Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Month: July 2021

Positivity Mindset : สร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้กระตุ้นความหวังและการมองโลกในแง่ดีกับนักเรียน
Learning Theory
19 July 2021

Positivity Mindset : สร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้กระตุ้นความหวังและการมองโลกในแง่ดีกับนักเรียน

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การมีความหวังและการมองโลกแง่ดี ทําให้นักเรียนมีชีวิตชีวาและสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้เต็มที่
  • การฝึกมองโลกแง่ดีเท่ากับการฝึกมองโลกจากมุมมองที่แตกต่าง ครูลองหาทางทำให้ถ้อยคําในการสนทนาประจําวันเป็นวาทกรรมของการมองโลกแง่ดี เช่น เมื่อนักเรียนทักทายครูว่า How are you doing? ครูตอบว่า Never be better หรือ I am living my dream หรือ It’s a great day to learn และอาจถามกลับว่า And how about you? เป็นตัวอย่างให้นักเรียนเห็นว่า ครูพึงพอใจงานและชีวิต
  • สนับสนุนการมีความฝัน เป็นวิธีช่วยให้เด็กค่อยๆ พัฒนาความคิด เส้นทางชีวิตและความสามารถ ทําโดยตั้งคําถามเรื่องความฝัน เรื่องอนาคต ของตนเอง โดยต้องมีกติกาในชั้นว่าห้ามดับฝัน เมื่อนักเรียนคนใดคนหนึ่งแชร์ความฝัน อาจไม่มีเพื่อนสนับสนุนเลย แต่จะมีคนคนหนึ่งที่สนับสนุน คือ ครู

ความหวัง (hope) และการมองโลกแง่ดี (optimism) เป็นคำที่แตกต่างกัน แต่มีการสับสนกันบ่อยมาก แม้ในวงการวิจัยก็สับสน ความหวังเป็นความรู้สึกว่าในที่สุดเรื่องราว หรือเหตุการณ์จะเปลี่ยนไปในทางดีขึ้น ส่วนการมองโลกแง่ดีเป็นความเชื่อว่า เรื่องราวจะก้าวหน้าไปในทางที่ดีขึ้นจากฝีมือของตนเอง นี่คือนิยามจากในหนังสือนะครับ ไม่ใช่นิยามของผม 

บ่อยครั้งที่คนมีความหวังเป็นคนที่มีระดับของการควบคุมตนเองตํ่า คือ หวังว่าจะมีคนอื่นมาทําให้ดีขึ้น ไม่ใช่ฝีมือ ของตนเอง ส่วนการมองโลกแง่ดีเป็นการเชื่อมั่นในตนเองว่าจะทําให้ดีขึ้นได้ 

การมีความหวังและการมองโลกแง่ดี ทําให้นักเรียนมีชีวิตชีวาและสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้เต็มที่

หนังสือเสนอกลยุทธสร้างการมองโลกแง่ดีและมีความหวัง 4 ประการ คือ 1.สร้างรูปแบบการมองโลกแง่ดีทุกวัน 2.สร้างความหวังทุกวัน 3.สร้างความคิดที่ดีต่อตนเอง และ 4.ส่งเสริมสนับสนุนการมีความฝัน 

1.สร้างรูปแบบการมองโลกแง่ดีทุกวัน 

เมื่อไรที่เรามองโลกในแง่ดีเท่ากับว่าเรามองเรื่องร้ายเป็นสิ่งชั่วคราว มีข้อจํากัด และจัดการได้ การฝึกมองโลกแง่ดีเท่ากับการฝึกมองโลกจากมุมมองที่แตกต่าง ครูลองหาทางทำให้ถ้อยคําในการสนทนาประจําวันเป็นวาทกรรมของการมองโลกแง่ดี เช่น เมื่อนักเรียนทักทายครูว่า How are you doing? ครูตอบว่า Never be better หรือ I am living my dream หรือ It’s a great day to learn และอาจถามกลับว่า And how about you? ครูลองแสดงตัวอย่างให้นักเรียนเห็นว่า ครูมีความพึงพอใจงานของตน ชีวิตของตน สภาพเช่นนี้ติดต่อไปยังคนรอบข้าง คือ นักเรียนได้มองโลกแง่ดี

จุดสําคัญ คือ พยายามไม่โฟกัสที่เรื่องร้ายๆ หรือข่าวร้าย เพื่อสร้างบรรยากาศชั้นเรียนที่มองโลกแง่ดี ต่อไปนี้เป็นเครื่องมือสร้างการมองโลกแง่ดี 

สอนให้เด็กมองเรื่องต่างๆ เสมือนภาพสามมิติ 

เรื่องราวต่างๆ มีความซับซ้อน มีหลายมิติ ครูลองฝึกให้นักเรียนหัดมองเรื่องราวต่างๆ จากหลายแง่หลายมุม โดยอาจจับคู่นักเรียน และครูให้สถานการณ์จำลอง แล้วให้นักเรียนผลัดกันเสนอมุมมองต่อเพื่อน ทั้งมุมมองด้านบวก และมุมมองด้านลบ หรือครูอาจเล่าเรื่องจริงในชีวิตของตนเอง เพื่อให้เห็นว่าชีวิตจริงมีหลายแง่มุมจริงๆ เปิดโอกาสให้นักเรียนซักถาม และให้ความคิดเห็นเพื่อให้ได้ซึมซับ

ใช้คําที่สร้างพลัง

ครูฝึกให้นักเรียนใช้คําพูดในชีวิตประจําวันที่สร้างพลัง ทัั้งในภาษาพูดและภาษาเขียน ตัวอย่างวิธีฝึก

  • ให้นักเรียนลองระดมความคิดหาคํา หรือวลีที่มีพลังบวก 10 คําหรือวลี
  • ให้นักเรียนใช้เวลา 3 – 5 นาที เขียนเล่าเรื่องดีๆ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
  • ให้นักเรียนใช้ เขียนเวลา 3 – 5 นาที เขียนเล่าเรื่องที่ก่อปัญหา และสะท้อนคิดบทเรียนจากเรื่องนั้น
  • ให้นักเรียนเลือกคําที่ก่อพลังประจําวัน และใช้คํานั้นอีก 5 ครั้ง

ครูไม่ควรตั้งคะแนนสำหรับการทำกิจกรรมนี้ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมุ่งเรียนรู้เพื่อฝึกตนเอง ไม่ใช่ทําเพื่อคะแนน

เอาชนะความล้มเหลว

หลายคนต่างเคยล้มเหลว ประเด็นสําคัญ คือ เราทําอะไรหลังความล้มเหลวนั้น ความลับ คือ เมื่อเราล้มและก็ลุกขึ้น ดังนั้น บทเรียนจากความล้มเหลว คือ อย่าถอย ท้อได้แต่อย่าถอย พยายามต่อไป โดยใช้ความผิดพลาดเป็นครู

ในพาร์ทนี้ครูอาจลองแชร์เรื่องราวความล้มเหลวของตนในอดีต แล้วให้นักเรียนผลัดกันแชร์เรื่องราวความล้มของตัวเอง ชวนคุยเสนอความคิดเห็นว่าวิธีแก้ของแต่ละคนเป็นอย่างไร

หรือใช้อีกหนึ่งวิธี เรียกว่าเทคนิค “เขียนอย่างเร็ว (quick write)” จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจตนเอง และมองโลกต่างออกไป ทําโดยให้เวลา 3 – 10 นาที เขียนวิธีเอาชนะความล้มเหลว เช่น ให้ตอบคําถามฉันจะแก้ปัญหาที่กําลังเผชิญอย่างไร หรือฉันจะยกระดับเกรดที่ได้ในการทดสอบครั้งต่อไปได้อย่างไร แล้วให้นักเรียนแชร์ข้อเขียนกับเพื่อนเป็นกลุ่ม หรือแชร์กับเพื่อนทั้งชั้น

ผู้เขียนหนังสือแนะนําหนังสือ The Success Principles เขียนโดย Jack Canfield (2015) สําหรับเป็นคู่มือหาวิธีการสร้างเจตคติเชิงบวกในชั้นเรียนประจําวันเพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนักเรียน 

2.สร้างความหวังทุกวัน

การสร้างความหวังทุกวัน เป็นกระบวนการปลูกฝังความเชื่อว่า ชีวิตคนเรามีโอกาสทําสิ่งที่มีคุณค่าได้ ครูอาจเริ่มโดยการสร้างปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนในลักษณะที่ให้เกียรติและเข้าใจความคิดของนักเรียน แค่นี้ก็ช่วยให้นักเรียนมีความหวัง นอกจากนั้นยังมีเครื่องมือสร้างความหวัง ดังตัวอย่าง 

สอนการตั้งเป้า 

การจัดการอนาคตของตนเองเป็นหนึ่งในการสร้างความหวัง ลองฝึกนักเรียนให้เขียนเป้าหมายใหญ่ของตนและตารางเป้าหมายรายทางบนกระดาษ โดยช่วงเวลาของแต่ละเป้ามีช่องให้กรอกความก้าวหน้า ครูสอนนักเรียนให้ประเมินความก้าวหน้าเป็น นํามาเป็นข้อมูลป้อนกลับ เพื่อปรับปรุงวิธีทํางานสู่ผลงานที่ดียิ่งขึ้น 

แสดงความก้าวหน้าประจําวัน 

ครูลองจัดให้มีแผ่นภาพแสดงเป้าหมายของชั้นเรียน และความก้าวหน้าติดในห้องเรียน อาจแสดงรายงานความก้าวหน้าของทีม อาจแนะนําให้นักเรียนแต่ละคนเขียนรายงานความก้าวหน้าของตนเอง การได้เห็นความก้าวหน้า เป็นการสร้างความหวัง

ใช้คํายืนยันความหวัง

ทําให้เป็นวัฒนธรรมของชั้นเรียนว่า ทุกคนจะพูดคําปลุกใจ ให้พลังแก่กันและกันในชั้นเรียนประจําวัน หรืออาจจัดทําโปสเตอร์ มีคําปลุกใจ ติดในห้องเรียน หรือแนะนําหนังสือเกี่ยวกับความหวังและความสําเร็จให้นักเรียนลองอ่าน

อาจกําหนดให้นักเรียนผลัดกันเขียนคําหรือวลีแสดงความหวัง นํามาอ่านหน้าชั้น

สร้างแนวความคิดของตนเอง และยกระดับความพยายาม

ครูต้องหมั่นยืนยันจุดแข็งของนักเรียนแต่ละคน และสนับสนุนให้นักเรียนสร้างแนวความคิดของตนเอง และเพิ่มระดับความมานะพยายามของตน การมุ่งส่งเสริมด้านที่เป็นจุดแข็งจะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้การแก้ไขจุดอ่อน และรู้จักใช้ประโยชน์ของคําแนะนําป้อนกลับ ซึ่งวิธีการมีดังต่อไปนี้

หนึ่งนาทีแห่งพลัง

ให้นักเรียนเล่าเรื่องที่มีพลัง เรื่องละ 1 นาที ในประเด็นต่อไปนี้

  • ความสามารถพิเศษของตน
  • คนที่ตนได้ช่วยเหลือเมื่อเร็วๆ นี้
  • สิ่งที่ตนยกย่องในคนอื่น
  • เรื่องราวการช่วยเหลือเพื่อนเมื่อเร็วๆ นี้
  • การบรรลุเป้าหมายรายทางหรือเป้าหมายรายทางเมื่อเร็วๆ นี้

อาจจัดกิจกรรมสัปดาห์ละครั้ง ครั้งละ 3 – 4 นาที (โดยส่วนตัวมองว่าวันที่เหมาะที่สุด คือ วันจันทร์ หรือวันศุกร์) แต่ละครั้งมีนักเรียน 3 – 4 คน เป็นผู้พูด โดยอาจพูดในเวทีแบบใดแบบหนึ่งใน 4 แบบ ได้แก่ 1.เขียน 2.บอกต่อเกลอร่วมเรียน 3.บอกในทีมร่วม เรียนรู้หรือทําโครงงาน และ 4.เล่าในชั้นเรียนทั้งชั้นหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป โดยต้องให้เกียรติความเป็นส่วนตัวของนักเรียนด้วย รวมทั้งครูต้องไม่สรรเสริญความฉลาดของนักเรียน แต่ชมความพยายาม กลยุทธ์ การเลือกประเด็น และเจตคติของนักเรียน เพราะการชมความฉลาดจะก่อ “ชุดความคิดหยุดนิ่ง” (fixed mindset) ส่วนการชมแบบหลังช่วยปลูกฝัง “ชุดความคิดเจริญเติบโต” (growth mindset)

3. เชื่อมโยงความสําเร็จของนักเรียนสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

สิ่งที่ครูใช้ คือ attribution หมายถึงการเชื่อมโยงการกระทํากับผลที่เกิดขึ้น เพื่อให้นักเรียนตระหนักว่าสิ่งที่ตนกำลังทํานั้นจะนําไปสู่การบรรลุผลที่ตนใฝ่ฝัน เป็นการยืนยันความสามารถของนักเรียน โดยอธิบายเชื่อมโยงรายละเอียดของการกระทําไปสู่ผลที่เห็น ตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องคือ “สมศักดิ์เธอเขียนได้ดีมาก” คําพูดที่มีพลังกว่าคือ “สมศักดิ์การที่เธอเขียนอธิบาย กลยุทธ์ทําให้ครูเข้าใจชัดเจนว่าเธอกําลังบอกอะไร และกลยุทธ์นี้จะช่วยให้เธอประสบความสําเร็จในการตีพิมพ์หนังสือออกเผยแพร่” 

ครูต้องใช้คําพูด attribution ที่เหมาะสมต่ออายุ หรือระดับความเข้าใจของนักเรียน แบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ  

  • ระดับ 1 (อายุ 5 – 6 ปี ) พึงตระหนักว่า นักเรียนยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างความพยายามกับความสามารถ หรือระหว่างเหตุกับผล
  • ระดับ 2 (อายุ 7 – 9 ปี ) นักเรียนเชื่อมโยงผลสําเร็จกับความพยายามเท่านั้น
  • ระดับ 3 (อายุ 10 – 11 ปี ) นักเรียนเริ่มแยกแยะความพยายามออกจากความสามารถได้ แต่บางครั้งก็ สับสน
  • ระดับ 4 (อายุ 12 ปีขึ้นไป) นักเรียนเข้าใจความแตกต่างระหว่างความพยายามกับความสามารถอย่าง ชัดเจน

นามานุกรมของชั้นเรียน

ครูส่งเสริมให้นักเรียนทําแฟ้ม หรือ เฟซบุ๊ก ระบุจุดแข็งหรือความสามารถพิเศษของนักเรียนแต่ละคน คนละ ๒ – ๓ อย่าง และอาจเติมความสามารถพิเศษของเพื่อน หรือคนในครอบครัว สามารถใช้เป็นแหล่งค้นหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในชั้นที่นักเรียนไปขอความช่วยเหลือได้ เช่น ผู้เชี่ยวชาญการแก้ปัญหาโทรศัพท์มือถือ ผู้เชี่ยวชาญการซื้อเสื้อผ้า ผู้เชี่ยวชาญแบดมินตัน ผู้เชี่ยวชาญวิชาคณิตศาสตร์ ฯลฯ

4.ส่งเสริมสนับสนุนการมีความฝัน 

วิธีช่วยให้เด็กค่อยๆ พัฒนาความคิด เส้นทางชีวิตและความสามารถ ทําโดยตั้งคําถามเรื่องความฝัน เรื่องอนาคต ของตนเอง คําถามเชิงขุดลึกเข้าไปภายในตนที่นักเรียนถามตนเองต่อไปนี้ จะช่วยให้นักเรียนคิดถึงอนาคต และความสามารถในปัจจุบันของตนเอง

  • ฉันอยากเป็นอะไรใน 5 ปี 10 ปี และ 15 ปี
  • ขณะนี้ฉันมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง
  • ฉันจะช่วยคนอื่นได้อย่างไรบ้าง
  • ฉันอยากเป็นคนแบบไหน

นักเรียนอาจตอบคําถามเหล่านี้ออกมาเป็นเพลง ภาพวาด บทกวี ข้อเขียน หรือเล่าแชร์กับเพื่อนๆ ซึ่งจะช่วยให้ ความฝันชัดเจนยิ่งขึ้น โดยต้องมีกติกาในชั้นว่าห้ามดับฝัน เมื่อนักเรียนคนใดคนหนึ่งแชร์ความฝัน อาจไม่มีเพื่อนสนับสนุนเลย แต่จะมีคนคนหนึ่งที่สนับสนุน คือ ครู 

เมื่อใดก็ตามที่นักเรียนเสนอความฝันที่ดูเสมือนเพ้อฝัน ครูต้องชวนเด็กว่า “มา… เรามาวางแผนกัน”

Tags:

เทคนิคการสอนสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลนpositivity mindsetการมองโลกในแง่ดี

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

illustrator

ครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Learning Theory
    Positivity Mindset : เปลี่ยนพื้นฐานทางอารมณ์ สร้างความคิดเชิงบวกให้นักเรียนผ่านการเรียนรู้แบบ PBL

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Rich classroom climate mindset สภาพห้องเรียนที่มีบรรยากาศร่ำรวย

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

แมงมุมเพื่อนรัก : สายใยแห่งมิตรภาพ ความตาย และการไถ่บาป
16 July 2021

แมงมุมเพื่อนรัก : สายใยแห่งมิตรภาพ ความตาย และการไถ่บาป

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ความรู้สึกสะเทือนใจต่อการสูญเสียชีวิตสัตว์ที่รัก อาจทำให้บางคนตัดสินใจไถ่บาปด้วยการเป็นมังสวิรัติ หรือผู้พิทักษ์สิทธิสัตว์ แต่สำหรับไวท์ หรือ Elwyn Brooks White นักเขียนชาวอเมริกัน เขาเลือกเครื่องมือไถ่บาปความรู้สึกผิดในใจด้วยการเขียนวรรณกรรม แมงมุงเพื่อนรัก (Charlotte’s web)
  • แมงมุงเพื่อนรักเล่าเรื่องราวมิตรภาพระหว่างตัวเอกของเรื่อง เจ้าหมูวิลเบอร์ และแมงมุมที่ชื่อชาร์ลอตต์ กับภารกิจช่วยให้วิลเบอร์รอดชีวิตจากการถูกฆ่าในฟาร์มเลี้ยงสัตว์
บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนังสือ

วรรณกรรมเยาวชนเรื่องหนึ่ง เปิดฉากด้วยความตาย จบลงด้วยความตาย และขับเคลื่อนเรื่องราวด้วยความพยายามหลบหนีจากความตาย

วรรณกรรมเล่มนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น หนึ่งในวรรณกรรมเด็กและเยาวชนที่ดีที่สุดในโลกตลอดกาล

ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงวรรณกรรมเยาวชน ที่มีชื่อว่า แมงมุมเพื่อนรัก หรือ Charlotte’s web ของ E.B.White (Elwyn Brooks White) นักเขียนชาวอเมริกัน

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1952 และนับจนถึงปัจจุบันได้รับการตีพิมพ์ไปทั่วโลกกว่า 45 ล้านเล่ม แปลเป็นภาษาต่างๆ 23 ภาษา รวมถึงภาษาไทย ซึ่งแมงมุมเพื่อนรักได้รับคัดเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ทำให้หลายคนน่าจะคุ้นเคย หรือเคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาแล้ว

ผมก็เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่สมัยยังเด็ก สักประถมสี่เห็นจะได้ และน่าจะเป็นหนังสือประเภทวรรณกรรมแปลเล่มแรกในชีวิตเลย ซึ่งครั้งแรกที่อ่านจบ จำได้ว่า รู้สึกชอบและประทับใจหนังสือเล่มนี้มาก ทั้งเรื่องราวชีวิตในฟาร์ม ความน่ารักของสัตว์ต่างๆ และที่สำคัญมิตรภาพระหว่างตัวเอกของเรื่อง คือ เจ้าหมูวิลเบอร์ และแมงมุมที่ชื่อชาร์ลอตต์

แต่พอหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านใหม่ในวัยผู้ใหญ่ จึงได้รู้สึกว่า จริงๆแล้วแมงมุมเพื่อนรักเป็นหนังสือที่มีความดาร์คอยู่ในตัวมาก เพราะอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า หนังสือเล่มนี้เปิดฉากด้วยความตาย จบลงด้วยความตาย และขับเคลื่อนเรื่องราวด้วยความพยายามหลบหนีความตาย

ความตายคือเรื่องปรกติ แต่ก็แสนรวดร้าว

เพียงแค่หน้าแรกของแมงมุมเพื่อนรัก ความตายก็โผล่มาทายทักเราอย่างตรงไปตรงไม่อ้อมค้อม เมื่อพ่อของเด็กน้อยชื่อเฟิร์น ถือขวานเล่มหนึ่ง เดินตรงไปที่คอกหมู โดยตั้งใจจะฆ่าลูกหมูตัวหนึ่งที่เพิ่งคลอดเมื่อคืน ด้วยเหตุผลว่ามันตัวเล็กเกินไป ไม่คุ้มค่าที่จะเลี้ยงไว้

“แต่มันไม่ยุติธรรมเลย” เฟิร์นคร่ำครวญ “ช่วยไม่ได้ที่มันบังเอิญเกิดมาตัวเล็ก ถ้าหนูเกิดมาตัวเล็กอย่างมันล่ะ พ่อจะฆ่าหนูไหมนะ?”

อันที่จริงแล้ว ความตายเป็นเรื่องปรกติในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะกับสัตว์ที่ถูกมนุษย์เลี้ยงไว้เพื่อฆ่าเป็นอาหาร ซึ่งความตั้งใจของพ่อก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องเมื่อคิดด้วยเหตุผลของเกษตรกร

จากข้อมูลขององค์กร PETA ซึ่งเป็นองค์กรพิทักษ์สิทธิสัตว์ ระบุว่า ในแต่ละปี มีหมูถูกฆ่าเป็นอาหารในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ประมาณ 121 ล้านตัว หรือตกราว 330,000 ตัว ในแต่ละวัน

ถึงแม้ว่าอี.บี.ไวท์ จะไม่ได้เกิดมาในครอบครัวเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ (เขาเกิดในย่านชานเมืองมหานครนิวยอร์ก) แต่หลังจากซื้อฟาร์มแห่งหนึ่งในเมืองบรูคลิน มลรัฐเมน เมื่อเข้าสู่วัยสามสิบ เขากลายเป็นเกษตรกรเต็มตัว ใช้ชีวิตและเสียชีวิตอยู่ในฟาร์มที่เขารัก ห้อมล้อมด้วยสรรพสัตว์ที่เขารัก ไม่ว่าจะเป็นม้า วัว แกะ ห่าน สุนัข และหมู

ไวท์ คุ้นเคยดีกับการฆ่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ซึ่งเป็นกิจกรรมปรกติที่เกิดขึ้นในฟาร์ม แต่ด้วยจิตใจที่อ่อนโยน ทำให้เขารู้สึกขัดแย้งในตัวเองในเรื่องนี้ ไวท์เคยเขียนไว้ในหนังสือความเรียงเกี่ยวกับชีวิตในฟาร์ม ชื่อ One Man’s Meat ซึ่งตีพิมพ์ก่อนที่เขาจะแต่งหนังสือเรื่องแมงมุมเพื่อนรักว่า

“เมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ กลับกลายเป็นผู้ทรยศต่อสัตว์ทุกตัวที่เขาเลี้ยง สัตว์ทุกตัวที่เขาทะนุถนอม อุ้มชูฟูฟัก ก่อนที่จะลงมือเชือดคอด้วยตัวเอง ในอีก 6 เดือนให้หลัง”

ฆาตรกรผู้แสนอ่อนโยน

หลังจากที่เฟิร์นอ้อนวอนด้วยน้ำตา พ่อของเธอยอมเปลี่ยนใจไม่ฆ่าลูกหมูที่ตัวเล็กและอ่อนแอที่สุดในครอก โดยมีเงื่อนไขว่า เธอจะต้องเป็นคนเลี้ยงดูลูกหมูตัวนั้น ซึ่งต่อมาเธอได้ตั้งชื่อมันว่า “วิลเบอร์”

พอเริ่มโต วิลเบอร์ ถูกขายให้กับลุงของเฟิร์น ซึ่งมันได้เติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข ท่ามกลางชีวิตในฟาร์ม ไม่ว่าจะเป็นเฟิร์น ผู้แวะเวียนไปเยี่ยมวิลเบอร์ทุกวัน, หนูในโรงนา, ฝูงแกะ, ครอบครัวห่าน และเพื่อนใหม่ที่เป็นแมงมุมสีเทาแสนสวย ชื่อ “ชาร์ลอตต์”

การพบปะกันครั้งแรกของทั้งสอง เริ่มต้นด้วยความหวาดระแวง เมื่อวิลเบอร์ได้รู้ว่า ชาร์ลอตต์ชักใยดักจับแมลง และดูดเลือดพวกมันกินเป็นอาหาร จนถึงกับรำพึงในห้วงความคิดว่า

“ฉันมีเพื่อนแล้ว แต่ชาร์ลอตต์ก็ช่างดุร้าย ทารุณ และคงเจ้าเล่ห์เพทุบายเหลือร้าย ฉันไม่ชอบเลยสักอย่าง แล้วนี่ฉันจะชอบเขาได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะสวยจะฉลาดแค่ไหนก็ตาม”

มีเรื่องเล่าว่า ในช่วงแรกๆ ที่หนังสือเรื่องนี้ออกจากจำหน่าย คนอ่านหลายคน โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองเด็ก ไม่พอใจที่ตัวเอกของเรื่องเป็นแมงมุม ซึ่งมีภาพลักษณ์ดูโหดร้ายอำมหิต แต่ดูเหมือนว่าไวท์ตั้งใจจะให้คนอ่านเกิดความรู้สึกเช่นนั้น เพื่อจะได้ขับเน้นความอ่อนโยนในหัวใจของชาร์ลอตต์ ที่ดูขัดแย้งกับภาพลักษณ์เมื่อแรกเห็น

ความตายคืบคลานมาหลอกหลอนวิลเบอร์อีกครั้ง เมื่อมันได้รู้ความจริงอันโหดร้ายว่า การที่มันได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ก็เพียงเพื่อที่จะถูกฆ่าเป็นอาหารของมนุษย์ และในตอนนั้นเอง ชาร์ลอตต์ ผู้เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฆาตกรกระหายเลือด บอกกับวิลเบอร์ว่า เธอจะหาวิธีช่วยไม่ให้เจ้าหมูน้อยถูกฆ่าเอง

เรื่องราวหลังจากนั้น คือ ความพยายามของชาร์ลอตต์ ในการปกป้องวิลเบอร์ให้พ้นจากความตาย ด้วยการใช้กลวิธีเหมือนที่มันใช้ในการมอบความตายให้แก่แมลงผู้เป็นเหยื่อ นั่นคือ การชักใย

วรรณกรรมแห่งการไถ่บาป

ในบทความที่มีชื่อว่า Death of a Pig หรือ ความตายของหมูตัวหนึ่ง ซึ่งไวท์เขียนลงในหนังสือพิมพ์ ดิ แอตแลนติค เมื่อปี 1948 บรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฟาร์ม เมื่อเขาพยายามช่วยเหลือลูกหมูที่ป่วยตัวหนึ่ง แต่สุดท้ายลูกหมูตัวนั้นก็ไม่รอดชีวิต

“เมื่อเราวางร่างของมันลงในหลุม หัวใจเราสั่นไหวสะท้าน” ไวท์ เขียนไว้ “เราไม่ได้สูญเสียเนื้อแฮมไป แต่เราสูญเสียชีวิตของหมูตัวหนึ่ง หมูตัวนั้นกลายเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเรา ไม่ใช่เพราะมันคือตัวแทนความอิ่มหนำในช่วงเวลาหิวโหย หากแต่เพราะหมูตัวนั้น มีความรู้สึก มีชีวิตจิตใจเหมือนเรา ต้องทนทุกข์ในโลกที่ทุกข์ทนเหมือนเช่นเรา”

ความรู้สึกสะเทือนใจต่อการสูญเสียชีวิตสัตว์ที่รัก อาจทำให้บางคนตัดสินใจไถ่บาปด้วยการเป็นมังสวิรัติ หรือผู้พิทักษ์สิทธิสัตว์ แต่สำหรับไวท์ เขายังรักชีวิตเกษตรกร เขาเลือกที่จะเป็นเกษตรกรต่อไป แม้จะรู้ว่าเส้นทางที่เลือกจะทำให้เขาต้องพบเจอกับความตายของสัตว์ที่เขารัก ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งก็เป็นความตายที่เขาเป็นผู้หยิบยื่นให้ด้วยมือเขาเอง

สิ่งที่ไวท์ใช้เป็นเครื่องมือไถ่บาปความรู้สึกผิดในใจ ก็คือวรรณกรรมสำหรับเด็กเกี่ยวกับชีวิตสัตว์ในฟาร์ม โดยเฉพาะเรื่องแมงมุมเพื่อนรัก

ในช่วงท้ายของเรื่อง ชาร์ลอตต์ ชักใยเป็นข้อความต่างๆ เช่น “หมูวิเศษ” “อ่อนโยน” ซึ่งทำให้วิลเบอร์ กลายเป็นหมูวิเศษในสายตาของชาวเมือง และสุดท้ายมันก็กลายเป็นขวัญใจของทุกคน และรอดพ้นจากการฆ่าเป็นอาหาร

ทว่า ความตายยังไม่หมดไปจากหนังสือเล่มนี้ เพราะสุดท้ายแม้ว่าวิลเบอร์จะรอดพ้นความตาย แต่ชาร์ลอตต์ กลับหนีมันไม่พ้น แมงมุมแสนสวยผู้อ่อนโยน ตายไปในช่วงท้ายของเรื่อง เพื่อตอกย้ำความจริงว่า ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น แม้กระทั่งตัวเอกของเรื่อง

นอกจากนี้ ความตายของชาร์ลอตต์ ยังช่วยขับเน้นมิตรภาพระหว่างแมงมุมกับหมู ซึ่งเป็นหัวใจหลักของเรื่องนี้

ในจดหมายที่ไวท์เขียนถึงบรรณาธิการผู้จัดพิมพ์หนังสือแมงมุมเพื่อนรัก เขาเล่าให้ฟังถึงพล็อตเรื่องของหนังสือเล่มนี้ และตบท้ายว่า

“หัวใจสำคัญของเรื่องก็คือหมูจะต้องรอดชีวิต เพราะลึกๆ ที่ใดที่หนึ่งในหัวใจของผม หวังอยากจะให้มันเช่นนั้น”

Tags:

วรรณกรรมเพื่อนแบบแผนความสัมพันธ์

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    เพื่อนยาก: ความผูกพัน ความฝัน ความรับผิดชอบและการจากลาชั่วนิรันด์ในนาม ‘มิตรภาพ’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    เพื่อนคนเก่ง: ในมิตรภาพอันแสนซับซ้อนนั้นมีทั้งความรักและความอิจฉา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • IMG_0670 2
    Book
    เด็กที่สร้างปัญหาไปวันๆ อาจต้องการแค่ใครสักคนที่เข้าใจ: บรัดเล่ย์ เด็กเกเรหลังห้องเรียน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : ความสัมพันธ์ที่เคารพอาณาเขตของตัวเอง (2)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : เพื่อนผู้พึ่งพาได้ ในขณะที่ยังมีเส้นอาณาเขตระหว่างตัวเองและผู้อื่นชัดเจน (1)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

‘คนเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขได้ คือ ตัวเรา’ 5 สถานการณ์ที่ทำให้เราไม่เชื่อในเรื่องความสุขอีกต่อไป และวิธีดึงความสุขกลับมาที่ตัวเรา
How to enjoy life
15 July 2021

‘คนเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขได้ คือ ตัวเรา’ 5 สถานการณ์ที่ทำให้เราไม่เชื่อในเรื่องความสุขอีกต่อไป และวิธีดึงความสุขกลับมาที่ตัวเรา

เรื่อง The Potential

  • สถานการณ์ที่บางคนกำลังเผชิญ ณ ขณะนี้ มันอาจหนักจนถึงขั้นต้องถามตัวเองว่า ‘ฉันจะผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้อย่างไร’ หรือ ‘ชีวิตนี้เราจะมีโอกาสกลับมายิ้มได้อีกไหม?’
  • ยิ่งเราติดอยู่ในดินแดนไร้ซึ่งความหวังนี้นานเท่าไร คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ตัวเรากลับมาเชื่อว่าเราจะสามารถมีความสุขได้อีกครั้ง บางทีเราอาจจัดการความทุกข์นี้ด้วยการบอกว่ามันเกิดเพราะตัวเราไม่มีความสามารถมากพอ ยิ่งเจอความทุกข์มากเท่าไร ยิ่งทำให้เราเริ่มตั้งคำถามกับความสุขมากขึ้น
  • บทความชิ้นนี้จะชวนให้เราเข้าใจปัจจัยที่อาจทำให้เราเกิดความทุกข์ จนเลิกหวังว่าจะมีความสุขเกิดขึ้น และวิธีเยียวยาดึงความสุขกลับมาหาเราอีกครั้ง

สถานการณ์ 1 – 2 ปีที่ผ่านมา (หรือย้อนไปไกลกว่านั้น) สำหรับใครหลายคน คงไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับเริ่มสตาร์ทสร้างชีวิตของตัวเอง โดยเฉพาะคนวัยหนุ่มสาว วัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ความสดใส พร้อมเปิดรับเข้าไปลองสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ และตั้งต้นวางแผนเขียนพิมพ์เขียวที่ทางของเราบนโลกใบนี้ 

บางคนอาจเริ่มต้นด้วยการทำตามความฝัน ด้วยความกระตือรือร้นแห่งความเยาว์วัย แม้จะถูกทดสอบด้วยอุปสรรค์และความยากลำบาก ที่ทำให้ความมุ่งมั่นของเราสั่นคลอน แต่ความเยาว์วัยทำให้เราเลือกเดินต่อ อดทนทำตามความฝัน

ขณะที่กำลังเดินบนถนนเส้นนี้ ก็อาจมีความผิดหวังอาจเข้ามากระทบตัวเรา ไม่ว่าจะผิดหวังในงาน ชีวิตรัก หรือความสัมพันธ์กับคนรอบตัว ขณะที่เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้เราค่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งการสนับสนุนใดๆ และทำให้เราเริ่มเฝ้าถามตัวเองว่า ‘ทำไมต้องเกิดสิ่งนี้ขึ้นกับเรา?’ ‘เราก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดี จนควรเจอกับเรื่องแบบนี้’

อุปสรรค์ที่เจออาจเริ่มใหญ่ขึ้น จากความผิดหวัง กลายเป็นปัญหาสุขภาพ อาการทรมาณกับโรคต่างๆ สูญเสียรักในชีวิต หรือความยากลำบากทางการเงิน ความเครียดก่อขึ้นในตัวคุณเรื่อยๆ และค่อยๆ ทำลายแผนของคุณ

และตัวคุณเองก็ค่อยๆ สูญเสียความหวังเช่นกัน

สูญเสียความมั่นใจว่า ‘เราจะกลับมามีความสุขอีกครั้ง’

ขณะที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดาที่เรารู้สึกอยากถอดใจ จบเรื่องนี้ไปซะ เราอาจมองไปที่คนรอบตัวแล้วรู้สึกว่า ทำไมชีวิตพวกเขาถึงง่ายกว่าของเรา ความทุกข์ค่อยๆ ทำให้เราหลงลืมว่า ไม่มีใครที่ไม่เคยเผชิญกับความทุกข์ บุคคลที่มีชื่อเสียงบางคนเองก็ต้องเผชิญกับความยากลำบากเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ยิ่งเราติดอยู่ในดินแดนไร้ซึ่งความหวังนี้นานเท่าไร คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ตัวเรากลับมาเชื่อว่าเราจะสามารถมีความสุขได้อีกครั้ง บางทีเราอาจจัดการความทุกข์นี้ด้วยการบอกว่ามันเกิดเพราะตัวเราไม่มีความสามารถมากพอ ยิ่งเจอความทุกข์มากเท่าไร ยิ่งทำให้เราเริ่มตั้งคำถามกับความสุขมากขึ้น

“ความสุขเป็นภาพลวงตาที่สื่อสร้างขึ้นเพื่อหาเงิน” อาจเกิดความคิดเช่นนี้ในหัวเรา “ความสัมพันธ์ที่แฮปปี้? ครอบครัวที่สุขสันต์? มิตรภาพที่อบอุ่น? เฮ้อ! นั่นไม่ใช่ชีวิตจริงซะหน่อย”

ต้นเหตุที่ทำให้เราเลิกหวังถึงความสุขอาจมีหลากหลาย บทความชิ้นนี้ขอหยิบ 5 สถานการณ์ที่อาจทำให้เราไม่เชื่อหรือเลิกหวังว่าจะมีความสุขเกิดขึ้นในชีวิต

อาการอกหัก (Heartbreak)

บาดแผลที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณเราอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ‘อาการอกหัก’ ความปวดร้าวที่เกิดจากความสูญเสียโดยไม่ทันตั้งตัว อาการอกหักนี้อาจทำให้หัวใจคุณแตกสลาย หรือทำให้ร่างกายและหัวใจของคุณรู้สึกเฉื่อยชา โลกทั้งโลกไร้สีสันไปชั่วขณะหนึ่ง และทุกๆ วันกลายเป็นสนามรบที่คุณต้องต่อสู้

สภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม (Social isolation) 

คุณเลือกที่จะเฟดตัวออกจากสังคม หยุดไปพบปะครอบครัวหรือเพื่อนฝูง เพื่อเลือกอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยว ยิ่งคุณแยกอยู่ตัวคนเดียวมากเท่าไร ความคิดและความรู้สึกก็ยิ่งตามหลอกหลอนคุณมากเท่านั้น คุณอาจเริ่มทำตัวแปลกขึ้น ความหวาดระแวงค่อยๆ เติบโตในตัวคุณ และเริ่มสงสัยสิ่งต่างๆ มากขึ้น ไม่มีใครเป็นเหมือนอย่างที่เราเห็นภายนอก

การมองโลกในแง่ร้ายและความขมขื่น (Pessimism and bitterness) 

พฤติกรรมบ่นกลายเป็นเรื่องสามัญทั่วไปสำหรับคุณ คุณจะมองเห็นแต่ข้อผิดพลาดในสิ่งต่างๆ คุณเริ่มมองคนอื่นโดยตัดสินพวกเขา ไม่มีใครที่ไม่ถูกคุณวิจารณ์ “ทุกคนหลอกลวง” ความคิดนี้อาจเกิดกับคุณ “ฉันควรอยู่ตัวคนเดียวดีกว่า” คุณเลือกปลอบตัวเองว่าโลกใบนี้ได้เปลี่ยนเป็นนรกแล้ว แม้แต่ความตายก็ฟังดูเป็นเครื่องเยียวยาความเจ็บปวดที่ดี

ภาวะความคิดสร้างสรรค์หยุดนิ่ง (Creative stagnation)

คุณไม่มีความอยากรู้สิ่งใดๆ หยุดที่จะลองไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ และเริ่มมีกิจวัตรประจำวันแย่ๆ ไม่มีความบาลานซ์ในชีวิต คุณอาจกินมากขึ้นหรือน้อยลง หลับยาวนานหรือแปปเดียว เวลาสำหรับคุณบางครั้งอาจเคลื่อนที่เร็ว แต่บางครั้งก็ช้าเสียจนเหมือนหยุดนิ่ง ตารางชีวิตคุณดูไม่สอดคล้องกัน ตัวคุณเองก็รับรู้ถึงความผิดปกตินี้ คุณไม่อยากออกจากบ้าน ไม่อยากไปที่ไหน เช่น เข้าชั้นเรียน หรือเข้าร่วมเวิร์คช้อปต่างๆ คุณหยุดที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ความคิดสร้างสรรค์ค่อยๆ หลุดลอยจากชีวิตคุณ และในที่สุดคุณเริ่มไม่สนใจใครหรือสิ่งใด

ติดอยู่กับอดีต (Living in the past)

เมื่อไรที่คุณสูญเสียความหวัง ชีวิตคุณจะกลับไปยึดติดกับอดีต คุณเริ่มค้นความทรงจำและโอบกอดความคิดถึง มั่นใจว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตคุณได้จากไปแล้ว คุณเลิกอยู่กับช่วงเวลาปัจจุบันและสูญเสียความประหลาดใจ ไม่มีอะไรทำให้คุณตั้งตารอคอย ช่วงเวลาสุดสัปดาห์หรือวันหยุดเทศกาลอาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับคุณอีกต่อไป เพราะคุณบอกตัวเองว่าเรื่องพวกนี้ไม่สำคัญอีกแล้ว มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร

คำแนะนำที่ (อาจ) ทำให้คุณกลับมามีความสุขอีกครั้ง

“เมื่อไรชีวิตเราจะดีขึ้น”

“เมื่อคุณคิดว่ามันจะดี มันก็จะดีขึ้น…”

ฟังแบบนี้อาจทำให้บางคนรู้สึกผิดหวัง ท้อแท้ เพราะบางทีเราอาจหวังว่าจะมีใครสักคนมาช่วยเรา ดึงเราออกจากวังวนแห่งความทุกข์ และทำให้เราได้พบเจอความสุขอีกครั้ง

แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครมีหน้าที่รับผิดชอบทำให้เรามีความสุข นอกจากตัวเราเอง ยิ่งหวังว่าจะมีคนมาช่วยเท่าไร ยิ่งทำให้เราใช้ชีวิตด้วยการตัดสินใจประมาท หรือทำให้เราตกอยู่ใน 5 สถานการณ์ข้างต้น

วิธีทำลายวังวนแห่งความทุกข์ อาจเริ่มที่ตัวเราพิจารณาว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำ เป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่มีความสุขหรือเปล่า จนกว่าต้นเหตุจะถูกแก้ไข ความสุขยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับเรา การก้าวเดินไปข้างหน้าจำเป็นต้องมีที่หมายที่แน่นอน เกิดจากตัวเลือกใหม่ๆ

นี่อาจเป็นหนึ่งข้อแนะนำที่ช่วยทำให้เราก้าวผ่านความทุกข์ได้

ซื่อตรงกับตัวเองว่าเรามีบาดแผล (Honor Your Pain)

หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด อาจไม่ใช่วิธีที่จะทำให้บาดแผลคุณหายไป แต่เป็นการก้าวเข้าไปในประตูแห่งความโศกเศร้า ร่องรอยความเจ็บปวดไม่ได้อยู่ในความเศร้า แต่มันฝังอยู่ในตัวเรา ซื่อตรงกับตัวเองว่าเรามีบาดแผล อย่าพยายามหลบหนี อนุญาตให้ตัวเองได้รับรู้และแสดงความรู้สึกออกมา 

อาจมีบางคนหวังดีอยากช่วยด้วยการบอกให้เราอย่าไปคิดถึงมัน (get over it) แต่นั่นคงไม่ใช่วิธีรักษาที่ดีเท่าไร เวลาและความอดทนต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ พยายามอยู่กับเพื่อนหรือคนที่เข้าใจเหมือนกัน

ออกไปใช้เวลากับคนอื่นๆ (Reach out)

การใช้เวลาอยู่กับตัวเองเป็นขั้นตอนหนึ่งในการเยียวยา แต่ถ้านานไปก็ส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพเรา เพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจะพยายามดันปีศาจร้ายในตัวเราออกมา เช่น การโทษตัวเอง เล่นบทบาทเหยื่อ หรือความข่มขื่น ยิ่งกักขังเราไว้ในความทุกข์ ออกไปหาเพื่อน หรือเข้ากลุ่มบำบัด หรือแม้แต่การไปสวดมนต์ ทำสมาธิ ทำความเข้าใจปรัชญา ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกถึงความสงบในจิตใจ แทนที่จะคาดหวังว่าเดี๋ยวก็มีปฏิหาริย์เกิดขึ้น

ขอเวลานอก (Take a Break)

เป็นเรื่องสำคัญที่เราควรมีเวลานอกออกมาพัก ออกจากปัญหาบ้าง เป็นการบาลานซ์ชีวิตที่ดี ซึ่งแต่ละคนมีวิธีทำให้ตัวเองสบายใจไม่เหมือนกัน บางคนด้วยการทำกิจกรรม เช่น เขียนอะไรสักอย่าง อ่านหนังสือ ฟังเพลง ทำงานศิลปะ หรือดูหนัง บางคนด้วยการออกไปทำกิจกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น เต้น ปีนเขา เดินทางไกล เป็นต้น 

เลือกกิจกรรมที่ทำให้เราได้หลบหนีจากสถานการณ์ตรงหน้าไปสู่โลกอีกใบหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงเวลาช่วงสั้นๆ ก็ตาม ไม่ต้องห่วงหรือกังวลกับปัญหา เพราะมันไม่ได้หนีไปไหน มันยังคงรอเรากลับไป แต่ตัวเราที่จะกลับมาจะเป็นเราในเวอร์ชันที่แข็งแรงขึ้น ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ และพร้อมเผชิญหน้า

เรียนรู้จากมัน (Learn from it)

มีคนกล่าวไว้ว่า ทางแห่งปัญญามักปูพื้นด้วยความทุกข์ ลองพิจารณา สำรวจ และไตร่ตรองปัญหาที่เกิดขึ้น โดยไม่พยายามตำหนิหรือโจมตีตัวเอง จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เกิดมากขึ้น รวมถึงมีเมตาต่อตัวเองและคนอื่น การเรียนรู้จะช่วยให้คุณค้นพบคุณค่าจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้น

คุณอาจค้นพบสิ่งใหม่ๆ เช่น การฟื้นตัวจากความบอบช้ำหรืออาการอกหักอาจทำให้คุณเข้มแข็งขึ้น มีศักยภาพมากขึ้น ฟื้นคืนสภาพมากกว่าเดิม

ก้าวต่อไป (Move on)

บางคนอาจยอมให้ความทุกข์ ความเจ็บปวดมาเปลี่ยน กำหนด และหล่อหลอมตัวตนพวกเขา สุดท้ายมันก็ขโมยชีวิตเขาไป 

หลังจากเราอนุญาตให้ตัวเองได้เผชิญช่วงเวลาแห่งความทุกข์ เริ่มขั้นตอนเยียวยา อาจขอความช่วยเหลือคนอื่นๆ สเตปต่อไปที่เราจะเจอ คือ จะให้ความเจ็บปวดนี้รั้นเราไว้ที่เดิม หรือเปลี่ยนมันให้เป็นแรงผลักดันให้เราได้ก้าวไปข้างหน้า 

สุดท้ายแล้วตัวเราเป็นคนเลือกเองว่า เราจะจัดการความทุกข์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีการตีตราว่าผิด หรือถูก หรือมี 100 คะแนนเป็นสิ่งตอบแทน แต่มันคือชีวิตของเราว่า เราอยากใช้ชีวิตตอนนี้และที่เหลืออยู่แบบไหน 

อ้างอิง
Why You Don’t Believe in Happiness Anymore
How to Recover When Life Crushes You

Tags:

สุขภาพจิตวิชาความสุขจิตวิทยาการเยียวยา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Life classroomHow to enjoy life
    เปลี่ยนที่ทำงานเป็นพื้นที่ฮีลใจ ‘โศรยา ทองดี’ ฮีลเลอร์แห่งโบว์เบเกอรี่เฮ้าส์

    เรื่อง The Potential

  • Book
    วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ: สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย…ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Healing the trauma
    ความสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Healing the trauma
    จิตวิทยาของการกราดยิง (mass shooting): บาดแผลทางใจและการรับมือกับเหตุการณ์เลวร้าย

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Character building
    ระบุที่มาของความสุขและทุกข์ด้วยหลัก PERMA และจงวาดวงกลมความทุกข์ให้เต็มกระดาษเอสี่!

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เน็ตป๊าม้า (Net PAMA) หลักสูตรออนไลน์สำหรับพ่อแม่ กับสูตร 3Rs ในการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวก
Family Psychology
14 July 2021

เน็ตป๊าม้า (Net PAMA) หลักสูตรออนไลน์สำหรับพ่อแม่ กับสูตร 3Rs ในการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวก

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • เน็ตป๊าม้า ‘Net PAMA’ หลักสูตรออนไลน์ สำหรับพ่อแม่ที่อยากเรียนรู้เทคนิคเชิงบวกในการเลี้ยงลูก
  • มี 6 บทเรียนสำคัญที่จะช่วยพัฒนาทักษะพ่อแม่ให้มีจิตวิทยาการเลี้ยงลูกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปัจจัยพื้นฐานในการปรับพฤติกรรมเด็ก ทักษะการสื่อสาร เทคนิคการชม เทคนิคการให้รางวัล เทคนิคการลงโทษ และเทคนิคการทำตารางคะแนน  
  • “เคล็ดวิชาที่พ่อแม่เรียนจบแล้วต้องจำได้แน่ๆ คือ สูตร 3Rs อันประกอบด้วย Relationship, Rules และ Resilient child เราจะเน้นกับพ่อแม่ว่าเขาจำเป็นต้องมี R สองตัวแรกในระดับที่สมดุลกัน แล้วถึงจะได้เป็น R ตัวที่สาม คือเด็กที่ปรับตัวง่าย ล้มแล้วลุกได้ มีความเข้มแข็งทางใจ มี Self-esteem ที่ดี”

กว่าจะโตมาเป็นเราได้อย่างทุกวันนี้ไม่ง่ายเลยนะ และการที่จะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตขึ้นมาในสังคมได้อย่างไร้บาดแผลหรือมีบาดแผลให้น้อยที่สุดก็ไม่ง่ายเช่นกัน เพราะทุกคนก็ต่างเริ่มบทบาทพ่อแม่ในชีวิตจริงกันเป็นครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีข้อผิดพลาดบ้าง ย่อมเป็นธรรมดาที่จะยึดเอาวิธีการเลี้ยงที่เสมือนมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น 

บางคนอาจจะมองว่า ฉันก็โตมาได้นี่นา ในขณะที่บางคนอาจได้รับบาดแผลจากวัยเด็กมาบ้าง แต่ในวันหนึ่งที่ได้เป็นพ่อแม่ขึ้นมา มันก็คงจะดีกว่า… ถ้าเราสามารถเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งด้วยความเข้าใจจริงๆ เพื่อลดการสร้างบาดแผลในใจให้กับเขา

The Potential ชวนคุณพ่อคุณแม่มาเรียนหลักสูตรออนไลน์ วิชาเลี้ยงลูก 101 กับ โปรแกรม Net PAMA (https://www.netpama.com) คัมภีร์การเลี้ยงลูกที่แตกต่าง เครื่องมือที่จะช่วยพ่อแม่ให้มีเทคนิคเชิงบวกในการปรับพฤติกรรมเด็ก ซึ่งกำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมนี้  

ทำความรู้จักเน็ตป๊าม้า (Net PAMA) 

ก่อนที่จะไปเรียนรู้เทคนิคเชิงบวกในการปรับพฤติกรรมเด็ก เรามาทำความรู้จักกับหัวหน้าโครงการเน็ตป๊าม้า (Net PAMA) นี้กันสักหน่อยดีกว่า 

เน็ตป๊าม้า เป็นหลักสูตรออนไลน์ที่ดีไซน์มาสำหรับผู้ปกครองที่มีลูกวัย 6-12 ปี โดยได้รับทุนจากทาง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมี รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เจ้าของเพจสมาธิสั้นแล้วไง เป็นหัวหน้าโครงการ ร่วมกับทีมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น จากกรมสุขภาพจิตและสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงนักจิตวิทยาเด็กอีกหลายท่าน 

คุณหมอชาญวิทย์เล่าว่ากว่าที่เน็ตป๊าม้าจะเป็นรูปเป็นร่างได้นั้น จริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นมีมานานกว่า 20 ปี ตั้งต้นจากที่โรงพยาบาลศิริราชซึ่งเป็นสถาบันแรกที่สร้างหลักสูตรวิธีการปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวก Parent Management Training หรือเรียกย่อๆ ว่า PMT ให้กับพ่อแม่

“ปีนึงเราจัดได้ประมาณ 6 รุ่น รุ่นนึงเรารับเทรนได้เต็มที่ก็ประมาณ 40 คน เพราะฉะนั้นปีนึงเราเทรนผู้ปกครองอย่างมากก็แค่ 200 กว่าคน ซึ่งทำมา 20 ปีผมยังรู้สึกว่าพ่อแม่ที่ได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้ยังมีค่อนข้างน้อย ในขณะที่เด็กๆ ในปัจจุบันมีปัญหาพฤติกรรมกันเยอะมาก ความต้องการของพ่อแม่ในเรื่องจิตวิทยาการเลี้ยงลูกมีมากมายมหาศาล พ่อแม่หลายคนยังขาดทักษะที่ดีในการเลี้ยงลูก ไม่รู้เทคนิคที่ถูกต้อง เช่น ปล่อยลูกให้อยู่กับหน้าจอต่างๆ ให้มือถือหรือแท็บเล็ตเป็นตัวเลี้ยงลูกแทน ผมก็เลยคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีหลักสูตรออนไลน์ขึ้นมาเพื่อเปิดโอกาสให้พ่อแม่หลายล้านคนได้เข้าถึงความรู้ที่ถูกต้องในการเลี้ยงลูก”

ในเว็บไซต์ของเน็ตป๊าม้านั้นมีคำอธิบายที่น่าสนใจว่า เป็น “คัมภีร์เลี้ยงลูกที่แตกต่าง” แล้วจะแตกต่างอย่างไร คุณหมอผู้เป็นหัวหน้าโครงการอธิบายต่อทันทีว่า ถ้าเปรียบเทียบกับคอร์สออนไลน์  สอนเลี้ยงลูกต่างๆ ที่มีในท้องตลาดแล้ว ส่วนใหญ่จะเน้นให้คุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญมาบรรยายให้ฟัง ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบทางเดียว (one-way learning)

แต่สำหรับเน็ตป๊าม้า คุณหมอชาญวิทย์อธิบายว่า จะเน้นในเรื่องของการแสดงความคิดเห็น การฝึกฝน จะไม่ใช่แค่ดูคลิปวีดีโอบรรยาย แต่จะเป็นการฟังเนื้อหา สลับกับดูครอบครัวตัวอย่าง สลับกับการตอบคำถาม เพื่อแชร์ความคิดเห็นกันในกลุ่มผู้ปกครองที่กำลังเรียนด้วยกัน อีกทั้งมีการบ้านในแต่ละบทเรียน มีเกมให้เล่นเพื่อเก็บสะสมคะแนน เพื่อได้สิทธิพิเศษในการเข้าห้องปรึกษากับนักจิตวิทยาเด็กหรือจิตแพทย์เด็ก

“เกมก็จะมีหลากหลาย แทบจะไม่ซ้ำกันในแต่ละบท ถ้าทำถูกก็จะได้คะแนน แล้วก็สามารถผ่านไปยังด่านต่อไปได้ เนื้อหาในเกมก็จะเกี่ยวกับจิตวิทยาการเลี้ยงลูกที่สัมพันธ์กับเนื้อหาในบทเรียนนั้นๆ ส่วนกระบวนการกลุ่มเราก็เน้นให้พ่อแม่ที่มาเรียนแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นกัน”

รศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล หัวหน้าโครงการเน็ตป๊าม้า (Net PAMA)

3Rs ทักษะจำเป็นในการเลี้ยงลูกยุคนี้ที่ถูกบรรจุไว้ในเน็ตป๊าม้า   

“เคล็ดวิชาที่พ่อแม่เรียนจบแล้วต้องจำได้แน่ๆ คือ สูตร 3Rs อันประกอบด้วย Relationship, Rules และ Resilient child เราจะเน้นกับพ่อแม่ว่าเขาจำเป็นต้องมี R สองตัวแรกในระดับที่สมดุลกัน แล้วถึงจะได้เป็น R ตัวที่สาม คือเด็กที่ปรับตัวง่าย ล้มแล้วลุกได้ มีความเข้มแข็งทางใจ มี Self-esteem ที่ดี””

โดย R ตัวแรก คือ Relationship สัมพันธภาพ พ่อแม่จะต้องรู้จักวิธีสร้างสัมพันธภาพกับลูกที่ดี ต้องได้ใจลูกก่อน ต้องให้ลูกมั่นใจว่าพ่อแม่เป็นพ่อแม่ที่รักเขาจริง และจะอยู่ข้างเขาเสมอ

ตัวต่อมาคือ Rules กฎระเบียบ กฎกติกา วินัย พ่อแม่จะต้องเรียนรู้วิธีสร้างกฎกติการ่วมกันกับลูก เมื่อเขาโตขึ้นการผสมผสานกันของสอง R ในระดับที่สมดุลจะนำไปสู่ R ตัวที่สาม คือ Resilient child หรือว่าเด็กที่เข้มแข็งทางใจ เด็กที่ปรับตัวง่าย ล้มแล้วลุกได้

นี่คือสิ่งที่พ่อแม่จะได้รับและนำไปปรับใช้ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องมีทักษะการสื่อสารที่ดีระหว่างกันในครอบครัว ลูกสามารถโต้แย้งได้อย่างมีเหตุผล ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็พร้อมจะรับฟังอย่างจริงใจ เราอยากได้พ่อแม่แบบนั้น และเชื่อว่าพ่อแม่หลายๆ คนก็อยากเป็นแบบนั้นเช่นกัน 

นอกจากนี้ยังมีความรู้อื่นๆ อีกมากมาย เช่น เทคนิคการสื่อสาร เทคนิคการชม เทคนิคการให้รางวัล เพื่อสร้าง Relationship ให้ดี ส่วน R ตัวที่สองก็จะเป็นในเรื่องของเทคนิคการลงโทษ การวางกฎระเบียบ การทำตารางคะแนนเพื่อปรับพฤติกรรม ฯลฯ

6 บทเรียนที่ชวนพ่อแม่ทำความเข้าใจ

ในส่วนของเนื้อหาแบ่งออกเป็นคอร์สเร่งรัดกับคอร์สจัดเต็ม สำหรับพ่อแม่ที่ต้องการความรวดเร็ว ใช้เวลาเรียนสั้นๆ และตรงกับปัญหาที่กำลังเผชิญ สามารถใช้บริการคอร์สเร่งรัดได้ แค่เช็คลิสต์พฤติกรรมลูกจากตัวเลือกที่มีให้ ระบบจะคำนวณให้ว่าสิ่งที่อยากรู้เข้าข่ายกับเนื้อหาในวิดีโอคลิปใดบ้าง เช่น คลิกที่ปัญหาลูกติดเกม ติดมือถือ ติดโซเชียล จะปรากฏคลิปการแก้ปัญหาลูกติดเกม ติดมือถือขึ้นมาเป็นอันดับแรก เป็นการเรียนแบบ one-way ที่เรียนรู้จากเคสตัวอย่าง พร้อมคำแนะนำจากจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ส่วนคอร์สจัดเต็ม จะมีทั้งหมด 6 บทเรียน ครอบคลุมเนื้อหาที่กล่าวถึงไปแล้ว โดยแต่ละบทใช้เวลาเรียนประมาณหนึ่งชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่ง

“ยกตัวอย่างบทเรียนเรื่องการชม พ่อแม่หลายคนอาจจะไม่กล้าชม โดยเฉพาะคนไทยจะมีความเชื่อผิดๆ ว่า ชมลูก อย่าชมมากเดี๋ยวเหลิง หรือถ้าชมก็ชมอยู่ 3 คำ คือ เก่ง ดี น่ารัก ซึ่งการชมแบบนี้เด็กมีโอกาสเข้าใจผิด และมีโอกาสที่จะเหลิงได้ ทำให้เขาคิดว่าเขาเก่งกว่าคนอื่น เขาดีกว่าคนอื่น เขาน่ารักกว่าคนอื่น” 

คุณหมอชาญวิทย์แนะนำวิธีการชมที่ได้ผลดีว่า ในด้านจิตวิทยาการเลี้ยงลูก คำชมที่ดีต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ บอกรายละเอียดของพฤติกรรมที่ดีของเด็กที่เราเห็น ณ ขณะนั้น บอกความรู้สึกของเราเมื่อเห็นพฤติกรรมนั้น และสุดท้ายบอกคุณลักษณะของเด็ก

“เวลาชมต้องชมที่พฤติกรรมอย่าชมที่ตัวตน ที่ว่าดี เก่ง น่ารัก มันคือการชมที่ตัวตน ซึ่งทำให้เด็กเข้าใจผิดได้ แต่ถ้าเราชมพฤติกรรมว่า เนี่ย..แม่กลับมาถึงบ้านแล้ว หนูมาช่วยแม่ถือของเข้าบ้าน แม่ชอบมากเลยที่หนูเป็นเด็กที่มีน้ำใจ แม่ภูมิใจในตัวหนูมาก เด็กรู้เลยว่าแม่ภูมิใจ แม่ชอบ แม่พอใจเพราะพฤติกรรมที่เขาช่วยแม่ถือของ เขาเป็นเด็กมีน้ำใจ อันนี้ปิดประตูว่าเด็กจะเหลิง แล้วเด็กก็จะเรียนรู้ด้วยว่าทุกการกระทำที่เขาตัดสินใจทำมันมี ผลที่ตามมา ถ้าเขาเลือกทำดีต่อคนอื่น มันก็จะมีอิมแพคที่ดีต่อคนอื่นแล้วก็ต่อตัวเขา แต่คนไทยเรามักไม่ได้สอนกันเรื่องพวกนี้” 

การลงโทษก็เช่นกัน เวลาเด็กทำผิด พ่อแม่ไทยมักชอบตำหนิที่ตัวตนของเด็ก ทำให้เด็กอับอายขายหน้า เช่น ทำไมถึงดื้อแบบนี้ ทำไมขี้เกียจแบบนี้ ใช้คำที่เป็นการโจมตีไปที่ self ของเด็ก 

“การตำหนิเด็กที่ถูกต้อง พ่อแม่ต้องระบุเลยว่า ที่ดุเพราะหนูทำอะไร หนูตีน้อง หนูพูดเสียงดัง หนูพูดคำหยาบ บ้านเรามีกฎอยู่บ้านเราไม่พูดคำหยาบ เด็กก็จะรู้เลยว่าที่แม่ดุเพราะเขาพูดคำหยาบ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนไม่ดี เป็นเด็กดื้อ ไม่เชื่อฟัง เด็กก็ยังแยกได้ว่าเขายังสามารถเป็นเด็กดีอยู่ได้นะ เพียงแต่เผลอพูดคำหยาบไปบ้าง เผลอแกล้งน้องบ้าง  คือไม่เอาให้เด็กรู้สึกแย่กับตัวเอง ไม่เอาให้เด็กขายหน้าจน self-esteem ไม่เหลือ หรือไม่ทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดีเลยเหรอ”

ปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อผลลัพธ์ที่ดี 

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คุณหมอเองก็พบว่า ปัญหาการเลี้ยงลูกของพ่อแม่มีความแตกต่างกันไป เมื่อก่อนปัญหามักจะเป็นเรื่องของการที่พ่อแม่ใช้วิธีการเลี้ยงลูกแบบโบราณ ก็คือ การขู่ให้เด็กกลัว การลงโทษด้วยการตี ซึ่งก็สร้างปัญหาและปมในใจให้กับเด็กอย่างหนึ่ง 

จากเด็กวันนั้นก็เติบโตมาเป็นพ่อแม่ในวันนี้ กลับกลายเป็นว่าปัญหาตอนนี้คือ พ่อแม่หลายบ้านเลี้ยงลูกแบบกลัวอารมณ์ลูก กลัวลูกโกรธ กลัวลูกเสียใจ กลัวลูกไม่รัก เลยเลี้ยงลูกให้เป็น ‘ฮ่องเต้’ โดยไม่ตั้งใจ

“หลายครอบครัวอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว พ่อแม่ทำงานหนักทั้งคู่ จนไม่มีเวลา เหนื่อย หมดแรงไปกับการทำงานนอกบ้าน เลยไม่เหลือพลังที่จะมาจัดการกับพฤติกรรมลูก นำไปสู่การใจอ่อน ไม่เอาจริง ไม่อยากทะเลาะกับลูก ยอมปล่อยให้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยในการเลี้ยงลูกแทน ก็เลยทำให้พบเด็กที่ขาดระเบียบวินัย ขาดความอดทน ไม่ชอบลำบาก ติดสบาย เอาแต่ใจตัวเอง ก้าวร้าวขึ้น หัวร้อนง่าย เรียกว่าแรงขึ้นเยอะ”

ดังนั้นเราจึงต้องหาจุดสมดุล เพื่อไม่ให้เลี้ยงลูกแบบเข้มงวดจนเกินไป จนเด็กอึดอัด ไร้อิสระ คิดอะไรเองไม่เป็นหรือตามใจเกินไปจนกลายเป็นเด็กไร้วินัย  

“ลูกต้องเรียนรู้ที่จะต้องอยู่กับสังคมที่มีคนอื่นนอกเหนือจากพ่อแม่ อีกหน่อยสังคมเขามันต้องกว้างขึ้น เขาต้องเรียนรู้ว่าคนอื่นไม่เหมือนพ่อแม่ที่จะยอมตามอารมณ์เขา ต้องให้เรียนรู้ตั้งแต่เล็กๆ ว่า เขาไม่สามารถมีอารมณ์เป็นอาวุธที่ใช้ในการจัดการพ่อแม่หรือจัดการคนอื่น ลดการเลี้ยงลูกให้เป็นฮ่องเต้ลงสักหน่อยก็ดี”

“หมออยากให้พ่อแม่ทุกคนตระหนักว่าเวลาที่เราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับลูก แล้วลูกต้องการเรามันสั้นกว่าที่คิด พ่อแม่หลายคนจะมีความเข้าใจผิดว่าลูกเป็นของฉัน ลูกจะอยู่กับฉันไปตลอด แต่ลองไปสำรวจดูดีๆ วัยที่ลูกติดเรา เกาะแข้งเกาะขาขอตามไปด้วย วัยที่ลูกมองเราด้วยสายตาแบบว่าเราคือฮีโร่ของเขา บอกอะไรลูกแล้วลูกก็เชื่อเรา มีอะไรก็มาถามพ่อแม่ วัยแบบนี้มันมีแค่กี่ปีเอง เต็มที่ก็ไม่เกินสิบปี หลังจากนั้นลูกจะเริ่มเชื่อคนอื่นมากกว่าพ่อแม่แล้ว”

ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ทุกคนที่เข้ามาเรียนจากเน็ตป๊าม้าแล้วจะกลายเป็นพ่อแม่คนใหม่โดยอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต้องอาศัยความทุ่มเทและมุ่งมั่นของพ่อแม่ว่าตัวเองจะต้องเปลี่ยนให้ได้ เน็ตป๊าม้าเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เข้ามาช่วยปิดช่องโหว่ที่พ่อแม่ยุคใหม่ขาด ช่วยส่งเสริมทักษะการเลี้ยงลูกเชิงบวก สร้างความเข้าใจ และแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เพื่อให้สิบปีแรกของลูกเป็นความทรงจำดีๆ ที่จะตราตรึงในใจเด็กตลอดไป

Tags:

การปรับพฤติกรรมเด็กเชิงบวกพ่อแม่เรียนออนไลน์เน็ตป๊าม้า (Net PAMA)

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Illustrator:

illustrator

อัคคเดช ดลสุข

Related Posts

  • Movie
    Modern love : ไม่จำเป็นต้องลืมคนเก่า-ถูกแทน หัวใจเรารักได้มากกว่านั้น

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    We’re here: แดร็กควีนที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เพื่อความรู้สึกมีอำนาจ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    เมื่อลูกแสดงพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก พ่อแม่จะการประคองอารมณ์ตัวเองและอารมณ์ลูกอย่างไร

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Family Psychology
    Nonviolent Communication : สร้างเด็กที่รักตัวเองและรับฟังคนอื่น

    เรื่อง กัญญาณัฐ เลิศคอนสาร ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Gaslighting : ‘การปั่นหัว’ หนึ่งในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษและบั่นทอน
Relationship
12 July 2021

Gaslighting : ‘การปั่นหัว’ หนึ่งในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษและบั่นทอน

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • “คิดมากเกินไปหรือป่าว เรื่องแค่นี้เอง” “ที่ผมนอกใจคุณก็เพราะคุณทำตัวไม่ดีเอง” “ลูกอย่ามาโกรธพ่อนะ นี่คือคนให้กำเนิดนะ”… คุณเคยเจอกับคำพูดแนวๆ นี้หรือไม่ หากเคยได้ยินแปลว่าคุณอาจกำลังถูกปั่นหัว (Gaslighting)
  • การปั่น (Gaslighting) ใช้เรียกพฤติกรรมของคนคนหนึ่งที่พยายามเบี่ยงเบน ความคิด หรือความรู้สึกของอีกฝ่าย เพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่มั่นใจ แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างตงิดใจ สงสัย แต่ไม่กล้าฟันธง ความคิดถูกสั่นคลอน และสุดท้ายคิดว่าตนเองเป็นคนผิดแทน
  • พฤติกรรมนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบการทารุณกรรมทางจิตวิทยา (Psychological Abuse) และหากเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ใดบ่อย เช่น เพื่อน พี่น้อง ครอบครัว คู่รัก ย่อมเป็นหนึ่งในสัญญาณของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) ที่ทำให้ความสัมพันธ์นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย เคลือบแคลง กังวล ไม่มั่นใจ นานวันเข้าก็อาจด้านชากับความรู้สึกตัวเอง และย่อมเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบจากคนที่ไม่หวังดี

หนึ่งในความเจ็บปวดที่สุดของความเป็นมนุษย์ คือ การที่คนคนนั้นไม่สามารถใช้ชีวิตตามเสียงหัวใจที่บอกเขาได้ เขาอาจกำลังสงสัยกับความคิด ความรู้สึกตัวเองว่ามันจริงหรือเปล่าที่ฉันคิดแบบนี้ จนต้องคอยถามความเห็นคนอื่นเสมอว่า สิ่งที่เขารู้สึกมันสมเหตุสมผลไหม 

เมื่อไม่สามารถเชื่อใจตนเองได้ก็ยากที่จะรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย เพราะต้องคอยระแวดระวังสงสัยสิ่งที่ตนเองรู้สึกเสมอ

“คิดมากเกินไปหรือป่าว เรื่องแค่นี้เอง”

“เรื่องเล็กน้อย อย่าหยิบมาเป็นประเด็นได้ไหม”

“ที่ผมนอกใจคุณก็เพราะคุณทำตัวไม่ดีเอง”

“ที่พ่อแม่บังคับก็เพราะเรารักลูกไง”

“ลูกอย่ามาโกรธพ่อนะ นี่คือคนให้กำเนิดนะ”

“ไม่จริง! แม่ไม่เคยพูดแบบนั้น มั่วหรือป่าว”

คุ้นๆ กับประโยคตัวอย่างข้างต้นหรือป่าวครับ ?

หากคุ้นอาจแปลว่าคุณอาจเคยถูกปั่นหัว หรือ Gaslighting

สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังถูกปั่น

  • รู้สึกสงสัยและกังวลในความคิดและความรู้สึกของตัวเอง
  • รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร
  • กังวลว่าตัวเองคิดมากเกินไปหรือป่าว
  • รู้สึกกลัวที่จะต้องสื่อสารหรือออกความคิดเห็นกับอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง
  • หมดความเชื่อมั่น หมดหวังในตัวเอง และอาจมีภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวลด้วย
  • สงสัยว่าอะไรคือความจริง
  • ขอโทษเยอะเกินไป ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าผิดจริงหรือไม่
  • อีกฝ่ายพยายามเบี่ยงเบนเพื่อหลีกหนีความผิด
  • อีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เฉยเมยเพื่อให้เราสับสนกับตัวเอง

Gaslight แปลว่า ตะเกียง เป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่คนหนึ่งพยายามปั่น เบี่ยงเบน ความคิด หรือความรู้สึกของอีกฝ่าย อาจเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ การปั่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่มั่นใจ แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างตงิดแต่ก็ยังคงสงสัยและไม่กล้าฟันธงความคิดอยู่ดี เพราะเสียงข้างในสั่นคลอนจากการที่ถูกปั่นหัวมาต่อเนื่อง  

การปั่นเป็นหนึ่งในรูปแบบการทารุณกรรมทางจิตวิทยา (Psychological Abuse) และหากเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ใดบ่อย เช่น เพื่อน พี่น้อง ครอบครัว คู่รัก ย่อมเป็นหนึ่งในสัญญาณของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) ที่ทำให้ความสัมพันธ์นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย เคลือบแคลง กังวล ไม่มั่นใจ นานวันเข้าก็อาจด้านชากับความรู้สึกตัวเอง และย่อมเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบจากคนที่ไม่หวังดี

การปั่น (Gaslighting) เป็นการทำร้ายทางจิตใจที่รุนแรงและเจ็บปวด แม้สังคมจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเจ็บปวดทางใจมากเท่าความเจ็บทางกาย แต่งานทางวิทยาศาสตร์พบว่า สมองแทบจะไม่สามารถแยกความเจ็บปวดทางกายและทางใจได้ 

พูดง่ายๆ ความเจ็บปวดทางใจก็อาจมีความรุนแรงเท่าๆ กับความเจ็บปวดทางร่างกายได้ เพียงแค่ไม่ได้เห็นชัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นไม่ได้เจ็บปวด การปั่น การใช้คำพูดที่รุนแรง การส่อเสียด จึงควรได้รับความสนใจว่าเป็นหนึ่งในความเจ็บปวดที่สำคัญ  

การปั่นเป็นพฤติกรรมที่มักเกี่ยวข้องกับอำนาจ ความรู้สึกเหนือกว่า หลายครั้งคนที่ปั่นก็ทำไปเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจในการควบคุมหรือบงการ (Manipulation) อีกฝ่ายให้จำยอมต่อความจริงที่เขากำลังมอบ ไม่ว่าคนปั่นจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม และยิ่งคนปั่นมีอำนาจทางร่างกายหรือจิตใจที่เหนือกว่าก็ยิ่งจะทำให้การปั่นเป็นไปได้ง่ายขึ้นด้วย

เมื่อโดนปั่นหัวเป็นเวลานาน มีแนวโน้มที่ความเชื่อมั่นในตัวเอง (Self-Esteem) จะลดลงเรื่อยๆ หากมีกรณีที่อีกฝ่ายผิด แต่เขากลับโวยวายว่าเราน่ะคิดมากเกินไป เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แม้จะมีหลักฐานอยู่คาตา แต่ก็มีแนวโน้มที่เราจะสรุปกับตัวเองว่าเรานั้นคิดมากไปตามที่อีกฝ่ายบอก นี่คือความน่ากลัวของการปั่น (Gaslighting) ที่ทำให้เรามองเห็นความจริงบิดเบือนไป

นึกให้เห็นภาพชัดอาจเป็นสถานการณ์ที่ภรรยาจับได้ว่าสามีนอกใจแล้วเขาก็บอกเธอว่า “ที่ผมต้องนอกใจก็เป็นเพราะคุณนั่นแหละที่ไม่ดูแลผม” หากภรรยาไม่ยืดหยัดในความผิดของสามี และเชื่อมั่นในตัวเองมากพอ คำพูดนี้อาจทำให้เธอรู้สึกสับสน และอาจกลับมารู้สึกแย่กับตัวเองที่เป็นสาเหตุให้สามีทำพฤติกรรมแบบนั้น การปั่นนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการบ่ายเบี่ยงความผิดจากสามีไปที่ภรรยาที่มักเห็นได้ในชีวิตประจำวัน

หรืออาจเป็นเหตุการณ์ที่ลูกโกรธที่แม่บังคับลูกให้ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่แม่ชอบทั้งที่ลูกไม่ได้ต้องการจะเรียนเลย ลูกเคยพยายามอธิบายให้แม่รู้แล้วว่าสาขานี้ไม่ใช่ความชอบลูก ลูกมีอีกที่ที่ลูกชอบ แต่ทุกครั้งแม่ก็จะตอบกลับไปด้วยประโยคทวงบุญคุณว่า “นี่ฉันเป็นแม่แกนะ ฉันน่ะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แกอยู่แล้ว”

จากบริบทนี้แม้แม่จะไม่ได้ตั้งใจจะปั่นลูกให้สับสนกับความต้องการตัวเอง แต่ก็เห็นได้ว่าลูกมีแนวโน้มที่จะรู้สึกแย่ที่ตัวเองมีความต้องการเช่นนั้น แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง แล้วอาจเกิดความรู้สึกโทษตัวเองว่า “ที่ฉันไม่อยากเรียนวิชานี้ เพราะฉันไม่เห็นบุญคุณของแม่” หากลูกไม่ได้ฟังเสียงหัวใจและมองสถานการณ์อย่างเป็นกลางมากพอก็อาจตกหลุมพรางของการปั่นนี้

การปั่นเกิดขึ้นเป็นปกติในทุกความสัมพันธ์ แม้บางครั้งเราจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการปั่นมีผลเสียต่อผู้ถูกกระทำอย่างมาก ผู้พูดอาจจะไม่ได้สนใจคำพูดตัวเองนัก แต่สำหรับคนถูกปั่นบ่อยๆ ก็อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตต่างๆ ได้ จากการที่ไม่สามารถเชื่อความคิด ความรู้สึกตัวเองได้ หรือพูดอีกอย่างคือ คนที่ถูกปั่นอาจไม่สามารถเชื่อมโยงกับตัวเองได้ (Disconnect from Authentic Self) การเชื่อมโยงหมายถึง การรับรู้ ยอมรับความรู้สึก ความคิดของตัวเอง หากปล่อยไว้เป็นเวลานาน เวลาเขาเจอเหตุการณ์ที่ผิด เช่น คนรักทำร้ายเขา จากที่เขาสมควรจะวิ่งหนีเพราะเหตุการณ์อันเลวร้าย เขาก็อาจจำยอมอยู่ในความสัมพันธ์นั้นเพราะไม่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณตัวเองมากพอ

หากอ่านแล้วรู้สึกว่าคุณกำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ว่าจะเป็นคนกระทำ หรือถูกกระทำ

นี่เป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่จะทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด แม้มันจะไม่ใช่ความเจ็บปวดที่รวดร้าว แต่มันจะค่อยๆ บั่นทอนความเป็นตัวคุณทีละนิดทีละน้อย

วิธีรับมือกับการปั่น 101 (Gaslighting)

  1. หัวใจสำคัญของการป้องกันการปั่นหัว คือ การเชื่อมั่นในความคิด ความรู้สึกตัวเอง (ไม่ใช่ยึดถือ) จังหวะที่คุณถูกปั่นหัว คุณอาจรู้สึกกังวล ประหม่าอย่างมาก ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้กลับมามีสติอยู่กับตัวเอง เพราะอีกฝ่ายจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้คุณสับสน ไม่เชื่อมั่นในตัวเองเพื่อที่เขาจะสามารถควบคุมคุณได้ และคุณก็อาจเดินออกจากตรงนั้นก่อน อย่าพึ่งคุยกับเขา หยุดฟังเสียงคนอื่น แล้วกลับมาถาม ‘แค่ตัวเอง’ ว่าสิ่งที่คุณรู้สึกมันจริงไหม ถ้ามันจริงแม้ร้อยคนจะบอกว่ามันไม่จริงมันไม่สมเหตุสมผล แต่สำหรับความรู้สึกส่วนใหญ่มักจะสมเหตุสมผลในตัวเองอยู่แล้ว
  2. สิ่งที่ต้องระวัง คือ หากคุณเริ่มฝึกที่จะฟังเสียงตัวเองและต่อต้านคนที่ติดนิสัยการปั่นหัว ด้วยความที่เขารู้สึกเหมือนจะสูญเสียอำนาจ และความเคยชินเดิมไป อาจทำให้เขาปั่นคุณแรงขึ้น ให้เตรียมใจรับมือตรงจุดนี้ให้ดี จุดนี้เขาจะมีความกลัวที่คุณจะเปลี่ยนไป ยิ่งกลัวเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้คือจุดชี้วัดเลยให้ใจแข็งมากๆ อาจคิดสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าก็ได้ว่าถ้าเขาทำแบบนี้คุณจะตอบกลับอย่างไร จำลองสถานการณ์ในหัวเลย พอเจอของจริงจะได้ไม่ประหม่าและรู้ว่าต้องตอบโต้อย่างไร 
  3. ตระหนักถึงความจริง พิจารณาหลักฐานที่เรามีอยู่ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงไหม อย่างกรณีที่แม่มาบอกเราว่า “ฉันทำทุกอย่างเพื่อแกนะ” อย่าพึ่งปล่อยให้บุญคุณมาหักล้างความคิด หรือทำให้คุณรู้สึกผิดหากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คีย์เวิร์ดคือ ถามตัวเองว่าเสียงข้างในบอกว่าอย่างไร
  4. หากรู้สึกไม่มั่นใจตัวเองจริงๆ ลองหาคนที่ไว้ใจที่เขากล้าบอกความจริง แล้วเล่าเหตุการณ์ให้เขาช่วยออกความคิดเห็นในการตัดสินใจ บางครั้งการเผชิญหน้ากับคนที่ชอบปั่นหัวเพียงลำพังก็เป็นเรื่องยาก การหาใครสักคนเป็นที่พึ่งข้างกายจะช่วยให้เรามองเห็นความจริง และมีจุดยืนกับความจริงที่มั่นคงขึ้น คนนั้นอาจเป็นคนในครอบครัว เพื่อน หรือนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ หรือจิตแพทย์ก็ได้

ความสัมพันธ์ใดก็ตามที่ต้องคอยนั่งกังวลสอบถามตัวเองจนเกินความปกติ เฉกเช่นการปั่น เป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่ต้องตรวจสอบให้ดีว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ แล้วหาทางแก้ไขหรือออกจากความสัมพันธ์นั้นหากรู้สึกรับมือไม่ไหว

การปั่นเป็นพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่มีแนวโน้มหลงตัวเอง (Narcissist) และกลุ่มคนที่มักจะตกเป็นเหยื่อวังวนนี้ คือ คนที่มีแนวโน้มเป็นคนที่ชอบพึ่งพาคนอื่น (Codependent) และเช่นเคย อยากเป็นกำลังใจให้ค่อยเป็นค่อยไปกับตัวเองนะครับ การที่มีใครทำไม่ดีกับคุณ ไม่ได้แปลว่าคุณแย่เลย คุณแค่กำลังเจอคนที่อาจไม่ควรค่าที่จะอยู่กับคุณ ซึ่งก็อาจไม่ใช่ความผิดเขาเหมือนกัน เพราะคนที่ปั่นหรือชอบควบคุมคนอื่นก็อาจมีความรู้สึกเบื้องลึกของความไม่ปลอดภัย ไม่แน่นอน กลัวบางอย่างเป็นอย่างมาก จนทำให้เขาต้องพยายามควบคุมสิ่งภายนอกเพื่อให้ข้างในใจเขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมา (ชั่วคราว) แต่ก็นั่นแหละครับ วันนี้มันยากลำบาก แต่อีกหน่อยถ้าผ่านไปแล้ว คุณจะรู้สึกเหมือนปลดปล่อยเป็นอิสระเลยแหละ

ขอให้วันนี้เชื่อมั่นในตัวเองครับ 🙂

Tags:

relationshipการปั่น (Gaslighting)แบบแผนความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship)

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : ความสัมพันธ์ที่เคารพอาณาเขตของตัวเอง (2)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Everyone can be an Educator
    เมื่อความรักไม่สามารถปล่อยไปตามธรรมชาติได้ มา Unlearn และ Relearn คำว่า ‘ความสัมพันธ์’ กันใหม่กับ Thaioasister

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Relationship
    ทำไมการมีจุดยืนที่ชัดเจนจึงสำคัญต่อการมีความสัมพันธ์ที่ดี ? (Healthy Boundary)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทำไมกลับเหงาได้ขนาดนี้?

    เรื่อง ธนัชพร ภูติยานันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง: สนามความรู้ที่มากกว่าเกมกีฬา พื้นที่แสดงวิชาของ ‘วิศรุต สินพงศพร’
Everyone can be an Educator
12 July 2021

เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง: สนามความรู้ที่มากกว่าเกมกีฬา พื้นที่แสดงวิชาของ ‘วิศรุต สินพงศพร’

เรื่อง ปริสุทธิ์

  • ค้นหาตัวเองจนเจอสิ่งที่รักนั่นคือ ความคลั่งไคล้กีฬามากๆ ซึ่งไม่ใช่การเป็นนักกีฬาที่เก่ง ทว่าเส้นทางสายกีฬาในฝันของเขาคือสื่อมวลชนสายกีฬา นำไปสู่ความสำเร็จของเพจ ‘วิเคราะห์บอลจริงจัง’ ที่จริงจังกับประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไม่น้อยไปกว่าการแข่งขันในเกม
  • เพจกีฬานี้จึงกลายเป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ไปโดยปริยาย…“ทำไมคนรักกีฬาจะรักการอ่านด้วยไม่ได้ นี่เป็น Motto ของเพจเลย พอพูดถึงกีฬาคนมักจะนึกถึงผลการแข่งขัน เรื่องของการยิงประตูสวยๆ การเซฟสวยๆ หรือการล้อกันระหว่างแฟนบอล แมนยู-ลิเวอร์พูล อะไรแบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องกีฬามีความซับซ้อนเชิงอื่นๆ มากมาย เช่น เชิงสังคม หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับเราแล้วเราได้ข้อคิดอะไรสักอย่าง ก็เลยอยากให้มันไปในทิศทางนั้น”

จากความฝันของเด็กผู้ชายที่หลงใหลกีฬาเป็นชีวิตจิตใจ สู่คนทำคอนเทนต์กีฬาที่โด่งดังในโลกโซเชียล วิศรุต สินพงศพร แอดมินผู้ก่อตั้งเพจ ‘วิเคราะห์บอลจริงจัง’ เล่าถึงเส้นทางที่แม้จะไม่ได้ถูกขีดไว้แต่แรก แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำในสิ่งที่เชื่อโดยไม่ทิ้งแพสชั่นของตัวเอง บวกกับบุคลิกที่เป็นคนชอบแสวงหาความรู้ ทำให้เพจกีฬาที่เขาปลุกปั้นมากว่า 5 ปี ยืนหนึ่งในด้านการให้ข้อมูลความรู้ รอบด้าน อ่านสนุก และเกิน 8 บรรทัด

“ทำไมคนรักกีฬาจะรักการอ่านด้วยไม่ได้” เขาว่านี่คือ Motto ของเพจ

The Potential อาสาพาไปเยือนถิ่นเจ้าบ้าน ค้นมุมมองความคิดที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเพจวิเคราะห์บอลที่จริงจังกับประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไม่น้อยไปกว่าการแข่งขันในเกม

สนามชีวิตที่ลิขิตเอง

ก่อนจะมีเพจเป็นของตัวเอง เส้นทางการเรียนของวิศรุตไม่ได้ปูทางมาบนถนนสายสื่อมวลชนแม้แต่น้อย เขาไม่ได้เรียนจบด้านนิเทศศาสตร์หรือสื่อสารมวลชน หรือแม้แต่คณะวิชาที่เกี่ยวข้องกับกีฬา แต่เขาคือบัณฑิตด้านมานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งตัดสินใจเลือกเรียนด้านนี้โดยได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง O-Negative หลังจากเรียนจบ ม.6 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ฝันเล็กๆ ของเขาจึงเป็นการได้เข้าไปใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร

ถึงจะไม่ได้มีปัญหากับสิ่งที่เรียน แต่เมื่อถามใจว่าใช่สิ่งที่รักหรือเปล่า เขาก็ตอบว่า “ไม่” ระหว่างเป็นนักศึกษาจึงเป็นช่วงเวลาค้นหาตัวเอง จนพบว่าเขาคลั่งไคล้กีฬามากๆ มากเสียจนอยากจะอยู่กับมันไปตลอด ทางที่เรียนจึงไม่ใช่ทางที่เลือกของชีวิตหลังจากพ้นรั้วมหาวิทยาลัย

ทว่าถึงจะรักแต่เขาก็ไม่ใช่นักกีฬาที่เก่ง เส้นทางสายกีฬาในฝันของเขาคือสื่อมวลชนสายกีฬา

“การเป็นสื่อมวลชนด้านกีฬาคือสิ่งที่ผมเลือกตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลย ส่วนที่ผมเรียนด้านมานุษยวิทยา ได้ไปอยู่กับกลุ่มชาติพันธุ์ อยู่กับชุมชน ซึ่งมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับงานที่ทำโดยตรง แต่จะมีเรื่องทักษะด้านการเขียนที่เรียนและทำวิทยานิพนธ์ แต่ก็ไม่ได้เจาะจงว่าจะมาทางสายสื่อได้ การที่ผมเลือกมาทำงานสื่อมันเป็นแพสชั่นของเราเอง โดยไม่ได้อิงกับที่เรียน”

หลังเรียนจบเขาไล่ตามแพสชั่นของตัวเอง ด้วยการเริ่มชีวิตการทำงานกับหนังสือพิมพ์ฟุตบอลชื่อ Kick Off ในเครือของฐานเศรษฐกิจ จนได้รับโอกาสถูกส่งตัวไปเป็นผู้สื่อข่าวประจำที่ประเทศอังกฤษเกือบ 2 ปี ช่วงเวลา ณ ดินแดนที่บอลฟุตบอลคือจิตวิญญาณของผู้คนเขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างมากมาย กระทั่งถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อ Kick Off ปิด จึงกลับมาไทยแล้วได้ทำงานกับสื่ออีกหลายแห่ง อาทิ Mars, สยามกีฬา และ WorkpointToday ในที่สุด

วิศรุต สินพงศพร แอดมินผู้ก่อตั้งเพจ ‘วิเคราะห์บอลจริงจัง’

กว่าจะเป็นเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง

“เมื่อก่อนตอนผมอยู่สยามกีฬา ได้ทำมาหลายแบบแล้ว ได้เป็นผู้ประกาศข่าว อ่านข่าว พากย์บอล สุดท้ายคือทำคอนเทนต์ออนไลน์ ผมคิดว่าความฝันของเด็กผู้ชายที่อยากทำสื่อกีฬา หลายคนอยากเขียนลงหนังสือสตาร์ซอคเกอร์ แต่สตาร์ซอคเกอร์ก็มีแค่ 40 หน้า พื้นที่มีจำกัด ก็ต้องเป็นพวกพี่บอ.บู๋ (บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร) พี่แจ๊คกี้ (อดิสรณ์ พึ่งยา) ที่เขาดังๆ ถึงจะมีพื้นที่ของเขา แต่เรามีไอเดียที่จะเขียนเรื่องฟุตบอลทุกวันเลย พอเห็นประเด็นอะไรมาปุ๊บก็อยากเขียนๆ แต่ไม่มีพื้นที่ เพราะหนังสือพิมพ์มีให้แค่แต่ซีเนียร์ไงตอนนั้น เราก็คิดว่าน่าจะเปิดช่องทางของตัวเองไปเลย” วิศรุต เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเริ่มทำเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง

ในช่วงแรกเพจนี้ยังเป็นเพียงพื้นที่ปลดปล่อยตัวเองของเขา แต่พอทำด้วยแพสชั่นส่วนตัวไปประมาณหนึ่งปี จากเพจที่คิดเห็นอะไรก็เขียนไปเรื่อยๆ ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ทำให้ยอดไลค์เพจขึ้นช้าแล้วแน่นิ่งอยู่ที่ประมาณ 4,000 ไลค์ เขาจึงลองโยนหินถามทางไปยังลูกเพจว่าควรเอาอย่างไรต่อดี

“ผมถามลูกเพจว่าที่เราเขียนนี่ชอบหรือเปล่า หรือเราควรไปทำวิดีโอตามสมัยนิยมไหม หรือภาพอินโฟกราฟิกที่เข้าใจง่ายๆ เพราะสมัยนี้เทรนด์มันเป็นแบบนั้น คนยุคนี้ชอบอะไรที่มันรวดเร็ว ชอบกราฟิกหรือคลิปสั้น ถามลูกเพจที่มี 4,000 กว่าคนว่าต่อไปถ้าเกิดผมเปลี่ยนแนวจากเขียนให้อ่านกันเป็นทำกราฟิกจะโอเคไหม ลูกเพจก็บอกว่าเขียนแบบนี้ดีแล้ว คนทำกราฟิกมีเยอะ คนเขียนมีน้อย ยิ่งสายกีฬาที่เขียนลงเพจให้อ่านฟรีๆ ไม่มีหรอก ก็เลยฮึดทำต่อ

ทำให้เรารู้ว่ามีฐานคนกลุ่มหนึ่งที่เขาชอบการอ่าน ชอบการอ่านจริงๆ รอคอยที่จะตามอ่านทุกเช้า เราก็เลยตัดสินใจว่าจะมาทางนี้แล้วกัน คนอื่นจะกราฟิกหรือวิดีโออย่างไรเราก็คงไม่ไปตามเขา เรามาสายเขียนของเราดีกว่า”

การเกิดขึ้นของเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง ณ ขณะนั้นแทบไม่มีคู่แข่งเลย แม้จะมีเพจเกี่ยวกับฟุตบอลอยู่มากมาย แต่กลับแทบไม่มีเพจแนววิเคราะห์เชิงลึกหรือมีเนื้อหาในมุมกว้างสักเท่าไร ทว่าคาแรกเตอร์ของเพจที่ลุ่มลึกแบบนี้ เจ้าของเพจบอกว่าไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่แรก แต่ความสนใจของเขาเองที่ไม่ได้หยุดแค่กีฬา ทั้งยังเป็นคนชอบอ่าน ชอบแสวงหาความรู้ ทำให้งานเขียนของเขามีมิติที่มากกว่า

“เรื่องกีฬามันเชื่อมโยงหลายมิติของสังคมได้หมดเลย ผมเคยเขียนเรื่องเด็ก 13 คนที่ติดถ้ำหลวงฯ คือมีคนด่าเด็กว่าเล่นอะไรทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนกันทั่วประเทศ แต่เราคิดว่าเด็กก็คือเด็ก แล้วมันก็ได้เรียนรู้นะ มีข้อดีเยอะแยะจากการเข้าไปช่วยเหลือเด็กติดถ้ำครั้งนี้ เราก็รู้สึกอย่างนั้นก็เลยเขียนลงเพจเลย อันนั้นคนแชร์ไป 60,000 กว่า เลยคิดว่าบางทีคนก็อาจแค่ชอบภาษาเรา ไม่ว่าจะเขียนเรื่องอะไรก็ได้ อาจจะมีพื้นฐานเรื่องกีฬาเป็นหลักไว้ก่อนแต่เอาเรื่องอื่นมาเชื่อมโยงบ้างบางที”

ความมีมิติของคอนเทนต์ที่วิศรุตสร้างสรรค์ขึ้นนั้น มักจะเล่าไปถึงเรื่องประวัติศาสตร์, สังคม, การตลาด ฯลฯ โดยมีฉากหลังเป็นฟุตบอลหรือกีฬาอื่น ตัวอย่างเช่นในศึกยูโรครั้งล่าสุดที่ปรากฎชื่อประเทศ ‘นอร์ธ มาซิโดเนีย’ พร้อมกับดรามา อาร์เนาโตวิช นักฟุตบอลของออสเตรีย ไปด่าเอลิออสกี้ นักฟุตบอลนอร์ธ มาซิโดเนีย จนกลายเป็นประเด็นเหยียดเชื้อชาติ เขาก็เล่าย้อนไปตั้งแต่หน้าประวัติศาสตร์ของยูโกสลาเวีย ก่อนจะวิเคราะห์ให้เห็นถึงปมที่ร้าวลึกระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ในภูมิภาคนี้ (อ่านรายละเอียดใน https://www.blockdit.com/posts/60cac06257337d0c7dfe0e1f)

หรือกรณีการขยับขวดโค้กอันโด่งดังของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก่อนการแถลงข่าวเกมเปิดสนามในศึกยูโร 2020 ของทีมชาติโปรตุเกส ที่ประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่หุ้นของโคคา-โคล่า ตกฮวบ หากมองผ่านๆ ก็น่าจะจบลงด้วยความเข้าใจว่าเพราะนักเตะระดับโลกทำอย่างนั้น หุ้นของบริษัทน้ำอัดลมจึงตก แต่สิ่งที่วิศรุตมองและเขียนมีมุมมองมากกว่านั้น

บางส่วนจากเนื้อหาเขาเขียนว่า “…ในวันที่โรนัลโด้พูดคำว่า “อะ-กวา” ออกมา หุ้นของโคคา-โคล่า ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ก็หล่นลง จากเดิม 242,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือ 238,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นตกไป 4,000 ล้านเหรียญ 

นั่นทำให้สื่อต่างๆ แชร์กันแหลกว่า คำพูดของอินฟลูเอนเซอร์หนึ่งคน ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อแบรนด์ขนาดนี้ และเครื่องดื่มโค้ก ต้องโมโหโรนัลโด้มากๆ แน่ๆ ที่มาทำให้หุ้นของบริษัทต้องร่วงลงอย่างน่าใจหาย 

กระแสข่าว โรนัลโด้ทำหุ้นตก กระจายไปทั่วทั้งโลก และใครๆ ก็เชื่อแบบนั้น ว่าอินฟลูเอนเซอร์หนึ่งคน มีผลกระทบอย่างมหาศาลกับโปรดักต์ได้จริงๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานนัก สื่อมวลชนสายเศรษฐกิจ ก็ออกมาวิเคราะห์ว่า การหุ้นตกของโค้ก ไม่ได้เกี่ยวกับโรนัลโด้ขนาดนั้นเสียหน่อย…

…จากหลักฐานพอจะบอกได้ว่า หุ้นของโคคา-โคล่า มันก็ร่วงของมันอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวว่าโรนัลโด้จะพูดหรือไม่พูด เพียงแค่เป็นจังหวะที่ตรงกันพอดี 

ในเช้าวันที่ 14 มิถุนายนเป็นจังหวะที่ตลาดซบเซาพอดี แม้แต่หุ้นของฟอร์ด มอเตอร์ ก็ลดลง 2 พันล้านดอลลาร์เช่นกัน ดังนั้นการไปบอกว่า ที่โรนัลโด้เลื่อนขวดโค้ก จะทำให้หุ้นตกในระดับพันล้านดอลลาร์ ถือว่าเป็นการเหมารวมเกินไปหน่อย…”

เมื่อเพจฟุตบอล…ต้องสอนอะไร

วิศรุตอธิบายว่าแต่ละคอนเทนต์ที่ผลิตขึ้นมา เขามีเงื่อนไขอยู่ 4 ข้อ 

“เคยมีคนสอนว่าเวลาจะสร้างคอนเทนต์อะไรสักอย่าง ต้องดูว่า หนึ่ง มันเป็น Talk of The Town หรือเปล่า ถ้าเกิดไม่ใช่เราก็ต้องดูว่าเราให้อะไรสังคม ถ้าเราไม่ได้ให้อะไรต่อสังคม ก็ต้องดูว่าถ้าเขียนไปแล้วแบรนด์เราจะได้อะไร มันจะสร้างภาพบวกให้แบรนด์เราหรือเปล่า หรือว่าถ้าไม่ใช่ทั้งสามอย่างนั้น ก็ต้องดูข้อสุดท้ายว่ามันสร้างรายได้หรือเปล่า จะมีสี่กระบวนการในการคิด ถ้าเกิดเราเขียนอะไรสักเรื่องแล้วไม่ตอบโจทย์อะไรเลย ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะทำมัน ก็ต้องคิดก่อน เพราะเราตื่นมาปุ๊บ คอนเทนต์มันมีมากมายเต็มไปหมด เป็นล้านๆ อย่าง แล้วทำไมเราต้องเลือกสิ่งนี้ที่จะทำในแต่ละวัน”

ซึ่งการวางแนวทางของเพจเป็นเพจกีฬาที่มาพร้อมสาระ วิศรุตมองว่าถ้าเทียบงานเขียนเป็นผลงานของศิลปินอย่างหนึ่ง ศิลปินบางคนเลือกทำผลงานโดยดูเทรนด์สังคมว่าตอนนี้กำลังสนใจอะไร แล้วจึงทำสิ่งที่ตอบโจทย์ กับอีกแบบที่อยากทำก็ทำไปเลย ไม่ต้องสนใจกระแสสังคม ซึ่งเพจวิเคราะห์บอลจริงจังเป็นแบบนั้น

สิ่งที่ตามมาคือเพจกีฬาของเขาจึงกลายเป็นพื้นที่ของการเรียนรู้ไปโดยปริยาย…

“ทำไมคนรักกีฬาจะรักการอ่านด้วยไม่ได้ นี่เป็น Motto ของเพจเลย พอพูดถึงกีฬาคนมักจะนึกถึงผลการแข่งขัน เรื่องของการยิงประตูสวยๆ การเซฟสวยๆ หรือการล้อกันระหว่างแฟนบอล แมนยู-ลิเวอร์พูล อะไรแบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องกีฬามีความซับซ้อนเชิงอื่นๆ มากมาย เช่น เชิงสังคม หรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับเราแล้วเราได้ข้อคิดอะไรสักอย่าง ก็เลยอยากให้มันไปในทิศทางนั้น”

ตัวตนของวิศรุตที่เด่นชัดเป็นตัวตนของเพจ อาจทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าแล้วคอนเทนต์ที่ ‘ดี’ ในแบบเขาจะ ‘ดัง’ แบบคนอื่นได้หรือเปล่า โดยเฉพาะเพจกีฬาที่มีโอกาสไปเกี่ยวพันกับการพนันออนไลน์ได้และอาจสร้างรายได้จากธุรกิจสีเทาเป็นกอบเป็นกำ

แอดมินเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง ยืนยันด้วยตัวเลขการแชร์หลักหลายหมื่นในหลายคอนเทนต์ ไม่รวมกับยอด reach ที่โตแบบก้าวกระโดดนับตั้งแต่เขาเลือกแนวทางเพจให้อัดแน่นด้วยสาระความรู้ ผลพลอยได้คือมีโฆษณาเข้าตลอด โดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งผิดกฎหมาย แต่สิ่งที่แลกมากว่าจะได้คอนเทนต์คุณภาพ คือการทำงานอย่างหนัก

วิศรุตเล่าว่าเขาใช้เวลาปั้นแต่ละชิ้นอย่างน้อย 5 ชั่วโมง แบ่งเป็นการค้นคว้าเกินกว่าครึ่งแล้วจึงเขียนด้วยภาษาของเขา

“ผมทั้งอ่านหนังสือ และจริงๆ ในเว็บไซต์ก็มีแทบทุกอย่างแหละ อยู่ที่ว่าเราตั้งใจค้นหาหรือเปล่า แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องวางพล็อตเรื่องก่อน ต้องมี Outline บางทีผมก็ต้องเขียน Story Board ไม่ใช่ว่าเขียนส่งเดช ต้องคิดก่อนว่าจะเริ่ม เล่า จบ อย่างไร ทุกครั้งที่จะเขียนก็คิดก่อนว่าจะจบไปที่ตรงไหน แล้วค่อยๆ เริ่มเขียนไป 

มีคนถามว่าผมมองตัวเองเป็นใคร ในคำอธิบายของเพจเขียนว่า Writer ส่วนคนอื่นจะตีความว่าเป็นนักข่าว เป็นสื่อ หรือเป็นบล็อกเกอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ก็แล้วแต่เขา แต่เรานิยามตัวเองว่าเป็นนักเขียนครับ”

ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนไป กีฬาในสายตาคนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนแปลง

หากส่องหลังบ้านของเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง จะเห็นว่าส่วนมากคือคนรุ่นใหม่จนถึงวัยทำงาน ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจที่เพจฟุตบอลแนวนี้จะมี Audience ที่เป็นไปตามบุคลิกของแอดมิน คือ มีมุมมองทันสมัย ไม่ตกเทรนด์ เรื่องนี้วิศรุตบอกว่าเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้แล้ว เพราะนอกจากวิเคราะห์บอลได้จริงจัง ยังวิเคราะห์คนรุ่นใหม่ได้ทะลุปรุโปร่งด้วย

“เด็กยุคนี้ไม่ชอบอะไรที่เป็นเปลือก ชอบอะไรที่เป็นของจริง ไม่ชอบอะไรที่กลวงๆ อย่างยุคนี้เราเปิดหน้าฟีดบนเฟซบุ๊ก เราจะไม่เห็นไลฟ์โค้ชเลยเห็นไหม เพราะมันเปลือกไง แค่พูดอะไรกลวงๆ แล้วให้คนประทับใจ เด็กยุคนี้ไม่เอาแล้ว เด็กฉลาดจะตาย เพราะฉะนั้นอะไรที่ใช้คำพูดกลวงๆ หลอกๆ ซื้อใจเขาไม่ได้หรอก ต้องเป็นของแท้ มีข้อมูลหลักฐานชัดเจน อย่างคอนเทนต์ในเพจวิเคราะห์บอลจริงจัง ไม่มีอันไหนที่คิดขึ้นเอง ถ้าเกิดลูกเพจอยากจะถามว่าเอามาจากไหนเราก็ตอบได้ ชนได้หมดเลย

ถ้าอยากเข้าถึงเด็กรุ่นใหม่ ก็อย่าทำอะไรที่มันกลวงเกินไป ต้องเอาชนะใจเขาให้ได้ด้วยคอนเทนต์ที่แข็งแรงจริงๆ และเขาก็ต้องยอมรับด้วย”

วิศรุตบอกว่าเมื่อเข้าใจ เขาจึงเข้าถึง แม้จะคล้ายเป็นความบังเอิญว่าตัวตนของเขาจะไปถูกจริตกับสิ่งที่คนยุคนี้ชอบก็ตาม

“มันอาจจะเหมือนเป็นความบังเอิญที่แนวทางของเพจผมกับความชอบของคนยุคนี้มาตรงกัน เป็นความโชคดี จะมียุคหนึ่งที่มีคนพูดว่ายาวไปไม่อ่าน อ่านแค่ 8 บรรทัดเท่านั้นแหละ จะมียุคนั้นที่คนพูดแบบนี้บ่อยๆ แต่สังเกตเดี๋ยวนี้ในช่องคอมเมนต์ น้อยคนที่จะพูดว่ายาวไปไม่อ่าน หรือหมดโควต้าแล้ว 8 บรรทัด คือ ทุกคนเริ่มเข้าใจแล้วว่าการอวดว่าอ่านหนังสือน้อยไม่ใช่เรื่องเท่เลย เด็กก็อ่านหนังสือมากขึ้น หนังสือที่มีความซับซ้อน หนังสือการเมือง เขาอ่านกันมากขึ้น มันก็เลยตอบโจทย์เราพอดี เราเขียนในสิ่งที่เขาคิดว่าเขาได้อะไรจากเราไปบ้าง

ผมชอบสิ่งที่ทำ ได้เป็นตัวเรา ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร ทุกวันตื่นมาเขียนก็แฮปปี้ดี ทำไปอีกจนตายก็ได้ เขียนไปเรื่อยจนตายก็ได้ คือไม่ต้องเติบโตกว่านี้ในอาชีพ ได้เงินเท่านี้ไปเรื่อยๆ ก็โอเค เพราะมันเป็นแพสชั่นของเรา”

Tags:

everyone can be an educatorเพจวิเคราะห์บอลจริงจังวิศรุต สินพงศพรพื้นที่การเรียนรู้

Author:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • SpaceEveryone can be an Educator
    วิชาตาลโตนด: ห้องเรียนเสียดฟ้าของ ‘อำนาจ ภู่เงิน’ ภูมิปัญญาหอมหวานที่รอคนสานต่อ

    เรื่อง ปริสุทธิ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • SpaceLife Long Learning
    TK Park พื้นที่ลดความเหลื่อมล้ำทางการเรียนรู้ ที่ชวนทุกคนมาอ่าน คิด และลงมือทำ: กิตติรัตน์ ปิติพานิช ผอ.สถาบันอุทยานการเรียนรู้

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Everyone can be an EducatorSocial Issues
    ‘Saturday School’ วิชานอกห้องเรียนที่ทำให้เด็กกล้าฝันและเป็นเจ้าของการเรียนรู้: ยีราฟ-สรวิศ ไพบูลย์รัตนากร

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Everyone can be an Educator
    “ขยะก็เหมือนความสัมพันธ์ ถูกผลักจากตัวเหมือนตัดความสัมพันธ์ทั้งที่เราสร้างมันขึ้นมา” ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an EducatorVoice of New Gen
    ‘วิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์’ ทางออกปัญหาสุขภาพจิตในเด็ก โดยคนวัย 14 ปี

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

ยักษ์นนทก: โกรธเพราะปล่อยให้คนอื่นล้ำเส้น (และ/หรือถูกสะกิดแผล?)
Myth/Life/Crisis
9 July 2021

ยักษ์นนทก: โกรธเพราะปล่อยให้คนอื่นล้ำเส้น (และ/หรือถูกสะกิดแผล?)

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ในชาติก่อนที่นนทกจะเป็นทศกัณฑ์ นนทกเป็นยักษ์มีหน้าที่ล้างเท้าให้แก่เทวดาที่มาเข้าเฝ้าพระอิศวร เขาทำหน้าที่ของตนด้วยความสุจริต กระนั้นบรรดาเทวดาที่เขาล้างเท้าให้กลับไม่ได้ให้เกียรติอะไรเขานัก เขาคับแค้นและไปเข้าเฝ้าพระอิศวรเพื่อขอนิ้วเพชร ซึ่งเมื่อชี้ไปยังผู้ใด ผู้นั้นก็ต้องมอดม้วยมรณา
  • บทความชิ้นนี้ ภัทรารัตน์ หยิบเรื่องราวของยักษ์นนทก มาชวนทำความเข้าใจความโกรธของเราว่าเป็นแบบไหน ความโกรธของบางคนปรากฏร่างเป็นสิ่งที่ชีวิตเขาขาดไป เช่น ใครคนหนึ่ง เมื่อถูกล้ำเส้นก็จะรู้สึกมีก้อนหินสีดำขรุขระวางอยู่บนอก แต่นั่นก็คือสิ่งที่เขาจำเป็นต้องมี เพราะมันก็เหมือนรั้วหนามสำหรับกั้นอาณาเขตไม่ให้ผู้มาดร้ายเข้ามาคุกคามได้นั่นเอง
  • อีกกรณี คือ ความโกรธของคนลักษณะหนึ่งที่เมื่อมีคนล้ำเส้นก็มักพยายามวางเฉยหรือแสดงท่าทีว่า ‘ไม่เป็นไร’ (แต่จริงๆ เป็น) ทำให้บางจังหวะเมื่อถูกรุกพื้นที่มากเข้าย่อมสามารถจะระเบิดความโกรธออกมาดุจพลังภูเขาไฟคล้ายนนทก

1.

ในห้วงยามที่ความโกรธกำลังระเบิดออกนั้น ใครคนหนึ่งรู้สึกเหมือนตนเป็นยักษ์นนทกผู้เคยเจียมตัวลงให้ผู้อื่น ทว่าถูกเหยียบข่มรังแกจนต้องขอแผลงฤทธิ์กระทำคนอื่นบ้าง ราวกับว่าความโกรธกำลังทำให้คนที่ดูไร้อำนาจปราศจากทางสู้ กลับมาเห็นว่าตัวเองก็เป็นคนสำคัญผู้ควรค่าแก่การให้เกียรติดั่งที่ผู้อื่นได้รับจากเขาเหมือนกัน อีกทั้งเมื่อโกรธ เขาดูจะมีพลังมากพอในการปกป้องตัวเองจากการถูกกระทำ

อย่างไรก็ตาม ในการตระหนักรู้ถึงความโกรธและเรื่องราวภายใต้ความโกรธนั้น ใครคนหนึ่งสามารถหลุดไปอีกขั้น กล่าวคือ เขามีศักยภาพที่จะปกป้องตัวเองจากการยืมมือคนอื่นมากระทำตัวเองด้วย

จากยักษ์นนทกที่ยอมให้ผู้อื่นล้ำเส้น สู่ยักษ์ทรงฤทธิ์สังหารหมู่

ในชาติก่อนที่นนทกจะเป็นทศกัณฑ์ ยักษ์ทรงพลานุภาพผู้มีสิบหน้าและมือยี่สิบซ้ายขวานั้น นนทกเป็นยักษ์มีหน้าที่ล้างเท้าให้แก่เทวดาที่มาเข้าเฝ้าพระอิศวร โดยประจำการอยู่ตรงเชิงบันไดเขาไกรลาส เขาทำหน้าที่ของตนด้วยความสุจริต กระนั้นบรรดาเทวดาที่เขาล้างเท้าให้กลับไม่ได้ให้เกียรติอะไรเขานัก บ้างก็ถอนผมเขาไปเรื่อยหรือบ้างก็ตบหัว กระทั่งในที่สุดเขากลายเป็นยักษ์หัวโล้นโกร๋นเกลี้ยง เขาคับแค้นและไปเข้าเฝ้าพระอิศวรเพื่อขอนิ้วเพชร ซึ่งเมื่อชี้ไปยังผู้ใด ผู้นั้นก็ต้องมอดม้วยมรณา 

เมื่อได้นิ้วเพชรมาแล้ว นนทกก็เริ่มแก้แค้นเอาคืน เมื่อเขาถูกจับหัวสัพยอกอย่างเคย เขา ‘กริ้วโกรธร้องประกาศตวาดมา อนิจจาข่มเห่งเล่นทุกวัน’ เลยเถิดไปถึงการเข่นฆ่าเทวดา ครุฑ นาค ตายเกลื่อนกลาด…   

2.

โกรธเพราะถูกสะกิดแผลเก่า? หรือปะทุเพราะ ‘ไม่เป็นไร’ จนเหลืออด? 

ความโกรธสำแดงร่างออกมาได้หลากลักษณะและมีที่มาที่ไปมากมาย หลายกรณีก็เป็นการถูกสะกิดแผล ในลักษณะที่คนอื่นไม่ได้ตั้งใจทำอะไรให้เรา แต่ว่าสิ่งที่เขาพูดกับเราดันไปกระทบ ‘แผลเก่า‘ อันเชื่อมโยงกับความทรงจำที่เราเคยถูกกระทำหรือเคยถูกด้อยค่า ซึ่งทำให้ใครคนหนึ่งเจ็บปวดมากกระทั่งอาจออกอาการรุนแรงเฉกเช่นนนทกตอนขุ่นคลั่ง 

แต่อีกกรณีซึ่งจะเน้นในที่นี้ก็คือ ความโกรธของคนลักษณะหนึ่งที่เมื่อมีคนล้ำเส้นก็มักพยายามวางเฉยหรือแสดงท่าทีว่า ‘ไม่เป็นไร’ (แต่จริงๆ เป็น) ทำให้บางจังหวะเมื่อถูกรุกพื้นที่มากเข้าย่อมสามารถจะระเบิดความโกรธออกมาดุจพลังภูเขาไฟ คล้ายนนทกที่ปล่อยให้เทวดาเล่นหัวไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้กั้นขอบเขต (set boundaries) อะไร กระทั่งวันหนึ่งเมื่อกลายเป็นยักษ์หัวล้านซึ่งได้สั่งสมความคับข้องไว้มากได้ที่แล้ว ถึงเพิ่งไปขอนิ้วเพชรจากพระอิศวร มาออกอาละวาดเป็นเรื่องใหญ่โต (ในวรรณคดีน่าเห็นใจที่นนทกอยู่ในโครงสร้างสังคมอันมีความต่างศักดิ์หลายเลเยอร์ แต่ที่จริงเขาก็สามารถตามเกมความเหลื่อมล้ำโดยขอร้องให้คนศักดิ์สูงยิ่งอย่างพระอิศวรช่วยได้ตั้งแต่เขาถูกล้ำเส้นเคสแรกๆ ก่อนเรื่องจะบานปลาย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ขอถกเรื่องโครงสร้างสังคมอันอยุติธรรมในที่นี้)    

คนรักสงบที่อาจไม่สงบจริง

มีคนบุคลิกภาพหนึ่งที่ไม่ค่อยจะรู้ตัวว่าโกรธหรือไม่ให้พื้นที่ตัวเองได้แสดงความโกรธตามสมควรออกมาเท่าใดนัก ดูภายนอกเขารักความสงบสันติ เขาขี้เกียจจะขัดแย้งกับใครแม้เมื่อถูกล้ำเส้นหรือถูกบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่ต้องการ แต่ถึงแม้ไม่ได้ปฏิเสธลุกขึ้นต้านใครตรงๆ ทว่าหลายโอกาสเขาก็จะแสดงความก้าวร้าวแบบ passive aggressive เช่น ตั้งใจที่จะไม่ตัดสินใจฟันธง หรือทำอะไรช้าๆ ยกตัวอย่าง หากเขาถูกบีบคั้นให้ไปงานเลี้ยงในเวลาส่วนตัวซึ่งเขาก็ไม่ได้อยากไป เขาอาจตกลงแบบขอไปทีเพราะไม่อยากขัดแย้ง แต่เมื่อถึงเวลาต้องไป เขากลับทำอะไรช้าๆ และมาไม่ถึงรถสักที และเมื่อถูกเร่งเขาก็จะแสดงอาการหงุดหงิดดื้อรั้น กระทั่งเมื่อไปถึงที่หมายเขาก็อาจทำหน้าเฉยชาหรือบูดบึ้งในงานเลี้ยง ซึ่งที่จริงแล้ว มันก็คือ ความโกรธที่รั่วไหลออกมา ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม 

ในวัยเด็ก คนที่มีลักษณะเช่นนี้ได้รับสาร (อาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่พูด แต่เป็นสิ่งที่เขาสรุปเอาตามความเข้าใจของตัวเอง) ว่าความคิด ความปรารถนาของเขา จะไม่ถูกได้ยินหรือให้ค่า ดังนั้น แทนที่เขาจะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ เขาจึงหลับใหลต่อสิ่งที่สำคัญสำหรับตัวเอง และปล่อยหรือพยายามช่วยให้คนอื่นลุความต้องการ เขาแยกจากตัวเองเพียงเพราะกลัวว่าจะต้องพลัดพรากจากคนอื่น เขาพยายามให้พื้นที่ทุกคนเพราะลึกๆ เขาก็รู้ว่ามันเป็นอย่างไรเวลาไม่ถูกได้ยิน หรือเมื่อถูกมองข้ามไป

เมื่อเขาให้สิ่งต่างๆ ตามที่คนอื่นต้องการแล้ว เขาก็หวังลึกๆ ด้วยว่าคนพวกนั้นจะไม่มาเจ้ากี้เจ้าการอีก เขาจะได้ดำเนินชีวิตไปอย่าง สงบสุข แต่วิธีมองข้ามตัวเองของเขากลับทำให้เขามีแนวโน้มที่จะ สูญเสียตัวเองหรือพื้นที่ของตัวเองให้แก่ผู้อื่นไปเรื่อยๆ ย่อมจะนำมาซึ่งความรู้สึกด้านลบอย่างเช่นความโกรธ ซึ่งหากเขาไม่กล้าสัมผัสหรือกดมันไว้ ความโกรธนั้นก็อาจแสดงออกเป็นอาการเจ็บป่วยทางกายและใจได้อีกด้วย

อารมณ์อันท่วมท้นที่ถูกอัดเก็บไว้ ในที่สุดสามารถระเบิดออกมา ซึ่งอาจเป็นวันที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว และอาจร้ายแรงประหนึ่งเหตุการณ์ของนนทกผู้เคืองแค้นก็เป็นได้

แต่เราจะสัมผัสกับความโกรธอย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไรบ้างล่ะ?  

3.

สีสัน รูปร่าง และกระแสเสียงของความโกรธ

ความโกรธของเรามีรูปร่างเป็นแบบไหน มีสีสันแบบใด? ความโกรธของบางคนปรากฏร่างเป็นสิ่งที่ชีวิตเขาขาดไป เช่น ใครคนหนึ่ง เมื่อถูกล้ำเส้นก็จะรู้สึกมีก้อนหินสีดำขรุขระวางอยู่บนอก แต่นั่นก็คือสิ่งที่เขาจำเป็นต้องมี เพราะมันก็เหมือนรั้วหนามสำหรับกั้นอาณาเขตไม่ให้ผู้มาดร้ายเข้ามาคุกคามเขาได้นั่นเอง

นอกจากนี้ ลองมองความโกรธเป็นอีกร่างแยกออกจากตัวเราและพูดคุยกับมันดูสิ เขาบอกเราว่าอะไรบ้าง? บางคนก็ได้ยินเสียงว่าเขาต้องการปกป้องเรานะ เขารู้สึกว่าเรารุกล้ำเกินไปแล้ว ซึ่งแสดงว่าความโกรธไม่ได้เป็นวายร้ายเสมอไป บางทีเขาก็ตั้งใจมาเป็นผู้พิทักษ์ให้เราเท่านั้นเอง  

4.

ลองพูดกับตัวเองสิว่า “ฉันต้องการให้คนอื่นจูงจมูก” “ฉันต้องการใช้ชีวิตแบบหลอมรวมกับคุณค่าทุกอย่างของคนอื่น คนอื่นต้องการอะไร ฉันก็ต้องการแบบนั้นหมดแหละ” ฟังแล้วรู้สึก “ป่วย” ไหม? 

ในชีวิตส่วนตัว เราไม่ใช่ยักษ์นนทกและไม่ได้มีหน้าที่รับใช้เชื่อฟังใครจนไร้ขอบเขตถึงขนาดต้องเบียดเบียนตัวเองและไม่เคารพพื้นที่ของตัวเอง ดังนั้น วันหนึ่งเราต้องตื่นมาสัมผัสกับสัญชาติญาณความรู้สึกที่แท้จริง และรับผิดชอบทางเลือกที่จะใช้ไปชีวิตตามทางของเรา(ที่ไม่ได้ไปทำร้ายคนอื่น) ไม่ว่าคนอื่นจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม และบางกรณีเราก็อาจต้องยอมพลัดพรากบ้าง กับคนที่เขารับไม่ได้และตัดขาดจากเราเพียงเพราะเรากล้าแสดงจุดยืนของตัวอย่างแน่นหนัก 

แล้วลองดูสิว่าความโกรธที่รั่วซึมออกมาในชีวิตประจำวันลดลงไปบ้างไหม?

อ้างอิง
กลอนบทละครรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปรานนทก 
คำอธิบายเกี่ยวกับคนที่ใช้ลักษณ์ 9 เยอะ อธิบายตามศาสตร์นพลักษณ์ โดย ดร.ทอม ลาฮู

Tags:

จิตวิทยาการจัดการอารมณ์ความโกรธวรรณคดี

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Vicharjai
    Everyone can be an Educator
    ‘วิชาใจ’ คอนเทนต์อิงธรรม โดย พระจิตร์ จิตตสวโร ที่ชวนสำรวจความคิดโดยไม่หลีกหนีความรู้สึก

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • How to enjoy life
    การทำร้ายร่างกายตัวเอง (self-injury) ที่ไม่ใช่แค่การกดดัน ตำหนิตัวเอง

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    “เอสเซนส์” 4 แก่นสำคัญของการใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่น

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy lifeBook
    DESIGNING YOUR LIFE: ปัญหาที่แก้ไม่ได้ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นสถานการณ์ไม่ต่างกับ ‘แรงโน้มถ่วง’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

Anne with an E: การได้รับการปกป้องนี่มันสำคัญมากเลยนะ
Movie
9 July 2021

Anne with an E: การได้รับการปกป้องนี่มันสำคัญมากเลยนะ

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Anne with an E ซีรีส์สร้างจากวรรณกรรมเยาวชนชื่อดัง ถ่ายทอดเรื่องเล่าของ ‘แอนน์’ (ที่ลงท้ายด้วยตัวอี) เด็กกำพร้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลในจิตใจ แต่เธอเยียวยาตัวเองผ่านโลกแห่งหนังสือ นั่นทำให้เธอเป็นเด็กวัย 13 ที่ฉลาด หัวไหว และเปี่ยมด้วยจินตนาการ
  • เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อมีคนติดต่อขอรับเลี้ยงแอนน์ ‘สองพี่น้องตระกูลคัทเบิร์ต’ แต่แล้วก็พบความจริงว่าพวกเขาต้องการเด็กผู้ชายเพื่อมาช่วยงานในไร่ เพราะความสดใสของแอนน์บวกกับความสงสาร ทั้งคู่เลือกที่จะดูแลแอนน์ต่อไป
  • การปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่เป็นเรื่องยากสำหรับแอนน์ เพราะภูมิหลังที่แตกต่างกับเด็กคนอื่นๆ ทำให้บ่อยครั้งแอนน์แสดงพฤติกรรมที่คนมองว่าไม่เหมาะสม แต่ความโชคดีของแอนน์ คือ ได้รับการปกป้องและสนับสนุนจากสองพี่น้อง

Tags:

การเติบโตซีรีส์การเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Online Parenting Theory-nologo (2)
    Family Psychology
    สารพัดทฤษฎีเลี้ยงลูกออนไลน์ พ่อแม่ควรทำอย่างไรท่ามกลางข้อมูลที่ท่วมท้น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    Sunny กับเด็กที่อยู่กับการขาดหาย

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป

  • Movie
    Becoming : ตัวตน ‘มิเชล โอบามา’ ที่ไม่ได้มาจากโลกภายนอกแต่จากโต๊ะกินข้าวในครอบครัว

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Jane The Virgin : สิ่งที่เกิดขึ้นกับยาย ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดกับ ‘เจน’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Book
    หนทางเดียวที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งรัก คือ ฝึกรัก

    เรื่อง ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ขนิษฐา ธรรมปัญญา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

รักดาราแล้วได้อะไร (ตอน 2): ถ้าเพื่อนชอบฉันเอาบ้าง และขวัญใจนักการตลาด
RelationshipHow to enjoy life
7 July 2021

รักดาราแล้วได้อะไร (ตอน 2): ถ้าเพื่อนชอบฉันเอาบ้าง และขวัญใจนักการตลาด

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • สิ่งสำคัญในชีวิตของวัยรุ่นนั้นไม่ใช่เพียงแค่อัตลักษณ์ว่าตนเองควรเป็นแบบไหน มีจุดเด่น มีสิ่งแตกต่างอย่างไร แต่มันรวมไปถึงว่าฉันควรอยู่กลุ่มไหน และได้รับการยอมรับจากกลุ่มที่ฉันอยากไปอยู่หรือไม่
  • วัฒนธรรมป็อป, วัฒนธรรมไอดอล มาพร้อมกับ “วัตถุนิยม” ที่บ่งบอกชนชั้นบางอย่าง แม้ในประเทศที่บอกว่าไม่มีชนชั้นวรรณะแบบเดียวกับอินเดีย แต่จริงๆ แล้วชนชั้นว่าใครอยู่สูง กลาง ต่ำ ก็ยังมีในสังคม สังคมวัตถุนิยมจะแบ่งคนจาก “ต้นทุน” ที่ไม่ใช่แค่เงินหรือการครอบครองของแพงๆ แต่ยังรวมถึงการแสดงออกว่าตนเองชอบสิ่งใด สนับสนุนและนิยมสิ่งใด มีรสนิยมอย่างไร เรียกว่า “ต้นทุนทางวัฒนธรรม”
  • สินค้าประเภทหนึ่งที่แสดงออกถึงความชอบส่วนตัวได้ดีทีเดียวก็คือ สินค้าของไอดอล ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเพลง รูปภาพพร้อมลายเซ็น สินค้าที่มีโลโก้วง การได้สิ่งนั้นมาครอบครองนั้น ก็เหมือนทำให้ต้นทุนทางวัฒนธรรมของตนเองสูงขึ้น ไม่ได้เป็นแค่แฟนคลับระดับทั่วไป แต่เป็นขั้นสูงที่มีสินค้าครบ ของหายาก จำกัดช่วงเวลาพร้อม

ต่อจากตอนที่แล้วของ รักดาราแล้วได้อะไร (ตอน 1) ที่เราได้อธิบายถึงสาเหตุทางวิวัฒนาการที่การคลั่งไคล้คนดังนั้นส่งผลต่อความอยู่รอดในยุคโบราณ และจากสาเหตุทางโครงสร้างจิตใจ ที่เมื่อเด็กเติบโตขึ้นจะหาต้นแบบในอุดมคติเพื่อสร้าง “อัตลักษณ์” ของตน ครั้งที่แล้วเราคุยสาเหตุจากภายในเป็นหลักว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นออกแบบมาให้คลั่งไคล้คนดัง ในตอนนี้เรามาพูดถึงสาเหตุที่มาจากสิ่งรอบตัวมนุษย์หรือสังคมกันบ้างดีกว่าครับ ว่ามันส่งเสริมให้มนุษย์นั้นคลั่งดาราได้อย่างไร

เหตุผลแรกนั้นเป็นเหตุผลก้ำกึ่งระหว่างธรรมชาติมนุษย์เอง กับสังคมรอบตัว อธิบายได้ง่ายๆ ว่าคนเราก็ชอบอะไรในสิ่งที่คนรอบตัวเราชอบ เหมือนว่าพอมีดาราที่เพื่อนชอบเราก็ชอบตามเพื่อน พอเราอยากรู้ว่านักร้องคนไหนที่น่าสนใจก็ดูว่ายอดไลค์ของใครมากสุด ฟังดูไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเท่าไรนัก แต่จริงๆ มันมีผลมากครับ โดยเฉพาะกับวัยรุ่น ที่เป็นวัยซึ่งสังคมที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือกลุ่มเพื่อน เหมือนที่ผู้ใหญ่ชอบบ่นกันว่า “ฟังเพื่อนแต่ไม่ฟังพ่อแม่” 

สิ่งสำคัญในชีวิตของวัยรุ่นนั้นไม่ใช่เพียงแค่อัตลักษณ์ว่าตนเองควรเป็นแบบไหน มีจุดเด่น มีสิ่งแตกต่างอย่างไร แต่มันรวมไปถึงว่าฉันควรอยู่กลุ่มไหน และได้รับการยอมรับจากกลุ่มที่ฉันอยากไปอยู่หรือไม่ 

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การที่ไม่มีใครเลยยอมรับเข้ากลุ่ม เป็นเรื่องที่เราไม่พึงปรารถนาไปจนถึงขั้นน่ากลัว วัยรุ่นนั้นเป็นวัยแรกๆ ที่ได้พบเจอกับสังคมที่กว้างขึ้นไปอีกระดับหากเทียบกับวัยเด็กที่พ่อแม่คุมอยู่ตลอด การที่กลุ่มอื่นยอมรับตนนอกจากครอบครัวเลยเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แล้วทำอย่างไรเราถึงจะเป็นที่ยอมรับในกลุ่มได้ วิธีหนึ่งก็คือการชอบในสิ่งเดียวกันไงครับ พอชอบในสิ่งเดียวกันมันทำให้รู้สึกว่าใจตรงกัน มีรสนิยมแบบเดียวกัน เวลาพูดคุยก็ไม่ต้องเถียงไม่ต้องทะเลาะกันอย่างน้อยหนึ่งเรื่อง เวลามีกิจกรรมไปดูหนัง ไปคอนเสิร์ตของดารานักร้องที่ชอบก็ไปด้วยกันได้ แถมยังกลับมาอิน มาปลื้ม มาพูดชื่นชมให้เพื่อนในกลุ่มฟังกันเอง และเพื่อนก็พูดสนับสนุน การเป็นที่ยอมรับแบบนี้มันเป็นความรู้สึกที่ดีที่คนเราอยากได้ และในทางจิตวิทยาแล้ว การยิ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกัน การได้ฟังคนอื่นในกลุ่มมาชื่นชมดาราคนนี้ การได้ชื่นชมดาราให้คนรอบตัวฟัง การสนับสนุนกันไปมาจะยิ่งเสริมความชอบดาราคนดังกล่าวให้เข้มข้นขึ้นไปอีกไปถึงขั้นความคลั่งไคล้ได้ สิ่งนี้เราอาจจะเห็นได้ชัดเจน เพราะกิจกรรมหนึ่งที่แฟนคลับดาราชื่นชอบคือการแชร์ความหลงใหลในตัวดาราคนดังกล่าวให้เหล่าแฟนคลับด้วยกันฟัง 

คำถามที่ตามมาคือการชอบตามๆ กัน มันย่อมมีคนแรก แล้วใครล่ะคือคนนำเทรนด์ แต่บางทีมันก็ตอบได้ยากว่าแล้วดาราคนที่เริ่มฮิต เริ่มดัง มันเริ่มมาจากไหน เหมือนว่าทำไมเสื้อผ้าแบบนี้มันถึงเป็นแฟชั่นในปัจจุบัน ใครใส่เป็นคนแรก ปรากฏการณ์ความฮิตแบบนี้หลายครั้งมันจะเกิดขึ้นจากคนหลายๆ คนในสังคมที่บังเอิญชอบในเวลาไล่เลี่ยกัน และบอกต่อกันไปเรื่อยๆ และยิ่งพอมีคนชอบเพิ่มขึ้น คนก็เริ่มเห็นว่ามีหลายคนชอบจังก็จะชอบตามกระแสที่เกิดขึ้น กระแสก็จะยิ่งแรงขึ้นและทำให้มีคนที่ชอบมากขึ้นไปอีก สิ่งที่คนจำนวนมากเชื่อเหมือนกัน ความชอบเหมือนกัน ความคิดแบบเดียวกัน มีชื่อที่เราคุ้นหูกันดีก็คือ “วัฒนธรรม” 

วัฒนธรรมนั้นมีหลากหลายแบบ แต่ที่เราจะคุยกันตอนนี้เป็นประเภทหนึ่งที่เป็น “เรื่องฮิต” คนที่ในสังคมจำนวนมากชื่นชอบและนิยมในช่วงเวลาหนึ่งก่อนจะค่อยๆ หายไป เราเรียกวัฒนธรรมแบบนี้ว่า “วัฒนธรรมป็อป” (Pop culture) ซึ่งมักจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับดารา นักร้อง แฟชันการแต่งตัว กีฬา งานอดิเรก ตัวอย่างเช่น ชอบฟังเพลงเกาหลี ชอบเล่น Clubhouse หรือที่แห่กันไปเล่นเสก็ตบอร์ดก็ใช่ 

วัฒนธรรมป็อปมันมักจะไม่ยั่งยืนยงเหมือนวัฒนธรรมชั้นสูง มันอาจจะอยู่ได้เป็นปีๆ แต่ไม่ยืนนานจากรุ่นสู่รุ่นเหมือนไปไหนมาไหนเจอผู้ใหญ่ต้องไหว้นะลูก ชุดทางการต้องเสื้อมีปก รองเท้าหุ้มข้อ อะไรทำนองนั้นที่มันมีอายุยืนนานกว่ามาก แต่ถึงแบบนั้นวัฒนธรรมป็อปก็เป็นสิ่งที่กลุ่มวัยรุ่นส่วนใหญ่ให้ความสำคัญที่สุดแล้วครับ และถ้าถามว่าส่วนสำคัญในวัฒนธรรมป็อปคืออะไร มันก็หนีไม่พ้นคนดังหรอกครับ เพลงฮิตมาจากนักร้องดัง หนังหลายสิบล้านก็สร้างดารายอดนิยม แฟชั่นก็ดูจากที่คนดังใส่ วัฒนธรรมเป็นส่วนสำคัญในชีวิตว่าเราจะคิด ตัดสิน ให้คุณค่า สิ่งใดอย่างไร การที่ดาราและคนดังนั้นเป็น “ผู้นำวัฒนธรรมป็อป” พวกเขาก็เลยกลายเป็นบุคคลสำคัญของวัยรุ่นไปโดยปริยาย

งานวิจัยที่เราพูดกันมาทั้งในบทความตอนแรกและด้านบนนั้นเป็นงานวิจัยของประเทศตะวันตก มันก็มีทั้งส่วนที่เหมือนกับประเทศตะวันออกอยู่บ้าง เช่น เด็กสาวก็ยังคลั่งไคล้ดาราหนุ่มอยู่เหมือนเดิม และขวัญใจของเด็กผู้ชายก็มักจะเป็นนักกีฬา แต่ก็มีบางอย่างมันก็เริ่มจะไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่ สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ปรากฏการณ์เมื่อไม่นานมานี้ที่เรียกกันว่า “วัฒนธรรมไอดอล”

“ไอดอล” ในนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศญี่ปุ่น ดูเผินๆ ก็เหมือนกับวงนักร้องทั่วไป แต่ส่วนที่แตกต่างคือไอดอลนั้นมักจะถูกตั้งมาเพื่อให้มีกลุ่มแฟนคลับสนับสนุน กิจกรรมปฏิสัมพันธ์กับแฟนๆ อย่างการพูดคุยตอนไปออกอีเวนต์หรือตอนไลฟ์คอนเสิร์ต กิจกรรมจับมือ กิจกรรมยอมให้ถ่ายรูปด้วย อะไรก็แล้วแต่ที่สร้างความสนิทสนมใกล้ชิดกับแฟนคลับของตนเองนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากของวงการไอดอล และอีกส่วนหนึ่งที่ไอดอลแตกต่างจากดาราคือ คนที่หลงใหลไอดอลนั้นอาจจะเป็นเพียงกลุ่มเฉพาะบางส่วนในสังคม ไม่ได้โด่งดังคับฟ้าเหมือนศิลปินดังหรือพระเอกนางเอกละครหลังข่าว แต่แฟนคลับของไอดอลนั้นมีอยู่ในคนทุกกลุ่ม จะผู้หญิง ผู้ชาย เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือแม้แต่คนสูงอายุ ใครๆ ก็เป็นแฟนคลับของไอดอลได้ทั้งนั้น และแฟนคลับในทุกวัยต่างก็มีบางคนที่ชอบอย่างจริงจังถึงขั้นคลั่งไคล้ บางคนอาจจะชอบทั้งวง หรือบางคนอาจจะชอบแค่คนเดียว ที่เรียกกันว่า “โอชิ” วงที่ดังในญี่ปุ่นในตอนนี้ก็ เช่น AKB48 ส่วนในไทยก็เป็น BNK48 และวงอื่นๆ อีกเยอะ ปรากฏการณ์ไอดอลนี้ยังมีงานวิจัยตะวันตกพูดถึงน้อยมากครับ

การที่ผู้ชายวัยผู้ใหญ่มาเป็นแฟนคลับไอดอลสาวๆ นั้นเรียกได้ว่าอธิบายด้วยทฤษฎีที่เราพูดมาได้ยากหน่อย เพราะไอดอลไม่น่าจะเป็นต้นแบบในการเป็นผู้ชายคนไหน และยิ่งกับวัยผู้ใหญ่แล้วอัตลักษณ์เป็นสิ่งที่ควรพบไปแล้ว (สองข้อนี้เราพูดถึงในบทความที่แล้ว) และการที่ไอดอลมีแฟนคลับในวัยผู้ใหญ่ด้วย เรื่องกลุ่มเพื่อนสนิทที่อยู่กันได้เพราะชอบดาราคนเดียวกันแบบวัยรุ่นก็ไม่น่าจะเป็นเหตุผลหลัก แล้วอะไรที่ทำให้คนมาคลั่งไคล้ไอดอลกันขนาดนี้

ผมพบงานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ในปีนี้ของคุณภัทรฉัตร มณีฉาย (2564) สรุปประเด็นไอดอลด้วยทฤษฎีทางการตลาดไว้ได้น่าสนใจทีเดียวครับ โดยเขาโยงเรื่องวัตถุนิยม กับความคลั่งไคล้ไอดอลไว้ด้วยกัน ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับวัตถุนิยมกันก่อน ความหมายง่ายๆ ของมันคือ ทัศนคติที่เน้นความสำคัญต่อการครอบครองวัตถุในชีวิต วัตถุคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตสมบูรณ์และมีความสุข และวัตถุจะใช้ในการบ่งบอกถึงสถานภาพทางสังคม หรือเรียกง่ายๆ ว่า “ชนชั้น” ก็ได้ครับ

เราคุยกันไว้ในตอนที่แล้วว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นสังคมที่มีชนชั้น จนเวลาผ่านมาสังคมมนุษย์ขยายใหญ่ขึ้นมากแต่ชนชั้นก็ยังอยู่ แม้แต่ในประเทศที่บอกว่าไม่มีชนชั้นวรรณะแบบเดียวกับอินเดีย แต่จริงๆ แล้วชนชั้นว่าใครอยู่ชนชั้นสูง กลาง ต่ำ ก็ยังมีในสังคม หากสังเกตดีๆ โดยสังคมวัตถุนิยมจะแบ่งคนจาก “ต้นทุน” คำนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ เงิน หรือการครอบครองของแพงๆ ที่เรียกกันว่า “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” เท่านั้น ต้นทุนยังรวมไปถึงสิ่งอื่นๆ เช่น แสดงออกว่าตนเองชอบสิ่งใด สนับสนุนและนิยมสิ่งใด มีรสนิยมอย่างไร ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า “ต้นทุนทางวัฒนธรรม” 

ด้วยมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีชนชั้นดังที่เราพูดถึงกันในตอนที่แล้ว และคนเราย่อมอยากอยู่ในชนชั้นสูงเป็นธรรมดา เพราะชนชั้นทางสังคมที่สูงกว่าหมายถึงการมีอำนาจมากกว่า และเข้าถึงทรัพยากร (เช่น ของกิน) ได้ดีกว่า ถึงแม้ว่าปัจจุบันสังคมจะพยายามเน้นค่านิยมว่ามนุษย์เราเท่าเทียม แต่ธรรมชาติในการยึดติดกับชนชั้นของคนไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงกันง่ายๆ ครับ คนบางคนพยายามแสดงต้นทุนทางเศรษฐกิจด้วยการใช้สินค้าแบรนด์เนมราคาแพง ใครเห็นก็รู้ว่า “ตายแล้ว…ไฮโซมาจากไหนเนี่ย กระเป๋าใบละหลักแสน” ในหลักการแบบเดียวกันครับ คนที่ไม่อยากแสดงออกว่ารวยเงิน แต่รวยรสนิยม ก็จะแสดงสิ่งที่เป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมแทน ด้วยการซื้อหาการใช้สินค้าเช่นกัน แต่ทุนของมันไม่ได้กำหนดด้วยเงิน แต่เน้นสื่อให้เห็นว่าผู้ใช้ชอบอะไร 

และสินค้าประเภทหนึ่งที่แสดงออกถึงความชอบส่วนตัวได้ดีทีเดียวก็คือ สินค้าของไอดอล ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเพลง รูปภาพพร้อมลายเซ็น สินค้าที่มีโลโก้วง การได้สิ่งนั้นมาครอบครองนั้น ก็เหมือนทำให้ต้นทุนทางวัฒนธรรมของตนเองสูงขึ้น ไม่ได้เป็นแค่แฟนคลับระดับทั่วไป แต่เป็นขั้นสูงที่มีสินค้าครบ ของหายาก จำกัดช่วงเวลาพร้อม หรือสิ่งที่จริงๆ แทบไม่มีมูลค่าทางตัวเงินเลย อย่าง “บัตรจับมือ” ก็กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่ามหาศาลได้ เพราะมันเป็นเหมือนบัตรแสดงฐานะวีไอพีที่จะได้ใกล้ชิดกับตัวไอดอลแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

สินค้าไอดอลหลากหลายอย่างนั้น ไม่ได้มีแค่เงินก็ซื้อได้นะครับ บางทีก็ต้องซื้อสินค้าแบบจำกัดเวลา บางทีก็สุ่มว่าจะเป็นสินค้าที่มีภาพหรือลายเซ็นของใครในวง แล้วยิ่งใครเจาะจงว่าชอบแค่คนเดียว ยิ่งหาสินค้าที่สุ่มได้ลำบากขึ้นอีก ต้องซื้อสินค้าซ้ำๆ จนกว่าจะเจอของที่ถูกใจ หรือไอดอลคนไหนได้รับความนิยมในกลุ่มมากๆ สินค้าเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าประมูลแย่งกันด้วยมูลค่ามหาศาลก็มีมาแล้ว

สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คนที่ออกแบบการตลาดให้กับไอดอลต่างคิดมาเรียบร้อยว่าวิธีที่ทำให้ของหายากขึ้นแบบนี้จะเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้า แทนที่จะมีมูลค่าของตัวเงินอย่างเดียว 

นอกจากนี้ ถึงแม้สินค้าบางอย่างไม่มีค่าทางตัวเงินที่ชัดเจน อย่างเช่น เสื้อยืดทุนร้อยสองร้อย แต่มันเชื่อมโยงกับเหล่าไอดอลที่เป็นแกนหลักของสินค้า คุณค่าทางรสนิยมอย่าง ความน่ารัก ความสดใส ความยังหนุ่มยังสาว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ว่าคนเพศไหน อายุเท่าไร ต่างให้คุณค่า แต่มันซื้อหาไม่ได้โดยตรง ไอดอลที่ออกสินค้าให้สะสมด้วยเลยเข้ามาตอบโจทย์ในด้านวัตถุที่ครอบครองได้ เพิ่มต้นทุนทางวัฒนธรรมของตนได้ และดึงดูดให้คนหลากหลายวัยให้เข้ามาชื่นชอบไอดอลและคว้าความน่ารักสดใส ผ่านทางการซื้อสินค้า

คนเรานั้นยิ่งลงทุนลงแรง มันก็ยิ่งมีความรู้สึกว่าเกี่ยวพันกันในทางใดทางหนึ่ง พอยิ่งติดตาม ยิ่งซื้อสินค้า ซึ่งการตลาดของเจ้าของวงนั้นออกแบบมาล่อตาล่อใจให้อยากได้สิ่งของ ความชอบความคลั่งไคล้มันก็จะยิ่งชัดเจนฝังลึกมากขึ้นในทุกครั้งที่ได้ครอบครองสิ่งเหล่านั้น จะบอกว่าความคลั่งไคล้ไอดอลมีส่วนหนึ่งที่มาจากการวางแผนของนักการตลาดก็คงไม่ผิดนักหรอกครับ 

หากจะไม่พูดถึงคุณสมบัติของตัวไอดอลเลยว่า ทำไมคนถึงชอบไอดอลก็คงเหมือนพลาดส่วนสำคัญไป มีจุดที่น่าสังเกตคือ ไอดอลมีอีกข้อที่แตกต่างจากดาราคือ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ดีเลิศ เช่น ไม่ต้องร้องเพลงได้ระดับดีวา หรือไม่ต้องมีทักษะการแสดงระดับคว้ารางวัล ไม่ต้องหุ่นดีระดับนางแบบ หน้าตาสวยระดับนางงามหรือนางเอกหนัง บางครั้งไอดอลที่ดูเหมือน “คนบ้านๆ” ทั่วไปที่ดูหาได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวันกลับให้ความรู้สึกอินมากกว่า เพราะรู้สึกถึง “ความเป็นมนุษย์” จริง ๆ ไม่ได้ปรุงแต่ง หรือไม่ได้ชั้นสูงเหมือนดาราทั่วไป ดูเอื้อมถึงได้จริง และไอดอลเน้นกิจกรรมเข้าหาแฟนๆ เป็นประจำ กิจกรรมจับมือ นั่งคุย ถ่ายรูป อวยพรวันเกิดเป็นหลักอยู่แล้ว ทุกสิ่งยิ่งสร้างความเข้าถึงและยิ่งทำให้บางคนรู้สึกตกหลุมรักไอดอลได้มากขึ้นไปอีก

บางครั้งขอบเขตการคลั่งไคล้ไอดอลก็เริ่มไม่ชัดเจนในบางคน ที่ถึงขั้นเข้าไปบุกรุกไปหาไอดอล หรือเป็นสตอล์กเกอร์แอบตามชีวิตส่วนตัวของไอดอล เพราะบางครั้งความสมจริง มันทำให้คิดว่าจะคว้ามาเป็นคนรักได้จริงๆ นอกจากนี้ไอดอลบางกลุ่ม บางประเทศ ทำไม่ได้แม้แต่จะมีคนรัก แอบมีแบบไม่ออกสื่อแล้วมารู้ทีหลังยิ่งกลายเป็นความผิดร้ายแรงในวงการ เพราะนั่นจะไปกระเทือนถึงภาพลักษณ์ให้ไอดอลกลายเป็นบุคคลที่มีเจ้าของ และทำให้คนเข้าถึงไม่ได้อีกต่อไป

มันอาจจะฟังดูแปลกที่มนุษย์เรารักคนที่จริงๆ แล้วแทบไม่เคยพบหน้า แทบไม่เคยพูดคุย และเขาอาจจะจำเราไม่ได้ อย่างการรักดารา นักร้อง ไอดอล และคนดังอื่นๆ แต่ผมว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ประหลาด และแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่อย่างใด 

เราทุกคนต่างมีสิทธิ์ที่จะชอบใครก็ได้ ขอเพียงอย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น จะหลงรักจนเก็บไปนอนฝัน ตื่นมาก็ยังเพ้อถึง ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรครับ แต่อย่าให้มันมากเกินไปจนกระทบชีวิต การงาน สุขภาพ  และความสัมพันธ์ต่อคนรอบตัว ก็แล้วกัน ซึ่งจริง ๆ หลักการนี้ก็ใช้ได้กับทุกเรื่อง จะเป็นพฤติกรรม หรือความรู้สึก สิ่งใดที่มันมากเกินไป มันล้วนแต่เกิดผลเสียทั้งนั้น แม้แต่รักเองก็ไม่เว้น

อ้างอิง

Bandura, A. (1971). Social learning theory. New York: General Learning Press.

Maneechaeye, P. (2021). The commodification of idol culture with a loot-boxes-style marketing strategy practice in Thai idol culture and aspects of consumer psychology toward uncertainties. Humanities, Arts and Social Sciences Studies, 179-187.

Raviv, A., Bar-Tal, D., Raviv, A., & Ben-Horin, A. (1996). Adolescent idolization of pop singers: Causes, expressions, and reliance. Journal of Youth and Adolescence, 25(5), 631-650.

Steele, J. R., & Brown, J. D. (1995). Adolescent room culture: Studying media in the context of everyday life. Journal of youth and adolescence, 24(5), 551-576.ศิริรัจน์ แอดสกุล. (2560). ความรู้เบื้องต้นทางสังคมวิทยา (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ , สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

Tags:

ความรักการยอมรับอัตลักษณ์ (identity)วัฒนธรรมป็อป (Pop culture)

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    ในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า…และมาจากดวงจันทร์

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Dear ParentsMovie
    The love of Siam: รักแห่งสยาม ‘เดอะแบก’ ของบ้านที่ไม่พูดความต้องการและรู้สึก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Life classroom
    LGBTQ+ ความปกติ ธรรมชาติ ศีลธรรม และความเข้าใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipHow to enjoy life
    รักดาราแล้วได้อะไร (ตอน 1): ยีนคลั่งคนดัง และต้นแบบในดวงใจ

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    เหมือนดูเย็นชา แต่ใช่ว่าไม่รัก

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ
Social Issues
7 July 2021

โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ความเครียดเรื่องอนาคตการศึกษาในช่วงโรคระบาด คาดการณ์ว่าจะมีเด็กหลุดจากการศึกษาเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือน การเรียนการสอนในโลกออนไลน์ที่อย่างไรมันก็แทนการพูดคุยปฏิสัมพันธ์ในห้องไม่ได้ การพัฒนาตัวตนที่ต้องการปฏิสัมพันธ์เชิงสังคม ซึ่งเกือบครึ่งชีวิตของเรา เราเข้าไปพัฒนาสร้างตัวตนในพื้นที่โรงเรียน 
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต กล่าวว่า ผลกระทบเรื่องความเครียดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดแล้วจบไปได้ง่ายและจะหายในช่วงเวลาสั้นๆ แต่จะผลกระทบจะกินเวลา และอาจ ‘ดีเลย์’ ได้ นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่โรงเรียนจะต้องเตรียมการรับมือกับความเครียดของเด็กๆ หลังโรคระบาดในระยะเวลานาน  

ช่วงนี้ข่าวคนฆ่าตัวตายเป็นใบไม้ร่วง อ่านประกบคู่ข่าว กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) คาดการณ์สิ้นปี 2564 อาจมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษากว่า 6.5 หมื่นคน โอกาสต่อมหาวิทยาลัยเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ ด้วยสาเหตุยากจนเฉียบพลัน จากวิกฤตเศรษฐกิจที่กระทบจากวิกฤตโรคระบาด 

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความเครียดเพราะการศึกษาเพียวๆ แต่ระหว่างบรรทัด เราพบความเครียดจากวิกฤตเศรษฐกิจ ความกังวลต่ออนาคต ความสิ้นหวังอับจนไร้ทางออกของสมาชิกในครอบครัว…อยู่ในข่าวครบจบในเรื่องเดียว (แต่ถ้าอ่านข่าวหลายชิ้นประกอบกัน แน่นอนว่าจะต้องเห็นภาพใหญ่และกลัวเกรงกว่านี้แน่นอน) 

กราฟ: ตัวเลขการฆ่าตัวตายในประเทศไทย โดยกรมสุขภาพจิต ที่ชี้ว่าในปี 2563 ยอดการฆ่าตัวตายเกือบเท่ากับการฆ่าตัวตายหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 – 2542 

 

ในประเด็นความเครียดเรื่องอนาคตการศึกษาในช่วงโรคระบาด มีหลายประเด็นที่ต้องพูดคุย ตั้งแต่การคาดการณ์ว่าจะมีเด็กหลุดจากการศึกษาเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือน การเรียนการสอนในโลกออนไลน์ที่อย่างไรมันก็แทนการพูดคุยปฏิสัมพันธ์ในห้องไม่ได้ รวมทั้งการพัฒนาตัวตนที่ต้องการปฏิสัมพันธ์เชิงสังคม ซึ่ง…เกือบครึ่งชีวิตของเรา เราเข้าไปพัฒนาสร้างตัวตนในพื้นที่โรงเรียน 

ไม่รวมความอึดอัดกดดันและสิ้นหวังต่อสังคมจากวิกฤตการเมือง ที่ทำให้คนรุ่นใหม่สิ้นหวังหมดแรง ไม่อยากลงทุนกับอนาคต หดหู่ แต่ก็ก้ำกึ่งระหว่างยอมจำนนสยบต่ออำนาจ หรือ บุกทะลวงต่อสู้เพื่อกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง

แต่ก็ต้องขีดเส้นใต้ไว้ว่า นี่ไม่ใช่แค่ที่ไทย แต่เป็นกันทั่วโลก โดยเฉพาะกับประเทศที่จำนวนผู้ติดเชื้อมาก ผู้เสียชีวิตเป็นแสน นั่นอาจหมายถึง ‘ญาติ’ ของนักเรียนหลายคนที่สูญเสียไปจากโรคระบาด รวมกับการรายงานข่าวการต่อสู้กับโรคร้ายรายวัน 

บทสนทนาที่เกิดในบ้านจากความเครียดทั้งโรคระบาด เศรษฐกิจ และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ภายนอก ย่อมส่งผลต่อเด็ก ทั้งความเครียด ความกลัวและความกังวล  

ทั้งหมดนำมาสู่การทยอยเก็บข้อมูลและศึกษาเรื่อง ‘ผลกระทบ’ จากความเครียดสะสมในช่วงการระบาดโควิด-19 และไม่ใช่แค่โควิดระบาดแล้วจึงเครียด แต่ในเรื่องราวของชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย ความเครียดของแต่ละบุคคลมีมาก่อนหน้านั้นแล้วแน่ๆ แต่อาจเลวร้ายลงจากวิกฤตครั้งนี้ 

งานศึกษาจากทั่วโลกเหล่านี้ ก็เพื่อคุณครูและนักจิตวิทยาโรงเรียนได้ร่วมกันต่อสู้กับวิกฤตความเครียด ด้วยการปรับหลักสูตรและการรับมือเชิงจิตวิทยาทั้งในห้องเรียนและโครงสร้างใหญ่ของสังคม 

สาเหตุความเครียดสะสมจากโควิด-19 ที่เทียบภาวะซึมเศร้า และอาจกระทบแบบ ‘ดีเลย์’  

รายงานจากศูนย์ควบคุมโรคติดต่อสหรัฐ (The U.S. Centers for Disease Control and Prevention) เปิดเผยตัวเลขการเข้ารับการดูแล รักษา ให้คำปรึกษาของเด็กๆ ด้วยประเด็นความเครียด ระหว่างเดือนเมษายน ถึง ตุลาคม ปี 2020 พบเด็กอายุ 5 และ 11 ปี เข้ารับการดูแลสูงขึ้น 24 เปอร์เซ็นต์ ส่วนวัยรุ่นอายุ 12-17 ปี กราฟเพิ่มสูง 31 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับตัวเลขในช่วงเวลาเดียวกัน

โดยความเครียดที่วัยรุ่นกว่า 900 คน และผู้ปกครองกว่า 2,000 คน บอกเล่าคล้ายกัน คือความกังวลว่า การระบาดครั้งนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร สมาชิกในครอบครัวจะเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตหรือไม่ และนี่เป็นความเครียดสะสมที่เข้มข้นมากกว่าความกังวลเรื่องการเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเคยเป็นความกังวลอันดับต้นๆ ของพวกเขา

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ซาร่า กอร์แมน นักวิจัย และผู้อำนวยการมูลนิธิ JED มูลนิธิทำงานด้านสุขภาพจิตกับนักเรียนและมหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผลกระทบเรื่องความเครียดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดแล้วจบไปได้ง่ายและจะหายในช่วงเวลาสั้นๆ แต่จะผลกระทบจะกินเวลา และอาจ ‘ดีเลย์’ ได้ 

กล่าวคือ ผลกระทบอาจไม่เกิดวันนี้ แต่เมื่อถูกกระตุ้นให้นึกถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก ก็อาจค่อยส่งผลกระทบทีหลังได้ อย่างที่เกิดขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยซึมเศร้า และเราไม่มีทางรู้เลยว่าผลกระทบที่แท้จริงและทั้งหมดจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นด้วยเวลาเท่าไร อาจเป็นหนึ่งปีให้หลัง สิบปีให้หลัง 

นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่โรงเรียนจะต้องเตรียมการรับมือกับความเครียดของเด็กๆ หลังโรคระบาดในระยะเวลานาน  

เนื่องจากเป็นรายงานที่โฟกัสที่สหรัฐอเมริกา มีข้อมูลเฉพาะพื้นที่ที่น่าสนใจ ระบุว่า กลุ่ม minority เช่น กลุ่มนักเรียนผิวดำ (Black) ลาติน นักเรียนชาวเอเชียน กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ มีประสบการณ์ความเครียดเพิ่มกว่ากลุ่มคนผิวขาว และจะยิ่งรายงานว่าเครียดมากขึ้น หากที่บ้านยากจน วิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ก็ยิ่งซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจครัวเรือนเข้าไปใหญ่ 

ความเครียดสะสมที่อาจทำให้ไม่กลับมาเรียน 

ในตัวเลขนี้ ไม่ใช่แค่รับมือกับความเครียด แต่มันสะท้อนกลับมาถึงตัวเลขว่าเด็กๆ กลุ่มไหน สามารถกลับมาเรียนเต็มเวลาได้เหมือนก่อนเกิดโควิด 

นักเรียนผิวขาว 1 ใน 4 กลับมาเรียนแบบเต็มเวลาในห้องเรียน ขณะที่นักเรียนผิวดำ, ลาติน, อเมริกันเอเชียน กลับมาเรียนเต็มเวลาในห้องเพียง 1 ใน 10 ขณะที่ตัวเลขอีกชุดชี้ว่า นักเรียนผิวสี 64 เปอร์เซ็นต์ยังคงเรียนออนไลน์ ขณะที่นักเรียนผิวขาว 41 เปอร์เซ็นต์ กลับมาเรียนในห้องเรียน

เรื่องนี้มีผลจริงๆ เพราะโรงเรียนไม่ใช่แค่ที่เรียนหนังสือ แต่มีบุคคล มีครู มีเพื่อน มีปฏิสัมพันธ์ และเป็นเรื่องจริงที่ว่า เด็กทุกคนไม่ได้มีความสุขดีกับการอยู่ที่บ้าน หลายคนถูกทารุณ โดดเดี่ยว และปัญหาครอบครัวหลายอย่าง การมาโรงเรียน อย่างน้อยก็มีผู้ใหญ่หลายคน ที่อาจเป็น ‘หนึ่งคนในโลก’ ที่มีปฏิสัมพันธ์กับเค้า และอาจทำให้เด็กคนนึงเติบโตมาได้อย่างมีบาดแผลน้อยที่สุด 

ชวนดูตัวเลขที่ JED ทำข้อมูลความเครียดของผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอายุ 2-18 ปี และ ตัววัยรุ่นเองอายุ 13-18 ปี ที่เล่าว่า ความเครียดในช่วงเวลานี้ มีเรื่องอะไรบ้าง 

กราฟ JED Foundation and Fluent Research

  

สุดท้าย บทสรุปของบทความนี้และงานวิจัยรวบรวมข้อมูลความเครียดสองสามชิ้นใน Education Week อาจไม่ได้บอกวิธีแก้แบบตรงไปตรงมา แต่เป็นเพียงการสร้างตระหนักและเข้าใจปัญหาว่า ความเครียดที่เกิดจากวิกฤตโรคระบาด ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่ส่งผลกระทบกินลึก อาจเทียบเคียงไม่ได้กับวิกฤตใหญ่แบบ 911 หรือสงครามกลางเมือง แต่มันเป็นเป็น ‘ความเครียดสะสม’ (chronic stress) เครียดเล็กน้อยแต่สะสมไม่จางหายเป็นระยะเวลานาน เหมือนเราถือของหนักที่รังแต่มีคนวางของบนแขนเพิ่ม เราค่อยๆ ชินกับการถือของหนัก ที่พลอยจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ปรับตัวให้ชินได้แต่สุดท้ายอาจทำให้หลังหักทันทีทันใดไม่รู้ตัว 

งานวิจัยเหล่านี้ไม่มีวิธีแก้ เป็นแต่เพียงข้อมูลเอาไว้ยันกับหน่วยงานการศึกษาหลายภาคส่วนว่าต้องเร่งทำงานแก้ปัญหาความเครียดในเด็ก เพียรเช็คตัวเลขการกลับหรือไม่กลับเข้ามาเรียนต่อในวันที่ประเทศพร้อมเปิด และเรากลับมามีวิถีปกติอีกครั้ง และการลงทุนทางการเงินกับการช่วยเหลือเด็กๆ จัดการความเครียดในหมวดสังคมสงเคราะห์ 

ทั้งหมดนี้ บ้านเราเองต้องเร่งจัดการ ตัวเลขนักเรียน 6.5 หมื่นคนหลุดจากระบบการศึกษา และโอกาสต่อมหาวิทยาลัยเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์นั้น อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และนี่คือทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรของชาติ ที่เราต้องเร่งระดมทุกสรรพกำลัง เป็นกำลังหลักฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤตโควิด…ที่ไม่รู้เลยว่าจะจบลงเมื่อไร และมันจะพลิกโฉมประเทศและโลกไปขนาดไหน 

 อ้างอิง

https://www.edweek.org/leadership/data-what-we-know-about-student-mental-health-and-the-pandemic/2021/03

https://www.edweek.org/leadership/the-pandemic-will-affect-students-mental-health-for-years-to-come-how-schools-can-help/2021/03

เด็กอาจหลุดระบบการศึกษา 6.5 หมื่นคน เหตุยากจนเฉียบพลัน (prachachat.net)

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)การศึกษาความเครียดซึมเศร้าวัยรุ่น

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • How to get along with teenager
    Teenage Burnout : ภาวะหมดไฟในวัยรุ่นวัย (หมด) ฝัน

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.3 “I am worth enough.”

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ‘ล้อเลียน’ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ : เส้นบางๆ ระหว่าง playful กับ hurtful ที่ทำให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียน

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • ‘ไม่สอนสูตร ไม่บอกวิธี’ ห้องเรียนคณิตฯ Pro-Active ของ ‘ครูบอย – มานะ คำจันทร์’ ที่เน้นกระบวนการคิด ติดตั้งทักษะการแก้ปัญหา
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3 ‘คุณค่าของความไม่สบายใจ’
  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel