Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: April 2018

ถ้าอยากสำเร็จต้องมี PASSION แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า PASSION อย่างเดียวไม่พอ
Adolescent BrainBook
27 April 2018

ถ้าอยากสำเร็จต้องมี PASSION แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า PASSION อย่างเดียวไม่พอ

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • หนังสือเล่มนี้ตอบคำถามว่า ทำไมเด็กแต่ละวัยจึงมีพฤติกรรมแตกต่าง ภายใต้เงื่อนไขของการพัฒนาสมองที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่ทารก วัยรุ่น ไปจนถึงเด็กที่มีความผิดปกติทางพฤติกรรม
  • จากประโยคที่ว่า “หากอยากประสบความสำเร็จ ต้องตามหา passion ให้เจอ” แต่กลับไม่มีใครบอกเลยว่า ความหลงใหลที่ว่า ต้องมาพร้อม ‘ความอดทน มานะ พยายาม ไม่ท้อถอย’ ด้วยจึงจะสำเร็จ
  • การเลี้ยงลูกให้ยิ่งใหญ่จึงไม่ใช่แค่การพัฒนาสมองให้มีความรู้ แต่ต้องเป็นสมองที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ได้รับการฝึกฝนจนมีความอดทนและเชื่อในความพยายาม

ถ้าจะมีลูกสักคน จะเลี้ยงลูกให้ได้ดีได้อย่างไร ในสภาพสังคมเช่นทุกวันนี้?

เป็นคำถามที่ไม่จำกัดวงการอยู่แค่คู่ที่ผ่านการแต่งงาน เตรียมจะแต่งงาน หรือวางแผน/อยากจะมีลูก แม้แต่ ‘คี่‘ ที่ครองความโสดอย่างเหนียวแน่นก็ยังอาจย้อนถามตัวเองอยู่บ่อยๆ

เลี้ยงลูกยิ่งใหญ่ เป็นหนังสือที่ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ถอดความและตีความมาจากหนังสือ Raise Great Kids: How to Help Them Thrive in School And Life ซึ่งเป็นหนังสือชุดรวบรวมบทความน่าสนใจจากนิตยสาร Scientific American Mind

เนื้อหาในเล่มนำผลงานวิจัยสมัยใหม่ด้านการทำงานของสมอง และจิตวิทยาการเรียนรู้ มาอธิบายหักล้างความเชื่อเดิมบางอย่าง พร้อมยืนยันแนวทางใหม่ที่จะช่วยพัฒนาสมองของเด็กอย่างรอบด้าน ไม่เฉพาะเพียงความรู้ แต่รวมถึงทักษะชีวิต ทักษะวิชาชีพ และทักษะการควบคุมตนเอง ให้มีความรู้สึกนึกคิดที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญต่อการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21

ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ อยู่ที่ ความหลากหลาย เป็นหนังสือที่เหมาะกับคนทุกเพศวัยไม่เฉพาะแค่พ่อแม่ เนื่องจากแก่นสาระของเนื้อหาทำให้ผู้อ่านเข้าใจธรรมชาติของสมองที่พัฒนาขึ้นในแต่ละช่วงวัยภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกัน ตั้งแต่วัยทารก ในบทที่ 1 ซึ่งนำเสนอมุมมองใหม่ว่าเด็กทารกเป็นเหมือนนักคิดนักวิทยาศาสตร์ที่รับรู้ได้มากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด

เนื่องจากมีความยืดหยุ่นของสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) เอื้อต่อการเรียนรู้ วิธีเลี้ยงเด็กที่มีความผิดปกติทางพฤติกรรม เช่น เรื่องของเด็กออทิสติก, เด็กใบ้เฉพาะกิจที่ช่างคุยกับพ่อแม่แต่ไม่ยอมพูดเมื่อไปโรงเรียน ไปจนถึงเรื่องของวัยรุ่น เช่น การฝึกทักษะสมองและการปรับตัวท่ามกลางภาวะที่ต้องการการยอมรับจากตัวเอง เพื่อน และพ่อแม่ แล้วทิ้งท้ายด้วยแนวทางพัฒนาสมองซึ่งสอดคล้องกับสภาพสังคมยุคปัจจุบันที่มีทั้งเทคโนโลยีและชุดความรู้ใหม่ๆ เช่น เรื่อง Growth Mindset เป็นต้น ด้านหนึ่งทำให้พ่อแม่และครูเข้าใจเด็กจากมุมมองที่เขาเป็น เข้าใจบทบาทตนเองในการปูพื้นฐานให้เด็กเป็นคนสมองดี โดยไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงการโดนบีบคั้น หรือโดนบังคับจนเกินไป

อีกทั้งยังทำให้ตระหนักได้ว่า พฤติกรรมของคนรอบตัว รวมทั้งสภาพแวดล้อมรอบตัวส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของเด็กโดยตรง ยกตัวอย่างบทหนึ่งเรื่องการหย่าร้างจะมีผลร้ายต่อเด็กหรือไม่? งานวิจัยสะท้อนข้อมูลในมุมกลับ สรุปได้ว่าการหย่าร้างอาจมีผลร้ายต่อเด็กในช่วงแรก แต่ส่วนใหญ่แล้วในระยะยาวเด็กจากครอบครัวหย่าร้างจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ปรับตัวได้ดี หากหลังการหย่าร้างพ่อแม่สามารถยุติความขัดแย้งลงได้ ทั้งนี้ สิ่งที่น่ากังวลและส่งผลกระทบโดยตรงมากกว่ากลับเป็นบทบาทของพ่อ ที่นำเสนอในบทต่อมาว่า นักวิจัยมีข้อมูลที่ผ่านการทดสอบแล้วว่า เด็กผู้หญิงที่ขาดพ่อจะมีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ เนื่องจากปมจิตใต้สำนึกที่คิดว่าผู้ชายอยู่ไม่นานจึงต้องการมีความสัมพันธ์อย่างรีบเร่ง ความเข้าใจต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้กล่าวขึ้นมาลอยๆ แต่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองประกอบอย่างชัดเจน เป็นงานวิจัยที่ผ่านการสำรวจและทดลองมาแล้วด้วยวิธีการและวิทยาการสมัยใหม่ อีกด้านหนึ่งหากเด็กได้อ่าน เขาจะเข้าใจตัวเอง คนรอบข้างและคนที่อบรมเลี้ยงดูเขามากขึ้นด้วย

หนังสือเล่มนี้จึงเป็น ‘ตัวเชื่อมความสัมพันธ์’ ที่ช่วยเชื่อมต่อเด็กและผู้ใหญ่เข้าหากัน มากกว่าแค่ตำราเลี้ยงลูกทั่วๆ ไป

อีกมุมหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เหมือนเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ทำให้ผู้ปกครองใจชื้นและมั่นใจขึ้นมาได้เปลาะหนึ่งว่า “สมองที่ดีของลูกสร้างได้” เพราะสมองดีไม่ได้มาจากพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการเลี้ยงดูปูพื้นฐานสมองอย่างถูกต้อง รวมทั้งการฝึกพัฒนาทักษะต่างๆ อย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง แน่นอนว่าเด็กแต่ละคนเติบโตขึ้นมาบนต้นทุนหรือพื้นฐานครอบครัวที่แตกต่างกันออกไป แต่ผลลัพธ์จากงานวิจัยทางสมองสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่วัยเยาว์ช่วยกระตุ้นพัฒนาการทำให้เด็ก “สมองดี” ในด้านที่เขาถนัดได้

สิ่งนี้เชื่อมโยงมาสู่เรื่อง ความหลงใหล หรือที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางว่า passion ในหนังสือใช้คำว่า “พลังความชอบระดับหลงใหล” ปรากฏการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในสังคมข้อมูลที่ขาดวิ่น และไม่เคยมองชีวิตอย่างรอบด้าน

ท่ามกลางกระแสสังคมที่ประโคมบอกว่า “หากอยากประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างรวดเร็วต้องตามหา passion ให้เจอ”

แต่ไม่มีใครบอกเลยว่า ความหลงใหลที่ว่า ต้องมาพร้อม “ความอดทนมานะพยายามไม่ท้อถอย” (perseverance) ด้วยจึงจะสำเร็จ

ความมุมานะ (grit) ที่ประกอบด้วย พลังความชอบระดับหลงใหล (passion) และ ความอดทนมานะพยายามไม่ท้อถอย (perseverance) ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จระยะยาวในชีวิต แล้วความหลงใหลที่ว่าก็ไม่ใช่แค่เรื่องพรสวรรค์ที่ฟ้าลิขิต แต่เราค้นพบและสร้างมันขึ้นมาได้จากการลงมือทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเองซ้ำๆ อย่างมีคุณภาพและมากพอ ประสบการณ์จะเป็นตัวช่วยคัดกรองสิ่งที่เราให้คุณค่า ซึ่งตรงกับความเชื่อและพลังภายในของตัวเอง (intrinsic motivation)

ทั้งหมดเชื่อมโยงวงจรกลับมาสู่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่จะช่วยสนับสนุนให้เด็กพัฒนาสมองอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นอย่างครบมิติ การเลี้ยงลูกให้ยิ่งใหญ่จึงไม่ใช่แค่การพัฒนาสมองให้มีความรู้ แต่ต้องเป็นสมองที่มีความสามารถในการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นสมองที่ได้รับการฝึกฝนจนมีความอดทนและเชื่อในความพยายาม หรือที่เรียกว่ามี กระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset) เป็นสมองที่ไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเอง แต่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้โดยปราศจากอุปสรรค

Tags:

พ่อแม่หนังสือGritAdolescent Brainศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    รักที่จะรัก: เมื่อลูกๆ มีความรัก พ่อแม่จะทำอย่างไรดี?

    เรื่อง The Potential

เรื่องนอนเรื่องใหญ่: นอนไม่พอ สมองพัฒนาช้า แถมอารมณ์เสียง่าย!
Adolescent Brain
24 April 2018

เรื่องนอนเรื่องใหญ่: นอนไม่พอ สมองพัฒนาช้า แถมอารมณ์เสียง่าย!

เรื่องและภาพ วิภาวี เธียรลีลา

  • การอดนอนหรือนอนไม่พอในเด็กและวัยรุ่น ส่งผลต่อการเรียนรู้ ระบบภูมิคุ้มกัน สุขภาพของหัวใจ ระบบย่อยอาหาร ผิวพรรณ อารมณ์  และความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง
  • การนอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมีผลให้อารมณ์ดีกว่า เสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าน้อยกว่า
  • เด็กควรนอน 8-10 ชั่วโมง/คืน ถ้าไม่รวมเวลางีบในรถหรือยามว่าง เด็กๆ ได้นอนครบรอบ กี่ชั่วโมงกัน?!

จริงไหมที่คนส่วนใหญ่ต้องตื่นเช้า ไม่ใช่เพราะไม่อยากนอนต่อ แต่เพราะต้องตื่นไปทำงานหรือไปเรียน!

โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนที่ต้องตื่นเช้ากว่าคนวัยทำงานด้วยซ้ำ ยิ่งนักเรียนในเมืองใหญ่ที่ใช้รถเป็นโต๊ะกินข้าว แล้วยังต้องฝ่ารถติดไปเรียน

การต้องตื่นก่อนเวลาอันควร และการนอนไม่หลับ เป็นการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอเรื้อรังดีๆ นี่เอง งานวิจัยทางสมองยืนยันว่า การนอนไม่เพียงพอส่งผลเสียต่อกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการทางสมอง โดยเฉพาะถ้าอยู่ในช่วงวัยเด็กจนถึงวัยรุ่น เพราะปัญหาเรื่องการนอนสร้างความกังวลและอาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้า แถมยังกระทบต่อกลไกทางอารมณ์ในสมองที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตเภทในระยะยาว

เอ๊ะ ชักน่ากลัว เพราะเป็นผลกระทบที่ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่ค่อยๆ สะสมไปพร้อมกับการเติบโตของอายุ และสมอง

การบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘การนอนหลับและความเสี่ยงทางอารมณ์ในเด็ก’ (Sleep and Emotional Risk in Children) โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์คารา เอ พาลเมอร์ (Cara A. Palmer) จากคณะจิตวิทยา (Department of Psychology) มหาวิทยาลัยฮุสตัน (University of Houston) จัดโดยคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการเพิ่มพูนและจุดประกายความรู้ทางจิตวิทยาพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น ได้แชร์ประสบการณ์ไว้อย่างน่าสนใจว่า…

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ในช่วงไม่เกิน 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ช่วยให้นักวิจัยสามารถค้นหาความลับในสมองมนุษย์ได้แม่นยำขึ้น และมีหลักฐานเชิงสถิติการันตีความถูกต้องนั้น

พาลเมอร์บอกว่า ชั่วโมงการนอนของลูกเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องคำนึงถึง งานวิจัยจากศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Center for Disease Control) ปี 2016 ระบุว่า การนอนหลับไม่เพียงพอเป็นสาเหตุของการเกิดโรค ยังไม่พอ ยังมีงานวิจัยที่พบว่าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูให้มีพฤติกรรมการนอนที่ดี จะมีสภาวะอารมณ์ในเชิงบวกมากกว่า และมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าในวัยผู้ใหญ่ต่ำกว่าเด็กที่ถูกจำกัดการนอน

แต่ถึงอย่างนั้น สภาพความเป็นอยู่ในสังคมปัจจุบันที่คล้ายกันทั่วโลก ทำให้เรื่องการนอนเป็นปัญหา เพราะเด็กและเยาวชนกำลังเผชิญหน้ากับภาวะ “ชั่วโมงนอนไม่เพียงพอ”

ถ้าอย่างนั้น เด็กและเยาวชนควรใช้เวลาเท่าไรใน 24 ชั่วโมงเพื่อการนอน? คำตอบคือ 8-10 ชั่วโมงต่อคืน

หลับไม่พอ ตื่นขึ้นมาแล้วอารมณ์ไม่ดีจริงหรือ?

พาลเมอร์ ใช้เวลาเก็บข้อมูลและทดลองกว่า 2 ปี เพื่อหาคำตอบว่า จำนวนชั่วโมงของการนอนหลับส่งผลต่อสภาพอารมณ์ของเด็กเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจริงหรือไม่?

ทดลองสุ่มตัวอย่างนักเรียน 55 คน ช่วงอายุ 5-11 ปี การเก็บข้อมูลแต่ละครั้งใช้เวลาราว 2 อาทิตย์ เริ่มจากบันทึกพื้นฐานทางสรีรวิทยาบนใบหน้าของเด็กก่อน แล้วกำหนดไทม์ไลน์การนอนให้เด็กได้นอนเต็มอิ่มทุกคืน คืนละ 10 ชั่วโมง เป็นเวลา 1 อาทิตย์ แล้วประเมินผลทางอารมณ์ครั้งที่ 1 หลังจากนั้นอาทิตย์ต่อไปปรับชั่วโมงการนอนให้เหลือ 8-10 ชั่วโมง 7 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง ตามลำดับ แล้วจึงประเมินผลทางอารมณ์อีกครั้ง

การประเมินมีทั้งส่วนที่ให้เด็กประเมินอารมณ์ตัวเอง (self-reported reactivity) พร้อมๆ กับใช้โปรแกรมวิเคราะห์เข้ามาจับการเคลื่อนไหวบนใบหน้าของแต่ละคน การวิเคราะห์ตัวเองใช้วิธีให้เด็กกากบาทเลือกสีหน้าของตัวการ์ตูนบนกระดาษที่ตรงกับอารมณ์ของตัวเองมากที่สุดในขณะนั้น ส่วนการทำงานของโปรแกรมจะวัดตำแหน่งการยกของกล้ามเนื้อบนใบหน้า

เช่น การเคลื่อนไหวของใบหน้าขณะกำลังยิ้ม แสดงถึงภาวะอารมณ์เชิงบวก หรือ การเคลื่อนไหวของใบหน้าเวลาตกใจกลัว โกรธ เศร้า หรือทำหน้าขยะแขยง แสดงถึงภาวะอารมณ์ในเชิงลบ การวิเคราะห์จะรายงานออกมาเป็น ผลกระทบเชิงบวก (Positive Affect: PA) ผลกระทบเชิงลบ (Negative Affect: NA) และระดับความกังวล (State Anxiety: STAI-C) โดยทั้งสองวิธีจะประเมินขณะให้เด็กดูภาพหรือวิดีโอที่สื่ออารมณ์ทั้งเชิงบวกและเชิงลบหลังจากตื่นนอน

ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า การนอนไม่เพียงพอส่งผลต่อสภาพอารมณ์ของเด็กเมื่อตื่นขึ้น ทำให้อารมณ์เชิงบวก เช่น ความสดใส ร่าเริงของเด็กลดลง และมีความกังวลมากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์ เห็นได้จากท่าทีฉุนเฉียว การนิ่งเฉยหรือการแสดงสีหน้าไม่พอใจหากไม่สบอารมณ์กับอะไรบางอย่าง (จากการทดลองคือเมื่อเห็นภาพหรือวิดีโอเชิงลบ) สิ่งที่เด็กแสดงออกนี้ คือพฤติกรรมเสี่ยง เพราะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์คับขันในชีวิตจริง เด็กอาจตกอยู่ในภาวะที่มีความหุนหันพลันแล่นจนคิดทำอะไรได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ยิ่งกว่านั้น พาลเมอร์ บอกว่า การอดนอนหรือนอนไม่พอในวัยเด็กและวัยรุ่น ส่งผลต่อการสร้างระบบการทำงานของร่างกายและสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น

  • ลดความสามารถในการเรียนรู้ (cognitive function) ลองนึกถึงสภาพเวลานอนไม่พอแล้วตื่นขึ้นมารู้สึกงัวเงีย มึนเบลอ ไม่มีสมาธิเพราะสมองไม่เปิดรับ
  • ลดประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน (immune system)
  • สุขภาพของหัวใจ (heart health) ระบบย่อยอาหาร (appetite and metabolism)
  • ความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง (cancer risk) ทำให้ป่วยเป็นโรคได้ง่าย
  • ผิวพรรณ (skin)

เรียกว่า กระทบระบบการทำงานของร่างกายตั้งแต่ภายในยันภายนอก รู้แบบนี้แล้วใครว่าเรื่องนอนเป็นเรื่องเล่นๆ เป็นแค่การพักผ่อนชิลๆ คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ให้เรื่องนอนเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องจริงจังให้มากขึ้น

เมื่อถามถึงวิธีการแก้ปัญหา พาลเมอร์ ให้คำตอบที่ง่ายที่สุดแต่เหมือนกำปั้นทุบดินมากที่สุดเช่นกัน ก็คือ “นอนให้มากขึ้น”

ส่วนจะทำได้แค่ไหน ท่ามกลางวิถีชีวิตและค่านิยมเรื่องการเรียนในปัจจุบัน ถือว่าเป็นโจทย์ปัญหาใหญ่ที่ผู้ปกครองและระบบสังคมต้องช่วยกันแก้ ขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่ของไทยทุกวันนี้ ไม่เพียงแค่ต้องตื่นเช้า แต่ใช้เวลากว่า 2 ใน 3 อยู่ในห้องเรียนทั้งในโรงเรียนและสถาบันกวดวิชาตั้งแต่วัยอนุบาล

แล้วจะดีไหมนะ ถ้าแบ่งเวลามานอนให้มากขึ้น!

Tags:

ซึมเศร้าโรงเรียนปฐมวัยAdolescent Brainพัฒนาการทางอารมณ์

Author & Photographer:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Movie
    Kids Konference : ประชุมกลุ่มวัยอนุบาล เปิดให้คุยตั้งแต่ทำไมฝนตกถึงความตาย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Learning Theory
    WILLING, FEELING, THINKING คือพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่วัย 0-21 ปี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    เปลี่ยนการเรียนรู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับสมองให้เป็นทีมเดียวกับวัยรุ่น ครูทำได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

รวมวิธีอยู่กับวัยรุ่นโดยไม่ต้องงัดข้อ: ฉบับสุขภาพจิตผู้ใหญ่ดี สุขภาพสมองวัยรุ่นแข็งแรง
Adolescent Brain
19 April 2018

รวมวิธีอยู่กับวัยรุ่นโดยไม่ต้องงัดข้อ: ฉบับสุขภาพจิตผู้ใหญ่ดี สุขภาพสมองวัยรุ่นแข็งแรง

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ขณะที่สมองของวัยรุ่นกำลังเติบโตและสร้างระบบเชื่อมโยงไปยังส่วนต่างๆ ตามหน้าที่ พวกเขาต้องการพื้นที่และโอกาสในการแสดงออก ทั้งนี้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและแสดงให้ผู้อื่นเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองกระทำ เมื่อเป็นเช่นนี้หากผู้ใหญ่ปิดกั้นไม่ให้วัยรุ่นได้แสดงออกในทางสร้างสรรค์ สมองจะหยุดการพัฒนาลงอย่างช้าๆ

“Fire together they wire together.” หลักการนี้เชื่อว่า หากมีการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน สมองจะสร้างเครือข่ายประสาทเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งถือเป็นการสร้างพัฒนาการทางสมองอีกทางหนึ่ง แน่นอนว่าการฝึกฝนสมองด้วยการปลูกฝังความคิดความเชื่อที่ดีตั้งแต่อยู่ในช่วงวัยรุ่นนั้น ง่ายกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนการคิดเชิงบวก (positive thinking) แนวคิดเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หรือแม้แต่การออกกำลังกาย

ทั้งนี้ จากการทดลองยังพบว่าระหว่างที่สมองของวัยรุ่นกำลังพัฒนาอยู่นั้น

  • เขามักชื่นชอบกิจกรรมที่มีความเสี่ยงและโลดโผน
  • เขาแสดงออกทางอารมณ์อย่างชัดเจนและรุนแรง
  • เขามักตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น

อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองสามารถเข้ามาช่วยกระตุ้นพฤติกรรมและเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองเชิงบวกของวัยรุ่นในช่วงเวลานี้ได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • ปล่อยให้เล่น: ปล่อยให้เด็กทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงตามความเหมาะสม: ประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตช่วยให้เด็กพัฒนาตัวเองได้อย่างมีอิสระ เติบโตได้อย่างเข้าใจตนเอง จนสามารถค้นพบสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง
  • เป็นพี่เลี้ยงชวนเด็กค้นหาพื้นที่แสดงความคิดสร้างสรรค์และระบายความรู้สึกของตนเอง: จากการสำรวจพบว่า ดนตรี กีฬา การเขียน และการทำงานศิลปะ เป็นช่องทางระบายความรู้สึกที่ดี
  • เป็นเพื่อนคู่คิดในการตัดสินใจ: ชวนพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยศักยภาพของเด็กเอง ชั่งน้ำหนักระหว่างผลลัพธ์ในเชิงบวกและเชิงลบที่จะเกิดขึ้น ที่สำคัญต้องให้เด็กมีส่วนร่วมคิด แล้วตัดสินใจด้วยตนเอง โดยผู้ใหญ่ทำหน้าที่เป็นเพียงพี่เลี้ยงคอยตั้งคำถามให้เด็กคิด
  • สอนทักษะการใช้ชีวิตผ่านกิจวัตรประจำวัน ทั้งในครอบครัวและในโรงเรียน
  • ข้อตกลงที่ชัดเจน: หลายคนคิดว่า วัยรุ่นไม่ต้องการให้ใครมากำหนดกรอบในการใช้ชีวิต แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่าการให้คำแนะนำและการสร้างข้อตกลงที่ชัดเจนระหว่างเด็กและผู้ปกครองว่าสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ เพราะอะไร แล้วเคารพพื้นที่ของกันและกัน
  • อย่าลืมให้คำชื่นชมและให้รางวัลตามความเหมาะสมเมื่อเด็กทำสิ่งที่ดี เพื่อกระตุ้นให้สมองรับรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ
  • เป็นตัวอย่าง: ผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างในการแสดงพฤติกรรมเชิงบวกให้กับเด็ก
  • เข้าถึงง่าย: ผู้ใหญ่ต้องทำตัวให้เด็กรู้สึกว่าเข้าถึงง่าย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ ทำให้เด็กเปิดใจยอมรับและไม่ปิดบังตัวเองจากผู้ใหญ่
  • ให้ความรู้เรื่องพัฒนาการสมอง: พูดคุยให้ความรู้บุตรหลานเกี่ยวกับพัฒนาการทางสมอง เพื่อให้เด็กเห็นความสำคัญในการดูแลตัวเอง และสนใจเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง

จากการวิจัยพบว่า พันธุกรรม ความเป็นปัจเจกจากการเลี้ยงดู รวมถึงสภาพแวดล้อม ล้วนมีผลต่อพัฒนาการทางสมอง ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่กับวัยรุ่นถือเป็นสภาพแวดล้อมที่ใกล้ชิดมากที่สุด บุคคลเหล่านี้จึงมีความสำคัญมากต่อการสร้างพัฒนาการทางสมองที่ดีของวัยรุ่น

ข้อควรจดจำ

  • สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย: สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการสนับสนุนและช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยความรักและความเอาใจใส่เป็นสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่น สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้สมองมีพัฒนาการที่ดี
  • ผู้ใหญ่ที่ไม่ทอดทิ้ง: ผู้ใหญ่ที่พูดคุยและมีความใกล้ชิดกับเด็กในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโตมีบทบาทสำคัญต่อการช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองของเด็กขณะก้าวขึ้นมาเป็นวัยรุ่นได้
  • สายตา: การคาดการณ์เรื่องอารมณ์เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อพูดคุยกับวัยรุ่น ด้านแรก สายตาที่วัยรุ่นมองผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ต้องมองให้ออกว่าวัยรุ่นกำลังประเมินว่าผู้ใหญ่อยู่ในภาวะอารมณ์ใดขณะสื่อสารกับตน ด้านที่สอง สายตาของผู้ใหญ่ที่มองวัยรุ่น ผู้ใหญ่ต้องคาดเดาภาวะอารมณ์ของวัยรุ่นในแต่ละช่วงขณะให้ได้ นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ควรมีส่วนช่วยแนะนำให้วัยรุ่นพิจารณาสภาพอารมณ์ของตนเองได้อย่างถูกต้อง
  • ความเชื่อมั่น: วัยรุ่นต้องการความเชื่อมั่นและกำลังใจจากผู้ใหญ่
  • รางวัล: วัยรุ่นตอบสนองต่อการได้รับรางวัลมากกว่าการลงโทษ
  • ความชัดเจน: วัยรุ่นต้องการความชัดเจนในการกำหนดขอบเขตว่าสิ่งใดที่ตนทำได้หรือทำไม่ได้ โดยผู้ใหญ่จะต้องเคารพในข้อตกลงที่วางร่วมกัน
  • ความเคารพ: วัยรุ่นต้องการให้ผู้ใหญ่เคารพความสามารถและศักยภาพของพวกเขา และอนุญาตให้พวกเขาเติบโตได้อย่างอิสระ

ส่วนหนึ่งจากบทความ: สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

ที่มา:
Adolescent Brain Development
Brain development: teenagers

Tags:

Adolescent Brainพ่อแม่วัยรุ่น

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Character building
    คาแรกเตอร์สำคัญ 24 ข้อ: เป้าหมายการศึกษาสากลและคุณภาพชีวิตคนรุ่นใหม่

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

“เขาให้เราทำงานแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ”: กิจกรรมปลูกความมุมานะ
Grit
18 April 2018

“เขาให้เราทำงานแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ”: กิจกรรมปลูกความมุมานะ

เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • เด็กหนุ่มคนนี้คิดว่ากิจกรรมนอกบ้านสนุกกว่าเวลาที่ใช้ไปกับเกมและหน้าจอมือถือ
  • กิจกรรมที่ว่ากลายมาเป็นวิชาชีวิตที่ทำให้เขาหลงใหล และเปลี่ยนไปจากเด็กวันๆ เอาแต่นอนอยู่บ้าน กลายเป็นเด็กช่างค้นคว้าวิจัย ทำอะไรอย่างมีระบบ และกลายเป็นผู้นำ
  • เคล็ดลับมีอยู่คำเดียวคือ G R I T

นิก-ธเนศ สร้อยทอง ก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่ใช้เวลาอยู่หน้าจอมือถือ มากกว่ากิจกรรมอื่นๆ ในชีวิต โลกส่วนตัวจึงสูงปรี๊ด วันๆ ไม่ค่อยอยากออกไปไหน

แต่เมื่อนิกได้ลองก้าวเท้าออกนอกบ้านผ่านการชักชวนของคนใกล้ตัว สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงนิกไปมากมาย และเปลี่ยนไปในทางดีเสียด้วย

จากเด็กอยู่บ้านสู่เด็กกิจกรรม

นิกเป็นหนึ่งในเยาวชนที่ทำโครงการ ‘พาน้องศึกษาและเรียนรู้ประโยชน์จากทรัพยากรในท้องถิ่นสู่การขยายผลกับคนในชุมชนสหกรณ์เคหสถานเจริญมั่งมีมั่นคง จำกัด’ กลุ่ม P.N.D. ภายใต้ โครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก

จากการชักชวนของ พี่แอล-วีรวรรณ ดวงแข หนึ่งในแกนนำเยาวชน และน้าแมว-นิภา บัวจันทร์ นักวิจัยท้องถิ่นและพี่เลี้ยงโครงการ นิกจึงได้มาทำงานกับกลุ่มเยาวชน P.N.D  มีโอกาสช่วยทำงานกิจกรรมในชุมชน แล้วเกิดชอบและสนุกขึ้นมา เพราะอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว

“เมื่อก่อนผมอยู่บ้านแม่ นอนอยู่บ้านก็ไม่ค่อยทำอะไร อาบน้ำล้างหน้าก็เดินเล่นอยู่ในบ้าน แรกๆ นอนอยู่บ้าน พี่แมวโทรมาเย็นนี้มาหาหน่อย แรกๆ ก็ออกมาเรื่อยๆ นานๆ ครั้ง แล้วก็เริ่มบ่อยขึ้นๆ ตอนแรกไม่คิดอะไร เขาให้มาก็มา แต่ไปเรื่อยๆ พอทำๆ ไป ไปกับเขาบ่อยๆ มันเริ่มชอบกระบวนการในการทำกิจกรรมฝึกอบรม เหมือนมันฝึกเราหลายๆ อย่าง ทั้งการคิดเป็นระบบ เป็นเหตุเป็นผล เจอผู้ใหญ่ต้องทำยังไง วางตัวยังไง

“พอเราออกไปข้างนอกเราก็จะได้เจอสังคมที่กว้างขึ้น ตั้งแต่เพื่อนรุ่นเดียวกัน รุ่นน้องรุ่นพี่ ผู้ใหญ่ทำงานแล้วนั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน จะรู้ว่าวัยนี้เป็นแบบนี้ ความคิดประมาณนี้ ทำให้เรามีเพื่อนหลายๆ วัยเป็นเรื่องสนุก

“พอเราอยู่คนเดียวเราก็รู้แค่โลกของเรา ไม่ออกไปดูสังคมว่าเป็นยังไง เขาทำอะไรกันบ้าง ถ้าอยู่กับบ้านเฉยๆ ก็เหมือนปิดกั้นตัวเอง มีโอกาสแต่ไม่รับโอกาส ปล่อยให้มันผ่านไป”

วิชาชีวิตจากกิจกรรม

ในการทำกิจกรรมต่างๆ นั้นต้องใช้เวลาและใช้พลังงานเยอะมาก บางครั้งจำเป็นต้องไปค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมกว่าจะผลิตงานได้สักชิ้น นิกเล่ากระบวนการทำงานให้ฟังว่าเมื่อได้รับโจทย์งานผลิตสื่อ เขาเริ่มจากการค้นคว้าเพิ่มเติมโดยการเสิร์ชหาจากอินเทอร์เน็ต ถามครู เจออะไรใหม่ๆ ก็นำมาคุยกัน สนุกกับการได้แลกเปลี่ยนเพิ่มเติม แล้วแบ่งงานกันทำ

“ผมใช้ After Effect (โปรแกรมตัดต่อวิดีโอ) พี่แอลวางโครงเรื่องเขียนบทวางภาพ ทำโปรแกรมอิลลัส (Illustrator) ตามโครงที่พี่วางไว้ ก็สนุกดี นอนดึกบ้างไม่ได้นอนบ้าง” เมื่อถามว่าไม่ได้นอนขนาดไหน นิกตอบว่า “ช่วงหนักที่สุดทำงานตั้งแต่ 5 โมงเช้า เสร็จอีกที 5 โมงเย็นอีกวันไม่นอน ยาวยันเช้า เช้าก็มีงานต่อ ไม่ได้นอน”

แม้ตัวขั้นตอนการทำงานอาจดูเหมือนยากเพราะต้องไปค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมมากมาย แต่นิกไม่ได้คิดว่ายาก แต่รู้สึกอยากทำและมองว่าเป็นความท้าทายมากกว่า นอกจากนี้ยังต้องทำให้เสร็จทันด้วยเพราะรับปากไว้แล้ว

“เวลาจะทำสื่อสักชิ้นเราต้องมาหาข้อมูลมาก่อน ต้องมีข้อมูลแล้วเราต้องอ่านรู้เรื่อง กลั่นกรอง ได้ฝึกคิดว่าอันนี้สำคัญ แล้วก็แปลข้อความเป็นภาพ จะสื่อมันออกมายังไง ฝึกคิดจินตนาการ ท้าทายด้วย เรามองแบบนี้คนอื่นจะมองแบบเราไหม เข้าใจแบบเราไหม มันยากด้วย คือเราทำไปก็ไม่รู้ว่าเข้าใจเหมือนเราไหม เขาอาจคิดตีความไปอีกแบบ”

“รู้สึกต้องทำให้เสร็จ งานมันต้องใช้ เป็นหน้าที่ของเราด้วย เขาให้เราทำแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ และมันเป็นสิ่งที่ต้องใช้งาน”

หัวหน้าที่ชื่อนิก

จากเด็กเก็บตัวเงียบๆ นิกกลายเป็นคนที่กล้าคิดกล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น ครูเห็นศักยภาพในตัวนิกก็ไว้ใจให้ช่วยทำงานในโรงเรียน นอกจากนี้นิกยังผันตัวเองเป็นหัวหน้าห้องและเป็นประธานนักเรียนในโรงเรียนตอนมัธยมต้นอีกด้วย

และเมื่อก้าวเข้าสู่รั้ววิทยาลัย ปัจจุบันนิกกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสงคราม สาขาเทคนิคคอมพิวเตอร์

นิกก็ไม่พ้นหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องอีกเช่นเคย โดยเริ่มต้นจากการช่วยสะสางงานในห้องเรียน

“เกือบตกกิจกรรมยกห้องเพราะ (หัวหน้าคนเก่า) ไม่ตามเอกสาร ผมก็ตามเองเลย เพราะถ้าไม่จัดการตกแน่ ก็ไปตามกับเพื่อนอีกคนสองคน วันนั้นเลิกเรียนเก้าโมงเช้า มีแต่โฮมรูม ได้กลับบ้านสี่โมงเย็น เพราะตามเอกสารที่หัวหน้าค้างไว้

การเป็นหัวหน้าห้องในช่วงแรกของนิกไม่ได้สะดวกสบายนัก เพราะต้องจัดการธุระต่างๆ มากมายเพียงลำพังจนเหนื่อย นิกจึงเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ตัวเองเหนื่อยน้อยลงด้วยการแบ่งงานให้เพื่อนทำบ้าง

“หลังๆ ก็ค่อยออกมาทีละนิด จากจัดการให้ทุกอย่างก็ขยับมาจัดการทีละนิด ก็ค่อยๆ ออก ว่ากูไม่ว่าง ให้ทำไปเดี๋ยวกูช่วย ค่อยๆ ถอยออกมาจากรับงานเต็มๆ ให้เพื่อนช่วยจัดการตัวเอง ให้มึงลองทำก่อนบอกว่าทำไม่ได้ มันก็นั่งทำกันมา”

การผ่านงานกิจกรรมมาแล้วทำให้นิกมีมุมมองที่แตกต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด เช่นการไม่ยอมโดดเรียนตามเพื่อน และช่วงหลังๆ ยังคอยช่วยดึงเพื่อนๆ ไม่ให้โดดเรียนอีกด้วย

“บางอย่างเรามองอย่างแต่เพื่อนมองอีกอย่าง อย่างในวิทยาลัย เพื่อนชวนโดดเรียน แล้วเป็นคาบเรียนสำคัญด้วยถ้ามีสอบก็หักคะแนนสองเด้ง ตอนแรกไปก็ไป แต่พอเห็นว่างานนี้สองคะแนน ไม่เอาก็ได้ แต่สองคะแนนยังไม่เอาเลย ถ้าอาจารย์ให้สองคะแนนไปเรื่อยๆ งานต่อไปไม่ทำก็ไม่มีคะแนน ก็ประกาศผลจากคะแนนเก็บเต็ม 60 ก็ 9 16 เห็นมั้ยกูบอกมึงแล้ว”

“ตอนแรกๆ ก็ช่างมันปล่อยมัน แต่หลังๆ คนไหนที่ผมพอจะชวนดึงไว้ได้ก็ดึง ไว้ผมทนไม่ไหวก็บอกให้ไปหา ผอ. ลาออกไปเลย เรียนก็เรียนกะเขา ไม่เรียนเงินเดือนเขาก็ไม่ได้ลด เขาก็ยิ่งสบายไม่ต้องปวดหัวกับเรา ก็พูดกับมันอย่างนั้น เพื่อนๆ เลยเรียกผมว่าไอ้พระ ชอบเทศน์”

“ที่ไม่โดดเรียนเพราะไม่อยากเสียเวลา ตกก็แค่ซ่อมแต่เสียเวลา ลำบากตอนนี้ดีกว่าไปลำบากตอนหน้า”

เคล็ดลับที่เรียกว่า Grit

ฟังเรื่องราวของนิกแล้ว สิ่งที่ทำให้นิกแตกต่างจากคนอื่นคือ ความมุมานะ (grit) ซึ่งหมายถึงความมุมานะต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายยิ่งใหญ่ในระยะยาวที่ประกอบด้วยพลังความชอบระดับหลงใหล (passion) กับความอดทนมานะพยายามไม่ท้อถอย (perseverance) โดยพลังของ grit นั้นการฝึกฝนเฉยๆ ไม่เพียงพอ แต่ต้องเป็นคุณภาพการฝึกฝนที่ถูกต้อง ได้แก่

  • มีเป้าหมายที่ยากแต่ชัดเจน
  • ฝึกอย่างมีสมาธิและพยายามเต็มที่
  • มี feedback ทันทีอย่างมีข้อมูลหลักฐาน
  • ฝึกซ้ำโดยมีการไตร่ตรองสะท้อนคิดและหาทางปรับปรุง

การมีพื้นที่ให้ grit ออกกำลังคือการส่งเสริมให้ฝึกฝนเรียนรู้สิ่งที่ยาก ต้องพยายามและมานะอดทน อย่างเช่นการทำกิจกรรมโครงการที่เป็นการเรียนรู้แบบ Project-based Learning  เหมือนกับนิกที่เรียนรู้วิธีต่างๆ ในการผลิตสื่อ และทำชิ้นงานออกมาจนสำเร็จลุล่วง รวมไปถึงการติดต่อสื่อสารพูดคุยกับคนอื่นๆ เพื่อหาประสบการณ์และฟีดแบ็ค

ที่สำคัญ นิกค้นพบความชอบของตนเองจากการทำกิจกรรม และผลจากการทำกิจกรรมนี้ก็ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อนิกเข้าสู่การเรียนในชั้นปีที่สูงขึ้นคือรู้จักคิดและไตร่ตรองในระยะยาว ยอมอดทนไม่โดดเรียนและทำงานหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น อนาคตนิกบอกว่าอยากทำงานด้านสื่อ และตั้งใจว่าจะต้องเรียนจบชั้น ปวช.3 ให้ได้

Tags:

วัยรุ่นactive citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)Grit

Author:

illustrator

ขวัญชนก พีระปกรณ์

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?
Adolescent Brain
18 April 2018

ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ห้องเรียนไม่ใช่แค่ห้องสี่เหลี่ยม ให้เด็กๆ เดินเข้าไปนั่งฟังครูสอน-อ่านตาม แล้วบอกว่านี่คือห้องเรียน
  • ในยุคดิจิทัลที่ความรู้หานอกห้องได้ง่ายกว่า แถมสนุกกว่าด้วย แล้วห้องเรียนจะอยู่อย่างไร
  • เมื่อความรู้หาได้ง่ายขึ้น สมองก็ไม่ถูกใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ – ห้องเรียนจะเข้ามาอุดรอยรั่วตรงนี้ นี่คือเหตุผลของการมีห้องเรียน
  • การเรียนที่ไม่ใช่แค่การท่องจำในตำรา แต่เอาการเรียนรู้เชิงอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยให้สมองเปิดรับการเรียนรู้ได้ดี

ที่ผ่านมาระบบการศึกษามุ่งเน้นการสอนทฤษฎีตามตำรา เพื่อผลิตบัณฑิตเข้าสู่ระบบการทำงาน แต่ในโลกยุคดิจิทัลบทเรียนในตำราแทบเป็นเรื่องล้าหลัง เมื่อเทียบกับข้อมูลข่าวสารที่หาได้อย่างง่ายดายผ่านอินเทอร์เน็ต แต่ในขณะเดียวกันความง่ายดายที่เกิดขึ้นกลับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้  ‘เรา’ ใช้สมองได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

เมื่อการเรียนในห้องเรียนไม่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย แล้วทำอย่างไรให้การเรียนรู้ในห้องเรียนเป็นมากกว่าการท่องจำเพื่อคะแนนสอบ ที่สำคัญ เป็นการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาสมองของผู้เรียนควบคู่กันไปด้วย

ครู และระบบการเรียนการสอนในสถานศึกษาเป็นกุญแจสำคัญ

“สมองจะเริ่มกระบวนการคัดกรองในทันทีเพื่อจำแนกว่าข้อมูลใดเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อความสนใจ และข้อมูลใดไม่มีความเกี่ยวข้องและสามารถขจัดทิ้งไปได้”

คำกล่าวข้างต้นจาก บทความชื่อ ‘The Brain Compatable Curriculum’ เขียนโดย แอนน์ เวสวอเตอร์ (Anne Westwater) และ แพท วอล์ฟ (Pat Wolfe) นักวิจัยทางสมอง ตีพิมพ์ในนิตยสารวิชาการการศึกษาในสหรัฐอเมริกา Educational Leadership ปี 2000 แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการพัฒนาการสมองและความสนใจของผู้เรียนในแต่ละช่วงวัย

เนื่องจากสมองมนุษย์ไม่สามารถจดจำข้อมูลทั้งหมดที่เรียนในครั้งเดียวได้ แต่มีความสามารถในการคัดกรองข้อมูล โดยสมองจะทำหน้าที่ตัดสินว่าข้อมูลใดเป็นข้อมูลที่ควรรู้หรือข้อมูลใดสามารถกำจัดออกไปได้ ด้วยเหตุนี้การทำให้การเรียนการสอนมีความหมายน่าจดจำจึงเป็นสิ่งสำคัญ งานวิจัยพบว่า

การเรียนการสอนที่ไม่ใช่แค่การท่องจำในตำรา แต่ผนวกเอาการเรียนรู้เชิงอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะช่วยให้สมองเปิดรับการเรียนรู้ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ผ่านการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงหรือสร้างความตื่นเต้น การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่ต้องทำภายใต้เวลาจำกัดหรือให้ความสนุกสนาน หรือแม้แต่เรื่องราวที่สร้างความสะเทือนใจก็ยังสามารถสร้างการเรียนรู้ที่น่าจดจำสำหรับสมองได้

ทั้งนี้ หากอารมณ์ที่สร้างขึ้นเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียนรู้ อารมณ์จะช่วยกระตุ้นให้มีการหลั่งสารเคมีในสมองทำให้สมองเปิดรับการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าอารมณ์มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนสิ่งที่มนุษย์ทำในชีวิตประจำวัน เรามีแรงขับที่จะทำในสิ่งที่อยากทำ (passion) หรือแม้แต่กรณีที่เราทำความสะอาดที่อยู่อาศัยเพราะทนกับความสกปรกรกรุงรังไม่ได้ พฤติกรรมเหล่านี้มีส่วนเชื่อมโยงกับอารมณ์ก่อนทั้งสิ้น

เอริค เจนเซน (Eric Jensen) นักวิชาการศึกษาชาวอเมริกันที่คลุกคลีกับการทดลองวิจัยการเรียนรู้ของเด็กในชั้นเรียนมากว่า 20 ปี กล่าวว่า

หากครูสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางอารมณ์ลักษณะดังกล่าวมาสร้างการเรียนรู้แก่นักเรียนได้ นักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีกว่าการบอกหรือออกคำสั่งให้ลงมือทำ

เพราะอารมณ์จะช่วยเรียกความทรงจำที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียนรู้ขึ้นมาได้เป็นอย่างดี ยิ่งอารมณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมีความเข้มข้นมากเท่าไร สิ่งที่เรียนรู้ก็จะมีความชัดเจนและสร้างความเข้าใจแก่ตัวผู้เรียนมากขึ้นเท่านั้น

เจนเซนให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า การเปิดพื้นที่ให้นักเรียนแลกเปลี่ยน ถกเถียงในประเด็นขัดแย้งต่างๆ ในห้องเรียนเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา ผ่านการเขียน การอภิปราย และการสะท้อนวิธีคิด เป็นโมเดลที่ดีที่จะช่วยสร้างเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้นอีก นั่นคือ การระดมความคิดเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหา

เจนเซนกล่าวว่า วิธีการที่ดีที่สุดในการพัฒนาสมอง คือ การเปิดโอกาสให้สมองได้แก้ไขปัญหาที่ท้าทาย กระบวนการคิดแก้ปัญหาจะสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงในระบบประสาทสมอง

“ไม่สำคัญว่าจะได้คำตอบหรือไม่ การเจริญเติบโตของระบบประสาทเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการคิดไม่ใช่จากการค้นพบวิธีแก้ปัญหาในขั้นสุดท้าย”

ด้วยเหตุนี้ คำตอบที่ถูกต้องที่สุดจึงไม่สำคัญเท่าโอกาสที่นักเรียนได้ร่วมคิดและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันได้อย่างเต็มที่ แบบฝึกหัดเติมคำในช่องว่างจึงไม่มีประสิทธิภาพเท่าโครงงานหรือกิจกรรมที่ออกแบบขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ร่วมคิดและค้นหาวิธีแก้ปัญหาด้วยกัน เพราะนั่นเป็นทางตรงที่จะช่วยสร้างการเรียนรู้และสร้างการพัฒนาสมองได้อย่างถาวร

อ้างอิง: weteachwelearn.org

Tags:

พ่อแม่ครูระบบการศึกษาเทคนิคการสอนจิตวิทยาAdolescent Brain

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

“ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ
Character building
18 April 2018

“ผมอยากจะเป็นชาวสวน” เรื่องเท่ๆ ของเด็กหนุ่มที่หา PASSION เจอ

เรื่อง

  • การที่วัยรุ่นสักคนลุกขึ้นมาพูดอย่างจริงจังว่า “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” มันไม่ใช่แค่เรื่องเท่
  • เพราะสิ่งนี้ทำให้ลูกชายเลือกเรียนต่อด้านเกษตร เพื่อกลับมาสานต่องานสวนมะพร้าวที่บ้าน หลังจากพ่อหมดหวังและคิดว่าไร้ทายาทเคี่ยวน้ำตาลรุ่นต่อไปซะแล้ว
  • สิ่งนี้เรียกง่ายๆ ว่า passion แต่หา ‘ยาก’ ซะเหลือเกิน
เรื่อง: พัชรี ชาติเผือก

เตาตาลที่ไร้คนเคี่ยวตาล ก็เหมือนขนมหวานที่ไร้คนชิม…

เรากำลังพูดถึงหนึ่งใน ‘ยี่ห้อ’ สำคัญของจังหวัดสมุทรสงครามอย่าง ‘น้ำตาลมะพร้าว’ ที่ พ.ศ.นี้ กลายเป็นของหายากขึ้นทุกวัน

โดยเฉพาะในตำบลท่าคา จากการสำรวจของเยาวชนจาก โครงการบอกกล่าวเล่าขานน้ำตาลมะพร้าวท่าคา พบว่าปัจจุบันเหลือเตาตาลอยู่ในพื้นที่ไม่ถึง 40 เตา จากเดิมเคยมีการบันทึกไว้ว่า พ.ศ. 2500-2510 จังหวัดสมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่เสียภาษีสูงที่สุดในประเทศ เพราะมีรายได้จากน้ำตาล ในหนึ่งปีสามารถผลิตน้ำตาลได้ถึง 1,200,000 ปี๊บ

ออกไปหา passion

ปอย-ปิยวัฒน์ วัชนุชา เจเนอเรชั่นล่าสุดของตำบลท่าคา เขาบอกว่าอาชีพในฝันไม่ใช่ข้าราชการหรือพนักงานบริษัทใส่ชุดเท่ๆ แต่สิ่งที่ปอยอยากเป็นคือ ‘ชาวสวนธรรมดา’ ที่ได้สานต่ออาชีพจากครอบครัวที่ทำมากว่า 40 ปีให้คงอยู่ต่อไป

อะไรทำให้ปอยคิดแบบนั้น?

คำตอบคือ เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าอาชีพนี้มีคุณค่าอย่างไร สิ่งนี้นำทางให้เขาค่อยๆ ค้นพบเป้าหมายที่อยากทำ อยากเป็น ปอยเรียกสิ่งนั้นว่า passion

ทั้งที่เมื่อสองปีก่อน ปอยยังมองว่าการทำน้ำตาลมะพร้าว เป็นแค่อาชีพที่สร้างรายได้ให้ครอบครัวเท่านั้น

“ไม่ได้ภูมิใจอะไรกับอาชีพนี้เท่าไหร่ ถามว่าช่วยที่บ้านไหม ก็มีช่วยบ้าง แต่ก็ช่วยตามประสาเด็กที่ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจรายละเอียดอะไร”

แน่นอน ตอนนั้นลูกคนทำเตาตาล ไม่เคยคิดจะสานต่ออาชีพของครอบครัว กระทั่งมีโอกาสเข้ามาร่วมโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก ทำให้มุมมองที่มีต่อเตาตาลของปอยเปลี่ยนไป

“เห็นเพื่อนมาทำโครงการในชุมชนของเรา ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่คนในชุมชน จนได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูล ทำให้เราเห็นความพยายามของเพื่อนที่ต้องเก็บข้อมูลทั้งตำบล เลยเริ่มกลับมามองตัวเองว่า เราเป็นคนในพื้นที่แท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่สนใจเรื่องราวในชุมชนตัวเอง

ยิ่งลงพื้นที่บ่อยก็ยิ่งเห็นสวนมะพร้าวถูกทิ้งร้าง ที่ดินถูกขาย บางบ้านเหลือแต่คนแก่ที่ทำเตาตาล ส่วนลูกหลานพากันออกไปทำงานข้างนอก ทำให้ผมฉุกคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน และอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง

“เพื่อให้เยาวชนเห็นคุณค่าของอาชีพการทำน้ำตาลมะพร้าว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเข้ามาสานต่อการทำโครงการเกี่ยวกับน้ำตาลมะพร้าวในปีที่สอง” ปอยเล่าถึงจุดเปลี่ยนของตัวเองให้ฟัง ก่อนที่จะหันหน้าเข้ามาศึกษาเรื่องราวของการทำน้ำตาลมะพร้าวอย่างจริงจัง

กระบวนการทำงานในปีที่สอง ปอยและเพื่อนร่วมทีมต้องลงพื้นที่พูดคุยเพื่อสืบค้นข้อมูลเรื่องการทำน้ำตาลมะพร้าวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจากเจ้าของเตาตาลแต่ละแห่ง จากน้้น ลงไปเรียนรู้ขั้นตอนการเคี่ยวตาลแต่ละบ้าน การได้เข้าไปสัมผัสกับความยากลำบากของคนทำตาล ทำให้ปอยอยากกลับไปสานต่ออาชีพของครอบครัวตัวเอง

“การที่ผมได้ลองเคี่ยวตาล ลองเก็บน้ำตาลมะพร้าว ช่วยคนในครอบครัวอย่างจริงจัง ไม่ใช่ช่วยแค่เพราะหน้าที่เหมือนที่เคยเป็นมา ทำให้ผมเห็นความยากลำบากของครอบครัว เห็นความสำคัญของอาชีพคนทำตาลที่ผูกพันกับคนในชุมชน จนรู้ซึ้งว่าน้ำตาลมะพร้าวมีคุณค่ากับผมมากๆ เพราะที่บ้านทำมาตั้งแต่รุ่นย่า รุ่นยาย ครอบครัวทางย่าก็ทำน้ำตาลมะพร้าว ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้ประวัติเตาตาลของที่บ้านด้วยซ้ำว่า ทำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอมาทำโครงการนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยซักถามประวัติเตาตาล ทำให้เราเห็นของดีๆ ที่มีอยู่ในบ้านเรามากขึ้น”

ปอยบอกต่ออีกว่า พ่อของเขาเกือบจะเลิกหวังให้เขามาสานต่ออาชีพคนทำตาลไปแล้ว แต่มาวันนี้พ่อมั่นใจแล้วว่าเตาตาลของครอบครัวที่พ่อสืบทอดมาจะไม่ร้างคนเคี่ยวตาลอีกต่อไป เพราะมีปอยเข้ามารับช่วงต่อ

‘ลงมือทำ’ เท่านั้น

กว่าปอยจะคิดได้เช่นนี้ต้องยกนิ้วให้พี่เลี้ยงโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตกที่ทั้งผลักและดันให้เขากล้าเผชิญปัญหา

“ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้ค้นพบตัวเอง เพราะพี่เลี้ยงที่คอยสร้างเงื่อนไขให้ผมได้มีโอกาสแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ยิ่งเราเจอปัญหาใหญ่ๆ แล้วเราสามารถแก้ปัญหานั้นได้ ยิ่งทำให้เรารู้สึกภูมิใจ พี่เขาสอนให้ผมและทีมงานได้คิดและวางแผนมากขึ้น เวลาเจอปัญหาเขาจะคอยดูเราอยู่ห่างๆ การได้เข้าไปสัมผัสสัมพันธ์กับน้ำตาลมะพร้าวอย่างใกล้ชิด ได้เห็นว่านับวันอาชีพทำน้ำตาลมะพร้าวในจังหวัดสมุทรสงครามเริ่มลดน้อยลง ยิ่งทำให้เรารักและเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำไปโดยปริยาย”

เมื่อเจอเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ทำให้วันนี้ปอยเลือกที่จะเรียนคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน หวังว่าจะได้นำความรู้ใหม่ๆ มารับใช้อาชีพทำน้ำตาลมะพร้าวที่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความรู้เรื่องการทำน้ำตาลคุณภาพเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ถึงลูกค้า เพื่อให้เขาประกอบอาชีพเลี้ยงตนได้ด้วยเช่นกัน

เรื่องของปอยทำให้เราได้เรียนรู้ว่า passion นั้นเป็นเข็มทิศนำทางให้คนรุ่นหลังรู้ว่าตัวเองจะเดินไปทางไหน และการจะหา passion ให้เจอนั้น คือการลงมือทำ

สำหรับปอย มันคือการีเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ฝึก (practice) ผ่านการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ที่สร้างประโยชน์ต่อตัวเองและส่วนรวมในลักษณะการฝึกซ้ำโดยมีการไตร่ตรองสะท้อนคิด และหาทางปรับปรุง และเมื่อเจอปัญหาเขาจะไม่ท้อไปเสียง่ายๆ แต่จะมุมานะที่จะทำให้สำเร็จให้จงได้

อ้างอิง: หนังสือเลี้ยงลูกยิ่งใหญ่บทที่ 22 กระบวนทัศน์พัฒนา (passion)

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)สมุทรสงครามวัยรุ่นactive citizenproject based learning

Author:

Related Posts

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

  • Growth & Fixed Mindset
    คิดว่า ‘ทำได้’ เพราะได้ลงมือทำ: สิ่งที่ห้องเรียนไม่ได้สอน

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Growth & Fixed Mindset
    เด็กไม่เก่งก็เจ๋งได้ ง่ายนิดเดียว

    เรื่อง The Potential

  • Character building
    เยาวชนจังหวัดน่าน กับ(หลาย)ก้าวที่กล้า สู่การเป็น ‘ผู้นำ’

    เรื่อง The Potential

เด็กม.6ก็มีหัวใจ อย่าให้ความหวังของผู้ใหญ่ทับเด็กตาย
Dear Parents
18 April 2018

เด็กม.6ก็มีหัวใจ อย่าให้ความหวังของผู้ใหญ่ทับเด็กตาย

เรื่องและภาพ KHAE

ตอนจะเข้ามหาลัยก็จะมีคอนเซปต์ชีวิตประมาณนึง ว่าอยากเห็นตัวเองเท่แบบนั้นแบบนี้ แต่พอเริ่มทุกข์กับความคาดหวังของตัวเองกับของคนอื่น ก็รู้สึกว่าไม่เท่ละ แบบที่ไม่ได้ก็ทุกข์ ได้แล้วก็ยังไม่มีความสุข อยากทำอะไรที่อยากทำจริงๆมากกว่า ปัญหาคือไม่รู้ว่าชอบอะไร ก็เลยตามน้ำไปก่อน ก็ค่อยๆ คลำไป จะเล็กจะน้อยแต่ความชื่นใจมันต่างกันน่ะ – KHAE

Tags:

วัยรุ่นการสอบระบบการศึกษา

Author & Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Life classroom
    อนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร เส้นทางการเรียนจะเป็นแบบไหน – ความกังวลของวัยรุ่นช่วงโควิด-19

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

  • Everyone can be an Educator
    TEP TALK: เรื่องเล่านอกห้องเรียนจาก พระ-แม่-เด็ก-ครู

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Early childhood
    ไม่ให้สอบเข้า ป.1 แล้วจะให้ทำอย่างไร

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Social Issues
    ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?

    เรื่อง The Potential

สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้
How to get along with teenagerAdolescent Brain
17 April 2018

สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • เข็มทิศที่สำคัญของวัยรุ่นคือผู้ใหญ่ แต่ต้องไม่จู้จี้ สั่งให้เดินทางไหน บอกแค่ปลายทางและคำแนะนำกว้างๆ เขาจะเดินไปได้ถูกเอง สายตาที่มองมา ต้องมาในฐานะเพื่อนคู่คิด ไม่ใช่ออกคำสั่ง ทำได้อย่างมากแค่ตั้งคำถามให้วัยรุ่นคิด
  • สมองวัยรุ่นพัฒนาอย่างไม่สมดุล สมองส่วนกล้าได้กล้าเสียทำงานเต็มที่ ขณะที่สมองส่วนเป็นเหตุเป็นผลพัฒนาสมบูรณ์เป็นลำดับสุดท้าย คีย์เวิร์ดนี้เองที่ผู้ใหญ่ต้องทำความเข้าใจและไม่ทิ้งเขาไว้กลางทาง
  • เมื่อสมองของวัยรุ่นสุขภาพดี สมองของผู้ใหญ่ก็ปลอดโปร่งตาม เชื่อเถอะ

ทำไมวัยรุ่นถึงชอบทำอะไรเสี่ยงๆ เช่น แว้นมอเตอร์ไซค์ ทดลองสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ หรือแม้แต่พฤติกรรมทางเพศ ซึ่งมักจะถูกผู้ใหญ่ตีความเอาว่าเป็นเรื่องร้ายๆ เสมอ

ทั้งที่จริง คำว่า ‘เสี่ยง’ มีทั้งด้านดีและด้านร้าย โดยมีความกล้าหาญเป็นตัวนำ ดุนหลังวัยรุ่นให้ลงมือทำ จนหลายครั้งก็ไม่ทันคิดให้รอบคอบ

ถ้ากางตำราวิชาพัฒนาการวัยรุ่นก็ต้องอธิบายว่า พฤติกรรมเหล่านี้เป็นผลมาจากธรรมชาติของการพัฒนาสมองวัยรุ่นที่ยังไม่สมดุล* เพราะ

ขณะที่สมองส่วนกล้าเสี่ยง (ระบบลิมบิก) ทำงานอย่างเต็มที่ สมองส่วนหน้า (prefrontal lobe) ซึ่งเป็นสมองส่วนรอบคอบ ช่วยให้กำกับตัวเอง มีเหตุผล จะเป็นสมองส่วนสุดท้ายที่เติบโตสมบูรณ์ในวัยรุ่น

สมองส่วนรอบคอบ มีเหตุมีผลนี่แหละ ที่ผู้ใหญ่จะเข้ามาช่วยวัยรุ่นให้มีสุขภาพสมองที่ดีได้ระหว่างทาง

แล้วผู้ใหญ่จะมีส่วนช่วยได้อย่างไร?

จากการวิจัยพบว่า พันธุกรรม ความเป็นปัจเจกจากการเลี้ยงดู รวมถึงสภาพแวดล้อม ล้วนมีผลต่อพัฒนาการทางสมอง ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่กับวัยรุ่นถือเป็นสภาพแวดล้อมที่ใกล้ชิดมากที่สุด บุคคลเหล่านี้จึงมีความสำคัญมากต่อการสร้างพัฒนาการทางสมองที่ดีของวัยรุ่น

ข้อควรจดจำ

  • สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย: สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการสนับสนุนและช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยความรักและความเอาใจใส่เป็นสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่น สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้สมองมีพัฒนาการที่ดี
  • ผู้ใหญ่ที่ไม่ทอดทิ้ง: ผู้ใหญ่ที่พูดคุยและมีความใกล้ชิดกับเด็กในช่วงวัยกำลังเจริญเติบโตมีบทบาทสำคัญต่อการช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองของเด็กขณะก้าวขึ้นมาเป็นวัยรุ่นได้
  • สายตา: การคาดการณ์เรื่องอารมณ์เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อพูดคุยกับวัยรุ่น ด้านแรก สายตาที่วัยรุ่นมองผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ต้องมองให้ออกว่าวัยรุ่นกำลังประเมินว่าผู้ใหญ่อยู่ในภาวะอารมณ์ใดขณะสื่อสารกับตน ด้านที่สอง สายตาของผู้ใหญ่ที่มองวัยรุ่น ผู้ใหญ่ต้องคาดเดาภาวะอารมณ์ของวัยรุ่นในแต่ละช่วงขณะให้ได้ นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ควรมีส่วนช่วยแนะนำให้วัยรุ่นพิจารณาสภาพอารมณ์ของตนเองได้อย่างถูกต้อง
  • ความเชื่อมั่น: วัยรุ่นต้องการความเชื่อมั่นและกำลังใจจากผู้ใหญ่
  • รางวัล: วัยรุ่นตอบสนองต่อการได้รับรางวัลมากกว่าการลงโทษ
  • ความชัดเจน: วัยรุ่นต้องการความชัดเจนในการกำหนดขอบเขตว่าสิ่งใดที่ตนทำได้หรือทำไม่ได้ โดยผู้ใหญ่จะต้องเคารพในข้อตกลงที่วางร่วมกัน
  • ความเคารพ: วัยรุ่นต้องการให้ผู้ใหญ่เคารพความสามารถและศักยภาพของพวกเขา และอนุญาตให้พวกเขาเติบโตได้อย่างอิสระ

พัฒนาการทางสมองของวัยรุ่นเกิดขึ้นได้อย่างไร?

สมองของมนุษย์พัฒนาและเชื่อมต่อระบบประสาทเพื่อทำงานถึงกันตามหน้าที่ในหลายระดับ ระบบลิมบิก (Limbic System) เป็นส่วนของสมองที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด สมองส่วนนี้ทำหน้าที่รับรู้อารมณ์และความรู้สึก จากเดิมในวัยเด็กการควบคุมอารมณ์มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการตัดสินใจร่วมกับพ่อแม่ แต่เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นสมองส่วนดังกล่าวจะเปลี่ยนมาสู่โหมดการตัดสินใจด้วยตนเอง เป็นความรู้สึกอยากรับผิดชอบต่อตัวเอง ความเปลี่ยนแปลงทางสมองที่เกิดขึ้นนี้ ต้องสร้างการเชื่อมต่อทางระบบประสาทใหม่ ระหว่างสมองส่วนที่ทำหน้าที่คิดกับสมองส่วนรับรู้อารมณ์ ซึ่งหากมีปัจจัยภายนอกที่ดีเข้ามากระตุ้น เช่น ประสบการณ์ชีวิตที่เป็นบทเรียนให้ได้เรียนรู้ เด็กจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถใช้วิจารณญาณในการคิด ตัดสินใจ และวางแผนได้เป็นอย่างดี

วัยรุ่นใช้สมองส่วนไหนมากที่สุด?

“วัยรุ่นคิดโดยใช้ความรู้สึก”

การสแกนสมองแสดงให้เห็นการทำงานของสมองแต่ละส่วนขณะกำลังทำหน้าที่ในสภาวะที่แตกต่างกัน มีการทดลองครั้งหนึ่งกำหนดให้วัยรุ่นและผู้ใหญ่ดูภาพคนที่กำลังแสดงอารมณ์ทางสีหน้าแตกต่างกัน การทดลองดังกล่าวต้องการวัด ‘อารมณ์’ ของผู้มองหลังจากเห็นภาพ

ผลการทดลองพบว่า ผู้ใหญ่ใช้สมองส่วน prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้เหตุผลประกอบการคิด ส่วนวัยรุ่นใช้สมองส่วน amygdala สมองส่วนควบคุมอารมณ์มากกว่า

สรุปได้ว่าวัยรุ่นใช้อารมณ์ของตัวเองในการพยายามทำความเข้าใจการสื่อสารทางอารมณ์ของผู้อื่น

บ่อยครั้งที่วัยรุ่นตีความอารมณ์ของตัวเองผิดพลาด ถึงขนาดเข้าใจว่าความวิตกกังวล เป็นความโกรธ จนทำให้ตัวเองหงุดหงิด

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อพูดคุยกับวัยรุ่น จึงมี 2 ด้าน ได้แก่

  • ด้านแรก สายตาที่วัยรุ่นมองผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ต้องมองให้ออกว่าวัยรุ่นกำลังประเมินว่าผู้ใหญ่อยู่ในภาวะอารมณ์ใดขณะสื่อสารกับตน
  • ด้านที่สอง สายตาของผู้ใหญ่ที่มองวัยรุ่น ผู้ใหญ่ต้องคาดเดาภาวะอารมณ์ของวัยรุ่นในแต่ละช่วงขณะให้ได้ นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ควรมีส่วนช่วยแนะนำให้วัยรุ่นพิจารณาสภาพอารมณ์ของตนเองได้อย่างถูกต้อง

อะไรบ้างที่ช่วยให้เกิดพัฒนาการทางสมอง?

ขณะที่สมองของวัยรุ่นกำลังเติบโตและสร้างระบบเชื่อมโยงไปยังส่วนต่างๆ ตามหน้าที่ พวกเขาต้องการพื้นที่และโอกาสในการแสดงออก ทั้งนี้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและแสดงให้ผู้อื่นเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตนเองกระทำ เมื่อเป็นเช่นนี้หากผู้ใหญ่ปิดกั้นไม่ให้วัยรุ่นได้แสดงออกในทางสร้างสรรค์ สมองจะหยุดการพัฒนาลงอย่างช้าๆ

“Fire together they wire together.” หลักการนี้เชื่อว่า หากมีการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน สมองจะสร้างเครือข่ายประสาทเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งถือเป็นการสร้างพัฒนาการทางสมองอีกทางหนึ่ง แน่นอนว่าการฝึกฝนสมองด้วยการปลูกฝังความคิดความเชื่อที่ดีตั้งแต่อยู่ในช่วงวัยรุ่นนั้น ง่ายกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนการคิดเชิงบวก (positive thinking) แนวคิดเรื่องการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หรือแม้แต่การออกกำลังกาย

ทั้งนี้ จากการทดลองยังพบว่าระหว่างที่สมองของวัยรุ่นกำลังพัฒนาอยู่นั้น

  • เขามักชื่นชอบกิจกรรมที่มีความเสี่ยงและโลดโผน
  • เขาแสดงออกทางอารมณ์อย่างชัดเจนและรุนแรง
  • เขามักตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น

อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองสามารถเข้ามาช่วยกระตุ้นพฤติกรรมและเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองเชิงบวกของวัยรุ่นในช่วงเวลานี้ได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • ปล่อยให้เล่น: ปล่อยให้เด็กทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงตามความเหมาะสม: ประสบการณ์แปลกใหม่ในชีวิตช่วยให้เด็กพัฒนาตัวเองได้อย่างมีอิสระ เติบโตได้อย่างเข้าใจตนเอง จนสามารถค้นพบสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง
  • เป็นพี่เลี้ยงชวนเด็กค้นหาพื้นที่แสดงความคิดสร้างสรรค์และระบายความรู้สึกของตนเอง: จากการสำรวจพบว่า ดนตรี กีฬา การเขียน และการทำงานศิลปะ เป็นช่องทางระบายความรู้สึกที่ดี
  • เป็นเพื่อนคู่คิดในการตัดสินใจ: ชวนพูดคุยถึงความเป็นไปได้ในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยศักยภาพของเด็กเอง ชั่งน้ำหนักระหว่างผลลัพธ์ในเชิงบวกและเชิงลบที่จะเกิดขึ้น ที่สำคัญต้องให้เด็กมีส่วนร่วมคิด แล้วตัดสินใจด้วยตนเอง โดยผู้ใหญ่ทำหน้าที่เป็นเพียงพี่เลี้ยงคอยตั้งคำถามให้เด็กคิด
  • สอนทักษะการใช้ชีวิตผ่านกิจวัตรประจำวัน ทั้งในครอบครัวและในโรงเรียน
  • ข้อตกลงที่ชัดเจน: หลายคนคิดว่า วัยรุ่นไม่ต้องการให้ใครมากำหนดกรอบในการใช้ชีวิต แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่าการให้คำแนะนำและการสร้างข้อตกลงที่ชัดเจนระหว่างเด็กและผู้ปกครองว่าสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ เพราะอะไร แล้วเคารพพื้นที่ของกันและกัน
  • อย่าลืมให้คำชื่นชมและให้รางวัลตามความเหมาะสมเมื่อเด็กทำสิ่งที่ดี เพื่อกระตุ้นให้สมองรับรู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควรทำ
  • เป็นตัวอย่าง: ผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างในการแสดงพฤติกรรมเชิงบวกให้กับเด็ก
  • เข้าถึงง่าย: ผู้ใหญ่ต้องทำตัวให้เด็กรู้สึกว่าเข้าถึงง่าย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ ทำให้เด็กเปิดใจยอมรับและไม่ปิดบังตัวเองจากผู้ใหญ่
  • ให้ความรู้เรื่องพัฒนาการสมอง: พูดคุยให้ความรู้บุตรหลานเกี่ยวกับพัฒนาการทางสมอง เพื่อให้เด็กเห็นความสำคัญในการดูแลตัวเอง และสนใจเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง

อะไรเป็นตัวอันตรายสำหรับการพัฒนาสมอง?

ช่วง 2-3 ปีแรกหลังคลอด และช่วงวัยแรกรุ่น (6-9 ปี) เป็น 2 ระยะที่ผู้ปกครองและผู้ใหญ่ต้องเฝ้าระวัง รวมทั้งให้การดูแลเอาใจใส่เด็กเป็นพิเศษ การตำหนิ การดูถูก หรือการด่าทอ ไม่ว่าจะด้วยคำพูด อารมณ์ ท่าทาง การละเมิดทางเพศ หรือแม้แต่การวางเฉย ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก เพราะการรับรู้พฤติกรรมดังกล่าวตั้งแต่วัยเยาว์ ถือเป็นความรุนแรงที่ยับยั้งการสร้างระบบประสาทเชื่อมต่อและการวางระบบหน้าที่การทำงานในสมอง

นอกจากนี้ ผู้ปกครองพึงเฝ้าระวังไม่ให้บุตรหลานมีพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนอายุ 18 ปี เนื่องจากยังคงอยู่ในภาวะเสี่ยงที่สมองจะถูกทำลายจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ได้

ย้ำอีกครั้ง สมองวัยรุ่น สร้างให้ดีได้

“สมองวัยรุ่นสร้างให้ดีได้” เพราะสมองมีความสามารถในการเรียนรู้และการปรับตัวตามแต่ละช่วงวัย ด้วยเหตุนี้ ความเข้าใจกลไกการทำงานของสมอง โดยเฉพาะพัฒนาการทางสมองของเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิดไปจนกระทั่งวัยรุ่น จะช่วยให้ผู้ใหญ่วางแผนการเลี้ยงดูบุตรหลานได้อย่างเหมาะสม

สมองที่เติบโตตามธรรมชาติในสภาพแวดล้อมที่ดีจะสื่อสารวิธีคิด พฤติกรรมและการแสดงความรู้สึกในเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ ซึ่งจะช่วยลดการกระทบกระทั่งและทลายกำแพงความไม่ไว้วางใจระหว่างผู้ใหญ่กับวัยรุ่นได้ ท้ายที่สุดการเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้แสดงความสามารถและศักยภาพของตนเองได้อย่างอิสระจะช่วยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการทางสมองอย่างเต็มประสิทธิภาพ

อ้างอิง:
kidshealth.org
m.raisingchildren.net.au

Tags:

พ่อแม่วัยรุ่นจิตวิทยาAdolescent Brain

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    สมองวัยรุ่นเมื่อมีความรัก

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Adolescent BrainHow to get along with teenager
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    รักที่จะรัก: เมื่อลูกๆ มีความรัก พ่อแม่จะทำอย่างไรดี?

    เรื่อง The Potential

เด็กปฐมวัย : หน้าที่คือเล่น ไม่ใช่เรียน เรียน และเรียน
Early childhood
9 April 2018

เด็กปฐมวัย : หน้าที่คือเล่น ไม่ใช่เรียน เรียน และเรียน

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ตอนเด็กๆแม่ชอบส่งไปเรียนเหมือนกัน นี่ส่งไปให้แม่อ่านด้วยค่ะ – KHAE

Tags:

การเล่นระบบการศึกษาปฐมวัยการสอบ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhood
    “เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่เห็น” ชั้นหนึ่ง (First Grade)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(6): เล่นให้เป็นเรื่อง ฉบับแรกเกิดถึงหกเดือน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    ไม่ให้สอบเข้า ป.1 แล้วจะให้ทำอย่างไร

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง
Social Issues
4 April 2018

พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • พี่ลาเต้ ในฐานะฟังและอ่านสิ่งที่วัยรุ่นบ่นถึงการสอบผ่านเว็บบอร์ด แห่ง Dek-D.com นานถึง 11 ปี ผลกระทบที่วัยรุ่นไทยได้จากการสอบคืออะไรบ้าง
  • “ที่ชัดเลยคือตอนเข้ามหาวิทยาลัย เด็กเก่งจะได้เลือก ขณะที่เด็กอีกกลุ่มคือ คะแนนออกแล้วค่อยมาจิ้มว่า คะแนนเท่านี้มีสิทธิ์ติดอะไรบ้าง แต่พอเข้าไปแล้วอาจจะไม่ใช่เราก็ได้”
  • กว่า 10 ปีของการทำงาน แม้ต้องรับมือกับความเครียดในเรื่องสอบของเด็กๆ แต่เขายืนยันชัด สอบยังจำเป็น แต่วิธีการ วิธีคิดในเรื่องสอบ ยังคงต้องพัฒนาและหาทางกันต่อไป
ภาพ: อนุชิต นิ่มตลุง

หลังเลคเชอร์ให้ The Potential ฟังถึงมหากาพย์การสอบของเด็กไทยตั้งแต่ ประถมศึกษา จนถึงการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6

เรายังชวน มนัส อ่อนสังข์ หรือ ‘พี่ลาเต้’ บรรณาธิการข่าวการศึกษาและแอดมิชชั่น เว็บไชต์ Dek-D.com คุยต่อในประเด็นความเครียดในวัยรุ่นไทยกับการสอบ (แทบจะตลอดชีวิต) ที่แม้จะมีวัยรุ่นเปลี่ยนหน้าเข้ามาเล่นในบอร์ดไม่รู้กี่เจเนอเรชั่น แต่พวกเขาต่างประสบปัญหาคล้ายกันคือ ความเครียดที่เหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด

ในฐานะที่พี่ลาเต้ นั่งโต๊ะข่าวการศึกษานานถึง 11 ปี อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านระบบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้วถึง 3 ครั้ง ด้านหนึ่งต้องคอยศึกษาระบบ สอบทาน ทำความเข้าใจ คิดระบบช่วยประเมินคะแนน แล้วค่อยนำมาอธิบายต่อให้น้องๆ และผู้ปกครองฟัง อีกด้านต้องรับฟังเสียงบ่นจากเด็กๆ ผ่านการมอนิเตอร์เว็บไซต์ และเข้าไปตอบคำถามคาใจของเด็กๆ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนเสียด้วย แต่ลามไปถึงหัวใจ ความรัก และเรื่องเพศในเชิงทฤษฎี

คำถามเริ่มแรกไล่เรียงตั้งแต่ ทำความเข้าใจจุดตั้งต้นของการสอบ O-NET กระบวนการวัดผลการศึกษา หนึ่ง ไม้บรรทัดวัดผลการศึกษาทั่วประเทศได้จริงหรือ ผลลัพธ์การสอบตั้งแต่เกิดจนแก่ ทิ้งร่องรอยอะไรไว้กับนักเรียนไทยบ้าง (ซึ่งเขาแย้มว่า อย่างน้อยๆ ก็ส่งผลถึงความอ้วนนะ) รวมทั้งเรื่องหลังบ้านของเว็บไซต์ Dek-D วัยรุ่นทุกวันนี้มีคาแรคเตอร์อย่างไร ผ่านบอร์ดสนทนาที่รวบรวมเสียงวัยรุ่นไว้มากที่สุดแห่งหนึ่ง

ทั้งหมดนี้ยังคงยืนยันว่า เราไม่ได้ชี้ว่า การสอบไม่ดี ไม่ควรมี แต่ชวนหารือ หาข้อมูลความคิดเพื่อเป็นสารตั้งต้นเพื่อชวนถกกันต่อว่า การสอบคืออะไร วิธีการไหนจำเป็น วิธีไหนไม่ควรไปต่อ และถ้าไม่สอบ เราจะใช้วิธีอะไรกันดี

เชิญรับชม ?

O-NET
คนแปลกหน้าที่เหมือนเพื่อนสนิท เจอกันทุก ป.6 ม.3 และ ม.6

O-NET คือสนามสอบร่วมกันของชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 ทำไมต้องมี O-NET และมีเพื่ออะไร

จุดประสงค์ของ O-NET คือการสอบวัดผล แต่จุดตั้งต้นคือแนวคิดที่ว่า การให้เกรดแต่ละโรงอาจมีเกณฑ์ไม่เหมือนกัน บางโรงเรียนปล่อยเกรด บางโรงเรียนกดเกรด O-NET จึงถูกคิดขึ้นเพื่อพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ ให้ทุกโรงเรียนทำข้อสอบมาตรฐานฉบับเดียวกันทั่วประเทศ

นอกจากการวัดผล บางโรงเรียนยังใช้เป็นคะแนนส่วนหนึ่งเพื่อสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียน เช่น ใช้คะแนน O-NET ส่วนหนึ่งคัดเข้า ม.1 และชัดเจนที่ ม.6 ขณะที่สอบเข้า ม.4 ยังไม่ค่อยเห็น

มหาวิทยาลัย ที่ใช้คะแนน O-NET เป็นเกณฑ์หนึ่งในการเข้ามหาวิทยาลัย อย่างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำหนดเลยจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ คะแนน O-NET วิชาภาษาอังกฤษ คะแนนเต็ม 100 ต้องได้ 16 คะแนนขึ้นไป คณะศิลปศาสตร์ ภาควิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำหนดว่าภาษาอังกฤษ คะแนนเต็ม 100 ต้องได้ 75 คะแนนขึ้นไป ซึ่งถือว่าสูงมากจึงจะยื่นเข้ามหาวิทยาลัยได้

ในชั้นแรก O-NET จึงไม่ได้วัดแค่ศักยภาพ หรือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน แต่วัดมาตรฐานของโรงเรียน วัดคุณภาพครูโรงเรียนนั้นๆ?

ถูกต้องครับ O-NET ใช้วัดหลายอย่างมาก หนึ่ง-วัดมาตรฐานของนักเรียนของแต่ละโรงเรียนว่าระดับเท่ากันไหม สังเกตว่า ช่วงหลังมีการจัดอันดับโรงเรียนยอดเยี่ยม เกณฑ์ส่วนใหญ่เอามาจากคะแนน O-NET ทั้งนั้นเลย คือวัดจากข้อสอบฉบับเดียวกันแล้วสอบทุกโรงเรียน เอาตัวนี้เป็นค่าในการวัด

สอง-วัดประสิทธิภาพการสอนของคุณครู การสอบ O-NET เป็นอะไรที่คุณครูตื่นเต้นกันมาก ผลักดันเด็กกันมาก สังเกตว่าเวลาเด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทางโรงเรียนไม่ค่อยจัดติวนะ แต่จัดติว O-NET เพื่อให้โรงเรียนนั้นได้ผล O-NET ดี สพฐ. ก็อัดฉีดเหมือนนักกีฬาเลย คือถ้าเด็กได้คะแนน 90 คะแนนขึ้นไปมีทุนการศึกษาให้ คอยประเมินตลอดว่าโรงเรียนไหนมีคะแนน O-NET ต่ำลงเรื่อยๆ

ข้อสอบเดียวกันใช้วัดระดับทั้งประเทศ แต่ข้อเท็จจริงคือ แต่ละโรงเรียนมีจุดประสงค์การเรียนการสอนต่างกัน แบบนี้ถือว่า ‘แฟร์’ กับเด็กๆ ทั่วประเทศหรือเปล่า

ถ้ามองในมุมเด็ก คิดว่าไม่แฟร์ แต่ในมุมผู้ใหญ่ ข้อสอบนี้อาจจะเป็นเครื่องมือเดียวที่วัดได้ เพราะด้วยความที่ไม้บรรทัดแต่ละโรงเรียนไม่เท่ากัน จึงต้องมีไม้บรรทัดกลางมาวัดไม้บรรทัดของคุณ คนที่ทำงานในกระทรวงฯ เมื่อได้รับโจทย์มาว่าเราจะวัดคุณภาพการศึกษาไทยอย่างไรดี วัดว่าเด็กรุ่นนี้มีคุณภาพแค่ไหน สิ่งที่คิดออกก็น่าจะเป็นข้อสอบฉบับหนึ่งที่มีมาตรฐาน ข้อสอบชุดเดียวกัน ทุกโรงเรียนสอบเวลาเดียวกัน

แต่ในมุมของเด็ก อย่างในเว็บบอร์ดก็จะเห็นเด็กมาตั้งกระทู้บ่อยมากว่า ข้อสอบแบบนี้ โรงเรียนหนูไม่เคยเรียนเลย เขาเอามาจากหนังสือ สสวท. แต่โรงเรียนไม่ได้สอนเล่มนี้ ไม่ได้เรียนลึกขนาดนี้ ก็จะมีกระทู้แบบนี้มาตลอด อาจกลายเป็นว่ามันไม่แฟร์สำหรับเด็กๆ

แต่ประเด็นนี้ก็มีหลายประเด็นนะครับ ปริมาณเด็กแต่ละโรงก็มีผล เช่น โรงเรียนหนึ่งมีเด็กที่ต้องสอบ O-NET จำนวน 400 คน การทำให้เด็ก 400 คน ผ่าน mean หรือผ่านค่าคะแนนเฉลี่ย เป็นเรื่องยากมาก เช่นถ้าในเด็ก 400 คน มีเก่งสัก 20 คน และ 20 คนนั้น ได้ 100 คะแนนเต็ม แต่ค่า mean อาจจะไม่สูง ขณะที่อีกโรงเรียนหนึ่ง ในรุ่นมีแค่ 40 คน และไม่มีใครมีคะแนนถึง 100 คะแนน แต่อาจจะมีคนที่ได้ 80 คะแนน แล้วพอเอาคะแนนมาคำนวณกัน โรงเรียน 40 คน อาจจะมีค่า mean สูงก็ได้ มีความซับซ้อนในตัวระบบอยู่

แต่ถ้าถามในทางทฤษฎี หรือในแง่ของไม้บรรทัดกลางเพื่อวัดคุณภาพแต่ละโรงเรียน ผมคิดว่าโอเค อาจจะเป็นตัวที่กระตุกหรือกระชากวิญญาณของแต่ละโรงเรียนว่า โอเคนะ… คุณไม่ต้องยึดว่าเด็กโรงเรียนคุณจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยได้กี่คน แต่ยึดแกน O-NET ถ้ามีคะแนน O-NET เกิน 80 คะแนน แปลว่าโรงเรียนคุณอยู่ในระดับที่ดี แม้ว่าพอเอามาเปิดและเอามาใช้จริงๆ แล้วมันก็ไม่เท่ากัน

ในฐานะผู้ติดตามและต้องเห็นข้อสอบมาทุกปี เฉพาะข้อสอบ O-NET ถูกวิจารณ์อยู่ตลอดว่า ‘คิดได้อย่างไร’ ‘ข้อสอบแบบนี้จำเป็นหรือ’ หรือคำวิจารณ์ว่า ‘เป็นข้อสอบปรนัยที่ไม่มีคำตอบใดผิดหรือถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นักเรียนต้องตอบข้อสอบอย่างเดาใจคนคิด’ คุณมีความเห็นต่อคำวิจารณ์เหล่านี้อย่างไร และคิดว่าข้อสอบ O-NET มาถูกทางหรือยัง

เท่าที่เห็นข้อสอบมาตลอด 10 ปี ช่วงแรกๆ นี่ถอยหลังเข้าคลองมาก เช่นข้อสอบที่โด่งดังคือข้อสอบ O-NET ม.6 ชุดสุขศึกษา ปีการศึกษา 2554 ที่ถามว่า หากเกิดอารมณ์ทางเพศขึ้นมาต้องทำอย่างไร? หรือข้อสอบปีการศึกษา 2552 ที่ให้สถานการณ์มาแล้วถามว่า เราควรใช้ผ้าปูโต๊ะสีอะไร

สมัยทำงานแรกๆ เด็กๆ ถามกันมาก “พี่… มันออกมาทำไม” “ถามไปเพื่ออะไร มันวัดถูกผิดหรือการเดาใจคนออกข้อสอบ” เพราะชอยส์ทั้ง 5 ตัวเลือก ก็มีโอกาสถูกได้ทั้ง 5 ข้อ แต่ทุกครั้งเกิดคำถามอะไรเช่นนี้ ผมไปทำข่าว ไปสัมภาษณ์อาจารย์ผู้ออกข้อสอบ ซึ่งเขาตอบได้ทั้งหมดเลยนะ หมายความว่าเขามีวัตถุประสงค์หนึ่ง สอง สาม หมายความว่าคนคิดก็ตอบได้ว่าเขาต้องการจะวัดอะไร

แรกๆ ข้อสอบ O-NET จะเป็นแบบนั้น ถูกวิจารณ์แบบนั้น แต่ช่วงหลังๆ โดยเฉพาะ 3 ปีล่าสุด ก็ดีขึ้น ปีล่าสุดแทบไม่มีน้องคนไหนวิจารณ์ข้อสอบ O-NET เลย มีแต่บอกว่า “ข้อนี้ไม่มีชอยส์ไหนที่ถูกเลยนะ”

การเปลี่ยนแปลงของข้อสอบ O-NET ช่วงหลังๆ มีอะไรที่แปลกตาไปบ้าง

ช่วงหลังๆ เขาเปลี่ยนรูปแบบการตอบมากขึ้น แต่ก่อนเป็น 4 ตัวเลือก/1 คำตอบ แต่หลังๆ เริ่มเป็น 5 ตัวเลือก/1 คำตอบ และจึงพัฒนาเป็น 5 ตัวเลือก/2 คำตอบ ซึ่งอย่างหลังนี้ก็ต้องตอบให้ถูก 2 อัน จึงจะได้คะแนนข้อนั้นไป รวมทั้งมีชอยส์ความสัมพันธ์ คือถ้าข้อ 1 ถูก ให้ไปต่อข้อ 2 แต่ถ้าผิดตั้งแต่ข้อ 1 ก็คือผิดทั้งหมดเลย

หรืออย่างข้อสอบปีล่าสุด เรียกว่าหักปากกาติวเตอร์ทุกสถาบันเลย เพราะแรกๆ เขาจะเลือกคนออกข้อสอบที่เป็นอาจารย์โรงเรียนสาธิต หรืออาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วยกันออกข้อสอบ แต่ปีนี้เขาเอาระดับ สสวท. มาออก ข้อสอบก็จะเอื้อสำหรับโรงเรียนบางโรงเรียน สำหรับคนที่เรียนวิทย์-คณิตแบบเข้มข้นมา ปีนี้เด็กก็จะบ่นข้อสอบวิทย์กันเยอะ มีคนแชร์กันในบอร์ดว่า เราเรียนเรื่องนี้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เรียน

ถามว่าไปในทางที่ดีขึ้นไหม ถ้าตอบคำถามโดยการยึดข้อสอบในอดีต คิดว่าเป็นไปในทางที่ดีขึ้น บางทีเป็นข้อสอบเชิงตรรกะที่หลายๆ คน รวมถึงผู้มีชื่อเสียงวิจารณ์กันว่าเป็นข้อสอบที่มีประโยชน์

อีกปรากฏการณ์หนึ่งคือ เมื่อสอบ O-NET เสร็จ หรือเด็กๆ ไปสอบติดมหาวิทยาลัยที่ไหน จะมีการประกาศคะแนนสาธารณะ ติดรูปนักเรียนดีเด่นที่ประตูรั้ว หรือประกาศหน้าเสาธง

กดดันมาก ที่ Dek-D เคยมีดราม่าด้วยนะครับ มีน้องมาตั้งกระทู้ว่า ในวันอำลาพี่ ม.6 โรงเรียนหนึ่ง เขาจะให้พี่ ม.6 ถือป้ายว่าเขาติดมหาวิทยาลัยไหน เด็กๆ จะปรบมือตอนพี่ๆ เดินผ่านและเห็นป้ายว่าเขาติดที่ไหน น้องเขาก็เขียนว่า แล้วคนที่ไม่ติดจะทำอย่างไร เหมือนถูกทำร้ายจิตใจ

เวลาที่เราไปแนะแนวก็จะได้ยินคำพูดของครูว่า “ติดแพทย์ให้ครูสักสองคนได้ไหม” มันก็เป็นค่านิยมเนอะ เด็กเขาก็จะพ้อว่า พอหนูไม่ได้อยากเรียนแพทย์ ก็กลายเป็นว่าไม่ได้เป็นที่สนใจของอาจารย์

“เครียดแล้วไง ไปกินหมูกระทะสิ” Dek-D สอนน้อง

มีคนพูดกันว่า ถ้าไม่อยากเครียดเรื่องการเรียน สอบ อย่าเข้าเว็บ Dek-D.com

นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เครียดมาก เอาจริงๆ นะ ทำงานไม่ประสบความสำเร็จยังไม่เครียดเท่าน้องไม่พอใจเว็บ เวลาอ่านทวิตเตอร์ เจอน้องๆ พูดถึงเว็บเด็กดีในทางที่ไม่ดี บางทีนอนไม่หลับเลย

เช่นในงานแนะแนวต่างๆ รุ่นพี่มักจะบอกรุ่นน้องว่า เวลาสอบเสร็จอย่าไปเข้าเว็บเด็กดี จะมีแต่เครียดขึ้น เพราะว่าเว็บเด็กดีจะมีคนไปแชร์คำตอบกัน พอแชร์เสร็จแล้วไม่ตรงกับเราก็จะเครียด หรือในทวิตเตอร์หลังช่วงสอบก็จะเริ่มละ “ไม่น่าเข้าเว็บเด็กดีเลย”

สองปีมาแล้วที่เราเลือกไม่เอาเรตติ้งเว็บ แลกกับการลดความเครียดของน้องๆ เพราะแต่ก่อนเรื่องการแชร์คำตอบถือว่าเป็นไฮไลท์ของเว็บ Dek-D เลย ทุกครั้งหลังสอบเราจะมีบอร์ดให้น้องเข้ามาแชร์คำตอบกัน น้องก็จะมาแชร์เยอะมาก ส่งผลให้เว็บมีคนเข้าใช้มากที่สุด โดยปกติแล้วทุกวันจะมีหน่วยงานเข้ามาจัดเรตติ้งเว็บ เหมือนละคร เว็บก็มีเหมือนกัน วันไหนที่มีการสอบ น้องๆ เข้ามาแชร์คำตอบกัน ถ้าเราปล่อยให้เต็มที่เลยนะ เว็บ Dek-D อาจขึ้นที่หนึ่งที่สองที่มีคนเข้ามาใช้เยอะสุดได้ ยอดวิวได้ โฆษณาได้

แต่สองปีมานี้เราไม่มีแชร์คำตอบ ถามว่าคึกคักเท่าแต่ก่อนไหม คงไม่ แต่คุ้ม ทีมงานไม่ต้องเครียด น้องไม่ต้องเครียด เวลาที่ทีมงานเห็นคอมเมนต์ว่า “อย่าไปเข้าเว็บเด็กดีเลย” เราจะน้อยใจนะ รู้สึกว่าเราทำผิดอะไร ทั้งๆ ที่คนมาแชร์คำตอบไม่ใช่เรา แต่เราเข้าใจเขาเนอะ ตอนเราเป็นเด็กเราก็อยากรู้ แต่พอรู้แล้วมันก็เพิ่มความเครียด ก็พยายามเลี่ยงคำ เปลี่ยนจากคำว่า ‘แชร์คำตอบ’ เป็น ‘คุยกันหลังสอบ’ มากกว่า เราพยายามทำให้เว็บเหมือนเป็นรุ่นพี่ที่บอกอะไรดีๆ กับน้อง

หรืออย่างโปรมแกรมคำนวณคะแนนของเว็บ Dek-D มียอดเข้าใช้เยอะมาก ซึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ว่าจะปรับแก้อย่างไร ฟังก์ชั่นของโปรแกรมจะบอกว่าน้องมีโอกาสติดที่ไหนบ้าง ซึ่งพอน้องคำนวณแล้วไม่ติดคณะที่ตัวเองอยากเข้าก็จะนอยด์

หลังๆ เริ่มสังเกตแล้วว่าการเลือกคณะของน้องๆ สอดคล้องกับกระแสใน Dek-D เช่น โปรแกรมคำนวณคะแนนคณะไหนที่ถูกคำนวณเยอะ เดี๋ยวไปเจอกันใน top five คณะที่คนเลือกเข้า มันเป็นแบบนั้นจริงๆ วิธีแก้เบื้องต้นก็คือ เราพยายามปรับคำ เช่น แต่ก่อนจะใช้คำว่า ‘ติดชัวร์’ ถ้าใครไม่น่ามีโอกาสติดเลยก็จะใช้คำว่า ‘ไม่น่ารอด’ แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนใหม่เป็น ‘ติด 10 เปอร์เซ็นต์’ อะไรแบบนี้

เรียกว่ายอมลดเรตติ้ง เพื่อไม่ให้เป็นตัวการในการสร้างมวลความเครียดของเด็กๆ ให้มากขึ้น

หลังเปลี่ยนแปลง เราก็มาคุยกันว่ามันก็ดีนะ หนึ่ง-น้องไม่เครียด สอง-กลายเป็นสีสันของบอร์ด สาม-น้องไม่ต่อต้าน ถ้าใครเข้าเว็บรุ่นแรกๆ จะรู้เลยว่าสมัยก่อนนี่คือ สอบเสร็จปุ๊บวิเคราะห์คะแนนเลย แต่เดี๋ยวนี้คือพัก เพราะเรารู้สึกว่าเราป้อนความเครียดให้เขามากเกินไป

เว็บ Dek-D.com เคยมี Line official ไว้ค่อยส่งข่าว ครั้งหนึ่งเราอยากรู้ว่าน้องๆ อยากอ่านอะไรในเว็บเลยส่งข้อความไปถาม สิ่งที่เราได้รับตอบกลับมาคือ พี่เอานาฬิกานับถอยหลังวันสอบที่หน้าเว็บออกได้ไหม มันเครียดมาก

หรือมีคนบอกว่า อยากให้เด็กดีมีคำที่ให้กำลังใจสักวันละหนึ่งคำ ส่งเข้ามาในไลน์ เรายังคุยกันในกอง บก. เลยว่า “พวกเรามาผิดทางอะ”

เราไปสัมภาษณ์คนนู้นคนนี้ วิเคราะห์แนวโน้มคะแนน อยากได้คอนเทนต์ที่ลึกมากๆ แต่น้องไม่ได้ต้องการอะไรเลย น้องต้องการแค่กำลังใจ ซึ่งนี่อาจจะเป็นผลจากความเครียดของพวกเขา

หลังจากปรับ mood&tone ตัดเรื่องเรตติ้งออกไป ทำให้เราแบบ เออนะ น้องเครียดมากๆ สอบเสร็จเราไม่ต้องไปทำอะไรหรอก แค่รีแล็กซ์เขา ไล่ให้ไปกินหมูกระทะ แนะนำซีรีส์หลังสอบเสร็จ นั่นคือสิ่งที่น้องต้องการ ส่วนวิเคราะห์คะแนน ดูว่าคะแนนปีนี้จะขึ้นหรือลง อันนั้นก็ทำอยู่ แต่ว่าแยกไปอีกเซ็คชั่นหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในบอร์ดรวมแล้ว

ทั้งหมดนี้เราก็ยอมแลกกับเรตติ้งที่เสียไป ช่วงหลังๆ น้องจะชอบเข้าเว็บ Dek-D เพื่อมาแชร์รีวิวกัน จนทุกวันนี้ Dek-D กลายเป็นพื้นที่คุยกันหลังสอบ ไม่ได้คุยกันเรื่องคะแนน ไม่ได้คุยกันเรื่องคำตอบ แต่คุยกันแบบ… ตามหาผู้หญิงที่ไปสอบ ว่าเขาเป็นใครเหรอ หรือ เนี่ย… อาจารย์ไม่ให้เราเอานาฬิกาเข้าห้องสอบ เราก็เลยเอานาฬิกาแขวนบ้านไปเลย

ตลอด 10 ปีที่ทำงานมา การแข่งขัน การสอบ ความเครียดจากการเรียนมากขึ้นหรือน้อยลง คิดว่าสถานการณ์ความเครียดของเด็กไทยจะมีทิศทางต่อไปอย่างไร

ถ้ามองในด้านการแข่งขันหรือความกระหายคะแนน ผมว่าพอๆ กัน เด็กยังจริงจัง หรือไฟต์เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย คณะยอดนิยม top 5 ก็ยังเหมือนเดิม คือ แพทย์ ทันตะ เภสัช นิเทศศาสตร์ อักษร เรียงมา 5 อัน ที่เรียกว่า 5 จตุรเทพ แต่ 5 คณะของแต่ละภาคก็จะไม่เหมือนกันนะ เช่น ภาคอีสานจะไม่ใช่แพทย์ แต่เป็นครู

ถ้านับตั้งแต่ ป.1 – ม.6 เราเรียน 12 ปีเต็ม ซึ่งมันนานมากเลยนะ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เด็กไทยรู้ตัวเองว่าเราชอบอะไร เหมาะกับอะไร ควรไปต่อคณะไหน และยังเป็นการศึกษาแบบแข่งขัน

ที่ชัดเลยคือตอนเข้ามหาวิทยาลัย เด็กเก่งจะได้เลือก ขณะที่เด็กอีกกลุ่มคือ คะแนนออกแล้วค่อยมาจิ้มว่า คะแนนเท่านี้มีสิทธิ์ติดอะไรบ้าง แต่พอเข้าไปแล้วอาจจะไม่ใช่เราก็ได้

ใช้คะแนนเป็นตัวชี้วัด และก็เป็นการตัดสินใจเฉพาะหน้า?

เป็นระบบเอาผู้อยู่รอด ต้องติด ต้องติดเท่านั้นโดยไม่สนใจว่าจะติดอะไร เพราะวัดกันที่คะแนน ถึงที่ไหนก็เรียนที่นั่น พอรู้ว่าติดก็ดีใจ 3 วัน แต่เข้าไปเรียนแล้วไม่ใช่ก็ถอยออกมา

อีกเรื่องคือ ติดคณะอะไรก็ได้ ขอให้เป็นมหาวิทยาลัยนี้ ต่อให้เป็นคณะที่ไม่อยากเรียน ก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จมากกว่าเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแต่เป็นคณะที่ใช่ เช่น เคยไปคุยกับอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยหนึ่ง ซึ่งมีอัตราการซิ่วเยอะมาก ซึ่งเราเคยคิดว่ามันเรียนยาก แต่อาจารย์เขาบอกว่า จริงๆ เด็กไม่ได้อยากเข้า แต่มันเป็นคณะที่คะแนนต่ำที่สุดในมหาวิทยาลัยนี้

คิดว่าเพราะอะไร?

อาจจะเป็นค่านิยมนะครับ และที่เห็นอีกเรื่องคือ หลังวันประกาศผล สถานะในเฟซบุ๊คของแต่ละคนจะเปลี่ยนเพื่อบอกว่าเราเป็นนักศึกษา หรือ นิสิต คณะและมหาวิทยาลัยไหน แล้วก็ดึงกันเข้ากรุ๊ป มันสร้างแรงกดดันพอสมควรเลยนะ

น่าสนใจมาก เพราะขณะที่มหาวิทยาลัยเอกชนกำลังพัฒนาศักยภาพและภาพลักษณ์ให้เทียบเท่ามหาวิทยาลัยรัฐ แถมมีทุนจำนวนมากให้นักศึกษา เด็กรุ่นใหม่ก็มีแนวโน้มเชื่อในเรื่องเสรีภาพมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงผูกอนาคตไว้กับการเรียนมหาวิทยาลัยรัฐอยู่

มีบางคนเอาอันดับคณะที่จะเลือกมาให้ดู ซึ่งตามหลักการคือ ถ้าอยากเรียนนิติศาสตร์ เราก็ไล่ไป นิติฯ มธ. นิติฯ ม.มหาสารคาม นิติฯ จุฬาฯ อะไรแบบนี้ใช่มั้ยครับ แต่น้องคนนี้คือ ใน 4 อันดับเลือกคณะไม่เหมือนกัน แต่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เราถามเขาว่า จริงๆ อยากเรียนอะไรกันแน่ เขาก็บอกว่า จริงๆ เลยคืออยากเรียนมหาวิทยาลัยนี้ คณะอะไรก็ได้

สรุปแล้วการสอบ ไม่ได้ตอบโจทย์ศักยภาพของนักเรียนทั้งหมด?

ซับซ้อนเนอะ (ยิ้ม)

นอกจากปรากฏการณ์ด็กซิ่ว การเลือกมหาวิทยาลัยจากค่านิยมและใช้คะแนนเป็นตัววัด มีปรากฏการณ์อย่างอื่นไหมที่มอนิเตอร์จากเว็บแล้วเห็น

ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันมั้ย แต่น่าจะเป็นความเครียดใหญ่ เด็ก ม.6 มักจะพูดคล้ายกันว่าน้ำหนักขึ้น พอเครียดก็กินเยอะ รู้สึกตัวอีกทีตอนแต่งชุดไปสอบไม่ได้แล้ว เรื่องความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกก็มีหลายประเด็นนะ ลูกอยากเรียนคณะนี้ พ่อแม่ไม่อยากให้เรียน เด็กกับผู้ใหญ่ห่างกัน ไม่ค่อยคุยกัน

ความเครียดจากการสอบทำให้บ้านแตกสาแหรกขาดได้?

มีกระทู้ติดอันดับในเว็บเลยว่า ติดแพทย์แต่พ่อไม่ดีใจ เพราะไม่ใช่สถาบันที่พ่อเขาจบมา คอมเมนต์ในกระทู้ส่วนใหญ่ก็จะแบบ หูย… คุณพ่อ แค่ติดแพทย์ก็สุดยอดแล้ว

หลังบ้าน Dek-D
วัยรุ่นไทย-เครียดเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความเป๊ะ

วัยรุ่นอายุ 15 ปีเมื่อสิบปีก่อน กับวัยรุ่น 15 ปีในวันนี้ ถ้ามอนิเตอร์จากเว็บ เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง

ความเครียดไม่เปลี่ยน ความไฟต์เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยไม่เปลี่ยน แต่บุคลิกเปลี่ยน สังเกตว่าโพสต์หลังๆ น้องๆ จะถามอย่างโต้งๆ หรือไม่ก็เป็นบทความเชิงคอนเทนต์เลย เรื่องที่โพสต์ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เช่น มีคนหนึ่งถ่ายรูปข้อสอบมา เขาก็จะสงสัยกันว่าถ่ายมาได้อย่างไร วงกลมในรูปเลยว่าเขาโพสต์ตอนนี้ สนามนี้ อักษรย่อโรงเรียนนี้ ชื่อกระทู้ก็แบบ ‘คิดได้ยังไง?’ และรุ่นหลังๆ ทุกคนจะมีแฟนคลับเป็นของตัวเอง

คือดูแล้วว่า มีความเป็น professional?

อาจจะใช่นะครับ และเขายังมีความคิดแล้วคิดอีก กลัวโดนฟ้อง มีโพสต์หนึ่ง น่าสนใจมาก คือแต่ก่อนแชร์กันว่า ข้อนี้ตอบอะไรๆ แต่ล่าสุดคือ จากข้อสอบ 50 ข้อ เขาจำโจทย์ออกมาเลย 40 ข้อ แต่คนในโพสต์ช่วยกันไล่ชอยส์ ไล่ข้อสอบกัน

เป็นการรวบรวมข้อสอบแบบ open data มากๆ และก็ไม่ใช่การถ่ายรูปออกมาด้วย แต่จำออกมา?!

ใช่ครับ จำออกมา จนกระทู้เหล่านี้ ทีมงานก็จะเก็บไว้เพื่อให้น้องรุ่นต่อไป เพราะว่ามันคือข้อสอบจริงๆ ที่สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)ไม่ได้เปิดเผย

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พูดได้ไหมว่าคือ จากแต่ก่อนที่เราต้องเป็นคนช่วยเขา แต่มาตอนหลังคือ เขาดูแลตัวเอง และดูแลคนอื่นในบอร์ดเด็กดีด้วย

ใช่ เหมือนว่าแต่ก่อนเราเป็นคนจัดระเบียบ ถ้าหัวกระทู้มาแบบนี้ เวลาเราเอาไปแชร์ต้องเปลี่ยนหัวกระทู้ใหม่ คอนเทนต์มันยังดูไม่เข้ารูปเข้ารอยนะ ต้องช่วยตบให้เข้าท่า แต่หลังๆ พวกเขาดูมืออาชีพกว่าพวกผมอีก เนื้อหาปึ้กมาเลย ถ้าเป็นกระทู้แนวจำ ก็จำมาเลย ถ้าเป็นกระทู้แนวสืบสวนสอบสวน วิธีการก็เป๊ะตามลำดับแต่ก็มีข้อดีข้อเสียนะครับ แรกๆ บอร์ด Dek-D จะอบอุ่น เพราะทุกคนกล้าแสดงตัว แต่หลังๆ non login เยอะมาก คิดเห็นบอกกันไปมา แต่ไม่เปิดเผยตัวตน

เด็กอายุ 15 เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กับเด็กอายุ 15 วันนี้เหมือนกันไหม แตกต่างอย่างไร

15 ปีก่อนไม่ใช่แบบนี้ แต่ก่อนสอบติดคณะนี้แต่พ่อแม่ไม่ให้เรียนนี่คือหนักสุด แต่ก่อนไม่ค่อยมีดราม่า แต่เดี๋ยวนี้คึกคัก เวลาประชุมกันก็จะสนุก รู้สึกว่าวัยรุ่นเดี๋ยวนี้มีปัญหาเยอะเนอะ และก็ดูมีเหตุผลแตกต่างกันไป ล่าสุดคือ แอบชอบครูฝึกสอน จะจบแล้ว ทำอย่างไรดี ครูฝึกสอนก็เหมือนจะมีใจด้วยนะ เป็นลูกคนโตแต่ทำไมพ่อแม่ไม่ค่อยรัก หรือ เรื่องของเพศสภาพ เรื่องเพศก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความเคลื่อนไหวเยอะ หรืออาจเพราะมันไม่ได้อยู่ในหลักสูตรหรือเปล่า

พอจะยกตัวอย่างได้ไหมคะ

ส่วนใหญ่ที่มาโพสต์คือเจอกับตัวเองแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะยังไงต่อ เช่น เด็กมัธยมด้วยกัน มีอะไรกันในห้องน้ำ ใช้วิธีหลั่งนอก แล้วน้องก็มาถามว่า ถ้ามันโดนตัวเราจะท้องมั้ย?

ซึ่งเวลาที่ประชุมกันก็จะมีการยกเคสของกระทู้ขึ้นมาศึกษาเพื่อทีมงานจะได้เข้าใจเด็ก บางเรื่องฟังก็ตลก แต่มันเกิดจากความที่น้องเขาไม่รู้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่แค่ความอยากรู้อยากเห็น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว มีความกังวลว่ามันยังไงต่อ เรื่องการเรียนดูซอฟต์ไปเลยครับถ้าเจอบอร์ดเพศ

คำถามสุดท้าย ในฐานะที่ต้องทำงานกับระบบการศึกษา โดยเฉพาะระบบจัดสอบมานาน คุณคิดอย่างไรกับการสอบ การสอบแบบปรนัยยังจำเป็นอยู่ในยุคที่คำตอบไม่ได้มีเพียงหนึ่ง ถ้าไม่ใช่การสอบ ควรเป็นวิธีอะไรดี

การสอบเราจะเหมือนเป็นการท่องจำเพื่อไปสอบให้ได้คะแนนเยอะๆ แล้วพอสอบเสร็จองค์ความรู้นั้นก็หายไป เฉพาะการคัดเลือกเด็กเข้ามหาวิทยาลัยก็พูดกันว่า วิธีการคัดไม่ได้เด็กที่ต้องการจริงๆ เหมือนเราต้องการนักวิ่ง แต่คัดด้วยการว่าย เพราะคิดว่าคนว่ายน้ำต้องปอดใหญ่ แข็งแรง ก็จะเป็นนักวิ่งได้ คือมันไม่สามารถเทียบกันได้ใช่มั้ย

แต่คิดว่าการสอบยังจำเป็นอยู่ครับ แต่ต้องเป็นการทดสอบเพื่อการแข่งขันอย่างเหมาะสมและยุติธรรมจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น PAT2 วิชาเดียว แต่วัดเพื่อเข้าหลายคณะ ซึ่งหากมองไปลึกๆ ก็อาจไม่เหมาะ เพราะ PAT2 ประกอบไปด้วย ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ หลายปีผ่านมา น้องหลายคนติดเภสัชเข้าไปแล้วเรียนไม่ไหว พอถามไปถามมาก็รู้ว่า วิชาเคมีซึ่งต้องใช้เป็นหลักของการเรียนเภสัช ตอนสอบเข้าเขาได้คะแนนพาร์ทเคมีน้อยมาก แต่ที่ติดเข้าไปเพราะได้ฟิสิกส์เยอะ ก็เท่ากับว่า การวัดแบบนี้ได้คนผิดสเปคเลย

Tags:

วัยรุ่นจิตวิทยาการสอบการเติบโตมนัส อ่อนสังข์(ลาเต้ Dek-D)ซึมเศร้า

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Creative learning
    “วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Life classroom
    BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    สอบตกไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำยังไงให้เด็กไว้ใจเล่าให้ฟัง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel