- ‘คนตัวจิ๋ว’ (The Borrowers) เป็นวรรณกรรมเยาวชนเขียนโดย แมรี นอร์ตัน (Mary Norton) เล่าเรื่องของแอเรียตตี้ เด็กสาวคนตัวจิ๋ว ที่อาศัยอยู่กับครอบครัวใต้พื้นบ้าน และดำรงชีวิตด้วยการหยิบยืมของจากมนุษย์ตัวโต
- หนังสือถ่ายทอดเรื่อง ความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ ผ่านมิตรภาพของแอเรียตตี้และเด็กชายที่มองเห็นเธอ เพราะการสื่อสารด้วยหัวใจอ่อนโยนและกล้าหาญ สามารถเชื่อมโยงคนต่างโลกเข้าด้วยกันได้
- คนที่แตกต่างจากเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เลวร้ายเสมอไป และที่สำคัญ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความเชื่อ ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกับเรา แต่พวกเขาก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้
เมื่อพูดถึงอะนิเมะ หรืออะนิเมชั่นในดวงใจจากค่ายจิบลิ สตูดิโอ ชื่อที่โผล่มาเป็นอันดับต้นๆ มักจะเป็น Spirited Away, My Neighbor Totoro หรือไม่ก็ Howl’s Moving Castle
แต่สำหรับผม และใครอีกหลายคน อีกหนึ่งผลงานของจิบลิที่ประทับอยู่ในใจ ไม่แพ้เรื่องที่ถูกเอ่ยชื่อก่อนหน้านี้ ก็คือ Arrietty หรือชื่อภาษาไทยว่า ‘อาริเอตี้ มหัศจรรย์ความลับคนตัวจิ๋ว’
เมื่อไม่กี่วันก่อน ผมเพิ่งดูอะนิเมชั่นเรื่องนี้อีกรอบ เมื่อดูจบแล้ว อดไม่ได้ที่จะหยิบเอาหนังสือที่เป็นต้นแบบของเรื่องนี้มาอ่านอีกครั้ง
หนังสือเล่มนี้ มีชื่อว่า ‘คนตัวจิ๋ว’ หรือ The Borrowers ผลงานการเขียนโดย แมรี นอร์ตัน (Mary Norton) ตั้งแต่เมื่อปี 1952 ซึ่งกลายเป็นวรรณกรรมเยาวชนยอดเยี่ยม ได้รับรางวัลเหรียญคาร์เนกี้จากสมาคมห้องสมุดแห่งอังกฤษ และกลายเป็นหนังสือในดวงใจของนักอ่านหลายคนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้
เรื่องราวของคนตัวจิ๋ว ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเรียบง่าย แต่งดงาม ราวกับเทพนิยายที่มีทั้งความน่ารัก ซื่อบริสุทธิ์แบบเด็กๆ เคลือบทับด้วยเรื่องราวการผจญภัย ที่มีกลิ่นอายความความลึกลับปนเศร้า
อย่างที่หลายคนเคยบอกไว้ว่า หนังสือทุกเล่มที่ถูกหยิบขึ้นมาอ่านแต่ละครั้ง จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็เช่นกัน ในตอนที่อ่านครั้งแรก ผมรู้สึกอิ่มเอม สนุกสนาน และตื่นเต้นไปกับการผจญภัยของคนตัวจิ๋วในเรื่อง
ทว่า ในการหยิบมาอ่านอีกครั้ง ผมจึงค้นพบว่า ในโลกของคนตัวจิ๋ว มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นจินตนาการในวัยเด็ก ที่มักสูญหายไปเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รวมไปถึงแง่คิดในเรื่องความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ และวัฒนธรรม ที่มักกลายเป็นชนวนความขัดแย้งระหว่างผู้คน
ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังค้นพบว่า การสื่อสารเท่านั้น ที่จะเป็นสะพานทอดข้ามความแตกต่างระหว่างผู้คนได้
แอเรียตตี้ (ในหนังสือสะกดด้วยคำนี้ ซึ่งแตกต่างจากเวอร์ชั่นอะนิเมชั่นที่ออกเสียงว่า เอริอาตี้) อาศัยอยู่กับพ่อและแม่ ในบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ในชนบทของประเทศอังกฤษ ไม่สิ ต้องบอกว่า พวกเธออาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ที่อยู่ปลายสุดของโพรงลึกลัดเลาะจากใต้ฐานของนาฬิกา ซึ่งอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังนั้น
ใช่ครับ แอเรียตตี้ รวมถึงพ็อด ผู้เป็นพ่อ และโฮมิลี่ ผู้เป็นแม่ คือ คนตัวจิ๋ว ตัวเล็กพอๆ กับหนูตัวเล็กๆ คนตัวจิ๋วเหล่านี้ เรียกตัวเองว่า ‘ผู้หยิบยืม’ (Borrowers) เพราะพวกเขายังชีพอยู่ด้วยการหยิบยืมสิ่งต่างๆ จากมนุษย์ตัวโต ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่กินไม่หมด ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้ที่คนเผลอเรอทำหล่น
ขณะที่คนในบ้านเชื่อว่า จะต้องมีสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างเช่นหนู หรือกระรอก ที่มาขโมยน้ำตาลก้อนในขวดโหลที่ลืมปิดให้สนิท คุกกี้ในจานรองชาที่กินเหลือ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้อย่างเช่น เข็มหมุด เข็มกลัด ที่มีใครสักคนทำหล่นบนพื้น กรรไกรอันเล็กๆ ที่ถูกโยนทิ้ง รวมทั้งกระดาษเช็ดปาก
แต่สำหรับคนตัวจิ๋ว พวกเขาไม่คิดเช่นนั้น การกระทำของพวกเขา ไม่ใช่การขโมย หากเป็นการ ‘หยิบยืมง สิ่งที่พวกมนุษย์ตัวโต (หรือพวก ‘ถั่วมนุษย์’ ตามคำเรียกของผู้หยิบยืม) ไม่มีความจำเป็นต้องกินต้องใช้แล้วต่างหาก
นอกจากนี้ พวกเขาเหล่าผู้หยิบยืม ยังเชื่อว่า พวกถั่วมนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้คนตัวจิ๋วได้ใช้ประโยชน์ในการหยิบยืม ไม่ต่างจากกุญแจที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล็อคประตู หรือกาน้ำที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อต้มน้ำ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น
แอเรียตตี้ เป็นเด็กสาวเผ่าพันธุ์คนตัวจิ๋ว อายุสิบสี่ เธอชอบอ่านหนังสือ รักการผจญภัย แต่พ่อยังไม่ยอมให้เธอตามไปทำภารกิจ ‘หยิบยืม’ พร้อมกับพ่อ ด้วยเกรงว่า แอเรียตตี้อาจสะเพร่าจนทำให้พวกถั่วมนุษย์มองเห็นตัวได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เมื่อใดก็ตามที่ถูกพบเห็นตัว คนตัวจิ๋วจะต้องอพยพออกจากบ้านหลังนั้น เพื่อไปหาบ้านหลังใหม่อยู่ หรือมิเช่นนั้น ก็ต้องไปอยู่ในโพรงใต้ดินตามทุ่งนา กลายเป็นพวกชาวทุ่ง เหมือนครอบครัวพี่ชายของพ็อด
ทว่า คนที่เผลอเรอจนถูกมนุษย์ตัวโตพบเห็น ไม่ใช่แอเรียตตี้ แต่เป็นพ่อของเธอ ซึ่งมนุษย์ตัวโตที่พบเห็นพ็อด เป็นเด็กชายวัยสิบขวบ ที่เพิ่งย้ายมาพักรักษาตัวจากอาการป่วยที่บ้านหลังนี้ แม้ว่าเด็กชาย (ซึ่งในหนังสือไม่ได้ระบุชื่อ แค่เรียกว่าเด็กชายเฉยๆ) จะไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำร้าย ไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องโวยวาย ถึงอย่างนั้น พ็อด ก็ตัดสินใจว่า พวกเขาจะต้องอพยพออกจากบ้านหลังนี้แล้ว
ในช่วงที่ครอบครัวแอเรียตตี้ กำลังตระเตรียมการเรื่องการอพยพออกไปหาที่อยู่ใหม่ พ่อได้พาแอเรียตตี้ออกไปทำภารกิจหยิบยืม และในตอนนั้นเอง คนตัวจิ๋วก็ถูกถั่วมนุษย์พบเห็นตัวอีกครั้ง ครั้งนี้ เป็นแอเรียตตี้ ที่ถูกเด็กชายคนเดิมพบเห็นตัว
ไม่เพียงเท่านั้น แอเรียตตี้และเด็กชาย ยังได้พูดคุยกัน ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่า การพูดคุยกันของคนตัวจิ๋วและคนตัวโต จะนำไปสู่การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์สองเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างอย่างสุดขั้ว
ความเป็นมิตรระหว่างแอเรียตตี้และเด็กชาย ทำให้ทั้งคู่ได้รับรู้ว่า คนที่แตกต่างจากเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เลวร้ายเสมอไป และที่สำคัญ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีความเชื่อ ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกับเรา แต่พวกเขาก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ หรืออย่างน้อย ก็สามารถลดทอนความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันลงได้ เพียงแค่เปิดใจและพูดคุยกัน
มิตรภาพระหว่างแอเรียตตี้และเด็กชาย ทำให้ครอบครัวผู้หยิบยืม มีความเป็นอยู่ที่ ‘หรูหรา’ มากขึ้น เมื่อเด็กชาย ช่วยเป็นธุระจัดหาข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นมาให้กับครอบครัวของแอเรียตตี้ โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์สวยๆ ที่เขาหยิบออกจากบ้านตุ๊กตา ซึ่งมาถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่า แผนการอพยพออกไปหาบ้านใหม่ของพ็อด จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครพูดถึงอีกต่อไป
อย่างไรก็ดี เรื่องราวยังไม่จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง เมื่อนางไดรเวอร์ แม่บ้านที่ดูแลบ้าน กลายเป็นมนุษย์อีกคนที่ได้พบเห็นคนตัวจิ๋ว แต่นางไม่ใช่เด็กชายจิตใจดี สำหรับนางไดรเวอร์แล้ว เหล่าผู้หยิบยืมก็ไม่ต่างจากหนู หรือแมลงตัวเล็กๆ ที่คอยมาขโมยข้าวของในบ้าน และทำลายความสงบสุขของคน การมีปฏิสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว ระหว่างสองเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง ก็คือ ทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นซาก
…
ผมจะไม่เล่าตอนจบของหนังสือเล่มนี้ เพราะทุกคนคงพอเดาได้ว่า เรื่องราวน่าจะปิดฉากลงด้วยดี มากกว่าจะเป็นโศกนาฏกรรมในวรรณกรรมเด็ก แต่สิ่งที่ผมอยากเล่า คือ ความรู้สึกที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มนี้อีกครั้งมากกว่า
หากตัดเรื่องราวเหนือจริงออกไป ผมมองเห็นเรื่องราวของมนุษย์จากเผ่าพันธุ์ หรือเชื้อชาติที่แตกต่าง ต่างฝ่ายต่างมองว่า อีกฝ่ายคือสิ่งที่ด้อยกว่า ป่าเถื่อนกว่า ไร้อารยธรรม หรือมีไว้เพื่อให้อีกฝ่ายได้ใช้ประโยชน์เท่านั้น
หรือหากจะมองให้สมจริงกว่านั้น คนตัวจิ๋ว ก็ไม่ต่างจากคนชายขอบในสังคม ไม่มีปากมีเสียง เพราะเกรงกลัวอำนาจของชนชั้นที่เหนือกว่า อีกทั้งยังจำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากรจากพวกเขา เพื่อการดำรงชีวิต และแน่นอน การกระทำเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้พวกเขาถูกมองว่า เป็นเหมือนเหลือบริ้นไร ที่แอบมาสูบเลือดสร้างความรำคาญให้แก่ชนชั้นผู้มีอำนาจ
จนกระทั่งวันที่สองฝ่าย ตัดสินใจมองอีกฝ่ายว่า นั่นก็คือมนุษย์เช่นเดียวกับเรา ความคิด-ความเชื่อ หรือค่านิยมบางอย่าง อาจแตกต่างจากเรา แต่ลึกลงไปภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่แตกต่าง (รวมถึงขนาดตัวที่แตกต่าง) ข้างในก็คือ หัวใจของคนที่กำลังเต้นอยู่เหมือนกับเรา
วันแรกที่แอเรียตตี้เอ่ยปากพูดกับเด็กชาย คือวันแรกที่สะพานข้ามความแตกต่างของสองเผ่าพันธุ์ เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้น และยิ่งทั้งสองฝ่ายสื่อสารกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น สะพานนั้นก็ยิ่งเชื่อมโยงเข้ามาบรรจบกันมากขึ้น
แน่นอน การที่เราจะสามารถสร้างสะพานข้ามความแตกต่างระหว่างผู้คนได้ ไม่ได้อาศัยแค่หัวใจที่อ่อนโยน ที่พร้อมจะมองเห็นคนอื่นมีคุณค่าเทียบเท่าเราเท่านั้น หากยังต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างยิ่งอีกด้วย
วันแรกที่แอเรียตตี้ถูกเด็กชายพบเห็น หัวใจของเธอแทบหยุดเต้นด้วยความกลัว และยิ่งเด็กชายส่งเสียงดังขึ้นมาว่า “อย่าขยับนะ ไม่งั้นฉันเอาไม้ตี” เธอก็ยิ่งกลัวมากขึ้นอีก
แต่ในที่สุด แอเรียตตี้ รวบรวมความกล้าหาญ แล้วตะโกนออกไปว่า “ทำไมล่ะ?”
คำถามจากเสียงเล็กๆ นั้น ตามมาด้วยคำตอบ และต่อเนื่องกลายเป็นบทสนทนา ที่นำไปสู่ความพยายามเข้าใจซึ่งกันและกันของทั้งสองฝ่าย
หลายคนอาจคิดว่า ความกล้าหาญ คือ การหยิบอาวุธต่อสู้แม้แต่กับคนที่ตัวโตกว่า แข็งแรงกว่า ดุร้ายกว่า แต่สำหรับผมแล้ว การพูดและรับฟังของแอเรียตตี้ (รวมไปถึงเด็กชายคนนั้น) คือ ความกล้าหาญที่ไม่ด้อยกว่ากันเลย
อีกจุดหนึ่งที่ผมนึกขึ้นมา หลังอ่านหนังสือเล่มนี้จบลง ทำไมเด็กชายถึงเป็นคนแรกที่มองเห็นคนตัวจิ๋ว คำตอบที่คิดขึ้นได้ ก็คือ เพราะเด็กๆ ยังมีหัวใจที่บริสุทธิ์ ใสซื่อไร้เดียงสา อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มักสูญหายไปเมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ในนิทานปรำปราหลายๆ เรื่อง เด็กๆ จะเป็นตัวละครที่พบเจอสิ่งมหัศจรรย์เหนือจริงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าภูติตัวจิ๋ว นางฟ้าตัวน้อยที่มีปีกใสบาง หรือกระทั่งได้ยินเสียงพูดคุยของสรรพสัตว์ในป่า สิ่งเหล่านี้ อาจมีอยู่จริง แต่จะมองเห็นหรือได้ยิน ก็ต่อเมื่อใช้จินตนาการที่เด็กๆ มีอยู่เต็มเปี่ยมเท่านั้น
ขณะที่นางไดรเวอร์ แม่บ้านใจร้ายในเรื่องนี้ คือตัวแทนของผู้ใหญ่ที่ไร้จินตนาการ หัวใจของนางแข็งกระด้าง ทำให้สิ่งที่นางมองเห็น ไม่ใช่คนตัวจิ๋วแสนบอบบาง แต่เป็นสัตว์ตัวรังควาน ที่ต้องถูกกำจัดทิ้ง เพื่อไม่ให้พวกมันเข้ามาขโมยข้าวของในบ้าน
อย่างไรก็ดี ถึงแม้นางไดรเวอร์จะเป็นคนใจร้าย แต่นางก็ไม่ใช่ตัวร้าย หากเป็นแค่คนที่ขาดแคลนบางสิ่งบางอย่าง ที่อาจช่วยทำให้โลกใบนี้สวยงาม และน่าอยู่มากขึ้น และบางสิ่งบางอย่างที่ว่า ก็คือ
จินตนาการ ที่ช่วยให้เรามองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น หัวใจที่อ่อนโยน ที่ช่วยให้เราสัมผัสถึงคุณค่าในคนอื่นที่แตกต่างจากเรา และความกล้าหาญ ที่ช่วยให้เรามีความเข้มแข็งในการเดินหน้าไปหา และเปิดใจให้กับคนที่แตกต่างจากเรา