Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Education trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skills
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: July 2025

The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา
Adolescent BrainSocial Issues
29 July 2025

The Anxious Generation EP2: เมื่อ ‘หน้าจอ’ พรากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่มีความหมายในวัยเด็ก ปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญา

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • ‘หน้าจอ’ เป็น ‘ตัวปิดกั้นประสบการณ์’ (Experience Blocker) เพราะแม้ว่าเด็กจะมีประสบการณ์ในโลกเสมือนที่เพิ่มขึ้น แต่สิ่งนั้นเทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์ในโลกจริงที่ทำให้เด็กเกิดการพัฒนาสติปัญญาและเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
  • โจนาธาน ไฮด์ท (Jonathan Haidt) นักจิตวิทยาสังคม และผู้เขียนหนังสือ The Anxious Generation แนะนำ 4 ข้อ เพื่อวางรากฐานให้เด็กเติบโตมามีสุขภาพที่ดีในยุคดิจิทัล 1.ห้ามสมาร์ตโฟนก่อนมัธยมปลาย 2.ห้ามโซเชียลมีเดียก่อนอายุ 16 3.โรงเรียนปลอดโทรศัพท์ และ 4.ส่งเสริมการเล่นอิสระและการทำกิจกรรมด้วยตัวเอง
  • การเล่นอิสระเปิดโอกาสให้เด็กได้ลองผิดลองถูกในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ เสริมสร้างจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด อีกทั้งการเล่นช่วยเรียนรู้การรับมือทางกายและใจต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ และช่วยเสริมสร้างทักษะทางสังคม

“เด็กต้องการช่วงเวลาแห่งการเล่นและการสำรวจที่ยาวนานและปราศจากการถูกรบกวน”

คำกล่าวนี้มาจาก ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget) บิดาแห่งจิตวิทยาพัฒนาการ เขาเชื่อว่าเด็กเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่การนั่งเฉยๆ ให้คนอื่นมาบอกความรู้ ดังนั้นการเล่นและการสำรวจจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเติบโตและพัฒนาสติปัญญาของเด็ก

แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ปี 2010 นักจิตวิทยาสังคม โจนาธาน ไฮด์ท (Jonathan Haidt) ผู้เขียนหนังสือ The Anxious Generation ชี้ว่า วัยเด็กในยุคนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วจากการเข้ามาของเทคโนโลยีอย่าง ‘สมาร์ตโฟน’ และ ‘โซเชียลมีเดีย’ หน้าจอได้เบียดบังกิจกรรมที่เด็กควรทำ นั่นคือ ‘การเล่นสนุกกับเพื่อนในโลกจริง’ และสิ่งนี้คือการเสียโอกาสครั้งใหญ่ในพัฒนาการของเด็ก

วัยเด็กคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสั่งสมความรู้จากโลกจริง

ไฮด์ท กล่าวว่า ร่างกายของมนุษย์มีการเติบโตที่แตกต่างจากสัตว์อื่น กล่าวคือ ร่างกายของสัตว์อื่น (เช่น ชิมแปนซี) มีการเติบโตที่คงที่จนถึงวัยเจริญพันธุ์ แต่มนุษย์มีการเติบโตแบบไม่คงที่ คือ ช่วง 2 ปีแรกเติบโตเร็ว, ช้าลงในช่วงอายุ 7-10 ปี และกลับมาเร็วขึ้นอย่างมากในช่วงวัยรุ่น

แม้ร่างกายของมนุษย์จะดูเหมือนเติบโตช้าเมื่อเทียบกับสัตว์อื่น แต่สมองของเรากลับมีขนาดที่สมบูรณ์ถึง 90% ตั้งแต่อายุราว 5 ปีแล้ว เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมนุษย์วิวัฒนาการมาเป็นสัตว์สังคม มนุษย์มุ่งเน้นการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มที่ต้องอาศัยความสามารถในการเรียนรู้และการปรับตัวเข้ากับสังคม

เมื่อมนุษย์อาศัยความสามารถในการเรียนรู้เป็นหลัก การสั่งสมประสบการณ์และความรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นเหตุที่ทำให้วัยเด็กของมนุษย์ยาวนานกว่าสัตว์ชนิดอื่น 

นอกจากนี้ วิวัฒนาการยังได้ติดตั้งความปรารถนาที่แรงกล้าต่อ 3 สิ่งนี้ เพื่อกระตุ้นให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้และสามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย

  1. การเล่นอิสระ (Free Play)

การเล่นเป็นสิ่งสำคัญในวัยเด็ก เพราะเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะทางกาย อารมณ์ และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็น ‘การเล่นอย่างอิสระ’ ปีเตอร์ เกรย์ (Peter Gray) ศาสตราจารย์วิจัยที่ Boston College กล่าวว่า การเล่นอิสระเป็นกิจกรรมที่ไม่มีการกำหนดแบบแผนจากผู้ใหญ่ เด็กเลือกเองว่าจะเล่นอะไรและอย่างไร

การเล่นอิสระเปิดโอกาสให้เด็กได้ลองผิดลองถูกในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ เสริมสร้างจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด อีกทั้งการเล่นยังช่วยเรียนรู้การรับมือทางกายและใจต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ และช่วยเสริมสร้างทักษะทางสังคม เช่น ความร่วมมือ การแก้ไขความขัดแย้ง เป็นต้น

เกรย์ กล่าวว่า การขาดการเล่นอิสระมีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิต การเล่นอิสระเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับการเข้าสังคมและการใช้ชีวิต เมื่อขาดการเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ย่อมทำให้เราใช้ชีวิตและเข้าสังคมได้อย่างยากลำบาก เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล สิ้นหวัง

  1. การปรับจูน (Attunement)

เมื่อเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เด็กจะเรียนรู้ปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ผ่านการสังเกตสีหน้าและท่าทางของคนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย ไฮด์ทเปรียบว่าเหมือนกับ ‘การเล่นปิงปอง’ เราต้องสังเกตว่าอีกคนตีลูกมาอย่างไร เพื่อจะได้โต้กลับอย่างเหมาะสม การตีลูกเหมือนกันทุกรอบไม่ใช่การเล่นที่ดี 

เด็กตั้งแต่ทารกมีความปรารถนาที่จะปรับจูนปฏิกิริยาของตัวเองให้สอดคล้องกับปฏิกิริยาคนอื่นอยู่แล้ว เห็นได้จากเวลาที่พ่อแม่พูดคุยด้วย เด็กจะพยายามโต้ตอบบางอย่าง เช่น หัวเราะ เปล่งเสียงอ้อแอ้ หรือใช้ท่าทางบางอย่าง

National Institute for Play ระบุว่า การฝึกฝนการปรับจูนนี้คือรากฐานสำหรับ ‘การควบคุมอารมณ์ของตนเอง’ (Emotional Self-regulation) ในอนาคต เด็กที่ขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่สนุกและไว้ใจได้ มักจะประสบกับความยากลำบากในการจัดการอารมณ์และมีพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้

  1. การเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning)

มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ดังนั้นการเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีสัญชาตญาณสำคัญที่ช่วยเรียนรู้ในเรื่องนี้ นั่นคือ ‘อคติคล้อยตาม’ (Conformist Bias) และ ‘อคติเกียรติภูมิ’ (Prestige Bias)

‘อคติคล้อยตาม’ คือ การทำตามคนหมู่มาก เมื่อคนส่วนใหญ่กระทำสิ่งหนึ่ง เราจะรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างให้เราทำตามด้วย โดยแรงกดดันนี้อาจเกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงแค่ความรู้สึกของเราเองก็ได้ ส่วน ‘อคติเกียรติภูมิ’ คือ การทำตามคนที่เราเห็นว่าน่ายกย่อง โดยคนที่น่ายกย่องนี้อาจเกิดจากเราเห็นพฤติกรรมของเขาด้วยตัวเองหรือได้ยินจากคำบอกเล่าของคนอื่นก็ได้

อคติเหล่านี้เป็นเหมือนทางลัดอย่างหนึ่งที่ทำให้สังคมของมนุษย์มีความเป็นเอกภาพและมีแบบอย่างที่ดีในการทำตามเพื่อพัฒนาตัวเอง อย่างไรก็ตาม ไฮด์ท กล่าวว่า ในปัจจุบันมนุษย์เราได้สร้างเครื่องจักรที่ทำให้สัญชาตญาณนี้เข้มข้นมากขึ้นและอาจนำไปสู่พฤติกรรมประหลาดที่กำลังบงการคนรุ่นใหม่ สิ่งนั้นคือ ‘โซเชียลมีเดีย’

โซเชียลมีเดียคือเครื่องจักรที่สร้างการคล้อยตามได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา ผ่านการแสดงยอดจำพวก ‘ไลก์’ และ ‘แชร์’ โพสต์ไหนมีคนกดไลก์กดแชร์มากย่อมชักนำความคิดของคนได้เป็นอย่างดี เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วย อีกทั้งยอดจำพวก ‘ผู้ติดตาม’ ที่มากก็ย่อมชักจูงให้คนเชื่อได้ว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง เมื่อคนเหล่านี้พูดอะไร คนก็ย่อมเชื่อและทำตาม

ในภาษาอังกฤษมีสำนวนที่ว่า ‘Famous for being famous’ แปลว่า ‘ดังเพราะแค่มีคนรู้จักมาก’ ใช้กล่าวถึงคนที่มีชื่อเสียงโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน ไม่มีการแสดงถึงความสามารถหรือความสำเร็จใดๆ คนเหล่านี้มีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะแค่มีคนรู้จักเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันโซเชียลมีเดียทำให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้สามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ผ่านยอด ‘ไลก์’ ‘แชร์’ ‘ผู้ติดตาม’ โดยที่ไม่มีสิ่งไหนบ่งบอกถึงการมีความรู้ความสามารถที่ชัดเจน

ดังนั้นโซเชียลมีเดียจึงไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมผ่านการบริหารสัญชาตญาณเหล่านี้ 

‘หน้าจอ’ คือตัวปิดกั้นประสบการณ์

บางคนอาจกล่าวว่า ‘สมาร์ตโฟน’ และ ‘โซเชียลมีเดีย’ เปิดโอกาสให้เด็กเข้าถึงประสบการณ์และความรู้ต่างๆ มากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องจริงส่วนหนึ่ง แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีที่มีคุณมากมายเหล่านี้กำลังพรากเวลาในการทำกิจกรรมอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจทำให้เด็กขาดการเรียนรู้ชีวิตบนโลกจริงได้เช่นกัน

ทฤษฎีการพัฒนาสติปัญญาของเพียเจต์ระบุว่า เด็กมีการพัฒนาสติปัญญาเป็นลำดับขั้นดังต่อไปนี้ และส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นในโลกจริง

  • Sensorimotor Stage (แรกเกิด-2 ปี) – เด็กเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส พัฒนากล้ามเนื้อผ่านการหยิบจับสิ่งของ และพยายามเลียนแบบคนรอบข้างตามที่เคยเห็น
  • Preoperational Stage (2-7 ปี) – เด็กเริ่มเข้าใจว่าภาพ สัญลักษณ์ และภาษา สามารถใช้สิ่งต่างๆ ได้ โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นบทบาทสมมุติ เริ่มพัฒนาการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล
  • Concrete Operational Stage (7-11 ปี) – เด็กเริ่มเข้าใจเหตุผลมากขึ้น แต่อาจยังไม่เข้าใจเรื่องที่เป็นนามธรรม การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเริ่มลดลง และเข้าใจมุมมองของผู้อื่นมากขึ้น
  • Formal Operational Stage (11 ปีขึ้นไป) – เด็กมีความเข้าใจเรื่องที่เป็นนามธรรมมากขึ้น เช่น การใช้เหตุผลโดยไม่ต้องอ้างถึงสิ่งที่จับต้องได้ การแก้ไขปัญหาในเรื่องสมมุติ รวมไปถึงการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ เช่น ตั้งทฤษฎีและสมมุติฐานต่อปัญหาต่างๆ

จากทฤษฎีของเพียเจต์ ทำให้เห็นว่า เด็กเริ่มต้นพัฒนาสติปัญญาผ่านการเรียนรู้สิ่งที่จับต้องได้ในโลกจริงจนไปสู่การเข้าใจความคิดเชิงนามธรรม การให้เด็กใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสมือนมากเกินไป จึงเป็นการปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญาขั้นที่สูงขึ้น เพราะการพัฒนาสติปัญญาเกิดขึ้นตามลำดับขั้น หากขั้นแรกพัฒนาไม่ดีก็จะไม่สามารถพัฒนาขั้นต่อๆ ไปให้ดีขึ้นมาได้

ดังนั้น ‘หน้าจอ’ จึงเป็น ‘ตัวปิดกั้นประสบการณ์’ (Experience Blocker) เพราะแม้ว่าเด็กจะมีประสบการณ์ในโลกเสมือนที่เพิ่มขึ้น แต่สิ่งนั้นเทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์ในโลกจริงที่ทำให้เด็กเกิดการพัฒนาสติปัญญาและเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างแท้จริง

แล้วเราควรทำอย่างไรท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยหน้าจอ?

ไฮด์ท กล่าวว่า เทรนด์การเลี้ยงลูกในปัจจุบันคือ การปกป้องลูกในโลกจริงอย่างเกินเหตุ ในขณะที่การปกป้องลูกในโลกเสมือนกลับน้อยเกินไป พ่อแม่ห้ามปรามการทำกิจกรรมในโลกจริงจนขาดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม 3 สิ่งที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ขณะเดียวกันกลับปล่อยปละละเลยในโลกเสมือน ให้เด็กเล่นหน้าจอได้อย่างอิสระจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ

เพื่อวางรากฐานให้เด็กเติบโตมามีสุขภาพที่ดีในยุคดิจิทัล ไฮด์ท ได้สรุปคำแนะนำที่สำคัญไว้ดังนี้

  1. ห้ามสมาร์ตโฟนก่อนมัธยมปลาย – การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างเสรีควรเกิดขึ้นให้ช้าที่สุด หากลูกจำเป็นต้องมีโทรศัพท์ ให้ใช้เป็นโทรศัพท์แบบปุ่มกดที่ไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้
  2. ห้ามโซเชียลมีเดียก่อนอายุ 16 – วัยเด็กและวัยรุ่นตอนต้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการพัฒนาสมอง ไม่ควรให้โลกออนไลน์เข้ามารบกวนการพัฒนาในโลกจริงของเด็ก
  3. โรงเรียนปลอดโทรศัพท์ – การเรียนในระดับอนุบาลและประถม หรือแม้แต่มัธยม ไม่มีความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เลย เพราะจะเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กและทำให้ไม่มีสมาธิจดจ่อ แนะนำให้โรงเรียนใช้ตู้ล็อกเกอร์หรือถุงเก็บล็อก (Locked Pouch) ในการควบคุมการใช้โทรศัพท์
  4. ส่งเสริมการเล่นอิสระและการทำกิจกรรมด้วยตัวเอง – กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะทางสังคมที่จำเป็น ก้าวข้ามความวิตกกังวล และเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลตัวเองได้

ไฮด์ทเชื่อว่า ข้อเสนอ 4 อย่างนี้ไม่ได้ยากเลย หากทุกคนกระทำพร้อมกัน แม้ผู้ใหญ่อาจไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลเท่ากับเด็กยุคนี้ แต่ตั้งแต่เทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาชีวิตของเราก็สับสนวุ่นวายมากขึ้น ฟีดข่าวที่ไร้จุดสิ้นสุดของโซเชียลมีเดียทำให้เราหมกมุ่นกับเรื่องคนอื่น หลงลืมเรื่องของตัวเองและคนใกล้ชิดที่ใช้ชีวิตร่วมกันมา

เรารับรู้ถึงผลร้ายจากการปล่อยให้หน้าจอควบคุมชีวิตของเรามาแล้ว อย่าปล่อยให้หน้าจอควบคุมชีวิตลูกของเราต่อไปเลย

อ้างอิง

พิมพ์จุฑา นิมมาภิรัตน์. (2025). สื่อออนไลน์กับพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น : ใช้อย่างไรให้ปลอดภัยและเหมาะสมกับพัฒนาการ.

Bone, M. (2021). The Role of Play in Early Child Development: An In-depth View. Integrated Studies, 357.

Gray, P. (2011). The Decline of Play and the Rise of Psychopathology in Children and Adolescents. American Journal of Play, 3(4), 443-463.

Gray, P. (2018). Evolutionary Functions of Play: Practice, Resilience, Innovation, and Cooperation. In P. K. Smith & J. L. Roopnarine (Eds.), The Cambridge Handbook of Play: Developmental and Disciplinary Perspectives (pp. 84-102). Cambridge University Press.

Jonathan Haidt. (2024). The Anxious Generation: How the Great Rewiring of Childhood Is Causing an Epidemic of Mental Illness. Penguin Press.

Kendra Cherry. (2024). Piaget’s 4 Stages of Cognitive Development Explained.

National Institute of Play. (n.d.). Attunement Play.

Saul McLeod. (2025). Piaget’s Theory and Stages of Cognitive Development.

Tags:

The Anxious Generationโซเชียลมีเดียการเล่นอิสระ(free play)พัฒนาการเด็ก

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Adolescent BrainSocial Issues
    The Anxious Generation EP3: เมื่อการเลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ ต้องแลกมากับสมองและพัฒนาการของเด็กที่เปลี่ยนไปตลอดกาล

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Adolescent BrainSocial Issues
    The Anxious Generation EP 1: เลี้ยงลูกด้วย ‘หน้าจอ’ สัญญาณร้ายสู่คนรุ่นใหม่วัยวิตก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Social Dilemma พลังการเก็บข้อมูล digital footprint ที่กำลังหลอกหลอนเรา

    เรื่อง พิมพ์พาพ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Early childhoodBook
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    HOW WE POST โกรธแต่กดเลิฟ

    เรื่อง ภาพ SHHHH

‘เพราะเด็กในวันนี้คือคนขับเคลื่อนประเทศในวันหน้า’ มายด์เซ็ตที่ถูกต้องของระบบการศึกษานอร์เวย์: ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร
Education trend
29 July 2025

‘เพราะเด็กในวันนี้คือคนขับเคลื่อนประเทศในวันหน้า’ มายด์เซ็ตที่ถูกต้องของระบบการศึกษานอร์เวย์: ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • ระบบการศึกษานอรเวย์มีพื้นฐานที่แข็งแรงจากระบบการดูแลเด็ก ที่เริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยมายด์เซ็ตที่จริงจังว่า ประเทศจะสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้จะต้องมีพลเมืองที่มีคุณภาพ
  • โรงเรียนในนอร์เวย์คาดหวังให้เด็กเติบโตเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้ มีศักยภาพในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และนำพาชีวิตไปในทิศทางที่ต้องการ เป็นคนที่เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม และมีความเป็นตัวของตัวเอง (Authentic)
  • หัวใจสำคัญของการจัดการศึกษานอร์เวย์คือ ‘ครู’ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์ โดยรัฐสนับสนุนครูทั้งด้านสวัสดิการและมาตรฐานการทำงานอย่างเหมาะสม

“การศึกษานอร์เวย์เป็นอย่างไร ทำไมนอร์เวย์ถึงสามารถพัฒนาคนให้มีคุณภาพได้จริง?”

นี่คือคำถามที่ ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากร นักพัฒนาการเด็กและผู้ก่อตั้ง Play Academy พกติดตัวไปตลอดการเดินทางไปดูงานในประเทศนอร์เวย์

ในฐานะคนทำงานด้านเด็ก เธออยากรู้ว่าประเทศเล็กๆ ที่ถูกยกให้เป็นหนึ่งในต้นแบบด้านการศึกษา เขาคิดและลงมือทำกันอย่างไร ซึ่งครูปุ๊กใช้เวลาอยู่ในนอร์เวย์เพื่อเข้าใจว่าอะไรคือเงื่อนไขที่ทำให้ประเทศนี้สามารถสร้างระบบที่ดูแลเด็กได้อย่างลึกซึ้งและยั่งยืน จนคนทั้งประเทศเข้าใจตรงกันว่า ‘เด็กคือทรัพยากรหลัก’ ที่ต้องดูแลตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่เพียงความรับผิดชอบของพ่อแม่หรือครู แต่เป็นภารกิจร่วมของทั้งสังคม

การเดินทางครั้งนี้ทำให้ครูปุ๊กได้สัมผัสมากกว่าระบบการเรียนการสอนในโรงเรียน แต่ได้เห็นว่าการดูแลมนุษย์ถูกออกแบบอย่างไร ตั้งแต่วันที่เด็กยังไม่ลืมตาดูโลก ตั้งแต่สวัสดิการสำหรับแม่ตั้งครรภ์ เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด การสนับสนุนให้พ่อแม่เลี้ยงลูกในปีแรก ไปจนถึงโรงเรียนอนุบาลที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นอิสระ เรียนรู้โลก และพัฒนาไปตามธรรมชาติของตัวเอง

เธอพบว่า การศึกษาของนอร์เวย์ไม่ได้เน้นแค่การ ‘สอนให้เก่ง’ แต่ตั้งใจสร้างคนที่พึ่งพาตัวเองได้ เห็นคุณค่าของความหลากหลาย และเติบโตอย่างเป็นตัวของตัวเอง (Authentic) โดยไม่ต้องถูกตีกรอบให้เหมือนใคร ความเข้าใจนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโรงเรียนเพียงอย่างเดียว แต่เพราะสังคมทั้งประเทศมองเด็กเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงรัฐ

The Potential ชวนร่วมค้นหาคำตอบกับครูปุ๊ก ว่าอะไรคือหัวใจของระบบการศึกษานอร์เวย์ และเราจะเรียนรู้อะไรได้บ้างจากประเทศที่ดูแลคนตั้งแต่ต้นน้ำโดย ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’

แรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้ครูปุ๊กสนใจระบบการศึกษานอร์เวย์เป็นพิเศษคะ?

ด้วยความที่เราทำงานด้านพัฒนาการเด็กควบคู่ไปกับการทำงานกับพ่อแม่เกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดูลูก เราจึงมีความหลงใหลในเรื่อง ‘การสร้างคน’ ซึ่งหมายถึงการหล่อหลอมผ่านทั้งระบบการศึกษาและการเลี้ยงดู

และเมื่อหลายปีก่อน มีภาพยนตร์สารคดีเรื่อง โรงเรียนริมป่า ที่ถ่ายทอดชีวิตประจำวันของเด็กอนุบาลในโรงเรียน Aurora Waldorf School ประเทศนอร์เวย์ โรงเรียนนี้เป็น Forest School หรือโรงเรียนที่ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ ซึ่งเน้นการเรียนรู้จากการลงมือทำ และการใช้เครื่องมือต่างๆ อย่างอิสระ ไม่เว้นแม้แต่อุปกรณ์ที่ดูอันตราย เช่น เลื่อยหรือมีด แต่สิ่งที่น่าประทับใจคือ ครูจะสอนให้เด็กรู้จักใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย เราประทับใจมาก ทั้งจากวิธีสอนและบุคลิกของครูที่อ่อนโยน เมตตา และปฏิบัติกับเด็กด้วยความเคารพ จึงเริ่มสนใจระบบการศึกษาของนอร์เวย์ตั้งแต่นั้น

อีกมิติหนึ่งคือ ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผู้คนมักพูดถึงฟินแลนด์หรือเดนมาร์กในฐานะประเทศที่มีระบบการศึกษายอดเยี่ยมหรือเป็นรัฐสวัสดิการที่ดีมาก แต่นอร์เวย์ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศนอร์ดิก กลับไม่ค่อยถูกพูดถึงในมุมนี้ ทั้งที่คุณภาพไม่ด้อยไปกว่ากัน เพียงแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และรู้สึกว่าเป็นประเทศที่น่าสนใจมาก เราก็เลยมีแรงจูงใจอยากไปดูงานด้านการศึกษาโดยเฉพาะ และก็โชคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลเมืองดรัมเมน ทำให้ได้เข้าไปสังเกตการณ์ในโรงเรียนทั้งระดับอนุบาลและประถมเป็นเวลา 10 วันเต็ม ได้นั่งอยู่กับเด็กตลอดทั้งวัน จึงได้เห็นทั้งวิถีชีวิตของเด็กตั้งแต่เช้าจรดเย็น วิธีสอนของครู ไปจนถึงแนวคิดในการบ่มเพาะพลเมือง ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เราทำอยู่ในประเทศไทย

หัวใจสำคัญที่สุดของระบบการศึกษาที่นั่นคืออะไร?

หัวใจของระบบการศึกษานอร์เวย์ คือ ‘ครู’ ค่ะ ครูในนอร์เวย์เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณความเป็นครูสูงมาก พูดจาดี ใจเย็น และให้เกียรติเยาวชน บุคลิกของครูส่วนใหญ่จะอยู่ในโทนคล้ายๆ กัน แม้ว่าแต่ละคนจะมีความแตกต่างในแบบของตัวเอง แต่สิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือความพร้อมในการรับฟัง อธิบายเหตุผล ปลอบโยน และยื่นมือช่วยเหลือเมื่อเด็กต้องการ

หนึ่งในภาพที่เราพบเห็นอยู่บ่อยๆ ทั้งในโรงเรียนอนุบาลและประถม คือเวลาที่เด็กมีปัญหาทางอารมณ์ ควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือรู้สึกว่าไม่ได้รับสิ่งที่ควรได้ ครูจะนั่งลงให้อยู่ในระดับเดียวกับเด็ก จับมือ พูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมอธิบายให้เข้าใจ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เด็กจะค่อยๆ สงบลง แล้วกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนในห้องได้ตามปกติค่ะ

ทั้งหมดนี้ทำให้เราเชื่อว่า ‘ครู’ คือหัวใจของการศึกษานอร์เวย์อย่างแท้จริง พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เด็กสามารถพึ่งพาได้ในทุกสถานการณ์ ซึ่งก็สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาของนอร์เวย์ ที่กำหนดให้โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กค่ะ

ครูของนอร์เวย์ไม่ว่าจะระดับอนุบาลหรือประถม ล้วนต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูแห่งประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นระบบที่ดึงคนที่อยากเป็นครูจริงๆ ขึ้นมาทำหน้าที่ตรงนี้อีกทั้งครูที่นี่มีคุณภาพชีวิตค่อนข้างดี เงินเดือนเฉลี่ยถ้าเทียบเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 280,000 บาทต่อเดือน ชั่วโมงการทำงานของครูในนอร์เวย์ต่อวันจะไม่เกิน 7.5 ชั่วโมง (รวมเวลาพัก) เพื่อป้องกันไม่ให้ครูเกิดภาวะเบิร์นเอาต์ ที่สำคัญคือไม่มีงานเอกสารต่างๆ เข้ามารบกวนหน้าที่หลักของครูเลย  แถมยังอยู่ในระบบรัฐสวัสดิการอีก ทำให้มีแรงจูงใจหลายอย่างที่ดึงดูดให้คนเก่ง และคนที่มีใจอยากเป็นครู เข้ามาอยู่ในระบบ

ที่สำคัญคือมายเซ็ตของผู้บริหารประเทศเขามองว่าการพัฒนาประเทศเริ่มจากคุณภาพของพลเมือง และการจะสร้างพลเมืองที่ดีได้ ต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก ผ่านระบบการศึกษาและการดูแลที่ดีตั้งแต่ต้น 

เขาตีโจทย์ตรงนี้แตก แล้วก็ลงมือทำอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นบุคลากรต่างๆ ที่มาทำงานเกี่ยวกับเด็กมีคุณภาพสูง ทั้งในแง่ความรู้ ความเข้าใจ และบุคลิกภาพที่เหมาะกับการทำงานกับเด็ก พวกเขาไม่ได้แค่ทำหน้าที่ แต่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กได้เติบโตด้วย เราเลยมองว่านอร์เวย์ลงทุนกับการพัฒนาคนอย่างยั่งยืนจริงๆ

แนวคิดในการจัดการศึกษาของนอร์เวย์คาดหวังให้เด็กมีคุณลักษณะแบบไหน

ข้อแรกคือ ‘ให้เด็กเติบโตเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้’ มีศักยภาพในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และใช้ความสามารถของตัวเองนำพาชีวิตไปในทิศทางที่ต้องการ

ข้อสองคือ การสร้างคนที่มองเห็น ‘มนุษย์เป็นมนุษย์เหมือนกัน’ ตั้งแต่ระดับอนุบาล โรงเรียนจะถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย เด็กได้เรียนรู้โครงสร้างของสังคมที่หลากหลาย ทั้งด้านวัฒนธรรม ภาษาของแต่ละคน

นอร์เวย์ให้ความสำคัญกับการเคารพในความแตกต่างมากๆ ไม่มีการดูถูกหรือเหยียดหยามเชื้อชาติ ซึ่งเรื่องนี้ถูกกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาเลย เราไม่ต้องพูดถึงแค่เรื่องรุนแรงอย่างการคุกคามทางร่างกายหรือเพศ แค่เรื่องพื้นฐานอย่างการไม่เหยียดชาติพันธุ์ก็ถือเป็นหลักสำคัญที่ทุกโรงเรียนต้องยึดถือ

โรงเรียนในนอร์เวย์ก็มีความเป็น International สูงมาก แม้จะไม่ได้เป็นโรงเรียนนานาชาติก็ตาม ภายในหนึ่งโรงเรียนอาจมีเด็กจากหลายเชื้อชาติ เพราะนอร์เวย์เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม เราเลยมองว่าสิ่งเหล่านี้คือการสร้าง ‘ความเจริญทางจิตใจ’ ที่ยั่งยืนมากๆ เลย ในสังคมนอร์เวย์ที่ไม่กีดกันและไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งเขาปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กๆ ผ่านเรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน 

เช่น ถ้าเด็กคนหนึ่งจะจัดงานวันเกิด แล้วอยากเชิญเพื่อนในห้องมาฉลอง ได้เลย แต่ต้องเชิญ ‘ทุกคนในห้อง’ ไม่ใช่เลือกเฉพาะเพื่อนที่สนิท เพราะนั่นถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้โรงเรียนก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าเขาปลูกฝังผ่านชีวิตประจำวัน ผ่านระบบสังคมทั้งหมด ทำให้เห็นในทุกๆ มิติ ทุกอณูของการใช้ชีวิต 

สิ่งสำคัญข้อสุดท้ายคือ การปลูกฝังให้มี ‘Authentic’ คือเป็นตัวของตัวเองแบบแท้จริง ซื่อตรงกับตัวเอง ไม่ต้องปรุงแต่ง อย่างบางทีถ้าครูเขาขอความร่วมมือ เช่น งานชิ้นนี้อยากให้คิดและทำเองนะ ไม่ต้องขอให้ใครช่วย ให้เด็กซื่อสัตย์กับตัวเอง พึ่งพาความสามารถตนเอง 

อะไรคือสิ่งที่ครูปุ๊กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในการสังเกตห้องเรียนของนอร์เวย์ 

เรามองว่ามันเริ่มต้นจากการที่เขา ‘เข้าใจชีวิต’ แล้วก็เข้าใจ ‘ธรรมชาติของมนุษย์’ จริงๆ รวมถึงเข้าใจพัฒนาการและการทำงานของสมองตามธรรมชาติด้วยนะ มันถึงกลายมาเป็นระบบการศึกษาแบบนี้ได้ 

ในระดับอนุบาล ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ขวบ จนถึง 6 ขวบ เด็กเล่นอย่างเดียวเลย เป็น free play คือการเล่นอิสระที่ไม่มีแบบฝึกหัด ไม่มีกรอบกำหนด เด็กได้เล่นเอง เลือกเอง คิดเองซึ่งการเล่นแบบนี้แหละที่ช่วยพัฒนาเด็กได้ครบ ทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก การคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ ความกล้า กล้าที่จะลอง กล้าที่จะทำ แล้วถ้าเขาเล่นกันเป็นกลุ่ม เด็กก็จะได้พัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคมด้วย เช่น การมี empathy การเข้าใจคนอื่น การปรับตัวเวลาเล่นกับเพื่อน หรือการจัดการความสัมพันธ์ในกลุ่ม ทั้งหมดนี้เกิดจาก ‘การเล่น’ ล้วนๆ

ที่บอกว่าเขาเข้าใจชีวิต เข้าใจพัฒนาการ เพราะเขารู้ว่าในวัยเด็กเนี่ย ใจยังไม่มั่นคง พอเด็กอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ครูมีบุคลิกเอื้อต่อการเลี้ยงดู และมีพื้นที่ให้เล่นอิสระ เด็กจะค่อยๆ มั่นคงขึ้นทางใจ เขาจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเล็กๆ ของเขา และค่อยๆ มี self-esteem ที่ดี

ครูเขามีความใส่ใจเด็ก บางทีเด็กเล็กๆ ที่เป็นชาวต่างชาติ ยังพูดภาษานอร์ชไม่ได้เลยก็มี เด็กกลุ่มนี้อาจจะมีภาษาของตัวเอง หรือยังสื่อสารลำบาก ครูจะมีวิธีสื่อสารโดยเขาจะมีสายคล้องคอที่ห้อยภาพไว้เต็มไปหมดเลย เป็นภาพเล็กๆ ขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่แสดงกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่นสนามเด็กเล่น เปลี่ยนผ้าอ้อม ระบายสี ต่อบล็อก อะไรแบบนี้ ภาพเหล่านี้ถูกจัดเรียงเป็นชุดๆ แล้วคล้องคอไว้ตลอดเวลาเวลาที่เด็กยังพูดไม่ได้ ครูก็จะนั่งทำกิจกรรมกับเด็ก แล้วค่อยๆ คลี่ภาพให้ดู ชี้ให้เด็กเข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงอะไร เด็กก็จะค่อยๆ เรียนรู้จากตรงนั้น

แค่ตรงนี้ เขาก็ให้เกียรติเด็กมากแล้ว คือเด็กพูดไม่ได้ แต่ครูพยายามช่วยให้เด็กสื่อสารได้ ให้รู้ว่า หนูมีตัวตนนะ หนูมีความสำคัญนะ ครูดูแลหนูอยู่ แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่หนูไม่สบายใจ หนูบอกครูได้เลย ครูของเขาเป็นแบบนั้นเลยจริงๆ พอเด็กโตขึ้นมาระดับประถม ถ้าภาษานอร์ชยังไม่แข็งแรง รัฐบาลก็มีนโยบายสนับสนุนให้เรียน ‘ภาษาแม่’ ควบคู่ไปด้วย เพราะเขาเชื่อว่าภาษาแม่ส่งผลระยะยาวกับเด็ก โดยเฉพาะเรื่องกระบวนการคิด เพราะมนุษย์เราคิดเป็นภาษาแม่ของตัวเอง

และที่นอร์เวย์ เขาไม่ได้เน้นให้เรียนเยอะ แต่เขาเน้นว่า ‘เรียนน้อยแต่ลึก’ อย่างเช่น วันนี้เรียนเรื่อง ‘มด’ ครูก็อาจจะเริ่มจากเปิดภาพหรือวิดีโอเกี่ยวกับมดให้ดูเยอะๆ อินโทรนิดเดียว เด็กจะนั่งกันเป็นวงกลม แล้วในหนึ่งห้องเรียน เด็กไม่ได้เยอะ เขาก็จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือเรียนกันกลุ่มเล็กๆ อยู่แล้ว

กลุ่มหนึ่งเรียนในห้องก่อน เป็นภาคบรรยายเรื่องมด ครูก็ให้เด็กลอง Discuss กัน เด็กนั่งหันหน้าเข้าหากันเป็นคู่ๆ คุยกัน สนุกสนานเลย สีหน้าท่าทางของแต่ละคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เพราะเพื่อนรับฟังกัน เด็กได้ฝึกการพูดคุยโต้ตอบตั้งแต่เล็กๆ จากนั้นวันรุ่งขึ้น เขาก็เดินป่ากันจริงๆ จากโรงเรียนขึ้นเขาไปเลย แล้วไปเรียนรู้เรื่องมดในสถานการณ์จริงในป่าเลยนะ ทั้งสังเกต ทั้งทดลองต่างๆ ในพื้นที่จริง

แล้วในปัจจุบันที่เด็กเติบโตกับโลก AI โรงเรียนในนอร์เวย์มีการรับมืออย่างไร

จริงๆ นอร์เวย์มีความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสูงมากตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แล้วการใช้ AI ก็เข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตของคนนอร์เวย์อยู่แล้วเหมือนกัน แต่คนนอร์เวย์ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายนะ เรียบง่าย กินอยู่ง่าย และใช้ชีวิตคู่ขนานไปกับธรรมชาติ

ต่อให้มี AI เขาก็ยังใช้ชีวิตในแบบที่เขาทำอยู่เดิมนั่นแหละ มันเป็นวิถีชีวิตของเขาอยู่แล้ว แล้วเขาก็ยังทำสิ่งนั้นต่อไป พอพูดถึงว่าเขารับมือกับ AI ยังไง เขาสอนให้เด็ก ‘ใช้เป็น’ คำว่าใช้เป็นนี่หมายถึงว่า ถ้าเด็กใช้เป็น เด็กจะควบคุมตัวเองในการใช้ได้จริงๆ เด็กจะรู้ว่าควรใช้มากแค่ไหน ขอบเขตอยู่ตรงไหน

อย่างเวลาเรียนในห้อง เด็ก ป.1 ต่อให้เป็นวิชาอ่านเขียน เขาก็ใช้จอใหญ่ๆ เลย เป็นจอสัมผัสแบบ interactive เด็กออกคำถามมา ครูก็พิมพ์คำนั้นขึ้นไปบนหน้าจอ แล้วก็จะมีเสียง AI พูดคำคำนั้นออกมาให้เลย เด็กก็จะได้เห็นทั้งคำ ทั้งภาพ ทั้งเสียง คือแบบนี้เลย ใช้ AI เข้ามาในห้องเรียนแบบเป็นรูปธรรมมาก ซึ่งพอมีผู้ใหญ่คอยควบคุมอย่างนี้ เด็กก็จะใช้เป็น แล้วเด็กจะไม่ติด ที่เหลือก็เป็นเรื่องของนโยบายจากทางบ้านแล้วล่ะ ว่าจะกำกับยังไง แต่โดยภาพรวมเขาสอนให้ใช้เป็นมากกว่าการกีดกันที่จะไม่ให้ใช้

ถ้าเปรียบเทียบกับไทย อะไรคือความแตกต่างที่เด่นชัดที่สุด?

สิ่งที่นอร์เวย์แตกต่างจากไทย คือ ‘ระบบการดูแลเด็ก’ เนื่องจากเขามีมายด์เซ็ตที่จริงจังว่า ประเทศจะสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้จะต้องมีพลเมืองที่มีคุณภาพ และพลเมืองที่มีคุณภาพก็คือประชากรเด็กในประเทศ ดังนั้นรัฐของนอร์เวย์เขาจะทำมากกว่าแค่เรื่องการศึกษา คือเขามีระบบดูแลเด็กตั้งแต่ช่วงที่เด็กยังไม่ได้ลืมตาดูโลกเลยนะ ตั้งแต่ตอนที่เด็กมีการปฏิสนธิในครรภ์แล้วด้วยซ้ำ ถ้าแม่ตั้งครรภ์ทำงานที่มีความเสี่ยงต่อทารก จะมีแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์เป็นคนประเมินความเสี่ยงให้ แล้วถ้ามันมีความเสี่ยงจริงๆ เขาก็จะมีการจ่ายเงินชดเชยให้นะ คือดูแลกันตั้งแต่ในท้องเลย พอเด็กคลอดออกมา เด็กทุกคนที่อยู่ในนอร์เวย์ ถ้าพ่อแม่ผ่านเกณฑ์การพิจารณา ก็จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เป็นเงินก้อนเลยประมาณ 315,000 บาท (คิดเป็นเงินไทย) ซึ่งเป็นเงินที่ ‘practical’ มากๆ คือใช้งานได้จริงในแง่ของการดูแลเด็กเกิดใหม่

ยังไม่หมดแค่นั้น เขายังสนับสนุนให้พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยตัวเองในปีแรกของชีวิตเลย สามารถ ‘ลางานเพื่อเลี้ยงลูก’ ได้ โดยยังได้รับเงินเดือนตามปกติ เหมือนทำงานตามปกติ ถึงแม้จะเป็นคนรายได้น้อย เขาก็ยังจ่ายอยู่ดี ต่ำสุดก็ไม่ต่ำกว่า 150,000–160,000 บาทต่อปี (เทียบเป็นเงินบาท) อันนี้คือน้อยสุดแล้วจริงๆ เพราะฉะนั้นจะเห็นเลยว่า เขาดูแลตั้งแต่ต้นทางจริงๆ

พอลูกอายุครบ 1 ขวบ ก็สามารถเข้าโรงเรียนอนุบาลได้แล้ว แต่ถ้าพ่อแม่ยังอยากเลี้ยงเอง เห็นว่าลูกยังเล็กเกินไป ยังไม่อยากให้เข้า เขาก็มีเงินสนับสนุนให้อีก สำหรับเด็กวัย 1–2 ขวบ แล้วพอเข้าสู่ระบบการศึกษาระดับอนุบาลหรือประถม รัฐบาลก็ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาอยู่แล้ว พ่อแม่จะจ่ายในอัตราที่ต่างกันตามรายได้ แต่จะอยู่ภายใต้เกณฑ์เดียวกัน เป็นระบบขั้นบันไดเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้กับทุกครอบครัว

เด็กในนอร์เวย์จะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐนะ ก็คือพ่อแม่นั่นแหละที่จะได้รับการช่วยเหลือในการเลี้ยงดู ตั้งแต่เด็กคลอดออกมาเรื่อยไปจนถึงอายุ 18 ปี ช่วงที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ จะได้รับเดือนละประมาณ 4,000–5,000 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน) พออายุเกิน 6 ขวบขึ้นไป ก็จะได้รับประมาณ 1,200–1,300 บาทต่อเดือน จนถึงอายุ 18 ปี แล้วยังไม่รวมกรณีพิเศษอีก เช่น ถ้าลูกเจ็บป่วย แล้วพ่อแม่ต้องลางานมาดูแลลูก ก็มีเงินช่วยตรงนั้นเพิ่มอีก หรือกรณีแม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็นจากการหย่าร้าง แยกทาง หรือแม้แต่ตั้งครรภ์แล้วพ่อเด็กไม่รับผิดชอบ ก็มีเงินสนับสนุนให้เหมือนกัน

ซึ่งเขา ‘ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง’ เลยจริงๆ แม้แต่คนเดียว เด็กทุกคนในนอร์เวย์จะต้องเข้าสู่ระบบการศึกษาหมด เป็นกฎหมายเลยนะ ว่าทุกคนต้องได้รับ ‘การศึกษาภาคบังคับ’ ไม่มีเด็กคนไหนหลุดจากระบบได้เลย ซึ่งภาคบังคับของเขาคือ เริ่มตั้งแต่ ป.1 ไปอีก 10 ปีเต็มๆ 

ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะเขาตีโจทย์แตกแล้ว เขาเข้าใจจริงๆ ว่าเด็กในวันนี้คือคนที่จะขับเคลื่อนประเทศในวันข้างหน้า เขาให้ความสำคัญกับความเป็น ‘เด็ก’ ในทุกมิติ ทุกอณู 

เราว่าตรงนี้แหละที่แตกต่างจากไทยมากๆ โดยเฉพาะเรื่องระบบการดูแลเด็ก คือเขาไม่ได้แค่พูด ไม่ได้มีแค่อุดมการณ์ แต่ลงมือทำจริงๆ และมีงบประมาณสนับสนุนจริงๆ ด้วย พ่อแม่จึงมีแรงจูงใจในการมีลูกมากขึ้น และถ้ามีลูกคนที่ 2 หรือคนที่ 3 รัฐก็ยังสนับสนุนอีก เช่น ค่าเรียนของลูกคนที่ 2 จะลดลง 30% ส่วนลูกคนที่ 3 จะลด 50% ทำให้กลายเป็นระบบที่เอื้อให้คนอยากมีลูก และเมื่อคนมีลูกมากขึ้น ประเทศก็มีพลเมือง มีแรงงานที่มีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนประเทศต่อไป

อีกเรื่องคือคุณภาพของโรงเรียนในนอร์เวย์ มันใกล้เคียงกันมาก แล้วก็ไม่ผิดเลยที่จะใช้คำว่า ‘เท่ากัน’ ไม่ว่าจะเรียนที่ไหน โรงเรียนไหนก็ประมาณนี้เหมือนกันหมด ไม่มีที่ไหนพิเศษกว่ากัน ทั้งเรื่องหลักสูตร วิธีการสอน ลักษณะการปฏิบัติกับเด็กของครู รวมไปถึงระบบ After School ที่เขาเรียกว่า SFO ก็มีเหมือนกันหมด เด็กจะได้ทำการบ้าน มีคนช่วยสอนภาษาเพิ่มเติมอะไรแบบนี้ คือมันเป็นระบบที่เขาวางไว้มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพราะใช้ระบบบริหารแบบเดียวกัน แล้วกระจายอำนาจลงไปถึงระดับเทศบาล โรงเรียนก็เลยมีทั่วถึง พ่อแม่ไม่ต้องเดินทางไกล เด็กประถมก็สามารถเดินหรือขี่จักรยานไปโรงเรียนกันเองได้ 

อีกอย่างคือ ถ้ามีเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เขาจะมีครูการศึกษาพิเศษมาประกบดูแลให้แบบตัวต่อตัว ซึ่งตรงนี้พ่อแม่ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเลย เพราะมันคือหน้าที่ของรัฐที่จะต้องดูแล นี่คือความเสมอภาคที่เราคิดว่าเป็นของจริง เป็นรูปธรรมมากๆ ในระบบการศึกษาของเขา

อะไรคือบทเรียนสำคัญที่ครูปุ๊กได้จากการดูงานระบบการศึกษานอร์เวย์?

หลังจากได้ไปนอร์เวย์ทำให้มองว่าระบบสังคมและระบบการศึกษาเชื่อมโยงกัน ไม่ได้มองเป็นชิ้นส่วนเหมือนก่อนหน้าที่ผ่านมา มันจริงนะกับคำว่า ‘it takes a village to raise a child’ สำหรับสังคมของนอร์เวย์ โดยครอบครัวเป็นจุดเริ่มต้น โดยพ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดี มีแนวทางในการเลี้ยงลูกที่ถูกทาง แล้วค่อยส่งต่อมายังระบบของโรงเรียน ซึ่งนอร์เวย์ดูแลตั้งแต่ระบบครอบครัวจนกระทั่งมาสู่ระบบการศึกษา 

ท้ายที่สุดเมื่อพูดถึงระบบการศึกษาไทย เราได้ยินคำว่า  ‘ปฏิรูปการศึกษา’ มาตลอด แม้ว่าเราจะปฏิรูปการศึกษาสำเร็จแต่ถ้าระบบสังคมเราเหมือนเดิม มันก็เหมือนวนกลับมาที่เดิม แล้วยังเสียทรัพยากรในการสร้างมนุษย์คนหนึ่งให้เติบโตขึ้นในระยะเวลา 20 ปีเป็นอย่างน้อยที่จะคืนสู่สังคมได้ 

เพราะฉะนั้นระบบสังคมและระบบการศึกษามีความเชื่อมโยงกัน จริงๆ มันเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อพูดมาถึงตรงนี้จะเห็นว่าอำนาจของผู้บริหารประเทศมีความสำคัญเพราะมันส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราจริงๆ

Tags:

การพัฒนาครูระบบการศึกษานอร์เวย์ครูปุ๊ก–ชลมาศ คูหารัตนากรการเล่นอิสระ(free play)การเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งทักษะ

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Social Issue
    ‘4 เรื่องต้องลงทุน’ กับ ‘7 นโยบาย’ สร้างสมรรถนะคนไทยให้เรียนรู้อย่างไร้รอยต่อ: ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Education trend
    เรื่องเล่าระบบการศึกษา ‘ไต้หวัน’ ฉบับชานมไข่มุก

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    โลกโกลาหล (BANI World) Ep1 Brittle: ในโลกที่เปราะบาง เด็กต้องไม่แตกหักด้วยทักษะความยืดหยุ่น

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learningSocial Issues
    ‘วิชาเอาชีวิตรอด’ ทักษะพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรมี: ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลท่ากว้าง จังหวัดเชียงใหม่

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Early childhoodLearning Theory
    ‘การเล่น’ คืองานที่เด็กทุกคนต้องได้ทำอย่างสุดความสามารถ

    เรื่องและภาพ สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

เมื่อข่าวร้ายถาโถม การถนอมหัวใจตนเองคือการต่อลมหายใจของความหวัง
Social Issues
28 July 2025

เมื่อข่าวร้ายถาโถม การถนอมหัวใจตนเองคือการต่อลมหายใจของความหวัง

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์

  • บางครั้งการเสพข่าวร้ายไม่ได้กระทบแค่ระดับความคิดหรือสายตา แต่มันอาจเข้าไปกระทบกับประสบการณ์บางอย่างในใจ เรื่องที่เราเคยรู้สึกอยู่แล้ว หรือเคยกดทับไว้ และถูกกระตุ้นให้ย้อนกลับไปสัมผัสความเจ็บปวดเดิม หรือแผลใจที่ยังไม่เคยได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง
  • วิธีสังเกตว่าเรามีความเครียดของการเสพสื่อเหตุการณ์ข่าวร้าย 1.ความเกร็งในร่างกาย 2.จังหวะการหายใจ 3.อารมณ์ที่เกิดขึ้น และ 4.การหยุดเสพสื่อไม่ได้
  • ในวันที่ข่าวร้ายถาโถมวิธีการดูแลใจของตนเอง อย่างการตั้งขอบเขต คัดกรองเนื้อหา รับฟังความรู้สึกของตัวเอง และขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น ล้วนเป็นรูปแบบหนึ่งของความกล้าหาญและความเมตตาที่เรามอบให้ตัวเอง

ช่วงที่ผ่านจะเห็นได้ว่ามีเหตุการณ์ข่าวร้ายเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์สงคราม แผ่นดินไหว การทะเลาะวิวาท ดราม่า ปัญหาปากท้องต่างๆ ที่วนเวียนอยู่บนหน้าฟีดสื่อออนไลน์ของทุกคน ผมเห็นคนรอบข้างหรือสื่อในติ๊กต๊อกเริ่มมีเสียงที่พูดว่าเขาเหนื่อยล้ากับการต้องเสพสื่อออนไลน์ที่ทำให้เกิดความเครียด แต่ก็ไม่สามารถหยุดได้ เพราะรู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์บ้านเมือง 

ภาษาอังกฤษมีคำที่เรียกพฤติกรรมเหล่านี้ว่า ‘Doomscrolling’ ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่บั่นทอนสุขภาพจิตในหลากหลายแง่มุม เนื่องจากมนุษย์มีแนวโน้มที่จะสนใจสิ่งที่ทางลบมากกว่าทางบวก ยกตัวอย่าง ถ้ามีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น 10 อย่าง แล้วสิ่งแย่ๆ เกิดขึ้น 1 อย่าง มนุษย์ก็มีแนวโน้มจะจมกับความรู้สึกทางลบได้ง่ายกว่า หรือบางทีการเสพข่าวร้ายก็เป็นหนึ่งในมิติที่เราใช้เพื่อปกป้องตัวเองจากความรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมบางสิ่งบางอย่างได้ เพื่อให้เกิดความรู้สึกแน่นอน อาจนึกถึงตัวอย่างของการที่คนวิตกกังวลพยายามหาข้อมูลของสิ่งต่างๆ ที่จะทำล่วงหน้าเพื่อช่วยลดความวิตกกังวลและเพิ่มความรู้สึกว่าสิ่งต่างๆ สามารถควบคุมได้ แต่ในทางกลับกัน ยิ่งทำแบบนั้นอาจยิ่งทำให้เรามีความเครียดอยู่ลึกๆ 

การที่เราอ่านหรือดูอะไรสักอย่างที่เป็นเหตุการณ์ข่าวร้าย หลายคนก็อาจอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น นึกภาพว่าตัวเองอยู่ในเหตุการณ์นั้น หรือจินตนาการถึงความเจ็บปวดและผลกระทบต่างๆ สิ่งนี้ทำให้สมองตอบสนองต่อข้อมูลที่รับรู้ราวกับว่าเรากำลังประสบกับเหตุการณ์นั้นจริงๆ ซึ่งกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ โดยเฉพาะระบบประสาทที่รับรู้ภัยอันตราย ส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล (cortisol) มากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสู้หรือหนี (fight or flight) เมื่อกระบวนการตอบสนองนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ จากการบริโภคข่าวที่มีเนื้อหารุนแรงหรือสะเทือนใจ ความเครียดและความวิตกกังวลที่สะสมจากการรับสื่อในลักษณะนี้จึงอาจทวีความรุนแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว 

ยิ่งรับสื่อที่กระตุ้นอารมณ์ด้านลบซ้ำบ่อยครั้ง ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่สมองจะจดจำและดึงดูดให้เลือกเสพข่าวในแนวทางเดียวกันซ้ำอีก กลายเป็นวงจรที่กระตุ้นความเครียดและความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างต่อเนื่อง

หากปล่อยให้เกิดวงจรดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ผลกระทบที่ตามมาทางจิตใจอาจหลากหลายและรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเครียด วิตกกังวล รู้สึกสิ้นหวัง การจดจ่อกับสิ่งต่างๆ ลดลง หรือแม้แต่หมกมุ่นอยู่กับข่าวร้ายโดยไม่สามารถละสายตาได้ นอกจากนี้ ในบางรายยังอาจพัฒนาเป็นอาการบาดแผลทางใจโดยไม่รู้ตัว กล่าวคือ แม้ไม่ได้เป็นผู้เผชิญเหตุโดยตรง แต่เรากลับรู้สึกเจ็บปวด เครียด หรือหดหู่จากสิ่งที่เห็นหรือรับรู้ ซึ่งความเครียดที่เกิดขึ้นนี้ อาจเป็นได้ทั้งในระดับที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

วิธีสังเกตว่าเรามีความเครียดของการเสพสื่อเหตุการณ์ข่าวร้าย 

1. ความเกร็งในร่างกาย

ร่างกายเป็นสิ่งที่บอกความรู้สึกคุณได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะมันไม่สามารถโกหกได้ คุณอาจรู้สึกตึงเครียดบริเวณคอ ไหล่ หลัง หรือกราม หรือมีความรู้สึกบางอย่างตรงหน้าอกหรือท้อง โดยเฉพาะเมื่อมีเนื้อหารุนแรง ความเกร็งนี้เป็นกลไกธรรมชาติของการตอบสนองต่อสิ่งที่รู้สึกไม่ปลอดภัย 

2. จังหวะการหายใจ

ความเครียดมักส่งผลต่อระบบการหายใจ เช่น หายใจถี่ขึ้น หายใจดังขึ้น หายใจไม่ทั่วท้อง 

3. อารมณ์ที่เกิดขึ้น

ลองสังเกตดูว่า ระหว่างหรือหลังจากเสพเหตุการณ์ข่าวร้าย คุณมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เช่น รู้สึกหดหู่ กังวล โกรธหวาดระแวง หรือหมดแรงใจ และเปรียบเทียบกับช่วงเวลาที่คุณไม่ได้ติดตามข่าวในลักษณะนั้น หากพบว่าอารมณ์ด้านลบเหล่านี้ยังคงอยู่ต่อเนื่อง แม้จะหยุดดูหรืออ่านข่าวไปแล้ว หรือส่งผลกระทบต่อกิจวัตรและความรู้สึกในชีวิตประจำวัน นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าจิตใจของคุณกำลังได้รับผลกระทบจากเนื้อหาที่บริโภค 

4. การหยุดเสพสื่อไม่ได้ 

การที่รู้สึกว่าไม่สามารถหยุดได้ แม้ในหัวรู้สึกว่าต้องการจะหยุดอาจเป็นสัญญาณหนึ่งของความเครียด เป็นวงจรที่สามารถสรุปได้ว่า อยากเสพเพื่อจะได้เข้าใจ ยิ่งเข้าใจยิ่งเครียด ยิ่งเครียดยิ่งอยากควบคุม ยิ่งอยากควบคุมยิ่งเสพ

แนวคิดที่สำคัญของการอยู่ในพายุแห่งความเครียด 

ก่อนจะพูดถึงวิธีการรับมือและดูแลจิตใจตนเอง ผมอยากพูดถึงแนวคิดที่สำคัญของการรับมือกับสื่อออนไลน์เพื่อให้รู้วิธีการเสพสื่อที่ดีต่อสุขภาพจิต 

1. การตั้งขอบเขตในโลกออนไลน์ (digital boundary) 

เราต้องรู้ว่าเมื่อไรควรเสพ เมื่อไรควรหยุด และจะเสพอะไรบ้าง การตั้งขอบเขตไม่ใช่การเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของใคร แต่คือการปกป้องพื้นที่ปลอดภัยในใจของเราเอง เพื่อให้ยังพอมีแรงสำหรับดูแลตนเองและเผื่อแผ่ให้คนอื่นได้บ้าง ขอบเขตที่ดีไม่ใช่กำแพง แต่คือแนวกันชนที่ทำให้เรายังยืนอยู่ได้ 

2. การยอมรับความรู้สึกตนเองเป็นเกราะป้องกันภัยชั้นดี 

วันที่โลกไม่ปกติ ความรู้สึกแย่ๆ ที่เกิดขึ้นในใจเรา ไม่ได้ผิดแปลกอะไรเลย จะเสียใจ โกรธ กลัว สับสน ก็ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องรีบเข้มแข็ง ทุกความรู้สึกมีเหตุผลของมัน และแค่การยอมรับมันได้ ก็เป็นก้าวเล็กๆ ของการดูแลใจตนเองแล้ว

วิธีการดูแลจิตใจของตนเองในวันที่ข่าวร้ายถาโถม 

1. จำกัดเวลาเสพสื่อ 

การกำหนด ‘ขอบเขตเวลา’ ในการเสพสื่อ เช่น วันละ 15–30 นาที เพื่ออัปเดตข่าวเท่าที่จำเป็น จะช่วยให้เรายังรับรู้ข้อมูลเท่าที่ควร โดยไม่ให้ใจจมอยู่กับความรู้สึกหดหู่ตลอดวัน

2. หลีกเลี่ยงการเสพข่าวตั้งแต่เช้า

วิธีเริ่มต้นวันมีผลต่อทั้งวันอย่างมาก การเปิดโทรศัพท์แล้วเจอกับภาพหรือข้อความสะเทือนใจตั้งแต่ลืมตา อาจทำให้เราพกพาความรู้สึกหนักแน่นอนไปทั้งวัน ทางที่ดีควรเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยกิจกรรมเบาๆ ที่ถนอมจิตใจ เช่น ดื่มน้ำ ฟังเพลงเบาๆ หรือลุกไปรับแดดบ้าง กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยดึงสติกลับมาสู่ปัจจุบัน ลดความคิดฟุ้งซ่าน และทำให้เรารู้สึก ‘ยังควบคุมชีวิตตนเองได้’ ก่อนจะอนุญาตให้ตัวเองรับรู้สิ่งใดๆ จากโลกภายนอก

3. คัดกรองเนื้อหาที่จะเข้ามา 

เราเลือกไม่ได้ว่าข่าวไหนจะเกิดขึ้น แต่เราเลือกได้ว่าจะรับสิ่งเหล่านั้นเข้ามาในใจอย่างไร ควรถามตนเองว่า เราอยากติดตามเพจแบบไหน สื่อแบบไหน และแบบไหนที่เราไม่ต้องการ เพื่อให้เจอเนื้อหาที่เหมาะสมกับความรู้สึก อย่าลืมว่าสื่อออนไลน์ออกแบบมาเพื่อให้เราเสพติดมากกว่าเพื่อให้เรามีความสงบทางจิตใจ ดังนั้น เราจึงต้องคัดกรองเนื้อหาให้ดีๆ 

4. ผ่อนคลายและเคลื่อนไหวร่างกาย

ความรู้สึกหนักแน่นในอก ความเครียดที่สะสมจากการเสพข่าว อาจเก็บกดอยู่ในร่างกายโดยไม่รู้ตัว การลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ขยับร่างกายเบาๆ หรือออกกำลังกายแม้เพียงเล็กน้อย

5. สูดลมหายใจลึกๆ 

หยุดพักสักครู่ หยุดเพื่อสังเกตลมหายใจ ตอนนี้เราหายใจเป็นอย่างไร ค่อยๆ สังเกตแล้วหายใจเข้า-ออกลึกๆ สักพักร่างกายก็จะรู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลายมากขึ้น 

6. ขอความช่วยเหลือ

ไม่มีใครสามารถจัดการปัญหาทุกอย่างได้ด้วยตนเอง และก็ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องเข้มแข็งตลอดเวลา บางครั้งการเสพข่าวร้ายไม่ได้กระทบแค่ระดับความคิดหรือสายตา แต่มันอาจเข้าไปกระทบกับประสบการณ์บางอย่างในใจ เรื่องที่เราเคยรู้สึกอยู่แล้ว หรือเคยกดทับไว้ และถูกกระตุ้นให้ย้อนกลับไปสัมผัสความเจ็บปวดเดิม หรือแผลใจที่ยังไม่เคยได้รับการเยียวยาอย่างแท้จริง

การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจากจิตแพทย์ นักจิตวิทยาจึงอาจเป็นทางออกที่สำคัญในการค้นหาความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและประสบการณ์บางอย่างในจิตใจ 

เมื่อโลกภายนอกเต็มไปด้วยข่าวร้าย ความรุนแรง และสิ่งที่เกินควบคุม สิ่งสำคัญคือการหันกลับมาใส่ใจโลกภายในของเราเอง เราอาจไม่สามารถหยุดเหตุการณ์ต่างๆ ได้ แต่เราสามารถเลือกดูแลจิตใจให้ไม่บอบช้ำเกินไปจากสิ่งที่รับรู้ได้

วิธีการอย่างการตั้งขอบเขต คัดกรองเนื้อหา รับฟังความรู้สึกของตัวเอง และขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น ล้วนเป็นรูปแบบหนึ่งของความกล้าหาญและความเมตตาที่เรามอบให้ตัวเอง ในวันที่โลกโหดร้าย การถนอมหัวใจตนเองคือการต่อลมหายใจของความหวัง เพื่อให้เรายังอยู่กับโลกนี้ได้อย่างไม่สูญเสียความเป็นมนุษย์ไป

อ้างอิง

Taskin, S., Yildirim Kurtulus, H., Satici, S. A., & Deniz, M. E. (2024). Doomscrolling and mental well‐being in social media users: A serial mediation through mindfulness and secondary traumatic stress. Journal of Community Psychology, 52(3), 512-524.

Kartol, A., Üztemur, S., & Yaşar, P. (2023). ‘I cannot see ahead’: psychological distress, doomscrolling and dark future among adult survivors following Mw 7.7. and 7.6 earthquakes in Türkiye. BMC public health, 23(1), 2513.

Kellerman, J. K., Hamilton, J. L., Selby, E. A., & Kleiman, E. M. (2022). The mental health impact of daily news exposure during the COVID-19 pandemic: ecological momentary assessment study. JMIR Mental Health, 9(5), e36966.

Tags:

โซเชียลมีเดียความวิตกกังวลDoomscrollingข่าวร้ายสุขภาพจิต

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Related Posts

  • How to enjoy life
    เพราะ ‘ข่าวร้าย’ มักดึงดูดใจกว่า ‘ข่าวดี’: Doomscrolling พฤติกรรมเสพข่าวร้ายไม่หยุด ที่ต้องหยุดตัวเองก่อนเสียสุขภาพจิต

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ: สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย…ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Relationship
    Parasocial Relationship: รักข้างเดียวของแฟนคลับ ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้เท่าทัน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    All The Bright Places: พ่อไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์ของการใช้กำลังวันนั้นมันแย่แค่ไหน 

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • How to enjoy life
    เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เฟอร์มิน หนู / รัก / หนังสือ:  เรื่องเศร้าเมื่อเราอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็นคุณค่า
Book
26 July 2025

เฟอร์มิน หนู / รัก / หนังสือ:  เรื่องเศร้าเมื่อเราอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็นคุณค่า

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘เฟอร์มิน หนู / รัก / หนังสือ’ ผลงานนวนิยายเล่มแรกของ แซม ซาเวจ (Sam Savage) นักเขียนและกวีชาวอเมริกัน ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดีไปทั่วโลก เนื้อหาที่เต็มไปด้วยตลกร้าย ความขบขันที่แสนขมขื่น คือนิยายหม่นเศร้าที่ถูกฉาบทับด้วยโฉมหน้าของนิทานแฟนตาซี
  • เฟอร์มิน คือหนูปัญญาชนผู้รักวรรณกรรม ที่ชอบอ่านวรรณกรรมดีๆ ช่างจดช่างจำถ้อยคำดีๆ หรือวรรคทองจากหนังสือ แต่กลับไม่มีใครมองเห็นคุณค่า เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นแค่หนู สะท้อนความเจ็บปวดของการอยู่ผิดที่ผิดทางในสังคมที่ตัดสินคนจากภายนอก
  • ความสุข คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ในที่ที่มีคนเห็นคุณค่า แม้ว่าในสายตาของคนอื่น เราจะเป็นแค่หนูสกปรกตัวหนึ่ง ที่สำคัญที่สุด ตัวเราเอง จะต้องเป็นคนแรกที่มองเห็นและเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง เพราะหากเรายังมองไม่เห็นคุณค่านั้น แล้วจะหวังให้ใครมามองเห็นได้

เมื่อพูดถึง ‘หนู’ คุณคิดถึงอะไรครับ

คำตอบของคนส่วนใหญ่ เมื่อนึกถึงหนู ก็คือ สัตว์ตัวรังควาน สร้างความเสียหายให้แก่ข้าวของในบ้าน ตัวแทนของความสกปรก และพาหะนำพาเชื้อโรคมาสู่คน หรือพูดอีกอย่างว่า หนู คือสิ่งที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งที่เป็นโทษต่อคนอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่ว่าหนูจะสมควรถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ไหน และไม่ว่าการจัดหมวดหมู่นั้น จะถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งหมดหรือไม่ แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลย ก็คือ หนูเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์ นับตั้งแต่เราเริ่มเข้าสู่ยุคของสังคมการเกษตรและอาศัยอยู่รวมกลุ่มในเมือง

เมื่อคนพบเจอหนูเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่ปรากฎในสมอง ก็คือ หนูเป็นตัวแทนของสิ่งสกปรก จัดอยู่ในกลุ่มสิ่งที่เป็นโทษต่อมนุษย์ หลังจากนั้น สมองจะเริ่มคิดหาวิธีขับไล่ หรือกำจัดหนูตัวนั้น ไม่ว่าจะด้วยการวางกับดัก หรือการใช้ยาเบื่อหนู และแน่นอน คนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกผิดกับการกำจัดหนู ที่เป็นสัตว์นำเชื้อโรคและความเสียหายมาสู่คน

แต่สมมติว่า หนูตัวนั้นเป็น ‘ปัญญาชน’ เป็นหนูที่อ่านหนังสือออก ชอบอ่านวรรณกรรม มีความคิดความอ่าน ดีไม่ดี อาจจะมากกว่าเจ้าของบ้านด้วยซ้ำ ถ้ารู้อย่างนั้นแล้ว คุณจะยังคิดกำจัดมันไหม

และทั้งหมดที่ว่ามา คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังสือชื่อ ‘เฟอร์มิน หนู / รัก / หนังสือ’ ผลงานนวนิยายเล่มแรกของ แซม ซาเวจ (Sam Savage) นักเขียนและกวีชาวอเมริกัน ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดีไปทั่วโลก ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่าสิบภาษา

หลายคนเรียกผลงานของซาเวจว่า เป็นวรรณกรรมเด็กที่เขียนให้ผู้ใหญ่อ่าน เนื้อหาที่เต็มไปด้วยตลกร้าย ความขบขันที่แสนขมขื่น คือนิยายหม่นเศร้าที่ถูกฉาบทับด้วยโฉมหน้าของนิทานแฟนตาซี ที่มีสัตว์เป็นตัวละครเอก คือโศกนาฏกรรมของการอยู่ผิดที่ผิดทาง และคือความพยายามที่ไร้ผลของการรักษาอัตลักษณ์ ในโลกที่ไม่มีใครให้คุณค่าอัตลักษณ์นั้น

เฟอร์มิน เป็นหนูตัวน้องสุดท้ายในจำนวนหนูสิบสามตัว ที่เกิดจากท้องแม่หนูขี้เมา ในห้องใต้ดินของร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ในย่านจัตุรัสสกัลลีย์ (สะกดตามในหนังสือฉบับแปลไทย) ของนครบอสตัน

จัตุรัสสกัลลีย์ นอกจากจะเป็นที่ตั้งของร้านหนังสือเพมบรูก ร้านหนังสือขนาด 4 คูหาในเรื่องแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของโรงละคร โรงภาพยนตร์ โบสถ์ ซึ่งแต่ละแห่งล้วนแต่มีอายุยาวนานหลายสิบปี จนถึงนับร้อยปี พูดง่ายๆ ว่า ที่นี่คือย่านเก่าที่เต็มไปด้วยอาคารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ขณะที่กลิ่นอายของเรื่องราวในอดีต ลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วจัตุรัส

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้กลิ่นหอมหวลของวันวาน สำหรับหน่วยงานบริหารของนครบอสตัน ย่านจัตุรัสสกัลลีย์ มีแต่กลิ่นอับชื้นสกปรก ไม่ต่างจากหนู ที่เป็นตัวแทนของความเสื่อมโทรม และนำพาเชื้อโรคมาสู่เมือง 

ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายหรอกครับ ทุกคนต่างแค่ทำหน้าที่ของตน ทุกคนต่างก็มีโลกของตน และทุกคนต่างก็มีทัศนคติ หรือแว่นที่ใช้สวมเพื่อมองโลกที่ย้อมสีเลนส์แตกต่างกัน จนกระทั่งวันใดวันหนึ่งที่โลกของคนสองกลุ่มเกิดเคลื่อนที่มาปะทะกัน ความขัดแย้งจึงบังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้าราชการและฝ่ายบริหารของเมือง ต้องการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับเมือง นักธุรกิจและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต้องการผลักดันโครงการก่อสร้าง เพื่อนำมาซึ่งงานและเม็ดเงินกำไร คนสองกลุ่มนี้ ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับย่านจัตุรัสสกัลลีย์

แต่สำหรับ นอร์แมน ชายน์ เจ้าของร้านหนังสือเพรมบรูก, เจอร์รี่ มาร์กูน นักเขียนนิยายที่ขายผลงานไม่ออก แต่ก็เชื่อมั่นว่า ตัวเองคือศิลปินที่ฉลาดที่สุดและร่ำรวยความสุขที่สุดในโลก รวมทั้งมนุษย์อีกหลายคนในย่านสกัลลีย์ ที่เต็มเปี่ยมด้วยทีท่าของปัญญาชนและศิลปินอิสระ พวกเขาไม่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย สำหรับพวกเขา ‘สิ่งที่เป็นอยู่..มันดีอยู่แล้ว’

เช่นเดียวกัน สำหรับเจ้าหนูเฟอร์มิน สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ในย่านจัตุรัสสกัลลีย์ มันดีอยู่แล้ว มีเศษอาหารให้มันเก็บกิน มีโรงหนัง (ที่ฉายหนังเก่าตอนกลางวัน และฉายหนังโป๊ในตอนกลางคืน) ให้มันแอบเข้าไปดู และที่วิเศษที่สุด มีร้านหนังสือที่เต็มไปด้วยวรรณกรรมดีๆ ให้มันได้อ่าน

อ้อ ผมเกือบลืมเล่าไปแล้วสินะครับ เฟอร์มิน ตัวเอกของเรื่อง เป็นหนูที่อ่านหนังสือได้ ชอบอ่านวรรณกรรมดีๆ ช่างจดช่างจำถ้อยคำดีๆ หรือวรรคทองจากหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น “ครอบครัวที่เปี่ยมสุขนั้นเหมือนกันหมด แต่ครอบครัวไร้สุขนั้นจะไร้สุขในรูปแบบที่ต่างกันไป” (จาก Anna Karenina ของ Leo Tolstoy นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย) หรือ “โอ อวสานอันขื่นขม! พวกเขาไม่มีวันเห็น ไม่มีวันรู้ ไม่มีวันคิดถึงผม และมันก็เก่าแก่และเก่าแก่ หม่นเศร้าและเก่าแก่ เศร้าหม่นและอ่อนโรย” (จาก Finnegans Wake ของ James Joyce)

และทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ทำให้เฟอร์มิน เชื่อว่า ตัวเองก็เป็นปัญญาชนคนหนึ่ง ไม่ใช่หนูตัวหนึ่ง แต่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในคราบของหนู

แม้ว่าเฟอร์มินจะมีความสุขกับการได้อ่านหนังสือดีๆ ได้พูดคุยเจรจาพาทีกับตัวละครในวรรณกรรม แต่สิ่งที่มันโหยหาอย่างแท้จริง ก็คือ การได้ผูกมิตรกับมนุษย์ตัวเป็นๆ สักคน

น่าเศร้าที่เฟอร์มินเป็นแค่หนู ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คน แม้ว่าลึกๆ ในใจ เฟอร์มิน จะเป็นทั้งปัญญาชน นักปราชญ์ นักอ่าน และศิลปิน

และที่น่าเศร้ากว่านั้น มนุษย์ คือสิ่งมีชีวิตที่ชอบตัดสินและจัดกลุ่มสิ่งต่างๆ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก มากกว่าจิตใจ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ในการพบเจอหน้ากันครั้งแรกระหว่างเฟอร์มิน กับ นอร์แมน ชายน์ เจ้าของร้านหนังสือ จึงไม่เป็นดังที่เฟอร์มินคาดหวัง

ค่ำคืนนั้น เจ้าของร้านหนังสือเพรมบรูก นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ ในร้าน เพราะสถานการณ์ทุกอย่างย่ำแย่ลง เทศบาลนครบอสตัน ต้องการเวนคืนที่ เพื่อบูรณะปรับปรุงย่านจัตุรัสสกัลลีย์ ขณะที่จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านหนังสือ ก็ลดน้อยถอยลงทุกที

นอร์แมน ชายน์ คือมนุษย์คนแรกที่เฟอร์มินหลงรักและอยากผูกมิตรด้วย ความเศร้าของเขา ทำให้เจ้าหนูอยากวิ่งเข้าไปปลอบ แต่น่าเศร้าที่ชายน์ไม่คิดเช่นนั้น ทันทีที่เขามองเห็นเฟอร์มิน หัวสมองบอกกับเขาว่า นั่นคือสัตว์รังควานที่ก่อให้เกิดโทษแก่มนุษย์ และวิธีเดียวที่คนควรใช้รับมือกับสิ่งนั้น ก็คือ กำจัดมันทิ้งเสีย

แม้ว่าเฟอร์มิน จะรอดชีวิตอย่างฉิวเฉียดจากขนมใส่ยาเบื่อหนูที่ชายน์จัดวางไว้ แต่มันสูญเสียโอกาสที่จะได้ผูกมิตรกับมนุษย์คนแรกที่มันรักไปแล้ว ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เฟอร์มินก็พอทำใจกับเรื่องนี้ได้ อาจจะเพราะมันชินชากับการอยู่โดยที่ไม่มีใครเห็นคุณค่ามาตั้งแต่เกิด

คงไม่ผิดถ้าจะใช้คำว่า เฟอร์มิน อยู่ผิดที่ผิดทางมาตั้งแต่เกิด มันคือน้องตัวสุดท้ายในจำนวนหนู 13 ตัว ที่เกิดจากแม่ที่เต้านมแค่ 12 เต้า นั่นหมายความว่า เจ้าตัวที่เล็กที่สุด จะมีโอกาสได้กินนมน้อยที่สุด

ด้วยความหิวโหยแทบจะตลอดเวลา เฟอร์มินเริ่มกัดกินหน้ากระดาษของหนังสือ ต่อจากนั้น มันค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมจากการกินหนังสือ เป็นการอ่านหนังสือ และท้ายที่สุด เฟอร์มิน ก็กลายเป็นหนูที่พิลึกพิลั่นในสายตาของหนูตัวอื่นๆ

ถึงแม้รูปลักษณ์เหมือนหนู แต่ในสายตาของหนูตัวอื่น เฟอร์มินไม่ใช่หนู มันสอบตกในหัวข้อคุณค่าของความเป็นหนูอย่างเห็นได้ชัด แต่ขณะเดียวกัน ถึงแม้จิตใจจะเหมือนคน แต่ในสายตาของคนทั่วไป เฟอร์มินก็ไม่ใช่คน มันสอบตกในหัวข้อคุณค่าของความเป็นคนเช่นกัน

ชีวิตของเฟอร์มิน ก็ไม่ต่างจากชีวิตของจัตุรัสสกัลลีย์ ที่ถูกมองเป็นย่านแห่งความโสโครก ไม่ถูกให้คุณค่าในสายตาของผู้บริหารเทศบาลนครบอสตัน

เมื่ออยู่ในที่ที่ไม่มีใครให้คุณค่า ชีวิตก็คือโศกนาฏกรรม ที่ไม่ต่างจากวรรณกรรมเปื้อนน้ำตาของเชคสเปียร์ หรือนิยายระทมทุกข์ของดอสโตเยฟสกี้

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงคิดว่า เรื่องราวของเฟอร์มิน คงเต็มไปด้วยความหดหู่ แต่จริงๆ แล้ว ไม่เลยครับ แซม ซาเวจ ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ เลือกถ่ายทอดมันผ่านทางอารมณ์ขัน ที่แฝงด้วยความเย่อหยิ่ง ไว้ตัว เยี่ยงปัญญาชน ที่เต็มไปด้วยอัตตาจนน่าหมั่นไส้

ว่ากันว่า งานเขียนเล่มแรกของนักเขียนทุกคน มักจะมีตัวตนของนักเขียนอยู่ในนั้น ไม่มากก็น้อย เรื่องราวชีวิตที่อยู่ผิดที่ผิดทางจนไม่มีใครเห็นคุณค่าของเฟอร์มิน ก็อาจเป็นภาพสะท้อนชีวิตช่วงหนึ่งของซาเวจ โดยหลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเยล ซาเวจได้เป็นอาจารย์สอนที่นั่นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งเจ้าตัวบอกในภายหลังว่า เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่แสนเศร้าหมอง

หลังจากลาออกจากแวดวงปัญญาชนแล้ว ซาเวจได้ทดลองใช้ชีวิตที่หลากหลาย ทั้งเป็นช่างซ่อมจักรยาน ช่างไม้ หรือกระทั่งเป็นชาวเรือประมงจับปู ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นนักเขียนในที่สุด

ย้อนกลับไปที่เรื่องราวของเฟอร์มิน ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของหนูผู้รักหนังสือ เกิดขึ้นเมื่อมันพบเจอกับเจอร์รี่ มากูน นักเขียนอิสระ ผู้กลายเป็นมนุษย์คนที่สองที่เฟอร์มินหลงรัก และเป็นมนุษย์คนแรกที่มองเห็นคุณค่าในตัวเฟอร์มิน

เจอร์รี่ พบเจอเฟอร์มินที่สวนสาธารณะ หลังจากเจ้าหนูถูกคนใช้ไม้ตีจนขาเจ็บ หลังจากนั้น เขาพามันกลับห้องพัก เลี้ยงดูด้วยอาหารดีๆ และความรักล้นเหลือ เจอร์รี่ตั้งชื่อเฟอร์มินว่า เออร์นี่ ตามชื่อของเออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ นักเขียนชาวอเมริกันที่เขาชื่นชอบ

เจอร์รี่ เคยเห็นเฟอร์มินกำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าหนูอ่านหนังสือได้จริงหรือเปล่า แต่เขาก็มีความสุขกับภาพที่เห็น และไม่เคยห้ามปรามเวลาที่เฟอร์มินอ่านหนังสือ เช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่เฟอร์มิน พยายามเล่นเปียโนเด็กเล่น (ซึ่งเจอร์รี่พบจากถังขยะและนำกลับมาซ่อมจนใช้ได้) เจอร์รี่ จะหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างมีความสุข เฟอร์มินเองก็มีความสุข ห้องเช่าเล็กๆของเจอร์รี่ อบอวลไปด้วยความสุข

ความสุข คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ในที่ที่มีคนเห็นคุณค่า แม้ว่าในสายตาของคนอื่น เราจะเป็นแค่หนูสกปรกตัวหนึ่ง 

ที่สำคัญที่สุด ตัวเราเอง จะต้องเป็นคนแรกที่มองเห็นและเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง เพราะหากเรายังมองไม่เห็นคุณค่านั้น แล้วจะหวังให้ใครมามองเห็นได้

Tags:

การอ่านวรรณกรรมสังคมการมองเห็นคุณค่าในตัวเองเฟอร์มิน หนู / รัก / หนังสือปัญญาชน

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • phonics-nologo
    Learning Theory
    สอนอ่านด้วย ‘โฟนิกส์’ ช่วยให้เด็กอ่านออก เขียนได้ เข้าใจความหมาย

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Pachinko (2022): อ่านผู้หญิงเกาหลีในนาม ‘ซุนจา’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • 041-Novels & Poems-nologo
    Character building
    อ่านนิยาย ร่ายบทกวี ไม่มีเสียเปล่า

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอนที่ 6

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

Superman: ฮีโร่ที่มีอยู่จริง…ก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่เชื่อมั่นในความรัก ความดี และคุณค่าความเป็นมนุษย์(ธรรมดา) 
Movie
25 July 2025

Superman: ฮีโร่ที่มีอยู่จริง…ก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่เชื่อมั่นในความรัก ความดี และคุณค่าความเป็นมนุษย์(ธรรมดา) 

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Superman (2025) เขียนบทและกำกับโดย เจมส์ กันน์ เขาให้สัมภาษณ์ว่า ซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นนี้มีความแตกต่างกับที่ผ่านมา เพราะนอกจากฉากต่อสู้ภายนอกแล้ว ยังมีเรื่องราวการต่อสู้ภายในของซูเปอร์แมนเกี่ยวกับตัวตน ที่มา รวมถึงพ่อแม่ ทั้งพ่อแม่ชาวคริปโตเนียนและพ่อแม่ในโลกมนุษย์  
  • ภาพยนตร์สร้างสถานการณ์ให้ผู้ชมเห็นความเป็นมนุษย์ของซูเปอร์แมน ผ่านการกระทำที่ล้มเหลว ความรู้สึกอ่อนไหว หัวใจที่อ่อนโยนและพร้อมปกป้องเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นการปลดล็อกความสมบูรณ์แบบของ ‘ฮีโร่’ และคืนความหมายของความเป็น ‘มนุษย์ธรรมดา’ ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน
  • นิยามความเป็น ‘ครอบครัว’ ถูกตั้งคำถามอีกครั้ง ว่าระหว่างพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดกับคนที่เลี้ยงดูด้วยความรักความเอาใจใส่ ใครคือคนที่กล่อมเกลาตัวตนให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมา และเขาควรให้ความสำคัญกับสิ่งไหน

“Only a man in a funny red sheet, Looking for special things inside of me.” 

(ฉันมันก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งในผ้าคลุมสีแดงประหลาดๆ ที่พยายามค้นหาบางอย่างที่พิเศษในตัวเอง)

เนื้อเพลงท่อนโปรดจากเพลง Superman (It’s Not Easy) ของ Five for Fighting ดังก้องอยู่ในหัว ระหว่างที่ผมขับรถไปดูภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่จากจักรวาล DC ซึ่งไม่ว่าจะทำมากี่เวอร์ชั่น ก็มักจะถูกหยุดไว้กลางทาง…ราวกับชื่อเพลงที่ผมเอ่ยถึง 

 [บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Superman เวอร์ชันล่าสุดนี้ ถ่ายทอดชีวิตของคลาร์ก เคลนท์ หรือ ‘ซูเปอร์แมน’ ฮีโร่จากดาวคริปตันที่กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตทางตัวตนและจิตวิญญาณอย่างรุนแรง เขาต้องต่อกรกับ เล็กซ์ ลูเธอร์ ศัตรูขี้อิจฉาที่มุ่งทำลายเขาทุกวิถีทาง โดยเฉพาะการเปลี่ยนความคิดของคนทั้งโลกให้มองซูเปอร์แมนในฐานะวายร้ายที่หวังยึดครองโลก 

ในฐานะของแฟนคลับของ เจมส์ กันน์ (เจ้าของผลงาน Guardians of the Galaxy ทั้งสามภาค) ที่รับหน้าที่เขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง ผมจึงเฝ้าดูว่าเขาจะนำเสนอซูเปอร์แมนออกมาในรูปแบบไหน โดยตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์จากเว็บไซต์ Subculture Entertainment ระบุว่าเขาตั้งใจทำให้ซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นนี้มีความแตกต่างกับที่ผ่านมา เพราะนอกจากฉากต่อสู้ภายนอกแล้ว ยังมีเรื่องราวการต่อสู้ภายในของซูเปอร์แมนเกี่ยวกับตัวตน ที่มา รวมถึงพ่อแม่ ทั้งพ่อแม่ชาวคริปโตเนียนและพ่อแม่ในโลกมนุษย์ 

“ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เน้นแค่นี้แหละครับ เน้นความเป็นมนุษย์ของคลาร์ก เคนท์ ใช่ เขาเป็นมนุษย์ต่างดาวจากดาวดวงอื่นที่ทรงพลังมาก แต่เขาก็มีความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้ง เขามีอารมณ์ความรู้สึก และทุกๆ วันที่ตื่นขึ้นมา เขาจะพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และบางครั้งก็ล้มเหลว ซึ่งนั่นแหละคือแก่นแท้ของหนังเรื่องนี้” เจมส์ กันน์ กล่าว

หนึ่งในฉากเจ็บปวดและทรงพลังที่สุดคือเหตุการณ์ที่เล็กซ์และพวกบุกบ้านส่วนตัวของซูเปอร์แมน และขโมยคลิปวิดีโอสุดท้ายจากพ่อแม่ชาวคริปโตเนียนของเขา ก่อนนำมาเผยแพร่สู่สาธารณะพร้อมคำแปลจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่กล่าวหาว่า พวกเขาหวังให้ลูกชายครองโลกด้วยอำนาจ ฆ่าใครก็ตามที่ขวางทาง พร้อมกำชับให้เขามีภรรยาหลายๆ คนเพื่อสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ และร่วมกันปกครองโลกอย่างไร้ปรานี

แม้จะไม่แน่ใจนักว่าคำแปลนั้นถูกบิดเบือนหรือไม่ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือคนจำนวนมากเลือกเชื่อโดยไม่ตั้งคำถาม พวกเขาพร้อมใจกันตัดสินซูเปอร์แมนจากข่าวเพียงข่าวเดียว ไม่นับรวมการสร้าง Hate Speech ในโลกโซเชียลที่ร้อนระอุไปด้วยความเกลียดชัง (จากการปลุกปั่นโดยกองทัพไอโอของเล็กซ์) 

ดังนั้นภาพที่ผู้คนชี้นิ้วด่า สาปแช่ง และขว้างปาข้าวของใส่ฮีโร่ที่อุทิศตนเพื่อโลกจึงค่อนข้างสะเทือนใจ เพราะมันเป็นการบอกอ้อมๆ ว่าต่อให้เราทำดีเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดมีอะไรที่พลาดพลั้งหรือชวนสงสัย ผู้คนก็พร้อมตัดสินเราอย่างรุนแรงในสิ่งที่เขาเชื่อมากกว่าการให้โอกาสเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ

ซูเปอร์แมนเองก็เช่นกัน ภายใต้พลังเหนือธรรมชาติ เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกับทุกคน เขาทั้งกลัว สับสน ผิดหวัง โมโห น้อยใจ เสียใจ และเจ็บปวดกับสิ่งที่เชื่อมาตลอดชีวิตว่าพ่อแม่ส่งเขายังมาโลกมนุษย์เพื่อให้เขาเป็นคนดีและปกป้องโลก แต่บัดนี้สิ่งที่ปลอบประโลมใจเขามาตลอดหลายปีได้ย้อนกลับมาทำร้ายเขาอย่างแสนสาหัส

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าเจมส์ กันน์ นั้นเชี่ยวชาญด้านฉากซึ้งๆ สะเทือนอารมณ์ ไม่แพ้ฉากบู๊ระห่ำเท่ๆ เพราะเขาหาทางออกให้กับซูเปอร์แมนด้วยการส่งเขากลับบ้าน…บ้านที่เขาเติบโตมาในรัฐแคนซัส ซึ่งที่นั่นเอง เขาได้ระบายความแหลกสลายในใจกับ ‘โจนาธาน’ หรือพ่อที่เลี้ยงดูเขามาด้วยความรัก และเมื่อถึงคราวที่ต้องพูด…คำพูดของพ่อก็กลายเป็นประโยค ‘ปลดล็อก’ ความสมบูรณ์แบบของ ‘ฮีโร่’ และคืนความหมายของความเป็น ‘มนุษย์ธรรมดา’ ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

มากไปกว่านั้นมันทำให้เขาตระหนักว่า เขาไม่จำเป็นเป็นต้องสืบทอดเจตจำนงของใคร แม้จะเป็นพ่อแม่โดยสายเลือดก็ตาม ตัวตนของเขามาจากสิ่งที่เขาเลือกทำหรือไม่ทำด้วยตัวเอง

“พ่อว่าลูกอาจจะให้ความสำคัญกับข้อความนั้นมากเกินกว่าที่คนอื่นคาดคิดเอาไว้มากเลยทีเดียว…

พ่อแม่ไม่ได้มีไว้เพื่อบอกลูกว่าเขาควรเป็นอะไร พ่อแม่ก็เพียงแค่ให้เครื่องมือเพื่อช่วยลูกให้สามารถคิดทุกอย่างได้ด้วยตัวของลูกเอง การตัดสินใจของเรา การกระทำของเรา นั่นต่างหากที่ทำให้เราเป็นตัวเรา”

เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ซูเปอร์แมนจึงไม่เพียงแค่กลับมาสู่หนทางของเขา เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าตัวตนของเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตีตราของคนอื่น แต่มันจะเผยออกมาผ่านการกระทำของเขาที่ยังคงเลือกยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องด้วยหัวใจไม่ยอมแพ้ เหมือนคำพูดที่เขากล่าวกับเล็กซ์ในตอนจบ

“ฉันก็เป็นมนุษย์เหมือนกับทุกคน ฉันรัก ฉันกลัวเป็น ฉันตื่นขึ้นมาทุกเช้า ถึงฉันจะไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ฉันแค่ก้าวเดินไปทีละก้าว พยายามทำดีที่สุดเท่าที่ฉันทำได้ ฉันผิดพลาดตลอดเวลา แต่นั่นคือการเป็นมนุษย์ และนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดของฉัน”

ไม่เพียงเท่านั้น คำพูดของโจนาธานยังนำผมกลับไปยังความประทับใจที่มีต่อภาพยนตร์ Guardians of the Galaxy Vol.2 ในฉากที่ยอนดู (มนุษย์ต่างดาวตัวสีฟ้า หัวหน้ากลุ่มราเวนเจอร์ ที่ลักพาตัวสตาร์ลอร์ดจากโลกมนุษย์และเลี้ยงดูเขาจนโต) พูดกับสตาร์ลอร์ดว่า “He may have been your father, boy, but he wasn’t your daddy.”  ซึ่งผมรู้สึกว่ามันกินใจและน่าจะนำมาใช้อธิบายความรู้สึกของโจนาธานที่มีต่อซูเปอร์แมนได้เป็นอย่างดี

ประโยคดังกล่าว ถ้าแปลเป็นไทยตามความเข้าใจของผมคือ “เขาอาจเป็นพ่อของลูก แต่เขาไม่ใช่คนที่เลี้ยงลูกมา” และหากมองให้ลึกลงไปในความหมายของ Father และ Daddy จะพบว่าทั้งสองคำนี้แตกต่างกันอย่างมาก โดย Father หมายถึงพ่อผู้ให้กำเนิด ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีบทบาทอะไรเลยก็ได้ในชีวิตลูก 

ส่วน Daddy อาจเป็นคนให้กำเนิดหรือไม่ก็ได้ เพราะพ่อในบริบทนี้คือการเป็นพ่อทางความรู้สึก พ่อที่อยู่เคียงข้าง โอบกอด มอบความรัก ดูแลเอาใจใส่ และสร้างตัวตนให้กับลูกด้วยหัวใจ ซึ่งทั้งยอนดูและโจนาธานต่างก็ทำหน้าที่แบบนั้นในฐานะพ่อ  

นอกจากนี้ ยังมีฉากที่ซูเปอร์แมนแสดงความเป็น Daddy เช่นกัน คือขณะที่เขาบินมาบอกลา ‘ลูอิส’ นางเอกของเรื่อง ก่อนจะตัดสินใจไปมอบตัวกับรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ออกหมายจับเขา (ผ่านการร่วมมือกับเล็กซ์) ลูอิสจึงถามเขาว่าทำไมต้องยอม และคำตอบอันเรียบง่ายของซูเปอร์แมน คือคำตอบที่ทำให้ผมน้ำตาซึม เนื่องจากว่ากลุ่มของเล็กซ์ได้จับ ‘คริปโต’ สุนัขของเขาไปเป็นตัวประกัน

“เขาอาจพาผมไปที่ที่จับหมาไว้ ผมไม่รู้จะหามันยังไง…ใช่ ถึงมันจะนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มันอยู่ข้างนอกตัวเดียว และมันอาจกำลังกลัวอยู่”

หลังจากชมภาพยนตร์จบพร้อมฉาก End Credit บนดวงจันทร์ที่ซูเปอร์แมนนั่งเคียงข้างเจ้าคริปโต และทอดสายตามายังโลกมนุษย์ ผมนึกถึงท่อนโปรดจากเพลง Superman (It’s not easy) อีกครั้ง และพบว่า

ซูเปอร์แมนไม่ใช่ ‘เทพเจ้าผู้ทรงพลัง’ อย่างที่คนทั้งโลกนิยาม แต่เขาคือมนุษย์คนหนึ่งที่ ‘พยายามค้นหาสิ่งพิเศษในตัวเอง’ อยู่ทุกวัน

และบางทีสิ่งที่พิเศษที่สุดนั้น อาจไม่ใช่พลังเหนือมนุษย์ แต่คือหัวใจที่ยังเชื่อในความรัก ความดี และคุณค่าของความเป็นมนุษย์…ผู้เห็นคุณค่าในตัวเอง คุณค่าของทุกชีวิต และปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความรักอย่างไร้เงื่อนไข

Tags:

ภาพยนตร์superman

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    The King’s speech (2010) – ‘ไม่ต้องกลัวในสิ่งที่เคยกลัวในตอนเด็ก ไม่ต้องพกพ่อ(ที่ดุและกดดัน) ไปตลอด เชื่อมั่นในตัวเอง’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • MovieLife classroom
    Accepted 2006: เมื่อเป้าหมายการศึกษาที่ไม่ใช่เพื่อเข้ามหาลัย แต่เพื่อค้นพบตัวเอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.9 ‘รักที่ปราศจากเงื่อนไข เริ่มต้นจากมองเห็นคุณค่าในตัวเองและรักตัวเองเป็น’
Early childhoodFamily Psychology
24 July 2025

เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.9 ‘รักที่ปราศจากเงื่อนไข เริ่มต้นจากมองเห็นคุณค่าในตัวเองและรักตัวเองเป็น’

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • เด็กเรียนรู้ ‘รักที่ปราศจากเงื่อนไข’ จากพ่อแม่ โดยความรักนั้นคือความรักที่หล่อเลี้ยงกายใจให้เติบโต ไม่ใช่ความรักที่ต้องการจะควบคุม หรือ ปกป้องจนเกินเหตุ และตามใจจนเกินพอดี
  • การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เด็กคนหนึ่งเรียนรู้ที่จะรักตัวเองจากใจจริง เพราะเมื่อมองเห็นคุณค่า  จึงอยากรักษาเอาไว้ให้ดีที่สุด ถ้ามีใครตั้งใจจะมาทำลายและทำร้าย เด็กจะพร้อมยืนหยัดปกป้องตัวเอง
  • อย่าลืมที่จะใจดีกับตัวเองด้วยการดูแลตัวเองทั้งกายใจ ไม่ทำร้ายตัวเองด้วยการยอมให้ผู้อื่นทำร้ายตัวเรา เพราะวันที่เรารักตัวเองมากพอ เราจะไม่ต้องรอให้ใครมาเติมเต็มความรักให้ตัวเอง

เด็กคนหนึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รักตัวเองและผู้อื่นเป็นนั้น เริ่มต้นจากตัวเขาต้องได้รับความรักนั้นก่อน และรักนั้นเริ่มต้นที่บ้าน…

‘รักที่ปราศจากเงื่อนไข’ เด็กเรียนรู้รักนี้จากพ่อแม่ของเขา เพราะสิ่งที่เด็กทุกคนปรารถนาจากพ่อแม่มากที่สุดคือ ‘ความรัก’

‘ความรักที่ดีที่พ่อแม่ควรมอบให้ลูก’ คือความรักที่หล่อเลี้ยงกายใจให้เติบโต ไม่ใช่ความรักที่ต้องการจะควบคุม หรือ ปกป้องจนเกินเหตุ และตามใจจนเกินพอดี ซึ่งองค์ประกอบในการมีความรักที่ดีในครอบครัวมี ดังนี้

(1) ‘พ่อแม่ใจดี แต่ไม่ใจอ่อน’

เราควรให้ความสนใจลูก แต่ไม่ตามใจในทุกเรื่อง

เราควรปล่อยให้ลูกได้รับอิสระ แต่ไม่ใช่การปล่อยปละละเลย

  • ได้เป็นตัวเอง: เด็กทุกคนแตกต่างกัน และแต่ละคนมีจุดดีและจุดที่เขาไม่ถนัด แต่เด็กทุกคนพัฒนาได้
  • ได้ลงมือทำ: ช่วยเหลือตัวเองตามวัย โอกาสในการลองทำทุกอย่าง โดยที่สิ่งนั้นไม่เดือดร้อนตัวเองและผู้อื่น
  • ได้เรียนรู้: แม้บางครั้งการเรียนรู้นั้นอาจจะเกิดความผิดพลาด เพราะเด็กลองผิดลองถูก ให้เราสอนเขา ไม่ใช่ลงโทษรุนแรง จนเด็กกลัวการเรียนรู้และลงมือทำ 
  • ได้เติบโต: บ้านที่อบอุ่น และพร้อมมอบความรักให้ เด็กจึงเติบโตได้

(2) ‘วินัยคือความรักที่ยั่งยืน’ เพราะรักเราจึงสอนวินัยให้ลูก

  • ให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้ เพื่อจะได้เอาตัวรอดและพึ่งพาตัวเองได้ แม้เราจะไม่อยู่ตรงนั้นกับเขา
  • ให้เขาทำสิ่งที่จำเป็นก่อนสิ่งที่อยากทำ เพื่อให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี และไปถึงเป้าหมายที่ตัวเองตั้งใจ

(3) ‘ความรักคือการร่วมทุกข์ร่วมสุข’

พ่อแม่ไม่ควรปกป้องลูกจากความทุกข์ ความลำบาก สิ่งที่เราทำคือการเคียงข้าง และสอนให้เขาเผชิญปัญหา เพื่อให้เขาข้ามผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ด้วยตัวเอง แม้ลูกจะล้มอีกสักกี่ครั้ง เขาจะลุกขึ้นเองได้

(4) ‘ความรักที่แท้จริงไม่ควรเกิดขึ้นบนความกลัว’

  • กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่รัก
  • กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ต้องการเรา หรือความต้องการจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
  • ต้องการให้เขาตามใจเรา
  • ต้องการให้เขาอยู่ในการควบคุมของเรา

แต่คือความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นจากการใช้เวลาร่วมทุกข์ร่วมสุข เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน

(5) ‘รักและยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น และเชื่อมั่นในตัวลูก’

เมื่อถึงเวลาอันสมควรพ่อแม่จำเป็นต้องปล่อยให้ลูกเติบโตต่อไป  แม้ว่านั่นหมายถึงเราจะไม่ได้อยู่กับเขาตลอดเวลาเหมือนตอนเด็กๆ อีกแล้ว  เพราะเรารักเขาอย่างแท้จริง เราจึงปล่อยให้เขาไปตามทางของเขา

เด็กทุกคนต้องการเป็นที่รักของพ่อแม่

เด็กทุกคนกลัวทำให้พ่อแม่ตัวเองผิดหวัง ดังนั้นพ่อแม่ได้โปรด…

  • อย่าคาดหวังให้เด็กต้องเป็นเหมือนเรา
  • อย่าคาดหวังให้เด็กต้องเป็นเหมือนใคร
  • อย่าคาดหวังให้เด็กต้องทำในสิ่งที่เราทำไม่ได้ 
  • อย่าคาดหวังให้เขาต้องทำในสิ่งที่เราต้องการ แต่ตัวเขาไม่ต้องการ

ในทางกลับกัน ‘รักเด็กอย่างที่พวกเขาเป็น’ เพราะเด็กทุกคนแตกต่างกัน รักแบบไม่มีเงื่อนไข และยอมรับในตัวเขา เพราะความรักนี้จะทำให้เขารักตัวเองเช่นกัน แต่ให้สอนในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ ไม่เปรียบเทียบเพื่อสร้างตำหนิในตัวเขา และไม่ทอดทิ้งเด็กๆ ไว้เพียงลำพัง

‘พ่อแม่คือฐานทางใจที่สำคัญของเด็กทุกคน ตั้งแต่วันแรกและตลอดไป’

ชีวิตของเด็กเริ่มต้นที่บ้าน…

  • พ่อแม่ที่รักและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
  • พ่อแม่ที่มีเวลาและเคียงข้างเขา
  • พ่อแม่มีอยู่จริง ทำให้เขามีที่พึ่งพิงที่มั่นคงทางใจ

ที่สำคัญเมื่อเขารับรู้ว่าตัวเองเป็นที่รักของพ่อแม่ คุณค่าภายในตัวเขาจึงค่อยๆ เติบโต พ่อแม่คือคนที่ช่วยเติมเต็มฐานทางใจให้ลูก

‘รักลูกวันนี้ให้มากพอ เพื่อที่เขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รักตัวเองและผู้อื่นเป็น’

วันหนึ่งข้างหน้าที่เขาต้องก้าวออกไปสู่โลกภายนอก เขาจะก้าวออกไปได้อย่างมั่นคง แม้วันใดที่เขาล้มลง ผิดหวัง หรือ พ่ายแพ้ เขาจะไม่เป็นไร เพราะรักที่พ่อแม่มีให้จะช่วยให้เขาลุกขึ้นได้อีกครั้ง

‘การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง’ หัวใจสำคัญที่นำไปสู่การรักตัวเองเป็น

การมองเห็นคุณค่าในตัวเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เด็กคนหนึ่งเรียนรู้ที่จะรักตัวเองจากใจจริง เพราะเมื่อมองเห็นคุณค่า  จึงอยากรักษาเอาไว้ให้ดีที่สุด ถ้ามีใครตั้งใจจะมาทำลายและทำร้าย เด็กจะพร้อมยืนหยัดปกป้องตัวเอง

แนวทางการสร้างการมองเห็นคุณค่าในตัวเองต้องเริ่มตั้งแต่วัยเยาว์

เริ่มต้นที่พ่อแม่ต้องเป็นผู้ให้…

ขั้นที่ 1 ให้ความรัก ให้เวลาคุณภาพ ให้การตอบสนอง ในเด็กแรกเกิด

ขั้นที่ 2 ให้การสอนเด็กช่วยเหลือตัวเองตามวัย

ขั้นที่ 3 ให้การสอนเด็กดูแลข้าวของเครื่องของตนเองและพื้นที่ที่ตนใช้

ขั้นสุดท้าย ให้สอนการดูแลส่วนรวม โดยเริ่มจากงานบ้าน

‘งานบ้าน’ ถือเป็นงานส่วนรวมงานแรกในชีวิตของเด็กเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อเด็กทำงานบ้าน เขาได้ทำประโยชน์ให้กับคนที่มาใช้งานพื้นที่นั้น หรือ ของตรงนั้น เด็กจะรับรู้ถึงคุณค่าภายในตัวเองว่า ‘เขาสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้’

เมื่อเด็กทำได้ดี คนชื่นชม เขาได้รับการยืนยันความสามารถโดยผู้อื่น เกิดเป็นความมั่นใจในตัวเอง (Self-confidence) นานวันไปเขาสามารถยืนยันความสามารถนั้นได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องให้ใครมายืนยันให้กับเขา เกิดเป็นความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-esteem)

สิ่งที่เด็กลงมือทำคือสิ่งที่มีคุณค่า เมื่อคุณค่าถูกส่งออกไปจากตัวเขาไปสู่ผู้อื่น สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ การที่ผู้อื่นรับรู้ถึงคุณค่าในตัวเขา เป็นการยืนยันว่าเขามีคุณค่าในขั้นแรก นานวันเขาไม่จำเป็นต้องรอผู้อื่นมายืนยันคุณค่านั้นอีก เพราะเขาเรียนรู้แล้วว่าภายในเขามีคุณค่า

เมื่อเรารักตัวเองเป็น เราจึงชื่นชมตัวเองได้จากใจจริง และเมื่อเราชมตัวเองเป็น เราจึงรักตัวเองมากขึ้น

การชื่นชมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรารู้จักมองหาและมองเห็นด้านดีของตัวเอง ซึ่งในเด็กๆ การชื่นชมตัวเองเริ่มต้นจากบ้านที่ชื่นชมเขาก่อน…

การชื่นชมที่ทำให้เด็กรับรู้คุณค่าในตัวเองและเติบโตต่อไป 

ขั้นที่ 1 ‘ชมอย่างจริงใจ’

การชื่นชมที่ดีควรเริ่มจากการจริงใจกับความรู้สึกของเราที่มีต่อเด็กคนหนึ่ง เพราะถ้าหากเราชมเขาด้วยความไม่จริงใจแล้ว เด็กบางคนจะรับรู้ได้ทันที ซึ่งการจริงใจต้องเริ่มจากการให้ ‘ความสนใจ’ กับเด็กๆ และมองเขาให้ละเอียดก่อนจะกล่าวชื่นชมในสิ่งที่เราเห็นอย่างตรงไปตรงมา เพราะเรามองเห็น เราจึงชื่นชมได้ง่ายขึ้น

ขั้นที่ 2 ‘ชื่นชมเด็กที่ความตั้งใจและความพยายามก่อนผลลัพธ์เสมอ’

การชื่นชมที่ผลลัพธ์หรือผลงานของเด็ก บางครั้งอาจจะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะไม่ใช่เด็กทุกคนจะทำผลงานออกมาได้สวยงาม และความสามารถเด็กไม่ได้เท่ากันทุกคน แต่ทุกความพยายามและความตั้งใจนั้นมีความหมายเสมอ แม้ผลลัพธ์ในครั้งนี้อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่หวัง อย่างไรก็ตามเด็กทุกคนเรียนรู้และพัฒนาได้ ถ้าเขามีกำลังใจและวินัยที่ดีพอ เด็กจะค่อยๆ พัฒนาไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ และคำชมคือพลังที่ทำให้เขามีแรงทำต่อไป

ขั้นที่ 3 ‘ให้การชื่นชมในระดับที่แตกต่างกันกับความพยายามและสถานการณ์ที่แตกต่างกัน’

ในสถานการณ์ที่เด็กต้องใช้ความตั้งใจและพยายามมากเป็นพิเศษ และเขาทำมันได้สำเร็จ ให้เราชื่นชมเขาอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเด็กทำสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดาย เพราะเขาเคยทำมันบ่อยครั้งแล้ว เราสามารถชื่นชมเขาได้ แต่ไม่ควรเป็นการชื่นชมที่เทียบเท่ากับสถานการณ์แรก เด็กๆ เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองต่อไปด้วยตัวเอง เมื่อเรารับรู้ความสามารถตัวเอง

ในวันที่ไม่มีใครชื่นชม เด็กควรชื่นชมตัวเองเป็น

‘ฝึกการชื่นชมตัวเอง’ เป็นสิ่งที่ควรสอนเด็กๆ ตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งการชื่นชมตัวเองและผู้อื่น เพราะการจะชมใครสักคนได้ นอกจากสายตาที่มองไปเห็น ใจของเราต้องมองเห็นสิ่งนั้นด้วย เด็กๆ ที่ชื่นชมตัวเองและผู้อื่นเป็น จึงมองเห็นคุณค่าในตัวเองและโลกใบนี้

การชื่นชมไม่มีแบบแผนในการสอนที่ตายตัว แต่วิธีที่ง่ายที่สุดคือ…

(1) ผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างที่ดี

ผู้ใหญ่ที่ชื่นชมเด็กๆ อย่างจริงใจ และชมสิ่งดีๆ ที่มองเห็นในตัวเขา ทำให้เด็กๆ เรียนรู้ และซึมซับสิ่งเหล่านั้นมา ดังนั้นการที่สายตาของเราจะจับจ้องไปเห็นสิ่งที่น่าชื่นชมได้ เราต้องมีเวลาอยู่กับเด็กๆ เพื่อจะได้มองเห็นพวกเขาอย่างชัดเจน ที่สำคัญการชื่นชมอย่างจริงใจนั้นไม่ได้ยาก เมื่อเรารักใครสักคนมากพอ

(2) การชื่นชมผ่านคำขอบคุณจากใจ

การชื่นชมแทรกอยู่ในคำขอบคุณ เมื่อเราได้รับสิ่งดีๆ จากใคร และเราขอบคุณเขาจากใจ คำขอบคุณนั้นคือการชื่นชมที่ดีที่สุด เด็กๆ ที่ทำอะไรให้ผู้ใหญ่ และได้รับขอบคุณกลับมา คำขอบคุณนั้นทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมีค่าเพียงใด

(3) มองเห็นสิ่งที่ทำได้ แล้วชมสิ่งนั้นตอนนี้ เดี๋ยวนี้

ถ้าเรามัวแต่รอชมผลลัพธ์ที่สำเร็จ เด็กๆ คงต้องรอการชื่นชมนั้นที่ปลายทาง ระหว่างทางที่เขาต้องอดทน ล้มลุกคลุกคลาน เราเลือกที่จะมองข้าม หรือ มองไม่เห็นมัน ดังนั้นถ้าเราชมในสิ่งที่เด็กทำได้ตอนนี้ แล้วชมให้เขารู้ตัวว่าเขาทำได้ถึงตรงนี้แล้วนะ เด็กๆ จะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ไม่ได้ไร้ความหมาย แม้จะยังไม่ถึงปลายทาง คำชมและการได้รับการมองเห็นทำให้เด็กๆ สู้ต่อ ผู้ใหญ่เองก็ต้องการการมองเห็นเช่นนี้เหมือนกัน

(4) ถึงแม้ปลายทางจะไม่สำเร็จและไม่เป็นดังหวัง

แต่ทุกความพยายามและความตั้งใจควรได้รับการชื่นชม บางคนอาจจะมองว่าถ้าทำไม่สำเร็จ ความพยายามที่ผ่านมาก็สูญเปล่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเราให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าระหว่างทางที่เราได้เรียนรู้อะไร แม้จะไม่สำเร็จ เราก็ชื่นชมตัวเองได้

  • ชื่นชมในความพยายาม
  • ชื่นชมในความอดทน
  • ชื่นชมในความกล้า

เพราะทุกครั้งที่ลงมือทำ คุณค่าในตัวเองนั้นย่อมบังเกิดแล้ว แต่จะงอกงามไปในทิศทางใด ก็คงแล้วแต่เจ้าตัวจะกำหนดทิศทางนั้น แม้จะไม่สำเร็จและไม่ใช่ทางที่ใช่ ก็ไม่ได้แปลว่าล้มเหลวและสิ่งที่ทำไม่มีคุณค่าเพราะทุกประสบการณ์สามารถนำไปต่อยอดกับสิ่งใหม่เสมอ

‘ชื่นชมเด็กๆ ในวันนี้ที่เขาได้ลงมือ และทำอย่างตั้งใจ ไม่ใช่ชมเพราะเขาทำมันได้สำเร็จเพียงอย่างเดียว’

(5) ชมเพื่อเป็นกำลังใจในการพัฒนาต่อ

ทุกคนมีด้านที่ไม่เก่ง ด้านที่ไม่ดี หรือ ด้านที่จำเป็นพัฒนาต่อ บางคนอาจจะมองว่าเราจำเป็นต้องตำหนิตัวเอง เพื่อจะได้แก้ไขและพัฒนาต่อ ในความเป็นจริงแล้วเราชมเพื่อพัฒนาต่อก็ทำได้เช่นกันการชมในที่นี้คือ ‘การให้กำลังใจตัวเอง’ มากกว่าจะบั่นทอนซ้ำเติมตัวเอง การชมอย่างตรงไปตรงมา มองตามความจริง และความเป็นไปได้จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

เช่น

“อย่างน้อยวันนี้เราทำถูกตั้งหลายข้อ เราไปฝึกมาอีก ครั้งหน้าต้องทำได้มากกว่านี้แน่”

“วันนี้ที่แพ้ เพราะ 1 ลูก คราวก่อนเราแพ้ต้อง 7 ลูก”

“เราพลาดไป เพราะเราไม่ได้ฝึกทักษะนี้มา ทักษะอื่นเราไม่แย่ไปหมด แต่ต้องไปฝึกทักษะนี้เพิ่ม”

“เราไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะอย่างน้อยวันนี้เราทำได้เกินครึ่งเลยนะ”

‘การชมตัวเอง’ แม้จะดูตลกและน่าอาย รู้สึกเป็นเรื่องยากที่จะทำ นั่นเป็นเพราะว่าเรายังไม่ชินและคุ้นเคย หากทำทุกวันเราจะพบว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายขึ้น และเราจะทำอย่างเป็นธรรมชาติ ผู้ใหญ่อย่างเราควรเรียนรู้ และทำสิ่งนี้ไปกับเด็กๆ เช่นกัน

เด็กๆ ที่ชื่นชมตัวเองเป็น เขาจะเรียนรู้ที่มองตัวเองในด้านดี ส่วนในด้านที่ไม่ดีไม่ใช่เขามองไม่เห็นมัน แต่เขาเลือกที่จะพัฒนาและไม่มองเป็นปมด้อยในตัว เพราะคุณค่าในตัวเขามีมากกว่านั้น ในวันที่เด็กๆ ยังชื่นชมตัวเองไม่เป็น ขอให้ผู้ใหญ่มองเห็นและชื่นชมในสิ่งที่เขาทำได้

ก่อนจะรักใคร อย่าลืมที่จะรักตัวเองก่อน

เมื่อเราแสวงหาความรักจากภายนอก แม้จะเจอความรักดีๆ แต่ภายในเราอาจจะยังรู้สึกขาดบางอย่างไป การรักตัวเองก่อน จึงเป็นพื้นฐานของการรักผู้อื่น

เริ่มต้นด้วยการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ยอมรับในความขาดๆ เกินๆ ของตัวเราเอง และยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบ ที่สำคัญให้อภัยในความผิดพลาดของตัวเรา พร้อมเรียนรู้และพัฒนาต่อไป

สุดท้ายไม่ลืมที่จะใจดีกับตัวเองด้วยการดูแลตัวเองทั้งกายใจ ไม่ทำร้ายตัวเองด้วยการยอมให้ผู้อื่นทำร้ายตัวเรา เพราะวันที่เรารักตัวเองมากพอ เราจะไม่ต้องรอให้ใครมาเติมเต็มความรักให้ตัวเอง

Tags:

ความรักเด็กครอบครัวการชื่นชมAlpha Genaerationพ่อแม่

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.2 ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ทำให้สิ่งสำคัญต่อตัวเด็กเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    The Holdovers: ในวันที่ไม่มีใครเหลียวแล ขอแค่ใครสักคนที่มอบไออุ่นและเยียวยาหัวใจกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
Creative learningEarly childhood
22 July 2025

‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • นิทานปากเปล่าจะทำให้เด็กสร้างภาพในใจ เกิดจินตนาการ ซึ่งจินตนาการของเด็กมีความสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการรอบด้าน ช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา พัฒนาทักษะการสื่อสาร และเข้าใจโลกและผู้อื่นได้ดีขึ้น
  • The Potential ชวน แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล พูดคุยถึงโลกของ ‘นิทาน’ กับพัฒนาการของเด็ก ข้อคิดในการเล่านิทานอย่างมีคุณภาพ และสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรใส่ใจ
  • หัวใจสำคัญในการเล่านิทานอย่างมีคุณภาพ นอกจากการเล่าเรื่องที่สัมพันธ์กับช่วงวัยของเด็กแล้ว การเล่าแบบปากเปล่า ได้เห็นแววตาของพ่อแม่ขณะเล่า จะช่วยกระตุ้นจินตนาการของเด็ก และเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่ที่เป็นคนเล่าด้วย

เด็กทุกคนต่างมีนิทานในดวงใจ นิทานที่เคยพาเราท่องไปในจินตนาการ สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เรียนรู้คุณธรรมความดี หรือแม้แต่ความสวยงามของความรัก

แต่มากไปกว่าเรื่องเล่าในนิทานอันน่าตื่นตาตื่นใจ สิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้เด็กอย่างรอบด้าน คือ ‘การเล่านิทาน’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้เล่าคือ ‘พ่อแม่’ นิทานจะทำหน้าที่สานสัมพันธ์ในครอบครัว พร้อมๆ ไปกับสร้างทักษะการฟัง การพูด พัฒนาไปสู่ทักษะการสื่อสารและทักษะด้านอื่นๆ ได้

ในงาน Wonder Life Playground ครั้งที่ 2 จัดโดย “I” Learning Center เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา The Potential ชวน แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล ผู้ก่อตั้งฟ้ากว้างเนอสเซอรี จังหวัดเชียงใหม่ และ ที่ปรึกษาแผนกอนุบาล โรงเรียนไตรพัฒน์ จังหวัดปทุมธานี พูดคุยถึงโลกของ ‘นิทาน’ กับพัฒนาการของเด็ก ข้อคิดในการเล่านิทานอย่างมีคุณภาพ และสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรใส่ใจ

แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล

กาลครั้งหนึ่งถึงปัจจุบัน ผู้คนเรียนรู้และเข้าใจโลกผ่านนิทาน 

ในโลกของ ‘นิทาน’ นั้น เต็มไปด้วยเรื่องราวที่เชื่อมโยง ‘โลกของผู้คน’ การใช้ชีวิตในสังคมๆ หนึ่ง, ‘โลกธรรมชาติ’ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม และ ‘โลกแห่งจิตวิญญาณ’ เรื่องราวเหนือธรรมชาติ ความเชื่อทางศาสนา คุณธรรม จริยธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อเรียนรู้และเข้าใจโลกเหล่านี้ รวมถึงสอดแทรกคำสอน ความดี ความชั่ว ผ่านการกระทำของตัวละครในนิทานเรื่องนั้นๆ 

“ในสมัยโบราณนิทานเล่าเพื่อที่จะสื่อถึงคุณธรรม จริยธรรม ภาพของชีวิตมนุษย์ให้กับคนในสังคม คนสมัยโบราณจะรับทุกอย่างเป็นภาพ แล้วสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน อาจจะไม่มีศาสนาด้วยซ้ำ ฉะนั้นคนที่มีความรู้ หรือปัญญาญาณเขาอยากจะสื่อความหมายของชีวิตมนุษย์ ที่คล้ายๆ เป็นคำสอนลงไปในนิทาน ก็เป็นเรื่องที่เขาเชื่อมโยงชีวิตกับเรื่องของคุณลักษณะ จริยธรรม คุณธรรม ความดี ความชั่ว” แม่จาวเล่าถึงการใช้ ‘นิทาน’ ที่มีมาแต่โบราณกาล โดยแรกเริ่มเน้นฉายภาพชีวิตของมนุษย์ในยุคๆ นั้น เล่าสู่กันฟังมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันนำมาใช้ในเสริมสร้างจินตนาการให้กับเด็ก สร้างการเรียนรู้ ทำความเข้าใจผู้คนและโลก 

เป้าหมายสำคัญของนิทานในโลกยุคปัจจุบันส่วนใหญจะเน้นไปที่การปรับพฤติกรรม การตระหนักรู้เรื่องอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ และสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ความดีความชั่วให้กับเด็ก

“เป้าหมายของการใช้นิทานก็มี 3 ระดับ อย่างแรกเป็นพวกพฤติกรรมที่เรามองเห็นทั่วๆ ไป อยากจะเอานิทานเข้าไปสอนเขา ให้เขาแปรงฟัน อาบน้ำ ไปโรงเรียน ส่วนนิทานระดับต่อไปก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับใจเขา อารมณ์ ความรู้สึก ความโกรธ และอีกสเต็ปนึงก็คือนิทานที่มีปัญญาญาณอยู่ข้างใน เป็นเรื่องความจริงของมนุษย์ มีคุณธรรมจริยธรรมเข้ามาเกี่ยว มีภาพของชีวิตมนุษย์ โดยเรื่องราวในนิทานที่มีตัวละครหลายๆ ตัว จริงๆ แล้วมันก็คือเรื่องราวของคนๆ เดียว ที่มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน เด็กจะได้เรียนรู้คาแรกเตอร์ของคนผ่านนิทาน” 

แพทเทิร์นเดิมๆ ซ้ำๆ ของนิทาน สามารถครองใจเด็กเล็กได้

ในการนำนิทานมาใช้กับลูก แม่จาวเล่าว่า “เด็กเล็กๆ เกิดมา ยังไม่มีประสบการณ์ชีวิตเลย เจอพ่อแม่ เจออะไรนิดหน่อยเท่านั้น เพราะฉะนั้นนิทานกับเด็กเล็ก แบเบาะเลย ก็เป็นการพูดอะไรซ้ำๆ ให้อะไรซ้ำๆ เป็นภาพซ้ำๆ คำศัพท์ซ้ำๆ เด็กจะชอบ”

ยกตัวอย่างเช่น

วันนี้เจ้ากระต่ายออกจากบ้านไป 

ไปเจอแมว ทักทายแมวว่า “สวัสดี” 

แมวก็ตอบพร้อมถามกลับว่า “สวัสดีจ๊ะ เธอจะไปไหนหรอ”

เจ้ากระต่ายก็ตอบกลับว่า “ฉันจะไปที่สวน” 

จากนั้นก็เดินต่อไปเจอกับวัวก็ทักทายแบบเดิม “สวัสดี” 

วัวก็ตอบ “สวัสดีจ๊ะ จะไปไหนหรอ” 

เจ้ากระต่ายก็ตอบกลับแบบเดิมว่า “ฉันจะไปที่สวน” 

จะเห็นว่า นอกจากมีแพทเทิร์นเดิมๆ ซ้ำๆ การเล่าเรื่องมักไม่ได้สื่อความหมายใดๆ มากนัก แต่จะเน้นประโยคที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และเน้นส่งความรัก ความอบอุ่นจากพ่อแม่ไปสู่ลูก 

“ในเด็กเล็กจะเน้นพูดคุยกับเขา เพราะเขาชอบฟังเสียงที่พ่อแม่พูดอยู่แล้ว เล่าเรื่องเดิมซ้ำไปหลายๆ วัน เขาไม่มีเบื่อ แล้วก็อาจจะเติมตัวอะไรใส่ไป แล้วสุดท้ายก็จะกลับมาจบที่บ้าน “ไปแล้วนะฉันกลับบ้านแล้ว” กลับถึงบ้านก็มาเจอแม่ แม่ก็กอดก็หอม อะไรอย่างนี้ เป็นการเน้นสายสัมพันธ์” 

จากนั้นช่วงวัยประมาณ 3 ขวบครึ่ง เด็กจะมีประสบการณ์ที่มากขึ้น วิธีการเล่าจึงค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น แม่จาวยกตัวอย่างเรื่อง ‘หัวผักกาดยักษ์’ เรื่องราวของคุณตาที่ปลูกต้นหัวผักกาดไว้อย่างตั้งใจ และแฝงไปด้วยชีวิตมนุษย์ 

เรื่องราวการผจญภัยโดนใจเด็กโต และต้องจบแบบ Happy Ending เสมอ 

ในวัยที่โตขึ้นมาสักหน่อยราว 5-6 ขวบ เรื่องราวของนิทานจะเติบโตขึ้นไปด้วย มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เน้นการออกไปผจญภัยในโลกกว้าง มีปัญหาและอุปสรรคหลากหลายให้ต้องหาทางแก้ไข หรือต่อสู้กับอะไรบางอย่าง จนท้ายที่สุดก็ทำสำเร็จ เพราะความดีย่อมชนะความชั่ว และที่สำคัญคือ ต้องจบแบบ Happy Ending เสมอ 

“นิทานสำหรับเด็กจะต้องจบแบบ Happy Ending เพราะว่าเขาต้องรับรู้ว่าโลกนี้ดี ถ้าโลกนี้ไม่ดีเขาจะไม่ค่อยเรียนรู้เท่าไหร่ เขาก็จะไม่กล้า จะเป็นเด็กขี้กังวล 

เพราะฉะนั้นนิทานสเต็ป 4-5 ขวบ มีจินตนาการรุ่มรวยมาก และจะมีความสลับซับซ้อน มีอุปสรรคนานับประการ และถ้าโต 5-6 ขวบก็จะเป็นเรื่องยาว การเดินทางที่ต้องไปเจอกับอะไรที่ต้องต่อสู้”

แม่จาวย้ำว่า เป้าหมายของการให้จบแบบ Happy Ending เหมือนเป็นการสร้างการรับรู้เชิงบวกในความคิดให้กับเด็ก “โลกนี้ต้องดี เด็กถึงจะยืนอยู่บนโลกนี้อย่างมั่นคง อยู่ที่นี่ได้ ทุกอย่างปลอดภัยนะ”

นิทานจึงมีความหมายมากกว่าแค่ความสนุก แต่สามารถช่วยส่งเสริมจินตนาการให้กับเด็ก ในนิทานจะมีสัญลักษณ์ต่างๆ ที่สื่อถึงความหมายที่เด็กเข้าใจได้ด้วยสภาวะสำนึกเดียวกันกับเรื่องราวในนิทานเรื่องนั้นๆ ส่งผลให้เด็กเข้าใจเรื่องราวในนิทานมากกว่าคำสอนหรือคำอธิบายของพ่อแม่เสียอีก

“เวลาที่เราอยากจะสอนอะไรเขา บางทีพูดคุยกับเขา เขากลับไม่เข้าใจ และอาจต่อต้าน แต่เมื่อเราเล่านิทานให้เด็กฟัง ทำไมนะเขาถึงนั่งฟัง แล้วก็อยากฟังอีกซ้ำๆ ขอให้เล่าอีก เหมือนตกอยู่ในมนต์สะกด พฤติกรรมของเขาก็เปลี่ยนไป นิทานทำงานกับเด็กลึกซึ้งกว่าที่เราคิดมาก”

นอกจากนี้ หลังจากที่เด็กได้ฟังนิทานนั้นซ้ำๆ ทุกวัน เป็นระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ ตลอดระยะเวลาที่ฟังเขาได้นึกภาพตามเรื่องราวในนิทาน และจะเริ่มรู้แล้วว่า เรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไร จะเกิดการหยิบจับสิ่งของรอบๆ ตัวมาเล่นบทบาทสมมติตามเรื่องราวนั้น 

“เด็กเล็กเขาสามารถมีภาพจินตนาการที่สนุกมาก ถ้าเราสังเกตดีๆ มันจะหายไปประมาณป.4 ป.5 แล้วเขาก็จะมาถามความสมเหตุสมผลของสิ่งต่างในนิทาน เช่น ซานตาคลอสมีจริงไหม ทำไมกวางเรนเดียร์ถึงลอยได้ เพราะฉะนั้นเด็กในวัยนี้เขาจะกลับไปที่จินตนาการบ้าง และกลับมาอยู่บนโลกความเป็นจริงบ้าง วัยนี้จะไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ 

และวัยนี้จะเริ่มกลัวผี กลัวว่าไม่ใช่ลูกพ่อแม่ เขาจะมาคอยถามว่า เขาใช่ลูกพ่อแม่จริงไหม แล้วผู้ใหญ่ก็จะชอบพูดเล่นว่า ไม่ใช่หรอก เก็บได้มา ซึ่งมีความหมายกับเขามาก เพราะเขาต้องการยืนยันตัวตน”

นิทานปากเปล่า เรื่องเล่าที่ส่งผ่านความปรารถนาดีจากพ่อแม่ถึงลูก

นิทานนั้นมีมากมายให้ได้หยิบจับมาเล่า ไม่ว่าจะเป็นนิทานภาพ นิทานแฟนตาซี นิทานอีสปต่างๆ แต่อีกรูปแบบหนึ่งที่แม่จาวแนะนำก็คือ การเล่า ‘นิทานปากเปล่า’ เป็นการเล่านิทานโดยไม่ใช้หนังสือ อาจเป็นเรื่องที่พ่อแม่แต่งขึ้นเองจากสิ่งรอบตัวโดยมีเรื่องราวที่อยากจะสื่อสารกับลูก หรืออาจจะเป็นนิทานที่มีอยู่แล้ว นำมาเล่าในแบบฉบับของตัวเอง โดยอาจใช้ Finger Puppet ตุ๊กตาหุ่นนิ้วมือประกอบการเล่า เพื่อสร้างบรรยากาศ และเล่าด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและเป็นกันเอง

“เช่นเราเห็นว่าลูกของเราไม่กินผัก แทนที่จะไปบอกลูกว่า เราต้องกินผักทุกวันเลยนะ ผักมันมีประโยชน์นะ ผักบล็อคโคลีมีประโยชน์ ถั่วนี่ก็มีประโยชน์ กินแตงกวาแล้วจะได้ช่วยย่อย เชื่อไหมว่าเด็กจะไม่กินผักอีกเลย แต่ถ้าเราแต่งนิทานให้เขาฟัง เล่าเป็นตัวเชื่อม เช่น พี่กระต่ายชอบกินผัก หรือเป็นบทกลอน เช่น กระต่ายน้อยหูยาวน่ารัก ชอบกินผักที่ในทุ่งนา เจ้าเต่าต้วมเตี้ยมเดินมา กระต่ายน้อยคอยท่ายื่นผักให้กิน งั้มๆๆๆ แล้วทำภาพกินผักอร่อยมาก เด็กก็เริ่มอยากลองกิน”

สำหรับเทคคนิคการแต่งนิทานนั้น มี 7 ขั้นตอนด้วยกัน โดยถอดความจากช่วงกิจกรรม Workshop แต่งนิทานเพื่อลูกด้วย โดย ครูจิ้ม – เฉลิมศรี บัตแลนด์ นักศิลปะบำบัดตามแนวทางมนุษยปรัชญา 

ขั้นที่ 1. เริ่มต้นด้วย กาลครั้งหนึ่ง หรือ การเริ่มต้นในห้วงกาลหนึ่ง (หรือมีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) ที่ดีงาม เช่น มีพระราชาที่สง่างามปกครองบ้านเมืองโดยทศพิธราชธรรม…

ขั้นที่ 2. แต่!!! มีอุปสรรคเกิดขึ้น พระราชาป่วยไข้ ต้องการการดูแลรักษา ต้องทำอะไรบางอย่าง (ไม่นิ่งนอนใจ หรือแค่นอนรอความตาย)

ขั้นที่ 3. เล่าถึงการเดินทาง เผชิญโลก เพื่อออกไปหาวิธีแก้ปัญหา

นิทานส่วนใหญ่จะให้เป็นบทบาทของลูกสามคน ซึ่งเป็น Symbolic (เป็นสัญลักษณ์) ส่วนใหญ่จะให้มีคุณลักษณะต่างกันคือ คนที่หนึ่งฉลาดหลักแหลม คนที่สองมีน้ำใจงาม คนที่สามไม่ได้เรื่อง แต่สุดท้ายคนน้องจะประสบความสำเร็จสามารถรักษาพ่อได้

ขั้นที่ 4. เจอ Crisis (วิกฤติ) ที่เกิดจากการหลง เช่น หลงทางในป่า หลงในอารมณ์ตนเอง โลกียะ ติดกับความปรารถนาของตนเอง ทำให้หลงลืมความตั้งใจเดิม (มีแค่น้องสาม ที่ไม่ติดกับ) 

เมื่อเจอวิกฤติ จะมี 2 ทางเลือกคือ

A) จมจ่อมอยู่กับสิ่งนั้น

B) ตื่นขึ้นมา และทำบางอย่าง

และเพื่อให้วิกฤตหายไป ต้องทำอะไรสักอย่าง เช่น เดินไประหว่างทางเจอขนมปังกำลังจะไหม้ ขอให้ช่วย เช่น ลูกแอปเปิ้ลสุกจัดขอให้ช่วยเขย่าลำต้นให้หน่อย… ถ้าเขาเลือกที่จะเข้าไปช่วย คือเขาสนใจผู้อื่นและสิ่งรอบตัว ไม่ได้มองแค่เป้าหมายของตัวเอง และการช่วยคนอื่น ก็เหมือนการลงทุนเพื่อจะรอเก็บเกี่ยวผลต่อไป

ขั้นที่ 5. ความหวัง หรือ เก็บเกี่ยวผลผลิต เก็บเกี่ยวกรรมที่เราทำไว้ ได้รับการตอบสนองจากสิ่งที่ทำ ถ้าเราช่วยขนมปัง / แอปเปิ้ล สิ่งเหล่านั้นก็จะกลับมาช่วยเรา

ขั้นที่ 6. ความสำเร็จ พบเจอ Spirit + Soul ใจเป็นหนึ่งเดียว พบหนทางหลุดพ้นปัญหา เช่น เจ้าหญิงแต่งงานกับเจ้าชาย หลังจากเผชิญความยากลำบาก ผ่านการต่อสู้กับชีวิต สุดท้ายดวงจิตของเราจะได้เจอกับ Spirit

ขั้นที่ 7. Recover  ฟื้นตัวจากการป่วย เกิดเป็นคนใหม่ ไม่เหมือนคนเดิม พัฒนาข้างใน เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่งอกงาม จบแบบ Happy ending 😊

นิทานปากเปล่าจะทำให้เด็กสร้างภาพในใจ เกิดจินตนาการ และถ้าเล่าได้ดีจะทำให้รับรู้ได้ถึงภาพข้างในของคนเล่าไปสู่คนที่ฟัง 

ซึ่งจินตนาการของเด็กมีความสำคัญอย่างมากต่อพัฒนาการรอบด้าน ทั้งด้านสติปัญญา อารมณ์ สังคม และความคิดสร้างสรรค์ ช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา พัฒนาทักษะการสื่อสาร และเข้าใจโลกและผู้อื่นได้ดีขึ้น

“เด็กเขาจะมีภาพของตัวเองมาจากประสบการณ์ นิทานปากเปล่าจะช่วยให้เด็กมีภาพของตัวเองและสร้างภาพเป็นเรื่องราวขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นการที่เขาจะไปเรียนต่อหรือไปอ่านหนังสือ มันจะเป็นการเรียนรู้ที่สนุกมาก เป็นการอ่านหนังสือที่สนุกมาก 

เป้าหมายการสอนหนังสือจากภาพกับการเล่านิทานต่างกัน การสอนหนังสือจากภาพ มีเป้าหมายในการอ่าน ผ่านเสียง ผ่านการเขียน แต่การเล่านิทานปากเปล่าเน้นการสร้างภาพจินตนาการของเด็ก สอดแทรกการมีคุณธรรมจริยธรรม คุณค่าของชีวิตมนุษย์อยู่ในนั้น มีอุปสรรคมีการแก้ไขปัญหา อันนี้มันจะเข้าไปในตัวเขาแล้วเขาก็จะเก็บไปตลอดชีวิต”

เล่านิทานอย่างมีคุณภาพ ต้องสัมพันธ์กับช่วงวัยและเชื่อมสัมพันธ์ในครอบครัว

หัวใจสำคัญในการเล่านิทานอย่างมีคุณภาพ นอกจากการเล่าเรื่องที่สัมพันธ์กับช่วงวัยของเด็กแล้ว การเล่าแบบปากเปล่า ได้เห็นแววตาของพ่อแม่ขณะเล่า จะช่วยกระตุ้นจินตนาการของเด็ก และเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับพ่อแม่ที่เป็นคนเล่าด้วย

“เรื่องที่สัมพันธ์และสำคัญกับวัยของเขาอย่างในวัยเด็กเล็กๆ ก็จะเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน การช่วยเหลือตัวเอง ถ้าเราอยากจะนำพาเขาทำอะไรเราก็สามารถนำพาเขาด้วยนิทานได้ ทำด้วยสิ่งที่เรียกว่าภาพสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทน เช่น กระต่ายแปรงฟัน ถ้าโตขึ้นมาภาพที่มีความหมายกับเด็กก็ต้องดูว่าประสบการณ์เขามีอยู่ตรงไหนแล้ว ถ้าเขามีจินตนาการแล้ว ภาพนั้นจะเป็นจินตนาการที่เยอะขึ้นแล้วก็มีเรื่องราวที่ซับซ้อนขึ้น มีอะไรที่ท้าทายมากขึ้น แล้วก็จะมีเรื่องธรรมชาติ เรื่องฤดูกาล เรื่องของผู้คน แล้วก็จะเน้นเรื่องของสังคมการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นที่นอกเหนือไปกับครอบครัว”

นอกจากนี้ การเล่านิทานยังเป็นการฝึก ‘การฟัง’ และสร้างจินตนาการให้กับเด็ก เพราะการฟังนิทานช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ภาษา คำศัพท์ต่างๆ ได้สร้างภาพในใจของตัวเอง ฝึกเรียงลำดับของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากมีอุปกรณ์ประกอบฉากด้วยเด็กๆ ก็จะได้หยิบจับสิ่งเหล่านั้น และได้ลงมือเล่นไปกับเรื่องราวในนิทานอย่างอิสระ 

อีกทั้ง การใช้ภาษาที่งดงามและเรื่องราวที่ซับซ้อน ยังช่วยพัฒนาทักษะการพูด เพิ่มคลังคำศัพท์และเกิดการนำมาใช้ในที่สุด

หน้าจอรบกวนจินตนาการ ข้อควรระวังสำหรับเด็กเล็ก

สำหรับเด็กเล็ก แม่จาวบอกว่าควรระวังคือ อย่าเพิ่งใช้หน้าจอ โดยเฉพาะใน 2 ปีแรกไม่ใช้เลยยิ่งดี เพราะจะทำให้เด็กนึกภาพไม่ได้ จินตนาการถูกรบกวน 

แต่ในกรณีที่เด็กติดหน้าจอไปแล้ว แม่จาวแนะนำว่า “ต้องหักดิบเลย เพราะถ้าให้สักครึ่งชั่วโมงเด็กก็จะต่อรอง ไม่มีเด็กคนไหนทำตาม จะมากกว่าที่เราคิดเสมอ เขาจะยื้อจะงอแง แล้วพออาละวาดมากๆ พ่อแม่ก็ใจอ่อนเอาออกมาให้ เป็นการสอนให้เขาอาละวาดอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นเก็บไม่ให้เล่น ผ่านไปสักกอาทิตย์เดี๋ยวเขาก็ลืม อะไรก็ตามที่หายจากเขาไปไม่เกินสัปดาห์เขาก็จะลืม เพราะว่าเด็กเขาจะอยู่กับปัจจุบันมากกว่า”

การให้เด็กอยู่กับหน้าจอตั้งแต่เล็กๆ นั้น แม่จาวมองว่าเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ส่งผลกระทบต่อสมอง นำไปสู่อาการสมาธิสั้น รวมถึงออทิสติกเทียม 

“การที่เราให้จอตั้งแต่เล็ก รู้ไหมว่าใยประสาทสร้างผิดตั้งแต่ตอนนั้น เราไม่รู้หรอกว่าภาพในจอมันเข้าไปลึกขนาดไหน แล้วกลายเป็นระบบประสาทที่ผิดปกติ แล้วถ้าดูเยอะก็ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับคน ไม่ได้เคลื่อนไหว ไม่ได้จับ ไม่ได้สัมผัสอะไร ใยประสาทก็สร้างจากอันนั้นซึ่งผิดปกติมาก อาจกลายเป็นเด็กสมาธิสั้น เป็นเด็กออทิสติกเทียมจากการเลี้ยงดู ส่งผลต่ออารมณ์ด้วย”

เด็กควรจะเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง การใช้ชีวิตประจำวัน เรียนรู้การปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เรียนรู้การควบคุมตัวเองให้ได้ก่อนที่เรียนรู้การใช้หน้าจอ หากยากที่จะเลี่ยง สิ่งสำคัญคือการจัดเวลาที่ชัดเจน และต้องไม่ใจอ่อน

“พ่อแม่เองก็ต้องไม่ใช้ให้เขาเห็นด้วยนะ ในขณะที่อยากจะเล่านิทานให้ลูก พ่อแม่ก็ต้องวางโทรศัพท์ ลงก่อน เพราะเด็กในวัยเล็กๆ พ่อแม่สนใจอะไรเขาก็จะสนใจอันนั้นด้วย เพราะฉะนั้นปิดมันซะ”

“ในหนึ่งวันของวันธรรมดาที่ลูกเข้าสู่รั้วโรงเรียนแล้ว พ่อแม่มีเวลาอยู่กับลูกแค่ 4 ชั่วโมงจาก 24 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น Quality Time ของลูก ควรจะให้เขา เพราะเป็นวัยที่เราจะต้องถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ให้กับเขา ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใช้ชีวิต การทำงานบ้าน งานครัว งานสวน สนุกมากเลยนะเด็กชอบ ลงมือทำกับเขา ถ้าพ่อแม่ปิดมันแล้วก็ลุกขึ้นมา Active ทำอะไรต่างๆ เด็กก็จะมีสัมพันธ์กับเรา แล้วก็มีอีกอันนึงที่ช่วยเด็กได้ในกรณีที่เด็กติดจอไปแล้ว ระบบประสาทมันไม่ค่อยได้พัฒนา อ่อนปวกเปียกก็พาเขาไปสนามเด็กเล่น ไปเจอกับธรรมชาติ ให้เขาได้ปีนป่าย ก็จะช่วยได้” แม่จาวทิ้งท้าย

Tags:

พัฒนาการเด็กเทคนิคการเล่าเรื่อง (Storytelling)จินตนาการนิทานปากเปล่าแม่จาว - วัชราวรรณ เพชรบุลความสัมพันธ์ความรักเลี้ยงลูกด้วยนิทาน

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Relationship
    Love Bombing: เมื่อการทุ่มเทความรักมากมายเป็นเพียงเหยื่อล่อไปสู่ความสัมพันธ์ท็อกซิก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Breadcrumbing: เลิกกั๊กแล้วรักได้มั้ย? ความสัมพันธ์ที่มีแต่ความหวังลมๆ แล้งๆ ไม่พัฒนาไปไหน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ทำความเข้าใจความรักกับการเมืองด้วย Balance theory

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Orange is the new black: แม้ในเรือนจำความเป็นมนุษย์ไม่ควรถูกกักขัง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Early childhood
    นิทานเรื่องนี้(ไม่)สอนให้รู้ว่า ep4: เรียนเรื่องรักจากนิทาน ‘เงือกน้อยผจญภัย’

    เรื่อง รัชดา ธราภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
Transformative learning
21 July 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย

ตอนที่ 4 เสนอข้อตีความจากบทที่ 2 Human Sponges สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดได้ไม่ใช่สายพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดหรือแข็งแรงที่สุด แต่เป็นสายพันธุ์ที่ปรับตัวได้ดีที่สุด การมีชีวิตที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำงานหนัก แต่ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ที่ดี

เหนือกว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’

เขายกตัวอย่างชีวิตของ Mellody Hobson เป็นคนดำที่เป็นลูกหนึ่งใน 6 คนของแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยากจนสุดๆ และเริ่มต้นการเรียนในสภาพเด็กเรียนอ่อนต้องเข้าชั้นเรียนของเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ที่เราเรียกว่า เด็กพิเศษ แต่เธอได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา คือ มหาวิทาลัยพริ้นซตัน เวลานี้เธอประสบความสำเร็จสูงยิ่งในฐานะนักธุรกิจหญิง เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของชีวิตคนที่เปลี่ยนจากยากจนสุดๆ สู่ฐานะร่ำรวยสุดๆ

เคล็ดลับความสำเร็จของเธอ อยู่ที่การมีทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills) นั่นเอง

Max Weber เสนอทฤษฎีจริยธรรมการทำงาน แบบโปรเตสแต็นท์ (Protestant work ethic) ที่เน้นความอดทนมานะพยายาม (Persistence) ว่าเป็นเส้นทางสู่ความเจริญก้าวหน้าของยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกา และเป็นที่ยึดถือกันมาเป็นร้อยปี บัดนี้ อดัม แกรนท์ ในหนังสือ Hidden Potential รวบรวมหลักฐานจากงานวิจัยมาเสนอว่า ความสำเร็จดังกล่าวมีผลจากการเรียนรู้มากกว่าความมานะพยายาม หรือกล่าวใหม่ว่า ความสำเร็จด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศยุโรปตะวันตก เกิดจากการทำงานแบบชาญฉลาด (Working Smarter) มากกว่าทำงานหนักขึ้น (Working Harder)

ทักษะด้านการรู้คิด (Cognitive Skills) มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ที่นำสู่ความสำเร็จในชีวิต แต่ไม่เพียงพอ ยังต้องการทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills) ที่ช่วยให้มีการเรียนรู้เชิงรุก (Proactive Learning) ที่เรียนความรู้ใหม่ (Relearn) ได้เร็ว และกรองความรู้เก่าที่ล้าสมัยออกไป (Unlearn)

ขอทบทวนว่า ทักษะเชิงลักษณะนิสัยประกอบด้วย 4 ทักษะย่อย คือ (1) พฤติกรรมเชิงรุก (Proactive) (2) เห็นแก่ส่วนรวม (Prosocial) (3) มีวินัย (Disciplined) (4) ตั้งจิตมั่น (Determined)

เหนือกว่าความพยายามคือการเรียนรู้เชิงรุก ที่ขับดันโดยทักษะเชิงลักษณะนิสัย

สนองการเรียนรู้และพัฒนา ไม่ใช่สนองอัตตา 

อดัม แกรนท์ นำชีวิตหรือพฤติกรรมของ เมลโลดี ฮ็อบสัน มาเล่าเพื่อเชื่อมโยงสู่หลักการเรียนรู้แบบ ‘ดูดซับอย่างมีเป้าหมาย’ (Absorptive Capacity) โดยให้นิยาม Absorptive Capacity ว่าหมายถึง ความสามารถในการมองเห็น (Recognize) ให้คุณค่า (Value) ดูดซับ (Assimilate) และประยุกต์ใช้ (Apply) สารสนเทศใหม่ (New Information) โดยเสนอว่า การดูดซับอย่างมีเป้าหมายนี้ จะส่งผลต่อความก้าวหน้าของบุคคลหรือไม่เพียงใดขึ้นกับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ (1) ผู้นั้นมีนิสัยหรือพฤติกรรมเชิงรุก (Proactive) ในการแสวงหาความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ มุมมองใหม่ และ (2) เมื่อได้ความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ มุมมองใหม่ มาแล้ว ผู้นั้นเลือกสำหรับนำไปใช้สนองการเรียนรู้และการพัฒนาของตน ไม่ใช่เอาไปสนองอีโก้ของตน   

กล่าวใหม่ว่า ท่าทีของพฤติกรรมเชิงรับ (Reactive) กับการรักษาอัตตา หรือรักษาหน้า (Ego-driven) เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ที่แท้จริง ที่จะช่วยปลุกพลังซ่อนเร้นในตัวบุคคลออกมา เพราะจะทำให้ผู้นั้นปฏิเสธสารสนเทศ หรือประสบการณ์ ที่ทำให้ตนเสียหน้า อดัม แกรนท์ กล่าวอย่างเจ็บแสบว่า คนหน้าบาง มีกระโหลกหนา คือไม่เรียนรู้       

แชมเปี้ยนที่โค้ชตนเอง   

ชีวิตของ Julius Yego แชมเปี้ยนโลกพุ่งแหลนชาวเคนยา ให้ข้อเรียนรู้เรื่องคุณค่าของทักษะเชิงลักษณะนิสัย เขาเกิดมาในครอบครัวยากจน เล่นพุ่งไม้แข่งกับพี่ชาย และเป็นฝ่ายชนะเสมอ นำสู่ความใฝ่ฝันเป็นนักพุ่งแหลนชั้นนำตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม เขาหมั่นฝึกฝนเอง โดยไม่มีเครื่องมือที่เหมาะสม ไม่รู้วิธีการฝึก และไม่มีครูฝึก   

แต่เขารู้จักหา ‘โค้ช’ ให้ตนเอง นี่คือพฤติกรรมเชิงรุก โค้ชดังกล่าวคือ ยูทูบ เขาศึกษาเทคนิคการพุ่งแหลนจากยูทูบ นำมาฝึกฝนตนเองอย่างสม่ำเสมอ (มีวินัย และตั้งจิตมั่น) จนในที่สุดแข่งชนะนักพุ่งแหลนชาวอียิปต์ชื่อ Ihab Abdelrahman ได้เป็นแชมเปี้ยนพุ่งแหลนของอัฟริกา และในปีต่อมาได้เป็นแชมเปี้ยนโลก ทั้งๆ ที่ร่างกายของเขาไม่มีความได้เปรียบต่อการเป็นนักพุ่งแหลน คือสูงเพียง 5 ฟุต 9 นิ้ว หนักเพียง 187 ปอนด์ แต่เขาเอาชนะ Ihab Abdelrahman ที่สูง 6 ฟุต 4 นิ้ว หนัก 212 ปอนด์ ได้ ที่เปรียบเสมือนเดวิดชนะโกไลแอธ

นักพุ่งแหลนทั้งสองเป็นคนอัฟริกันเหมือนกัน มาจากครอบครัวยากจนเหมือนกัน และ Ihab เคยเป็นแชมเปี้ยนพุ่งแหลนของอัฟริกามาก่อน เอาชนะ Julius อย่างง่ายดาย แต่ Julius ไปไกลกว่าด้วยพลังของทักษะเชิงลักษณะนิสัย ที่ Ihab ไม่มี

ความได้เปรียบทางทักษะเชิงลักษณะนิสัย ที่ได้มาจากการพัฒนาตนเอง (Nurture) ชนะความได้เปรียบทางกายที่ได้มาจากธรรมชาติ (Nature)       

เราต้องการโค้ช ไม่ใช่นักติหรือกองเชียร์ 

เพื่อพัฒนาเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง เราต้องการคนแนะนำจุดที่ต้องปรับปรุงและวิธีปรับปรุง นั่นคือหน้าที่ของโค้ช อย่าหลงตั้งคำถามลอยๆ ว่าผลงานของตนเป็นอย่างไร ซึ่งจะได้กองเชียร์หรือนักติ (Critics)

‘นักติ’ จะบอกสารพัดจุดอ่อนหรือข้อด้อยของผลงาน โดยไม่มีคำแนะนำให้ปรับปรุง ‘กองเชียร์’ ยิ่งแล้วใหญ่ ให้แต่คำชมลอยๆ หรือชมที่บางจุด แต่ไม่มีคำแนะนำให้ปรับปรุง

คนที่ต้องการพัฒนาผลงานให้มีคุณภาพสูงเด่น ต้องตั้งคำถามหาจุดที่ควรปรับปรุง และวิธีปรับปรุง ก็จะได้คำแนะนำแบบโค้ชมาฟรีๆ ยิ่งตั้งคำถามให้จำเพาะลงไปอีก ว่าผลงานที่จุด ก ที่ดีกว่าเป็นอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะสร้างผลงานระดับนั้นได้ ก็จะยิ่งได้รับคำแนะนำที่จำเพาะยิ่งขึ้น นี่คือวิธีหาโค้ชให้ตนเองของคนทั่วไป

คนเป็นครูในสมัยนี้ ต้องทำหน้าที่ 2 อย่างในเรื่องโค้ชให้แก่ศิษย์ คือ (1) ตนเองช่วยโค้ช ตามแนวทางข้างต้น และ (2) ฝึกให้ศิษย์รู้จักตั้งคำถามต่อผลงานของตน เพื่อแสวงหาโค้ชให้แก่ตนเอง ไม่หลงถามด้วยถ้อยคำหรือท่าที่แสวงหาคำชม หรือคำติชมลอยๆ

สร้างแหล่งเรียนรู้หรือโค้ชให้แก่ตนเอง

เรื่องเล่าย้อนกลับไปที่ Mellody Hobson ตอนจะสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ที่มหาวิทยาลัยพริ้นซตันสนใจเธอและเชิญไปรับประทานอาหารเช้าร่วมกับศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง และได้นั่งติดกันกับ Bill Bradley อดีตดารากีฬาบาสเกตบอล ที่เวลานั้นเป็นวุฒิสมาชิก ความช่างซักของเธอทำให้ Bill Bradley ประทับใจ และกลายเป็นติวเตอร์ให้เธอ

วันหนึ่ง ตอนรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน Bill Bradley เล่าความหลังครั้งเป็นดาราบาสเกตบอลว่า ชื่อเสียงของเขามาจากการที่เขาไม่ครองลูกไว้เพื่อทำแต้มคนเดียว แต่ส่งลูกให้เพื่อนร่วมทีมได้ทำต้มอย่างเหมาะสม และให้คำแนะนำป้อนกลับว่า เวลาประชุม Mellody มักผูกขาดการพูดอยู่คนเดียว ในทำนองนักบาสเกตบอลไม่ส่งลูกให้เพื่อนร่วมทีม

คำแนะนำตรงๆ นี้ทำให้ Mellody จุก และน้ำตาคลอเบ้า แต่เธอก็สะกดอารมณ์ได้และถามกลับแบบคนมองโลกแง่บวกว่า เธอขอคำแนะนำว่าเธอควรปรับปรุงตัวเองอย่างไร การตอบสนองเชิงสร้างสรรค์ (Constructive Response) ของ Mellody นี้ เป็นการบอกทางอ้อมว่า เธอมองคำพูดของ Bill Bradley เป็น (Constructive Feedback) ส่งผลให้ Bill Bradley ยังคงทำหน้าที่โค้ชให้แก่เธอตลอดมา

นี่คือตัวอย่างของพฤติกรรมสร้างโค้ชให้แก่ตนเอง ที่น้อยคนจะทำเป็น ที่ Mellody ทำเป็น ก็เพราะเธอมีทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills) ผสมกับกระบวนทัศน์เชิงบวก (Positive Mindset)

คำแนะนำสำหรับคนเก่งก็คือ ให้ระวังการใช้จุดแข็งของตนมากเกินไป (Strength Overuse) หรือใช้จุดแข็งผิดทาง (Strength Misuse) ในกรณีเช่นนี้ ความกระหายใคร่รู้ของ Mellody อาจทำลายบรรยากาศในห้องประชุม ที่ผมขอเสริมว่า คนเก่งต้องพัฒนา Soft skills (ที่ราชบัณฑิตเรียกว่า จรณทักษะ) ใส่ตัวด้วย

หลักการสำหรับเลือกให้ความสำคัญแก่คำแนะนำป้อนกลับคือ เป็นคำแนะนำที่น่าไว้วางใจ โดยที่ความน่าไว้วางใจ (Trustworthy) มี 3 องค์ประกอบคือ (1) เจตนาดี (Care) (2) ความน่าเชื่อถือ (Credibility) (3) ความคุ้นเคยต่อตัวเรา (Familiarity) ดังรูปข้างล่าง

Mellody ฉลาดพอที่จะใช้วิจารณญาณตัดสินว่า คำพูดของ Bill Bradley มาจากเจตนาดี น่าไว้วางใจ และความฉลาดทางอารมณ์ของ Mellody ช่วยให้เธอเอาชนะอารมณ์ของตนได้ และตอบสนองต่อคำตักเตือนของ Bill Bradley ด้วยคำถามเชิงบวก ส่งผลให้เธอได้โค้ชชั้นยอดต่อไป

การซึมซับและปรับตัวของมนุษย์ คล้ายสัตว์ทะเลที่เรียกว่า ฟองน้ำ (Sponge) ที่มีธรรมชาติดูดซับสารอาหารเข้าตัว และปลดปล่อยสารพิษออกไป รวมทั้งปลดปล่อยสารอาหารออกไปช่วยให้สัตว์และพืชอื่นๆ เจริญเติบโต มนุษย์เราต้องไม่เพียงมีพฤติกรรมเชิงรุก (Proactive) เพื่อรับสิ่งดีๆ เข้าตัวเท่านั้น ยังต้องมีพฤติกรรมเห็นแก่ส่วนรวม (Prosocial) โดยแบ่งปันสิ่งดีๆ แก่ผู้อื่นและสังคมด้วย

สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP3 ได้ที่นี่

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

Tags:

การปรับตัวปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)ทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills)ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชการศึกษา

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trendBook
    การศึกษาอาจต้องการ ‘ความเสี่ยง’ ไม่ใช่ ‘ความมั่นคง’: ปรัชญาการศึกษาของ Gert Biesta ใน ‘The Beautiful Risk of Education’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningLearning Theory
    เปลี่ยนวิกฤตการเรียนรู้ถดถอย เป็นโอกาสปฏิรูปการศึกษาเพื่อเด็กทุกคน : ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
Transformative learning
21 July 2025

เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง

เรื่อง นิภาพร ทับหุ่น

  • ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง โรงเรียนบ้านหนองกุลา ขับเคลื่อนการเปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง และเอาจริงเอาจัง โดยใช้นวัตกรรมจิตศึกษา และ PLC ยกระดับคุณภาพชั้นเรียนและโรงเรียน เพื่อไปสู่ผลลัพธ์ที่มุ่งหวัง นั่นคือ เปลี่ยน ‘เด็กด้อยโอกาส’ เป็น ‘เด็กได้โอกาส’
  • “ครูใช้จิตวิญญาณเชิงบวก และจัดกิจกรรมจิตศึกษา เช้า กลางวัน เย็น เปลี่ยนตรงจุดคานงัด การเปลี่ยนแปลงนั้นคือแบบแผนวัฒนธรรมองค์กร”
  • ผลลัพธ์ คือ เด็กมีสุขภาวะทางกายใจที่ดี มีทักษะสำคัญ 3 อย่าง คือ วิชาการ วิชาชีพ และวิชาชีวิต ทั้งครูและผู้บริหารมีจิตวิญญาณของความเป็นครูอย่างชัดเจน และชุมชนเองก็มีความเข้มแข็ง

‘Big Change for Bigger Child’ คือคติพจน์ของ โรงเรียนบ้านหนองกุลา จังหวัดพิษณุโลก โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาที่มี ดร.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง เป็นผู้อำนวยการ

“ที่นี่อยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดพิษณุโลกราวๆ 50 กิโลเมตร ประชากรและชุมชนเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่ก็จะมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างทั่วไป” ดร.วรรณรักษ์ เล่าถึงบริบทโรงเรียน บนเวทีการจัดการความรู้ School Zero Dropout ภาคเหนือ ‘พลังความร่วมมือ’ การขับเคลื่อนโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQM) ณ จังหวัดพิษณุโลก

โรงเรียนบ้านหนองกุลา มีนักเรียนประมาณ 500 คน เปิดสอนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ในปี 2562 ได้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง หรือ TSQM รุ่นที่ 1 โดยใช้นวัตกรรมจิตศึกษา และ PLC ยกระดับคุณภาพชั้นเรียนและโรงเรียน เพื่อไปสู่ผลลัพธ์ที่มุ่งหวัง นั่นคือ เปลี่ยน ‘เด็กด้อยโอกาส’ เป็น ‘เด็กได้โอกาส’

“เราเริ่มร่วมมือกับครูและกรรมการสถานศึกษา ทำอย่างไรที่จะมีรูปแบบการบริหารที่ยั่งยืน ก็เลยคลี่แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติในระยะยาว 20 ปี เป็นแผนพัฒนาอย่างยั่งยืน SDGs ขององค์การสหประชาชาติ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าโมเดลของเราเป็นโมเดลขนาดใหญ่ แต่เรามีองค์ประกอบอยู่แค่ 3 เรื่อง คือ Input Process และ Output เรามีการประเมินเพื่อพัฒนาโดยใช้วงจรคุณภาพ PDCA แล้วเติมด้วยกลยุทธ์ DE-Developmental Evaluation มีการปรับพัฒนาโครงการ แล้วก็ผลลัพธ์ด้านผู้เรียนอยู่ตลอดเวลา” 

ดร.วรรณรักษ์ กล่าวว่า เริ่มต้นคือการสร้าง Input ทั้งปณิธาน อุดมการณ์ เป้าหมาย ต้องระบุชัดไว้ในวิสัยทัศน์ของโรงเรียน กำหนดเป้าหมาย พร้อมทั้งหาเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของโรงเรียน เขียนแผนพัฒนาคุณภาพที่เน้นระบบประกันคุณภาพภายในเป็นฐาน จุดสำคัญอยู่ที่ Process หรือกระบวนการพัฒนา โดยโรงเรียนบ้านหนองกุลาใช้นวัตกรรม ‘จิตศึกษา’ เข้ามาปรับเปลี่ยน 

“เราพัฒนาครูด้วยกระบวนการ PLC ที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ทั้ง PLC ออนไลน์และออนไซต์ แต่ส่วนใหญ่ก็จะออนไซต์ อันนี้เป็นการลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก ไม่ต้องลงทุนอะไร ไม่ต้องรองบประมาณ ไม่ต้องรอนโยบาย เราทำในระดับพื้นที่ ในห้องเรียน ในโรงเรียนของเราได้ตลอดเวลา ขับเคลื่อนพัฒนาครูโดยใช้จิตศึกษา PLC เพื่อเปลี่ยนระบบนิเวศของโรงเรียน ทำให้เป็นสนามพลังบวก ครูใช้จิตวิญญาณเชิงบวก และจัดกิจกรรมจิตศึกษา เช้า กลางวัน เย็น เปลี่ยนตรงจุดคานงัด การเปลี่ยนแปลงนั้นคือแบบแผนวัฒนธรรมองค์กร 

ตารางเรียนเราปรับใหม่ ช่วงเช้าเรียนวิชาหลัก 4 วิชา และช่วงบ่ายก็เป็นวิชา PLC เติมด้วยชุมนุมสร้างเสริมปัญญา ห้องเรียน 2 ภาษา อันนี้คือมุ่งสู่ความเป็นมาตรฐานสากล เติมวิทย์คณิต เติมห้องเรียนวิชาชีพ  ทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องใช้พลัง เรามี Motto ของโรงเรียน Big Change for Bigger Child เพื่อเติมกำลังใจให้ทีมครูที่ต้องเปลี่ยนครั้งใหญ่แล้วทำเพื่อเด็ก” 

สุดท้ายก็จะได้ Output ที่ฉายออกมาในภาพของเด็กที่มีสุขภาวะทางกายใจที่ดี โดยทักษะ 3 อย่าง คือ วิชาการ วิชาชีพ และวิชาชีวิต ครูและผู้บริหารทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ มีความเป็นมืออาชีพ มีจิตวิญญาณของความเป็นครูอย่างชัดเจน ส่วนชุมชนก็มีความเข้มแข็ง เพราะได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU)  ในการเป็นเครือข่ายร่วมพัฒนา จนที่สุด โรงเรียนบ้านหนองกุลา ก็มีโอกาสได้รับรางวัลระดับชาติ นั่นคือรางวัลโรงเรียนพระราชทาน รางวัล IQA Award ระดับยอดเยี่ยม ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ). และรางวัลโรงเรียนมาตรฐานสากล 

“แต่สิ่งที่เราภาคภูมิใจมากที่สุดก็คือ เราสามารถยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่ได้โอกาส ด้วยการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ และการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบของเราอย่างต่อเนื่อง เอาจริงเอาจัง 

เรามีเคสเด็กที่เกือบจะหลุดออกจากการศึกษาแล้วกลับเข้ามาได้ ในวันปัจฉิมนิเทศ เขาบอกว่า ผอ.รอดูนะครับ เดี๋ยวอีกสิบปีข้างหน้าผมจะมามีชื่ออยู่ในศิษย์เก่าดีเด่นของโรงเรียนให้ได้” 

นี่คือตัวอย่างเด็กที่หล่นหายไปจากโรงเรียนแล้ว 1-2 ปี แต่โรงเรียนช่วยกันตามกลับมา จนเด็กสามารถสร้างความมั่นใจให้กับตนเองและคณะครูได้ภาคภูมิใจ 

“เคสที่พีคที่สุดคือพี่เติ้ล พี่เติ้ลเป็นเด็กในครอบครัวที่พ่อแม่จบการศึกษาชั้น ป.6 ที่โรงเรียนบ้านหนองกุลา อาชีพรับจ้างก่อสร้าง บางครั้งพ่อแม่ก็จะทิ้งพี่เติ้ลไว้กับตายาย เพราะว่าไปรับจ้างก่อสร้างอยู่ไซด์งาน พี่เติ้ลได้รับการเรียนในห้องเรียนประสิทธิภาพสูง ครูที่ใช้จิตวิทยาเชิงบวก มีจิตศึกษาให้เครื่องมือสืบค้นต่อยอด จากเด็กที่เข้าชุมนุมดนตรีไทย ตีกรับ ตีฉิ่ง ตอน ป.2 พัฒนาตัวเองต่อยอด ศึกษาเพิ่มเติม เรียนรู้ เป็นนักเรียนรู้ที่เห็นชัดเจนมากๆ 

จนกระทั่งชั้น ม.2 เขามีความชัดเจนในเรื่องของการสืบสานวัฒนธรรมไทย เป็นผู้นำ มีคำว่า ‘ผู้นำ’ และมี ‘จิตอาสา’ เราก็ส่งต้นสังกัดเรื่องส่งเสริมให้นักเรียนเราเข้ารับรางวัลพระราชทานระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น และพี่เติ้ลก็ได้จริงๆ นี่คือตอน ม.2 หลังจบ ม.2 เราก็ส่งเสริมต่อ เพราะว่าพี่เติ้ลสนใจจะเข้าโควต้าวิทยาลัยนาฏศิลป์สุโขทัย เราก็เลยขอทุน มมส.ขอทุนพระราชทาน และเขตส่วนราชการที่ 17 ประกาศมาแล้วว่า ได้จริงๆ นี่ก็คือความภาคภูมิใจ เขามีโอกาสได้เรียนจนจบปริญญาตรี” 

ภาพโรงเรียนชนบทด้อยโอกาส ถูกกลบทับด้วยรอยยิ้มของเด็กๆ และความสำเร็จในทุกๆ ด้านของโรงเรียน เด็กเก่ง ดี มีความสุข โรงเรียนก็มีความเข้มแข็ง นี่คือภาพของการพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง โดยที่ไม่ปล่อยให้ใครไว้ข้างหลัง “เราทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อของขวัญ เพราะว่าเด็กเป็นของขวัญ งานครูของเราจึงศักดิ์สิทธิ์” ผอ.วรรณรักษ์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม

Tags:

โรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQM)School Zero Dropoutโรงเรียนบ้านหนองกุลาดร.วรรณรักษ์ หงษ์ทองสนามพลังบวกBig Change for Bigger ChildจิตศึกษาProfessional Learning Community : PLC

Author:

illustrator

นิภาพร ทับหุ่น

Related Posts

  • Transformative learning
    ‘ข้อมูลที่ตรงจริง กับคุณครูที่มีหัวใจ’ โรงเรียนเปลี่ยนได้ด้วย Data Driven: ผอ.ปัฐน์ศรัญย์ จิตต์ประยูร

    เรื่อง นิภาพร ทับหุ่น

  • Social IssuesTransformative learning
    การยกระดับคุณภาพการศึกษา เริ่มต้นที่ห้องเรียน การพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ เริ่มต้นที่ความเชื่อว่า ‘ทำได้’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Creative learning
    ‘นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว’ ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ด้วย Active Learning

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Unique Teacher
    ‘ครูงอกงามจากเด็ก’ พรสวรรค์ ศิริวัฒน์: ครูเกษียณผู้ใช้จิตศึกษาและ PBL เปลี่ยนมายเซ็ตให้ทั้งครูและเด็กเป็นนักเรียนรู้

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Learning Theory
    จิตศึกษา: วิชาที่ไม่ใช่การเรียนสมาธิ แต่ชวนกันคุยเรื่องจริยธรรมเพื่อเลิกตัดสินและเคารพผู้อื่น

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
Movie
18 July 2025

F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • F1 The Movie บอกเล่าเรื่องราวของซอนนี่ เฮย์ส อดีตนักแข่งรถที่ห่างหายไปจากวงการหลังประสบอุบัติเหตุ เขาได้รับโอกาสให้หวนกลับสู่วงการอีกครั้งในรอบ 30 ปี เพื่อยกระดับทีม APX GP ที่กำลังตกต่ำถึงขีดสุด
  • หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือความสัมพันธ์อันไม่ลงรอยระหว่างเขากับเพื่อนร่วมทีมอย่างโจชัว โดยทั้งคู่ต่างมุ่งมั่นที่จะเอาชนะมากกว่าจะช่วยเหลือกัน ส่งผลให้ผลงานของทีมยิ่งจมดิ่งลงกว่าเดิม
  • ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ (Top Gun : Maverick) ซึ่งนอกจากความตื่นเต้นเร้าใจแล้ว เขายังแฝงคำถามเงียบๆ แก่ผู้ชมด้วยว่า เรากำลังไขว่คว้าหาชัยชนะด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องหรือเปล่า? 

F1 The Movie เป็นภาพยนตร์อเมริกันที่บอกเล่าเรื่องราวการกลับมาของ ‘ซอนนี่ เฮย์ส’ อดีตดาวรุ่งแห่งวงการ F1 ยุค 90 ผู้เคยประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนเกือบเสียชีวิตกลางสนามแข่ง 

เหตุการณ์นั้นไม่เพียงทิ้งร่องรอยบาดแผลทางร่างกาย แต่ยังฉุดกราฟชีวิตเขาให้ดิ่งลง ทั้งในฐานะนักกีฬาตกอับ คนรักที่ผิดหวัง และมนุษย์คนหนึ่งที่หลงทางจากชีวิตที่เคยมีความหมาย

ตลอด 30 ปีหลังจากนั้น ซอนนี่เร่ร่อนอยู่ในวงการแข่งรถรายการเล็กๆ ไร้ชื่อเสียง กระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับข้อเสนอจาก ‘รูเบน’ อดีตเพื่อนร่วมทีมที่ปัจจุบันกลายเป็นเจ้าของทีม APX GP ทีมหางแถวที่ต้องการใครสักคนมายกระดับ

สำหรับผม นี่คือภาพยนตร์ที่เร้าใจที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 แต่มากกว่าความเร็วหรือเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ คือคำถามเงียบๆ ที่แทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่องว่า เรากำลังไขว่คว้าหาชัยชนะด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องหรือเปล่า?

ในช่วงแรก ผมสังเกตว่าตัวละครหลักเหมือนจะขับเคลื่อนชีวิตด้วยชุดความเชื่อว่า ‘ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องโดดเด่น ต้องชนะ’ และเมื่อทำไม่ได้ พวกเขาก็จะรู้สึกล้มเหลว หงุดหงิด และหาคนผิด โดยเฉพาะ ‘ซอนนี่’ และ ‘โจชัว’ นักแข่งดาวรุ่งที่เปรียบเหมือนเงาสะท้อนของเขาในวัยหนุ่ม ทั้งคู่ไม่เคยมองกันในฐานะเพื่อนร่วมทีม แต่เป็นคู่แข่งที่ต้องข่มให้มิด…แม้จะต้องแลกด้วยความพังพินาศของทีมก็ไม่เป็นไร

หลังจากได้ชมความพังพินาศทั้งที่ตลกและตึงเครียด ภาพยนตร์ก็นำซอนนี่มาสู่จุดเปลี่ยน ผ่านคำถามสำคัญของนางเอกที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการเทคนิคประจำทีม 

“ทำไมตอนนี้ซอนนี่ เฮย์ส ถึงกลับมาแข่ง F1 และนี่คือคำถามที่เร่งด่วน” เธอถามซอนนี่และฝากให้เขากลับไปตอบคำถามนี้กับตัวเอง

ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือภาพยนตร์ ผมคิดว่าการเปิดใจพูดคุยและรับฟังเสียงของตัวเองอย่างซื่อตรง คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงภายในครั้งสำคัญ 

เพราะเมื่อซอนนี่เริ่มขุดลึกลงไปในคำถามนั้น ภาพยนตร์ก็เริ่มเปลี่ยนวิธีเล่าผ่านสิ่งที่เรียกว่า “show, don’t tell.” ผมเลยได้เห็นซอนนี่คนใหม่ที่เลิกยึดติดกับการเป็นมือหนึ่ง เลิกแข่งขันเพื่อยืนยันคุณค่าของตัวเอง และหันมาสนับสนุนโจชัวอย่างจริงใจ ซึ่งผมมองว่าซอนนี่ไม่ได้ยอมแพ้ อ่อนแอ หรือว่าถอดใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพราะเขารู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไรจากการกลับมาครั้งนี้

“ผมเกือบได้เป็นแชมป์โลก เก่งสุดเท่าที่เคยมีมา…ผมเคยขับได้เร็ว ไม่กลัวอะไร ผมไปเกือบถึงแล้ว แต่แล้วมันก็ถูกพรากไป ผมเสียโอกาสไป เสียเงิน เกือบเสียสติ ตัวผมเองก็กลายเป็นคนขี้โมโห คับแค้น งี่เง่า ไม่ใช่คนที่ผมเคยภูมิใจ จนผมสำนึกได้ว่าผมสูญเสียอะไรไป มันไม่ใช่ตำแหน่ง ถ้วยรางวัล สถิติ แต่มันคือความรักในการแข่ง ผมก็เลยเริ่มขับรถ ไม่เกี่ยงว่ารถอะไร สนามไหน ไม่สนว่าใครมาดู ขอแค่ได้อยู่หลังพวงมาลัย แค่นั้นก็พอแล้ว 

บางครั้ง…มันจะมีชั่วขณะหนึ่งในรถตอนที่ทุกอย่างมันเงียบสงัด หัวใจเต้นช้าๆ มันสงบสุขมาก และผมมองเห็นทุกอย่าง ไม่มีใครทำอะไรผมได้ และผมตามหาชั่วขณะนั้นทุกครั้งที่ผมได้อยู่ในรถ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอมันอีก แต่เชื่อเถอะ ผมอยากเจอมันอีก เพราะชั่วขณะนั้นผมกำลังบินอยู่” ซอนนี่บอกกับนางเอก

เมื่อซอนนี่ปลดปล่อยตัวเองจากกรอบความสำเร็จที่คนอื่นกำหนด และเลือกใช้ชีวิตในแบบที่เขารัก ชัยชนะในสนามก็ไม่ใช่คำตอบเดียวที่ทำให้ชีวิตของเขามีความหมาย ซึ่งตอนนั้นตัวผมเองก็รู้สึกว่าตัวแสบอย่างเขาได้กลับมาเป็น ‘พระเอก’ ในแบบที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อ    

นอกจากนี้ การเปลี่ยนไปของเขายังส่งผลกระทบเชิงบวก และเป็นแบบอย่างให้กับโจชัวในการทำงานร่วมกับทุกคนอย่างเข้าอกเข้าใจ ทำให้โจชัวค่อยๆ เปิดใจมองทีมงานทุกคนด้วยสายตาแบบใหม่ ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือทีมซ่อมบำรุง (ในการแข่ง F1 รถทุกคันจะต้องเข้ามาที่จุด Pit Stop อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อให้ทีมซ่อมบำรุงเปลี่ยนยางที่เสียหาย เติมน้ำมัน และตรวจสอบความเรียบร้อยของรถ) ทุ่มสุดใจเพื่อช่วยให้เขาทำเวลาได้เร็วกว่าคู่แข่งในเสี้ยววินาทีสำคัญ 

จนเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงบทสรุป โจชัวก็แสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองได้หลุดพ้นจากกับดักของภาพลวงตาที่ว่า…ชื่อเสียง เงินทอง คำสรรเสริญ และตำแหน่ง จะช่วยเติมเต็มให้เขากลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ ถึงตอนนี้ เขาได้ค้นพบความหมายที่แท้จริงของชัยชนะ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งเสมอไป

หลังชมภาพยนตร์จบด้วยหัวใจพองฟู ผมลองตั้งคำถามกับตัวเองว่าชัยชนะของผมคืออะไร 

ผมพบว่ามันไม่ใช่เส้นชัยที่มักจะแกล้งขยับหนีเราไปเรื่อยๆ แต่มันคือช่วงเวลาที่ผมได้เขียน หรือทำในสิ่งที่ผมรักอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะนั้น โดยไม่ต้องพะว้าพะวังถึงผลลัพธ์ใดๆ ดังนั้นชัยชนะของผมอาจไม่ได้มาด้วยการวิ่งไล่ไขว่คว้ามัน แต่คือการกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีคุณค่าในแบบของตัวเอง

Tags:

ภาพยนตร์ความสำเร็จการแข่งขันF1 The MovieF1

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • The Greatest Game Ever Played: เกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือเกมที่เล่นกับตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Time Still Turns The Pages: ขออย่าให้เด็กคนไหนต้องแหลกสลาย เพียงเพราะเขาไม่ได้อย่างใจพ่อแม่

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Perfect Days: เพราะวันที่ดีคือวันที่ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    The King’s speech (2010) – ‘ไม่ต้องกลัวในสิ่งที่เคยกลัวในตอนเด็ก ไม่ต้องพกพ่อ(ที่ดุและกดดัน) ไปตลอด เชื่อมั่นในตัวเอง’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • ในสวนลับ: เมื่อความหวังผลิบาน ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ
  • มีเพียงหัวใจและการยอมรับตัวเองเท่านั้น ที่จะไขความลับของจักรวาลใจ: Aristotle and Dante Discover the Secrets of the Universe
  • Departures: คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่คำตัดสินของใคร เห็นความหมายในสิ่งที่ทำและยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ
  • ‘วรรณกรรมเยียวยา’ พื้นที่ปลอดภัยให้เด็กสำรวจโลกของอารมณ์  เรียนรู้และโอบรับความเปราะบางของตนเอง: ธาม เชื้อสถาปนศิริ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • September 2025
  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel