายเกิดขึ้นจาก “การกระทำ” ของตัวเอง ส่วนคนที่มี LOC ต่ำ (External LOC) มักคิดว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้ายมี “โชคชะตา” เป็นตัวกำหนด ด้วยเหตุนี้ คนที่มี Internal LOC จะมีความพยายาม มีความขยันหมั่นเพียรมากกว่าคนที่มี External LOC แม้จะมีความสามารถไม่ต่างกันก็ตาม

สอง การควบคุมตนเอง (Self-regulation)

ในงานวิจัยชิ้นนี้ให้ความสำคัญกับ “ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ตนเอง” รวมถึง “ความยืดหยุ่นทางอารมณ์” (emotional resiliency) ที่สะท้อนจากการรับมือกับความผิดหวัง ความขัดแย้ง และความเศร้าหมองจากเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต เด็กที่สามารถจัดการกับภาวะทางอารมณ์เหล่านี้ได้ มีแนวโน้มที่จะเอาชนะอุปสรรคในชีวิตด้วยวิธีเชิงบวกมากกว่าการตอบโต้ การแสดงความโกรธเคือง หรือการใช้ความรุนแรง ความสามารถในการควบคุมตัวเองนี้จะช่วยเราดึงด้านที่ดีที่สุดเข้ามารับมือกับสถานการณ์ย่ำแย่ หรือสถานการณ์ที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นได้

สาม การเอาใจใส่และเข้าใจผู้อื่น (Empathy)

“put yourself in another person’s shoes” เป็นสำนวนเปรียบเทียบถึงความสามารถในการเข้าอกเข้าใจผู้อื่นจากมุมมองของเขาโดยไม่ใช้มุมมองของเราตัดสิน เหมือนเราเป็นตัวเขา กำลังสวมใส่รองเท้าของเขาอยู่

การศึกษา พบว่า การเอาใจใส่และเข้าใจผู้อื่นมีความเชื่อมโยงกับการเลี้ยงดูเด็กในช่วงแรกเกิดถึง 3 ปีแรก เพราะเป็นช่วงเวลาที่ระบบประสาทสมอง (synapse) พัฒนาได้อย่างรวดเร็วถึง 20 เท่า ประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวมีส่วนอย่างมากต่อการสร้างระบบประสาทสมองในช่วงขณะนี้ ยิ่งเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการทำซ้ำยิ่งเปลี่ยนแปลงได้ยาก เพราะฉะนั้นการได้รับความรักความอบอุ่นและการได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ปกครองในช่วงเวลานี้ จะมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคุณลักษณะให้เด็กมีความเอาใจใส่และเข้าใจผู้อื่น ซึ่งจะส่งผลต่อพฤติกรรมทางสังคม (pro-social behavior) ของเด็กเมื่อโตขึ้นต่อไป

คุณลักษณะนี้เป็นความสามารถด้านการจัดการความสัมพันธ์ เป็นทักษะการใช้ชีวิตในสังคมที่จะทำให้คนคนหนึ่งมีปฏิสัมพันธ์และสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในชีวิตประจำวันและที่ทำงาน

คุณลักษณะความสามารถทั้ง 3 ข้อสอดคล้องกับแนวคิดของอริสโตเติล ซึ่งนับว่าเป็นนักคิดคนแรกๆ ที่ให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการแสวงหาความสุขในชีวิตหรือการพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นกว่าเดิม เขาบอกว่า สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข มักเป็นสิ่งเดียวกับสิ่งที่ทำให้เรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเป็นคนดีขึ้น ในบริบทนี้อริสโตเติลหมายถึง การฝึกตัวเองให้เป็นคนที่มีความห่วงใยผู้อื่น สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง และพาตัวเองเข้าไปทำงาน ศึกษาเรียนรู้และไม่หยุดพัฒนาตัวเอง

นอกจากนี้ อริสโตเติล ยังกล่าวว่า การเป็นคนดีสร้างได้จากการมีทัศนคติที่ดีต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ชีวิตโดยเห็นแก่ผู้อื่น เพราะความสำเร็จเกิดขึ้นได้จากการให้

หมายเหตุ:
คำถาม 25 ข้อในแบบประเมิน Strengths and Difficulties Questionnaire (SDQ) แบ่งพฤติกรรมออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ (Conduct Problems), พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity), มีปัญหาทางอารมณ์ (Emotional Problem), พฤติกรรมสัมพันธภาพทางสังคม (Pro-social Behavior) และ ความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อน (Peer-to-Peer Relations)

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัยคาแรกเตอร์(character building)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Creative learning
    เจ้าหญิงคาราเต้: ศิลปะเป็นเรื่องของทุกคน และต้องมีไว้เพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจ

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhoodLearning Theory
    EP.1: THE TWELVE SENSES ปรัชญาการเติบโตของมนุษย์ตั้งแต่ระดับ ‘เซลล์’ และ ‘โซล’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่างบัว คำดี

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

MAGICAL CLASSROOM: ครูทุกคนต่างมีเวทมนตร์ในตัวเอง
Creative learning
16 July 2018

MAGICAL CLASSROOM: ครูทุกคนต่างมีเวทมนตร์ในตัวเอง

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • ครูทุกคนต่างก็มีเวทมนตร์ในตัวเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีหรือลืมไปว่ามี แต่คอร์ส Magical Classroom จะดึงเอาพลังลึกลับเหล่านี้กลับคืนมา
  • ไม่ต้องใช้ทั้งไม้คทาหรือคาถาใดๆ แค่มี สติ ความไว และหัวใจของการเป็นครู ก็พอแล้ว
  • สุดท้าย สิ่งที่เวทมนตร์ของครูจะเสกขึ้นมาได้ คือ ความสุขของนักเรียนและไฟของครูที่กลับคืนมาอย่างร้อนแรง
ภาพ: Ramajitti documentary
(หมายเหตุ : ห้องเรียนเวทมนต์เป็นชื่อเฉพาะของหลักสูตรที่คิดขึ้นจึงใช้คำว่า ‘เวทมนต์’ แทน ‘เวทมนตร์’ ฉะนั้นในบทความนี้จะใช้คำว่า ‘เวทมนต์’ ทั้งหมด)

ไหนจะต้องแบกรับความคาดหวังจากสังคมรอบด้าน ทั้งยังต้องอยู่ร่วมกับระบบการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงไม่แปลกที่ครูดีมีอุดมการณ์จะค่อยๆ ถูกความเครียดจากปัญหาภายนอกกัดกินพลังชีวิต ความเป็นมนุษย์ถูกบั่นทอนจนอ่อนล้าเกินจะยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนได้ต่อไป ส่งผลกระทบไปถึงห้องเรียนและกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนไปอย่างน่าเสียดาย

จึงเป็นที่มาของคอร์ส ห้องเรียนเวทมนต์ หรือ Magical Classroom: meaningful learning หรือ เวทมนต์คาถาในการสร้างการเรียนรู้ที่เปี่ยมความหมาย ภายใต้ ‘โครงการก่อการครู’ โดย ดร.ปวีณา แช่มช้อย คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการละครเพื่อการเรียนรู้และพิธีกรรมศึกษา และ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร วิทยากรและกระบวนกรด้านการศึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านกระบวนการละคร เยาวชน และการเรียนรู้

ทั้งสองบอกกับเราว่า ปัญหาของครูข้างต้นนั้นต้องใช้เวทมนต์แก้!

และเป็นเวทมนต์ที่ครูไม่ต้องแสวงหาจากภายนอก เพียงแค่ย้อนกลับเข้าไปพิจารณาในตัวเองเท่านั้น…

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร และ ดร.ปวีณา แช่มช้อย

Magical Classroom: ชวนครูเข้าห้องเรียนเวทมนต์

“เป้าหมายของเราคือ ทำให้ครูได้กลับไปทำให้ลูกศิษย์มีความสุข จากที่จะหมดไฟอยู่แล้ว ให้สามารถกลับไปสร้างห้องเรียนที่มีความสุขได้ โดยที่ครูมีหัวใจความเป็นมนุษย์มากขึ้น เพื่อที่จะเข้าถึงหัวใจเด็ก และให้ครูมีกำลังใจที่จะเปลี่ยนห้องเรียนมากขึ้น” กิตติรัตน์ หรือ โจ้ เปิดบทสนทนาด้วยเป้าหมายของคอร์ส Magical Classroom: meaningful learning ที่เกิดจากความเชื่อที่ว่า การเรียนรู้จากครูผู้สอนผ่านตำรานั้นไม่ใช่กระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง

แต่กระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง ต้องเกิดจากการเรียนรู้ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ครูไม่เป็นเพียงผู้สอนเนื้อหาวิชา แต่คือผู้อำนวยการที่คอยส่งเสริม เยียวยา หรือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยใช้ความเป็นมนุษย์ในตัวครูนั้นสร้างปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้เรียน ผ่านกระบวนการสอนและการจัดการสิ่งแวดล้อมในห้องเรียน

“เวทมนต์เป็นประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในห้องเรียน และเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่ครู 1 คนกับนักเรียน 1 ชั้น แต่เป็นครู 1 คนกับนักเรียน 1 คน 1 คน 1 คนไปเรื่อยๆ ทั้งชั้น ครูจะเชื่อมโยงกับนักเรียนแต่ละคนทั้งชั้นได้อย่างไร นอกจากนั้นยังมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครูกับพื้นที่ นักเรียนกับพื้นที่ในห้องเรียน ครูจะมองเห็นพลวัตที่เวียนอยู่ในห้องเรียนของตัวเองได้อย่างไร แล้วครูจะปรับเปลี่ยนกระบวนการ วิธีการสอน หรือวิธีการปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนอย่างไรให้ไปตามพลวัตที่เกิดขึ้น” ดร.ปวีณา อธิบาย

ซึ่งครูสามารถทำได้โดยใช้เวทมนตร์

“วิชาเวทมนต์ (Magic) วิชาญาณทัศนะ (Intuition) วิชาตั้งแกน (Grounding) เป็นวิชาที่มีอยู่เดิม สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในตัวครูอยู่แล้ว เราแค่กระตุ้นให้ครูมองเห็น เพื่อคืนเครื่องมือเหล่านี้ให้ครู เราจัดระบบความรู้นี้ให้ชัดเจนเป็นฮาวทู แล้วครูเอาไปใช้ได้จริงๆ เพื่อให้เกิดทางเลือกของกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่ใช่มีแค่ครูสอนผ่านตำรา” โจ้ อธิบาย

Lesson1: ค้นหา ‘เวทมนตร์’ ในตัวครู

ครูทุกคนล้วนมีเวทมนต์ของตัวเอง เพียงแต่ว่าบางคนก็ไม่รู้ว่านั่นคือเวทมนตร์ ขณะที่บางคนอาจหลงลืมเวทมนต์ของตัวเองไป

ดังนั้น ขั้นตอนแรกของคอร์ส Magical Classroom: meaningful learning จึงเป็น การให้ครูกลับเข้าไปเชื่อมโยงกับเวทมนตร์ที่ครูมีอยู่ในตัว ซึ่งเวทมนต์ในที่นี้ไม่ใช่เรื่องเทคนิคการสอน แต่คือคุณภาพหรือตัวตนที่ครูมีอยู่

“ครูแต่ละคนมีเวทมนต์ของตัวเองที่ไม่เหมือนกันนะคะ ครูคนหนึ่งอาจถนัดเรื่องหนึ่ง อีกคนถนัดอีกเรื่อง ความถนัดในที่นี้ไม่ใช่แค่ถนัดในสาขาวิชาที่ตัวเองสอนเท่านั้น แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์กับผู้เรียน ครูแต่ละคนมีเวทมนต์ที่ใช้ในการจัดการความสัมพันธ์ในห้องเรียนต่างกัน บางคนขี้เล่น ยืดหยุ่น บางคนมีระเบียบวินัย บางคนมีความเมตตา หรือบางคนมีความมั่นคง ทีนี้จะทำอย่างไรให้ครูสามารถกลับมาดูคุณภาพของตัวเองได้ว่าตัวเองมีเวทมนตร์อะไร เพื่อที่ว่าเขาจะได้ต่อยอดเวทมนต์นั้นให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น รวมถึงดูว่าตัวเองยังขาดเวทมนต์อะไรอยู่ แล้วจะดึงเวทมนต์ที่พร่องให้ขึ้นมาอยู่ในระดับที่จะช่วยนักเรียนในห้องเรียนได้ไหม” ดร.ปวีณา กล่าว

โดยครูสามารถค้นหาเวทมนต์ของตัวเองได้ง่ายๆ ผ่านคำถาม 4 ข้อ คือ

1.เพราะอะไรจึงมาเป็นครู?

2.พันธสัญญาในการเป็นครูคืออะไร?

3.อะไรที่ทำให้ยังเป็นครูอยู่? อะไรคือไฟที่คอยหล่อเลี้ยง?

4.อะไรคือจุดเด่นที่มีอยู่ในตัวเมื่อทำแล้วสามารถเปลี่ยนเด็กได้จริง?

“จริงๆ แล้วการค้นพบเวทมนต์คือ การให้ครูกลับไปสำรวจตัวตนข้างในของตัวเองว่า ที่เขามีมันคืออะไร เช่น จริงใจจริงจัง โอบอุ้มดูแล เข้าใจความรู้สึก จุดประกายท้าทายความสามารถ สร้างความเชื่อมั่นให้กล้าหาญ เป็นต้น เมื่อครูตระหนักรู้และประจักษ์ชัดในเวทมนตร์ของตัวเอง จะทำให้ครูมีพลังในการส่งต่อเวทมนต์ที่ครูมีให้กับลูกศิษย์ได้ชัดเจนขึ้น จะเป็นพลังที่จุดประกายการเปลี่ยนแปลงในห้องเรียนได้” กิตติรัตน์ อธิบายไปยิ้มไป

Lesson 2.1: สร้างความมั่นคงและดึงสติให้อยู่ในห้องเรียน

แน่นอนว่าการต้องสอนและปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนหลายสิบชีวิต ไม่ใช่เรื่องง่าย ภาวะเหนื่อยล้าหรือเครียดขึ้งขณะสอน จึงเป็นสภาวะหนึ่งที่ครูต้องประสบบ่อยครั้ง

“โจทย์คือ เมื่อใดก็ตามที่ครูรู้สึกอ่อนไหวในห้องเรียน ครูจะจัดการตัวเองอย่างไรเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบไปสู่ผู้เรียน หรือจะจัดการกับผู้เรียนที่มีความอ่อนไหวในเชิงความเป็นมนุษย์อย่างไรโดยที่ทั้งครูและผู้เรียนไม่รู้สึกบาดเจ็บ เราจึงต้องมีการจัดการกับความมั่นคงภายในของครู เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างครูกับนักเรียนขึ้น จากการที่ครูมีความมั่นคงเพียงพอ ครูอยู่กับนักเรียนจริงๆ ในห้องเรียน” ดร.ปวีณา บอกเล่าถึงโจทย์ปัญหา ที่นำมาสู่เรื่องการสร้างความมั่นคงภายในให้แก่ครูด้วยวิธีการตั้งแกน

“การตั้งแกนคือ การดึงสติให้ดำรงอยู่กับปัจจุบัน เพราะหลายครั้งที่ร่างกายครูอยู่ในห้องเรียน แต่ใจไปอยู่กับอดีตหรืออนาคต ไม่ได้อยู่กับผู้เรียนจริงๆ เราก็เลยชวนครูกลับเข้ามาสำรวจตัวตนของตัวเอง สำรวจวิธีการที่ทำให้ตัวเองเกิดความมั่นคงภายใน เพื่อที่เขาจะได้อยู่ในห้องเรียนจริงๆ ณ ที่นั่น ณ ขณะนั้นกับผู้เรียนของเขา เช่น การภาวนาสติรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน การรับพลังงานจากธรรมชาติ กอดต้นไม้” ดร.ปวีณา ขยายความ

Lesson 2.2: ฝึกทุกประสาทสัมผัสให้ ‘ไว’ ต่อเด็ก

เพราะในห้องเรียนนั้นมีพลวัตเกิดขึ้นตลอดเวลา การตั้งแกนเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอที่จะทำให้ครูเท่าทันถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และปรับเปลี่ยนกระบวนการเพื่อหนุนเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนได้

การทำให้ประสาทสัมผัสอยู่ในสภาวะเปิดรับต่อความเปลี่ยนแปลง จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ครูควรฝึกฝน เพื่อให้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงในห้องเรียนนั้นๆ ได้

“ญาณทัศนะเป็นเรื่องของความไวของครูเวลาอยู่ในห้องเรียน คือความช่างสังเกตของครูในการเห็นสิ่งที่ผิดปกติ หรือแม้กระทั่งเห็นสิ่งที่ปกติ หรือสิ่งที่ดีงามในตัวเด็ก หรือเห็นการร้องขอความช่วยเหลือที่มาจากนักเรียน เราช่วยครูขัดเกลาความสามารถในการจับพลังงานต่างๆ ในห้องเรียน ให้ครูสามารถอ่านพลวัตที่เกิดขึ้นในห้องเรียน อ่านพลังกลุ่ม สามารถอ่านผู้เรียนได้ว่า ณ ขณะนี้ครูควรจะปรับการเรียนการสอนของตัวเองอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับสภาวะของผู้เรียนในขณะนั้น”

แล้วญาณทัศนะที่แท้คืออะไร?

“แปลตามตัวคือ การรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่มาในระดับพลังงานครับ เป็นเหมือนปัญญาญาณหยั่งรู้ที่มีทั้งรูปรสกลิ่นเสียงความรู้สึกสัมผัสและภาพ เป็นการเชื่อมโยงกับปัญญาญาณระดับสูงเพื่อที่ครูจะใช้ในการมองเห็นเด็ก แล้วรู้ว่าจะช่วยเหลือการเรียนรู้ของเด็กคนนี้อย่างไร เพราะบางเรื่องนั้นต้องใช้การเข้าใจเด็กในระดับสูงมากว่า ตัวตนของเด็กเป็นอย่างไร อะไรคือความรู้สึก อะไรคือความต้องการของเขา การฝึกญาณทัศนะจะช่วยให้ครูสัมผัสได้ถึงตัวตนของเด็กในระดับสูงและลึก ว่าเด็กคนนี้ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร” โจ้อธิบาย ก่อนจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

“ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่มาด้วยความกลัว ถ้าเราสัมผัสได้ว่าเด็กคนนี้เขารู้สึกกลัวมาก เขาก็จะแช่แข็งตัวเองอยู่กับความกลัว และปิดกั้นการเรียนรู้ของตัวเองไปเลย ไม่ว่าวิชาอะไรเข้ามาก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ แต่ถ้าครูอ่านพลังงานความกลัวของเด็กได้ แล้ววาระการเปลี่ยนของเขาคือการลุกขึ้นมาเป็นคนที่กล้าที่จะพูด ที่จะคิด ที่จะค้นคว้า ครูก็สามารถช่วยให้เขาปลดปล่อยศักยภาพความกล้าออกมา แล้วพลังของความกล้าก็จะนำพาเขาไปสู่การเรียนรู้ต่างๆ อีกมากมาย นั่นคือการทำงานในระดับของจิต ซึ่งมันมีพลังมากกว่าการให้วิชาความรู้เสียอีก เพราะเรากำลังให้เครื่องมือหรืออาวุธที่มีศักยภาพมาก นั่นคือ พลังการเรียนรู้ของเด็กเอง” โจ้ อธิบายต่อ

ญาณทัศนะจะช่วยให้ครู ‘ไว’ ต่อเด็ก แต่ก่อนที่ครูจะใช้ประโยชน์จากความไวของตัวเองได้นั้น ครูต้องเท่าทันความไวของตัวเองก่อน ญาณทัศนะจึงต้องมาคู่กับการตั้งแกน ถ้าครูสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองได้ เท่าทันใจของตัวเอง ก็จะเท่าทันและเข้าใจโลกของเด็ก

อย่างไรก็ตาม ญาณทัศนะนั้นเป็นเรื่องของการรับรู้สภาวะโดยไม่ตัดสินและใช้ปัญญาในการใคร่ครวญด้วยเหตุและผล ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการฝึกฝน

“เพราะจริงๆ แล้วญาณทัศนะมีติดตัวมนุษย์ทุกคนมาตั้งแต่เกิด แต่ปัจจัยที่ตัดญาณทัศนะออกไปจากมนุษย์ก็คือการศึกษาที่มีสิ่งที่เรียกว่าถูก-ผิด มีสิ่งที่เรียกว่าชั่งตวงวัดสัมผัสได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ การศึกษาบอกว่าคุณอย่าไปเชื่อเรื่องนั้น! เด็กมีเรื่องญาณทัศนะมาตั้งแต่เกิด แต่พอ 7 ขวบเข้าโรงเรียนก็ถูกตัดทันที” โจ้ กล่าวพลางหัวเราะ

ก่อนที่ ดร.ปวีณา จะเสริมว่า

“การศึกษามันแยกกายกับจิตออกจากกันค่ะ อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องของความคิดหรือ subjective คือผิด ทุกอย่างควรจะ objective ทุกอย่างควรมีเหตุมีผลมีตรรกะ ส่วนเรื่องของความคิด ความเห็น หรือแม้กระทั่งความรู้สึก มันถูกตัดออก นี่เป็นมิติที่ขาดหายไป”

Lesson 3: สร้างพื้นที่การเรียนรู้ด้วยเวทมนตร์และศิลปะ

เพราะเรื่องของเวทมนต์คือการบริหารความสัมพันธ์ต่างๆ ภายในห้องเรียน เมื่อครูสามารถค้นพบเวทมนต์ของตัวเองและรู้จักที่จะใช้ ได้ฝึกความมั่นคงภายใน และญาณทัศนะแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ การจัดกระบวนการหรือพื้นที่การเรียนรู้ ซึ่งเป็นเรื่องของพิธีกรรมทางการศึกษา

“พิธีกรรมในที่นี้คือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในห้องเรียนให้นักเรียน ปกติครูคือเจ้าของพื้นที่ คือเจ้าของห้องเรียน แต่จะทำอย่างไรให้นักเรียนรู้สึกว่าตัวเองก็มีพลังที่จะเรียนรู้ ไม่ได้มีแค่ครูที่มีพลังอยู่คนเดียว”

ดร.ปวีณา ยิ้มก่อนกล่าวต่อไปว่า

“ประเด็นอยู่ที่ว่า ครูในฐานะเจ้าของพื้นที่จะจัดกระบวนการหรือจัดพื้นที่ในห้องเรียนอย่างไร ให้ผู้เรียนรู้สึกปลอดภัยและมีพลังที่จะเรียนรู้มากที่สุด พื้นที่ปลอดภัยคือพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ แต่ก็ต้องไม่ปลอดภัยมาก ต้องเป็นพื้นที่ที่อันตรายพอเหมาะ คืออยู่ตรงกลางระหว่างปลอดภัยกับอันตราย ปลอดภัยเพียงพอที่ผู้เรียนจะกล้าคิดกล้าลอง แต่ต้องไม่ปลอดภัยถึงขนาดไม่อยากเรียนรู้อะไรใหม่ พื้นที่การเรียนรู้ที่ดีควรจะท้าทายให้นักเรียนอยากลอง อยากเอาชนะ อยากแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้ยากหรืออันตรายจนไม่อยากทำ ครูจะจัดสมดุลตรงนี้อย่างไรซึ่งพิธีกรรมช่วยได้ค่ะ”

การสร้างพิธีกรรมในห้องเรียนมีเป้าหมายอยู่ที่การช่วยให้ผู้เรียนเปลี่ยนผ่านจากไม่รู้ไปสู่รู้ได้อย่างราบรื่น โดยทำให้พื้นที่ในห้องเรียนเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ครูกับนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์และเรียนรู้ไปด้วยกัน ซึ่งพิธีกรรมที่ครูจะสร้างขึ้นนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นพิธีกรรมทางศาสนา อาจเป็นเพียงพิธีกรรมเล็กๆ เช่น การไปยืนรอรับนักเรียนที่หน้าประตูห้องเรียน เพื่อเป็นการบอกว่า เมื่อนักเรียนก้าวเข้ามาแล้ว เขาจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรียนนี้ ขณะที่ตรงระเบียงคืออีกพื้นที่หนึ่ง

“ในคอร์สนี้เรากำลังจะจุดไฟแห่งการเรียนรู้ เราก็จัดโต๊ะแห่งความศักดิ์สิทธิ์ นำดอกไม้ ใบไม้ ก้อนหิน ขนนก สิ่งของจากธรรมชาติเข้ามาในห้อง มีจุดไฟ จุดเทียน ใช้แสง จัดบรรยากาศให้เหมาะกับการผ่อนคลายและเปิดใจเรียนรู้ของผู้เรียน เราอาจจะตั้งวงสนทนาเพื่อสะท้อนความรู้สึกยามเช้าก่อนที่จะเรียนรู้ร่วมกัน หรือมากไปกว่านั้นเป็นการสร้างพื้นที่การพูดคุยที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ได้ทบทวนตัวเอง ได้ตั้งเป้าหมายชีวิต ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในแต่ละปีๆ ว่าอะไรที่ต้องการจะเลิก อะไรที่ตั้งใจจะทำ ซึ่งเป็นวาระของการเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เขาตระหนักรู้ในตัว สร้างตัวตนในตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้นผ่านพิธีกรรมง่ายๆ ที่ครูออกแบบขึ้น เพราะพิธีกรรมคือการให้ความหมายที่มันมีผลต่อจิตวิญญาณโดยตรง” โจ้ ยกตัวอย่างเสริม

ก่อนที่ ดร.ปวีณา จะทิ้งท้ายในประเด็นเรื่องพิธีกรรมว่า “มันเป็นเรื่องของการกระทำกับสัญลักษณ์ที่มีความหมาย ซึ่งครูจะใช้ศิลปะหรือเวทมนต์ของตัวเองอย่างไรเพื่อสร้างพิธีกรรมในห้องเรียน ก็แล้วแต่ครู เราเพียงช่วยให้ครูเข้าใจหลักการพื้นฐานของพิธีกรรม ว่ามันสามารถเสริมอำนาจให้ผู้เรียนได้ มันสามารถเชื่อมโยงทำให้การเรียนรู้เปี่ยมไปด้วยความหมายได้ และเราก็หวังว่า ครูจะออกแบบพิธีกรรมที่สร้างสรรค์และสนุกสนานให้กับผู้เรียนได้ ภายใต้โจทย์ที่ว่าความหมายของพิธีกรรมนั้นต้องเชื่อมโยงกับคนที่เข้าร่วมพิธีกรรม เพราะไม่อย่างนั้นพิธีกรรมก็กลายเป็นสิ่งไร้ความหมาย”

จุดไฟการเรียนรู้ เพื่อทุกคนเป็นสุข

เพราะครูทุกคนต่างมีเวทมนต์อยู่ในตัวเอง เมื่อครูมองเห็น ตระหนักรู้ และมีแนวทางในการนำเวทมนต์ของตนไปใช้พัฒนาห้องเรียนและผู้เรียนบนฐานของความเป็นมนุษย์ สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมไม่ใช่เพียงตัวครูเองที่ได้ไฟและความสุขในฐานะครูกลับคืนมา แต่ความสุขของครูย่อมส่งต่อไปถึงผู้เรียนที่เป็นอนาคตของชาติ ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นสุข และเกิดการพัฒนาตนเองต่อไปอย่างยั่งยืน

“เราดีใจที่ช่วยให้ครูมีความสุขมากขึ้น ได้คืนสัญชาตญาณและจิตวิญญาณความเป็นครู ค้นพบตัวตนที่แท้จริง ให้ครูเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง แล้วกลับไปเปลี่ยนห้องเรียน ไปจุดประกาย ส่งต่อกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นหัวใจความเป็นมนุษย์ให้เพื่อนครู นั่นคือระบบนิเวศที่เราคาดหวัง เราไม่ได้หวังที่จะให้ครูไปเปลี่ยนทั้งโรงเรียนนะ (ยิ้ม) อย่างน้อยครูไปเปลี่ยนห้องเรียนตัวเอง แล้วด้วยสายตาแบบใหม่ที่ครูมีต่อเด็ก เด็กจะเป็นฝ่ายเติมพลังให้ครู และครูจะมีไฟในห้องเรียนเอง” คุณกิตติรัตน์ เผย

“เราติดอาวุธให้ครู ช่วยให้ครูแข็งแรงขึ้น ครูไปเปลี่ยนห้องเรียน ถ้าห้องเรียนเปลี่ยนแล้ว ครูคนอื่นๆ ก็น่าจะแอบเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และรู้สึกอยากจะเปลี่ยนด้วย แล้วก็ช่วยจุดไฟต่อกันไปเรื่อยๆ และมากกว่านั้นคือ ถ้าครูทุกคนสามารถขัดเกลาเวทมนตร์ตัวเองให้แข็งแรง แล้วสามารถส่งต่อให้เด็กได้ เด็กคนหนึ่งเจอครูหลายคน เขาก็รับเอาเวทมนต์นั้นอย่างละนิดอย่างละหน่อยเข้ามาอยู่ในตัว รับมาเป็นพลังงานที่สามารถนำไปสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมในอนาคตได้” ดร.ปวีณา ทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

Tags:

ครูโคชเทคนิคการสอนก่อการครูคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์กิตติรัตน์ ปลื้มจิตรดร.ปวีณา แช่มช้อย

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Unique Teacher
    “เรารักนักเรียนนะ แต่เราแสดงออกไม่เป็น” เปลือยชีวิตที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดราวบทหนังสือของครูเฮง

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘ก่อการครู’ เปลี่ยนห้องเรียนด้วยการ ‘ฟังอย่างลึกซึ้ง’ และ ‘ตั้งคำถามไม่รู้จบ’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

เพราะอะไรจึงไม่ควรส่งเด็กไปเรียนหนังสือก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
EF (executive function)
16 July 2018

เพราะอะไรจึงไม่ควรส่งเด็กไปเรียนหนังสือก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

ภาพประกอบ : วาทิตยา บุพศิริ

บ้านเรานิยมส่งเด็กไปโรงเรียนตั้งแต่อายุ 3 ขวบเพื่อเข้าเตรียมอนุบาล ในขณะที่ต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ยุโรปส่งเด็กไปเรียนหนังสือจริงๆ เมื่ออายุ 7 ขวบ

สมัยก่อนเวลาเด็กไม่ยอมไปโรงเรียน ดังที่เรียกว่าโรคกลัวโรงเรียน (school phobia หรือ school refusal) แพทย์จะวินิจฉัยเมื่ออายุ 7 ขวบ ต่อมาเราพบว่าเด็กมิได้กลัวโรงเรียนจริงๆ เหตุที่เด็กร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียนและพรากจากคุณแม่ได้ยากที่หน้าบริเวณโรงเรียนนั้นเป็นเพราะพัฒนาการเรื่องแม่และสายสัมพันธ์ไม่เรียบร้อย จึงเปลี่ยนชื่อโรคกลัวโรงเรียนเป็นความผิดปกติของการพลัดพราก (separation anxiety disorder)

วันนี้แทบทุกบ้านส่งลูกไปโรงเรียนตั้งแต่อายุ 3 ขวบ โดยที่กระบวนการสมัครเรียน สอบเข้า และสอบสัมภาษณ์เริ่มต้นตั้งแต่ก่อน 3 ขวบ อันเป็นวันเวลาที่กระบวนการสร้างแม่-สายสัมพันธ์-ตัวตน (mother-attachment-self) ยังไม่เรียบร้อยเลย ดังนั้นเด็กทุกคนควรจะกลัวโรงเรียน เราจึงพบอุบัติการณ์ของเด็กกลัวโรงเรียนมากมายเต็มไปหมดทั้งประเทศ

เมื่อเด็กอายุ 3 ขวบร้องไห้ไม่ไปโรงเรียน เริ่มตั้งแต่ร้องไห้ตอนเช้า ตามด้วยร้องไห้ในรถ ร้องไห้ที่หน้าโรงเรียน เมื่อกลับบ้านมีพฤติกรรมถดถอย (regression) อะไรที่เคยทำได้ถอยกลับไปทำไม่ได้ เช่น เคยบอกเข้าห้องน้ำได้กลับปัสสาวะราดอุจจาระราด เคยเชื่อฟังกลับกลายเป็นไม่เชื่อฟัง หรืองอแง กรีดร้อง ดื้อรั้นมากกว่าเดิม

หลายบ้านไม่มีทางเลือกด้วยสาเหตุที่พบบ่อยคือ หนึ่ง ไม่มีคนเลี้ยงลูก สอง กลัวว่าลูกเรียนไม่ทันคนอื่น สาม ปู่ย่าตายายและญาติพี่น้องกดดันให้ไป สี่ กลัวลูกไม่มีสังคม (ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่มีเหตุผล) พ่อแม่หลายบ้านจึงเลยตามเลย ในที่สุดเด็กก็ไปโรงเรียนสำเร็จจนได้ด้วยอาการสงบ แต่ที่ทุกคนไม่ทราบคือเราได้จ่ายอะไรไปบ้างแล้ว ความเสียหายต่อพัฒนาการทางจิตใจและสมองมีมากมายเพียงไร

เด็กหลายคนไม่แสดงอาการว่ากลัวโรงเรียน สามารถไปโรงเรียนโดยปกติสุขตั้งแต่แรก เด็กหลายคนอาจจะร้องไห้ตอนเช้าครั้นพลัดพรากจากแม่ที่หน้าโรงเรียนสำเร็จก็สามารถอยู่ในห้องได้ เล่นกับเพื่อนได้ หัวเราะได้ ก่อนที่จะเริ่มต้นงอแงใหม่เมื่อถึงบ้าน เด็กเหล่านี้มิได้เป็นปกติสุขโดยไม่มีราคาต้องจ่ายเช่นเดียวกัน แม้ว่าความเสียหายต่อจิตใจนั้นอาจจะไม่เห็นเด่นชัดเท่ากลุ่มแรกแต่ความเสียหายต่อสมองนั้นมีแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียโอกาสที่จะพัฒนาสมองและระบบประสาทส่วนกลางไปในทางที่ถูกที่ควรและเป็นประโยชน์ต่ออนาคตมากกว่า

คำว่าการไปโรงเรียนในที่นี้หมายถึงไปเรียนหนังสือ ได้แก่ อ่าน เขียน เรียนเลข กล่าวคืออ่านหนังสือออก เขียนหนังสือได้ และบวกลบเลขได้หลายหลักรวมทั้งคูณหารเลขได้ด้วย เด็กที่ทำได้เช่นนี้ก่อน 7 ขวบดูเหมือนเป็นเรื่องน่ายินดี มีความสามารถ และได้รับการชมเชยว่าเรียนเก่ง อย่างไรก็ตามวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่รู้แล้วว่าความสามารถ 3 ประการนี้เป็นเพียงความสามารถฉาบฉวย ความเก่งที่มีเป็นเพียงเรื่องผิวเผิน

งานวิจัยระยะยาวจากหลากหลายประเทศชี้ให้เห็นว่าเด็กจำนวนมากที่เข้าเรียนเร็วเกินไปมีผลการเรียนที่ลดลงเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและมีอนาคตหลังจบการศึกษาไม่ดีนักเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่เข้าเรียนช้ากว่า (จะกล่าวถึงงานวิจัยเหล่านี้ในตอนต่อๆ ไป)

อันที่จริงในยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น รวมทั้งฟินแลนด์และอีกหลายประเทศในยุโรป พ่อแม่ก็ส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาลหรือศูนย์เด็กเล็กตั้งแต่ 3-4 ขวบ ที่เร็วกว่านี้ก็มีด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีคนเลี้ยง อย่างไรก็ตามรัฐส่งเสริมให้พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยตนเองมากกว่าที่จะส่งไปโรงเรียน และโรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็กสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปีนี้ก็ไม่มีการเรียนการสอน ครูหรือพี่เลี้ยงเด็กมักมีจำนวนพอเพียง อัตราส่วนของครูหรือพี่เลี้ยงต่อเด็กไม่สูง และมีความรู้ทางจิตวิทยาพัฒนาการพอสมควร รู้อย่างแท้จริงว่าเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่เร็วช้าต่างกันจึงไม่เปรียบเทียบเด็กให้ได้ยินว่าใครไปเร็วกว่าใครและไม่ตีตราเด็กที่ช้ากว่า ครูให้โอกาสเด็กได้เล่นและพัฒนาตนเอง (self) ตามจังหวะก้าวของตนเอง

นอกเหนือจากเด็กไปโรงเรียนจะไม่มีการเรียนหนังสือแล้ว เด็กยังได้โอกาสที่จะเล่นมากมายตามความชอบและความถนัดซึ่งมีความสำคัญยิ่งยวดต่อพัฒนาการทั้งทางด้านจิตใจและสมอง

บ้านเรามักอ้างว่าเด็กไม่ไปโรงเรียนจะไม่มีสังคม แต่ที่จริงแล้วเด็กทุกคนยังอยู่ในขั้นตอนเห็นตนเองเป็นศูนย์กลาง (self-centered หรือ egocentricism)

กล่าวคือตนเองเป็นหนึ่งเดียวและเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เด็กจึงยังไม่แบ่งปันพอๆ กับไม่ขออนุญาตเวลาจะทำอะไร อยากได้ของเล่นของเพื่อนก็แย่ง ยามเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้เด็กมักถูกตีตราว่าก้าวร้าวหรือเห็นแก่ตัว ทั้งที่หากครูพอมีความรู้อยู่บ้างจะให้โอกาสเด็กได้เล่นบนพื้นที่ของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องตีตราว่าเด็กคนไหนเป็นอะไรแล้วรอเวลาที่เด็กจะพัฒนาตนเองโดยค่อยๆ ลดความเป็นศูนย์กลางของตนเองลง พัฒนาการทางสังคมจึงจะติดตามมาด้วยความละมุนละม่อม มิได้ต้องเคี่ยวเข็ญบังคับแต่อย่างใด ทั้งนี้ยังไม่นับว่าความสามารถที่จะทำตามกติกานั้นเริ่มต้นที่บ้าน มิใช่เริ่มต้นที่โรงเรียนหรือสังคม

เด็กที่ไปเรียนหนังสือเร็ว อ่าน เขียน เรียนเลขได้เร็ว เป็นเด็กเสียโอกาส คือเสียโอกาสที่จะเล่นและพัฒนาจิตใจและสมองตามที่ควรจะเป็น

โอกาสที่ 1 คือเด็กมิได้รับพัฒนาการเพื่อเตรียมความพร้อมระหว่างอายุ 3-7 ขวบตามทฤษฎีพัฒนาการของเพียเจต์อย่างพอเพียง แต่ถูกกดดันให้ข้ามไปอ่าน เขียน เรียนเลขในทันทีโดยที่ฐานของความพร้อมตามธรรมชาติยังไม่แน่น

โอกาสที่ 2 คือเด็กมิได้รับการพัฒนาการใช้นิ้วมือทั้งสิบตามหลักการพัฒนา Executive Function (EF) อย่างพอเพียง แต่ถูกกดดันให้ใช้นิ้วมือที่ถนัดเพียง 3 นิ้วในการเขียนหนังสือและเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการท่องจำหรือถูกบังคับให้ทำข้อสอบที่ใช้การท่องจำมากกว่าการคิดวิเคราะห์

หรือคิดวิเคราะห์ให้ได้คำตอบตามที่ข้อสอบเฉลยเท่านั้น มิให้คิดเป็นอื่น

ยังมีต่อ

Tags:

EFประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์พัฒนาการโรงเรียนปฐมวัย

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติ ความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    เพราะอะไรจึงไม่ควรเรียนหนังสืออย่างจริงจังก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel