- อเล็กซ์ เรนเดลล์ นักแสดงมากฝีมือที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี กับอีกบทบาทด้านสิ่งแวดล้อม ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง Environmental Education Centre Thailand (EEC Thailand) องค์กรที่ทำกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมศึกษาสำหรับเยาวชน
- EEC Thailand มีเป้าหมายในการสร้างความตระหนัก ความเข้าใจ และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างประสบการณ์จากลงมือปฏิบัติ (Active Learning) โดยใช้ธรรมชาติเป็นห้องเรียน และเพื่อให้เรียนรู้ว่าเราจะสามารถอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้อย่างไร
- ประสบการณ์และทักษะชีวิตที่ผ่านมาของอเล็กซ์ หลอมรวมจนเป็นตัวเขาในวันนี้ที่มีความตั้งใจจะใช้ความรู้ ทักษะ รวมถึงชื่อเสียงของตัวเอง ส่งเสริมการเรียนรู้และความรักในสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กและเยาวชนผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียนในรูปแบบต่างๆ
“ผมคิดว่า Environment Education เป็นสิ่งที่จะทำให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้น ทุกวันนี้เราก็มีธรรมชาติที่สวยงาม แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรตั้งแต่วันนี้ วันนึงมันหมดแน่ๆ”
อเล็กซ์ เรนเดลล์ นักแสดงมากฝีมือที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี พูดถึงอีกหนึ่งบทบาทของเขา นั่นคือการเป็นผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรเพื่อการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม Environmental Education Centre Thailand (EEC Thailand)
เส้นทางการทำกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมของอเล็กซ์นั้นสั่งสมมาตั้งแต่เขายังเยาว์วัย ผ่านการเก็บเกี่ยวประสบการณ์และทักษะชีวิต ทั้งจากการเป็นนักกีฬาของโรงเรียน นักแสดง อาสาสมัคร และกิจกรรมอื่นๆ มากมาย หลอมรวมจนเป็นอเล็กซ์ในวันนี้ที่มีความตั้งใจจะใช้ความรู้ ทักษะ รวมถึงชื่อเสียงของตัวเอง ส่งเสริมการเรียนรู้และความรักในสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กและเยาวชนผ่านกิจกรรมนอกห้องเรียนในรูปแบบต่างๆ
“เหมือนกับเราเอาสิ่งที่เราสะสมมาจากตรงนู้นตรงนี้มารวมกัน มันก็หล่อหลอมตัวเราออกมาให้เป็นในสิ่งที่เราเป็นทุกวันนี้ และเราก็เอาความชอบกับสิ่งที่เราอินมาถ่ายทอดในงานด้านสิ่งแวดล้อมของเราอีกที”
โดย EEC Thailand เป็นองค์กรที่ทำกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมศึกษาสำหรับเยาวชน มีเป้าหมายในการสร้างความตระหนัก ความเข้าใจ และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างประสบการณ์จากลงมือปฏิบัติ (Active Learning) โดยใช้ธรรมชาติเป็นห้องเรียนให้เด็กและเยาวชนรวมไปถึงผู้ปกครองได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง และเรียนรู้ว่าเราจะสามารถอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้อย่างไร
“เราเปิดองค์กร EEC ให้เยาวชนได้มาเรียนรู้ เป้าหมายโดยส่วนตัวคืออยากให้เขาได้ลองมาอยู่ในธรรมชาติเหมือนกับเรา อยากให้มีแพลตฟอร์มที่คนได้มาเรียนเหมือนเรา แล้วก็อยากให้คนเข้าใจเรื่องของสังคมมากขึ้น”
สำหรับอีกโครงการที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ‘โครงการกอดป่ากอดทะเล’ เป็นการทำงานกับคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ให้เกิดขึ้น ผ่านการจัดกิจกรรมในลักษณะ Edutainment เน้นการให้ความรู้ควบคู่ไปกับความบันเทิงในรูปแบบที่สนุกสนานเข้าใจง่าย
“ผมเชื่อว่าถ้าคนรักธรรมชาติและมีความรู้มากขึ้น เขาก็จะทำตัวเป็นประโยชน์กับธรรมชาติ เราก็เลยทำให้ธรรมชาติเป็นห้องเรียน และพยายามที่จะพาคนออกมา เพื่อศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อมต่างๆ ครับ”
อะไรทำให้เด็กชายอเล็กซ์เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม?
น่าจะต้องย้อนไปช่วงสมัย 10 ขวบ ที่ผมมีโอกาสได้ไปช่วยเหลือช้างป่าครับ ด้วยความที่เราเป็นนักแสดง ตอนนั้นก็ได้ไปเจอและถ่ายรายการกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านช้างและทำวิจัยเรื่องช้าง พอรายการจบเราก็ชอบ คุณแม่ก็อยากให้เราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ เลยไปส่งเราให้อยู่กับอาจารย์ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ทุกอาทิตย์ พอมีเคสช้างที่ป่วย เราก็ไปช่วยระดมทุนจากกองถ่าย จากพี่ๆ ในกองมาซื้อยาเพื่อช่วยเหลือช้างตัวนี้ ซึ่งตอนที่เราไปที่เขาใหญ่ก็ได้เห็นการทำงานและการอยู่ในป่าของเขา
เรื่องราวนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้มาทำเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติครับ ซึ่งจริงๆ แล้วเราเป็นคนที่ชอบธรรมชาติมาโดยตลอดอยู่แล้ว แต่ ณ ตอนนั้นเรายังเป็นเด็กอยู่ก็ไม่ได้คิดหรอกว่าวันหนึ่งเราจะได้มาทำงานแบบนี้อย่างจริงจัง
เวลาไปถ่ายละคร ไปทำงานเราได้เดินทางไปในหลายๆ ที่ ได้เจอกับหลายๆ สังคม และการที่เราอายุยังน้อย ได้มีโอกาสได้เข้าใจความเป็นอยู่ของคนที่แตกต่างจากเราว่าเขาอยู่กันยังไง ใช้ชีวิตกันยังไง รวมถึงด้วยความที่เราเป็นนักแสดงเราก็ต้องคอยศึกษาตัวละครของเรา ต้องคอยทำรีเสิร์ชว่าคนจริงๆ แบบนี้เขาคิดกันยังไง ก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่มีผลทำให้เป็นเราในทุกวันนี้ที่มาทำเรื่องสิ่งแวดล้อมครับ
ตอนนี้เราก็ได้ใช้ต้นทุนของการเป็นนักแสดงมาช่วยในโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมด้วย ไม่ว่าจะเป็นช่องยูทูบที่เราทำอยู่ หรือว่าสื่อต่างๆ หรือสกิลในการแสดง สกิลในการพรีเซนต์ข้อมูลของตัวเองออกมา ที่เราได้เรียนรู้จากการเป็นนักแสดงก็มาช่วยในงานบรรยาย ในงานจัดค่าย โดยเอาโลกของ Entertainment (บันเทิง) เข้ามาเกี่ยวข้อง
เพราะฉะนั้นผมมองว่าเหมือนกับเราเอาสิ่งที่เราสะสมมาจากตรงนู้นทีตรงนี้ทีมารวมกัน มันก็หล่อหลอมตัวเราออกมาให้เป็นในสิ่งที่เราเป็นทุกวันนี้ และเราก็เอาความชอบกับสิ่งที่เราอินมาถ่ายทอดในงานด้านสิ่งแวดล้อมของเราอีกทีครับ
ครอบครัวช่วยซัพพอร์ตในสิ่งที่เราสนใจรวมถึงวางพื้นฐานทักษะต่างๆ อย่างไรบ้าง?
จริงๆ คุณแม่ของผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเรียนครับ ต่อให้เราเล่นละคร กองถ่ายละครที่เราเล่นตอนเด็กเขาก็จะรับรู้กันทุกเรื่องว่าเราเล่นได้แค่เสาร์อาทิตย์ ไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้เราต้องทิ้งการเรียนเลย
คุณแม่มองว่าการเล่นละครคือการหาประสบการณ์ชีวิต อยากให้เราได้มีประสบการณ์เยอะๆ ได้รับโอกาสดีๆ เขาไม่ได้มองในแง่ว่าจะพึ่งพาเราจากการทำงาน แต่มองว่าเราต้องเรียนให้ถึง เพราะพ่อแม่ก็ทำงานหนักและเหนื่อยกันเพื่อส่งเราเข้าโรงเรียนที่ดีก็เลยไม่อยากให้ทิ้งการเรียน เราก็จะให้ความสำคัญกับการเรียนมาก
แล้วคุณแม่ก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องกิจกรรมมากเหมือนกัน เพราะเราเป็นเด็กที่ชอบเล่นกีฬามาก จริงๆ ตอนเด็กจนถึงตอนนี้ผมชอบฟุตบอลมาก ตอนเด็กๆ คุณแม่ก็จะคอยซัพพอร์ตเวลาไปแข่งหลังเลิกเรียน ซึ่งตัวผมเองเคยเรียนมาแทบจะทุกอย่าง ทั้งวิ่ง ว่ายน้ำ กอล์ฟ แบดมินตัน หรือเทควันโดก็เรียนจนถึงสายดำ ได้ไปแข่งทั้งในและต่างประเทศก็มี เพราะคุณแม่ก็จะขยันให้ลูกๆ ได้เรียนครบทุกอย่าง
ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและการอยู่ในธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้วจากการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ผ่านมา รวมถึงที่โรงเรียนเราเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
แต่ทั้งหมดทั้งมวลคุณแม่จะให้เรามีเวลาให้กับการเรียน และใช้เวลาที่เหลือให้เป็นประโยชน์ ก็ค่อนข้างเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อเราโตขึ้นมา เวลาที่จะหยิบจับอะไรเราก็รู้สึกว่าตัวเองมีพื้นฐานคล้ายๆ แบบนี้มาก่อน จะไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว คิดว่านี่เป็นข้อดีมากๆ ที่เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมเยอะๆ ยิ่งในยุคสมัยนี้ผมมองว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนก็สำคัญ
เพราะการเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นสิ่งที่ทำให้คนคนนึงจัดการตัวเอง แล้วก็มีชีวิตที่ประสบความสำเร็จในทางของตัวเองได้ง่ายขึ้น หากในวัยเด็กมีคนรอบข้างคอยสนับสนุนในทุกอย่างที่เราอยากทำ
แล้วอเล็กซ์เริ่มมาทำกิจกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างจริงจังตอนไหน?
หลังจากที่เรียนจบจากนิเทศ จุฬาฯ ตอนนั้นอายุประมาณ 22 ปี มันก็มีหลายๆ อย่างที่อยากจะทำแต่ก่อนหน้านั้นทำไม่ได้ เพราะเรามีแต่เรียนกับทำงาน พอเรียนจบเลยก็อยากลองไปดำน้ำ ไปเรียนดำน้ำแล้วก็ชอบมาก ติดใจมาก
คิดว่าการดำน้ำเป็นการพลิกอะไรหลายๆ อย่างครับ เรารู้สึกว่าพอเราได้อยู่บนเรือ ได้ดำน้ำ ได้อยู่ใต้ทะเล มันเป็นจุดที่เรามีความคิดทันทีเลยว่าเราอยากจะทำงานด้านนี้ต่อไป และก็ได้กลับมาเจอกับอาจารย์ที่เราเคยเจอตอนอายุ 10 ขวบ เลยได้มาทำเรื่องช้างต่อ ไปเป็นอาสาช่วยเขาบ้าง แล้วก็ระดมทุนเพื่อที่จะไถ่ชีวิตช้างเด็กอายุ 2-3 ขวบ จากภาคใต้ และเราก็พาเขามาทำกิจกรรมกับเด็กๆ ที่มีความต้องการพิเศษ ทั้งกลุ่มดาวน์ซินโดรม ออทิสติก
ซึ่งการที่เราไปทำกิจกรรมตรงนั้นอยู่เรื่อยๆ ก็เริ่มรู้ขึ้นเยอะเรื่อยๆ ว่าการอนุรักษ์คืออะไร ได้เริ่มเข้าป่า เริ่มทำอะไรต่างๆ เลยมาคิดว่า EEC จะเป็นไปได้ไหม เพราะเราอยากให้มีแพลตฟอร์มเล็กๆ ที่คนสามารถมาเข้าค่าย มาเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ และเห็นความสำคัญว่าการศึกษาและการอนุรักษ์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องไปคู่กัน เลยเปิด Environment Education Center ขึ้นมาเมื่อปี 2015 ซึ่งตอนนั้นเราอายุประมาณ 25 แล้วก็มีคนให้ความสนใจขึ้นเรื่อยๆ องค์กรก็เติบโตขึ้น กลายเป็นว่าเราก็มาทำงานตรงนี้แทบจะครึ่งๆ กับการแสดงเลย เผลอๆ ตอนนี้มากกว่าด้วยซ้ำ
เป้าหมายของ EEC โดยส่วนตัวคืออยากให้เยาวชนได้ลองมาอยู่ในธรรมชาติเหมือนกับเรา อยากให้มีแพลตฟอร์มที่คนได้มาเรียนเหมือนเรา และอยากให้คนเข้าใจเรื่องของสังคมมากขึ้น
เพราะผมเชื่อว่าในแง่มุมของสิ่งแวดล้อมก็เรื่องหนึ่ง แต่แง่มุมของการสร้างทักษะชีวิต เพื่อให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตของคนก็สำคัญ
ซึ่งพอเราได้มาทำเรื่องของสิ่งแวดล้อมแล้ว เราจะให้ความสำคัญกับคนในพื้นที่ อย่างเรื่องทะเลเราก็จะพูดถึงชาวประมง ความเป็นอยู่ของเขาเป็นยังไง สิ่งแวดล้อมต้องดีแค่ไหนเขาถึงจะอยู่ได้
แม้ว่า EEC เป็นโครงการแรกที่ทำ แต่ว่าเราก็ทำอย่างอื่นด้วย อย่างเช่นการไปช่วยมูลนิธิต่างๆ แต่ EEC เป็นโครงการที่เราเริ่มด้วยคนไม่กี่คน แล้วก็อยู่ในทุกๆ ขั้นตอนตั้งแต่จดทะเบียนบริษัท ขนของ ช่วยบรรยาย ทุกหน้าที่ในช่วงแรก ก็น่าจะเป็นสิ่งแรกที่เราเริ่มด้วยตัวของเราเองจริงๆ ครับ
ภายใต้องค์กร EEC มีกิจกรรมอะไรบ้าง ?
EEC เป็นค่ายให้เด็กๆ มาเข้าร่วมเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน บางค่ายก็จะมีครอบครัวมาด้วย และบางค่ายก็จะมีเด็กๆ อย่างเดียว โดยหลักๆ ก็เป็น Marine Life ที่เป็นทะเล แล้วก็ Wild Life ที่เป็นป่าครับ
ในส่วนของทะเลก็จะมีให้เข้าร่วมตั้งแต่วัย 3 ขวบครึ่ง เป็นกิจกรรม snorkeling (ดำน้ำตื้น) ไปจนถึงอายุ 8 ขวบที่เรียน Scuba Diving (ดำน้ำลึก) ในสระได้ แล้วก็เด็กอายุ 10 ขวบ เป็นกิจกรรมนักดำน้ำ และปฏิบัติการดำน้ำลึก ทั้งในสระและในทะเล
ส่วนพาร์ทป่าก็มีตั้งแต่กาญจนบุรี เขาใหญ่ ปีนี้ไปดอยอินทนนท์ ไปจัฃฃงหวัดเลย บุรีรัมย์ แล้วแต่ว่ามีที่ไหนที่เรามาทำในรูปแบบค่ายแล้วผู้เข้าร่วมน่าจะสนใจ ก็จะค่อยๆ กระจายไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ก็มีการ Colaborate (ร่วมมือ)กับองค์กรอื่นๆ ที่อยากจะทำโปรเจกต์เรื่องความยั่งยืนในทาง Action ทางสื่อต่างๆ
EEC ตอนนี้เลยจะแบ่งเป็นครึ่งๆ คือค่ายของเราเอง และกิจกรรมที่เราไปเข้าร่วมกับองค์กรอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งเขาก็จะมาเข้าร่วมกับเราในประเด็นต่างๆ ออกมาในรูปแบบของกิจกรรม ซึ่งในส่วนของการเข้าร่วมขององค์กรต่างๆ ถ้าภาครัฐมีโปรเจ็กต์ที่อยากจะสร้างกระบวนการเรียนรู้ประเด็นใดก็ตาม ก็จะมีการร่วมมือกันที่ค่อนข้างจะ Flexibility (ยืดหยุ่น)และหลากหลาย โดยมีตั้งแต่โปรเจ็กต์ 3 วัน 2 คืน 4 วัน ไปจนถึงโปรเจ็กต์ที่เป็นปีครับ
ในส่วนของโครงการกอดป่ากอดทะเลมีที่มาอย่างไร?
โครงการกอดป่าเริ่มต้นเพราะผมได้มีโอกาสเดินทางไปร้องเพลงในฐานะนักแสดง ก็รู้สึกว่าคงจะดีถ้าเรามีแพลตฟอร์มที่เอาอาสาสมัครไปสร้างเวทีเหล่านี้ในต่างจังหวัดได้ เพื่อที่จะสร้างนักอนุรักษ์ในพื้นที่ จึงทำเป็นโปรเจ็กต์ขึ้นมาครับ
ปกติแล้วค่าย EEC จะเหมาะกับครอบครัว เด็กเล็กและคุณพ่อคุณแม่ เราก็มาคิดว่าจะทำยังไงให้ได้กลุ่มวัยรุ่นอายุ 18-35 ปี วัยทำงาน เพิ่งเริ่มทำงาน หรือเพิ่งเรียนจบที่อยากเดินทาง เราอยากจะสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ สร้างกิจกรรมที่อยู่ภายใต้การให้ความรู้ของ EEC เลยทำขึ้นมาเป็นโปรเจ็กต์แรก
ครั้งแรกเราทำเป็นออฟไลน์ โดยไปที่กระบี่และไปสร้างเวทีสิ่งแวดล้อมศึกษาอยู่ที่นั่น แต่พอเจอโควิดเราเลยปรับมาเป็นออนไลน์ 2 ปีแล้ว โดยที่มีนักแสดงเข้ามาช่วย มีการเดินทางไปเพื่อเอาประเด็นสิ่งแวดล้อมต่างๆ มาจัดกิจกรรม
แต่พอมาปีนี้เราก็วางแผนที่จะทำทั้งออนไลน์และออฟไลน์ครับ โดยตอนนี้อยู่ในช่วงกำลังวางแผน แต่หลักๆ แล้วเราอยากจะชวนคนที่ชอบเรื่องนี้มาทำกิจกรรมด้วยกัน สนุกไปด้วยกัน ทำให้มันเป็นประโยชน์ต่อธรรมชาติของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยกลุ่มเด็กที่เราไป Educate (ให้ความรู้) ก็จะเป็นเด็กในพื้นที่นั้นๆ เลย สมมติว่าเราไปกระบี่ ก็จะเป็นเด็กกระบี่ อย่างปีที่แล้วเราไปน่านก็ไปสร้างกระบวนการให้กับเด็กที่น่าน รวมแล้วใน 2-3 ปี ที่ผ่านมาก็ไปมา 10 จังหวัด ซึ่งเราจะชวนอาสาสมัครจากกรุงเทพฯ หรือใครก็แล้วแต่ที่สนใจมาทำกิจกรรมด้วยกัน
แนวทางการจัดกิจกรรม ‘กอดป่ากอดทะเล’ เป็นอย่างไร?
เราใช้หลักการของ Edutainment (การให้ความบันเทิงควบคู่สาระความรู้) คือ Entertainment กับ Education ครับ ถ้าเรา Educate อย่างเดียวก็อาจจะน่าเบื่อ เพราะประเด็นสิ่งแวดล้อมบางทีมันเป็นวิชาการและฟังยาก ดูไกลตัว แต่ถ้าเราเอา Entertainment เอาเพลง เอา Action (การปฏิบัติ) มาเกี่ยวข้อง มันก็น่าจะช่วยในการเข้าถึง Message ตรงนั้นได้ เพราะฉะนั้นกิจกรรมของเราจึงเป็นการใช้ Entertainment เป็นตัวนำ
อย่างที่ทำบนยูทูบก็จะทำเป็นรูปแบบของ Vlog หรือสารคดีสั้น ที่พยายามจะให้มี Entertainment ด้วย ไม่ใช่ใส่แค่ประเด็นสิ่งแวดล้อมที่มันหนักจนเกินไป เราอยากให้คนดูเพลินไปด้วยเหมือนได้ไปเที่ยวกับเรา ไม่ได้จริงจังมาก แต่ก็ได้ประโยชน์โดยที่เขาค่อยๆ ซึมซับเข้าไป ไม่ Informative (ให้เชิงข้อมูล) จ๋าจนเกินไป
EEC สร้างทักษะให้กับเด็กและผู้ที่มาเข้าร่วมอย่างไรบ้าง?
เด็กๆ ที่มาที่นี่เขาจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง คือความรู้ด้านธรรมชาติก็มีอยู่แล้ว เพราะกิจกรรมมาแบบนี้ แต่อย่างปีนี้เรามีผู้เชี่ยวชาญที่ทำเรื่อง Child Development (พัฒนาการเด็ก) เข้ามาบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง Parenting (การเลี้ยงดูลูก) ด้วย การที่พ่อแม่มาที่ค่ายเราก็เหมือนสามารถมาปรึกษาได้ หรือมาสังเกตลูกในการทำกิจกรรม เพราะฉะนั้นก็คิดว่า EEC เป็นที่ที่สร้างทักษะชีวิตให้กับเด็กๆ มาก เลย เคยมีเคสที่เด็กกลับไปแล้วเรียนได้ดีขึ้น สอบได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปเรียนพิเศษ
ผมคิดว่ามันเป็นการพัฒนา ช่วยเรียงความคิดของเขา และสร้างความเข้าใจในหลายๆ อย่างผ่านการทำกิจกรรมที่เขาชอบ และมันก็จะส่งผลดีให้กับด้านอื่นๆ ในชีวิตของเขาด้วย
คาดหวังอะไรบ้างกับโครงการที่ทำมา?
เราคาดหวังให้คนเข้ามา Connect (เชื่อมต่อ)กับธรรมชาติ ให้อยู่กับธรรมชาติ แล้วรักธรรมชาติ เพราะทุกโปรเจ็กต์ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ เราจะมีการสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้เข้าร่วม
เราไปเข้าร่วมโครงการ CSR อะไรมาเยอะ ก็พยายามที่จะดัดแปลงในทางของเรา อย่างที่เราทำค่าย 3 วัน 2 คืนก็จะมีจุดเริ่มต้น จุดกลาง จุดจบ เหมือนกับหนังเรื่องหนึ่ง เราต้องการให้มันเป็น Experience (ประสบการณ์) ที่ทำให้คนรักธรรมชาติ เพราะผมเชื่อว่าถ้าคนรักธรรมชาติและมีความรู้มากขึ้น เขาก็จะทำตัวเป็นประโยชน์กับธรรมชาติ เราก็เลยทำให้ธรรมชาติเป็นห้องเรียน และพยายามที่จะพาคนออกมา เพื่อศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อมต่างๆ ครับ
จากโครงการที่ทำมาทั้งหมด มีกระแสตอบรับอย่างไรบ้าง?
ฟีดแบ็กค่อนข้างดีเลยครับ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีใครทำในสิ่งที่เราทำ ซึ่งรู้สึกว่าเราโชคดี จริงๆ ตอนแรกไม่คิดว่าจะทำถึงขนาดนี้เลย เพราะเราเป็นนักแสดง คิดว่าถ้าว่างก็คงมาช่วย ไม่ได้คิดว่าจะจริงจังขนาดนี้ แต่พอทำไปเรื่อยๆ และรู้สึกอินเข้าไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากมีส่วนร่วมในทุกๆ โปรเจ็กต์ ฟีดแบ็กก็ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างเวลาเราปล่อยค่ายออกไปทั้งปี ภายใน 2 วันก็เต็ม คนสมัครเข้ามาบางค่ายล้นถึง 2-3 ค่ายก็ยังมี
โดยรวมก็ค่อนข้างที่จะ Positive (ไปในทางบวก) แต่เราก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ประมาท เพราะเราก็เป็นองค์กรที่ต้องคอยประชุม คอยทำงานทุกวันเพื่อพัฒนาให้ดีขึ้น คือถ้ามันดีอยู่แล้วเราก็อยากพัฒนาให้ดีขึ้นไปอีก แต่ถ้ายังไม่ดีเราก็มานั่งประเมินว่าทำไม เพราะฉะนั้นเราก็ไปเรื่อยๆ แบบนี้ครับ
โดยส่วนตัวอเล็กซ์คิดว่ามีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องปลูกฝังเด็กให้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อม?
ผมคิดว่ามันเป็นทางออกทางเดียวในความรู้สึกของผมนะครับ แน่นอนว่าการที่เราจะอนุรักษ์หรือสร้างความยั่งยืนให้กับประเด็นไหนก็แล้วแต่ มันมีหลายๆ คนทำในหลายๆ วิธี ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว
แต่สำหรับผม ผมคิดว่า Education เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และคิดว่าตอนนี้เราสามารถที่จะให้ Education ในเรื่องพวกนี้ให้กับเด็กๆ ได้ คือตอนนี้เราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งค่อนข้างที่จะยากเมื่อพูดในสเกลของประเทศ
เราพยายามที่จะสร้างเจเนอเรชันใหม่ที่ชอบและใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ทั้งต่อตัวเอง สิ่งรอบข้าง และสภาพแวดล้อม ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา
เหมือนกับในต่างประเทศ อย่างที่ผมไปที่เดนมาร์ก เมืองหลวงเขาจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองสีเขียวอันดับหนึ่งของโลก คนที่นั่นเขาก็ใช้ชีวิตแบบเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่ทำด้วยมุมมองของการอนุรักษ์ แต่มันเป็นสิ่งปกติของสังคม เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องทำ
ซึ่งเราก็คิดว่าถ้าวันนึงเมืองไทยเราสามารถที่จะไปในทิศทางนั้นได้ในอนาคตก็คงจะดี คนก็จะหันมาสนใจใช้ผลิตภัณฑ์ที่ Sustainable (ยั่งยืน) หรือการใช้ชีวิตโดยรวมที่ปล่อยคาร์บอนน้อยลงโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปบอก แต่ให้เขารู้เองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเขา ซึ่งสิ่งนี้ควรที่จะสำคัญเท่าๆ กับวิชาอื่นๆ ที่เรียนที่โรงเรียนด้วยซ้ำ
บางวิชาที่เราเรียนมา โตมาก็อาจจะไม่ได้ใช้ แต่การใช้ชีวิตของเรา ความยั่งยืน หรือ Sustainability นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องใฝ่หาสิ่งนี้อยู่แล้วสักวันในชีวิต ก็เลยคิดว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่เราจะปลูกฝังตั้งแต่เขายังเด็ก
คิดเห็นอย่างไรกับคำว่า ‘เด็กยุคนี้เป็นโรคขาดธรรมชาติ’ ?
ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้นะครับ แต่ในอีกมุมนึงมันก็จะอยู่ที่ผู้ปกครอง อย่างผู้ปกครองของกลุ่มที่มา EEC ส่วนมากก็จะเป็นผู้ปกครองที่อยากให้ลูกได้ Back to basic มันก็ขึ้นอยู่กับการเติบโต บ้านของเขา หรือ Household ของเขานั้นปลูกฝังมายังไง
ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เราเข้าใจว่าโลกก็เปลี่ยนไป แต่ผมเชื่อว่าทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของเรานั้นสำคัญ เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ต้องช่วยกันดูแล เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ครับ
มีอะไรอยากฝากถึงคนทั่วไปเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้าง?
อยากให้สนับสนุนในเรื่องของ Education ครับ เพราะว่า Environment Education ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้น ทุกวันนี้เราก็มีธรรมชาติที่สวยงาม แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรตั้งแต่วันนี้ วันนึงมันหมดแน่ๆ และมันจะหมดในยุคของเราด้วย
ถ้าเราไม่ดูแลตรงนี้ ผมเชื่อว่าคงได้เห็นธรรมชาติที่มันเสื่อมโทรมลงมากมายอย่างแน่นอน แต่ถ้าเราช่วยกันตั้งแต่วันนี้ ลูกหลานของเราก็จะทันเห็นความสวยงามในแบบที่เราเห็น และประเทศไทยก็เป็นประเทศที่พึ่งพาธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการดูแลธรรมชาติมันเป็นส่วนหนึ่งในการอยู่รอดของเราด้วย ซึ่งถ้าใครไม่ให้ความสำคัญในเรื่องของความยั่งยืนก็คิดว่าน่าจะอยู่ได้ยากในสังคม เพราะว่าในอนาคตทุกคนน่าจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ครับ
เพจ EEC Thailand : https://www.facebook.com/eecthailand
ภาพ : EECTHAILAND, กอดป่ากอดทะเล