Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: June 2025

คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
Book
5 June 2025

คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘คนตัวจิ๋ว’ (The Borrowers) เป็นวรรณกรรมเยาวชนเขียนโดย แมรี นอร์ตัน (Mary Norton) เล่าเรื่องของแอเรียตตี้ เด็กสาวคนตัวจิ๋ว ที่อาศัยอยู่กับครอบครัวใต้พื้นบ้าน และดำรงชีวิตด้วยการหยิบยืมของจากมนุษย์ตัวโต
  • หนังสือถ่ายทอดเรื่อง ความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ ผ่านมิตรภาพของแอเรียตตี้และเด็กชายที่มองเห็นเธอ เพราะการสื่อสารด้วยหัวใจอ่อนโยนและกล้าหาญ สามารถเชื่อมโยงคนต่างโลกเข้าด้วยกันได้
  • คนที่แตกต่างจากเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เลวร้ายเสมอไป และที่สำคัญ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความเชื่อ ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกับเรา แต่พวกเขาก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้

เมื่อพูดถึงอะนิเมะ หรืออะนิเมชั่นในดวงใจจากค่ายจิบลิ สตูดิโอ ชื่อที่โผล่มาเป็นอันดับต้นๆ มักจะเป็น Spirited Away, My Neighbor Totoro หรือไม่ก็ Howl’s Moving Castle

แต่สำหรับผม และใครอีกหลายคน อีกหนึ่งผลงานของจิบลิที่ประทับอยู่ในใจ ไม่แพ้เรื่องที่ถูกเอ่ยชื่อก่อนหน้านี้ ก็คือ Arrietty หรือชื่อภาษาไทยว่า ‘อาริเอตี้ มหัศจรรย์ความลับคนตัวจิ๋ว’

เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมเพิ่งดูอะนิเมชั่นเรื่องนี้อีกรอบ เมื่อดูจบแล้ว อดไม่ได้ที่จะหยิบเอาหนังสือที่เป็นต้นแบบของเรื่องนี้มาอ่านอีกครั้ง

หนังสือเล่มนี้ มีชื่อว่า ‘คนตัวจิ๋ว’ หรือ The Borrowers ผลงานการเขียนโดย แมรี นอร์ตัน (Mary Norton) ตั้งแต่เมื่อปี 1952 ซึ่งกลายเป็นวรรณกรรมเยาวชนยอดเยี่ยม ได้รับรางวัลเหรียญคาร์เนกี้จากสมาคมห้องสมุดแห่งอังกฤษ และกลายเป็นหนังสือในดวงใจของนักอ่านหลายคนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้

เรื่องราวของคนตัวจิ๋ว ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเรียบง่าย แต่งดงาม ราวกับเทพนิยายที่มีทั้งความน่ารัก ซื่อบริสุทธิ์แบบเด็กๆ เคลือบทับด้วยเรื่องราวการผจญภัย ที่มีกลิ่นอายความความลึกลับปนเศร้า

อย่างที่หลายคนเคยบอกไว้ว่า หนังสือทุกเล่มที่ถูกหยิบขึ้นมาอ่านแต่ละครั้ง จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็เช่นกัน ในตอนที่อ่านครั้งแรก ผมรู้สึกอิ่มเอม สนุกสนาน และตื่นเต้นไปกับการผจญภัยของคนตัวจิ๋วในเรื่อง

ทว่า ในการหยิบมาอ่านอีกครั้ง ผมจึงค้นพบว่า ในโลกของคนตัวจิ๋ว มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นจินตนาการในวัยเด็ก ที่มักสูญหายไปเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รวมไปถึงแง่คิดในเรื่องความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ และวัฒนธรรม ที่มักกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างผู้คน 

ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังค้นพบว่า การสื่อสารเท่านั้น ที่จะเป็นสะพานทอดข้ามความแตกต่างระหว่างผู้คนได้

แอเรียตตี้ (ในหนังสือสะกดด้วยคำนี้ ซึ่งแตกต่างจากเวอร์ชั่นอะนิเมชั่นที่ออกเสียงว่า เอริอาตี้) อาศัยอยู่กับพ่อและแม่ ในบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ในชนบทของประเทศอังกฤษ ไม่สิ ต้องบอกว่า พวกเธออาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ที่อยู่ปลายสุดของโพรงลึกลัดเลาะจากใต้ฐานของนาฬิกา ซึ่งอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนั้น

ใช่ครับ แอเรียตตี้ รวมถึงพ็อด ผู้เป็นพ่อ และโฮมิลี่ ผู้เป็นแม่ คือ คนตัวจิ๋ว ตัวเล็กพอๆ กับหนูตัวเล็กๆ คนตัวจิ๋วเหล่านี้ เรียกตัวเองว่า ‘ผู้หยิบยืม’ (Borrowers) เพราะพวกเขายังชีพอยู่ด้วยการหยิบยืมสิ่งต่างๆ จากมนุษย์ตัวโต ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่กินไม่หมด ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ที่คนเผลอเรอทำหล่น

ขณะที่คนในบ้านเชื่อว่า จะต้องมีสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างเช่นหนู หรือกระรอก ที่มาขโมยน้ำตาลก้อนในขวดโหลที่ลืมปิดให้สนิท คุกกี้ในจานรองชาที่กินเหลือ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้อย่างเช่น เข็มหมุด เข็มกลัด ที่มีใครสักคนทำหล่นบนพื้น กรรไกรอันเล็กๆ ที่ถูกโยนทิ้ง รวมทั้งกระดาษเช็ดปาก

แต่สำหรับคนตัวจิ๋ว พวกเขาไม่คิดเช่นนั้น การกระทำของพวกเขา ไม่ใช่การขโมย หากเป็นการ ‘หยิบยืมง สิ่งที่พวกมนุษย์ตัวโต (หรือพวก ‘ถั่วมนุษย์’ ตามคำเรียกของผู้หยิบยืม) ไม่มีความจำเป็นต้องกินต้องใช้แล้วต่างหาก

นอกจากนี้ พวกเขาเหล่าผู้หยิบยืม ยังเชื่อว่า พวกถั่วมนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้คนตัวจิ๋วได้ใช้ประโยชน์ในการหยิบยืม ไม่ต่างจากกุญแจที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล็อคประตู หรือกาน้ำที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต้มน้ำ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

แอเรียตตี้ เป็นเด็กสาวเผ่าพันธุ์คนตัวจิ๋ว อายุสิบสี่ เธอชอบอ่านหนังสือ รักการผจญภัย แต่พ่อยังไม่ยอมให้เธอตามไปทำภารกิจ ‘หยิบยืม’ พร้อมกับพ่อ ด้วยเกรงว่า แอเรียตตี้อาจสะเพร่าจนทำให้พวกถั่วมนุษย์มองเห็นตัวได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เมื่อใดก็ตามที่ถูกพบเห็นตัว คนตัวจิ๋วจะต้องอพยพออกจากบ้านหลังนั้น เพื่อไปหาบ้านหลังใหม่อยู่ หรือมิเช่นนั้น ก็ต้องไปอยู่ในโพรงใต้ดินตามทุ่งนา กลายเป็นพวกชาวทุ่ง เหมือนครอบครัวพี่ชายของพ็อด

ทว่า คนที่เผลอเรอจนถูกมนุษย์ตัวโตพบเห็น ไม่ใช่แอเรียตตี้ แต่เป็นพ่อของเธอ ซึ่งมนุษย์ตัวโตที่พบเห็นพ็อด เป็นเด็กชายวัยสิบขวบ ที่เพิ่งย้ายมาพักรักษาตัวจากอาการป่วยที่บ้านหลังนี้ แม้ว่าเด็กชาย (ซึ่งในหนังสือไม่ได้ระบุชื่อ แค่เรียกว่าเด็กชายเฉยๆ) จะไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำร้าย ไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องโวยวาย ถึงอย่างนั้น พ็อด ก็ตัดสินใจว่า พวกเขาจะต้องอพยพออกจากบ้านหลังนี้แล้ว

ในช่วงที่ครอบครัวแอเรียตตี้ กำลังตระเตรียมการเรื่องการอพยพออกไปหาที่อยู่ใหม่ พ่อได้พาแอเรียตตี้ออกไปทำภารกิจหยิบยืม และในตอนนั้นเอง คนตัวจิ๋วก็ถูกถั่วมนุษย์พบเห็นตัวอีกครั้ง ครั้งนี้ เป็นแอเรียตตี้ ที่ถูกเด็กชายคนเดิมพบเห็นตัว

ไม่เพียงเท่านั้น แอเรียตตี้และเด็กชาย ยังได้พูดคุยกัน ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่า การพูดคุยกันของคนตัวจิ๋วและคนตัวโต จะนำไปสู่การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์สองเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างอย่างสุดขั้ว

ความเป็นมิตรระหว่างแอเรียตตี้และเด็กชาย ทำให้ทั้งคู่ได้รับรู้ว่า คนที่แตกต่างจากเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เลวร้ายเสมอไป และที่สำคัญ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความเชื่อ ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกับเรา แต่พวกเขาก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ หรืออย่างน้อย ก็สามารถลดทอนความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันลงได้ เพียงแค่เปิดใจและพูดคุยกัน

มิตรภาพระหว่างแอเรียตตี้และเด็กชาย ทำให้ครอบครัวผู้หยิบยืม มีความเป็นอยู่ที่ ‘หรูหรา’ มากขึ้น เมื่อเด็กชาย ช่วยเป็นธุระจัดหาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาให้กับครอบครัวของแอเรียตตี้ โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์สวยๆ ที่เขาหยิบออกจากบ้านตุ๊กตา ซึ่งมาถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่า แผนการอพยพออกไปหาบ้านใหม่ของพ็อด จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครพูดถึงอีกต่อไป

อย่างไรก็ดี เรื่องราวยังไม่จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง เมื่อนางไดรเวอร์ แม่บ้านที่ดูแลบ้าน กลายเป็นมนุษย์อีกคนที่ได้พบเห็นคนตัวจิ๋ว แต่นางไม่ใช่เด็กชายจิตใจดี สำหรับนางไดรเวอร์แล้ว เหล่าผู้หยิบยืมก็ไม่ต่างจากหนู หรือแมลงตัวเล็กๆ ที่คอยมาขโมยข้าวของในบ้าน และทำลายความสงบสุขของคน การมีปฏิสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว ระหว่างสองเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง ก็คือ ทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นซาก

…

ผมจะไม่เล่าตอนจบของหนังสือเล่มนี้ เพราะทุกคนคงพอเดาได้ว่า เรื่องราวน่าจะปิดฉากลงด้วยดี มากกว่าจะเป็นโศกนาฏกรรมในวรรณกรรมเด็ก แต่สิ่งที่ผมอยากเล่า คือ ความรู้สึกที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนี้อีกครั้งมากกว่า

หากตัดเรื่องราวเหนือจริงออกไป ผมมองเห็นเรื่องราวของมนุษย์จากเผ่าพันธุ์ หรือเชื้อชาติที่แตกต่าง ต่างฝ่ายต่างมองว่า อีกฝ่ายคือสิ่งที่ด้อยกว่า ป่าเถื่อนกว่า ไร้อารยธรรม หรือมีไว้เพื่อให้อีกฝ่ายได้ใช้ประโยชน์เท่านั้น

หรือหากจะมองให้สมจริงกว่านั้น คนตัวจิ๋ว ก็ไม่ต่างจากคนชายขอบในสังคม ไม่มีปากมีเสียง เพราะเกรงกลัวอำนาจของชนชั้นที่เหนือกว่า อีกทั้งยังจำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากรจากพวกเขา เพื่อการดำรงชีวิต และแน่นอน การกระทำเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้พวกเขาถูกมองว่า เป็นเหมือนเหลือบริ้นไร ที่แอบมาสูบเลือดสร้างความรำคาญให้แก่ชนชั้นผู้มีอำนาจ

จนกระทั่งวันที่สองฝ่าย ตัดสินใจมองอีกฝ่ายว่า นั่นก็คือมนุษย์เช่นเดียวกับเรา ความคิด-ความเชื่อ หรือค่านิยมบางอย่าง อาจแตกต่างจากเรา แต่ลึกลงไปภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่แตกต่าง (รวมถึงขนาดตัวที่แตกต่าง) ข้างในก็คือ หัวใจของคนที่กำลังเต้นอยู่เหมือนกับเรา

วันแรกที่แอเรียตตี้เอ่ยปากพูดกับเด็กชาย คือวันแรกที่สะพานข้ามความแตกต่างของสองเผ่าพันธุ์ เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้น และยิ่งทั้งสองฝ่ายสื่อสารกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น สะพานนั้นก็ยิ่งเชื่อมโยงเข้ามาบรรจบกันมากขึ้น

แน่นอน การที่เราจะสามารถสร้างสะพานข้ามความแตกต่างระหว่างผู้คนได้ ไม่ได้อาศัยแค่หัวใจที่อ่อนโยน ที่พร้อมจะมองเห็นคนอื่นมีคุณค่าเทียบเท่าเราเท่านั้น หากยังต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างยิ่งอีกด้วย

วันแรกที่แอเรียตตี้ถูกเด็กชายพบเห็น หัวใจของเธอแทบหยุดเต้นด้วยความกลัว และยิ่งเด็กชายส่งเสียงดังขึ้นมาว่า “อย่าขยับนะ ไม่งั้นฉันเอาไม้ตี” เธอก็ยิ่งกลัวมากขึ้นอีก

แต่ในที่สุด แอเรียตตี้ รวบรวมความกล้าหาญ แล้วตะโกนออกไปว่า “ทำไมล่ะ?”

คำถามจากเสียงเล็กๆ นั้น ตามมาด้วยคำตอบ และต่อเนื่องกลายเป็นบทสนทนา ที่นำไปสู่ความพยายามเข้าใจซึ่งกันและกันของทั้งสองฝ่าย

หลายคนอาจคิดว่า ความกล้าหาญ คือ การหยิบอาวุธต่อสู้แม้แต่กับคนที่ตัวโตกว่า แข็งแรงกว่า ดุร้ายกว่า แต่สำหรับผมแล้ว การพูดและรับฟังของแอเรียตตี้ (รวมไปถึงเด็กชายคนนั้น) คือ ความกล้าหาญที่ไม่ด้อยกว่ากันเลย

อีกจุดหนึ่งที่ผมนึกขึ้นมา หลังอ่านหนังสือเล่มนี้จบลง ทำไมเด็กชายถึงเป็นคนแรกที่มองเห็นคนตัวจิ๋ว คำตอบที่คิดขึ้นได้ ก็คือ เพราะเด็กๆ ยังมีหัวใจที่บริสุทธิ์ ใสซื่อไร้เดียงสา อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักสูญหายไปเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่

ในนิทานปรำปราหลายๆ เรื่อง เด็กๆ จะเป็นตัวละครที่พบเจอสิ่งมหัศจรรย์เหนือจริงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าภูติตัวจิ๋ว นางฟ้าตัวน้อยที่มีปีกใสบาง หรือกระทั่งได้ยินเสียงพูดคุยของสรรพสัตว์ในป่า สิ่งเหล่านี้ อาจมีอยู่จริง แต่จะมองเห็นหรือได้ยิน ก็ต่อเมื่อใช้จินตนาการที่เด็กๆ มีอยู่เต็มเปี่ยมเท่านั้น

ขณะที่นางไดรเวอร์ แม่บ้านใจร้ายในเรื่องนี้ คือตัวแทนของผู้ใหญ่ที่ไร้จินตนาการ หัวใจของนางแข็งกระด้าง ทำให้สิ่งที่นางมองเห็น ไม่ใช่คนตัวจิ๋วแสนบอบบาง แต่เป็นสัตว์ตัวรังควาน ที่ต้องถูกกำจัดทิ้ง เพื่อไม่ให้พวกมันเข้ามาขโมยข้าวของในบ้าน

อย่างไรก็ดี ถึงแม้นางไดรเวอร์จะเป็นคนใจร้าย แต่นางก็ไม่ใช่ตัวร้าย หากเป็นแค่คนที่ขาดแคลนบางสิ่งบางอย่าง ที่อาจช่วยทำให้โลกใบนี้สวยงาม และน่าอยู่มากขึ้น และบางสิ่งบางอย่างที่ว่า ก็คือ

จินตนาการ ที่ช่วยให้เรามองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น หัวใจที่อ่อนโยน ที่ช่วยให้เราสัมผัสถึงคุณค่าในคนอื่นที่แตกต่างจากเรา และความกล้าหาญ ที่ช่วยให้เรามีความเข้มแข็งในการเดินหน้าไปหา และเปิดใจให้กับคนที่แตกต่างจากเรา

Tags:

หนังสือมิตรภาพความแตกต่างแอนิเมชันคนตัวจิ๋ว

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ระลอกคลื่นยามค่ำคืน : อยู่อย่างไรในวันที่ส่วนหนึ่งของชีวิตล้มตายจาก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    เพื่อนคนเก่ง: ในมิตรภาพอันแสนซับซ้อนนั้นมีทั้งความรักและความอิจฉา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 10. โยงสู่บริบทการศึกษาไทย

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Whisper of the heart: ในวันที่มองไม่เห็นอนาคตและความฝันยังไม่สำเร็จ ฉันเพียงต้องการแค่คนที่อยู่เคียงข้างกัน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    ส่งท้ายปี 2020 ด้วยหนังสือ 10 เล่ม ที่เหมาะกับการอ่านเพื่อการ ‘มูฟออน’

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
How to get along with teenager
2 June 2025

การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Roy Petitfils ที่ปรึกษาและนักบำบัดผู้เชี่ยวชาญในวัยรุ่น กล่าวว่า สิ่งที่เป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ มากมายของวัยรุ่นคือ การที่พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตน ถูกมองข้าม ไม่ถูกมองเห็น ไม่มีใครสนใจ โดยลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ‘ภาวะไร้ตัวตน’ (Invisibility)
  • สิ่งที่วัยรุ่นต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใดคือ ‘การถูกมองเห็น’ ในบริบทที่ได้สร้างปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมายกับผู้ใหญ่ 
  • หากในโลกจริงวัยรุ่นเหล่านี้ได้รับความสนใจและถูกมองเห็น พวกเขาก็ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาความสนใจจากคนบนโลกออนไลน์ที่แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจและปลอดภัยได้มากกว่าคนในโลกจริงเสียอีก

“ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราคือการไร้ตัวตน” –Roy Petitfils

บ่อยครั้งเรามักได้ยินคนกล่าวถึงวัยรุ่นว่าเป็นกลุ่มคนที่เข้าใจยาก ไม่แคร์ใคร หรือแม้กระทั่งต่อต้านสังคม ความคิดเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นภาพจำปกติที่ผู้ใหญ่มีต่อวัยรุ่น แต่แท้จริงแล้ววัยรุ่นเป็นแบบนั้นจริงหรือ?

เมื่อวัยรุ่นแสดงความเห็นหรือต้องการอธิบายความคิดของตัวเอง มีผู้ใหญ่เข้ามารับฟังเขาอยู่หรือไม่? ผู้ใหญ่หลายคนเลือกที่จะเมินเฉย เหนื่อยหน่าย เพราะคิดว่าเป็นความคิดแบบเด็กๆ ทำให้วัยรุ่นจำนวนมากรู้สึกว่าไม่มีใครมองเห็นพวกเขาเลยจริงๆ

‘ความไร้ตัวตน’ ในวัยรุ่น

Roy Petitfils ที่ปรึกษาและนักบำบัดผู้เชี่ยวชาญในวัยรุ่น กล่าวว่า สิ่งที่เป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ มากมายของวัยรุ่นคือ การที่พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตน ถูกมองข้าม ไม่ถูกมองเห็น ไม่มีใครสนใจ โดยลักษณะเช่นนี้เรียกว่า ‘ภาวะไร้ตัวตน’ (Invisibility) 

Roy เล่าให้ฟังว่า ในช่วงวัยเด็กเขาถูกเพื่อนบูลลี่มาโดยตลอดจากรูปลักษณ์ที่เป็นคนอ้วน จนกระทั่งเขาขึ้นมัธยมปลาย การบูลลี่เหล่านั้นก็หายไป ตอนแรกเขารู้สึกดีใจมากที่ไม่มีใครบูลลี่เขาแล้ว แต่แล้วเขาก็ค้นพบว่า ที่ไม่มีใครบูลลี่เขาแล้ว เพราะไม่มีใครสนใจเขาแล้วต่างหาก ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขามีตัวตนอยู่

การถูกบูลลี่มันเจ็บนะ แต่การที่ไม่มีใครสนใจเขาเลยมันเจ็บยิ่งกว่า Roy กล่าวว่า “การถูกปฏิเสธไม่ใช่สิ่งที่เรากลัวมากที่สุด แต่ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราคือการไร้ตัวตน”

หลังจากที่ Roy จบมัธยมปลายและเข้าเรียนต่อในวิทยาลัย มีคนมากมายเข้ามาทำความรู้จักและปฏิบัติกับเขาอย่างเป็นมิตรโดยไม่ได้สนใจรูปลักษณ์ของเขา มีคนชวนเขาไปทำกิจกรรมด้วยและได้พบปะเพื่อนในวัยเดียวกัน จากวันนั้นเขารู้สึกว่ามีคนมองเห็นและยอมรับเขา ทำให้เขาสามารถลดน้ำหนักได้โดยไม่ต้องผ่าตัดเลย

วัยรุ่นต้องการถูกมองเห็นอย่างแท้จริง

จากประสบการณ์ในวัยเด็กของ Roy และการทำงานกับวัยรุ่นมามากกว่า 20 ปี ทำให้เขารู้ว่า สิ่งที่วัยรุ่นต้องการมากกว่าสิ่งอื่นใดคือ ‘การถูกมองเห็น’ ในบริบทที่ได้สร้างปฏิสัมพันธ์อย่างมีความหมายกับผู้ใหญ่ 

ยกตัวอย่างเด็กหญิงคนหนึ่งที่ Roy เจอ พ่อแม่ของเธอบินไปต่างประเทศบ่อยครั้ง โดยปล่อยให้ลูกอยู่บ้านคนเดียว แต่ก็มีคนรับใช้และของจำเป็นต่างๆ ไว้อย่างไม่ขาดมือ เธอบอกว่าเธอไม่ต้องการของพวกนั้นหรอก เธอรักพ่อแม่มากกว่าของพวกนั้นอีก เธอต้องการความสัมพันธ์กับพ่อแม่

พ่อแม่อาจคิดว่า แม้ตัวไม่อยู่ แต่ถ้าให้ของต่างๆ ไว้กับลูกก็จะเป็นสิ่งที่ทดแทนกันได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้วัยรุ่นมีตัวตน พวกเขาต้องการปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ มีคนมองเห็น มีคนรับฟัง มีคนโต้ตอบ อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่หลายคนก็อาจจะยังไม่เข้าใจ เพราะวัยรุ่นไม่ได้แสดงความต้องการเหล่านี้ออกมาโดยตรง

Roy อธิบายพฤติกรรมเช่นนี้ของวัยรุ่นโดยใช้คำพูดของศาสนาจารย์ Dr. Bob McCarty ที่ว่า “วัยรุ่นรุ่มรวยไปด้วยประสบการณ์ แต่ขาดแคลนภาษาที่ใช้อธิบาย”(Experience-rich but Language-poor) กล่าวคือ วัยรุ่นมีโอกาสได้สัมผัสกับประสบการณ์มากมาย แต่พวกเขาไม่มีภาษาที่จะใช้อธิบายประสบการณ์เหล่านั้น

ย้อนกลับไปที่เด็กหญิงก่อนหน้านี้ เธอบอกกับ Roy ว่า เธอต้องการความสัมพันธ์กับพ่อแม่ เธอรู้ดีว่าตัวเองชอบหนีห่างพ่อแม่ พ่อแม่ก็เลยหนีห่างเธอ แต่เธอไม่อยากให้พ่อแม่หนีห่างเธอ เธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเลิกหนีห่างพ่อแม่

Roy กล่าวว่าของขวัญที่ดีที่สุดของพ่อแม่ไม่ใช่ของแพงๆ แต่คือ ‘ความใส่ใจ’ (Attention) ใส่ใจว่าลูกของเราต้องการอะไรจริงๆ ไม่ใช่คิดเอาเองว่าลูกต้องการอะไร พร้อมกับรับฟังความคิดของลูกอย่างจริงใจ ไม่ด่วนตัดสินว่าเขาเป็นคนไม่มีเหตุผล

ทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า สิ่งที่วัยรุ่นต้องการคือ ความใส่ใจ การถูกมองเห็น การมีตัวตน เพียงแต่วัยรุ่นไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไร อีกทั้งวัยรุ่นก็เริ่มมีพฤติกรรมห่างเหินจากพ่อแม่เพราะต้องการอิสระ

Ruth Oelrich ผู้เชี่ยวชาญด้านการสนับสนุนนักเรียน กล่าวว่า พ่อแม่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงลูกในแต่ละช่วงวัย ในตอนเด็กพ่อแม่มีหน้าที่ปกป้องลูกให้ปลอดภัยผ่านการบอกหรือสั่ง เช่น ‘อย่าเอาอันนั้นเข้าปาก’ ‘อย่าคุยกับคนแปลกหน้า’ แต่พอลูกโตขึ้นเป็นวัยรุ่นหน้าที่ของพ่อแม่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากการสั่งเป็นการซัปพอร์ต การสั่งมักไม่ได้ผลแล้ว

การซัปพอร์ตลูกอย่างแท้จริงคือ ‘การฟังอย่างตั้งใจ’ (หรือในแนวคิดของ Roy ใช้ว่า ‘ความใส่ใจ’) เมื่อพ่อแม่ตั้งใจฟัง ลูกจะกล้าพูดสิ่งต่างๆ ออกมา ทำให้พ่อแม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ต่อมาพ่อแม่ให้การซัปพอร์ตโดยใช้ประโยค เช่น ‘พ่อแม่อยู่ข้างลูกนะ’ ‘มีอะไรให้ช่วยไหม’

การทำเช่นนี้ทำให้ลูกมีอิสระในการใช้ชีวิต และในขณะเดียวกันพ่อแม่ก็คอยชี้แนะแนวทางได้ด้วย Ruth กล่าวว่า หน้าที่ของพ่อแม่ไม่มีวันหยุด การสอนลูกเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ในทุกช่วงวัย เพียงแต่วิธีการในแต่ละช่วงวัยจะไม่เหมือนกัน พ่อแม่บางคนเลิกสอนหรือไม่สนใจลูกเมื่อเป็นวัยรุ่นแล้ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก

‘ภาวะไร้ตัวตน’ คือต้นตอของปัญหาทั้งปวงในวัยรุ่น

เมื่อมองย้อนกลับไปที่แนวคิดของ Roy ปัญหาของวัยรุ่นในปัจจุบันล้วนมีต้นเหตุมาจาก ‘ภาวะไร้ตัวตน’ ยกตัวอย่างเรื่อง ‘เด็กแว้น’ จากการศึกษาเชิงลึกของ ผศ.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข ที่คลุกคลีอยู่กับกลุ่มเด็กแว้นนานถึง 3 ปี พบว่า “พวกเขาคือเด็กวัยรุ่นที่ถูกสังคม ครอบครัว ชุมชน และโรงเรียนเบียดขับให้เป็นเด็กชายขอบ พวกเขาไม่สามารถก่อร่างอัตลักษณ์ตัวตนในลักษณะที่สังคมให้การยอมรับและให้คุณค่าได้”

พูดง่ายๆ คือ กลุ่มเด็กแว้นเกิดขึ้นมาจากเด็กที่ครอบครัวหรือสังคมขาดความใส่ใจ เช่น เด็กหลังห้อง เรียนไม่ดี หรือมีฐานะยากจน ไม่ว่าเด็กพวกนี้ทำอะไรก็มักถูกมองข้าม ไม่ได้รับความสนใจ รู้สึกไร้ตัวตน เมื่อด้านสว่างไม่สามารถทำให้พวกเขามีตัวตนขึ้นมาได้ พวกเขาจึงหันเข้าด้านมืดเพื่อสร้างตัวตนและการยอมรับจากผู้อื่น

การมีมอเตอร์ไซต์และขับขี่มันด้วยลีลาหวาดเสียวทำให้พวกเขามีตัวตนและได้รับการยอมรับจากคนในกลุ่ม แม้สังคมภายนอกจะมองว่าพฤติกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ดี แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ประสบความสำเร็จในด้านการทำให้ตัวเองถูกมองเห็น

หรือแม้แต่ ‘การเสพติดโซเชียลมีเดีย’ ของวัยรุ่นก็เป็นผลพวงมาจากภาวะไร้ตัวตน ภาวะไร้ตัวตนก่อให้เกิดความเหงา แม้จะมีผู้คนอยู่รอบกายมากมาย แต่หากปราศจากคนที่มองเห็นและรับรู้ว่าเรามีตัวตนอยู่ ความเหงาและความรู้สึกไร้ตัวตนย่อมเกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา

ดังนั้นโซเชียลมีเดียจึงเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ในการถูกมองเห็นจากคนอื่น ทำให้เรารู้สึกมีตัวตนท่ามกลางโลกภายนอกที่เราไร้ตัวตน บนโซเชียลมีเดียเราสามารถเป็นใครก็ได้ ได้พบปะ และสร้างความสัมพันธ์กับคนมากมาย ในขณะที่โลกความจริงเรากลับเป็น Nobody ที่ไม่มีใครสนใจ

หากในโลกจริงวัยรุ่นเหล่านี้ได้รับความสนใจและถูกมองเห็น พวกเขาก็ไม่ต้องไปไขว่คว้าหาความสนใจจากคนบนโลกออนไลน์ที่แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่ก็ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจและปลอดภัยได้มากกว่าคนในโลกจริงเสียอีก

ยิ่งไปกว่านั้น การเข้ามาของเทคโนโลยี ‘ปัญญาประดิษฐ์’ หรือ ‘เอไอ’ ทำให้การใฝ่หาความสนใจจากโลกออนไลน์เป็นไปได้สมจริงมากขึ้น ในปัจจุบันเอไอสามารถโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติคล้ายกับคนจริงๆ ทำให้คนที่ประสบกับภาวะไร้ตัวตนในโลกจริงสามารถได้รับความรู้สึกถึงการมีตัวตนผ่านการคุยกับเอไอ

เอไอกลายเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่มองเห็น โต้ตอบ และแม้กระทั่งสร้างความสัมพันธ์กับเรา จึงไม่แปลกใจหากวัยรุ่นที่ไม่ได้รับความสนใจบนโลกจริง จะพุ่งเข้ามาบนโลกออนไลน์อย่างสุดตัว จมปลักกับเทคโนโลยีเหล่านี้จนถึงขั้นเสพติดก็เป็นไปได้

สุดท้ายคำพูดของ Roy ย้ำเตือนว่า ‘ความใส่ใจ’ ‘การมองเห็นคนอื่น’ เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้โดยไม่ได้ต้องเป็นนักจิตบำบัดหรือเรียนจบจิตวิทยา ขอแค่เรารับฟังคนคนหนึ่งอย่างไม่ตัดสิน ไม่เอาอคติหรือภาพจำต่างๆ ไปยัดเยียดใส่เขา เท่านี้ก็ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว

มองเห็นในสิ่งที่เป็นจริงๆ ไม่ใช่มองเห็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น

อ้างอิง

ทัศนา พุทธประสาท. (2567). AI เป็น ‘เพื่อน’ เราได้จริงหรือ? ว่าด้วยบทสนทนา ปัญญาประดิษฐ์ และความเหงาของมนุษย์.

ปนัดดา ชำนาญสุข. (2551). เร่ง รัก รุนแรง: โลกชายขอบของนักบิด. มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.).

Julie Sly. (2020). “We don’t have a belief issue, we have a belonging issue”.

Käcko, E., Hemberg, J., & Nyman-Kurkiala, P. (2024). The double-sided coin of loneliness and social media – young adults’ experiences and perceptions. International Journal of Adolescence and Youth, 29(1).

Roy Petitfils. (2016). What Teenagers Want You to Know | Roy Petitfils | TEDxVermilionStreet.Ruth Oelrich. (2022). Parents and Teens Can Communicate If You Know How | Ruth Oelrich | TEDxDavenport.

Tags:

วัยรุ่นการยอมรับความเจ็บปวดภาวะไร้ตัวตน (Invisibility)ความใส่ใจ (Attention)การฟังอย่างตั้งใจการเสพติดโซเชียลมีเดีย

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to enjoy life
    Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร”

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel