Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: December 2021

พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย
Voice of New Gen
9 December 2021

พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • มายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีความตั้งใจว่าอยากไปเป็นครูดีๆ ในชีวิตเด็กสักคน เพราะตัวเธอที่ผ่านมาไม่ค่อยเจอครูดีๆ
  • “ถ้าครูบอกเราต้องเป็นแม่พิมพ์ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองบิดเบี้ยวยังไง คิดว่าฉันเป็นแม่พิมพ์ ฉันดีแล้ว เด็กที่ออกจากพิมพ์นั้นก็อาจจะกลายเป็นเด็กที่บิด ๆ เบี้ยว ๆ เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้น เราคิดว่าครูไม่ควรเป็นแม่พิมพ์”
  • “เราอยากเป็นครูที่ถามมากขึ้นว่า…เกิดอะไรขึ้น เพราะคงไม่มีใครเกิดมาแล้วอยากทำผิดให้คนอื่นมาว่า ซึ่งเด็กแบบนี้ถ้าเรา force เขามากๆ เขาจะยิ่งหลุดออกไปเลย เราอยากโฟกัสเด็กที่ถูกมองว่าไม่เอาไหน”

“ที่เราเลือกเรียนครูเพราะเราไม่เจอครูที่ชอบเลย…”

เป็นเหตุผลที่ทำให้มายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ ในปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ปีสี่ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความตั้งใจอยากเป็น ‘ครูที่ดี’ ให้กับเด็กสักคน เพราะความเชื่อที่ว่า การได้เจอครูดี ๆ สักคนสามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กคนหนึ่งได้ และในทางกลับกันการเจอครูแย่ ๆ ก็อาจทำให้ชีวิตเด็กคนนั้นพังด้วยเช่นกัน

มายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์

ชีวิตช่วงวัยเรียนอาจสร้างบาดแผลให้ใครหลายคน บางคนนับวันรอเวลาจะได้หลุดพ้นจากช่วงเวลานี้ แต่บางคนอย่างเช่นมายมิ้นเลือกที่จะเข้ามาเป็นคนเปลี่ยนระบบการศึกษาในบทบาท ‘ครู’ เพราะเธอเชื่อว่าอาชีพนี้คืออาชีพที่เปลี่ยนโลกได้ จะมีสักกี่อาชีพที่สามารถติดตั้งทัศนคติให้คน การนัดหมายครั้งนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อพูดคุยกับ Voice of new gen หนึ่งเสียงของคนรุ่นใหม่จากวงการการศึกษา

บทสนทนาต่อไปนี้เป็นอีกหนึ่งความหวังว่าการศึกษาไทยจะเปลี่ยนแปลงรวมถึงสังคม เพื่อจะได้ไม่มีเด็กคนไหนต้องทนทรมานอีกต่อไป

มายมิ้นตอนอยู่โรงเรียนกับคะแนนพฤติกรรมติดลบ

ถ้ามนุษย์สามารถมีสัญลักษณ์แสดงออกทางอารมณ์เหมือนตัวละครในเกมเดอะซิม นักเรียน ‘มายมิ้น’ ในวัยมัธยมคงมีเครื่องหมายคำถามตัวโต ๆ ปรากฏตลอดเวลา

“โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ทุกคนอยากเรียน พอเราเข้ามาเรียนก็แบบ…อะไรวะ? ครูสอนอะไร? ทำไมครูถึงพูดกับเด็กแบบนี้? ทำไมโรงเรียนถึงทำแบบนี้? เรียนตั้งแต่ม.1 – ม.6 เรารู้สึกไม่มีครูคนไหนที่ชอบเป็นพิเศษเลย”

ให้ทหารสอนเด็กจัดแถวในโรงเรียน พาไปเข้าค่ายลูกเสือที่ค่ายทหาร ทำโทษตีนักเรียนหน้าเสาธง ให้ความสำคัญเฉพาะเด็กสายวิทย์ ความฝันนักเรียนโดนดูถูก – บรรยากาศส่วนหนึ่งในโรงเรียนที่มายมิ้นเจอ (เชื่อว่าคงเป็นบรรยากาศร่วมที่หลายคนเคยเจอ) ถามว่ามันส่งผลหนักขนาดไหน ก็ถึงขั้นที่เป็นปัจจัยหนึ่งทำให้เธอเป็นโรคซึมเศร้าต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล

“ประมาณม.5 มีน้องเพื่อนสอบติดโครงการช้างเผือกของมหาลัยที่หนึ่งแต่ไม่ไป เราก็โพสต์ลงเฟซบุ๊กว่า อย่าต่อโรงเรียนนี้เลย (โรงเรียนที่มายมิ้นอยู่) ถ้าใครไปไหนได้ก็ไปเถอะ มีอาจารย์ที่เราสนิทด้วยมาต่อว่า ประโยคที่เราจำได้แม่นเลย คือ เขาบอกว่าเราเป็นคนอกตัญญู ทำไมมีอะไรไม่มาพูดดี ๆ ช่วยกันพัฒนาโรงเรียน โอ๊ย…เราทำมาตั้งแต่ม.1 ทำกิจกรรม แข่งทุกอย่าง ห้าปีที่เราทำเพื่อโรงเรียน แต่สุดท้ายถูกด่าว่าอกตัญญูเพราะเราบอกว่าโรงเรียนไม่ได้ดีขนาดนั้น

“ช่วงม.ปลายเราค่อนข้าง Liberal (เสรีนิยม) จัด ๆ คนก็ไม่เข้าใจว่าเราคิดอะไร ทำไมเราถึงถามแบบนั้น เราคงเป็นเด็กที่ไม่ดีมาก ๆ ในสายตาครูในระบบ เพราะเราไม่พอใจวิชาไหนก็จะไม่เข้าเรียน งานก็ไม่ทำส่ง มาตอนสอบทีเดียวซึ่งเราทำได้คะแนนเกือบเต็ม ยกเว้นคณิตนะ (หัวเราะ)” 

คะแนนพฤติกรรมติดลบห้าร้อยห้าสิบห้าเป็นหลักฐานการใช้ชีวิตในโรงเรียนของมายมิ้น เธอรู้สึกว่ากิจกรรมหรือสิ่งที่นักเรียนถูกบอกว่า ‘ต้องทำ’ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับได้ว่า “ทำไมเราต้องทำ” คำอธิบายเดียวที่เธอได้รับ คือ “ก็มันเป็นกฎ” “ก็เป็นสิ่งที่เขาทำตามกันมานานแล้ว”

“เรารู้สึกว่า…เราอยู่กับสังคมแบบนี้ไม่ได้ เราทนอยู่กับระบบการศึกษาแบบนี้ไม่ได้ เราต้องไปเปลี่ยน เพราะถ้าเด็กคนหนึ่งเจอครูแย่ ๆ เขาจะพังไปทั้งชีวิตเลยนะ เพราะฉะนั้นเราต้องมาเป็นครูที่ดีสักคนสิ

“ถ้าให้ใช้คำใหญ่ เราจะบอกว่าครูคืออาชีพที่เปลี่ยนโลกใบนี้ได้เลย ถ้าเราเจอครูดีสักคน ชีวิตจะดีไปเลย เราก็ขอไปเป็นครูดี ๆ ในชีวิตของเด็กสักคนเถอะ”

มายมิ้นในมหาวิทยาลัย อิสระขึ้นภายใต้พื้นที่ที่ประกอบสร้างจากอำนาจนิยม

ชีวิตมหาวิทยาลัยของมายมิ้นไม่แย่เท่าตอนอยู่โรงเรียน แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศ มายมิ้นนิยามว่า ‘เป็นชีวิตที่มีอิสระ อาจารย์มองนักศึกษาเป็นคนเท่ากัน’ 

“เข้าเรียนวิชาแรกอาจารย์บอก “ไม่ต้องเข้าก็ได้นะ” “ใส่ชุดอะไรก็ได้นะ” แถมอาจารย์แทนตัวเองว่าพี่ด้วย บางสัปดาห์มีคิดธีมนัดแต่งตัว เรารู้สึกว่ามันเป็นบรรยากาศการเรียนที่ดี เจอเพื่อนที่ดี”

‘อาจารย์มหา’ลัยไม่ค่อยสนใจ ปล่อยตัวใครตัวมัน’ วาทกรรมที่เรามักได้ยินบ่อยครั้ง สำหรับมายมิ้นปัดตกสิ่งนี้ทันที เพราะอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เธอสัมผัสต่างเป็นคนที่แคร์และทำให้รู้สึกว่ายังมีคนเชื่อในตัวเธอ 

มายมิ้นยกเหตุการณ์หนึ่งมาเล่าให้ฟัง เป็นช่วงที่เธอได้เรียนวิชา Democratic Citizenship Education เป็นวิชาการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองประชาธิปไตย ทำให้มายมิ้นได้เรียนรู้และเข้าใจการเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ประกอบกับช่วงนั้นมีการยุบพรรคการเมือง มายมิ้นตัดสินใจแสดงออกตามสิทธิพลเมืองระบอบประชาธิปไตย คือ ทำการ Hyde Park (การออกมาชุมนุมเพื่อถกเถียง ปราศรัย พูดคุยในประเด็นต่าง ๆ บนเสรีภาพแห่งการพูด) ตรงลานคณะ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย ตำรวจสันติบาลมาดูด้วย 

เหตุการณ์วันนั้นสำหรับมายมิ้นทำไปเพื่อแสดงจุดยืนของตัวเอง และเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ใครบางคนรู้สึกประทับใจ 

“เราไปเสวนางานหนึ่ง มีอาจารย์อรรถพล อนันตวรสกุล ร่วมงานด้วย ในตอนหนึ่งของเสวนาอาจารย์ได้บอกว่า “เมื่อพูดถึงความหวัง วันที่เกิดม็อบในคณะผม แล้วมีการทิ้งป้ายผ้าลงมาจากตึกเรียน มีการพูดชวนทุกคนในไปม็อบขึ้นมาในคณะ เป็นโมเมนต์ที่ผมรู้สึกว่าผมรู้แล้วว่าผมทนอยู่ที่คณะนี้มายี่สิบกว่าปีเพื่ออะไร” “เรารู้สึกดีใจ น้ำตาคลอทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ เพราะมีคนที่ภูมิใจและเชื่อในสิ่งที่เราทำอยู่ที่นี่ ที่ ๆ เราไม่เคยหาเจอได้ในชีวิต มีอาจารย์ที่มหา’ลัยหลายคนพยายามเข้าใจ ช่วยเหลือเรา เพราะทุกวันนี้เรายังมีเอฟเฟกต์จากโรคซึมเศร้าบ้าง

“สิ่งที่ต่างออกไปจากการเรียนโรงเรียน ที่นี่เขาเห็นเราเป็นคนเท่ากัน เขาเลือกเลยที่จะปฏิบัติกับเราเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง คุยกันอย่างคนเท่ากัน เราเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง”

ที่บอกว่าชีวิตมหาวิทยาลัยดีแต่ไม่มาก เพราะยังมีบางสิ่งที่มายมิ้นไม่เข้าใจ เช่นระบบอำนาจนิยม เธอบอกว่านับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาคุณสามารถสัมผัสการใช้อำนาจได้ตั้งแต่ระดับนักศึกษาถึงมหาวิทยาลัย ต้องเจอกับประโยคที่ยังคงตามหลอกหลอน “ก็เขาทำตามกันมา” 

“นับได้เลยว่าคณะศึกษาศาสตร์ หรือครุศาสตร์ในไทยที่ไม่มีระบบรับน้องโซตัสมีกี่ที่เพราะมันน้อยมาก ถ้าคุณไม่เป็นตัวเองตั้งแต่ต้น ไม่กล้าตั้งคำถาม ไม่กล้าแหกสิ่งที่คนอื่นกดทับคุณไว้ตั้งแต่ต้น แล้วคุณจะไปสอนให้นักเรียนได้ยังไง เราเข้าใจว่า ‘มันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติตามกันมา’ กิจกรรมเพื่อสร้างความใกล้ชิดระหว่างคนในคณะ แต่มันมีวิธีอื่นอีกไหมอะ? ที่ไม่ต้องไปนั่งโดนพี่ว้ากใส่ ไปกินหมูกระทะแทนไหม (หัวเราะ) มันมีวิธีการอื่นอีกมาก ถ้าเราไม่เริ่มด้วยการตั้งคำถามว่า…มันต้องทำแบบนี้เท่านั้นเหรอ มีวิธีอื่นไหม ก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไปเรื่อย ๆ

“เรารู้สึกเหมือนทุกคนกำลังเดินไปพร้อม ๆ กันแล้วเจอกำแพง ทุกคนเลือกที่จะเดินลัด ๆ กำแพงไป เพราะคิดว่าข้างหน้าจะมีทางออก แต่เราคือคนที่พยายามทุบกำแพงและปีนออกไป พยายามบอกทุกคนว่าตรงนี้มันข้ามไปได้ 

“อำนาจนิยมมันเริ่มตั้งแต่เราเป็นนิสิต – นักศึกษา ถ้าไม่ถูกสอนให้ตั้งคำถาม ไม่ถูกสอนให้แหกขนบ ไม่ถูกสอนให้ก้าวข้ามคำว่า ‘ก็เขาทำมาแบบนี้’ เราก็จะอยู่ในอำนาจนิยมต่อไป พอเราเป็นครูถ้าเด็กทำไม่ตรงตามที่เราคิด เด็กตั้งคำถาม เราก็จะมีคำตอบแค่ว่า ‘ก็เขาทำมาแบบนี้’ ตอนเด็ก ๆ เราเคยถามอาจารย์ปกครองที่สนิทกัน ‘ทำไมต้องไม่ให้ใส่ถุงเท้าข้อสั้นด้วย’ เขาก็บอกมันเป็นกฎ! เราก็ถามว่าแล้วแก้ไม่ได้เหรอ? เขาบอกก็ต้องไปแก้ที่กระทรวงสิ

“พอมีโควิดก็ทำให้เห็นว่า…ไม่ใส่ชุดนักเรียนก็ไม่ตายนิ ทำสีผมเรียนก็ไม่ตายนิ ไม่มีใครตายจากสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้มันแก้ได้ เราว่าถ้าจะแก้ระบบการศึกษาต้องแก้ที่ระบบฝึกครูเนี่ยแหละ ต้องทำให้ครูตั้งคำถาม ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจ คุณก็จะได้เด็กที่จะโตไปเป็นพลเมืองที่ไม่ยอมสยบต่ออำนาจ แต่เราต้องยอมรับว่าไม่ใช่ความผิดของอาจารย์มหาวิทยาลัยอย่างเดียว แต่ว่าเราเกิดในสังคมประเทศนี้ที่มีอำนาจนิยมสูง อยู่ในโรงเรียนที่อำนาจนิยมสุด ๆ มันเลยหลุดจากตรงนั้นยาก”

มายมิ้นกับการเรียนเอกสังคมศึกษาและการศึกษานอกระบบ

‘เอกสังคมศึกษาและการศึกษานอกระบบ’ คำแรกพอเข้าใจว่าเรียนเกี่ยวกับอะไร แต่คำหลังชวนให้เกิดอาการงงว่าเป็นครูสายไหน มายมิ้นอธิบายว่าเอกการศึกษานอกระบบ เป็นการเรียนปรัชญาและวิธีการจัดการศึกษานอกระบบโรงเรียนทั้งหมด รวมถึงการศึกษาตามอัธยาศัย ครูที่เรียนเอกนี้จบออกไปสามารถจัดการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ ให้สำหรับคนที่ไม่สามารถเรียนในระบบได้ เช่น Homeschool, กศน. (การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยศัย) รวมถึงโรงเรียนทางเลือกต่าง ๆ 

วิชาที่เรียนก็จะมีหลากหลายตามกลุ่มเป้าหมายที่ต้องจัดการศึกษาให้ เช่น การศึกษาสำหรับผู้ใหญ่ การศึกษาสำหรับผู้สูงอายุ การศึกษาสำหรับสตรี การศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส จุดเด่นของเอกนี้คือการเน้นย้ำประโยคที่ว่า Lifelong Learning ทุก ๆ คนสามารถเป็นคนที่เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต

“เรารู้สึกว่าเอกนี้เป็นเอกที่รองรับความต้องการของสังคม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่เรียนในระบบไม่ได้ แต่คนไม่ค่อยรู้จัก ตอนเข้าเรียนครั้งแรก อาจารย์ถามว่าในระบบกับนอกระบบต่างกันยังไง เราก็ไม่รู้เหมือนกัน งงว่าเรามาเรียนอะไรนะ (หัวเราะ) 

“ความแตกต่างจะอยู่ที่ความเข้มงวดของเนื้อหากับให้ใครเป็นหลักในการเรียน นอกระบบคนสอนดูผู้เรียนเป็นหลักว่าเขาต้องการอะไร ซึ่งที่จริงการศึกษาในระบบมีความพยายามที่จะนำแนวคิด Student Centered เอาผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แต่ด้วยคำว่า ‘ระบบ’ สิ่งที่พ่วงตามมาก็คือความเป็นลำดับชั้น การทำงานแบบ top – down บนลงล่าง คนสั่งไม่ได้ทำ คนทำเองก็ต้องเจอการเปลี่ยนรัฐมนตรีทุก 2 ปี นโยบายก็เปลี่ยนตาม ไม่มีอะไรที่อยู่นาน ก็เลยทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง”

ปัญหาระบบการศึกษาไทยในสายตามายมิ้นก็คือ Centralization การรวมอำนาจไว้ที่ราชการ ทุกอย่างมาจากส่วนกลาง สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ แต่เสียงสะท้อนจากคนหน้างานกลับไม่เคยไปถึง เธอยกตัวอย่างการออกนโยบายที่เหมือนแปะป้ายต้องไปทำ แต่ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม มุมหนึ่งอาจเป็นการเปิดโจทย์ให้กว้างเพื่อให้อิสระคนทำงาน แต่อีกด้านจะทำให้การทำงานไม่มีมาตรฐาน เพราะจะมีทั้งโรงเรียนที่ทำได้ นำนโยบายไปต่อยอดอย่างสวยงาม กับโรงเรียนที่ไม่สามารถทำได้เพราะมีข้อจำกัดของตัวเอง

“เราชอบนโยบายที่ทุกคนได้ทั้งหมดเสมอหน้ากัน นโยบายที่เราชอบแต่ไม่ที่สุดก็คือสมัยที่มีการแจกแท็บเล็ต ตอนนั้นเราก็จินตนาการไม่ออกว่าเด็กจะเอาแท็บเล็ตไปทำอะไร แต่จริง ๆ มันคือการทำให้ทุกคนมีทรัพยากรเท่ากัน คิดดูว่าถ้านโยบายนี้ยังดำเนินต่อไปในโลกที่เกิดโควิด เด็กคงไม่หลุดออกจากระบบการศึกษาเยอะขนาดนี้

“ถ้าให้เราคิดนโยบายเอง…คงไม่เลือกที่จะเป็นคนคิดว่าจะทำนโยบายอะไร เราจะขอคิดกระบวนการทำนโยบายของเรา ซึ่งต้องเริ่มจากนักเรียนต้องการอะไร คนในระบบต้องการอะไร เราเชื่อในกระบวนการ Design Thinking เพราะเราเคยเรียนรู้จากประโยคหนึ่งที่ว่า นิสิตครูไปฝึกสอนแต่นักเรียนไม่ได้ฝึกเรียน นี่คือการเรียนของเขาจริง ๆ เพราะฉะนั้น การเอานโยบายมาทดลองยาเด็กทุก ๆ ปี โคตรจะไม่แฟร์เลยนะ เพราะมันคือชีวิตของเขา”

มายมิ้นในอนาคต

แม้ตอนเลือกคณะเพื่อเรียนต่อ มาจากความตั้งใจแรกที่อยากทำงานตรงสายที่เรียน แต่ระยะเวลาเกือบ 4 ปีก็อาจทำให้ความตั้งใจเปลี่ยนไปได้ มายมิ้นตอนปี 4 เองก็ไม่ได้รู้สึกอยากเป็นครูเหมือนเมื่อตอนปี 1 เธอให้เหตุผลว่า ถ้าเป็นครูให้นักเรียนก็อาจเปลี่ยนคนได้ไม่เยอะเท่าไร แต่ถ้าเป็นครูของครู ช่วยก่อร่างสร้างเขาให้เขาไปเปลี่ยนเด็กคนอื่น ๆ ก็อาจได้จำนวนมากกว่า

“เราเชื่อในศักยภาพตัวเอง ที่เราคิดว่าวันหนึ่งเราอาจจะเข้าไปเปลี่ยนระบบได้ การเป็นครูอาจจะทำงานนี้ยากหน่อย เราก็คิดว่าจะถีบตัวเองไปทำอย่างอื่นที่จะแก้โครงสร้างนี้ควบคู่ไปด้วยกัน ฟังดูยาก แต่จริง ๆ ถ้าเราแก้ระบบการศึกษาได้ แทบจะแก้ปัญหาทุกอย่างในประเทศนี้ได้เลย”

ถึงจะเปลี่ยนจุดหมายแล้ว แต่เรายังอยากเห็นภาพคุณครูมายมิ้นว่า ณ วันหนึ่งที่ตัวเองต้องไปเป็นครู ครูแบบไหนที่มายมิ้นอยากเป็น เธอนิ่งคิดไปพักหนึ่ง คำถามอาจจะยากสักหน่อย เมื่อเปลี่ยนเป็น “แล้วครูแบบไหนที่มายมิ้นไม่อยากเป็น” คำตอบออกมาทันทีว่า “ไม่ลงโทษนักเรียน” คุณครูมายมิ้นจะไม่ลงโทษนักเรียนคนไหนโดยเฉพาะทางกายภาพ ถ้าเขาทำผิดสิ่งแรกที่เธอจะทำ คือ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ให้เด็กได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจ และที่สำคัญคือไม่พูดทำร้ายจิตใจนักเรียน

“เราอยากเป็นครูที่ถามมากขึ้นว่า…เกิดอะไรขึ้น เพราะคงไม่มีใครเกิดมาแล้วอยากทำผิดให้คนอื่นมาว่า ซึ่งเด็กแบบนี้ถ้าเรา force เขามากๆ เขาจะยิ่งหลุดออกไปเลย เราอยากโฟกัสเด็กที่ถูกมองว่าไม่เอาไหน จริง ๆ ก็อยากเป็นครูปกครองเหมือนกันนะ (หัวเราะ)

“เราไม่ชอบคำว่า ‘แม่พิมพ์’ เพราะการทำงานของแม่พิมพ์ คือ การกด การทับให้ออกมาเป็นแบบเดียวกัน แต่เด็กไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ครูที่ดีควรเป็นช่างปั้น เด็กทุกคนเป็นเหมือนดินเหนียวที่ไม่มีใครเหมือนกัน สิ่งที่ครูควรทำ คือ ทำให้เจ้าก้อนกลายเป็นสิ่งที่เขาอยากเป็น “ครูครับ ผมอยากเป็นแจกัน” เราก็ต้องช่วยกันปั้นให้ออกมาเป็นแจกัน”

“ถ้าครูบอกเราต้องเป็นแม่พิมพ์ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองบิดเบี้ยวยังไง คิดว่าฉันเป็นแม่พิมพ์ ฉันดีแล้ว เด็กที่ออกจากพิมพ์นั้นก็อาจจะกลายเป็นเด็กที่บิด ๆ เบี้ยว ๆ เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้น เราคิดว่าครูไม่ควรเป็นแม่พิมพ์”

มายมิ้นในอนาคตข้างหน้าอาจจะเป็นครูหรือใครสักคนที่ทำงานแก้ระบบการศึกษาให้ดีขึ้น ถึงสถานะจะยังไม่ชัดเจน แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจแน่ๆ ว่ามายมิ้นในอนาคตต้องทำ คือ เธอยังคงทำงานขับเคลื่อนสังคมต่อไป “อยากชวนคนที่เป็นนิสิตนักศึกษาครุศาสตร์ คนที่เป็นครู คนที่ทำงานการศึกษา มาช่วยกันข้ามกำแพงนี้ไปให้ได้ ‘กำแพง…ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ ‘กำแพง…ก็มันเป็นกฏ’ ชวนตั้งคำถามกับมันว่ามันจำเป็นต้องเป็นแบบเดิมไหม แก้ได้ไหม”

Tags:

ครูระบบการศึกษาประชาธิปไตยมหาวิทยาลัยหลักสูตรฐานสมรรถนะ

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Learning Theory
    ‘ครูคือคนที่สร้างความแตกต่าง’ ความทรงจำ ตัวตน และจุดยืนการสอน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    เมื่อครู คือ ผู้ทำงานทางการเมือง

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘ครูต้องเชื่อว่าตัวเองมีเสรีภาพที่จะสร้างหลักสูตรในระดับปฏิบัติการ’ แนวคิดที่จะทำให้หลักสูตรฐานสมรรถนะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ : คุยกับ ดร.ออมสิน จตุพร

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social Issues
    ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    แฟนฟิค ทศกัณฑ์ โพลีแคท ธนาธร พ่อหล่อสอนลูก งานวิจัยของเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สนใจแต่ตัวเอง

    เรื่อง

‘การคิดเชิงระบบ’ สมรรถนะการคิดขั้นสูงที่ช่วยเด็กรับมือกับความซับซ้อนของโลกในอนาคต
Character building
8 December 2021

‘การคิดเชิงระบบ’ สมรรถนะการคิดขั้นสูงที่ช่วยเด็กรับมือกับความซับซ้อนของโลกในอนาคต

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • สมรรถะการคิดขั้นสูง คือ ความสามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ บนหลักเหตุผลอย่างรอบด้าน โดยใช้คุณธรรมกำกับการตัดสินใจ ประกอบด้วย การคิดอย่างมีวิจารณญาณ, การคิดเชิงระบบ, การคิดเชิงสร้างสรรค์ และการคิดแก้ปัญหา 
  • วิวัฒนาการของโลกยุคใหม่ต้องการวิธีคิดแบบใหม่ที่ช่วยให้เราเข้าใจและจัดการระบบนี้ได้ต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงกันแบบองค์รวม (holistic) ซึ่ง ‘การคิดเชิงระบบ’ คือคำตอบหนึ่ง 
  • พลังของการคิดเชิงระบบจะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความมั่นใจ มีความเป็นตัวของตัวเอง และจัดการตนเองได้ (Self-Management) 

นอกจากการจัดการตนเอง (Self-Management) การคิดขั้นสูง เป็น 1 ใน 6 สมรรถนะที่หลักสูตรฐานสมรรถนะให้ความสำคัญ สมรรถะการคิดขั้นสูง คือ ความสามารถคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ บนหลักเหตุผลอย่างรอบด้าน โดยใช้คุณธรรมกำกับการตัดสินใจ เข้าใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งรอบตัวที่อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ใช้จินตนาการและความรู้สร้างทางเลือกใหม่ เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างมีเป้าหมาย 

การคิดขึ้นสูง ประกอบด้วย ทักษะและคุณลักษณะที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ 4 ส่วน ได้แก่ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking ) การคิดเชิงระบบ (System Thinking) การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) และการคิดแก้ปัญหา (Problem Solving) 

ต้องคิดแบบไหนถึงจะเป็นความคิดขั้นสูง

ไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือที่บ้าน ทั้งผู้สอนและผู้ปกครองเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยพัฒนาความคิดขั้นสูงในเด็กและเยาวชน ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจการคิดแต่ละรูปแบบกันก่อน 

การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) หมายถึง การคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล เพื่อตัดสินใจว่าสิ่งใดควรเชื่อหรือควรกระทำ ใช้ทักษะและกลยุทธ์ต่างๆ มาประกอบเพื่อความเป็นไปได้ของผลลัพธ์จากการตัดสินใจที่ดี เช่น ทักษะการตีความ การประเมิน การวิเคราะห์ การอธิบายและการสรุปความ การคิดรูปแบบนี้อยู่พื้นฐานของหลักฐาน มีหลักการ วิธีการ กฎเกณฑ์เข้ามาเป็นส่วนประกอบ และนำการสังเกต ประสบการณ์ การสะท้อนคิด การสื่อสารและการโต้แย้งเข้ามามีส่วนร่วม

การคิดเชิงระบบ (System Thinking) หมายถึง การคิดที่แสดงให้เห็นโครงสร้างขององค์ประกอบทั้งหมดที่เชื่อมโยงหรือสัมพันธ์กันในเรื่องนั้นๆ ภายใต้บริบทหรือปัจจัยสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง การคิดรูปแบบนี้เป็นการมองปัญหาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นลงลึกไปทำความเข้าใจแบบแผนหรือรูปแบบพฤติกรรม เป็นกระบวนการคิดเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้ง นำไปสู่การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง

การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) หมายถึง การคิดที่หลากหลาย มีความคิดริเริ่ม มีการประเมิน ปรับปรุงและพัฒนาต่อยอดความคิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาหรือสร้างทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ เป็นรูปแบบความคิดที่อาศัยจินตนาการ อิสระในการคิดที่ต้องการความยืดหยุ่น ละเอียดลออ เพื่อสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ สร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่าต่อตนเอง ผู้อื่นและสังคม 

การคิดแก้ปัญหา (Problem Solving) หมายถึง กระบวนการคิดที่พุ่งเป้าไปที่การแก้ไขปัญหา ซึ่งอาจจำเป็นต้องอาศัยทักษะการคิด 3 รูปแบบก่อนหน้ามาผสมผสาน เพื่อออกแบบแนวทางแก้ปัญหา นำเสนอทางเลือกที่ดี มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับสถานการณ์มากที่สุด การคิดแก้ปัญหาที่ดีควรมีแบบแผนที่ชัดเจนและครอบคลุมทุกมิติ

กระบวนการคิดทั้ง 4 รูปแบบอาจเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่พร้อมกันก็ได้ในสถานการณ์หนึ่ง ทั้งนี้ กระบวนการคิดแต่ละรูปแบบมีความสำคัญมากน้อยแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้า ด้วยเหตุนี้การพัฒนาสมรรถนะด้านการคิดขั้นสูงทั้ง 4 รูปแบบจึงสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพของเด็กหรือผู้เรียน ให้พวกเขามีความพร้อมตั้งรับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต สำหรับบทความนี้จะโฟกัสไปที่การพัฒนาสมรรถนะด้านการคิดเชิงระบบ

การคิดเชิงระบบช่วยจัดการปัญหาที่มีความซับซ้อนในอนาคต

หลายต่อหลายครั้งที่เราพูดถึงโลกที่มีความซับซ้อนมากขึ้นจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ขณะเดียวกันยังทำให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้ง่ายขึ้น วิวัฒนาการของโลกยุคใหม่ต้องการวิธีคิดแบบใหม่ที่ช่วยให้เราเข้าใจและจัดการระบบนี้ได้ ดูเหมือนว่า “การคิดเชิงระบบ” คือคำตอบหนึ่ง เด็กเยาวชนในปัจจุบันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกนวัตกรรม การทำงานร่วมกันไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่เดียวกัน อาชีพมากมายที่ไม่เคยมีมาก่อนกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

ความรู้ในตำราหรือแม้แต่ทักษะบางอย่างจะกลายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญน้อยกว่าความสามารถในการเข้าใจและการคาดการณ์สาเหตุและผลกระทบของระบบต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงกันแบบองค์รวม (holistic) 

ในหนังสือ “The Triple Focus: A New Approach to Education” โดย แดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman) และ ปีเตอร์ เซงเก้ (Peter Senge) ได้นำเสนอมุมมองใหม่ด้านการจัดการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน เพื่อช่วยนำทางผู้เรียนให้ก้าวผ่านโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเร้า สิ่งที่หันเหความสนใจ และเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างผู้คน ความคิด และโลกได้ดีขึ้น 

โกลแมน เป็นนักเขียนชาวอเมริกันและนักข่าวสายวิทยาศาสตร์ หนังสือ “Emotional Intelligence” (ความฉลาดทางอารมณ์) ที่ตีพิมพ์ในปี 1995 ของเขา อยู่ในลิสต์หนังสือขายดีของเดอะนิวยอร์คไทม์เป็นเวลากว่าปีครึ่ง เป็นหนังสือที่ขายดีในหลายประเทศทั่วโลกและได้รับการตีพิมพ์ถึง 40 ภาษา ขณะที่เซงเก้ ศาสตราจารย์จากสถาบันเอ็มไอที (MIT) สหรัฐอเมริกา ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของทฤษฎีการจัดการความรู้ 5 ข้อ หนึ่งในนั้น คือ การคิดเชิงระบบ แม้นักคิด นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และนักปรัชญาหลายสาขาให้นิยามการคิดเชิงระบบแตกต่างกันไป ทั้งนี้ คุณสมบัติที่ทำให้การคิดเชิงระบบมีความสำคัญ ประกอบด้วย 

  • เป็นมุมมองแบบองค์รวม เชื่อว่าทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกัน แต่ละส่วนมีความสัมพันธ์กัน การทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวจึงไม่ควรแยกระบบเป็นส่วนๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบวัฒนธรรม ระบบเศรษฐกิจ ระบบนิเวศ ระบบการเงินการลงทุน ระบบการเมืองการปกครอง เป็นต้น
  • การมองภาพใหญ่ (big picture) คลี่คลายโครงสร้างความสัมพันธ์ทำให้มองเห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เข้าใจความเกี่ยวข้องกันของสถานการณ์รอบด้าน หากเกิดปัญหาสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
  • เป็นมุมมองความคิดที่อาศัยความสงสัยใคร่รู้ (Curiosity) ความชัดเจน (Clarity) ความเห็นอกเห็นใจ/ เข้าใจว่าผู้อื่นคิดอย่างไร (Compassion) การสร้างทางเลือก (Choice) และความกล้าหาญ (Courage)
  • เป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการปัญหาที่มนุษย์ต้องเผชิญในโลกแห่งความเป็นจริงในอนาคต
  • สร้างนิสัยและวิธีการคิดที่ช่วยให้ผู้เรียนรู้ มองเห็นการทำงานที่แตกต่างกันของระบบต่างๆ
ภาพซ้าย ไม่มีระบบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อเอาวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป หรือ นำวัตถุอื่นเข้ามาวางเพิ่ม ภาพขวา ระบบ มองเห็นความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหากนำวัตถุชิ้นใดชิ้นหนึ่งออกไป

ฝึกคิดเชิงระบบสร้างความเข้าใจตัวเองและผู้อื่น

ถึงตรงนี้หลายคนอาจกำลังคิดว่าการคิดเชิงระบบฟังดูคล้ายเป็นงานของหุ่นยนต์มากกว่ามนุษย์ ดูเหมือนเป็นงานยากที่ต้องใช้สมองคิดวิเคราะห์อย่างหนัก ในความเป็นจริงเราใช้การคิดเชิงระบบอยู่แล้วบ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน เพียงแต่หากได้รับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง พลังของการคิดเชิงระบบจะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความมั่นใจ มีความเป็นตัวของตัวเอง และจัดการตนเองได้ (Self-Management) 

ทั้งนี้ การเขียนแผนที่ ตาราง ชาร์ต กราฟ หรือการวาดวงจรต่างๆ เป็นขั้นตอนสำคัญของการสร้างการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิดเชิงระบบ

ตัวอย่างการสร้างการเรียนรู้ด้านการคิดเชิงระบบ หัวข้อ ‘การบูลลี่’ – การถูกแกล้ง รังแกด้วยคำพูดหรือการกระทำ เช่น การตบหัว การล้อพ่อแม่ การพูดจาเหยียดหยาม ถากถาง หรือการล้อปมด้อย เป็นต้น มีขั้นตอนการสร้างการเรียนรู้ ดังนี้

  1. สังเกตและระบุปัญหา

ผู้สอนตั้งคำถามชวนคิดว่า การบูลลี่คืออะไร? มีอะไรบ้าง? นักเรียนเคยถูกบูลลี่ด้วยวิธีการไหน

มาก่อนบ้าง? ให้ผู้เรียนเขียนคำตอบลงในกระดาษ

  1. สะท้อนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์

ผู้สอนตั้งคำถามชวนคิดต่อว่า นักเรียนรู้สึกอย่างไรเมื่อถูกบูลลี่? หรือหากไม่เคยถูกบูลลี่มาก่อน คิดว่าคนที่ถูกบูลลี่จะรู้สึกอย่างไร? หากตัวเองถูกบูลลี่บ้างจะรู้สึกอย่างไร? ขยายขอบเขตคำถามจากความคิดความรู้สึกส่วนบุคคลไปยังชุมชนและสังคม เช่น นักเรียนเคยได้ยินข่าวสารเกี่ยวกับการบูลลี่บ้างไหม? เป็นอย่างไร? เกิดอะไรขึ้นบ้าง? ให้ผู้เรียนเขียนคำตอบลงในกระดาษ

  1. คาดการณ์ ตั้งสมมุติฐานหาสาเหตุ และแนวทางการแก้ปัญหา

ผู้สอนตั้งคำถามต่อว่า นักเรียนคิดว่าสาเหตุของการบูลลี่คืออะไร? แล้วจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร? 

นอกจากแนวทางแก้ปัญหานี้แล้ว ยังมีทางอื่นอีกไหม? ให้ผู้เรียนเขียนคำตอบลงในกระดาษ นักเรียนแบ่งกลุ่ม แลกเปลี่ยนคำตอบที่เขียนในกระดาษระหว่างกัน แล้วนำข้อมูลแต่ละส่วนมารวบรวม จัดหมวดหมู่ เขียนเป็นแผนภาพลงในกระดาษ เพื่อให้เห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงของข้อมูลแต่ละส่วน (ระบบ) 

  1. แต่ละกลุ่มนำเสนอ แลกเปลี่ยนข้อมูลหน้าชั้นเรียน
  2. ผู้เรียนสะท้อนคิดสิ่งที่ได้เรียนรู้ เช่น

สิ่งที่ได้เรียนรู้คืออะไร? ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น? 

อยากปรับปรุงแก้ไขอะไรหรืออยากทำอะไรให้ดีขึ้น?

สิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้จากกิจกรรมนี้ คือ การรู้จักและเข้าใจปัญหาการบูลลี่ ทั้งจากมุมมองของตัวเอง

และผู้อื่น มองเห็นผลกระทบและแนวทางแก้ไขปัญหาจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ระหว่างกันในชั้นเรียน การคิดเชิงระบบพัฒนาผู้เรียนให้เข้าใจ เคารพความคิดเห็น เห็นคุณค่าของตัวเองและผู้อื่น และมองสิ่งต่างๆ จากแง่มุมที่ต่างออกไป

ตัวอย่างการจัดการเรียนการสอนส่งเสริมการคิดเชิงระบบ https://thepotential.org/creative-learning/active-learning-bang-saray/

นิสัยของนักคิดเชิงระบบ

เมื่อผู้เรียนได้รับการส่งเสริมพัฒนาการด้านการคิดเชิงระบบอย่างต่อเนื่อง กระบวนการเรียนรู้จะพัฒนากระบวนการคิดนั้นให้กลายเป็น ‘นิสัย’ ยกตัวอย่างเช่น

  • พยายามเสาะหาเพื่อทำความเข้าใจภาพรวมรอบตัว จากองค์ประกอบต่างๆ ที่เชื่อมโยงถึงกัน
  • พิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในระดับบุคคลและครอบครัว เช่น การบริหารจัดการการเงิน การลงทุน เพื่อวางแผนชีวิต หรือ ในระดับสังคม ประเทศ และโลก เช่น การจัดการภาวะโลกร้อน ความยากจน โรคอุบัติใหม่ และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
  • มีความยืดหยุ่น ยอมรับข้อผิดพลาด เปิดรับข้อมูลความรู้ใหม่ๆ พร้อมปรับเปลี่ยนมุมมองความคิดและวิธีการแก้ไขปัญหา เพื่อหาทางออกที่มีประสิทธิภาพ
  • ไม่หยุดเรียนรู้

‘เวชศาสตร์ฟื้นฟู’ ตัวอย่างการคิดเชิงระบบทางการแพทย์

การทำงานของร่างกายเป็นระบบทางชีววิทยาอย่างหนึ่งที่ประกอบด้วยระบบย่อยหลายส่วนทำงานร่วมกัน การรักษาทางการแพทย์ที่เรียกว่า ‘สมุทัยหเวชศาสตร์’ หรือ ‘เวชศาสตร์ฟื้นฟู’ Functional Medicine) เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นการคิดเชิงระบบทางการแพทย์ได้อย่างชัดเจน

‘เวชศาสตร์ฟื้นฟู’ เป็นองค์ความรู้ทางการแพทย์ที่เน้นการเสาะหาต้นเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค ไม่มองแค่การรักษาอาการเฉพาะส่วนหรือเฉพาะระบบ โดยพึ่งยาหรือสารเคมีในการรักษาเสมอไป ทั้งนี้เพราะการให้ยารักษาอาการโดยเฉพาะในโรคเรื้อรังไม่ใช่การรักษาต้นเหตุของโรค เมื่อหยุดยาแล้วอาการของโรคสามารถกลับมาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยได้อีก ดังนั้น การรักษาแบบเวชศาสตร์ฟื้นฟูจำเป็นต้องใช้กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะบุคคลหลายด้าน เจาะจงไปยังคนไข้แต่ละคน ทั้งข้อมูลส่วนตัวของคนไข้ ประวัติครอบครัว ประวัติสุขภาพวัยเด็ก พฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมถึงข้อมูลจากห้องปฏิบัติการ การคิดเชิงระบบมองว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของแต่ละบุคคลแตกต่างกันตามไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่การกิน การนอนหลับ การทำงาน ความเครียด และการออกกำลังกายมากหรือน้อยเกินไป เป็นต้น

ลักษณะเฉพาะของการแพทย์แขนงนี้ ประกอบด้วยการคิดเชิงระบบ 4 ส่วน คือ 

หนึ่ง ความสามารถในการคาดการณ์สาเหตุของโรค (predictive)

สอง การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาทางป้องกันยับยั้งโรค (preventive)

สาม ความร่วมมือของผู้ป่วย ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่คาดการณ์ว่าเป็นสาเหตุของโรค (participate)

และ สี่ แนวทางการรักษา (proactive) ที่ไม่พึ่งพายาเคมีเท่านั้น แต่ใช้การปรับโภชนาการ รวมถึงการปรับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกร่วมด้วย

ธรรมชาติของการคิดเชิงระบบเป็นกระบวนการคิดที่สร้างความชัดเจน ใช้เหตุผลประกอบแต่ไม่จำกัดกรอบ สามารถทำงานด้วยกันได้ดีกับการคิดเชิงสร้างสรรค์ The Potential จะชวนมาทำความเข้าใจกันต่อในครั้งถัดไป 

บทความที่เกี่ยวข้อง 

การคิดอย่างมีวิจารณญาณ Critical Thinking

การคิดแก้ปัญหา Problem Solving

อ้างอิง

https://www.seenmagazine.us/Articles/Article-Detail/articleid/5386/systems-thinking-helps-learners-succeed-in-today-8217-s-interconnected-world

https://teacher-blog.education.com/how-to-practice-systems-thinking-in-the-classroom-9cbfa3dcd2cf

https://thesystemsthinker.com/systems-thinking-what-why-when-where-and-how/

http://educators.brainpop.com/wp-content/uploads/2014/07/IOP_QDesignPack_SystemsThinking_1.0.pdf

https://www.youtube.com/watch?v=eWWvpamXkEU

Tags:

หลักสูตรฐานสมรรถนะการคิดเชิงระบบ (System Thinking)การคิดขั้นสูงCompetency-based Curriculum

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Character building
    ทุกคน คือ ‘Active Citizen’: สร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ จากเรื่องใกล้ตัว

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    สมรรถนะ ‘การทำงานเป็นทีม’ จิ๊กซอว์ความสำเร็จที่สอนเด็กว่ากระบวนการสำคัญกว่าผลลัพธ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ใช่แค่ได้ยินแต่เข้าใจ : บันไดขั้นแรกของ ‘สมรรถนะการสื่อสาร’ ที่ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Character building
    Self-Management : สมรรถนะการจัดการตนเอง ปูทางเด็กสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายของชีวิต

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘ครูต้องเชื่อว่าตัวเองมีเสรีภาพที่จะสร้างหลักสูตรในระดับปฏิบัติการ’ แนวคิดที่จะทำให้หลักสูตรฐานสมรรถนะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ : คุยกับ ดร.ออมสิน จตุพร
6 December 2021

‘ครูต้องเชื่อว่าตัวเองมีเสรีภาพที่จะสร้างหลักสูตรในระดับปฏิบัติการ’ แนวคิดที่จะทำให้หลักสูตรฐานสมรรถนะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ : คุยกับ ดร.ออมสิน จตุพร

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • “หลักสูตรพยายามทำให้เด็กก้าวทันโลก ก้าวทันสังคมยุคใหม่ แต่วัฒนธรรมในองค์กร ในสังคมไทยที่แฝงฝัง กลับไม่สามารถทำให้ครูหรือคนที่อยู่ในระบบการศึกษาสามารถก้าวทะลุเพดานสิ่งเหล่านี้ไปได้ นี่เป็นเรื่องสำคัญ”
  • คุยกับ ดร.ออมสิน จตุพร อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมศาสตร์การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถึงระบบการฝึกหัดครูในไทย การปฏิรูปวงการครู และการเตรียมครูให้พร้อมกับหลักสูตรฐานสมรรถนะ
  • การทำงานของครูต้องอาศัยทั้งความรู้เชิงเนื้อหา ทักษะการสอน และมีคุณลักษณะความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ คุณสมบัติของคนจะเป็นครูจึงต้องสามารถเข้าใจ เรียนรู้และพัฒนาตัวเองตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เป็นคนที่ทันโลกทันสมัยติดตามข่าวสาร ทักษะเรื่องภาษาและเทคโนโลยีก็สำคัญ 

ตั้งแต่การเกิดพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับแรก พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 22 ปี คุณคิดว่าคุณภาพการศึกษาบ้านเราเพิ่มขึ้น เหมือนเดิม หรือถอยหลัง?

การมาของหลักสูตรฐานสมรรถนะ (Competency – Based Education) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานฉบับใหม่คงเป็นหนึ่งเครื่องยืนยันว่าระบบการศึกษาบ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (แต่จะมุมบวกหรือลบคงขึ้นอยู่ที่มุมมองของแต่ละคน) ที่มาของหลักสูตรดังกล่าวเพื่อเตรียมคนรุ่นใหม่ให้สามารถก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป

คงไม่สามารถพูดได้ว่า มีหลักสูตรดีแล้วจะทำให้การผลิตคนมีประสิทธิภาพตามไปด้วยอย่างง่ายๆ เพราะปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งอยู่ที่ ‘ครู’ ผู้ออกแบบการเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนโดยตรง ซึ่งคุณภาพครูไทยเป็นสิ่งที่สังคมตั้งคำถามมาตลอด และการมาของหลักสูตรสมรรถนะที่กำหนดทักษะสมรรถนะที่เด็กจำเป็นต้องมี ก็ทำให้เกิดคำถามเพิ่มขึ้นว่า แล้วตัวครูผู้สอนมีทักษะดังกล่าวหรือไม่ จะสอนเด็กได้อย่างไร 

The Potential ชวนคุยกับ อาจารย์ ดร.ออมสิน จตุพร อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมศาสตร์การศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถึงระบบการฝึกหัดครูในไทย การปฏิรูปวงการครู และการเตรียมครูให้พร้อมกับหลักสูตรฐานสมรรถนะ

ดร.ออมสิน จตุพร

ครูเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้หลักสูตรประสบความสำเร็จหรือไม่ และสังคมเองก็ถกเถียงเรื่องคุณภาพครูไทยมายาวนาน อยากให้อาจารย์ในฐานะที่เป็นต้นทางผลิตครู ช่วยเล่ากระบวนการฝึกหัดครูในไทย

ระบบฝึกหัดครูยุคแรกๆ เรารับจากอังกฤษ เป็นผลพวงจากอุดมการณ์ของโลกอาณานิคมตะวันตก จุดเปลี่ยนสำคัญคือ การเข้ามาของสหรัฐอเมริกาช่วงหลังสงครามเย็น ทำให้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมาระบบการศึกษาไทยได้รับอิทธิพลจากอเมริกาเป็นหลัก รวมถึงการฝึกหัดครู กระบวนการก่อตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในปัจจุบัน) หรือคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้มหาวิทยาลัยอินเดียนา (Indiana University) ในการก่อตั้ง มีการขยายสถาบันฝึกหัดครูไปในต่างจังหวัด เกิดคณะศึกษาศาสตร์ ครุศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทำให้มีครูจำนวนมากพอสมควรในการเข้าสู่ระบบ 

การฝึกหัดครูช่วงนี้จะเป็นหลักสูตรที่เรียน 4 ปี ซึ่งตัวหลักสูตรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีส่วนที่เป็นวิชาเนื้อหาสาระ (subject matters) วิชาพื้นฐานการศึกษา (foundations of education) รวมถึง วิชาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู หรือการฝึกสอนในโรงเรียน (practicum)  

หมุดหมายสำคัญในการปฏิรูประบบการศึกษาที่ส่งผลต่อการฝึกหัดครูคือ การมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด เกิดพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งเป็นการปฏิรูปวงการการศึกษา เกิดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 ซึ่งเป็นหลักสูตรแบบอิงมาตรฐาน (standard based curriculum) ส่งผลต่อการฝึกหัดครูจากใช้เวลา 4 ปี เป็น 5 ปี และเชิงวิธีคิด เช่น รายวิชาที่ไม่จำเป็นถูกตัดออก ช่วงเวลาฝึกสอนจาก 1 เทอม ขยายเป็น 1 ปีการศึกษา จนปี 61 ภาครัฐปรับหลักสูตรการฝึกหัดครูกลับไปเป็นหลักสูตร 4 ปี เหมือนเดิม และการเข้ามาของหลักสูตรฐานสมรรถนะ 

อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงนี้

ผมคิดว่ามันขาดกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และเป็นธรรม เราพูดในเชิงวิธีคิดนะ คนละประเด็นว่าหลักสูตร 5 ปีหรือ 4 ปีอันไหนดีกว่ากัน เหมือนพยายามผลักดันโดยการใช้อำนาจรัฐแบบนี้ มันอาจผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์จากคนบางกลุ่ม แต่ว่ายังไม่มีความเป็นประชาธิปไตยมากพอ ผมว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในเชิงนโยบาย

ถามว่าการปรับเปลี่ยนส่งผลต่อการฝึกหัดครูอย่างไร ช่วงพ.ศ.2561 มีการกำหนดมคอ.2 (กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ เปรียบเสมือนตัวชี้วัดมาตรฐานของหลักสูตรฝึกหัดครู) ระบุว่าครูควรรู้อะไร เนื้อหา เป้าหมาย วัตถุประสงค์อย่างกว้างๆ ให้แต่ละสถาบันสร้างหลักสูตรฝึกหัดครู ให้อยู่ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิ และกรอบมาตรฐานวิชาชีพของคุรุสภา เป็นการปรับจากหลักสูตร 5 ปี เป็น 4 ปี คนในวงการก็มีความคิดเห็นหลากหลายทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยการพยายามส่งเสียงผ่านเวทีเสวนาอภิปรายทางวิชาการ และตั้งคำถามในพื้นที่สื่อสาธารณะ นับว่ามีการเคลื่อนไหวให้มีการทบทวนถึงแนวทางการฝึกหัดครูที่เหมาะสมทั้งในเรื่องระยะเวลา เนื้อหาสาระ และจุดเน้นของการสร้างครูมากพอสมควรในประเด็นนี้

การปรับหลักสูตรฝึกหัดครูจำเป็นต้องปรับให้เข้ากับหลักสูตรฐานสมรรถนะด้วย

โดยหลักการใช่ครับ การปรับเปลี่ยนหลักสูตรน่าจะเริ่มต้นในพ.ศ.หน้า 2565 ตอนนี้มีบางที่เริ่มทำไปแล้ว หลายๆ สถาบันพยายามนำสมรรถนะที่กำหนดในหลักสูตรมาเป็นกรอบในการปรับปรุงหลักสูตรฝึกหัดครูครั้งใหม่ เพราะในแง่หนึ่งเรากำลังผลิตครูเข้าไปทำงานในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ก็ต้องเตรียมครูให้สอดคล้องกับฐานสมรรถนะที่รัฐพยายามทำให้เกิดขึ้น

เท่าที่ดูตัวสมรรถนะที่กำหนดในหลักสูตรที่เด็กต้องมี เช่น การจัดการตัวเอง การคิดขั้นสูง ฯลฯ โดยปกติเป็นสิ่งที่ครูควรมีอยู่แล้ว แต่ทางปฏิบัติเหมือนเพิ่งเพิ่มเพื่อให้เข้ากับหลักสูตรฐานสมรรถนะ

ในแง่หนึ่งถามว่าใช่ไหม…ใช่ เพราะกระบวนการฝึกหัดครูมันค่อนข้างแยกส่วนกัน ผมว่าในระดับนโยบาย ก็อาจมีนักคิด นักวิชาการ หรือนักปฏิรูปการศึกษาที่คิดเรื่องนี้ แต่พอถึงระดับปฏิบัติการจริงๆ การฝึกหัดครูในสถาบัน เราคงไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพราะคนที่มีอำนาจในการกำหนดหลักสูตร การจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับบริบทนั้นขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารวิชาการ หรือแม้กระทั่งอาจารย์ผู้สอนที่สามารถปรับเปลี่ยนและยืดหยุ่นเนื้อหาสาระและการเรียนการสอนได้ค่อนข้างมากพอสมควร 

จะเห็นได้ว่า อุดมการณ์ความคิดหลายๆ อย่างที่ส่งผลต่อการฝึกหัดครูจนไปถึงระดับปลายน้ำ ระดับโรงเรียนที่เป็นระดับสำคัญ หลายอย่างถูกลดทอนไปพอสมควร ยกตัวอย่างง่ายๆ การสอนแบบ active learning ผมคิดว่าครูหลายคนเข้าใจว่า active learning คือ ต้องมานั่งร้องรำทำเพลง หรือลุกขึ้นมาทำกิจกรรมเชิงสนุกสนาน ซึ่ง active learning ไม่จำเป็นต้องมีการแสดงออกทางกายก็ได้ เราสามารถสอนแบบ active learning ผ่านกระบวนการคิด การตั้งคำถาม การไตร่ตรอง และการวิพากษ์ ที่สำคัญ active learning ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย การปฏิรูปการศึกษาเมื่อปี 42 นักวิชาการในยุคสมัยนั้น อาทิ ดร.รุ่ง แก้วแดง หรือ ศ. นพ. วิจารณ์ พานิช ซึ่งเป็นนักปฏิรูปการศึกษาคนสำคัญ ก็พยายามพูดถึงการเรียนรู้เชิงรุก การสร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (Constructivism) พ.ศ.2542 มันมีความก้าวหน้ามากในเชิงความคิด สำหรับผม active learning เลยไม่ใช่เรื่องใหม่

ใต้ดวงอาทิตย์ไม่มีอะไรใหม่ โดยเฉพาะในระบบการศึกษาที่มันเวียนไปเวียนมา 20 ปี

แสดงว่าแนวทางการผลิตครูบ้านเราจะอิงจากหลักสูตรแกนกลางที่เด็กเรียนเป็นหลัก

โดยหลักการใช่ครับ ก็นำมาสู่ประเด็นที่ว่าครูที่ผ่านหลักสูตรฝึกหัดครูจบไป สามารถเข้าใจแนวคิดหรือการนำหลักสูตรไปใช้ไหม สิ่งที่ผมเน้นมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรแบบไหนก็ตาม มันควรเป็นกรอบที่มีจุดเน้นชัดเจน ในขณะเดียวกันก็ระบุมาตรฐานหรือตัวชี้วัดอย่างกว้างเพื่อเปิดพื้นที่ให้มีการตีความเพื่อให้ครูนำไปสร้างหลักสูตรสถานศึกษา และหลักสูตรระดับปฏิบัติการในชั้นเรียนเพื่อนำไปใช้สอนจริง ครูจะมีเสรีภาพ มีอำนาจในการตัดสินใจผ่านการไตร่ตรองในเรื่องเนื้อหาสาระและวิธีการสอนได้ด้วยตนเอง (autonomy) 

จริงๆ ตัวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้เปิดพื้นที่นี้อย่างเต็มที่ แม้กระทั่งครูสามารถเลือกใช้วิธีสอนแบบไหนก็ได้ที่สามารถพาผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย ประเด็นที่เน้นย้ำเสมอคือ  ครูขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ขาดความตระหนักรู้ว่าตัวเองมีอำนาจ มีศักยภาพของความเป็นผู้กระทำการที่จะเปลี่ยนแปลงหลักสูตรให้เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน ชุมชน และสังคม ซึ่งประเด็นนี้มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายๆ อย่างในสังคมไทย 

ด้วยปัจจัยหรือสภาพแวดล้อมอะไรที่ทำให้ครูไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ 

ผมว่ามันคือปัญหาเรื่องวัฒนธรรมในสังคมไทย ปัญหาวิธีคิดหรือเชิงอุดมการณ์ที่แฝงฝังอยู่ ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่คุมทุกอย่าง ครูไม่คิดว่าตัวเองเป็น actor มีความเป็นผู้ปฏิบัติการ เขาคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ควรออกนอกกรอบ 

พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ.2542 หรือหลักสูตร พ.ศ.2544 รัฐเปิดพื้นที่ให้ครู ผู้อำนวยการโรงเรียน หรือคนในชุมชนทำงานอย่างสร้างสรรค์ สามารถสร้างหลักสูตรเองโดยเลือกสาระการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เหมาะสมกับผู้เรียน อาจจะทำเป็นกิจกรรมรายวิชาเพิ่มเติม กิจกรรมเสริม หรือกิจกรรมชุมนุมก็ได้ 

ในแง่หนึ่งรัฐพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลง ปลดปล่อยวิธีคิดของคนในโรงเรียน ให้ครู ผู้อำนวยการโรงเรียน หรือคนที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการศึกษา แต่ในแง่หนึ่งทัศนคติความคิดของคนในสังคมไทยยังเป็นไปในแนวจารีตค่อนข้างมาก 

แปลว่าต่อให้หลักสูตรหรือระบบเปิดกว้างแค่ไหน แต่วัฒนธรรม หรือทัศนคติบางอย่างของสังคมก็อาจจะส่งผลอยู่?

ถ้าดูตัวหลักสูตรฐานสมรรถนะ การใช้คำ ข้อความ หรือการกำหนดทักษะต่างๆ ผมเชื่อว่าผู้สร้างหลักสูตรรับรู้สถานการณ์บ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลง มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างมากในระบบการศึกษาไทย ถ้าเรามองว่าพื้นที่ตรงนี้ (หลักสูตร) เป็น Public Space พื้นที่สาธารณะหรือ นโยบายสาธารณะ ซึ่งคงไม่สามารถเอามุมมอง ความคิดเห็น หรืออุดมการณ์ของทุกฝ่ายมาจัดวางได้ทั้งหมด 

สิ่งสำคัญ คือ ต้องหาฉันทมติ (consensus) ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความเป็นกลาง ในความหมายที่ถูกทำให้ปลอดการเมือง  แต่เป็นการพิจารณาว่าตรงไหนที่เหมาะสมที่สุดที่ทำให้คนนำหลักสูตรไปใช้ สามารถสร้างหลักสูตรระดับปฏิบัติการและนำไปจัดการเรียนการสอนได้ มีพื้นที่เป็นตัวของตัวเองอยู่มากพอสมควร

แต่เมื่อไปถึงระดับปฏิบัติการ วัฒนธรรมที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของครู ผมมีโอกาสได้คุยกับครูผู้ใหญ่คนหนึ่ง เขาบอกว่าต้องสอนตามแบบเรียนให้จบ มิฉะนั้นก็จะถือว่าไม่จบตามหลักสูตร ทำให้เราเห็นว่าคำว่า ‘หลักสูตร’ ‘แบบเรียน’ ความหมายมันคล้ายคลึงกันในความเข้าใจเชิงมโนทัศน์ของครู ความจริงแล้วแบบเรียนก็คือสื่ออย่างหนึ่งของการเรียนการสอนตามหลักสูตร ซึ่งคงไม่สามารถครอบคลุมการเรียนรายวิชาหนึ่งด้วยหนังสือเล่มเดียว 

วิธีคิดเหล่านี้ทำให้เราเห็นว่า ในวัฒนธรรมโรงเรียนมันมีหลายระดับความคิด ทั้งวัฒนธรรมของครูในระดับปัจเจกและองค์กร รวมถึงเชิงโครงสร้างทางวัฒนธรรมในสังคมไทยที่กำกับไว้ ถ้าจะพูดว่าหลักสูตรฐานสมรรถนะจะสำเร็จหรือไม่มันขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมโรงเรียนสูงมาก ถ้าเรามีผู้นำทางวิชาการทั้งครู และผู้อำนวยการโรงเรียนที่เข้าใจหลักคิดแบบนี้ ก็จะนำไปสู่การร่วมมือรวมพลังกัน อุปสรรคต่างๆ ก็ก้าวผ่านไปได้ 

หลักสูตรพยายามทำให้เด็กก้าวทันโลก ก้าวทันสังคมยุคใหม่ แต่วัฒนธรรมในองค์กร ในสังคมไทยที่แฝงฝัง กลับไม่สามารถทำให้ครูหรือคนที่อยู่ในระบบการศึกษาสามารถก้าวทะลุเพดานสิ่งเหล่านี้ไปได้ นี่เป็นเรื่องสำคัญ

การปฏิรูปวงการครู ควรสร้างสภาพแวดล้อมแบบไหนถึงจะได้ครูแบบที่ควรจะเป็น 

ตอบง่ายๆ อันดับแรกสถาบันฝึกหัดครูต้องเป็นสถาบันที่บ่มเพาะความเป็นประชาธิปไตย ต้นทางของอาจารย์ฝึกหัดครู ต้องไม่ฝักใฝ่เผด็จการและวัฒนธรรมอำนาจนิยม โดยเฉพาะแบบ soft power แต่ตอนนี้อาจารย์ส่วนใหญ่อาจจะตรงกันข้าม วัฒนธรรมในภาพรวมของคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ที่ผ่านมาถูกครอบงำด้วยระบบโซตัส ทั้งทางกายภาพและในเชิงวัฒนธรรม อาจารย์วางตัวเปรียบเสมือนพ่อครูแม่ครู ใช้วัฒนธรรมอำนาจนิยมที่ปัจจุบันไม่มีการกดขี่และการกระทำความรุนแรงทางกาย แต่แปรรูปไปเป็น soft power เช่น การสร้างกลุ่ม FC ของนักศึกษาต่อกลุ่มอาจารย์  อาจารย์สามารถปกครองดูแลนักศึกษาแบบลูก ในที่นี้ คือลูกตามจารีต พ่อครูแม่ครูจะกำกับไปในทิศทางไหนก็ย่อมได้ 

ถ้ามันมีความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ โดยไม่ต้องมาตีความว่าใช้ประชาธิปไตยแบบไทย หรือแบบตะวันตก คือ ทุกเรื่องสามารถพูดคุยกันได้ อาจารย์ศึกษาศาสตร์รุ่นใหม่ต้องสามารถวิพากษ์แนวคิดและจุดยืนครูของครูได้ บนฐานวิชาการและงานวิจัย ถามว่าตอนนี้พูดได้ไหม?…ได้ แต่มีแรงเสียดทานกลับมาหาเรา ถ้าเป็นสังคมประชาธิปไตยจริงๆ ที่ไม่ใช่ลดทอนให้เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ  เป็นสังคมที่มองทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เรื่องแบบนี้สามารถตีแผ่และนำมาคุยบนโต๊ะได้อย่างจริงจังด้วยความเคารพในความเป็นคนที่เสมอหน้ากัน

ความรู้หรือสิ่งที่ครูควรมีเพื่อให้เข้าใจและสามารถใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะอย่างมีประสิทธิภาพ

ผมว่าทักษะที่ครูต้องมี…จะพูดยังไงดี เพราะมันก็กลับไปสู่จุดเริ่มต้น คือ ครูต้องอ่านหนังสือ ครูต้องกลับมาอ่านตัวหลักสูตร ไม่ใช่แค่อ่านเอกสารนะ แต่ต้องทำความเข้าใจผ่านกระบวนการ PLC ทำงานร่วมกันทั้งโรงเรียน ตั้งวงพูดคุยหรือที่ภาษาอีสานเขาเรียกว่า ‘โสเหล่’ ว่า เฮ้ย…หลักสูตรเปลี่ยนแปลง จุดเน้นสำคัญที่ครูต้องรู้คืออะไร สร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันระหว่างคนทำงาน โดยเฉพาะครู ผู้อำนวยการโรงเรียน และคนที่เกี่ยวข้อง

แต่ผมคิดว่าการเกิดสิ่งเหล่านี้ไม่ง่าย เพราะบรรยากาศแต่ละโรงเรียนไม่เหมือนกัน กลับไปสู่ประเด็นเดิม คือ เรื่องวัฒนธรรมองค์กร ผู้อำนวยการหลายคนอาจไม่เข้าใจประเด็นเหล่านี้ด้วยซ้ำ คิดว่าหลักสูตรเป็นเรื่องของครู ครูไปสร้างหลักสูตรขึ้นมาและเอาไปใช้ได้เลย จริงๆ ผู้อำนวยการโรงเรียน คือ ผู้นำวิชาการตัวจริงที่จะนำกลไก นโยบายของรัฐไปใช้ 

ผมเคยทำวิจัยศึกษาปรากฏการณ์การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นของครูในโรงเรียนเทศบาลเชียงใหม่ 11 โรงเรียน ได้คำตอบที่น่าสนใจว่า กระบวนการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ หรือจะมีความยั่งยืน สิ่งสำคัญคือ ผู้บริหารโรงเรียนต้องมีวิสัยทัศน์เข้าใจเรื่องพวกนี้ ถึงจะทำให้เกิดความยั่งยืนได้ ประเด็นผู้อำนวยการโรงเรียนจึงสำคัญมาก ต้องมีทักษะ leadership มีความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ความเป็นนักวิชาการ ไม่ใช่อำนาจนิยม หรือตามจารีต 

ดูเหมือนเราผูกความหวังไว้ที่คน หรือที่จริงเราควรทำระบบให้ดีมากกว่า 

ตอบยาก (หัวเราะ) แต่ก็จริงนะถ้าจะทำให้เกิดความยั่งยืนในโรงเรียนมันต้องมาจากฐานรากก็คือครู เพราะครูไม่ค่อยโยกย้ายสับเปลี่ยนเมื่อเทียบกับผู้อำนวยการ  ผมว่าก็มีความพยายามทำอยู่นะ ไม่ว่าจะกลุ่มครูขอสอน กลุ่มก่อการครู แต่ก็กลับไปที่ประเด็นเดิมคือ วัฒนธรรมองค์กร หรือวิธีคิดจุดยืนบางอย่างของครูแต่ละคน ผมว่าไม่มีคำตอบตายตัวสำหรับเรื่องนี้ ต้องใช้เวลา

แม้ว่าหลักสูตรโดยหลักการจะเปิดให้ครูออกแบบการสอนได้เต็มที่ แต่การมาของหลักสูตรฐานสมรรถนะก็เป็นการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ครูมีอิสระในการสอน ปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลต่อทิศทางการสอน คือ มุมมองทัศนคติของครู มีคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเกิดกิจกรรมเช่นว่า การกราบไหว้แบบสมรรถนะ อาจารย์มองประเด็นนี้ยังไง

ผมเห็นด้วยว่าเกิดขึ้นได้แน่นอน ตัวอย่าง สมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง พลเมืองผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นครูที่มีแนวความคิดแบบจารีตและอำนาจนิยม ไม่ได้คิดในแนวเสรีนิยม หรือแบบฝ่ายก้าวหน้าเขาอาจจะคิดว่าพลเมืองผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น เก็บขยะ ทำกิจกรรมอาสาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องตั้งคำถามกับประเด็นเชิงโครงสร้างที่แฝงฝังอยู่ 

แต่ถ้าเป็นครูที่มีแนวคิดอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตย เขาก็อาจมองว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ ในระดับองค์กรอาจไม่พอ ต้องลงมาเคลื่อนไหวที่ถนน และใช้สื่อสมัยใหม่ในการสื่อสาร ลงมาต่อสู้กับเยาวชน คนรุ่นใหม่ แรงงาน คนที่มีความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้เรื่องนี้นำไปสู่การพูดคุยในพื้นที่สาธารณะมากขึ้น

ถ้าครูมีอุดมการณ์ความคิดความเชื่อบางอย่างเขาจะตีความการสอนไปแบบหนึ่ง ถามว่าเรื่องนี้รัฐคุมได้ไหม? ผมว่าอาจจะได้ในระดับนโยบาย แต่ควบคุมยากในระดับปฏิบัติการ รัฐไทยอาจจะไม่ได้มีความเป็นประชาธิปไตยมากนักในช่วงที่ผ่านๆ มา แต่ผู้มีอำนาจในกระทรวงศึกษาธิการ หรือผู้มีอำนาจระดับบนก็คงไม่สามารถเข้าไปกำกับตรวจสอบครูว่าต้องสร้างหลักสูตร ต้องสอนแบบนั้นแบบนี้ ฉะนั้น ครูค่อนข้างมีพื้นที่มากๆ แต่ด้วยความเป็นสถาบัน หรือองค์กรในระบบราชการแรงเสียดทานหรือวัฒนธรรมองค์กรบางอย่างที่ครูพบเจอในชีวิตประจำวัน จะทำให้ครูอดทน สร้างพื้นที่ต่อรอง ปะทะ ประสานกับอุดมการณ์หลักของสังคมมากน้อยแค่ไหน ผมว่ายังมีพื้นที่แบบนี้อยู่ ตราบใดที่เรายังมองว่าการศึกษา คือ พื้นที่ของการต่อรองทางความคิด มันเป็นพลวัตที่ต้องอยู่กันต่อไปแบบนี้

ถ้าฝ่ายครูสามารถแสดงความคิดเห็น จุดยืนตัวเองได้ ในห้องเรียนก็ต้องเปิดพื้นที่นักเรียนด้วยเช่นกัน ถ้าความคิดไม่ตรงกันก็สามารถคุยกันได้

ใช่ แต่ประเด็นสำคัญคือ ครูที่ไม่ได้มีจุดยืนแบบเสรีนิยมหรือมีอุดมการณ์แบบประชาธิปไตย มักจะไม่มีวิธีคิดแบบนี้ นี่เป็นปัญหาเลย ครูที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยม (conservative) ซึ่ง conservative แบบไทยก็ไม่เหมือนกับฝั่งตะวันตกที่ถึงครูจะเป็น conservative แต่ก็เปิดพื้นที่ให้ถกเถียงได้อย่างอิสระ (deliberative dialogues) ครูในสังคมไทยที่เป็นอนุรักษ์นิยม บางส่วนจริงๆ เป็นฟาสซิสต์ (Fascism) ไม่ยอมให้นักเรียนคิดต่าง กำกับนักเรียนด้วยอำนาจนิยม ซึ่งเป็นปัญหาเชิงวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกมานาน 

เราควรจะหาจุดร่วมตรงกลางในประเด็นนี้ยังไง 

ครูต้องเข้าใจเรื่องนี้ก่อน ถ้าครูไม่เข้าใจผมว่าครูไม่สามารถสอนแบบมีกรอบแนวคิด หรือเลนส์มิติต่างๆ ได้ เรื่องการศึกษาไม่เคยปลอดการเมือง เพราะฉะนั้นคนทำงานการศึกษาไม่สามารถตัดขาดตนเองจากสังคมได้ ทำให้เราเห็นว่าคนที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน หรือครู ถ้าเขาทะลุเพดานหรือมองสังคมแบบที่ไม่กลัวจนเกินไป การอยู่เป็นมันทำให้อยู่สบาย แต่ผมคิดว่าสังคมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ต้องมาจากฐานราก คือ ครูต้องตระหนักรู้ด้วยตนเองเสียก่อน จึงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเรื่องอื่นๆ ตามมา 

การแสวงหาพื้นที่ตรงกลาง หรือจุดร่วม เช่น เรื่องพหุวัฒนธรรม เราต่อสู้เรื่องความหลายหลากทางชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ชนชั้น เพศสภาพ วัฒนธรรม ภาษา หรือแม้แต่เรื่ององค์ความรู้ต่างๆ กว่าจะให้มีคำพวกนี้ปรากฏในเอกสารเชิงนโยบายของรัฐ ตอนแรกเขาใช้คำว่า ‘ท่ามกลางความหลากหลาย’ ยังไม่ใช้คำว่าพหุวัฒนธรรมเลย ซึ่งกว่าคำ หรือแนวคิดพวกนี้จะปรากฏในหลักสูตรชาติ และพระราชบัญญัติการศึกษา มันผ่านกระบวนการเคลื่อนไหวเรียกร้องจากกลุ่มพลังทางสังคมต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่ผ่านมา 20 ปี และเป็นการเคลื่อนไหวจากคนข้างล่าง 

ถ้าเรามองหลักสูตรฐานสมรรถนะอย่างเข้าใจ ในมิติของตัวบทเชิงนโยบายหรือความตั้งใจของผู้สร้างหลักสูตรนี้ขึ้นมา โอ้โห…มันเปิดพื้นที่ให้กับครูที่มีวิธีคิด มีความหวัง มีความฝัน มีจินตนาการที่จะจัดการเรียนรู้ รวมถึงแม้แต่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่นเพื่อให้เหมาะกับบริบทพื้นที่ สิ่งพวกนี้ทำได้อย่างอิสระ

ยกตัวอย่างง่ายๆ การอยู่ร่วมกับผู้อื่นท่ามกลางความหลากหลาย (diversity) ถ้าเราตีความคำๆ นี้ เราอาจใช้เรื่องพหุวัฒนธรรมมาสอนเด็กก็ได้ หรือแนวคิดเรื่องความหลากหลายทางเพศ วิถีชีวิต ความเชื่อ หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ เช่น กลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก เยาวชนปลดแอก ผมว่าเรื่องพวกนี้หยิบขึ้นมาสอนได้

ถ้ามองในภาพรวม อาจารย์คิดว่าคุณสมบัติที่ครูควรมีคืออะไร บางคนบอกว่าครูควรเป็นคนที่เก่งหรือฉลาดที่สุดเพื่อที่จะสอนเด็กได้

ผมคิดว่าคนเป็นครูไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่งที่สุด หรือฉลาดที่สุด ด้วยการทำงานในโรงเรียนมันไม่ได้ต้องการคนที่เก่งหรือฉลาดที่สุดเลย เพราะคนเก่งมากๆ อาจจะไม่สามารถอดทนต่อระบบราชการและวัฒนธรรมองค์กรที่กำกับไว้ เนื่องจากคนเก่งเขาก็มีทางไปเป็นของตนเอง แต่ผมก็ยังเชื่อมั่นว่า เราต้องการครูที่เก่ง ในที่นี้ไม่พูดถึง ความเป็นครูดีซึ่งต้องถูกตั้งคำถามก่อนว่า ความดีคืออะไรเสียก่อน ซึ่งนำไปสู่ความเชื่อว่า ครูต้องเป็นคนดี ก่อนคนเก่ง ซึ่งไม่เห็นด้วย และเมื่อครูคือวิชาชีพ การทำงานของครูต้องอาศัยทั้งความรู้เชิงเนื้อหา ทักษะการสอน และมีคุณลักษณะความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเก่งมีทักษะตรงนี้ อาจจะดีมากด้วยซ้ำ 

คุณสมบัติของคนจะเป็นครูต้องสามารถเข้าใจ เรียนรู้และพัฒนาตัวเองตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เป็นคนที่ทันโลกทันสมัยติดตามข่าวสาร ทักษะเรื่องภาษาและเทคโนโลยีก็สำคัญ 

ผมเคยคุยกับครูคนหนึ่ง เขาเป็นไกด์นำเที่ยวมาก่อน ไม่ได้จบครูโดยตรง แต่อยากมาทำอาชีพครูที่มีความมั่นคง  และเขาก็เป็นครูที่สามารถสอนให้นักเรียนเก่งภาษาและมีทักษะการสื่อสารได้ดี ทำให้เราเห็นว่าคนเป็นครูไม่จำเป็นต้องเรียนครุศาสตร์-ศึกษาศาสตร์โดยตรงก็ย่อมได้ แต่ควรผ่านการฝึกอบรมทักษะที่จำเป็น เช่น การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และการวิจัยในชั้นเรียน ทักษะที่ครูรุ่นใหม่จะต้องมีคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต ความเป็นผู้กระหายใคร่รู้ เป็นทักษะที่ไม่สามารถสอนได้โดยตรง ซึ่งมาจากการรู้จักเปิดกว้างต่อความเปลี่ยนแปลง เข้าใจธรรมดาโลก ไม่ปิดกั้นตัวเอง และก็รู้จักเลือกสรรสิ่งที่เหมาะสมให้แก่ชีวิตของตน 

เมื่อถึงวันที่ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ อาจารย์คิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรในระบบการศึกษาบ้าง

ผมคิดว่ามันน่าจะดีขึ้นเยอะ เท่าที่ผมเห็นกลุ่มครูรุ่นใหม่ๆ ช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา เราเห็นครูที่มีความกระตือรือร้นเยอะขึ้น ไม่ใช่เฉพาะครูแกนนำในกลุ่มครูขอสอน หรือ กลุ่ม insKru เราเห็นครูรุ่นใหม่ๆ ที่อาจจะไม่ใช่ความหมายในมุมอายุอย่างเดียว ครูเจเนอเรชันปัจจุบันส่วนใหญ่ตั้งใจเข้ามาและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง แต่ประเด็นสำคัญ คือ ต้องเสริมพลังให้กับเขา ให้เขารู้ว่าตัวเขามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่าทุกคนพร้อมที่จะขับเคลื่อนหลักสูตรฐานสมรรถนะ แค่ในเชียงใหม่เราเห็นครูกระตือรือร้นกัน มีการอบรมโน่นนี่นั่น แต่ในทางปฏิบัติจะเป็นแบบไหนกลับไปสู่เรื่องที่เราคุยกันตอนต้น 

ถามว่ามีความหวังไหม…มันมีการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ เพราะ 20 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ.2542 การปฏิรูปหลักสูตร พ.ศ.2544 และ พ.ศ.2551 จนถึงปัจจุบันมันมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อาจชัดเจนหรือพร่ามัวบ้างตามแต่บริบทสังคมและการเมืองที่กำหนด ตัวครูก็ต้องเปลี่ยนแปลง และขณะเดียวกัน ฝ่ายสถาบันฝึกหัดครูต่างๆ นั้นไม่ได้ปล่อยให้นักศึกษาครูจบไปแบบไม่มีคุณภาพ หรือครูที่อยู่ในวงการมานาน 20 – 30 ปี หลายๆ คนก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เพียงแต่เขาอาจยังไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงได้

อาจารย์มีความคิดเห็นเพิ่มเติมต่อหลักสูตรฐานสมรรถนะไหมคะ?

โดยส่วนตัวผมคิดว่า หลักสูตรฐานสมรรถนะมีความครอบคลุมและสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้ดีเลยละ มีข้อเสนอเพิ่มเติมในส่วนของการนำไปใช้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สพฐ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) อาจต้องลงทุนในการพัฒนาครูให้มากขึ้น ผมว่าเรื่องนี้สำคัญที่สุด ตั้งแต่ทำให้ครูเข้าใจหลักสูตร ให้เขารู้ว่าเขาสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่แค่หน่วยงานรัฐกำหนดมา แต่เป็นองคาพยพที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาทั้งหมด ทั้งผู้ปกครอง ชุมชน และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้คนตระหนักรู้เรื่องฐานสมรรถนะว่ามันเป็นเรื่องระดับชาติ 

สุดท้ายแล้วอาจารย์มีอะไรที่อยากทิ้งท้ายไหมคะ?

ไม่ว่าจะเป็นครู นักการศึกษา หรือผู้กำหนดนโยบาย ถ้าเราทำด้วยความจริงใจและมองว่าคนทุกคนมีความเท่าเทียมอย่างเสมอหน้า การศึกษาควรสร้างบนฐานของความเป็นธรรม และความเสมอภาคแบบสังคมประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ได้มองว่าทำเพื่อการสงเคราะห์หรือเพราะเขาด้อยกว่าต้องไปเมตตาเขาให้พ้นจากความทุกข์ การสร้างรัฐสวัสดิการทางการศึกษาคือสิ่งที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการขับเคลื่อนแนวคิดและสร้างการเปลี่ยนแปลงจากฐานราก วิธีคิดแบบนี้จะทำให้เห็นว่าการศึกษาเป็นเรื่องของทุกคน นำไปสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ในวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าวันไหน แต่คงเกิดขึ้นพร้อมๆ กับที่สังคมไทยเกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมประชาธิปไตย 

Tags:

ระบบการศึกษาหลักสูตรฐานสมรรถนะดร.ออมสิน จตุพรครู

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Voice of New Gen
    พังกำแพง ‘ก็เขาทำกันมาแบบนี้’ : เป้าหมายของมายมิ้น – ศุกรียา วรรณายุวัฒน์ Voice of new gen วงการการศึกษาไทย

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trendSocial Issues
    เมื่อ ‘หลักสูตร’ อาจไม่ใช่ผู้ร้ายในระบบการศึกษาไทย แต่เป็นปฏิบัติการทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงาน

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ‘ครูพล’ คุณครูสังคมศึกษาที่ไม่สอนตามตำราและเอาแต่ถามว่าทำไม

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skillsEducation trend
    โรงเรียนกำลังสอนวิชาในอดีต ทั้งๆ ที่อนาคตต้องการ 4 ทักษะนี้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

ห้องสมุดแห่งบาเบล : ภาพลวงตาของความหมาย
Book
4 December 2021

ห้องสมุดแห่งบาเบล : ภาพลวงตาของความหมาย

เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

  • ห้องสมุดแห่งบาเบล เรื่องสั้นเขียนโดยนักเขียนชาวอาร์เจนตินานาม ฆอร์เก ลูอิส บอรเกส
  • ห้องสมุดแห่งบาเบล คือ ห้องสมุดทรงหกเหลี่ยมต่อกันไปเรื่อยๆ เก็บรักษาหนังสือทุกเล่มที่เคยมีในอดีต มีในปัจจุบัน และจะมีในอนาคต ทั้งหนังสือที่มีความหมายและไม่มีความหมาย
  • ผู้ที่อาศัยในห้องสมุดแห่งบาเบล พวกเขามีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ในการอ่านและตรวจสอบหนังสือทุกเล่มที่พวกเขาพบเจอ เพื่อค้นหาข้อความอะไรก็ตามที่แอบซ่อนอยู่ในหน้าหนังสือ
  • บางคนเสาะหาหนังสือที่อธิบายทุกอย่างในโลก บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตตามหาหนังสือที่บอกเล่าถึงความหมายของชีวิต ก่อนจะตายไปอย่างไร้ความหมาย เรื่องตลกร้ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเรื่องแต่ง

คุณเคยสงสัยหรือเปล่าว่าเมื่อไรที่เส้นกลายเป็นอักขระ เมื่อไรที่อักขระกลายเป็นคำ เมื่อไรที่คำกลายเป็นประโยคและร้อยเรียงเป็นเรื่องราวในท้ายที่สุด คุณสามารถตอบได้หรือเปล่าว่าขอบเขตและเส้นแบ่งของมันอยู่ที่ไหน 

หากมองในแง่นี้ งานเขียนต่างๆ อาจจะเป็นจักรวาลย่อส่วน ที่เราสามารถใช้ศึกษาแนวคิดด้านภววิทยา (ontology) ได้ การที่เราตั้งคำถามว่า เมื่อไรที่แผ่นไม้กลายเป็นเก้าอี้ มีนัยไม่ต่างกับข้อสงสัยที่ว่า เมื่อไรที่ประโยคเลิกเป็นประโยคและกลายเป็นบทประพันธ์

สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ คือ การนำแนวคิดปรัชญาด้านภววิทยามาหาจุดร่วมกับภาษาและการตีความถ้อยคำต่างๆ ในวรรณกรรม เราสามารถแทนกลุ่มก้อนของอนุภาคเป็นหนึ่งตัวอักษรภาษาอังกฤษ 

สมมติว่า เรามีเก้าอี้ที่เก่าคร่ำครึและหนึ่งในขาของมันหักหลุดออกไป เราไม่ได้บอกว่ามันไม่ใช่เก้าอี้อีกต่อไป แต่กลายเป็นเก้าอี้ที่ขาหัก เช่นเดียวกัน หากผมต้องการที่จะเขียนคำว่า material แต่ดันสะกดผิดเป็น meterial ผมก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าสิ่งที่ผมเขียนมานั้นไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง มันเปลี่ยนจากศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่สะกดผิด ยังคงมีความหมายที่หลงเหลืออยู่ในรูปแบบของตัวอักษรนั้น

เราสามารถผลักดันแนวคิดที่ดูฝืนๆ นี้ให้บ้าบอยิ่งขึ้น ด้วยทฤษฎีบทลิงไม่มีที่สิ้นสุดหรือ Infinite monkey theorem สมมติว่า เรามีลิงจำนวนอนันต์ (infinity จำนวนที่ไม่มีสิ้นสุด) หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับอนันต์ พวกมันแต่ละตัวมีเครื่องพิมพ์ดีดอยู่ตัวละหนึ่งเครื่อง เพื่อกำจัดตัวแปรที่ไม่จำเป็น เราเลยให้ลิงแต่ละตัวเป็นอมตะ ไม่เหนื่อย ไม่หิว และไม่ต้องนอน พวกมันมีหน้าที่ต้องพิมพ์อะไรก็ได้ด้วยพิมพ์ดีด 

แน่นอนว่าพวกมันอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ ผลงานของพวกมันจะประกอบไปด้วยงานเขียนไร้สาระที่สร้างขึ้นจากประโยคที่ไม่มีความหมาย นานๆ ทีอาจจะมีคำเช่น banana โผล่ขึ้นมาท่ามกลางมหาสมุทรของตัวอักษรไร้ความหมาย เพียงเพราะเป็นความบังเอิญตามหลักความเป็นไปได้ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ตรงนั้นเองที่เป็นจุดสำคัญของทฤษฎีบทนี้ หากเราให้เวลาพวกลิงสักพักหนึ่ง (สักพักหนึ่งในที่นี้ อาจยาวนานเท่ากับหรือมากกว่าอายุไขของห้วงจักรวาลก็เป็นได้ – ใครจะรู้) ในที่สุดพวกมันก็จะสามารถเขียนผลงานที่อย่างน้อยก็อ่านออกและ ‘มีความหมาย’ 

และเมื่อเวลาผ่านไป ฝูงลิงจำนวนอนันต์ ก็จะสามารถเขียนผลงานระดับครูอย่าง พี่น้องคารามาซอฟ (หนึ่งในวรรณกรรมชิ้นเยี่ยมผลงานของฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้) ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ใช่ด้วยความสามารถ แต่ด้วยเวลาและความเป็นไปได้

อย่างที่ผมเขียนไว้ว่า เราสามารถลองสมมติว่าหนึ่งตัวอักษร คือ อนุภาคกลุ่มก้อนหนึ่ง ในสเกลระดับนี้ เราสามารถแทนมันเป็นอะตอมหนึ่งอะตอมได้ด้วยซ้ำ ผมคิดว่ายังมีอะไรน่าสนใจให้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกอย่าง แต่ตอนนี้ผมจะพูดถึงเรื่องหลักของบทความนี้ก่อน

หากเราจำกัดความยาวของงานเขียนของพวกลิงให้เหลือสี่ร้อยสิบหน้า และโยนงานเขียนที่ซ้ำกันทุกตัวอักษรทิ้งไป นำมาเย็บเล่มเป็นหนังสือและรวมพวกมันเอาไว้ในสถานที่เดียวกัน สถานที่นั้น คือ ห้องสมุดแห่งบาเบล

ห้องสมุดแห่งบาเบล เป็นเรื่องสั้นความยาวแค่ประมาณเก้าหน้า เขียนโดยนักเขียนชาวอาร์เจนตินานาม ฆอร์เก ลูอิส บอรเกส มีเรื่องสั้นไม่มากนักที่ต้องใช้คำเกริ่นนำความยาวห้าร้อยกว่าคำเพื่ออธิบายแนวคิดของมันให้ดูน่าสนใจ 

ความจริงแล้วผมสามารถเขียนสรุปเรื่องสั้นนี้ในหนึ่งประโยคได้ว่า ห้องสมุดแห่งบาเบล คือ ห้องสมุดที่เก็บรักษาหนังสือทุกเล่มที่เคยมีในอดีต มีในปัจจุบัน และจะมีในอนาคต ทั้งหนังสือที่มีความหมายและไม่มีความหมาย ซึ่งอธิบายแก่นของเรื่องได้ไม่ชัดเจนนัก

ห้องสมุดแห่งบาเบลนั้นมีการออกแบบเป็นห้องทรงหกเหลี่ยมต่อกันไปเรื่อยๆ กำแพงสี่ด้านของห้องจะเป็นชั้นหนังสือสูงใหญ่ชิดเพดาน อีกสองด้านเป็นทางเดินไปยังห้องอื่นๆ และบันไดเดินขึ้นลงไปชั้นต่างๆ ตรงกลางห้องคือช่องว่างระบายอากาศทรงหกเหลี่ยมซึ่งสามารถมองลงไปยังชั้นล่างหรือมองขึ้นไปเห็นชั้นบนได้ (เกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ : ผู้ที่เสียชีวิตในห้องสมุดจะถูกคนอื่นๆ ที่มาพบเจอโยนลงช่องระบายอากาศนี้ ด้วยขนาดของห้องสมุด ร่างของผู้ตายจะร่วงหล่นไปเรื่อยๆ และเน่าเปื่อยเป็นผุยผงก่อนที่จะตกถึงพื้น)

ผู้ที่อยู่อาศัยในโลกของห้องสมุดแห่งบาเบล สำนึกรู้ว่าพวกเขามีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ในการอ่านและตรวจสอบหนังสือทุกเล่มที่พวกเขาพบเจอ เพื่อค้นหาข้อความอะไรก็ตามที่แอบซ่อนอยู่ในหน้าหนังสือ พวกเขาหลายคนทึกทักไปเองว่าข้อความเหล่านั้น คือ ประกาศิตของโลก 

บางคนเสาะหาหนังสือที่จะอธิบายทุกอย่างในโลกอย่างบ้าคลั่ง บางคนก็ใช้เวลาทั้งชีวิตตามหาหนังสือที่บอกเล่าถึงความหมายของชีวิต ก่อนจะตายไปอย่างไร้ความหมายในที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องตลกร้ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเรื่องแต่ง

ตัวเอกที่เป็นผู้เล่าเรื่องนั้นเขียนเอาไว้ว่า บิดาของเขาได้พบเจอหนังสือที่เขียนด้วยตัวอักษร MCV ซ้ำๆ กัน ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย หรือหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยถ้อยคำไร้สาระ ทว่าหน้าก่อนสุดท้ายเขียนเอาไว้ว่า Oh time, thy pyramids. 

นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนหลงใหลในห้องสมุด

ผมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะหลงใหลในห้องสมุดที่บันทึกทุกอย่างเอาไว้ ณ ที่ใดที่หนึ่งในห้องสมุดนั้น มีหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในอดีตของคุณ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแม่นยำ และหากจะพูดให้ถูกต้อง จะมีหนังสือที่เล่าเรื่องของคุณเป็นล้านๆ เล่ม แต่ละเล่มแตกต่างแค่การเรียบเรียง การเลือกใช้คำ หรือแม้แต่การเขียนผิด และแน่นอนว่าจะมีหนังสือที่อ้างว่า มันบอกเล่าเรื่องราวในอนาคตของคุณ แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องหลอกหลวงทั้งหมด

หากคุณสนใจในแนวคิดนี้ โชคดีที่เราไม่จำเป็นต้องจินตนาการอย่างเดียว คุณสามารถไปที่เว็บไซต์ libraryofbabel.info เพื่อลองเล่นกับห้องสมุดบาเบลฉบับย่อได้ 

ยกตัวอย่างเช่นหนังสือเล่มที่ 29 บนชั้นที่สามของผนังหมายเลขสาม ในห้องหนึ่งที่มีหมายเลขห้องยาวเกินไปที่จะเขียน ถ้าคุณเปิดไปหน้าที่ 231 สิ่งที่เขียนอยู่คือวลี it was a pleasure to burn. ซึ่งเป็นวลีเปิดของนวนิยายเรื่อง ฟาเรนไฮต์ 451

ห้องสมุดแห่งบาเบลเป็นผลงานเรื่องสั้นเรื่องโปรดของผม ทุกครั้งที่ผมกลับไปอ่านเรื่องนี้ผมมักจะเจอแง่คิดใหม่ๆ ที่ซ่อนอยู่ระหว่างย่อหน้าต่างๆ แก่นเรื่องของมันหลากหลายจนไม่อาจสรุปได้ด้วยคำเกริ่นความยาวเพียงห้าร้อยกว่าคำ 

ห้องสมุดแห่งบาเบลอาจบอกเล่าถึงสัญญะและความหมาย ซึ่งเกิดจากสิ่งที่ไม่มีความหมายผ่านความนึกคิดและการตีความของมนุษย์ 

ในเวลาเดียวกัน มันก็อาจจะพูดถึงความขัดแย้งของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดที่เกิดจากกฏเกณฑ์ที่ผูกมัดตัวอักษรเหล่านั้นไว้ หรือความเป็นระเบียบที่เกิดจากความยุ่งเหยิงของอักขระและถ้อยคำ หรือทั้งหมดนั้น

ในตอนหนึ่งของเรื่องสั้น ตัวเอกพรรณนาเอาไว้ว่า 

“เนื่องด้วยการรังสรรค์อันงดงามของชั้นหนังสือ, ด้วยความพิศวงของเหล่าตำรา, และด้วยขั้นบันไดอันไม่จบสิ้นนั้น ไม่อาจเป็นอย่างอื่นได้นอกจากผลงานของพระผู้เป็นเจ้า”  

ในสายตาของผม ประโยคนี้อธิบายแนวคิดการให้เหตุผลเรื่องการออกแบบ (Design Argument) อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แนวคิดที่ว่าพระเจ้าย่อมมีอยู่จริงเพราะสิ่งสวยงามและมหัศจรรย์ต่างๆ ในโลกละเอียดซับซ้อนและประเสริฐเกินกว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ มันฟังดูน่าขบขันเมื่ออยู่ในบริบทของห้องสมุดที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญและความเป็นไปได้ล้วนๆ แต่เมื่อเราลองพิจารณาดูแล้วสิ่งนี้ไม่ได้ต่างกับความเป็นจริงในโลกของเราเลย

กลับมาที่ทฤษฎีลิงพิมพ์ดีด เมื่อเราแทนหนึ่งอักษรเป็นหนึ่งอะตอม เราก็สามารถพูดได้ว่า สิ่งต่างๆ ที่มีอยู่และมีความหมายต่อเรา ย่อมเกิดมาจากความบังเอิญของจักรวาล หากเราปล่อยให้ลิงนับล้านล้านตัวเรียงอะตอมอย่างมั่วซั่ว เมื่อเวลาผ่านไปหลายพันล้านปีก็อาจเกิดดวงดาว ดาวเคราะห์ หรือชีวิตขึ้นได้ ส่วนเหล่าตัวอักษรที่ร้อยเรียงกันอย่างไร้ความหมายก็คือสิ่งต่างๆ ที่เรามองไม่เห็นและไม่สามารถเข้าใจได้ 

ในแง่นี้ห้องสมุดแห่งบาเบลคือห้วงจักรวาล และพวกเราทุกคน มิใช่อื่นใด หากแต่เป็นแค่ประโยคสั้นๆ ที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์สุ่ม ไม่ใช่ด้วยเจตนาของใคร (นี่ไม่ใช่การเขียนโจมตีความเชื่อทางศาสนาใดๆ เป็นแค่การตีความของผม)

สรุปแล้ว ผมคิดว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้ เป็นห้องสมุดในตัวของมันเอง ผมอาจจะกำลังมองหาความหมายในประโยคที่ไม่มีความหมายโดยนัย เหมือนกับบรรณารักษ์ในห้องสมุดแห่งบาเบลที่มองหาประกาศิตในตัวอักษร MCV แต่ในท้ายที่สุด สิ่งที่ล้อมรอบพวกเราคือหนังสือนับล้านที่เราอ่านไม่ออก

ความหมายของชีวิตและการมีอยู่อันนับไม่ถ้วน สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับเราที่จะเสาะหาหนังสือเล่มที่ต้องการและตีความมันในแบบของตัวเราเอง 

แท้จริงแล้วภาพลวงตาของความหมาย อาจจะเป็นผลลัพธ์ของเสรีภาพที่เราไม่เคยรู้ว่าเรามี

Tags:

หนังสือการเติบโตปรัชญา

Author:

illustrator

ฌานันท์ อุรุวาทิน

ถึงจะเป็นสาวกมูราคามิ แต่ก็อ่านหนังสือได้หลากหลายแนว ตั้งแต่ปรัชญาตะวันตก ฟิสิกส์ควอนตัม จนถึงมังงะเลือดสาด และไลท์ โนเวล กุ๊กกิ๊ก

Related Posts

  • Book
    แปดขุนเขา – คือขุนเขาลูกไหน…ในใจคุณ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    The Fall: การร่วงหล่นของตัวตน สู่การแตกสลาย และเผยโฉม “มนุษย์สองหน้า” ที่อยู่ภายใน

    เรื่อง เจษฎา อิงคภัทรางกูร

  • Book
    หนทางเดียวที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งรัก คือ ฝึกรัก

    เรื่อง ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ขนิษฐา ธรรมปัญญา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • BookHow to enjoy life
    ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ฟังเสียงผีแมรี่และหลากหลายบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน
Myth/Life/Crisis
3 December 2021

ฟังเสียงผีแมรี่และหลากหลายบุคลิกลักษณะที่ซ่อนอยู่ภายใน

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • หากเราดำเนินชีวิตมาโดยถูกกดทับและตีกรอบจากอะไรหลายอย่าง เราอาจเคยรู้ว่าเราเป็นใคร? แต่หลายห้วงขณะ เรากลับรับรู้ถึงการดำรงซ้อนอยู่ของใครอีกคน หรือการกลายเป็นใครอีกหลายคนเกินกว่าที่เคยเข้าใจ
  • ภัทรารัตน์ ชวนสำรวจบุคลิกภาพหลากหลายที่อาจซุกซ่อนอยู่ภายในกระแสสำนึกของเรา ผ่าน เกรซ มาร์คส์ ที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตด้วยเหตุฆาตกรรมที่เธอเข้าไปมีส่วนร่วม กระทั่งมีจิตแพทย์ที่ต้องการหาคำตอบว่าเกรซมีความผิดจริงหรือไม่ ด้วยการเข้าไปในดินแดนที่ยังมิได้ถูกสำรวจในจิตใจเกรซ
  • เมื่อสังคมหล่อหลอมให้เราเป็นแค่บางอย่าง ซึ่งบางทีก็เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าต้องปฏิสัมพันธ์กับเราด้วยกรอบของการสัมพันธ์กับ อะไร เราก็คุ้นเคยเพียงกับสิ่งนั้น และสูญเสียความเชื่อมโยงกับรูปแบบการดำรงอยู่อื่นๆ ไป

1.

เกรซ มาร์คส์ (ตัวละครจาก Alias Grace) ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ด้วยมูลเหตุฆาตกรรมที่เธอเข้าไปมีส่วนร่วมเมื่ออายุเพียงสิบหกในช่วงปี 1843 ดูเหมือนว่าเกรซในวัยเยาว์นั้นได้ให้การต่อศาลไปตามที่ทนายเกลี้ยกล่อม โดยที่ผ่านมาทั้งทนายและสื่อต่างๆ ก็ดูจะรู้เรื่องของเธอมากว่าตัวเธอเองเสียอีก เพราะเธอเองก็จำรายละเอียดของการฆาตกรรมไม่ได้

อย่างไรเสียเกรซก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดไปแล้วและต้องรับโทษในเรือนจำ ซึ่งมาจนถึงบัดนี้ก็กินเวลายาวนานดุจนิรันดร์ แต่ไม่กี่ปีมานี้เองที่ผู้อำนวยการเรือนจำได้ให้นักโทษประพฤติดีอย่างเธอเข้าไปทำงานบ้านในตอนกลางวันที่บ้านของเขา ซึ่งจะได้กลายเป็นที่นัดพบระหว่างเธอกับจิตแพทย์ ไซมอน จอร์แดน ผู้วิจัยเรื่องโรคทางสมองและระบบประสาท เขาเดินทางมาสืบค้น “ดินแดนที่ยังมิได้ถูกสำรวจ” (a terra incognita) ในจิตใจเธอ เพื่อดึงเสี้ยวความทรงจำอันลอยเลื่อนเลือนหายของเธอให้กลับคืนมา ซึ่งจะทำให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่าเธอมีความผิดจริงหรือไม่?

เกรซอาจได้รับอภัยโทษหากมีข้อสนับสนุนจากแพทย์ว่าเธอเป็นผู้บริสุทธ์

เกรซเล่าเรื่องราวของเธอให้หมอหนุ่มฟัง เธอมีพื้นเพในไอร์แลนด์ พ่อกับแม่ของเธอมีลูกด้วยกันมากมายเกินกว่าที่พ่อผู้ติดเหล้าหนักและชอบข่มเหงจะสามารถหาเลี้ยงได้ พวกเขาจึงอพยพไปสู่ประเทศแคนนาดาอันเป็นดินแดนแห่งความหวังใหม่

เมื่อเรือได้เทียบถึงฝั่งฝัน เกรซได้งานเป็นแม่บ้านประจำของครอบครัวเศรษฐีในโตรอนโตและได้กลายเป็นเพื่อนสนิทกับ แมรี่ แม่บ้านสาวหัวใจนักปฏิวัติซึ่งหมิ่นแคลนชนชั้นที่สูงกว่า แต่กลับตกบ่วงพิศวาสของบุตรชายเจ้าบ้าน เธอตั้งครรภ์กับสุภาพบุรุษผู้ร่ำรวยและเขาก็เลือกจะทอดทิ้งเธอเพื่อรักษาสถานะของตนเอง และแทนที่จะต้องทนอยู่อย่างอับอายและยากแค้น เธอตัดสินใจทำแท้งด้วยคมมีดสุภาพบุรุษ ซึ่งพาเธอไปสู่ปรโลก

หลังจากเพื่อนรักสิ้นใจ เกรซก็ย้ายไปทำงานที่บ้านในเขตชนบทของ ธอมัส คินเนียร์ โดยสาวน้อยต้องทำงานร่วมกับ เจมส์ แมคเดอร์มอตต์ แรงงานหนุ่มท่าทีหยาบกร้าน ซึ่งดูเหมือนว่าได้สานสัมพันธ์บางประการกับเธอ อีกทั้งเธอต้องอยู่ร่วมกับ แนนซี่ มอนต์โกเมอรี่ ซึ่งมีสัมพันธ์สวาทกับคุณผู้ชายและหวาดหวั่นว่าเขาจะหันมาสนใจเกรซ ความระแวงทำให้บรรยากาศในบ้านตึงเครียดขึ้นทุกทีกระทั่งในที่สุด แนนซี่ก็ได้ไล่เกรซและเจมส์ออก น่าเศร้าที่พวกเขาต้องจากลากันด้วยความตาย เจมส์ลงมือฆ่าแนนซี่และเจ้าของบ้านโดยอ้างภายหลังว่าเกรซยุยงให้ฆ่าแนนซี่เพื่อแลกกับรสรัก

หลังบทสนทนายาวนานกับเกรซ นายแพทย์จอร์แดนก็ยิ่งไม่อาจมั่นใจว่าเรื่องเล่าของเธอส่วนไหนเป็นจริงหรือเป็นสิ่งลวง จนท้ายที่สุดเขาก็ได้ปล่อยให้ดร.ดูปองต์ สะกดจิตเกรซ  

แล้วในห้วงภวังค์แห่งการสะกดจิต เกรซก็พูดจาด้วยน้ำเสียง “ไม่เหมือนเกรซ” อีกทั้งก็มีท่าทีที่มิได้รักษามารยาทนักราวกับว่าผีแมรี่กำลังเข้าสิง เสียงนั้นบอกเป็นนัยว่าแมรี่ได้ใช้ร่างของเกรซยั่วยวนเจมส์ รวมถึงมีส่วนร่วมกับเจมส์ในความตายของแนนซี่ด้วย  

แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วเกรซถูกวิญญาณแมรี่สิงตอนลงมือ? หรือเธอมีความผิดปรกติในลักษณะที่มีหลายบุคลิก (dissociative identity disorder -DID) ซึ่งก็คือมีสองบุคลิกหรืออาจมากกว่านั้น โดยแต่ละบุคลิกสามารถจะมีความนึกคิดและพฤติกรรมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

หรือเธอแค่ยืมตัวตนของแมรี่มาบอกเล่าเรื่องราวส่วนที่สังคมไม่อนุญาตให้เธอพูดโดยปราศจากการลงทัณฑ์ กันแน่? 

2.

เกรซ และเสียงของผีแมรี่

นับแต่วัยเยาว์ เกรซเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ชายเป็นใหญ่กว่าหญิง อีกทั้งฐานะทางบ้านก็ทำให้เธอต้องดิ้นรนมาโดยตลอด และความเป็นพลเมืองชั้นรองของเธอก็ยิ่งชัดเจนเมื่ออพยพไปที่แคนนาดา เธอผ่านหลายเหตุการณ์รุนแรงซึ่งสามารถสร้างแผลใจและความไม่ไว้วางใจผู้ชายผู้มีอำนาจมากกว่าได้อย่างลึกล้น แต่เธอก็ยังดำเนินชีวิตต่อไป ในความเข้มแข็งเช่นว่านั้นเธอยังดูอ่อนโยนและน้อมลงให้คนที่มีผลรวมอภิสิทธิ์มากกว่า แต่ก็มีความขบถและชาญฉลาดที่เธอรู้จักซุกซ่อนไว้ เธอมีบุคลิกภาพและการแสดงออกไม่เหมือนแมรี่ และยิ่ง ไม่อาจแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเหมือนแมรี่ที่ตายไปแล้วได้ เพราะความเป็นหญิงในยุคของเธอซึ่งถูกสารพัดสิ่งกดทับและทำให้เงียบนั้น จะถูกปลดปล่อยออกมาอย่างปลอดภัยได้ก็ต่อเมื่อผู้หญิงคนนั้นไม่มีสภาพบุคคลอีกต่อไป.. 

อีกในหนึ่งเสียงของผีแมรี่ ก็คือเสียงที่ผู้หญิงอย่างเกรซซึ่งยังมีชีวิตไม่ได้รับอนุญาตให้เปล่งออกมา แต่หยิบยืมใช้ได้นั่นเอง

เสียงที่เธอนั้นไม่ได้ยิน

หากเราดำเนินชีวิตมาโดยถูกกดทับและตีกรอบจากอะไรหลายอย่าง เราอาจเคยรู้ว่าเราเป็นใคร? แต่หลายห้วงขณะ เรากลับรับรู้ถึงการดำรงซ้อนอยู่ของใครอีกคน หรือการกลายเป็นใครอีกหลายคนเกินกว่าที่เคยเข้าใจ พวกเขาอาจคล้ายหรือแปลกแยกแตกต่างไปจากบุคลิกหลักของเรา บ้างก็เป็นคน บ้างก็คล้ายกับสัตว์ป่า และบ้างก็เป็นเพียงภาวะรู้สึกตัวที่ผสานซ่านไปในอากาศธาตุและผืนป่าซึ่งโอบล้อม

เมื่อสังคมหล่อหลอมให้เราเป็นแค่บางอย่าง ซึ่งบางทีก็เพียงเพื่อจะได้รู้ว่าต้องปฏิสัมพันธ์กับเราด้วยกรอบของการสัมพันธ์กับ อะไร เราก็คุ้นเคยเพียงกับสิ่งนั้น และสูญเสียความเชื่อมโยงกับรูปแบบการดำรงอยู่อื่นๆ ไป 

กระทั่งแม้ไม่มีใครหักห้าม เราก็ได้กักเก็บตัวตนและความทรงจำมากมายเหล่านั้นไว้ในพื้นที่ที่เราเองก็เข้าถึงไม่ได้ และตัวตนในเงื้อมเงาเหล่านั้นก็สามารถขับเคลื่อนให้เรากระทำการบางอย่างไปโดยปราศจากความรู้สึกตัว ซึ่งบ้างก็อาจสร้างผลลัพธ์ที่เราชอบ แต่ก็มักให้โทษบ่อยครั้งกว่าคล้ายเกรซที่อาจเป็นฆาตกรเพราะถูกผีแมรี่สิง

3.

สดับฟัง ปล่อยให้มันปรากฏ

อย่างไรก็ตาม เราสามารถชิงเข้าถึงกระแสเสียงเหล่านั้นก่อนที่มันจะทำลายเรา โดยสามารถเริ่มต้นจาก

  • รู้สึกถึงสิ่งที่รบกวนเราในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้เราหลงใหลอย่างรุนแรง หรือวิตกกังวล หรือโกรธ (ดูตัวอย่างการทำงานกับความโกรธที่ ยักษ์นนทก: โกรธเพราะปล่อยให้คนอื่นล้ำเส้น (และ/หรือถูกสะกิดแผล?) 
  • ตระหนักว่าเรากำลังเสพติดอะไร หรือใส่ใจความฝันของเรา (ดูตัวอย่างการทำงานกับสิ่งที่เราเสพติดที่ Swan Lake 2: ข้อมูลที่จิตสำนึกไม่รับทราบ แต่หาทางไปปรากฏในความฝันและการเสพติด) หรืออาการป่วยไข้ (ดูตัวอย่างการทำงานกับความฝันและอาการป่วยที่ โกลมุนด์: ความทรงจำที่ถูกฝังกลบ การเยียวยาผ่านความฝัน และสัญญาณการเปลี่ยนแปลง) ในเรื่องนี้ดร.มินเดล (Arnold Mindell) นักจิตวิทยาวิเคราะห์ผู้พัฒนาจิตวิทยาเชิงกระบวนการ ได้สังเกตผู้คนที่มีอาการเจ็บปวดทางร่างกายว่ามักจะมีปฏิกิริยาในลักษณะที่ทำให้เจ็บปวดกว่าเดิมราวกับพวกเขาอยากสัมผัสความเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เช่น คนเจ็บตาเอามือไปกดตาตัวเอง หรือคนที่เป็นกลากกลับยิ่งเกา 

มินเดลรู้ว่าร่างกายมนุษย์มีกลไกที่จะเยียวยารักษาตัวเอง และการทำให้อาการแย่ลงอาจเป็นหนึ่งในกลไกนั้น นั่นแปลว่าการ “ขยายอาการ” ออกมาสามารถช่วยทำให้กระบวนการแห่งชีวิตของเราที่ถูกจองจำณ ส่วนใดส่วนหนึ่ง กลับมาไหลลื่นได้อีกครั้ง

ดังนั้น เราสามารถ “เชื่อมโยง” ว่าสิ่งรบกวนใจหรือความป่วยไข้ของเรา ฯลฯ มีเสียง หรือภาพ และสารอะไรบ้าง?

  • เราสามารถพูดคุยกับทีละเสียง และโดยมีความสำนึกรู้และไม่ไปละเมิดผู้อื่น เราสามารถทดลองกลายเป็นสิ่งเหล่านั้นให้ชัดมากขึ้นทีละอย่าง หรือ 
  • ถ่ายทอดมันออกมาเป็นอักษรซึ่งเราอาจบันทึกออกมาเป็นภาษาอื่น ซึ่งช่วยปลดเราออกจากความคิดครอบงำในวัฒนธรรมที่ภาษาหลักของเราสังกัด หรือ
  • เราสามารถวาดภาพที่เห็นออกมาในกระดาษ หรือ
  • เคลื่อนไปโดยไร้การกำกับของเหตุผลตายตัว 

เราสามารถจงใจเล่นบทบาทสมมุติและขยายแก่นสารของสิ่งต่างๆ อันผุดเกิดขึ้นเหล่านั้นซึ่งมักมิใช่บุคลิกหลักของเรา เมื่อมันอยู่ในความรับรู้ เราก็มีโอกาสมากขึ้นที่จะทำความเข้าใจ ปรับแปร หรือเพียงแต่โอบอุ้มมันไปอย่างซื่อตรงได้อย่างนุ่มนวล แทนที่จะต้องถูกขับเคลื่อนด้วยแรงปะทุอันเชี่ยวกรากของสิ่งที่เราไม่ตระหนักว่ามีอยู่ภายใน 

4. 

เมื่อได้ปล่อยให้สารัตถะต่างๆ ที่เคยซุกซ่อนอยู่ มีช่องทางได้เผยตัวออกมาในการดำรงอยู่ของเราได้อย่างรู้ตัวมากมายขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มจะเห็นว่าโลกภายในสามารถเป็นแหล่งบรรจุทุกตัวละครที่เรามองเห็นในโลกภายนอก เมื่อเข้าไปรู้และเรียนรู้จากมัน ก็เสมือนหนึ่งว่าเราได้รู้จักสิ่งที่มีลักษณะทำนองเดียวกันในโลกภายนอกนั้นด้วย หนำซ้ำยังอาจพบเสี้ยวความทรงจำบางอย่างที่หายไป ซึ่งเชื่อมร้อยเหตุการณ์ / ภาวะหนึ่งเข้ากับอีกเหตุการณ์/ อีกภาวะหนึ่ง ทำให้พวกมันเริ่มเชื่อมโยงกันอย่างสมเหตุสมผล หรือเกิดความหมายใหม่ขึ้นมาทั้งที่ก่อนหน้ามันดูเหนือความเข้าใจ

และเราก็ไม่รู้สึกแปลกแยกจากตัวตนและความทรงจำเหล่านั้นอีกต่อไป

อ้างอิง
Alias Grace โดย Margaret Atwood และภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนวนิยายดังกล่าว ซึ่งฉายทาง Netflix
Dreams โดย Carl Gustav Jung แปลจากภาษาเยอรมันเป็นภาษาอังกฤษโดย R.F.C Hull หากสนใจ สามารถเทียบภาษาเยอรมันจาก “Die praktische Verwendbarkeit der Traumananalyse” ใน in Wirklichkeit der Seele 
Working with the Dreaming Body โดย Arnold Mindell
Split personality disorder: Signs, symptoms, causes, diagnosis, and more

Tags:

ซีรีส์จิตใต้สำนึกบุคลิกภาพจิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Life classroom
    ลูกจะนิสัยเหมือนฉันไหม: บุคลิกภาพและการส่งต่อทางสายเลือด

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Myth/Life/Crisis
    การต่อรองและปฏิกิริยาตอบโต้ลำดับขั้นทางสังคมในความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy life
    มองโลกแบบไหนถึงเรียกว่าในแง่ร้าย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsMovie
    Atypical: มุมมองครอบครัวที่ลูกมีภาวะออทิสติก แต่สมาชิกทุกคน (ต้อง) สำคัญเท่ากัน

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

Shoplifters : การรวมตัวกันของคนไม่รู้จัก สร้างหลุมหลบภัยที่ขออ้อมแขนจากคนไม่ทำร้ายกัน
Movie
2 December 2021

Shoplifters : การรวมตัวกันของคนไม่รู้จัก สร้างหลุมหลบภัยที่ขออ้อมแขนจากคนไม่ทำร้ายกัน

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Shoplifter ภาพยนตร์สัญชาติญี่ปุ่น เล่าเรื่องกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลย ทุกคนล้วนมาอยู่ด้วยกันด้วยเหตุผลบางอย่าง
  • หนังค่อนข้างจะชูประเด็นเรื่องครอบครัวที่เราเลือกเองได้ ส่วนตัวเราก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกันว่า ถ้าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แล้วเราเลือกครอบครัวเองได้มั้ย? เหมือนครอบครัวนี้ที่เลือกจะมาอยู่ด้วยกัน แม้จะไม่มีคนเข้าใจหรือกฏหมายบทใดรองรับความสัมพันธ์นี้
  • มีหนึ่งในคำพูดที่เราชอบมากในหนังเรื่องนี้ก็คือ โนบุโยะช่วยยูริจังเผาชุดเก่าๆ ของเธอแล้วพูดกับเด็กน้อยว่า “ที่พวกเค้าตีเธอ ไม่ใช่ว่าเพราะเธอเป็นเด็กไม่ดีนะ ถ้าพวกเค้าพูดว่าตีเธอเพราะรักเธอ นั่นเป็นคำโกหก ถ้าพวกเค้ารักเธอจริง เค้าต้องทำแบบนี้” โนบุโยะคว้าตัวยูริจังมากอดไว้แน่นๆ แนบอกของเธออยู่นาน

Tags:

ภาพยนตร์แบบแผนทางความสัมพันธ์ญี่ปุ่นปัญหาครอบครัว

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Like Father, Like Son : นายไม่ต้องเป็นพ่อแบบที่พ่อนายเป็นก็ได้นะ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    เรียนรู้ที่จะ “ใจกว้าง” ในความขัดแย้งกับครอบครัว เพื่อเราจะได้ไม่ต้องปล่อยมือจากกัน : คุยกับหมอโบว์ – พญ.วินิทรา แก้วพิลา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Dear ParentsMovie
    About time: ความสัมพันธ์ต้องไม่พยายามฝ่ายเดียว คนในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • MovieDear Parents
    Whisper of the heart : เมื่อลูกมีความฝันต่างจากคนอื่น อยากให้ครอบครัวถามไถ่ รับฟัง และเชื่อใจ

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

ทำไมต้องรักตัวเองให้ได้ก่อนจะรักคนอื่น
Relationship
2 December 2021

ทำไมต้องรักตัวเองให้ได้ก่อนจะรักคนอื่น

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ต้องหาคู่ครองเพื่อมีลูกหลานสืบเผ่าพันธ์ การเจ็บปวดเพราะความรักจึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับมนุษย์ แม้ปัจจุบันเราสามารถเลือกเป็นโสด ไม่จำเป็นต้องหาคู่หรือมีลูกหลานแล้วก็ตาม
  • “รักตัวเองให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปรักคนอื่น” คำแนะนำสุดฮิตปลอบใจเมื่อยามเราประสบปัญหาความสัมพันธ์ การรักตัวเองยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน บางก็มองว่าคือการหลงตัวเอง แต่ในสังคมไทยมองคำนี้ในแง่บวก
  • มีงานวิจัยพบว่า หากใครรักตัวเองไม่มากพอในแง่ของการไม่เห็นของคุณค่าตนเอง คนนั้นมักจะกลายเป็นคนขี้หวาดระแวง คนขี้หึงเกินเหตุนั้นไม่ได้เกิดแค่จากการไม่เชื่อใจคนรักเท่านั้น แต่เพราะไม่มั่นใจคุณค่าของตนเองด้วยว่าดีพอที่คนรักจะเห็นค่าไม่ไปเลือกคนอื่น

ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน ‘ปัญหาหัวใจ’ ก็ยังเป็นเรื่องที่คนเรานั้นให้ความสำคัญเสมอครับ การอกหัก ผิดหวังจากความรัก ชีวิตคู่มีปัญหา ล้วนแต่เป็นปัญหาที่สร้างความทุกข์ให้คนเราเป็นอันดับต้นๆ จนบางคนต้องตกในภาวะซึมเศร้า หรือถึงขั้นจบชีวิตตัวเองก็มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ 

‘ความรัก’ ที่มีต่อคู่รักหรือแฟนนั้นเป็นความรู้สึกที่ธรรมชาติสร้างมาให้เราหาคู่ครองเพื่อมีลูกหลานสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปที่เป็นประเด็นหลักๆ ของการวิวัฒนาการ ดังนั้น การเจ็บปวดเพราะความรักเลยเป็นเรื่องใหญ่ของมนุษย์ที่ฝังอยู่ในยีนของเรา ที่เรากลัวคู่ของเราจะทิ้งไป ถึงแม้ปัจจุบันนั้นมนุษย์ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการสืบทอดเผ่าพันธุ์อีกแล้ว ค่านิยมสมัยใหม่ คู่ไหนไม่อยากมีลูกก็ไม่ผิดอะไร หรือการอยู่เป็นโสดก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเดือดร้อน แต่เพราะความทุกข์จากความรักมันอยู่ในวิวัฒนาการมันเลยมีพลังรุนแรง ถึงขั้นให้คนที่ดูเข้มแข็งในด้านอื่น ๆ ถึงกับเสียหลักได้ตอนช้ำรัก (อ่านเพิ่มเติมใน Attachment Theory: เหตุใดเราต้องการอยู่ใกล้คนรักตลอดเวลา)

เมื่อปัญหาความรักสำคัญขนาดนี้ คนเราเลยสรรหาสารพัดวิธี หรือคำพูดปลอบใจมาช่วยทุเลาปัญหาดังกล่าว เวลาที่คนเจ็บปวดเพราะความรักนั่งซึมเศร้า ไม่กินไม่นอน หรือแม้แต่ทำร้ายตัวเอง หนึ่งในคำคมหรือคำปลอบใจยอดนิยมที่สุดสำหรับกรณีนี้คือ “รักตัวเองให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปรักคนอื่น” วันนี้เราจะมาดูการรักตัวเองในแง่จิตวิทยากันครับ ว่ารักตัวเองมันคืออะไร แล้วมันจำเป็นจริง ๆ หรือ แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับชีวิตรักของเรา

แม้คำว่า ‘รักตนเอง’ เป็นที่คุ้นเคยกันในบทเพลง ในละคร และแน่นอนในคำคม แต่คำนี้ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจนนักในแวดวงวิชาการเท่าไรครับ ในวงการวิชาการฝั่งตะวันตก คำว่า ‘รักตนเอง’ จะทำให้บางคนนึกถึง ‘การหลงตนเอง’ ซึ่งเป็นในแง่ร้าย มองว่าตนเองมีมีค่าสำคัญกว่าใครๆ สนใจแต่ตัวเองเป็นหลัก ซึ่งก็อาจจะเรียกว่าเป็นนิยามหนึ่งก็ได้ แต่รักตนเองที่เราจะพูดถึงในวันนี้อยู่ในแง่ที่คนไทยนิยมใช้กันตอนสอนหรือตอนปลอบใจจะเป็นในแง่ที่เป็นในแง่ดีมากกว่า 

หลายๆ คนเมื่อได้ยินว่า ‘รักตนเอง’ ก็อาจจะพอเข้าใจว่า ก็หมั่นให้ความสุขกับตนเอง หรือดูแลร่างกายสุขภาพของตัวเองให้ดี นั่นก็เป็นแง่มุมหนึ่งที่สำคัญครับ แต่พอนึกถึงแต่ความหมายนี้ หลายๆ คนที่มีคนมาบอกว่า “ให้รักตนเองมากขึ้นสิ” เลยรู้สึกว่าแล้วฉันไม่รักตนเองตรงไหน ทุกวันนี้ที่อยู่ก็เพื่อหาความสุขใส่ตัวเนี่ยแหละ นี่ยังเรียกว่ารักตัวเองไม่พออีกหรือ คำตอบคืออาจจะไม่พอครับ 

‘รัก’ กับ ‘การให้คุณค่า’ นั้นเป็นของคู่กันเสมอ เรารักสิ่งใดเราก็ให้คุณค่าสิ่งเหล่านั้นมาก คนที่กำลังมีปัญหาเรื่องความรักมักจะมีปัญหาเรื่องการให้คุณค่าของตนเองไปด้วย มนุษย์เรานั้นเป็นปกติที่อยากให้ตนเองเป็นสิ่งที่มีค่า และควรค่าต่อสิ่งใดๆ บ้าง ไม่ว่าจะเป็นควรค่าต่อความสุข ต่อความสำเร็จ ต่อความรัก แต่มนุษย์เราก็เป็นสิ่งมีชีวิตขี้สงสัย ที่เรามักจะไม่มั่นใจว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเรามีค่าจริงหรือเปล่า ใครจะตอบคำถามนี้ให้เราได้ หลายๆ คนที่ปวดใจเหลือเกินตอนรักไม่สมหวัง หรือตอนคนรักทอดทิ้งไปนั้น เพราะมองว่าตัวเองไม่มีค่า ด้วยความคิดที่ว่า “ฉันไม่มีค่าถ้าไม่มีเขา” หรือ “ไม่มีใครรักฉันสักคน แล้วฉันจะมีค่าอะไรอีก” ในทางจิตวิทยา ความคิดเหล่านี้มันไม่สมเหตุสมผลเลยครับ

เพราะมนุษย์เรานั้นต่างมีค่าด้วยกันทุกคน โดยเฉพาะมีค่ากับตนเอง ไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งนั้นที่จะทำให้เราไม่มีค่า และการรู้ว่าตัวเรานั้นมีค่าเสมอนี่แหละ คือ หนึ่งในแง่มุมของการรักตนเองที่หลายๆ คนมักจะหลงลืมไป

บางคนทำร้ายตัวเองเพื่อพิสูจน์ให้คนรักหันมาสนใจ ซึ่งจริงๆ ก็คือต้องการตอบตัวเองให้ได้ว่า ‘ฉันมีค่า’ การแก้ไขความรู้สึกไม่มีค่านี้ ไม่ได้แก้ที่ต้องมีคนมาบอกรัก มีคนรักมาเอาอกเอาใจคอยทำให้เรารู้สึกว่ามีค่า แต่มันต้องแก้ด้วยการรู้ว่า ตัวเรานั้นมีค่าเสมอและนั่นไม่เกี่ยวด้วยว่าใครจะรักหรือไม่รัก ทำดีหรือไม่ทำดีกับเรา ความมั่นใจและยืนยันในคุณค่าตรงนี้ได้ นี่คือหนึ่งในทักษะของการรักตัวเองเป็นครับ

หากมีคนมารักเรา ทำดีกับเรา แน่นอนว่าเรามีค่าในสายตาเขา แต่การที่เราหาคนรักไม่ได้เสียที หรือคนที่เรารักไม่รักเราตอบ หรือคนรักทำไม่ดีกับเรา หรือวันหนึ่งเกิดทิ้งเราไป ไม่ว่าคนอื่นจะมองว่าเรามีค่าหรือไม่ คนรักตัวเองเป็นต้องมั่นใจได้ว่านั่นไม่เกี่ยวกับคุณค่าของตัวเราเลย 

สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรามั่นใจว่าตัวเรามีค่านั้น ไม่ได้ดูจากการที่คนรอบตัวทำอย่างไรกับเรา แต่คือตัวเราเองนี่แหละครับที่เห็นค่าของตัวเราเองเป็นหรือไม่

กลับมาที่คำถามว่า “ทำไมต้องรักตัวเองให้ได้ก่อนจะรักคนอื่น” การวิจัยพบว่าหากใครรักตัวเองไม่มากพอในแง่ของการไม่เห็นของคุณค่าตนเอง คนนั้นมักจะกลายเป็นคนขี้หวาดระแวง หึงหวง ติดคนรัก ไม่กล้าทิ้งระยะห่าง กลัวว่าเขาจะหมดรัก กลัวว่าเขาจะนอกใจ คนอื่นอาจจะดีกว่าเราและเขาอาจจะไม่เลือกเราก็ได้ คนขี้หึงเกินเหตุนั้นไม่ได้เกิดแค่จากการไม่เชื่อใจคนรักเท่านั้น แต่เพราะการไม่มั่นใจคุณค่าของตนเองด้วยว่าดีพอที่คนรักจะเห็นค่าไม่ไปเลือกคนอื่นแทน 

บางคนก็แสดงออกโดยการตามใจคนรักจนเกินเหตุ ตามใจทุกอย่าง ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ แม้จะเห็นอยู่ว่ามันไม่ใช่แต่ไม่กล้าขัดใจสักอย่าง ตอนที่คนรักทำร้ายจิตใจก็ไม่พูด ตอนโกรธก็ไม่กล้าแสดงออก ไม่เป็นตัวของตนเองเลยตอนอยู่กับคนรัก เพราะไม่มั่นใจว่าถ้าเกิดไม่เอาใจ หยุดตามใจเขา เขาอาจจะไม่เห็นค่าของตนแล้วก็ได้

ปัญหาเหล่านี้ล้วนแต่ส่งผลเสียต่อความรักในระยะยาวครับ ไม่มีใครชอบคนรักที่ขี้หึงเกินเหตุ ไม่มีใครอยากได้คนรักที่เหมือนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ตามใจทุกอย่างจนไม่รู้เลยว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร คนที่รักตัวเองไม่พอนั้น มองเผินๆ เหมือนจะเสียสละทุกอย่างเพื่อความรักและคนรัก แต่หลายครั้งมันกลับเป็นความหมกมุ่นในการพยายามหาคุณค่าให้ตัวเองด้วยการมีความรัก จนเห็นเรื่องนี้สำคัญไปกว่าสิ่งที่คนรักต้องการ สำคัญกว่าความสัมพันธ์ที่เข้มแข็ง การหาคุณค่าให้ตัวเองด้วยการใช้คนอื่นยืนยัน เปรียบแล้วเหมือนการเติมน้ำลงในถังน้ำรั่ว ถึงเราจะรู้สึกว่าคนรักคอยเติมคุณค่าของตัวเราผ่านการเอาใจ ผ่านคำบอกรัก แต่เพราะชีวิตคู่นั้นมันย่อมมีช่วงเวลาที่แต่ละคนต้องให้ความใส่ใจกับสิ่งอื่นบ้าง ห่างกันบ้าง ผิดใจบ้าง ทะเลาะบ้าง ความรู้สึกของเรามันก็จะรั่วไปตามเหตุการณ์เหล่านี้ 

คนรักที่รักตัวเองไม่มากพอก็จะไม่มั่นคง ความรักสะดุดนิดหน่อยก็สะเทือนไปว่าตัวเองไม่มีคุณค่า และนั่นมันเหมือนสร้างแต่ความสิ้นหวังตลอดเวลา แต่ถ้ารักตัวเองมากพอ เวลามีอะไรมากระทบก็ยังคงตั้งหลักไว้ได้อยู่  ยังรู้ว่าเราไม่ใช่คนที่อีกฝ่ายนึกจะไม่รักก็ไม่รัก นึกจะทิ้งก็ทิ้ง เพราะรู้ว่าเราเองก็เป็นคนที่มีค่า และควรค่าแก่การได้ความรัก

ชีวิตคู่นั้นมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวว่าจะรอดหรือไม่รอด บางคู่ที่ไปด้วยกันไม่ได้ก็ไม่ได้แปลว่ามีใครทำอะไรผิดหรือฝ่ายไหนไม่ดี ดังนั้นหากต้องเลิกเรา มันก็คือเรื่องปกติของชีวิต อย่างไรก็ตามการรักตนเองไม่พอจะยิ่งส่งผลเสียรุนแรงตอนถูกชีวิตรักจบลง เพราะมันจะรู้สึกแย่ว่าตัวเองไร้ค่าเนื่องจากคนที่รักที่จะมาคอยยืนยันว่าตัวเรามีค่านั้นไม่อยู่แล้ว ดังนั้นจะฟื้นตัวจากอาการช้ำรักได้ยากลำบาก 

ถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่าการ ‘รักตนเอง’ ให้เป็นนั้นมันเหมือนทำให้เราเข้มแข็ง พร้อมที่จะมีรักในแบบที่แข็งแรง และถึงจะผิดหวัง หรือคบแล้วเลิกรากัน เราก็ยังก้าวต่อไปได้ 

คนที่รักตนเองพอก็เหมือนคนที่เตรียมตัวพร้อมในการเผชิญกับชีวิตรักมากกว่า หรือแม้แต่จะไม่มีคนรักผ่านเข้ามา คนที่รักตนเองก็ยังอยู่ได้ไม่สิ้นหวัง

การรักตนเองที่เราพูดถึงในแง่นี้เกี่ยวข้องกับ ‘บุคลิกภาพ’ หรือความแตกต่างของแต่ละคนที่ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เกิด บุคลิกภาพด้าน ‘รูปแบบความผูกพัน’ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อการรักตนเอง คนที่รูปแบบความผูกพันในแบบวิตกกังวลสูงจะเจอปัญหาเรื่องรักตัวเองน้อยไปในแง่ไม่เห็นคุณค่าตัวเอง เพราะถูกหล่อหลอมมาว่าตั้งแต่เด็กว่าตนเองนั้นไม่มีค่าเพียงพอที่คนอื่นจะรักจะผูกพันด้วย (อ่านเพิ่มเติมใน เหมือนดูเย็นชา แต่ใช่ว่าไม่รัก) บุคลิกภาพของคนเรานั้นเปลี่ยนยาก และใช้เวลานาน แต่ก็เปลี่ยนได้นะครับ ดังนั้นหากคิดว่าเรามีปัญหาในด้านนี้เราก็ยังแก้ไขได้

สิ่งหนึ่งที่ช่วยได้คือการปรับมุมมอง การที่อยู่ๆ จะบอกว่า คนทุกคนต่างมีค่าด้วยกันทั้งนั้น อาจจะฟังดูไม่รู้สึกซื้อใจเราได้ บางคนอาจรู้สึกว่ามันเชื่อได้ยากว่าเรามีค่าจริงๆ ถ้าไม่มีคนอื่นมาบอกว่ามีค่า ถ้าแบบนั้นเราอาจจะลองคิดถึงคุณค่าของตัวเราให้ชัดก็ได้ว่าเรานั้นมีค่าอยู่เสมอไม่ในแง่มุมใดก็แง่มุมหนึ่ง เราคือเพื่อนที่ดีของเพื่อนเรา เราเป็นคนที่คนในครอบครัวของเราให้ความสำคัญ หรือแม้แต่เราเป็นเจ้าของที่สัตว์เลี้ยงของเรานั้นรักมากๆ ต่อให้เรานึกไม่ออกเลย ก็ค่อยๆ คิด ค่อยๆ หาไปครับ แต่ขอให้มั่นใจได้ว่าไม่มีใครหรอก ที่ไม่มีความสำคัญต่อใครสักคนเลย ที่เราไม่ค่อยรู้ว่าเรามีค่า เพราะเรามักจะตีกรอบเลือกคุณค่าที่เราตั้งเองว่า จะมีค่าต้องมีแฟน จะมีค่าต้องประสบความสำเร็จ จะมีค่าต้องหน้าตาดี หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งจริงๆ แล้วเกณฑ์เหล่านั้นมันไม่จำเป็นเลย 

ผมชอบคำพูดในการ์ตูน The Embalmer ที่มิทสึคาซึ มิฮาระเขียน มีคำที่กล่าวไว้ว่า “แค่เรามีชีวิตอยู่ นั่นก็ถือว่ามีค่าแล้วกับคนรอบตัว” หากใครรู้สึกว่าตนไม่มีค่า ขอให้นึกไว้ว่าหากวันนึงเราไม่อยู่แล้ว ต้องมีคนเสียใจมากแค่ไหน

การรักตนเองไม่ใช่แค่เรื่องของคนที่ยังไม่มีคนรักหรือมีปัญหากับความรักเท่านั้น คนที่มีคู่รักอยู่หากรู้สึกว่ายังขาดส่วนนี้ไปก็ลองมาปรับความคิดดูได้ครับ ความคิดที่รักตัวเองเป็นจะดีต่อความสัมพันธ์ที่มีในระยะยาว อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เราเชื่อใจคนรักได้มากขึ้น ลดความวิตกกังวล ความหึงหวงเกินเหตุที่ได้รับผลมาจากการรักตัวเองไม่พอ การที่เราไปรักใคร แทนที่จะไปเรียกร้องพยายามดึงให้ใครมาเห็นว่าเรามีค่า ตัวเรานี่แหละครับต้องเห็นคุณค่าของตัวเราเองให้ได้ก่อนคนอื่นๆ

จริงๆ แล้วอาจจะฟังดูกลับกัน แต่ทางจิตวิทยามีทฤษฎีที่ชื่อว่า ‘self-fulfilling prophecy’ คือ พอเราคาดหวัง เราเชื่อในสิ่งไหน ตัวเราเองจะไปทำสิ่งที่มันสอดคล้องกับความหวังและความเชื่อของเราโดยไม่รู้ตัว และสิ่งที่เราทำนั้นจะไปส่งผลให้สิ่งที่เราหวังเราเชื่อกลายเป็นความจริง ดังนั้น เห็นค่าในตัวเราเองให้มากๆ ไว้ แล้วมันอาจจะช่วยให้คนที่เราชอบหันมาเห็นค่าเราก็ได้ และวิธีนี้ยังทำให้เรามีรักในแบบที่สบายๆ ไม่ต้องเกร็งมากตอนอยู่หน้าเขา เพราะเรารู้ว่าตัวเรานั้นมีค่าพออยู่แล้ว ไม่ต้องฝืนปรับตัวจนเกินเหตุไปเพื่อให้เขามารัก รักที่ดีแน่นอนว่ามันต้องปรับตัวเข้าหากันบ้าง แต่ต้องเป็นรักในแบบที่เรายังเป็นตัวของตัวเองได้อยู่จริงไหมครับ

อ้างอิง
Campbell, W. K., Foster, C. A., & Finkel, E. J. (2002). Does self-love lead to love for others? A story of narcissistic game playing. Journal of personality and social psychology, 83(2), 340.
Campbell, W. K., Rudich, E. A., & Sedikides, C. (2002). Narcissism, self-esteem, and the positivity of self-views: Two portraits of self-love. Personality and Social Psychology Bulletin, 28(3), 358-368.
Snyder, M., Tanke, E. D., & Berscheid, E. (1977). Social perception and interpersonal behavior: On the self-fulfilling nature of social stereotypes. Journal of Personality and social Psychology, 35(9), 656.Wu, C. H. (2009). The relationship between attachment style and self-concept clarity: The mediation effect of self-esteem. Personality and individual differences, 47(1), 42-46.

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ความรัก

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    การต่อรองและปฏิกิริยาตอบโต้ลำดับขั้นทางสังคมในความสัมพันธ์

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    การเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงดู EP.3 ความรักที่ไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ บาดแผลทางใจที่รอการเยียวยา

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Relationship
    เกมของความรัก เกมที่ชนะคนเดียวไม่ได้

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    QUIZ: เคยเป็นเด็กอย่างไร ก็เป็นแม่แบบนั้น

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Project-based learning กระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้อวกาศไม่ไกลเกินเอื้อม ของ ‘ทีมกรุงเทพคริสเตียนฯ’
Voice of New Gen
1 December 2021

Project-based learning กระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้อวกาศไม่ไกลเกินเอื้อม ของ ‘ทีมกรุงเทพคริสเตียนฯ’

เรื่อง The Potential

  • ทีม AHiS034 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ชนะเลิศในโครงการ Asian Herb in Space ทดลองปลูกโหระพาบนโลก เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบผลกับที่นักบินอวกาศปลูกบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS)
  • โครงงานแบ่งออกเป็น 2 ชิ้น โครงงานแรกปลูกโหระพาเหมือนกับที่ปลูกบนสถานีอวกาศ และอีกโครงงานให้นักเรียนคิดโจทย์เอง ซึ่งทีม AHiS034 เลือกทดลองว่า หากโหระพาที่ปลูกบนโลกได้รับ CO2 ในปริมาณที่มากกว่าปกติ จะส่งผลให้มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างไร
  • “ด้วยกิจกรรมนี้มีลักษณะเป็นการให้นักเรียนได้ศึกษาด้วยตนเองผ่านการลงมือทำโครงงาน (Project – based learning: PBL) ครูจึงต้องรับบทบาทเป็นโค้ช ผู้ตั้งคำถามเพื่อให้พวกเขาได้คิดอย่างรอบคอบ คิดต่อยอด รวมถึงช่วยชี้แนะว่าอะไรที่ทำได้ดีแล้ว และอะไรที่ควรเสริมหรือควรศึกษาเพิ่มเติม” ครูอดิเรก พิทักษ์ หนึ่งในทีมครูโค้ช

เป็นอีกครั้งที่ยืนยันว่า อวกาศไม่ใช่เรื่องไกลตัวและไม่ไกลเกินฝันสำหรับเด็กไทย เมื่อทีม AHiS034 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ชนะเลิศในโครงการ Asian Herb in Space หรือ AHiS ซึ่งจัดขึ้นเมื่อต้นปี 2564 และประกาศผลไปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีเด็กและเยาวชนกว่า 300 ทีมทั่วประเทศได้ทดลองปลูกโหระพา ราชาพืชสมุนไพรบนโลก เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบผลกับที่นักบินอวกาศปลูกบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) 

โครงการ Asian Herb in Space เป็นความร่วมมือของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น (Japan Aerospace Agency: JAXA) และหน่วยงานพันธมิตร มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนไทยได้เข้าถึงองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอวกาศ ในเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยเฉพาะเรื่องสภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Microgravity) ซึ่งความรู้ที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากระบวนการผลิตอาหารต่อไปในอนาคต ที่สำคัญการที่เด็กและเยาวชนได้ทำกิจกรรมนี้จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทักษะด้าน STEM (Science, Technology, Engineering, and Mathematics) ผ่านการลงมือเรียนรู้ด้วยตนเอง (Project – based learning) 

สำหรับเด็กและเยาวชนที่สมัครเข้าร่วมโครงการ AHiS จะได้รับชุดอุปกรณ์สำหรับทำการทดลองปลูกต้นโหระพา 2 โครงงาน โครงงานแรกเป็นการทดลองปลูกต้นโหระพาเป็นระยะเวลา 30 วัน ด้วยปัจจัยควบคุมที่เหมือนกับบนสถานีอวกาศแทบทุกประการ ทั้งเมล็ด ภาชนะเพาะปลูก วัสดุเพาะปลูก ปุ๋ย อุณหภูมิ และความชื้น ฯลฯ เพื่อนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ว่าการปลูกโหระพาบนโลกกับบนสถานีอวกาศที่มีระดับแรงโน้มถ่วงไม่เท่ากันจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตอย่างไรบ้าง

ทีมนักบินอวกาศที่ร่วมโครงการ

ส่วนโครงงานที่ 2 เป็นโครงงานอิสระ ผู้สมัครสามารถเลือกว่าจะทำโครงงานนี้หรือไม่ก็ได้ โดยมีโจทย์ คือ ให้ตั้งตัวแปรควบคุมที่คาดว่าจะมีผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของต้นโหระพาเพิ่มเติม แล้วทำการทดลองอีก 1 การทดลอง เพื่อนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ร่วมกับโครงงานที่ 1 จากนั้นหลังจากสิ้นสุดการทดลองเป็นระยะเวลา 30 วัน ให้ทุกทีมที่สมัครเข้าร่วมส่งสรุปการทดลองมายังโครงการฯ เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาสรุปการทดลองของแต่ละทีม แล้วคัดเลือกผู้ชนะที่มีกระบวนการการทดลองเป็นระบบ มีความถูกต้องตามหลักทางวิทยาศาสตร์ และมีการรายงานผลการทดลองที่สมบูรณ์ที่สุดเป็นผู้ชนะ 

หาข้อมูลและวางแผนการทดลองอย่างรอบคอบ 

เยาวชนทีม AHiS034 ประกอบด้วย เด็กชายปัณณทัต อรุณพัลลภ (เหว่ยซัน) เด็กชายปฐวี จารุกิจขจร (ต้าเหว่ย) และ เด็กชายธชย จารุวิศิษฏ์ (คิริน) พวกเขาเริ่มต้นลงชื่อเข้าโครงการ AHiS ตั้งแต่ต้นปี 2564 ตอนที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 แบบหมาดๆ ก่อนจะใช้ความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดที่มีวางแผนการทดลองอย่างรอบคอบ เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานที่ตั้งไว้ 

ทีม AHiS034

ปัณณทัต เล่าถึงเหตุผลที่สมัครเข้าร่วมโครงการนี้ว่า ตนเองและเพื่อนอีก 2 คน ต่างมีความสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในมุมที่ต่างกัน แต่ความสนใจเหล่านั้นบังเอิญมาตรงกับโจทย์การทดลองของโครงการนี้พอดี ทั้งเรื่องพฤกษศาสตร์ ชีววิทยา และอวกาศ จึงเป็นเหตุผลให้ได้มารวมตัวกันสมัครเข้าการแข่งขันนี้ และได้ขอให้ครูที่โรงเรียนช่วยเป็นที่ปรึกษาประจำทีมให้

“ในการแข่งขันโครงการนี้ มีโจทย์การทดลองเป็น 2 โครงงาน คือ การปลูกโหระพาในปัจจัยควบคุมที่คล้ายกับบนสถานีอวกาศแทบทุกประการแตกต่างกันที่ระดับแรงโน้มถ่วง และอีกโครงงานเป็นโครงงานอิสระ ให้แต่ละทีมออกแบบตัวแปรควบคุมในการปลูกต้นโหระพาเพิ่มเติมด้วยตนเองเพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่ออัตราการเจริญเติบโต ซึ่งจากการตัดสินใจร่วมกันในทีมได้ข้อสรุปว่า จะทำการทดลองทั้ง 2 โครงงาน เพื่อให้ได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น

จากการศึกษาคู่มือหลายครั้งและศึกษาเกี่ยวกับต้นโหระพาอย่างละเอียดตามคำแนะนำของครูที่ปรึกษา จึงทำให้เห็นถึงข้อมูลสำคัญว่า ‘ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้นโหระพา’ กับ ‘สภาพแวดล้อมบนสถานีอวกาศ’ มีจุดที่เชื่อมโยงกัน คือ ‘ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)’ เพราะโหระพาเป็นพืชในกลุ่ม C3  ที่ต้องได้รับปริมาณ CO2 มากพอจึงจะสามารถสังเคราะห์อาหารได้มีประสิทธิภาพ ขณะที่บนสถานีอวกาศมีปริมาณ CO2 มากกว่าสภาพแวดล้อมปกติบนโลกถึง 10 เท่า (อ้างอิงจากคู่มือประกอบการทดลองของทาง JAXA) ทีมจึงตัดสินใจใช้ CO2 เป็นตัวแปรควบคุมในการทำโครงงานที่สอง เพื่อศึกษาว่าหากต้นโหระพาที่ปลูกบนโลกได้รับ CO2 ในปริมาณที่มากกว่าปกติ จะส่งผลให้มีอัตราการเจริญเติบโตที่มากขึ้นหรือไม่

ทักษะการแก้ปัญหาพาข้ามผ่านอุปสรรค  

หลังจากวางแผนการทดลองทั้ง 2 โครงงานเสร็จ ทีม AHiS034 ได้ตัดสินใจใช้ห้องทดลองรวมถึงอุปกรณ์ของโรงเรียนในการทำงาน แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 โรงเรียนต้องปิดเพื่อควบคุมการระบาดของโรค ทีมจึงต้องวางแผนการทดลองกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ปฐวี เล่าว่าตอนแรกที่เจอปัญหาก็หลงทางกันไปบ้าง ไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี จะหยุดรอให้สถานการณ์คลี่คลายหรือลุยไปต่อเลย แต่ท้ายที่สุดเมื่อช่วยกันหาทางแก้ปัญหาก็สามารถหาสถานที่ทำการทดลองใหม่ได้ เป็นที่โรงเรียนกวดวิชาของครอบครัวปัณณทัต ซึ่งตอนนั้นต้องปิดให้บริการเนื่องด้วยสถานการณ์โรคระบาดเช่นกันพอดี สถานที่แห่งนั้นมีความเหมาะสมในการควบคุมสภาพแวดล้อม ทั้งด้านอุณหภูมิ ความชื้น และแสง ส่วนทางด้านอุปกรณ์การทดลองทีมได้ช่วยกันดัดแปลงอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายไม่ต้องลงทุนสูง มาใช้ทดแทน 

“ภายหลังจากการเร่งติดตั้งอุปกรณ์การทดลองในพื้นที่ เพื่อให้สามารถทดลองได้เสร็จก่อนฤดูร้อนจะมาถึง ซึ่งจะส่งผลให้การควบคุมตัวแปรในการทดลองทำได้ยากลำบากยิ่งขึ้น ปัณณทัตในฐานะเจ้าของสถานที่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลพืช และส่งข้อมูลความเปลี่ยนแปลงของการทดลองตลอด 30 วันให้ทีมทางออนไลน์เพื่อช่วยกันวิเคราะห์ผล ก่อนจะนำผลทั้งหมดมาสรุปการทดลองร่วมกันอีกครั้งหนึ่งหลังจบการทดลอง โดยมีครูที่ปรึกษาเป็นผู้ช่วยตั้งคำถามให้ทีมได้คิดทบทวน และศึกษาเพิ่มเติม

จากการนำผลการทดลองของทั้ง 2 โครงงานมาเปรียบเทียบกัน ข้อสรุปของการทดลองเป็นไปตามข้อสันนิษฐานที่ตั้งไว้ คือ ต้นโหระพาที่ได้รับ CO2 มากกว่า จะมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงกว่า และนั่นทำให้สันนิษฐานต่อได้ว่าต้นโหระพาที่ปลูกบนสถานีอวกาศซึ่งมีปริมาณ CO2 สูงกว่าบนโลกถึง 10 เท่าน่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงกว่าเช่นกัน อย่างไรก็ตามบนสถานีอวกาศยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อรูปแบบการเจริญเติบโตของพืช เช่น สภาวะแรงโน้มถ่วงต่ำ (Microgravity) ทั้งนี้หลังจากที่นักวิจัยทำการวิเคราะห์ผลการปลูกบนสถานีอวกาศเสร็จเรียบร้อยในเดือนธันวาคมปีนี้ ก็จะทำให้ได้ผลสรุปที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น” (สามารถดูสรุปการทดลองของทีม AHiS034 ได้ที่นี่)

ผลลัพธ์จากการลงมือทำ คือ การเรียนรู้และเติบโต 

จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้แผนการทดลองต้องปรับเปลี่ยน แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำให้พวกเขาสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้สำเร็จ นำมาสู่การเติบโตขึ้นทั้งในแง่ประสบการณ์และมุมมองความคิด

ธชย เล่าว่าสิ่งที่ทีมได้เรียนรู้จากการทำการทดลองครั้งนี้และภูมิใจมากที่สุดที่ทำได้สำเร็จ คือ ‘การรับมือกับปัญหา’ เมื่อต้องหาสถานที่และอุปกรณ์การทดลองใหม่ แทนที่จะยอมแพ้หรือเปลี่ยนโจทย์การทดลองไปเลย ทุกคนเลือกที่จะแก้ปัญหาโดยการช่วยกันคิดว่าจะสามารถใช้อะไรทดแทนได้บ้างโดยไม่ต้องลงทุนสูง อยู่ในขอบเขตที่สามารถลงมือทำได้ในสถานการณ์ตอนนั้น บทเรียนในการแก้ปัญหาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการรับมือปัญหาที่อาจต้องเจอในอนาคต

“อีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนในทีมได้เรียนรู้มากจากการทำกิจกรรมครั้งนี้ คือ การเขียนรายงานสรุปการทดลองแบบละเอียดซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยทำมาก่อน ก่อนที่จะเรียบเรียงออกมาเป็นสรุปงานได้ จะต้องประมวลผลการทดลองทั้งหมด คัดกรองว่าควรนำเสนอข้อมูลอะไร และวิเคราะห์ว่านำเสนออย่างไรจึงจะเหมาะสม ซึ่งทีมได้ทำการปรับแก้สรุปงานกันมากกว่าสิบครั้ง กว่าจะได้เป็นสรุปงานฉบับที่ส่งให้คณะกรรมการพิจารณา คิดว่าประสบการณ์เหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการเรียนในอนาคตเช่นกัน” 

ปัณณทัต ในฐานะหัวหน้าทีมทิ้งท้ายว่า แม้การทำโครงงานนี้จะเหนื่อยแต่ทุกคนก็สนุกที่ได้เรียนรู้ไปด้วยกัน รู้สึกคุ้มค่าที่ได้ลงมือทำ ยิ่งตอนรู้ว่าได้ที่ 1 ดีใจมากหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ขอขอบคุณผู้จัดงานทุกท่าน อาจารย์ที่ปรึกษา และผู้ปกครอง ที่ทำให้มีโอกาสได้รับประสบการณ์นี้

จากการคุยกันหลังจบงานก็พบว่า ทุกคนในทีมชอบการเรียนรู้ผ่านการทำโครงงาน เพราะทำให้ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองสนใจ และเกิดความเข้าใจมากกว่าการอ่านหรือท่องจำเนื้อหาจากตำราเรียน 

ครูที่ปรึกษาคือ ‘โค้ช’ ผู้ตั้งคำถามสร้างการเรียนรู้

ในทีม AHiS034 นอกเยาวชนทั้ง 3 คนข้างต้นแล้ว ยังมีครูที่ปรึกษาที่ทำหน้าที่เป็นโค้ชอีก 3 คน คือ ครูอดิเรก พิทักษ์ (ครูเรก) เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์ ครูชนันท์ เกียรติสิริสาสน์ (ครูตั้ว) เชี่ยวชาญด้านชีววิทยา และครูวนิดา ภู่เอี่ยม (ครูกุ้ง) เชี่ยวชาญด้านการจัดการข้อมูลและการนำเสนอ 

ครูอดิเรกเป็นตัวแทนเล่าถึงการรับบทบาทโค้ชให้กับนักเรียนในโครงงานนี้ว่า หลังจากได้รับคำขอจากนักเรียนให้ช่วยเป็นที่ปรึกษาในการแข่งขัน จึงได้แบ่งหน้าที่กับครูอีก 2 ท่านในการศึกษารายละเอียดของโครงการและศึกษาความรู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำหน้าที่โค้ชนักเรียนตามความเชี่ยวชาญของตัวเอง 

“ด้วยกิจกรรมนี้มีลักษณะเป็นการให้นักเรียนได้ศึกษาด้วยตนเองผ่านการลงมือทำโครงงาน (Project – based learning: PBL) ครูจึงต้องรับบทบาทเป็นโค้ช ผู้ตั้งคำถามเพื่อให้พวกเขาได้คิดอย่างรอบคอบ คิดต่อยอด รวมถึงช่วยชี้แนะว่าอะไรที่ทำได้ดีแล้ว และอะไรที่ควรเสริมหรือควรศึกษาเพิ่มเติม 

“เพราะเป้าหมายของการทำ PBL คือการที่นักเรียนได้ลงมือเรียนรู้ด้วยตัวเองและได้ความรู้เพิ่มเติมตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งประสบการณ์ที่ครูได้รับจากการโค้ชเด็กแต่ละครั้ง จะช่วยให้ครูได้พัฒนาทักษะของตัวเองด้วยเช่นกัน

“แม้งานที่ทำจะเหนื่อย แต่พอได้เห็นนักเรียนตั้งใจเรียนรู้ เกิดการพัฒนา หรือประสบความสำเร็จ ก็ทำให้ความเหนื่อยหายไปหมด ภูมิใจในตัวนักเรียนมาก สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขของคนเป็นครู ขอบคุณผู้จัดงานที่นำโอกาสในการเรียนรู้มาสู่เด็กๆ” 

Tags:

project-based learning (PBL)สิ่งแวดล้อมวิทยาศาสตร์โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยGeneration of Innovator

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    วิทย์นอกเวลา การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง จากกรุงเทพคริสเตียนสู่เวทีโลก: ครูชนันท์ เกียรติสิริสาสน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Creative learning
    วิทยาศาสตร์ในนาข้าว ไขปริศนาภูมิปัญญาสู่การเรียนรู้ข้างกองฟาง กับ ลุงจี๊ด ‘นาบุญข้าวหอม’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Voice of New Gen
    ‘เครื่องล้างหอยนางรม’ นวัตกรรมโดยเด็กเมืองหอยใหญ่ ที่จะทำให้การกินหอยนางรมหรอยอย่างแรงแบบปลอดภัย

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Life Long Learning
    ทองคำ เจือไทย: คุณป้านักวิจัยผู้ตามหา ‘ปูแสม’ ที่หายไป

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Voice of New Gen
    ฟิอนน์ เฟอร์เรรา: เจ้าของ GOOGLE SCIENCE FAIR 2019 กำจัดไมโครพลาสติกออกจากสายน้ำ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • ‘นิทานปากเปล่า’ เล่าความรักให้ลูกฟัง สร้างจินตนาการ สานสัมพันธ์ในครอบครัว: แม่จาว – วัชราวรรณ เพชรบุล
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 
  • เปลี่ยนระบบนิเวศโรงเรียนเป็นสนามพลังบวก ยกระดับเด็กด้อยโอกาสสู่เด็กได้โอกาส: ผอ.วรรณรักษ์ หงษ์ทอง
  • F1 The Movie: ชัยชนะที่ดีที่สุดคือการปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการเป็นที่หนึ่ง
  • Myth Universe : จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สู่ Edutainment ความรู้นอกห้องเรียนที่เริ่มต้นจากคำถามและการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel