Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: July 2024

AI Literacy (2): ทักษะจำเป็นที่จะทำให้มนุษย์ไม่ถูกกลืนหายในโลกที่ AI ฉลาดขึ้นทุกที
21st Century skills
8 July 2024

AI Literacy (2): ทักษะจำเป็นที่จะทำให้มนุษย์ไม่ถูกกลืนหายในโลกที่ AI ฉลาดขึ้นทุกที

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ทักษะทางด้านเอไอเป็นเรื่องที่สำคัญและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในการทำงานปัจจุบัน ผลวิจัย Work Trend Index 2024 เผยว่า ทักษะการใช้งานเอไอกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานไปแล้ว โดยผู้บริหารไทย 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะเอไอ
  • การเสริมสร้าง AI Literacy คือ ‘การรู้และเข้าใจเอไอ’ เป็นการมีทักษะพื้นฐานที่ทำให้เราสามารถเข้าใจและใช้งานเอไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งกว้างๆ เป็น 2 ทักษะ ได้แก่ ‘ทักษะพื้นฐานด้านเทคโนโลยี’ และ ‘ทักษะทางสังคม’ (Soft Skills)
  • เอไอสามารถทำงานได้เพียงบางอย่างเท่านั้นและยังมีข้อจำกัดอีกมาก เรายังคงต้องตรวจสอบการทำงานของเอไอและมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นๆ ในการทำงานด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแทนที่ด้วยเอไอได้

ตอนที่แล้ว (AI Literacy (1): ทักษะจำเป็นในยุคที่มนุษย์ไม่อาจปฏิเสธปัญญาประดิษฐ์) เราได้ทำความเข้าใจถึงความสำคัญและการเสริมสร้าง ‘AI Literacy’ หรือ ‘ความฉลาดรู้ทางเอไอ’ ในแง่มุมต่างๆ ซึ่งการมี AI Literacy จะทำให้เราก้าวทันเทคโนโลยีเอไอที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งยกระดับการประกอบอาชีพของเรา 

จากผลวิจัย Work Trend Index 2024 ที่ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ทำร่วมกับ LinkedIn เผยว่า ทักษะการใช้งานเอไอกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในตลาดแรงงานไปแล้ว โดยผู้บริหารไทย 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะเอไอ และหากต้องเลือกระหว่างทักษะเอไอกับประสบการณ์การทำงาน ผู้บริหารไทย 90% เลือกที่จะจ้างพนักงานที่มีทักษะเอไอ โดยไม่ได้สนใจว่าพนักงานคนนั้นจะมีประสบการณ์การทำงานมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

นอกจากนี้ ข้อมูลจาก LinkedIn ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เน้นธุรกิจและการจ้างงาน พบถึงการเติบโตของตลาดเอไออย่างก้าวกระโดด โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจำนวนผู้ใช้ LinkedIn ทั่วโลกที่ใส่ข้อมูลเกี่ยวกับทักษะการใช้เอไออย่าง ChatGPT และ Copilot ในโปรไฟล์ของตัวเอง มีเพิ่มขึ้นถึง 142 เท่า

เห็นได้ชัดว่าทักษะทางด้านเอไอเป็นเรื่องที่สำคัญและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในการทำงานปัจจุบัน หนึ่งในแง่มุมของการเสริมสร้าง AI Literacy คือ ‘การรู้และเข้าใจเอไอ’ เป็นการมีทักษะพื้นฐานที่ทำให้เราสามารถเข้าใจและใช้งานเอไอได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทักษะพื้นฐานดังกล่าวอาจแบ่งกว้างๆ เป็น 2 ทักษะ ได้แก่ ‘ทักษะพื้นฐานด้านเทคโนโลยี’ และ ‘ทักษะทางสังคม’ (Soft Skills)

ทักษะพื้นฐานด้านเทคโนโลยี 

การจะเข้าใจเอไอได้เราก็ต้องมีความเข้าใจในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเอไอ ความเข้าใจนี้ไม่จำเป็นต้องลึกซึ้งถึงขั้นวิศวกร แต่เป็นความรู้พื้นฐานสำหรับคนทั่วๆ ไปให้เข้าใจและนำไปใช้งานในบริบทของตัวเองได้ โดยทักษะพื้นฐานด้านเทคโนโลยีนี้ประกอบด้วย ‘ทักษะดิจิทัล’ ‘ความรู้ในเอไอเบื้องต้น’ และ ‘Prompt Engineering’

  • ทักษะดิจิทัล

ทักษะดิจิทัล หมายถึง ความสามารถในการจัดการ ทำความเข้าใจ และประเมินความเกี่ยวข้องของข้อมูลได้อย่างเหมาะสมผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งนี้ ทักษะดิจิทัลมีอยู่ 2 ขอบเขต คือ ‘การใช้อุปกรณ์ดิจิทัล’ และ ‘ความเข้าใจในสารสนเทศและข้อมูล’

อุปกรณ์ดิจิทัลในที่นี้คือ คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ฯลฯ การมีทักษะดิจิทัล หมายถึง เราสามารถใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลในการทำงานพื้นฐานได้เป็นอย่างดี เช่น สามารถใช้เมาส์คลิกเลือกข้อความ ใช้คีย์บอร์ดพิมพ์ข้อความต่างๆ ได้ เป็นต้น

ความเข้าใจในสารสนเทศและข้อมูล หมายถึง ความสามารถในการค้นหาและประมวลผลข้อมูลในบริบทที่หลากหลาย เช่น ค้นหาข้อมูลที่ต้องการในอินเทอร์เน็ต รู้จักคัดกรองข้อมูลที่พบ ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากหลายๆ แหล่งอ้างอิง

  • ความรู้ในเอไอเบื้องต้น

การจะใช้งานสิ่งใดก็ควรที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มีคุณสมบัติอะไร และมีข้อจำกัดอะไร โดยอธิบายตามความเข้าใจของคนทั่วไป ‘เอไอ’ หรือ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ คือ เทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ได้ในบางแง่มุม เช่น สามารถรับรู้และเรียนรู้ข้อมูล ใช้เหตุผล และใช้ภาษา

คุณสมบัติของเอไอเบื้องต้นคือ สามารถคำนวณข้อมูลในปริมาณมากๆ ได้รวดเร็วและเกิดข้อผิดพลาดน้อย, สามารถจัดเก็บข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการเรียนรู้ จดจำ หรือจำแนกข้อมูล และสามารถทำงานเดิมซ้ำๆ โดยคงคุณภาพของงานไว้ได้

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเอไอก็ยังมีข้อจำกัด เช่น เอไอไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะเอไอไม่สามารถสร้างสิ่งต่างๆ โดยปราศจากการเทรนข้อมูลได้, เอไอทำความเข้าใจและตอบสนองช้ากว่ามนุษย์ เพราะเอไอต้องแปลงข้อมูลเป็นรูปแบบที่ตัวเองเข้าใจได้เสียก่อนแล้วจึงตอบสนอง, เอไอถูกพัฒนามาให้ถนัดในด้านใดด้านหนึ่ง เพราะการสร้างเอไอใช้ทรัพยากรมหาศาลจึงไม่สามารถทำให้เก่งในหลายๆ ด้านพร้อมกันได้

  • Prompt Engineering

การใช้งานเอไอสำหรับคนทั่วไปคือการป้อนคำสั่ง (Prompt) เข้าไปแล้วให้เอไอปฏิบัติตาม ในที่นี้ Prompt Engineering เป็นศาสตร์ในการป้อนคำสั่งอย่างเหมาะสมให้กับเอไอแล้วได้ผลลัพธ์ออกมาตามที่เราต้องการ อาจเรียกว่าเป็นศาสตร์ใน ‘การรีดศักยภาพของเอไอ’ หรือ ‘การสื่อสารกับเอไออย่างมีประสิทธิภาพ’ ก็ว่าได้ โดยหลักการของ Prompt ที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

  • มีความชัดเจน – ระบุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายให้ชัดเจนว่าต้องการให้เอไอทำอะไร ไม่ใช้ภาษาที่กำกวม ไม่มีข้อปฏิบัติที่ขัดแย้งกันเอง คำสั่งมีความสมเหตุสมผล
  • มีบริบทครบถ้วน – อธิบายบริบทหรือให้รายละเอียดของข้อมูลที่มากพอจนกระจ่างว่าคำสั่งของเราเกิดขึ้นในสถานการณ์แบบไหน
  • มีโครงสร้างที่ดี – คำสั่งไม่ควรมีความซับซ้อนหรือข้อปฏิบัติที่มากจนเกินไป เพราะจะทำให้เอไอสับสนว่าเราต้องการอะไร หากคำสั่งมีความซับซ้อนควรแบ่งเป็นส่วนย่อยๆ แล้วค่อยสั่งทีละคำสั่ง

ตัวอย่าง Prompt ที่ไม่ดี

  • “เขียนเกี่ยวกับแมว” ❌ – คำสั่งกำหนดวัตถุประสงค์ไม่ชัดเจนว่าต้องการงานเขียนแบบไหน เช่น บทความ เรียงความ หรือกลอน อีกทั้งยังระบุไม่ชัดเจนว่าต้องการให้เขียนถึงแมวในแง่มุมไหน เช่น แมวสายพันธุ์ต่างๆ การเลี้ยงดูแมว หรือวิวัฒนาการของแมว
  • “แต่งกลอนเกี่ยวกับความรัก” ❌ – คำสั่งไม่อธิบายบริบทหรือรายละเอียดว่าเป็นความรักแบบไหน เช่น รักแบบสมหวัง/ไม่สมหวัง รักแบบครอบครัว หรือรักแบบคนรัก
  • “เขียนบทความเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยเปรียบเทียบกับยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม // วิเคราะห์เชิงลึกถึงปัจจัยทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมที่ส่งผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ // และคาดการณ์อนาคตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ต่อโลก” ❌ – คำสั่งมีความซับซ้อนและสั่งหลายอย่างมากเกินไป ควรแบ่งคำสั่งออกเป็น 2-3 ส่วนแล้วสั่งทีละคำสั่ง

ทักษะทางสังคม (Soft Skills)

ในยุคที่เอไอกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หลายคนอาจคิดว่า ‘ทักษะทางสังคม’ หรือ ‘Soft Skills’ คงไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะเราก็แค่ป้อนคำสั่งให้เอไอทำงานแทนเราได้แล้ว อย่างไรก็ตาม เอไอสามารถทำงานได้เพียงบางอย่างเท่านั้นและยังมีข้อจำกัดอีกมาก เรายังคงต้องตรวจสอบการทำงานของเอไอและมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นๆ ในการทำงานด้วย สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแทนที่ด้วยเอไอได้

‘ทักษะทางสังคม’ หรือ ‘Soft Skills’ หมายถึง ทักษะที่ไม่ใช่ความรู้ด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับวิธีการทำงานของเรา โดยทักษะที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้เอไอในที่นี้ประกอบด้วย ‘การคิดเชิงวิพากษ์’ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ ‘การสื่อสาร’ และ ‘จริยธรรมเอไอ’

  • การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)

‘การคิดเชิงวิพากษ์’ หรือ ‘การคิดอย่างมีวิจารณญาณ’ หมายถึงความสามารถในการทำความเข้าใจ วิเคราะห์ และประเมินข้อมูล ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีข้อมูลจำนวนมากหลั่งไหลมาจากอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย และเอไอ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เราแยกแยะได้ว่าข้อมูลไหนจริงหรือเท็จ

ผศ.ดร.ธรรณพ อารีพรรค (2567) ผู้อำนวยการศูนย์บริการทางวิชาการและอาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมดิจิทัลเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยรังสิต เตือนว่า หากสิ่งที่เอไอกล่าวถึงเป็นเรื่องที่ใหม่และยังไม่มีข้อมูลในระบบ หรือเรื่องนั้นมีข้อมูลในอินเทอร์เน็ตน้อยหรือไม่มีเลย เอไออาจ “สร้างเนื้อหาที่ผิดพลาดหรือเท็จอย่างมั่นใจเพื่อตอบสนองต่อคำสั่งของผู้ใช้” ซึ่งเรียกอาการลักษณะนี้ว่า Hallucination (ประสาทหลอน) หรือ Confabulation (การสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่)

เห็นได้ว่าเอไอก็มีโอกาสสร้างข้อมูลเท็จด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ การวิเคราะห์ว่าข้อมูลนั้นจริงหรือเท็จผ่านการใช้การคิดเชิงวิพากษ์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งเราสามารถฝึกฝนทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ได้ผ่านการถามคำถามต่อไปนี้เมื่อเราได้รับข้อมูลอะไรมาก็ตาม

  • ประเด็นหลักคืออะไร?
  • หลักฐาน/ข้อโต้แย้งที่สนับสนุนประเด็นนั้นมีอะไรบ้าง?
  • หลักฐานนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่? / ข้อโต้แย้งนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่?
  • มีคำอธิบายหรือมุมมองอื่นหรือไม่?
  • ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)

แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI เช่น ChatGPT, Gemini) จะสามารถสร้างสรรค์งานต่างๆ เช่น บทความ เพลง รูปภาพ ฯลฯ ออกมาได้ แต่เราต้องไม่ลืมว่าเอไอไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์ที่แท้จริง เพราะเราต้องเทรนเอไอด้วยข้อมูลต่างๆ เสียก่อนถึงทำให้เอไอสามารถสร้างงานออกมาได้ ความคิดสร้างสรรค์ยังเป็นสิ่งจำเป็นในปัจจุบัน เราไม่สามารถหวังให้เอไอสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาจากอากาศได้

จากการสำรวจการใช้เอไอช่วยเขียนงานของนักแสดงตลกมืออาชีพโดยทีมนักวิจัย Google DeepMind พบว่า การวางโครงบทหรือร่างต้นฉบับแบบหยาบๆ ครั้งแรกเป็นสิ่งที่เอไอสามารถทำได้ดี แต่การสร้างมุกตลกที่เป็นต้นฉบับของตัวเองยังทำได้ไม่ดี พูดง่ายๆ ก็คือ มุกที่เอไอเขียนมันไม่ตลกเลย อย่างไรก็ดี นักแสดงตลกที่เข้าร่วมการสำรวจกล่าวว่า การมีร่างหยาบๆ ของเอไอก็ช่วยให้ตัวเองนำมาเขียนและแต่งต่อได้ง่ายกว่าการเริ่มตั้งแต่ศูนย์

การสำรวจในครั้งนี้ทำให้รู้ว่า เอไอไม่สามารถสร้างงานเองได้ทั้งหมด เพราะงานนั้นจะไม่มีเอกลักษณ์และขาดความคิดสร้างสรรค์ที่มากพอจนกลายเป็นงานที่มีคุณภาพ หากจะใช้เอไอช่วยสร้างสรรค์งาน เราควรนำเอไอมาใช้ในการกำหนดโครงร่างหรือปรึกษาเกี่ยวกับไอเดียต่างๆ 

ความคิดสร้างสรรค์ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในยุคของเอไอ เราสามารถใช้เอไอคิดโครงร่างให้เบื้องต้น จากนั้นจึงนำโครงร่างนั้นมาแต่งเติมและขยายต่อในฉบับของตัวเองจนออกมาเป็นผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่เอไอยังไม่สามารถทำได้

  • การสื่อสาร (Communication)

ในปัจจุบันเราคงได้ยินมาบ้างแล้วว่าบางบริษัทได้นำเอไอแชตบอตมาใช้ในการตอบคำถามและให้บริการที่พบบ่อยกับลูกค้า จากเหตุการณ์นี้อาจทำให้เราคิดไปว่าทักษะการสื่อสารคงเป็นสิ่งไม่จำเป็นแล้วเพราะเอไอก็ทำแทนเราได้ ความคิดนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรนัก ทักษะการสื่อสารยังคงมีความสำคัญทั้งในแง่ของการสื่อสารกับมนุษย์ด้วยกันเองและการสื่อสารกับเอไอ

การสื่อสารกับเอไอได้กล่าวไปแล้วในส่วนของ Prompt Engineering ที่ทำให้เห็นว่าการสั่งงานเอไอให้มีประสิทธิภาพต้องมีการเรียบเรียงคำสั่งให้เหมาะสม ไม่ใช่จะสั่งอย่างไรก็ได้ กล่าวได้ว่า Prompt Engineering ก็คือการประยุกต์ใช้ทักษะการสื่อสารกับเอไอนั่นเอง

ส่วนการสื่อสารกับมนุษย์ด้วยกันเองก็เป็นสิ่งสำคัญ เราอาจจะไปถามเอไอได้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ เราควรสื่อสารอย่างไร แต่ผู้ที่จะเป็นคนสื่อสารจริงๆ ก็คือเรา เอไอไม่ได้เข้าใจการสื่อสารของมนุษย์อย่างถ่องแท้ เพราะการสื่อสารของมนุษย์ไม่ใช้แค่การเปล่งคำพูดออกไป แต่ยังมีสิ่งอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น อวัจนภาษา บริบท สังคม วัฒนธรรม ลักษณะหรือปฏิกิริยาของคู่สนทนา ฯลฯ

Kwame Christian (2023) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ American Negotiation Institute กล่าวว่า พนักงานที่มีทักษะการสื่อสารที่ดีจะสามารถถ่ายทอดไอเดีย ทำงานร่วมกัน และเข้าใจความต้องการของเพื่อนร่วมงานและลูกค้าได้ดีขึ้น เมื่อพูดคุยในเรื่องสำคัญ ลูกค้าต้องการความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ และความสนิทสนมเฉพาะตัว ซึ่งมีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถทำได้ โดยเรามีแนวโน้มที่จะไว้วางใจและตอบสนองเชิงบวกต่อตัวแทนที่เป็นมนุษย์ เนื่องจากเราสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์และอารมณ์ของตัวเองกับอีกฝ่ายได้

นอกจากนี้ ทฤษฎีความสัมพันธ์ (Relevance Theory) ของ Sperber และ Wilson (1995) กล่าวว่า การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การพูดสารที่เราต้องการจะสื่อออกไป แต่ผู้พูดต้องพิจารณาด้วยว่าผู้ฟังมีสภาพแวดล้อมด้านการรับรู้ (Cognitive Environment) อย่างไร ซึ่งหมายถึงว่าผู้ฟังมีความรู้ ความเชื่อ ประสบการณ์ และความคิดอย่างไร สิ่งที่ผู้พูดกล่าวออกไปต้องสัมพันธ์หรือสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมด้านการรับรู้ของผู้ฟัง จึงจะทำให้ผู้ฟังเข้าใจสารของเราได้ถูกต้อง

ตัวอย่างเช่น ผู้พูดเป็นวิศวกรเอไอ ส่วนผู้ฟังเป็นคนธรรมดาที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเอไอ สมมุติว่าผู้พูดได้อธิบายผู้ฟังว่าเอไอคืออะไร โดยที่ผู้พูดไม่ได้พิจารณาเลยผู้ฟังมีความรู้ในด้านนี้หรือไม่ ต่อให้อธิบายอย่างไรผู้ฟังก็จะไม่มีทางเข้าใจ กลับกันถ้าผู้พูดพิจารณาเสียก่อนว่าผู้ฟังมีความรู้เกี่ยวกับเอไอมากน้อยแค่ไหน ก็จะทำให้ผู้พูดปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสารของตัวเองให้สอดคล้องกับความรู้ที่ผู้ฟังมี จนในที่สุดผู้ฟังก็จะเข้าใจสารที่ผู้พูดต้องการจะสื่อได้

  • จริยธรรมเอไอ (AI Ethics)

จริยธรรมเอไอเป็นสิ่งที่ประเทศไทยให้สำคัญ เห็นได้จากเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เสนอเกี่ยวกับแนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ (Thailand AI Ethics Guideline) โดยให้กระทรวงดีอีเร่งสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแนวปฏิบัติดังกล่าว

จริยธรรมเอไอในส่วนที่ประชาชนอย่างเราควรปฏิบัติได้กล่าวไปแล้วในตอนที่แล้ว ซึ่งโดยสรุปคือ เราต้องคำนึงถึงมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-centered Considerations) ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น มีความรู้เท่าทันในข้อมูลที่ใช้เทรนเอไอว่ามีที่มาอย่างไร อีกทั้งต้องปฏิบัติตามภาระรับผิดชอบ (Accountability) ในฐานะผู้ใช้และผู้พัฒนาเอไอ เช่น ผู้ใช้ต้องทำความเข้าใจฟังก์ชันของเอไอและไม่นำไปใช้ในทางที่ผิด ส่วนผู้พัฒนาต้องตรวจสอบว่าเอไอของตนได้รับการออกแบบและเทรนมาอย่างมีจริยธรรม

การเน้นย้ำถึงจริยธรรมเอไอเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะเป็นการวางแนวปฏิบัติและควบคุมการใช้งานเอไอให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดีกว่าการมาถกเถียงกันทีหลังเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีขึ้นไปแล้ว 

กล่าวง่ายๆ คือ เราจะไม่ใช้การปฏิบัติแบบวัวหายล้อมคอก เราต้องวางแนวควบคุมไว้ก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นในอนาคต

ท้ายที่สุดนี้ เราทุกคนต้องตระหนักว่าเทคโนโลยีเอไอกำลังพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลและความรู้ที่เรามีในวันนี้อาจไม่เพียงพอหรือกลายเป็นเรื่องล้าสมัยในอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตในยุคของเอไอคือการไม่หยุดที่จะเรียนรู้และเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เพื่อที่เราจะสามารถเติบโตและก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ้างอิง

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา [กสศ.]. (2567). ทิศทางพัฒนาทักษะพื้นฐานชีวิต เพื่ออนาคตที่เข้มแข็งและยั่งยืนของประเทศ.

จิตต์สุภา ฉิน. (2567). มุขตลกของ AI ที่ไม่ทำให้ใครขำ. มติชนสุดสัปดาห์, 44(2288), 21.

ชูพันธุ์ รัตนโภคา. (2559). เอกสารคำสอน วิชา ความรู้เบื้องต้นทางปัญญาประดิษฐ์. วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.

ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์. (2567). Prompt Engineering รีดศักยภาพ AI แต่ยังคงไว้ซึ่งความเป็นมนุษย์ | คำนี้ดี EP.1148 Feat. ดร.ณภัทร.

ทรงธรรม อินทจักร. (2550). แนวคิดพื้นฐานด้านวัจนปฏิบัติศาสตร์. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

ธรรณพ อารีพรรค. (2567). Generative AI สร้างเนื้อหาที่ผิดพลาดอย่างมั่นใจ. มติชนสุดสัปดาห์, 44(2288), 2.

ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์. (20 มิถุนายน 2567). พฤติกรรม ‘คน’ ที่เปลี่ยนไปในยุค AI Economy. กรุงเทพธุรกิจ, 14.

วริยา คำชนะ. (20 มิถุนายน 2567). ‘AI’ เขย่ามายด์เซ็ตผู้บริหาร. กรุงเทพธุรกิจ, 2.

สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (4 กุมภาพันธ์ 2564). ด่วนที่สุด ที่ นร 0505/ว 74. แนวปฏิบัติจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ (Thailand AI Ethics Guideline).

Bernard Marr. (2023). Six essential human skills to stay competitive in the age of AI.

David O’Hara (2024). Why People Skills Are Still Important In The Age Of AI.

Kwame Christian. (2023). The Future Of Communication In The Age Of Artificial Intelligence.

Nopnithi Khaokaew. (2023). ChatGPT และ Prompt Engineering คืออะไร? — ทักษะใหม่ที่ทุกคนควรเรียนรู้.

Tags:

การสื่อสารทักษะทางสังคมความฉลาดรู้ทางเอไอ (AI Literacy)จริยธรรมเอไอทักษะพื้นฐานด้านเทคโนโลยีPrompt EngineeringAIความคิดสร้างสรรค์(Creativity)การคิดเชิงวิพากษ์(critical thinking)

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • 21st Century skills
    AI Literacy (1): ทักษะจำเป็นในยุคที่มนุษย์ไม่อาจปฏิเสธปัญญาประดิษฐ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    ทำไมคำถามจึงสำคัญ? สร้างบทสนทนาในห้องเรียนด้วยคำถามแบบโสเครติส : อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล

  • Creative learningCharacter building
    CLOWN PANIC: เกมการเดินทางของตัวตลกที่หวังให้ผู้เล่นมีความสุข

    เรื่อง The Potential

  • Learning Theory
    เมื่อการเรียนรู้เชื่อมโยงสมองหลายส่วน คณิตศาสตร์จึงไม่ใช่สมองซีกซ้าย และสมองซีกขวาก็ไม่ใช่แค่ศิลปะอีกต่อไป

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    IN_T_AF CAFÉ & GALLERY: ปลุกเมืองเก่าริมแม่น้ำปัตตานี ด้วยร้านน้ำชาและแกลเลอรี

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Better  Days: ชีวิตใครบางคนคงไม่แตกสลาย ถ้าทุกคนหยุดการบูลลี่ก่อนที่จะมันจะกลายเป็นอาชญากรรม
Movie
5 July 2024

Better  Days: ชีวิตใครบางคนคงไม่แตกสลาย ถ้าทุกคนหยุดการบูลลี่ก่อนที่จะมันจะกลายเป็นอาชญากรรม

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Better Days เป็นภาพยนตร์ดรามาสัญชาติจีนในปี 2019 บอกเล่าเรื่องราวของเฉินเหนียน นักเรียนชั้นม.6 ที่กลายเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งรังแกจากคำพูด การทำร้ายร่างกาย และไซเบอร์บูลลี่จากเพื่อนร่วมชั้นที่ตามราวีเธอไม่เลิกไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือนอกโรงเรียน 
  • สิ่งที่บีบหัวใจผู้ชมคือแม้ครูกับตำรวจจะเห็นใจเฉินเหนียนที่ตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งรังแก แต่สุดท้ายแล้วพวกเขากลับดีแต่พูดและไม่สามารถปกป้องอะไรเธอได้ ทำให้เฉินเหนียนตัดสินใจเลือกป้องกันตัวเองในแบบของเธอ 
  • การถ่ายทอดความรู้สึกกดดัน สิ้นหวัง และหดหู่จากการกลั่นแกล้งรังแกได้อย่างสมจริงทำให้ ‘โจวตงอวี่’  ผู้รับบทเฉินเหนียนโด่งดังแบบสุดๆ จนนิตยสาร Forbes จัดอันดับให้เธอเป็นดาราหญิงจากแดนมังกรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในปีเดียวกัน

[*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาภาพยนตร์]

“คนพวกนั้นข่มเห่งฉันมาตลอด แต่ทำไมพวกเธอถึงไม่ทำอะไรเลย”

คำพูดก่อนเสียชีวิตของหูเสี่ยวตี้ เพื่อนนักเรียนชั้นม.6 ที่กระโดดตึกฆ่าตัวตายดังก้องในความคิดของ ‘เฉินเหนียน’ นางเอกนัยน์ตาเศร้าจากภาพยนตร์เรื่อง Better Days ที่มีดีกรีเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมในปี 2021 

แม้จะไม่เคยช่วยเหลือหูเสี่ยวตี้ในตอนที่ยังมีชีวิต แต่ตอนที่ร่างไร้วิญญาณนั้นนอนแน่นิ่งอยู่กลางลานกว้าง เฉินเหนียนกลับไม่ลังเลที่จะเอาเสื้อกันลมมาปิดบังใบหน้าของเพื่อนเพื่อปกป้องเธอจากการถูกนักเรียนเกือบทั้งโรงเรียนถ่ายคลิปด้วยความตื่นเต้นมากกว่าความรู้สึกสงสาร โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอกลายเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งรังแกคนถัดไป

เอาหมึกราดบนเก้าอี้  พูดจาจิกกัด ผลักตกบันได ตบลูกวอลเลย์บอลใส่ เอาเรื่องขายของเถื่อนของแม่มาประจานในแชทกลุ่ม คือตัวอย่างบางส่วนของชะตากรรมอันโหดร้ายของเฉินเหนียน

สิ่งที่ผมไม่เข้าใจเลย คือทุกครั้งที่เฉินเหนียนถูกกลั่นแกล้งไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน กลับไม่มีใครเลยสักคนที่จะยืนหยัดเคียงข้างเธอ 

ทั้งเพื่อนที่ดูเพิกเฉย นิ่งเงียบ หรือไม่ก็หลบสายตา ครูที่พยายามจบเรื่องนี้ด้วยการประนีประนอมทุกครั้งโดยให้เหตุผลว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสอบ ‘เกาเข่า’ หรือการสอบเอนทรานซ์สุดหินของจีน ดังนั้นหากลงโทษไปแล้วเกรงว่าอาจเป็นการตัดอนาคตของนักเรียนที่กระทำผิดหลายชีวิต 

“พวกเขายังเด็กนัก เราต้องให้โอกาสพวกเขาแก้ตัว พยายามอย่าคิดมากเรื่องนี้ อย่ายอมให้มันทำเธอไขว้เขว” ครูคนหนึ่งกล่าวกับเฉินเหนียน

ในฐานะที่เคยเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งรังแก ผมเข้าใจและรับรู้ความเจ็บปวดสิ้นหวังของเฉินเหนียนเป็นอย่างดี เพราะตอนเด็กๆ ผมเองมักถูกแก๊งนักเลงประจำรุ่นบูลลี่เรื่องรูปร่างหน้าตา รีดไถเงิน และทำร้ายร่างกายจนบริเวณแขนทั้งสองมีรอยช้ำเป็นประจำ ซึ่งแปลกที่เพื่อนสนิทของผมต่างเมินเฉยและไม่เคยให้ความช่วยเหลือผมเลยสักครั้ง โดยพวกเขาเพิ่งจะสารภาพกับผมเมื่อไม่นานมานี้ ว่าเป็นเพราะในเวลานั้นตัวเขาเองก็กลัวและไม่อยากโดนลูกหลงไปกับผมด้วย

ส่วนคุณครูที่ผมไปขอความช่วยเหลือก็มักรับปากจะจัดการให้ผมแบบ ‘ขอไปที’ และไม่เคยทำอะไรมากกว่าการสัญญาด้วยลมปาก แต่หากในกรณีนั้นผมถูกรุมทำร้ายถึงขั้น ‘ปากแตก เลือดกำเดาไหล’ ครูหลายคนดูจะกระตือรือร้นเข้ามามีส่วนร่วม ผ่านการดุด่าแก๊งนั้นพอเป็นพิธี ก่อนจะฟาดไม้เรียวไปคนละ 4-5 ครั้งอย่างฉุนเฉียว พร้อมกับตัดคะแนนจิตพิสัยเพื่อนนักเรียนที่ก่อเหตุ ซึ่งจนบัดนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจกฎระเบียบของโรงเรียนในเรื่องการตัดคะแนนความประพฤติ เพราะแก๊งที่ก่อเหตุนี้กระทำผิดเป็นประจำซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรื่องเดิมๆ พักการเรียนกี่ครั้งก็ไม่เคยได้สำนึก สุดท้ายทางโรงเรียนก็มามุกเดิมทุกครั้งคือเลือกที่จะประคับประคองกลุ่มอันธพาลนี้ให้เรียนจนจบชั้นม.6 ทุกคน 

ต่างกับผมที่คุณครูหลายคนทำได้เพียง ‘ปลอบใจ’ และขอให้ผม ‘ให้อภัย’ เพื่อนนักเรียนกลุ่มนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่สนใจว่าทุกครั้งที่ผมนำเรื่องนี้มาบอกครู เพื่อนนักเรียนเหล่านั้นจะยิ่งทวีความโกรธแค้นและหาทางกลั่นแกล้งผมมากขึ้น จนผมแทบจะเป็นซึมเศร้าและรู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญกับปัญหาที่มืดแปดด้านเพียงลำพัง ส่วนพ่อแม่ของผมก็ปล่อยปละละเลยกับเรื่องนี้ ทั้งยังมองว่าการกลั่นแกล้งรังแกมันมีทุกที่ “เรื่องแค่นี้ต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้ โตขึ้นมีเรื่องที่น่าปวดหัวกว่านี้อีกเยอะ”

ย้อนกลับมาที่เรื่องของเฉินเหนียน เธอไม่มีทั้งเพื่อนสนิทและไม่กล้าไปเล่าให้ครูคนไหนฟัง โดยบุคลิกแบบนี้ชวนให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เวลาที่เด็กบางคนถูกเพื่อนรังแก แล้วผู้ใหญ่ชอบถามว่า “ทำไมไม่สู้ ไม่ชกกลับ” ซึ่งคำตอบของผมก็คือ เพราะเด็กแต่ละคนต่างมีบุคลิกในแบบของตัวเอง เด็กบางคนไม่ได้อ่อนแอแต่รักสงบจึงได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวดนั้นไว้ลำพัง 

เฉินเหนียนได้รู้จักกับตำรวจนักสืบที่เข้ามาสืบสวนเรื่องการฆ่าตัวตายของหูเสี่ยวตี้ในโรงเรียน ไม่นานทางตำรวจก็เริ่มรู้แล้วว่าเฉินเหนียนเองก็ตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งรังแกเช่นกัน แต่ด้วยคำว่า ‘เยาวชน’ ทำให้การจะดำเนินคดีมีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่าคดีของผู้ใหญ่ ดังเช่นบทสนทนาของตำรวจสองคน

“มีเรื่องนึงที่ต้องบอกให้นายรู้ไว้ พวกคดีคุกคามกันในโรงเรียนเนี่ย…มันยากจัด หลักฐานไม่แน่นหนาพอนายก็ยื่นฟ้องไม่ได้ ท้ายที่สุดกระทรวงศึกษาฯมักเข้ามาแทรกแซงเสมอ

ไม่นานมานี้ มีกลุ่มนักเรียนม.ปลายรุมยำเพื่อนร่วมชั้นจนตาย ตอนที่ฉันไปสอบปากคำพวกเขา ไม่มีใครเลยที่คิดว่าคนเราสามารถยำใครคนหนึ่งถึงตายได้ 

แค่เพราะคดีพวกนี้เกิดขึ้นในสถานศึกษา ไม่ได้แปลว่าทางโรงเรียนต้องรับผิดชอบ ถ้านายพยายามคุยกับครูใหญ่ เขาก็โบ้ยไปที่พวกครู พอนายไปหาครู พวกเขาก็โบ้ยต่อไปที่ผู้ปกครอง แล้วผู้ปกครองก็จะอ้างว่าฉันทำงานที่เซินเจิ้น(พื้นที่ห่างไกลจากบ้าน) ปีๆ หนึ่งเจอลูกหนเดียว ทีนี้จะเหลือใครได้อีกล่ะ”

เมื่อปรึกษาขอความช่วยเหลือใครไม่ได้ เฉินเหนียนก็เริ่มหาวิธีปกป้องตัวเองด้วยการจ้าง ‘เสียวเป่ย’ อันธพาลข้างถนนที่เธอเคยช่วยชีวิตโดยบังเอิญให้ช่วยเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวในเวลาที่เธอเดินกลับบ้าน หลังเคยโดนกลุ่มเพื่อนนักเรียนตามมาดักรอหน้าบ้านพร้อมอาวุธจากการที่เฉินเหนียนให้การซัดทอดกับตำรวจถึงสาเหตุการคิดสั้นของหูเสี่ยวตี้ว่าถูกเพื่อนกลุ่มดังกล่าวกลั่นแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แน่นอนว่าพอมีเสียวเป่ยออกหน้าคุ้มกัน เฉินเหนียนก็เริ่มใช้ชีวิตอย่างปกติสุขมากขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งที่เสียวเป่ยติดธุระ กลุ่มเพื่อนนักเรียนจึงอาศัยโอกาสในการตบตี กล้อนผม และฉีกเสื้อผ้าของเฉินเหนียนจนขาดวิ่น พร้อมกับถ่ายคลิปเก็บไว้ ทำให้จิตใจของเฉินเหนียนแทบแหลกสลาย เพราะสิ่งเดียวที่ทำได้คือการร้องไห้ออกมาดังๆ ให้กับความอยุติธรรมที่ใครก็ไม่อาจช่วยเธอได้ 

ในตอนท้ายเรื่อง ผมรู้สึกบีบหัวใจที่สุดกับฉากสะเทือนอารมณ์ที่เฉินเหนียนเผลอทำเพื่อนนักเรียนที่ทำร้ายเธอคนหนึ่งเสียชีวิต ส่งผลให้ตำรวจที่รู้จักเธอผิดหวังและต่อว่าเธอ ว่าหากเฉินเหนียนหัดเชื่อใจผู้ใหญ่บ้าง ปัญหาทุกอย่างคงได้รับการช่วยเหลือและไม่บานปลายมาขนาดนี้

“เป็นความผิดหนูรึไงที่หนูโดนข่มเหง…ใครหน้าไหนล่ะที่ช่วย ไอ้พวกที่ถ่ายคลิปหนูเหรอ รึไอ้พวกที่ยืนดู รึว่าพวกที่โทษหนูที่ดันตกเป็นเป้า ไม่เห็นมีใครช่วยได้เลย…

การแก้แค้นอาจดูเหมือนเรื่องปกติ แต่สำหรับเราที่ต้องทนมันมาตลอด เพียงเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงเกาเข่า(เอนทรานซ์) สมควรถูกตราหน้าว่าผิดเหรอ นี่เหรอสิ่งที่โลกนี้ควรเป็น คุณคิดว่ามันเข้าท่าไหม” เฉินเหนียนบอกกับตำรวจ

หลังจากรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมยังคงคิดวกวนกับเรื่องราวของเฉินเหนียน เพราะไม่ว่าจะยุคไหน พวกผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้ปกครองกับคุณครูมักเลือกเมินเฉยและมองว่าการกลั่นแกล้งรังแกเป็นเรื่องธรรมดาที่นักเรียนทุกที่ต้องเผชิญ พวกเขามักให้ความสำคัญกับเรื่องวิชาการและการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากกว่าจะสนใจปัญหาสุขภาพกายสุขภาพจิตของเด็ก รวมถึงเพื่อนหรือ Bystander หลายคนที่แม้จะไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุแต่ก็มักจะนิ่งเฉยเพราะกลัวจะมีปัญหา ส่งผลให้คนที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกค่อยๆ จมลงไปใต้มหาสมุทรแห่งความเศร้า เพราะหมดที่พึ่งที่ปรึกษาไม่สามารถระบายปัญหากับใครได้ หรือต่อให้บอกแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น 

ยิ่งกว่านั้นผู้ใหญ่ส่วนมากก็มักแสดงอาการ ‘ปากว่าตาขยิบ’ และมักยึดหลักการประนีประนอมเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้จบๆ ไป พวกเขามักมองว่านักเรียนที่ก่อเหตุเป็นเพียงแค่ ‘เยาวชน’ ที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นการจะตัดอนาคตด้วยการฟ้องร้องหรือการไล่ออกจากโรงเรียนจะพาลทำให้เด็กคนนั้นหมดอนาคต ซึ่งมองมุมหนึ่งก็เข้าใจได้ แต่อีกมุมผู้ใหญ่เหล่านั้นกลับไม่คิดสักนิดว่าเยาวชนบางคนก็ไม่สามารถกลับตัวกลับใจได้จริงๆ 

แม้ผมอยากเสนอหรือปรารถนาให้มีระบบการร้องเรียนในโรงเรียน มีกฎหมายลงโทษเยาวชนที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการมีนักจิตบำบัดประจำในทุกโรงเรียน แต่ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการเข็นครกขึ้นหิมาลัย จึงได้แต่หวังว่าเรื่องราวของเฉินเหนียนจะเป็นอุทาหรณ์ที่จะช่วยให้พ่อแม่และคุณครูยุคใหม่ รวมถึงภาคสังคมตื่นตัวและร่วมด้วยช่วยกันต่อต้านปัญหาการกลั่นแกล้งรังแกทุกรูปแบบโดยไม่มองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ใครๆ ก็ต้องเจอ

Tags:

ภาพยนตร์สังคมBetter Daysสุขภาพจิตโรงเรียน

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • How to enjoy life
    เมื่อคำว่า ‘แพ้’ รุนแรงต่อชีวิต ความพ่ายแพ้จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก และผู้แพ้ไม่ควรถูกละเลย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social IssuesMovie
    อานนเป็นนักเรียนตัวอย่าง: อนาคตสีจางๆ ของเด็กไทย ในรั้วโรงเรียนที่ล้อมด้วยอำนาจและผลประโยชน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ PHAR

  • Movie
    All The Bright Places: พ่อไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์ของการใช้กำลังวันนั้นมันแย่แค่ไหน 

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    บ้านฉัน..ตลกไว้ก่อน(พ่อสอนไว้): คงจะดีกว่านี้ถ้าพ่อพูดอะไรที่คำนึงถึงความรู้สึกเราบ้าง

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ความสุขของชีวิต ไม่ได้ผูกติดแค่ความรัก (เชิงชู้สาว)
Book
3 July 2024

ความสุขของชีวิต ไม่ได้ผูกติดแค่ความรัก (เชิงชู้สาว)

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘เราทั้งคู่ผู้ไม่อาจมีรัก’ เป็นนิยายโดย โยชิดะ เอริกะ แปลเป็นไทยโดย ปาวัน การสมใจ เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มและหญิงสาว ที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันเป็นครอบครัว ท่ามกลางเสียงทักท้วงและคัดค้านจากคนรอบข้างที่มองว่า สิ่งที่เขาและเธอกำลังสร้าง ไม่ใช่ครอบครัวปกติ
  • โคดามะ ซาคุโกะ และ ทาคาฮาชิ โซตารุ คู่แต่งงาน นิยามตัวเองว่าเป็น Asexual และ Aromantic หรือ คนที่ไม่มีความรู้สึกรักในเชิงโรแมนติก หรือ รู้สึกว่าถูกดึงดูดทางใจจากคนอื่น
  • การที่เราแตกต่างจากคนอื่น ไม่ได้แปลว่า เราเป็นคนผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้น ใครเป็นคนกำหนดว่า เพศวิถี หรือกระทั่งรสนิยมทางด้านอื่นๆ รวมถึงทัศนคติ และการใช้ชีวิต ที่คนส่วนใหญ่เลือกตรงกัน คือ ความปกติ

เดือนมิถุนายนที่เพิ่งผ่านพ้นไป ถูกยกให้เป็น Pride Month หรือเดือนแห่งความภาคภูมิใจของกลุ่มความหลากหลายทางเพศ โดยมีธงสีรุ้ง เป็นตัวแทนของความหลากหลายทางเพศ ที่มาพร้อมกับคำศัพท์ใหม่ๆ ที่หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคย เช่น เพศสภาพ เพศวิถี และอัตลักษณ์ทางเพศ

ในบรรดาคำศัพท์ที่หลากหลายเหล่านี้ มีคำหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับหนังสือที่ผมเพิ่งอ่านจบไป นั่นคือคำว่า Asexual ซึ่งหมายถึง คนที่ไม่ฝักใฝ่ทางเพศ หรือ ไม่มีความรู้สึกว่าถูกดึงดูดทางเพศจากคนอื่น ซึ่งในกลุ่มนี้ อาจแตกย่อยไปเป็น Aromantic หรือ คนที่ไม่มีความรู้สึกรักในเชิงโรแมนติก หรือ รู้สึกว่าถูกดึงดูดทางใจจากคนอื่น

หนังสือที่ผมพูดถึง คือ นิยายชื่อ ‘เราทั้งคู่ผู้ไม่อาจมีรัก’ เขียนโดย โยชิดะ เอริกะ และแปลเป็นไทยโดย ปาวัน การสมใจ ซึ่งเป็นเรื่องราวของชายหนุ่มและหญิงสาว ที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันเป็นครอบครัว ท่ามกลางเสียงทักท้วงและคัดค้านจากคนรอบข้างที่มองว่า สิ่งที่เขาและเธอกำลังสร้าง ไม่ใช่ครอบครัวปกติ

จะเรียกว่า ‘ครอบครัว’ ได้อย่างไร ถ้าคนสองคนไม่มีความรู้สึกรักกัน และไม่มีความต้องการทางเพศต่อกัน

ใช่แล้วครับ ตัวเอกในนิยายเล่มนี้ คือ หญิงสาวที่ชื่อ โคดามะ ซาคุโกะ และชายหนุ่มนาม ทาคาฮาชิ โซตารุ ต่างเป็นคนที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม Asexual และ Aromantic 

คำศัพท์ที่ชวนให้งุนงงเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ที่สังคมของหลายๆ ประเทศ เริ่มยอมรับความหลากหลายทางเพศ ที่ไม่ได้มีแค่หญิงและชาย ดังเช่นในสมัยก่อนอีกแล้ว

ก่อนที่เราจะเข้าใจกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศเหล่านี้ ผมอยากให้เริ่มต้นจากคำศัพท์พื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศกันก่อนครับ

คำศัพท์ที่ใช้จำแนกเพศในสมัยก่อน ที่มีอยู่แค่ 2 เพศ เราเรียกว่า เพศสรีระ (Sex) คือ เพศกำเนิดตามโครงสร้างทางสรีระ หรือทางชีวภาพ ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งเป็นเพศชายและหญิง แต่ก็มีบางคนที่เกิดมาพร้อมโครงสร้างทางเพศที่พิเศษ จนไม่สามารถกำหนดได้ว่าเป็นเพศชายหรือหญิง

คำศัพท์ต่อไป ก็คือ เพศสภาพ (Gender) หรือสถานะทางเพศที่ถูกกำหนดโดยสังคม ซึ่งในปัจจุบัน หลายๆ สังคม ยอมรับสถานะทางเพศที่มีมากกว่าแค่เพศหญิงและเพศชาย หากยังรวมไปถึงอัตลักษณ์ทางเพศแบบอื่นๆ ด้วย

อัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) คือ การรับรู้ว่าตนเองเป็นเพศอะไร และต้องการถูกเรียกว่าเพศอะไร ซึ่งอาจจะเป็นหญิง ชาย หรืออย่างอื่น โดยที่อัตลักษณ์ทางเพศของเรา ไม่จำเป็นต้องตรงกับเพศสรีระ หรือเพศกำเนิดของเราก็ได้

เพศวิถี (Sexual Orientation) คือ รสนิยมทางเพศ ซึ่งมีตั้งแต่สนใจเพศตรงข้าม เพศเดียวกัน เพศใดก็ได้ หรือแม้แต่ไม่สนใจเรื่องทางเพศเลยก็ได้

นอกจากนี้ ยังมีคำศัพท์ที่ใช้เรียกกลุ่มความหลากหลายทางเพศ ซึ่งมักจะใช้คำเรียกรวมๆว่า LGBTQ+ หรือบางครั้งก็เรียกว่า LGBTQIA โดยที่ตัวอักษรแต่ละตัว คือ คำย่อของกลุ่มทางเพศที่หลากหลาย เช่น

L มาจาก Lesbian หรือ หญิงรักหญิง

G มาจาก Gay หรือ ชายรักชาย

B มาจาก Bisexual หรือ คนที่รักได้ทั้งชายและหญิง

T มาจาก Transgender ซึ่งหมายถึง ผู้หญิงหรือผู้ชายที่แปลงเพศ

Q มาจาก Queer หรือ คนที่ไม่ปิดกั้นทางเพศ หรือ ไม่ต้องการถูกกำหนดว่าตัวเองเป็นเพศใด

I มาจาก Intersex คือ คนที่มีเพศกำกวม ซึ่งเกิดมาพร้อมโครงสร้างระบบสืบพันธุ์ โครโมโซม หรืออวัยวะเพศที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเพศใดเพศหนึ่ง

A มาจาก Asexual หรือ คนที่ไม่ฝักใฝ่ทางเพศ

จะเห็นว่า คำเรียกกลุ่ม LGBTQ+ หรือ LGBTQIA จะมุ่งไปที่เพศวิถี หรือรสนิยมทางเพศของคนๆ นั้น ซึ่งนับวัน รสนิยมทางเพศของคน ดูจะยิ่งลื่นไหลและมีความหลากหลายมากขึ้น จนก่อให้เกิดคำศัพท์อีกหลายๆ คำ ที่ผมขอไม่พูดถึงในบทความชิ้นนี้

กลับมาที่นิยายเรื่อง ‘เราทั้งคู่ผู้ไม่อาจมีรัก’ ดีกว่าครับ หนังสือเล่มนี้ ผู้แต่งเลือกใช้วิธีการดำเนินเรื่องแบบเรียบง่าย เป็นเส้นตรง และเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน จนเหมือนกับว่า เรากำลังดูซีรีส์โรแมนติก-คอเมดี้ของญี่ปุ่น เพียงแต่ว่า ความโรแมนติกในเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง หากจะมีก็เป็นได้แค่การจิ้นของคนอ่านเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าโทนเรื่องจะดูเบาๆ สบายๆ แต่ประเด็นที่เป็นหัวใจ หรือแกนหลักของเรื่อง กลับเป็นเรื่องที่ชวนให้คนอ่านขบคิดอย่างยิ่ง นั่นก็คือ เรื่องของเพศวิถี รวมถึงรสนิยม และทัศนคติในการใช้ชีวิต ที่ผิดแผกจากความเป็น ‘ปกติ’ ที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ

โคดามะ ซาคุโกะ เป็นหญิงสาวที่เติบโตมาในครอบครัวปกติ (ขออนุญาตใช้คำนี้ เพื่อให้เข้าใจตัวละครมากขึ้น) ด้วยความที่น้องสาวได้ออกเรือนแต่งงานไปแล้ว ทำให้ซาคุโกะ ยิ่งต้องแบกรับความคาดหวัง หรือความกดดันจากพ่อแม่ ที่วาดฝันจะเห็นเธอแต่งงานมีครอบครัวแบบน้องสาวและคนอื่นๆ

ท่ามกลางความกดดันที่มากขึ้น ซาคุโกะ ก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นว่า ตัวเธอเอง ‘ผิดปกติ’ จากคนอื่นหรือเปล่า

ซาคุโกะ ไม่เคยมีความรู้สึกรักแบบโรแมนติกกับใครเลย เธอเคยมีคนรัก แต่ก็เป็นการตอบตกลงเป็นแฟนโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า การเป็นคนรัก คืออะไร และต้องทำอย่างไร ยิ่งเมื่อการเป็นคู่รัก พัฒนาไปจนถึงขั้นมีอะไรกัน ซาคุโกะ ก็ยิ่งสับสนในตัวเองมากขึ้น เพราะเธอไม่รู้สึกดี หรือมีความสุขกับกิจกรรมทางเพศเลย

สุดท้าย ซาคุโกะ ก็ต้องเลิกราจากชายคนรัก แต่ด้วยความที่เธอเป็นคนนิสัยดี เป็นมิตร และเข้ากับคนได้ง่าย อดีตคนรักของเธอ จึงยังเป็นหนึ่งในชายหนุ่มหลายคน ที่วนเวียนเข้ามาอยู่บนเส้นทางชีวิตของเธออยู่บ่อยๆ ซึ่งซาคุโกะ ไม่กล้าจะบอกกับชายหนุ่มเหล่านั้นไปตรงๆ ว่า เธอไม่ได้ต้องการความรักจากใครเลย ทำได้แค่เพียงยิ้ม และชวนเปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อให้หลุดพ้นหัวข้อการสนทนาที่วนเวียนอยู่แต่เรื่องความรักหนุ่มสาว

และแล้ว ซาคุโกะ ได้มาพบกับ ทาคาฮาชิ โซตารุ ชายหนุ่มผู้ยอมรับและมั่นใจในเพศวิถีของตัวเองอย่างชัดเจน โซตารุ เป็นผู้เขียนบล็อกเกี่ยวกับชีวิตของคนที่เป็น ‘เอโรเอซ’ ซึ่งหมายถึงเป็นทั้ง Aromantic และ Asexual จึงเรียกสั้นๆ ว่า Aro-As หรือ เอโรเอซ ผู้คนที่ไม่รู้สึกถึงแรงดึงดูด ทั้งทางเพศและทางใจจากผู้อื่น

พูดง่ายๆ เขาคือคนที่ไม่ต้องการทั้งความรักและความปรารถนานั่นเอง

อ่านถึงตรงนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่าในโลกนี้ มันมีคนแบบนี้อยู่จริงหรือ ส่วนตัวผมเอง ก็มีคำถามเช่นนั้น จนกระทั่งอ่านหนังสือเล่มนี้ รวมทั้งได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม และนึกทบทวนความทรงจำถึงผู้คนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต สุดท้าย ผมก็เชื่อว่า เพศวิถีแบบนี้มีอยู่จริง

แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Aromantic และ Asexual ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีความรู้สึกถึงแรงดึงดูดทางเพศและทางใจเลย แต่หมายถึงคนที่มีรู้สึกถึงแรงดึงดูดดังกล่าว ในระดับที่น้อย ไปจนถึงไม่มีเลย

โซตารุ เป็นเอโรเอซ ในระดับที่ไม่มีเลย ทั้งความรู้สึกถึงแรงดึงดูดทางเพศและทางใจ ถึงขั้นที่เกือบๆ จะรังเกียจการถูกสัมผัสเนื้อตัว แต่ถึงอย่างนั้น โซตารุ ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิดปกติ เขาเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า เพศวิถีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะแปลกสักแค่ไหน ล้วนแต่เป็นเรื่องปกติ

ใช่ครับ การที่เราแตกต่างจากคนอื่น ไม่ได้แปลว่า เราเป็นคนผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้น ใครเป็นคนกำหนดว่า เพศวิถี หรือกระทั่งรสนิยมทางด้านอื่นๆ รวมถึงทัศนคติ และการใช้ชีวิต ที่คนส่วนใหญ่เลือกตรงกัน คือ ความปกติ

โซตารุและซาคุโกะ ได้มารู้จักกัน และยิ่งถูกดึงดูดเข้าหากัน เมื่อรู้ว่า ต่างฝ่ายต่างเป็น เอโรเอซ ทั้งคู่ตัดสินใจมาสร้างครอบครัวด้วยกัน ซึ่งอีกเหตุผลหนึ่ง ก็เพื่อคลายความกังวลในฝั่งพ่อแม่ของซาคุโกะ ที่ต้องการเห็นลูกสาว มีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝา เหมือนที่คนปกติพึงจะมี

กระทั่งได้รู้ความจริงว่า ลูกสาวตัวเองและชายหนุ่มผู้เงียบขรึม ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ได้รักกัน แม่ของซาคุโกะโกรธและประกาศว่า ยอมรับความคิดผิดปกติแบบนี้ไม่ได้ จนทำให้โซตารุ ที่พยายามนิ่งเงียบอยู่ตลอด ถึงกับโพล่งขึ้นมาว่า

“ทำไมเวลาแบบนี้ ถึงไม่จบลงด้วยการคิดว่า “ก็มีคนแบบนี้อยู่” หรือ “เรื่องแบบนี้ก็มีเหมือนกัน” ล่ะครับ… ต่อให้ไม่เข้าใจเหตุผล ก็ไม่ต้องกังวลครับ พวกเราจะสร้างครอบครัวที่มีความสุขนั่นเอง”

คนสองคน จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข โดยที่ปราศจากความรักได้หรือไม่

หากจะต้องนิยามความสัมพันธ์ของซาคุโกะและโซตารุ ผมจะนึกถึงศัพท์คำหนึ่ง ที่มักจะมาคู่กับความสัมพันธ์ของคนที่อยู่ในกลุ่ม Aromantic และ Asexual นั่นคือคำว่า Platomic Love หรือ ความรักบริสุทธิ์ ตามคำนิยามของ Plato นักปรัชญาชาวกรีก

ความรักแบบพลาโตนิค ที่ไม่มีเรื่องทางเพศเข้ามาปะปน ทำให้คนสองคน ไม่ว่าจะชาย-หญิง ชาย-ชาย หรือ หญิง-หญิง สามารถรักกัน หรือกระทั่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันฉันท์เพื่อนตาย โดยไม่มีความรู้สึกทางเพศ ความหึงหวง หรือความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเข้ามาเกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ดี เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ผู้แต่งนิยายเรื่องนี้ จึงตัดคำว่า ‘รัก’ ออกไปจากสมการความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง โดยบอกเล่าเรื่องราวเพียงว่า ซาคุโกะและซาโตรุ สร้างครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข โดยที่ไม่มีความรัก (เชิงชู้สาว) ต่อกัน แต่เป็นการอยู่ด้วยกันในลักษณะที่ต่างฝ่ายต่างเป็นเซฟโซนให้แก่กัน

หากใครสงสัยว่า ความสัมพันธ์แบบอยู่ด้วยกัน โดยที่ไม่ได้รักกัน จะคงอยู่ไปได้ยาวนานแค่ไหน ก็ขอแนะนำให้หาหนังสือเล่มนี้มาอ่านดูนะครับ ผมคงไม่สปอยล์เล่าเนื้อเรื่องทั้งหมด

แต่สิ่งที่สำคัญกว่าตอนจบของเรื่องว่าจะแฮปปี้เอนดิ้งหรือไม่ อาจแทรกอยู่ในบทสนทนาของตัวละคร ที่สะกิดเตือนใจเราว่า

ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับความเป็นปัจเจกที่ไม่ซ้ำใคร ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แต่ละคน จะมีความคิด รสนิยม รวมไปถึงเพศวิถี แตกต่างจากคนอื่น ซึ่งความแตกต่างนั้น ไม่ได้แปลว่า เป็นความผิดปกติ

และไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามคนอื่น จนกระทั่งบิดเบือนสิ่งที่เราเป็น เพียงเพื่อให้เป็น ‘คนปกติ’ เหมือนกับคนอื่นๆ

Tags:

เพศLGBTQ+นิยายสังคมPrideเราทั้งคู่ผู้ไม่อาจมีรักGender

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    โอบกอดลูกในวันที่เขาขอเลือก ‘เพศ’ เอง : คุยกับคุณแม่เจ้าของเพจ LGBTQ+’s Mother ‘อังสุมาลิน อากาศน่วม’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Voice of New Gen
    Gay Ok Bangkok ถึงนิทานพันดาว ส่วนผสมในการสร้างซีรีส์วายของ ‘ออฟ – นพณัช ชัยวิมล’

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Dear Parents
    “จะยังรักเหมือนเดิมไหมหากฉันไม่ใช่ลูกสาวอย่างที่ท่านคิด” ขอพื้นที่ส่วนตัวค้นหา(เพศ)ตัวเอง

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

‘4 เรื่องต้องลงทุน’ กับ ‘7 นโยบาย’ สร้างสมรรถนะคนไทยให้เรียนรู้อย่างไร้รอยต่อ: ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
Social Issue
3 July 2024

‘4 เรื่องต้องลงทุน’ กับ ‘7 นโยบาย’ สร้างสมรรถนะคนไทยให้เรียนรู้อย่างไร้รอยต่อ: ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • คุณภาพการศึกษาของไทยตกต่ำมาตลอด 20 ปี ดังจะเห็นได้จากตัวชี้วัดต่างๆ เช่น ผลการทดสอบ PISA ซึ่งสะท้อนให้เห็นความจริงว่า ‘ระบบการศึกษาไทยกำลังล้มเหลว’
  • ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เสนอว่าประเทศไทยต้องเร่ง ‘ลงทุน 4 เรื่อง’ เพื่อให้เด็กไทยมีสมรรถนะและเรียนรู้อย่างไร้รอยต่อ ได้แก่ ลงทุนในเด็กแรกเกิด ลงทุนในเด็กปฐมวัย ลงทุนรักษาเด็กให้อยู่ในระบบการศึกษา และลงทุนเรื่องการสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
  • “ถ้าเด็กตกหล่นออกจากระบบจะเกิดปัญหาสังคม และเด็กคนนั้นจะขาดทักษะพื้นฐาน ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

“เราจำเป็นต้องลงทุนกับการศึกษา… ตั้งแต่เด็กแรกเกิด ปฐมวัย ไปจนถึงการรักษาอย่าให้เด็กตกหล่นออกนอกระบบ และแน่นอนต้องยกระดับคุณภาพของการศึกษาพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นหัวใจที่ทำให้เด็กมีทักษะ มีความพร้อมในการเรียนรู้ต่อไป”

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในเวที TEP Forum 2024 ถึงความสำคัญของการออกแบบนโยบายเพื่อสร้างสมรรถนะของคนไทยให้เรียนรู้อย่างไร้รอยต่อ โดยชี้ว่าคุณภาพการศึกษาของไทยตกต่ำมาตลอด 20 ปี ดังจะเห็นได้จากตัวชี้วัดต่างๆ เช่น ผลการทดสอบ PISA ซึ่งสะท้อนให้เห็นความจริงว่า ‘ระบบการศึกษาไทยกำลังล้มเหลว’

ผลการทดสอบยังพบว่าคะแนนด้าน ‘การอ่าน’ ของเด็กไทยตกต่ำที่สุด ทั้งที่เป็นความสามารถพื้นฐานในการทำความเข้าใจ เป็นกระบวนการเรียนรู้การคิด และทำให้เรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนขึ้นไปได้  ส่วนสาเหตุที่เด็กไทยสอบคะแนน PISA ได้ไม่ดี เพราะว่าการเรียนรู้ในเมืองไทยเน้นการท่องจำ การจดจำข้อเท็จจริง ขณะที่การเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะหรือสมรรถนะอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเจอโจทย์คณิตศาสตร์ที่ต้องประยุกต์ใช้ความรู้ เด็กไทยส่วนใหญ่จึงทำข้อสอบลักษณะนี้ไม่ได้ นั่นแปลว่าเราขาดความรู้ที่ใช้ได้จริง

“ขณะเดียวกันความก้าวหน้าของเทคโนโลยีกำลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเทคโนโลยี AI ที่กำลังเป็นตัวเปลี่ยนเกม คนอาจจะตกงานเยอะขึ้นหากไม่มีทักษะที่ดีเพียงพอ และไม่ใช่แค่คนเท่านั้น เพราะแม้กระทั่งสิงโตฮอลลีวู้ดที่ชื่อว่า Luke อาจจะเป็นสิงโตตัวสุดท้ายที่ถูกถ่ายวิดีโอเพื่อผลิตภาพยนตร์หรือสารคดี เนื่องจากตอนนี้เราเขียน Prompt เข้าไปใน Chat GPT แค่ 1 บรรทัด ก็สามารถสร้างวิดีโอได้แล้ว ล่าสุดยังพบข่าวน่าตื่นเต้นว่า เทคโนโลยีกำลังทำให้เราเข้าใจภาษาสัตว์มากขึ้นทุกที มีทีมวิจัยใช้ AI วิเคราะห์เสียงช้างแอฟริกาเวลาคุยกัน และพบว่าพวกมันเรียกชื่อกันด้วย”

‘4 เรื่องต้องลงทุน’ สร้างสมรรถนะคนไทย  

ความก้าวล้ำของเทคโนโลยีที่กำลังขับเคลื่อนโลกให้เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดบ่งชี้ว่า หากคนไทยไม่มีทักษะพื้นฐานที่เข้มแข็ง คงยากที่จะอยู่รอดได้ในโลกใหม่ที่โกลาหลเช่นนี้ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ เสนอว่าประเทศไทยต้องเร่ง ‘ลงทุน 4 เรื่อง’ เพื่อให้เด็กไทยมีสมรรถนะและเรียนรู้อย่างไร้รอยต่อ

ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า การลงทุนเรื่องแรกคือ ต้องลงทุนในเด็กแรกเกิด ตอนนี้มีเฉพาะเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 600 บาทต่อเดือน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก ผลการศึกษา TDRI ที่ทำให้กับยูนิเซฟพบว่า เมื่อแจกเงินให้กับคุณแม่ที่มีลูกในช่วงแรกเกิด สิ่งที่เกิดขึ้นคือเด็กได้รับโภชนาการดีขึ้น ซึ่งแปลว่าต่อไปเด็กมีโอกาสมีสมองที่ดี มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมากขึ้น เด็กมีโอกาสพบแพทย์และได้รับวัคซีนบ่อยขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาพดี ดังนั้นเงิน 600 บาท เปลี่ยนอะไรได้เยอะเลย แต่ถ้ามีการลงทุนเข้าไปช่วยเหลือเด็กแรกเกิด ผมว่าเด็กไทยจะมีพื้นฐานที่ดีมากๆ 

“ลงทุนในเด็กแรกเกิดแล้ว เรื่องที่สองคือ ต้องลงทุนในเด็กปฐมวัยด้วย เพื่อให้ไร้รอยต่อ โดยลงทุนกับเด็กตั้งแต่อายุ 2 ขวบ จนถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผลการศึกษาที่พบ และ Jame Heckman ก็ยืนยันเช่นเดียวกันว่า การลงทุนในเด็กปฐมวัยมีผลตอบแทนมากมายมหาศาล เราควรทำให้เด็กไทยมีความพร้อมตั้งแต่ปฐมวัย เพราะเมื่อเข้าเรียนเขาจะได้เรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ 

สำหรับการลงทุนเรื่องที่สามคือ การลงทุนรักษาเด็กให้อยู่ในระบบการศึกษา เพราะถ้าเด็กตกหล่นออกจากระบบจะเกิดปัญหาสังคม และเด็กคนนั้นจะขาดทักษะพื้นฐาน ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

ปัจจุบันมีเด็กที่ตกหล่นออกจากระบบการศึกษาราว 1.2 ล้านคน แต่หากมีการลงทุนพาเด็กกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาโดยที่ระบบการศึกษายังมีคุณภาพไม่ดีพอ นั่นก็อาจทำให้การลงทุนกลายเป็นเรื่องสูญเปล่า ดังนั้นการลงทุนในเรื่องที่สี่จึงเป็นเรื่องการสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21

“เราต้องลงทุนสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ให้เกิดขึ้นให้ได้ ต้องเน้นการสร้าง ASK โดย A คือ  Attitude หรือ ทัศนคติ อุปนิสัย ซึ่งในที่นี้ได้รวม V คือ Value หรือคุณค่าไว้ด้วยแล้ว เพราะเป็นองค์ประกอบของมนุษย์ที่อยู่ได้ในศตวรรษนี้ ส่วน S คือ Skill หรือ ทักษะ โดยศตวรรษนี้ต้องการคนที่ใฝ่หาความรู้ อดทน รับผิดชอบ เราต้องการคนที่มีทักษะในเชิงวิพากษ์ สื่อสารและทำงานเป็นทีมได้ สุดท้าย K คือ Knowledge หรือ ความรู้ 

ปัจจุบันนอกจากเด็กไทยต้องมีความรู้พื้นฐาน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์แล้ว อาจจะต้องมีทักษะศตวรรษที่ 21 เพิ่มเข้าไปอีก เพราะว่าโลกซับซ้อนขึ้น ทำให้ต้องมีทัศนคติที่จำเป็นต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องเป็นคนเปิดกว้าง กล้าทดลอง มีจิตใจแห่งการเติบโต มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถมองภาพใหญ่ วาดภาพสถานการณ์ เข้าใจความเป็นไปในโลก มีทฤษฎีแห่งความรู้ และมีทักษะรู้ใช้ประโยชน์และเสพเอไอได้ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คิดว่ามีความจำเป็นต้องลงทุน” 

ทั้งนี้ ดร.สมเกียรติ ยังเล่าถึงกรณีตัวอย่างการลงทุนด้านการศึกษาในต่างประเทศ โดย Copenhagen Consensus Center ของประเทศเดนมาร์ก ได้ศึกษาวิธีการลงทุนด้านการศึกษาของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในประเทศต่างๆ อย่างน้อย 150 วิธี เพื่อดูว่าการลงทุนในเรื่องใดให้ผลตอบแทนที่ดี 

“ผมขอยกตัวอย่างการลงทุนด้านการศึกษาเรื่องหนึ่งซึ่งได้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ คือ การทำอย่างไรให้เด็กได้เรียนรู้ตรงกับทักษะที่ตัวเองมีอยู่ เนื่องจากปัจจุบันเด็กส่วนใหญ่เรียนไม่ทัน ทั้งนี้มีภาพที่เป็นผลสำรวจจากประเทศอินเดียแสดงให้เห็นว่า เด็กในชั้นเรียน ป.6 จำนวน 300 คน มีเด็กเพียง 2 คน ที่มีทักษะของเด็ก ป.6 ที่ควรจะมีจริงๆ ขณะที่เด็กที่เหลือมีทักษะเท่ากับเด็ก ป.4 ดังนั้นโจทย์คือเด็กจะเรียนร่วมกันได้อย่างไร ซึ่งถ้าเป็นการเรียนแบบปัจจุบัน ต้องนำค่าเฉลี่ยเป็นเกณฑ์ แปลว่าในชั้นเรียน ป.6 ครูต้องสอนความรู้ในระดับ ป.3 หรือ ป.4 เพื่อให้เด็กส่วนใหญ่เรียนรู้ได้ ปัญหาที่จะเกิดคือเด็กที่มีทักษะ ป.5-6 จะเบื่ออย่างยิ่ง และหากในห้องเรียนมีเด็กที่มีทักษะอยู่ในระดับ ป.1-2 ร่วมอยู่ด้วย เด็กก็เรียนไม่ทันอยู่ดี สุดท้ายกลายเป็นปัญหาเด็กออกนอกระบบการศึกษา และเป็นปัญหาของสังคมต่อไป

ด้วยเหตุนี้การศึกษาของ Copenhagen Consensus Center จึงพุ่งเป้าว่า การสอนความรู้หรือทักษะใหม่ ต้องเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับทักษะที่เด็กมี ไม่สามารถข้ามขั้นได้ ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่งปัจจุบันก็มีข้อเสนอหลายแนวทางที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ทัน 

ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า วิธีแรก คือ การสอนเพิ่มหลังเลิกเรียน ช่วยเด็กที่เรียนได้ช้าให้ตามทันเพื่อนได้ วิธีนี้น่าสนใจ แต่ว่าครูและเด็กต้องพร้อมลงทุนลงแรง วิธีที่สอง คือ เรียนในกลุ่มระดับการเรียนใกล้กัน ด้วยการแบ่งชั้นตามแต่ละวิชา อย่าไปกำหนดตายตัว เช่น ให้มีการเดินเรียน ให้เด็กแต่ละกลุ่มได้เรียนในระดับชั้นที่เหมาะสมกับตัวเอง วิธีแบบนี้มีข้อดีและความท้าทายอยู่ วิธีที่สาม คือ นำเอไอมาช่วยสอนเด็ก เพราะหลังจากที่เด็กทำข้อสอบแล้ว AI จะรู้ว่าเด็กมีความรู้ระดับไหน จากนั้นนำ AI มาช่วยไกด์เด็ก เพื่อให้เด็กเรียนทัน โดยไม่ได้ทิ้งการเรียนการสอนด้วยครู เพียงแต่เอา AI เป็นตัวเสริม 

“ผลการศึกษาที่น่าสนใจคือ การลงทุนช่วยเหลือเด็กตามแนวทางที่กล่าวมานี้ ช่วยให้เกิดผลตอบแทนที่ทำให้เด็กเรียนทันกันสูงอย่างยิ่ง คือ ถ้าใช้ AI หรือ ลงทุนเทคโนโลยีไป 1 บาท จะได้ผลตอบแทนมาถึง 70 บาท ในขณะที่ถ้าไม่ใช้เทคโนโลยี แต่เลือกใช้วิธีอื่น เช่น การเดินเรียน หรือวิธีติว จะได้ผลตอบแทนกลับมา 40-50 เท่า สิ่งนี้คือตัวอย่างที่คิดว่าอาจจะนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยได้” 

‘7 นโยบาย’ สร้างสมรรถนะคนไทยให้เรียนรู้ไร้รอยต่อ 

ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า จากปัญหาระบบการศึกษาไทยที่ผ่านมา ได้มีการสังเคราะห์ถึงนโยบายที่จะช่วยในการลงทุนการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสร้างสมรรถนะของคนไทยให้เรียนรู้แบบไร้รอยต่อได้ 7 นโยบายด้วยกัน นโยบายแรก คือ การปรับหลักสูตรเพื่อสร้างสมรรถนะ เพราะถ้าเราไม่มีการปรับหลักสูตรการศึกษาของไทย การปรับเปลี่ยนไปสู่การสร้างสมรรถนะแบบไร้รอยต่อคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม คือ วิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักสูตรแกนกลางของปี 2551 ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน จะพบว่าไม่มีส่วนของการคิดขั้นสูงเลย และแม้กระทั่งขึ้นชั้น ม.1 แล้ว ก็มีตัวชี้วัดที่เป็นการคิดขั้นสูงเพียง 16 จาก 71 ตัว ซึ่งก็ถือเป็นส่วนน้อยเท่านั้น 

ฉะนั้นวิชาประวัติศาสตร์จึงกลายเป็นวิชาความจำ ไม่เคยมีการถกอภิปรายว่าคนในแต่ละยุคตัดสินใจทำอะไร เพราะอะไร ทั้งที่จะช่วยเปิดการเรียนรู้อย่างมาก

“มูลนิธิสยามกัมมาจลศึกษาไว้ว่า ปัจจุบันมีอย่างน้อย 67 ประเทศ ใช้หลักสูตรที่เน้นการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน และมีการปรับหลักสูตรอยู่สม่ำเสมอ เช่น สิงคโปร์ ซึ่งมีผลการสอบ PISA อยู่อันดับ 1 ของโลก และมีการปรับหลักสูตรครั้งใหญ่ทุก 6 ปี ขณะที่ประเทศไทยไม่มีการปรับหลักสูตรใหญ่มา 16 ปีแล้ว และยังเน้นความรู้มากกว่าสมรรถนะ เน้นการท่องจำมากกว่าการคิดขั้นสูง ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องปรับหลักสูตรไปสู่หลักสูตรฐานสมรรถนะ ผมคิดว่าสิ่งนี้คือกระดุมเม็ดสำคัญ”

เมื่อมีการปรับหลักสูตรใหม่ แต่วิธีการประเมินสมรรถนะยังเป็นแบบเดิม ก็อาจจะไม่เอื้อให้การสร้างสมรรถนะทำได้สำเร็จ ดังนั้นนโยบายที่สอง คือ สร้างการประเมินสมรรถนะที่เชื่อถือได้

ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า การประเมินสมรรถนะที่ผ่านมาจะพบว่ายังไม่ค่อยเห็นผล เช่น ก่อนหน้านี้มีโจทย์ค่อนข้างน่าสนใจว่า หากเกิดอารมณ์ทางเพศจะต้องทำอย่างไร? ซึ่งคำตอบคือการเตะฟุตบอล เมื่อมีอารมณ์ทางเพศไม่ว่าจะเวลาไหน หรือเป็นเพศใดก็ต้องลุกขึ้นมาเตะฟุตบอล เพราะมีคำตอบเดียว หรือว่าเร็วๆ นี้ มีโจทย์ที่อยากให้คนคิดวิเคราะห์ และตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม จึงมีคำถามว่า การทำอาหารเมนูใดทำให้เกิดโลกร้อนน้อยที่สุด ซึ่งเป็นคำถามที่นำมาสู่การถกเถียงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเฉลยข้อไหนก็ถกเถียงได้ทั้งสิ้น เช่น ถ้าเฉลยว่าปลาทำให้เกิดโลกร้อนน้อยกว่าเนื้อ แต่ถ้าปลานั้นถูกขนส่งผ่านทางเครื่องบิน ก็อาจจะสร้างผลกระทบต่อโลกร้อนได้มากเช่นกัน ดังนั้นภาครัฐ ภาคธุรกิจ ตลอดจนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ควรลงทุนทำเรื่องการประเมินสมรรถนะ เพราะสิ่งนี้จะบ่งชี้ได้ว่าการเข้าไปช่วยเหลือนั้นสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ อะไรคือบทเรียน ถ้าเราไม่มีไม้บรรทัดที่ดีก็ยากที่จะไปสู่จุดหมายได้”

“นโยบายที่สาม คือ ลดภาระ คืนเวลา พัฒนาครู ล่าสุดมีข่าวดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประกาศนโยบายการยกเลิกเวรครู ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ในเชิงสัญลักษณ์นั้นสำคัญมาก เมื่อผู้บริหารให้ความสำคัญกับบุคลากรครูมากกว่าของในโรงเรียนสูญหาย อย่างไรก็ดียังมีสิ่งที่ควรลดภาระครูอีกหลายอย่าง 

ผลการศึกษาของ TDRI ในบริบทของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พบว่า ครูยังมีภาระกวนใจที่ทำให้ไม่สามารถโฟกัสกับการสอนได้ เช่น การทำรายงาน การทำธุรการ ซึ่งการลดภาระงานเหล่านี้จะช่วยให้ครูมีเวลาและสามารถพัฒนาทักษะการสอนแบบใหม่ หรือการทำ PLC ในโรงเรียน”

สำหรับนโยบายที่ 4 คือ การให้ครูและผู้อำนวยการอยู่ประจำอย่างน้อย 3 ปี โดยมุ่งหวังให้ฝ่ายการเมืองช่วยผลักดันสร้างแรงจูงใจให้ผู้อำนวยการและครูมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาโรงเรียนให้ดีขึ้น และสามารถเติบโตในหน้าที่การงานได้โดยไม่ต้องย้ายไปสู่โรงเรียนใหญ่ 

ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า นโยบายที่ 5 คือ การกระจายอำนาจจัดการศึกษา โดยพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาเป็นตัวอย่างของการพยายามใช้ระบบที่เป็นอยู่ มีการโอนอำนาจบางส่วนให้จังหวัดหรือในพื้นที่มีส่วนร่วมในการคิด ตัดสินใจ ออกแบบหลักสูตร แต่ก็พบว่ามีบางเรื่องไปได้ ขณะที่หลายเรื่องยังมีข้อจำกัด สำหรับสิ่งที่ควรเรียกร้องต่อไป คือ ให้มีการกระจายอำนาจจัดการศึกษาไปสู่พื้นที่จัดการตนเอง

“ในหลายประเทศมีการใช้ลักษณะร่วมกัน คือ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเจ้าของโรงเรียน เป็นผู้ว่าจ้างครู ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาได้สารพัดเลย เช่น ปัญหาของการยุบโรงเรียนเล็ก ที่เมืองไทยเจอปัญหาตลอด แต่ยังทำไม่ได้ เพราะการยุบโรงเรียนโดยกระทรวงศึกษาธิการจะทำให้ท้องถิ่นเสียทรัพย์สินบางอย่าง 

ในกรณีของประเทศญี่ปุ่นมีการกระจายอำนาจไปหาผู้ว่าราชการจังหวัด มีคณะกรรมการบริหารการศึกษาในระดับจังหวัดเข้ามาช่วยบริหารจัดการการศึกษาในท้องถิ่น ซึ่งในระดับจังหวัด ญี่ปุ่นไม่มีปัญหาการยุบโรงเรียนขนาดเล็กเลย เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีประชากรสูงอายุเยอะกว่าและมีเด็กเกิดน้อยกว่าไทยมาก ฉะนั้นการยุบโรงเรียนขนาดเล็ก แล้วแปลงพื้นที่ตรงนั้นให้ผู้สูงอายุได้ใช้ประโยชน์ หรือให้คนในท้องถิ่นนำไปใช้งานในรูปแบบที่ยอมรับได้ ทำให้การยุบโรงเรียนหรือการปรับเปลี่ยนเกิดขึ้นได้สำเร็จ”

นโยบายที่ 6 คือ การสร้างแหล่งเรียนรู้นอกโรงเรียน เพื่อให้เกิดพื้นที่เรียนรู้แบบไร้รอยต่อ ดังเช่น บ้านปลาดาวเดินหน้าจัดทำ maker space ในหลายพื้นที่ และมีความพยายามในการทำห้องสมุดเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ภายนอก ซึ่งการสร้างแหล่งเรียนรู้เป็นสิ่งที่เมืองไทยควรลงทุน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นภาครัฐเท่านั้น  เพราะหากภาคเอกชนมองเห็นว่าเป็นวิธีการส่งเสริมการเรียนรู้ที่ดีได้ก็สามารถลงทุนส่งเสริมได้เช่นกัน

ดร.สมเกียรติ กล่าวว่า นโยบายที่ 7 คือ การใช้ AI ช่วยการเรียนรู้ แม้ในสังคมจะเริ่มมีความกังวลถึงพิษภัยของการพัฒนาที่รวดเร็วจนน่ากลัวของ AI แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง AI มีโอกาสที่จะเข้ามาช่วยปฏิวัติการศึกษาของไทยได้ โดย Salman Khan ซึ่งเป็นผู้ทำ Khan Academy ที่มีการจัดการสอนออนไลน์ และได้ออกหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ Brave new Words How AI Will Revolutionize Education ซึ่งบอกเล่าถึงการทดลองนำ AI มาใช้ในการจัด Personalize Learning ในรูปแบบของ Chatbot เพื่อแก้ปัญหาสำคัญคือการทำให้เด็กทั้งชั้นเรียนรู้ได้ทัน  

“โดยสรุปผมคิดว่าเราจำเป็นต้องลงทุนกับการศึกษา และการสร้างทุนมนุษย์ของคนไทย ตั้งแต่เด็กแรกเกิด ปฐมวัย ไปจนถึงการรักษาอย่าให้เด็กตกหล่นออกนอกระบบ และแน่นอนต้องยกระดับคุณภาพของการศึกษาพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นหัวใจที่ทำให้เด็กมีทักษะ มีความพร้อมในการเรียนรู้ต่อไป และในโลกทุกวันนี้มีแหล่งเรียนรู้ดีๆ ถ้าคนไทยมีทักษะพื้นฐานเป็นเบื้องต้นอยู่ ขณะเดียวกันนโยบายที่ต้องผลักดันมีตั้งแต่การปรับหลักสูตร การปรับวิธีการประเมิน รวมทั้งยังต้องปรับวิธีการสอนของครู ลดเวลา และคืนเวลาให้ครู การกระจายอำนาจทางการศึกษา หรือแม้แต่การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย”

ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นหนทางปฏิรูปการศึกษาไทย ที่ขับเคลื่อนให้เด็กรุ่นใหม่มีสมรรถนะพร้อมต่อการเรียนรู้และอยู่รอดได้ในศตวรรษที่ 21

เรียบเรียงจากการบรรยายพิเศษในหัวข้อ สร้างนโยบาย สร้างสมรรถนะคนไทย ให้เรียนรู้อย่างไร้รอยต่อ โดยดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ในเวทีสาธารณะระดับประเทศ TEP Forum 2024 ‘สร้างประเทศไทยเป็นสังคมการเรียนรู้ : เรียนรู้สู่สมรรถนะอย่างไร้รอยต่อ’ 

Tags:

AIสมรรถนะทักษะแห่งศตวรรษที่ 21นโยบายรัฐการพัฒนาครูดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์การจัดการศึกษาระบบการศึกษา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Education trend
    เรื่องเล่าระบบการศึกษา ‘ไต้หวัน’ ฉบับชานมไข่มุก

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    จัดการเรียนการสอนอย่างไรในสถานการณ์โควิด-19: จากบทเรียนต่างประเทศสู่การจัดการเรียนรู้ของไทย

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Creative learning
    สุข สนุก และได้เลือกเรียนเอง เด็กๆ บ้านควนเก จึงอยากมาโรงเรียนทุกวัน

    เรื่อง The Potential

  • Dear Parents
    มนุษย์นักเรียนกับสิ่งที่ไม่เคยบอก

    เรื่อง

  • 21st Century skillsVoice of New Gen
    ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

เรื่องเล่าระบบการศึกษา ‘ไต้หวัน’ ฉบับชานมไข่มุก
Education trend
1 July 2024

เรื่องเล่าระบบการศึกษา ‘ไต้หวัน’ ฉบับชานมไข่มุก

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ในระยะหลังมานี้ ไต้หวันได้โอบรับกระแสโลกในการปฏิรูปการศึกษาตามแนวทาง OECD และ UNESCO มากขึ้น หลักสูตรสมรรถนะ การพัฒนาที่ยั่งยืน Social-Emotional Learning ได้เข้ามาเป็นหลักคิดในการออกแบบนโยบาย หลักสูตร ไปจนถึงการพัฒนาครู
  • รัฐบาลไต้หวันยังสนับสนุนนโยบายการเรียนสองภาษา หรือ ‘bilingual education 2030’ เพื่อหวังให้นักเรียนของพวกเขาสามารถใช้และสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วควบคู่ไปกับภาษาจีนที่เป็นภาษาแม่ในปี 2030
  • ประเด็นเรื่องพหุวัฒนธรรมเป็นวาระสำคัญที่ถูกพูดถึงในระบบการศึกษาด้วย รวมไปถึงเรื่อง เพศ อัตลักษณ์ และชนชั้นด้วย ทำให้บางมหาวิทยาลัยที่ผลิตครู มีวิชา Multicultural Education เป็นวิชาพื้นฐานเพื่อวางรากฐานความคิดให้กับนักศึกษา

เอาจริงๆ ตั้งแต่ผมมาเรียนต่อที่ไต้หวัน ผมยังไม่ได้มีโอกาสได้เขียนเล่าเรื่องระบบการศึกษาของที่นี่สักเท่าไหร่ มีเพียงเรื่องเล่าหรือประสบการณ์จากบางคลาสเรียนที่ประทับใจเท่านั้น พอลองค้นดูใน Google ก็ไม่ค่อยเจอข้อมูลภาษาไทยที่พูดถึงระบบการศึกษาของไต้หวันเท่าไหร่นัก (หากไม่นับข้อมูลทุนเรียนต่อ) บทความส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเสียมากกว่า ก็เลยอยากจะใช้โอกาสนี้ ในฐานะนักเรียนต่างแดน ลองเขียนเล่าถึงไต้หวันในแง่มุมการศึกษาดูบ้าง 

มากกว่าการผลิตชิป คือ ‘การยืนแถวหน้าในเวทีการศึกษาโลก’

เมื่อพูดถึงประเทศไต้หวัน หากนึกแบบเร็วๆ หลายคนคงนึกถึงมหาอำนาจด้าน ‘การผลิตชิป’ อันดับต้นๆ ของโลก หรือไม่ก็คงเป็น ‘ชานมไข่มุก’ อันเลื่องชื่อ แต่อีกเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ คือเรื่องการศึกษาที่ไต้หวันก็ทำได้ดีไม่น้อยหน้า หากอ้างอิงตามผลสอบ PISA  ในปี 2022 พวกเขาติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกเสียด้วยซ้ำ 

ย้อนไปในอดีต หลังการยกเลิกกฎอัยการศึก ในปี 1987 ไต้หวันเริ่มเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางประชาธิปไตย และเริ่มปฏิรูปการศึกษาช่วงราวทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา เกิดข้อถกเถียงถึงหลักสูตรและเป้าหมายของการศึกษาที่ควรจะเป็น รวมถึงคุณภาพการศึกษาด้วย จริงๆ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง หลายประเทศในเอเชีย (รวมถึงไทย) ต่างก็มีการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหญ่เช่นกัน 

ในระยะหลังมานี้ ไต้หวันได้โอบรับกระแสโลกในการปฏิรูปการศึกษาตามแนวทาง OECD และ UNESCO มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น หลักสูตรสมรรถนะ การพัฒนาที่ยั่งยืน Social-Emotional Learning (SEL) ซึ่งได้เข้ามาเป็นหลักคิดในการออกแบบนโยบาย หลักสูตร ไปจนถึงการพัฒนาครู 

ด้วยความมุ่งหมายจะเป็นสากลในเวทีโลก นโยบาย ‘New Southbound’ ได้กลายเป็นยุทธศาสตร์หลักในการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้เข้ามาเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา และดูเหมือนว่าพวกเขาจะประสบผลสำเร็จ ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการไต้หวันในปี 2018 เผยว่า ตลอด 7 ปี ในช่วงปี 2012 -2018 มีนักเรียนจากประเทศเหล่านี้ เพิ่มขึ้นทุกปีๆ ในปี 2018 มีมากกว่า 45,000 คน หรือเพิ่มขึ้นราว 3 เท่าเมื่อเทียบกับปี 2012    

นอกจากนี้ภายในประเทศเอง รัฐบาลไต้หวันยังสนับสนุนนโยบายการเรียนสองภาษา หรือ ‘bilingual education 2030’ เพื่อหวังให้นักเรียนของพวกเขาสามารถใช้และสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วควบคู่ไปกับภาษาจีนที่เป็นภาษาแม่ในปี 2030 ทำให้ตอนนี้ ในหลายๆ โรงเรียน แต่ละรายวิชาจะต้องจัดให้มีการเรียนสองภาษาอย่างน้อยๆ ก็ในบางเนื้อหาของบางคาบเรียน เรียกได้ว่าครูต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนขนานใหญ่ แต่ก็ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความพร้อมของนโยบาย หลักการ bilingual education ที่ควรจะหมายถึงการให้ความสำคัญกับภาษาพื้นเมืองเป็นหลัก  รวมถึงการที่เด็กบางคนอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังด้วย

ชานมหลากสีกับ ‘พหุวัฒนธรรมและความเหลื่อมล้ำ’

เรื่องหนึ่งที่ถูกให้ความสำคัญไม่แพ้กันก็คงเป็น ‘พหุวัฒนธรรม’ เพราะในสังคมไต้หวันมีกลุ่มชาติพันธุ์และชนพื้นเมืองหลากหลายกลุ่ม ประกอบกับการเข้ามาของแรงงานข้ามชาติ ประเด็นเรื่องพหุวัฒนธรรมจึงกลายเป็นวาระสำคัญที่ถูกพูดถึงในระบบการศึกษา รวมไปถึงเรื่อง เพศ อัตลักษณ์ และชนชั้นด้วย ทำให้บางมหาวิทยาลัยที่ผลิตครู ต่างก็มีวิชา Multicultural Education เป็นวิชาพื้นฐานเพื่อวางรากฐานความคิดให้กับนักศึกษาด้วย 

จำได้ว่าตอนเรียนวิชานี้ในช่วงปริญญาโท อาจารย์เล่าให้ฟังว่า หนังสือแบบเรียนที่นี่จะให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ไม่ได้นำเสนอภาพของผู้หญิงในฐานะคนเลี้ยงลูก หรือทำงานบ้านอยู่ฝ่ายเดียว แต่ในหนังสือเรียนจะมีภาพผู้ชายทำสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน หรือบางอาชีพที่มักมีมายาคติว่าเป็นอาชีพของเพศใดเพศหนึ่ง จะถูกเล่าใหม่ผ่านแบบเรียนว่าทุกคนสามารถประกอบอาชีพนั้นได้   

ในระบบสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของไต้หวัน สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ คะแนนสอบเข้าของนักเรียนที่มาจากกลุ่มชนพื้นเมือง (Indigenous people) จะถูกนำมาคูณสัดส่วนบางอย่างเพื่อเพิ่มคะแนน 

อาจารย์ท่านหนึ่งอธิบายว่านโยบายนี้มีหลักคิดเพื่อกระจายโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมให้กับเด็กกลุ่มที่เสียเปรียบทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และภาษา โดยวิธีนี้จะเอื้อให้เด็กเหล่านี้ได้มีโอกาสเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น แต่แน่นอนว่าก็มีคำถามตามมาเช่นกันว่า นโยบายนี้กำลังสร้างระบบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อที่ยุติธรรมจริงหรือไม่   

เรื่องความยุติธรรมยังถูกตั้งคำถามผ่านงานดุษฎีนิพนธ์ ‘Voice of the oppressed in Higher Education’ ของ Chang (ซึ่งปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำอยู่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยครูแห่งชาติไต้หวัน) ในราวปี 2009 เธอได้ศึกษาเรื่องราวของนักเรียนอาชีวะ 12 คน เกี่ยวกับการเข้าเรียนต่อในวิทยาลัย การได้พูดคุยกับนักเรียนทำให้เธอสัมผัสได้ถึงเงื่อนไขของความเหลื่อมล้ำที่ผลักให้พวกเขาไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก เพื่อเข้าถึงหลักประกันความมั่นคงของชีวิตและรายได้จุนเจือครอบครัว การเลือกเรียนต่อในสายอาชีวะจึงเป็นทางเลือกที่เงื่อนไขของชีวิตบีบบังคับให้พวกเขาต้องเลือก 

อาจารย์ Chang ยังพบอีกว่า นักเรียนกลุ่มนี้ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานจากระบบการศึกษาที่ไม่สามารถส่งพวกเขาให้ไปถึงฝั่งฝันที่ต้องการได้ ผมมีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ Chang แม้งานวิจัยของเธอจะผ่านมาราว 10 กว่าปีแล้ว แต่เธอได้ตั้งข้อสังเกตหนึ่งที่น่าสนใจว่า นักเรียนมีโอกาสเลือกเส้นทางการเรียนต่อของตนเองได้จริงหรือไม่ หรือ ที่จริงแล้วระบบการศึกษาต่างหากที่กำลังเลือกพวกเขา 

ในทางตรงกันข้าม บทความวิจัย ‘Buying into the Meritocracy: Taiwanese Students and the Market for College Admissions Services’ ของ Chen และ Berman ที่เพิ่งจะตีพิมพ์ออกมาในปี 2022 กลับฉายภาพให้เห็นเรื่องราวชีวิตของนักเรียนกลุ่มบนของสังคมของไต้หวัน ซึ่งส่วนหนึ่งในงานศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า นักเรียนจากภูมิหลังทางครอบครัวและเศรษฐกิจที่ดีจะใช้ทุนที่มีในการซื้อบริการทางการศึกษา อาทิ บริการตรวจภาษาอังกฤษ คอร์สปรับภาษา เพื่ออุดรอยรั่วในภาษา (หรือในภาษาวิชาการเรียกว่า cultural capital) ในการยื่นใบสมัครเพื่อสร้างโอกาสในการเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในอเมริกาและยุโรป 

แม้งานศึกษาทั้งสองฉบับจะมีอายุห่างกันราว 10 ปี แต่ก็พอฉายภาพให้เราได้รับรู้ถึงเรื่องราวความเหลื่อมล้ำและโอกาสในชีวิตของนักเรียนไต้หวันที่ยังคงมีระยะห่าง แน่นอนว่ารัฐเองก็ออกนโยบายเพื่อพยายามแก้ไขเรื่องนี้ หนึ่งนั้นคือโครงการ Stars Program ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2007 โดยหวังให้นักเรียนมัธยมปลายมีโอกาสในการเรียนในระดับอุดมศึกษาอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้นและไม่กระจุกอยู่ที่โรงเรียนชั้นนำเท่านั้น ผ่านการจัดสรรโควตาที่นั่งในมหาวิทยาลัย โดยครูจะเป็นคนแนะนำว่านักเรียนคนไหนที่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ซึ่งจะอิงจากคะแนนเฉลี่ยจากสองปีแรกของโรงเรียนมัธยมเป็นเกณฑ์การรับเข้าเรียนร่วมกับคะแนน GSAT ที่กำหนดโดยมหาวิทยาลัย  

นอกแก้วชานม ‘แวดล้อมการเรียนรู้’

ในสังคมมีการวิจารณ์วัฒนธรรมและค่านิยมการแข่งขันและการสอบด้วยเช่นกัน แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลมากนัก เมื่อเด็กจำนวนไม่น้อยพุ่งตรงไปยังโรงเรียนกวดวิชา (Cram school) โดยทันที ตั้งแต่หลังเลิกโรงเรียนจนถึงสองสามทุ่ม และในวันหยุดสุดสัปดาห์ โรงเรียนกวดวิชา ยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตของนักเรียน ซึ่งตรงนี้ก็เป็นภาพที่เห็นได้จนชินตาในสังคมไทยเช่นกัน  

แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือนอกรั้วโรงเรียนในไต้หวัน แหล่งเรียนรู้อย่าง พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ หอศิลปะ ห้องสมุด เป็นสิ่งกระจายไปอยู่ทุกมุมเมือง สถานที่ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงมันได้โดยสะดวก 

เนื้อหาในพิพิธภัณฑ์บางแห่งที่ผมเคยมีโอกาสได้เยี่ยมชมนั้นในแต่ละเมือง ไม่ว่าจะเป็น National Taiwan Museum Houtong Miner’s Culture & History Museum Lanyang Museum และ Kaohsiung Museum of History ต่างให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ของความหลากหลายผู้คนและสรรพสิ่ง มากกว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ชนชั้นสูงเป็นหลัก เปิดพื้นที่ให้กับเรื่องเล่าของคนธรรมดา เรื่องเล่าในท้องถิ่น และกลุ่มชาติพันธุ์ ได้มีความทรงจำร่วมในประวัติศาสตร์ของประเทศ  

ช่วงเวลาอันเลวร้าย ‘ความน่าสะพรึงสีขาว’ หรือ ‘White Terror’ ที่มีการปราบปรามผู้เห็นต่างจำนวนมาก และไต้หวันต้องอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกษามานานกว่า 38 ปี ก็ได้ถูกบันทึกไว้ในพิพิธภัณฑ์และตอกย้ำใหผู้คนตระหนักถึงมันอยู่เสมอในฐานะวันหยุดราชการ เพื่อระลึกถึงการต่อสู้ของประชาธิปไตยของผู้คน 

หากพูดให้ชัด เหล่านี้คือนิเวศการเรียนรู้ ที่พวกเขาใช้สร้างการเรียนรู้พลเมืองประชาธิปไตยที่นอกเหนือไปจากห้องเรียน 

หวังว่า สิ่งที่ผมเขียนอาจพอจะฉายภาพคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในระบบการศึกษาและนิเวศการเรียนรู้ ที่ประเทศเกาะเล็กๆ อย่างไต้หวัน พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางใด ทำอะไร และอะไรคือข้อท้าทายที่เกิดขึ้น 

อ้างอิง

PISA 2022: ส่องคะแนนนักเรียนไทยอยู่จุดไหนในเวทีโลก (thestandard.co)

เกาะคุก จับแพะ และเผด็จการ : กว่าประชาธิปไตยจะปักหลักบนเกาะไต้หวัน – The 101 World

Buying into the Meritocracy: Taiwanese Students and the Market for College Admissions Service

Impact of the New Southbound Policies in International Students on Taiwan: An Exploratory Study from Vietnamese Oversea Students

TAIWAN’S 2030 BILINGUAL NATION POLICY IS WELL INTENDED, BUT REFLECTS CULTURAL COLONIALISM

The College Admission Process in Taiwan

“The majority are left behind”: the promotion of bilingual education 2030 policy in Taiwan and its potential to widen horizontal inequalities

Tags:

ระบบการศึกษาความเหลื่อมล้ำพหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural Education)นโยบายไต้หวันการพัฒนาครูนิเวศการเรียนรู้

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issue
    ‘4 เรื่องต้องลงทุน’ กับ ‘7 นโยบาย’ สร้างสมรรถนะคนไทยให้เรียนรู้อย่างไร้รอยต่อ: ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • มีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้คำว่า ‘การศึกษาเพื่อการมีงานทำ’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ‘NEET’ คนที่ล้มเหลวหรือผลผลิตจากระบบการศึกษาไทย : คุยกับ ผศ.ดร.รัตติยา ภูละออ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Voice of New GenSocial Issues
    เข้าไม่ถึงการศึกษาและปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่คนวัยเรียนต้องเจอ คุยกับ เฟลอ – สิรินทร์ มุ่งเจริญ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social Issues
    “การศึกษาที่ทำให้ความฝันของเด็กคนหนึ่งต้องถูกดัดแปลง” อรรถพล ประภาสโนบล ประเด็นรัฐสวัสดิการกับการศึกษา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ จิตติมา หลักบุญ

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel