Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: October 2022

‘ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้’ ฟื้นฟูก่อนเด็กยุคโควิดเสี่ยงเป็น Lost Generation
31 October 2022

‘ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้’ ฟื้นฟูก่อนเด็กยุคโควิดเสี่ยงเป็น Lost Generation

เรื่อง The Potential

  • ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา การปิดเรียนในช่วงโควิด-19 ทำให้เด็กปฐมวัย-อนุบาลเสียโอกาสในการเรียนรู้ไปกว่าร้อยละ 90 ของระดับการเรียนรู้ที่ควรจะได้ ส่งผลให้เกิด ‘ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้’
  • ช่วงประถมตอนต้นคือพื้นฐานสําคัญของการเรียน การอ่าน การคิดเลข ถ้าพื้นฐานไม่แข็งแรง ทําให้มีโอกาสที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาได้
  • นอกจากนี้ยังมี สัญญาณเตือน ‘กล้ามเนื้อบกพร่อง’ ในเด็กประถมต้น เช่น ทรงตัวไม่ดี, กระโดดไม่ได้, จับดินสอผิดวิธี, ควบคุมการเขียนไม่ได้, พูดไม่เป็นประโยค ฯลฯ

เกือบ 3 ปีที่โลกเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 การล็อกดาวน์และปิดเรียนเป็นระยะ ทำให้เด็กที่เติบโตในช่วงเวลานี้ไม่เพียงเสียโอกาสในการเรียนรู้ตามปกติ ยังพลาดช่วงเวลาของการเล่นและการพัฒนาทักษะที่สำคัญตามวัย โดยเฉพาะกับเด็กปฐมวัยจนถึงประถมต้น ช่วงเวลาเพียง 2-3 ปีที่หายไปนี้มากพอที่จะทำให้เกิด  ‘ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้’

ล่าสุด กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เปิดรายงานฉบับพิเศษ ‘ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19’ ชี้ให้เห็นถึงวิกฤตการเรียนรู้ของเด็กประถมต้น ซึ่งมีพัฒนาการถดถอยเทียบเท่าอนุบาลและภาวะกล้ามเนื้อบกพร่อง ที่หากไม่เร่งฟื้นฟู ย่อมมีโอกาสล้มเหลวในอนาคตสูง และอาจนำมาซึ่งสิ่งที่หลายคนกังวล ‘Lost Generation’ 

ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ เร่งฟื้นฟูก่อนเสียเด็กไปทั้งรุ่น

รายงานล่าสุดในการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา 2022 ระบุว่า เด็กเล็กมากกว่า 167 ล้านคนทั่วโลกสูญเสียโอกาสในการเข้าถึงบริการการศึกษาก่อนปฐมวัย เด็กอายุ 10 ปีจากประเทศยากจนและรายได้ปานกลางไม่สามารถอ่านหนังสือหรือเข้าใจเรื่องราวง่ายๆ ได้ เพิ่มขึ้นจาก 53% เป็น 70% ขณะที่ 34% ของเด็กทั่วโลก มีภาวะความเครียด ซึมเศร้า และวิตกกังวลเพิ่มขึ้น 

“นักการศึกษาทั่วโลกต่างเป็นห่วงกับสถานการณ์นี้ และพยายามกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ ลงทุนในการแก้ปัญหาและมีแผนฟื้นฟูอย่างจริงจังโดยเร่งด่วน  มิเช่นนั้นแล้ว เราอาจสูญเสียเด็กรุ่นนี้ไปทั้งรุ่น หรือ Lost Generation”

ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กสศ. กล่าวถึงภาวะวิกฤตทางการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ก่อนจะชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า ใน 1 ภาคเรียนที่ผ่านมาเราพบภาวะฉุกเฉินการเรียนรู้ที่เกิดกับเด็กทั้งประเทศ โดยเฉพาะเด็กช่วงชั้นประถมศึกษาตอนต้น เนื่องจากผลวิจัยสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย (Thailand SchoolReadiness Survey: TSRS)  เพื่อประเมินว่าเด็กมีความพร้อมที่จะเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพเมื่อเข้าสู่ระดับประถมศึกษาหรือไม่ โดย กสศ.ร่วมกับ รศ. ดร.วีระชาติ กิเลนทอง สถาบันสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วัดทักษะพื้นฐาน ด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ และ Executive Functions (EFs) ของเด็กระดับอนุบาล 3 จำนวน 73 จังหวัด ระหว่างปี 2563 – 2565  พบว่า เด็กอนุบาล 3 ยุคโควิด-19 ขาดความพร้อมเข้าเรียนประถมต้นในปัจจุบัน ผลกระทบนี้ทำให้ เด็กปฐมวัยรุ่นนี้มีโอกาสเป็นเด็กหางแถวมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

“เด็กปฐมวัยที่มีภาวะการเรียนรู้ถดถอย มีโอกาสสูงที่จะประสบปัญหาการเรียนรู้ในระดับประถมศึกษา เพราะพวกเขาคือเด็กอนุบาลยุคโควิด-19 ที่ข้ามมาเรียนชั้นประถมต้นในปัจจุบัน ซึ่งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา การปิดเรียนแต่ละวันในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้เด็กปฐมวัย-อนุบาลเสียโอกาสในการเรียนรู้ไปกว่าร้อยละ 90 ของระดับการเรียนรู้ที่ควรจะได้ จึงส่งผลให้เกิดภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้ขึ้น ที่เด็กประถมต้นในวันนี้ มีพัฒนาการเท่าเด็กชั้นอนุบาล 

อย่างไรก็ตามแม้เด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบจากการเรียนรู้ถดถอยทุกระดับชั้น แต่ช่วงประถมตอนต้นคือพื้นฐานสําคัญของการเรียน การอ่าน การคิดเลข ถ้าเริ่มต้นไม่ดี เรียนไม่รู้เรื่องตั้งแต่เล็ก โอกาสที่จะล้มเหลวในอนาคตสููง ด้วยพื้นฐานที่ไม่แข็งแรง ทําให้มีโอกาสที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาได้”

กล้ามเนื้อมัดเล็ก ปัญหาใหญ่ของเด็กยุคโควิด

ทรงตัวไม่ดี, กระโดดไม่ได้, จับดินสอผิดวิธี, ควบคุมการเขียนไม่ได้, พูดไม่เป็นประโยค  เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือน ‘กล้ามเนื้อบกพร่อง’ ในเด็กประถมต้น ซึ่ง กสศ.โดยโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง เครือข่ายมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ พบจากการวิจัยเชิงพื้นที่เพื่อหาแนวทางฟื้นฟูพัฒนาการเรียนรู้ตลอดภาคเรียนที่ผ่านมา 

โดยจากการทดสอบวัดสมรรถภาพความแข็งแรงกล้ามเนื้อมัดเล็กของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 74 โรงเรียน ใน 6 จังหวัด ได้แก่ สตูล ปัตตานี สงขลา นครศรีธรรมราช ยะลา และนราธิวาส จำนวน 1,918 คน ด้วยการวัดแรงบีบมือ พบว่า นักเรียนจำนวน 98% มีแรงบีบมือต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กในวัยเดียวกัน ผ่านเกณฑ์เพียง 1.19% เท่านั้น และมากกว่า 50% จับดินสอผิดวิธี ซึ่งสะท้อนว่ากล้ามเนื้อมือไม่แข็งแรง ส่งผลให้เขียนหนังสือช้า ควบคุมทิศทางการเขียนไม่ได้ การทรงตัวนั่งเขียนไม่ดี ทำงานเสร็จช้าไม่ทันเพื่อน เรียนไม่รู้เรื่อง มีภาวะเครียด ขาดเรียนบ่อย

ทั้งนี้ จากการสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียนทั้ง 74 โรงเรียนได้สรุปเป็น14 สัญญาณเตือนกล้ามเนื้อบกพร่องในเด็กประถมต้น ได้แก่ เด็กพูดเป็นคำๆ ไม่เป็นประโยค, เล่าเรื่องไม่ได้, ท่าทางจับดินสอผิด เกร็งเมื่อยล้า, เขียนได้ช้าหรือเขียนไม่เสร็จ, ตอบคำถามเป็นคำๆ หรือประโยคสั้นๆ, อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้แม้คําพื้นฐาน, กระโดดขาเดียว และกระโดดสองขาพร้อมกันไม่ได้, เด็กบางคนมีอาการทางจิตใจ เช่น เครียด ไม่โต้ตอบ ไม่สื่อสาร แยกตัวจากเพื่อน งอแง ขาดเรียนบ่อย ไปห้องน้ำบ่อยและไปครั้งละนานๆ บางคนขอไปห้องพยาบาลเพราะปวดหัว ปวดท้องบ่อยจนผิดสังเกต ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นให้โรงเรียนและครอบครัวสังเกตบุตรหลานหรือลูกศิษย์ของตนเอง และช่วยกันฟื้นฟูให้ทันท่วงที โดยข้อค้นพบจากห้องเรียนฟื้นฟู เด็กๆ จะมีพัฒนาการที่ค่อยๆ ดีขึ้นได้ภายใน 2 สัปดาห์ หรือ 14 วัน

“การแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดร่วมกับครูและโรงเรียนโดยออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้บูรณาการและสอดคล้องกับการพัฒนาฐานกาย ทําอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง ให้เวลา ให้กําลังใจ ให้โอกาสเด็ก และขยายผลไปยังป.1 และป.3 ด้วยการฟื้นฟูฐานกายและการเรียนรู้จะเห็นผลแบบค่อยเป็นค่อยไป หากได้ฝึกอย่างจริงจัง 2 สัปดาห์หรือ 14 วัน เด็กส่วนใหญ่มีพัฒนาการดีขึ้นอย่างชัดเจน มีค่าแรงบีบมือจาก 7.6 กิโลกรัม เพิ่มเป็น 9.8 กิโลกรัม ถือเป็นแนวโน้มที่ดีในการฟื้นฟู การทําเช่นนี้คาดว่าจะช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียเด็กรุ่นนี้ในระยะยาวได้”

ผศ.พรพิมล คีรีรัตน์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตหาดใหญ่ โค้ชโครงงานฐานวิจัย โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง(TSQP) กสศ. เสริมว่า การฟื้นฟูฐานกายและการเรียนรู้จะเห็นผลแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้เด็กมั่นใจในการใช้ร่างกายเคลื่อนไหวแบบต่างๆ  มีการทรงตัวที่มั่นคง จนเด็กรู้สึกไว้วางใจในศักยภาพของร่างกายตนเอง หนึ่งสัปดาห์พบว่าเด็กมั่นใจขึ้น ร่าเริง สื่อสารดีขึ้น มีสมาธิจดจ่อในการฟังมากขึ้น ทานอาหารมากขึ้น เริ่มเล่นกับเพื่อนและคิดวิธีเล่นต่อยอดจากกิจกรรมที่ฝึก จดจำได้เร็วขึ้น มากขึ้น จำได้นานขึ้น ไม่ขาดเรียน ตื่นตัวรอคอยที่จะได้เล่นกิจกรรม สนุกและมุ่งมั่นกับการทำกิจกรรมการเรียนรู้แบบท้าทาย กำกับตัวเองได้ดีขึ้น ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความพร้อมในการเรียนรู้ได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว 

โอกาสนี้ ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณภาพ ครู นักศึกษาครู และสถานศึกษา กสศ. ได้กล่าวถึงแนวคิดสำคัญของโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเองว่า เป็นโครงการที่มุ่งปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนในเมืองกับชนบทที่มีช่องว่างของการเรียนรู้ห่างกันถึง 2 ปีการศึกษา โดยสนับสนุนการพัฒนาครูและโรงเรียนให้มีขีดความสามารถสูงในการจัดการศึกษา เพื่อให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน   

สรุปแนวทางการฟื้นฟูพัฒนาการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้นระดับโรงเรียนและครอบครัว จากรายงานห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19 

1. สังเกต วิเคราะห์พัฒนาการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่เคยทำได้ แต่ไม่สามารถทำได้เหมือนเดิม  

2. สํารวจสุขภาพจิตใจของเด็กๆ ว่ามีความสุขในการเรียนหรือไม่

3. หยุดการเร่งสอนเร่งเรียน ชะลอ 8 สาระวิชาเมื่อพัฒนาการและสมองยังไม่พร้อมเรียนรู้ยังทํางานได้ไม่เต็มที่ เพราะจะส่งผลเสียให้การเรียนเป็นความทุกข์และทำให้เด็กหันหลังให้กับห้องเรียน 

4. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ใหม่ให้บูรณาการและสอดคล้องกับการพัฒนาฐานกาย เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ กระดูก ข้อแขน ขา ลำ ตัว และระบบประสาทสัมพันธ์ ทำอย่างจริงจัง ต่อเนื่องในช่วงชั้นประถมต้น

5. ฟื้นฟูได้เร็ว ครอบครัวกับโรงเรียนต้องทํางานประสานกัน จะเป็นภาระใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้

(หมายเหตุ: ดาวน์โหลดรายงานฉบับพิเศษ ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19 ได้ที่ www.eef.or.th)

Tags:

ห้องเรียนฟื้นฟูหลังโควิด-19TSQPโรงเรียนพัฒนาตนเองกสศ.

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    โอกาสทางการศึกษา แสงสว่างปลายอุโมงค์ของ ‘นัจมี หะเดร์’ ว่าที่พยาบาลผู้สานต่อความหวังให้ครอบครัว

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    All for Education ก้าวข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้: ธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ สิริเชษฐ์ พรมรอด

  • Transformative learningSocial Issues
    การยกระดับคุณภาพการศึกษา เริ่มต้นที่ห้องเรียน การพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบ เริ่มต้นที่ความเชื่อว่า ‘ทำได้’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • เปลี่ยน ‘ผู้คุม’ เป็น ‘นักจัดการเรียนรู้’ สานฝันสร้างโอกาสให้เด็กก้าวพลาดได้เริ่มต้นใหม่

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

Lady Bird : ด้วยรักและเอาชนะ ระหว่างมนุษย์ลูกผู้อยากโผบินกับมนุษย์แม่ขี้โมโห
Movie
28 October 2022

Lady Bird : ด้วยรักและเอาชนะ ระหว่างมนุษย์ลูกผู้อยากโผบินกับมนุษย์แม่ขี้โมโห

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Lady Bird (เลดี้เบิร์ด) เป็นภาพยนตร์แนว Coming of Age ในปี 2017 นำเสนอเรื่องราวของคริสทีน แมคเฟียร์สัน สาวน้อยวัย 17 ปีที่เรียกตัวเองว่าเลดี้เบิร์ด
  • ในวัยที่ต้องการโผบิน เลดี้เบิร์ดน้อยใจในโชคชะตา รวมถึง ‘แม่’ ที่ดูจะไม่เข้าใจอะไรเธอสักอย่าง ซ้ำยังคอยพูดจาทำร้ายจิตใจ ราวกับว่าเธอคือตัวปัญหาของบ้าน 
  • ตลกร้ายคือแม้สองแม่ลูกจะรักกันมาก แต่ความรักนั้นกลับเคลือบไว้ด้วยความอยากเอาชนะและการใช้อารมณ์ ทำให้ทั้งคู่ผิดใจกันบ่อยครั้ง

ตอนเป็นเด็ก ผมเชื่อว่าทุกคนคงมีประสบการณ์ประเภทพ่อแม่ไม่เข้าใจมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ การถูกพ่อแม่พูดจาบั่นทอนจิตใจ รวมไปถึงการถูกพ่อแม่ลงโทษอย่างไม่สมเหตุสมผล 

ในกรณีของผม พ่อแม่มักสรุปสั้นๆ ว่า “ที่ทำไปเพราะรัก” “พ่อแม่ปรารถนาดีกับลูกเสมอ” หรือไม่ก็สักวันหนึ่งถ้าผมเป็นพ่อคน…ผมก็จะเข้าใจเอง แน่นอนว่ามีบางเรื่องที่ผมพอจะเข้าใจ ส่วนบางเรื่องก็ไม่เข้าใจ เหมือนกับชีวิตของคริสทีน แมคเฟียร์สัน นางเอกจาก ‘Lady Bird’ ภาพยนตร์อเมริกันแนว Coming Of Age ในปี 2017 ที่คว้ารางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กำกับโดย Greta Gerwig ผู้กำกับสาวชื่อดังที่มีผลงานมากมาย (รวมถึงการได้กำกับ Barbie ฉบับคนแสดงที่อยู่ระหว่างการถ่ายทำ

-1-

ความรู้สึกว่าแม่ไม่เข้าใจเกิดขึ้นกับ คริสทีน แมคเฟียร์สัน มานานแล้ว เพราะแม่ของเธอมักขยันหาโอกาสต่อว่าเธอเสมอ ตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ ลามมาจนถึงเรื่องเล็กน้อยอย่างการไม่เก็บที่นอน ทำให้คริสทีนน้อยใจและอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อแม่ในบางครั้ง

“แม่เคยเข้านอนโดยไม่เก็บเสื้อผ้าให้เรียบร้อยบ้างไหม แบบสักครั้งในชีวิต แล้วแม่เคยอยากให้แม่ตัวเองไม่โกรธบ้างไหม”

ความไม่พอใจเหล่านี้ ผสมผสานความอับอายที่ตัวเองไม่มีโอกาสหรือมีฐานะร่ำรวยอย่างเพื่อนคนอื่น คริสทีนจึงนึกต่อต้านกับชีวิตที่เป็นอยู่ เธอจึงตั้งชื่อให้กับตัวเองว่า ‘เลดี้เบิร์ด’ ที่แม้จะเชย แต่มันก็ทำให้สาวน้อยรู้สึกภูมิใจที่เธอได้ตั้งชื่อให้กับตัวเอง 

แม้บางคนจะบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกฟีลกู๊ด แต่ผมเห็นด้วยเพียงครึ่งเดียว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผมสัมผัสถึงความตึงเครียดที่แฝงมากับบทสนทนาของสองแม่ลูกในหลายๆ ฉาก

อย่างเช่น ฉากสองแม่ลูกทะเลาะกันบนรถเรื่องการเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ที่เลดี้เบิร์ดอยากไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยรัฐสักแห่งในนิวยอร์ก แต่แม่ไม่เห็นด้วยเพราะครอบครัวกำลังประสบปัญหาทางการเงิน ซึ่งในมุมนี้ ผมยอมรับว่าเห็นใจแม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเห็นใจเลดี้เบิร์ดเช่นกัน เพราะวิธีการพูดคุยของแม่เต็มไปด้วยอารมณ์และการเอาชนะมากกว่าการอธิบายด้วยเหตุผล

นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่ตัวผมเองรู้สึกไม่โอเคเมื่อครั้งยังเด็ก คือการต้องมาโดนพ่อแม่ดุว่าบนรถ เพราะการที่ผู้ใหญ่พูดคุยเรื่องเครียดๆ ขณะเดินทางมันทำให้สมองของเด็กเครียดกว่าการพูดคุยที่บ้านประมาณสามเท่า เพราะรถมีพื้นที่แคบให้อารมณ์เหมือนเราถูกต้อนให้จนตรอก 

“แกไม่คุ้มค่าเรียนมหาวิทยาลัยรัฐด้วยซ้ำ…เรียนวิทยาลัยชุมชนไปเถอะ ถ้าจะทำตัวขี้เกียจแบบนี้ เข้าวิทยาลัยชุมชนแล้วก็เข้าคุก แล้วค่อยกลับเข้าวิทยาลัยชุมชนอีกรอบ จากนั้นแกอาจจะรู้จักพยายามไต่เต้า แล้ว…”

ผลลัพธ์ของการพูดไม่คิด ทำให้เลดี้เบิร์ดเปิดประตูกระโดดลงจากรถทันที ท่ามกลางความตกใจของแม่ที่เกือบจะช็อกคาพวงมาลัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

จากบทสนทนาดูเหมือนว่าแม่จะขาดทักษะในการควบคุมอารมณ์ตัวเอง เพราะคำพูดล้วนเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียบย่ำ อยากเอาชนะโดยไม่คำนึงถึงบาดแผลที่จะติดอยู่ในใจลูก ซึ่งน่าแปลกที่พ่อแม่หลายคนไม่ค่อยยอมรับตัวเองในเรื่องนี้ โดยอ้างถึงความรักที่มีต่อลูก ซึ่งจุดนี้ถือว่า ‘อันตราย’ อย่างยิ่ง เพราะนอกจากลูกจะเห็นตัวอย่างผิดๆ แล้ว ผมเชื่อว่าอารมณ์ร้ายๆ ของแม่ก็รังแต่จะยิ่งฝังลึก เหมือนสำนวนที่ว่า “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก”

-2-

หลังเหตุการณ์นั้น ภาพของแม่ในหัวเลดี้เบิร์ดดูจะเลวร้ายลง เธอมองว่าแม่เป็นคนที่พร้อมโกรธและหาเรื่องเธอตลอดเวลา ดังนั้นเธอจึงพยายามหากิจกรรมทำนอกบ้าน เช่น การสมัครเล่นละครเวที การหางานทำ หรือการหาแฟนสักคน เพื่อหลีกเลี่ยงการเจอแม่

“แม่ฉันโกรธอยู่เสมอ กลับบ้านช้าก็ไม่เป็นผล ยังไงแม่ก็โกรธฉันอยู่ดี”

ฝั่งของแม่ พอเห็นลูกสาวห่างเหิน ประกอบกับตอนที่เลดี้เบิร์ดพาชายหนุ่มที่กำลังคบหาดูใจมาที่บ้าน ชายหนุ่มก็ดันเล่าให้แม่ฟังว่าเลดี้เบิร์ดอธิบายถึงบ้านหลังนี้ว่า “อยู่บริเวณด้านเสื่อมโทรมของทางรถไฟ” ประกอบกับพฤติกรรมแปลกๆ ของเลดี้เบิร์ดเวลาไปโรงเรียน ที่เธอมักขอลงจากรถก่อนถึงโรงเรียนเล็กน้อย ทำให้แม่ปะติดปะต่อว่าเลดี้เบิร์ดอับอายที่เกิดเป็นลูกของคนฐานะไม่ดี และหาโอกาสตัดพ้อต่อว่าลูกสาวด้วยความเสียใจ

“แม่ไม่คิดว่าจะอยู่บ้านนี้ตั้ง 25 ปี แม่เคยนึกว่าจะได้ย้ายไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ ไม่ว่าแม่จะให้อะไรแกไป มันก็ไม่เคยพอ รู้บ้างไหมว่าแม่ต้องเสียเงินเท่าไหร่เพื่อเลี้ยงแกจนโต แล้ววันๆ หนึ่งแกโยนเงินทิ้งไปเท่าไหร่”

แม้ประโยคทั้งหมดจะเป็นความจริง แต่การพูดประโยคในลักษณะ ‘ทวงบุญคุณ’ ท่ามกลางอุณหภูมิการสนทนาอันแสน ‘ดุเดือด’ ก็ทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย เพราะหลังจากนั้นเลดี้เบิร์ดได้ตะโกนให้แม่บอกจำนวนเงินที่แม่เลี้ยงดูเธอมาทั้งชีวิต เพื่อที่ว่าวันหนึ่งเธอจะหามันมาคืนแม่ทั้งหมด

“บอกตัวเลขมาว่าแม่ใช้เงินเลี้ยงหนูไปเท่าไหร่ พอหนูโตขึ้นและหาเงินได้เยอะๆ หนูจะเขียนเช็คเป็นค่าที่หนูติดหนี้แม่ แล้วหนูจะได้ไม่ต้องคุยกับแม่อีก”

-3-

ท่ามกลางเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างแม่ลูกที่ครุกรุ่นตลอดทั้งเรื่อง ผมพบว่าเลดี้เบิร์ดรักแม่ของเธอมาก เพราะถึงปากจะบ่นถึงแม่ให้เพื่อนฟัง แต่เธอกลับคอยออกตัวปกป้องแม่เสมอยามที่เพื่อนจะวิพากษ์วิจารณ์ถึงแม่ในทางเสียหาย

“คือแม่ก็รักฉันแหละ…แม่ของฉันไม่ได้บ้า…แม่ก็แค่ใจกว้าง…แม่อบอุ่นมาก”

ขณะที่แม่เองก็มีมุมที่แสดงความรักความอ่อนโยนเช่นกัน อย่างตอนที่เลดี้เบิร์ดนั่งร้องไห้หลังไปมีความสัมพันธ์กับชายหนุ่ม แทนที่จะถามไถ่กดดัน แม่กลับดึงเธอมากอดและชวนไปทำกิจกรรมด้วยกัน (เพื่ออยู่เป็นเพื่อนลูก)

ในตอนกลางเรื่อง ผมชื่นชอบฉากที่แม่เป็นธุระพาเลดี้เบิร์ดไปซื้อชุดสำหรับงานพรอมที่กำลังมาถึง ซึ่งไม่ว่าเลดี้เบิร์ดจะหยิบชุดไหนมาลอง แม่ก็จะตินั่นตินี่อยู่เสมอ ท้ายสุดเลดี้เบิร์ดจึงพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่าอยากให้แม่ชมเธอหรือชอบเธอบ้างสักนิด ทำให้แม่รู้สึกผิดพร้อมกับ ‘ขอโทษ’ ในสิ่งที่เกิดขึ้น

“แม่รักแกแน่นอนอยู่แล้ว แม่อยากให้แกเป็นแกในแบบฉบับที่ดีที่สุดของตัวเองเท่าที่จะเป็นได้…” แม่กล่าว

หลังงานพรอมผ่านไป ถ้าจำกันได้ ตอนที่เลดี้เบิร์ดกระโดดลงจากรถหลังทะเลาะกับแม่เรื่องมหาวิทยาลัย (เธอได้แอบขอร้องให้พ่อไปสมัครสินเชื่อให้ เผื่อไว้ในกรณีที่ฟลุกเข้ามหาวิทยาลัยในนิวยอร์กได้) ซึ่งตอนท้ายเรื่องปรากฏว่าเด็กเรียนไม่เก่งอย่างเธอกลับได้รับเลือก เพราะเหตุการณ์ 9/11 ทำให้หนุ่มสาวหลายคนเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยในนิวยอร์กจึงพากันไปสมัครเรียนที่เมืองอื่น

แน่นอนว่าพอแม่รู้เรื่องการแอบสมัครเรียนและการสมัครสินเชื่อ ทำให้แม่โกรธเลดี้เบิร์ดถึงขั้นเฉยชา แม้ตอนที่ไปส่งเลดี้เบิร์ดที่สนามบินก็ไม่มีการร่ำลาโอบกอดกันอย่างลึกซึ้ง ทว่าการเฉยชาก็ไม่ได้แปลว่าแม่ไม่รู้สึกเป็นห่วงหรือเสียใจที่ลูกสาวต้องอยู่ไกลบ้าน เพราะตอนที่เลดี้เบิร์ดถึงนิวยอร์ก เธอได้พบจดหมายหลายฉบับของแม่ที่พ่อแอบเอามาใส่กระเป๋าเดินทาง ซึ่งทั้งหมดมีเนื้อหาถึงเธอทั้งสิ้น

“เลดี้เบิร์ดลูกรัก, ตอนแม่ตั้งท้องแก มันเป็นปาฏิหาริย์ แม่แก่แล้ว ตอนนั้นอายุเกือบ40…”

“คริสทีนลูกรัก, แม่รู้ว่าตอนนี้แกใช้ชื่อเลดี้เบิร์ดแล้ว…”

“เลดี้เบิร์ดลูกรัก, แม่เสียใจที่เราทะเลาะกันและแม่ขอโทษ…”

ผมสัมผัสว่าบางทีสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามจะสื่อ อาจเป็นภาพของเลดี้เบิร์ด ลูกนกซึ่งไม่พอใจการอยู่นิ่งๆ ในรังและอยากจะออกไปโผบิน เห็นโลก และทำอะไรอย่างที่ใจใฝ่ฝัน โดยไม่ต้องมีครอบครัวหรือปัจจัยรอบต่างๆ มาตีกรอบ แต่สุดท้ายเจ้านกน้อยกลับพบว่ารังของตัวเองนั้นอบอุ่นและน่าอยู่ที่สุด

ส่วนแม่ แม้จะปากร้าย ขี้โมโห และชอบเอาชนะ แต่แม่ก็มีภาระที่ต้องหาเลี้ยงคนทั้งบ้าน แถมสามียังป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามาเป็นเวลานาน ทำให้แต่ละวันของเธอผ่านไปด้วยความหนักหนาสาหัส ไหนจะความเป็นห่วงที่มีต่อเลดี้เบิร์ด เพราะในใจของแม่ก็หวังลึกๆ ให้เธอมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต

“เงินไม่ใช่เกรดในชีวิต การประสบความสำเร็จไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้น ก็แค่แปลว่าประสบความสำเร็จ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะมีความสุข” แม่กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม่ของเลดี้เบิร์ดหรือพ่อแม่หลายคนมักติดกับดักทางความคิดที่ว่า “ฉันรู้จักลูกดีที่สุด” จึงไม่แปลกที่พ่อแม่จะขีดเส้นทางชีวิตให้ลูกตามมุมมองของตัวเองฝ่ายเดียว ซึ่งหากตรงกับความต้องการของลูกก็แล้วไป แต่ช่างโชคร้ายที่เด็กๆ มักถูกพรากความฝันของเขา และแทนที่ด้วยความฝันอันยิ่งใหญ่ของผู้ให้กำเนิด 

เมื่อเด็กต้องฝืนทำในสิ่งที่พ่อแม่บอกว่าดี แต่เขาไม่ชอบไม่ถนัด จึงไม่แปลกที่เด็กหลายคนจะมีปัญหาทางใจ รู้สึกเครียด หรือไม่ก็เป็นโรคซึมเศร้า 

ดังนั้นคงจะดีไม่น้อยถ้าพ่อแม่ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนจะเปิดใจถามลูก รับฟังลูก ควบคู่ไปกับการควบคุมอารมณ์ตัวเอง ค่อยๆ พูดกับลูกอย่างเข้าอกเข้าใจ…เพื่อให้รู้ซึ้งถึงความต้องการที่แท้จริงของลูก   

และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง อย่างน้อยที่สุด ลูกจะได้เรียนรู้วิธีการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต

Tags:

ภาพยนตร์ครอบครัวลูกแม่วัยเด็กlady bird

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Playground
    หลานม่า: ในความทรงจำแสนดี คือวิถีที่ลูกหลานอาจต้องทน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    All The Bright Places: พ่อไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์ของการใช้กำลังวันนั้นมันแย่แค่ไหน 

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Yes Day: ขอให้มีสักวันที่แม่จะไว้ใจและให้พื้นที่อิสระพอที่เราจะใช้ชีวิตในแบบของตนเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

อเล็กซ์ เรนเดลล์: Environment Education ออกไปเรียนรู้โลกเพื่อกลับมาเป็นตัวเองที่ดีกว่าเดิม
Everyone can be an Educator
27 October 2022

อเล็กซ์ เรนเดลล์: Environment Education ออกไปเรียนรู้โลกเพื่อกลับมาเป็นตัวเองที่ดีกว่าเดิม

เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • อเล็กซ์ เรนเดลล์ นักแสดงมากฝีมือที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี กับอีกบทบาทด้านสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง Environmental Education Centre Thailand (EEC Thailand) องค์กรที่ทำกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมศึกษาสำหรับเยาวชน
  • EEC Thailand มีเป้าหมายในการสร้างความตระหนัก ความเข้าใจ และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างประสบการณ์จากลงมือปฏิบัติ (Active Learning)  โดยใช้ธรรมชาติเป็นห้องเรียน และเพื่อให้เรียนรู้ว่าเราจะสามารถอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้อย่างไร
  • ประสบการณ์และทักษะชีวิตที่ผ่านมาของอเล็กซ์ หลอมรวมจนเป็นตัวเขาในวันนี้ที่มีความตั้งใจจะใช้ความรู้ ทักษะ รวมถึงชื่อเสียงของตัวเอง ส่งเสริมการเรียนรู้และความรักในสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กและเยาวชนผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียนในรูปแบบต่างๆ

“ผมคิดว่า Environment Education เป็นสิ่งที่จะทำให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้น ทุกวันนี้เราก็มีธรรมชาติที่สวยงาม แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรตั้งแต่วันนี้ วันนึงมันหมดแน่ๆ”

อเล็กซ์ เรนเดลล์ นักแสดงมากฝีมือที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี พูดถึงอีกหนึ่งบทบาทของเขา นั่นคือการเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรเพื่อการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม Environmental Education Centre Thailand (EEC Thailand) 

เส้นทางการทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมของอเล็กซ์นั้นสั่งสมมาตั้งแต่เขายังเยาว์วัย ผ่านการเก็บเกี่ยวประสบการณ์และทักษะชีวิต ทั้งจากการเป็นนักกีฬาของโรงเรียน นักแสดง อาสาสมัคร และกิจกรรมอื่นๆ มากมาย หลอมรวมจนเป็นอเล็กซ์ในวันนี้ที่มีความตั้งใจจะใช้ความรู้ ทักษะ รวมถึงชื่อเสียงของตัวเอง ส่งเสริมการเรียนรู้และความรักในสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กและเยาวชนผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียนในรูปแบบต่างๆ

“เหมือนกับเราเอาสิ่งที่เราสะสมมาจากตรงนู้นตรงนี้มารวมกัน มันก็หล่อหลอมตัวเราออกมาให้เป็นในสิ่งที่เราเป็นทุกวันนี้ และเราก็เอาความชอบกับสิ่งที่เราอินมาถ่ายทอดในงานด้านสิ่งแวดล้อมของเราอีกที”

โดย EEC Thailand เป็นองค์กรที่ทำกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมศึกษาสำหรับเยาวชน มีเป้าหมายในการสร้างความตระหนัก ความเข้าใจ และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างประสบการณ์จากลงมือปฏิบัติ (Active Learning)  โดยใช้ธรรมชาติเป็นห้องเรียนให้เด็กและเยาวชนรวมไปถึงผู้ปกครองได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง และเรียนรู้ว่าเราจะสามารถอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้อย่างไร

“เราเปิดองค์กร EEC ให้เยาวชนได้มาเรียนรู้ เป้าหมายโดยส่วนตัวคืออยากให้เขาได้ลองมาอยู่ในธรรมชาติเหมือนกับเรา อยากให้มีแพลตฟอร์มที่คนได้มาเรียนเหมือนเรา แล้วก็อยากให้คนเข้าใจเรื่องของสังคมมากขึ้น” 

สำหรับอีกโครงการที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ‘โครงการกอดป่ากอดทะเล’ เป็นการทำงานกับคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ให้เกิดขึ้น ผ่านการจัดกิจกรรมในลักษณะ Edutainment เน้นการให้ความรู้ควบคู่ไปกับความบันเทิงในรูปแบบที่สนุกสนานเข้าใจง่าย 

“ผมเชื่อว่าถ้าคนรักธรรมชาติและมีความรู้มากขึ้น เขาก็จะทำตัวเป็นประโยชน์กับธรรมชาติ เราก็เลยทำให้ธรรมชาติเป็นห้องเรียน และพยายามที่จะพาคนออกมา เพื่อศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อมต่างๆ ครับ”

อะไรทำให้เด็กชายอเล็กซ์เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม?

น่าจะต้องย้อนไปช่วงสมัย 10 ขวบ ที่ผมมีโอกาสได้ไปช่วยเหลือช้างป่าครับ ด้วยความที่เราเป็นนักแสดง ตอนนั้นก็ได้ไปเจอและถ่ายรายการกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านช้างและทำวิจัยเรื่องช้าง พอรายการจบเราก็ชอบ คุณแม่ก็อยากให้เราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เลยไปส่งเราให้อยู่กับอาจารย์ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ทุกอาทิตย์ พอมีเคสช้างที่ป่วย เราก็ไปช่วยระดมทุนจากกองถ่าย จากพี่ๆ ในกองมาซื้อยาเพื่อช่วยเหลือช้างตัวนี้ ซึ่งตอนที่เราไปที่เขาใหญ่ก็ได้เห็นการทำงานและการอยู่ในป่าของเขา

เรื่องราวนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้มาทำเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติครับ ซึ่งจริงๆ แล้วเราเป็นคนที่ชอบธรรมชาติมาโดยตลอดอยู่แล้ว แต่ ณ ตอนนั้นเรายังเป็นเด็กอยู่ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าวันหนึ่งเราจะได้มาทำงานแบบนี้อย่างจริงจัง

เวลาไปถ่ายละคร ไปทำงานเราได้เดินทางไปในหลายๆ ที่ ได้เจอกับหลายๆ สังคม และการที่เราอายุยังน้อย ได้มีโอกาสได้เข้าใจความเป็นอยู่ของคนที่แตกต่างจากเราว่าเขาอยู่กันยังไง ใช้ชีวิตกันยังไง รวมถึงด้วยความที่เราเป็นนักแสดงเราก็ต้องคอยศึกษาตัวละครของเรา ต้องคอยทำรีเสิร์ชว่าคนจริงๆ แบบนี้เขาคิดกันยังไง ก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่มีผลทำให้เป็นเราในทุกวันนี้ที่มาทำเรื่องสิ่งแวดล้อมครับ

ตอนนี้เราก็ได้ใช้ต้นทุนของการเป็นนักแสดงมาช่วยในโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่องยูทูบที่เราทำอยู่ หรือว่าสื่อต่างๆ หรือสกิลในการแสดง สกิลในการพรีเซนต์ข้อมูลของตัวเองออกมา ที่เราได้เรียนรู้จากการเป็นนักแสดงก็มาช่วยในงานบรรยาย ในงานจัดค่าย โดยเอาโลกของ Entertainment (บันเทิง) เข้ามาเกี่ยวข้อง 

เพราะฉะนั้นผมมองว่าเหมือนกับเราเอาสิ่งที่เราสะสมมาจากตรงนู้นทีตรงนี้ทีมารวมกัน มันก็หล่อหลอมตัวเราออกมาให้เป็นในสิ่งที่เราเป็นทุกวันนี้ และเราก็เอาความชอบกับสิ่งที่เราอินมาถ่ายทอดในงานด้านสิ่งแวดล้อมของเราอีกทีครับ

ครอบครัวช่วยซัพพอร์ตในสิ่งที่เราสนใจรวมถึงวางพื้นฐานทักษะต่างๆ  อย่างไรบ้าง?

จริงๆ คุณแม่ของผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเรียนครับ ต่อให้เราเล่นละคร กองถ่ายละครที่เราเล่นตอนเด็กเขาก็จะรับรู้กันทุกเรื่องว่าเราเล่นได้แค่เสาร์อาทิตย์ ไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้เราต้องทิ้งการเรียนเลย 

คุณแม่มองว่าการเล่นละครคือการหาประสบการณ์ชีวิต อยากให้เราได้มีประสบการณ์เยอะๆ ได้รับโอกาสดีๆ เขาไม่ได้มองในแง่ว่าจะพึ่งพาเราจากการทำงาน แต่มองว่าเราต้องเรียนให้ถึง เพราะพ่อแม่ก็ทำงานหนักและเหนื่อยกันเพื่อส่งเราเข้าโรงเรียนที่ดีก็เลยไม่อยากให้ทิ้งการเรียน เราก็จะให้ความสำคัญกับการเรียนมาก

แล้วคุณแม่ก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องกิจกรรมมากเหมือนกัน เพราะเราเป็นเด็กที่ชอบเล่นกีฬามาก จริงๆ ตอนเด็กจนถึงตอนนี้ผมชอบฟุตบอลมาก ตอนเด็กๆ คุณแม่ก็จะคอยซัพพอร์ตเวลาไปแข่งหลังเลิกเรียน ซึ่งตัวผมเองเคยเรียนมาแทบจะทุกอย่าง ทั้งวิ่ง ว่ายน้ำ กอล์ฟ แบดมินตัน หรือเทควันโดก็เรียนจนถึงสายดำ ได้ไปแข่งทั้งในและต่างประเทศก็มี เพราะคุณแม่ก็จะขยันให้ลูกๆ ได้เรียนครบทุกอย่าง 

ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและการอยู่ในธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้วจากการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านมา รวมถึงที่โรงเรียนเราเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้

แต่ทั้งหมดทั้งมวลคุณแม่จะให้เรามีเวลาให้กับการเรียน และใช้เวลาที่เหลือให้เป็นประโยชน์ ก็ค่อนข้างเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อเราโตขึ้นมา เวลาที่จะหยิบจับอะไรเราก็รู้สึกว่าตัวเองมีพื้นฐานคล้ายๆ แบบนี้มาก่อน จะไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว คิดว่านี่เป็นข้อดีมากๆ ที่เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมเยอะๆ ยิ่งในยุคสมัยนี้ผมมองว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนก็สำคัญ 

เพราะการเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นสิ่งที่ทำให้คนคนนึงจัดการตัวเอง แล้วก็มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จในทางของตัวเองได้ง่ายขึ้น หากในวัยเด็กมีคนรอบข้างคอยสนับสนุนในทุกอย่างที่เราอยากทำ

แล้วอเล็กซ์เริ่มมาทำกิจกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างจริงจังตอนไหน?

หลังจากที่เรียนจบจากนิเทศ จุฬาฯ ตอนนั้นอายุประมาณ 22 ปี มันก็มีหลายๆ อย่างที่อยากจะทำแต่ก่อนหน้านั้นทำไม่ได้ เพราะเรามีแต่เรียนกับทำงาน พอเรียนจบเลยก็อยากลองไปดำน้ำ ไปเรียนดำน้ำแล้วก็ชอบมาก ติดใจมาก

คิดว่าการดำน้ำเป็นการพลิกอะไรหลายๆ อย่างครับ เรารู้สึกว่าพอเราได้อยู่บนเรือ ได้ดำน้ำ ได้อยู่ใต้ทะเล มันเป็นจุดที่เรามีความคิดทันทีเลยว่าเราอยากจะทำงานด้านนี้ต่อไป และก็ได้กลับมาเจอกับอาจารย์ที่เราเคยเจอตอนอายุ 10 ขวบ เลยได้มาทำเรื่องช้างต่อ ไปเป็นอาสาช่วยเขาบ้าง แล้วก็ระดมทุนเพื่อที่จะไถ่ชีวิตช้างเด็กอายุ 2-3 ขวบ จากภาคใต้ และเราก็พาเขามาทำกิจกรรมกับเด็กๆ ที่มีความต้องการพิเศษ ทั้งกลุ่มดาวน์ซินโดรม ออทิสติก

ซึ่งการที่เราไปทำกิจกรรมตรงนั้นอยู่เรื่อยๆ ก็เริ่มรู้ขึ้นเยอะเรื่อยๆ ว่าการอนุรักษ์คืออะไร ได้เริ่มเข้าป่า เริ่มทำอะไรต่างๆ เลยมาคิดว่า EEC จะเป็นไปได้ไหม เพราะเราอยากให้มีแพลตฟอร์มเล็กๆ ที่คนสามารถมาเข้าค่าย มาเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ และเห็นความสำคัญว่าการศึกษาและการอนุรักษ์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องไปคู่กัน เลยเปิด Environment Education Center ขึ้นมาเมื่อปี 2015 ซึ่งตอนนั้นเราอายุประมาณ 25 แล้วก็มีคนให้ความสนใจขึ้นเรื่อยๆ องค์กรก็เติบโตขึ้น กลายเป็นว่าเราก็มาทำงานตรงนี้แทบจะครึ่งๆ กับการแสดงเลย เผลอๆ ตอนนี้มากกว่าด้วยซ้ำ

เป้าหมายของ EEC โดยส่วนตัวคืออยากให้เยาวชนได้ลองมาอยู่ในธรรมชาติเหมือนกับเรา อยากให้มีแพลตฟอร์มที่คนได้มาเรียนเหมือนเรา และอยากให้คนเข้าใจเรื่องของสังคมมากขึ้น 

เพราะผมเชื่อว่าในแง่มุมของสิ่งแวดล้อมก็เรื่องหนึ่ง แต่แง่มุมของการสร้างทักษะชีวิต เพื่อให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตของคนก็สำคัญ

ซึ่งพอเราได้มาทำเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว เราจะให้ความสำคัญกับคนในพื้นที่ อย่างเรื่องทะเลเราก็จะพูดถึงชาวประมง ความเป็นอยู่ของเขาเป็นยังไง สิ่งแวดล้อมต้องดีแค่ไหนเขาถึงจะอยู่ได้

แม้ว่า EEC เป็นโครงการแรกที่ทำ แต่ว่าเราก็ทำอย่างอื่นด้วย อย่างเช่นการไปช่วยมูลนิธิต่างๆ แต่ EEC เป็นโครงการที่เราเริ่มด้วยคนไม่กี่คน แล้วก็อยู่ในทุกๆ ขั้นตอนตั้งแต่จดทะเบียนบริษัท ขนของ ช่วยบรรยาย ทุกหน้าที่ในช่วงแรก ก็น่าจะเป็นสิ่งแรกที่เราเริ่มด้วยตัวของเราเองจริงๆ ครับ

ภายใต้องค์กร EEC มีกิจกรรมอะไรบ้าง ?

EEC เป็นค่ายให้เด็กๆ มาเข้าร่วมเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน บางค่ายก็จะมีครอบครัวมาด้วย และบางค่ายก็จะมีเด็กๆ อย่างเดียว โดยหลักๆ ก็เป็น Marine Life ที่เป็นทะเล แล้วก็ Wild Life ที่เป็นป่าครับ 

ในส่วนของทะเลก็จะมีให้เข้าร่วมตั้งแต่วัย 3 ขวบครึ่ง เป็นกิจกรรม snorkeling (ดำน้ำตื้น) ไปจนถึงอายุ 8 ขวบที่เรียน Scuba Diving (ดำน้ำลึก) ในสระได้ แล้วก็เด็กอายุ 10 ขวบ เป็นกิจกรรมนักดำน้ำ และปฏิบัติการดำน้ำลึก ทั้งในสระและในทะเล 

ส่วนพาร์ทป่าก็มีตั้งแต่กาญจนบุรี เขาใหญ่ ปีนี้ไปดอยอินทนนท์ ไปจัฃฃงหวัดเลย บุรีรัมย์ แล้วแต่ว่ามีที่ไหนที่เรามาทำในรูปแบบค่ายแล้วผู้เข้าร่วมน่าจะสนใจ ก็จะค่อยๆ กระจายไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ก็มีการ Colaborate (ร่วมมือ)กับองค์กรอื่นๆ ที่อยากจะทำโปรเจกต์เรื่องความยั่งยืนในทาง Action ทางสื่อต่างๆ

EEC ตอนนี้เลยจะแบ่งเป็นครึ่งๆ คือค่ายของเราเอง และกิจกรรมที่เราไปเข้าร่วมกับองค์กรอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งเขาก็จะมาเข้าร่วมกับเราในประเด็นต่างๆ ออกมาในรูปแบบของกิจกรรม ซึ่งในส่วนของการเข้าร่วมขององค์กรต่างๆ ถ้าภาครัฐมีโปรเจ็กต์ที่อยากจะสร้างกระบวนการเรียนรู้ประเด็นใดก็ตาม ก็จะมีการร่วมมือกันที่ค่อนข้างจะ Flexibility (ยืดหยุ่น)และหลากหลาย โดยมีตั้งแต่โปรเจ็กต์ 3 วัน 2 คืน 4 วัน ไปจนถึงโปรเจ็กต์ที่เป็นปีครับ

ในส่วนของโครงการกอดป่ากอดทะเลมีที่มาอย่างไร?

โครงการกอดป่าเริ่มต้นเพราะผมได้มีโอกาสเดินทางไปร้องเพลงในฐานะนักแสดง ก็รู้สึกว่าคงจะดีถ้าเรามีแพลตฟอร์มที่เอาอาสาสมัครไปสร้างเวทีเหล่านี้ในต่างจังหวัดได้ เพื่อที่จะสร้างนักอนุรักษ์ในพื้นที่ จึงทำเป็นโปรเจ็กต์ขึ้นมาครับ

ปกติแล้วค่าย EEC จะเหมาะกับครอบครัว เด็กเล็กและคุณพ่อคุณแม่ เราก็มาคิดว่าจะทำยังไงให้ได้กลุ่มวัยรุ่นอายุ 18-35 ปี วัยทำงาน เพิ่งเริ่มทำงาน หรือเพิ่งเรียนจบที่อยากเดินทาง เราอยากจะสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ สร้างกิจกรรมที่อยู่ภายใต้การให้ความรู้ของ EEC เลยทำขึ้นมาเป็นโปรเจ็กต์แรก 

ครั้งแรกเราทำเป็นออฟไลน์ โดยไปที่กระบี่และไปสร้างเวทีสิ่งแวดล้อมศึกษาอยู่ที่นั่น แต่พอเจอโควิดเราเลยปรับมาเป็นออนไลน์ 2 ปีแล้ว โดยที่มีนักแสดงเข้ามาช่วย มีการเดินทางไปเพื่อเอาประเด็นสิ่งแวดล้อมต่างๆ มาจัดกิจกรรม

แต่พอมาปีนี้เราก็วางแผนที่จะทำทั้งออนไลน์และออฟไลน์ครับ โดยตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังวางแผน แต่หลักๆ แล้วเราอยากจะชวนคนที่ชอบเรื่องนี้มาทำกิจกรรมด้วยกัน สนุกไปด้วยกัน ทำให้มันเป็นประโยชน์ต่อธรรมชาติของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

โดยกลุ่มเด็กที่เราไป Educate (ให้ความรู้) ก็จะเป็นเด็กในพื้นที่นั้นๆ เลย สมมติว่าเราไปกระบี่ ก็จะเป็นเด็กกระบี่ อย่างปีที่แล้วเราไปน่านก็ไปสร้างกระบวนการให้กับเด็กที่น่าน รวมแล้วใน 2-3 ปี ที่ผ่านมาก็ไปมา 10 จังหวัด ซึ่งเราจะชวนอาสาสมัครจากกรุงเทพฯ หรือใครก็แล้วแต่ที่สนใจมาทำกิจกรรมด้วยกัน

แนวทางการจัดกิจกรรม ‘กอดป่ากอดทะเล’ เป็นอย่างไร?

เราใช้หลักการของ Edutainment  (การให้ความบันเทิงควบคู่สาระความรู้) คือ Entertainment กับ Education ครับ ถ้าเรา Educate อย่างเดียวก็อาจจะน่าเบื่อ เพราะประเด็นสิ่งแวดล้อมบางทีมันเป็นวิชาการและฟังยาก ดูไกลตัว แต่ถ้าเราเอา Entertainment เอาเพลง เอา Action (การปฏิบัติ) มาเกี่ยวข้อง มันก็น่าจะช่วยในการเข้าถึง Message ตรงนั้นได้ เพราะฉะนั้นกิจกรรมของเราจึงเป็นการใช้ Entertainment เป็นตัวนำ

อย่างที่ทำบนยูทูบก็จะทำเป็นรูปแบบของ Vlog หรือสารคดีสั้น ที่พยายามจะให้มี Entertainment ด้วย ไม่ใช่ใส่แค่ประเด็นสิ่งแวดล้อมที่มันหนักจนเกินไป เราอยากให้คนดูเพลินไปด้วยเหมือนได้ไปเที่ยวกับเรา ไม่ได้จริงจังมาก แต่ก็ได้ประโยชน์โดยที่เขาค่อยๆ ซึมซับเข้าไป ไม่ Informative (ให้เชิงข้อมูล) จ๋าจนเกินไป

EEC สร้างทักษะให้กับเด็กและผู้ที่มาเข้าร่วมอย่างไรบ้าง?

เด็กๆ ที่มาที่นี่เขาจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง คือความรู้ด้านธรรมชาติก็มีอยู่แล้ว เพราะกิจกรรมมาแบบนี้ แต่อย่างปีนี้เรามีผู้เชี่ยวชาญที่ทำเรื่อง Child Development (พัฒนาการเด็ก) เข้ามาบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง Parenting (การเลี้ยงดูลูก) ด้วย การที่พ่อแม่มาที่ค่ายเราก็เหมือนสามารถมาปรึกษาได้ หรือมาสังเกตลูกในการทำกิจกรรม เพราะฉะนั้นก็คิดว่า EEC เป็นที่ที่สร้างทักษะชีวิตให้กับเด็กๆ มาก เลย เคยมีเคสที่เด็กกลับไปแล้วเรียนได้ดีขึ้น สอบได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปเรียนพิเศษ 

ผมคิดว่ามันเป็นการพัฒนา ช่วยเรียงความคิดของเขา และสร้างความเข้าใจในหลายๆ อย่างผ่านการทำกิจกรรมที่เขาชอบ และมันก็จะส่งผลดีให้กับด้านอื่นๆ ในชีวิตของเขาด้วย

คาดหวังอะไรบ้างกับโครงการที่ทำมา?

เราคาดหวังให้คนเข้ามา Connect (เชื่อมต่อ)กับธรรมชาติ ให้อยู่กับธรรมชาติ แล้วรักธรรมชาติ เพราะทุกโปรเจ็กต์ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ เราจะมีการสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้เข้าร่วม

เราไปเข้าร่วมโครงการ CSR อะไรมาเยอะ ก็พยายามที่จะดัดแปลงในทางของเรา อย่างที่เราทำค่าย 3 วัน 2 คืนก็จะมีจุดเริ่มต้น จุดกลาง จุดจบ เหมือนกับหนังเรื่องหนึ่ง เราต้องการให้มันเป็น Experience (ประสบการณ์) ที่ทำให้คนรักธรรมชาติ เพราะผมเชื่อว่าถ้าคนรักธรรมชาติและมีความรู้มากขึ้น เขาก็จะทำตัวเป็นประโยชน์กับธรรมชาติ เราก็เลยทำให้ธรรมชาติเป็นห้องเรียน และพยายามที่จะพาคนออกมา เพื่อศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อมต่างๆ ครับ

จากโครงการที่ทำมาทั้งหมด มีกระแสตอบรับอย่างไรบ้าง?

ฟีดแบ็กค่อนข้างดีเลยครับ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีใครทำในสิ่งที่เราทำ ซึ่งรู้สึกว่าเราโชคดี จริงๆ ตอนแรกไม่คิดว่าจะทำถึงขนาดนี้เลย เพราะเราเป็นนักแสดง คิดว่าถ้าว่างก็คงมาช่วย ไม่ได้คิดว่าจะจริงจังขนาดนี้ แต่พอทำไปเรื่อยๆ และรู้สึกอินเข้าไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากมีส่วนร่วมในทุกๆ โปรเจ็กต์ ฟีดแบ็กก็ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างเวลาเราปล่อยค่ายออกไปทั้งปี ภายใน 2 วันก็เต็ม คนสมัครเข้ามาบางค่ายล้นถึง 2-3 ค่ายก็ยังมี

โดยรวมก็ค่อนข้างที่จะ Positive (ไปในทางบวก) แต่เราก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ประมาท เพราะเราก็เป็นองค์กรที่ต้องคอยประชุม คอยทำงานทุกวันเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น คือถ้ามันดีอยู่แล้วเราก็อยากพัฒนาให้ดีขึ้นไปอีก แต่ถ้ายังไม่ดีเราก็มานั่งประเมินว่าทำไม เพราะฉะนั้นเราก็ไปเรื่อยๆ แบบนี้ครับ

โดยส่วนตัวอเล็กซ์คิดว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องปลูกฝังเด็กให้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม?

ผมคิดว่ามันเป็นทางออกทางเดียวในความรู้สึกของผมนะครับ แน่นอนว่าการที่เราจะอนุรักษ์หรือสร้างความยั่งยืนให้กับประเด็นไหนก็แล้วแต่ มันมีหลายๆ คนทำในหลายๆ วิธี ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว

แต่สำหรับผม ผมคิดว่า Education เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และคิดว่าตอนนี้เราสามารถที่จะให้ Education ในเรื่องพวกนี้ให้กับเด็กๆ ได้ คือตอนนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งค่อนข้างที่จะยากเมื่อพูดในสเกลของประเทศ 

เราพยายามที่จะสร้างเจเนอเรชันใหม่ที่ชอบและใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ทั้งต่อตัวเอง สิ่งรอบข้าง และสภาพแวดล้อม ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา

เหมือนกับในต่างประเทศ อย่างที่ผมไปที่เดนมาร์ก เมืองหลวงเขาจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสีเขียวอันดับหนึ่งของโลก คนที่นั่นเขาก็ใช้ชีวิตแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ทำด้วยมุมมองของการอนุรักษ์ แต่มันเป็นสิ่งปกติของสังคม เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องทำ 

ซึ่งเราก็คิดว่าถ้าวันนึงเมืองไทยเราสามารถที่จะไปในทิศทางนั้นได้ในอนาคตก็คงจะดี คนก็จะหันมาสนใจใช้ผลิตภัณฑ์ที่ Sustainable (ยั่งยืน) หรือการใช้ชีวิตโดยรวมที่ปล่อยคาร์บอนน้อยลงโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปบอก แต่ให้เขารู้เองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเขา ซึ่งสิ่งนี้ควรที่จะสำคัญเท่าๆ กับวิชาอื่นๆ ที่เรียนที่โรงเรียนด้วยซ้ำ

บางวิชาที่เราเรียนมา โตมาก็อาจจะไม่ได้ใช้ แต่การใช้ชีวิตของเรา ความยั่งยืน หรือ Sustainability นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องใฝ่หาสิ่งนี้อยู่แล้วสักวันในชีวิต ก็เลยคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่เราจะปลูกฝังตั้งแต่เขายังเด็ก

คิดเห็นอย่างไรกับคำว่า ‘เด็กยุคนี้เป็นโรคขาดธรรมชาติ’ ?

ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้นะครับ แต่ในอีกมุมนึงมันก็จะอยู่ที่ผู้ปกครอง อย่างผู้ปกครองของกลุ่มที่มา EEC ส่วนมากก็จะเป็นผู้ปกครองที่อยากให้ลูกได้ Back to basic มันก็ขึ้นอยู่กับการเติบโต บ้านของเขา หรือ Household ของเขานั้นปลูกฝังมายังไง

ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เราเข้าใจว่าโลกก็เปลี่ยนไป แต่ผมเชื่อว่าทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของเรานั้นสำคัญ เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ต้องช่วยกันดูแล เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ครับ 

มีอะไรอยากฝากถึงคนทั่วไปเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้าง?

อยากให้สนับสนุนในเรื่องของ Education ครับ เพราะว่า Environment Education ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้น ทุกวันนี้เราก็มีธรรมชาติที่สวยงาม แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรตั้งแต่วันนี้ วันนึงมันหมดแน่ๆ และมันจะหมดในยุคของเราด้วย

ถ้าเราไม่ดูแลตรงนี้ ผมเชื่อว่าคงได้เห็นธรรมชาติที่มันเสื่อมโทรมลงมากมายอย่างแน่นอน แต่ถ้าเราช่วยกันตั้งแต่วันนี้ ลูกหลานของเราก็จะทันเห็นความสวยงามในแบบที่เราเห็น และประเทศไทยก็เป็นประเทศที่พึ่งพาธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการดูแลธรรมชาติมันเป็นส่วนหนึ่งในการอยู่รอดของเราด้วย ซึ่งถ้าใครไม่ให้ความสำคัญในเรื่องของความยั่งยืนก็คิดว่าน่าจะอยู่ได้ยากในสังคม เพราะว่าในอนาคตทุกคนน่าจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ครับ

เพจ EEC Thailand : https://www.facebook.com/eecthailand

ภาพ : EECTHAILAND, กอดป่ากอดทะเล

Tags:

ปฐมวัยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติอเล็กซ์ เรนเดลล์การอนุรักษ์ความยั่งยืน

Author:

illustrator

กนกพิชญ์ อุ่นคง

A girl who aspires to live like a yacht floating on the ocean, a dandelion fluttering over the heather, a champagne bursting in party.

Related Posts

  • Space
    วางจอมาจับกบ เล่น เลอะ เรียนรู้ที่ ‘ป้าจิ๊บฟาร์ม’: คุยกับ วิน-สินธุประมา

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Dear Parents
    Young Sheldon: จะโกรธมั้ย ถ้าผมไม่ได้เลือกศาสนาเดียวกับแม่? 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Education trend
    ชวนเด็ก ‘รัก’ และ ‘รักษ์’ สิ่งแวดล้อม เปิดประตูสู่การศึกษาเพื่อความยั่งยืน

    เรื่อง กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ชวนพ่อแม่เล่า เล่น ฟังนิทานสร้างสรรค์ กับ เบิร์ด คิดแจ่ม Bird KidJam EP.4 ปลาฉลามฟันหลอ

    เรื่อง The Potential

  • Early childhood
    PLAY THERAPY ให้การเล่นช่วยบำบัด เพราะเด็กถูกสั่งสอนมามากพอแล้ว

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.10 ในวันที่ลูกใจร้อน พ่อแม่มีหน้าที่ต้องช้าลง
Early childhoodFamily Psychology
27 October 2022

เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.10 ในวันที่ลูกใจร้อน พ่อแม่มีหน้าที่ต้องช้าลง

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • การที่เด็กใจร้อน ไม่ได้แปลว่าผู้ใหญ่ต้องตอบสนองเขาทันทีทันใด ยิ่งเด็กใจร้อนเท่าไหร่ เรายิ่งต้องใจเย็นลงเท่านั้น ผู้ใหญ่ควรช้าลง เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งสำคัญเหล่านี้
  • สำคัญที่สุดอย่าประเมินเด็กที่ ‘ผลลัพธ์’ ปลายทาง ให้ชื่นชมที่ ‘ความพยายาม’ และ ‘ความตั้งใจ’ ระหว่างทางด้วย ที่สำคัญชื่นชม ‘ความกล้าหาญ’ ที่เด็กๆ กล้าที่จะเริ่มทำด้วยตนเอง
  • การเร่งรีบไม่ได้เป็นผลดีกับทั้งต่อตัวเด็กและผู้ใหญ่เอง เพราะนอกจากเราจะทำให้เด็กๆ พลาดโอกาสในการเรียนรู้แล้ว เราเองอาจจะพลาดโอกาสที่จะได้เห็นการเติบโตในตัวเด็กๆ ด้วย

ธรรมชาติของเด็กปฐมวัย 0-6 ปี มักจะเต็มไปด้วยพลังและการเคลื่อนไหวที่คาดเดาไม่ได้ เด็กวัยนี้มักจะคิดสิ่งใด จะลงมือทำทันที ไม่ทันได้ระแวดระวังหรือคิดวางแผนซับซ้อนแต่อย่างใด การกระทำและคำพูดของเด็กวัยนี้จึงตรงไปตรงมาและมักนำหน้าความคิดเสมอ เด็กวัยนี้มีแนวโน้มใช้อารมณ์นำเหตุผลและความชอบมาก่อนความสำคัญ เนื่องด้วยสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ที่ทำหน้าที่ควบคุมการคิดและการกระทำโดยเฉพาะการยับยั้งชั่งใจยังเติบโตไม่เต็มที่ จึงทำให้ยังทำงานไม่สมบูรณ์เฉกเช่นผู้ใหญ่ (Tsujimoto, 2008) 

ด้วยเหตุนี้ผู้ใหญ่จึงต้องให้การสอนเขาอย่างใจเย็นและอดทน เพราะเราอาจจะต้องสอนเขามากกว่าหนึ่งครั้ง เด็กแต่ละคนเรียนรู้ช้าเร็วแตกต่างกันไป ผู้ใหญ่จึงมีหน้าที่สอนเขาทุกครั้งที่มีโอกาสมั่นคงและสม่ำเสมอเช่นเดิมทุกครั้ง 

‘การที่เด็กใจร้อน ไม่ได้แปลว่าผู้ใหญ่ต้องตอบสนองเขาทันทีทันใด ยิ่งเด็กใจร้อนเท่าไหร่ เรายิ่งต้องใจเย็นลงเท่านั้น 

ผู้ใหญ่ควรช้าลง เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งสำคัญเหล่านี้’

1) ‘การรอคอย’

ให้เด็กๆ ฝึกการรอบ้าง แต่ต้องไม่รอนานเกินความสามารถของวัยเขา เวลาที่เหมาะสม คือ 5-10 นาที ไม่ควรเกินจากนี้นัก หากต้องรอนานกว่านั้น ควรมีทางเลือกให้เด็กๆ ได้ทำรอ เช่น สมุดกับสีให้เด็กขีดเขียนระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ หนังสือนิทานให้เด็กเปิดอ่านระหว่างรอเราทำธุระในห้องน้ำ 

2) ‘การพยายามด้วยตนเอง’

ให้เด็กๆ ได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองก่อนที่เราจะเข้าไปช่วยเหลือในระยะเวลาที่เหมาะสมคือ 3-5 นาทีที่เด็กๆ ได้ลองทำและแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน เช่น พยายามใส่รองเท้าด้วยตัวเอง พยายามประนีประนอมกับเพื่อนเพื่อขอเล่นด้วย พยายามเปิดฝาแป้งโดว์ด้วยตนเอง 

3) ‘การจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม’

ให้เด็กๆ ได้มีเวลาเรียนรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เป็นไรที่บางวันเด็กๆ อาจจะหงุดหงิด โมโห อาละวาด และร้องไห้ออกมา การที่ผู้ใหญ่ไม่เร่งรีบและเร่งรัดให้พวกเขาต้องสงบเดี๋ยวนี้

ทำให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัย เพราะการที่ผู้ใหญ่รอเด็กๆ ทำให้พวกเขารู้สึกได้รับการ ยอมรับและอุ่นใจ เด็กๆ ที่ได้อยู่กับอารมณ์จะได้รู้จักอารมณ์ของตนและเรียนรู้ที่จะสงบลงด้วยตัวเอง โดยมีผู้ใหญ่ให้การเคียงข้างดูแลอย่างเหมาะสม เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก เด็กๆ จะเรียนรู้ว่า อารมณ์ทางลบที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา และตัวเขามีความสามารถที่จะสงบลงได้ด้วยตัวเอง เด็กๆ จะไม่เก็บกดอารมณ์ทางลบเอาไว้ แต่พวกเขาจะเลือกที่จะระบายออกอย่างเหมาะสม ซึ่งนำไปสู่การจัดการอารมณ์ที่ ดีต่อไป 

ถ้าพ่อแม่ไม่ไหวแล้ว เรามีทางเลือกเสมอ 

ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ‘ชะลอเวลาในการปะทะกับลูก’ ขอเวลานอกให้ตัวเอง 

ไปไหนไม่ได้ ขอให้เรายืนขึ้น ทอดสายตาออกไปให้ไกลจากตรงนั้น รอให้เราสงบ ทดสอบตัวเองได้ด้วยการส่งเสียงเรียกชื่อลูก 

ถ้าเราพูดด้วยระดับเสียงที่เบาลงได้แล้ว เมื่อนั้นค่อยๆ พูดค่อยๆ จากับลูก 

แนวทางการรับมือกับความใจร้อนของเด็กๆ 

1) ถ้าไม่พร้อม ให้พักก่อน 

เวลาเด็กๆ ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ และพยายามดันทุรังทำต่อไป นอกจากจะทำไม่ได้แล้ว อาจจะแย่ไปกว่าเดิมอีก ดังนั้นการออกมาพัก สูดอากาศ ให้ใจเย็นลง แล้วค่อยกลับไปทำใหม่ เด็กๆ จะทำมันได้ ดีขึ้น 

2) การออกกำลังกาย และเล่นอย่างเพียงพอ 

ยิ่งใจร้อน ยิ่งควรเคลื่อนไหวร่างกายให้มาก เพราะจะช่วยระบายแรงออกไป ยิ่งเด็กๆ ได้เคลื่อนไหวร่างกาย พวกเขายิ่งมีสมาธิมากขึ้นกับสิ่งที่ทำ 

โดยปกติแล้วเด็กปฐมวัยควรได้เคลื่อนไหวร่างกาย หรือวิ่งเล่นจนหัวเปียกชุ่มประมาณ 2-3 ชั่วโมงต่อวัน (Baumgartner, Jackson, Mahar, & Rowe, 2015) ซึ่งสามารถแบ่งเวลาวิ่งเล่นออกเป็นช่วงๆ ได้ เช่น ช่วงระยะเวลา 1 ชั่วโมงเช้าเย็น และช่วงระยะเวลา 30  นาทีย่อยๆ ระหว่างวันเราไม่จำเป็นต้องทำต่อเนื่อง 2-3 ชั่วโมงต่อครั้ง 

3) เล่นหรือสัมผัสกับธรรมชาติ

เล่นน้ำ 

เล่นทราย 

เล่นดิน 

เล่นโคลน 

ปีนต้นไม้ 

วิ่งเล่นในสนามหญ้า 

ธรรมชาติช่วยรองรับพลังอันมหาศาลของเด็กๆ ได้เสมอ ยิ่งเด็กๆ เล่นกับธรรมชาติ พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะใจเย็นลงมากเท่านั้น 

4) เพิ่มเวลากับหนังสือ ลดเวลาดูหน้าจอ 

ตาดูภาพบนหน้ากระดาษ 

หูฟังเสียงอ่านจากพ่อแม่ 

กายเอนพิงในท่าที่ผ่อนคลาย 

ทำให้เด็กๆ ค่อยๆ ซึมซับเรื่องราวที่อยู่ตรงหน้าช้าๆ 

เด็กๆ เรียนรู้ที่จะช้าลง 

5) สภาพแวดล้อมที่ช้าลง 

พ่อแม่คือสภาพแวดล้อมที่มีผลกับลูกโดยตรง 

ยิ่งพ่อแม่เร็วเท่าไหร่ ลูกยิ่งเร็วเท่านั้น 

ดังนั้นยิ่งพ่อแม่ใจเย็น ลูกจะเรียนรู้ที่จะใจเย็นลง 

หากอยากจะทำอะไรให้ตรงเวลา 

พ่อแม่ควรเผื่อเวลา และใช้การเตือนก่อนหมดเวลาเสมอ 

หากอยากให้ลูกทำอะไรให้เร็วขึ้น 

พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ฝึกฝนให้เยอะที่สุด เพื่อให้เขาทำสิ่งนั้นได้เร็วขึ้น

เด็กๆ ทุกคนเกิดมาเพื่อเรียนรู้ ลองผิดลองถูก และเป็นผู้ช่วยเหลือที่ดี แต่ผู้ใหญ่ต้องไม่พรากโอกาสเหล่านั้นไปจากเขา 

เด็กๆ อยากช่วยเหลือตัวเอง แต่เขาเพิ่งเริ่มหัดทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เขาจึงทำได้ช้า และอาจจะทำไม่ได้สมบูรณ์แบบ ผู้ใหญ่มีหน้าที่เผื่อเวลาให้เขาสักประมาณ 3-5 นาที หากเด็กทำไม่ได้ หรือ ขอความช่วยเหลือ เราค่อยเข้าไปสอน 

ทำให้ดู 

พาเขาทำ (จับมือทำ) 

ทำด้วยกัน 

ฝึกฝนจนเขาสามารถทำได้เอง

เขาทำได้เอง แม้ไม่มีเราอยู่ตรงนั้น 

สำคัญที่สุดอย่าประเมินเด็กที่ ‘ผลลัพธ์’ ปลายทาง ให้ชื่นชมที่ ‘ความพยายาม’ และ ‘ความตั้งใจ’ ระหว่างทางด้วย ที่สำคัญชื่นชม ‘ความกล้าหาญ’ ที่เด็กๆ กล้าที่จะเริ่มทำด้วยตนเอง

สุดท้าย การเรียนรู้ของเด็กๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่การจะเรียนรู้สิ่งใดอย่างยั่งยืน เด็กๆ ควรได้ใช้เวลากับสิ่งนั้นให้นานและมากที่สุด 

ลูกใจร้อน พ่อแม่อย่าใจร้อนตามเขา ถ้าลูกจะวิ่งหนีเรา พ่อแม่ไม่ควรปล่อยเขาวิ่งและตามไปวิ่งไล่จับกับเขา สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือจูงมือเขาไว้ตั้งแต่แรก และเดินไปกับเขาอย่างช้าๆ และมั่นคง 

การเร่งรีบไม่ได้เป็นผลดีกับทั้งต่อตัวเด็กและผู้ใหญ่เอง เพราะนอกจากเราจะทำให้เด็กๆ พลาดโอกาสในการเรียนรู้แล้ว เราเองอาจจะพลาดโอกาสที่จะได้เห็นการเติบโตในตัวเด็กๆ ด้วย 

‘ยิ่งลูกใจร้อน 

พ่อแม่ยิ่งต้องใจเย็น และช้าลง’ 

อ้างอิง 

Baumgartner, T. A., Jackson, A. S., Mahar, M. T., & Rowe, D. A. (2015).  Measurement for evaluation in kinesiology. Jones & Bartlett Publishers. 

Tsujimoto, S. (2008). The prefrontal cortex: Functional neural development  during early childhood. The Neuroscientist, 14(4), 345-358.

Tags:

ความอดทนการรอคอยพัฒนาการพ่อแม่ปฐมวัยเข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไปใจร้อน

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Family PsychologyEarly childhood
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Character building
    ภาวะผู้นำ ลักษณะนิสัยดีที่พ่อแม่ร่วมสร้าง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Early childhoodLearning Theory
    เรียนปนเล่น เล่นปนเรียน: กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
Transformative learningEducation trend
25 October 2022

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 3. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ ‘เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ’ ตอนที่ ๓. ความเป็นครูผู้ก่อการ กับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์วิจารณ์ พานิช
  • การเป็นครูผู้ก่อการ ไม่ได้หมายความว่าครูผู้นั้นเป็นผู้นำต่อครูคนอื่นๆ ครูทุกคนเป็นผู้กำกับงานของตนเอง เป็นผู้ใช้วิจารณญาณ และดุลยพินิจเชิงวิชาชีพ ในการปฏิบัติงานประจำวันของตน
  • Curriculum for Excellence ของสก็อตแลนด์ มีเป้าหมายใหญ่ เพื่อสร้างขีดความสามารถ 4 ด้าน คือ เป็นผู้เรียนที่ประสบความสำเร็จ, เป็นบุคคลที่มั่นใจตนเอง, เป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ และเป็นผู้ทำประโยชน์แก่สังคม โดยมีลักษณะพิเศษคือโครงสร้างหลักสูตร การเรียน และ บทบาทของครู
  • ในด้านบทบาทครู เป้าหมายลึกๆ ของหลักสูตร คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์เกี่ยวกับครูสู่การเป็น “ผู้พัฒนาหลักสูตร” ในระดับโรงเรียน และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง

บันทึกชุด เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ นี้ ตีความ (ไม่ใช่แปล) จากหนังสือ Teacher Agency : An Ecological Approach (2015) เพื่อหนุนการดำเนินการหลักสูตรฐานสมรรถนะของไทย ให้เป็นหลักสูตรที่มีครูเป็น “ผู้ร่วมสร้าง” (co-creator) โดยขอย้ำว่า ผมเขียนบันทึกชุดนี้แบบตีความสุดๆ ในหลายส่วนได้เสนอมุมมองของตนเองลงไปด้วยท่านผู้อ่านจึงพึงอ่านอย่างมีวิจารณญาณ อย่าเชื่อโดยง่าย

บันทึกที่ ๓ นี้ ตีความจาก Introduction : Teacher Agency and Curriculum Change 

ที่จริงตอนที่ ๓ นี้น่าจะชื่อ “ครูกับการสร้างการเปลี่ยนแปลง” มากกว่า เพราะจริงๆ แล้วครูผู้ก่อการจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงพัฒนาเล็กๆ น้อยๆ ในงานประจำของตนอยู่เนืองนิตย์ รวมทั้งปรับปรุงรายละเอียดในหลักสูตรที่กำลังใช้อยู่ ให้ส่งผลดีต่อนักเรียนมากยิ่งขึ้น และในหนังสือก็ระบุว่า เป็นนโยบายการศึกษาของสก็อตแลนด์ ที่จะส่งเสริมให้ครูมีส่วนปรับปรุงวิธีทำงานของตนเอง รวมทั้งปรับปรุงเงื่อนไขของการทำงานด้วย โดยมีการระบุไว้ใน Curriculum for Excellence ที่เริ่มใช้ในปีการศึกษา 2010 – 2011 อย่างชัดเจน มีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่า คาดหวังให้ครูทำหน้าที่ครูอย่างใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflective practitioner) เพื่อแลกเปลี่ยนข้อสะท้อนคิด และร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลง 

เท่ากับระบบการศึกษาของสก็อตแลนด์เปลี่ยนทิศทางนโยบายเกี่ยวกับครูจากนโยบายที่ลดทอนความเป็นผู้ก่อการของครู (โดยไม่ตั้งใจ) ผ่านการทดสอบ (testing) การตรวจสอบ (inspection) และระบบรับผิดรับชอบแนวราชการ (bureaucratic accountability) เปลี่ยนมาสนับสนุนให้ครูมีโอกาสตัดสินใจเชิงวิชาชีพได้เองตามบริบทของงาน เป็นระบบที่ยกย่องและให้เกียรติวิชาชีพครู ซึ่งจะบรรลุผลได้จริง ต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ ๓ ประการคือ (๑) โครงสร้างการทำงานของครูต้องเปิดช่อง (หรือพื้นที่) ให้ครูได้แสดงพฤติกรรมเชิงผู้ก่อการ หรือผู้ริเริ่มกระทำการ (๒) ต้องมีการฟื้นวัฒนธรรมการทำงานที่เน้นปฏิสัมพันธ์แนวราบและ (๓) การพัฒนาขีดความสามารถในการเป็นผู้ก่อการของครูในฐานะปัจเจก และในฐานะทีมงาน

เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จึงเกิดโครงการวิจัย Teacher Agency and Curriculum Change ดำเนินการโดย University of Stirling ร่วมกับ Scottish Local Authority ในช่วงปี 2011 – 2012 ซึ่งเป็นที่มาของหนังสือ Teacher Agency เล่มนี้ และสะท้อนการใช้งานวิจัยเป็นเครื่องมือหนุนความสำเร็จในการดำเนินการโครงการที่มีความซับซ้อนสูง ซึ่งในกรณีนี้คือการจัดการหลักสูตรใหม่ให้บรรลุผล

ไม่เน้นที่ตัวครู แต่เน้นที่ความเป็นผู้ก่อการหรือกระทำการของครู 

หนังสือเล่มนี้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า เขาให้นิยามของคำว่า “ความเป็นผู้ก่อการ” (agency) ต่างจากเอกสารวิชาการหรือแหล่งความรู้อื่นๆ คือไม่มองว่าเป็นคุณสมบัติหรือขีดความสามารถภายในคน แต่มองว่าเป็นพฤติกรรมหรือการกระทำที่แสดงออกมาของคน โดยนัยนี้ คณะผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เชื่อว่า “ความเป็นผู้ก่อการของครู” (teacher agency) ไม่ได้ขึ้นกับตัวครูเท่านั้น แต่ยังขึ้นกับระบบนิเวศในการปฏิบัติงานของครูด้วย 

เขาอ้างผลงานวิจัยว่า เพียงร้อยละ ๑๐ – ๒๐ ของผลสำเร็จในการเรียนรู้ของนักเรียนเท่านั้น ที่เป็นฝีมือของครู หรือการสอนของครู แต่กระนั้นก็ตาม เชื่อกันโดยทั่วไปว่า ครูเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในระบบการศึกษา ซึ่งหมายความว่ามีปัจจัยแวดล้อมอื่นอีกมากเข้ามาเกี่ยวข้อง นำไปสู่ประเด็นว่า การมองครูเป็น “ปัจจัย” เป็นมุมมองที่มีปัญหา เพราะเท่ากับมองว่าการศึกษาเป็นระบบที่ประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้า (input) กระบวนการ (process) และผลผลิต (output) ซึ่งเป็นกระบวนทัศน์เชิงกลไก ในความเป็นจริงการศึกษาเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน (complex) ยิ่ง เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของการสื่อสาร การตีความ และการให้ความหมายร่วมกัน ซึ่งภารกิจสำคัญของครูคือการวินิจฉัย และตัดสินใจ ในกระบวนการที่ช่วยหนุนให้นักเรียนเกิดพัฒนาการครบด้าน 

การให้คุณค่าครูในฐานะ “ปัจจัย” (factor) ของกระบวนการผลิตนำไปสู่การให้คุณค่าผลงาน ที่เป็นผลการเรียนของเด็กแบบวัดที่ผลการเรียนวิชาเท่านั้น ละเลยการเรียนรู้ด้านอื่นๆ อีกมากมายที่เรียกว่าทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ 

นอกจากนั้นเมื่อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนออกมาไม่ดีดังหวัง ก็โทษครู และออกมาตรการติดตามประเมินผลเคร่งครัดยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการลดทอนความเป็นผู้ก่อการของครูลงไปอีก ยิ่งทำให้กระบวนการเรียนรู้ยิ่งอ่อนแอลงไป สภาพเช่นนี้ทำให้ระบบการศึกษาคุณภาพต่ำอย่างเรื้อรัง และไม่มีทางออก 

เขาบอกว่า ต้องอย่าสับสนเรื่องความเป็นผู้ก่อการของครู กับความมีอิสระ (autonomy) ของครู และหลงเรียกร้องว่า ความมีอิสระของครูจะแก้ปัญหาการศึกษาทั้งมวลได้

ครูผู้ก่อการทำงานอยู่ในดุลยภาพที่ซับซ้อนระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ที่หลากหลาย อันได้แก่ นักเรียน พ่อแม่ รัฐ ผู้จ้างงาน และองค์กรภาคประชาชน โดยที่ครูก็เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือเป็น active partner ด้วย ครูไม่ใช่เป็นแค่ผู้ดำเนินการตามมาตรการที่มีผู้กำหนดให้ 

ความเป็นผู้ก่อการของครู ทำงานอยู่ในดุลยภาพที่ซับซ้อนดังกล่าว โดยครูต้องออกความเห็น และตัดสินใจเชิงวิชาชีพ

จึงต้องแยกความเป็นผู้ก่อการของครู ออกจากภาวะผู้นำของครู และแยกออกจากแนวคิดว่าครูเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง การเป็นครูผู้ก่อการ ไม่ได้หมายความว่าครูผู้นั้นเป็นผู้นำต่อครูคนอื่นๆ ที่มีนัยยะของความสัมพันธ์แนวดิ่ง ในขณะที่ความเป็นผู้ก่อการเน้นความสัมพันธ์แนวระนาบ และมุ่งหวังให้ครูทุกคนเป็นผู้ก่อการ ซึ่งหมายความว่า ครูทุกคนเป็นผู้กำกับงานของตนเอง เป็นผู้ใช้วิจารณญาณ และดุลยพินิจเชิงวิชาชีพ ในการปฏิบัติงานประจำวันของตน

จึงอาจกล่าวในภาษาไทยง่ายๆ ได้ว่า teacher agency หมายถึงการที่ครูมีพฤติกรรมรับผิดชอบสูงต่องานของตน เป็นผู้กำกับงานของตนเอง มีพฤติกรรมใช้ดุลยพินิจและการตัดสินใจเชิงวิชาชีพในงานประจำวัน และเราคาดหวังคุณสมบัตินี้จากครูทุกคน 

Curriculum for Excellence ของสก็อตแลนด์

หลักสูตรนี้ใช้เวลาพัฒนาถึง ๘ ปี ก่อนจะประยุกต์ใช้ในปีการศึกษา 2010 – 2011 มีขั้นตอนการพัฒนาที่ผ่านการปรึกษาหารือและโต้เถียงมากมาย มีเอกสารให้ค้นมาอ่านได้มากมาย สรุปได้ว่ามีเป้าหมายใหญ่ เพื่อสร้างขีดความสามารถ (capacity) ๔ ด้าน คือ (๑) เป็นผู้เรียนที่ประสบความสำเร็จ (successful learner) ที่ผมตีความว่าเป็นผู้มีฉันทะและทักษะของการเรียนรู้ตลอดชีวิต (๒) เป็นบุคคลที่มั่นใจตนเอง (confident individual) (๓) เป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ (responsible citizen) และ (๔) เป็นผู้ทำประโยชน์แก่สังคม (effective contributor) อาจกล่าวได้ว่า ๔ ประการนี้คือ เป้าหมายใหญ่ (purpose) ของหลักสูตร

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ประกอบด้วย ๘ หมวด (domain) คือ (๑) สุขภาพและสุขภาวะ (health and well-being) (๒) ภาษา (languages) (๓) คณิตศาสตร์ (mathematics) (๔) วิทยาศาสตร์ (science) (๕) สังคมศาสตร์ (social studies) (๖) ศิลปะ (expressive arts) (๗) เทคโนโลยี (technologies) (๘) ศาสนาและศีลธรรม (religious and moral education) 

ลักษณะพิเศษของ Curriculum for Excellence มี ๓ ด้านคือโครงสร้างหลักสูตร การเรียน และ บทบาทของครู 

  • โครงสร้างหลักสูตร

ผมตีความว่า หลักสูตรนี้ เป็น “หลักสูตรฐานคุณค่า” (value-based curriculum) ต่างจากหลักสูตรก่อนหน้านี้ของสก็อตแลนด์ ที่เป็นหลักสูตรฐานสาระ (content-based) คุณค่าต่อผู้เรียนคือขีดความสามารถ ๔ ด้าน ที่กล่าวแล้ว

ในเรื่องผลลัพธ์ (outcomes) ของการเรียนรู้ มีข้อแตกต่างสำคัญจากหลักสูตรก่อน ๒ ประการคือ (๑) เขียนอย่างกว้างๆ ไม่ระบุอย่างจำเพาะ (๒) ใช้คำควบ “ประสบการณ์การเรียนรู้และผลลัพธ์”  (experiences and outcomes)

  • การเรียน

การเรียนในหลักสูตร Curriculum for Excellence นี้ มีลักษณะเด่น ๒ ประการคือ (๑) ให้น้ำหนักความรู้กับทักษะเท่าๆ กัน (ซึ่งผมเถียงว่า ต้องให้น้ำหนักเจตคติและคุณค่าด้วย) (๒) ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

นอกจากนั้น ยังเน้นการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) และเน้นให้นักเรียนร่วมมือกันเรียน (cooperative learning) 

มีข้อถกเถียงมากมายในวงการศึกษาของสก็อตแลนด์ที่ผู้เขียนหนังสือนำมาเล่า แต่ผมจะละไว้เพื่อไม่ให้บันทึกยืดยาวเกินไป แต่มีประเด็นที่น่าสนใจที่ควรเอ่ยถึงคือ การแยกระหว่างความรู้กับทักษะว่าเป็นสองสิ่งแยกกันนั้นไม่น่าจะถูกต้อง เพราะจริงๆ แล้วความรู้กับทักษะมีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน

  • บทบาทของครู

เป้าหมายลึกๆ ของหลักสูตร Curriculum for Excellence คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์เกี่ยวกับครูสู่การเป็น “ผู้พัฒนาหลักสูตร” (curriculum developer) ในระดับโรงเรียน และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลสก็อตแลนด์เอาจริงเอาจังเรื่องนี้มาก มีการตั้งคณะทำงานทบทวนบทบาทหรือการทำงานของครูถึง ๒ คณะ ผู้เขียนบอกว่านโยบายส่งเสริมบทบาทครูมีปัญหา เพราะมองประเด็นเกี่ยวข้องไม่ครบ หลงดำเนินการเฉพาะขีดความสามารถของครู ไม่ได้เอาใจใส่เปลี่ยนแปลงในมิติเชิงโครงสร้าง และเชิงวัฒนธรรมในโรงเรียนและระบบการศึกษา จึงเกิดคำถามว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งเสริมหรือปิดกั้นการทำหน้าที่ของครูตามที่คาดหวังไว้ในหลักสูตร เป็นที่มาของโครงการวิจัย Teacher Agency and Curriculum Change 

โครงการวิจัย Teacher Agency and Curriculum Change

โครงการนี้ดำเนินการในปี ค.ศ. 2011 – 2012 ใช้เวลา ๑๕ เดือน โดยมีเป้าหมายหลัก ๓ ประการคือ (๑) ค้นหาปัจจัยด้านประวัติชีวิตของครู และด้านระบบนิเวศในการปฏิบัติงานของครู ที่มีอิทธิพลต่อ teacher agency ในการประยุกต์ใช้หลักสูตร Curriculum for Excellence ในต่างบริบทของระบบการศึกษาของสก็อตแลนด์ (๒) เพื่อนำสู่ทฤษฎีเปลี่ยนแปลงการศึกษา ที่ใช้บทบาทที่ซับซ้อนของ teacher agency (๓) เพื่อเผยแพร่แก่วงการพัฒนาหลักสูตร และเปลี่ยนแปลงการศึกษา ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศทั้งระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติ 

มีคำถามวิจัย ๔ ข้อคือ (๑) ครูในโรงเรียนประถม และโรงเรียนมัธยม มีความเข้าใจและประยุกต์ใช้หลักสูตร Curriculum for Excellence อย่างไรบ้าง (๒) บริบทสำคัญๆ ของการประยุกต์ใช้หลักสูตร Curriculum for Excellence คืออะไร (๓) ปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อการเป็นผู้ก่อการของครู ในการใช้หลักสูตร Curriculum for Excellence (๔) ความเป็นผู้ก่อการของครูมิติใดบ้างที่เกิดขึ้นจากการใช้หลักสูตร Curriculum for Excellence

วิธีวิทยาการวิจัย ใช้วิธีชาติพันธุ์วรรณา (ethnographic approach) ดำเนินการในโรงเรียนของสก็อตแลนด์ ๓ โรงเรียน เป็นโรงเรียนประถมศึกษา ๑ โรงเรียน มัธยมศึกษา ๒ โรงเรียน แต่ละโรงเรียนสัมภาษณ์ครู ๒ คนและผู้บริหารอาวุโส ๑ คน อย่างน้อยคนละ ๑ ครั้ง แต่ส่วนใหญ่สัมภาษณ์ ๓ ครั้งหรือมากกว่า เก็บข้อมูลใน ๓ ช่วง โดยใช้ข้อมูลจากช่วงก่อนมาใช้ออกแบบการเก็บข้อมูลช่วงต่อไป เก็บข้อมูลผ่าน (๑) การสังเกต (๒) การสัมภาษณ์รายคน (๓) การสัมภาษณ์กลุ่ม (๔) การสัมภาษณ์ประวัติส่วนตัวและประวัติการทำงานของแต่ละคนในช่วงต้นโครงการ (๕) การวิเคราะห์เอกสารเชิงนโยบาย และ (๖) การทำแผนที่ความสัมพันธ์เชิงเครือข่ายระหว่างครู รวมเวลาที่ทีมวิจัยใช้ในแต่ละโรงเรียนสองสามสัปดาห์ ในช่วงเวลานี้ครูที่เป็นผู้ให้ข้อมูลทั้ง ๖ คนทำหน้าที่อย่างดียิ่ง โดยร่วมอภิปรายเกี่ยวกับทฤษฎีว่าด้วยความเป็นผู้ก่อการ และว่าด้วยวิธีวิทยาการวิจัยด้วย

  • โรงเรียน

ในสก็อตแลนด์มีโรงเรียนประถมราวๆ ๒,๐๐๐ โรงเรียน โรงเรียนมัธยมราวๆ ๓๕๐ แห่ง ชั้นประถมมี ป. ๑ – ป. ๗ ชั้นมัธยมมี ม. ๑ – ม. ๖ เป็นการศึกษาภาคบังคับจนถึงอายุ ๑๖ ปี หรือ ม. ๔ 

โรงเรียน ๓ แห่งที่ไปศึกษานี้ อยู่ในเขตการศึกษาเดียวกัน โรงเรียนมัธยมทั้งสองแห่งเพิ่งย้ายไปยังสถานที่สร้างใหม่ โดยใช้ทุนจากภาคเอกชน เพื่อให้เป็นอาคารที่สร้างให้เหมาะสมต่อการเป็นโรงเรียนสมัยใหม่ที่พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยี และเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ โรงเรียนมัธยมในสก็อตแลนด์อยู่ในสภาพนี้ทั้งหมด

โรงเรียนมัธยมทั้งสองแห่งมีนักเรียนเท่าๆ กัน คือราวๆ ๑,๐๐๐ คน และสอนชั้น ม. ๑ – ม. ๖ แห่งหนึ่งขอเรียกว่า “โรงเรียนริมทะเลสาบ” นักเรียนมาจาก ๒ หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งคนฐานะดี อีกหมู่บ้านหนึ่งคนฐานะด้อยกว่า อีกแห่งหนึ่งขอเรียกชื่อว่า “โรงเรียนชายเขา” นักเรียนมาจากครอบครัวที่ฐานะด้อยกว่า ส่วนโรงเรียนประถมขอเรียกว่า “โรงเรียนประถมในเมือง” อยู่กลางหมู่บ้านบริเวณที่อยู่อาศัย มีนักเรียนราวๆ ๒๕๐ คน อาคารเก่าหลายสิบปี และอยู่แยกกันเป็น ๓ พื้นที่ โดยที่ครูก็สอนแยกกัน ทำให้โอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูมีน้อย นักเรียนจากโรงเรียนนี้มักไปเรียนต่อที่โรงเรียนชายเขา

  • ครู

โครงการวิจัยเปิดให้ครูอาสาเข้าร่วมโครงการโรงเรียนละ ๒ คน โดยผู้บริหารโรงเรียนแนะนำรายชื่อจากครูที่มีประสบการณ์สูงและผลงานดีให้ทีมวิจัยเลือก เป็นครูผู้หญิงทั้งหมด ที่เลือกครูแบบนี้เข้าร่วมโครงการก็เพราะทีมวิจัยเชื่อว่า หากต้องการศึกษาครูที่มีคุณลักษณะเป็นผู้ก่อการก็ต้องเลือกครูที่มีลักษณะดังกล่าว หลังจบโครงการครูเหล่านี้บอกว่า การเข้าร่วมโครงการให้ประโยชน์มาก ช่วยให้ได้ใคร่ครวญลึกซึ้งเกี่ยวกับการสอนของตน และเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรในโรงเรียน 

ที่โรงเรียนริมทะเลสาบ ครูทั้งสองมาจากสาขาสังคมศาสตร์เหมือนกันเป็นสาขาของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงว่าทำงานเป็นทีมอย่างเข้มแข็ง และทำงานอย่างมีนวัตกรรม ครูทั้งสองบอกตรงกันว่า ความสัมพันธ์ของครูในห้องพักครูแน่นแฟ้นมาก และครูมีความเอาใจใส่นักเรียน ครูซาร่า (ชื่อสมมติ) เป็นครูมา ๑๐ ปี สอนที่โรงเรียนนี้ที่เดียว เป็นคนแรกในครอบครัวที่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย และใฝ่ฝันที่จะเป็นครูมาแต่เด็ก เธอมีความสุขและพอใจในชีวิตการทำงานที่นี่ ห้องเรียนที่เธอสอนได้ชื่อว่ามีความสนุกสนานและได้ผลดี เธอมีส่วนเป็นแกนนำพัฒนาการเรียนรู้ในโรงเรียน และใฝ่ฝันที่จะยกระดับตำแหน่งหน้าที่เป็นครูแกนนำ (เขาเรียก PT – Principal Teacher) ครูซูซาน มีความกระตือรือร้นต่อการเรียนการสอนเช่นเดียวกัน ก่อนมาเป็นครูได้ทำงานในภาคอุตสาหกรรม และเรียนจบปริญญาโทสาขาการจัดการ ระหว่างทำหน้าที่ครูได้เข้าร่วมงานนอกโรงเรียน เช่น Learning and Teaching Scotland และ Scottish Qualification Authority (SQA) เธอเป็นคนชอบความท้าทาย เมื่อมีการประกาศใช้หลักสูตร Curriculum for Excellence เธอจึงเข้าร่วมพัฒนาหลักสูตรด้านสังคมวิทยาในระดับชาติ และนำมาทดลองพัฒนาในชั้นเรียนของตนเอง ซึ่งรวมทั้งการพัฒนาวิธีประเมินพัฒนาการของการเรียนรู้

ที่โรงเรียนชายเขา ครูเคท สอนวิชา STEM ตั้งแต่เด็กเธอใฝ่ฝันอยากเป็นครูเหมือนพ่อ แต่พ่ออยากให้มีอาชีพที่ดีกว่า เธอจึงได้เรียนสาขาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และเริ่มงานในบริษัทเอกชน และทำงานด้านการพัฒนาบุคลากร ที่เธอมีโอกาสเดินทางบ่อย และเงินเดือนสูงกว่าเพื่อนที่เป็นครูมาก แต่หลัง ๑๐ ปี เธอเปลี่ยนใจสมัครเป็นครู และทำหน้าที่ครูมาแล้ว ๑๕ ปี โดยไม่เคยรู้สึกเสียใจเลยที่เปลี่ยนอาชีพ เธอมีความสนใจส่วนตัวด้านสุขภาพและกีฬา จึงมีกิจกรรมนอกหลักสูตรด้วย ครั้งหนึ่งเธอได้สมัครตำแหน่ง PT แต่ไม่ผ่าน เธอชอบงานสอน ไม่สนใจงานบริหาร เมื่อมีการประกาศใช้หลักสูตร Curriculum for Excellence เธอไม่คิดว่ามีอะไรใหม่ เพราะเธอสอนแนวนี้อยู่แล้ว ครูโมนิกา เป็นครูสาขามนุษยศาสตร์ ทำงานอื่นก่อนเปลี่ยนมาเป็นครูเช่นเดียวกัน หลังจบชั้นมัธยมเธอเรียนอนุปริญญาด้านศิลปะและการออกแบบ แล้วทำงานในศูนย์ศิลปะชุมชนเป็นเวลา ๑๐ ปี เมื่อรู้สึกจำเจจึงลาออก ไปทำงานในศูนย์ดูแลเด็กหลังเวลาเรียน และเรียนต่อระดับปริญญา ระหว่างนั้นเธอสมัครเป็นครูประถมแต่ไม่สำเร็จ ต้องมาเป็นครูมัธยม และพบว่างานสนุก เธอเรียนต่อจนจบปริญญาตรี และทำงานเป็นครูที่นี่เรื่อยมาเป็นเวลา ๑๐ ปีแล้ว สองปีหลังมาทำงานที่นี่ เธอได้รับการขอร้องให้ทำหน้าที่ PT ชั่วคราวเป็นเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นจึงสนใจสอนนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ เมื่อเริ่มหลักสูตร Curriculum for Excellence เธอได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ PT อีก แต่ไม่ชอบ และระหว่างนั้นได้เรียนต่อปริญญาโท และมีความสนใจการสอนสหสาขาวิชา

ที่โรงเรียนประถมในเมือง เมื่อเริ่มโครงการวิจัย ครูที่เข้าร่วมทั้งสองสอนชั้น ป. ๗ แต่ภายหลังคนหนึ่งย้ายไปสอน ป. ๑ และอีกคนหนึ่งย้ายไปสอน ป. ๖ ทั้งสองคนสนิทกันและร่วมมือกันในการทำหน้าที่ครู ครูไอดิด อาวุโสกว่า และทำหน้าที่คล้ายเป็นพี่เลี้ยง (mentor) แก่ครูราเชล ที่เพิ่งเข้ามาเป็นครู และรู้สึกว่าตนได้เรียนรู้จากครูราเชลมาก โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี และแนวคิดใหม่ๆ ครูไอดิดไม่มีวุฒิครู และไม่มีปริญญา โดยเข้าสู่วิชาชีพครูผ่านการมีประสบการณ์มาก เมื่อโครงการวิจัย Teacher Agency and Curriculum Change เข้าไปที่โรงเรียน ครูไอดิดเป็นครูมาแล้ว ๓๐ ปี และเห็นว่าหลักสูตร Curriculum for Excellence ไม่ใช่ของใหม่ โดยที่ตนเองได้ปฏิบัติตามแนวนี้มาแล้วตั้งแต่สมัยหลักสูตรเก่า เธอมองว่าหลักสูตร Curriculum for Excellence จะช่วยให้ครูได้พัฒนาการสอนของตน และได้ริเริ่มสร้างสรรค์ แต่ให้ความเห็นว่า ไม่มีแนวทางให้ครูปฏิบัติ จึงอาจมีผลให้ครูแต่ละคนต่างก็ตีความเอาเอง ครูราเชล เพิ่งเข้ามาเป็นครูที่โรงเรียนนี้ได้ ๕ ปี จึงเป็นครูที่อ่อนอาวุโสที่สุดในครู ๖ คนในโครงการวิจัยนี้ มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นครู และได้รับการยอมรับนับถือในกลุ่มเพื่อนครูว่าเป็นคนมีความคิดก้าวหน้า เธอมองหลักสูตร Curriculum for Excellence ในเชิงบวก ว่าจะช่วยให้การเรียนรู้มีความหมายยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจต่อการเรียน เมื่อหลักสูตรใหม่เข้ามา เธอได้เข้าไปทำหน้าที่ร่วมเป็นแกนนำ และคิดว่าได้เกิดผลดีบ้างแล้ว เธอต้องการมีอาชีพครูต่อไป โดยอาจย้ายไปทำงานที่โรงเรียนอื่น และในหน้าที่อื่นบ้าง

สรุป

บันทึกนี้แนะนำให้รู้จักหลักสูตร Curriculum for Excellence และโครงการวิจัย Teacher Agency and Curriculum Change เพื่อปูพื้นสู่การทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ครูมีพฤติกรรมรับผิดชอบสูงต่องานของตน เป็นผู้กำกับงานของตนเอง มีพฤติกรรมใช้ดุลยพินิจและการตัดสินใจเชิงวิชาชีพในงานประจำวัน ที่เรียกว่า Teacher Agency 

สามารถอ่านบทความ เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ ตอนที่ 1 และ ตอนที่ 2 ได้ที่นี่ 

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 1.ปณิธานสู่ระบบการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ของไทย – The Potential

เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร – The Potential

Tags:

ครูหนังสือ-วิจารณ์หนังสือเอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการTeacher AgencyTeacher Agency : An Ecological ApproachAgentic Teacherครูผู้ก่อการครูผู้กระทำการPriestley

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 9. เกื้อกูลความเป็นผู้ก่อการของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 6. คุณค่าของปฏิสัมพันธ์

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 5. คลังคำและวาทกรรมของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 4. ความเชื่อและปณิธานความมุ่งมั่นของครู

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learningEducation trend
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 2. ครูผู้ก่อการคือใคร เกิดขึ้นได้อย่างไร

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘ถึงไม่ได้เติบโตมาอย่างดีก็เอาดีได้’ จากนักพนันรุ่นจิ๋วสู่ครูมโนราห์ของเด็กนอกระบบ: วิชญะ เดชอรุณ
Social Issues
25 October 2022

‘ถึงไม่ได้เติบโตมาอย่างดีก็เอาดีได้’ จากนักพนันรุ่นจิ๋วสู่ครูมโนราห์ของเด็กนอกระบบ: วิชญะ เดชอรุณ

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ชีวิตติดลบของเด็กที่เติบโตในครอบครัวนักพนันผู้เกือบไม่ได้เรียนต่อเพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม และหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุแค่ 15 ปี
  • ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเลือกทางเดินชีวิตที่อาจผิดจนเกินแก้ไข โอกาสและพื้นที่ปลอดภัยจากครูมโนราห์ ช่วยให้ เค-วิชญะ เดชอรุณ เริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง
  • วันนี้ไม่เพียงความภูมิใจในฐานะผู้สอนมโนราห์ที่ส่งต่อกำลังใจและความหวังให้กับเด็กนอกระบบคนอื่นๆ เขายังได้กลับสู่ระบบการศึกษา และมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตในแบบของตัวเอง

การแสดงมโนราห์ของเยาวชนจากเสือรามจันทร์จบลงด้วยท่าไหว้อย่างอ่อนช้อยสวยงาม แต่ใครจะรู้ว่านิ้วมือที่สวมใส่เล็บปลอเรียวโค้งนั้นเคยผ่านอะไรมาบ้าง…

“ผมผ่านอะไรมาเยอะ เกิดมาในครอบครัวที่มีอาชีพเล่นการพนัน เราอยู่กับการพนันมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดในอาชีพที่พ่อแม่ทำ เห็นพ่อแม่ทำผมก็ทำด้วย เป็นนายมือครับ ตอนนั้นไม่คิดอะไร เพราะยังเด็กก็ทำๆ ไป คิดว่ามันถูกต้องและได้จุนเจือครอบครัว”

การแสดงมโนราห์ของเยาวชนจากเสือรามจันทร์

‘เค’ วิชญะ เดชอรุณ ในวัย 17 ปี เล่าเส้นทางชีวิตที่เริ่มจากติดลบของตัวเอง ก่อนจะมาเป็นแกนนำเครือข่ายเพื่อนเยาวชน (ใต้-บน) ในกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนาเยาวชนและแรงงานนอกระบบ จังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี จัดโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เมื่อวันที่ 29 ก.ย.-1 ต.ค.2565

เค-วิชญะบอกว่า แม้การพนันจะทำให้พอมีรายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องแต่ก็ไม่มีความแน่นอน และที่แน่ๆ คือไม่มีความภูมิใจในตัวเอง ชีวิตที่เกือบจะเดินทางผิดมาถึงจุดพลิกผันเมื่อเขากำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ช่วงนั้นพ่อแม่เริ่มไม่มีเงินส่งเสียเพราะลูกเรียนพร้อมกันทั้งหมด 3 คน ทำให้ต้องติดค้างค่าเทอมไว้กับโรงเรียน

“ตอนที่ครูจะสรุปผลการศึกษาให้ เพื่อรับใบ ปพ. (เอกสารประเมินผลตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน) เขาบอกว่าต้องเคลียร์ยอดเงินก่อน เราก็ไม่ได้คิดว่าจะเยอะ พอถึงเทอมสุดท้ายเงินเป็นหลักหมื่น เราตกใจว่าจะหาเงินมาจากไหน ผมจึงเกิดความคิดว่าจะทำยังไงให้ได้เรียนต่อ ชอบการเรียนมาก ก็เลยหนีไปเกาะสมุยเพื่อที่จะได้เงินมาจ่ายค่าเทอม”

ทว่าด้วยวัยแค่ 15 ปี ไม่มีวุฒิการศึกษา ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ไม่มีใครรับเข้าทำงาน เวลานั้นเขารู้สึกมืดแปดด้านไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร แต่แล้วเสียงโทรศัพท์จากอาจารย์ชานนท์ก็ดังขึ้น (ชานนท์ ปรีชาชาญ คณะทำงานเครือข่ายเพื่อนเยาวชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ‘โครงการสนับสนุนการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา’ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)) 

“ครูโทรไปบอกว่าให้กลับมานะ ด่วนเลย  ครูควักเงินตัวเองให้ผมเป็นค่าเดินทางกลับมาบ้าน…” 

เค – วิชญะ เดชอรุณ แกนนำเครือข่ายเพื่อนเยาวชน (ใต้-บน)

‘โอกาส’ จับต้องไม่ได้ แต่ให้กันได้

ย้อนไปเมื่อสามปีที่แล้ว เค -วิชญะ เป็นหนึ่งในเยาวชนที่กำลังจะหลุดออกจากระบบการศึกษาด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจของครอบครัว หากว่าไม่มีใครหยิบยื่นโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ให้ เขาอาจจะกลายเป็นแรงงานนอกระบบ หรือตกอยู่วังวนของสิ่งผิดกฎหมาย หรืออื่นๆ ที่ยากจะคาดเดา

แต่จากการช่วยเหลือของอาจารย์ชานนท์ เคได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสืบสานมโนราห์บ้านปากลัด ทำให้เขามีโอกาสตั้งหลักใหม่ ได้ใช้ทักษะความสามารถของตัวเองประคับประคองความหวังและความฝันที่เกือบจะพังทลายลงไปแล้ว

“ผมเคยเรียนมโนราห์มาตั้งแต่ม.2 แต่ตอนอยู่ที่โรงเรียน(เวียงสระ) ถึงจะรำได้ก็ไม่สามารถออกงานได้ โดนบูลลี่ว่าหน้าตาไม่ได้ดี รูปร่างก็ไม่ดี ทำนองว่ารับไม่ได้หรอก การรำนาฏศิลป์มักจะเลือกคนสวยๆ หน้าตาดีขาวๆ ที่เห็นทั่วไป แต่พอเราได้มาทำงานกับอาจารย์ชานนท์ อาจารย์ไม่ได้เปรียบเทียบ มีการสอน มีการฝึกทักษะการใช้ชีวิต แกเป็นคนทำให้ผมเปลี่ยนความคิดตรงนี้ครับ

การบูลลี่ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นปมของผมนะ แต่พอความคิดสุดท้ายกลับกลายเป็นว่า…จะเอาอะไรมาสำคัญเหรอ” 

การกลับมาครั้งนี้ นอกจากเคจะสามารถนำเงินมาจ่ายค่าเทอมให้กับโรงเรียน และได้กลับไปเรียนต่อที่โรงเรียนเวียงสระในระดับมัธยมปลายแล้ว เขายังสะสมความมั่นใจและลบคำสบประมาทด้วยการปรึกษากับครูนาฏศิลป์เปิดชมรมมโนราห์ขึ้นในโรงเรียน และในส่วนของโครงการฯ เคได้ขยับบทบาทจากผู้ได้รับความช่วยเหลือมาเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลให้คำแนะนำน้องๆ ที่ต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา

“พอเราย้ายเข้าระบบก็ผันตัวมาเป็นแกนนำ ครูผู้สอนให้น้องๆ ที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ ก็ทำหน้าที่พี่ดูแลน้องในคณะมโนราห์ สอนการรำ ร้อยลูกปัด และนำไปขาย เราอยู่กันแบบครอบครัว

เราผ่านช่วงที่เลวร้ายมาแล้ว ตอนนี้เหมือนกับเราไม่คิดลบแล้ว ความเป็นจริงเราคิดไกลมากนะ แต่แล้วเรายังอยู่ที่เดิม เอื้อมถึงไหมยังไม่รู้ แต่ตอนนี้ทำให้ดี กับตอนนี้ที่เราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง เพราะได้เจออาจารย์ เหมือนได้เปิดโลกกว้างเลย เราสามารถเอาบทเรียนของตนเองมาสอนน้องๆ ได้เช่นกัน”

‘ความภูมิใจ’ ไม่ยิ่งใหญ่ แต่เติมเต็มชีวิตได้

ด้วยท่วงท่าการรำที่สวยงาม ใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข การแสดงมโนราห์ของเคเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้เสมอ แน่นอนว่านอกจากความภาคภูมิใจ เขาสามารถหารายได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เฉลี่ยเดือนละ 7,000-8,000 บาท ในจำนวนนี้นอกจากใช้จ่ายส่วนตัว เคยังแบ่งมาจุนเจือครอบครัวอีกด้วย

เคบอกว่าตอนนี้เขากำลังสมัครเข้าเรียนในระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นสาขาที่ชอบเพราะก่อนหน้านี้เคยไปแข่งขันด้านจิตวิทยามาตลอด แล้วเวลาอยู่ในศูนย์มโนราห์ก็มักจะมีน้องๆ ที่มีปัญหามาพูดคุยขอคำปรึกษาอยู่เสมอ 

“แต่ละคนมีปัญหาต่างกัน จะทำยังไงให้น้องๆ คิดบวก เนื่องจากเราผ่านมาแล้ว เรามีการเล่าเรื่องของตนเองให้น้องๆ ฟัง แต่ความรู้ของเราไม่ได้มีเยอะ มีแต่ทักษะการใช้ชีวิต อยากจะทำอะไรก็ได้ที่สอดคล้องกับการทำงานและการใช้ชีวิต เพราะเราสามารถอยู่กับคนที่มีปัญหาได้”

เคถอดบทเรียนของตัวเองให้ฟังว่า เขาเติบโตมาพร้อมกับความรู้สึกดูถูกตัวเอง ดูถูกพ่อแม่ แม้จะมีความคิดตั้งแต่เด็กว่า “ฉันจะไม่อยู่อย่างนี้” แต่ก็มองไม่เห็นหนทางว่าจะหลุดไปจากวงจรการพนันของครอบครัวได้อย่างไร กระทั่งมีคนหยิบยื่นโอกาสให้เริ่มต้นใหม่ ได้รับการสนับสนุนให้ทำในสิ่งที่รัก ทำให้รู้สึกภูมิใจในตัวเองและมั่นใจที่จะเดินหน้าสู่อนาคตที่หวังไว้

“จากเมื่อก่อนที่เราต้องหารายได้จากพนัน และเราก็ไม่ได้ภูมิใจเลย แต่วันนี้ได้อยู่ต่อหน้าสังคม ทำให้เราพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตนเอง ครอบครัวด้วย อยากให้จบแค่เพียงรุ่นนี้ 

พี่น้องที่เป็นฝาแฝดมีความคิดแบบเดียวกันกับเรา ไม่ได้อยากให้พ่อเป็นแบบนี้ แม่สอนตลอดว่า “แม่ไม่มีอะไรให้นะ เธอต้องเรียนให้จบกันนะ” แต่ไม่เคยบังคับว่าจะเรียนอะไร หรือต้องเป็นอย่างนี้ๆ เรียนจบหรือเปล่าไม่เคยถาม เรายังรู้สึกอบอุ่นในครอบครัว เพียงแต่ขัดสนเรื่องเงินทองเท่านั้นเอง”

เช่นเดียวกับอีกหลายๆ คน จุดพลิกผันในชีวิตอาจไม่จำเป็นต้องอาศัยปาฏิหาริย์หรือเหตุการณ์สำคัญอะไร เพียงแค่คนที่เข้าใจและแรงหนุนอีกนิดหน่อยก็ทำให้เขาสามารถลุกขึ้นและเดินต่อไปได้ สอดคล้องกับเป้าหมายของ ‘โครงการสนับสนุนการพัฒนาครูและเด็กนอกระบบการศึกษา’ ที่พยายามสร้างพื้นที่ปลอดภัย ให้โอกาสและสร้างการเรียนรู้แก่เยาวชนที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อให้เขาสามารถตั้งหลักและมีทางเลือกในการดำเนินชีวิต ซึ่งหมายรวมถึงการกลับสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง 

“พอได้เข้าร่วมโครงการของ กสศ. ทำให้เราได้เป็นแกนนำ และได้เห็นว่าสิ่งที่ภายนอกทำอยู่ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แล้วทำไมเรายังต้องคิดลบ จากนั้นทำให้เราเปลี่ยนมายเซ็ตได้  ตอนนี้เรามีอาชีพคือการรำมโนราห์ มีเงินที่จะส่งเสียตัวเองและพี่เรียนหนังสือ รู้ว่าทำเพื่อใคร มีความภาคภูมิใจมากว่าสิ่งที่ทำมีความสำคัญ”

ในวันนี้…ในวัย 17 ปี เค-วิชญะ เชื่อว่าตัวเองสามารถใช้ชีวิตต่อได้อย่างมั่นคงพอสมควร ซึ่งไม่เพียงความตั้งใจที่จะเรียนให้ได้สูงที่สุดอย่างที่หวัง เขาเลือกที่จะสานต่อความฝันให้กับน้องๆ ที่ยังขาดโอกาสเท่าที่ตัวเองจะทำได้

“ตอนนี้ก็ยังช่วยอาจารย์ชานนท์ต่อไป ดูแลน้องๆ ประมาณ 50 คน ทั้งที่ใช่และไม่ใช่เด็กรำมโนราห์ แต่เราจะอยู่ในพื้นที่ของการรำมโนราห์ …ก็อยากให้ผู้ใหญ่เห็นความสำคัญของเด็กที่ด้อยโอกาสด้วย”

เคฝากข้อความทิ้งท้ายจากประสบการณ์ของตัวเองว่า… “คนเราต้องมีโอกาส เหมือนกับผมในวันนี้ จากชีวิตคนๆ หนึ่ง คนที่คิดแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ จนมาคิดช่วยคนอื่นได้ เพราะเราผิดพลาดและได้แก้ไข ดังนั้นจึงไม่อยากให้ใครทำผิดแบบเราอีก”

Tags:

ครูพื้นที่ปลอดภัยโอกาสทางการศึกษาเด็กนอกระบบนาฏศิลป์มโนราห์วิชญะ เดชอรุณเด็กด้อยโอกาส

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Pakorn_1
    Everyone can be an EducatorSocial Issues
    “เราก็แค่ส่องไฟให้เขาเลือกเส้นทางเอง” ปกรณ์ นาวาจะ นักออกแบบการเรียนรู้ผู้ขอเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้เด็กนอกระบบ

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Teacher makes a positive difference
    Transformative learning
    ครูในฐานะผู้สร้างความแตกต่างในชีวิตของเด็ก

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล

  • heart&how
    Social Issues
    Heart & How สร้างพื้นที่ปลอดภัย กู้ ‘ใจ’ วัยเรียน 

    เรื่อง The Potential

  • ‘โรงเรียน = รุนแรง’ สมการนี้สังคมต้องร่วมแก้ …เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรังแก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Everyone can be an Educator
    มากกว่ารักษ์ คือการเรียนรู้ที่เห็นคุณค่าตัวเองและมรดกภูมิปัญญา: โนรา Gen Z ‘ชาดา สังวรณ์’ 

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ

เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า: เทคนิคการเล่าเรื่องที่ช่วยให้ผู้เรียนจดจำได้ดีขึ้น
Learning Theory
24 October 2022

เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า: เทคนิคการเล่าเรื่องที่ช่วยให้ผู้เรียนจดจำได้ดีขึ้น

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • การเล่าเรื่องใช้ได้ดีกับผู้เรียนหลากหลายกลุ่ม สามารถใช้กระตุ้นอารมณ์ร่วมและสร้างความมุ่งมั่น อีกทั้งยังใช้ส่งเสริมภาพพจน์ของผู้บริหารได้อีกด้วย
  • เรื่องเล่าดีๆ  ไม่เพียงแต่สร้างอารมณ์เชื่อมโยง และทำให้คนฟัง ‘อิน’ กับเนื้อเรื่อง แต่มันยังสร้างความคุ้นเคย และความเชื่อถือ จึงเปิดใจต่อการเรียนรู้และผู้สอนมากขึ้น และยังทำให้คนทั่วไปเข้าใจเรื่องราวที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น 
  • สำหรับข้อควรระวังในการใช้การเล่าเรื่องประกอบการสอนก็คือ ประสบการณ์ของแต่ละคนที่นำมาเล่า ไม่อาจใช้เป็น ‘ตัวแทนที่ดี’ สำหรับคนอื่นทั้งหมดได้

เทคนิคการเล่าเรื่องหรือ ‘สตอรีเทลลิ่ง (Storytelling)’ กลายมาเป็นหัวข้อและวิธีการสำคัญในอุตสาหกรรมบันเทิง การบริหารงาน และการฝึกอบรมต่างๆ จำนวนมาก มีหนังสือเบสต์เซลเลอร์มากมายที่บอกเล่าถึงความสำเร็จของการเล่าเรื่องที่ดี 

แต่อันที่จริงแล้วเทคนิคนี้มีมานานนับพันๆ ปีแล้ว และเป็นสาเหตุที่เราจำเรื่องราวในนิทานอย่างนิทานอีสป หรือเรื่องราวในชาดกพุทธศาสนา พระคัมภีร์ไบเบิล หรือพระคัมภีร์สำคัญอื่นๆ รวมไปถึงวรรณกรรมคลาสสิกอย่างมหากาพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโอดิสซีย์และอีเลียดของกรีก มหาภารตะกับรามายณะของอินเดีย และไซอิ๋วกับสามก๊กของจีน

อันที่จริงแล้ว เทคนิคการเล่าเรื่องอย่างเหมาะสม ยังนำมาใช้ในแวดวงการศึกษาได้อีกด้วย 

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

พอล สมิธ เจ้าของหนังสือสตอรี่เทลลิ่งธุรกิจเล่มดัง ‘สิบเรื่องที่ผู้นำเก่งๆ เล่า (The 10 Stories Great Leaders Tell)’ [1] สรุปไว้ว่า การเล่าเรื่องใช้ได้ผลดีกับคนที่มีธรรมชาติการเรียนรู้ที่แตกต่างกันทุกรูปแบบ  

ตามธรรมชาติแล้ว คนส่วนใหญ่เรียนรู้ได้ดีผ่านการดู (รูป แผนภาพ วิดีโอ ฯลฯ) หรือไม่ก็การพูดคุยและการฟัง (พอดแคสต์) โดยมีคนที่ผูกพันกับวิธีการเรียนรู้ทั้งสองวิธีนี้คิดเป็นอย่างละ 40% จึงรวมแล้วมากถึง 80% ดังนั้น วิธีการสอนโดยการปาฐกถา โดยการพูดหรือบอกเล่าไปเรื่อย รวมไปถึงการอภิปรายถามตอบ จึงเป็นวิธีการพื้นฐานที่ใช้การได้ดีในห้องเรียน 

แต่ยังมีอีก 20% ของผู้เรียนที่จะจดจำได้ดีก็ต่อเมื่อมีการเคลื่อนไหว จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการเรียนด้วยการลงมือทำ และการสร้างประสบการณ์ร่วมด้วยการทำแล็บหรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน หรือแม้แต่ออกแบบการสอนด้วยการให้ผู้เรียนใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ คือ ได้ชิม ได้ดม หรือได้สัมผัสตัวอย่างต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งในการเรียน

ข้อสรุปที่น่าสนใจคือ เรื่องเล่าใช้การได้ดีกับผู้เรียนทั้ง 3 แบบ 

ผู้เรียนที่ถนัดการมองภาพจะสามารถสร้างภาพขึ้นในหัวขณะฟังเรื่องเล่านั้นได้ ส่วนผู้เรียนที่ถนัดการฟังจะจดจ่อกับคำและจังหวะ รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่ผู้เล่าเล่าให้ฟัง ขณะที่ผู้เรียนที่ถนัดการลงมือทำจะจดจำได้ถึงความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงและอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเนื้อเรื่องได้ดี

เรื่องเล่าจึงเหมาะสมกับผู้เรียนที่มีความถนัดแตกต่างกันทุกกลุ่ม

อันที่จริงมีงานวิจัยที่ชี้ว่า ขณะฟังนิทานที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว สมองและเส้นประสาทเกี่ยวกับการขยับแขนขาของเด็กๆ จะทำงานด้วย ราวกับได้เคลื่อนไหวจริงๆ!  

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ เรื่องเล่าดีๆ นี่ ไม่เพียงแต่สร้างอารมณ์เชื่อมโยง และทำให้คนฟัง ‘อิน’ กับเนื้อเรื่อง แต่มันยังสร้างความคุ้นเคย และความเชื่อถือ จึงเปิดใจต่อการเรียนรู้และผู้สอนมากขึ้นด้วย 

นอกจากนี้ ยังทำให้คนทั่วไปเข้าใจเรื่องราวที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้นอีกด้วย 

การเล่าเรื่องจึงทำให้คนฟังซึมซับ ‘ข้อมูลแห้งๆ’ หรือแนวคิด ‘นามธรรม’ ได้ดียิ่งขึ้นไปด้วย เช่น ผู้บริหารบริษัท ก ที่พยายามเล่าในที่ประชุมเรื่องผลประกอบการแบบแห้งๆ เน้นไปที่ตัวเลขรายรับ–รายจ่าย เมื่อจบการประชุมพวกพนักงานก็จะจำได้แค่ว่า มีตัวเลขมากมายไปหมดในปาฐกถา แต่ก็อาจจะจำอะไรไม่ได้มากมายนัก เพราะปกติคนเรามักจำตัวเลขกันได้ไม่เก่งอยู่แล้ว 

ในทางตรงกันข้าม ผู้บริหารบริษัท ข ที่ประชุมเรื่องผลประกอบการเช่นกัน แต่เลือกใช้เรื่องเล่าที่เข้มข้นเพื่อกระตุ้นให้พนักงานเกิดความฮึกเหิม โดยอาจจะพ่วงด้วยกลยุทธ์หรือตัวอย่างการขาย การตลาด หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยให้พนักงานมีความมุ่งมั่นในการทำเป้าหมายของบริษัทให้สำเร็จ 

เมื่อสิ้นสุดการประชุม บรรดาพนักงานก็จะได้ทั้งความรู้ ความคิดเห็น และพลังแห่งความกระตือรือร้นที่จะลงมือทำ 

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่ทำให้พบว่า ผู้นำที่เล่าเรื่องการเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง ทำให้พนักงานรู้สึกว่าเป็นคนที่ ‘เข้าถึงได้’ และมีส่วนสร้างแรงบันดาลใจ อีกทั้งยังทำให้คนฟังอยากรู้เรื่องเหล่านั้นมากขึ้นไปอีก 

เรื่องเล่าจึงเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้นำแบบหนึ่ง 

เรื่องเล่าจึงทำให้ผู้รับสารรับเอาข้อมูลและทัศนคติเข้าไปพร้อมๆ กันเป็นแพ็กเกจ ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า การเรียนรู้ที่กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปด้วยจะทำให้จดจำได้ดียิ่งขึ้นกว่ามีแค่ข้อมูลข่าวสารและตัวเลข 

นี่คือเหตุผลเดียวกับที่เราดูซีรีส์เกาหลีข้ามคืนได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้ความพยายามมากเท่ากับดูรายการพวกสารคดีหรือ documentary ต่างๆ 

นอกจากนี้ งานวิจัยของนักจิตวิทยาองค์กรชื่อ เพ็ก นิวฮอเซอร์ (Peg Neuhauser) ยังพบอีกด้วยว่า 

เรื่องเล่าชั้นดีช่วยให้จดจำเรื่องราวได้แม่นยำขึ้น และจดจำได้ยาวนาน หากเทียบกับการสอนการเรียนแบบทื่อๆ โดยแสดงให้เห็นแต่ข้อเท็จจริง ตัวเลข และรูปภาพเท่านั้น 

ผลลัพธ์ดังกล่าวสอดคล้องกับผลงานวิจัยของเจโรมี บรูเนอร์ (Jerome Bruner) ที่ระบุว่า เรื่องเล่าทำให้จดจำข้อเท็จจริงได้ดีขึ้นถึง 20 เท่า!  

สำหรับคุณครูและอาจารย์ ก่อนจะสอนสมการ หลักการ หรือวิธีการคำนวณ การเล่าประวัติศาสตร์ที่มาของสมการหรือหลักการและผู้ค้นพบสักเล็กน้อย ก็จะช่วยดึงดูดให้นักเรียนนักศึกษาตื่นตัวตั้งใจเรียนส่วนที่ตามมาที่ยากกว่า และยังจะจำได้มากขึ้นไปอีกด้วย 

อีกเรื่องหนึ่งของเรื่องเล่าที่น่าจะรู้ไว้ก็คือ จังหวะที่เหมาะจะเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจแล้วได้ผลลัพธ์ดีที่สุดคือ ควรจะเล่าหลังจากเกิดความประหลาดใจหรือไม่ก็เกิดอาการผิดความคาดหมายขึ้น [2] 

การที่คนเราแต่ละคนพบว่าแบบจำลองเรื่องราวทางโลกในหัวตัวเองผิดไปบางอย่างหรือไม่สมบูรณ์แบบ จิตใจของคนเหล่านั้นก็พร้อมจะรับฟังเรื่องราวที่ใช้อธิบายได้ว่า ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ 

นอกจากนี้ เรื่องที่เล่านั้นยิ่งมีความเกี่ยวข้องกับนักเรียนเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เขาตั้งใจฟังมากขึ้นเท่านั้น เช่น เรื่องราวที่จะทำให้เพื่อนร่วมชั้นรักพวกเขามากกว่าเดิม หรือสำหรับคนที่กำลังจะเรียนจบ การเล่าเรื่องความสำเร็จในการสมัครงาน หรือความสุขความสำเร็จจากการทำงาน ก็ช่วยสร้างเสริมกำลังใจเป็นอย่างดี

อีกข้อสังเกตหนึ่งที่มีประโยชน์คือ เรื่องที่นำมาเล่านั้น แต่ละคนอาจเลือกเล่าเรื่องเดียวกัน แต่เล่าด้วยวิธีการหรือมุมมองที่แตกต่างกันได้ 

อันที่จริงแล้วหากคลาสไม่ใหญ่เกินไป การเปิดโอกาสให้นักศึกษาเล่าเรื่องจากมุมมองของตัวเองก็ยิ่งดี เพราะคนในวัยเดียวกันย่อมสนใจฟังคนร่วมรุ่นเล่าเรื่องตัวเองมากกว่า จากนั้นอาจารย์ค่อยเข้ามาช่วยในตอนท้าย โดยเชื่อมโยงเรื่องราวที่นักศึกษาเพิ่งเล่าไปว่า เกี่ยวข้องกับสิ่งที่สอนในแง่มุมใดได้บ้าง 

สำหรับข้อควรระวังในการใช้การเล่าเรื่องประกอบการสอนก็คือ ประสบการณ์ของแต่ละคนที่นำมาเล่า ไม่อาจใช้เป็น ‘ตัวแทนที่ดี’ สำหรับคนอื่นทั้งหมดได้ 

ข้อสรุปที่จะได้จากเรื่องเล่าจำเป็นต้องผ่านการทดสอบทางวิทยาศาสตร์และตีความผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรัดกุม จึงจะสามารถประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางได้ ไม่ว่าเรื่องราวที่เล่าจะโดดเด่นหรือชวนให้หลงใหลและน่าเชื่อถือมากเพียงใด แต่หากปราศจาการพิสูจน์อย่างชัดแจ้ง ก็ยังยากจะนำมาสรุปเป็นบทเรียนแบบ ‘ทั่วไป’ สำหรับทุกคนได้ ยังถือเป็น ‘เรื่องเล่าส่วนตัว’ 

โดยสรุปจึงเห็นได้ไม่ยากว่า การเล่าเรื่องใช้ได้ดีกับผู้เรียนหลากหลายกลุ่ม สามารถใช้กระตุ้นอารมณ์ร่วมและสร้างความมุ่งมั่น อีกทั้งยังใช้ส่งเสริมภาพพจน์ของผู้บริหารได้อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ คนเรายังกระหายอยากฟังเรื่องเล่า และจดจำเรื่องพวกนี้ได้ดีกว่าและนานกว่าการจดจำข้อมูล ตัวเลข ตาราง แบบแห้งๆ

เรื่องเล่าจึงใช้ในการผูกโยงผู้คนเข้าด้วยกัน อีกทั้งผูกโยงผู้คนเข้ากับความคิด ความรู้  ความรู้สึก ความเชื่อ และนามธรรมบางอย่างเพื่อวัตถุประสงค์สำคัญอยู่ตลอดมา โดยเฉพาะการส่งผ่านปัญญาญาณในลัทธิและศาสนาต่างๆ 

เอกสารอ้างอิง

[1] Smith, P. (2019) The 10 Stories Great Leaders Tell. Simple Truths.

[2] Schank, R.C. (1990). Tell me a story. New York: Charles Scribner’s Sons.

Tags:

เทคนิคการสอนการเรียนรู้การจดจำเทคนิคการเล่าเรื่อง (Storytelling)

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Education trend
    ‘ทั้งขำ ทั้งจำได้’ ประโยชน์ของอารมณ์ขันในห้องเรียน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    จาก ‘ขยะ’ สู่การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง : โครงงานบูรณาการกับการสร้าง Co – Agent โรงเรียนบ้านกู้กู ภูเก็ต

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Unique Teacher
    ห้องแนะแนวที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่า อารมณ์ น้ำตา และคนรับฟัง ของครูต้น-เบญจวรรณ บุญคลี่

    เรื่อง The Potential ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trend
    ทักทายด้วยรอยยิ้มก่อนเริ่มคาบ เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนให้ดีขึ้น

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Transformative learning
    วิชาฝึกฟัง: อยากให้เด็ก ‘คิด’ เป็น แต่ไม่เคยสอนให้ ‘ฟัง’ เป็น

    เรื่อง The Potential

สิทธารถะ: เพราะมัวแต่ตามหา จึงไม่พบสิ่งที่แสวงหา
Book
22 October 2022

สิทธารถะ: เพราะมัวแต่ตามหา จึงไม่พบสิ่งที่แสวงหา

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • สิทธารถะ (Siddharatha)  เป็นนิยายเล่มที่ 9 ของแฮร์มันน์ เฮสเส นักเขียนชาวเยอรมัน โดยก่อรูปขึ้นในช่วงที่แฮร์มันน์ตกผลึกทางแนวคิดอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะแนวคิดที่อิงอยู่กับปรัชญาตะวันออก
  • หนังสือเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวการค้นหาสัจธรรมของชายหนุ่มชื่อ สิทธารถะ ที่มีคำแปลชื่อรวมกันได้ว่า ผู้เสาะแสวงหาความหมายแห่งชีวิต โดยมีฉากหลังเป็นดินแดนชมพูทวีปในยุคร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า 
  • ไม่ว่าสัจธรรมที่สิทธารถะค้นพบ จะเป็นความจริงสูงสุดที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์หรือไม่ แต่เรื่องราวของเขา บอกให้เราได้รู้ว่า การเรียนรู้ ไม่ได้มีแค่ในตำราคำสอน หากแต่มีอยู่ในทุกที่รอบๆ ตัวเรา

เคยมีบางคนกล่าวไว้ว่า หนังสือบางเล่ม อาจเปลี่ยนชีวิตคนๆ หนึ่งได้

แน่นอนว่า ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตคนๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะในทางที่ดีขึ้น หรือในทางที่แย่ลง มาจากหลายองค์ประกอบหลายตัวแปร ที่ไม่ได้มีเพียงแค่หนังสือเล่มเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อมาเสมอก็คือ หนังสือบางเล่มสามารถเปลี่ยนทัศนคติในการมองโลกของเราได้

หนึ่งในหนังสือที่มีอิทธิพลต่อทัศนคติและการมองโลกของใครหลายๆ คน ก็คือ วรรณกรรมเรื่อง สิทธารถะ จากผลงานเขียนของนักประพันธ์รางวัลโนเบลผู้มีนามว่า แฮร์มันน์ เฮสเส

ร่องรอยปรัชญาตะวันออก

สิทธารถะ (Siddharatha) เป็นนิยายเล่มที่ 9 ของแฮร์มันน์ เฮสเส นักเขียนชาวเยอรมัน ที่ในบ้านเรารู้จักกันในชื่อ เฮอร์มาน หรือเฮอร์มัน เฮสเส โดยหนังสือเล่มนี้ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1922 ก่อนจะแปลเป็นภาษาอังกฤษและตีพิมพ์ในสหรัฐ เมื่อปี 1951 และได้รับความนิยมอย่างสูงจนเปรียบเหมือนคัมภีร์ชีวิตของเหล่าบุปผาชนในช่วงทศวรรษ 1960

ในช่วงทศวรรษ 1960 ถือเป็นห้วงเวลาแห่งการแสวงหาของคนหนุ่มสาวในยุคนั้น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ฮิปปี้’ หรือ ‘บุปผาชน’ ซึ่งเบื่อหน่ายกับกรอบกฎเกณฑ์สังคม รวมถึงระบอบทุนนิยม พวกเขาพยายามเสาะแสวงหาแนวทางแห่งความหลุดพ้น ผ่านทางยาเสพติด เซ็กส์ ดนตรี และปรัชญา โดยเฉพาะปรัชญาตะวันออก

สิทธารถะ ก่อรูปขึ้นในช่วงที่แฮร์มันน์ เฮสเส ตกผลึกทางแนวคิดอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะแนวคิดที่อิงอยู่กับปรัชญาตะวันออก ทั้งพุทธ พราหมณ์ และอาจรวมถึงลัทธิเต๋า ซึ่งในช่วงก่อนหน้านั้น งานเขียนส่วนใหญ่ของเฮสเส เน้นไปที่ปัญหาโครงสร้างทางสังคม ทั้งปัญหาครอบครัว และระบอบการศึกษา ผ่านทางการเล่าเรื่องด้วยภาษางดงาม สละสลวย ราวกับบทกวี

ปัญหาที่รุมเร้าชีวิตของเฮสเสในช่วงนั้น ทั้งปัญหาสุขภาพ (เฮสเสมีอาการป่วยด้วยโรคซึมเศร้า) ปัญหาครอบครัว และการถูกต่อต้านจากเพื่อนร่วมชาติ โทษฐานที่ไม่สนับสนุนแนวทางชาตินิยมนาซี ทำให้เขาหันหน้าเข้าสู่ปรัชญาตะวันออก เฮสเสได้เรียนรู้และศึกษาปรัชญาแนวคิดต่างๆ ทั้งพราหมณ์ พุทธ และเต๋า ก่อนจะก่อกำเนิดงานเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาอีกเล่มหนึ่ง

หนังสือเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวการค้นหาสัจธรรมของชายหนุ่มชื่อ สิทธารถะ ซึ่งชื่อดังกล่าวเป็นคำสมาสของคำภาษาสันสกฤต 2 คำ คือ สิทธา ที่แปลว่า ‘ผู้ค้นพบ’ กับคำว่า อัตถะ ที่แปลว่า ‘ความหมายหรือประโยชน์แห่งชีวิต’ รวมกันแล้ว แปลได้ว่า ผู้เสาะแสวงหาความหมายแห่งชีวิต โดยมีฉากหลังเป็นดินแดนชมพูทวีปในยุคร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้า หรืออดีตเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งหากเป็นภาษาสันสกฤต จะเขียนว่า ‘สิทธารถะ’ เหมือนกัน

การเลือกใช้ชื่อ สิทธารถะ ที่เป็นชื่อเดียวกับพระพุทธองค์ น่าเป็นความตั้งใจของเฮสเสที่จะให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบเรื่องราวของสิทธารถะ กับเจ้าชายสิทธารถะ (หรือสิทธัตถะ) เพราะเราจะรู้สึกได้ว่า การเดินเรื่องในหนังสือเล่มนี้ มีความละม้ายคล้ายคลึงกับเรื่องราวในพุทธประวัติ ตั้งแต่ ชีวิตที่สมบูรณ์เพียบพร้อมในวัยหนุ่ม การสละทิ้งครอบครัวเพื่อออกบวชแสวงหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์  การบำเพ็ญทุกรกิริยา และการค้นพบสัจธรรมแห่งชีวิต

แต่จะว่าไปแล้ว เส้นเรื่องแบบนี้ ไม่ได้มีแต่ในพุทธประวัติและนิยายสิทธารถะ ประวัติของพระมหาวีระ ศาสดาของศาสนาเชน ซึ่งเกิดขึ้นร่วมสมัยในยุคพุทธกาล ก็มีเรื่องราวละม้ายคล้ายคลึงกัน ตั้งแต่ชาติกำเนิดสูงส่ง ชีวิตที่เพียบพร้อมสมบูรณ์พูนสุข ก่อนจะตัดสินจะละทิ้งครอบครัวและชีวิตทางโลกย์ ก้าวเข้าสู่เส้นทางของนักบวช ก่อนจะค้นพบสัจธรรมคำสอนที่กลายเป็นศาสนา

และถึงที่สุดแล้ว การเล่าเรื่องราวของเหล่าศาสดาผู้นำความคิดในยุครุ่งเรืองของปรัชญาอินเดีย ล้วนได้รับอิทธิพลจากแนวคิดอาศรมสี่ หรือช่วงชีวิตทั้งสี่ ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู อันประกอบด้วย พรหมจรรย์ (ผู้เรียน) คฤหัสถ์ (ผู้ครองเรือน) วานปรัสถ์ (ผู้เกษียณ) สันยาสี (ผู้ละทิ้งโลก)

ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ทุกศาสนา หรือทุกสำนักปรัชญา ที่ก่อกำเนิดขึ้นในดินแดนชมพูทวีป ไม่ว่าจะในยุคพุทธกาลหรือเก่าแก่เนิ่นนานกว่านั้น ล้วนมีความเกี่ยวพัน และส่งอิทธิพลต่อกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพราหมณ์ ฮินดู พุทธ และเชน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าการดำเนินเรื่องราวอาจจะคล้ายคลึงกัน (ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม) แต่สาระหรือแก่น ซึ่งในที่นี้ หมายถึงสัจธรรมที่แต่ละองค์ศาสดา หรือกระทั่งตัวสิทธารถะในนิยายได้ค้นพบ กลับมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่แนวทางการหลุดพ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ คือ การเดินสายกลาง การละวาง ไม่ยึดติด ทั้งสุขและทุกข์ หนทางแห่งการมุ่งสู่สัจธรรมสูงสุดของพระมหาวีระ กลับเน้นไปที่การบำเพ็ญตบะอย่างสุดโต่ง เพราะเชื่อว่า การทรมานร่างกายเป็นวิธีการทำลายกรรมที่ตกค้างมาแต่ชาติภพเก่าก่อน

แล้วอะไร คือ ความจริงสูงสุดที่สิทธารถะ (หรืออีกนัยหนึ่ง แฮร์มันน์ เฮสเส) ค้นพบ?

สัจธรรม คือ ประสบการณ์เฉพาะตัว

“ไม่มีผู้ใดที่จะบรรลุได้เพียงด้วยการฟังคำสั่งสอน ไม่มีผู้ใดดอก… คำสั่งสอนแห่งการบรรลุของพระพุทธเจ้ามีเนื้อหามากมาย… แต่มีสิ่งหนึ่งที่คำสอนอันใสกระจ่างน่าบูชานี้มิได้มีอยู่ นั่นก็คือความลี้ลับ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสบพบมาด้วยพระองค์เองแต่เพียงผู้เดียว”

ประโยคข้างบน คือ สิ่งที่สิทธารถะพูดกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นแก่นหลักในการค้นหาสัจธรรม ทั้งของตัวเอกในหนังสือ และของเฮสเส ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ด้วย

สิ่งที่สิทธารถะกล่าว สะท้อนความคิดของเฮสเสว่า จุดหมายปลายทาง ไม่สำคัญเท่าการเดินทาง และ สัจธรรม อาจไม่สำคัญเท่าการค้นพบสัจธรรม 

เพื่อให้เข้าใจแนวคิดดังกล่าว เราอาจลองเปรียบเทียบกับการเดินขึ้นยอดเขาสูงสักลูก สมมติว่าเป็นยอดเขาภูกระดึงก็แล้วกัน คนที่เดินขึ้นสู่ยอดภูกระดึงแล้ว อาจบรรยายรายละเอียดบนยอดภู รวมถึงความเหนื่อยยากที่พบเจอระหว่างเส้นทางได้ละเอียดยิบ แต่คนที่ฟังก็ไม่สามารถรับรู้ถึงประสบการณ์โดยตรงนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นความเมื่อยล้าที่ปลีน่อง ตะคริวขึ้นที่ต้นขา หรือความรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อก้าวไปถึงจุดหมายปลายทาง

สิทธารถะ เชื่อว่า ประสบการณ์ที่นำไปสู่การตรัสรู้ของพระพุทธองค์ ไม่ใช่สิ่งที่เหล่าสานุศิษย์หรือสาวก สามารถเรียนได้จากถ้อยคำ หากแต่จะต้องผ่านพบประสบด้วยตัวเองเท่านั้น

ว่ามาถึงตรงนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาพุทธอาจแย้งว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยบอกว่า การบรรลุธรรม สามารถทำได้ด้วยการเรียน แต่ต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ดังเช่นที่พระองค์เคยตรัสว่า “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ” ซึ่งแปลว่า พระธรรมเป็นสิ่งที่ผู้บรรลุจะพึงรู้ได้เฉพาะตัว

ใช่ครับ ทุกสัจธรรม หรือทุกองค์ความรู้ จำเป็นต้องอาศัยการปฏิบัติจึงจะเข้าใจถ่องแท้ ไม่ใช่แค่อาศัยการเรียนรู้จากหนังสือ หรือฟังจากคำเทศนาของครูอาจารย์ แต่ต้องบอกว่า สิ่งที่สิทธารถะกำลังกล่าวถึง ไม่ใช่แค่การลงมือปฏิบัติตามคำสอนเท่านั้น หากยังรวมถึงประสบการณ์ระหว่างทาง ที่นำไปสู่การค้นพบสัจธรรมนั้นด้วย

ตามความคิดของสิทธารถะ การเดินสายกลาง ด้วยการปฏิบัติมรรคแปด ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ย่อมนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ในที่สุด แต่ไม่สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติ เข้าถึงประสบการณ์เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ทรงได้รับ ตั้งแต่ความรู้สึกเบื่อหน่ายความสุขทางโลกย์ ความรู้สึกหวาดกลัว-ชิงชังความทุกข์ ความทรมานจากการบำเพ็ญทุกรกิริยา จนถึงความปิติสุขเมื่อตรัสรู้

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าสิทธารถะจะยอมรับว่า อริยสัจ 4 ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ สัจธรรมที่เที่ยงแท้ และสามารถนำไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ได้ แต่เขาตัดสินใจที่จะไม่ปวารณาตัวเป็นสาวกของพระองค์ หากแต่เลือกที่จะกลับไปใช้ชีวิตทางโลกย์ เพราะเชื่อมั่นว่า ตนเองจำเป็นต้องผ่านพบประสบการณ์ต่างๆ นานา ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ความทุกข์คืออะไร ความรักคืออะไร ความสูญเสียคืออะไร เพื่อที่จะนำพาตัวเองไปสู่หนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร

สิทธารถะ ได้พบความรักและความสุขทางกามจากกมลา หญิงคณิกาผู้เลอโฉม, ได้เรียนรู้เรื่องการทำธุรกิจ และความละโมบในทรัพย์สินจากกามะสวามี  นายวานิชผู้มั่งคั่ง, ได้รู้จักความพลัดพรากเมื่อหญิงคนรักจากไป, ได้รู้ซึ้งถึงความทุกข์ทรมานจากการไม่ได้รับความรักตอบจากลูกชาย

สิ่งเหล่านี้ ทำให้สิทธารถะ เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

และสิ่งเหล่านี้เอง ทำให้สิทธารถะ ได้เรียนรู้ว่า สัจธรรม ไม่ได้มีอยู่แต่ในตำราคำสอน หากแต่มีอยู่ในทุกที่ ทั้งในชีวิตผู้คน หรือแม้กระทั่งในสายน้ำ

ในตอนท้ายของเรื่อง สิทธารถะ ผู้ผ่านพบรูปแบบต่างๆ ของชีวิต ตั้งแต่พราหมณ์ นักพรต ปุถุชน พ่อค้า นักพนัน กลายเป็นชายแจวเรือข้ามฟาก เรียนรู้สัจธรรมจากสายน้ำ เขาได้พบเจอกับโควินทะ สหายเก่าแต่เยาว์วัย ผู้เป็นเหมือนขั้วตรงข้าม ของสิทธารถะ

ขณะที่สิทธารถะ เลือกค้นหาสัจธรรม ด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์ตัวเอง โควินทะ เลือกที่จะเป็นภิกษุตามรอยศาสดาพระพุทธองค์

การกลับมาพบกันในช่วงบั้นปลายของชีวิต โควินทะ ได้ถามสิทธารถะถึงสิ่งที่เขาค้นพบ สิทธารถะตอบกลับไปว่า

“ท่านมัวแต่มุ่งเสาะหาอยู่ จึงมิได้พบเห็น” และยังกล่าวอีกว่า 

“การเสาะแสวงหานั้น คือการมีจุดมุ่งหมาย แต่การได้ค้นพบนั้น คือความเป็นอิสระเสรี เปิดกว้าง ปราศจากเป้าหมายจุดประสงค์ใดๆ”

ไม่ว่าสัจธรรมที่สิทธารถะค้นพบ จะเป็นความจริงสูงสุดที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์หรือไม่ แต่เรื่องราวของเขา บอกให้เราได้รู้ว่า การเรียนรู้ (ไม่ว่าจะในเรื่องสัจธรรม หรือความรู้เรื่องใดๆ ก็ตาม) ไม่ได้มีแค่ในตำราคำสอน หากแต่มีอยู่ในทุกที่รอบๆ ตัวเรา

บางครั้ง แค่หยุดวิ่งไล่ตามหา แล้วเปิดใจรับรู้สิ่งรอบตัว เราอาจค้นพบสิ่งที่พยายามเสาะแสวงหามาทั้งชีวิตก็ได้

[หมายเหตุ : ข้อความตัวเอนในบทความชิ้นนี้ คัดลอกจากหนังสือ สิทธารถะ ฉบับจัดพิมพ์ใหม่โดยสำนักพิมพ์ อ่าน 101 แปลจากต้นฉบับภาษาเยอรมันโดย สีมน]

Tags:

แฮร์มันน์ เฮสเสสัจธรรมความเชื่อชีวิตสิทธารถะ

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    เปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ในชีวิต(ที่เรารับมือได้)ให้กลายเป็นแรงขับดัน

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    อิจิโกะ อิจิเอะ: การพบกันครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ปรัชญาที่ชวนเราตกหลุมรักชีวิตในทุกเช้าวันใหม่

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    ลู่วิ่งแห่งความสุข (Hedonic Treadmill): เมื่อการไขว่คว้าพาเรากลับมาที่จุดเดิมเสมอ

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    คุณ ผม และผู้คนที่สวนกันบนรถไฟสายฮังคิว: เราทุกคนล้วนเป็นผู้โดยสาร ในขบวนรถไฟสายชีวิต

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

‘วิชาเอาชีวิตรอด’ ทักษะพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรมี: ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลท่ากว้าง จังหวัดเชียงใหม่
Social IssuesCreative learning
20 October 2022

‘วิชาเอาชีวิตรอด’ ทักษะพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรมี: ตัวอย่างการจัดการเรียนรู้ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลท่ากว้าง จังหวัดเชียงใหม่

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • วิชาเอาชีวิตรอด เป็นการฝึกทักษะและสร้างไหวพริบการเอาตัวรอดให้แก่เด็กหากเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ หรือติดอยู่ในรถเพียงลำพัง ซึ่งโรงเรียนควรสร้างทักษะนี้แก่เด็กๆ เพื่อให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ระดับหนึ่ง
  • การสอนให้เด็กทุกคนมีทักษะทางด้านการว่ายน้ำเป็นเรื่องที่ต้องเน้นย้ำและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเด็ก โดยเป็นการเรียนรู้แบบเรียนปนเล่น เน้นการช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้น การทรงตัวในน้ำ และการลอยตัวเป็นหลัก
  • นอกจากสร้างทักษะการเอาชีวิตรอดเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์จมน้ำ-ติดในรถ เด็กๆ ยังได้ออกกำลังกายพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ ให้แข็งแรง ได้ทักษะพื้นฐานการว่ายน้ำ สามารถเอาตัวรอดจากการจมน้ำได้ และทำให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย

คำกล่าวที่ว่า “โรงเรียนควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ” นอกจากจะหมายถึงพื้นที่ปลอดภัยในการเรียนรู้และเติบโตในแบบของตนเองแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ การเป็นพื้นที่ปลอดภัยในเชิงกายภาพและการติดตั้งทักษะที่ช่วยให้เด็กอยู่รอดปลอดภัยในสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อชีวิตของเด็กไทยในอันดับต้นๆ อย่าง ‘การจมน้ำ’ และ ‘ติดในรถ’

‘การจมน้ำ’ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี 

ข้อมูลจากหลักสูตรผู้จัดแผนงานป้องกันการจมน้ำ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า แต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีจมน้ำเสียชีวิต ปีละเกือบ 1,000 คน ส่วนในกลุ่มอายุเฉลี่ยปีละเกือบ 4,000 คน เนื่องจากเด็กไทยส่วนใหญ่ว่ายน้ำไม่เป็น ขาดทักษะการเอาชีวิตรอด ดังนั้นนอกจากมาตรการดูแลความปลอดภัยต่างๆ ที่มี เด็กๆ ควรได้เรียนรู้ทักษะเหล่านี้ เพื่อช่วยเหลือตัวเองยามคับขัน รวมไปถึงเรียนรู้การขอความช่วยเหลือกรณีติดอยู่ในรถเพียงลำพัง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิด

The Potential พาขึ้นเหนือไปดูตัวอย่างการออกแบบการเรียนรู้ ‘วิชาเอาชีวิตรอด’ ในเด็กเล็ก ของ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลตำบลท่ากว้าง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้นำข้อเสนอแนะจากการประเมินคุณภาพภายนอกศูนย์พัฒนาเด็กปี 2565 โดยสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. มาปรับใช้ โดยการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้และสร้างประสบการณ์พัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม 

ทักษะการเอาตัวรอด วัคซีนเข็มแรกที่เด็กๆ ควรได้รับ

จากข้อเสนอแนะของ สมศ. เพื่อหาแนวทางป้องกันและลดการเสียชีวิตจากการจมน้ำในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี กลายเป็นโจทย์ในการพัฒนาผู้เรียน ส่งเสริมให้มีสมรรถนะสมวัย และมีสุขอนามัยที่ดี สร้างทักษะและไหวพริบในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันตราย เกิดเป็น ‘โครงการสอนว่ายน้ำ’ และ ‘ชั่วโมงเรียนรู้การขอความช่วยเหลือ’ โดยได้รับการสนับสนุนจากเทศบาลตำบลท่ากว้างด้วย

โครงการเรียนว่ายน้ำ เป็นการสอนการว่ายน้ำที่ถูกต้องจากครูผู้สอนที่มีความรู้ความสามารถด้านพละศึกษา ส่งเสริมให้เด็กได้ออกกำลังกายกระตุ้นให้เกิดพัฒนาด้านร่างกายที่มีความเหมาะสมกับวัย อีกทั้งยังเป็นการฝึกทักษะการเรียนรู้และไหวพริบการเอาตัวรอดให้เด็กเล็กกรณีเกิดอุบัติเหตุทางน้ำ นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดพื้นที่การเรียนรู้ให้กับประชาชนทั่วไปในชุมชนโดยรอบด้วย 

“สำหรับกิจกรรมสอนว่ายน้ำ เรามีมา 5-6 ปี แล้ว เป็นกิจกรรมช่วยส่งเสริมพัฒนาการตามวัยของเด็ก มีว่ายน้ำ ฝึกขอความช่วยเหลือกรณีติดในรถ แล้วก็มีสนามเด็กเล่น เพิ่มทักษะด้านร่างกาย แล้วก็กิจกรรมดนตรีหน้าเสาธง ให้เด็กๆ มาเต้น ออกกำลังกายช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน” นพดล สร้อยนาค ผู้อำนวยการกองการศึกษาเทศบาลตำบลท่ากว้าง พูดถึงการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาเด็กด้านร่างกายและสร้างทักษะการเอาตัวรอด 

นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดกิจกรรมดีๆ เช่นนี้ สืบเนื่องมาจากสภาพพื้นที่บริเวณชุมชนโดยรอบมีแหล่งน้ำหลายแห่ง และเด็กๆ ส่วนใหญ่ชอบเล่นน้ำ ทำให้เสี่ยงต่อการจมน้ำ เพราะไม่รู้วิธีการเอาตัวรอดที่ถูกต้อง 

“ดังนั้นการสอนให้เด็กทุกคนมีทักษะทางด้านการว่ายน้ำจึงเป็นเรื่องที่ต้องเน้นย้ำและให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเด็ก โดยเป็นการเรียนรู้แบบเรียนปนเล่น เน้นการช่วยเหลือตัวเองเบื้องต้น การทรงตัวในน้ำ และการลอยตัวเป็นหลัก” 

‘เรียนปนเล่น’ กับกิจกรรมว่ายน้ำ 

ในช่วงเช้าของทุกๆ วันพฤหัสบดี จะเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ ต่างตั้งตารอ เพราะพวกเขาจะได้เรียนว่ายน้ำ ได้เล่นสนุกกับเพื่อนๆ  

อนุพงศ์ จินะ ครูสอนว่ายน้ำ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลท่ากว้าง เล่าว่า เด็กๆ จะเรียนว่ายน้ำกัน 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กำลังพอดีสำหรับร่างกายเด็ก โดยในเด็กเล็ก 4-7 ปี เริ่มจากพื้นฐาน อย่างการเป่าลมในน้ำ สร้างความคุ้นเคย ลดความตื่นกลัวเวลาอยู่ในน้ำ การตีขาตามน้ำ ฝึกการลอยตัว กลั้นหายใจ ไปจนถึงดำน้ำ เพราะสาเหตุหลักๆ ของการจมน้ำ นอกจากการว่ายน้ำไม่เป็นแล้ว อีกสาเหตุคือการกลัวน้ำ เพียงแค่น้ำตื้นๆ ก็สามารถจมได้ และไม่มีทักษะการเป่าน้ำ ซึ่งครูอนุพงศ์ย้ำว่า เป็นทักษะสำคัญที่จะเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตกรณีที่เราตกน้ำได้ 

“อันดับแรกเราต้องฝึกให้เด็กเป่าลมในน้ำก่อน เพราะเวลาจะจมน้ำถ้าเราเป่าน้ำได้เราก็จะมีโอกาสรอดสูง ต่อไปก็จะเป็นการฝึกลอยตัว ท่าปลาดาวคว่ำและต่อด้วยท่าปลาดาวหงาย ซึ่งจะเป็นพื้นฐาน ต่อไปคือท่าลูกหมาตกน้ำ ซึ่ง 3 ท่านี้เป็นท่าหลักที่เด็กต้องเรียนรู้และต้องใช้ควบคู่กันไป 

บางครั้งปลาดาวหงายเราเหนื่อย เราก็กลับมาคว่ำบ้าง ถ้าคว่ำเราก็ต้องเป่าน้ำช่วยเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ถ้าจะให้สบายก็คือนอนหงายท่าปลาดาวหงาย ส่วนท่าหมาน้อยตกน้ำก็ถือว่าพอเอาตัวรอดได้”

“ถ้าเราเป่าน้ำเก่ง สามารถดำน้ำได้เก่งร่างกายเด็กก็ใช้ได้คล่อง มันช่วยให้เราหายใจในน้ำได้นาน เพื่อรอความช่วยเหลือจากคนบนฝั่ง คนที่จะเข้าไปช่วยเหลือก็ต้องมองหาอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัว เช่น ขวดน้ำ ห่วงยาง เพื่อโยนไปให้จับก่อน”

ครูอนุพงศ์ เสริมว่า การสอนพื้นฐานเหล่านี้ เป็นการฝึกให้เด็กไม่กลัวน้ำ สามารถเอาตัวรอดและทรงตัวในน้ำในระดับที่ไม่ลึกเกินไปได้ โดยจะให้เด็กทรงตัวเดินตามเส้นของสระเป็นแถวต่อกันไป 

หากถามว่า นอกจากจะสร้างทักษะการเอาตัวรอด ฝึกให้เด็กว่ายน้ำเป็น หรืออย่างน้อยๆ รู้วิธีการเป่าลมในน้ำ เด็กจะได้ทักษะอะไรอีกบ้าง? ครูอนุพงศ์ ตอบว่า อย่างแรกเลยคือ คลายเครียด ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ การว่ายน้ำช่วยบำบัดและผ่อนคลายความเครียด 

“เด็กเล็กๆ ส่วนใหญ่ก็จะเรียนปนเล่นไปด้วย การให้เขาได้เล่นเขาจะใช้ทักษะโดยที่เขาไม่รู้ตัว ถ้าเราจะตั้งเป็นกฏตรงๆ หรือตั้งเป้าว่าเขาต้องว่ายน้ำเป็นมันไม่ได้ แล้วน้ำช่วยบำบัดหลายอย่างกล้ามเนื้อด้วย เราจะคลายกล้ามเนื้อ คลายเส้นหมดเลย ใช้การเดินในน้ำก็ช่วยบำบัดได้ การว่ายน้ำใช้ได้ทุกช่วงวัย นอกจากการเอาตัวรอดในการจมน้ำก็ยังช่วยบำบัดร่างกาย” 

นอกจากนี้ การว่ายน้ำ เด็กจะได้ครบทั้ง 4 ด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา 

“ร่างกายก็คือเขาได้ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ ร่างกายแข็งแรง ด้านสังคมเขาก็ได้รู้จักการเคารพกฎกติกา การเข้าแถว การรอ อย่างเป็นระเบียบ ด้านอารมณ์จากที่เห็นคือเด็กๆ เขาสนุก ร่าเริงแจ่มใส อารมณ์ดี เพราะเขาสนุกที่ได้เล่น สนุกในการเรียนรู้ แล้วสติปัญญาครูก็จะสอนการนับเลข ครูจะสั่งว่าดีดขา 10 ครั้ง เด็กๆ เขาก็จะนับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 นี่ก็คือสิ่งที่เด็กจะได้รับ ได้พัฒนาทั้ง 4 ด้าน ครับ” ผอ. นพดล เสริม

ฝึกไหวพริบการเอาตัวรอด เรียนรู้การขอความช่วยเหลือกรณีติดอยู่ในรถลำพัง

ข้อมูลจาก กองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค ระบุว่าตั้งแต่ปี 2557-2563 มีเหตุการณ์ ‘เด็กติดในรถ’ ทั้งหมด 129 เหตุการณ์ ในจำนวนนี้มีเด็กเสียชีวิต 6 ราย โดยอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 2- 6 ปี ส่วนสถานที่เกิดเหตุที่พบเด็กเสียชีวิตนั้น เป็นรถรับส่งนักเรียน 5 ราย และรถยนต์ส่วนบุคคล 1 ราย โดยเด็กทั้งหมดติดอยู่ในรถนานกว่า 6 ชั่วโมงขึ้นไป

แม้ตัวเลขสถิติจะดูไม่มากนัก แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ย่อมนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะเมื่อเหตุเกิดบนรถรับส่งนักเรียน ดังนั้นนอกเหนือจากการเพิ่มมาตรการและความรัดกุมในการดูแลเด็กนักเรียนแล้ว การสร้างทักษะการเอาตัวรอดให้กับเด็กๆ จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยป้องกันการสูญเสียในเบื้องต้น

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลท่ากว้าง ได้จัดชั่วโมงการเรียนรู้สำหรับการฝึกทักษะขอความช่วยเหลือหากเกิดกรณีติดอยู่ในรถเพียงลำพัง โดย ผอ.นพดล ให้รายละเอียดว่า อันดับแรกคือการสอนให้เด็กช่วยเหลือตัวเองในการกดสัญญาณไฟฉุกเฉิน เพื่อใหับุคคลภายนอกทราบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นในรถ และสอนให้เด็กกดแตรเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนภายนอก

“สำหรับเทคนิคการเอาตัวรอดกรณีติดในรถ เราจะฝึกให้เด็กออกจากรถทางด้านหน้าสุด หรือที่นั่งคนขับ อันดับแรกเขาต้องมีสติพาตัวเองไปเบาะหน้าให้ได้ก่อน เพราะกรณีที่เด็กติดในรถส่วนใหญ่เขาจะอยู่เบาะหลังเป็นจุดอับสายตา หลังจากนั้นเราก็สอนการกดสัญญาณเตือน ไฟฉุกเฉิน ไฟขอทางของรถ ซึ่งอยู่ด้านหน้ารถ เสร็จแล้วก็ให้บีบแตรส่งเสียงขอความช่วยเหลือ ให้คนข้างนอกรู้ว่ารถมีความผิดปกติ เกิดเหตุฉุกเฉินบริเวณนั้น” 

นอกจากการสอนเทคนิคการเอาตัวรอดในสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ศูนย์พัฒนาเด็กฯ ได้กำหนดมาตรการป้องกันอย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความสูญเสีย โดยเน้นย้ำให้รถตู้รับส่งทุกคัน เมื่อมาถึงศูนย์พัฒนาเด็กต้องเปิดกระจกและประตูด้านหลังเสมอ

“อันดับแรกเราจะทำให้พื้นที่รถบริเวณเบาะเป็นจุดอับสายตาน้อยที่สุด แล้วอีกส่วนก็คือกระจกหน้ารถหลังจากจอดรถเสร็จนอกจากเช็ดดูในรถแลัว ให้ลดกระจกลงเพื่อให้อากาศถ่ายเท และเผื่อว่ายังมีเด็กหลงเหลือในรถที่เล็ดลอดสายตาไป เขาจะได้มีอากาศหายใจ อย่างน้อยก็ช่วยได้ส่วนหนึ่ง”

จะเห็นว่า การจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างทักษะการเอาชีวิตรอดหรือการเอาตัวรอดเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์จมน้ำ-ติดในรถ เป็นกิจกรรมที่ให้เด็กได้ออกกำลังกายพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ ให้แข็งแรง ได้ทักษะพื้นฐานการว่ายน้ำ สามารถเอาตัวรอดจากการจมน้ำได้ และทำให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย 

Tags:

การเรียนรู้วิชาเอาตัวรอดทักษะความปลอดภัยจมน้ำพัฒนาการปฐมวัย

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Character building
    โลกโกลาหล (BANI World) Ep4 Incomprehensible: คลายความไม่เข้าใจ ด้วยความโปร่งใสและสัญชาตญาณ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family PsychologyEarly childhood
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.9 บาดแผลของการทำผิดพลาดแล้วถูกประจานให้อับอาย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.7 ความทรงจำเลวร้ายในวัยเยาว์ที่ตามมาหลอกหลอน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Early childhoodLearning Theory
    เรียนปนเล่น เล่นปนเรียน: กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

‘ต่อกล้าอาชีวะ’ บ่มเพาะทักษะชีวิต: นวัตกรรมโรงเรือนจิ้งหรีด วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี
18 October 2022

‘ต่อกล้าอาชีวะ’ บ่มเพาะทักษะชีวิต: นวัตกรรมโรงเรือนจิ้งหรีด วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • มากกว่าความสำเร็จของผลงาน คือการได้เรียนรู้ทักษะ 4C (Critical Thinking, Creativity, Collaboration และ Communication) ผ่านกระบวนการทำงานที่ค่อยๆ กระตุ้นความกล้าในการลองผิดลองถูกโดยไม่ถูกตัดสิน และช่วยเปลี่ยนคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงความเห็น ให้กลายเป็นคนที่พูดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
  • ‘ชุดพ่นละอองน้ำในโรงเรือนจิ้งหรีดด้วยระบบ IOT’ จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี นวัตกรรมที่เกิดจากปัญหาการเลี้ยงจิ้งหรีดของชุมชน เป็นหนึ่งใน 15 ผลงานที่ได้รับคัดเลือกให้มาจัดแสดงในพิธีปิดโครงการต่อกล้าอาชีวะ ประจำปี 2564
  • ชุดพ่นละอองน้ำฯ นี้สามารถสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนบนแอปพลิเคชัน Blynk ที่คิดค้นขึ้นเอง เมื่ออุณหภูมิสูงเกินไป เครื่องนี้จะปล่อยละอองน้ำออกมา เพื่อลดอุณหภูมิลงอยู่ที่ 25 องศา ซึ่งเหมาะกับการเจริญเติบโตของจิ้งหรีด ช่วยทุ่นแรงและประหยัดเวลาในการฉีดน้ำเองของเกษตรกร

“เมื่อได้ความรู้ มีทักษะแล้ว เราต้องนำไปประกอบอาชีพให้ได้จริง ถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด” หัวหน้าทีมจิ้งหรีดซู่ซ่า วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี สะท้อนมุมมองจากการได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมและการลงมือทำจริง 

ทว่ามากกว่าประโยชน์ของผลงานหรือนวัตกรรมที่เยาวชนคิดค้นขึ้น คือการที่พวกเขาได้เรียนรู้ผ่านการวางแผน การทำงานเป็นทีม กระบวนการคิดที่เป็นระบบ การลงมือทำ รวมถึงการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน นำไปสู่ผลงานที่ภาคภูมิใจ เป็นการพัฒนาเยาวชน ผ่านการพัฒนาผลงาน ตามเป้าหมายหลักของ ‘โครงการต่อกล้าอาชีวะ’ โดยการสนันสนุนของมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 

The Potential พาไปดู ตัวอย่างโครงการของกลุ่มเยาวชนอาชีวศึกษา ‘ชุดพ่นละอองน้ำในโรงเรือนจิ้งหรีดด้วยระบบ IOT’ จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี นวัตกรรมที่เกิดจากปัญหาการเลี้ยงจิ้งหรีดของชุมชน หนึ่งใน 15 ผลงานที่ได้รับคัดเลือกให้มาจัดแสดงในพิธีปิดโครงการต่อกล้าอาชีวะ ประจำปี 2564 และการนำเสนอสรุปผลในการพัฒนาต่อยอดผลงาน ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี 

ทีมจิ้งหรีดซู่ซ่า วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎธานี

แก้โจทย์ด้วยเทคโนโลยี ไอเดีย ‘ชุดพ่นละอองน้ำในโรงเรือนจิ้งหรีดด้วยระบบ IOT’ 

อุณหภูมิในการเลี้ยงจิ้งหรีดในโรงเรือนที่สูงขึ้น ทำให้จิ้งหรีดกินน้ำและกินอาหารน้อยลง ส่งผลกระทบต่อการเจริญเจริญเติบโตของจิ้งหรีด นี่คือปัญหาหลักที่ทางวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีโครงการเลี้ยงจิ้งหรีดในวิทยาลัยและกลุ่มเกษตรกรในชุมชนรอบๆ พบเจอเช่นเดียวกัน 

ด้วยความตั้งใจอยากจะแก้ไขปัญหานี้ จึงเกิดการรวมตัวกันของทีมงานคุณภาพ ‘จิ้งหรีดซู่ซ่า’ ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า ‘ชุดพ่นละอองน้ำในโรงเรือนจิ้งหรีดด้วยระบบ IOT’ ที่ผ่านการระดมสมองของ ภู มีน ภาค และภูมิ นักศึกษาวิทยาลัยแห่งนี้ โดยมีอาจารย์ปู – พนาไพร กันทัด และ ว่าที่ร้อยตรีวิชิต พรหมอินทร์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ  

“ในวิทยาลัยมีโครงการที่ให้เด็กหารายได้ระหว่างเรียน ซึ่งวิทยาลัยเกษตรสนับสนุนอยู่แล้ว เรียนไปด้วยมีรายได้ไปด้วย แล้วผมก็ได้ทำโครงการนี้มาก่อน เริ่มแรกก็คือทำโครงการเลี้ยงจิ้งหรีดก่อน ทีนี้ก็เจอปัญหา ก็เลยออกสำรวจในชุมชนพื้นที่อำเภอพนม ซึ่งมีรัฐวิสาหกิจชุมชนที่ทำอาชีพนี้อยู่เยอะ แล้วชุมชนก็เจอปัญหาเหมือนกัน ก็คือว่าอุณหภูมิในโรงเรือนสูง เสียเวลากับการใช้ฟ็อกกี้ฉีดน้ำจำนวนมาก ดังนั้นพวกเราจึงคิดโมเดลขึ้นมา แล้วก็สมัครเข้าโครงการต่อกล้าอาชีวะ เมื่อได้รับงบประมาณสนับสนุนจึงเกิดเครื่องตัวนี้ขึ้นมา” ภู – ภูวิศ สุดประเสริฐ หัวหน้าทีมพัฒนา ชุดพ่นละอองน้ำฯ ทีมจิ้งหรีดซู่ซ่า พูดถึงที่มาของผลงานชิ้นนี้ 

สำหรับกระบวนการทำงานของเครื่องพ่นละอองน้ำในโรงเรือนจิ้งหรีดด้วยระบบ IOT คือโซล่าเซลล์จะรับพลังงานจากแสงอาทิตย์หลังจากนั้นจะส่งไปยังโซล่าชาร์จ โซล่าชาร์จจะส่งพลังงานมาเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ส่งต่อไปให้รีเลย์ (อุปกรณ์ที่เปลี่ยนไฟฟ้าให้เป็นพลังงานแม่เหล็ก ใช้ในการควบคุมวงจรต่างๆ) เพื่อเปลี่ยนกระแสไฟจาก 12 โวลต์ เป็น 5 โวลต์ เมื่อเปลี่ยนพลังงานแล้วก็จะส่งพลังงานมาเลี้ยงอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครื่อง จากนั้นตัวประมวลผลกลางจะสั่งให้รีเลย์เปิดปั้มน้ำพ่นออกมาเป็นละออง   

โดยตัวเครื่องพ่นละอองน้ำในโรงเรือนจิ้งหรีดด้วยระบบ IOT สามารถสั่งงานผ่านระบบสมาร์ทโฟนบนแอปพลิเคชัน Blynk ที่มีภาคและภูมิเป็นผู้รับหน้าที่คิดค้นและเขียนโค้ดจนออกมาเป็นแอปที่ว่านี้

“การทำงานของตัวเครื่องนี้จะวัดความชื้น โดยมีตัวเซ็นเซอร์วัดความชื้น วัดอุณหภูมิ แล้วก็จะมีระบบประมวลผล เมื่ออุณหภูมิสูงเกินไป มันจะปล่อยละอองน้ำออกมา เพื่อลดอุณหภูมิให้มันต่ำลงอยู่ที่ 25 องศาครับ” ภาค – ศิวพากย์ มุกดา ผู้รับหน้าที่เกี่ยวกับงานพัฒนาระบบสั่งการด้วยสมาร์ทโฟนและดูแลซ่อมแซมเครื่องพ่นละอองน้ำฯ ทีมจิ้งหรีดซู่ซ่า อธิบายการทำงานของตัวเครื่อง   

“app blynk ที่เราได้เชื่อมต่อกับตัวเครื่องไว้ ค่าที่แสดงผลผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟนก็จะมีค่าความชื้น และอุณหภูมิภายในโรงเรือน โดยจะมีเซ็นเซอร์ในการบอกความชื้นและอุณหภูมิในตัวเครื่องในโรงเรือนของเรานะครับ ถ้าเราจะเปิดใช้งานเราก็กดปุ่มเปิดใช้งาน ตัวเครื่องก็จะเริ่มพ่นละอองน้ำ โดยควบคุมการทำงานผ่าน app blynk ครับ” ภูมิ – ยุทธภูมิ หีดจินดา หนึ่งในทีมจิ้งหรีดซู่ซ่า อธิบายเสริมถึงการสั่งการผ่านระบบ IOT 

ทักษะการทำงานเป็นทีม ส่วนสำคัญของความสำเร็จ 

เมื่อถามถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีมว่าพบเจอปัญหาหรืออุปสรรคอะไรบ้างไหม แล้วเราแก้ไขสถานการณ์นั้นอย่างไร? ภูตอบทันทีว่า 

“ในการทำงานร่วมกัน ต่างคน ต่างนิสัย ต่างบุคลิกภาพ เราจะต้องรู้จักการวางแผน เราต้องมาคุยกัน ต้องเปิดใจคุยกันก่อนว่า งานนี้จุดประสงค์ของงานคืออะไร แล้วเราก็วางแผน กำหนดเป้าหมายว่าเราต้องการที่จะพัฒนาโรงเรือนจิ้งหรีดให้เป็นระบบสมาร์ทฟาร์มเมอร์ เป็นการเกษตรยุคใหม่ที่ไม่ได้เป็นการทำการเกษตรที่เสียแรงและเสียเวลาเหมือนเมื่อก่อน จากนั้นก็ร่วมมือกัน” 

การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบตามความเก่งและความถนัดของแต่ละคนนั้นก็เป็นสิ่งที่คนในทีมเดียวกันต้องใส่ใจ เพราะเมื่อแต่ละคนได้ใช้ความสามารถที่มีทำหน้าที่นั้นๆ เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามองเห็นศักยภาพของตัวเองชัดเจนขึ้น 

ภูเล่าให้ฟังต่อถึงการทำงานเป็นทีมว่า “เหมือนผมเองมีความรู้ที่น้อยมากๆ แต่มีน้องสองคนที่มีความรู้โดนเด่น (ภาค กับ ภูมิ) เกี่ยวกับเรื่องระบบ ส่วนมีนก็จะเก่งเรื่องการลงชุมชน เพราะด้วยความที่แม่เป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่แล้ว น้องก็จะเก่งเรื่องนี้ ส่วนผมก็จะรับผิดชอบเกี่ยวกับการเลี้ยงจิ้งหรีด วางแผนว่าจะเลี้ยงแบบไหน แล้วก็คอยดูแลจิ้งหรีด 

เราก็ต้องนำหลายๆ คนมาปรับทัศนคติให้ตรงกัน ใครเก่งด้านไหนคนนั้นก็จะเป็นผู้นำด้านนั้น แล้วเราก็มาแชร์ความรู้กัน เพื่อที่จะให้ประสบความสำเร็จ ให้งานเราบรรลุวัตถุประสงค์ที่พวกเราตั้งไว้”  

“อย่างเรื่องการลงชุมชน เพื่อไปค้นหาข้อมูลของเกษตรกร ในการทำงานกับชุมชนจะบอกว่ายากไหม ก็ไม่ยากครับ แค่เราต้องเปิดใจแล้วก็เข้าไปให้ถึงเขา เปิดรับว่าเขาต้องการแบบไหน เราก็ได้เข้าไปให้คำแนะนำ แล้วในการสื่อสารกับเกษตรกรที่ต่างวัยก็ไม่เป็นอุปสรรคครับ เพราะแม่ผมเป็นผู้นำชุมชน เวลามีงานอะไรผมก็ได้ติดตามไปด้วยตลอด ได้เห็นการทำงานของแม่ ก็เรียนรู้จากตรงนั้น” มีน – ณรงค์ชัย ทิมทอง หนึ่งในทีมจิ้งหรีดซู่ซ่า เล่าให้ฟังถึงหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบ 

มากกว่าความสำเร็จของผลงาน คือการได้เรียนรู้ทักษะ 4C 

ในกระบวนการทำงานร่วมกัน พวกเขาร่วมหัวจมท้ายกันมาตั้งแต่คิดไอเดีย – วางแผน – คิดค้น – ทดลอง – สรุปผล กว่าที่จะมาเป็น ‘ชุดพ่นละอองน้ำในโรงเรือนจิ้งหรีดด้วยระบบ IOT’ ผลงานที่นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อวงการเกษตรแล้ว กระบวนการทำงานที่ผ่านการเวิร์กชอปยังค่อยๆ กระตุ้นความกล้าในการลองทำสิ่งใหม่ ให้ทั้ง 4 คน ได้ลองผิดลองถูกโดยไม่ถูกตัดสิน หรือฝึกทักษะสำคัญอย่างการสื่อสารที่หลายคนบอกว่า ช่วยเปลี่ยนคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงความเห็น ให้กลายเป็นคนที่พูดได้อย่างมั่นใจมากขึ้น 

ซึ่งทักษะต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่โครงการฯคาดหวังว่าเยาวชนอาชีวศึกษาจะสามารถเรียนรู้และนำไปปรับใช้ ประกอบด้วย ทักษะ 4C คือ Critical Thinking (คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล), Creativity (คิดนอกกรอบ), Collaboration (การทำงานเป็นทีมได้ดี) และ Communication (การสื่อสาร จับประเด็นได้)

“สิ่งที่ผมได้เพิ่มจากโครงการนี้ก็คือการทำแผนที่ดี แล้วก็การทำงานเป็นทีมที่ถูกต้อง คือเคยคิดว่าวิธีการทำงานแบบเดิมอาจจะดีแล้ว แต่มันไม่ใช่ 

ในการทำงานเราได้เรียนรู้ต่างๆ มากมาย เราต้องวางแผนอย่างไร ต้องมีระบบ ต้องมีการจัดการที่ดี จะต้องพูดคุยกัน ไม่คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ ทุกคนมีสิทธิที่จะคิด ออกเสียง แล้วก็ทำ” ภู กล่าว

ในส่วนของมีน ภาค และภูมิ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นอกจากความรู้เรื่องเทคโนโลยี การตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ และเรียนรู้การทำงานร่วมกันที่ดีเพื่อให้กลายเป็นทีมเวิร์ก ‘การพูด’ ‘การสื่อสาร’ คือทักษะที่ทั้ง 3 คน คิดว่าได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น

“โครงการนี้มอบโอกาสให้เด็กบ้านๆ ทั่วไป ได้สอนหลายอย่าง ไม่ใช่เฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง IOT หลักๆ ที่ผมได้เห็นจากน้องๆ ในทีม คือ ทักษะการสื่อสาร อันนี้ต้องยอมรับจริงๆ ว่าค่ายนี้ได้ให้เทคนิคและให้ความรู้ แนวทาง การสื่อสารที่ถูกต้อง และเหตุที่สมควรจะสื่อสาร หัดต่อรอง กล้าที่จะต่อรอง อันนี้ที่เห็นได้ชัดว่าน้องๆ ในทีมและตัวผมเองก็พัฒนาขึ้นมาจริงๆ” ภู หัวหน้าทีมจิ้งหรีดซู่ซ่า วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎร์ธานี ทิ้งท้าย  

โครงการต่อกล้าอาชีวะ เป็นโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการพัฒนาศักยภาพของตนเองผ่านการพัฒนาผลงาน ผ่านการพัฒนาทักษะ 4C ได้แก่ Critical Thinking, Communication, Creativity และ Collaboration 
โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิสยามกัมมาจล, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค), กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
โดยปีนี้เป็นปีแรกที่เปิดพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบให้แก่กลุ่มนักเรียนอาชีวะจากทุกสถาบันส่งผลงานเข้ามา และคัดเลือกเหลือเพียง 15 ผลงานสุดท้ายจากทั่วประเทศ เพื่อนำมาจัดแสดงในพิธีปิดโครงการต่อกล้าอาชีวะ ประจำปี 2564 พร้อมพิธีมอบโล่ เกียรติบัตร และการนำเสนอสรุปผลในการพัฒนาต่อยอดผลงาน ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี จัดขึ้นในวันที่ 19 กันยายน 2565

Tags:

โครงการต่อกล้าอาชีวะอาชีวศึกษาเกษตรวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสุราษฎธานีชุดพ่นละอองน้ำในโรงเรือนจิ้งหรีดด้วยระบบ IOT4Csทักษะศตวรรษที่ 21

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Young Smart IoT Technician-nologo
    Social Issues
    ต่อกล้าอาชีวะ #12 ‘Young Smart IoT Technician’ พัฒนาทักษะรอบด้านผ่านโจทย์จริงจากการทำงาน

    เรื่อง The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ทางกลับบ้านของคนมีฝัน: จีรนันท์ บุญครอง หน่วยการเรียนรู้ ‘พันธุ์เจีย’ ออร์แกนิก พื้นที่และโอกาสในการเรียนรู้สำหรับทุกคน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • ‘ต่อกล้าอาชีวะ’ บ่มเพาะทักษะชีวิต: นวัตกรรมเครื่องเพาะเมล็ดแคคตัส วิทยาลัยเทคนิคแพร่

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • 21st Century skills
    คำถามสำคัญกว่า ควรมีการบ้านหรือไม่ คือ มีการบ้านไปเพื่ออะไร

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel