Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: November 2017

โลกไม่สีชมพูของคุณแม่ ‘PINK’
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
14 November 2017

โลกไม่สีชมพูของคุณแม่ ‘PINK’

เรื่อง ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปินในวงการเพลงป๊อปมากมายได้รับรางวัล MTV’s Vanguard Award รางวัลอันทรงเกียรติที่ MTV จะมอบให้กับบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมทางดนตรี ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา บริทนีย์ สเปียรืส, จัสติน ทิมเบอร์เลค, เคนเย เวสต์, บียอนเซ หรือริฮานนาล้วนเคยได้รับรางวัลนี้กันมาแล้วทั้งนั้น ตามธรรมเนียม นี่คือช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองผลงานที่อยู่ในระดับท็อป, การกระหน่ำเมดเลย์เพลงฮิตและการกล่าวสุนทรพจน์อันงดงามแก่ศิลปินที่ผลิตผลงานมาจนถึงจุดนี้ได้ ซึ่งในเดือนสิงหาคมนี้เป็นคิวของอลีเซีย มัวร์ หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม ‘พิงค์’

ตอนที่เธอขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์บนเวที VMAs พิงค์ไม่ได้มาพูดขอบคุณซึ้งๆ ธรรมดาแล้วเดินจากไป แต่เธอใช้เวลาบนเวทีถ่ายทอดเรื่องราวของวิลโลว์ ลูกสาววัย 6 ขวบเกี่ยวกับการยอมรับความบกพร่องของคนอื่นและพลังแห่งการเป็นคนประหลาด

เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งวิลโลว์กลับมาจากโรงเรียนพร้อมประกาศว่าเธอเป็นเด็กที่ “หน้าตาหน้าเกลียดที่สุดเท่าที่ตัวเองเคยเจอมา” หลังจากที่ได้ฟังลูก มัวร์ก็ลงมือทำ powerpoint โชว์ศิลปินเพลงป๊อปที่มีลักษณะของความเป็นสองเพศ (Androgynous)ให้ลูกดู เช่น เดวิด โบวี, ปรินซ์ หรือแอนนี เลนน็อกส์

“เราจะไม่เปลี่ยน” เธอประกาศแก่เหล่าเซเล็บที่กำลังนั่งฟังด้วยความปีติ

“แต่เราจะช่วยให้คนอื่นเปลี่ยนเพื่อที่พวกเขาจะได้มองเห็นความงามในรูปแบบอื่นบ้าง”

ตลอดระยะเวลาที่เธอประกอบอาชีพศิลปิน อาจจะกล่าวได้ว่าครั้งนี้พิงค์กลั่นกรองสุนทรพจน์ออกมาได้อย่างสะอาดสะอ้าน เธอพูดถึงเรื่องการต่อต้านตัวตนและความจริงใจด้วยอารมณ์ที่ท่วมท้นและพลุ่งพล่าน ซึ่งทำให้สุนทรพจน์ครั้งนี้กลายเป็นไวรัลยิ่งใหญ่ในอินเทอร์เน็ต สัปดาห์ต่อมา มัวร์เผยว่าเธอมีความรู้สึกผสมปนเปหลังจากที่โลกออนไลน์รับรู้ รู้สึกได้ถึงชีวิตหลังไวรัลที่แข็งแรง

“ฉันคิดว่ามันสวยงามนะ เพราะนี่คือประสบการณ์ของฉันกับลูกสาว ถ้ามันทำให้ใครสักคนรู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาได้ ฉันก็พร้อมที่จะยืนหยัด แต่มันก็น่าเศร้าที่เรื่องนี้กระทบใจคนจำนวนมาก ฉันเกลียดการที่รู้ว่าคนเราเกลียดตัวเองมากขนาดไหน การเกลียดตัวเองมันเป็นเรื่องที่ยังสดใหม่มาก แล้วมันยากที่จะมองดูภาวะเช่นนี้”

แต่มีอยู่หนึ่งคนที่ไม่ได้รู้สึกประทับใจไปกับสุนทรพจน์และบรรยากาศจับใจ วิลโลว์หัวเราะคิกคัก เห็นได้ชัดเลยว่าเธอไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรกับคำพูดของแม่

“เธอคิดว่าฉันโชว์เด๋อ”

ความผัวเดียวเมียเดียว คือการทำงาน

ในโลกของเพลงป๊อป พิงค์มักจะถูกมองว่าผิดปกติอยู่เสมอ เพราะพิงค์ไม่เคยพริ้งมากพอที่จะเป็นนักร้องหน้าใหม่ที่ฉายแสงได้ ถึงแม้ว่าจะใส่พลังเต็มที่ในอัลบั้มแรก ‘Can’t Take Me Home’ แนวคลาสสิกที่ไม่ค่อยน่ายกย่องของยุคอาร์แอนด์บี ป๊อปปลาย 90 แต่ในอัลบั้มสองในปี 2544 ‘Missundaztood’ ต่างหากที่เธอเริ่มจะออกนามบัตรแจกทุกคนเพื่อบอกความเป็นพิงค์ได้แล้ว เนื้อร้องที่มีเนื้อหาเหมือนวรรคขึ้นต้นแสนจริงใจในไดอารีผสานกับแนวดนตรีป๊อปร็อคเฟรนด์ลี่แต่เหลี่ยมจัด เธอเติบโตจากลุคเด็กสาววัยรุ่นขี้ยาจากดอยเลสทาวน์ที่วันๆ เอาแต่ก่อเรื่องไม่เข้าท่า ไปสู่การเป็นคุณแม่ลูกสองอายุ 38 ปีที่มีชีวิตแต่งงานที่มั่นคง ใสสะอาดตั้งแต่อายุ 15 และกลายเป็นคนที่บอกว่าจะไม่จัดปาร์ตี้ระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตอีกแล้ว แต่จะพาทีมงานและลูกไปเที่ยวสวนสาธารณะและพิพิธภัณฑ์ในพื้นที่แทน

“ตอนที่ยังเด็ก พ่อแม่ของคนอื่นมักจะไม่อนุญาตให้ฉันไปเล่นที่บ้าน” เธอทวนความทรงจำ

“ฉันเป็นเด็กเวร ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกมาอยู่ใกล้ๆ ฉันเป็นเด็กป่วน ฉันเป็นเด็กแห่งความฉิบหาย ฉันเป็นเด็กที่มีปากมีเสียง ฉันมักจะมากับปัญหาเสมอ แต่ตอนนี้ พวกแม่ๆ กลับบอกว่า “พวกเรารู้สึกดีที่ลูกสาวของเราชอบเธอนะ” มัวร์นอนพิงโซฟา “โลกมันก็กลับตาลปัตรแบบนี้แหละ”

พิงค์, คาร์ลีย์ ฮาร์ท และ วิลโลว์ ฮาร์ท ในงาน MTV Video Music Awards 2017

มัวร์และสามีแต่งงานกันในปี 2545 ใช้ชีวิตแต่งงานด้วยกันมา 11 ปี และเพิ่งจะมีเจมส์สัน ลูกชายคนที่สองเมื่อปีที่แล้ว เธอยินดีที่จะเปิดเผยชีวิตแต่งงาน ดูสบายๆ และไม่มีอะไรปิดบัง จริงๆ ก็ดูจะหลุดๆ นิดหน่อยด้วยเหมือนกัน

“บางครั้งฉันมองฮาร์ทแล้วก็คิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ชอบใช้ความคิด, มีเหตุมีผลและคงเส้นคงวา…และเหมือนหินผา เขาเป็นผู้ชายที่ดี พ่อที่ดี เป็นพ่อในแบบที่ฉันคิดว่าเขาจะเป็นได้ แต่ฉันก็จะมองเขาแล้วคิดว่า ฉันรักเธอไม่ลงหรอกเพราะฉันไม่ได้ชอบอะไรในตัวเธอเลย เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันสักอย่างแล้วฉันก็ไม่ได้ชอบสิ่งที่เธอชอบด้วย ฉันไม่อยากจะเจอเธออีกครั้งด้วยซ้ำ แต่สองสัปดาห์ต่อมาฉันกลับคิดว่าความสัมพันธ์กำลังเป็นไปอย่างดี ดีมากๆ เลย แล้วคุณก็จะผ่านช่วงเวลาที่ไม่ได้มีเซ็กส์ไปปีหนึ่ง เหมือนเตียงตายไปแล้ว? มันมาได้สุดแค่นี้ใช่ไหม? ฉันต้องการเขาจริงๆ หรือเปล่า? แล้วเขาล่ะต้องการฉันไหม?” เธอสูดลมหายใจ

“ความผัวเดียวเมียเดียว (monogamy) มันคือการทำงาน! แต่คุณต้องตั้งใจทำงาน มันถึงจะออกมาดี”

มัวร์เล่าว่าเธอเป็นคนเปิดเช่นนี้มาโดยตลอดทั้งในเนื้อร้องและทำนองของชีวิต อย่างเดียวที่เธอตัดสินใจว่าจะไม่พูดถึงมันเลยคือเรื่อง “ความรุนแรงของผู้หญิงต่อผู้หญิง” (girl-on-girl violence) เพราะเมื่อนักข่าวถามเธอเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวล่าสุดในวงการป๊อป (เรื่องเทย์เลอร์ สวิฟต์ กับเคธี แพร์รี ทะเลาะกัน) เธอก็คิดได้ว่าการไม่ให้ความเห็นอะไรสบายใจกว่าเยอะ

“ฉันเกลียดเรื่องพวกนี้ เกลียดที่มันมีแพร่หลายไปทั่ว” เธอกล่าว “ฉันแค่ชอบใช้ความคิดมากกว่าที่จะเสียเวลาไปคิดถึงมัน”

แต่พอเป็นประเด็นอื่น เธอกลับอดที่จะปลดปล่อยออกมาไม่ได้ การเขียนเนื้อเพลงในเชิงสารภาพความคิดไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก่อนที่โซเชียลมีเดียจะทำให้ขอบเขตเรื่องส่วนตัวของผู้คนป่นรวมกัน มัวร์ก็ถ่ายทอดเรื่องเหล่านั้นออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งการเสพยา, ความสับสนอลหม่านของการหย่าร้างในครอบครัว หรือแม้กระทั่งการแยกกันอยู่ชั่วคราวกับฮาร์ท ที่กลายมาเป็นท่อนแสบๆ ในซิงเกิล So What ที่ร้องว่า “รู้สึกว่าฉันจะทำสามีหาย ไม่รู้ว่าเขาไปไหน” เธอแซะตัวเองขำๆ ว่ามันคือ “การอาเจียนความจริง”

“ฉันผลิตมันออกมาอย่างชัดเจน และคิดว่าไม่ได้รับรู้ถึงความสำคัญของมันจนกระทั่งได้ออกเพลง Family Portrait” ซิงเกิลออกมาในปี 2544 มัวร์จำได้ว่ามีแฟนเพลงคนหนึ่งยื่นจดหมายที่ร่ายยาวเรื่องชีวิตเลวร้ายที่เต็มไปด้วยการโดนข่มเหง และเขียนบอกว่าถ้าตอนนั้นไม่ได้ฟังเพลงของพิงค์ เธอคงคิดที่จะฆ่าตัวตายไปแล้ว

“ฉันนั่งร้องไห้เป็นอีบ้าอีบออยู่ตรงนั้นและส่งคนออกไปตามเธอกลับมา ฉันไม่อยากให้เธอกลับบ้าน แต่เธอหายตัวไปแล้ว และฉันก็ไม่มีโอกาสได้เจอเธออีกเลย” มัวร์ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีกเรื่อยๆ เธอมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนทางอารมณ์กับแฟนเพลงและได้รับจดหมายมากขึ้น

“ฉันเริ่มที่จะเข้าใจว่าเวลาที่ฉันอึดอัดสุดขีด อ่อนแอสุดขีด ป่าวร้องในสิ่งที่ซื่อสัตย์สุดขีด น่าอายสุดขีด นั่นคือสิ่งที่คนฟังจะรับรู้ได้มากที่สุด และฉันก็ได้บำบัดตัวเองไปด้วยในขณะที่คนอื่นๆ ก็จะได้ผลพลอยได้จากมันไป นั่นคือสิ่งเดียวที่มีความหมายสำหรับฉัน ฉันไม่แคร์ว่าจะต้องชนะรางวัลหรือโพสท่าอยู่บนปกนิตยสารอะไร หรือจะมีใครมาชอบฉัน”

เธอเอ่ย “มันไม่เคยเปลี่ยนจุดยืนฉันได้เลย”

ในปี 2555 มัวร์ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเกย์ the Advocate เกี่ยวกับเรื่องที่เธอโดนข่าวลือและการคาดเดาเพศที่แท้จริงของเธอเป็นปีๆ สื่อบรรยายว่าเธอเป็นประเภท “หลากหลายได้หมด” เมื่อถกถึงประเด็นว่าเธอกำลังชอบใครอยู่ ในช่วงที่พิงค์เป็นนักร้องป๊อปใสๆ ในยุคแรกของช่วงทศวรรษ 2000 มีข่าวออกในหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์บ่อยๆ ว่าเธอกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ 15 ปีต่อมา ประเด็นเรื่องความกำกวมของรสนิยมทางเพศ (sexual orientation) ผูกติดอยู่กับป๊อปสตาร์สมัยใหม่ เทรนด์ของโลกจึงเปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง

“แต่ฉันคิดว่าคนชอบไมลีย์ ไซรัสนะ….ฉันรู้สึกว่าคนเริ่มไม่ค่อยจะอยากโดนแปะป้ายกันแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันชอบมาก” เธอยักไหล่

“มันคือสิ่งที่ฉันเป็นมาโดยตลอด ปล่อยๆ มันไปเถอะ ฉันแค่อยากใช้ชีวิตของฉัน ฉันไม่ต้องการให้คุณมาจับฉันยัดใส่กล่องเพื่อที่จะมาวิเคราะห์ว่าฉันคิดอะไร หรือเป็นอะไร เพราะตัวฉันเองก็ยังสรุปไม่ได้เลย”

เธอหัวเราะเสียงแหลมเพราะรู้สึกตลก “ยังลองไม่หมดเลยอ่ะ…”

มัวร์คือส่วนผสมที่น่ารักระหว่างความขบถและความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เธอยอมรับว่าเธอมี “ความเซนซิทีฟสูงมาก” ซึ่งบางครั้งมันขับให้เธอลงมือทำอะไรห้าวๆ ที่รังแต่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง “IRHBA” เธอหัวเราะ ความหัวร้อนแบบฉับพลันน่ะ (Instant Red Hot Burning Anger) มันคล้าย IBS (โรคลำไส้แปรปรวน) แหละ แต่ไม่เหมือน”

จงซื่อสัตย์กับตัวเอง

มัวร์เผยว่าพ่อของเธอเป็นทหารที่ต่อสู้ในสงครามเวียดนาม เขาสอนให้เธอยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง “ชื่อเล่นของเขาคือนายเจ้าปัญหา เขาเลี้ยงฉันมาจากประโยคของเช็คสเปียร์ที่ว่า “จงซื่อสัตย์กับตัวเอง” (to thine own self be true) บางครั้งคุณต้องยืนอย่างโดดเดี่ยวเพื่อสิ่งที่คุณเชื่อมั่นและช่วยเหลือคนตัวเล็กๆ คือฉันค่อนข้างมาในสไตล์ราชากำปั้น (Rocky Balboa) ฉันมาจากฟิลาเดลเฟีย ฉันมีวิญญาณนักสู้ในตัว”

ในปี 2549 เธอเลยใส่วิญญาณนักสู้ลงใน Dear Mr.President เพลงบัลลาดบาดหัวใจเกี่ยวกับการต่อต้านสงครามเพื่อส่งสารให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช โดยตรง ช่วงนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดียังไม่แพร่หลายเหมือนอย่างทุกวันนี้ ปฏิกิริยาโต้กลับจึงดีดค่อนข้างฉับพลัน

“ฉันโดนโห่ไล่ตอนขึ้นแสดงบนเวที โดนปามะเขือเทศใส่ไม่ยั้ง ฉันเลยหยุดแสดงแล้วพูดว่า “พวกคุณได้ยินเสียงนั้นไหม” แล้วพวกเขาทุกคนก็ตอบว่า “ได้ยิน” ” เธอเว้นจังหวะเพื่อสื่อให้รู้ว่าผลกระทบมันร้ายแรง “ฉันเลยบอกว่า “นั่นแม่งเป็นเสียงของความไร้พลัง ไอ้เ_ี้ยเอ๊ย!” เธอตะโกนพร้อมชูนิ้วกลาง ซึ่งตอนนี้เธอก็ยังภูมิใจอยู่เลยขอพูดสักหน่อย “มันคือการแบ่งขั้วอย่างเห็นได้ชัดนั่นแหละ แต่ฉันคิดชัดแล้วว่าไม่ว่าคนจะเห็นด้วยกับฉันหรือไม่ พวกเขาก็จะไม่บอกว่าฉันเป็นคนปลอมๆ ฉันโอเคกับมันเพราะจุดนี้สำคัญมากกว่า ไม่จำเป็นต้องมาเห็นด้วยกับฉันหรอกเพราะฉันต้องการเรียนรู้”

ตอนนี้พ่อแม่ทั้งหลายคงไม่ต้องกังวลแล้วว่าอลีเซีย มัวร์จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับลูกของพวกเขา แต่จริงๆ พิงค์ก็ยังแฮปปี้ที่จะมีส่วนสร้างความป่วนเล็กๆ น้อยๆ เป็นบางครั้งบางคราว “ฟังนะ” เธอเริ่ม “ฉันน่ะมีส่วนผสมของ “คนเ_ี้ย อยู่ เรื่องมันก็มีอยู่แค่นั้นแหละ”

Tags:

พ่อแม่ศิลปินดนตรีเพศ

Author:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    คุยเรื่องเพศไม่ต้องกระซิบ: สร้างพื้นที่ปลอดภัยไม่ให้ลูกกลัวถูกตำหนิ สบายใจที่จะแชร์

    เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Unique Teacher
    สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

    เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Voice of New Gen
    บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

‘เด็กไม่ใช่ผ้าขาว’ สุริยเดว ทรีปาตี
Growth & Fixed MindsetEarly childhood
14 November 2017

‘เด็กไม่ใช่ผ้าขาว’ สุริยเดว ทรีปาตี

เรื่อง The Potential

  • เด็กคือผ้าหลากสี เกิดมาต่างกัน และไม่มีความจำเป็นต้องเหมือนกัน เมื่อทัศนคติว่าเด็กเป็นผ้าขาวเปลี่ยน วิธีการเลี้ยงก็จะเปลี่ยน พอวิธีการเปลี่ยน ก็ส่งผลถึงเด็กทันที
  • ศิลปะในการเลี้ยงลูก หรือ goodness of fit คือการไม่เปรียบเทียบลูก แต่ให้คำชมและท้าทายไปด้วย เช่นบอกว่า ‘ลูกแม่จะเก่งมากเลยถ้าปูเตียงได้ดีกว่านี้’ พอเด็กบ้ายอเด็กก็ลุกขึ้นมาทำต่อ
  • เวลาเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง เราจะยื่นความช่วยเหลือเข้าไปได้ไม่สุด มือไม่แตะกับมือ แต่จะมีระยะห่างที่จะให้เขาใช้แรงกระตุ้นของเขาเพื่อยื่นมาแตะมือเราให้ได้ หลักการมันเป็นแบบนั้น
เรื่อง อารยา คงแป้น
ภาพ อนุชิต นิ่มตลุง

“คุณคิดว่าเด็กคือผ้าสีอะไร”

คือหนึ่งในคำถามที่ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว โยนกลับมาที่เรา และด้วยความเข้าใจพื้นฐานมายาวนาน – เด็กคือผ้าสีขาว เราตอบ คำตอบของเราไม่ผิด แต่ถือเป็นคำตอบแบบท่องจำที่ถูกฝังใส่หัวมานาน เพราะแท้จริงแล้วเด็กคือผ้าหลากสี เกิดมาต่างกัน และไม่มีความจำเป็นต้องเหมือนกัน

เมื่อเริ่มต้นต่างกัน วิธีการเลี้ยงเด็ก การพัฒนาและส่งเสริมก็ควรต้องต่างกันไปด้วย แต่ในเมื่อสังคมไทยยังมีกรอบความคิดเรื่องผ้าขาว เรื่องการผลักเด็กเข้าสู่สายอาชีพที่อาจมั่นคงต่อชีวิตแต่ไม่รื่นรมย์ต่อหัวใจ ความทุกข์ทรมานของเด็กซึ่งเป็นผลมาจากการถูกบีบบังคับจึงไม่มีทางจบสิ้น

Growth Mindset คือประเด็นตั้งต้นในการเดินทางมาสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว หนึ่งในแนวคิดการพัฒนามนุษย์ และอาจเป็นทางออกของปัญหาข้างต้น เพียงแต่ต้องเริ่มเปลี่ยน เริ่มปลูก ตั้งแต่วันนี้

อย่างง่ายที่สุด Growth Mindset คืออะไร

Growth Mindset เป็นคำใหม่ ที่ถือว่าเป็นโปรดักท์หนึ่งซึ่งถูกพัฒนามาด้วยนักวิจัย ซึ่งจริงๆ ถ้ากลับไปดูเนื้อหาของนิทานเรื่องพระมหาชนก จะเห็นว่าความเพียรคือเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งแนวคิดแบบนี้มันไม่ได้เพิ่งมี มันมีมาช้านานแล้ว

ยกตัวอย่างของการคิดแบบ Growth Mindset ถ้าเดินขึ้นมาที่ตึกสถาบันแห่งชาติเพื่อพัฒนาเด็กและครอบครัว ก็จะเห็นคำว่า เด็กทุกคนไม่ได้เป็นผ้าขาวอย่าเข้าใจผิด

ซึ่งการบอกว่าเด็กเป็นผ้าขาว มันคือ Fixed Mindset คือค่านิยมที่ถูกปฏิบัติแล้วส่งทอดกันมารุ่นต่อรุ่น จนทำให้รู้สึกว่ามันเป็นสรณะ เป็นค่านิยม

แต่ค่านิยมอีกปีกหนึ่งคือค่านิยมที่ทันยุคทันสมัยพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงได้ มีวิธีคิด มีวิธีการจัดการตัวเอง แต่การจะทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงตัวเองจากที่เคยมีอุปนิสัยอย่างหนึ่งซึ่งถูกส่งต่อมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ให้สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ออกไปในมิติอื่นได้ มันต้องอาศัยการพัฒนา

เรื่องนี้เกิดขึ้นเองไม่ได้แน่นอน แล้วถามว่าใครคือคนที่จะพัฒนาเด็กให้มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็หนีไม่พ้นพ่อแม่ โรงเรียน หรือแม้แต่คนในชุมชนที่เป็นปราชญ์ชาวบ้าน เพราะปราชญ์ชาวบ้านเองก็มีการสร้างภูมิปัญญา องค์ความรู้เพื่อใช้ในท้องถิ่น

เอาแค่คำว่า New Mindset คือทัศนคติและค่านิยมใหม่ การจะทำให้มีทัศนคติหรือค่านิยมได้ มันต้องใช้เวลา ส่วนหนึ่งมันอาจจะถูกถ่ายทอดกันมารุ่นสู่รุ่น จนเกิดเป็นวัฒนธรรม แล้วเราก็ยึดปฏิบัติ ซึ่งการยึดปฏิบัติแบบนั้นเท่ากับว่าเป็น Fixed Mindset การไม่ยึดรูปแบบนั้น พร้อมที่จะต่อสู้ พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะบางอย่าง เพื่อจะจัดการปัญหาของตนเองได้ จัดการกับการอยู่ร่วมกันในสังคมได้ นั่นก็เรียกว่าเป็น Growth Mindset

ชุดความคิดเรื่องเด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว เราก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ใช่ไหม

ใช่ครับ สิ่งที่หมอกำลังจะพูดคือ การที่หมอลุกขึ้นมาส่งสัญญาณว่า เด็กไม่ใช่ผ้าขาวโปรดอย่าเข้าใจผิด เพราะต้องการเปิดโลกทัศน์ ทลายกรอบแบบยึดติด ซึ่งมันยึดติดมากจริงๆ เพราะถามกี่วงเสวนาเขาก็จะตอบว่าเด็กเป็นผ้าขาว จนมาช่วงหลังๆ เขาเริ่มรับรู้กันแล้วว่า เด็กไม่ใช่ผ้าขาว เพราะหมอเองก็มีโอกาสได้พูดกับสื่อมวลชนบ่อยขึ้น โอกาสที่เขาจะได้ยินมันก็มีมากขึ้น

แต่รู้ไหมว่าทำไมหมอถึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาว่าเราต้องปรับ mindset เพื่อทลายกรอบ ว่าเด็กทุกคนเกิดมาไม่ใช่ผ้าขาว ที่หมอทำแบบนี้เพราะหมอกำลังส่งสัญญาณสองสัญญาณ

สัญญาณที่หนึ่ง เพื่อบอกว่าเด็กทุกคนเกิดมาไม่เหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน สัญญาณนี้กำลังจะเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้พ่อแม่ ว่าโลกยุคสมัยใหม่มันมีความชอบ ความถนัด และความสามารถของเด็ก ที่ตั้งแต่เกิดมาก็มีรสนิยมไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเด็กเขามีความถนัดที่หลากหลาย ถ้าพ่อแม่มี Growth Mindset เขาจะเลี้ยงลูกแบบเลิกเปรียบเทียบ เพราะเขารู้ว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน คนหนึ่งพร้อมจะเป็นศิลปิน อีกคนหนึ่งอาจจะพร้อมเป็นนักคณิตศาสตร์ เมื่อไม่เปรียบเทียบ เด็กก็จะไม่บาดเจ็บ ไม่เกิดบาดแผลในใจ นี่แค่ทัศนคติเปลี่ยน จะเห็นว่าวิธีการเลี้ยงเปลี่ยน พอวิธีการเปลี่ยน ก็ส่งผลถึงเด็กทันที

สัญญาณที่สอง ที่หมอส่งออกมาคือ เมื่อทุกคนต่างกัน มันเลยทำให้มีการแบ่งโทนสี ซึ่งเป็นโทนสีที่ไม่เหมือนกัน เด็กทุกคนที่เกิดมาเป็นผ้าสีพื้นที่ไม่เหมือนกัน บางคนเป็นสีเหลือง บางคนเป็นสีฟ้า กระบวนการเลี้ยงของพ่อแม่ตลอดเส้นทางนั้นมันจะไปใส่ลวดลายบนผืนผ้านั้น

ที่จะบอกก็คือ พ่อแม่บางคนอาจมีลูกที่เป็นสีโทนเย็น เช่น น้ำเงิน เขียว ฟ้า กลุ่มพวกนี้ถือเป็นกลุ่มเลี้ยงง่าย สั่งให้ซ้ายก็ซ้าย ขวาก็ขวา ให้เรียนก็เรียน เป็นผ้าพับไว้ตามทำนิยามของผู้ใหญ่ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าเมื่อมีเลี้ยงง่ายก็ต้องมีเลี้ยงยาก เป็นสีโทนร้อน แดง ส้ม เหลือง ทำทุกอย่างตรงข้ามกับที่พ่อแม่บอก เติบโตมาก็เป็นวัยรุ่นที่พร้อมจะแหกกฎ แต่เป็นมนุษย์บ้าพลัง เด็กเลี้ยงยากจะมีพลังเยอะมาก

หมอเปรียบเทียบแบบนี้ว่า ไทยแลนด์ 4.0 ไม่มีทางสำเร็จได้ด้วยเด็กเลี้ยงง่าย เพราะเขาคิดตามกฎ ทำตามกฎ แต่ถ้าเป็นกลุ่มเด็กเลี้ยงยาก พวกนี้จะสร้างสรรค์พร้อมเผชิญความเสี่ยง

อย่างเช่น สตีฟ จ็อบส์,แจ็ค หม่า, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, โธมัส อัลวา เอดิสัน, เบนจามิน แฟรงคลิน, มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก คนไหนเป็นเด็กเลี้ยงง่ายบ้าง ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นถ้าเปลี่ยนจาก Fixed Mindset เป็น Growth Mindset วิธีการเลี้ยงลูกจะเปลี่ยนไปเลย แล้วจะทำให้เด็กเกิด Growth Mindset ตั้งแต่เกิด ซึ่งรากฐานของการเกิด Growth Mindset ศิลปะในการเลี้ยงลูกของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน

เด็กที่เกิดมาเป็นสีต่างโทนกัน มันจะทำให้เขาเป็นคนโทนนั้นไปเลยหรือเปล่า

มันมีคำนี้ครับ คือ เกิดมาผ้าทั้งผืนมันเป็นสีนั้นจริง แต่ต่อมามันคือศิลปะในการเลี้ยงลูก ในทางการแพทย์เรียกว่า goodness of fit คือศิลปะในการเลี้ยงลูก ซึ่งสามารถพัฒนาเด็กคนหนึ่งที่อาจจะเคยเป็นเด็กเลี้ยงยาก แต่พอเขามีพื้นที่ จากที่เขาเคยบ้าพลังแล้วใช้พลังไปในทางที่แย่ ก็ถูกเปลี่ยนไปในทางที่ดี

กระบวนการ goodness of fit คือการไม่เปรียบเทียบลูก คือการให้การสนับสนุนเด็กบางคนที่ไม่เคยคิดจะปูเตียงเลย แต่วันนี้ลุกขึ้นมาปูเตียง พ่อแม่ก็ใส่คำชื่นชมเข้าไป แล้วท้าทายเขาต่อ เพื่อให้เขากลายเป็นคนที่มีศักยภาพสูงขึ้น เพราะฉะนั้นมันต้องมีประเด็นท้าทาย ไม่ใช่ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น เพราะฉะนั้นผู้ปกครองต้องชมและท้าทายไปด้วย เช่นบอกว่า ลูกแม่จะเก่งมากเลยถ้าปูเตียงได้ดีกว่านี้ พอเด็กบ้ายอเด็กก็ลุกขึ้นมาทำต่อ นี่คือการสร้างแรงบันดาลใจ

ทั้งหมดนี้มันคือกระบวนการเลี้ยงเด็ก ซึ่งมันตรงกับงานวิชาการเรื่อง Growth Mindset

ควรจะปลูกฝัง Growth Mindset ให้กับเด็กตั้งแต่อายุเท่าไหร่

จริงๆ หมอไม่อยากให้พ่อแม่ที่มีเงินพาลูกไปลงคอร์สเรียนเพื่อสร้าง Growth Mindset หมอไม่อยากเห็นภาพแบบนั้นเลยเพราะการเลี้ยงลูกมันต้องใช้ใจ จิตวิญญาณ ความรักความเข้าใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่มีอายุ มันเกิดตั้งแต่ในครรภ์มารดา การที่แม่ส่งสัญญาณบวกไปให้ลูกมันเป็นการกระตุ้นทางสภาวะแวดล้อม ทารกในครรภ์มารดาที่ได้รับกระแสบวกอยู่ตลอดเวลาจะได้รับความอบอุ่น และเกิดการไว้วางใจ เมื่อคลอดออกมาเติบโตด็ถูกเลี้ยงดูแบบไว้วางใจ เมื่อโตขึ้นไปเขาก็จะมีคุณลักษณะอย่างหนึ่ง คือมองโลกในแง่ดี การมองโลกในแง่ดีมันดีตรงที่เขาพร้อมที่จะรับฟังคนอื่น นี่ไง Open Mindset มาแล้ว

จะเห็นได้ว่าทุกอย่างมันถูกจัดขบวนเป็นชีวิตของชีวิต เราไม่ได้มองใครเป็นส่วนๆ การพัฒนาเด็กคนหนึ่งต้องพัฒนาทั้งหัวจิตหัวใจทั้งหมด ทุกอย่างมันถึงจะกลมกลืนกัน เพราะฉะนั้นการใช้ใจในการเลี้ยงลูก แล้วใช้กระบวนการในการเลี้ยงลูก มันจะสร้าง Growth Mindset ได้ทันที

ถ้าจะตอบให้ชัดมากขึ้นคือ การใส่อุปนิสัยเข้าไปในตัวเด็ก เช่น ทำให้เด็กเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ มีความเพียรพยายาม ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค

ผู้ปกครองก็ต้องใส่โจทย์ที่ท้าทายให้เขา จากธรรมดาให้ซับซ้อน นี่คือกระบวนการที่พ่อแม่ต้องใส่เข้าไปเพื่อให้ลูกพยายามเอาชนะ

ถ้าเลี้ยงลูกแบบสมัยก่อน แบบง่ายๆ ก็จะเห็นว่าบางเรื่องพ่อแม่ไม่ได้ไปตามใจ ลูกหกล้มก็ต้องลุกเอง จะได้เรียนรู้เอง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นการพัฒนา Growth Mindset เพราะเขาจะเห็นทันทีเลยว่าโลกใบนี้มันไม่ได้มีแต่สิ่งสวยงามอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าเรียกร้องตอนไหนพ่อแม่ก็หามาให้ทันที ถ้าพ่อแม่ตามใจแบบนั้น Growth Mindset จะไม่เกิดเลย ซึ่งกระบวนการพวกนี้สำคัญหมด

ถ้าอย่างนั้น Growth Mindset ก็ต้องเริ่มจากพ่อแม่ด้วยใช่ไหม

ใช่ครับ เพราะ change agent เป็นเรื่องสำคัญ ที่หมอตั้งต้นว่า เมล็ดพันธุ์หรือตัวลูก ถ้าเขาคลอดออกมาครบ 32 เราก็เข้าใจแล้วว่าทุกคนไม่เหมือนกัน รสนิยมต่างกัน พื้นฐานอารมณ์ไม่เหมือนกัน ซึ่่งการจะทำให้เด็กมีคุณลักษณะอย่างหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จ มันต้องใส่กระบวนการเลี้ยงดูเข้าไป

คนที่มีอิทธิพลที่จะทำให้กระบวนการเลี้ยงดูนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตของเด็กก็หนีไม่พ้นบ้าน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญ หนีไม่พ้นโรงเรียน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นที่สอง และโดยทางอ้อมยังมีอีกสองฐานที่มั่นคือ ชุมชน ถ้าเด็กอยู่ในชุมชนที่ทุกคนปากกัดตีนถีบ พร้อมจะสู้ ตรงนี้มันเป็นจิตวิทยาชุมชน

ส่วนอีกฐานที่มั่นที่อาจจะเกี่ยวโยงอยู่นิดๆ คือกลุ่มเพื่อน กลุ่มเพื่อนที่มีอิทธิพลคือกลุ่มเพื่อนในวัยเด็กโต แล้วเขาช่วยกันสร้าง Growth Mindset ด้วย จะเห็นว่าเด็กที่เข้าค่ายพัฒนาชุมชนเขาก็พากันไปทั้งกลุ่มเลย เพราะฉะนั้นคำถามนี้ก็ต้องตอบว่า แน่นอนครับ ผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เด็กก็ต้องพัฒนา Growth Mindset ด้วยเหมือนกัน

คำว่า Growth Mindset ในที่นี้ก็คือกระบวนการเลี้ยงลูกโดยที่รู้จักว่าเขาเป็นอย่างไร เราต้องรู้ว่าลูกแต่ละคนเขาไม่เหมือนกัน มีความถนัดต่างกัน จะทำอย่างไรให้ศักยภาพบนความถนัดที่หลากหลายนั้นปรากฏออกมา

การจะทำให้ปรากฏออกมาก็ต้องมีพื้นที่แห่งโอกาส แล้วใครเป็นคนสร้างโอกาส ก็หนีไม่พ้นฐานที่มั่นที่บอกไปก่อนหน้านี้ เมื่อมีอุปสรรคขวากหนาม คนเหล่านี้ก็จะคอยเป็นแรงสนับสนุนให้เด็ก คนเหล่านี้ต้องรู้จักให้กำลังใจเพื่อให้เด็กเอาชนะขวากหนามได้ เพราะบางครั้งความล้มเหลวมันสร้างภูมิต้านทานที่มีผลต่อ mindset

ในแนวคิด Growth Mindset คำต้องห้ามที่ไม่ควรพูดกับลูกคือคำว่า “ลูกเก่งแล้ว” เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้น

ขอตอบในแง่ของหลักจิตวิทยาแบบไม่เกี่ยวกับ Growth Mindset นะครับ คือเราต้องการให้ลูกเราเก่งใช่ไหม แต่มีเก่ง ก็ต้องมีเก่งมาก และเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นสิ่งที่หมอจะสะท้อนคือ ในการให้คำชื่นชม เราจะให้คำชื่นชมในระดับหนึ่งเมื่อตอนที่เขาทำไม่ได้ เมื่อเขาลุกขึ้นมาทำจนได้ เราก็ให้ความชื่นชม แต่ถ้าระดับของการพัฒนามันยังอยู่เท่าเดิมไม่ได้เพิ่มขึ้น เราก็หยุดการชื่นชมแล้วไปกระตุ้นแทน

ยกตัวอย่างเช่น ลูกไม่กินผักเลย แต่พ่อแม่ก็อยากให้ลูกกิน ถ้าวันหนึ่งจากที่เด็กไม่เคยเหล่ตามองผัก วันหนึ่งเขาเกิดมองขึ้นมา แม่ซึ่งเป็นคนช่างสังเกตก็จะสามารถกระตุ้นได้ทันที เช่น บอกว่า “อยากกินผักแล้วใช่ไหม รู้ว่าอยากกิน ถ้ากินได้นี่เก่งมากเลย” พอเด็กบ้ายอเขาก็อาจจะหยิบผักใส่ปาก อาจจะกินนิดหน่อย แล้วก็เลิกกิน

ถ้าครั้งถัดไปเขายังกินผักนิดเดียว หมอถามหน่อย ว่าแม่ควรจะชมว่าเก่งมากอยู่หรือเปล่า ก็ไม่ใช่ เพราะเป้าหมายมันต้องมากกว่านั้น พ่อแม่ก็อาจจะใช้วิธีไปกระตุ้นแทนที่จะชม แม่ก็อาจจะไปกระตุ้นว่าถ้ากินได้มื้อละหนึ่งกำปั้น ลูกแม่จะเก่งมากเลย คือท้าทายเขาขึ้นไปเรื่อยๆ

กระบวนการในการพัฒนาเด็กเราไม่ได้หยุด และพอใจอยู่ที่พฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง แต่เราต้องการขุดศักยภาพของเขาขึ้นมาให้เต็มศักยภาพ

การที่จะทำให้เขาปีนขึ้นมาถึงบันไดที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันถึงเป้าหมายแล้ว ก็อาจจะจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการชื่นชม แต่การชื่นชนจะไม่ได้ชื่นชมแบบเลี่ยน คืออย่าชมจนเด็กรู้สึกว่ามันไร้คุณค่า จงชื่นชมบนฐานที่เกิดขึ้นจริง กระตุ้นเขาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แล้วไปชมเขาตอนที่เขาปีนขึ้นไปบนบันไดที่เราให้เขาปีน เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าชื่นชมกันตลอดเวลา มันจะไม่เห็นค่าของคำชื่นชม ถ้าวันนี้เขาทำได้เราก็ชื่นชม วันต่อไปเขาไม่ทำ เราก็ไปกระตุ้นเขา จุดของคำชื่นชมมันอยู่ตรงจุดเปลี่ยน เปลี่ยนแล้วเขาทำได้

ถ้าพ่อแม่บอกเด็กว่า ถ้าลูกไม่กินผักจะไม่ให้เล่น ไม่ให้ทำกิจกรรม แบบนั้นเป็นวิธีที่ถูกต้องไหม

นั่นไม่ใช่การเลี้ยงลูกอย่างสร้างสรรค์ สมัยก่อนหรือแม้แต่ในปัจจุบันคนก็ยังใช้วิธีแบบนี้เพราะเขาก็ถูกเลี้ยงดูมาในลักษณะนี้เหมือนกัน เช่น ไม่กินผักแล้วจะกลายเป็นมะเร็งลำไส้นะ จะท้องผูกนะ คือเด็กเขาไม่รู้เรื่องหรอก ประเด็นแบบนี้เราให้ข้อมูลเขาได้ไหม ให้ได้นะ แต่ต้องให้เหมาะสมกับวัย เช่น เด็กประถมวัยอะไรที่นามธรรมเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ถ้าเป็นวัยรุ่นเอาอาจจะให้ข้อมูลเขาแบบได้สั้นๆ ง่ายๆ

ส่วนประเภทดุ ด่า ว่ากล่าว ใส่คำประชดประชันเหน็บแนม เสียดสีทั้งหลาย กรุณาอย่าใช้ เพราะมันไม่ค่อยเกิดประโยชน์อะไร ถ้าไปเจอกลุ่มเลี้ยงยากเขาอาจจะทำตรงข้ามกับที่เราประชดเลยด้วยซ้ำไป ซึ่งพ่อแม่ต้องเข้าใจว่าการเลี้ยงเด็กเลี้ยงยาก มันยากอยู่แล้ว สั่งอย่างหนึ่งจะทำอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นพ่อแม่ต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือ

วิธีการคิดแบบนี้ เช่น การสร้างอุปนิสัยให้เด็ก สร้างให้เขาเก่งในทางของเขา มันคือการกระตุ้นพรแสวงหรือเปล่า

จะเรียกว่าพรสวรรค์หรือพรแสวงอะไรก็แล้วแต่ มันต้องกลับมาจุดตั้งต้น คือแต่ละคนเกิดมาสีไม่เหมือนกัน ยีน โครโมโซม ถูกสร้างมาตั้งแต่เกิด ทำให้มีน้ำเสียงดีมากหรือมีฝีมือในการวาดรูปมาตั้งแต่ต้น แบบนี้ถ้าจะเรียกมันก็อาจจะเป็นพรสวรรค์

ถ้าเปรียบเทียบกับสายไฟ เส้นลวดทองแดงกี่เส้นต่อกี่เส้นมันก็เหมือนกัน เพียงแต่อาจจะหนาบางต่างกัน ตรงนี้เขาเรียกว่าแท่งของดีเอ็นเอและโครโมโซม พวกนี้จะไม่เปลี่ยนแต่สายปลอกหุ้มสามารถเล่นลวดลายกับมันได้

ปลอกหุ้มพวกนี้มันติดตัวมาก็จริง แต่มันสามารถเปลี่ยนได้ มันอาจจะถูกปิดกั้นจากพื้นที่แห่งโอกาสและกระบวนการเลี้ยงดู ยกตัวอย่างระบบการศึกษาที่ one size fits all (วิธีการเดียวใช้ได้กับทุกสิ่ง) คือไม่ได้ส่งเสริมจุดเด่น แถมยังย่ำจุดด้อยด้วย มันทำให้เด็กคนนี้ไปไม่ถึง Growth Mindset เพราะไปไม่รอด ยกตัวอย่างเด็กคนหนึ่งที่คลินิกวัยรุ่นของหมอ พูดประโยคหนึ่งที่ทำให้หมอจี๊ดใจมาก เด็กเขาบอกว่า “อย่าย่ำจุดอ่อนของผม จนทำให้แกนชีวิตผมเสีย”

เขากำลังส่งสัญญาณอยู่ว่า ถ้าเขามีพรสวรรค์อยู่แล้ว พรแสวงก็คือพื้นที่แห่งโอกาส แล้วเราก็สร้างแรงกระตุ้นให้เขาเก่งขึ้นเรื่อยๆ อย่าอยู่แค่บันไดขั้นเดิม คือเรากระตุ้นเขาตรงจุดเปลี่ยน แล้วชมเขาตรงจุดนั้น พอชื่นชมแล้วกรุณาหยุด เพื่อรอชื่นชมตรงจุดเปลี่ยนถัดไปเรื่อยๆ หลักการตรงนี้เขาเรียกว่า scab folding technic หมายถึงการตั้งนั่งร้าน

เวลาเราสร้างตึก เราจะตั้งนั่งร้านขึ้นมาแล้วค่อยๆ สร้างจากฐาน จากง่ายไปสู่ยาก จนในที่สุดขึ้นรูปร่างได้ทั้งหมด

เวลาเราเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง เราจะยื่นความช่วยเหลือเข้าไปได้ไม่สุด มือไม่แตะกับมือ แต่มันจะมีระยะห่างที่เราจะให้เขาใช้แรงกระตุ้นของเขาเพื่อที่จะยื่นมาแตะมือเราให้ได้ หลักการมันเป็นแบบนั้น

เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าเป็นพรแสวงก็ได้ คือมีพื้นฐานแล้ว แต่พ่อแม่ให้โอกาสด้วย เราจะทำให้เขาสามารถพัฒนาจากง่ายไปสู่ยาก จากธรรมดาไปสู่ซับซ้อนได้ไหม ถ้าไม่สร้างพื้นที่แห่งโอกาสนี้เลย และถ้าไม่ใส่ปัญหาอุปสรรคเข้าไปในชีวิตเขาเลย พรแสวงก็อาจจะหายไปได้

ถ้าเด็กคนหนึ่งเกิดมาพร้อมความสามารถทางด้านศิลปะ แต่ทางบ้านเขาให้เรียนทางสายวิทย์นั่นคือการปิดกั้นพื้นที่ทางโอกาสไปเลยหรือเปล่า

ใช่ครับ ถ้าเป็นนั้น ข้อแรกคือคนเลี้ยง Fixed Mindset พอยึดติดอยู่แค่ว่าการเรียนมันมีแบบเดียวแค่นี้ก็ fixed แล้ว แต่ถ้าคนเลี้ยงเขามี Growth Mindset เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิด เขาก็จะคิดว่าลูกเขาไม่จำเป็นต้องเดินตามทางทางเดียวนี่นา ก็ย้อนกลับมาดูลูกว่าเขามีความถนัดด้านไหนจะได้หนุนช่วยเขา แล้วก็ไม่เลี้ยงลูกตามใจให้ลูกล้มบ้างจะได้เก่งขึ้น เพราะเมื่อออกไปเผชิญกับโลกข้างนอกเขาก็ต้องเจอกับปัญหา มันต้องมีล้ม ล้มแล้วต้องลุก

ตัวอย่างที่ญี่ปุ่นเขาสอนเด็กแบบนี้ คือเขาให้เด็กเดินกระโดดปีนข้ามที่กั้น เด็กก็ข้ามครั้งที่ 1 ครั้ง 2 ครั้งที่ 3 ข้ามไม่ได้ เด็กร้องไห้ ครูเขาก็ให้เด็กข้ามอีกรอบหนึ่ง ก็ไม่สำเร็จอีก เพื่อนๆ ของเด็กก็เลยมาล้อมวงกันเพื่อส่งกำลังใจให้เด็ก เด็กก็เกิดพลังฮึกเหิมเขาก็ข้ามได้ ข้ามทั้งน้ำตาเลย แต่เป็นน้ำตาที่พร้อมจะสู้กับปัญหาและอุปสรรค พอเขาข้ามได้แล้วเขาโค้งคำนับ ตรงนั้นเขายืนอยู่บนหัวใจที่ใหญ่มาก คนดูเขาก็นั่งดูกันเงียบๆ พ่อแม่ก็นั่งเงียบๆ ไม่มีการโห่อะไร คือเหมือนส่งพลังใจไปที่เด็ก ครูก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไร ส่วนเพื่อนก็ไม่ได้เยาะเย้ย ทุกคนให้กำลังใจ

มันทำให้เห็นว่า บ้าน ชุมชน โรงเรียน เพื่อน เขาถูกเตรียมความพร้อมมาแล้ว

เด็กญี่ปุ่นเขาเดินไปเองเพราะจะได้ฝึกความอดทนในการแบกเป้ เป้มีหลายใบเพื่อไว้แยกของว่าอะไรควรอยู่ตรงไหน นี่ก็เป็นการฝึกการแยกแยะ เรียกว่าอารมณ์ในการแยกแยะ เหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่แห่งโอกาสทั้งนั้นเลย แล้วมันสร้างการเรียนรู้บนฐานของความยากลำบาก

หมอขอใช้คำนี้แล้วกันนะ ว่ากระบวนการของการพัฒนา Growth Mindset คือการสร้างพื้นที่แห่งโอกาสบนความยากลำบากขั้นพื้นฐานที่เหมาะสมกับวัย แล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่แรงผลักเข้าไป เพื่อให้เขาปีนข้ามปัญหาอุปสรรคของเขาเอง

Growth Mindset ต้องใช้ความเพียร ถ้าเด็กเป็นคนขี้เกียจ พ่อแม่จะทำอย่างไร

หมอขอตอบโดยยกตัวอย่างเคสที่เคยเจอแล้วกัน เด็กคนหนึ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายแล้วเกรดเขาตก พอปิดเทอมแม่ก็พามาปรึกษาที่คลินิกวัยรุ่น แม่ถามว่าจะให้ลูกเขาติววิชาอะไรดี เพราะตกทั้งวิทยาศาสตร์ ทั้งคณิตศาสตร์เลย หมอก็เลยคุยกับเด็กโดยไม่ได้เอาวาระซ่อนเร้นของพ่อแม่มาเกี่ยว หมอถามเด็กว่าเขาชอบอะไร เขาก็บอกว่าเขาเคยพับถุงกระดาษพวกถุงกล้วยแขก หมอเลยถามเขาไปว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งที่เราชอบมันเพิ่มมูลค่าได้ ขายแล้วได้กำไร โดยที่ประหยัดเงินด้วย

เด็กเขาก็บอกว่า เขาจะทำแป้งเปียกเองจะได้ไม่ต้องซื้อกาว หมอก็ค่อยๆ ใส่คำถามเข้าไปเรื่อยๆ จนเขารู้ว่าเขาต้องทำการตลาด เขาก็ไปลงพื้นที่ว่าที่ไหนบ้างต้องการถุงกระดาษจากเขา ปิดเทอมนี้เขาจะไม่ทำอย่างอื่น เขาจะพับถุงขาย

แม่เขาก็เข้ามาโวยวายใส่หมอใหญ่เลยว่า เขามาปรึกษาว่าลูกเขาควรเรียนเพิ่มวิชาอะไรแต่หมอกลับให้ไปขายถุงกล้วยแขก แล้วเด็กเขาก็พับถุงทั้งวัน เดินขาย แล้วเริ่มขายได้เป็นกอบเป็นกำ เขาก็เริ่มมีชีวิตชีวา

แล้วถามว่าการพับถุงกระดาษมันเกี่ยวอะไร คำตอบคือมันสามารถดึงใจเขากลับมาได้ จากที่ชีวิตไม่ได้วางแผนอะไรเลย ไม่รู้จะเรียนไปทำไม ไม่มีเป้าหมาย แต่พอวันหนึ่งเจอจุดแข็งแล้วเขาสามารถไปต่อได้ ไม่ใช่ว่าอ่อนวิทย์-คณิตก็ให้ลูกเรียนเพิ่ม แบบนั้นเขาจะเกลียดวิชาพวกนั้นไปเลย

หมอคิดว่ามนุษย์สามารถทำลายทุกขีดจำกัดของตัวเองได้ไหม หรือกลับไปชอบสิ่งตัวเองเกลียด เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ได้หรือเปล่า

มันขึ้นอยู่กับวิธีการ คำถามคือเรียนคณิตฯ ไปทำไม ถ้าหาคำตอบไม่ได้ มันสร้างแรงบันดาลใจไม่ได้ การศึกษาบ้านเรามันแย่ และผู้ใหญ่ Fixed Mindset การศึกษาบ้านเราคิดได้ทางเดียว คือท่องไป ทำแบบฝึกหัดไป เป็นแบบฝึกหัดที่ทำแล้วชาตินี้จะได้ใช้หรือเปล่าไม่รู้ เด็กก็ไม่รู้จะเรียนไปทำไมเพราะมันไม่เห็นเป้าหมาย

คนเรามันไม่เกลียดและรักอะไรถ้ามันไม่เกิดอะไรขึ้น คงไม่เกลียดคณิตฯ หรอก ถ้ารู้เป้าหมายว่าจะเอาไปใช้อะไร แต่ทุกวันนี้ระบบการศึกษาของประเทศไทยมันทำให้เด็กกลายเป็นหุ่นยนต์ อัดเข้าไป ยัดเข้าไป จะได้ใช้ไหมไม่รู้ พออัดเยอะๆ เข้าเด็กก็เบื่อ จะทลายกรอบพวกนี้ได้มันต้องเห็นเป้า เป็นเป้าหมายที่ได้ใช้ประโยชน์

ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ วิธีการแก้ปัญหาเด็กเร่ร่อนในสหรัฐอเมริกา เขาเอาเด็กเหล่านี้เข้าสู่ระบบ เอาไปบำบัดยาเสพติด เสร็จแล้วไปค้นหาจุดแข็งของเขา ปรากฏว่าเด็กคนหนึ่งเป็นนักละเลงกำแพงแบบเลอะเทอะ ครูก็ท้าทายเด็กว่าอยากเป็นกราฟิตีที่ได้เงินหรืออยากจะกราฟิตีที่ติดคุก เด็กก็เลือกได้เงินสิ เขาก็เอาศิลปินมาสอนเด็กอย่างมีศิลปะ เด็กก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ ครูก็ท้าทายต่อว่า อยากขายผลงานพวกนี้ไหม เขาก็อยากขาย มีเป้าหมายชีวิต แต่เขาไม่เคยเรียนคณิตศาสตร์ คิดเงินไม่เป็น งั้นกลับมาเรียนพื้นฐานก่อน ก็เกิดการเรียนคณิตศาสตร์ โดยที่เด็กมีเป้าหมายว่าเขาเรียนเพื่อที่จะคิดเงินตอนขายผลงาน เขาเรียนโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบังคับเลย

ตรงนี้จะตอบคำถามได้เลยว่า จะก้าวข้ามกำแพงได้ก็ต่อเมื่อรู้ว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร ทุกวันนี้ในระบบการศึกษาเรามันหาเป้าไม่เจอจริงๆ

การคิดแบบ Fixed Mindset มาตั้งแต่ต้นมันทำให้เกิดการเรียนไม่ตรงสายใช่ไหม เช่นพ่อแม่อยากให้เป็นวิศวกรเพื่อจะได้มีอาชีพมั่นคง ทั้งที่เด็กเองอาจจะยังไม่รู้เลยว่าวิศวกรทำงานเกี่ยวกับอะไร

ใช่ครับ แล้วหมออยากจะปรับกระบวนทัศน์ของพ่อแม่ใหม่ คือมันจะเหมือนแกน X แกน Y บอกลูกให้เรียนสูงๆ เข้าไว้จะได้มีอาชีพที่มั่นคงและมั่งคั่งซึ่งมันก็ไม่ผิดนะ แต่หมออยากเสริม mindset ให้พ่อแม่ใหม่ คือพ่อแม่ต้องคิดไว้เสมอว่า ลูกเราเมื่อจบการศึกษาแล้ว เขาต้องอยู่ในสังคมได้ ไม่ใช่นั่งวงไหนแตกวงนั้นแบบนั้นไม่ได้ ไม่ใช่เป็นคนเก่งมีสัมมาชีพ แต่เข้ากับใครไม่ได้เลย จบด็อกเตอร์แต่คุยไม่รู้เรื่อง หรือจบสารพัดปริญญา แต่ไม่คิดจะเป็นผู้ให้ แบบนี้เสียเลยนะ คือไม่มี new mindset เลยว่าต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นเพราะฉะนั้นต้องพัฒนา

คนอายุ 30 ขึ้นไปยังสามารถเติบโตได้อีกไหม

ถ้าในแง่สรีระก็ไม่ได้แล้ว สมองไม่ได้เติบโตเพราะเซลล์ไม่เพิ่มขึ้นแล้ว แต่วุฒิภาวะยังเพิ่มขึ้นได้ พัฒนาการของมนุษย์มันอธิบายได้ด้วยสามคำ หนึ่ง-เมล็ดพันธุ์ดี สอง-เลี้ยงดูมาดี สาม-วุฒิภาวะดี ถ้าเป็นวัยรุ่นเขาอาจจะเมล็ดพันธุ็ดี เลี้ยงดูมาดี แต่วุฒิภาวะไม่ดี พอโตขึ้นแล้วคิดได้ มีวุฒิภาวะที่ดีขึ้น เขาจะไม่กลับไปทำแบบเดิม เพราะเขามีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ส่วนวัยผู้ใหญ่สิ่งที่ยังพัฒนาได้คือวุฒิภาวะ เพราะมันเกิดจากการสั่งสม ตรงนี้พัฒนาได้

หมายความว่าในทุกช่วงวัย mindset ของคนเราก็ยังสามารถพัฒนาได้อยู่?

ได้ครับ ไม่มีอะไรที่สายเกินไปที่เราจะทำในตลอดช่วงชีวิตของเรา ที่นี่เราเป็นสถาบันพัฒนาเด็กและครอบครัว เรามีหลักสูตรในการพัฒนามนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย ธรรมชาติของมนุษย์จะมีพัฒนาการตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่ปฏิสนธิไปจนถึงเชิงตะกอน Growth Mindset ไม่ได้เกิดแค่ในเด็ก แต่มันเกิดได้ตลอด อย่างที่หมอบอกตอนแรก ถ้าคิดบวกมาตั้งแต่ในครรภ์มารดา การคิดเชิงบวกมันก็ต่อเนื่องกันไปตลอด ในผู้สูงวัยเองก็เช่นกัน แม้แต่ในคนที่กำลังจะเสียชีวิต หรือคนดูแลเขา ทุกคนสามารถพัฒนาได้หมดเลย

Tags:

ปฐมวัยGrowth mindsetนพ.สุริยเดว ทรีปาตีพ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    ถ้อยคำทำร้ายลูก(1) ทำไมโง่อย่างนี้ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกฉันเลย ทำได้แค่นี้แหละ โกหก!

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    7 คาแรคเตอร์ของเด็กเจนฯ อัลฟ่า

    เรื่อง The Potential

  • Family Psychology
    คุยกับนักศิลปะบำบัดเรื่องซึมเศร้าในเด็ก กับข้อสังเกต ทำไมเด็กพูดเสียงดังและไม่มีใครฟังใคร?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • BookEarly childhood
    เลี้ยงลูกด้วยเสียงดนตรี: เพลงสร้างจินตนาการและพัฒนาสมองได้จริง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

คนขับรถโรงเรียน: ตัวละครลับที่เด็กๆ ไว้ใจที่สุด
Education trend
14 November 2017

คนขับรถโรงเรียน: ตัวละครลับที่เด็กๆ ไว้ใจที่สุด

เรื่อง The Potential

  • ความเครียดของเด็กๆ ส่งผลต่อสมองและพัฒนาการของพวกเขาได้
  • บุคคลที่ใกล้ชิด เด็กๆ ไว้วางใจคนหนึ่งก็คือ ‘คนขับรถรับส่งนักเรียน’
  • ลอริ เดซอเทลส์ นักการศึกษามหาวิทยาลัยบัตเลอร์ จัดอบรมทักษะการสร้างความสัมพันธ์และความรู้ด้านพัฒนาการเด็กให้คนขับรถ เพื่อช่วยคัดกรองเด็กๆ ที่มีภาวะผิดปกติในระดับต้น

‘ครูคือแม่คนที่สอง’ ความเชื่อเช่นนี้เกิดมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า เด็กๆ ในวัยที่ต้องเข้าสถานศึกษา พวกเขาใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่ออาทิตย์อยู่กับคุณครูมากหน้าหลายตาที่โรงเรียน เป็นบุคคลที่ผู้ปกครองจะฝากผีฝากไข้ของบุตรและหลานพวกเขาไว้ในความดูแลของเส้นขอบรั้วของโรงเรียนไว้ได้

หากกับ ‘คนขับรถโรงเรียน’ พวกเขาจะถูกนับเป็นหนึ่งในบุคลากรที่ผู้ปกครองจะฝากความหวังด้านความปลอดภัยของลูกหลานไว้ด้วยหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เขารับผิดชอบหน้าที่นี้โดยตรง และนี่คือประเด็นที่หนึ่ง

ประเด็นต่อมาที่ ลอริ เดซอเทลส์ (Dr.Lori Desautels) นักการศึกษาและผู้ช่วยศาสตราจารย์วิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยบัตเลอร์ (College of Education Butler University) จุดประเด็นในบทความ ‘Building Students Resilience on the Bus’ หรือ ‘สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจไว้ในรถบัส’ ไว้ที่เว็บไซต์ด้านการศึกษา Edtutopia ว่า

จริงๆ แล้ว คนขับรถบัสนี่แหละ ที่จะสร้าง ‘ความไว้เนื้อเชื้อใจ’ ระหว่างคนขับกับเด็กนักเรียนได้

เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะเขาจะเป็นผู้ที่เจอเด็กทุกๆ เช้า และพบอีกครั้งในตอนเย็น พบเจอตอนที่พวกเขาอยู่กับเพื่อนและไม่มีกำแพงระหว่าง ‘ครู’ และ ‘ศิษย์’ มีความเป็นไปได้ว่าในช่วงเวลานี้พวกเขาจะเปิดเผย ‘อารมณ์’ อย่างไม่ปิดบัง ไม่ว่าจะเศร้าซึมหรือถูกรังแก และเดซอเทลส์ยังมองไกลไปถึง คนขับรถจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ทางวิชาการในการช่วยคัดกรองเด็กๆ ที่มีภาวะผิดปกติในระดับต้นๆ ได้

“คนขับรถมีโอกาสที่ดีและทรงพลังมากในการจะช่วยดูแลและจัดการกับอารมณ์ของเด็กได้ด้วยการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายระหว่างเดินทาง และสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายในการสร้างความสัมพันธ์” เดซอเทลส์กล่าว

โปรเจ็คท์ที่เดซอเทลส์ทำเมื่อช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่ผ่านมาคือ เธอและนักศึกษาของเธอสร้างคอร์สอบรมทักษะในการสร้างความสัมพันธ์ ความรู้เรื่องพัฒนาการอารมณ์ของเด็กๆ ให้กับผู้ขับรถบัสรับส่งนักเรียน ที่เมืองทางเหนือของอินเดียนา และไม่ใช่แค่ทำความเข้าใจ แต่ต้องการสร้างคู่มือสากลหรือแนวทางรับมือบางอย่างในการรับมือกับเด็กๆ ที่อาจมีปัญหาด้านพัฒนาการและอารมณ์ด้วย

โดยเดซอเทลส์ตั้งใจจะดำเนินโครงการนี้อย่างต่อเนื่องและขยายพื้นที่อบรมดังกล่าวไปยังอินเดียนาโปลิส ตั้งธงไว้ว่าเดือนพฤศจิกายน 2018 เธอจะจัดอบรมที่โรงเรียนรัฐบาลในเครือวอชิงตัน ทาวน์ชิพ (Washington Township Schools) ทั้ง 4 แห่ง มีนักเรียนในการดูแลทั้งหมด 11,200 คน และคนขับรถบัส 175 ชีวิต

ยังไม่นับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เรื่องกลไกของสมองและร่างกายที่มาจากความเครียดของเด็กๆ วัยพัฒนาการ เช่นงานวิจัยเรื่อง ‘Toxic Stress Response’ หรือ ปฏิกิริยาที่ตอบสนองต่อความเครียด โดยแจ็ค ชอนคอฟฟ์ (Jack Shonkoff) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเด็ก (Center on the Developing Child) และศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ประเด็นหนึ่งที่งานวิจัยชิ้นนี้อธิบายไว้ก็คือ ข้อเท็จจริงเรื่องกลไกตอบสนองของระบบประสาทและการพัฒนาสมองอันเกิดจากความเครียด

“ข้อสรุปปัจจุบันชัดเจนแล้วว่า ประสบการณ์ความเครียดในแต่ละวัน ส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง ระบบหัวใจและหลอดเลือด ภูมิคุ้มกัน และกระบวนการเมตาบอลิซึมในร่างกาย” ชอนคอฟฟ์อธิบาย

และคงจะดีไม่น้อย ถ้าคนที่อยู่ในรั้วโรงเรียนและใกล้เคียงทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นครูหน้าห้อง คุณแม่บ้าน คุณป้าคนครัว และอื่นๆ เข้าใจการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของเด็กๆ ในประเด็นทางวิชาการเหล่านี้ เพื่อช่วยกันคัดกรองและเข้าใจภาวะอารมณ์ของวัยรุ่นในยุคสมัยที่งานวิจัยหลายๆ ชิ้นยืนยันตรงกันว่า เจนเนอเรชั่น ME เป็นยุคสมัยที่เด็กๆ อยู่ในภาวะซึมเศร้าและมีปัญหาทางอารมณ์ที่สุด

อ้างอิง:
edutopia.org

Tags:

โรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)พัฒนาการทางอารมณ์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

    เรื่อง The Potential

  • Family Psychology
    6 หัวใจสำคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

ครูคุณภาพสร้างได้
Growth & Fixed MindsetBook
14 November 2017

ครูคุณภาพสร้างได้

เรื่อง The Potential

  • Builiding a Better Teacher หนังสือที่เชื่อว่า การพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ให้กับครูน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
  • ไม่ใช่เฉพาะครูเท่านั้นที่ควรอ่าน แต่หนังสือความหนา 447 หน้านี้ เหมาะกับทุกคนที่ปรารถนาจะเห็นอนาคตของนักเรียนไทย ไปได้ไกลกว่าที่เป็น
  • หนังสือเล่มนี้จะช่วยจัดวางที่ทางอนาคตเด็กได้อย่างชัดเจน กระทั่งช่วยให้คุณทำความเข้าใจความหมายของคำว่า ครู ที่ไม่ใช่และไม่ควรเป็นเพียงแม่พิมพ์/ พ่อพิมพ์ใดๆ ทั้งสิ้น

ในขณะเดียวกัน ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่การทำให้นักเรียนพูด แต่อยู่ที่การทำให้นักเรียนเข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการพูด – หน้า 76

นับตั้งแต่ที่มีการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง หรือ child centered ในพระราชบัญญัติปฏิรูปการศึกษา 2542 กระแสการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนก่อให้เกิดกระแสทั้งต่อต้านและสนับสนุน

จวบจนปัจจุบัน ผลคะแนนด้านการศึกษาไทยยังคงไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด โครงการผู้นำแห่งอนาคต โดยการสนับสนุนของสสส.และมูลนิธิสยามกัมมาจล จึงจัดพิมพ์หนังสือโดยการจัดทำของสนพ.โอเพ่นเวิลด์ส พับลิชชิ่ง เพื่อตอบคำถามที่สำคัญที่ว่า เหตุใดและทำไมคุณภาพการศึกษาไทยจึงยังอยู่ในระดับน่าเป็นห่วง แม้ว่าจะมีการขึ้นเงินเดือนครู การพัฒนามาตรฐานการประเมินคุณภาพการศึกษา?

Builiding a Better Teacher หรือ ครูคุณภาพสร้างได้ ของเอลิซาเบธ กรีน คือหนังสือที่พยายามตอบคำถามนั้นด้วยการนำประสบการณ์ต่างๆ ของครูหลากหลายวิชา ไม่ว่าจะเป็นเดโบราห์ บอลล์ ครูที่ไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ แต่ต้องกลับไปเรียนใหม่เพื่อหาวิธีมาสอนนักเรียนให้ได้ประสิทธิภาพจนเกิดเป็นงานวิจัยให้กับการวางรากฐานด้านการสอนคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า TKOT (This Kind of Teaching) หรือ การสอนเพื่อความเข้าใจ ไปจนถึงครูที่เคยเชื่อว่าการลงโทษเท่านั้นจึงจะเปลี่ยนแปลงเด็กได้ โดยทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การนำเสนอของเอลิซาเบธผู้เชื่อว่า ‘การพัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้ให้กับครูน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา’

ในฐานะที่เคยเป็นนักเรียนหัวช้า ครูคุณภาพสร้างได้ ไม่ใช่หนังสือในลักษณะ ‘คู่มือ’ ที่ใช้ผลจากการทำงานวิจัยมาสรุปเป็นแบบฝึกหัดจากลักษณะการสอน

แต่เป็นหนังสือที่อาจจะให้นิยามได้อย่างที่เอลิซาเบธได้เขียนไว้ในบทหนึ่งว่า ในมุมมองแบบนี้ การสอนเริ่มต้นด้วยการฟัง – หน้า 333

ไม่เพียงการฟัง เอลิซาเบธ ยังยกตัวอย่างการสอนที่ญี่ปุ่นที่เรียกว่า คิคัง-ชิโดะ และ คิคัง-จุงชิ โดยทั้งสองวิธี ครูจะสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนเหมือนกัน ต่างแค่เพียงคิคัง-ชิโดะ ครูจะเข้าไปแทรกแซงเพื่อแก้ไขความสับสนและออกคำสั่ง ขณะที่วิธี คิคัง-จุงชิ ครูจะเพียงแค่จดบันทึก พยักหน้า แล้วเดินต่อไปยังโต๊ะนักเรียนต่อไป ซึ่งวิธีคิคัง-จุงชิจะให้ผลการเรียนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับ คิคัง-ชิโดะ

กระนั้น เอลิซาเบธไม่ได้ต้องการบอกว่าการสอนด้วยการสังเกตและแทรกแซงนั้นเป็นวิธีที่ผิด เธอยกตัวอย่างกรณีของดั๊ก เลมอฟ ผู้เสนอทฤษฎีที่นำมาสู่การสร้างคำศัพท์ร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนที่เรียกว่า ‘การจัดกลุ่มคำ’

การจัดกลุ่มคำของเลมอฟเป็นเรื่องของการกำหนดคำ รูปประโยค เพื่อกำหนดพฤติกรรมของนักเรียน ยกตัวอย่าง SLANT มาจากคำว่า Sit up, Listen, Ask questions, Nod และ Track โดยการจัดกลุ่มคำเหล่านี้จะเป็นการกำหนดพฤติกรรมการเรียนรู้ระหว่างครูและนักเรียนไปด้วย

เช่น การชี้สองนิ้วไปที่ตาหมายถึง ตามผู้พูดให้ทัน เป็นรหัสให้นักเรียนสนใจครูผู้สอน ไม่เพียงเท่านี้ ดั๊กยังจัดกลุ่มตัวเลือกการแทรกแซงไว้ 6 ข้อ แบ่งไปตามระดับของความไม่สนใจของนักเรียน โดยเริ่มจาก การแทรกแซงโดยไม่ใช้คำพูด การแก้ไขอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นวิธีที่เรามักเห็นครูบางประเทศทำอยู่บ่อยๆ เมื่อนักเรียนคนหนึ่งไม่สนใจการสอน อย่างเบา คือ โดนเรียกชื่อ อย่างหนัก คือ แปรงลบกระดานดำจะร่อนมากระแทกหัวอย่างแรง ไปจนวิธีสุดท้าย คือ ผลลัพธ์ (รายละเอียดส่วนที่เหลือ อยากแนะนำให้หาอ่านเอาเอง)

การพูดว่า ‘เรามาทำใหม่กันอีกทีและพิสูจน์ว่าทำไมเราเป็นกลุ่มนักอ่านที่เก่งที่สุดในโรงเรียน’ ดั๊กเขียนไว้ในหลักการจัดกลุ่มคำ ‘มักจะดีกว่าการพูดว่า นักเรียน นั่นแย่มาก เราต้องทำใหม่จนกว่าจะถูกต้อง’ แม้ว่าวัตถุประสงค์ คือการทำซ้ำอีก – หน้า 235

คงเป็นการนิยามที่คับแคบไปสักหน่อยหากจะบอกว่าหนังสือความหนา 447 หน้า เหมาะแค่เฉพาะกับผู้เป็นครูเท่านั้น แต่ก็อาจจะดูโรแมนติกเกินไป หากจะบอกว่า ครูคุณภาพสร้างได้ เหมาะกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นครูหรือไม่ หากคุณคือคนที่ปรารถนาเห็นอนาคตการศึกษาของนักเรียนไทยไปได้ไกลกว่าที่เป็น

ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องยาก แต่ตัวอย่างมี และอย่างที่เดโบราห์กล่าวไว้

“ทุกคนทนรอไม่ไหว แต่สิบปีนับจากนี้ ถ้าเรามีระบบที่แตกต่างไป มันจะเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ” – หน้า 379

หากคุณเป็นทั้งหมดที่กล่าวมา หรือเพียงข้อใดข้อหนึ่ง กระทั่งข้อที่สำคัญที่สุด เป็น พ่อแม่ หนังสือเล่มนี้จะช่วยจัดวางที่ทางของอนาคตในเด็กได้อย่างชัดเจน และกระทั่งช่วยให้คุณทำความเข้าใจความหมายของคำว่า ครู ที่ไม่ใช่และไม่ควรเป็นเพียงแม่พิมพ์/พ่อพิมพ์ใดๆ ทั้งสิ้น รวมถึงอาจจำเป็นต้องเข้าใจว่าครูในฐานะอาชีพหนึ่งไม่ใช่ผู้รองรับทุกความมุ่งมาดปรารถนาของคนเป็นพ่อแม่ เพื่อให้คุณภาพของครูที่สร้างขึ้นได้นั้นมาพร้อมความเข้าใจร่วมกันของสังคม

นักสังคมวิทยานามว่า แดน ลอร์ตี กล่าวถึงอาชีพครูโดยใช้ศัพท์ที่ใช้บรรยายเรื่องเซ็กส์ในยุควิกตอเรียน เขาบอกว่าการสอนหนังสือคือ ความทรมาน ส่วนตัวของแต่บุคคล ลอร์ตีสืบย้อนเรื่องความเปล่าเปลี่ยวนี้ไปในยุคที่โรงเรียนมีเพียงหนึ่งห้อง ในสมัยนั้นครูต้องทำงานตามลำพังเพราะผู้ใหญ่คนอื่นๆ (และเด็กบางคน) ออกไปทำงานในฟาร์ม ทุกวันนี้ แต่ละชั้นเรียนมีบุคลากรและนักเรียนเข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น แต่ครูก็ยังต้องเผชิญกับห้องเรียนซึ่งเต็มไปด้วยเด็กๆ ตามลำพังอยู่ดี แล้วครูจะทำะไรล่ะ พวกเขาก็จะทำทุกอย่างที่เราทุกคนจะทำ พวกเขาจะสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมา -หน้า 34

จากบทเปิดของ Building a Batter Teacher หรือ ครูคุณภาพสร้างได้ ของ Elizabeth Green โดยสำนวนแปลของ วิสาลินี ฤกษ์ปฏิมา เดอเบส

Tags:

ครูหนังสือGrowth mindsetGrit

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

มันโอเคเหรอ กับการล้อเลียนเพื่อนว่า ‘(ยัย) อ้วน?’
Education trend
14 November 2017

มันโอเคเหรอ กับการล้อเลียนเพื่อนว่า ‘(ยัย) อ้วน?’

เรื่อง The Potential

เรื่องอ้วนไม่ใช่เรื่องตลกนะ… ฮึ่ม

เป็นเรื่องที่พบเห็นได้บ่อย จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องรับได้ และหลายๆ ครั้งเรากลับปลอบเพื่อน ลูก หรือคนใกล้ตัวที่ร้องไห้เพราะโดนล้อว่า “อ้วน” ไปว่า “ไม่เป็นไรนะ” “ไม่ต้องคิดมาก” ด้วยน้ำเสียงขำๆ

หลายต่อหลายครั้ง คำว่า “ไม่ต้องคิดมาก” นี่แหละ ที่ทำให้เราไม่ทำความเข้าใจร่วมกันว่าการโดนล้อซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดานี้ มันคือหนึ่งในการกลั่นแกล้งล้อเลียน (bully) ซึ่งอาจมีผลต่อจิตใจ ต่อชีวิต ต่อความเปราะบางของคนนั้นได้ตลอดไป

ในบทความเรื่อง ‘The Emotional Toll of Childhood Obesity’ (สภาพอารมณ์ที่ถูกทำลาย จากโรคอ้วนในวัยเด็ก) ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ Clay Center for Young Healthy Minds เว็บไซต์ของโรงพยาบาลแมสซาชูเซตส์เจเนอรัล (Massachusetts General Hospital) โดย สตีเฟน โชลซ์มัน (Steven Schlozman) จิตแพทย์เด็กและนักเขียน จุดประเด็นนี้ด้วยการตั้งคำถามว่า…

“ทำไมเราจึงคิดว่าการล้อคนอื่นว่า ‘อ้วน’ เป็นเรื่องโอเค?” และ

“เป็นไปได้ไหมว่าเด็กที่ถูกเยาะเย้ย อาจพัฒนาไปสู่ภาวะทางอารมณ์อื่นๆ?”

หันไปเสิร์ชหาข้อมูลวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่เป็นโรคอ้วน และการถูกเยาะเย้ยกลั่นแกล้งที่เรียกว่า bully พบงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก และยังมีบทความที่เขียนขึ้นจากใจและประสบการณ์ของผู้ที่เคยถูกกลั่นแกล้งเนื่องจากความอ้วนอีกเท่าทวีคูณ

งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจคือ งานสำรวจแบบสอบถามความเห็นประชากรกว่า 2,866 คนจาก 4 ประเทศ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ไอซ์แลนด์ และออสเตรเลีย ประเด็นการถูก bully เพราะน้ำหนักตัว

ข้อค้นพบที่น่าสนใจมีว่า เรื่องที่ผู้คนถูกล้อเลียนมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องเชื่อชาติ ศาสนา ความพิการ หรือเพศสภาพ หากคือเรื่อง ‘น้ำหนักตัว’ หรือเรื่องอ้วน ด้วยตัวเลขที่สูงถึง 69 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่าประเด็นนี้นั้น ‘ซีเรียส’ ละเอียดอ่อนมากๆ

งานวิจัยเรื่อง ‘เหยื่อและผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งเพราะความอ้วน’ กลุ่มเด็กอายุ 6-14 ปีชาวอิตาลี จำนวน 947 คน นำทีมวิจัยโดยมหาวิทยาลัยเซคอนดา (Seconda Università) เมืองนาโปลี ประเทศอิตาลี

ทีมวิจัยแบ่งผู้เข้าร่วมวิจัยเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีน้ำหนักเกิน (BMI: 25-29) ผู้ที่เข้าข่ายอ้วน (BMI: 30-34.9) และผู้ที่เป็นโรคอ้วนรุนแรง (35.39.9) และดูว่า ในแต่ละกลุ่มถูกปฏิบัติโดยเฉพาะการล้อเลียนอย่างไร ซึ่งผลลัพธ์ไม่ได้พลิกความคาดหมายมากนัก คือกลุ่มที่เข้าข่ายอ้วน และอ้วนรุนแรง จะพบกับการล้อเลียนทั้งทางคำพูดและการกระทำมากกว่ากลุ่มที่อ้วนน้อยๆ และพบว่าเพศชายจะถูกกลั่นแกล้งมากกว่าเพศหญิง

แน่นอนว่าภาวะน้ำหนักมากมีผลต่อระบบสุขภาพ เช่น ความดัน โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน เบาหวาน แต่แนวทางการรักษาและป้องกัน เป็นคนละเรื่องกับการถูกกลั่นแกล้ง ตีตรา (stigmatize) จากสังคม ที่ปัจจุบันความรุนแรงของความเกลียดและกลัวคนอ้วน มีชื่อเฉพาะทางการแพทย์ที่เรียกว่า ‘fatphobia’ เลยทีเดียว

ในบทความตั้งต้นของโชลซ์มัน อาจไม่ได้ลงรายละเอียดงานวิจัยมากนัก เพราะเขาตั้งใจเล่าประสบการณ์ที่ถูกล้อเลียนเพราะความอ้วนในวัยเด็ก การถูกเพื่อนล้อให้โกรธเกรี้ยว วิ่งไล่ล่าเพื่อหวังใช้ความรุนแรง โดยที่เพื่อนรอบห้องและครูยืนหัวเราะพฤติกรรมโกรธเกรี้ยวจากความอับอายของเขา เป็นสิ่งที่เขาถามตัวเองทุกวันว่า

การกระทำเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ หรือ?

อ้างอิง:
ncbi.nlm.nih.gov
onlinelibrary.wiley.com
mghclaycenter.org

Tags:

กลั่นแกล้ง(bully)ซึมเศร้าโรคอ้วนความเข้าอกเข้าใจ(empathy)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    self-awareness และ empathy ยาสามัญสำหรับคนป่วยใจ: เชื่อม ‘โลก’ ซึมเศร้า กับ Eyedropper fill

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Education trend
    เพราะผู้ใหญ่กลั่นแกล้งและไม่เคารพกัน เด็กๆ จึง BULLY ตาม

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Education trend
    ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Life classroom
    เปลี่ยนโรค เปลี่ยว เหงา ซึมเซา เป็นโลกใหม่: 5 วิธีช่วยให้วัยรุ่นรู้สึกดีกับตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    ในโลกแห่งความจริง เราต่างเคย BULLY ซึ่งกันและกัน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ บัว คำดี

การเล่นกีฬา สร้างความมั่นใจได้จริงหรือ?
Character building
14 November 2017

การเล่นกีฬา สร้างความมั่นใจได้จริงหรือ?

เรื่อง The Potential

ในบทสัมภาษณ์สมบูรณ์ จุฑานุกาล คุณพ่อของ โปรเม-เอรียา จุฑานุกาล เราเห็นแนวความคิดเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยกีฬา ที่เห็นได้ชัดคือการสร้างวินัย และนั่นยังตรงกับแนวคิดของงานวิจัยหลายๆ ชิ้น ที่ชี้ตรงกันว่า การส่งเสริมให้น้องๆ เล่นกีฬา ยังเป็นปัจจัยสำคัญเรื่องการสร้าง ‘ความมั่นใจ’ ส่วนตัวของพวกเขาด้วย

จิม เทย์เลอร์ (Jim Taylor) อาจารย์มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก (University of San Francisco) และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา โดยเฉพาะเกี่ยวกับธุรกิจ กีฬา และการเลี้ยงลูก เขียนบทความเรื่อง ‘Build Self-esteem in Your Young Athletes’ หรือ ‘สร้างความมั่นใจให้นักกีฬารุ่นเยาว์ของคุณ’ ใน Psychology Today ตอนหนึ่งว่า

กีฬาจะทำให้เด็กๆ รู้จักแพ้-ชนะ รู้จักการยืนหยุ่นจากการเล่นเป็นทีม รับฟังโค้ชของเขา ทั้งหมดนั้นทำให้พวกเขาเผชิญหน้ากับอารมณ์ที่หลากหลาย ได้สำรวจทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้น นำไปสู่การเรียนรู้อารมณ์ และสุดท้ายมันจะนำไปสู่ความเข้าใจและเคารพตัวเอง

“กีฬาเป็นโอกาสที่ทำให้พวกเขารู้จักความพ่ายแพ้ และรู้ว่ามันไม่เป็นอะไรเลย มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น และพวกเขาจะเรียนรู้ที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดและเติบโตขึ้นอีกครั้ง” เทย์เลอร์กล่าว

แม้คุณอาจพอเดาได้อยู่แล้วว่ากีฬาเป็นประตูสู่ความเข้มแข็งทั้งกายและใจ แต่งานวิจัยจำนวนหนึ่ง พุ่งเป้าตรงกันว่า มันมีส่วนสร้างความเคารพตัวเอง และความมั่นใจจริงๆ

งานวิจัยแรก พุ่งเป้าที่ผลสัมฤทธิ์จากการเล่นกีฬาในชั่วโมงพละของโรงเรียนมัธยม โดย ซุมรู เออร์คุท (Sumru Erkut) และ แอลลิสัน เจ. เทรซี ( Allison J. Tracy) องค์กรเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ Wellesley Centers for Women ระบุว่า การเล่นกีฬาในชั่วโมงพละมีผลต่อความมั่นใจของนักเรียนจริงๆ แต่ก็แตกต่างไปตามเชื้อชาติและเพศสภาพของเด็กๆ ด้วย

อีกหนึ่งงานวิจัยที่แม้จะตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1999 ประเด็นการเล่นกีฬาในวัยรุ่น ของสถาบันส่งเสริมข้อมูลและการวิจัยด้านสุขภาพ (Health Education Research) ก็ยังให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกับข้อสรุปในปัจจุบันข้างต้นเช่นกัน

บทความชิ้นหนึ่งโดย ริชาร์ด เบลีย์ (Richard Bailey) อดีตศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกีฬาและการพัฒนาของมนุษย์ ใน Psychology Today กล่าวถึงช่วงเวลาสำหรับการสร้างนิสัยนี้อย่างได้ผลที่สุด คืออายุก่อนวัยรุ่นหรือราว 6-11 ปี เพราะเป็นช่วงที่พัฒนาการทั้งสมองและร่างกายกำลังพัฒนาอย่างเต็มที่ ซึ่งเขาชี้ว่า เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เด็กๆ จะรู้จักและมีประสบการณ์ด้านกีฬาช้าเกินไป นั่นอาจทำให้พวกเขาโตเกินกว่าในช่วงวัยที่รู้สึกว่า ‘อยากจะลองทุกอย่างบนโลกใบนี้’เสียแล้ว


ที่มา: Psychology Today 

Tags:

การเล่นคาแรกเตอร์(character building)กีฬาการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    ‘ความเหลื่อมล้ำแห่งการเล่น’ มีอยู่จริง และการที่เด็กไม่ได้เล่นคือปัญหาสังคม

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ภาวะประสาทหูเสื่อม: ถึงเวลาปกป้อง ‘หู’ และการได้ยินของลูกน้อย
Early childhoodEducation trend
14 November 2017

ภาวะประสาทหูเสื่อม: ถึงเวลาปกป้อง ‘หู’ และการได้ยินของลูกน้อย

เรื่อง The Potential

  • ภาวะประสาทหูเสื่อม ไม่ใช่อาการหูหนวก แต่คือภาวะที่ประสาทหูค่อยๆ เสื่อมลงจากการได้รับเสียงดังเกินสมควรและสะสมเป็นเวลานาน
  • ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐ ยกให้เดือนตุลาคมเป็นเดือนแห่งการปกป้องการได้ยินแห่งชาติ
  • ประเด็นนี้จำเป็นต้องสร้างองค์ความรู้ โดยเฉพาะครูในห้องเรียนเพื่อออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมต่อการป้องกันในระยะยาว

ในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ‘หู’ นับเป็นอวัยวะที่ต้องได้รับการปกป้องระมัดระวังอย่างที่สุด และไม่ใช่แค่การดูแลทำความสะอาดหรือคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญว่าห้ามแหย่คอตตอนบัดเข้าไปทำความสะอาดในรูหู แต่เรากำลังพูดกันถึงเรื่อง…

ระดับเสียงเท่าใด ที่มีผลต่อภาวะประสาทหูเสื่อมจากการทำงาน (Noise-induced Hearing Loss: NIHL) ในระยะยาว

ภาวะประสาทหูเสื่อมจากการทำงาน คือภาวะที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะโลกสมัยใหม่ที่หูของเราต้องปรับตัวให้เคยชินกับระดับเสียงที่เข้มข้นและหวีดดังเกินกว่าระดับเสียงปกติ ไม่ว่าจะจากการทำถนน ทำแนวรถไฟฟ้า เสียงผู้คนตะโกนคุยกันข้ามโต๊ะทำงาน เสียงรายการโทรทัศน์ของคุณแม่ที่ดังแข่งกับเสียงเครื่องตัดหญ้าของคุณพ่อ ต่างๆ เหล่านี้คือตัวอย่างของสภาพแวดล้อมที่อึกทึกครึกโครมที่ (หู) เราเคยชิน

ปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาระดับ ‘คำเตือนจากแพทย์’ แต่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) นับเป็นปัญหาระดับชาติ ถึงกับกำหนดให้เดือนตุลาคม 2016 เป็นเดือนแห่งการปกป้องการได้ยินแห่งชาติ หรือ National Protect Your Hearing Month

ข้อมูลจากเว็บไซต์ hearingloss.org  ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ตัวเลขโดยเฉพาะกลุ่มว่า 2 ใน 3 ของเด็กอเมริกัน 1,000 คน เกิดมาพร้อมกับปัญหาด้านการได้ยิน และ 15 เปอร์เซ็นต์ของเด็กอายุ 6-19 ปี มีปัญหาด้านการได้ยินในระดับต่างๆ

Noisy Planet หนึ่งในโครงการของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (National Institutes of Health: NIH) จึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักต่อเรื่องนี้ โดยเฉพาะการปกป้องสุขภาพหูของเด็กๆ เจนเนอเรชั่น Z อันมีหูฟังเชื่อมกับสมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์ข้างกาย

ดังเท่าไรจึงเรียกว่าดัง?

ในบทความ How Loud Is Too Lond? How Lone Is Too Long? โดยโครงการสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ อธิบายระดับเสียงที่คนหูปกติจะได้ยินไว้ดังนี้

  • 0 เดซิเบล คือเสียงที่คนจะได้ยิน (สำหรับคนหูปกติ)
  • 30 เดซิเบล เสียงกระซิบ เสียงแรกที่หูมนุษย์เริ่มจับใจความได้
  • 60 เดซิเบล เสียงระดับการสนทนา (ที่ควรจะเป็น) ทั่วไป
  • 85 เดซิเบล ‘ขึ้นไป’ คือเสียงจากหูฟังเครื่องเล่นเพลงปกติ
  • 105 เดซิเบล คือเสียงจากหูฟังเครื่องเล่นเพลงในระดับสูงสุด
  • 120 เดซิเบล เสียงไซเรนของรถพยาบาล

โดยระดับเสียงที่เริ่มอันตรายแล้วก็คือ 85 เดซิเดลขึ้นไป และขึ้นอยู่กับระยะห่างที่เรายืนอยู่กับจุดกำเนิดเสียง ทั้งความดัน (pressure) อันมีผลต่อความเข้มข้น หวีดแหลมทรงพลังของระดับเสียงนั้นๆ ด้วย

นอกจากปัจจัยเรื่องความดัง ระยะห่างระหว่างต้นกำเนิดเสียงและจุดที่ยืนแล้ว ยังเป็นเรื่องพันธุกรรม ที่ทำให้แต่ละคนทนความดังของเสียงได้ไม่เท่ากันอีกด้วย

เด็กๆ ต้องถูกปกป้องจากการรังควานของเสียงดังวุ่นวาย

ในบทความเรื่อง ‘Children Need to Be Taught to Protect Their Hearing’ (เด็กๆ จำเป็นต้องถูกปกป้องจากการได้ยิน) โดยชาริ เอเบิร์ทส (Shari Eberts) ผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่มีภาวะประสาทหูเสื่อม เธอเป็นนักเขียนและคณะทำงานองค์กรเรื่องภาวะประสาทหูเสื่อมแห่งอเมริกา (Trustees of Hearing Loss Association of America)

เธอเขียนงานชิ้นนี้ขึ้นเพื่อแชร์ประสบการณ์และตั้งใจสื่อสารถึงผู้ปกครองและคุณครู เพื่อสร้างความตระหนักและป้องกันประเด็นการได้ยินของเด็กๆ ซึ่งเป็นช่วงวัยแห่งการเรียนรู้ พัฒนาศักยภาพทางสมองและอวัยวะ รวมทั้งเป็นช่วงวัยสำคัญในการสร้างนิสัยส่วนตัว ซึ่งจะพัฒนาเป็นนิสัยและบุคลิกภาพระยะยาว

ในบทความนี้ เธออธิบายว่า ทำไมผู้ปกครองจึงควรปกป้อง และสร้างนิสัยแห่งการ ‘พูดค่อยๆ ฟังเบาๆ’ ด้วยเหตุผลต่อไปนี้

แน่นอนว่านี่คือประเด็นสุขภาพ (หู) ในระยะยาว

เอเบิรทส์ยกผลสำรวจปี 2010 พบว่าชาวอเมริกันกว่า 50 ล้านคนประสบปัญหาด้านการได้ยิน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และพบว่าวัยรุ่นในกลุ่มตัวอย่างราว 1 ใน 5 มีประสบการณ์ทางการได้ยินเช่นเดียวกัน โดยรายละเอียดวิจัยนั้นชี้ว่า เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขในช่วง 10 ปีก่อนหน้า พบว่าผู้มีแนวโน้มจะมีภาวะนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

ประเด็นเรื่องปกป้องการได้ยิน จำเป็นที่จะต้องรณรงค์ในโรงเรียน

เช่นเดียวกับการให้ความรู้เรื่องเพศและปัญหาสิ่งเสพติด เช่น บุหรี่ ที่เห็นได้ชัดว่าการรณรงค์นั้นได้ผล เอเบิร์ทส์และงานวิจัยชิ้นดังกล่าวแนะนำคล้ายกันว่า เรื่องนี้ควรยกให้เป็นประเด็นหลักที่จะต้องสร้างองค์ความรู้ โดยเฉพาะครูในห้องเรียนเพื่อออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมต่อการป้องกันในระยะยาวต่อไป

ยิ่งเร็วยิ่งดี

การพูดเสียงดัง ฟังอะไรเสียงดัง ถือเป็นนิสัยอันเกิดจากการเลี้ยงดูให้เคยชินในสิ่งแวดล้อมหนึ่งๆ ซึ่งการปลูกฝังให้เด็กๆ เข้าใจและมีนิสัยการใช้เสียงที่ปลอดภัยนั้น ยิ่งปลูกฝังเร็วก็ยิ่งดีทั้งต่อการสร้างนิสัยและสุขภาพหูด้วย

วิธีหลีกเลี่ยงและป้องกัน

สุดท้ายเป็นเรื่องของการป้องกัน ซึ่งอาจเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในเมืองหลวงของประเทศไทยที่ปัจจุบันมีการก่อสร้างและพัฒนาเมืองเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะสร้างและขุดถนน หรือการทำแนวรถไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหู ยังทำให้เราเคยชินกับเสียงดังจนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปได้

สิ่งที่อาจทำได้คือ ตระหนักในเรื่องนี้ และพยายามลดพฤติกรรมที่ต้องเข้าใกล้สถานที่อึกทึกครึกโครม สร้างสิ่งแวดล้อมในบ้านให้เป็นที่ปลอดภัยจากเสียงดังเกินเหตุ หรือเทคนิคง่ายๆ อย่างการใช้ที่อูดหู (earplugs) ก็เป็นตัวเลือกที่เข้าท่าไม่น้อย


อ้างอิง:
cdc.gov
noisyplanet.nidcd.nih.gov
psychologytoday.com
jamanetwork.com
hearingloss.org

Tags:

พ่อแม่การได้ยิน

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Family Psychology
    คุยเรื่องเพศไม่ต้องกระซิบ: สร้างพื้นที่ปลอดภัยไม่ให้ลูกกลัวถูกตำหนิ สบายใจที่จะแชร์

    เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    วิรตี ทะพิงค์แก: ชวนคุณแม่ตั้งหลัก เมื่อลูกเข้าสู่วัยพรีทีน

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    OH, MY LITTLE PRINCE : เจ้าหญิงของพ่อ เจ้าชายของแม่

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

ช็อก! เด็กทั่วโลกเป็นโรคอ้วนถึง 124 ล้านคน
Education trend
14 November 2017

ช็อก! เด็กทั่วโลกเป็นโรคอ้วนถึง 124 ล้านคน

เรื่อง The Potential

ทุกวันนี้ปัญหาโรคอ้วนไม่ได้อยู่แต่กับผู้ใหญ่เพราะที่น่ากังวลกว่าคือโรคอ้วนในเด็ก โดยปัจจุบันอัตราเด็กที่เป็นโรคอ้วนทั่วโลกพุ่งสูงถึง 124 ล้านคน อีกทั้งยังเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของเด็กส่วนใหญ่

จากข้อมูลของสถาบัน Imperial College London เผยแพร่ผ่านวารสารแพทย์ Lancet รายงานว่า จากสถิติการเก็บข้อมูลเด็กและเยาวชนทั่วโลกอายุตั้งแต่ 5-19 ปี เมื่อปี 1975 มีเด็กผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วนเพียง 5 ล้านคน และเด็กผู้ชายที่เป็นโรคอ้วนเพียง 6 ล้านคน แต่ตัวเลขล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมา กลับมีเด็กผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วนสูงถึง 50 ล้านคน และเด็กผู้ชายอีก 74 ล้านคน ในระยะเวลาเพียง 4 ทศวรรษเท่านั้น

โดยรายงานดังกล่าวยังเปิดเผยอีกว่า โรคอ้วนในเด็กมักพบในกลุ่มประเทศร่ำรวยเสียส่วนใหญ่ เช่น อังกฤษ (เด็กสิบคนจะมีหนึ่งคนที่เป็นโรคอ้วน) สหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมถึงในทวีปตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ

ฟีโอนา บูล (Fiona Bull) จากองค์การอนามัยโลกหรือ WHO กล่าวว่าถึงเวลาแล้วที่ผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกควรหันมาให้ความสนใจกับโรคอ้วน และมองอย่างจริงจังถึงสาเหตุที่นำมาสู่โรคอ้วน

โดยเธอเสนอว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้โรคอ้วนในเด็กพุ่งสูงขึ้นก็คือ การตลาดและการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มอาหารประเภทโซเดียม น้ำตาล และแคลอรีสูง รวมถึงแฟรนไชส์อาหารจังค์ฟู้ดที่มีอยู่แทบทุกตารางนิ้วเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเด็กๆ

“ทุกวันนี้ ค่าใช้จ่ายของเราเป็นตัวกำหนดราคาและการเลือกซื้ออาหารแต่ละชนิดซึ่งมีอิทธิพลต่อทางเลือกของเรา” เธอกล่าว

ด้านองค์กร Obesity Health Alliance จากประเทศอังกฤษยังออกมาโจมตี 18 บริษัทอาหารจังค์ฟู้ดว่า พวกเขาเองนั่นแหละที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โรคอ้วนพุ่งสูงขึ้น เนื่องจากบริษัทเหล่านั้นลงทุนกับค่าโฆษณาและการตลาดต่างๆ เพื่ออาหารกรุบกรอบหรือเครื่องดื่มผสมน้ำตาลมากกว่า 143 ล้านยูโรเมื่อปีที่ผ่านมา ในขณะที่รัฐบาลอังกฤษใช้งบเพียง 5.2 ล้านยูโรสำหรับโครงการ Change4Life Campaign เพื่อต่อต้านโรคอ้วน

มัลคอล์ม คลาร์ก (Malcolm Clark) ผู้ประสานงานของแคมเปญรณรงค์อาหารเพื่อเด็ก (Children’s Food Campaign) มองว่า ความพยายามในการโปรโมตอาหารเพื่อสุขภาพจะไม่ประสบความสำเร็จเลยหากไม่ได้ถูกผลักดันด้วยการตลาดเหมือนกัน

“เราไม่อาจดูแคลนการโฆษณาของอาหารขยะ โดยเฉพาะเมื่อมันมาอยู่ในมือเด็กๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมช็อกโกแลตและขนมกรุบกรอบจึงมีค่าโฆษณาหรือค่าการตลาดเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะหาหนทางเพื่อปกป้องเด็กๆ จากอาหารไม่มีประโยชน์พวกนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีในอนาคตของพวกเขา รวมถึงจะได้ไม่ต้องเสียงบประมาณไปกับการจัดการกับผลกระทบที่จะตามมาอย่างมหาศาล”

อ้างอิง:
theguardian.com

Tags:

โรคอ้วนกลั่นแกล้ง(bully)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Early childhood
    ข้อคิดสะกิดใจในนิทาน ‘ซินเดอเรลลา’ สาวน้อยผู้ไม่เคยหยุดฝันและไม่ลังเลที่จะยืนยันสิทธิของตัวเอง

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.3 น้องหยิก

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Education trend
    ‘สก็อตแลนด์’ ประเทศแรกที่สอนเรื่อง LGBTI ในโรงเรียน

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Healing the trauma
    คน BULLY ไม่ใช่ใคร พ่อแม่นั่นเอง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

รู้ไหมว่า ‘คำชม’ บางคำ ทำร้ายและกดดันลูกโดยไม่รู้ตัว?
Growth & Fixed Mindset
14 November 2017

รู้ไหมว่า ‘คำชม’ บางคำ ทำร้ายและกดดันลูกโดยไม่รู้ตัว?

เรื่องและภาพ KHAE

เด็กมีคำชมเป็นความมั่นคงทางใจ พอเผชิญหน้ากับล้มเหลว ก็เหมือนมันได้ทำลายรากฐาน หรือความมั่นคงทางใจเค้า เพราะเขาไม่รู้จะว่ายึดเกาะอะไร

– KHAE

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)Growth mindsetพ่อแม่

Author & Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘ผิดได้ พลาดเป็น’ คือโอกาสการเรียนรู้ของลูก

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    ความฉลาดสร้างได้

    เรื่อง The Potential

ความเหมือนต่างระหว่าง GROWTH MINDSET และ FIXED MINDSET
Growth & Fixed Mindset
14 November 2017

ความเหมือนต่างระหว่าง GROWTH MINDSET และ FIXED MINDSET

เรื่องและภาพ KHAE

Tags:

พ่อแม่คาแรกเตอร์(character building)Growth mindset

Author & Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่ได้ที่ 1 ไม่เห็นเป็นไร สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการเผชิญหน้าความผิดพลาด

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    คิดอย่างสร้างสรรค์ด้วยการทำงานของสมอง 2 ซีก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed Mindset
    ‘ผิดได้ พลาดเป็น’ คือโอกาสการเรียนรู้ของลูก

    เรื่อง The Potential

  • Growth & Fixed Mindset
    รวมคำพูดที่ทำร้ายและทำลาย ‘ความฉลาด’ ของลูกคุณ

    เรื่อง The Potential

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel