Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: November 2022

ทำไมครูควรมีมุมมอง พหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural Education)
Transformative learning
9 November 2022

ทำไมครูควรมีมุมมอง พหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural Education)

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Multicultural Education เสมือนเลนส์และวิธีการที่ช่วยพาเราเข้าไปสำรวจและท้าทายกับความไม่ยุติธรรม การเลือกปฏิบัติ และอคติที่เกิดขึ้นกับนักเรียนในระบบการศึกษา ทั้งในหลักสูตร ตำราเรียน บทบาทครู สภาพแวดล้อม ไปจนถึงนโยบาย
  • แท้จริงแล้วระบบการศึกษาเป็นพื้นที่ของการส่งผ่านวัฒนธรรมไปสู่นักเรียน ผ่านความรู้ พิธีกรรม วิธีการสอนของครู และกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน
  • บทบาทของครู อาจเริ่มต้นด้วยการกลับมาทบทวนตัวตนของครู ที่สะท้อนผ่านวิธีการสอน การเลือกใช้สื่อ เนื้อหา การจัดกลุ่ม การปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับนักเรียน ว่าตัวครูกำลังเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกปฏิบัติ สร้างความไม่เท่าเทียม หรือมีอคติอยู่

เรามองเห็นนักเรียนแต่ละคนจากแง่มุมไหน? พวกเขากำลังเผชิญประสบการณ์แบบไหนในโรงเรียนบ้าง? แท้จริงแล้วโรงเรียนกำลังสร้างสังคมที่เป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับนักเรียนทุกคนหรือไม่? ครูและนักการศึกษาเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องเหล่านี้อย่างไร? คำถามเหล่านี้เป็นคำถามสำคัญของ Multicultural Education หรือ พหุวัฒนธรรมศึกษา ที่ชวนให้เรามองเห็นความแตกต่างของเด็กแต่ละคนในระบบการศึกษาและสังคมที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรม อำนาจ และสิทธิพิเศษ (privilege)  

Multicultural Education (ME) คืออะไร?

Multicultural Education (ME) มีพัฒนาการมาจากรากฐานสำคัญของขบวนการต่อสู้เคลื่อนไหวทางสังคมในแต่ละช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ เพื่อเรียกร้องและสนับสนุนให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นกับทุกคน ควบคู่ไปกับการท้าทายและรื้อถอนวัฒนธรรมอำนาจที่เอื้อให้คนบางกลุ่ม (เช่น การเรียกร้องสิทธิในเลือกตั้งของผู้หญิง เป็นต้น) สำหรับ James Banks นักการศึกษาสายพหุวัฒนธรรมศึกษา เห็นว่า ME ไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวทางสังคม แต่คือแนวคิดที่มองว่า เด็กทุกคนไม่ว่าจะมีความแตกต่างในเรื่องเพศ ความเชื่อ เชื้อชาติ ชนชั้น ร่างกาย และอื่นๆ พวกเขาจะต้องมีสิทธิในการดำรงชีวิตอย่างเท่าเทียม เสมอภาค ปราศจากอคติและการเลือกปฏิบัติ ME จึงเป็นเสมือนเลนส์และวิธีการที่ช่วยพาเราเข้าไปสำรวจและท้าทายกับความไม่ยุติธรรม การเลือกปฏิบัติ และอคติที่เกิดขึ้นกับนักเรียนในระบบการศึกษา ทั้งในหลักสูตร ตำราเรียน บทบาทครู สภาพแวดล้อม ไปจนถึงนโยบายทางการศึกษา

วัฒนธรรม อำนาจ และสิทธิพิเศษ  

ในบทความ Culture, Teaching, and Learning  ที่เขียนโดย Convertino และทีม ชี้ว่า เมื่อพูดถึงพหุวัฒนธรรมศึกษา หรือ ME ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง คือการมองว่า เป็นแนวคิดที่ส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้วัฒนธรรมในเชิงท่องเที่ยวที่แตกต่างไปจากตน หรือที่เรียกว่า tourist-based ที่มักจะเน้นไปที่การสอนเกี่ยวกับประเพณี เทศกาลสำคัญ วันหยุด สิ่งของประจำชาติหรืออาหารท้องถิ่น ซึ่งเป็นการมองวัฒนธรรมเพียงผิวเผิน มุมมองเช่นนี้ไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของวัฒนธรรม อำนาจ และสิทธิพิเศษที่ส่งผลต่อตัวเด็กได้เลย 

แท้จริงแล้วระบบการศึกษาเป็นพื้นที่ของการส่งผ่านวัฒนธรรมไปสู่นักเรียน ผ่านความรู้ พิธีกรรม วิธีการสอนของครู และกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน 

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เต็มไปด้วย ความหมาย สัญญะ คุณค่า และความเชื่อ ว่าอะไรคือสิ่งนักเรียนแต่ละคนควรทำ ควรให้คุณค่า ควรเรียนรู้และรู้สึก หรือควรแสดงออกเกี่ยวกับตนเองและคนอื่นๆ อย่างไร คำถามสำคัญที่จำเป็นต้องถูกยกขึ้นมาพิจารณา คือวัฒนธรรมเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยใครและใครได้ประโยชน์จากมันอย่างไร บทความดังกล่าวยัง อธิบายไว้เพิ่มเติมว่า วัฒนธรรมที่ถูกส่งผ่านนั้น แยกไม่ขาดจากอำนาจลำดับชั้น โรงเรียนทำหน้าที่ของมันเพียงเพื่อสร้างและรักษาสถานะของบางชนชั้นหรือชนชั้นผู้มีอำนาจเหนือกว่า 

ในงานศึกษาแนวชาติพันธุ์วรรณา ( ethnography) ของ Ray Rist ช่วงปี 1970 ที่เข้าไปศึกษาชั้นเรียนระดับชั้นอนุบาลแห่งหนึ่ง จากการสังเกตและรวบรวมข้อมูลเป็นระยะเวลาสามปี เขาพบว่า การจัดโต๊ะในชั้นเรียนเกี่ยวกับการอ่าน ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจัดแยกประเภทเด็กจากพฤติกรรม ลักษณะ และภาษาที่ใช้ ซึ่งนัยหนึ่งก็สะท้อนถึงภูมิหลังทางชนชั้นของนักเรียน กล่าวคือโต๊ะเรียนได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม (หรืออย่างที่เราคุ้นเคยกันดี “เก่ง กลาง อ่อน” ) กลุ่มแรก กลุ่มที่มีความสามารถสูงสุด เด็กที่อยู่ในกลุ่มนี้มีลักษณะการแต่งกายและพฤติกรรมที่ดูดี เรียบร้อย และมีการใช้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันตามมาตรฐาน พวกเขาเป็นเด็กจากชนชั้นกลางนั่นเอง ส่วนสองกลุ่มหลังคือกลุ่มกลางและอ่อน เด็กกลุ่มนี้มีลักษณะตรงข้ามกับกลุ่มแรก Rist พบว่า ครูใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเด็กกลุ่มเก่ง และเมื่อเวลาผ่านไปตลอด 3 ปีของการศึกษา 

การจัดโต๊ะดังกล่าวส่งผลต่อการรับรู้ที่เด็กมีต่อตัวเองและเพื่อนคนอื่นๆ เช่น ใครเป็น “คนฉลาด” หรือ “คนโง่” ห้องเรียนจึงกลายเป็นพื้นที่ตอกย้ำสถานะทางชนชั้น และเอื้อให้เด็กบางกลุ่มประสบความสำเร็จได้มากกว่าไปโดยปริยาย 

เมื่อนึกย้อนมองกลับมาที่สังคมไทย ไม่ใช่เพียงแค่วิธีการการจัดโต๊ะในลักษณะเดียวกันกับชั้นเรียนข้างต้นเท่านั้นที่ยังมีให้เห็นอยู่ แต่การแบ่งห้อง เช่น “ห้อง King ห้อง Gifted ห้องบ๊วย” ก็กลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ชวนให้เรากลับมาตั้งคำถามเดียวกันว่า สิ่งเหล่านี้กำลังส่งต่อและตอกย้ำความไม่เท่าเทียมในสังคมหรือไม่? ไม่เพียงเท่านั้น ในโรงเรียนไทยยังกลับพบว่า นักเรียนพม่าไทใหญ่ต่างต้องเผชิญกับความรู้สึกเชิงลบทางเชื้อชาติจากครูและหลักสูตร (ดูเพิ่มเติมได้ที่: ห้องเรียนที่ ‘เห็น’ นักเรียนตรงหน้ามากกว่าชื่อที่ปักบนอก https://thepotential.org/knowledge/classroom-ethnic-discrimination/) ขณะเดียวกันในงานสังเกตชั้นเรียน เกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของครูกับนักเรียนในชั้นเรียน ครูคนหนึ่งเชื่อว่า การปฏิบัติของตัวเองต่อความแตกต่างทางเพศนั้นเท่าเทียม แต่ในชั้นเรียนกลับปรากฏว่า เมื่อเด็กผู้หญิงต้องการจะตอบคำถามจะต้องยกมือขออนุญาต ในขณะที่เด็กผู้ชายไม่จำเป็นต้องทำ งานวิจัยบางชิ้นมีข้อสังเกตว่า เด็กผู้ชายได้รับความสนใจจากครูไม่ว่าจะทางบวกหรือลบมากกว่าเด็กผู้หญิง และบ่อยครั้งเด็กผู้ชายมักเป็นผู้ควบคุมการสนทนาในห้องเรียน   

ในมิติด้านความรู้ งานวิจัยหลักสูตรแฝงในแบบเรียนของไทยและเวียดนามผ่านมิติเรื่องเพศพบว่า แบบเรียนแฝงไปด้วยนัยยะของการปลูกฝังความไม่เท่าเทียมทางเพศ สัดส่วนการยกตัวอย่าง การใช้คำแทน มักมีน้ำหนักไปที่ผู้ชายมากกว่าเพศอื่นอย่างมีนัยยะสำคัญ อาชีพเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ วิศวกรรรม ถูกเล่าผ่านตัวละครผู้ชาย ขณะที่ผู้หญิงถูกวาดภาพให้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับห้องครัวและงานบ้าน สิ่งเหล่านี้กำลังผลิตซ้ำ (stereotype) ความเข้าใจบทบาททางเพศผ่านแบบเรียน ไม่เพียงเท่านั้น หากย้อนดูแบบเรียนของไทยจะพบการตีตรากลุ่ม LGBTQ+ ว่าเป็นผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ รวมถึงประสบการณ์ในโรงเรียนที่เด็กกลุ่มนี้มักจะถูกล้อเลียน กลั่นแกล้ง หรือถูกคุกคามผ่านคำพูดอีกด้วย ในประเด็นด้านความเชื่อ ที่ถึงแม้ว่าสังคมไทยจะมีความหลากหลายทางความเชื่ออยู่ แต่ดูเหมือนว่าโรงเรียนของไทยกลับมุ่งเน้นนำเสนอความเชื่อแบบพุทธศาสนาเป็นเนื้อหาสำคัญในการเรียนวิชาสังคมศึกษา รวมถึงกิจกรรมสำคัญภายในโรงเรียน ซึ่งตรงข้ามกับประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ที่ความเชื่อและศาสนาถูกแยกขาดจากโรงเรียน ด้วยมองว่าความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่รัฐไม่ควรเข้าไปกำหนดว่าใครควรเชื่ออะไร

แนวคิด ME ยังเสนอว่า ในแต่ละคนไม่ควรถูกมองเพียงแค่มิติเดียวเท่านั้น แต่ควรมองทับซ้อนกับมิติอื่นๆ (intersectionality) ตัวอย่างเช่น เพศและความพิการ จะเห็นว่าโอกาสเข้าถึงการศึกษาและโอกาสในชีวิตด้านอื่นๆ เช่น การมีลูกของผู้หญิงทั่วไป กับผู้หญิงที่มีความพิการนั้นแตกต่างกัน หรือตัวอย่างมิติที่ทับซ้อนกันของเพศกับเชื้อชาติ ในพื้นที่สื่อ ภาพของผู้หญิงผิวขาวมักจะถูกนำเสนอในเชิงบวกมากกว่าผู้หญิงผิวดำ เด็กนักเรียนผิวดำมีสัดส่วนการออกจากโรงเรียนกลางคันมากกว่าเมื่อเทียบกับนักเรียนกลุ่มอื่นๆ 

จะเห็นได้ว่าบนความแตกต่างที่ทับซ้อนกันนี้เอง นำมาซึ่งการเผชิญการกดทับ การถูกมอง(ไม่)เห็น การเลือกปฏิบัติ และอคติในหลายระดับที่ไม่เท่ากันอีกด้วย

บทบาทครูควรเป็นอย่างไร ?  

สิ่งที่ง่ายที่สุดอาจเริ่มต้นได้ด้วยการกลับมาทบทวนตัวตนของครูเอง ที่สะท้อนผ่านวิธีการสอน การเลือกใช้สื่อ เนื้อหา การจัดกลุ่ม การปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับนักเรียน และอื่นๆ ในชั้นเรียน ว่าตัวครูกำลังเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกปฏิบัติ สร้างความไม่เท่าเทียม หรือมีอคติอยู่ ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องมองออกไปนอกห้องเรียน ไปสู่การทำความเข้าใจวัฒนธรรมและอำนาจที่รายล้อมอยู่ในระบบการศึกษาและสังคม ว่ากำลังส่งผลอย่างไรต่อนักเรียนของเรา และลุกขึ้นมาเผชิญหน้าท้าทายกับความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ห้องเรียนไปสู่การต่อสู้เชิงนโยบาย  

การสร้างสรรค์บทเรียนหรือกิจกรรมจึงอาจเป็นหนทางหนึ่งที่ครูสามารถทำได้ทันทีเพื่อชวนนักเรียนตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว ผ่านการหยิบยกสื่อโฆษณา นิทาน เรื่องสั้น รวมถึงตำราเรียนที่ฉายให้เห็นอคติ การเหมารวม มาเป็นวัตถุดิบสำคัญในการวิเคราะห์ หรือเปิดพื้นที่ให้นักเรียนได้เล่าหรือสะท้อนประสบการณ์ที่ตัวเองถูกกระทำบนความแตกต่าง เพื่อสร้างความตระหนักในอำนาจและศักยภาพที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ (ดูตัวอย่างได้ที่ : ทำไมครูต้องสร้างบทเรียนเพื่อความยุติธรรม https://thepotential.org/knowledge/teaching-for-social-justice/ )

อ้างอิง 

บทความ  Still in the shadow of Confucianism? Gender bias in contemporary English textbooks in Vietnam  เขียนโดย  Mai Trang Vu  และ Thi Thanh Thuy Pham

บทความ มิติหญิงชายในแบบเรียนของไทย : การวิเคราะห์เนื้อหา เขียนโดย ตรีวิทย์ อัศวศิริศิลป์

บทความ Intersectionality and Student Outcomes: Sharpening the Struggle against Racism, Sexism, Classism, Ableism, Heterosexism, Nationalism, and Linguistic, Religious, and Geographical Discrimination in Teaching and Learning  เขียน โดย  Carl A. Grant และ Elisabethg Zwier.

หนังสือ  Multicultural Education: Issues and Perspectives

Tags:

การศึกษาอำนาจพหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural Education)ครู

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    OMG2: ‘เพศศึกษา’ เรื่องที่ครูไม่ได้สอน แต่กลับคอยซ้ำเติมความเชื่อผิดๆ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Social Issues
    ไม่ยุบ ไม่ควบรวม แต่ร่วมกันพัฒนา ‘โรงเรียนขนาดเล็ก’ ของชุมชน เพื่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กไทย

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Learning Theory
    ทำไมเราควรมองพัฒนาการเรียนรู้ผ่าน ‘ม่านวัฒนธรรม’

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Vaathi: ครูดีอาจทำให้เด็กคนหนึ่งไปถึงฝัน แต่ระบบการศึกษาคุณภาพจะช่วยเด็กจำนวนมากเข้าถึงโอกาสในการมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

‘หนังพาไป’ 13 ปีของคู่หูนักเดินทาง ‘บอล-ยอด’ ที่ชวนเรามองโลกมุมต่าง ตั้งคำถามกับตัวเองและเติบโตไปด้วยกัน
Social Issues
9 November 2022

‘หนังพาไป’ 13 ปีของคู่หูนักเดินทาง ‘บอล-ยอด’ ที่ชวนเรามองโลกมุมต่าง ตั้งคำถามกับตัวเองและเติบโตไปด้วยกัน

เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • การเติบโตของรายการเล็กๆ พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จนพูดได้ว่า หนังพาไปได้เปลี่ยนผ่านจากวัยใสสู่วัยผู้ใหญ่ที่กล้าคิดกล้าตั้งคำถามมากขึ้น โดยเฉพาะคำถามที่คนทั่วไปอาจไม่คิดว่าจะอยู่ในรายการท่องเที่ยว อย่างแนวคิดทางการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ปรัชญาการใช้ชีวิต…
  • The Potential ชวนคู่หูนักเดินทาง ‘บอล-ยอด’ มาถ่ายทอดมุมมองที่กรองจากประสบการณ์การเดินทางไปทั่วทุกมุมโลกของทั้งคู่
  • เมื่อมุมมองเรากว้างขึ้น มันก็ทำให้เราสนุกที่จะดูโลก ดูมนุษย์ และกลับมาดูตัวเอง ความคิดเราก็น่าจะเปลี่ยนไป มองโลกอย่างเข้าใจความแตกต่างหลากหลาย เรารับมันได้มากขึ้น

“ถ้าจะบอกว่าประเทศไหนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด คิดว่าแทบทุกประเทศมีตัวอย่างให้เรามองเห็น และตาสว่างมากขึ้น อาจจะไม่ตาสว่างที่เป็นจริงแท้นะ แต่ทำให้เราสวมแว่นแล้วทำให้การมองของเราทั้งมองตัวเอง มองเขา อย่างเข้าใจคนที่คิดต่างจากเราได้เยอะขึ้น”

มุมมองที่กรองจากประสบการณ์การเดินทางไปทั่วทุกมุมโลกของ บอล – ทายาท เดชเสถียร และ ยอด – พิศาล แสงจันทร์ ไม่เพียงถูกถ่ายทอดผ่านบทสนทนากับ The Potential แต่ยังสื่อสารผ่านเส้นเรื่องของรายการ ‘หนังพาไป’ ที่เดินทางมาถึงปีที่ 13 

จากรายการแนววาไรตี้เชิงสารคดีท่องเที่ยว ที่พาผู้ชมเรียนรู้โลกกว้างไปกับคนรุ่นใหม่คาแรคเตอร์ใสซื่อ โดยมีจุดเด่นคือการเล่าเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมกับการตั้งคำถามชวนคิด วันนี้คู่หู ‘บอล-ยอด’ ได้พาตัวเองและรายการเล็กๆ ของเขาเติบโตพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จนพูดได้ว่า หนังพาไปได้เปลี่ยนผ่านจากวัยใสสู่วัยผู้ใหญ่ที่กล้าคิดกล้าตั้งคำถามมากขึ้น โดยเฉพาะคำถามที่คนทั่วไปอาจไม่คิดว่าจะอยู่ในรายการท่องเที่ยว อย่างแนวคิดทางการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ปรัชญาการใช้ชีวิต… 

ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นของหนังพาไป มุมมองของทั้งสองคนตอนนั้นเป็นอย่างไร?

ยอด: ตอนนั้นมุมมองของเราเป็นแบบวัยรุ่น จะเรียกว่าแคบก็แคบนะถ้าเทียบกับตอนนี้ แต่มันก็มีความกล้า และมีอุดมการณ์ วัยรุ่นทุกคนก็น่าจะเคยผ่านช่วงนั้นของชีวิตมา แต่การมองโลกก็อาจจะยังมองไม่ละเอียด ไม่กว้างพอ มันก็ส่งผลต่อเรื่องการตัดสินใจ การยอมรับในความหลากหลาย ความแตกต่าง แต่จริงๆ แล้ว ก็เป็นเรื่องดีที่เรายังมีความกล้าและบ้าบิ่น

บอล: คล้ายกันครับ เมื่อก่อนเรายังเด็ก มองโลกแล้วรู้สึกว่าโลกมันกว้างมาก ทำอะไรได้เยอะแยะ แล้วเราก็ฝันว่าโลกในอุดมคติที่ดีมันก็มี แต่พอตอนนี้เราโตขึ้น มุมมองต่อโลกก็เปลี่ยนไป เราค้นพบว่าโลกที่มันดีอาจจะไม่มีอยู่จริง มันมีแค่ดีมากดีน้อย ตอนนั้นเรามีความกล้า แต่ยังขาดความรอบคอบ ขาดความเข้าใจคนอื่น

ยอด: การเป็นวัยรุ่นเมื่อก่อนเราคิดว่าโลกคือความยุติธรรม บาปบุญคุณโทษขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้คน ความยุติธรรมเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนโลกนี้ และทำให้โลกนี้น่าอยู่ แต่ตอนนี้กาลเวลาก็ได้สอนเรา สังคมได้สอนเรา ว่ามันไม่ใช่

จุดที่ทำให้ความกล้ากับความฝันมีพลังพอที่จะลงมือสร้างหนังพาไปคืออะไร?

ยอด: มันอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ไม่รู้จะอธิบายได้หมดหรือเปล่า เรารู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสีย เพราะต้นทุนเราน้อย หมายถึงว่า ตอนนั้นก็วัยรุ่นคนหนึ่งที่อยากออกผจญภัย อยากจะดูโลก ก็ลงมือทำ ทำเลย ตื่นเช้ามาวันนี้ไม่มีภาระหน้าที่อะไรนี่หว่า ก็ออกไปเลย ไปทำ ตัวขับเคลื่อนก็อาจจะเพราะเรามองโลกน้อย พอเรามองโลกน้อยแล้วมันมีความกล้า กล้าคิดที่จะเปลี่ยนโลก โลกนี้เปลี่ยนได้

การเริ่มต้นมักจะยากเสมอ ตอนนั้นยากขนาดไหน?

บอล: ผมฝันถึงการเดินทางไปต่างประเทศ ตอนนั้นมีฝันเรื่องอยากทำหนัง สองฝันนี้รวมกันมันก็อยู่ในหนังพาไป เพราะหนังพาไปเป็นองค์ประกอบรวมของความฝันของผม จึงมีพลังที่อยากจะทำเยอะ แต่ว่ารอบๆ ตัวไม่มีใครเชื่อในความฝันเรา รวมทั้งตัวเราเองในบางเวลาด้วย เรารู้สึกลังเลว่าเราจะไปทางนี้จริงหรือ เพราะยุคนั้นมันไม่ได้ง่าย ทั้งช่องทางการสื่อสารความฝันของเรา ทำออกมาแล้วไปฉายที่ไหน เดี๋ยวนี้ยังมียูทูบ มีโซเชียลมีเดียที่เราปล่อยของได้เลยไปถึงผู้ชม แต่ยุคนั้นมันไม่มีช่องทาง การจะออกอากาศไปถึงผู้ชมมันต้องผ่านสถานีโทรทัศน์ ซึ่งแค่นี้ก็ยากแล้ว ยังไม่ต้องนับเรื่องความฝันที่จะไปต่างประเทศได้ง่ายๆ ยุคนั้นยังไม่มี Lowcost Airline การไปต่างประเทศต้องใช้เงินเยอะ ขอวีซ่าทำอย่างไร เราก็ยังไม่มีงานทำ ทุกอย่างมันยากไปหมดเลย ก็เลยรู้สึกว่าไม่มีใครเชื่อในความฝันเราหรอก

ตอนกำลังนั่งตัดต่อซีซั่นหนึ่ง ผมเปิดให้แม่ดู ถามว่าสนุกไหมแม่ แม่ก็นั่งดู แล้วแม่ก็บอกว่ามันสนุกเนาะ แต่ใครจะดู มันก็เป็นคำถามที่ เออจริง จริงมากเลยในสายตาคนอื่น ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจคุยกับพี่ยอดว่าเราเลือกที่จะลองทำสิ่งที่เราเชื่อก่อน ถ้ามันทำไม่ได้ค่อยว่ากัน แต่ถ้าเราทิ้งมันไปเลย เราอาจจะสงสัยไปจนตายว่าถ้าวันนั้นเราไม่หยุด มันจะเป็นจริงหรือเปล่า ก็เลยลองเสี่ยง ลองดื้อตาใสกับพ่อแม่ กับครอบครัว แล้วมันก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง แต่มันก็ใช้เวลานานมาก นานจนบางทีเราก็ท้อ ก็เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก เพราะเงินเราก็ไม่มี แทนที่เราจะได้ดูพ่อแม่แล้ว พ่อแม่กลับยังต้องดูแลเรา เราก็ต้องหางานเล็กๆ น้อยๆ ทำ ในขณะที่เพื่อนๆ ตอนนั้นก็เริ่มเป็นวิศวกร เริ่มมีเงินเดือนเยอะแยะ ดูแลตัวเองได้ เราไม่ได้เลย ตอนนั้นก็เป็นความรู้สึกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่วะ แล้วฝันมันจะเป็นจริงไหม

บอล – ทายาท เดชเสถียร

ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็น Loser หรือเปล่า?

บอล: เรารู้สึกว่าเป็น Loser แต่เราเชื่อในความฝันเรามาก แต่ฝันของเรามันเป็นสิ่งที่จุกอก ที่บอกใครไม่ได้ เพราะเราเคยบอกแล้วไม่มีใครเชื่อฝันเราสักคน ซึ่งมันก็ไม่น่าเชื่อแหละในความเป็นจริง หน้าตาแบบเรา ศักยภาพแบบเรา การเล่าเรื่องแบบนั้นในยุคนั้น ไม่มีใครเชื่อ

ขี้แพ้ไหม มันขี้แพ้นะ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นแรงขับคือ เราจะทำให้ดู เราเชื่อในงานเรา แต่เอาจริงๆ มันก็ยากนะ เราก็กังวลนะว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นก็จัดการด้วยการให้เดดไลน์กับตัวเองว่าจะพิสูจน์ความฝันของเราเป็นระยะเวลากี่ปี ถ้าถึงตรงนี้แล้วถือว่าเราทำเต็มที่แล้ว เราก็ยอมปล่อยมันไปโดยไม่เสียดาย ก็เป็นความรู้สึกที่ค่อยยังชั่วหน่อย ว่ามันมีลิมิต มี KPI ว่าแค่ไหน

เดดไลน์คือกี่ปี?

บอล: ตั้งไว้ว่าถ้าอายุถึง 30 แล้วไม่สำเร็จก็พอ ตอนนั้นอายุประมาณ 20 ก็ได้มาเป็นรายการตอนที่อายุ 27 ปี ก็คือใกล้ถึงเดดไลน์แล้ว จริงๆ ฝันตอนแรกของผมใน 10 ปี คือฝันอยากเป็นผู้กำกับ อยากทำหนังใหญ่ แต่ว่ามันค่อยๆ เบนมาเป็นหนังพาไป จากการทำหนังสั้นแล้วไปประกวด แล้วไปถ่ายการเดินทางมาจนเป็นสารคดี ฝันก็เลยเปลี่ยนแปลง ถามว่าช่วงปลายเดดไลน์เราเร่งมากขึ้นไหม เราไม่ได้เร่ง แต่ว่าฝันมันค่อยๆ ขยับไป

แล้วพอใกล้เวลา กลับมีความรู้สึกว่าอยากทำอะไรต้องรีบทำแล้ว เพราะถ้าพ้น 10 ปี ผมต้องกลับไปทำงานประจำ อาจไปเป็นวิศวกร เข้าโรงงาน ซึ่งเป็นชีวิตที่ไม่เหมาะกับผม ช่วงหลังๆ เราไม่ได้มองเดดไลน์เราแค่มีโอกาสอะไรเข้ามาเราทำหมดเลย เหมือนเราใกล้ตาย

เมื่อหนังพาไปเกิดขึ้นแล้ว จากที่เคยมองโลกไม่กว้างพอ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?

ยอด: พอมองย้อนไป ตอนนั้นเรามองโลกไม่ออก เรามองมันไม่กว้างพอ เพราะเราเคยเจอแค่เหตุการณ์แค่นี้ เราก็จะมองได้แค่กรอบตรงนั้น แต่หลังจากเราได้เดินทางไปที่นู่นที่นี่ ไปต่างประเทศ แล้วก็ได้ทำหนังพาไป กรอบนั้นมันก็ถูกขยายให้กว้างขึ้น มันก็ทำให้เรา อ๋อ มันมีเรื่องอย่างนี้ อ๋อ มันเป็นแบบนี้เหรอ ไอ้สิ่งที่เราเคยฟันธง เรื่องพวกนี้มันไม่ใช่แฮะ บางที่เขาไม่เป็นแบบนี้ บางที่ในโลกเขาก็ไม่ใช่ มนุษย์บางคนก็ไม่ได้คิดแบบนี้นี่นา

เมื่อมุมมองเรากว้างขึ้น มันก็ทำให้เราสนุกที่จะดูโลก ดูมนุษย์ และกลับมาดูตัวเอง ความคิดเราก็น่าจะเปลี่ยนไป มองโลกอย่างเข้าใจความแตกต่างหลากหลาย เรารับมันได้มากขึ้น 

เช่นการที่เราไม่ต้องมาบอกว่าต้องรักชาตินะ แต่ก่อนเมื่อมีคนบอกว่ารักชาติสิ เราก็เออรัก เริ่มที่ตัวเอง มีจิตสำนึก มันไม่ใช่ เพราะที่แท้เขาไม่ได้ทำอะไรให้เรา ถึงต้องให้มาเริ่มที่เรา แล้วก็กดหัวพวกเราต่อไป เราก็จะเห็นเลยว่าโลกมันเป็นแบบนี้นี่หว่า การที่ใครบางคนเชื่อสนิทใจว่าเราคือชาติไทยที่ยิ่งใหญ่ แล้วมีความสุขที่สุดในโลก พอเราได้มองโลกกว้างๆ ก็น่าเห็นใจพวกเขานะ รู้สึกได้ถึงความทุเรศของการปกครองหรือการถูกทำให้คิดแบบนี้

ยอด – พิศาล แสงจันทร์

บอล: ผมจะไปอยู่ที่หนึ่งๆ นานประมาณหนึ่ง และไปในแบบที่ไม่ได้ไปเก็บที่ท่องเที่ยวหลัก ก็ไปดูว่าคนเขาใช้ชีวิตอย่างไร พอไปเจอโจทย์ที่หลากหลายขึ้น ก็พบว่าโลกนี้มีความหลากหลายในแบบที่ตกใจว่าเราเคยเชื่อว่าสังคมที่เราเติบโตมามันดีที่สุดไปได้อย่างไร 

อย่างเรื่องความหลากหลายทางเพศ เราก็รู้สึกว่าเมืองไทยก็ยอมรับความหลากหลายทางเพศได้ประมาณหนึ่ง จากข้อถกเถียงที่มักจะบอกว่าแค่นี้ก็ดีหนักหนาแล้ว จะเอาอะไรอีก เราก็เชื่อในข้อถกเถียงของสังคมแคบๆ ของเรา แต่พอไปอยู่ไต้หวัน แค่การที่เอาตัวเราไปอยู่ ไม่ต้องไปเจอกับการต่อสู้เรื่องความหลากหลายทางความคิดใดๆ ก็ตาม แต่บรรยากาศของเมืองที่ยอมรับในความหลากหลายมันทำให้เรารู้สึกสบายมากขึ้น และเราเห็นความเป็นตัวของตัวเองของผู้คนในสังคม ทุกคนไม่มีมานั่งมองหรือเหยียดกัน มันเป็นความรู้สึกที่เราไม่เคยสัมผัสในสังคมของเรา พอไปเราก็ตกใจว่าเรารู้สึกแบบนี้ได้ด้วยเหรอ มันมีความรู้สึกแบบนี้บนโลกได้ด้วยเหรอ

หรือบางทีเราไปอยู่ในสังคมที่เคร่งครัดบางกฎมากๆ พอเรารู้เราก็ไม่ Make Sense หรอก คุณทนกันมาได้ไง ทำไมถึงเชื่ออะไรแบบนั้น พอเราไปคุยกับเขา ก็มีคำอธิบายแบบเขา ซึ่งทำให้เรามองย้อนกลับมาว่า การที่ต่างชาติมองสังคมเราว่าอยู่กันแบบนี้ได้อย่างไร กฎระเบียบบางอย่างหรือความเชื่อบางอย่างที่เรามองเขาเป็นตัวประหลาด แต่เราเองก็เป็นตัวประหลาดในสังคมโลกที่เขาเสรีกว่าเรา พอไปเจอแบบนี้มันน่าเจ็บปวดว่าเราโตมาในสังคมแบบนี้ที่เราเชื่อแบบนี้ได้อย่างไร 

ก็ต้องขอบคุณที่ได้ไปเห็นโลก ความอหังการของเราในฐานะการเป็นคนไทย ความกล้าหาญในการเป็นวัยรุ่นของเรามันถูกทุบทำลายทุกครั้งที่เราไปเหยียบดินแดนใหม่ๆ

พวกผมมักจะถูกด่าว่าชอบตำหนิประเทศตัวเอง แต่เพราะเราไปเจอแล้วเจ็บปวดจากความเชื่อเดิมที่เราโตมา เราค้นพบว่าเราดีกว่านี้ได้จริงๆ นะ แต่ในขณะที่เราบอกว่าดีขึ้นได้จริงๆ นะ ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งบอกว่าไม่ต้องหรอก ไม่ต้องพูดถึง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเทรนด์ของสังคมตอนนี้เปิดรับเรื่องพวกนี้ได้มากขึ้น เปิดโอกาสให้ถกเถียงกันมากขึ้น คนมีโอกาสได้ไปเห็นโลกกว้างกันง่ายขึ้นมาก

ประเทศไหนที่ทำให้รู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรมากมาย?

ยอด: ทุกประเทศเลย แค่ได้ออกไปสัมผัสสังคมที่แตกต่างกัน แทบจะทุกประเทศเลย ต่อให้เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบที่เผด็จการยิ่งกว่าเรา เราก็จะยิ่งเห็นตัวอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่าสุดยอดเลย นี่เราผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาได้อย่างไร และเข้าใจบางคนที่บอกว่าเมืองไทยดีอยู่แล้ว เพราะเขาเคยปากกัดตีบถีบมาในช่วงเวลาแบบนั้น ถ้าย้อนไปในยุคของเขา เขาเคยถูกปกครองมาในแบบนั้น แล้วมันพูดอะไรไม่ได้มากกว่านั้นอีก ทำอะไรไม่ได้มากกว่าที่ปัจจุบันเราทำได้ เขาถึงบอกว่าปัจจุบันประเทศไทยก็ดีอยู่แล้ว ก็เข้าใจเขาได้เลย เพราะเราเคยเห็นประเทศที่ยิ่งกว่าเรา

ถ้าจะบอกว่าประเทศไหนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด คิดว่าแทบทุกประเทศมีตัวอย่างให้เรามองเห็น และตาสว่างมากขึ้น อาจจะไม่ตาสว่างที่เป็นจริงแท้นะ แต่ทำให้เราสวมแว่นแล้วทำให้การมองของเราทั้งมองตัวเอง มองเขา อย่างเข้าใจคนที่คิดต่างจากเราได้เยอะขึ้น

บอล: จนถึงวันนี้มันทำให้ผมกลับมาสงสัยในตัวเองเลยนะว่า ถ้าตัวเราในอีก Multiverse หนึ่งไปถูกวางอยู่ในสังคมอื่น ในประเทศอื่นๆ วันนี้ตัวเราจะเป็นอย่างไร เราจะทำอาชีพอะไร เราจะฝันอะไร ผมพบว่าถ้ามีโลกจำลองแบบนั้น เราจะพบความจริงว่าระบบการเมืองต่างกัน ระบบสังคมต่างกัน เราจะมีชีวิตต่างออกไปจากนี้ เอาแค่ความฝัน ถ้าเราไปเกิดในอิหร่าน ความฝันของเราจะเปลี่ยนไปเลย มันจะมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ทำให้เราทำไม่ได้แบบนี้ หรือถูกผลักดันให้ไปทำอีกแบบแล้วดีกว่าก็ได้

แล้วไอ้เวอร์ชั่นที่เราเป็นเราอยู่ทุกวันนี้ เราผ่านการโบยตีอะไรมาบ้าง หรือเราถูกปิดประตูบางอย่าง หรือมีแค่บางประตูที่เปิดโอกาสให้เราอย่างไร

มุมมองที่โตขึ้น โทนของหนังพาไปก็โตตามด้วยหรือไม่?

บอล: โตขึ้น ตอนนั้นใสๆ ตื่นเต้นกับการได้ไปเมืองนอก ได้ไปเห็นหิมะ ได้ไปเห็นโบสถ์ ไปเห็นหอไอเฟล แค่นั้นเราก็ดีใจแล้ว สิ่งที่เราเล่าคือประวัติของมัน แต่ตอนหลังอย่างที่บอกว่าเหมือนเราเข้าใจโลกมากขึ้น และตั้งคำถามมากขึ้น หรือบังเอิญหนังพาไปเลือกที่จะตั้งคำถามกับสังคมตั้งแต่ซีซั่นแรกเลย เช่น รถไฟไม่ตรงเวลา ทำไมรถเมล์เราตรงเวลาไม่ได้ ซึ่งผ่านมา 13 ปี รถเมล์ก็ยังกำหนดเวลาไม่ได้ รู้แค่ว่าใกล้มาหรือยัง แต่ยังกำหนดตารางเวลาไม่ได้อยู่ดี

พอเรามาทำซีซั่นใหม่ๆ ก็จะเจอปัญหาเดิมๆ รถเมล์ยังไม่ตรงเวลา เราเลยมาตั้งคำถามว่าทำไมมันไม่เปลี่ยนแปลงสักทีวะ สุดท้ายเราจะเลิกพูดไปเอง เพราะปัญหามันอยู่ที่เดิม จนเริ่มสงสัยว่าอะไรทำให้มันไม่เปลี่ยน 

ซีซั่นหลังๆ พอมองเห็นสังคมต่างๆ เราค้นพบว่าทำไมเราตั้งคำถามขนาดนี้ องค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนก็ยังอยู่ได้วะ ทำไมผู้บริหารยังก้าวหน้าขึ้นไปเป็นผู้บริหารองค์กรและเขาก็ปลดเกษียณไปโดยไม่ต้องแก้ปัญหาที่ประชาชนตั้งคำถามเป็นสิบปีก็ได้ เพราะอะไร 

เพราะอำนาจของเขาไม่ได้ยึดโยงกับเรานี่หว่า คนที่จะให้ KPI เขาได้ คือคนที่อยู่ข้างบน โครงสร้างมันกลับตาลปัตร ในขณะที่เขาต้องทำงานซัพพอร์ตเรา ประชาชนยกมือถาม เขาต้องถามแล้วว่าประชาชนมีอะไรเดือดร้อน รถเมล์ไม่ตรงเวลามีอะไรแก้ได้บ้าง แต่นี่สิบกว่าปีปัญหายังอยู่เหมือนเดิม เราจะยังตื่นเต้นกับหอไอเฟลแบบเดิมไม่ได้แล้ว สังคมเรามันวิกฤตแล้ว ซีซั่นหลังเราจึงหนักขึ้น ผู้ชมจำนวนหนึ่งก็เลือกที่จะไม่เดินทางต่อกับเรา เขาอาจจะตกใจกับเรา

ยอด: แต่ก็มีคนที่โตไปกับเราเยอะ รายการหนึ่งอายุสิบกว่าปีจะไม่โตก็ไม่ได้ มันต้องไปถึงจุดที่เดินทางแล้วเห็นโลกใหม่ๆ ค่อยๆ เห็น ค่อยๆ โต ตั้งคำถามกัน มันก็ดีนะ เหมือนเป็นคอมมูนิตี้ที่อบอุ่น

เห็นการเติบโตไปพร้อมกับเราอย่างไรบ้าง?

ยอด: อย่างเรื่องถุงพลาสติก ซีซั่นแรกๆ เราไปเมียนมา ก็ตื่นเต้นกับเรื่องถุงพลาสติกเขาไม่มีใช้ เขาใช้ใบตอง ก็ตั้งคำถามเรื่องการแยกขยะ ปัญหาเรื่องถุงพลาสติก แล้วคอมเมนต์ที่ออกมาคือบางคนตั้งคำถามว่าการไม่แจกถุงมันไม่ใช่เรื่องดี เพราะคนที่ได้ประโยชน์คือเจ้าของห้าง คือนายทุน แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ เรากลับมาเล่าเรื่องนี้อีก หลายคนเข้าใจและเติบโตว่าการไม่ใช้ถุงพลาสติกมันก็ดีนะ มันช่วยโลกอย่างไร มันไปสู่คำถามว่าเงินของนายทุนที่ลดจากไม่แจกถุงพลาสติกมันจะถูกเอามาใช้อะไร มันควรจะต้องเอาไปทำในส่วนไหน หรือเอาไปพัฒนาสังคมอย่างไร คนเข้ามาถกเถียงกันได้มากขึ้น จำนวนคนที่ไม่เห็นด้วยในช่วงแรกๆ ที่เราพูดเรื่องถุงพลาสติกจะมีเยอะ แต่เวลาผ่านไปมีคนเห็นด้วยกันมากขึ้น

หนังพาไปไม่ได้แค่พาเที่ยว แต่พาไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ คือความตั้งใจของทั้งสองคน?

บอล: จริงๆ เราไม่ได้วางเป็นโจทย์ ตอนแรกเราไปตามความสนใจของตัวเอง รายการก็เลยออกมาเป็นโทนแบบนี้มั้ง

ยอด:  เราไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่เราสงสัยน่าจะเป็นความสงสัยร่วมของคนในชาติ เราจะไม่เห็นการสงสัยอย่างนี้ในรายการท่องเที่ยวอื่นๆ เลย

บอล: ดังนั้นพอรายการมาถึงซีซั่นหลังๆ โทนของรายการก็เลยเปลี่ยนไปตามความสนใจของพวกเรา มันไม่ได้มีฟอร์แมทที่ล็อกไว้ชัดเจน เพราะถ้าเราต้องไปเล่าสิ่งที่เราไม่อิน มันจะไม่สนุก เคยพยายามแล้ว

สิ่งที่หนังพาไปกำลังเล่าเป็นเสมือนแพลตฟอร์มเผยแพร่ความรู้?

ยอด: ใช่ เราเป็นรายการที่มีสาระอยู่แล้ว (หัวเราะ) จริงๆ อาจจะไม่ใช่รายการเชิงความรู้แบบที่ต้องหาข้อเท็จจริง แต่เป็นการตั้งคำถามมากกว่า อย่างเรื่องนี้มันควรจะโยนคำถามให้ร่วมกันถกเถียงหรือหาทางออกให้สังคม

บอล: แม้กระทั่งข้อมูลดิบที่เอามาประกอบ ผมก็พยายามใส่เข้าไป อาจเพราะเราโตมากับรูปแบบรายการโทรทัศน์ ในยุคนั้นการออกทีวีเรารู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นการเล่าเรื่องก็ต้องมีสาระ มีคุณค่า ถ้ายังไม่มีเราก็ต้องไปหาวิธีเล่ามาให้ได้ มันต่างจากคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียเดี๋ยวนี้ ที่อาจไม่ต้องกังวลเรื่องสาระ แค่สร้างความบันเทิงก็ไปได้ แต่ในยุคที่เราโตมาอาจจะถูกเทรนมาด้วยความคิดแบบนี้

มองว่าการตั้งคำถามในสังคมไทย ณ ปัจจุบัน เป็นอย่างไรบ้าง?

ยอด: ดีขึ้นเยอะเลย ข้อดีของโลกโซเชียลคือทำให้ความคิดเล็กๆ หรือความเห็นเล็กๆ มันถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นใหญ่ หรือทำให้น่าสนใจมากขึ้น มันมีความคิดหลากหลาย เห็นได้ชัดว่าคนในสังคมไม่เป็นจำเป็นต้องมีความคิดเห็นเดียวกัน ทุกคนมีเสียงเท่ากัน มันทำให้สนุก มีคนคิดแบบนี้ด้วย มีมุมมองแบบนี้ด้วยแฮะ ตามอ่านไปก็รู้สึกดีจัง ที่โลกมันมีความหลากหลายทางความคิด ผู้คนมีความหลากหลายขึ้นเยอะจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องเห็นตามสิ่งเหล่านี้ที่เป็นมวลหมู่ Mass ก็ได้นี่นา

บอล: ผมมองว่าช่วงนี้เป็นช่วงความอลหม่าน หลังจากที่ความเห็นหรือคำถามมันไปถึงคนได้กว้างขึ้น สังคมเดิมกำลังตกใจ แล้วหนังพาไปจะโยนคำถามเข้าไปเยอะ และเริ่มเป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้น แนวคิดทางการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ปรัชญาการใช้ชีวิต ทำให้ผมค้นพบแรงกระแทกบางอย่างที่ก่อนหน้านั้นไม่ค่อยมี เมื่อก่อนเราโยนคำถามเรื่องรถเมล์ รถไฟ ไม่ตรงเวลา ทางเท้าแย่ ระบบจักรยาน ฯลฯ เรารู้สึกว่าคนที่จะมาต้านเราคือหน่วยงานรัฐ แต่พอมายุคนี้เป็นยุคที่อลหม่านทางความคิด โครงสร้างสังคมกำลังถูกทำให้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เวลาผมตั้งคำถามไป จะไม่ถูกโต้ด้วยเหตุผลจากอีกฟากแล้ว จะถูกโต้ด้วยคำว่า “หุบปาก” หรือ “อย่าพูด” ซึ่งจริงๆ ผมชอบมากเลยถ้าเกิดเจอคำตอบหรือเหตุผลอีกด้านมาถกเถียงกัน มันทำให้เราเติบโต และเราพร้อมจะเปลี่ยนความเชื่อของเราด้วยนะถ้ามันมีเหตุผล แต่สิ่งที่กำลังปะทะเราตอนนี้มันทำให้รู้สึกสนุกน้อยลง คนไม่เถียงด้วยเหตุผล แค่พยายามเอามือมาปิดปากด้วยวิธีการต่างๆ

ยอด: ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องดีนะ เพราะถ้าใครพูดว่าไม่ควรพูดหรือหุบปาก เขาจะโดนคนตั้งคำถามว่าทำไม ก็จะเห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้นี่นาว่าเรื่องอะไรที่บอกว่าห้ามพูด ก็เลยกลายเป็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะรับมือด้วยวิธีการเดิมๆ ไม่ได้อีกแล้ว ต้องรับมือด้วยวิธีการใหม่ๆ หาเหตุผลมาสนับสนุน แล้วเราจะเริ่มเห็นตรรกะแปลกๆ มากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงก็คือมีพื้นที่สำหรับคนที่คิดเห็นแบบคนส่วนน้อย

ถ้า 13 ปีก่อน หนังพาไปคือวัยรุ่น ตอนนี้หนังพาไปคืออะไร?

ยอด: ตอนนี้เป็นคนเฒ่า เพราะมันเร็วจริงๆ นะ เวลาในโลกโซเชียลยุคสมัยนี้มันเร็ว จนคนยุคเก่าตกใจและรับมือไม่ทัน กว่าเราจะเห็นคนหนึ่งคนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งในรุ่นเรา เขาต้องสั่งสมประสบการณ์ ถ้าเราอยากรู้ก็ต้องไปเรียนรู้ ฝากตัวเป็นศิษย์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ เพราะการได้มาซึ่งความรู้มันง่ายแล้ว และความรู้นั้นมันใช้ได้กับยุคนี้ไหมก็ถูกตั้งคำถามและสั่นคลอนจากโซเชียล

เราเลยรู้สึกว่าหนังพาไปแก่เร็ว เริ่มเป็นผู้เฒ่าแล้ว และอาจจะมีสัญญาณบางอย่างบอกว่า เราไม่ใช่ผู้ที่ให้แรงบันดาลใจสังคมได้อีกต่อไป เราอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่มาก็คิดถึงกัน หรือเคลื่อนไหวเมื่อจำเป็น เป็นแรงสนับสนุนให้คนรุ่นต่อไป

บอล: ตอนนี้รู้สึกว่าความตั้งใจแรกที่ทำหนังพาไปเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ว่าเราอยากตั้งคำถามกับสังคมมากในทุกเรื่อง แต่พอมายุคนี้ผมคิดว่ามีคนตื่นรู้เยอะแยะ เด็กรุ่นใหม่ๆ ตั้งคำถามเยอะมาก และมีพลังยิ่งกว่าเราอีกในการสร้างสรรค์การสื่อสาร ก็เลยคิดว่าต่อให้เราเฒ่าแล้วก็สบายใจอยู่ประมาณหนึ่ง เพราะสังคมก็อาจจะดีขึ้นแล้วโดยที่ไม่มีเราก็ได้

ในมุมของคนเฒ่า หนังพาไปจะเดินทางไปกับสังคมไทยอย่างไรต่อ?

ยอด: ถ้าอีก 50 ปี ดูหนังพาไปแล้วยังรู้สึกกับคำถามของพวกเรา ถือว่าสังคมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็นความเศร้าอย่างหนึ่ง เราคงเป็นบันไดให้คนในสังคมและคนรุ่นต่อไปเหยียบขึ้นไปในสิ่งที่ดีกว่า

บอล: ตอนนี้รู้สึกว่าการทำหนังพาไป แรงขับมันเปลี่ยนไปจากช่วงแรก เมื่อก่อนเราอยากทำอีก อยากเที่ยวอีก อยากเห็นโลกอีก ตอนนี้พอเราอายุขนาดนี้มันเหมือนเราแค่อยากเล่าสิ่งที่เราเชื่อ พอเราถอดหัวใจออกมาจากชื่อเสียง จากยอดวิว เราสบายใจขึ้นเยอะเลย ก็เราสะดวกแบบนี้ 

Tags:

การเติบโตการเรียนรู้การตั้งคำถามสารคดีท่องเที่ยวหนังพาไป

Author:

illustrator

ปริสุทธิ์

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    ‘เพราะคำถามดีๆ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคำตอบดีๆ’ เรียนรู้วิธีตั้งคำถามที่ทำให้เราเก่งขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    4 ไอเท็มที่ครูอาจจำเป็นต้องมี ในห้องเรียนพหุวัฒนธรรม

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

 ‘ไดอารี’ วิธีกายภาพจิตใจตัวเอง เพื่อเข้าใจปัญหาและไม่ลืมด้านดีๆ ของชีวิต
How to enjoy life
8 November 2022

 ‘ไดอารี’ วิธีกายภาพจิตใจตัวเอง เพื่อเข้าใจปัญหาและไม่ลืมด้านดีๆ ของชีวิต

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ‘การเขียนไดอารี’ เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วย ‘กายภาพจิตใจ’ ด้วยตัวเอง ทำให้สุขภาพจิตของเราได้ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง และทุเลาปัญหาสุขภาพจิตในขั้นที่เราคิดว่าอาจจะยังแก้ไขได้ด้วยตนเองได้
  • สิ่งที่อยู่ในหัวของเราอย่างอารมณ์และความรู้สึก บางครั้งถ้าเราไม่ทำให้มันอยู่ตรงหน้าชัดๆ ก็ทำให้เราเข้าใจยาก ดังนั้นการได้อ่านปัญหาของตัวเองในกระดาษ จึงทำให้เราเหมือนถอยออกมามองปัญหาในภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น
  • ผลพลอยได้ของวิธีการฝึกสุขภาพจิตด้วยการเขียนไดอารี คือการได้ฝึกทักษะการเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่เป็นประโยชน์กับชีวิตในด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือการงาน

ปัญหาสุขภาพจิตนั้นเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในสังคม ถึงโลกยุคใหม่การแพทย์จะก้าวหน้า มีการรักษาโรคภัยที่ทันสมัยขึ้น แต่การรักษาความทุกข์ ความเครียด และปัญหาจิตใจต่างๆ นั้นยังเป็นสิ่งที่ยาก ถึงแม้เราจะมีข่าวดีที่ตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญอาชีพต่างๆ ที่พร้อมจะช่วยเหลือเราเมื่อเราเจอปัญหาสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยาในสายของการบำบัด 

แต่หลายๆ คนก็อาจจะมองว่าการไปหาผู้เชี่ยวชาญดูเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ควรจะหาทางป้องกันไว้ดีกว่าแก้ น่าจะมีวิธีอื่นๆ เบื้องต้นที่ช่วยเสริมสร้างจิตใจให้แข็งแกร่งเหมือนออกกำลังกายเพื่อป้องกันโรคทางกาย หรืออาจจะเป็นวิธี ‘กายภาพจิตใจ’ ด้วยตัวเองที่บ้าน เหมือนการยืดเส้นตอนเจ็บกล้ามเนื้อไม่รุนแรง ซึ่งจริงๆ ก็มีครับ วันนี้ผมเลยขอเสนอกิจกรรมหนึ่งที่เป็นเหมือนให้สุขภาพจิตของเราได้ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรง และทุเลาปัญหาสุขภาพจิตที่อยู่ในขั้นที่ท่านคิดว่าอาจจะยังแก้ไขได้ด้วยตนเอง และกิจกรรมนั้นคือ ‘การเขียนไดอารี’

กิจกรรมการเขียนไดอารีหรือบันทึกประจำวันได้รับความนิยมน้อยลงไปตามยุคสมัย เด็กยุคเจน z เป็นต้นไปอาจจะไม่เคยเขียนหรือเห็นคนเขียนในชีวิตจริงมานานแล้ว อย่างมากก็รู้จักผ่านนิยายหรือภาพยนตร์ที่ตัวละครเป็นผู้เขียน หรืออ่านไดอารีของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ แต่จะให้เขียนเองคงเป็นกิจกรรมที่ไกลตัวมากๆ ส่วนหนึ่งที่กิจกรรมนี้หายไปคือเพราะเรามีอุปกรณ์ใหม่ๆ ในการบันทึกเหตุการณ์น่าจดจำอย่างโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter หรือ Instagram ที่โพสต์ข้อความสั้นๆ หรือใส่ภาพที่ถ่ายจากมือถือลงไปด้วยได้ง่ายๆ ไม่ต้องเขียนบรรยายอะไรยืดยาว แถมเพื่อนๆ เรายังได้เห็นอีกด้วย 

แต่กิจกรรมสมัยใหม่เหล่านี้ก็มีจุดด้อยที่สู้ไดอารีไม่ได้ครับ และจุดด้อยนั้นคือมันขาดในส่วนของการพยายามเรียบเรียงสิ่งที่พบเจอในแต่ละวันออกมาเป็นเรื่องราว ใช้การบรรยายหรือการอธิบาย ซึ่งการทำสิ่งที่ดูเชย และยุ่งยากกว่านั้นที่จริงแล้วเป็นการได้ออกกำลังของสุขภาพจิตอย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะครับ

คนเรานั้นมีอารมณ์และความรู้สึกมากมายในหัวไม่ว่าจะเป็น ดีใจ เสียใจ โกรธ เศร้า เครียด ตื่นเต้น และอีกหลากหลายอย่างซึ่งความรู้สึกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอัตโนมัติ คนเรารู้ว่าเกิดอารมณ์แบบไหนขึ้นในหัว และหลายๆ ครั้งก็มักจะปล่อยให้มันผ่านไปแบบไม่รู้สาเหตุ หรือรู้สาเหตุแต่ไม่แน่ชัด หากเป็นอารมณ์ดีๆ คงไม่เป็นไร แต่หากเป็นความเศร้า ความเครียด ความกังวล หากปล่อยไว้นานๆ มันจะสะสม และกว่าจะรู้ตัวมันจะกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตในภายหลัง 

เคยไหมครับว่าเวลาเครียดๆ หรือเศร้าๆ แล้วพอได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครสักคนฟังแล้วเราก็รู้สึกดีขึ้นเองโดยที่เขาไม่ต้องบอกหรือแนะนำอะไรเราด้วยซ้ำ 

การได้เล่านั้นทำให้ผู้เล่าได้คิดไตร่ตรองอย่างดีว่า เครียดอะไร โกรธทำไม อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะตอนเล่าเราต้องเรียบเรียงเรื่องราวให้อีกฝ่ายที่ฟังเราเข้าใจ

และพอเราได้คิดซ้ำแล้วเรื่องที่ว่าใหญ่ ที่น่าเครียด น่ากังวล มันมักจะไม่ใหญ่ขนาดนั้น หลายสิ่งเรากลับไปแก้ไขไม่ได้ หรือหลายอย่างเราก็ทำไปเท่าที่ทำได้แล้ว อย่างเครียดเรื่องผลการเรียน ผลการประเมินผลงาน หรือความเศร้าในหลายๆ เรื่องมันต่างเป็นธรรมชาติชีวิตที่เราก็ต้องยอมรับ คนที่เรารักจะหมดรักแล้ว มันก็คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดได้เสมอ คำพูดที่ทำให้เรายอมรับได้นั้นมันจะตามมาเองโดยที่คนอื่นไม่ต้องไปปลอบเพียงแค่เราพยายามจัดระเบียบความคิดในหัวให้ดีและถ่ายทอดมันออกมาให้ตัวเองเห็น

แต่บางครั้งก็ใช่ว่าเราจะมีคนคอยฟังเราเสมอ และการหาผู้ฟังที่ดีบางทีก็เป็นเรื่องยาก การเล่าให้ตัวเองฟังนี่แหละครับที่ทำได้ในทุกโอกาส แต่จะให้พูดกับตัวเองมันคงดูแปลกและยากไปหน่อย และการเขียนไดอารีนี่เองที่จะทำให้เราเล่าเรื่องให้ใครสักคนฟัง หลายครั้งเราไม่รู้หรอกว่าใครจะเป็นคนอ่านหรือเราเองจะกลับมาอ่านไหม แต่การพยายามเขียนให้มันเป็นเรื่องราว สมองของเราจะได้เรียบเรียงและจัดระเบียบเหตุการณ์ในชีวิต อารมณ์ความรู้สึกของวันหนึ่งๆ และทำให้เราเข้าใจสิ่งเหล่านั้นมากขึ้น

สิ่งที่อยู่ในหัวของเราอย่างอารมณ์และความรู้สึกนั้นบางครั้งถ้าเราไม่ทำให้มันอยู่ตรงหน้าชัดๆ ก็ทำให้เราเข้าใจยาก มันดูสับสนไปหมด เปรียบเหมือนการคิดเลขที่ถ้าซับซ้อนก็ต้องมีกระดาษทด อารมณ์ที่ซับซ้อนเองก็ใช้หลักการเดียวกันในการเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือ ให้เราได้เห็นตรงหน้าว่าเรารู้สึกอย่างไร เกิดอะไรขึ้น เพราะอะไร 

หากลองเขียนแล้วนั่งอ่านเองสักรอบ บางทีเราจะได้เห็นภาพรวมของตัวเราในตอนนี้อย่างชัดเจนขึ้น เปรียบเหมือนกับว่าเวลาเรามองปัญหาของคนอื่น เรารู้ว่าควรจะแนะนำแก้ไขอย่างไร แต่พอเป็นปัญหาของตัวเองกลับไปไม่ถูกเลย การได้อ่านปัญหาของตัวเองในกระดาษนี่แหละครับ ที่ทำให้เราเหมือนถอยออกมามองปัญหาในภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น การทำความเข้าใจกับปัญหาอย่างละเอียดคือสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับหลักพุทธศาสนากล่าวไว้ว่าพอเข้าใจเหตุของความทุกข์ ก็นำไปสู่การแก้ไข หรือการพ้นทุกข์

ไม่เพียงแต่เรื่องความทุกข์ ความเครียด และปัญหาในชีวิตต่างๆ เท่านั้นที่ควรอยู่ในไดอารี เรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากๆ ในการเขียนลงในไดอารีของเรา งานวิจัยทางจิตวิทยายังพบข้อดีของการเขียนไดอารีในเรื่องดีๆ นั้นมีผลดีต่อการส่งเสริมและช่วยบำบัดปัญหาสุขภาพจิตให้ดีด้วย

ปัญหาสุขภาพจิตหลายครั้งเกิดจากการที่คนคิดว่า “ไม่มีเรื่องดีๆ เกิดในชีวิตฉันเลย” ชีวิตนั้นบางครั้งอาจจะดูหมองหม่นมีแต่เรื่องแย่ๆ แต่ในความเป็นจริงก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นบ้างแต่อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เรามองข้ามไปได้ง่ายๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย 

งานวิจัยจำนวนมากพบว่าธรรมชาติของมนุษย์ไวกับเรื่องทางลบ เราจดจำเรื่องไม่ดีได้นานกว่า และคิดถึงมันได้ชัดเจนกว่าด้วย แต่เรื่องดีๆ นั้นคนเรากลับไม่ค่อยสน มักจะลืมมันไปอย่างง่ายดายว่าเกิดมาในชีวิต และทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีแต่ความทุกข์ 

สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งในการมีสุขภาพจิตที่ดีคือ การรู้สึกพอใจ ปลาบปลื้ม ยินดีกับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นมาไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน และการเขียนไดอารีถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตนั้นเองจะช่วยให้เราได้นึกถึงว่ามีอะไรบ้าง ได้บรรยายความรู้สึกว่าเรารู้สึกอย่างไรบ้าง หรือถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยตอนที่เกิด ก็ยังไม่สายที่จะนั่งคิดและรู้สึกดีกับมันในตอนนี้ “วันนี้ข้าวหุงสวยดีจัง แบบที่เราชอบเลย” “วันนี้เจ้านายบ่นน้อยจัง ปกติบ่นทีเป็นครึ่งวัน” “วันนี้ซื้อของได้ส่วนลดมาด้วย เอาเงินไปซื้อขนมได้เลย” “แมวของข้างบ้านน่ารักดีนะ ชอบเดินบนรั้วให้เราเห็นบ่อยๆ” เรื่องเล็กน้อยที่เหมือนไม่มีค่าเหล่านี้ จริงๆ แล้วมันคือสิ่งดีๆ ที่ถ้าเรารู้สึกดีกับมัน ชีวิตของเราเองก็มีเรื่องดีอยู่บ้าง และความรู้สึกแบบนั้นช่วยทำให้สุขภาพจิตเราแข็งแรงขึ้นเยอะครับ

บางคนสุขภาพจิตแย่เพราะคิดว่า “ฉันไม่เคยทำสิ่งใดสำเร็จ” พอคิดแบบนี้ก็ขาดความมั่นใจ รู้สึกตัวเองไร้ความสามารถ ทำอะไรไม่ดีสักอย่าง ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะเรามองข้ามสิ่งที่เราทำได้ไป อะไรที่เราทำสำเร็จเป็นครั้งแรกนั้นมันช่างเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในวินาทีนั้น เหมือนท่องสูตรคูณครบ 12 แม่ได้ ขี่จักรยานเป็น ว่ายน้ำเป็น ขับรถเป็น ทำอาหารเองแล้วอร่อย มีหลายสิ่งที่เราทำได้ในชีวิต แต่เรามักจะหมกมุ่นกับสิ่งที่เราทำไม่ได้ ซึ่งทำให้รู้สึกแย่ว่าตัวเองไม่มีความสามารถใดๆ แต่ที่จริงหากมานั่งไล่ความคิดดีๆ ว่าตัวเองทำอะไรเป็นบ้าง วันนี้ทำอะไรสำเร็จบ้าง เราจะพบว่าเราทำอะไรในชีวิตสำเร็จเยอะกว่านะครับ ไม่งั้นคงไม่มีชีวิตรอดจนถึงวันนี้หรอก วิธีนี้ก็เป็นแนวทางในการบำบัดทางสุขภาพจิตที่นิยมใช้

อย่างไรก็ตามการเขียนนั้นเป็น ‘ยาขม’ ของหลายๆ คน บางคนไม่ชอบเขียนอะไรเลยและเขียนไม่เป็น จะเริ่มอย่างไรดี ในช่วงแรกๆ นั้น ขอให้เริ่มเถอะครับ และเริ่มในแบบที่สะดวกกับเราที่สุด จะเขียนลงกระดาษ ลงไดอารีเล่มสวยๆ ถ้ามันจูงใจให้เราเขียนก็ซื้อได้ หรือถ้าเราชอบพิมพ์จะเขียนในคอมพิวเตอร์ ในแทบเล็ต หรือลงในแอปโทรศัพท์มือถือก็ได้ ขอให้มันออกมาเป็นตัวหนังสือ ภาษาที่เขียนไม่ต้องสละสลวยเหมือนเขียนเรียงความส่งอาจารย์หรือนักเขียนอาชีพ แต่ต้องให้ตนเข้าใจหากกลับมาอ่านใหม่ เพราะการพยายามเรียบเรียงคือสิ่งสำคัญหลัก ๆ ในกิจกรรมนี้ ไม่ต้องจำกัดว่าต้องเขียนสิ่งใด หากเขียนออกก็เขียนสิ่งที่เกิดขึ้นลงไปเลย

 การเขียนนอกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นด้านบนที่ผมพูดไว้ ก็เขียนได้นะครับ ถ้ามันทำให้เรารู้สึกอยากเขียน เพราะการสร้างแรงจูงใจในการเขียนให้เขียนสม่ำเสมอก็จำเป็น แล้วประเด็นทางความรู้สึกมันจะออกมาเองตอนเราเขียนนานๆ เข้า เปรียบเหมือนออกกำลังกายแหละครับ ประเภทที่เราออกได้บ่อยๆ นานๆ ดีกว่าประเภทที่เราทำได้แค่ครั้งสองครั้งแล้วก็เลิก และพอออกนานๆ เราจะชินกับการปรับท่าปรับทางอะไรที่ทำให้เราออกกำลังกายได้มีประสิทธิภาพขึ้น การเขียนเองถ้าเราเขียนคล่องขึ้น หัวข้อที่เราอยากเขียนสำรวจจิตใจตนเองมันก็จะพรั่งพรูออกมาเป็นตัวอักษรง่ายขึ้นเช่นกัน

มีข้อควรระวังในการเขียนไดอารีเพื่อพัฒนาสุขภาพจิตเหมือนกันครับ ในการเขียนถึงเหตุการณ์ไม่ดีเพื่อทำความเข้าใจนั้น หากรู้สึกว่าไม่พร้อมก็ไม่ควรเขียน โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ เศร้าใจมาก เสียใจมาก แม้การพยายามเผชิญหน้าอาจจะเป็นประโยชน์ แต่ก็อาจจะทำให้อารมณ์รู้สึกดิ่งลงจนรับมือไม่ไหว และหากท่านที่มีปัญหาสุขภาพจิตที่เริ่มรุนแรง ที่รู้สึกว่ามีความทุกข์จนรับมือเองได้ยาก ส่งผลต่อสุขภาพ การงาน และความสัมพันธ์ ผมยังคงให้ท่านแนะนำปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอยู่ดี เพราะการเขียนก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยทุเลาในสภาพจิตใจที่ยังรับมือเองไหว นอกจากนี้หากนักบำบัดของคุณเชี่ยวชาญในการใช้การเขียน เขาอาจจะช่วยเลือกหัวข้อที่เหมาะสมกับปัญหาที่คุณเจออยู่ หรืออาจจะช่วยแนะนำ ‘keyword’ ว่าควรจะเขียนในหัวข้ออะไร เพื่อให้เขียนได้ง่ายขึ้น และตรงกับปัญหามากขึ้น

สำหรับคนที่อยากเขียน แต่รู้สึกว่าตนเองไม่มีทักษะในการเขียนเลย เขียนยังไงก็เขียนไม่ออก ไม่รู้ว่าไดอารีต้องเขียนแบบไหน เช่นเดียวกับการฝึกฝนทักษะการเขียนอื่นๆ สิ่งที่ช่วยได้มากคือการอ่านงานของคนอื่น ลองอ่านวรรณกรรมต่างๆ จะเป็นนิยายที่ตัวละครเล่าเรื่อง หรือเป็นหนังสือบันทึกเรื่องจริงของบุคคลจริงๆ หรืออาจจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นมาก็ได้ การอ่านหนังสือจะทำให้คุณได้คุ้นเคยกับวิธีการเล่าเรื่อง การเลือกใช้คำ การบรรยายให้เห็นภาพ ไม่ต้องกังวลว่าเขียนแล้วจะออกมาดีหรือไม่ดี กลับมาอ่านแล้วไม่สนุกแบบในหนังสือที่อ่าน เพราะเป้าหมายของเราคือการเขียนเพื่อเรียบเรียงความคิดลงไป ขอให้กลับมาอ่านเองแล้วเข้าใจก็ถือว่าเพียงพอครับ 

วิธีที่ดีที่สุดในการเป็นคนเขียนเก่งคือ เขียนงานบ่อยๆ  ผลพลอยได้ของวิธีการฝึกสุขภาพจิตด้วยการเขียนไดอารี คือการได้ฝึกทักษะการเขียน ซึ่งเป็นทักษะที่เป็นประโยชน์กับชีวิตในด้านอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือการงาน ชีวิตเรานั้นต้องพึ่งพาการเขียนอยู่มากครับ

จะว่าไปวันนี้คุณเจออะไรมาบ้าง มาลองเขียนเพื่อบริหารสุขภาพจิตกันดูนะครับ

รายการอ้างอิง

Baumeister, R. F., Bratslavsky, E., Finkenauer, C., & Vohs, K. D. (2001). Bad is stronger than good. Review of general psychology, 5(4), 323-370.

Hayes, M. C., & Zyl, L. E. V. (2019). Positive journal writing across multicultural contexts: a protocol for practice. In Positive psychological intervention design and protocols for multi-cultural contexts (pp. 415-433). Springer, Cham.

Suhr, M., Risch, A. K., & Wilz, G. (2017). Maintaining mental health through positive writing: Effects of a resource diary on depression and emotion regulation. Journal of clinical psychology, 73(12), 1586-1598.

Tags:

การเขียนความรู้สึกทักษะไดอารี่การระบาย

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Deep Listening-nologo
    Character building
    ‘การฟังเป็น’ ไม่ใช่แค่ได้ยินเสียง แต่ต้องให้ดังไปถึงใจ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้’ สัญญาณของความบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD: Learning Disability) คุยกับ หมอวิน-ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Healing the trauma
    Projective Identification ปมในจิตใจอาจเป็นสาเหตุให้เรากลับมาทิ่มแทงตัวเอง 

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Learning Theory
    Simulation experience pedagogy: รู้สึกถึงโลกใบนี้โดยไม่ต้องมองให้เห็น

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ครอบครัวที่ลัก : คงจะดีไม่น้อยถ้าเราเลือกครอบครัวได้เอง
Movie
4 November 2022

ครอบครัวที่ลัก : คงจะดีไม่น้อยถ้าเราเลือกครอบครัวได้เอง

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • ครอบครัวที่ลัก (Shoplifters) เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นแนวดรามาในปี 2018 ที่คว้ารางวัล ‘ปาล์มทองคำ’ ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 71  
  • ประเด็นสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งคำถามก็คือนิยามของคำว่า ‘ครอบครัว’ แท้จริงแล้วครอบครัวคืออะไร และจะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถเลือกคนในครอบครัวได้ด้วยตัวเอง
  • สำหรับแฟนภาพยนตร์ของ Hirokazu Kore-Eda ผู้กำกับชื่อดังชาวญี่ปุ่น (Nobody Knows, Like Father Like Son) นี่คืออีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีซที่คุณไม่ควรพลาด

ตอนเด็กๆ เวลาทะเลาะกับพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ผมมักถูกพ่อแม่นำไปเปรียบเทียบกับลูกของคนอื่น ในทำนองว่า “ทำไมฉันถึงไม่มีลูกดีๆ แบบนั้นบ้าง” “อิจฉาพ่อแม่ของ xxx (ชื่อของลูกคนอื่น) จังที่มีลูกดีขนาดนี้”

แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจและปล่อยให้อารมณ์พาไป แต่ในมุมของผม…นี่คือหนึ่งในคำพูดที่เจ็บปวดที่สุด  

ผมเชื่อว่าตัวเองไม่ใช่ผู้โชคร้ายเพียงคนเดียวที่เจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้ และหลายคนคงอาจเคยคิดเล่นๆ เหมือนผมว่า “ถ้าเลือกพ่อแม่ได้บ้าง…ก็คงดี”

ผมหวนคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีกครั้ง หลังได้ชมภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่คว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 71 เรื่องครอบครัวที่ลัก (Shoplifters) ของผู้กำกับชื่อดังอย่าง Hirokazu Kore-Eda ที่ฝากผลงานมาสเตอร์พีซมาแล้วมากทาย ทั้ง Nobody Knows, Still Walking และ Like Father Like Son ฯลฯ

1

ครอบครัวที่ลักได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในญี่ปุ่น นำเสนอเรื่องราวของ ‘ครอบครัวชิบาตะ’ ที่พา ‘ยูริ’ เด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในห้องเช่าแคบๆ ที่ทั้งหนาวเหน็บและไม่มีอาหาร มากินข้าวเย็นที่บ้าน

คนที่ตกใจและไม่พอใจที่สุดหลังเห็น ‘โอซามุ ชิบาตะ’ นำยูริมาที่บ้านก็คือ ‘โนบุยะ ชิบาตะ’ ผู้เป็นภรรยาของเขา แม้เธอจะรับได้ที่สามีชอบลักขโมยสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาขาย แต่การนำลูกคนอื่นที่ไม่รู้จักมาที่บ้านโดยพ่อแม่ของอีกฝ่ายไม่รับรู้ ต่อให้จะอ้างเรื่อง ‘ความหวังดี’ ทว่าในทางกฎหมายเรียกสิ่งนี้ว่าการลักพาตัว 

อย่างไรก็ตาม คำทัดทานของโนบุยะกลับไม่เป็นผล เพราะสมาชิกคนอื่นในบ้าน โดยเฉพาะ ‘คุณย่า’ กลับเห็นด้วยที่จะเลี้ยงข้าวเย็นยูริ แล้วค่อยพาเธอกลับไปส่งที่บ้าน

ระหว่างที่รับประทานอาหาร คุณย่าพบว่าที่ตัวของเด็กน้อยเต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผลและการทำร้ายร่างกาย ทำให้ครอบครัวชิบาตะรู้สึกสงสารหนูน้อยคนนี้ยิ่งขึ้น 

หลังมื้อค่ำ ก็ถึงเวลาส่งยูริกลับบ้าน ทว่าเรื่องราวกลับไม่ง่ายอย่างนั้น เมื่อสองสามีภรรยาพบว่าพ่อกับแม่ของเด็กกำลังทะเลาะกันอย่างหนักถึงขั้นลงไม้ลงมือ ทำให้ทั้งคู่จนใจพายูริกลับมาเลี้ยงดูที่บ้านอีกครั้ง ก่อนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ทั้งงดงามและแหลกสลาย

2

เมื่อพายูริมาเลี้ยงดูในลักษณะสถานการณ์พาไปเช่นนี้ โนบุยะจึงต้องกลายเป็นแม่จำเป็นให้กับยูริ ซึ่งคืนแรก ยูริก็ทดสอบ ‘แม่มือใหม่’ ด้วยการปัสสาวะรดที่นอนตามประสาเด็กอนุบาล ซึ่งพอโนบุยะรู้ เธอก็รีบนำที่นอนออกไปซักให้ทันที โดยไม่ใช้กำลังหรือดุด่ายูริสักคำ หนำซ้ำคุณย่ายังออกโรงช่วยแก้ปัญหานี้ด้วยการเอา ‘เกลือ’ มาให้หนูน้อยเลีย (วิธีแก้อาการปัสสาวะรดที่นอนของคนสมัยโบราณ)

ท่ามกลางความดำมืดของการลักพาตัว ผมพบว่าภาพยนตร์ได้ทยอยผสมสีขาวลงไปอย่างแนบเนียน จนโทนหนังออกเป็นสีเทาๆ เพราะถึงครอบครัวของโนบุยะจะชอบขโมยของหรือขัดสนเงินทองยังไง แต่พวกเขากลับดูแลและเติมความรักความอบอุ่นให้แก่ยูริตลอดเวลา ทั้งการพูดคุยหยอกล้อ การทำอาหารอร่อยๆ ที่ยูริชอบ พาเธอไปลองเสื้อผ้าสวยๆ (ก่อนขโมยไปอย่างแนบเนียน) รวมถึงทริปเที่ยวทะเลอันแสนสนุก ทำให้ใบหน้าของยูริเต็มไปด้วยรอยยิ้มและชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ในมุมของโนบุยะ ผมมองว่ายูริอาจเปรียบได้กับจิ๊กซอว์บางส่วนที่ช่วยเติมเต็มสิ่งที่หายไปในชีวิต อาจจะเป็น ‘ลูก’ เพราะโนบุยะเองก็เป็นหญิงวัยกลางคนที่ยังไม่มีลูกเป็นของตัวเอง หรือบางทีโนบุยะอาจกำลังเห็นภาพของตัวเองในวัยเด็ก 

หนึ่งในฉากเล็กๆ ที่ผมประทับใจคือตอนที่โนบุยะพายูริไปอาบน้ำ แล้วทั้งคู่ต่างพบว่าตัวเองต่างมีแผลเป็นที่แขนเหมือนกัน และบังเอิญเหลือเกินว่าแผลนั้นเกิดจาก ‘เตารีด’ ด้วยน้ำมือของผู้ให้กำเนิด ซึ่งยูริแสดงความน่ารักของเธอด้วยการเอามือลูบแขนของโนบุยะราวกับต้องการให้แผลเป็นนั้นทุเลาลง

“โดนพ่อแม่ทำร้ายขนาดนั้นแท้ๆ ถ้ามีแม่ที่คิดว่าลูกไม่น่าจะเกิดมา ลูกก็คงโตมาเป็นผู้ใหญ่อย่างเรา” โนบุยะบอกสามีตอนกลางคืน หลังหวนนึกถึงแผลเป็นของยูริ

3

วันหนึ่งโนบุยะถามคุณย่าว่าเป็นไปได้ไหมที่ยูริเองก็เลือกเราเป็นครอบครัว ซึ่งคุณย่าตอบเพียงว่า “คนเราเลือกพ่อแม่ไม่ได้” 

“แต่ถ้าเลือกได้(ครอบครัว) มันก็จะเหนียวแน่นขึ้น ใช่ไหมคะ” โนบุยะกล่าว

หลังจากฟังประโยคนี้ ผมสัมผัสว่านี่คือ ‘หัวใจสำคัญ’ ของภาพยนตร์ เพราะมันทำให้ผมหวนนึกถึงนิยามของครอบครัว พ่อแม่และลูก ว่าแท้จริงแล้วมันหมายความว่าอะไรกันแน่ 

อย่างกรณีของยูริที่ถูกพ่อแม่เอาเตารีดมาจี้แขนเพื่อระบายอารมณ์ การไม่มีเวลาให้ลูก การคิดว่ายูริเป็นภาระ การปล่อยลูกให้หิวโหยและนั่งอย่างเหน็บหนาวเพียงลำพัง  หรือแม้แต่การไม่ยอมไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเรื่องลูกหาย (ต้องรอให้หน่วยงานสวัสดิการเยาวชนเป็นผู้ติดต่อกับทางตำรวจเอง) ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วการให้กำเนิดใครสักคนนั้น เพียงพอแล้วหรือไม่กับการเป็นพ่อคนแม่คน

ในทางกลับกัน ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมโนบุยะที่ดูเป็นคนหยาบกระด้างกลับ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ว่ายูริต้องการอะไร และตอบสนองเธอด้วยสิ่งนั้น ตั้งแต่เรื่องอาหาร การแต่งตัว แม้กระทั่งการโอบกอดที่ยูริไม่เคยได้จากแม่ ทั้งที่โนบุยะเองไม่ได้เป็นแม่แท้ๆ แถมยังรู้จักกับยูริไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ 

“ที่พวกเขาตบตีเธอ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นเด็กไม่ดี ถ้าพวกเขาพูดว่าเขาตีเธอเพราะรัก พวกเขาโกหก ถ้าพวกเขารักเธอจริง ต้องทำแบบนี้” โนบุยะกล่าวพร้อมกับดึงยูริมากอดแนบอก

แม้จะมีอดีตอันเลวร้ายกับพ่อแม่ แต่ผมสัมผัสได้ว่าโนบุยะในวันนี้เติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง และยังจุดประกายความรักความอบอุ่นให้กับยูริได้ในแบบที่ลูกทุกคนพึงได้รับ

นอกจากการเรียนรู้ความเป็นแม่ของโนบุยะแล้ว เธอเองก็เรียนรู้การเป็น ‘ลูก’ ผ่านคุณย่าที่ให้ความรักความอบอุ่นเธอจริงๆ โดยภาพยนตร์พยายามสื่อให้เห็นว่าภูมิหลังของคุณย่านั้นก็มีความสลับซับซ้อนไม่แพ้กันกับเรื่องของยูริ

คุณย่าไม่ใช่แม่ของโอซามุ…ผู้เป็นสามี รวมถึงไม่ได้มีความผูกพันใดๆ ทางสายเลือดกับสองสามีภรรยา คุณย่าเป็นเพียงหญิงชราที่ถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยว ซึ่งโนบุยะพบกับคุณย่าท่านนี้โดยบังเอิญ ก่อนชักชวนให้คุณย่าย้ายมาอยู่ด้วยกัน

เมื่ออยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว คุณย่าก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ ให้เป็นภาระ กลับกันคุณย่ากลับเป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงครอบครัว โดยนำเงินสวัสดิการที่ได้ทุกเดือนจากสามีผู้ล่วงลับมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนกลาง แถมยังรับหน้าที่หาข้าวปลาอาหารให้กับทุกคนในบ้าน ราวกับเธอเป็นแม่และย่าของทุกคนจริงๆ

ตอนโนบุยะถกกับคุณย่าเรื่องการเลือกพ่อแม่ ผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นระหว่างหญิงสาวและหญิงชราคนนี้ เพราะโนบุยะพยายามจะอธิบายให้คุณย่าเห็นว่าต่อให้ไม่มีสายเลือดเดียวกัน แต่เราก็สามารถสร้างสายใยรักระหว่างกันและกันได้ ซึ่งเธอเชื่อว่าสิ่งนี้เหนียวแน่นยิ่งกว่าความสัมพันธ์ที่เกิดจากสายเลือดแท้ๆ แต่ปราศจากความรัก 

“สายใยเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็เลือกเธอเหมือนกัน” คุณย่ากล่าว

อีกฉากประทับใจคือตอนที่โนบุยะพาครอบครัว(ปลอมๆ)ไปเที่ยวทะเล ซึ่งระหว่างที่ทุกคนสนุกสนานกับคลื่นลม โนบุยะกลับเลือกนั่งอยู่กับคุณย่า ซึ่งคุณย่าก็ถือโอกาสนี้ย้ำเตือนความจริงให้โนบุยะตระหนักว่าความสุขแบบนี้จะอยู่ได้อีกไม่นาน

“ฉันรู้ค่ะ แต่บางทีมันคงดีกว่าถ้าเราเลือกครอบครัวของเราได้เอง จริงไหมคะ” โนบุยะกล่าว

ผมเองก็เช่นกัน ผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าคนเราเลือกพ่อแม่ได้จริงๆ ชีวิตของพ่อแม่หรือลูกๆ หลายคนน่าจะมีความสุขกว่านี้ หรือต่อให้เลือกครอบครัวแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น อย่างน้อยมันก็ทำให้เราสามารถยอมรับตลกร้ายที่ชื่อว่า ‘ปัญหาภายในครอบครัว’ ได้ง่ายขึ้น 

4

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ในที่สุดทุกคนก็ถูกตำรวจบุกจับกุมถึงบ้าน โดยโนบุยะให้การรับผิดแทนสามี (เนื่องจากสามีเคยต้องคดีอาญามาก่อน) แต่สิ่งสำคัญของฉากนี้คือการถกกันเรื่องความเป็นแม่ระหว่างโนบุยะกับเจ้าหน้าที่ที่ทำการสอบสวนถึงแรงจูงใจในการลักพาตัวยูริ

เจ้าหน้าที่ : เด็กทุกคนย่อมต้องการแม่ มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว

โนบุยะ : นั่นเป็นสิ่งที่คนเป็นแม่มักจะคิด การเป็นผู้ให้กำเนิดมันทำให้คุณกลายเป็นแม่ได้เลยเหรอ

เจ้าหน้าที่ : แต่ถ้าคุณไม่ได้ให้กำเนิด คุณก็เป็นแม่ไม่ได้ ฉันรู้ว่าคุณทำใจไม่ได้ที่คุณไม่สามารถมีลูกได้ เป็นเพราะคุณอิจฉาเหรอถึงได้ไปลักพาตัวแกมา

โนบุยะ : บางทีฉันอาจจะเกลียดเธอก็ได้ แม่ของฉันน่ะ

จากบทสนทนานี้ ผมตีความว่าแม่ของโนบุยะน่าจะเป็นแม่ที่ร้ายกาจพอสมควร โดยเฉพาะการทำร้ายร่างกายโนบุยะด้วยเตารีด (แบบเดียวกับยูริ) ทำให้เธอโตขึ้นและอยากจะพิสูจน์ว่าการเป็นแม่ที่ดีควรจะเป็นยังไง 

แต่ตลกร้ายของภาพยนตร์คือ การต้องยอมรับความจริงว่าต่อให้โนบุยะจะดีกับยูริมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ใช่ ‘แม่’ หรือ ‘ครอบครัว’ ในทางกฎหมายของยูริ ดังนั้นผลสุดท้าย โนบุยะจึงถูก ‘พิพากษา’ จำคุกเป็นเวลา 5 ปี

หลังภาพยนตร์จบลง ผมครุ่นคิดอีกครั้งว่าความเป็นพ่อแม่ แท้จริงแล้วคืออะไร การเป็นผู้ให้กำเนิด แล้วนึกจะบังคับจิตใจหรือทำร้ายร่างกายลูกในนามของ ‘ผู้ให้กำเนิด’ อย่างไรก็ได้ใช่หรือไม่ และมนุษย์แท้จริงแล้วไม่สามารถเลือกครอบครัวได้จริงๆ เหรอ 

เพราะอย่างน้อยในฉากสุดท้ายที่ยูริกลับไปอยู่กับแม่ก็ยังทิ้งร่องรอยอยู่ในความรู้สึก …ภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกแม่ขึ้นเสียงใส่เพียงเพราะอยากหาคนเล่นด้วยจนเธอต้องหลบไปยืนซึมอยู่คนเดียวริมระเบียง ซึ่งภาพอันแสนหดหู่นี้ ได้ให้คำตอบบางอย่างกับผมว่า แท้จริงแล้วครอบครัวอาจไม่จำเป็นต้องมีสายเลือดเดียวกันเสมอ 

Tags:

ครอบครัวที่ลักภาพยนตร์ญี่ปุ่นHirokazu Kore-Edaพ่อแม่การเติบโตShoplifters

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Online Parenting Theory-nologo (2)
    Family Psychology
    สารพัดทฤษฎีเลี้ยงลูกออนไลน์ พ่อแม่ควรทำอย่างไรท่ามกลางข้อมูลที่ท่วมท้น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    The love of Siam: รักแห่งสยาม ‘เดอะแบก’ ของบ้านที่ไม่พูดความต้องการและรู้สึก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    ‘ตอนนี้’ และ ‘โตขึ้น’ อยากเป็นอะไร พ่อแม่ช่วยลูกค้นหาได้ด้วย 9 วิธีนี้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

TK Park พื้นที่ลดความเหลื่อมล้ำทางการเรียนรู้ ที่ชวนทุกคนมาอ่าน คิด และลงมือทำ: กิตติรัตน์ ปิติพานิช ผอ.สถาบันอุทยานการเรียนรู้
SpaceLife Long Learning
2 November 2022

TK Park พื้นที่ลดความเหลื่อมล้ำทางการเรียนรู้ ที่ชวนทุกคนมาอ่าน คิด และลงมือทำ: กิตติรัตน์ ปิติพานิช ผอ.สถาบันอุทยานการเรียนรู้

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • TK Park เป็นมากกว่าห้องสมุด นอกจากการให้บริการหนังสือ ยังมีพื้นที่การเรียนรู้ให้ใช้สอยมากมาย เพื่อมุ่งสู่การเป็นต้นแบบพื้นที่พัฒนาศักยภาพคนไทย และมัดใจคนทุกเจเนอเรชัน
  • กิจกรรมครอบคลุมในทุกช่วงวัย วัยเด็กเน้นการเรียนรู้ เสริมสร้างพัฒนาการที่เหมาะสม กลุ่มคนทำงาน เน้นกิจกรรมส่งเสริมการคิด สร้างแรงบันดาลใจ ผู้สูงอายุเน้นเรื่อง Digital literacy ให้ความรู้เรื่องของเทคโนโลยีในปัจจุบัน
  • หนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือ การลดความเหลื่อมล้ำทางการเรียนรู้ โดยการขยายพื้นที่การเรียนรู้ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ ที่ส่งเสริมระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด

TK Park เป็นมากกว่าห้องสมุด 

“…เราถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อจะเป็นต้นแบบพื้นที่การเรียนรู้ แล้วก็ส่งต้นแบบนี้ไปให้กับเครือข่ายพื้นที่การเรียนรู้ที่มีอยู่ทั่วประเทศ แล้วเป้าหมายไกลๆ ของเรา ก็คือ การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ให้กับประชาชน มุ่งการเรียนรู้ตามอัธยาศัยเพื่อส่งเสริม Life Long Learning หรือ การเรียนรู้ตลอดชีวิต…”

กิตติรัตน์ ปิติพานิช ผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ หรือ TK Park เล่าถึงจุดเริ่มต้นของพื้นที่การเรียนรู้แห่งนี้ ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร และขยายพื้นที่ไปทั่วประเทศ ก่อนจะเข้าถึงบทสนทนาหลักๆ ถึงแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการนำทีเคปาร์คสู่การเป็น ‘ต้นแบบพื้นที่พัฒนาศักยภาพคนไทย มัดใจคนทุกเจเนอเรชัน’ 

โดยมีหนึ่งในเป้าหมายสำคัญคือ การลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการเรียนรู้ ผ่านการขยายพื้นที่การเรียนรู้ทั้งในรูปแบบของออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด สนับสนุนการพัฒนาสื่อและการให้บริการในรูปแบบห้องสมุดชุมชนทั่วประเทศ เพื่อปลูกฝังและเสริมสร้างนิสัยรักการอ่าน สร้างกิจกรรมและการเรียนรู้ที่หลากหลาย

“ทีเคพาร์คเป็นพื้นที่การเรียนรู้ ห้องสมุดและหนังสือเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่อุปกรณ์ที่เราใช้ เราโฟกัสที่การอ่าน การคิด การทำ ทั้งหมดนี้คือ Life Long Learning ที่เราส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตัวเอง 

เราเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่กระตุ้นให้ผู้คนเข้ามาเรียนรู้ และกระตุ้นให้คนอื่นอยากจะเรียนรู้เพิ่มมากขึ้นได้ แล้วมันอาจจะกระตุ้นให้พาร์ตเนอร์คนอื่นมาร่วมทำกับเราด้วย ช่วยกันผลักดันพัฒนาและสร้างสรรค์พื้นที่แหล่งเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการของคนทุกวัย”

‘Self-Learning’ ห้องสมุดมีชีวิตที่ชวนทุกคนออกแบบการเรียนรู้ด้วยตัวเอง 

ผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ ทีเคพาร์ค (TK Park) ว่า จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบของแหล่งเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการของทุกคนที่แสวงหาความรู้อย่างไร้ขีดจำกัด ในรูปแบบของ ‘ห้องสมุดมีชีวิต’ ที่ให้บริการหนังสือครบครัน สื่อที่หลากหลาย และกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน การเรียนรู้กับบรรยากาศสร้างสรรค์ที่ทันสมัย โดยมุ่งสร้างพื้นที่ และสร้างการเรียนรู้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนทุกคน ทุกช่วงวัย 

“ในการส่งเสริมเรื่องการเรียนรู้ เราต้องบอกอย่างนี้ว่า จริงๆ แล้ว เราเรียนรู้ทั้งในระบบของการศึกษาภาคปกติ หรือภาคบังคับก็ตามแต่ มันเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ของชีวิต แต่ว่าช่วงที่เหลือของชีวิตเรา รัฐก็มีหน้าที่ที่จะซัพพอร์ตการเรียนรู้ต่อหลังจากที่จบการศึกษาแล้ว ไม่ว่าจะจบระดับมัธยมฯ จะจบระดับมหาวิทยาลัย หรือระดับไหนก็ตามแต่ หรือไม่จบอะไรเลยก็ตามแต่ รัฐก็มีหน้าที่ที่จะซัพพอร์ตการเรียนรู้ของประชาชน ในรูปแบบของ Self-Learning นี่แหละ”

จากแนวคิดการทำงานของ TK Park จึงเกิดเป็น Living library ‘ห้องสมุดที่มีชีวิต’ เพื่อจะเป็นพื้นที่การเรียนรู้ตามอัธยาศัยสำหรับผู้คน ซึ่งก็จะกระจายไปตามหัวเมืองทั่วประเทศ ตอบโจทย์การเรียนรู้ ที่นอกเหนือจากการอ่านแล้ว ยังสร้างแรงดึงดูดให้คนอยากเข้ามาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ 

“ทีเคพาร์คเป็นที่ที่เข้ามาแล้วอยากจะกระตุ้นให้คนอยากจะรู้อะไรเพิ่ม สำหรับกลุ่มคนที่เขาอยากจะเรียนรู้ เขาก็จะได้เรียนรู้ แต่ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่กลุ่มที่อยากเรียนรู้ ความท้าทายอยู่ที่กลุ่มที่ไม่อยากจะเรียนรู้อะไรมากกว่า แต่ก็ยังโชคดีว่ากลุ่มที่ไม่อยากจะเรียนรู้อะไร เราคิดว่าไม่ได้เป็นกลุ่มใหญ่ในสังคม สังเกตได้จากเวลาเราวัดสถิติเรื่องของการอ่าน คนกลุ่มที่แบบขี้เกียจอ่าน กลุ่มที่ไม่อยากจะเรียนรู้ ก็ยังเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็เป็นกลุ่มที่เราทิ้งไม่ได้ 

เพราะฉะนั้น เรามีหน้าที่ก็คือ ทำให้คนที่เขารักการเรียนรู้ เขาได้รับการต่อยอด เราเป็นตัวที่ช่วยเสริมเขา แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือกระตุ้นให้คนที่เขาไม่อยากเรียนรู้อะไรเขาอยากจะเรียนรู้ด้วย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ก็ผ่านกิจกรรม ทำเวิร์กชอป ก็จะเป็นพื้นที่ที่เหมือนเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตของความรู้”

กิตติรัตน์ ปิติพานิช ผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ หรือ TK Park

‘Learning Space’ พื้นที่เรียนรู้ของคนทุกวัยที่ไม่หยุดไว้แค่การอ่าน 

ในส่วนของพื้นที่ให้บริการของ TK Park ใจกลางกรุงเทพมหานคร บนชั้น 8 ของเซ็นทรัลเวิลด์ มีทั้งหมด 11 โซนด้วยกัน นอกจากพื้นที่ที่ให้บริการหยิบยืมหนังสือมาอ่านกันแล้ว ก็ยังมีพื้นที่การเรียนรู้ให้ได้ใช้สอยมากมาย มีทั้งโซนสำหรับเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน รวมไปถึงผู้สูงวัย ประกอบไปด้วย  

ห้องสมุดมีชีวิต ให้บริการค้นคว้าข้อมูล แลกเปลี่ยนความรู้ ด้วยหนังสือและสื่อมัลติมีเดียหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ วารสาร สื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ทั้งไทยและสากล และเกมสร้างสรรค์ต่างๆ

Mind Room จุดนัดพบเพื่อจุดประกายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ที่สนใจเรียนรู้ตามแนวทาง ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ เช่น สถาปัตยกรรม ศิลปะการแสดง แฟชั่น ภาพยนตร์ ดนตรี

ห้องเงียบ พื้นที่มุมสงบสำหรับผู้ที่ต้องการใช้สมาธิในการอ่านและการค้นคว้าหาข้อมูล สาระ ความรู้ จากหนังสืออ้างอิง

ห้องเด็ก เด็กๆ สามารถเรียนสนุกได้ในบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ที่เหมาะกับวัย ทั้งในสระน้ำความรู้ (Reading Pool) บ้านต้นไม้ และบันไดรักการอ่าน โดยมีการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่น่าสนใจให้ได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน เช่น กิจกรรมฝึกทักษะการเรียนรู้แบบบูรณาการ พัฒนาสมองรูปแบบ Brain-Based Learning

ห้องสมุดดนตรี มุมสื่อสร้างสรรค์ทางดนตรีที่มีทั้ง หนังสือ, iPod, TK Music Library และเครื่องดนตรีให้ลองสัมผัส พื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ได้ ร้อง เล่น ฟัง และค้นคว้าข้อมูลทางด้านดนตรีทุกประเภทจากทุกมุมโลก เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้ทางด้านดนตรี

ศูนย์การเรียนรู้อเนกประสงค์ พื้นที่อเนกประสงค์สำหรับทุกการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการสัมมนา การอบรมเชิงปฏิบัติการ รวมถึงการเรียนรู้เชิงสาระบันเทิง (Edutainment) ทั้งการแสดงดนตรี ละครเวที และศิลปะการแสดงแขนงต่างๆ

ห้องสมุดไอที พื้นที่สำหรับส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ด้านไอที พร้อมด้วยหนังสือและสื่อความรู้ IT ที่หลากหลาย รวมทั้งให้บริการอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เพื่อการฝึกฝนทักษะด้านไอทีด้วยตนเอง

ห้องเด็ก
ห้องสมุดดนตรี

ลานสานฝันพื้นที่ เปิดกว้างสำหรับทุกวัย ในการแสดงความสามารถ ผลงาน ความคิด และกิจกรรมสร้างสรรค์ทุกประเภท ทั้งการร้องเพลง เล่นละคร การเต้นรำและสารพันกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ เพื่อต่อยอดการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง พร้อมด้วยอุปกรณ์แสง เสียง ที่ได้มาตรฐาน

ห้องฉายภาพยนตร์ ห้องจัดฉายภาพยนตร์ หนังสั้น แอนิเมชั่น เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ทักษะผ่านประสบการณ์จริงกับภาพยนตร์คุณภาพ ทั้งของไทยและต่างประเทศ และผลงานสร้างสรรค์ของเยาวชนคนรุ่นใหม่โดยไร้ขีดจำกัดทางจินตนาการ พร้อมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับวิทยากรเพื่อเพิ่มพูนภูมิปัญญา

ศูนย์อบรมไอที พื้นที่ฝึกอบรมไอที ด้วยหลักสูตรการฝึกอบรมที่หลากหลายเปิดกว้างสำหรับเยาวชน บุคคลทั่วไป จนถึงผู้สูงอายุ เน้นการปฏิบัติจริงตั้งแต่การใช้งานคอมพิวเตอร์หรือการใช้งานอินเทอร์เน็ตขั้นพื้นฐาน จนถึงการทำแอนิเมชั่น  

และ ซาวด์ รูม ห้องบันทึกเสียงมาตรฐานสากลในระบบดิจิทัล เพื่อรองรับการสร้างสรรค์สื่อคุณภาพหลากหลายประเภท เช่น ซ้อมดนตรี บันทึกเสียง ตลอดจนจัดทำหนังสือเสียงสำหรับผู้พิการทางสายตา

“การเรียนรู้มันก็ต้องมีทั้งการอ่าน มานั่งทำงานร่วมกัน ได้ฝึกกระบวนการคิด แล้วก็ต้องมาทำอะไรสักอย่าง มา express (แสดงออก) ด้วย พื้นที่อย่างลานสานฝันเป็นพื้นที่ที่เขาจะได้มา express ตัวเอง ผ่านการแสดงต่างๆ อย่างเด็กจิ๋วก็จะมีการแสดงออกของพวกเขา ไปจนกระทั่งกลุ่มที่เป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มของเยาวชนก็จะมีการแสดงออกที่เยอะหน่อย จัดดนตรี จัดสัมมนา จัดทอล์ก เวิร์กชอป ต่างๆ นานา”

ลานสานฝัน
ห้องสมุดมีชีวิต โซนนิตยสารต่างประเทศ

‘ปั้นทักษะ ปลุกไอเดีย’ กับหลากหลายกิจกรรมกระตุ้นการเรียนรู้ 

ด้านกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ ผอ.กิตติรัตน์ อธิบายว่าจัดขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีธีม (Theme) ที่แตกต่างกันแต่จะครอบคลุมในทุกช่วงวัย โดยสำหรับวัยเด็กจะเน้นเรื่องของการเรียนรู้ เสริมสร้างพัฒนาการที่เหมาะสม กับ ‘กิจกรรมเล่านิทานผลิบาน’ ที่เป็นการเล่านิทานนานาชาติพร้อมเวิร์กชอป สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ จากวัสดุเหลือใช้ และ ‘กิจกรรม Play Matters’ ที่เปลี่ยนพื้นที่อุทยานการเรียนรู้ให้กลายเป็นพื้นที่เล่นที่มีมากกว่าความสนุก 

สำหรับวัยรุ่น หรือวัยทำงาน เน้นในเรื่องการ Upskill หรือค้นหาแรงบันดาลใจ กับ ‘กิจกรรม TK Park เปิดตำราวิชา แนะให้แนว’ ที่เด็กๆ ค้นพบความถนัดและความสนใจ ก่อนเลือกเส้นทางอาชีพ และวางเป้าหมายชีวิตของตัวเองในอนาคต ‘กิจกรรมบอร์ดเกมคลับ TK Board Game Club’ กับการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนที่สนใจมาร่วมเรียนรู้และเล่นบอร์ดเกม พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมอง เรียนรู้ทักษะใหม่จากเกม ‘กิจกรรม TK Music Weekend’ ที่ส่งเสริมและเชื่อมโยงการเรียนรู้เกี่ยวกับดนตรี ในรูปแบบสาธิตงานดนตรีจากศิลปินมืออาชีพ พร้อมการพูดคุยให้ความรู้ทางด้านการสร้างสรรค์ผลงานดนตรี เทคนิคการร้อง การแต่งเพลง ประสบการณ์ด้านดนตรี เพื่อจุดประกายความฝันให้เด็กรุ่นใหม่ และสำหรับผู้สูงอายุ เน้นการให้ความรู้กับเรื่องของเทคโนโลยีในปัจจุบันกับ ‘กิจกรรม Digital Guide’ ที่แนะนำการใช้แอปพลิเคชันต่างๆ ในชีวิตประจำวัน 

ตัวอย่าง กิจกรรม TK Park เปิดตำราวิชา แนะให้แนว ตอน Into the Future ชวนเด็กมัธยมทั่วประเทศมาพัฒนาทักษะที่เหมือนจะไกลตัว มาทำให้เป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น ด้วยการฝึกทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ติดเครื่องมือ เติมทักษะ เตรียมพร้อมสู่โลกอนาคต กับนักจัดกระบวนการการเรียนรู้ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ผ่านประสบการณ์ ด้วย 5 รูปแบบกิจกรรมออนไลน์สดๆ พร้อมกันทั่วประเทศ Talk, Workshop, Toolkit, Exhibition, Corner (https://www.facebook.com/NaaeHaiNaew)

“กลุ่มของคนทำงานและผู้สูงอายุ ก็มีอีกหลายกิจกรรมเข้ามาตอบโจทย์ อย่างเช่น กลุ่มของคนทำงานก็จะมีเวิร์กชอปที่เป็น Article เรื่องของงานเขียน ส่งเสริมการคิด ผู้สูงอายุก็จะมีเรื่องของ Digital literacy (ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล) เรื่องของการใช้โปรแกรมต่างๆ ให้เขารู้สึกว่าเขาสามารถที่จะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีและสามารถจะใช้งานได้ ก็มีอีกหลายกิจกรรมซึ่งไปกระตุ้นให้เขาเกิดการต่อยอดทางความคิดได้ 

แล้วกลุ่มผู้สูงอายุเราจะมีกลุ่มที่พูดคุยกันเรื่องประวัติศาสตร์ ย่านเมือง ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ให้เขาได้มารำลึกความหลัง ความทรงจำ แล้วก็ส่งต่อเรื่องราวเหล่านั้นให้คนอื่นด้วย คนรุ่นใหม่ก็สามารถที่จะเข้ามาฟัง แล้วบางเวิร์กชอปก็เป็นการบูรณาการ ซึ่งหลายๆ ครั้งเราก็จัดในพื้นที่นั้นๆ นะ อย่างที่บอกว่าทีเคเราทำต้นแบบแค่ที่นี่ที่เดียว แต่เราสเกลไปทั่วประเทศ แล้วเครือข่ายเราก็มีอยู่ทั่วประเทศ ทั้งหมดนี้เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยการอ่าน คิด และลงมือทำ”

ขยายพื้นที่การเรียนรู้ ส่งเสริมระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ไม่สิ้นสุด

นอกจากกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ทุกช่วงวัยแล้ว ทีเคปาร์คยังมีกิจกรรมที่สร้างพื้นที่การเรียนรู้ขยายไปทั่วประเทศอีกด้วย 

“อย่างเช่นเราทำเรื่องของการใช้ Design Thinking ร่วมกับ UNDP (โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ) แล้วก็ทาง Fab Cafe ด้วย เป็นการทำเวิร์กชอป ทำ Global Goals Jam ก็คือมีประเด็นทางสิ่งแวดล้อมแล้วก็ลงไปทำกับพื้นที่ เช่นเราไปทำกับพื้นที่กระบี่ เราก็เอาเด็กนักเรียนชั้นมัธยมมาร่วมกับกลุ่มคนที่เขาทำในประเด็นของการประมง ให้น้องๆ คิดว่าน่าจะมีประเด็นไหนที่เขาช่วยแก้ไขปัญหาได้ สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับชาวประมงอย่างนี้ นักเรียนก็มาคุยกับชาวประมง กับอบจ. คุยกับคนที่อยู่ในพื้นที่ แล้วมาสร้างโซลูชันใหม่ๆ ให้กับพื้นที่ โดยอาศัยพื้นที่ของทีเคพาร์คนี่แหละเป็นศูนย์กลางของการสร้างโอกาสใหม่ๆ ขึ้นมา อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราคิดว่า เราไม่ได้แค่ส่งเสริมเรื่องของการอ่านอย่างเดียว เราส่งเสริมเรื่องของการคิด การลงมือทำด้วย เป็น 3 อย่าง ที่เราพยายามผลักดันอยู่”

ในส่วนของกิจกรรม Global Goals Jam ที่ได้ร่วมมือกับ Fab Cafe เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการด้าน STEAM และพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลเทคโนโลยี รวมทั้งร่วมกับ School of Change Maker พัฒนาทักษะโค้ชเพื่อทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับเยาวชนในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เพื่อให้เยาวชนลงมือระดมความคิด และร่วมแก้ไขปัญหาที่ชุมชนตัวเองประสบอยู่ให้ได้อย่างยั่งยืน

“เราทำเรื่องของ Global Goals Jam ทำเรื่องของ Solution Lab เราทำหน้าที่เหมือนเป็น facilitator (ผู้นำกระบวนการเรียนรู้) ให้เขาคิดประเด็นมาแล้วเราช่วย facilitate (อำนวยความสะดวก) เอาประเด็นนี้มาสร้าง solution (วิธีการแก้) ร่วมกับน้องๆ ร่วมกับ สเต็กโฮลเดอร์ – Stakeholder (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) ช่วยเชิญคน ช่วยหาองค์ประกอบมาให้ครบแล้วน้องๆ ก็สร้าง solution Idea ขึ้นมา น้องๆ มีการทดสอบไอเดียแล้วเอาไอเดียนี้ไปใช้ต่อ 

คำว่า Solutions Lab ใช้ตั้งแต่ระดับปัญหาของน้องๆ ด้วยกันเอง บางทีปัญหาเรื่องของการบูลลี่ เรื่องของ Generation Gap ระหว่างผู้สูงอายุกับเด็ก จะหา Solution กันยังไงบ้าง 

จนไปถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่การเรียนรู้ อย่างที่เราใช้กระบวนการเดียวกันไปทำกับห้องสมุดประชาชนที่เชียงใหม่ เพราะว่าพอพูดถึงห้องสมุดมีเยอะแยะเลย แล้วห้องสมุดของทางภาครัฐเองไม่ได้มีแต่ทีเค มีห้องสมุดประชาชน ซึ่งเยอะกว่าเราอีก เราก็ไปกระตุ้นว่าถ้าเขาอยากจะเปลี่ยน ต้องทำยังไงบ้าง แล้วก็เข้าไปช่วยทำกระบวนการ อันนี้ร่วมกับหลายพาร์ทเนอร์มาก 

พอทำกระบวนการได้มาซึ่งไอเดียแล้วก็ทดสอบไอเดีย อย่างเช่นตัวห้องสมุดทั่วๆ ไป ปกติเขาก็จะมีแต่หนังสือ ก็ไปให้เขาดูว่า คนในพื้นที่อยากจะเห็นอะไรอีกบ้าง อยากทำอะไรอีกบ้าง เช่น อยากทำเรื่องของการฉายหนัง เรื่องของกิจกรรมต่างๆ เราก็ facilitate ได้ไอเดียแล้วก็ทดสอบในพื้นที่ ส่งต่อไอเดียให้กับกศน. เอาไปศึกษาต่อ ทำความร่วมมือว่าเขาจะเอาไอเดียนี้ไปกระจายกับพื้นที่อื่นได้ยังไงบ้าง เพราะฉะนั้น อย่างที่บอกว่าเราส่งเสริมการอ่าน การคิด การลงมือทำ การอ่านก็ห้องสมุด การคิดก็ผ่าน solution Lab ผ่าน Global Goals Jam อะไรพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นการทำพวก workshop ต่างๆ  สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นสิ่งหลักๆ ที่ทีเคพาร์คทำทุกวันนี้”

สำหรับผลลัพธ์จากการขยายตัวของ TK Park ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่กล่าวมานั้น ผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ มองว่ามีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้คนเข้ามาใช้พื้นที่การเรียนรู้นี้มากขึ้น ทั้งการอ่านหนังสือ ร่วมเวิร์กชอป หรือใช้เป็น co-working space พื้นที่ทำงาน

“การที่เราขยายไปหลายๆ จังหวัด เราพยายามจะให้โลเคชั่นมันอยู่ใกล้โรงเรียนด้วยให้เด็กได้มาอ่านนั่งหนังสือ มาเล่นบอร์ดเกม ซึ่งบอร์ดเกมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่กลุ่มวัยรุ่นก็ชอบกัน อย่างที่โคราชเด็กก็จะมาจับกลุ่มเล่นบอร์ดเกมเต็มเลย หรือบางทีเข้ามาใช้ WiFi บ้าง มารอพ่อแม่ มานั่งทำการบ้าน” 

“หรือใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านมาเราก็ทำกิจกรรมสำหรับเด็กโตหน่อย ทำกิจกรรมอย่าง Human library ก็คือห้องสมุดมนุษย์ เป็นการกระตุ้นคนแทนที่จะเรียนรู้ในหนังสืออย่างเดียว แต่ได้เรียนรู้จากคนด้วยกัน ยิ่งคนที่มีความคิดต่างแล้วไปกระตุ้น แล้วก็เอา Know How ทางด้านการทำ Human library ว่า จะไปช่วยลดความขัดแย้งในพื้นที่ได้ยังไงบ้าง วิธีการที่ว่ามันคืออะไร ไปสอนผู้คนที่นั่น 

เพราะฉะนั้นแล้วทีเคค่อนข้างที่จะมีความหลากหลาย กระตุ้นการเรียนรู้ของผู้คน ถ้าไม่อยากอ่านก็มาฟัง ไม่อยากฟังก็มาดู ไม่อยากดูก็มาทำ คือทำทุกสิ่งที่กระตุ้นให้คนอยากจะเรียนรู้ 

เราก็พยายามเอา know how ที่มันใช่ คนเขาอยากได้ เราก็เก็บข้อมูล จากการยืมหนังสือ จากที่เขา feedback กลับมาหาเรา หลายๆ ช่องทาง แล้วก็ดูว่าคนสนใจประเด็นเรื่องของอะไรบ้าง”  

จากการขยายพื้นที่การเรียนรู้ของ TK Park นี้ ก็เพื่อเป้าหมายที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการเป็นต้นแบบสร้างให้ทุกพื้นที่คือ การเรียนรู้ เน้นการให้คนเกิดการใฝ่รู้ สนใจเรียนรู้ ตลอดทุกช่วงวัย 

นอกจากจะพัฒนาพื้นที่ให้เป็นมากกว่าห้องสมุดแล้ว ในส่วนของออนไลน์ ก็มีบริการ TK Read ห้องสมุดดิจิทัลสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่มีอีบุ๊กภาษาไทยจากสำนักพิมพ์ชั้นนำ, อีแมกกาซีน, หนังสือเสียง, และคอร์สออนไลน์ รวมถึง Libby, by Overdrive อีบุ๊กภาษาอังกฤษ และ Press Reader หนังสือและนิตยสารจากทั่วโลกให้บริการ    

“ออนไลน์ อย่างแอปพลิเคชัน My TK เป็นการสมัครสมาชิก เพื่อเข้าสู่ฐานข้อมูลหนังสือเล่มที่มีอยู่ทั่วประเทศ เราพยายามจะเชื่อมโยง สมมติน้องอยากจะอ่านหนังสืออะไรก็ตามแต่ พอพิมพ์เข้าไป มันจะลิสต์ออกมาเลยว่าหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ไหน อยู่ที่ยะลา กรุงเทพฯ แต่ปัจจุบันตัวนี้ยังยืมได้แค่ที่กรุงเทพฯ เรากำลังทำระบบที่เชื่อมโยงการยืมไปทั่วประเทศเลย สามารถยืมจากที่ไหนก็ได้ นั่นหมายถึงว่าคนต่างจังหวัดเขาก็จะสามารถเข้าถึงฐานข้อมูลหนังสือของทั่วประเทศได้ 

วิธีการก็คือเข้าไปจองหนังสือแล้วก็สั่งบุ๊กเดลิเวอรี่ได้ แล้วก็มีความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยทำให้ค่าส่งถูกลงหน่อย ตอนนี้เรากำลังทำการเชื่อมระบบไปทั่วประเทศ ก็จะเปรียบเสมือนเรามีห้องสมุดขนาดยักษ์ ซึ่งมีหนังสือเป็นล้านเล่ม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีโควิดหรือไม่มีโควิด ถ้ายังรักการอ่าน รักการเรียนรู้ มาสมัครสมาชิกของทีเคก็สามารถที่จะเข้าถึงหนังสือทั้งหนังสือเล่มและอีบุ๊กได้อย่างง่ายดายครับ”       

รวมทั้งได้ร่วมมือกับองค์กรภาคท้องถิ่น เช่น เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในการสร้างสรรค์พื้นที่เรียนรู้ในจังหวัดต่างๆ เปิดบริการไปแล้ว 31 แห่งใน 24 จังหวัดทั่วประเทศ อีกทั้งสนับสนุนการพัฒนาสื่อและการให้บริการในรูปแบบห้องสมุดชุมชน ร่วมกับหน่วยงาน อาทิ ห้องสมุดพร้อมปัญญา กรมราชทัณฑ์, ห้องสมุดมีชีวิตในค่ายทหาร 19 แห่ง สมาคมแม่บ้านทหารบก, ห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี 103 แห่ง สังกัดสำนักงาน กศน., ห้องสมุดมีชีวิตในโรงเรียนในรูปแบบตู้คอนเทนเนอร์ 76 แห่ง ร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง, ศูนย์การเรียนรู้ตำบล 200 แห่ง และ บ้านหนังสือ 15 แห่ง สังกัดกรุงเทพมหานคร

“แน่นอนว่าปลายทางเราก็อยากจะพัฒนาศักยภาพมนุษย์ ศักยภาพคนไทย ให้เขาเก่งขึ้น มีศักยภาพในการทำอาชีพที่ดีขึ้น เรียนรู้ได้เร็วขึ้น ปรับตัวได้เก่งขึ้น เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเอาต้นแบบนี้กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ เพราะว่ามันเป็นการเรียนรู้แบบ Self-Learning อย่างหนึ่ง อย่างที่ว่าไปมันไม่ได้มีค่าใช้จ่ายอะไรมากมาย แล้วเราก็ทำงานร่วมกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อบจ.) เทศบาล แล้วก็พาร์ทเนอร์อีกมากมายที่เป็นระดับตำบล ชุมชน หน่วยงานรัฐ หรือแม้กระทั่งเอกชน”

ล่าสุดทีเคพาร์คได้ขยายเครือข่ายอุทยานการเรียนรู้เต็มรูปแบบจำนวน 31 แห่งในพื้นที่ 24 จังหวัดทั่วประเทศ และร่วมมือกับหน่วยงานภาคีพัฒนาแหล่งเรียนรู้ระดับชุมชนรวมกว่า 300 แห่ง ประกอบด้วย ศูนย์การเรียนรู้ในระดับตำบล 200 แห่ง ห้องสมุดมีชีวิตในโรงเรียนรวม 76 แห่งใน 76 จังหวัด และห้องสมุดมีชีวิตในค่ายทหาร 20 แห่ง ทั้งนี้ในโอกาสครบรอบ 17 ปี สถาบันอุทยานการเรียนรู้มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้แห่งอนาคต ตั้งเป้าดึงเทคโนโลยีในการให้บริการและผลักดันให้เกิดเมืองแห่งการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทย

“เราหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางการเรียนรู้ของผู้คนได้ เพราะค่าใช้จ่ายมันน้อยมาก ยิ่ง TK Read นี่อ่านฟรีเลย แค่บางเล่มคิวยาวหน่อย เราหวังว่าจะช่วยให้คนไทยรักการเรียนรู้ และปรับตัวเข้ากับอุปสรรคใหม่ๆ Challenge (ความท้าทาย)ใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตเราได้” กิตติรัตน์ ปิติพานิช  ผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park กล่าวทิ้งท้าย   

Tags:

Learning Spaceพื้นที่การเรียนรู้สถาบันอุทยานการเรียนรู้ (TK Park)ห้องสมุดกิตติรัตน์ ปิติพานิชการเรียนรู้ด้วยตัวเอง(self-directed learning)ความเหลื่อมล้ำ

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Voice of New GenSocial Issues
    เข้าไม่ถึงการศึกษาและปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่คนวัยเรียนต้องเจอ คุยกับ เฟลอ – สิรินทร์ มุ่งเจริญ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Everyone can be an Educator
    สวนศึกษาผึ้งน้อยนักสู้: บทบาทใหม่ไร้สคริปต์ของ ‘ย่านิต-ภัทรจารีย์ นักสร้างสรรค์’ ที่ชวนเด็กๆ มาเรียนรู้แบบ Active Learning จากเรื่องใกล้ตัวและความเลอะเทอะ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    มื้อกลางวันวันนี้ อนาคตของชาติกินอะไรอยู่?

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Learning Theory
    ‘การเรียนรู้ที่บ้าน’ กำลังมา: กำกับตัวเองให้มาก ใช้ความสงสัยใคร่รู้และความสุขจากการเล่นนำทาง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

โลกโกลาหล (BANI World) Ep1 Brittle: ในโลกที่เปราะบาง เด็กต้องไม่แตกหักด้วยทักษะความยืดหยุ่น
Character building
1 November 2022

โลกโกลาหล (BANI World) Ep1 Brittle: ในโลกที่เปราะบาง เด็กต้องไม่แตกหักด้วยทักษะความยืดหยุ่น

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ในบรรดากรอบคิดหรือชุดคำศัพท์ที่ใช้อธิบายปรากฎการณ์ทางสังคม เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น BANI World เป็นคำที่กำลังได้รับความสนใจในวงวิชาการ
  • BANI เป็นผลงานของนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน Jamais Cascio เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของตัวอักษรหน้าคำศัพท์ 4 คำ ได้แก่ Brittle ความเปราะบาง, Anxious ความกังวล, Nonlinear การคาดเดายาก, Incomprehensible ความเข้าใจได้ยาก
  • บทความนี้ชวนทำความเข้าใจกับ Brittle ความเปราะบาง ซึ่งคาสซิโออธิบายว่า สิ่งที่เปราะบางมีความอ่อนไหวเมื่อถูกกระทบกระเทือน และสามารถก่อให้เกิดความเสียหายที่เรียกว่าเป็นหายนะได้

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมานักคิดแวดวงต่างๆ ได้พยายามคิดค้นและรังสรรค์คำศัพท์จำนวนไม่น้อย ขึ้นมาอธิบายความหลากหลายซับซ้อน ความยากลำบากในการปรับตัว และภาวะความสับสนของผู้คนต่อปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม เป้าหมายหลักก็เพื่อขยายภาพให้เราได้เห็นและเข้าใจความเป็นไปในสังคมและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ดีขึ้น

ตัวอย่างคำที่มักได้ยินบ่อยครั้ง เช่น ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความผันผวน ปั่นป่วน (Turbulence) ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Rapid Change) พลวัต (Dynamism) หรือ การหยุดชะงัก ที่มักเอ่ยถึงโดยใช้คำทับศัพท์ว่า ‘ดิสรัป’ (Disrupt) เป็นต้น

หรือ ชุดคำศัพท์ที่มาจากการรวมตัวกันของตัวอักษรขึ้นต้นอย่าง ‘VUCA’ – ความผันผวน (Volatility), ความไม่แน่นอน (Uncertainty), ความซับซ้อน (Complexity) และความคลุมเครือ (Ambiguity) ซึ่งถูกอ้างอิงถึงในยุค 80 แล้วนำมาใช้อธิบายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยีในช่วงปี 2000 

ทว่า ในปัจจุบัน VUCA ไม่อาจอธิบายเรื่องอัตราความเร็วของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากโลกเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 จึงมีการบัญญัติชุดคำศัพท์ใหม่ ‘BANI’ เพื่อเป็นกรอบคิดในการอธิบายความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก

เตรียมพร้อมเด็กเยาวชนรับความโกลาหลของโลก

อันที่จริงโลกมีความไม่แน่นอนและซับซ้อนอยู่เสมอ จะต่างกันก็ตามยุคสมัย มนุษย์เลยคิดค้นระบบทางสังคมหรือระเบียบรูปแบบต่างๆ ขึ้นมาช่วยจัดการให้การดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นไปได้อย่างมีระเบียบแบบแผน ไม่ว่าจะเป็น ‘กฎหมาย’ หรือ ‘ศาสนา’ ไปจนถึงบรรทัดฐานและค่านิยมซึ่งมีความหลากหลายและปรับเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรม 

ปี 2020 ในบทความเรื่อง ‘Facing the Age of Chaos’ – ‘เผชิญหน้ากับยุคแห่งความโกลาหล’ จาไมส์ คาสซิโอ (Jamais Cascio) นักมานุษยวิทยาและนักเขียนผู้มีความสนใจด้านอนาคต ได้นิยามคำว่า ‘BANI’ ขึ้นมาเพื่ออธิบายปรากฎการณ์ในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกได้เผชิญหน้ากับการระบาดครั้งใหญ่จากโควิด-19 ‘BANI’ เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของตัวอักษรหน้าคำศัพท์ 4 คำ ได้แก่

B – Brittle ความเปราะบาง

A – Anxious ความกังวล

N – Nonlinear การคาดเดายาก

I – Incomprehensible ความเข้าใจได้ยาก

การปรับตัวของผู้คนไม่ได้สัมพันธ์กับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผลกระทบจากโควิด-19 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชีวิตของเราเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมและสังคมรอบตัวในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ภัยพิบัติจากสภาพอากาศ ความผันผวนทางการเมืองในประเทศต่างๆ ทั่วโลก หรือแม้แต่ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม 

ทั้งนี้ การจัดการเรียนการสอนในระบบการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนมีความรู้ความเข้าใจต่อปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก เพราะความรู้ ทักษะและสมรรถนะต่างๆ จะทำให้พวกเขายืดหยัด ตั้งรับและรับมือกับโลกยุคโกลาหลได้อย่างไม่สับสนหรือหลงทาง

ความเข้มแข็งที่เปราะบาง

บทความนี้ The Potential ชวนไปทำความรู้จักและทำความเข้าใจกับคำศัพท์คำแรก B – Brittle ความเปราะบาง คาสซิโอ อธิบายว่า สิ่งที่เปราะบางมีความอ่อนไหวเมื่อถูกกระทบกระเทือน และสามารถก่อให้เกิดความเสียหายหรือล้มเหลวที่เรียกว่าเป็นหายนะได้ 

ทั้งนี้ สิ่งที่เปราะบางอาจดูแข็งแกร่งหรือมีความมั่นคง แต่สามารถพังทลายลงได้อย่างง่ายดายได้เมื่อถึงจุดแตกหัก (Breaking Point) ความเปราะบางจึงเรียกได้ว่าเป็นความแข็งแกร่งที่ลวงตาและไม่มีความยืดหยุ่น

ยกตัวอย่าง กระดูกที่เปราะบางหรือกระดูกพรุนที่สามารถหักหรือส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายได้โดยไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า ระบบที่เปราะบางภายใต้คำอธิบายของคาสซิโอ เป็นระบบที่อาจส่งสัญญาณที่ดีและมั่นคง ซ้ำยังสามารถยื้อให้ดำเนินการต่อไปได้แม้กำลังอยู่ในช่วงสุ่มเสี่ยง ช่วงขาลง และท้ายที่สุดแล้วสามารถล้มละลายลงได้อย่างไม่ทันตั้งตัว

ลิซ กัทล์ริด์จ (Liz Guthridge) ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการสถาบัน Connect Consulting Group ยกตัวอย่างว่า ระบบพลังงาน ระบบประชาธิปไตย และระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบที่เปราะบาง เพราะการโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack) สามารถคุกคามระบบเครือข่ายพลังงานได้ การจำกัดการลงคะแนนเสียงเป็นภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย เช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง แต่เพิกเฉยต่อเจตจำนงหรือข้อเรียกร้องของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง รวมถึงระบบการจัดการด้านสาธารณสุขในช่วงโควิด-19 ของบางรัฐที่มีมาตรการไม่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนทุกกลุ่ม เป็นต้น

ความเปราะบางในความหมายของคาสซิโอจึงไม่ต่างจากมายาคติที่ผู้คนพร่ำบอกตัวเองและคนรอบข้างด้วยเหตุผลหรือข้ออ้างต่างๆ เพื่อทำให้รู้สึกดีขึ้นหรือรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น แต่บางข้ามความเป็นจริง

สร้างความยืดหยุ่นให้เป็นเกราะป้องกันความเปราะบาง

ความยืดหยุ่น (Resilience) เป็นเรื่องของการปรับตัวปรับใจไม่ให้หวั่นไหวต่ออุปสรรคหรือปัญหา เป็นเรื่องของการเรียนรู้จากความผิดหวัง ข้อผิดพลาด หรือความล้มเหลว นำมาสู่ความสามารถในการปรับตัวได้ดี (Adaptation) ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ ยอมรับความจริงได้ เป็นการปิดจุดอ่อนของความเปราะบางลงไปได้

เด็กโดยเฉพาะในวัย 3-8 ปี รวมทั้งเยาวชนเรียนรู้เรื่องความยืดหยุ่นผ่านประสบการณ์ ทุกครั้งที่พวกเขาได้ลงมือทำเพื่อจัดการปัญหา จะยิ่งสร้างความมั่นใจในความสามารถของตัวเองต่อการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในครั้งต่อไป 

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Raising Children ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลประเทศออสเตรเลีย ได้แนะนำวิธีพัฒนาความยืดหยุ่นไว้ ดังนี้

  • ผู้ใหญ่เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนแต่ไม่ลงสนามไปแก้ปัญหาให้พวกเขา รวมถึงเรื่องที่อาจสร้างความผิดหวังให้กับเด็ก

ยกตัวอย่างเช่น หากลูกหลานของเราไม่ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงวันเกิด หรืองานสำคัญสักงานหนึ่ง หรือไม่ได้รับของขวัญที่ต้องการในวันเกิด ผู้ใหญ่สามารถหันมาพูดคุยถึงความรู้สึกของพวกเขา แทนที่จะพยายามแก้ปัญหาหรือสรรหาของขวัญที่ถูกใจมาให้ได้

สำหรับลูกๆ ในวัยรุ่น การพูดคุยสามารถทำให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ เช่น ระหว่างนั่งรถไปด้วยกัน หรือระหว่างที่พวกเขากำลังทำอย่างอื่นอยู่ เมื่อพวกเขามีคำถามหรือข้อสงสัย พ่อแม่ตอบคำถามเขาอย่างตรงไปตรงมา แล้วถามถึงความคิดเห็นของพวกเขาโดยไม่ตัดสินถูกผิด และฟังอย่างตั้งใจ

  • หลีกเลี่ยงการวางแผนล่วงหน้าหรือความพยายามป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในเรื่องที่ไม่จำเป็น 

เช่น การปล่อยให้ลูกๆ ทำการบ้านด้วยตัวเอง ผิดถูกไม่เป็นไรแต่ขั้นตอนสำคัญคือ กระบวนการเรียนรู้ที่พวกเขาต้องสร้างขึ้นจากการเรียนด้วยตนเอง หรือหากมีของเล่นบางชิ้นที่เด็กๆ เล่นจนเสียหายแต่ไม่ได้ทำให้เกิดอันตราย พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องสรรหาของเล่นชิ้นใหม่ที่สมบูรณ์แบบมาให้ตลอดเวลา

  • ช่วยให้เด็กๆ รับมือและจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด 

เช่น ลูกอาจกังวลเกี่ยวกับสมาชิกครอบครัวหรือสัตว์เลี้ยงที่ป่วย พ่อแม่สามารถสื่อสารกับลูกอย่างตรงไปตรงมาเพื่อสร้างความเข้าใจ “แม่เห็นว่าลูกรู้สึกกังวล เราทุกคนมีความรู้สึกกังวลได้ แต่อยากให้ลูกรู้ว่าเรากำลังทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยให้อาการของคุณปู่ดีขึ้น” เป็นต้น  

  • กระตุ้น/ ให้กำลังใจเด็กๆ ได้ลงมืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อทำครั้งแรกไม่สำเร็จ ชมเชยพวกเขาถึงความพยายามไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร 

เช่น “พ่อภูมิใจในตัวลูกมากเลยที่ลูกเล่นจนจบการแข่งขัน” 

“แม่ภูมิใจในตัวลูกมากเลยที่ลูกลองทำอีกครั้ง” เป็นต้น 

  • สร้างให้เขามีความเมตตากับตัวเองบ้าง (Self-Compassion) 

การมีความเมตตากับตัวเองช่วยให้เด็กๆ จัดการกับความผิดหวังที่เกิดขึ้นและยอมรับความล้มเหลวได้ อีกทั้งยังทำให้พวกเขารู้สึกเห็นอกเห็นใจตัวเอง

  • สร้างนิสัยให้รับรู้และมองเห็นแง่มุมหรือสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

เช่น ระหว่างมื้ออาหารในทุกๆ วันภายในครอบครัว เปิดพื้นที่ให้แต่ละคนได้แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

  • ช่วยให้ลูกพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาด้วยวิธีที่เหมาะสมกับวัย พ่อแม่ไม่ควรใส่ความคาดหวังของตนเองลงไปที่ลูก
  • ไอดอลหรือต้นแบบที่ดีเป็นแรงบันดาลใจและสร้างฝันให้กับเด็กๆ ได้ โดยเฉพาะในวัยรุ่น

พ่อแม่วางบทบาทเป็นผู้สนับสนุนให้พวกเขาได้ลองเรียนรู้และลงมือทำให้สิ่งที่สนใจ ซึ่งอาจได้รับแรงบันใจมากจากไอดอลของเขา 

ในโลกที่เปราะบางนี้มีปัญหาและความปั่นป่วนมากมาย เด็กๆ จะพัฒนาความยืดหยุ่นและทักษะด้านอื่นๆ ที่เชื่อมโยงต่อเนื่องกันไป ซึ่งการเรียนรู้นี้เกิดขึ้นตลอดชีวิต 

ในช่วงเริ่มต้น บทบาทของผู้ใหญ่คือ การสนับสนุน ควรอดทนหักห้ามใจ ปล่อยให้เด็กๆ ได้รับมือกับความท้าทาย เผชิญหน้ากับความผิดหวัง สัมผัสกับความรู้สึกไม่สบายใจ เพื่อให้พวกเขาเติบโตและสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง

บทความเพิ่มเติม

https://thepotential.org/knowledge/resilience/

https://thepotential.org/knowledge/resilience-skill/

https://thepotential.org/life/self-compassion-self-esteem/

อ้างอิง

https://medium.com/@cascio/facing-the-age-of-chaos-b00687b1f51d

https://www.forbes.com/sites/jeroenkraaijenbrink/2022/06/22/what-bani-really-means-and-how-it-corrects-your-world-view/?sh=d9a3d6511bb3

https://connectconsultinggroup.com/why-you-want-to-use-bani-not-vuca-to-deal-with-todays-constant-chaos/

https://raisingchildren.net.au/school-age/behaviour/understanding-behaviour/resilience-how-to-build-it-in-children-3-8-years

Tags:

ความยืดหยุ่น(resilience)Self-CompassionทักษะBANI Worldความเปราะบาง (Brittle)ความสามารถในการปรับตัว(Adaptability)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    ‘ทักษะที่ขาดหาย’ ความ(ไม่)พร้อมของเด็กปฐมวัย จากการสำรวจ School Readiness Survey: รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Character building
    ‘นิสัยรักการอ่าน’ มรดกจากพ่อแม่ที่ช่วยให้เด็กเติบโตและมีชีวิตที่ดี

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    โลกโกลาหล (BANI World) Ep4 Incomprehensible: คลายความไม่เข้าใจ ด้วยความโปร่งใสและสัญชาตญาณ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • EF (executive function)Adolescent Brain
    ‘สัตว์เลี้ยง’ เพื่อนที่สอนเด็กเรื่องความแตกต่างและเรียนรู้ที่จะปรับตัว

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Character building
    โลกโกลาหล (BANI World) Ep2 Anxious: ความวิตกกังวลที่หายขาดได้ด้วยความเข้าอกเข้าใจ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel