Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: December 2023

Survival of the thickest – แด่ผู้รอดชีวิตจาก toxic parents
Dear ParentsMovie
22 December 2023

Survival of the thickest – แด่ผู้รอดชีวิตจาก toxic parents

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Survival of the thickest เป็นซีรีส์คอมเมดี้ปนดราม่า ที่เล่าถึง ‘เมวิส หรือ เมฟ’ หญิงสาวผิวดำหุ่นพลัสไซส์ (plus size) ผู้ทุ่มชีวิตตัวเองให้กับการเป็นแฟนที่แสนดีพร้อมซัพพอร์ตทุกอย่าง แต่ดันมาโดนแฟนหนุ่มนอกใจ
  • แม่ของเมวิส พูดจาทำร้ายจิตใจลูกต่างๆ นานา และหักความมั่นใจของลูกด้วยคำว่า ‘หวังดี’
  • หลายครั้งที่พ่อแม่ก็ไม่ได้เป็นบ้านที่อบอุ่นให้กับลูก แม้ว่า ลูกอาจจะเติบโตเข้มแข็งได้ด้วยตัวเองก็จริง แต่ก็อาจพังทลายได้ง่ายกว่าใครเพราะไม่เคยมีพ่อแม่ช่วยก่อร่างสร้างโครงที่แข็งแกร่งมาจากข้างในตั้งแต่ยังเป็นเด็ก

ซีรีส์คอมเมดี้ปนดราม่าดูเพลินดูง่ายโดย Netflix ที่มีความยาวไม่มากเล่าถึง ‘เมวิส หรือ เมฟ’ หญิงสาวผิวดำหุ่นพลัสไซส์ (plus size) ที่ทุ่มชีวิตตัวเองให้กับการเป็นแฟนที่แสนดีพร้อมซัพพอร์ตทุกอย่าง แต่ดันมาโดนแฟนหนุ่มนอกใจแบบคาตาคาบ้าน! เธอตัดสินใจเลิกกับเขาทันทีหลังจากมีความสัมพันธ์กันมาถึง 5 ปี ซึ่งแฟน(เก่า)ของเธอเคยพูดถึงการแต่งงานบ่อยมาก แต่ที่ผ่านมาแหวนก็ไม่เคยได้ลงนิ้วซักกะที

สาววัย 38 ที่มีความฝันอยากแต่งงานมีลูกสร้างครอบครัวอย่างเมฟ จึงตัดสินใจกลับมาใช้ชีวิตโสดอีกครั้ง

ขณะที่เธอพยายามจะเอาตัวรอดกับปัญหาชีวิตที่ถาโถมเข้ามา ก็มีความโชคดีคือเธอมีแก๊งเพื่อนสนิทคอยซัพพอร์ต เธอเลยมุ่งมั่นกลับมาทำตามฝันในอาชีพการเป็นสไตลิสต์แฟชั่นซึ่งเธอหลงใหลตั้งแต่เด็กแทน แลัวก็ได้กลับมาเรียนรู้การรักและภูมิใจในตัวเองอีกครั้ง

แล้วเมื่อเมฟได้เจอเข้ากับหนุ่มคนใหม่ ชายหนุ่มเพอร์เฟคมากและถึงแม้จะอาศัยอยู่คนละประเทศ แต่ทั้งสองก็สนุกกัน เธอสบายใจกับความสัมพันธ์ระยะไกลนี้ ชีวิตความรักของเธอกำลังไปได้สวย

แต่อยู่ๆ แม่ของเมฟก็ดันโผล่มา บอกว่าผู้ชายเขาไม่จริงจังหรอก เดี๋ยวเขาก็กลับไปอยู่ประเทศของเขาแล้ว พร้อมกับคำพูดร้ายๆ ต่างๆ นานา บอกว่าเธอไม่ได้ชีวิตในความเป็นจริง เอาแต่เรื่อยเปื่อยไม่มั่นคง ส่วนพ่อก็บอกให้เธอให้อภัยแฟนที่นอกใจ เพราะคนเราทำผิดพลาดกันได้ พ่อคบกับแม่มา 45 ปีแล้ว พ่อก็เคยเผลอนอกใจแม่ แต่แม่ก็ให้อภัยพ่อ

เมื่อเราได้ดูก็อึ้งอยู่ไม่น้อยเหมือนกันกับความคิดเหล่านี้

แม้มันจะดีที่จะให้อภัยกันแต่ความรู้สึกไว้ใจมันไม่มีทางกลับมาได้ง่ายๆ แน่

ส่วนในกรณีของแม่ก็ทำให้เรารู้สึกมีประสบการณ์ร่วมมากเพราะเราก็ถูกแม่หักความมั่นใจ ทำลายความสุขไปหลายต่อหลายครั้ง

ทำไมบางครั้งพ่อแม่ถึงแสดง “ความรู้สึกห่วงใยลูก” ในรูปแบบนี้กันล่ะ พ่อแม่จะรู้มั้ยว่าสิ่งที่พวกเขาพูดมันทำให้ลูกรู้สึกแย่แค่ไหน มันเหมือนการผลักลูกให้ตกหน้าผามากกว่าโอบกอดและระวังหลังให้ลูก

ซึ่งเมฟก็รู้สึกแย่เช่นกัน เธอเริ่มหวั่นใจ คิดมาก ตั้งคำถามว่าเราทำผิดอะไร

เธอเล่าให้เพื่อนฟังว่าตอนที่เธอเป็นเด็ก เธอเคยโดนเด็กรุ่นเดียวกันตะโกนด่าแบบเหยียดผิว พอเธอกลับบ้านไปเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง พวกเค้าก็ไม่ให้กำลังใจหรือปลอบใจใดๆ พวกเค้าทำเหมือนสิ่งที่เธอเจอเป็นเรื่องปกติที่เธอสมควรรับให้ได้

ซึ่งเพื่อนก็ถามว่า “เธออยากให้แม่พูดกับเธอว่าอะไร”

ตอนแรกเมฟก็พูดว่า ไม่รู้เหมือนกันสินะ แม้กระทั่งตอนนี้เธอยังรู้สึกว่ามันยากเลยที่จะจัดการความรู้สึกที่เจอ และเธอคิดว่าสมัยนั้นพวกเขาก็คงไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง

แต่เมื่อเธอเริ่มเมาและอยู่คนเดียว เธอก็ระบายออกมาโดยการทำเป็นเหมือนคุยโทรศัพท์กับแม่ว่า “แม่คะ บางครั้งหนูอยากให้แม่พูดดีๆ กับหนูหน่อย อย่างตอนนั้นที่มีเด็กพูดหยาบคายใส่หนู หนูเข้าใจว่าเราเป็นคนดำ เป็นชาวแคริบเบียน พ่อแม่เป็นผู้อพยพและแม่พยายามสอนให้หนูเป็นคนเข้มแข็ง แต่บางครั้งหนูแค่อยากได้คนปลอบใจ และให้กำลังใจ อย่างตอนลูก้า(แฟนหนุ่มคนปัจจุบัน) หนูแค่อยากให้แม่พูดว่า ‘โชคดีกับลูก้านะ’ เพราะแม้ว่าหนูจะพยายามปฏิเสธ ความเห็นของแม่ก็สำคัญกับหนูมาก”

แม้คำพูดของเมฟจะไม่เคยถูกส่งถึงแม่ แม่จะไม่มีวันเข้าใจและพยายามทำดีกับเธอแต่เธอก็ยังมีตัวเองและเพื่อนๆ ที่เข้าใจแล้วช่วยให้เธอผ่านความรู้สึกเหล่านี้มาได้

เรารู้สึกว่าหลายต่อหลายครั้งพ่อแม่ก็ไม่ได้เป็นบ้านที่อบอุ่นให้กับลูก แม้ว่าพวกเค้าจะให้เงิน ให้ชีวิต ให้ที่อยู่กับลูก ลูกอาจจะเติบโตเข้มแข็งได้ด้วยตัวของเค้าเองก็จริง แต่พวกเค้าก็อาจพังทลายได้ง่ายกว่าใครเพราะไม่เคยมีพ่อแม่ช่วยก่อร่างสร้างโครงที่แข็งแกร่งมาจากข้างในตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เค้าจะเป็นเพียงผู้พยายามรอดชีวิตที่เข้มแข็งตลอดไป

แน่นอนเราแอบหวังว่าวันหนึ่ง พ่อแม่ทั้งหลายจะเข้าใจและเห็นใจ ปฏิบัติกับลูกด้วยความใจดีบ้าง มันคงจะเป็นเรื่องที่งดงามและสบายใจ แต่เราก็เชื่อว่า ‘ผู้รอดชีวิตทั้งหลาย’ รวมถึงตัวเราเองก็จะสามารถก้าวผ่านความรู้สึกไม่มั่นใจและเป็นผู้ที่สร้างโครงสร้างข้างในของตัวเองได้อย่างสง่างามเช่นกัน

Tags:

พ่อแม่ความสัมพันธ์ลูกการเลี้ยงดูความมั่นใจSurvival of the thickestplus size

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    พ่อแม่ไม่ใช่อรหันต์ ปล่อยวางความคาดหวังแล้วหันมา ‘ใจดีกับตัวเอง’ 

    เรื่อง อัฒภาค

  •  The Road: ถึงโลกล่มสลาย…แสงสว่างยังอยู่ในใจเธอเสมอ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Dear ParentsMovie
    Stutz: เปิดอกสื่อสารออกไป ให้หัวใจได้บำบัด

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย
Social Issues
21 December 2023

ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กเกิดขึ้นเพราะการลดลงของเด็กในชุมชน ซึ่งโจทย์สำคัญคือ ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กได้
  • ในเวที ‘ยกระดับคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กของชุมชน ความเสมอภาคทางการศึกษาที่เป็นจริงได้’ เทวินฏฐ์ อัครศิลาชัย ผู้ประสานงานโครงการ ACCESS School ได้เสนอนโยบาย ‘โรงเรียนนวัตกรรมชุมชน’ เข้ามาแก้ปัญหา
  • การคืนครูให้กับเด็ก คืนผู้บริหารให้กับโรงเรียน มีส่วนสำคัญมากต่อการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รวมถึงบริบทโรงเรียนจัดเป็นสนามพลังบวกทั้งหมด ตั้งแต่ก้าวแรกเข้าไปในโรงเรียน

“เรียนดี มีความสุข เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา นี่แหละคือแก่นของโรงเรียนขนาดเล็ก” 

เทวินฏฐ์ อัครศิลาชัย ผู้ประสานงานโครงการ ACCESS School หรือโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคประชาสังคม เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยการสนับสนุนของสหภาพยุโรป กล่าวในเวทีขับเคลื่อนนโยบายลดความเหลื่อมล้ำโรงเรียนขนาดเล็ก พื้นที่ห่างไกล อย่างมีส่วนร่วม ครั้งที่ 1 ‘ยกระดับคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็กของชุมชน ความเสมอภาคทางการศึกษาที่เป็นจริงได้’ 

ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กได้? และทำอย่างไรจึงจะได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน? คือโจทย์ตั้งต้นที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับ เครือข่ายองค์กรครู ผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก และภาคประชาสังคมด้านการศึกษา ได้ร่วมกันหาคำตอบ และนำมาสู่ข้อค้นพบและข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อพัฒนาคุณภาพและการบริหารจัดการศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก’ ซึ่ง The Potential หยิบยกบางช่วงบางตอนมานำเสนอ

เทวินฏฐ์ อัครศิลาชัย ผู้ประสานงานโครงการ ACCESS School

โรงเรียนเล็ก ปัญหาใหญ่ โจทย์ท้าทายความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

“โรงเรียนขนาดเล็กทุกโรงเรียนนั้นเผชิญกับปัญหาเช่นเดียวกับปัญหาระดับชาติเลย คือการลดลงของเด็กในชุมชน ซึ่งโรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนเด็กลดลงเป็นเรื่องปกติในชุมชน เพราะเด็กลดลงอยู่แล้ว ปัญหาคือเราจะพัฒนาคุณภาพได้อย่างไร เป็นโจทย์ใหญ่ของโรงเรียนขนาดเล็ก เป็นโจทย์ใหญ่ของครู และเป็นโจทย์ใหญ่ของชุมชน เป็นวาระของชุมชนที่ต้องช่วยกัน พัฒนาร่วมกัน”

“เราเข้าไปสนับสนุนโดยเลือกโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในภาวะกลุ่ม stand alone ซึ่งมีอยู่สองประเภท หนึ่งคือมีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ สองกลุ่มที่อยู่ในชุมชนที่ลำบากยากไร้ ผู้ปกครองรับจ้างทำงาน ไม่สามารถดูแลลูกหลานได้เต็มที่ เพราะฉะนั้นโรงเรียนเลยเป็นศูนย์รวมของชุมชนไปด้วย ชุมชนกับโรงเรียนเลยใกล้ชิดกัน โรงเรียนในลักษณะนี้จึงไม่ประสงค์ไปควบรวมตามนโยบายของต้นสังกัด อยากให้ลูกหลานอยู่ใกล้ชุมชน โรงเรียนพวกนี้มักจะมีครูที่ดูแลเด็กได้ดี”

เนื่องจากโจทย์ความท้าทายในการแก้ไขปัญหาโรงเรียนขนาดเล็ก คือ ‘คุณภาพการศึกษา’ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ จึงต้องหาหนทางที่จะไปพัฒนาคุณภาพ โดยเน้นไปที่การจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ นำนวัตกรรมการจัดการศึกษามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทของแต่ละโรงเรียน และเปิดพื้นที่การเรียนรู้ของโรงเรียนเป็นพื้นที่ของทุกคนในชุมชน และที่สำคัญคือการได้รับการหนุนเสริมจากทุกภาคส่วน 

“อีกเรื่องหนึ่งคือ งบประมาณ ที่ผ่านมาที่โรงเรียนขนาดเล็กของเราประสบเป็นยาขมมากก็คือ งบประมาณรายหัว เด็ก 30 คน งบประมาณรายหัวเท่ากัน ลำบากมากจะบริหารจัดการอย่างไร เราเลยเสนอว่า เปลี่ยนจากรูปแบบการบริหารจัดการงบประมาณแบบรายหัวมาเป็นงบประมาณแบบเชิงพื้นที่ได้ไหม ซึ่งเอาตัวปริมาณมาว่ากันว่าจะบริหารจัดการอย่างไร”

ข้อค้นพบและข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก

ข้อค้นพบ 7 ประการที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งจะทำให้โรงเรียนขนาดเล็กเข้มแข็งและยังอยู่ได้ มีดังนี้ 

1. ‘ผู้บริหาร ผู้อำนวยการโรงเรียน’ ต้องมีความเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลง มีความกล้าหาญ 

2. ‘ครู’ ต้องเป็นคนกล้าสอน กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าใช้นวัตกรรมพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน หรือที่เรียกว่า ‘ครูโค้ช ครูนวัตกร’

3. ‘โรงเรียน’ มีการบริหารจัดการห้องเรียนที่ดี ประยุกต์ใช้กับนวัตกรรมการศึกษาอื่นๆ เข้ากับของกระทรวงศึกษาได้ 

4. ‘ชุมชน’ ต้องเข้มแข็ง ชุมชนเป็นแบ็กอัพให้กับโรงเรียนและคุณครู 

5. ‘คณะกรรมการสถานศึกษา’ โรงเรียนขนาดเล็กที่เข้มแข็ง มีคณะกรรมการศึกษาที่สุดยอด ซึ่งคณะกรรมการศึกษาไม่จำเป็นต้องมีแค่ 9 คนตามระเบียบ อาจมากกว่านั้นก็ได้ 

“อย่างโรงเรียนหนองบัวคูมี 30-40 คน และผอ.มีความกล้าหาญที่จะจัดสรรบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการศึกษาอย่างชัดเจน กรรมการสถานศึกษาลงมากวาดใบไม้ มาปลูกผักหลังห้องเรียน ผู้มีเชี่ยวชาญเพราะเป็นเกษตรกรแล้วมาช่วยดูแลเกษตรให้ ดูแลแปลงผักให้ ดูแลอาหารให้เด็ก เป็นกรรมการสถานศึกษาหมดเลย นี่ก็คือหัวใจของกรรมการสถานศึกษา”

6. มีองค์กรจากภายนอกเข้ามาหนุนเสริม เรียกว่า ‘ภาคประชาสังคม’ เช่น ท้องถิ่น

7. มี ‘หลักธรรมมาภิบาล’ เป็นพิมพ์เขียวของโรงเรียน

 “โรงเรียนขนาดเล็กเขาจะมีหลักธรรมาภิบาล 6 ประการ เพราะเขากลัวว่า โรงเรียนมักจะมีการย้ายผอ. ย้ายครู แต่ว่าชุมชนยังอยู่ เขาอยากจะทำหลักธรรมาภิบาลเป็นพิมพ์เขียวของโรงเรียนขึ้นมาว่า โรงเรียนพัฒนาอย่างไร แล้วเขาจะมอบให้กับผอ.คนใหม่ที่เข้ามา” 

จากข้อค้นพบดังกล่าว เทวินฏฐ์ จึงเสนอเป็นนโยบายคือ การส่งเสริมให้โรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ เป็น ‘โรงเรียนนวัตกรรมชุมชน’ โดยสามารถบรรจุให้เป็นสถานศึกษาพิเศษ ประเภทวิจัยศึกษาและพัฒนา นี่คือแนวทางหนึ่ง 

“ต่อมาคือเรื่องการพัฒนาครู ซึ่งครูเป็นหัวใจของการศึกษา แต่ปัญหาคือมหาวิทยาลัยที่สอนครุศาสตร์ ไม่มีวิชาเรื่องบูรณาการ โรงเรียนขนาดเล็กที่ครูสอนได้ดีต้องสอนคละชั้น สอนควบวิชา ใช้พลังครู ใช้นวัตกรรมร่วมกัน จึงต้องปลดล็อกคุรุสภา เรื่องการจำกัดสิทธิให้กับนักศึกษาฝึกสอนที่ว่า โรงเรียนที่รับนักศึกษาฝึกสอนจะต้องมีวิชาเอกตรงกับนักศึกษาที่มาฝึกสอน เช่น นักศึกษาเอกคณิตศาสตร์ จะไปฝึกสอนที่โรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่ง แต่ไม่มีครูพี่เลี้ยงที่เป็นครูคณิตศาสตร์ ก็ไม่สามารถรับได้ 

เพราะฉะนั้นถ้ามหาวิทยาลัยครุศาสตร์ต่างๆ มีวิชาบูรณาการ นวัตกรรมการจัดการศึกษา นักศึกษาที่ลงเรียนในวิชานี้เขาก็มีสิทธิที่จะไปฝึกสอนที่โรงเรียนขนาดเล็กที่มีการเรียนการสอนแบบนวัตกรรม หรือบูรณาการ โรงเรียนขนาดเล็กก็จะไม่ขาดโอกาสในการรับนักศึกษามาฝึกสอน เราทดลองกับม.กาฬสินธุ์ แล้วใช้ได้ดีทีเดียว”

“สุดท้ายแล้ว โรงเรียนขนาดเล็กหลายแห่งเขาอยากจะทำการถ่ายโอนไปให้ท้องถิ่น เช่น อบต. โรงเรียนขนาดเล็กบนภูเขาบนที่สูงห่างไกล ที่เขาอยากจะพัฒนาตนเอง แต่เขายากลำบากที่จะเข้าร่วมกับโครงการนวัตกรรมได้ เพราะฉะนั้นเขาอยากจะทำการถ่ายโอนไปให้ท้องถิ่น ประสานไปยังท้องถิ่นว่าจะมีปรับ และกระบวนการอย่างไร”

‘ผอ.เปลี่ยน – ครูเปลี่ยน – นักเรียนเปลี่ยน’ สู่โรงเรียนขนาดเล็กที่มีคุณภาพ

การเปลี่ยนแปลงท่ามกลางทรัพยากรที่จำกัดของโรงเรียนขนาดเล็กแม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็เป็นไปได้ หากโรงเรียนมีผู้นำที่กล้าหาญ ซึ่งจะพาคุณครูพัฒนาตัวเองและจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพให้กับนักเรียน 

ตัวอย่างผู้อำนวยการโรงเรียนกล้าเปลี่ยน ได้แก่ ผอ. บุญเรือง ปินะสา  โรงเรียนบ้านหนองบัวคู อ.นาดูน จ.มหาสารคาม ที่นำนวัตกรรมจิตศึกษาและกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนเข้ามาสร้างสนามพลังบวกในการก้าวข้ามข้อจำกัดต่างๆ 

ผอ. บุญเรือง ปินะสา โรงเรียนบ้านหนองบัวคู

“ในการบริหารจัดการโรงเรียน อาจจะมีผู้บริหารจัดการโรงเรียนหลายท่าน ผมเป็นผู้อำนวยการ แต่ว่าจะมีผู้บริหารจัดการโรงเรียนคือ ผู้ใหญ่บ้าน หลวงพ่อที่วัด แล้วก็ภาคประชาสังคมด้วย หลวงพ่อนี่แหละคือบุคคลสำคัญเป็นตัวเชื่อม บวร คือ บ้าน วัด โรงเรียน 

ฉะนั้นแล้วหนองบัวคูก็บริหารจัดการโรงเรียนแบบนี้ ภายใต้การบริหารจัดการในรูปแบบของคณะกรรมการทั้งหมด หนองบัวคูมีคณะกรรมการสถานศึกษา 9 คนในโครงสร้าง แต่ว่าจะมีคณะกรรมการที่ปรึกษาอีกหนึ่งคณะ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานหนึ่งคณะ คณะกรรมการพัฒนาโรงเรียนอีกหนึ่งคณะ คณะกรรมการเครือข่ายผู้ปกครองอีกหนึ่งคณะ และคณะอนุกรรมการพัฒนาโรงเรียน รวม 5 คณะด้วยกัน”

จุดแข็งของโรงเรียนหนองบัวคู คือพลังของชุมชนที่เข้มแข็ง ชุมชนมีบทบาทหน้าที่ในรูปแบบของคณะกรรมการสถานศึกษา พร้อมที่จะซัพพอร์ตโรงเรียนอย่างเต็มที่ จน ผอ.บุญเรือง กล้าที่จะเปลี่ยนสนามฟุตบอลเป็นนาข้าวอินทรีย์ เนื่องจากโรงเรียนประสบปัญหาน้ำท่วมสนามฟุตบอลอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน และต่อมาชุมชนร่วมกันจัดการที่ดินข้างๆ โรงเรียน เป็นสนามฟุตบอลแทน โรงเรียนก็ยังมีสนามกีฬาเหมือนเดิม โดยการดูแลของภาคส่วนต่างๆ ที่เข้ามาหนุนเสริม จะเห็นว่าผู้นำนั้นมีความสำคัญมากทีเดียว

“สาเหตุหนึ่งที่มันเกิดขึ้นได้ เปลี่ยนสนามฟุตบอลเป็นนาข้าวอินทรีย์ ก็จากความเข้มแข็งของชุมชน เพราะเราหวังเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ถ้าปล่อยไว้ก็เป็นปัญหาและจะต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกมากมาย พอมาทำเป็นนาข้าวอินทรีย์ก็เข้าโครงการอาหารกลางวัน เด็กก็กินข้าวฟรี ในปีแรกก็ประสบความสำเร็จไปด้วยข้าว 92 กระสอบ เหลือก็ขายเป็นทุนให้โรงเรียนเก็บไว้เป็นอาหารกลางวันให้เด็ก 

และเวลานี้ก็ทำสนามฟุตบอลเป็นโคกหนองนาโมเดลไปแล้ว แล้วก็มีฐานการเรียนรู้ต่างๆ อยู่ในโรงเรียน ชาวบ้านมาช่วยกันทำ เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ปลูกผัก เพาะเห็ดฟาง ทุกอย่างอยู่ในโรงเรียน ที่สำคัญที่สุดคือเราได้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา มันถึงเกิดความเข้มแข็ง คิดว่าถ้าสามารถทำกระบวนการนี้ได้ โรงเรียนขนาดเล็กจะยั่งยืน”

“ในส่วนของภาคประชาสังคม ก็มีบทบาทมาก เข้ามาเกื้อหนุนไม่ว่าจะเป็นเกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ ศูนย์วิจัยข้าวขอนแก่น ประมงจังหวัด พัฒนาชุมชน กศน. สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กของเราเดินมาได้ขนาดนี้”

นอกจากผู้นำที่กล้าเปลี่ยนแล้ว จะให้เห็นว่า กลไกการมีส่วนร่วมนั้นก็สำคัญมากในการพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก 

ทั้งนี้ ผอ.บุญเรือง กล่าวว่า การจะให้โรงเรียนขนาดเล็กทั้งหมดคงอยู่กับชุมชนต่อไป กระบวนการพัฒนาที่หลากหลายจำเป็นมาก ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมที่หลากหลาย เช่น จิตศึกษา, PBL, PLC เป็นต้น ซึ่งเป็นวัตกรรมที่จะสามารถไปขัดเกลาให้นักเรียนมีทักษะการคิด วิเคราะห์ รู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น 

“อันดับแรกจึงต้องเปลี่ยนที่หัว คือผู้บริหารต้องเข้าใจเรื่องจิตศึกษาให้มากที่สุด หลังจากนั้นส่งไปที่ครู พอครูได้แล้ว ครูเป็นแบบอย่าง เด็กก็ได้ด้วย กระบวนการตัวนี้เขาเรียกว่า การเป็นสนามพลังบวกซึ่งกันและกัน 

ทุกอย่างในบริบทโรงเรียนจัดเป็นสนามพลังบวกทั้งหมด ตั้งแต่ก้าวแรกเข้าไปในโรงเรียน ซึ่งจะโยงไปถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย ครูเห็นผอ.ก็รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย นักเรียนเห็นครูก็รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย อยู่ในโรงเรียนด้วยกันแบบมีความสุข นวัตกรรมตัวนี้อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยแต่มันเป็นเหมือนกับสมุนไพร ที่รักษาเข้าไปเรื่อยๆ สุดท้ายผมเชื่อว่าภายในหนึ่งสองปีเขาจะเปลี่ยนไปหมดเลย” 

อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ โรงเรียนบ้านหนองขาม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม โดย ผอ. ปิยนันท์ ทั่งปราณี 

“สำหรับโรงเรียนเราได้ไปเรียนรู้นวัตกรรม คือผอ.ได้ไปเห็นของโรงเรียนวัดโคกทอง เราเห็นเด็กที่นิ่งสงบ อยู่กับตัวเอง รู้หน้าที่รู้เวลา เราอยากให้นักเรียนของเราเป็นอย่างนั้นบ้าง เราก็กลับไปที่โรงเรียน ไปขอร้องแกมบังคับคุณครูว่า ขอ 1 ปีนะคะ เดี๋ยวเราจะใช้นวัตกรรมจิตศึกษา PBL และ PLC หนึ่งปีผ่านไปเราถามคุณครูว่าโอเคไหมกับนวัตกรรมที่เราใช้อยู่ เราจะไปต่อหรือพอแค่นี้ คุณครูก็บอกว่าไปต่อค่ะ พอไปต่อเราก็ดำเนินการเลย 

สิ่งที่เราพบก็คือ การเปลี่ยนแปลงคุณครูมันเปลี่ยนยากค่ะ เพราะว่าปกติคุณครูจะมีสองอย่างคือ power over กับ power sharing ซึ่งคุณครูจะใช้ power over ซะส่วนใหญ่ เมื่อเราเปลี่ยนให้คุณครูมาใช้ power sharing ให้เด็กๆ ช่วยกัน มีสิทธิในการตอบคำถาม ไม่ชี้ถูกชี้ผิด พอคุณครูเปลี่ยนเราก็สร้างให้เด็กเปลี่ยน เด็กที่เราเห็นก็คือเด็กจะรู้จักเวลา กำกับตัวเองเป็น รู้จักการรอคอย รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ มีสติ มีสมาธิอยู่กับสิ่งที่ทำ”

ผอ. ปิยนันท์ ทั่งปราณี โรงเรียนบ้านหนองขาม

ทั้งนี้ สิ่งที่ทำให้คุณครูเปลี่ยนความคิดในการจัดการเรียนการสอนโดยหันมาใช้นวัตกรรม ผอ.ปิยนันท์ มองว่า มาจากการที่คุณครูเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของนักเรียน 

“ถ้าคุณครูยังใช้อำนาจเหนือเด็กอยู่ เด็กก็จะไม่พัฒนา เด็กจะไม่กล้าคิด เด็กจะเสียความเป็นตัวเอง”

“สำหรับตัวผอ.เองแล้ว เราสนับสนุนคุณครูเต็มที่ คุณครูต้องการอะไร ต้องการจะไปอบรมหาความรู้เพิ่มเติม หรือว่าต้องการสื่อ หรือว่าจะใช้งบประมาณในการจัดการเรียนการสอนอันนี้ซึ่งบางกิจกรรมเราไม่อยากไปรบกวนเงินผู้ปกครอง โรงเรียนก็หาเงินสนับสนุนเพื่อที่จะให้คุณครูจัดหาสื่อ อุปกรณ์ เพื่อจัดกิจกรรมให้เด็กได้เรียนรู้ 

อีกอย่างที่เราสนับสนุนก็คือ ภาระงานของครู การสอนนี่งานหลัก มันมีเยอะอยู่แล้ว เราไม่นำภาระอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการเรียนการสอนไปให้คุณครูทำ ที่โรงเรียนจะไม่มีการส่งแข่งขัน หรือส่งประกวดอะไร เราสนับสนุนให้ครูพัฒนาเด็กมากกว่า สนับสนุนสื่อ สนับสนุนการพัฒนาตนเองเพื่อไปพัฒนาเด็กของเรา”

“อยากจะฝากคุณครูว่า ถ้าเราเปลี่ยนตัวเองได้แล้ว เปลี่ยนให้เด็กๆ ได้มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น ให้เด็กได้มีตัวตน ไม่ตัดสินชี้ถูกชี้ผิด ให้เด็กรู้สึกปลอดภัยที่อยู่โรงเรียน ให้เขามีความสุข เราก็สามารถสร้างการเรียนดี มีความสุข อย่างแท้จริงได้” ผอ.ปิยนันท์ โรงเรียนบ้านหนองคาม กล่าว

ผู้อำนวยการกล้าเปลี่ยนอีกหนึ่งคน ผอ.ปรียานุช วงษ์แก้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านน้ำมวบ อ.เวียงสา จ.น่าน พูดถึงความเข้มแข็งของโรงเรียนว่า 

“เราเข้มแข็งจากภายใน จังหวัดน่านของเรามีการรวมตัวกันระหว่างโรงเรียนเล็ก และก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน รวมตัวกันเป็นสมาคมผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก แล้วเราก็คิดว่าปัจจัยอะไรละที่ทำให้เราเป็นลูกเมียน้อย เพราะว่าคุณภาพการศึกษาของเราตกต่ำ ทั้งที่ก็เป็นผลสัมฤทธิ์นะคะ เราก็เลยคิดว่าเอ๊ะ…เราจะทำยังไง เราจะเปลี่ยนนักเรียน เปลี่ยนครูยังไง ให้มาเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพได้ 

ผอ.ปรียานุช วงษ์แก้ว โรงเรียนบ้านน้ำมวบ

ประการแรกที่เราคิดก็คือ การมีนวัตกรรม เด็กเก่งมาจากครูที่เก่ง เพราะฉะนั้นปัจจัยสำคัญเราจะต้องพัฒนาครู เราก็เลยมาคิดค้นว่าอะไรมันจะดีที่สุดสำหรับโรงเรียนเล็กของเรา และก็อยู่ใกล้บ้านเราที่สุดด้วย เราก็ได้ยินมาว่าโรงเรียนอบจ. เชียงราย เป็นโรงเรียนที่ใช้เครื่องมือสอนคิด แล้วเขาก็เอาไปใช้ได้ผล มีการเผยแพร่เครือข่ายจนเป็นต้นแบบมีผู้คนมาศึกษาดูงานมากมาย เราก็เลยไปกันโดยความสมัครใจ โรงเรียนลงทุนเอง มีผู้บริหารแล้วก็ครูทั้งโรงเรียนไปทั้งหมด แล้วเราก็นำกลับมาใช้” 

สิ่งแรกที่ผอ.ปรียานุช เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็ก คือ จากเด็กไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่กล้าพูด กลายเป็นเด็กที่สนุกกับการเรียน กล้าตั้งคำถาม และหาคำตอบ

“พอเราเอาเครื่องมือสอนคิดทั้ง 10 เครื่องมือที่ครูเรียนรู้มาด้วยกระบวนการ Thinking Whiteboard 4 ขั้นตอน เด็กสนุก เด็กมีความสุข เขารู้ว่าคำตอบที่เขาตอบไปไม่มีผิดเลย ครูเปิดใจยอมรับฟังทุกคำตอบของเขา ไม่ได้สนใจว่าคำตอบมันจะถูกหรือผิด สนใจที่กระบวนการได้มาซึ่งคำตอบ เพราะฉะนั้นเขามีความสุขมาก อีกทั้งมีชิ้นงาน ผู้ปกครองดีใจที่เราเปลี่ยนลูกเขาได้”

สุดท้ายนี้ ผอ.ปรียานุช ย้ำว่าเด็กที่เก่งมาจากครูที่เก่ง เพราะฉะนั้นในการพัฒนาครู ซึ่งเดิมงบประมาณของโครงการพัฒนาครูตามแผนปฏิบัติการตาม ถูกผูกโยงกับเงินรายหัวของนักเรียน อยากให้แยกออกมาตามบริบทโรงเรียน

“โรงเรียนไหนบริบทเขาเป็นแบบไหน ความต้องการของครูตามบริบทโรงเรียน เราจะไม่ใช้เสื้อตัวนึงเพื่อมาทาบใส่กับครูทั่วประเทศ เพราะความต้องการเราไม่เหมือนกัน บริบทโรงเรียนเราก็ไม่เหมือนกัน บางคนอยู่ในสังคมเมือง แต่น่านส่วนใหญ่โรงเรียนขนาดเล็กจะอยู่ชายขอบอยู่ดอย การคมนาคมสัญจรลำบากมาก อินเทอร์เน็ตก็แย่ ไฟฟ้าจะดับก็ไม่เคยแจ้งเราให้ทราบ เพราะฉะนั้นมรสุมเข้ามาหลายอย่างมาก การพัฒนาครูจึงควรแยกโครงการออกต่างหากจากแผนปฏิบัติการที่มาจากเงินรายหัวของนักเรียน” 

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อคืนครูให้กับเด็ก คืนผู้บริหารให้กับโรงเรียน ซึ่งมีส่วนสำคัญมากต่อการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สานฝันสร้างโอกาสให้เด็กไทยทุกคน

Tags:

ครูโรงเรียนการศึกษานักเรียนปัญหาสังคมโรงเรียนขนาดเล็ก

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Social Issues
    ระบบการศึกษาที่ “อะไรอะไรก็ครู” ไว้ก่อน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อสังคมชวนกันตั้งคำถาม #โรงเรียนขโมยอะไรไปจากคุณ: ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • หน้าตาของความกลัวในรั้วโรงเรียน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘ผลสอบ PISA’ กับความจริงที่ว่า ระบบการศึกษาไทยอ่อนแอ ความสามารถเด็กไทยลดลง
20 December 2023

‘ผลสอบ PISA’ กับความจริงที่ว่า ระบบการศึกษาไทยอ่อนแอ ความสามารถเด็กไทยลดลง

เรื่อง The Potential

  • ผลการประเมินของ PISA ปี 2022สัญญาณเตือนที่สำคัญกับประเทศไทย นั่นคือ ความสามารถของเด็กไทยเริ่มห่างไกลความสามารถของเด็กทั้งโลกมากขึ้นทุกที และการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ความสามารถของเด็กไทยลดลง
  • สิ่งที่น่ากังวลไม่ได้มีเพียงผลคะแนนที่ลดต่ำลง คะแนน PISA ยังบ่งชี้ว่า ‘เด็กไทยที่มีความรู้ไม่พอใช้งานจริง’ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากหลักสูตรแกนกลางของไทยไม่ทันสมัย และไม่เอื้อต่อการสร้างสมรรถนะ
  • จุดอ่อนที่สำคัญ คือ ‘การใช้ทรัพยากร’ รัฐบาลไทยลงทุนด้านการศึกษาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรายได้เท่าๆ กัน แต่ผลลัพธ์กลับไม่ดีเท่าที่ควร  ปัญหาน่าจะมาจากการใช้เงินไม่ตรงจุด หรือ ไม่มีประสิทธิภาพ

ถึงเวลาต้องยอมรับความจริงที่ว่าระบบการศึกษาไทยมีปัญหา และเด็กไทยมีความสามารถที่ลดลง เมื่อโปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ออกมาประกาศผลคะแนน ปี 2022 โดยพบว่า นักเรียนไทยอายุ 15 ปี มีผลคะแนนต่ำสุดในรอบ 20 ปี ทั้งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน ทั้งนี้ประเทศไทยมีผลคะแนนเป็นรองสิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน และมาเลเซีย

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดแถลงข่าวเรื่อง ‘ผลสอบ PISA สัญญาณเตือน วิกฤตการศึกษา แก้ปัญหาให้ถูกจุด’ นำเสนอผลวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาที่ทำให้ผลการเรียนรู้ของเด็กไทยลดต่ำลง พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขที่ตอบโจทย์และตรงจุด เพื่อให้เด็กไทยมีผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ดีขึ้น

ผลสอบ PISA ส่ง 4 สัญญาณเตือน สรรถนะเด็กไทยตกต่ำ

พงศ์ทัศ วนิชานันท์ นักวิจัยอาวุโสด้านการปฏิรูปการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ผลการประเมินของ PISA ปี 2022 ได้ส่งสัญญาณเตือน 4 เรื่อง ที่สำคัญกับประเทศไทย โดย 2 เรื่องแรกเป็น ‘ข้อมูลสำคัญ’ เรื่องที่หนึ่ง คือ ความสามารถของเด็กไทยเริ่มห่างไกลความสามารถของเด็กทั้งโลกมากขึ้นทุกที และเรื่องที่สองคือ การระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้ความสามารถของเด็กไทยลดลง 

จากการวิเคราะห์ข้อมูลคะแนน PISA พบว่า แม้ภาพรวมคะแนนเฉลี่ยของเด็กในกลุ่มประเทศ OECD มีแนวโน้มที่ลดลงเหมือนกัน แต่คะแนนเฉลี่ยของประเทศไทยลดลงมากกว่ามาก จนทำให้ช่องว่างระหว่างประเทศไทยกับโลกห่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเฉพาะวิชาการอ่าน ประเทศไทยห่างจากกลุ่มประเทศ OECD ถึงเกือบ 100 คะแนน 

“ผลการประเมินของ PISA ส่ง ‘สัญญาณเตือน’ อีก 2 เรื่อง สัญญาณแรก คือ ‘ระบบการศึกษาไทยอ่อนแอ’ เนื่องจากเรามีเป้าหมายการเรียนรู้หรือหลักสูตรที่ไม่ทันสมัย และมีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้ทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ซึ่งก็นำไปสู่สัญญาณที่ 2 ว่า คงถึงเวลาแล้วที่เราจำเป็น ‘ต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนและต้องแก้ให้ถูกจุด’ 

พงศ์ทัศ วนิชานันท์ นักวิจัยอาวุโสด้านการปฏิรูปการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)

เด็กไทยอ่านจับใจความไม่ได้มากถึง 65% ความเหลื่อมล้ำไม่เคยลดลง

สิ่งที่น่ากังวลไม่ได้มีเพียงผลคะแนนที่ลดต่ำลง คะแนน PISA ยังบ่งชี้ให้เห็นว่า ‘เด็กไทยที่มีความรู้ไม่พอใช้งานจริง’ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

คุณพงศ์ทัศ กล่าวว่า ผลคะแนน PISA บ่งชี้ถึงระดับความสามารถของเด็ก โดยมีการแบ่งเด็กออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 คือ เด็กที่ยังไม่สามารถนำความรู้ไปใช้งานได้จริง กลุ่มที่สอง คือ เริ่มนำความรู้มาใช้งานได้ กลุ่มที่ 3 คือ นำความรู้มาใช้งานได้ดี และกลุ่มที่ 4 คือ นำความรู้มาใช้งานได้ดีเยี่ยม 

“ผลปรากฏว่าสัดส่วนกราฟที่แสดงถึงจำนวนของเด็กที่ยังไม่สามารถนำความรู้มาใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้จริงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  โดยเฉพาะทักษะด้านการอ่าน พบว่า เด็กไทยอายุ 15 ปี ที่ไม่สามารถอ่านจับใจความบทความสั้นๆ ได้ มีสูงถึง 65% เช่นเดียวกับวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ที่เด็กไม่สามารถนำความรู้มาแก้ปัญหาหรืออธิบายปรากฏการณ์ต่างในชีวิตประจำวันได้” 

ขณะเดียวกันข้อมูล PISA ยังสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยมีเด็กแชมป์เปี้ยน หรือเด็กไทยที่นำความรู้มาใช้ได้อย่างดีเยี่ยมมีแค่ 1% เท่านั้น และปัจจุบันระบบการศึกษามีแนวโน้มผลิตเด็กแชมป์เปี้ยนลดลงเรื่อยๆ 

สำหรับปัญหาเรื่อง ‘ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในประเทศไทย’ คุณพงศ์ทัศ กล่าวว่า หากนำเด็กเก่งกับเด็กที่อ่อนมายืนเรียงกัน เรียงจากคะแนนน้อยสุดไปคะแนนมากสุด พบว่า คะแนนเฉลี่ยของเด็กกลุ่ม 90% สูงกว่าเด็กกลุ่ม 10% เยอะมาก มีช่องว่างที่ห่างกันที่ระดับ 200 คะแนน ซึ่งไม่สามารถปิดช่องว่างให้ชิดกันขึ้นมาได้เลย สะท้อนว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างเด็กเก่งและเด็กอ่อนไม่ลดลงตลอด 10 ปี 

“สำหรับช่องว่างของกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่บ้านแตกต่างกัน โดยถ้าแบ่งกลุ่มเด็กออกเป็น 4 กลุ่ม ไล่จากเด็กรวยสุดไปถึงเด็กจนสุด แบ่งกลุ่มละ 25% พบว่า เด็กกลุ่มที่รวยสุด 25% แรก มีคะแนนสูงมากกว่าเด็กที่จนสุด 25% สุดท้าย และเช่นเดียวกัน เราไม่สามารถปิดช่องว่างระหว่างเด็กรวยและเด็กจนได้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าคุณภาพของเด็กไทยยังน่าเป็นห่วง และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ” 

โควิด-19 ไม่ใช่สาเหตุหลัก ทำสรรถนะเด็กไทยลดลง

ด้วยสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบให้โรงเรียนต้องหยุดเรียน และปรับมาสู่การเรียนรู้แบบออนไลน์ ซึ่งนำมาสู่ ‘ภาวะการเรียนรู้ถดถอย’ ของเด็กจำนวนมาก ทำให้สังคมตั้งคำถามว่าผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนรู้ที่ต่ำลงจากผลคะแนน PISA อาจมีสาเหตุจากวิกฤติโควิด-19

คุณพงศ์ทัศ กล่าวว่า ผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้คะแนนลดลง โดยประเทศไทยปิดโรงเรียนช่วงการระบาดของโควิด-19 สั้นกว่ากลุ่มประเทศ OECD และเมื่อมาดูในรายละเอียดแล้ว พบว่าเด็กที่รวยกว่าจะเจอโรงเรียนปิดนานกว่าเด็กจน เพราะว่าการแพร่ระบาดโควิดจะอยู่ในเมือง แต่ผลคะแนนกลับพบว่าเด็กรวยที่โรงเรียนปิดยาวนานกว่า มีคะแนนสูงกว่ากลุ่มเด็กจนที่โรงเรียนปิดน้อยกว่า แสดงให้เห็นว่าหากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ เด็กรวยเอาตัวรอดได้ ขณะที่เด็กจนจำเป็นต้องพึ่งโรงเรียนอยู่

“ข้อมูลสำคัญคือ การระบาดของโรงโควิด-19 ไม่ได้ทำให้คะแนนเด็กรวยและจนต่างกันมากขึ้น ภาพรวมคะแนนลดลงทั้งคู่ ไม่ได้มีนัยยะสำคัญ ดังนั้นเราปฏิเสธไม่ได้ว่าโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อความสามารถเด็กจากการปิดโรงเรียน แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้คะแนนหรือความสามารถของเด็กไทยลดลง”

ระบบการศึกษาไทยอ่อนแอ หลักสูตรไม่ทันสมัย 

การประเมินของ PISA มีนัยยะสำคัญคือเป็นตัวสะท้อนระบบการศึกษาว่าสร้างเด็กมีความสามารถได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งแนวข้อสอบจะมุ่งเน้นวัดผลว่าเด็กนำความรู้มาประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตจริงได้ หรือ มีสมรรถนะมากเพียงใด ฉะนั้นเมื่อย้อนกลับมาที่ระบบการศึกษาไทยจะพบว่าหลักสูตรแกนกลางของไทยไม่ทันสมัย และไม่ได้เอื้อต่อการสร้างเด็กให้มีสมรรถนะ

คุณพงศ์ทัศ กล่าวว่า สมรรถนะ หมายความว่า ต้องมีทั้งความรู้ ทักษะ และเจตคติด้วย ไม่ใช่ความรู้แบบโดดๆ แต่ถ้ากลับมามองหลักสูตรไทย เราจะพบว่าหลักสูตรการศึกษาไทยไม่ทันสมัย เพราะว่าใช้หลักสูตรแกนกลางฉบับนี้มา 15 ปีแล้ว ที่ผ่านมามีการปรับเล็ก คือปรับเป็นวิชา เรื่องของคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ แม้เบื้องต้นจะไปในทางที่ดีขึ้น แต่ว่าโครงสร้างโดยรวมก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้อาจจะมีการปรับตัวชี้วัดต้นทาง ปลายทาง แต่ในทางปฏิบัติ เรายังส่งเสริมระดับความคิดที่หมือนเดิมอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

“ทีมวิจัยได้วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางของไทยในปัจจุบัน พบว่าไม่น่าจะทำให้เด็กเกิดสมรรถนะ หรือนำความรู้ไปใช้จริงในชีวิตได้ดีนัก เพราะเน้นความรู้เป็นหลัก 

ตัวชี้วัดกว่า 88 % เป็นเรื่องความรู้ มีเพียงแค่ 4% เท่านั้น ที่เป็นการส่งเสริมแบบรอบด้าน หรือเป็นสมรรถนะ ที่สำคัญความรู้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการท่องจำ ยังไม่ได้ยกระดับไปถึงเรื่องการประเมิน การวิเคราะห์ หรือว่าการสร้างสรรค์สิ่งใหม่”

จัดการทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพ ครูไม่ครบชั้น ภาระงานล้นมือ 

อีกจุดอ่อนที่สำคัญ คือ ‘การใช้ทรัพยากร’ รัฐบาลไทยลงทุนด้านการศึกษาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรายได้เท่าๆ กัน แต่ผลลัพธ์กลับไม่ดีเท่าที่ควร  

คุณพงศ์ทัศ กล่าวว่า เมื่อเราลงทุนเยอะแต่ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ แสดงว่าปัญหาไม่ใช่เรื่องเรามีเงินไม่พอ แต่ปัญหาน่าจะมาจากการใช้เงินไม่ตรงจุด หรือ ไม่มีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมาเงินถูกแบ่งนำไปใช้ 3 เรื่องคือ คน ครู และเวลา โดยเงินส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นเงินเดือนครู ปัญหาคือประเทศไทยมีปัญหาเรื่องโรงเรียนขนาดเล็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากเรามีอัตราการเกิดที่ลดลง ซึ่งโรงเรียนประถมมีความสำคัญในการสร้างรากฐานให้เด็กสามารถเรียนในระดับที่สูงขึ้น ปัจจุบันโรงเรียนประถมมีปัญหาครูไม่ครบชั้น ครูต้องสอนคละชั้น ทำให้ดูแลเด็กไม่ทั่วถึง ถ้าต้องเพิ่มครูให้ครบชั้น เราต้องเติมครูอีกประมาณ 50,000 คน ซึ่งหากคิดเป็นเงินเดือนครูจบใหม่ เริ่มต้น 15,000 บาท ต่อคนต่อเดือน อาจจะต้องใช้งบประมาณ 9,000 ล้านบาทต่อปี แล้วก็ใช้ผูกพันไปเรื่อย ๆ ซึ่งผลของ PISA บอกเหมือนกันว่า โรงเรียนที่ขาดครู เด็กจะมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าโรงเรียนที่มีครูครบชั้น 

“งบประมาณที่ใหญ่เป็นอันดับสอง คือ งบดำเนินงาน ที่ใช้ทำโครงการต่างๆ 11% ซึ่งงบประมาณส่วนนี้ รัฐส่วนกลางจะเป็นผู้ตัดสินใจ โรงเรียนไม่มีอิสระในการนำไปใช้จ่าย และต้องตามมาด้วยการรายงานผล ทำให้ครูมีภาระงานเพิ่ม ไม่มีเวลาสอนเต็มที่ ซึ่งตรงนี้มีผลสำรวจของ TDRI เหมือนกันว่า 

ภาระที่ครูรู้สึกว่าเป็นปัญหามากที่สุด คือ การรายงานผลโครงการต่างๆ จะเห็นว่าเรามีปัญหาเรื่องเงิน คน และเวลา การจัดสรรทั้ง 3 เรื่องนี้เกี่ยวข้องกัน และสะท้อนให้เห็นว่า เรามีการจัดสรรที่ไม่มีประสิทธิภาพ” 

ถอดโมเดลการศึกษาสิงคโปร์-ฟินแลนด์ พัฒนาเด็กความสามารถสูง

หากเปรียบเทียบการศึกษาของประเทศที่เด็กมีความสามารถสูง คุณพงศ์ทัศ บอกว่า มี 2 ประเทศที่น่าสนใจและมีความแตกต่างกัน คือ สิงคโปร์และฟินแลนด์ โดยสิงคโปร์มีความโดดเด่นด้านการผลิตและพัฒนาครู ส่วนฟินแลนด์โดดเด่นเรื่องของหลักสูตรการสอน 

“สิงคโปร์มีกติกาว่าจะต้องมีการปรับหลักสูตรทุกๆ 6 ปี และเน้นสมรรถนะ แต่จะมีความคล้ายไทย คือ เน้นศาสตร์รายวิชา แต่สิงคโปร์จะมีการบูรณาการมากขึ้น ส่วนการผลิตครูต้องมั่นใจว่า ครูสามารถนำหลักสูตรไปใช้ได้อย่างเต็มที่ และมีการผลิตครูเชื่อมโยงกับความต้องการของโรงเรียน ที่สำคัญมีระบบจูงใจให้คนมาเป็นครูเป็นพิเศษ เช่น ให้ทุนการศึกษา หรือค่าครองชีพในขณะที่มาเรียน นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบค่าตอบแทนของครูและอาชีพอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับค่าจ้างครูให้สามารถแข่งขันและดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาเป็นครูได้ตลอด รวมทั้งยังมีการประเมินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการประเมินจะแตกต่างกันตามตำแหน่งและประสบการณ์ของครู”

สำหรับประเทศฟินแลนด์มีการปรับหลักสูตรทุกๆ 10 ปี มีเป้าหมายการสร้างให้เด็กมีสมรรถนะ แต่หลักสูตรไม่เน้นศาสตร์วิชาเหมือนสิงคโปร์และไทย 

“หลักสูตรของฟินแลนด์จะเน้นบูรณาการข้ามศาสตร์ ผ่านการสอนที่ใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน มีการเรียนรู้จากการปฏิบัติ พัฒนาทักษะการวิจัย วิศวกรรม และวิทยาศาสตร์ เช่น การนำนาโนเทคโนโลยีมาเป็นแกนในการสอน ส่วนเรื่องการผลิตและพัฒนาครูมีความพยายามให้ครูนำหลักสูตรไปใช้สอนได้อย่างเต็มที่ และที่น่าสนใจคือ ฟินแลนด์มีการจัดสรรเวลาให้ครูพัฒนาวิชาชีพร่วมกัน เช่น การพัฒนาหลักสูตร พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน 100 ชั่วโมงต่อปี”

อย่างไรก็ดี จุดเด่นที่เห็นได้ชัดในการพัฒนาหลักสูตรของประเทศสิงคโปร์และฟินแลนด์ คุณพงศ์ทัศ บอกว่า มี 3 ส่วนสำคัญ คือ หลักสูตรมีความทันสมัยเน้นสมรรถนะ มีการปรับหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง และมีระบบการผลิตและพัฒนาครูที่มั่นใจได้ว่าสามารถนำหลักสูตรไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากประเทศไทยจะนำมาใช้ก็ต้องมีการศึกษาถึงแนวทางที่เหมาะสม

ถึงเวลายกเครื่องการศึกษาไทยแบบเร่งด่วนและตรงจุด

จากผลสะท้อนของข้อมูล PISA ในภาพรวมทั้งหมด สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยได้จัดทำข้อเสนอ 3 ระยะ เพื่อปรับปรุงคุณภาพของระบบการศึกษาไทย

คุณพงศ์ทัศ กล่าวว่า ข้อเสนอระยะสั้น (ภายใน 1 ปี) คือ ‘ลดภาระงานอื่นของครู’ เพื่อให้ครูสอนได้เต็มที่ กระทรวงฯ ควรทบทวนโครงการต่างๆ ที่โรงเรียนต้องรายงานผล และบูรณาการไม่ให้รายงานเยอะเกินไป ปีต่อไปก็ไม่ควรสร้างตัวชี้วัดใหม่ๆ เพื่อให้โรงเรียนต้องรายงาน แต่ควรนำผลลัพธ์จากระบบที่โรงเรียนทำเป็นปกติมาใช้ในการรายงานผล เช่น เรื่องคะแนนสอบ ผลการประกันคุณภาพ 

“ข้อเสนอระยะกลาง (ภายใน 3 ปี) คือ ‘ยกเครื่องหลักสูตร’ พร้อมทั้งออกแบบระบบอื่นๆ ให้รองรับหลักสูตรใหม่ที่พร้อมนำไปใช้งาน โดยจำเป็นต้องมีการปรับหลักสูตรแกนกลาง 2551 ใหม่ ให้อิงสมรรถนะมากขึ้น และส่งเสริมการคิดขั้นสูง เช่น การคิดวิเคราะห์ การประเมิน การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ที่สำคัญควรมีการทดลองนำไปใช้ก่อน เพื่อลดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ก่อนที่จะขยายผลทั่วประเทศ ในเวลาเดียวกันก็ควรออกแบบระบบอื่นๆ ให้สอดคล้องกับหลักสูตร โดยเฉพาะเรื่องของการผลิตและพัฒนาครู การประกันคุณภาพ หรือการสอบมาตรฐาน

ส่วนข้อเสนอระยะยาว (ดำเนินต่อเนื่อง) คือ เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการศึกษาไทย เป็น ‘การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก’ รัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจน อาจจะเริ่มจากข้อเสนอของธนาคารโลก เรื่องการบริหารควบรวมและพัฒนาเป็นเครือข่าย อย่างโรงเรียนที่ห่างกันไม่มากนัก สามารถเคลื่อนย้ายเด็กได้ แต่ในกรณีที่โรงเรียนไม่สามารถควบรวมเป็นเครือข่าย หรือไม่มีเครือข่ายให้พัฒนาร่วมกัน จำเป็นต้องอยู่ที่เดิม รัฐควรสนับสนุนเพิ่มทรัพยากรให้เขามีอย่างเพียงพอ” 

ทั้งนี้การจะบริหารจัดการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยสำคัญ คือ ‘การยกระดับการมีส่วนร่วมของชุมชน’ 

คุณพงศ์ทัศ กล่าวว่า เราต้องสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ผ่าน 3 แนวทาง อันดับแรก คือ ‘การสื่อสารสองทาง’ เพื่อให้ชุมชนและภาครัฐเข้าใจซึ่งกันและกันว่าต้องการอะไร อันดับที่ 2 คือ รัฐจำเป็น ‘ต้องให้ชุมชนตัดสินใจเต็มที่’ ในการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินจากกรณีที่มีการยุบหรือควบรวมโรงเรียน และอันดับที่ 3 คือ รัฐต้อง ‘สร้างหลักประกัน’ ชุมชนสามารถนำทรัพย์สินของโรงเรียนที่ยุบไปนั้นไปใช้ประโยชน์ต่อได้ เช่น ถ้าโรงเรียนต้องการใช้ในด้านสาธารณสุข หรือ อนามัย รัฐต้องมีการจัดการเป็นที่ราชพัสดุ หรือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เข้ามาบริหารจัดการที่ดินทรัพย์สินตรงนี้ 

“ที่สำคัญต้องมีการออกแบบสร้างแรงจูงใจให้ครูไปอยู่โรงเรียนเล็กห่างไกล เพราะว่าอาจจะไม่มีมาตรการที่เหมาะสมกับครูทุกคน ตรงนี้จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยว่า แต่ละพื้นที่ควรมีมาตรการแบบไหน เพื่อให้ตอบโจทย์ครูที่ไปอยู่โรงเรียนชนบทห่างไกลซึ่งไม่สามารถควบรวมได้ และต้องนำงบประมาณที่ประหยัดได้ มาบริหารจัดการในส่วนนี้เพิ่มเติมเพื่อให้โรงเรียนห่างไกลให้มีทรัพยากรที่เพียงพอ”

ชัดเจนว่าการแก้ปัญหาระบบการศึกษาไทย คงจะไม่สามารถแก้ได้ด้วยวิธี Quick win หรือ One Short สิ่งสำคัญคือ ‘ต้องปรับทั้งตัวระบบ’

“สิ่งที่เราปรับต้องตอบให้ได้ว่า กระทบต่อการเรียนรู้ของเด็กอย่างไร ฉะนั้นสิ่งที่ไม่ควรทำ เช่น การอบรมครูเป็นครั้งๆ ไป แม้ว่าเราจะเอาผู้เชี่ยวชาญมาอบรม แต่ว่าโครงสร้างหรือระบบไม่ได้เปลี่ยน ก็ไม่น่าเกิดผลดีในระยะยาว หรือแม้แต่การเตรียมพร้อมในการสอบ เช่น การติวสอบ ก็ไม่ควรทำ เพราะต่อให้คะแนนเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ว่าความสามารถที่เด็กจะนำมาใช้งานไม่ได้เป็นไปตามนั้น” 

Tags:

TDRIการอ่านการศึกษาไทยความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาPISAการประเมินสมรรถนะนักเรียนเด็กไทยภาวะการเรียนรู้ถดถอย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • ‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD: Learning Disability) คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an Educator
    ‘การอ่าน’ คือต้นทุน(เปลี่ยน)ชีวิตเด็ก กำหนดอนาคตประเทศไทย: พญ.ปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี – หมอแพมชวนอ่าน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ถึงเวลาการศึกษาไทยต้องอัพเดทแพทช์! ความหวังหลังเลือกตั้งของ ‘อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ’

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ข้อเสนอ ‘ปฏิรูปการศึกษา’ คลายปมปัญหาที่ฉุดรั้งเด็กไทย : ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์

    เรื่อง The Potential

  • นวัตกรรม ‘ห้องเรียนเคลื่อนที่’ การจัดการเรียนรู้ในพื้นที่ห่างไกล เมื่อออนไลน์ไปไม่ถึง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

แมวปริศนากับใบไม้แห่งคำทำนาย – เปิดใจกันหน่อยคนดี
Book
14 December 2023

แมวปริศนากับใบไม้แห่งคำทำนาย – เปิดใจกันหน่อยคนดี

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • แมวปริศนากับใบไม้แห่งคำทำนาย เป็นหนังสือที่ถูกนิยามว่าเป็นนิยายซึ่งจะผ่อนคลายความกังวล เหมาะกับคนที่ชีวิตกำลังหลงทาง ที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตของคนทั้ง 7 คน
  • เรื่องราวแอบแฝงธรรมะแบบฉบับคนญี่ปุ่นที่พยายามเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง มีการแทนสัญลักษณ์และตีความหมายได้งดงาม ได้พบกับความสัมพันธ์ที่หลากหลายรูปแบบ
  • บางครั้งเรากังวลใจไปก็เท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตก็เป็นแบบนี้ ที่ไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างที่เราคิดจริงหรือไม่

*** มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ

หนังสือเล่มนี้นอกจากมีหน้าปกที่สวยงามละมุนใจด้วยลายเส้นของศิลปินนักวาดที่ชื่นชอบ แต่เหตุผลที่เราตัดสินใจหยิบหนังสือไปจ่ายตังค์ทันทีก็เพราะคำโปรยหลังปกที่เขียนว่า 

“นิยายซึ่งจะผ่อนคลายความกังวล เหมาะกับคนที่ชีวิตกำลังหลงทาง” และแน่นอนที่สุดเพราะว่ามันมีแมว!

แต่ความจริงแล้วเรื่องราวก็ไม่ได้เกี่ยวกับแมวซักเท่าไหร่หรอก (ฮ่า) แมวปริศนานี้ก็เพียงแค่โผล่มาแสดงความแฟนตาซีแว้บๆ ในแต่ละบทเพื่อช่วยนำเสนอเรื่องราวชีวิตของคนทั้ง 7 ในหนังสือเล่มนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นมากกว่า

หนังสือนิยายเล่มนี้แปลมาจากภาษาญี่ปุ่น โดยแบ่งออกเป็น 7 บท ตามจำนวนของคน 7 คน พร้อมกับ 7 คำทำนาย คนเหล่านี้ต่างประสบปัญหาชีวิตที่ยังหาคำตอบไม่เจอ หรืออาจเรียกว่ากำลังสับสนหลงทางอยู่ พวกเขาได้เดินไปเจอศาลเจ้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ แล้วได้พบกับ ‘มิกุจิ‘ แมวสีดำลายขาวที่มีรูปดาวตรงสะโพกซึ่งได้โผล่มาแจกคำทำนายด้วยใบของต้นไม้ชื่อ ‘ทาราโย’

(ต้นทาราโยหรือต้นโปสการ์ด คือต้นไม้ที่เมื่อเราขูดด้านหลังของใบไม้มันจะทิ้งรอยเป็นสีน้ำตาลไว้ คนสมัยก่อนจึงมักจะนำใบมาใช้คัดบทสวดมนต์ หรือบางทีก็นำมาใช้เขียนเป็นจดหมายโต้ตอบกัน)

ต้นทาราโยที่ศาลเจ้า บ้างก็มีคนมาเขียนขอพร บ้างก็มีคนมาเขียนบ่นชีวิต

ส่วนใบไม้ที่ 7 คนในเรื่องได้รับนั้นเป็นเพียงคำสั้นๆ ที่เจ้าอาวาสบอกว่ามันเป็น ‘คำพยากรณ์’ ซึ่งมีแค่เจ้าตัวคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นว่ามันเขียนว่าอะไร แต่ละคำก็เหมือนจะเป็นคำบอกใบ้ให้กับปัญหาเรื่องที่พวกเค้ากำลังหนักใจอยู่

เราคิดว่าเรื่องราวแอบแฝงธรรมะแบบฉบับคนญี่ปุ่นที่พยายามเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง มีการแทนสัญลักษณ์และตีความหมายได้งดงาม ได้พบกับความสัมพันธ์ที่หลากหลายรูปแบบ มีทั้งคนรัก เพื่อน ครอบครัว หรือกับสิ่งไม่มีชีวิตอย่างโมเดลพลาสติก มันทั้งอบอุ่นดีต่อใจและคลายกังวลได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ในครั้งนี้คนที่เราอยากเขียนถึงคือ ‘เท็ตสึ‘ คุณปู่วัยเกษียณที่อาศัยอยู่กับลูกสะใภ้และหลานตัวน้อย

ในอดีตปู่เท็ตสึเคยเปิดร้านโมเดลพลาสติกเป็นเวลานานกว่า 30 ปี เขาหลงใหลและมีแพสชั่นกับโมเดลพลาสติกมาก แต่พอคนหันมาซื้อของออนไลน์กันมากกว่า ที่ร้านเลยขายไม่ดี คุณปู่เท็ตคิดว่ามันคงถึงเวลาที่ต้องหยุดทำงานแล้วใช้ชีวิตสงบสุขกับภรรยาของเขาที่กำลังจะเกษียณจากอาชีพพยาบาลในอีกไม่ช้า

แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจบอกภรรยาว่าตัดสินใจปิดร้านแล้วนะ ภรรยาก็ขอหย่าโดยบอกคุณปู่ว่า

“เธอได้ทำงานเต็มที่แล้ว ลูกชายคนเดียวก็แต่งงานแล้ว หลังจากนี้อยากเป็นอิสระ และใช้ชีวิตทำในสิ่งที่ชอบ เหมือนเช่นคุณปู่กับโมเดลพลาสติก” ซึ่งเหตุผลนั้นทำให้คุณปู่ไร้คำพูดใดมายื้อภรรยาไว้

ลูกชายบอกกับคุณปู่ว่า ลูกชายเห็นด้วยกับการหย่าในครั้งนี้ เขาบอกว่า “คุณปู่ทุ่มเวลาให้กับร้านและโมเดลพลาสติกมาตลอด โดยไม่สนใจอย่างอื่นเลย ไม่เคยสังเกตเห็นเวลาแม่ป่วย” หรือตัวของลูกชายเองก็อยากมีกิจกรรมที่ทำพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวแต่สิ่งนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้น

หลังจากนั้นลูกชายก็ไม่ค่อยพูดกับคุณปู่อีก เลยเหมือนเขาเสียทั้งภรรยาและลูกชายไปพร้อมๆ กัน 

ในมุมของคุณปู่เท็ตสึเค้ารู้สึกคาใจว่า “ทำไมไม่บอกกันตรงๆ ทำไมถึงเลือกที่จะนิ่งเงียบกันหมด เขาเลยนึกว่าไม่มีปัญหาอะไร ทำไมทุกคนถึงมาบอกตอนที่ความรู้สึกมันไปไกลจนไม่อาจหวนคืนได้”

แต่แทนที่คุณปู่จะเอ่ยถามออกไป เขากลับโทษตัวเองว่าเป็นเพราะเขาหมกมุ่นกับโมเดลพลาสติกมากเกินเลยทำให้ทุกคนจากไป เขาจึงตัดสินใจเลิกกับโมเดลพลาสติกด้วย 

หลังจากนั้นคุณปู่อาศัยก็อยู่คนเดียวเป็นเวลาเกือบ 3 ปี แล้วก็มีเหตุให้ลูกสะใภ้มาขออยู่ที่บ้านด้วยเพราะลูกชายคนเดียวของคุณปู่ย้ายไปทำงานที่ต่างจังหวัด ซึ่งในตอนแรกคุณปู่ก็แสดงออกท่าทีว่าหงุดหงิดลูกสะใภ้ที่ชอบมาสั่งให้ทำนู่นทำนี่ แถมตัดสินใจแทนในเรื่องต่างๆ หลานตัวน้อยก็ไม่ค่อยเล่นกับเขา 

แล้วการทอดทิ้งสิ่งที่เป็นแพชชั่นไปเพราะหวังจะใช้ชีวิตเรียบง่ายกลับทำให้เขารู้สึกไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ใช้ชีวิตไปวันๆ เป็นภาระให้คนอื่น

คุณปู่แวะเข้าไปที่ศาลเจ้าแล้วคิดเชิงอธิษฐานว่า “ถ้าพระเจ้ามีตัวตนจริง ได้โปรดรับฟัง ช่วยให้ผมใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบโดยไม่ต้องเกิดเรื่องอะไรอีกได้ไหม

 ไม่ต้องทรมานกับสิ่งใด ไม่ต้องทำให้ใครต้องทนทุกข์”

หลังจากนั้นแมวมิกุจิก็โผล่มาแจกคำทำนาย แล้วเรื่องราวก็ค่อยๆ เผยออกมาทีละนิดปะติดปะต่อกันจนทำให้เราเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่าง ส่วนคุณปู่ก็กล้าเปิดใจให้ลูกสะใภ้ว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไรบ้าง

ที่ผ่านมาเขาคิดว่าการใช้ชีวิตของเขาทำให้คนอื่นต้องเป็นทุกข์ เค้าคิดว่าลูกชายเกลียดเขาและโมเดลพลาสติก แล้วก็ค้นพบว่าจริงๆ ที่ตัวเองมีท่าทีรำคาญ กันลูกสะใภ้และหลานออกไป เพราะกลัวว่าอาจทำให้ทั้งสองคนเสียใจจนจากไปแล้วทำให้ตัวเองต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานอย่างที่ผ่านมาอีก

คุณปู่ขอร้องลูกสะใภ้ว่า “อย่าทอดทิ้งเขาเลย เค้าจะไม่สนใจโมเดลพลาสติกอีกแล้ว” ลูกสะใภ้บอกว่ามันไม่เกี่ยวกับโมเดลเลย

เธอบอกความจริงว่า สามีของเธอแสดงออกว่าโล่งใจที่เธอมาอยู่ด้วย และเค้าก็ไม่ได้เกลียดโมเดลพลาสติก เค้าแค่อิจฉาที่พ่อให้ความสำคัญกับมันมากกว่า และรู้สึกเศร้าที่ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่งระหว่างที่พ่อต่อโมเดล เค้าบอกว่า “พ่อรักเขาไม่เท่าโมเดลพลาสติก”

เมื่อคุณปู่ได้รับรู้เค้าก็ตกใจเล็กน้อย เพราะในมุมของคุณปู่ เขาแค่เป็นห่วงว่าลูกจะต้องสูดดมสารเคมีที่ทำหกไว้ หรือแตะโมเดลที่เพิ่งทาสีเสร็จแล้วทำให้เกิดอันตราย คุณปู่คิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้มันคงเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนถ่างช่องว่างระหว่างเค้ากับลูกชายให้ห่างกันไปทีละนิด

คุณปู่คิดในใจว่าทั้งที่เค้าห่วงใยลูกแต่กลายเป็นเค้าไม่สามารถสื่อสารเสน่ห์ของโมเดลและความรักในฐานะพ่อออกไปได้

และคุณปู่ยังรู้สึกอีกว่าทุกคนมีอะไรมักไม่ค่อยเล่าให้ฟัง ทั้งภรรยาเก่า ทั้งลูกชายต่างทำเหมือนเค้าเป็นคนนอก ลูกสะใภ้เลยบอกว่า “คุณพ่อก็ไม่ได้เปิดใจให้ใครเข้าไปเช่นกัน” และยังบอกอีกว่า “ถ้าคุณพ่อไม่ยอมเปิดใจพูดให้ชัดแบบที่ทำอยู่นี้ ก็ไม่มีใครเข้าใจหรอกค่ะ”

การได้คุยเปิดเผยความในกับลูกสะใภ้ทำให้คุณปู่เท็ตสึได้พบทางออกของปัญหาทั้งหมดที่หนักใจ

ความจริงแล้วต่างคนต่างมีมุมมองของตัวเองซึ่งทำให้ตีความเรื่องราวเดียวกันนี้ไปคนละแบบ

เป็นอะไรที่น่าเสียดายที่หลายครั้งความเคยชินในครอบครัวหรือความสัมพันธ์ก็ทำให้เวลาเรามีความรู้สึกอะไรกลับไม่พูดกันตรงๆ ไม่อธิบายสิ่งที่เราคิดหรือแสดงออกเพราะคิดว่าเขาจะเข้าใจเรา

แต่เรื่องราวของคุณปู่เท็ตสึก็แสดงให้เราเห็นว่า ยิ่งไม่พูด ไม่แจกแจง ไม่อธิบาย มันทำให้เราเข้าใจกันผิดได้ เพราะงั้นถ้าไม่อยากให้เรื่องราวทุกอย่างมันสายเกินไปก็ควรฝึกเปิดใจกว้างๆ ให้กันอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากเรื่องของคุณปู่เท็ตสึ ในหนังสือก็ยังมีเรื่องราวของหญิงสาวที่อกหักจากการแอบรักและอยากให้ความรู้สึกนี้จบไปไวๆ คุณพ่อที่ลูกสาวกำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น และรู้สึกว่าเริ่มห่างจากลูกแต่ไม่รู้ต้องทำตัวยังไง มีคุณแม่บ้านเต็มตัวที่ต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก เธอเคยฝันอยากเป็นนักเขียนการ์ตูนแต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรตัดใจมั้ย มีชายหนุ่มที่ออกตามหาตัวตนเพราะไม่รู้ว่าสิ่งไหนที่ตัวเองทำได้ดี มีกระทั่งเด็กประถมผู้อยากมีความสุขกับการไปโรงเรียน และแม่หมอดูดวงที่ไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตตัวเองต่อ

เรารู้สึกประทับใจวิธีการเล่าเรื่องที่เหมือนทำให้เราเข้าไปนั่งอยู่ในความคิดของแต่ละคน เราจะได้รู้มุมมองของคนคนนั้นแล้วก็ค่อยๆ เปิดเผยว่าสิ่งที่คนนั้นคิด กับสิ่งที่เป็นบางทีมันอาจเป็นคนละเรื่องกันเลย ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินอะไร

หนังสือเล่มนี้มันคลายกังวลเราด้วยความคิดนี้แหละ ว่ากังวลใจไปก็เท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละ เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเป็นอย่างที่เราคิดจริงรึเปล่า

Tags:

หนังสือญี่ปุ่นครอบครัวแนวคิดความกังวล

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Book
    ความสุขคืออะไร?  คำถามที่ทุกคนต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    รถไฟขนเด็ก – เพราะรักจึงยอมปล่อยมือ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Movie
    Like Father, Like Son : นายไม่ต้องเป็นพ่อแบบที่พ่อนายเป็นก็ได้นะ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    After the storm: เผชิญหน้าเพื่อลาจาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • How to enjoy lifeBook
    ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ข้อสังเกตในยุคที่ ‘อะไรอะไรก็ต้องเป็น Active Learning’ เมื่อ AL อาจทำให้มุมมองการสอนของเราแคบลง
Education trendSocial Issues
11 December 2023

ข้อสังเกตในยุคที่ ‘อะไรอะไรก็ต้องเป็น Active Learning’ เมื่อ AL อาจทำให้มุมมองการสอนของเราแคบลง

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อ ‘Active learning’ หรือการเรียนรู้เชิงรุก เข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก ย่อมเกิดข้อถกเถียงที่ว่า อะไรคือความหมายที่แท้จริงหรือที่ควรจะเป็นกันแน่
  • ความหมายที่มีร่วมกันของ Active learning ก็คือการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ การคิด และการปฏิบัติ
  • ในแง่หนึ่ง Active learning เป็นการเมืองของการศึกษา ที่ทำให้ความหมายของการศึกษาและการสอนแคบลง ทำให้เรามีวิธีคิดและการมองโลก มองนักเรียนของเราแบบหนึ่งขึ้นมาด้วยเช่นกัน

นับตั้งแต่แนวคิดการศึกษาในศตรวรรษที่ 21 เข้ามาเป็นแนวคิดกระแสหลักในแวดวงการศึกษาไทย การปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ต่างไปจากเดิมได้ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในประเด็นบทบาทของครูที่ต้องกลายเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ (teacher as facilitator) หรือครูเป็นโค้ช มากกว่าเป็นผู้สอนที่ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนเพื่อบรรยายและส่งต่อความรู้ไปยังนักเรียน แนวคิดดังกล่าวทำให้กระแสการเรียนรู้เชิงรุก ‘Active Learning’ หรือ AL กลายเป็นทั้งเป้าหมายและแนวทางที่ทั้งกระทรวงศึกษาธิการและสถาบันผลิตครูต่างนำไปตีความและปรับใช้กันอย่างแข็งขัน เพื่อหวังจะสร้างและพัฒนาครูให้มีทักษะและความสามารถในการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดนี้   

จากกระแสดังกล่าว การอบรม โครงการ การประชาสัมพันธ์ คู่มือต่างๆ จำนวนมากที่มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AL อย่างจริงจังถูกสร้างสรรค์และนำเสนอตลอดช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าไม่ว่าจะหันหน้าไปทางใด คำว่า Active Learning ก็ปรากฏอยู่ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าผู้คนในวงการการศึกษาต่างพยักหน้ายอมรับไปในตัวว่า AL นี่แหละคือทางออกสำคัญของปัญหาการศึกษาที่เป็นอยู่ จนดูเหมือนว่ามันกลายเป็นยุค ‘อะไรอะไรก็ต้องเป็น Active Learning’ ไปเสียแล้ว

แน่นอนว่า เมื่อ ‘Active Learning’ เข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก ย่อมเกิดข้อถกเถียงที่ว่าอะไรคือความหมายที่แท้จริงหรือที่ควรจะเป็นของ Active Learning กันแน่  

ในมุมมองหนึ่ง AL ถูกนิยามความหมายผ่านการนิยามสิ่งที่เป็นขั้วตรงข้าม การสอนแบบบรรยายจึงถูกประเมินว่าไม่ active เพราะเด็กฟังอย่างเดียวทำให้เกิดการเรียนรู้แบบ passive ในขณะที่กระบวนการและกิจกรรมในรูปแบบอื่นๆ ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม Active Learning เพราะผู้เรียนไม่ได้ถูกสอนแต่ได้เรียนรู้เอง แต่ในบางแง่มุมก็มีความพยายามโต้แย้งว่าการสอนแบบบรรยายก็เป็น AL โดยไม่จำเป็นต้องมีกิจกรรมการเรียนรู้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการให้นักเรียน active ไปกับส่วนไหน อาทิ ร่างกาย สมอง ความรู้สึก เป็นต้น แต่ท้ายที่สุด ความหมายที่มีร่วมกันของ AL ก็คือการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ การคิด และการปฏิบัติ

ความเป็นการเมืองของ Active Learning

ข้อเขียนนี้ไม่ได้ต้องการนำเสนอความหมายและหลักการว่า AL ควรเป็นอย่างไร แต่ต้องการเสนอข้อสังเกตบางประการถึง Active Learning ในฐานะ ‘ประดิฐกรรมการเรียนรู้’ (learnification) ที่ตัวมันเองได้ซ่อนนัยยะบางอย่างเอาไว้ 

ประการแรก การทำให้ AL ดูเสมือนเป็นคำตอบหลักของการศึกษาในช่วงเวลานี้ อาจนำมาสู่ปัญหาใหญ่นั่นคือ การทำให้ความหมายของการสอนหรือการคิดเรื่องการศึกษาแคบลง พูดให้ชัด AL ทำให้เราติดอยู่กับการคิดว่าวิธีสอนแบบไหนเป็น active หรือ passive อยู่ตลอดเวลา เราจะเห็นว่าครูมักจะมีคำถามเกี่ยวกับการสอนของตัวเองเสมอๆ ว่า “นี่เป็น Active Learning หรือยัง?” หรือพยายามค้นหาเทคนิควิธีการว่าจะทำให้ห้องเรียนตัวเองเกิด Active Learning ได้อย่างไร คำถามของครูจึงวนเวียนอยู่เพียงเรื่องจำพวกเทคนิควิธีการ action และ reaction ว่าจะทำอย่างไรให้เกิด active และลดความเป็น passive ให้มากที่สุด ยังปรากฏชัดในแผนการสอนที่นักศึกษาครูมักจะถูกสอนว่า ต้องเขียนแผนการสอนที่นักเรียนต้องขึ้นต้นเป็นประธานของการเรียนรู้ เพื่อที่จะบอกว่าแผนการสอนของตนเป็นไปตาม AL แล้ว เหล่านี้ได้พาให้เราติดอยู่กับคำถามที่ว่า แบบไหน active และ active กว่า active ที่แท้จริง และ active ที่แท้จริงกว่า 

จะเห็นได้ว่า AL สามารถกำหนดทิศทางของการพูดคุยเรื่องการสอนและการศึกษาให้อยู่ในกรอบของ ‘ประสิทธิภาพ’ ได้อย่างแข็งขัน สอดรับกับการวิจัยที่มีอยู่อย่างมากมายในสถาบันผลิตครูที่มักจะมุ่งหาวิธีการ…เพื่อเพิ่ม/พัฒนา/ส่งเสริมทักษะ…ของนักเรียน ที่ท้ายสุดเราก็จะตกอยู่ในกรอบของการคุยกันเพียงเพื่อจะทำอย่างไรให้บทเรียนมีประสิทธิภาพได้มากที่สุด ส่วนนิยามการสอนถูกมองเป็นแค่สองความหมาย คือ active และ passive จนดูเหมือนว่าการสอนเป็นเพียงเรื่องของการควบคุมและอำนาจในการบงการการเรียนรู้เท่านั้น

ประการที่สอง AL ทำให้เราติดอยู่กับแค่เรื่องการปรับแต่งเทคนิควิธีการ เหมือนเราเป็นเพียงช่างเทคนิคที่ต้องพยายามปรับแต่งและค้นหาวิธีการ AL ที่ดีกว่า มาใช้กับนักเรียนให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อนักเรียนไม่ได้มีส่วนร่วมในบทเรียน พวกเขาส่ายหน้าหนีจากการเรียน สมมติฐานที่จะถูกมองเห็นก็คือการปรับแต่ง AL ของครูยังไม่ดีพอ แก้ได้ด้วยการหาวิธีการที่ต้อง active มากขึ้น มากไปกว่านั้น ผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝันก็คือครูจำนวนหนึ่งเลือกชี้นิ้วไปยังนักเรียนว่าทำให้ AL ไม่บรรลุผลเพราะเป็นวัตถุดิบที่ยังไม่ดีพอ แม้ตัวครูเองจะพยายามปรับเปลี่ยนวิธีการตระเตรียมวัตถุดิบแล้วก็ตามที 

นี่คือความเป็น AL ที่ได้สร้างวิธีคิดซ้ำๆ ให้เรามองชั้นเรียนเป็นเสมือนโรงงาน ที่เมื่อนำเข้าเครื่องจักรการผลิตแบบใหม่เข้ามาแล้ว ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนในฐานะผลผลิตก็ควรจะออกมาดีด้วย แต่หากไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี เจ้าของโรงงานก็ต้องปรับแต่งวิธีการเสียใหม่ แต่หากไม่ได้ตามที่หวังอีก นั่นก็อาจเป็นเพราะวัตถุดิบต้นทางไม่ดีนั่นเอง 

การมองเช่นนี้ ยังทำให้เราจมอยู่กับคำถามซ้ำๆ ที่ว่า ต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถ ‘ควบคุม’ ให้เป็น AL มากที่สุดในชั้นเรียน ไปพร้อมกับควบคุมให้เกิดผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ (ซึ่งก็คือนักเรียน) ให้ได้มากที่สุด เราอาจคุ้นเคยกับประสบการณ์ที่เพื่อนครูแชร์ให้ฟัง เช่นว่า “อยากจัดการเรียนรู้แบบ AL แต่กลัวเด็กจะไม่ให้ความร่วมมือ ควรมีวิธีการอย่างไรดี” หรือ “ทำอย่างไรดี พอจะจัด AL แล้วนักเรียนวิ่งเล่นเสียงดังตลอด” คำถามเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามควบคุมให้นักเรียนอยู่ในร่องรอยของ AL ให้ได้มากที่สุด นักเรียนจะต้องไม่เดินแตกแถวไปจากมัน แล้วก็ต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีด้วยเช่นกัน   

พูดแบบบ้านๆ ดูเหมือนว่า AL ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของแต่ละวิชา ที่ครูต้องหาวิธีการที่จะทำให้ตัวเองและเด็กอยู่ในเส้นทางแนวคิดวิธีการ AL อีกที    

มิหนำซ้ำ AL โดยเฉพาะในการศึกษาแบบไทยๆ ที่ดูเหมือนส่งเสริมการเรียนรู้อย่างเต็มที่ ทำให้หลายคนเห็นว่า AL เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะสร้างการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการคิดไม่ให้คนถูกครอบงำ คิดเป็นอิสระ แต่ทว่าตัวมันเองกลับเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำหน้าที่รับใช้อุดมการณ์ทางการเมืองของชนชั้นนำได้อย่างแนบเนียนมากขึ้นกว่าเดิม (อ่านต่อได้ที่ Active Learning กับ การสอนสังคมฯ ที่ (ไม่) ได้รับอนุญาตให้ศึกษา)  

ออกจากภาษาและวิธีคิดแบบ ‘Active Learning’ 

ข้อเสนอของเขียนนี้ก็คือการคิดถึงเรื่องการศึกษาและการสอนนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่บนกรอบภาษาของ ‘Active Learning’ ก็ได้ ไม่จำเป็นที่เราต้องวนเวียนอยู่กับการคิดหาและควบคุม ‘เทคนิควิธีการ’ (ที่ active และ active กว่า) ว่าจะทำอย่างไรให้ได้ ‘ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ’ และการจมติดกับภาษาของ AL กำลังทำให้เรามองไม่เห็นความความหมายและแนวคิดทางการศึกษาอื่นๆ และเชื่อว่ามันคือสัจธรรมของการศึกษาไปแล้ว   

พูดง่ายๆ คือ การก้าวออกไปจากประโยคที่ว่า “การสอนของเราเป็น แบบ Active Learning แล้วหรือยัง หรือ จะทำอย่างไรให้เป็น Active” ที่อย่างน้อยมันน่าจะช่วยให้เรามีคำถามหรือข้อถกเถียงถึงการสอนในมิติที่กว้างออกไป เช่น ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม การสอนควรมีความหมายอย่างไรต่อเรื่องนี้ อะไรคือบทเรียนที่ครูอย่างเราๆ จะนำมาสู่ชั้นเรียนเพื่อชวนนักเรียนตั้งคำถามถึงสิ่งเหล่านี้ (อ่านความเป็นไปได้แบบอื่น เพิ่มเติมได้ที่ ทำไมครูต้องสร้างบทเรียนเพื่อความยุติธรรม และ Simulation experience pedagogy: รู้สึกถึงโลกใบนี้โดยไม่ต้องมองให้เห็น)  

ไปจนถึงการมองเห็นโลกและนักเรียนที่อยู่ตรงหน้าเราผ่านสายตาแบบอื่น เช่น แทนที่จะมองว่า เด็ก reaction มากน้อยเพียงใดจากกรอบ AL แล้วจบลงด้วยการมองหาว่าใครตอบสนองได้มากที่สุด เราอาจตั้งคำถามสำคัญว่านักเรียนที่อยู่ตรงหน้าเราเขาเป็นใคร เขารู้สึกอะไร เราอาจลองมองนักเรียนจากวิธีคิดแบบอื่นโดยไม่ผ่านแว่น AL ได้ เช่น แนวคิดมนุษยนิยม ที่ครูมองเห็นว่าการสอนคือการโอบรับและเปิดกว้างต่อความรู้สึกของผู้เรียน การมองการศึกษาบนความหมายแบบนี้นำมาซึ่งสายตาของครูที่ห่วงใยความรู้สึกของนักเรียน มองเห็นว่าพวกเขามีความกลัว มีความฝัน มีอุปสรรคอะไรในการมาเรียน แทนที่ครูจะด่วนสรุปว่าเด็กคือวัตถุดิบที่ไร้คุณภาพ ครูอาจเริ่มต้นสนทนากับนักเรียนอย่างเปิดกว้าง และนั่นอาจทำให้ครูได้เข้าใจว่า วันนี้ที่เขาไม่อยากเรียน เป็นเพราะเหตุผลบางอย่างที่ไม่เกี่ยวกับการเป็นวัตถุดิบในสายตาแบบ AL เลย (อ่านต่อได้ที่ Narrative pedagogy: มองไปให้ถึงฉากหลังของนักเรียน และ ห้องเรียนที่ ‘เห็น’ นักเรียนตรงหน้ามากกว่าชื่อที่ปักบนอกเสื้อ)  

‘Active Learning’ จึงเป็นการเมืองของการศึกษา ที่ทำให้ความหมายของการศึกษาและการสอนแคบลง ไปพร้อมๆ กับการทำให้เรามีวิธีคิดและการมองโลก มองนักเรียนของเราแบบหนึ่งขึ้นมาด้วยเช่นกัน 

อ้างอิง

ข้อท้าทายครูรุ่นใหม่ในประเทศที่มีแค่ “ปลา” เป็นเพียงคำตอบเดียว

https://eduzenthai.blogspot.com/2017/12/blog-post.html?fbclid=IwAR3bZc_zrEwkJilDGSYAvdj3ApvqHCyZjM6N7sV_wphg-9wIdnlU-NwB_2Y

Biesta, G.J.J. (2013). Beautiful Risk of Education (1st ed.). Routledge. https://doi.org/10.4324/9781315635866

Kincheloe, J. L. (2004). Critical Pedagogy Primer Second Edition. Peter Lang Inc.

Tags:

Active Learningนักเรียนการจัดการเรียนรู้ครูการศึกษาไทย

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • teaching-nologo
    Learning Theory
    การสอนคือความยินดีที่จะมอบใจให้ใครสักคนเข้ามาในชีวิตของเรา

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Freedom Writers: ครูผู้ชวนเด็กๆ ขีดเขียนชีวิตในแบบของตัวเอง ด้วยความเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Social Issues
    วิทย์นอกเวลา การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง จากกรุงเทพคริสเตียนสู่เวทีโลก: ครูชนันท์ เกียรติสิริสาสน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Creative learning
    ‘นอกกรอบ อิงลิช with teacher ดาว’ ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่เปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้า ด้วย Active Learning

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ถึงเวลาการศึกษาไทยต้องอัพเดทแพทช์! ความหวังหลังเลือกตั้งของ ‘อร-พัศชนันท์ เจียจิรโชติ’

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 
Space
8 December 2023

เพราะ ‘การเล่น’ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ: ‘เทศกาลเล่นอิสระ’ พื้นที่ปลดปล่อยจินตนาการของเด็ก 

เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • ‘เทศกาลเล่นอิสระ : Let ‘s Play Festival’ เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเข้าร่วม เพื่อนำวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ มาประดิษฐ์เป็นของเล่นอย่างอิสระ โดยปราศจากเสียงชี้นำของผู้ใหญ่ และปลดปล่อยจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดออกมาอย่างสร้างสรรค์
  • การเล่นเสี่ยงช่วยให้เด็กๆ กล้าเผชิญสิ่งต่างๆ ในชีวิต กล้าลองผิดลองถูก ต่างจากเด็กที่ถูกห้ามอยู่บ่อยๆ มักจะขี้กลัว และส่งผลต่อการตัดสินใจในอนาคต
  • เทศกาลครั้งนี้ยังทำหน้าที่ให้ข้อมูล สร้างความเข้าใจใหม่ และปลดล็อกวิธีคิดให้พ่อแม่ผู้ปกครองไปด้วยในตัว ‘การเล่น’ จึงไม่ใช่แค่เด็กที่สนุก เพราะเมื่อพ่อแม่เข้าใจก็เริ่มสนุกกับการส่งเสริมให้ลูกๆ ได้เล่นอิสระอย่างเต็มที่ไปด้วย 

ภาพของเล่นจำนวนมากภายในอุทยาน 100 ปีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของ ‘เทศกาลเล่นอิสระ : Let ‘s Play Festival’ ที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนเข้าร่วม เพื่อนำวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ มาประดิษฐ์เป็นของเล่นอย่างอิสระ โดยปราศจากเสียงชี้นำของผู้ใหญ่ ซึ่งไม่เพียงแค่ช่วยให้เด็กๆ มีความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่ยังได้ปลดปล่อยจินตนาการอันไร้ขีดจำกัดออกมาอย่างสร้างสรรค์

เมื่อเด็กได้เล่นสนุกกับวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ โดยมีผู้ใหญ่เว้นระยะอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ การเล่นที่เกิดจากแรงผลักดันภายในของเด็กเริ่มให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ เช่น การนำกล่องกระดาษลังสภาพพังยับเยินที่อาจเป็นขยะสำหรับใครหลายคน มาซ่อมและประดิษฐ์ของเล่นสารพัดรูปแบบที่แสดงถึงเรื่องราวของสิ่งต่างๆ ทั้งห้องครัว สวนสัตว์ โลก และอวกาศ 

ส่วนหนูน้อยที่มีใจรักแฟชั่น ภายในเทศกาลก็มีมุมแฟนซีที่มีผ้าสีหลากชนิดมาให้ทุกคนได้ออกแบบชุดกระโปรง กางเกง หมวก และหน้ากากตามต้องการ 

แต่หากงานประดิษฐ์ไม่ตอบโจทย์ แน่นอนว่าอีกหนึ่งจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือโซนกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้คุณหนูๆ ได้ปีนป่าย  ลาก  มุด  ลอด เพื่อปลดปล่อยพลังอันเหลือล้นกับเพื่อนๆ อย่างมีความสุข ทั้งยังนำมาสู่การเรียนรู้ที่ค่อยๆเกิดขึ้นและสั่งสมในเนื้อตัวของเด็กจนกลายเป็นตัวตนของเขาในวันข้างหน้า   

ปลอดภัย  เป็นมิตร  เข้าถึงทุกคน

“พี่ไม่ไปเล่นกับลูกเหรอ” ทีมงานถามคุณพ่อคนหนึ่งที่รู้จักกันและมาช่วยงานที่จุดลงทะเบียน

“ลูกพี่เล่นเองได้  ปล่อยได้เลย  ที่นี่ปลอดภัย”  คุณพ่อตอบ เช่นเดียวกับความเห็นของคุณแม่อีกคนที่พาลูกซึ่งเป็นเด็กพิเศษมาเล่นในงาน

         “พี่รู้สึกสบายใจ  รู้สึกได้ว่าลูกพี่ไม่แปลกแยกเมื่ออยู่ที่นี่”

           ด้วยบรรยากาศและการออกแบบที่ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงของเล่น  และอุปกรณ์การเล่น  โดยไม่มีกติกาชวนอึดอัด ทำให้เด็กๆ ที่เข้าร่วมเทศกาลมีความหลากหลาย ทั้งเรื่องสภาพครอบครัว รวมถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

แม้จะให้อิสระในการเล่นอย่างเต็มที่แก่เด็กๆ แต่เพื่อให้กิจกรรมดำเนินไปอย่างราบรื่นจึงมีการออกแบบให้มี Play Worker ที่คอยดูแลความปลอดภัย ดูแลการเล่นต่างๆ ด้วยความห่วงใย แต่ไม่แทรกแซง ทั้งยังทำหน้าที่เล่นเป็นเพื่อนเด็กและพูดคุยกับพ่อแม่ด้วยความเป็นมิตร  

นอกจากนี้ภายในงานยังมีซุ้มพยาบาลจากหน่วยพยาบาลในพื้นที่คอยดูแลเด็กๆ ซึ่งพบว่าตลอด 3 วันไม่มีอุบัติเหตุรุนแรง อาจมีบ้างที่หกล้ม  แผลถลอก เลือดกำเดาไหล  ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนว่า เมื่อเราออกแบบพื้นที่เล่น ออกแบบการเล่นอย่างดีแล้ว  แม้การเล่นบางอย่างจะดูน่าหวาดเสียวในสายตาผู้ใหญ่ แต่เด็กๆ กลับปลอดภัยและไม่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงอย่างที่ผู้ใหญ่กังวล แถมยังรู้จักดูแลระมัดระวังตัวเอง

          ขณะเดียวกันการเล่นเสี่ยงช่วยให้เด็กผ่านความท้าทายในการเล่น  ช่วยสร้างความมั่นใจให้เด็ก เราจะเห็นเด็กหลายคนวนมาเล่นจุดที่ดูเสี่ยงๆ หลายรอบจนกว่าจะพอใจ เมื่อท้าทายตัวเองได้สำเร็จ บางคนอาจจะร้องอวดพ่อแม่ หรือบางคนก็ยิ้มกริ่มไม่บอกใคร แต่ประทับความภาคภูมิใจนั้นลงในใจเรียบร้อยแล้ว จะเห็นว่าการเล่นเสี่ยงยังช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาข้อผิดพลาด  โดยเฉพาะการตั้งคำถามว่าเพราะอะไร  ทำไม  ถึงทำไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าไว้  นำมาสู่การลองใหม่  ปรับใหม่จนกว่าจะเจอทางออก

ซึ่งอาจสรุปได้ว่าการเล่นเสี่ยงช่วยให้เด็กๆ กล้าเผชิญสิ่งต่างๆ ในชีวิต กล้าลองผิดลองถูก ต่างจากเด็กที่ถูกห้ามอยู่บ่อยๆ มักจะขี้กลัว และส่งผลต่อการตัดสินใจในอนาคต

เพราะฉะนั้น เด็กๆ จะรู้สึกปลอดภัยเมื่อผู้ใหญ่วางใจ และเชื่อมั่นในตัวเขา ให้เขาได้เสี่ยงบ้าง ในความเสี่ยงที่ผู้ใหญ่ประเมินแล้วว่าไม่อันตรายจนเกินไป

ง่ายๆ ทำได้จริง พ่อแม่เห็นแนวทาง

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งในเทศกาลเล่นอิสระคือ เด็กๆ ต่างสนุกตั้งแต่งานเริ่มจนงานเลิก ลืมหิว ลืมเหนื่อย และที่สำคัญลืมเกม  ลืมโทรศัพท์กันไปเลย เพราะพวกเขาเพลิดเพลินกับการประดิษฐ์ของเล่นที่ทำจากวัสดุรอบตัว ซึ่งล้วนแต่มีอยู่ในบ้านแทบทุกหลัง บางชิ้นแทบไร้ราคา แต่เมื่ออยู่ในเทศกาลครั้งนี้กลับมีมูลค่ามหาศาล  เพราะเล่นสนุกและเกิดการเรียนรู้ได้มากกว่าของเล่นราคาแพงบางชิ้น

ดังนั้นต่อให้วัสดุรอบตัวหลายอย่างจะมีสภาพไม่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความสนุกและจินตนาการของเด็กๆ ลงเลย เราจึงเห็นการเล่นที่เด็กครีเอทเอง ทั้งการนำลูกแก้วมาปล่อยลงรางพลาสติกที่เด็กๆ สามารถปรับทิศทางของรางตามใจชอบ, กาบหมากที่พ่อแม่เคยเอามาลากเล่นตอนเด็กๆ วันนี้เอามาให้เด็กๆ ลากกันทั่วงาน ทั้งยังมีการดัดแปลงหาวัสดุอื่นมาลากแทน, กิจกรรมฟองสบู่ ที่ทำจากสบู่อาบนำ้ หรือจะเป็นกองทราย 1 กองที่  เด็กๆ มาช่วยกันเนรมิตเรื่องราวมากมายให้เกิดขึ้นบนกองทราย

ขณะเดียวพ่อแม่ผู้ปกครองที่มาเข้าร่วมเทศกาลครั้งนี้แสดงความเห็นตรงกันว่าได้ปลดล็อกความคิดหลายอย่าง เช่น ของเล่นที่ดีต้องราคาแพง, ไม่รู้จะเล่นอะไรกับลูก และไม่มีพื้นที่ลูกจะเล่นอย่างไร ฯลฯ  เพราะทุกข้อจำกัดเรื่องเล่นกับลูกถูกคลี่คลายแล้วที่เทศกาลเล่นอิสระ

เสน่ห์  คือ Play Worker

เสน่ห์อีกอย่างที่สำคัญมากในเทศกาลเล่นอิสระครั้งนี้คือ Play Worker หรือ ‘ผู้ดูแลการเล่น’ ที่ประจำอยู่ในลานเล่นตามจุดต่างๆ  ด้วยชุดที่ชัดเจน  ต่างไปจาก Staff ทั่วไป พร้อมป้ายห้อยคอที่บอกว่า ‘พร้อมคุย’ คนกลุ่มนี้คือคนที่ผ่านการฝึกอบรมเรื่องการเป็น Play Worker มาแล้ว ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเล่นของเด็กๆ ในลานเล่น เป็นผู้สร้างโอกาสให้เกิดการเล่นอย่างมีความสุข สนุก ส่งเสริมพัฒนาการตามวัย และปลอดภัย  อย่างเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ทั้งยังทำหน้าที่ ‘พร้อมคุย’ กับพ่อแม่ที่มีคำถามเรื่องพัฒนาการของลูก หรือเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูก  และยัง ‘พร้อมคุย’ ทันทีอย่างเข้าใจและเป็นมิตร เมื่อเห็นคุณพ่อคุณแม่  หรือผู้ใหญ่กระทำสิ่งใดที่ขัดขวางการเล่นอย่างมีความสุขของเด็ก

           “ผมรู้สึกหงุดหงิดกับพ่อแม่ที่คอยกำกับโน่นนี่กับลูกจัง” คุณพ่อคนหนึ่งคุยกับทีมงาน “เมื่อชั่วโมงที่แล้วผมก็เป็นอย่างพ่อแม่พวกนี้แหละ แต่พอผมได้คุยกับ Play Worker และเข้าใจได้ว่าเราควรปล่อยให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ  ผมก็ปลดล็อกเลยนะ ผมเลยหงุดหงิดกับพ่อแม่ที่ยังเป็นแบบนั้น” 

ดังนั้นปลายทางของพ่อแม่หลายคนจึงไม่ใช่แค่พาลูกมาร่วมเทศกาล  แต่เทศกาลครั้งนี้ยังทำหน้าที่ให้ข้อมูล สร้างความเข้าใจใหม่ และปลดล็อกวิธีคิดให้พ่อแม่ผู้ปกครองไปด้วยในตัว ‘การเล่น’ จึงไม่ใช่แค่เด็กที่สนุก เพราะเมื่อพ่อแม่เข้าใจก็เริ่มสนุกกับการส่งเสริมให้ลูกๆ ได้เล่นอิสระอย่างเต็มที่ไปด้วย  

        อาจกล่าวได้ว่าเทศกาลนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองรุ่นใหม่ ในฐานะคนจัดงานจึงอยากเห็นการสนับสนุนให้เกิดพื้นที่ดีดีแบบนี้อย่างทั่วถึง และพื้นที่แบบนี้ควรเป็นสวัสดิการของประชาชนทุกคน เพราะสิ่งนี้สามารถพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชนของเราได้

เทศกาลเล่นอิสระ : Let ‘s Play Festival จัดขึ้นระหว่างวันที่  17-19.  พย. 2566 ณ อุทยาน 100 ปีจุฬาลงกรณ์ โดยเครือข่ายเล่นเปลี่ยนโลก ร่วมกับ กทม. สำนักทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์ ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส) 
(สำหรับผู้ที่สนใจอบรม play worker ติดต่อที่เพจ Let’s play more เล่นเปลี่ยนโลก)

Tags:

ปฐมวัยเด็กเทศกาลLet ‘s Play Festivalการเล่นพ่อแม่

Author:

illustrator

สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

คุณแม่นักกิจกรรม ที่ทำงานกับเด็กมาตลอด นำวิชาความรู้ทั้งหมดที่ทำมาใช้ในการเลี้ยงลูกแบบ Home School เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพต่างกันและห้องเรียนของเด็กคือโลกทั้งใบไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยม

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Life is Beautiful: โลกอาจโหดร้าย พ่ออาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรัก(ลูก)นั้นทำให้ชีวิตงดงามเสมอ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.4 ‘แนวทางในการรับมือกับเด็กปฐมวัยพลังล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

เราต่างงดงามแล้วจางหาย: หรือแค่คำปลอบใจของชีวิตผุพัง
Book
8 December 2023

เราต่างงดงามแล้วจางหาย: หรือแค่คำปลอบใจของชีวิตผุพัง

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • เราต่างงดงามแล้วจางหาย (On Earth We’re Briefly Gorgeous) นิยายกึ่งอัตชีวประวัติของโอเชียน วอง (Ocean Vuong)  กวีชาวเวียดนาม ผู้เติบโตในอเมริกา ที่บอกเล่าเรื่องราวความงดงามอันแสนสั้นของชีวิต
  • หนังสือเล่าเรื่องชีวิตของเด็กหนุ่มชาวเวียดนามผู้มีรสนิยมรักร่วมเพศ  ที่ครอบครัวอพยพมาอยู่ในสังคมอเมริกัน
  • ชีวิตไม่ใช่สิ่งสวยงามทั้งหมดหรอก ชีวิตก็คือชีวิต อาจมีบางชีวิตที่สมบูรณ์เพียบพร้อม อาจมีบางชีวิตที่หมดจดงดงาม และอาจมีบางชีวิตที่บัดซบผุพัง แต่ทัศนคติและวิธีที่เราใช้ชีวิตต่างหาก ที่ทำให้ชีวิตนั้นงดงาม

“Life is beautifiul-ชีวิตคือสิ่งสวยงาม” คำกล่าวสวยหรูที่ได้ยินได้อ่านบ่อยเกินจะบ่อย บ่อยจนอาจลืมคิดไปว่า เป็นเช่นนั้นจริง หรือแค่คำปลอบประโลมจิตใจที่แพ้พ่ายต่อชีวิต

หากชีวิตคือสิ่งสวยงามจริง แล้วชีวิตที่ผุพังล่ะ ยังนับเป็นชีวิตที่งดงาม…กระนั้นหรือ

ชีวิตของเด็กหนุ่มชาวเวียดนาม ที่ครอบครัวอพยพมาอยู่ในในสังคมอเมริกันผิวขาว ช่วงยุคหลังสงครามเวียดนาม เด็กหนุ่มผู้มีรสนิยมรักร่วมเพศ ในสลัมต่ำชั้นที่ความเป็นชายคือความยิ่งใหญ่ เด็กหนุ่มผู้มีแม่ป่วยจิต ถูกแม่ตบบ่อยครั้งพอๆ กับโอบกอด เด็กหนุ่มผู้มียายขี้หลงขี้ลืม ฟั่นเฟือนเพราะบาดแผลจากสงคราม และเด็กหนุ่มผู้มีรักครั้งแรกกับเพื่อนรักเพียงคนเดียว เพื่อนรัก-คนรัก ที่จากไปเพราะเสพยาเกินขนาด

ชีวิตผุพังเช่นนี้ ยังนับ เป็นชีวิตที่งดงาม..กระนั้นหรือ

-1-

เราต่างงดงามแล้วจางหาย หรือ ชื่อภาษาอังกฤษว่า On Earth We’re Briefly Gorgeous คือ นิยายกึ่งอัตชีวประวัติของโอเชียน วอง (Ocean Vuong) กวีชาวเวียดนาม ผู้เติบโตในอเมริกา ที่บอกเล่าเรื่องราวความงดงามอันแสนสั้นของชีวิต

ไม่สิ ไม่ใช่ นิยายหรอก นี่คือบทกวีแห่งชีวิตต่างหาก

บทกวี ที่ใช้ถ้อยคำเป็นอาวุธ กรีดแทงคนอ่านด้วยคมมีดแห่งอักษร โถมทุบด้วยก้อนหินแห่งถ้อยลำนำ ก่อนกระทืบซ้ำด้วยความครุ่นคำนึงถึงบาดแผลแห่งอดีต

คนอ่านที่รอดพ้นจากทัณฑ์ทรมานโดยหนังสือเล่มนี้ ได้แต่ยิ้ม ถอนหายใจบางเบาๆ ก่อนจะเอ่ยกระซิบว่า…

ชีวิตช่างงดงามจริงๆ

-2-

โอเชียน วอง เป็นกวีผู้ช่ำชองในการใช้ในการใช้ถ้อยคำ เพื่อถ่ายทอดความรู้สึก

หนังสือเล่มนี้ เป็นนิยายเล่มแรกในชีวิตของเขา ทว่า เป็นนิยายที่ถ้อยคำและจังหวะ สละสลวยราวบทกวี ผสมปนเปทั้งเรื่องเล่า เรื่องจริง เศษเสี้ยวจากอดีต และความใฝ่ฝันในปัจจุบัน ทาบทับ-พาดผ่าน สอดประสานกลายเป็นเรื่องราวของชายหนุ่ม ผู้เคยถูกเรียนขานในชื่อ ไอ้หมาน้อย

ไอ้หมาน้อยของแม่ ไอ้หมาน้อยของยาย และไอ้หมาน้อยของชายคนรัก อพยพหลบลี้ไฟสงครามในเวียดนาม มาลงหลักปักฐานในเมืองฮาร์ตฟอร์ด หนึ่งในเมืองที่เคยมั่งคั่งของอเมริกา ทว่า กลับกลายเป็นเมืองที่ยากจนข้นแค้นในปัจจุบัน

ว่ากันว่า ผู้คนในเมืองฮาร์ตฟอร์ด ไม่ได้ทักทายกันด้วยคำว่า “สวัสดี” แต่แค่เอ่ยคำสั้นๆว่า “ดี” ไม่ต้องสุดยอด ดีเลิศ สมใจ แค่ “ดี” ก็ ดีพอแล้ว อย่างที่ไอ้หมาน้อยรำพึงไว้ว่า

“ที่นี่ แค่เจอเหรียญหนึ่งดอลลาร์ในท่อน้ำทิ้งก็ถือว่าดี แค่วันเกิดที่แม่มีเงินพอเช่าหนังมาดูก็ถือว่าดี…  หรือแค่รู้ว่ามีคนยิงกันแล้วพี่ชายของคุณคือคนที่รอดกลับบ้าน ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”

อเมริกา อาจเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพและโอกาส แต่ก็ไม่น่าจะใช่สำหรับคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ด้วยความที่ไม่ได้ภาษา ทำให้แม่เป็นได้แค่ลูกจ้างในร้านทำเล็บ ที่อบอวลด้วยสารเคมี และด้วยความอ่อนด้อยทางภาษา (ในช่วงแรกที่เพิ่งอพยพเข้ามาใหม่ๆ) ทำให้ไอ้หมาน้อยถูกล้อเลียนและรังแกจากเด็กๆเจ้าถิ่นผิวขาว

ค่ำคืนหนึ่งที่ขุดค้นจากซอกหลืบความทรงจำ คนต่างด้าวสามคน-แม่ ยาย และหลาน จูงมือกันไปซูเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้าน หมายมั่นจะซื้อหางวัวและเนื้อลายหินอ่อน เพื่อทำอาหารเก็บไว้กินช่วงฤดูหนาว ทว่า เมื่อไม่สามารถถ่ายทอดความต้องการออกมาเป็นคำพูดภาษาอังกฤษได้  แม่ทำได้แค่พยายามสื่อสารผ่านภาษากาย ด้วยการเอานิ้วชี้วางไว้ที่ก้นแทนหางวัว ส่วนนิ้วมืออีกข้างแปลงร่างเป็นเขาวัว

ความพยายามข้ามพรมแดนภาษาของแม่ กลายเป็นการแสดงจำอวดเรียกเสียงหัวเราะจากผู้คนในตลาด แม่ ยาย และหลาน จูงมือกันกลับบ้านโดยปราศจากสิ่งของที่ต้องการ และในค่ำคืนนั้น ไอ้หมาน้อยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นปากเป็นเสียง เป็นล่ามให้กับแม่

ที่สำคัญที่สุด  ไอ้หมาน้อยต้องการให้คนอื่นรับฟัง คาดหวังให้ผู้อื่นมองเห็น เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงการ ‘มีอยู่’ ของเขาและครอบครัว

ไอ้หมาน้อย เชื่อว่า ‘เราจะงดงามได้ก็ต่อเมื่อถูกมองเห็น’ แต่ไอ้หมาน้อยยังไม่รู้ว่า ‘เมื่อถูกมองเห็นเราย่อมถูกล่า’ เพราะในโลกนี้ ‘บางสิ่งถูกล่าเพราะเราลงความเห็นว่างดงาม’

-3-

หนังสือเล่มนี้ ถูกเขียนขึ้นในรูปของจดหมายที่ไอ้หมาน้อยจ่าหน้าถึงแม่ จดหมายที่ปลดเปลื้องความในใจทั้งหมดทั้งมวล จดหมายที่กอบรวมเศษเสี้ยวความทรงจำทั้งหมดทั้งมวล จดหมายที่เขียนถึงแม่ผู้อ่านหนังสือไม่ออกแม้สักตัว

จดหมายที่เป็นเหมือนบันทึกของครอบครัว-ครอบครัวที่ประกอบด้วยสมาชิกที่บอบช้ำ พิกลพิการ จนถึงขั้นที่เรียกว่าเป็น ‘สัตว์ประหลาด’

ว่ากันว่า พ่อแม่ที่ทรมานจากอาการป่วยทางจิตหลังผ่านพ้นเหตุการณ์รุนแรง มักมีแนวโน้มจะทำร้ายลูกตัวเอง นั่นอาจเป็นเหตุผล หรือข้ออ้างที่แม่ใช้ความรุนแรงกับไอ้หมาน้อย

เด็กชายจำได้ว่า ได้ลิ้มรสฝ่ามือของแม่ครั้งแรกตอนอายุสี่ขวบ หลังจากนั้นก็มีครั้งที่สอง สาม ถึงนับไม่ถ้วน จวบจนอายุสิบสาม ไอ้หมาน้อยจึงกล้าบอกกับแม่ว่า “พอได้แล้ว”

“แม่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดสักหน่อย” ครั้งหนึ่ง แม่เคยพูดขึ้น ราวกับแก้ต่างให้ตัวเอง ไอ้หมาน้อยไม่ตอบ หากคิดในใจว่า “แม่เป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ แต่ผมก็ด้วย-นี่เองผมจึงไม่อาจละทิ้งแม่ได้”

-4-

ในช่วงวัยเยาว์ ไอ้หมาน้อยเคยถูกล้อเลียนด้วยถ้อยคำต่างๆนานา ไม่ว่า ‘ไอ้ตุ๊ด’ หรือ ‘อีกะเทย’ แต่เมื่อเวลาผ่านไป จึงรู้ว่า ถ้อยคำเหล่านี้ คืออีกชื่อเรียกของคำว่า ‘สัตว์ประหลาด’

รสนิยมทางเพศที่แตกต่าง ทำให้ไอ้หมาน้อยถูกมองเป็นสัตว์ประหลาดตั้งแต่เด็ก

บางคนอาจบอกว่า สัตว์ประหลาด ถูกไล่ล่าเพราะความแปลกประหลาด-แตกต่างจากคนอื่น แต่สำหรับไอ้หมาน้อย สัตว์ประหลาดถูกล่าเพราะความงดงามต่างหาก 

ถึงแม้จะเป็นสัตว์ประหลาด ถึงแม้จะถูกไล่ล่า แต่ชีวิตสัตว์ประหลาดก็ยังมีครอบครัว และความรักจากคนในครอบครัว

ค่ำคืนหนึ่ง ไอ้หมาน้อยบอกกับแม่

“ผมไม่ได้ชอบผู้หญิง”

“แกไม่ได้ชอบผู้หญิง” แม่กล่าวซ้ำ “งั้นแกชอบอะไร…”

“ผมชอบผู้ชาย”

“ผมไปก็ได้นะฮะแม่ ถ้าแม่ไม่ต้องการผม ผมจะไม่อยู่เป็นปัญหาและไม่ต้องให้ใครรู้เลยก็ได้…แม่ อย่างเงียบสิฮะ”

“แกไม่ต้องไปไหนหรอก เหลือแค่แกกับฉันแล้ว ไอ้หมาน้อย ฉันไม่มีใครแล้ว” ตาแม่แดงระเรื่อ

-5-

ยาย ผู้ตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ลาน (ภาษาเวียดนาม-แปลว่าดอกกล้วยไม้) ตั้งชื่อลูกสาวว่า โรส หรือดอกกุหลาบ แต่เรียกหลานชายว่า ไอ้หมาน้อย ด้วยเหตุผลว่า สิ่งงดงามมักถูกตามล่า ความน่าเกลียดชิงชังสิ คือ เกราะกำบัง คืออีกหนึ่งชีวิตที่พิกลพิการราวกับสัตว์ประหลาด เพราะไฟสงคราม 

แม้จะหอบลูกสาวและหลานชายหลบหนีไฟสงครามมาตั้งรกรากในอเมริกา แต่บ่อยครั้งที่ยายยังหลงลืมว่า ตัวเองยังอยู่ในไซ่ง่อน ท่ามกลางเสียงกระสุนปืนรัวกระหน่ำ

บ่อยครั้งที่ยายหลงอยู่ในอดีต และบ่อยครั้งที่ยายหลงอยู่ในเรื่องเล่า จนไม่มีใครแยกออกว่า คำพูดไหนของยายคือเรื่องจริง

แต่ที่บ่อยครั้งที่สุด ยายยังหลงอยู่ในช่วงวัยเยาว์ของตัวเอง ช่วงวัยที่งดงามที่สุด แม้เป็นช่วงเวลาที่แสนสั้นชั่วพริบตาก็เถอะ

ยายลาน มักขอให้หลานถอนผมหงอก-ยายเรียกมันว่าหิมะในผม ราวกับว่า การทำเช่นนั้น จะพายายกลับไปสู่ช่วงเวลาอันแสนงดงามได้

“ช่วยยายที เจ้าหมาน้อย… เอาหิมะออกไปจากชีวิตยายที…  เสกยายให้เป็นสาวหน่อยสิวันนี้”

ในช่วงสุดท้ายของชีวิต หลังทำใจยอมรับความจริงว่า ความตายจะมาถึงในอีกไม่ช้า ยายลาน บอกกับหลานอย่างมีสติครบถ้วนสมบูรณ์ว่า

”เมื่อก่อนยายก็เคยเป็นสาวนะ แกรู้ไหม เจ้าหมาน้อย”

-6-

ชีวิตที่พิกลพิการสามชีวิต สามชั่วรุ่น ถูกร้อยรัดมัดเกี่ยวกันด้วยสายใยแห่งความรัก ทำให้ชีวิตที่ ‘พัง’ ขนาดนั้น กลับกลายเป็นความงดงามขึ้นมาได้ แม้เพียงช่วงเวลาแสนสั้น เหมือนดังคำกล่าวของไอ้หมาน้อย หรือโอเชียน วอง ที่ว่า

ชีวิตคนเราล้วนแสนสั้น อย่างที่เขาว่าชั่วพริบตา เช่นนั้น การจะหมดจดงดงาม แม้จะยาวนานตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย ก็นับว่างดงามแค่เพียงชั่วยาม

ถึงที่สุดแล้ว ชีวิตไม่ใช่สิ่งสวยงามทั้งหมดหรอก ชีวิตก็คือชีวิต อาจมีบางชีวิตที่สมบูรณ์เพียบพร้อม อาจมีบางชีวิตที่หมดจดงดงาม และอาจมีบางชีวิตที่บัดซบผุพัง 

ทัศนคติที่เรามีต่อชีวิตต่างหาก วิธีที่เราใช้ชีวิตต่างหาก ที่ทำให้ชีวิตนั้นงดงาม ถึงแม้เป็นความงดงามเพียงชั่วพริบตา แต่จะคงเจิดจ้าอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน

Tags:

ครอบครัวLGBTQA+ชีวิตเราต่างงดงามแล้วจางหาย

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Movie
    Gran Turismo: ล้มกี่ครั้งไม่สำคัญเท่าลุกอย่างไรให้ไปต่อได้

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Monster: เรื่องโกหกที่เริ่มต้นจากความกลัวเพราะไม่อยากเป็นตัวประหลาด

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Love, Simon: หากแม้คนทั้งโลกจะใจร้าย ขอแค่พ่อแม่รักและเข้าใจก็พอ

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Shrinking : ชั่วโมงบำบัดพ่อลูกหัวใจพังทลาย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    We’re here: แดร็กควีนที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เพื่อความรู้สึกมีอำนาจ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

การสูญเสียเป็นเรื่องสาหัส แต่เราจะเติบโตจากมันในวันหนึ่ง: บาดแผลทางใจของการสูญเสีย
Healing the trauma
7 December 2023

การสูญเสียเป็นเรื่องสาหัส แต่เราจะเติบโตจากมันในวันหนึ่ง: บาดแผลทางใจของการสูญเสีย

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘การสูญเสีย’ เป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับมันได้ในทันที แต่ถ้าก้าวข้ามผ่านความรู้สึกแย่ๆ ได้ ก็จะเข้าสู่สภาวะที่ยอมรับ ‘ความเป็นจริง’ ว่าคนนั้นได้จากไปแล้ว
  • คนเรามักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ มากกว่าสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว การเรียนรู้ที่จะเห็นความหมายของสิ่งที่มีอยู่แล้วทำมันให้ดีที่สุด เหมือนเป็นวันสุดท้าย ก็อาจช่วยบรรเทาความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้
  • สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณแสดงความเปราะบางในจิตใจออกมาได้คือการมีพื้นที่ปลอดภัยทางความรู้สึกให้คุณได้ระบายมันออกมา

หากวันนี้คนรักขอจบความสัมพันธ์กับคุณทั้งที่คุณก็ยังรักเขาอยู่ ตอนนั้นคุณรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเลิกรา แต่ก็เลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของเขา เพราะคุณรักเขาเกินกว่าจะเอาความสุขตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่นานหลังจากนั้น คุณก็รู้ว่าเขาถูกคู่รักคนใหม่ทำร้ายร่างกายอย่างหนักจนตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงไป 

คุณจะรู้สึกอย่างไรกับตัวเองที่ยอมปล่อยเขาไป ?

วินาทีที่เกิดการสูญเสียส่วนใหญ่คนมักจะรู้สึกช็อคเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริง มันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับความสูญเสียทันที เมื่อเห็นว่าการสูญเสียได้เกิดขึ้นคุณอาจจะรู้สึกโกรธที่สิ่งแย่ๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง โกรธที่ตัวเองน่าจะทำบางอย่างได้ดีกว่านี้ โกรธโลกใบนี้ที่เลือกให้เราต้องเจอสิ่งนี้ ต่อมากลไกทางจิตของมนุษย์จะคิดหาเหตุผลร้อยแปดพันอย่างเพื่อต่อรองกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันไม่ได้เป็นจริง สมองจะพยายามหาข้อมูลว่า ถ้าฉันทำแบบนี้ตอนนั้น…..ตอนนี้ไม่น่าจะเป็นแบบนี้ แต่เมื่อพยายามต่อรองแล้วก็จะพบว่าความจริงที่ว่าการสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว ถ้าความรู้สึกท่วมท้นมากคนที่สูญเสียก็มักจะมีความเศร้า รู้สึกผิด จมอยู่กับความรู้สึกสงสัยในตัวเอง “ที่ผ่านมาเราทำดีแล้วหรือยัง…?” “ทำไมเราเป็นคนแย่แบบนี้” แต่สุดท้ายถ้าคนนั้นก้าวข้ามผ่านความรู้สึกแย่ๆ ได้ เขาก็จะเข้าสู่สภาวะที่ยอมรับ ‘ความเป็นจริง’ ว่าคนนั้นได้จากไปแล้ว

สิ่งที่กล่าวมาคือภาพรวมของคนที่กำลังเสียใจจากการสูญเสียต้องเผชิญ บางคนอาจเจอทุกอารมณ์ที่กล่าวไป บางคนอาจเจอแค่บางอารมณ์ อันที่จริง การสูญเสียไม่ได้หมายถึงแค่การจากไปหรือเลิกราของคนรัก ครอบครัว แต่ยังรวมได้ถึงการตกงาน การไม่มีเงิน การถูกหักหลัง การพิการ ของที่รักพัง หรือหาย 

อีกรูปแบบของการสูญเสียคือการสูญเสียความหมายของสิ่งนั้น ซึ่งมักจะเป็นผลจากการสูญเสียสิ่งที่กล่าวไปข้างต้น ยกตัวอย่าง การสูญเสียคนรัก อาจหมายถึงการที่คุณจะไม่ได้เจอเขาต่อจากนี้ การที่คุณจะไม่มีที่พึ่งทางจิตใจ การสูญเสียลูกอาจหมายถึงการสูญเสียความหมายในชีวิต คุณมองไม่เห็นแล้วว่าคุณจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร สิ่งที่คุณสูญเสียในที่นี้จะเป็นความหมายทางความรู้สึก เช่น ตัวตน ความรู้สึกปลอดภัย ความมั่นคง ความฝัน กำลังใจ เหตุผลของการมีอยู่ คุณค่า การสูญเสียเหล่านี้จะส่งผลต่อความรู้สึกอย่างมาก โดยเฉพาะ การสูญเสียตัวตนหรือความหมายที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ 

สิ่งเหล่านี้มองเห็นได้ยาก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่จริง สมองมนุษย์ชอบสร้างความหมายให้กับสิ่งต่างๆ อยู่แล้ว แต่ละคนจะให้ความหมายทางความรู้สึกต่อสิ่งหนึ่งต่างกันออกไปตามประสบการณ์ บางคนมองว่าการสูญเสียรายได้เป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวก็หาใหม่ได้ แต่บางคนมองว่าการมีเงินคือความมั่นคงในชีวิต ระดับความสะเทือนต่อการสูญเสียก็จะต่างกันออกไป มันเป็นเรื่องของแต่ละคนจริงๆ 

การสูญเสียเป็นความกลัวพื้นฐานที่ทุกคนมีเหมือนกัน ทุกอารมณ์แง่ลบหลังเจอสิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องปกติ

 บางคนเสียใจทันทีที่เหตุการณ์เกิดขึ้น บางคนเสียใจหลังจากนั้น การสูญเสียเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ เพราะมันหมายความว่า เราต้องมีกิจวัตรใหม่ ผมชอบนึกถึงแม่ แม่เป็นผู้หญิงที่ชอบทำงานเป็นชีวิตจิตใจ แล้วเพิ่งเกษียณอายุช่วงนี้ สำหรับแม่มันไม่ใช่แค่การสูญเสียงาน แต่มันคือการสูญเสียคุณค่าในชีวิตที่เขาเอาไว้ยืนยันว่าตัวเองมีคุณค่า แล้วเขาต้องพยายามยอมรับชีวิตใหม่ หากิจวัตรใหม่ การต้องเผชิญหน้าสิ่งใหม่จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย 

อีกแง่มุมที่น่าสนใจของการสูญเสียคือการรู้สึกผิดที่ตัวเองโล่งใจ บางคนอาจดีใจที่สูญเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะคนที่สูญเสียสิ่งที่เป็นความกังวลในชีวิตเขา ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ การสูญเสียผู้ป่วยติดเตียงในครอบครัว เราต่างรู้กันดีว่าการดูแลผู้ป่วยติดเตียงเป็นเรื่องยาก แต่ก็อาจเกิดความรู้สึกสับสนระหว่างโล่งใจและรู้สึกผิดกับตัวเอง สิ่งที่ต้องชัดเจนในตัวเองคือ การรู้สึกโล่งใจไม่ได้หมายความว่าคุณไม่รักเขา คุณสามารถเสียใจและโล่งใจได้ในเวลาเดียวกัน 

ความเสียใจเป็นเรื่องปกติ แต่ความเสียใจจากการสูญเสียที่น่าเป็นห่วงคือ การจมอยู่กับความเสียใจเป็นระยะเวลานานหลายเดือนจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เหมือนเดิม หรือการเก็บกดความรู้สึกไว้แล้วไปทำอย่างอื่น เช่น โหมทำงานหนัก เพื่อลืมความรู้สึกเจ็บปวดจนเผลอมีอารมณ์ที่รุนแรงกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว 

ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งของการสูญเสียคือการที่สิ่งนั้นไม่มีอยู่แล้วมันจะหายไปจากความทรงจำ การที่คนรักจากไปไม่ได้หมายความว่าคุณจะลืมเขา สุดท้ายคุณก็ยังสามารถเก็บเขาไว้ในความทรงจำได้อยู่ดี คุณก็ยังนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่มีกันและกันได้เหมือนเดิม แต่ก็จะมีข้อยกเว้น เพราะการสูญเสียแต่ละอย่างก็มีวิธีรับมือที่ต่างกัน แนวคิดว่าเงินหายไป เงินก็ยังอยู่ในความทรงจำก็ฟังไม่ขึ้น 

ความรุนแรงของความรู้สึกหลังการสูญเสียมักขึ้นอยู่ว่า เรารักคนหรือสิ่งนั้นมากแค่ไหน แล้วสิ่งนั้นมีความหมายต่อความรู้สึกเราอย่างไร เป็นแค่ของทั่วไป หรือเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ 

หากสูญเสียที่ยึดเหนี่ยวจิตใจก็มีแนวโน้มที่จะเสียใจรุนแรง หากเกิดการสูญเสียอย่างกะทันหันก็จะยิ่งมีโอกาสเสียใจมากเท่านั้น เพราะไม่ได้เตรียมใจมาล่วงหน้า และหากเป็นคนที่ปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ไม่ค่อยได้ก็จะยิ่งมีความเครียดสูง 

การสูญเสียเป็นเรื่องใหญ่ที่ซับซ้อนจนยากจะบอกว่าคุณจะผ่านไปอย่างไร แต่ขั้นตอนที่น่ารู้คือ คนเรามักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำมากกว่าสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว การเรียนรู้ที่จะเห็นความหมายของสิ่งที่มีอยู่แล้วทำมันให้ดีที่สุด ทำเหมือนเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอก็อาจช่วยบรรเทาความรู้สึกสงสัยในตัวเองได้ แต่ก็อย่างว่าคุณจะเสียใจอยู่ดี แม้คุณเตรียมตัวมามากแค่ไหนก็ตาม มนุษย์ไม่ได้ถูกฝึกมาให้เตรียมตัวสูญเสีย แต่เราอาจฝึกที่จะนึกถึงความสูญเสียได้ ไม่ได้นึกถึงเพื่อให้รู้สึกกังวล แต่นึกถึงเพื่อเรียนรู้ว่า “มันอาจเกิดขึ้นได้” 

เจ วิลเลียม เวอร์เดน นักจิตวิทยาเสนอว่ามี 4 สิ่งที่คนที่สูญเสียต้องทำเพื่อที่จะก้าวข้าวผ่านการสูญเสียในชีวิต

1) ยอมรับความเป็นจริงของการสูญเสีย ซึ่งไม่ใช่กระบวนการที่ง่ายเลย หากไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไรเลย ลองหาใครสักคนที่ไว้ใจเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟัง 

2) อนุญาตให้ตัวเองรู้สึกทุกความรู้สึก ยิ่งเก็บกดความรู้สึกยิ่งจะทำให้ความเสียใจฝังลึกและแก้ยากมากเท่านั้น อย่าเพิ่งคิดว่าจะไม่มีใครสนใจความเสียใจของคุณ 

3) ปรับตัวใช้ชีวิตใหม่ การปรับตัวที่ดีต้องเห็นว่าสิ่งที่คุณสูญเสียเคยเติมเต็มคุณอย่างไร แล้วการไม่มีสิ่งนั้นทำให้คุณขาดหายอะไรไป คุณจะได้รู้ว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร หากคนรักคือคนที่คุยดูหนังด้วยทุกคืน การปรับตัวอาจเป็นการทำกิจกรรมใหม่ 

4) หาวิธีที่จะเชื่อมโยงกับคนที่จากไป และใช้ชีวิตของตัวเอง คุณอาจจะยังนึกถึงเขา เก็บเขาไว้ในพื้นที่หนึ่งในใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันกับคนที่คุณให้ความสำคัญ หรืออาจเป็นการทำกิจกรรมที่มีความหมายต่อคุณ กิจกรรมที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า การ

กลับมาสนใจชีวิตตัวเองมากขึ้นก็จะทำให้คุณไม่จมอยู่กับการสูญเสียมากเกินไป 

ดร.เออร์วิน ดี ยาโลม จิตแพทย์ชาวอเมริกา เคยกล่าวว่า ผู้ชายและผู้หญิงมีธรรมชาติในการรับมือกับความสูญเสียที่แตกต่างกัน ผู้หญิงมักมีพฤติกรรมวนเวียนอยู่กับอดีต คิดวนไปวนมา หากมองตามวิวัฒนาการของมนุษย์ก็ไม่แปลกที่ผู้หญิงจะมักมองภาพที่เป็นรายละเอียด ส่วนผู้ชายมักรับมือด้วยการเก็บกด จมอยู่กับปัญหาคนเดียว ดังนั้นวิธีรับมือเบื้องต้นคือการทำให้ผู้หญิงตระหนักถึงความสำคัญในปัจจุบัน เช่น คนรัก เป้าหมายชีวิต สิ่งที่มีความหมายของเขา สำหรับผู้ชายอาจเป็นการสร้างพื้นที่ให้เขาได้แสดงความรู้สึกมากกว่าเก็บกดความเศร้าไว้เพียงลำพัง 

การสูญเสียของแต่ละคนจะใช้เวลาต่างกัน ไม่มีใครบอกได้ว่าเราควรเสียใจนานแค่ไหน เสียใจอย่างไร แต่ละคนจะมีวิธีในแบบของตัวเอง สิ่งที่คุณควรเตรียมใจคือคุณจะวนเวียนไปกับความรู้สึกต่างๆ ทั้งสงสัย โกรธ เศร้า ชินชา ช็อค ยอมรับได้ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ ข้อมูลทางประสาทวิทยาพบว่า สมองต้องใช้เวลาในการปรับตัวเพื่อเรียนรู้กิจวัตรใหม่ เรียนรู้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว และหาทางสร้างความหมายใหม่ต่อการไม่มีอยู่ของสิ่งนั้น คุณอาจมองว่าการตกงานเป็นเรื่องใหญ่ แน่นอนว่ามันใหญ่มาก คุณไม่ได้รู้สึกไปเอง ถ้าวันนี้คุณรู้สึกเศร้าเสียใจก็ขอให้ได้แสดงความรู้สึกนั้นออกมา 

สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณแสดงความเปราะบางในจิตใจออกมาได้คือการมีคนรอบข้างที่คอยรับฟัง เป็นพื้นที่ปลอดภัยทางความรู้สึกให้คุณได้ระบายมันออกมา 

การสูญเสียเป็นเรื่องสาหัส แต่เราจะเติบโตจากมันในวันหนึ่ง

Tags:


Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Relationship
    แม้แผลใจจะยังไม่หายดี แต่เธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีได้นะ

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    ความตายขับเคลื่อนชีวิต (2): เมื่อการระลึกถึง ‘ความตาย’ ทำให้เข้าใจความหมายของ ‘ชีวิต’

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Healing the trauma
    Overexplaining: แกะปมที่ซ่อนอยู่ในคำอธิบายอันท่วมท้นของใครบางคน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    ความตายขับเคลื่อนชีวิต (1): เพราะมนุษย์รู้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องตาย การเห็นคุณค่าในตัวเองจึงสำคัญ

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

สโตอิก (Stoicism): ปลดปล่อยตัวเองจากเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ แล้วโบยบินในแบบของตัวเอง ศิลปะการใช้ชีวิตแบบชาวกรีกโบราณ
How to enjoy life
6 December 2023

สโตอิก (Stoicism): ปลดปล่อยตัวเองจากเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ แล้วโบยบินในแบบของตัวเอง ศิลปะการใช้ชีวิตแบบชาวกรีกโบราณ

เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน เราจึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับ ‘ความซวย’ ที่เกิดขึ้นได้เสมอ แนวคิด ‘สโตอิก’ (Stoicism) คอยเตือนเราให้ดีลกับประสบการณ์ร้ายๆ อย่างมีวุฒิภาวะและด้วยจิตใจที่สงบ
  • แก่นของสโตอิก คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่ทั้งสุขหรือทุกข์ในตัวมันเอง แต่เป็นวิธีตอบสนองของเราที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ ต่างหาก
  • สโตอิกมี 3 องค์ประกอบด้วยกัน ที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิต นั่นคือ อาเรเต้ การทุ่มเทในแบบที่เราจะไม่เสียใจภายหลัง, สนใจสิ่งที่ควบคุมได้ และ รับผิดชอบชะตาตัวเอง 

ถ้าทุกวันนี้เรามองไปรอบตัวทางไหนแล้วเจอแต่ความเร่งรีบ ความโกลาหล เจอแต่พายุข่าวสารวิกฤติต่างๆ ถาโถมใส่จนรู้สึกว่าการแค่จะมีความสุขเล็กๆ แว่บขึ้นในใจ…ทำไมบางทีมันช่างยากจังเลย?

ขอแนะนำให้โดดกอดแนวคิด ‘สโตอิก’ (Stoicism) ที่วันนี้อยากจะมาขอแชร์มุมมองกัน บางทีมันอาจเป็นหนทางยั่งยืนที่ช่วยเยียวยาจิตใจคุณจากบาดแผล ช่วยให้มีกำลังใจในการเผชิญหน้าปัญหา ช่วยให้คุณพ้นทุกข์อย่างน้อยแม้ชั่วคราวก็ยังดี…

งอกใหม่ให้เบ่งบานกว่าเดิม

สโตอิก (Stoicism) คือปรัชญาที่มีรากเหง้ามาจากยุคกรีกโบราณ คอยเตือนเราให้ดีลกับประสบการณ์ร้ายๆ ที่บังเอิญเกิดขึ้นในชีวิตอย่างมีวุฒิภาวะและด้วยจิตใจที่สงบ

สโตอิกสอนเราว่า บางทีภัยพิบัติร้ายๆ เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้น หรือแค่ความซวยต่างๆ ที่เราประสบพบเจอ ถ้ามันไม่ได้ถึงกับคร่าชีวิตเราไป และถ้าเราพอจะฝืนทนผ่านมันไปได้…อาจเป็นประตูสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิม

เพราะแก่นของสโตอิก คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่ทั้งสุขหรือทุกข์ในตัวมันเอง แต่เป็น วิธีตอบสนอง (Reaction) ของตัวเราเองที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ ต่างหาก 

สโตอิกเริ่มกลับมาได้รับความนิยมในปัจจุบันมากขึ้น สื่อหลากหลายแขนงนำไปพูดถึงกันอย่างออกรส ทำไมจึงเป็นเช่นนี้? อาจเพราะชีวิตคนเราเดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ ‘ควบคุมไม่ได้’ 

  • เราควบคุมไม่ให้เกิดโควิด-19 ไม่ได้
  • เราควบคุมไม่ให้คนอื่นคิดร้านนินทาเราไม่ได้
  • เราควบคุมไม่ให้สมาชิกครอบครัวเสียชีวิตกะทันหันไม่ได้

สิ่งร้ายๆ บางทีก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง มันพุ่งเข้าชนเราโดยไม่รู้ตัว มันเล่นลอบกัดลับหลังเราในยามที่เผลอแต่ถ้าเรายังมีชีวิตรอด ทั้งหมดนี้จะทำให้เราเติบโตขึ้นจากภายใน เมื่อภายในแข็งแกร่งแล้ว ภายนอกจะแกร่งตาม

เราจะเห็นคำว่า ‘รอดชีวิต’ โผล่ขึ้นมาอยู่หลายครั้ง เพราะเรื่องราวของผู้ให้กำเนิดปรัชญานี้ ก็เคยรอดชีวิตจากเหตุการณ์ร้ายมาแล้ว

ปรัชญาจากยุคกรีกโบราณ

ราว 300 ปีก่อนคริสตกาล พ่อค้าผู้มั่งคั่งรายหนึ่ง สมญานามว่า ซีโนแห่งซิทิอุม (Zeno of Citium) ได้ออกเดินเรือสู่มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ปลายทางคือ ท่าเรือพีเรอัส (Piraeus) แห่งกรุงเอเธนส์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ทางตอนใต้ของประเทศกรีซ

ทว่า…เขาไม่มีโอกาสไปถึง ด้วยภัยพิบัติธรรมชาติที่ไม่คาดคิด ทำให้เรือเกิดอับปางลงกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แม้เขาจะรอดชีวิตมาได้ แต่สินค้าทั้งหมดที่บรรทุกลงเรือจมลงใต้มหาสมุทร ซึ่งนั่นหมายถึงทรัพย์สินความมั่งคั่งแทบทั้งหมดที่เขามีก็ว่าได้

ถ้าเราวัดค่าของคนจากเงินทองที่มี ซีโนได้เปลี่ยนสถานะกลายเป็นคนละคนในชั่วข้ามคืน จากสำเร็จเป็นล้มเหลว จากร่ำรวยเป็นยาจก จากมีหวังสู่สิ้นหวัง แต่นั่นอาจไม่ใช่กับ… ‘จากสุขเป็นทุกข์’ เพราะเหตุการณ์หลังจากนั้น นำมาสู่การกำเนิดปรัชญาสโตอิกดังที่เราจะได้รู้กัน

ในสถานะชายสิ้นเนื้อประดาตัว ชีวิตได้นำพาซีโนไปพบกับชายที่ชื่อ กราติส (Crates) ซึ่งยึดถือแนวคิดการใช้ชีวิตแบบไม่ยึดติดอารมณ์ ไม่พึ่งพาสิ่งใด เน้นการควบคุมความคิดทัศนคติของตัวเอง สวนกระแสความคิดคนส่วนใหญ่ในสังคมยุคนั้น แต่ไม่ใช่กับซีโนที่ชุดความคิดนี้กลายเป็นที่พึ่งทางใจและเปลี่ยนเขาให้เป็นคนที่มีความสุขสุดๆ แม้จะมีความมั่งคั่งน้อยสุดๆ 

ในเวลาต่อมา เขาได้ออกเผยแพร่แนวคิดนี้ด้วยตัวเอง บนพื้นที่สาธารณะแห่งหนึ่ง เผอิญว่าสถานที่แห่งนี้ชื่อว่า ‘สโต’ จึงทำให้บรรดาผู้คนที่มารับฟังอย่างศรัทธาถูกขนานนามว่า ‘สโตอิก’ (Stoic) ไปโดยปริยาย แนวคิดสโตอิกจึงเริ่มผลิบานอย่างเป็นทางการนับแต่นั้นมา

3 จิ๊กซอว์หลอมรวมเป็นสโตอิก

สำหรับใครที่ชื่นชอบเฟรมเวิร์ก ชอบจำแบบมีหลักการเพื่อนำไปใช้ได้จริงและสื่อสารบอกคนอื่นต่อได้อย่างง่าย สโตอิกจะมีอยู่ 3 องค์ประกอบหลักด้วยกันที่จะประกอบขึ้นมาเป็นแนวคิดสโตอิกที่สมบูรณ์แบบ

1. อาเรเต้

คือการทุ่มเทเกินร้อยเวลาทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งในแบบที่เราจะไม่เสียใจในภายหลังเมื่อมองย้อนกลับไป แม้ว่าผลสุดท้ายมันจะออกมาไม่สำเร็จก็ตามที

สิ่งที่ใช้พึงระลึกถึงอาเรเต้ได้ง่ายๆ คือระหว่าง ‘สิ่งที่คุณสามารถทำได้ vs. สิ่งที่คุณลงมือทำจริงๆ’ สองอย่างนี้ดูคล้ายกันแต่มีความแตกต่างกันอยู่ 

เพราะคนเก่งบางคนความสามารถเป็นเลิศ ศักยภาพของเขาไปแตะถึง 100 ได้ไม่ยาก แต่เวลาลงมือปฏิบัติจริงกลับใส่ไม่สุด ทุ่มเทไปแค่ 50 ทำแบบครึ่งๆ กลางๆ พอผลลัพธ์ออกมาไม่ดีจึงมีแนวโน้มจะเสียใจผิดหวังเมื่อมองย้อนกลับไปว่า “ไม่น่าเลย…เราน่าจะตั้งใจทำให้เต็มที่กว่านี้”

2. สนใจสิ่งที่ควบคุมได้

ดังที่กล่าวไป เพราะหลายสิ่งในชีวิตเราควบคุมไม่ได้เลย สโตอิกบอกเราว่าจะดีกว่าไหมถ้าเราโฟกัสสิ่งเล็กๆ ในกำมือที่เราพอจะควบคุมมันได้บ้าง 

  • เราควบคุมให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจไม่ได้…แต่พอจะควบคุมวินัยทางการเงินของตัวเองได้
  • เราควบคุมให้คนอื่นมาชอบเราไม่ได้เวลาไปจีบเค้า…แต่พอจะควบคุมดูแลตัวเองให้ดูดีได้ทั้งรูปร่าง การแต่งกาย บุคลิกภาพ มารยาท
  • เราควบคุมให้ลูกค้าเซ็นสัญญาซื้อขายกลับมาไม่ได้…แต่พอจะควบคุมการออกแบบเงื่อนไขสัญญาที่ทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์ร่วมกันได้

นัยหนึ่ง เรื่องนี้ยังเป็นการยอมแพ้ (Surrender) ต่อสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ความมหัศจรรย์คือ เมื่อเรายอมรับความพ่ายแพ้ ตระหนักรับรู้ และปล่อยวางมันไปให้เพียงเกิดขึ้น บางทีเรากลับรู้สึกมีความสุขขึ้นเองอย่างน่าอัศจรรย์…

3. รับผิดชอบชะตาตัวเอง

เป็นการไม่สยบยอมต่อฟ้าลิขิต แต่ให้รับผิดชอบในเส้นทางโชคชะตาชีวิตของเราเองโดยไม่ไปโทษผู้อื่น จะไม่ไปย้อนเท้าความวนเวียนในหัวว่าทำไมเราไม่ทำอย่างโน้น-ทำไมเราไม่ทำอย่างนี้ อาจมีบ้างได้เพียงช่วงสั้นๆ แต่แล้วก็จะกลับมารับมือกับปัจจุบันตรงหน้า ทั้งนี้ทั้งนั้น สโตอิกไม่ได้เพิกเฉยต่อองค์ประกอบปัจจัยภายนอกที่มีอิทธิพลกับเรา แต่แค่พึงระลึกว่าสิ่งสำคัญสุดคือการกระทำของตัวเราเอง 

เราอาจเติบโตมาในครอบครัวที่พูดจาแย่ๆ ด่าร้ายใส่ แต่เราจะไม่ส่งต่อพูดจาแย่ๆ กับเจเนอเรชั่นรุ่นลูกตัวเองต่อ หรือเราอาจถูกคดโกงถูกปฏิบัติอย่างไร้ความยุติธรรม แต่เราจะไม่ไปทำเรื่องแย่ๆ แบบนี้กับผู้อื่น

สโตอิกอีกนิดชีวิตก็แฮปปี้

แนวคิดสโตอิกมีความร่วมสมัยในตัวอยู่ และดูเหมือนจะเหมาะเจาะกับโลกอันแสนเร่งรีบวุ่นวายแบบทุกวันนี้

ท่ามกลางวิกฤติ สโตอิกกระตุ้นให้เฝ้ามองหาโอกาสของสิ่งที่ดีกว่าเดิม คอยเตือนให้เราทำวันนี้ให้ดีที่สุดแบบที่จะไม่เสียใจเมื่อมองย้อนกลับมา ให้เราเฉิดฉายสง่างามโดยเป็นตัวของตัวเอง อดทนต่อเรื่องที่กวนใจ เผชิญหน้ากับปัญหาตรงหน้าที่พบเจอ

สโตอิกยังเตือนไม่ให้เราตกเป็นทาสของ ‘มาตรฐานทางสังคม’ จนเกินไป ที่เราต้องเป็น-ต้องมี-ต้องใช้ ของบางสิ่งบางอย่างจึงจะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง

และมีจริตของการปล่อยวางให้เรื่องนั้นๆ เกิดขึ้น โดยมีความหวังกับอนาคต

  • อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว…ย่อมดีเสมอ
  • สิ่งไหนที่ไม่ได้ทำให้เราตาย…จะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น

เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน ความแน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน เตรียมตัวรับมือกับ…อะไรก็ตามที่พร้อมถาโถมใส่ชีวิตเรา เตรียมตัวเตรียมใจรับมือความ ‘ซวย’ ที่เกิดขึ้นได้เสมอทุกวันทุกเวลา

ไม่มีต้นไม้ใหญ่ไหนที่จะหยั่งรากลึกลงดินได้โดยไม่เคยโดนลมพายุพัดแรงใส่ แต่ฟ้าหลังฝนย่อมดีเสมอ วิกฤติผ่านพ้นไปแล้วก็ถึงเวลาโอกาสโบยบิน

จากนี้ เราอาจมีปฏิกิริยาต่างออกไปจากเหตุการณ์เดิมๆ ที่เคยก่อกวนใจเรา เพราะไม่ว่าโลกจะโยนอะไรใส่ เราก็พร้อมมีมุมมองทัศนคติและจิตใจที่ยังทำให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ได้นั่นเอง…

อ้างอิง

https://plato.stanford.edu/entries/stoicism/

https://iep.utm.edu/stoicism/#:~:text=Stoicism%20originated%20as%20a%20Hellenistic,the%20Academics%2C%20and%20the%20Epicureans.

https://www.thecollector.com/what-are-the-origins-of-stoicism-history/

https://philosophynow.org/issues/157/Stoicism_in_History_and_Modern_Life

Tags:

การปล่อยวางวิธีรับมือกับปัญหาปรัชญาชีวิตปรัชญา ‘สโตอิก’ (Stoicism)การยอมแพ้ (Surrender)

Author:

illustrator

ปริพนธ์ นำพบสันติ

ชอบขบคิดในหัวและหาคำอธิบายให้กับสิ่งรอบตัว

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Relationship
    แม้แผลใจจะยังไม่หายดี แต่เธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีได้นะ

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Myth/Life/Crisis
    ความตายขับเคลื่อนชีวิต (2): เมื่อการระลึกถึง ‘ความตาย’ ทำให้เข้าใจความหมายของ ‘ชีวิต’

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy life
    เดอสแตดนิง (Döstädning): มากกว่าจัดบ้านคือจัดการชีวิต ศิลปะการละทิ้ง(ก่อนตาย) สไตล์ชาวสวีเดน

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    นิกเซน (Niksen): ละทิ้งความคาดหวังและอยู่กับปัจจุบันขณะ ศิลปะของการไม่ทำอะไรของชาวดัตซ์

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    การทำร้ายร่างกายตัวเอง (self-injury) ที่ไม่ใช่แค่การกดดัน ตำหนิตัวเอง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘ครูนอนเวร’  ความปลอดภัยใคร(ไม่รู้) ความเสี่ยงครู(แน่นอน)
Social Issues
4 December 2023

‘ครูนอนเวร’  ความปลอดภัยใคร(ไม่รู้) ความเสี่ยงครู(แน่นอน)

เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการสอนมาทั้งวันแล้ว ครูยังต้องรับหน้าที่เฝ้ายามกะดึก หรือที่เรียกว่า ‘ครูนอนเวร’ เพื่อตรวจตรารักษาความปลอดภัยให้โรงเรียนยามค่ำคืน 
  • ผลกระทบทั้งกายและใจ นอกจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ทำให้เครียดหรือกังวลใจแล้ว การพักผ่อนไม่เพียงพอก็ส่งผลสุขภาพกาย สืบเนื่องไปถึงประสิทธิภาพการสอน และอีกปัญหาสำคัญคือ ‘เวลาของครอบครัวที่หายไป’ 
  • แท้จริงแล้วหน้าที่เฝ้ายามโรงเรียนควรเป็นของครูจริงหรือ? จะมีทางออกใดให้แก่คุณครูบ้าง? เพื่อคืนเวลาให้ครูนำไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ให้กับเด็ก

หน้าที่ของครูนอกจากต้องสอนหนังสือแล้ว ครูผู้ชายยังมีอีกหน้าที่ประจำ คือ ‘การนอนเวร’ เพื่อคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยให้โรงเรียนในยามค่ำคืน ซึ่งในกรณีของโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีครูผู้ชายจำนวนมาก คงไม่เป็นปัญหาเท่าใดนัก หากต้องหมุนเวียนกันมานอนเวรเฉลี่ยเดือนละครั้ง แต่สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กที่มีครูผู้ชายน้อยจนต้องผลัดเปลี่ยนกันมานอนแทบทุกสัปดาห์ ก็อาจจะไม่เป็นผลดี แถมหากมีอุบัติเหตุหรือการก่ออาชญากรรมขึ้นจริง นอกจากครูจะสู้ไม่ไหว ยังเป็นภัยความเสี่ยงต่อตัวครูด้วย

สารพัดปัญหาและข้อสงสัยที่ชวนให้ I AM KRU. เปิดวงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณครูผู้ผ่านประสบการณ์นอนเวร 3 ท่าน ได้แก่ ครูร่มเกล้า ช้างน้อย จากโรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ครูสุพศิน เงินส่ง จากโรงเรียนวัดประตูใหญ่ จ.สุราษฎร์ธานี และ ครูรัตนชาติ สาระโป จากโรงเรียนบ้านเเม่งอนขี้เหล็ก จ.เชียงใหม่ เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และร่วมตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วหน้าที่เฝ้ายามโรงเรียนควรเป็นของครูจริงหรือ? 

เปิดประสบการณ์ ‘การนอนเวร’ 

การต้องนอนในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตนเอง นอกจากไม่สะดวกสบายแล้ว ก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์มีความรู้สึก ‘หวาดกลัว’ 

ครูสุพศิน เงินส่ง หรือ ครูเจมส์ จากโรงเรียนวัดประตูใหญ่ จ.สุราษฎร์ธานี เล่าว่า ประสบการณ์การนอนเวรครั้งแรกยอมรับว่าเหมือนหลายๆ คน ที่ไม่กล้านอน คือกลัวตั้งแต่โจรไปยันผี บรรยากาศก็วังเวง ต้องนอนคนเดียว ไม่รู้ว่าโจรจะมีไหม แต่สุดท้ายต่อให้กลัวก็ต้องนอน เพราะเป็นระเบียบที่ครูต้องทำ ถามว่าทุกวันนี้นอนได้ไหม ก็นอนได้ แต่ยังกลัวอยู่ เพราะโรงเรียนอยู่ใกล้วัด ตีสอง ตีสาม หมาหอน กลัวผีมากกว่ากลัวโจร (หัวเราะ) แล้วก็ด้วยโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ทำให้ไม่มีห้องสำหรับนอนเวรโดยเฉพาะ ก็ต้องอาศัยว่าครูท่านไหนอยู่ห้องปฏิบัติการ ก็ไปขอห้องปฏิบัติการเขาในการนอนพัก 

เช่นเดียวกับ ครูร่มเกล้า ช้างน้อย หรือ ครูกั๊ก จากโรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ที่บอกว่า ความรู้สึกของการนอนเวรครั้งแรก คือ ‘ความกลัว’ 

“คืนแรกของการนอนเวรรู้สึกว่าน่ากลัว เพราะขึ้นชื่อว่าโรงเรียนมัธยมวัด ซึ่งอยู่ใกล้วัด ก็กลัวผี แล้วสภาพห้องนอนเวรคือทรุดโทรมมาก สภาพห้องแย่มาก ที่นอนก็อมฝุ่น แล้วเราก็เคยดูหนังผี แอร์ก็พร้อมเป็นที่นั่งผี มีโต๊ะเครื่องแป้งอีก แค่เห็นหน้าเราในกระจกก็กลัวแล้ว แถมประตูก็มีรู ก็ยิ่งน่ากลัว” 

ครูร่มเกล้า ช้างน้อย โรงเรียนเทพศาลาประชาสรรค์ ภาพจาก Live Facebook “ครูนอนเวร” หน้าที่นอนเวรเป็นหน้าที่ของครู หรือ เป็นของใคร โดย I AM KRU.

สุขภาพเสียทั้งกาย-ใจ ผลกระทบครูนอนเวร 

แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการสอนมาทั้งวันแล้ว ครูนอนเวรยังต้องรับหน้าที่เฝ้ายามกะดึก ทำให้ได้นอนบ้าง ไม่ได้นอนบ้าง เมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สืบเนื่องไปถึงประสิทธิภาพการสอน รวมทั้งยังมีผลต่อสภาพจิตใจด้วย 

ครูร่มเกล้า เล่าว่า การนอนเวรส่งผลเสียอย่างมาก อันดับแรก เราเป็นคนนอนยาก ทำให้นอนไม่พอ เวลาง่วงมากก็ไม่มีพลังงานในการสอน สองคือถ้าช่วงที่แม่บ้านไม่อยู่ ห้องพักไม่ได้ทำความสะอาด ก็จะมีฝุ่นเยอะมาก ทำให้เราแพ้ไรฝุ่น สามคือถ้าแอร์เสียก็จะร้อนมาก แล้วเราเป็นคนแพ้เหงื่อตัวเอง ก็ทำให้เป็นผื่น และสุดท้ายคือสภาพจิตใจ ความกลัวทั้งแมลง โจร และสภาพแวดล้อมต่างๆ ทำให้เครียดหรือกังวลใจ 

ไม่ต่างจากครูรัตนชาติ สาระโป หรือ ครูก็อต จากโรงเรียนบ้านเเม่งอนขี้เหล็ก จ.เชียงใหม่ เล่าว่า การนอนเวรส่งผลต่อจิตใจบ้าง เพราะแทนที่เลิกงานแล้วจะได้พักผ่อน หรือได้ทำในสิ่งที่อยากทำก็ไม่ได้ทำ

อีกปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นกับครูหลายคน คือ ‘เวลาของครอบครัวที่หายไป’ 

ครูสุพศิน เล่าว่า มีครูหลายท่านที่เขามีครอบครัว ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบ เช่น บางคนมีลูกเล็ก จะทิ้งเวรก็ไม่ได้ ก็ใช้วิธีจ้างครูคนอื่นมาอยู่แทน แต่ทำบ่อยๆ ก็ไม่ไหว เพราะต้องใช้เงิน การนอนเวรหากเป็นโรงเรียนใหญ่ที่มีครูผู้ชายหลายคน อาจจะไม่ได้รับผลกระทบมาก เช่น เวียนกันมานอนเดือนละ 1 ครั้ง แต่กับโรงเรียนขนาดเล็ก ที่อยู่ตามชนบท ถ้ามีครูผู้ชายแค่ 2 คน จะทำอย่างไร เวลาของครอบครัวก็หายไปแล้ว 

‘นอนเวร’ ความปลอดภัยโรงเรียน ความเสี่ยงครู

แม้การนอนเวรจะเป็นระเบียบราชการ แต่การอยู่โรงเรียนคนเดียวในยามวิกาล ในแง่หนึ่งก็เป็นความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของครู 

ครูสุพศิน เล่าว่าโรงเรียนให้ความสำคัญและกำชับเรื่องการอยู่เวรอย่างมาก เพราะเคยเกิดเหตุฆาตกรรมในโรงเรียนมาก่อน ครั้งนั้นมีครูเวรผู้หญิงมาอยู่โรงเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ เผื่อว่ามีใครมาติดต่อราชการ แล้วด้านนอกก็เกิดเหตุการณ์ทะเลาะกัน เขาก็ขับรถตามกันมาในโรงเรียน และเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น ครูเวรก็ลำบากเหมือนกัน แต่ถามว่าต่อให้เฝ้าเวรทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วมีเหตุการณ์เช่นนี้อีก ครูเวรก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่คิดว่าอย่างน้อยการที่มีครูเวรอยู่ก็ช่วยติดต่อแจ้งเจ้าหน้าที่ได้  

ครูสุพศิน เงินส่ง โรงเรียนวัดประตูใหญ่

ขณะที่ ครูร่มเกล้า ร่วมแชร์ประสบการณ์ ว่าครั้งหนึ่งการนอนเวรเกือบทำให้เขาต้องอยู่ในกองเพลิง 

“มีคืนหนึ่งเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เต้าเสียบ แล้วไฟก็ไหม้ลามไปตามสายไฟ ซึ่งถ้าไล่จนครบ จะเข้าไปไหม้ในห้องเก็บไม้กวาด ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีเลย แล้วห้องนอนเวรผมอยู่ด้านบนนั้นเลย แต่โชคดีว่าวันนั้นหนีไปนอนที่ห้องประชาสัมพันธ์ เพราะห้องนอนเวรจะเก่ามาก ปกติก็จะไปหนีไปนอนห้องอื่นๆ ซึ่งถ้าหากวันนั้นไฟลุกลามหนัก และผมนอนที่นั่น คนที่ตายคือผมเอง ซึ่งผมนึกย้อนไปถึงศึกษานิเทศท่านหนึ่ง เคยบอกว่า จริงๆ แล้วการอยู่เวร รับผิดชอบการอยู่ ไม่ได้รับผิดชอบเหตุ หมายความว่าถ้าเราไม่อยู่ เราผิด แต่หากเกิดเหตุ จะเหตุอะไรก็ได้ เราไม่ผิด ขอแค่เราอยู่ จริงๆ ก็ถูกต้องทุกอย่าง แต่ถ้ามองในมุมของความปลอดภัยของครู ไม่ได้เลย” 

‘นอนเวร’ หน้าที่ครูหรือหน้าที่ใคร?

ด้วยภาระในการเรียนการสอนที่มีมหาศาล ประกอบกับความปลอดภัยของครูในยามวิกาล จึงนำมาสู่คำถามที่ว่า การนอนเวรยังจำเป็นอยู่ไหม หรือจะมีทางออกใดให้แก่คุณครู?  

ครูสุพศิน บอกว่า ส่วนตัวมองว่าการนอนเวรยังเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ก็ยังมีคนช่วยประสานงานแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ แต่ขณะเดียวกันก็อยากให้มีการปรับเปลี่ยนการนอนเวรให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันที่มีอุปกรณ์และเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น  

“โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ไม่มีงบจ้างใครมาช่วยเฝ้าเวรได้ ภาระหนักจะมาตกที่ครู แนวทางการเข้าเวรสำหรับผม ถ้ายกเลิกไม่ได้ ก็ควรปรับให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันที่มีทั้งกล้องวงจรปิด กล้องอินฟาเรด ภาครัฐอาจจะสนับสนุนให้ทุกโรงเรียนติดตั้งกล้องวงจรปิด ครูไม่ต้องนอนก็ได้ ใช้วิธีแวะเวียนเข้ามาดู หรือผลัดกันเข้าไปตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันของกล้องวงจรปิดแทน 

แต่ถ้าหากภาครัฐมีงบสนับสนุน และสามารถจัดสรรงบเพื่อจ้างเจ้าหน้าที่มาดูแลความปลอดภัยโรงเรียนได้ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงครูได้มาก เพราะอย่างที่ครูหลายท่านบอก เราไม่ได้เรียนมาเพื่อต่อสู้ เราศึกษามาเพื่อเป็นครู” 

ด้าน ครูรัตนชาติ บอกว่า สำหรับโรงเรียนเรา ด้วยความอยู่ใกล้ชุมชน การมีครูมาเฝ้าเวร หรือนอนเวร ในมุมหนึ่งทำให้ผู้ปกครองรู้สึกมั่นใจ ชาวบ้านมองว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัย และสร้างความอุ่นใจของชุมชน แต่ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าการนอนเวรก็ส่งผลให้ครูส่วนใหญ่เกิดความเครียด ทางออกที่ดีที่สุดเช่น ‘การจัดเวลาช่วยกันตรวจตราโรงเรียน’ แทนการนอนเวร รวมถึง ‘ดึงหน่วยงานอื่นๆ’ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลโรงเรียนมากขึ้น

ครูรัตนชาติ สาระโป โรงเรียนบ้านเเม่งอนขี้เหล็ก

“หากยกเลิกการนอนเวรไม่ได้ อยากให้มีการลดเวลา เช่น เปลี่ยนจากการให้ครูนอนเวรเป็นแวะเวียนมาตรวจเป็นช่วงเวลา เช่น ที่โรงเรียนจะให้ครูมาตรวจและรายงานในช่วงเวลา 20.00-21.00 น. และในช่วงเวลา 02.00-03.00 จะมีลุงยามที่อยู่ใกล้โรงเรียนมาตรวจอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ก็เห็นด้วยกับแนวคิดของเพจครูหมีมั่วซั่วที่เคยแชร์ว่า โรงเรียนอาจจะใช้วิธีการ MOU กับ อพปร. (อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน) ของหมู่บ้าน ให้มาช่วยดูแลความปลอดภัยของโรงเรียน ซึ่งนอกจากแบ่งเบาภาระของครูแล้ว ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยให้กับชาวบ้านได้มากขึ้น”  

สำหรับ ครูร่มเกล้า ทิ้งท้ายว่า เห็นด้วยอย่างมากกับแนวทางการประสานงานหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน  ซึ่งหากทำไม่ได้ แนวทางรองลงมามองไปที่ภาครัฐควรมีการจัดสรรงบประมาณใหม่ โดยมีงบสนับสนุนการจ้างเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรตรวจความปลอดภัยให้แก่ทุกโรงเรียนทั่วประเทศ หรือแนวทางสุดท้ายคือการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี โดยติดตั้งกล้องวงจรปิดให้ทุกโรงเรียน เพื่อลดภาระหน้าที่ครู ช่วยให้ครูสมกับเป็นครูที่มีเป้าหมายหน้าที่หลักในเรื่องการจัดการศึกษา

ทั้งหมดนี้คือเรื่องเล่าหลากหลายประสบการณ์ของครูนอนเวร ที่สะท้อนถึงความยากลำบากและภาระหน้าที่ที่เกินบทบาทความเป็นครู ขณะเดียวกันก็เป็นการร่วมกันหาทางออกของการนอนเวร เพื่อคืนเวลาให้ครูนำไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ให้กับเด็ก

Tags:

โรงเรียนงานเสวนาความปลอดภัยความเสี่ยงครูนอนเวรภาระงานครู

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ฤดูร้อนเมื่อครั้งประถม ผมได้เป็นอัศวิน: เด็กชายผู้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ความกล้าหาญด้วยตัวเอง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Creative learning
    พาเด็กอนุบาลเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ เสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกันและการแก้ปัญหา:  ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ โรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Tuber Teacher ครูนักเล่าเรื่อง : เวิร์กชอปที่จะเปลี่ยนให้คุณครูกลายเป็นยูทูบเบอร์

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social IssuesBook
    WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel