Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: June 2021

‘สัตว์เลี้ยงนักบำบัด’ มากกว่าเพื่อนคลายเหงา คือการเสริมสร้าง Self-esteem ในตัวเด็ก
How to enjoy life
7 June 2021

‘สัตว์เลี้ยงนักบำบัด’ มากกว่าเพื่อนคลายเหงา คือการเสริมสร้าง Self-esteem ในตัวเด็ก

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • สัตว์เลี้ยงบำบัด (Pet therapy) เป็นวิธีหนึ่งของสัตว์บำบัด สัตว์ที่นิยมนำมาใช้ในการบำบัดส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว กระต่าย ช้าง ม้า เพราะมีความผูกพัน คุ้นเคย และสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนได้ดี โดยเฉพาะกับเด็กๆ
  • สัตว์เลี้ยงมีผลต่อพัฒนาการและสุขภาพจิตของเด็ก การที่เด็กๆ ได้เห็น ได้สัมผัสสัตว์เลี้ยง จะทำให้เขามีความอ่อนโยนมากขึ้น เห็นอกเห็นใจ (Empathy) มากขึ้น แต่ก็ต้องควบคู่กับการสอนของผู้ใหญ่ไปด้วย
  • อันดับแรกต้องศึกษาหาความรู้ อายุขัย อาหาร สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็เพื่อให้สัตว์มีสวัสดิภาพที่ดี และก็จะมีอารมณ์ที่ดี เมื่อเราเลี้ยงหรือเล่นกับเขาก็จะมีความสุขทั้งคนและสัตว์

เคยเป็นเหมือนกันมั้ย ระหว่างที่กำลังเลื่อนๆ หน้าจอสมาร์ตโฟนซึ่งมีทั้งเรื่องชวนหน้านิ่วคิ้วขมวดและตลกขบขัน ถ้าบังเอิญมีภาพสุนัข แมว กระต่าย และอีกสารพัดสัตว์เลี้ยงในโมเมนต์น่ารักน่าหยิกโผล่ขึ้นมา จากใบหน้าที่กำลังเครียด เหงา เศร้า ซึม ก็ค่อยๆ เปื้อนยิ้มได้อย่างไม่น่าเชื่อ

นั่นเป็นเพราะ สัตว์เลี้ยงน่ารักเหล่านี้มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์เราในหลายมิติ ไม่ใช่แค่การเป็นเพื่อนคลายเหงา แต่ปัจจุบันมีงานวิจัยมากมายที่บอกว่า การใช้สัตว์เลี้ยงบำบัด หรือ Pet Therapy สามารถเยียวยาจิตใจของเด็กที่ขาดความอบอุ่นไปจนถึงผู้สูงอายุได้ 

อย่างเช่นงานวิจัย ‘ผลของการใช้กระต่ายช่วยบำบัดต่อการเห็นคุณค่าในตนเอง ภาวะซึมเศร้าและความสุขของเด็กกำพร้าสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี’ ของ พิมญาดา จรัสศรี และ ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า หลังจากเด็กๆ กลุ่มทดลองได้เข้าร่วมกิจกรรมการบำบัดด้วยกระต่ายแล้วมีระดับความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-esteem) เพิ่มขึ้นจากระยะก่อนเข้าร่วมกิจกรรมการบำบัด คะแนนภาวะซึมเศร้าลดลง ในขณะที่คะแนนความสุขเพิ่มขึ้น ทั้งนี้งานวิจัยระบุด้วยว่า โปรแกรมบำบัดด้วยกระต่ายนั้น มีผลต่อภาวะซึมเศร้าปานกลางต่อความรู้สึกเห็นคุณค่าในตัวเองและมีผลเล็กน้อยต่อความสุข

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ ‘สัตว์เลี้ยง’ และ ‘สัตว์บำบัด’ 

ในงานวิจัยดังกล่าวยังอธิบายถึง ‘สัตว์บำบัด’ (Animal-Assisted therapy) ว่าเป็นศาสตร์ใหม่ในวงการแพทย์ทางเลือกของไทย เป็นการช่วยรักษาโดยการใช้กิจกรรมที่ทำร่วมกันกับสัตว์ที่ได้รับการฝึกฝนและผ่านการตรวจโรคมาเป็นอย่างดีแล้ว สัตว์ที่นิยมนำมาใช้ในการบำบัดส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว กระต่าย ช้าง ม้า เป็นต้น เพราะเป็นสัตว์ที่มีความใกล้ชิดและคุ้นเคยกับคน และเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถมอบความรักให้ได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการช่วยเหลือหรือพัฒนาจิตใจของเด็กที่เปราะบางให้มีความเข้มแข็ง เห็นคุณค่าในตัวเอง ลดภาวะซึมเศร้า และมีความสุขในชีวิตมากขึ้น 

เช่นเดียวกันกับ น.สพ.ณฐวุฒิ คณาติยานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสัตว์เลี้ยงพรีเมียร์ ที่อธิบายว่า 

“สัตว์บำบัด เป็นการนำสิ่งมีชีวิต นำสัตว์มาช่วยเป็นตัวกลางในการปรับอารมณ์ ปรับจิตใจ ให้มีสมาธิให้จดจ่ออยู่กับสัตว์ชนิดนั้นๆ อย่างในต่างประเทศมีการใช้นกมาช่วยในการบำบัดผู้สูงอายุ รวมไปถึงในกลุ่มเด็กที่มีสมาธิสั้น เนื่องจากว่านกมันจะไม่อยู่นิ่ง ขยับตลอดเวลา ทำให้เด็กๆ เขาสนใจ ตรงนี้นกก็จะเป็นเหมือนสื่อ เป็นตัวกลางในการช่วยทำให้เกิดการปรับอารมณ์ ปรับสภาพจิตใจขึ้นมาได้” 

ส่วน สัตว์เลี้ยงบำบัด (Pet therapy) เป็นวิธีหนึ่งของสัตว์บำบัด นิยมใช้สัตว์ขนาดเล็กมากกว่าสัตว์ขนาดใหญ่ เพราะมีความผูกพัน คุ้นเคย และสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนได้ดี โดยเฉพาะกับเด็กๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ หรือเด็กทั่วๆ ไป การเลี้ยงและดูแลสัตว์อย่างเหมาะสม ยังสามารถเสริมสร้างทักษะชีวิตให้พวกเขาได้อีกด้วย

การที่เด็กๆ ได้เห็น ได้สัมผัสสัตว์เลี้ยง จะทำให้เขามีความอ่อนโยนมากขึ้น เห็นอกเห็นใจ (Empathy) มากขึ้น แต่ก็ต้องควบคู่กับการสอนของผู้ใหญ่ไปด้วย 

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากเตรียมความพร้อมให้เด็กๆ มีความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยงของตนเองแล้ว น.สพ.ณฐวุฒิ ย้ำว่าการดูแลสภาพร่างกายและจิตใจของสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งสำคัญ สัตว์ที่นำมาเลี้ยงควรได้รับการฝึกฝนและผ่านการตรวจโรคมาเป็นอย่างดี

โปรแกรมบำบัดด้วยกระต่าย ลดความเศร้า เพิ่มความสุข

สัตว์ที่นำมาใช้ในการบำบัดส่วนใหญ่มักเป็นสัตว์เลี้ยง และมักเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ เพราะด้วยขนาดตัวที่กำลังพอดีสามารถอุ้มได้ง่าย และเหมาะสมกับบ้านที่มีพื้นที่ไม่มากนัก แต่ก็ยังมีสัตว์บางชนิดที่จำเป็นต้องใช้ในการบำบัดนอกสถานที่พักอาศัย เช่น โลมาบำบัด อาชาบำบัด เป็นต้น ซึ่งต้องอยู่ในการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

ในงานวิจัย ผลของการใช้กระต่ายช่วยบำบัดต่อการเห็นคุณค่าในตนเอง ภาวะซึมเศร้าและความสุขของเด็กกำพร้าสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี ซึ่งใช้โปรแกรมบำบัดด้วยกระต่าย มีกิจกรรมที่น่าสนใจในการช่วยเพิ่มการเห็นคุณค่าในตัวเอง ลดระดับภาวะซึมเศร้า และเพิ่มระดับของความสุข 

โดยกิจกรรมแรกเป็นการเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ด้วยการวาดภาพกระต่ายที่แสดงอัตลักษณ์แทนตนเอง เป็นการอธิบายบุคลิกของตัวเองผ่านภาพวาด จากนั้นก็เข้าสู่กิจกรรมการเลือกกระต่ายตามความสนใจ พร้อมกับตั้งชื่อ และเรียนรู้วิธีการดูแลเบื้องต้น เพื่อตระหนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบในการเลี้ยงสัตว์

ต่อมาเป็นการแนะนำตัวเองและพฤติกรรมที่ชอบทำของตัวเองและกระต่ายให้เพื่อนๆ รู้จัก เพื่อลดปัญหาการแยกตัว ความเบื่อหน่าย ความเหงา ซึ่งจะช่วยเพิ่มทักษะการเข้าสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และฝึกกระบวนการแก้ปัญหาผ่านบทบาทสมมติโดยใช้กระต่ายเป็นสื่อกลาง นอกจากทักษะการวางแผนแล้ว นี่ยังเป็นการกระตุ้นการมีส่วนร่วมในกิจวัตรประจำวัน และพัฒนาทักษะการสื่อสารไปในตัว 

จากนั้นก็จะให้เด็กๆ ได้ถ่ายทอดเหตุการณ์ที่ดีไม่ดีในชีวิตผ่านภาพวาด โดยเปรียบเทียบเหตุการณ์ในชีวิตของกระต่าย เพื่อเรียนรู้และการยอมรับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ไม่ลืมประสบการณ์ด้านบวกในชีวิต และนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป แล้วก็สังเกตวิธีผ่อนคลายของกระต่ายเพื่อนำไปปรับใช้กับตัวเอง รวมถึงเขียนจดหมายถึงกระต่ายในหัวข้อ “ทำไมฉันถึงรักกระต่ายของฉัน” เพื่อเรียนรู้วิธีผ่อนคลายความเครียด เพิ่มการเห็นคุณค่าในตัวเอง จากการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือจากการดึงทักษะที่มีอยู่มาใช้ ทั้งยังเป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์   

สุดท้ายร่วมแสดงความคิดเห็นถึงเหตุการณ์การสูญเสียพ่อแม่ของกระต่ายในวัยเด็ก และสิ่งที่ได้รับจากการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับกระต่าย เพื่อจัดการความรู้สึกขาดและความสูญเสีย สร้างพลังใจในการดำเนินชีวิต เพิ่มความเชื่อมั่นในตัวเอง และบันทึกเรื่องราวของตัวเองและกระต่ายลงในสมุดบันทึก แบ่งปันเรื่องราวความฝันของตัวเอง เพิ่มทัศนคติในแง่บวก และส่งเสริมการมีเป้าหมายในชีวิต 

ในแง่อาการซึมเศร้า งานวิจัยสรุปว่าสัตว์บำบัดมีผลต่อการลดระดับภาวะซึมเศร้า และช่วยเพิ่มความสุขให้แก่เด็กกำพร้า และยังอาจเป็นส่วนช่วยในการเสริมสร้างความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเอง 

ดังนั้นผลการวิจัยครั้งนี้อาจเป็นแนวทางหนึ่งในการช่วยเหลือเด็กที่มีภาวะซึมเศร้าระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง เด็กที่มีความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองค่อนข้างต่ำ และอาจนำไปใช้เพื่อเป็นกิจกรรมส่งเสริมพัฒนา หรือฟื้นฟูจิตใจ ทั้งเด็กปกติและเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับสัตว์ที่ใช้ในการบำบัดอีกมากมาย ซึ่ง น.สพ.ณฐวุฒิ เล่าว่า ในเด็กนอกจากสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข แมว หรือแม้แต่กระต่ายแล้ว ยังมีในกลุ่มของม้า หรือที่เรียกกันว่า ‘อาชาบำบัด’ (Hippotherapy) ซึ่งจะเน้นพัฒนาการและการเรียนรู้ แก้ปัญหาด้านสมาธิ การเคลื่อนไหว การเดินไม่มั่นคง การทรงตัว ผ่านการขี่ม้า รวมถึงการเข้าสังคมด้วย หรือจะเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในน้ำอย่างโลมา (Dolphin Therapy) ซึ่งนิยมในต่างประเทศ ช่วยในเด็กสมาธิสั้น ออทิสติก หรือในผู้ใหญ่ที่ซึมเศร้า และในกลุ่มที่เป็นอัลไซเมอร์

โลมาเป็นสัตว์ที่มีความใกล้ชิดผูกพันกับมนุษย์ มีเสน่ห์ เป็นมิตร และมีสติปัญญามาก แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ได้ดี มักจะพยายามเข้ามาใกล้ชิด และเราสามารถสัมผัสความรู้สึกนั้นได้เช่นกัน เวลาที่โลมาส่งเสียงออกมาเสมือนมีคลื่นพิเศษ เรียกว่า คลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonic) เข้าไปจูนหรือปรับสมดุลคลื่นสมองของมนุษย์ เสียงของโลมานั้นมีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งคือ ให้ความรู้สึกดีและให้ความสุข นับว่าเป็นเสียงบำบัดใจ ที่มีพลังในการเยียวยา (healing power) สูง

“การขึ้นไปอยู่บนหลังม้า ความสูงที่มากกว่าเดิมจนเท้าไม่ติดพื้น ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น และมีสมาธิมากขึ้นในการทรงตัว ในกลุ่มของโลมา เด็กๆ ได้สัมผัสน้ำก็จะสนุกละ แล้วก็ได้จับโลมาซึ่งมันเป็นสัตว์ที่อยู่ในน้ำ มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจ ซึ่งในเด็กเล็ก ทำให้เขาเรียนรู้ว่ามีสัตว์อีกหลายชนิด และไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็ตาม สิ่งที่มันสะท้อนออกมานั่นคือการสื่อสารโดยการสัมผัส”

ทั้งนี้ น.สพ.ณฐวุฒิ เพิ่มเติมว่า การใช้กระต่ายบำบัดช่วยลดภาวะซึมเศร้า จริงๆ แล้วสัตว์ทุกชนิดที่นำมาใช้ในการบำบัด สามารถช่วยลดภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่งการที่ใช้กระต่ายนั้น ทุกคนน่าจะมีภาพจำเมื่อได้ยินคำว่า กระต่าย สิ่งที่ทุกคนนึกขึ้นมาในหัวเลยคือ กระต่ายเป็นสัตว์ที่น่ารักขนปุยๆ กระต่ายเป็นสัตว์ที่น่ารัก ทุกคนมีมโนภาพในใจแล้ว ดังนั้นเมื่อได้สัมผัสกับสิ่งที่ตัวเองมีความรู้นึกดีและคาดหวังไว้ ก็จะยิ่งเสริมให้รู้สึกซึมซับถึงความน่ารักของมันมากขึ้น และค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลาย 

“หลายๆ อย่างมันอาจจะอยู่ในความคิด สารเคมีต่างๆ ที่มันถูกผลิตออกมาแล้วกดทำให้เกิดความซึมเศร้ามันก็จะผ่อนคลายลง จากการที่ได้เลี้ยงได้สัมผัส มันทำให้ต้องไปโฟกัสว่าจะเอาอะไรให้กิน ได้จับได้อุ้ม เรื่องราวต่างๆ ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตที่อาจจะทำให้เครียด อาจจะทำให้ซึมเศร้า มันก็จะถูกพักและว่าลงไป ก็จะมีเอ็นโดรฟินหรือสารแห่งความสุขหลั่งออกมา มีความสุขที่ได้สัมผัสกระต่าย ขนมันนุ่นละเอียด น่ารัก มันจึงเป็นผลทำให้เขานำกระต่ายมาศึกษาว่ามันจะช่วยลดความซึมเศร้าของผู้ป่วยได้หรือไม่”

เลี้ยงสัตว์ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการให้เด็กๆ

สัตว์แต่ละชนิด มีส่วนช่วยเรื่องพัฒนาการในเด็กแต่ละวัยได้ ในปัจจุบันเรื่องของการใช้สัตว์บำบัดค่อนข้างกว้าง ไม่ได้จำกัดแค่สุนัข แมว กระต่าย โลมา ม้า ซึ่ง น.สพ.ณฐวุฒิ บอกว่า สัตว์บำบัด ช่วยในการปรับอารมณ์ปรับสภาพจิตใจได้ เรื่องของสมาธิหรือความตั้งอกตั้งใจ สิ่งที่เคลื่อนไหวได้ที่ไม่ใช่มนุษย์มันเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเด็กเล็กๆ การเคลื่อนไหวของสัตว์ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจ และทำให้เขามองจดจ่ออยู่กับสิ่งๆ นั้น ซึ่งมีการเคลื่อนไหวช้าบ้างเร็วบ้าง แล้วก็มีการจับสัมผัสผิวที่มีผิวสัมผัสที่แตกต่างกันไป มีขน มีเกล็ด เหล่านี้มันดึงดูเขา แล้วทำให้เขานิ่งขึ้น อารมณ์เย็นขึ้น ใจเย็นขึ้น

“อย่างที่ทางโรงพยาบาลไปให้ความรู้กับเด็กๆ ชั้นอนุบาลกับประถม เด็กๆ มีความสนใจสัตว์เลื้อยคลานมาก ไม่น้อยไปกว่านกหรือกระต่ายเลย เนื่องจากสัตว์เลื้อยคลานจะเคลื่อนไหวช้าๆ และยังมีพวกเต่า หรือกิ้งก่าบางชนิดที่เด็กๆ จะให้ความสนใจและมองดูอย่างจดจ่อ ซึ่งเด็กจะไม่ได้ตอบสนองกับสัตว์ที่เคลื่อนไหวเร็ว แต่จะมองช้าๆ ค่อยๆ เอื้อมมือมาจับ ซึ่งจุดนี้เองทำให้เขาค่อยๆ สร้างสมาธิ และจดจ่ออยู่กับสัตว์ที่เขาสนใจได้ในระยะเวลาที่นานขึ้น” 

นอกจากนี้ การเลี้ยงสัตว์ทำให้เด็กๆ มีกิจกรรม เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในบ้าน ซึ่งจะช่วยฝึกความรับผิดชอบในการให้อาหาร ฝึกการเป็นคนช่างสังเกต สังเกตพฤติกรรมการกิน การอยู่ การเดิน การวิ่งของสัตว์ที่เลี้ยง ซึ่งเป็นพื้นฐานที่เราสามารถสอน และฝึกให้เด็กๆ ได้ 

แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจะได้รับโดยอัตโนมัตินั่นคือ ความอ่อนโยน ความมีเมตตาต่อสัตว์ จากที่เคยเห็นเด็กๆ สัมผัสสัตว์ไม่มีเด็กคนไหนที่จะมีความก้าวร้าว หรือเข้ามาจับแบบรุนแรง แล้วก็จะทำให้การปรับสภาพอารมณ์ของเด็กจะค่อนข้างดีจากการเลี้ยงสัตว์

เมื่อเด็กๆ อยากมีสัตว์เลี้ยงคู่ใจ ไว้เป็นเพื่อนคลายเหงาสักตัว เตรียมพร้อมอย่างไรดี 

“ไม่ว่าเลี้ยงอะไรก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ต้องหาความรู้ก่อน เพราะว่าคนที่ช่วยดูแลจริงๆ จังๆ เป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็ก” 

แค่คำว่า รัก หรือ ชอบ อย่างเดียวอาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะการจะเลี้ยงสัตว์สักตัว จำเป็นต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของสถานที่ ความเข้าใจการเลี้ยงสัตว์ชนิดนั้นๆ รวมไปถึงความพร้อมด้วย ตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า บ้านหรือคอนโดที่เราอยู่มีพื้นที่พอในการจะเลี้ยงเขาหรือไม่ แล้วมีเวลาเอาใจใส่พอหรือเปล่า กระทั่งรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากค่าอาหารนั่นก็คือ ค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ น.สพ.ณฐวุฒิ แนะนำให้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ไว้ก่อน เพื่อให้มีความสุขทั้งคนและสัตว์ 

“อันดับแรกควรดูก่อนว่าเด็กๆ สนใจสัตว์ชนิดไหน เพราะสัตว์เลี้ยงทุกวันนี้ไม่ได้มีแค่สุนัข แมวอย่างที่เรารู้จักกันดี แต่ยังมีกระต่าย มีปลา มีนกชนิดต่างๆ ที่มีสีสันสวยงาม หรือแม้กระทั่งสัตว์เลื้อยคลาน ทีนี้สัตว์ชนิดที่เขาสนใจสามารถที่จะเอามาเลี้ยงดูได้ไหม ขนาดตัวใหญ่เกินไปหรือเปล่า ถ้าเป็นสัตว์ที่มีขน เขาแพ้หรือไม่ แล้วเหมาะกับที่อยู่อาศัยหรือเปล่า เพราะว่าทั้งหมดนี้จะไปโยงกับเรื่องสวัสดิภาพของสัตว์ด้วย”

นอกจากนี้ ความเข้าใจในการเลี้ยงสัตว์แต่ละชนิดก็เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจำเป็นจะต้องมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของและสัตว์เลี้ยง การเลี้ยงดูที่ใส่ใจทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ ซึ่งทั้งหมดก็จะไปส่งผลให้สุขภาพสัตว์ดี พอสุขภาพสัตว์ดีเขาก็จะเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก น่าเล่นด้วย แล้วก็จะส่งผลบวกกับเด็กๆ และความเข้าใจหรือการไตร่ตรองในการจะเลี้ยงสัตว์สักตัวอาจส่งผลให้การที่สัตว์ถูกทอดทิ้งไม่เพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้

“ในช่วง 3-4 ที่ผ่านมา คนเลี้ยงสัตว์เยอะขึ้น การทิ้งหรือการปฏิเสธก็อาจจะเยอะขึ้นเป็นเงาตามตัวคน และเนื่องจากว่ามีสัตว์หลากหลายชนิดมากกว่าสุนัขและแมวให้เลือกเลี้ยง ดังนั้นก่อนเลี้ยงจึงจำเป็นต้องหาความรู้ก่อนว่าจะเลี้ยงอย่างไร สถานที่พร้อมไหม อายุขัยกี่ปี อันนี้สำคัญมาก เพราะว่าสัตว์ที่เราไม่คุ้นเคย เราจะเลี้ยงเขาไปได้นานแค่ไหน มีศักยภาพในการเลี้ยงไหม นกบางชนิดอาจจะมีอายุยืนยาวถึง 40 ปี บางชนิดอายุ 10-20 ปี 

ในกลุ่มของกระต่ายที่สมัยก่อนอาจจะคิดว่าเป็นสัตว์ที่ใจเซาะตายง่าย ปัจจุบันกระต่ายอายุสิบกว่าปีก็มี เพราะว่าการเลี้ยงดูที่ดีขึ้น อาหารดีขึ้น ผู้เลี้ยงเอาใจใส่มากขึ้น ดังนั้นถ้าเรามีขั้นตอนในการเลือกเลี้ยงตั้งแต่ต้น มั่นใจว่าสุดท้ายแล้วสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งจะน้อยลงไปด้วย เป็นปลายทางที่คงจะไม่เกิดขึ้นถ้าเกิดเราเริ่มสนับสนุนแล้วก็ปลูกฝังให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ตั้งแต่ต้น” 

หากเตรียมตัวไม่ดี ไม่มีความรู้ในการเลี้ยง พาไปเดินเล่นไม่ได้ จัดสรรที่อยู่ให้แต่ว่าไม่ค่อยเหมาะสม มีเห็บ มีหมัด มันก็จะทำให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายของสัตว์ที่เลี้ยงไม่ดี และส่งผลให้การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงอาจจะแย่ลงไปด้วย 

ทั้งนี้การจะใช้สัตว์เลี้ยงในการบำบัด ตามหลักแล้วควรอยู่ในการดูแลของสหวิชาชีพ ควรจะมีสัตวแพทย์ซึ่งมีความรู้และสามารถอ่านภาษากายของสัตว์ออก และควรอยู่ภายใต้การดูแลของนักจิตวิทยาเด็ก หรือนักกายภาพต้องควบคู่กับไป ควรมีหลายๆ วิชาชีพในการบำบัด

อ้างอิง

http://clmjournal.org/_fileupload/journal/22-9.pdf?fbclid=IwAR2Ghrp7eWQda-4ME25qay9d4vMfSfNacQFuFR2tcT3GUqlYZ9IACZTe6e0

https://www.happyhomeclinic.com/alt14-dolphintherapy.htm

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)สัตว์เลี้ยงบำบัด (Pet therapy)สัตว์เลี้ยง

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

    เรื่อง The Potential

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    อนุญาตให้ตัวเองเปราะบางบ้าง เพราะการเข้มแข็งตลอดก็อาจทำร้ายตัวเองได้ (The Power of Vulnerability)

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    I am good enough : เห็นคุณค่าตัวเองในวันที่ถูกรายล้อมไปด้วยสังคมที่ขาด empathy

    เรื่อง ภณิชชา ไชยกวิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

โมเดล ‘พื้นที่การเรียนรู้ Tailor-made’ หลากหลาย ยืดหยุ่น เด็กทุกคนเข้าถึงได้
SpaceSocial Issues
7 June 2021

โมเดล ‘พื้นที่การเรียนรู้ Tailor-made’ หลากหลาย ยืดหยุ่น เด็กทุกคนเข้าถึงได้

เรื่อง รัชดา ธราภาค

  • พื้นที่การเรียนรู้ (Learning Space) คือตัวจุดประกาย กระตุ้น สานคนที่คิดคล้ายๆ กัน แล้วเสริมพลังด้วยทุนประเดิมเล็กๆ น้อยๆ มีชุดความรู้ คู่มือ สื่อต่างๆ วิธีการทำงานแบบนี้คาดว่าจะเกิดสิ่งใหม่ๆ ที่แก้ปัญหาได้จริง อยู่ในวิถีชีวิตของคน 
  • รายงานสถานการณ์เด็กปีล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ บอกว่าเด็กเล็กและเด็กโต ยังถูกเลี้ยงด้วยความรุนแรง ทั้งทางวาจา การควบคุม ลงมือลงไม้ เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีอีกหลายประเด็นที่บอกให้รู้ว่า องค์ความรู้ ทักษะ และวิธีการในการดูแลเด็กแต่ละวัย ยังไม่มีกลไกในการจัดการให้ไปถึงแต่ละบ้าน 
  • 4 โมเดลเพื่อพัฒนาเส้นทางการยกระดับเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่มีความเข้มแข็ง ทำงานครอบคลุม จัดบริการอย่างยั่งยืน คือ มีการจัดการเรียนรู้ให้คนในชุมชน ทำงานอย่างเป็นระบบ, สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย, มี Business Model และเป็นศูนย์บ่มเพาะที่ให้บริการครบวงจร และสร้างรายได้ได้ด้วย
  • วิธีสำคัญคือเข้าไปโค้ช หรือจัดกิจกรรมให้พ่อแม่ โดยการให้คำแนะนำ หรือเป็นพี่เลี้ยงแบบ On site อาศัยการเยี่ยมบ้าน และเข้าไปหาครอบครัว

ภาพ : ปริสุทธิ์

พื้นที่การเรียนรู้ หรือ Learning Space ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในระยะที่ผ่านมา สำหรับหน่วยงานที่มีภารกิจและศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย “พื้นที่การเรียนรู้” ถูกให้ความหมาย และมีการขับเคลื่อนไปในทิศทางใด

The Potential คุยกับ ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มีงานการสร้างให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้อยู่ในความสนใจ และอยู่ระหว่างการผลักดันให้เกิดเป็นจริง

ขอเริ่มจากการอธิบายคำว่า “พื้นที่การเรียนรู้” เรากำลังพูดถึงอะไรกัน

คำว่าพื้นที่การเรียนรู้เป็นคำกว้างๆ ขึ้นกับว่าใครจะหยิบไปใช้ทำอะไร สำหรับ สสส. เราไม่ได้คิดว่าจะต้องสร้างพื้นที่การเรียนรู้ แต่ที่กลายมาเป็นโซลูชัน เราเริ่มที่สถานการณ์ของเด็กๆ ซึ่งมีงานวิจัยมากมายที่บอกว่าถ้าเกิดมาแล้วได้กอดแม่ ได้กินนมแม่เลย จะทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยมั่นคง ในแต่ละช่วงวัย การกินอยู่ดูแลควรตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างเหมาะสม เรามีองค์ความรู้มากมายที่ถูกค้นพบในช่วง 10-20 ปีมานี้ ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตและเรียนรู้ของเด็กที่เกิดมา และถ้าทำได้ดี เราจะเครียดหรือกังวลน้อยลงกับพฤติกรรมแปลกๆ ตอนที่เขาโตเป็นวัยรุ่น 

กลับมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นจริง สิ่งที่เราทำได้ดีคือ เกิดรอด ตายคลอดลดลง การคลอดในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นจนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เด็กเกิดมาแล้วได้รับการรับรองสถานะเกือบครบแล้ว เด็กเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์มีศูนย์เด็กเล็ก 40,000-50,000 แห่งรองรับ และได้เข้าเรียน ป.1 แต่พอถึง ม.ต้น และ ม.ปลาย ตัวเลขลดลงเรื่อยๆ 

รายงานสถานการณ์เด็กปีล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ บอกว่าเด็กเล็กและเด็กโต ยังถูกเลี้ยงด้วยความรุนแรง ทั้งทางวาจา การควบคุม ลงมือลงไม้ เกิน 50 เปอร์เซ็นต์

สำรวจพบว่าความเชื่อเรื่องการเลี้ยงดูด้วยการลงโทษเป็นวิธีที่เชื่อกันว่าได้ผลดี และใช้กันอย่างแพร่หลาย มีอีกหลายประเด็นที่บอกให้รู้ว่า องค์ความรู้ ทักษะ และวิธีการในการดูแลเด็กในแต่ละช่วงวัย ยังไม่มีกลไกในการจัดการให้ไปถึงแต่ละบ้าน 

ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

แล้วอะไรคือกุญแจแห่งความสำเร็จที่จะทำให้บ้านๆ หนึ่งดูแลเด็กได้อย่างถูกวิธี 

เราไม่ได้คิดเอง แต่มีผลวิจัยในหลายประเทศที่พบว่า วิธีสำคัญคือเข้าไปโค้ช หรือจัดกิจกรรมให้พ่อแม่ โดยการให้คำแนะนำ หรือเป็นพี่เลี้ยงแบบ On site ถ้าบริการยังต้องอาศัยการเดินทางออกมา ต้องใช้เวลา มักไม่ค่อยเกิด แต่ต้องอาศัยการเยี่ยมบ้าน ต้องเข้าไปหาครอบครัว หันไปดูในตำบลท้องถิ่น มีกำลังคนอยู่แค่นี้ ทุกคนมีหน้างานอื่น ภารกิจเยอะไปหมด

คือกำลังมองหาว่าใครจะเป็นคนนำความรู้ไปให้พ่อแม่ถึงที่บ้านได้บ้าง

ใช่ Stakeholder Analysis ว่า Player มีใครบ้าง ภาคธุรกิจเอกชนที่เข้าถึงประชาชนในทุกมิติผ่านสินค้าและบริการ เรามีกฎหมายส่งเสริมการทำซีเอสอาร์ หลายบริษัทก็สนใจงานด้านเด็กและครอบครัว หรือจะเป็นสถาบันการศึกษา หรือองค์กรพัฒนาเอกชน เราอาจจะทำให้เกิดจิ๊กซอว์ตัวใหม่ที่มาเติมเต็มช่องว่างตรงนี้ ใครบ้างที่อยู่ติดชุมชน มีครอบครัว 80-100 ครัวเรือนที่กำลังดูแลเด็กอยู่ใกล้ๆ ซึ่งมีคนทำให้เห็นเป็นแรงบันดาลใจ มีหลายคนเปิดบ้านของตัวเองเป็นที่เรียนรู้ในสิ่งที่ตัวเองถนัด เช่น เป็นคนรักการอ่าน วันเสาร์อาทิตย์ก็เปิดห้องสมุดที่บ้านของตัวเองให้เด็กๆ มาอ่านหนังสือหรือทำกิจกรรม

พอมองทางฝั่งครอบครัว เขาก็อยากให้เกิดกิจกรรมเหล่านี้ใกล้บ้าน ขี่จักรยานไปได้ เรามีคนทำงานสร้างสรรค์อยู่เต็มไปหมด ถ้ามีคนทำ มีความต้องการ แล้วเราแมชชิ่งทรัพยากรกันได้ ขยับต่ออีกหน่อยให้เป็น Business Model ได้ไหม เมื่อเราลองสื่อสารแนวคิดนี้ออกไป ได้เสียงตอบรับกลับมาเรื่อยๆ ก็คิดว่าน่าจะมาถูกทาง แต่จะทำให้เกิดขึ้นจริง ระบบควรจะมีหน้าตาอย่างไร ใครควรจะเข้ามาบ้าง จะสร้างนิเวศการเรียนรู้ และการสนับสนุนให้ทำได้ในระยะยาวอย่างไร

ฟังดูน่าจะมีความหลากหลายสูงมาก เพราะไปอาศัยต้นทุนเดิมที่มีคนเคยทำ ซึ่งเขาก็ตั้งขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์และมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันไป จะทำงานกันอย่างไร

ก็จะมีความ Tailor-made สูงมาก สำเร็จรูปไม่ได้ แต่ละคนมีความแตกต่างกันอย่างที่ว่า ตอนแรกเรานึกถึงภาคธุรกิจที่เป็นแบรนด์ที่มีสาขาในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศด้วยซ้ำ ลองส่งคนไปคุย แต่สถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ นักธุรกิจก็ระมัดระวังสูง ก็มองคนทำงานในชุมชน ไม่ว่าเขาเริ่มจากจุดไหน เช่น เป็นกลุ่มเกษตรอินทรีย์ เคยอบรมให้ชาวบ้าน แล้วถ้าเป็นเด็กเล็กล่ะ เรารู้วิธี เราไปเพิ่มให้ได้

เหมือนยังไม่ฟันธง อยู่ระหว่างการสำรวจหาช่องทางที่เป็นไปได้

การไม่ฟันธงคือกลยุทธ์ เราต้องการเปิดทางเลือกให้ได้มากที่สุด พื้นที่การเรียนรู้คือคอนเซ็ปต์ ถ้าเข้าใจตรงกัน ผลลัพธ์ออกมาก็น่าจะตรงกับสิ่งที่เราต้องการ เราเคยเอาแนวคิดนี้คุยกับเพื่อนภาคี สำรวจดูว่าใครทำอะไรอยู่บ้าง พร้อมที่จะยกระดับเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่มีความเข้มแข็ง ทำงานได้ครอบคลุม จัดบริการได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่การรับทุนตลอดไปไหม ก็ได้มา 40-50 แห่ง เราก็จะเริ่มจากคลื่นลูกแรก แล้วก็เคาะมา 4 โมเดลเพื่อพัฒนาเส้นทางการยกระดับจากจุดที่เขาอยู่

โมเดล A มีการจัดการเรียนรู้ให้คนในชุมชนได้ โจทย์คือการยกระดับให้ทำงานอย่างเป็นระบบ มีฐานความรู้ทางวิชาการ ชี้วัดความสำเร็จได้ คุณยายจูงหลานมา 3 ขวบแล้วยังไม่พูดเลย จะมีวิธีการอย่างไรที่จะแก้ปัญหาให้คุณยายได้

โมเดล B นอกจากทำ A ได้แล้ว สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย อยู่ตำบลนี้ ตำบลข้างๆ อยากทำบ้าง สอนได้ไหม มีหลักสูตร วิธีการ สอนให้ได้

โมเดล C ทำได้ทั้ง A และ B มีผลงานเป็นที่เลื่องลือ มี Business Model คือมีคนพร้อมควักกระเป๋าจ่าย ปิดเทอมพาลูกมา จ่ายค่าคอร์ส

โมเดล D เป็นศูนย์บ่มเพาะ ที่ให้บริการครบวงจร เพื่อทำให้เกิดพื้นที่การเรียนรู้แห่งใหม่ที่สามารถให้บริการอย่างยั่งยืน และสร้างรายได้ได้ด้วย

ตอนนี้ 40-50 แห่งกำลังเช็คว่าตัวเองอยู่โมเดลไหน แล้วจะพัฒนาตัวเองไปทางไหน ก็ต้องวิเคราะห์กันให้ดี

ในสมัชชาครอบครัวแห่งชาติเมื่อปีที่แล้ว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พูดถึงพื้นที่การเรียนรู้ด้วย พูดเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า

พม. มีแผนส่งเสริมและพัฒนาเด็ก 5 ปี มีเขียนเรื่องพื้นที่สร้างสรรค์ แล้วตอนนี้มีการปรับศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวตามภูมิภาค 9 แห่งให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ ก็เริ่มมาแนวนี้ คิดว่ามีโอกาสสูงที่จะช่วยกันผลักดันให้ไปได้ไกลกว่านี้อีก พม.เองทำงานเรื่องคุณภาพคน และอยู่ในสถานะที่จะคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องชวนให้มาดูเรื่องระบบนิเวศการเรียนรู้ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ของครอบครัว 

จะพูดแค่ว่าครอบครัวต้องเข้มแข็ง อยู่ดีๆ เกิดไม่ได้ ต้องดูว่าคนที่เป็นเสาหลักคือวัยแรงงาน อยู่ในภาคแรงงาน ภาคธุรกิจเศรษฐกิจก็ต้องเอื้อให้ครอบครัวทำหน้าที่ได้ดีขึ้นด้วย ต้องมองให้เห็นว่าใครอยู่ตรงไหน แล้วไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเชื่อมโยงกันให้ได้

40-50 พื้นที่ภาคีของ สสส.ฟังดูคึกคักดี แต่จะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างทั่วถึง

ถ้าไม่เริ่มก็จะไม่เห็นรูปธรรมของความสำเร็จ เวลาเราพูดถึงสิ่งที่เป็นนามธรรม คนคิดตามไม่ออก ไม่เข้าใจ เลยต้องเริ่มทำให้เห็น และไม่ใช่หน้าที่ของ สสส.ที่จะต้องทำให้ 7,000 ตำบลทั่วประเทศ 

ถ้าเราห่วงสถานการณ์เรื่องพัฒนาการเด็กของเรายังล่าช้า โดยเฉพาะด้านภาษา การใช้ดิจิทัลโดยไม่รู้เท่าทัน เด็กยังเผชิญความรุนแรง เราต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง แล้วที่ผ่านมาก็ทำกันมาเยอะแล้ว ถึงจุดที่ต้องเลือกวิธี เราเลือกโดยการวิเคราะห์ให้เห็นทั้งนิเวศ เพื่อให้เห็นว่าต้องมาร่วมมือกัน แล้วมันจะเกิดได้

อะไรคือจุดสำคัญที่จะผลักดันให้งานส่งผลกระทบได้ในวงกว้าง

ต้องทำให้เห็นว่านี่คืออาชีพ อย่ามองเป็นบริการภาครัฐ ถ้าเป็นแบบนั้นเราก็จะมองหาว่าหน่วยงานไหนต้องทำ ภาครัฐมีฟังก์ชันของเขา แต่ตรงที่เป็นช่องว่างก็ต้องช่วยกันเติม ถ้าเป็นอาชีพ มีรายได้ ตอบโจทย์การอยู่รอดได้ เราไปกินกาแฟร้านหนึ่ง เห็นป้ายบอกว่าเสาร์อาทิตย์นี้จะมีเพลย์กรุ๊ปสำหรับเด็กๆ ค่าเข้าคนละ 500 บาท น่าสนใจ อยากมา พร้อมจ่าย นี่คืออาชีพที่อยู่ได้ คนที่รักงานแบบนี้ เขาทำมันไปได้เรื่อยๆ 

สิ่งที่จะทำให้เกิดอาชีพแบบนี้ได้ในชุมชน เคียงบ่าเคียงใหม่กับศูนย์เด็กเล็ก และโรงเรียน เพื่อช่วยให้เข้าถึงเด็กได้มากขึ้น ช่วยเด็กได้ดีขึ้น ต้องการการสนับสนุน ถ้าเราอยากทำธุรกิจ เราเดินไปที่แบงก์ เอาแผนธุรกิจให้เขาดู กู้เงินมาทำ นั่นคือเรารับความเสี่ยงว่ามันจะไปรอดไหม จะมีเงินคืนธนาคารไหม ถ้าเราทำให้สิ่งนี้ง่ายขึ้น ด้วยการส่งเสริมอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดอาชีพใหม่ในชุมชน 

จะทำได้ไหม บางทีเหมือนพูดเล่น แต่พูดจริง คือคุณต้องมาพร้อมบ้านและที่ดินนะ เพราะเรากำล้งพูดถึงพื้นที่ทางกายภาพที่จับต้องได้จริง ถ้าเด็กๆ ได้ทำกิจกรรมการเรียนรู้ในวันเสาร์อาทิตย์ เด็กในบ้านซึ่งยากจนที่สุดในหมู่บ้านก็ได้เข้าด้วย มันจะดีแค่ไหน แล้วใครคือคนที่ควรจ่าย ระบบสนับสนุนสำคัญมาก ไม่อยากบอกว่าเป็นข้อจำกัด แต่ถ้าเติมระบบสนับสนุนแบบนี้เข้าไปจะเกิดสิ่งที่ สสส.กำลังพูดถึง

อยากให้ใครมาเป็นผู้เล่นหลัก

เราไม่ฟันธงว่าต้องเป็นใครบ้าง คิดว่ามันต้องมีหลายๆ โมเดล ถ้าใครอยากเข้ามาร่วมจะยินดีมาก ถ้ายังไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องร่วมเยอะนะ มานิดเดียว มาสังเกตการณ์ก่อนก็ได้ ลงพื้นที่กับเรา ลองไปติดตามความก้าวหน้าของพื้นที่การเรียนรู้ว่าเขาทำอะไรได้บ้าง เขาทำให้ตำบลนี้ไม่มีเด็กที่พัฒนาการล่าช้าเลย ทำอย่างไร ตอนนี้เราเปิดทุกความเป็นไปได้ให้มากที่สุด มันอาจจะฟังดูเหมือนไม่ชัด เพราะเป็นช่วงเริ่มต้น ที่เราต้องการหาพาร์ตเนอร์ เราไม่จำเป็นต้องมีแผนชัดเป๊ะทุกรายละเอียด เราเป็นพวกแหย่ๆ เหมือนเราเห็นลำธารแล้วอยากข้าม เราก็ลองเอาขาแหย่ๆ ดูก่อน น่าจะไหวไหม ถ้าเราไม่ลองก็คงไม่ได้เริ่ม 

สสส. วางบทบาทตัวเองไว้อย่างไร

ด้วยกำลังอันน้อยนิด งบประมาณของเราเทียบไม่ได้เลยกับหนึ่งกรม เราทำได้แค่เล็กๆ ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง สร้างแรงบันดาลใจ แต่เราต้องถอดสิ่งที่เราทำออกมา เพื่อออกแบบให้เป็นระบบสนับสนุนที่ใหญ่ขึ้น แล้วคนที่จะมาเป็นผู้เล่นหลักในการสนันสนุนให้เกิดภาพใหญ่ขึ้นให้ได้

คีย์เวิร์ดคือ จุดประกาย กระตุ้น สาน และเสริมพลัง สาน คือเชื่อมโยงส่วนต่างๆ ให้มาทำงานร่วมกัน 

พื้นที่การเรียนรู้คือตัวจุดประกาย กระตุ้น สานคนที่คิดคล้ายๆ กัน แล้วเสริมพลังด้วยทุนประเดิมเล็กๆ น้อยๆ เรามีชุดความรู้ คู่มือ สื่อต่างๆ ด้วยวิธีการทำงานแบบนี้คาดว่าจะเกิดสิ่งใหม่ๆ ที่แก้ปัญหาได้จริง อยู่ในวิถีชีวิตของคน 

ถ้ากลายเป็นวิถีชีวิตเมื่อไร คำว่าสุขภาวะจะเกิด แต่ถ้ามันเกิดๆ ดับๆ เป็นไฟไหม้ฟาง ก็ไม่เห็นผล เลยพยายามคิดโซลูชันที่จะใกล้ชิดชีวิตประจำวันของคนให้มากที่สุด ส่วนจะยั่งยืนอย่างไรก็คือต้องทำงานกับหน่วยงานหลัก

Tags:

Learning Spaceพื้นที่การเรียนรู้ Tailor-madespace

Author:

illustrator

รัชดา ธราภาค

อดีตนักเรียนรัฐศาสตร์ ฝ่าคลื่นลมในงานสื่อสารมวลชน ตั้งแต่ยุคแอนะล็อก จนถึงการสร้างงาน Interactive Story บนมือถือ ด้วยจุดยืนที่ย้ายได้ในทุกแพลตฟอร์มการสื่อสาร เพื่อส่งผ่านสาระประโยชน์สู่ผู้รับ

Related Posts

  • Movie
    The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Life Long LearningSpace
    TK Park พื้นที่ลดความเหลื่อมล้ำทางการเรียนรู้ ที่ชวนทุกคนมาอ่าน คิด และลงมือทำ: กิตติรัตน์ ปิติพานิช ผอ.สถาบันอุทยานการเรียนรู้

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Space
    Space Inspirium:  แหล่งการเรียนรู้ที่ชวนคนทุกวัยท่องอวกาศไปด้วยกัน

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    ทลายกำแพงห้องเรียน กับ 5 พื้นที่เรียนรู้รอบเขาใหญ่ เมื่อระบบการศึกษาแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์

    เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

  • Everyone can be an Educator
    สวนศึกษาผึ้งน้อยนักสู้: บทบาทใหม่ไร้สคริปต์ของ ‘ย่านิต-ภัทรจารีย์ นักสร้างสรรค์’ ที่ชวนเด็กๆ มาเรียนรู้แบบ Active Learning จากเรื่องใกล้ตัวและความเลอะเทอะ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

Critical Thinking การคิดเชิงวิพากษ์: ทักษะที่ฝึกฝนได้ทั้งในบ้านและห้องเรียน ช่วยเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดรามา
Character building
2 June 2021

Critical Thinking การคิดเชิงวิพากษ์: ทักษะที่ฝึกฝนได้ทั้งในบ้านและห้องเรียน ช่วยเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดรามา

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ชวนทำความเข้าใจหลักการสำคัญของ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ที่ไม่ใช่แค่การกล้าแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น โดยใช้อคติหรือความรู้สึกส่วนตัวเป็นที่ตั้ง
  • ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ คือ “กระบวนการ” วิเคราะห์ประเด็นใดประเด็นหนึ่งด้วย “ความเป็นเหตุเป็นผล” เพื่อตรวจสอบสิ่งที่เชื่อว่าถูกหรือผิด เป็นกระบวนการคิดด้วยความระมัดระวังเกี่ยวกับประเด็นหรือหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง โดยไม่ให้ความรู้สึกหรือความเห็นส่วนตัวมามีอิทธิพลกับการคิด
  • ทักษะนี้ต้องอาศัยการฝึกฝน ผู้ปกครองสามารถเป็นแบบอย่าง และชวนเด็กๆ เรียนรู้การคิดเชิงวิพากษ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว ส่วนครูก็สามารถออกแบบการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับการสร้างทักษะนี้ได้ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ผ่านปรากฎการณ์ หรือ Phenomenon Based Learning (PhBL)

ในโลกที่ท่วมท้นไปด้วยข้อมูลและการสื่อสารแสดงความคิดความเห็น ทั้งจริง ลวง เสมือนจริง และเต็มไปด้วยอคติ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) หรือทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จัดเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญและสำหรับการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ที่จะทำให้เด็กๆ เติบโตและใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ ทว่าที่ผ่านมายังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับทักษะนี้ซึ่งไม่ได้หมายความแค่ “การแสดงความเห็น-วิพากษ์วิจารณ์” 

ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ แท้จริงแล้วคือ “กระบวนการ” วิเคราะห์ประเด็นใดประเด็นหนึ่งด้วย “ความเป็นเหตุเป็นผล” เพื่อตรวจสอบสิ่งที่เชื่อว่าถูกหรือผิด เป็นกระบวนการคิดด้วยความระมัดระวังเกี่ยวกับประเด็นหรือหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง โดย “ไม่ให้ความรู้สึกหรือความเห็นส่วนตัวมามีอิทธิพลกับการคิด” ซึ่งในกระบวนการฝึกฝนต้องอาศัยคุณลักษณะ การมีสติ มีจิตสํานึก มีความอยากรู้อยากเห็น มีการครุ่นคิดไตร่ตรองรอบคอบ มีการตั้งคําถามและมีการค้นหาคําตอบ 

การติดตั้งทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ หรือ ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ จึงไม่เพียงเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เด็กและวัยรุ่นตกเป็น “เหยื่อ” ของการส่งผ่านความคิดความเชื่อหรือข้อมูลที่เป็นอันตราย แต่ยังช่วยให้พวกเขาไม่กลายสถานะเป็นผู้ “ละเมิด” และ “หมิ่นประมาท” ผู้อื่นในโลกออนไลน์ ด้วยสิ่งที่เรียกว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น อย่างขาดวิจารณญาณ ที่สำคัญผู้ใหญ่เองก็สามารถพัฒนาทักษะด้านนี้ไปพร้อมๆ กับเด็กได้

กล่าวโดยสรุป Critical Thinking – ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ หรือ ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ก็คือ การคิดอย่างรอบด้าน เห็นข้อดีข้อเสียของสถานการณ์หรือเรื่องหนึ่งในหลากหลายแง่มุม เป็นอีกหนึ่งทักษะหนึ่งในศตวรรษที่ 21 ที่จะทำให้เรามองเห็นขอบเขตของอิสระและเสรีภาพบนโลกออนไลน์ชัดเจนขึ้น ในห้องเรียนครูช่วยสร้าง Critical Thinking ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนได้ ผู้ปกครองสามารถเป็นแบบอย่าง และชวนลูกๆ เรียนรู้การคิดเชิงวิพากษ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว หนึ่งในรูปแบบการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับการสร้างทักษะนี้ คือ การเรียนรู้ผ่านปรากฎการณ์ หรือ Phenomenon Based Learning (PhBL)

Critical Thinking สำคัญอย่างไร? 

ข้อมูลจากการสำรวจโดยมูลนิธิเพื่อชาวออสเตรเลียรุ่นใหม่ (Foundation for Young Australians: FYA) ระหว่างปี 2012-2015 พบว่า ทักษะที่ผู้จ้างงานในองค์กรทางธุรกิจต่างๆ มีความต้องการเพิ่มขึ้น และกำลังมองหาในลูกจ้าง ลำดับแรก ได้แก่ ทักษะทางดิจิทัล (Digital Literacy) เพิ่มสูงถึงร้อยละ 212 ลำดับที่สอง ได้แก่ การคิดเชิงวิพากษ์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 158  ความคิดสร้างสรรค์ ร้อยละ 65 และทักษะการนำเสนอ ร้อยละ 25 ตามลำดับ โดยสองลำดับแรกมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ด้วยเหตุผลที่ว่า…คุณภาพชีวิตส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับคุณภาพการตัดสินใจของเรา เช่นเดียวกับการคิด ตัดสินใจในงานที่ส่งผลต่อความเติบโตก้าวหน้าขององค์กร

การมี Critical Thinking ย่อมส่งผลดีต่อชีวิตในหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่น 

  1. ตัดสินใจได้ดีขึ้น

การคิดเชิงวิพากษ์ช่วยให้วิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างละเอียด ด้วยเหตุผล จากข้อมูลที่หลากหลาย ช่วยเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจของแต่ละบุคคล

  1. แก้ปัญหาได้ดี

เมื่อรับข้อมูลรอบด้าน ก็จะทำให้รู้ปัญหาได้อย่างครอบคลุม ไม่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงด้านเดียว คนที่มีความคิดเชิงวิพากษ์จะมีความอดทน และมีความพยายามทำความเข้าใจปัญหา ทำให้แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  1. หลีกเลี่ยงอคติทางความคิด

อคติเป็นตัวหลอก การคิดเชิงวิพากษ์ทำให้เราตั้งคำถามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำให้เราไม่ถูกหลอกลวงจากบุคคลที่ไว้ใจ หรือ จากข้อมูลที่น่าเชื่อถือ แต่อาจมีข้อผิดพลาด เพราะคนที่มีความคิดเชิงวิพากษ์จะบังคับตัวเองให้ค้นหาความจริง นอกเหนือจากสิ่งที่เห็น

  1. มีเหตุผลและการคิดเชิงตรรกะ

ประเด็นดรามาในโลกโซเชียลมีเดีย ที่ดึงดูดยอดไลก์ ยอดแชร์ ยอดแสดงความคิดเห็น จากการสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้รับสาร เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ไม่ได้ผล เพราะคนที่มีความคิดเชิงวิพากษ์จะมองหาเหตุผลมากกว่าอารมณ์

  1. ได้รับทักษะการสังเกต

คนที่มีความคิดเชิงวิพากษ์จะเป็นคนช่างสังเกต ไม่ช่างจับผิด ทำให้มองเห็นความไม่ถูกต้อง หรือ ผิดพลาดของข้อมูล ที่อาจคลุมเครือหรือตกหล่น โดยปราศจากหลักฐานและข้อเท็จจริง

วิธีพัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์ 5 ขั้นตอน

Critical Thinking ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ทักษะนี้จึงไม่ใช่ทักษะที่สอนกันได้ แต่เป็นทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนการคิด วิธีพัฒนาการคิดเชิงวิพากษ์ ทำได้ผ่าน 5 ขั้นตอน ต่อไปนี้

1. กำหนดคำถาม ปัญหา หรือประเด็นที่สนใจให้ชัดเจน

2. รวบรวมข้อมูลเพื่อช่วยในการชั่งน้ำหนัก เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจ

3. นำข้อมูลมาคิดวิเคราะห์ ผ่านการตั้งคำถามที่ถูกต้อง

4. พิจารณาผลกระทบ จากสิ่งที่กำลังตัดสินใจทำ 

5. สำรวจมุมมอง ความคิดเห็นของผู้อื่น 

เช่น ทำไมบางคนคิดต่างจากเรา เขามีเหตุผลอะไร? เพื่อช่วยตรวจสอบมุมมองของตัวเองอย่างเป็นกลาง ขั้นตอนนี้จะทำให้เรามองเห็นช่องโหว่และข้อบกพร่องของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับความคิดที่แตกต่างของบุคคลอื่น

วิธีการตั้งคำถามที่ถูกต้อง สร้างทักษะการคิดเชิงวิพากษ์

“คำถาม” มีผลอย่างมากต่อการพัฒนาทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ และการพัฒนาวิธีคิดอย่างมีวิจารณญาณ 

ไบรอัน โอชิโร (Brian Oshiro) นักพัฒนาและประเมินผลครู ได้แบ่งปันสิ่งที่เขาสังเกตเห็นในห้องเรียนผ่านประสบการณ์จากหลากหลายประเทศ สรุปเป็นแนวทางการตั้งคำถาม 3 ข้อ ที่สามารถกระตุ้นการคิดเชิงวิพากษ์ของเด็ก เยาวชน และผู้ใหญ่ได้

หัวข้อที่จะพูดถึงกันในวันนี้ คือเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)

 “สาเหตุ 3 ข้อ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คืออะไร?”

“What are three causes of climate change?”

 คำถามขั้นที่หนึ่ง ถามด้วย “What” เพื่อวางพื้นฐานและสร้างความตื่นเต้น แล้วขยายความต่อด้วยการอธิบาย

ขั้นตอนนี้กระตุ้นให้เกิดการ “ค้นหา” ข้อมูล ทำให้ผู้เรียน ใช้ความพยายามหาคำตอบจากแหล่งที่มาต่างๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจากในหนังสือ หรือ ทางอินเทอร์เน็ต เมื่อตั้งต้นจาก คำถาม what – อะไร แล้ว ครูและผู้ปกครองพาเด็กไปให้ไกลกว่านั้นได้ ด้วยการให้พวกเขาอธิบายสิ่งนั้นเพิ่มเติม

“อธิบายสาเหตุหลักสัก 3 อย่างที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” 

“Explain what the three main causes of climate change are”

การเปิดพื้นที่ให้เด็กได้อธิบาย ช่วยพัฒนาพวกเขาให้มีความกล้า เผชิญหน้ากับความท้าทาย เพราะเด็กส่วนใหญ่มักมีความกลัวหากต้องลุกขึ้นพูด 

นอกจากนี้ยังส่งเสริมทักษะการคิดเชิงวิพากษ์โดยตรง เพราะเขาต้องคัดเลือกข้อมูลขึ้นมาเพื่ออธิบายให้เพื่อนๆ และครูรับรู้และเข้าใจ ในสิ่งที่เขาเข้าใจ หากเด็กๆ ผ่านประสบการณ์ครั้งที่หนึ่งไปได้แล้ว การลงมือทำในครั้งที่สองและสาม จะเป็นเรื่องง่ายขึ้น

“ทำไมเราควรกังวลกับเรื่องนี้ตอนนี้ ค่อยว่ากันในอนาคตไม่ได้เหรอ?” 

“Why should you, as a student, be concerned about this now and not later?”

“มันเกี่ยวข้องกับเรายังไง?”

“Why is this relevant?”

คำถามขั้นตอนที่สอง ถามด้วย “Why?” สร้างความเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของพวกเขา คำตอบที่ได้ไม่มีผิดไม่มีถูก แต่เป็นการกระตุ้นกระบวนการคิดให้หันมามองเรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่กำลังพูดถึง

“หนูรู้ได้อย่างไร?” – “How do you know?”

“มุมมองของหนูแตกต่างจากของคนอื่นอย่างไร?”

“How might your perspective be different from that of others?”

“หนูจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร?” – “How can you solve the problem?”

คำถามขั้นตอนที่สาม ถามด้วย “How?” ชวนคิดแก้ปัญหา เปิดมุมมองและอิสระในการคิดให้กว้างออกไปอีก เพื่อให้เด็กประยุกต์ข้อมูลที่หยิบยกมาอ้างอิง นำเสนอออกมาเป็นแนวทางแก้ปัญหา ในขั้นตอนนี้ หากเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียน ครูจะต้องเปิดโอกาสให้เด็กๆ แสดงความคิดเห็นและนำเสนอไอเดียอย่างทั่วถึง เพื่อให้พวกเขาเห็นความแตกต่างทางความคิดของคนอื่นๆ และยอมรับความแตกต่างทางความคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นธรรมชาติ

ความคิดเห็นและคำตอบของทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ครูและผู้ปกครองจะไม่ตัดสินว่าความคิดของใครถูกต้อง หรือ ความคิดของใครดีหรือไม่ดี

ห้องเรียน PhBL การเรียนรู้ผ่านปรากฎการณ์ 

จากคำถามตัวอย่างเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สะท้อนให้เห็นภาพห้องเรียน Phenomenon Based Learning (PhBL) ที่เป็นการเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ จากการนำหัวข้อกว้างๆ เข้ามาสัมพันธ์กับเรื่องใกล้ตัว ประสบการณ์ แล้วกลับมาเชื่อมโยงกับความจริงและสาระวิชาต่างๆ

PhBL จัดเป็นการเรียนเชิงรุก (Active Learning) อย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้มุ่งเน้นการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งให้ได้คะแนนสูง แต่เน้นการคิดวิเคราะห์จากปรากฎการณ์หรือาจเรียกให้เข้าใจง่ายขึ้นว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว และใกล้ตัวผู้เรียนเอง ห้องเรียน PhBL จึงไม่แบ่งสาระการเรียนรู้ออกเป็นรายวิชา แต่บูรณาการความรู้ ทักษะต่างๆ มาช่วยขยายความรู้ ความเข้าใจต่อเรื่องหนึ่ง ผ่านการชวนตั้งคำถาม คิด และวิเคราะห์ร่วมกัน เปลี่ยนจากการเรียนรู้ด้วยการรับความรู้ มาเป็นการเรียนรู้ด้วยการสร้างความรู้ ด้วยตัวเด็กเอง 

(หมายเหตุ: แม้ PhBL ถูกกำหนดไว้ในหลักสูตรระดับประเทศของฟินแลนด์ และมีการนำไปใช้ในระบบการศึกษาอย่างจริงจัง แต่จำกัดการใช้อยู่ที่ 1 โมดูลต่อปีการศึกษาเท่านั้น ที่เหลือเป็นการจัดการศึกษาตามรายวิชาในคาบเรียนปกติ แต่อยู่ในรูปแบบของการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้จากการลงมือทำ)

5 ขั้นตอนของการเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์

  1. ตั้งคำถาม (Questioning) จากมุมมองที่แตกต่างหลากหลาย
  2. สืบค้น (Research) ให้ได้ข้อมูลและความเชื่อมโยงในสิ่งที่ตนสงสัย และเรียนรู้การคัดกรองข้อมูล
  3. ศึกษา (Investigation) จากการทดลอง ประมวลผลจากคำตอบที่เป็นไปได้ต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นั้นๆ
  4. ทดสอบ (Testing) ครูแนะนำนักเรียนให้เรียนรู้แนวคิดและทักษะที่จำเป็นเพื่อแก้ปัญหา
  5. อธิบาย (Explanation) ผู้เรียนให้คำอธิบาย ทางออก เพื่อตอบโจทย์

ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Phenomenon – Based Learning: การเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน

ทั้งนี้ PhBL เป็นหลักสูตรการเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการของฟินแลนด์ใช้มา 25 ปีแล้ว แต่ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2016 ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เรียนเข้าใจที่มาที่ไปของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่มองบางอย่างเป็นเรื่องไกลตัว เช่น เรื่องขยะพลาสติกในทะเลที่เชื่อมโยงมาถึงถังขยะในแต่ละบ้านของทุกคนได้ เด็กสร้างกระบวนการคิดที่สามารถหาเหตุผล วิเคราะห์ ประเมิน ตัดสินใจได้ว่า ทำไมสิ่งนั้นและสิ่งนี้จึงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่นเดียวกับคำอธิบายว่าทำไมสิ่งนี้จึงสำคัญ และมองหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

เห็นได้ว่าขั้นตอนการฝึกฝนการคิดเชิงวิพากษ์และขั้นตอนการเรียนรู้ผ่านปรากฎการณ์มีความคล้ายคลึงกันมาก

คิดแบบไหนถึงเรียกว่าคิดเชิงวิพากษ์? เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว

“จะรับได้ไหม…เมื่อคนอื่นคิดไม่เหมือนเรา?”

การเลือกใช้คำศัพท์ในโลกออนไลน์เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อเป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น เพราะการด่า การกล่าวหา ใส่ความ หรือ การพูดให้คนถูกเกลียด (Hate Speech) ไม่ใช่การวิพากษ์ ไม่ใช่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่อาจเข้าข่ายการหมิ่นประมาท

เช็คลิสต์ว่าเป็นคนคิดเชิงวิพากษ์ หรือ แค่ชอบตัดสินคนอื่น!

การตัดสิน (Judging)การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)
ขับเคลื่อนโดยใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางเป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดขับเคลื่อนจากความสงสัย การตั้งคำถาม ต้องการหาคำตอบ โดยไม่เชื่อมโยงกับตัวเอง
ใช้ความรู้สึก อยู่บนพื้นฐานความกลัว เช่น กลัวตกข่าว ตกเทรนด์ (Fear of Missing Out: FOMO) (ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม)รอบคอบ ขบคิด ใช้เหตุผล
ปิดใจ มีคำตอบอยู่แล้วในใจอยู่บนพื้นฐานการเปิดใจ รับฟังข้อมูลใหม่
มีอคติ ไม่มีเหตุผลใช้ข้อมูล การวิเคราะห์ และการประเมิน
ให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นหลักอยู่บนพื้นฐานความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
โฟกัสที่ปัญหาโฟกัสที่การแก้ปัญหา

จากตารางเปรียบเทียบ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นโดยใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่เรียกว่าเป็น “การคิดเชิงวิพากษ์”  ความกล้า เช่น กล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ และความเชื่อมั่น เป็นทักษะที่มีความสำคัญ ซึ่งควรได้รับพัฒนา ส่งเสริมให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ควรเป็นความกล้าและความเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผล บนพื้นฐานของการเคารพและให้เกียรติผู้อื่น 

การแสดงความคิดเห็นในเชิงวิพากษ์จำเป็นต้องมีข้อมูล หลักฐานที่เชื่อถือได้ จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายเป็นส่วนประกอบ มากกว่าการใช้อารมณ์คล้อยไปตามสถานการณ์ โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริง เพราะอย่างหลังอาจทำให้ตกกับดักกลายเป็นผู้ละเมิดและหมิ่นประมาทผู้อื่นได้ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา 

ท้ายที่สุดแล้ว การมีทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ ทำให้เราเห็นต่างแต่ไม่จงเกลียดจงชังผู้อื่น และเปิดประตูไปสู่การพัฒนาตัวเองในด้านอื่นๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม 

Critical Thinking ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพร่วมกับทักษะอื่นๆ เช่น ทักษะการรู้ตน หรือ การรู้จักตนเอง (Self-awareness) รู้เท่าทันว่าตัวเองมีความรู้สึกส่วนตัว หรือ มีความรู้สึกร่วมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร ในระดับไหน เพื่อป้องกันอคติ
อ้างอิง
Brian Oshiro: Encourage critical thinking with 3 questions | TED Talk
criticalthinkingacademy.net
Phenomenon Based Learning: กินดีอยู่ดีและมีความสุข หลักสูตรการเรียนรู้ฉบับฟินแลนด์ | กสศ. (eef.or.th)

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsทักษะคิดเชิงวิพากษ์(Critical Thinking)Phenomenon Based Learning (PhBL)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • 21st Century skills
    รวิศ หาญอุตสาหะ: คนรุ่นใหม่แบบไหนที่นายจ้างอยากทำงานด้วย

    เรื่อง The Potential

  • 21st Century skills
    5 จิตสำคัญ แห่งศตวรรษที่ 21

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

Jane The Virgin : สิ่งที่เกิดขึ้นกับยาย ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดกับ ‘เจน’
Movie
2 June 2021

Jane The Virgin : สิ่งที่เกิดขึ้นกับยาย ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดกับ ‘เจน’

เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Jane The Virgin ซีรีส์อเมริกันเล่าเรื่องของเจน วิลลานูเอวา (Jane Villanueva) สาวเวอร์จิ้นที่เกิดอุบัติเหตุตอนไปพบหมอเพื่อตรวจภายใน แต่กลับกลายเป็นได้รับผสมเทียมจนตั้งท้องแทน
  • เจนเติบโตมากับคุณยาย ‘อัลบา’ ที่เป็นคนเคร่งครัดในศาสนาและมักสอนเจนเสมอว่าต้องรักนวลสงวนตัวไว้จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน ทำให้เจนไม่กล้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณยายฟัง
  • “เราชอบตัวละครคุณยายมาก มันแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวเข้าหาครอบครัวของนาง ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเข้ามา นางไม่ได้ยึดหลักการ ความถูกต้อง ศาสนาหรือตัวตนของตัวเองมาเป็นที่ตั้ง แต่ความสัมพันธ์ของครอบครัวตังหากที่ต้องมาก่อน เมื่อเวลาเกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้น มันไม่จำเป็นเลยที่เด็กจะต้องเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาผู้ใหญ่อยู่ฝ่ายเดียว ผู้ใหญ่ก็ควรเปิดใจกว้างๆ แล้วหันหน้าคุยกันอย่างที่ครอบครัวควรจะทำให้กันเหมือนกันนะ”

Tags:

เพศสังคมสูงวัยซีรีส์การเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • MovieDear Parents
    Sex Education: ความเข้าใจเรื่องสิทธิ์เนื้อตัวไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ครอบครัวต้องหยุดสร้างทัศนคติ Victim blaming

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Anne with an E: การได้รับการปกป้องนี่มันสำคัญมากเลยนะ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Grace and Frankie: หย่าร้างในวัย 70 การมูฟออนที่ทำให้พบตัวเองอีกครั้งในเวอร์ชันที่ต่างไปจากเดิม

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Never Have I Ever แม้ไม่ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของแม่ แต่ยังอยากได้ยิน ‘แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ’

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

ปู่ย่าตายายมีส่วนช่วยเลี้ยงหลานอย่างไรให้เติบโตทั้งกายใจ
Family Psychology
2 June 2021

ปู่ย่าตายายมีส่วนช่วยเลี้ยงหลานอย่างไรให้เติบโตทั้งกายใจ

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • แม้ว่า ‘ผู้ปกครองเป็นคนเลี้ยงดูลูกได้ดีที่สุด’ แต่ด้วยภาระหลายๆ อย่าง ทำให้บางครอบครัวหน้าที่เลี้ยงเด็กอาจตกเป็นของญาติ เช่น ปู่ย่า ตายาย น้า ลุง ป้า เป็นต้น แน่นอนว่าพวกเขาอาจมีแนวทางเลี้ยงเด็กที่ไม่เหมือนผู้ปกครอง ทำให้อาจเกิดความไม่ลงรอยกัน
  • ถ้าการกระทำของอีกฝ่ายไม่ถูกใจหรือทำให้เราไม่พอใจ ไม่ควรนิ่งเงียบหรือประชดกับเด็ก เช่น แม่เธอมันขี้บ่น หรือทะเลาะกันต่อหน้าเด็ก แต่ควรแยกไปคุยกันเอง โดยใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ หนทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ดีที่สุด คือ การทำข้อตกลงแนวทางดูแลเด็กคนนี้ร่วมกัน
  • ฝั่งปู่ย่าตายายที่กลัวว่าถ้าไม่ตามใจหลาน หลานจะไม่รัก แม้การตามใจจะทำได้ง่าย และรู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องขัดใจหลาน แต่ผลกระทบระยะยาวที่จะเกิดขึ้นกับหลานอาจจะทำร้ายตัวเขาโดยไม่รู้ตัว ทั้ง ‘ความเอาแต่ใจ’ ‘ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้’ ‘อารมณ์ที่ไม่มั่นคง’ และอื่นๆ

ก่อนจะอ่านบทความนี้ อยากย้ำเตือนคุณพ่อคุณแม่อีกครั้งว่า หน้าที่หลักในการเลี้ยงลูกควรเป็นของพ่อแม่ ไม่ใช่ของผู้อื่น แต่ในกรณีที่จำเป็น เช่น ผู้ปกครองต้องออกไปทำงานไม่สะดวกเลี้ยงลูก การฝากลูกให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงดูบ้างก็ไม่ใช่เรื่องผิด ที่สำคัญคือเราควรมีแนวทางในการดูแลเด็กคนหนึ่งร่วมกัน

บทความนี้จึงเป็นเพียงแนวทางและทางเลือกในการกำหนดทิศทางในการเลี้ยงดูเด็กร่วมกันระหว่างพ่อแม่กับปู่ย่าตายาย

สารพันปัญหาเมื่อปู่ย่าตายายเลี้ยงหลานไปคนละแนวทางกับพ่อแม่ของลูก

เด็กไม่ยอมฟังพ่อแม่ แต่ฟังปู่ย่าตายาย

สิ่งหนึ่งที่ผู้ปกครองมักเจอเวลาให้ญาติเลี้ยงลูก คือ เด็กเอาแต่ใจ ไม่ยอมฟังพ่อแม่ แต่ฟังปู่ย่าตายาย เพราะปู่ย่าตายายตามใจหลาน แต่พ่อแม่ไม่เคยตามใจลูก เวลาลูกทำผิด พ่อแม่กำลังสอน ปู่ย่าตายายจะเข้ามาโอ๋ทันที ปัญหานี้ควรทำอย่างไรดี

“การเลี้ยงเด็กหนึ่งคน บ้านควรไปในทิศทางเดียวกัน”

เลี้ยงเด็กหนึ่งคนในบ้าน กติกาของบ้านควรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อไม่ให้เด็กสับสนว่า เขาควรปฏิบัติตัวอย่างไร เด็กจะเคารพและเกียรติทุก ๆ คน เมื่อทุกคนในบ้านให้เกียรติซึ่งกันและกัน

ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรคุยกันเสมอ เพื่อทำความเข้าใจกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทุกสิ่ง ขอแค่เจอกันตรงกลางก็พอ

สิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ควรปฏิบัติต่อกันและกัน…

ข้อที่ 1 ไม่ควรทะเลาะกับอีกฝ่าย หรือทำให้อีกฝ่ายอับอายต่อหน้าเด็ก 

ยกตัวอย่างเช่น ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังสอนเด็กอยู่ เราไม่ควรขัดขวางการสอนของกันและกันต่อหน้าเด็ก หากเราไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่าย ให้ออกมาคุยกันทีหลัง หรือทางที่ดีที่สุด คือ การตกลงกติกาของครอบครัวให้ชัดเจน เพื่อที่ทุกๆ คนจะปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน

ข้อที่ 2 ไม่ควรแอบทำลับหลังอีกฝ่าย 

ยกตัวอย่างเช่น “พ่อให้ดูหนังหนึ่งเรื่อง อย่าบอกแม่นะ”

“แม่ให้ขนมหนึ่งชิ้น เราเก็บเป็นความลับนะ”

“ปู่ย่ามารับหลานเร็ว อย่าบอกพ่อแม่ไปเชียว” เป็นต้น

เพราะเราได้ทำลายความน่าเชื่อถือของอีกฝ่าย เด็กจะไม่ฟัง และเขาอาจจะเรียนรู้ว่า ถ้าไม่อยากฟังใคร ให้ไปหาอีกคนที่ช่วยเขาได้

ข้อที่ 3 ไม่ควรให้เด็กมาเป็นพวกของเรา

ครอบครัวไม่ควรแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน เพราะ ‘ลูก’ ไม่ใช่ของๆ ใคร เขาเป็นคนๆ หนึ่งในครอบครัวของเรา

ข้อที่ 4 ไม่ควรตำหนิหรือพูดถึงอีกฝ่ายในทางที่ไม่ดีให้เด็กรับรู้

เช่น “พ่อเธอมันแย่” 

“แม่เธอคิดมาก” 

“ย่าเธอน่ารำคาญ”

“ยายเธอจู้จี”

“ตาเธอขี้บ่น”

“ปู่เธอไม่สนใจใคร” เป็นต้น

เพราะเด็กจะอึดอัดกับเราและอีกฝ่าย บ้านก็ไม่น่าอยู่อีกต่อไป

ข้อที่ 5 หากไม่เข้าใจ หรือไม่พอใจเรื่องใด ไม่ควรคิดและตีความไปเอง

คนภายในครอบครัว ควรพูดคุยและสื่อสารกันให้มาก ถ้าไม่เข้าใจกัน ให้ถามด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์ หรือพูดประชดประชัน เพราะเรื่องอาจจะบานปลายใหญ่โต

ข้อที่ 6 ไม่ควรใช้ความเงียบเพื่อหนีปัญหา

หากปราศจากซึ่งการสื่อสาร ครอบครัวจะแตกออกได้เช่นกัน จากสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากการไม่พูดไม่จากัน รอยร้าวนั้นไม่ต่างอะไรกับการทะเลาะกัน แต่ความเงียบเป็นรอยร้าวที่ลึก และยากที่จะประสานกว่านัก

ข้อที่ 7 ไม่ควรเป็นฝ่ายที่พูดอย่างเดียว จนไม่ฟังใคร

การพูดเยอะ บ่นเยอะ บางครั้งก็ทำให้คนอื่นไม่อยากพูดต่อแล้ว

เราจะเสียโอกาสในการรับฟังในสิ่งที่คนอื่นคิด และการแก้ปัญหาของครอบครัวที่ดีจะไม่เกิดขึ้น หากมาจากความคิดของเราแค่คนเดียว

ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบอาจจะไม่มีอยู่จริง แต่ครอบครัวที่มีความสุขเกิดขึ้นได้ หากเรายอมรับจุดบกพร่องของกันและกัน และช่วยกันเติมเต็มในส่วนที่อีกฝ่ายทำไม่ได้ ยอมรับ และยินดีช่วยเหลือในสิ่งที่เราทำได้ และยินดีให้อีกฝ่ายช่วยเหลือในสิ่งที่เราทำไม่ได้

ปู่ย่าตายายปล่อยให้หลานนั่งอยู่หน้าจอ

‘ให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลาน แต่ปู่ย่าตายายชอบตามใจหลาน ให้หลานดูหน้าจอ ทำอย่างไรดี?’

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า หน้าที่เลี้ยงลูกควรเป็นของพ่อแม่ หากเรายกหน้าที่นี้ให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นปู่ย่าตายาย หรือพี่เลี้ยงก็ตาม เราต้องทำใจเลยว่า เขาไม่มีทางเลี้ยงลูกได้ดั่งใจเรา ดังนั้น หากพ่อแม่อยากให้ลูกเป็นเช่นไร เราควรเป็นผู้เลี้ยงดูหลัก ในขณะที่ผู้ใหญ่ท่านอื่นเข้ามาช่วยดูแลเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

ถ้าพ่อแม่มีความจำเป็นต้องให้ลูกอยู่กับคนอื่น ระหว่างเราทำงาน เราควรรีบกลับมารับลูก และอยู่กับลูกในมากที่สุด ชดเชยเวลาที่เราไม่ได้เลี้ยงเขา เล่นกับเขา อ่านนิทาน และสัมผัสเขาให้มากที่สุด”

ในส่วนปัญหาการที่ปู่ย่าตายายให้หลานดูหน้าจอ พ่อแม่ควรทำความเข้าใจก่อนว่า ปู่ย่าตายายอาจจะไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแรงเท่าสมัยที่เลี้ยงดูเราอีกแล้ว ดังนั้น การจะทำให้เด็กอยู่นิ่งๆ ปู่ย่าตายายอาจจะแก้ปัญหาด้วยการนำหน้าจอมาให้หลานดู

พ่อแม่ควรขอความร่วมมือจากปู่ย่าตายายว่า ขอไม่ให้หลานดูหน้าจอ หรือดูแต่ระยะเวลาเท่าไหร่ จัดตารางเวลาให้ท่านดูว่า เวลาไหนทำอะไรได้บ้าง ที่สำคัญต้องเสนอทางออกให้กับท่านในการรับมือกับหลานด้วย เช่น ให้เล่นน้ำในกะละมัง เล่นทราย เล่นของเล่นที่เราเตรียมไว้ให้ เพื่อช่วยทุ่นแรงท่าน

อย่างไรก็ตามถ้าทำทั้งหมดแล้ว แต่ปู่ย่าตายายอาจจะไม่สามารถทำตามได้ เนื่องจากอายุที่มากและร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย หรือท่านไม่ได้รับความร่วมมือตามที่เราขอ พ่อแม่ควรเลือกว่า…

ข้อ 1 เลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง จนลูกถึงวัยเข้าโรงเรียน (ประมาณ 3 ปี)

ถ้าพ่อแม่เลือกข้อนี้ ลูกจะได้เวลาคุณภาพจากเรา เราได้เลี้ยงลูกเอง แต่หน้าที่การงานเราอาจจะหยุดไปชั่วคราว

ข้อ 2 ให้ลูกเข้าเรียนก่อนวัยอันควร เช่น การเรียนเนอสเซอรี่ (Nursery) ที่เน้นเล่น และสอนเขาดูแลตัวเอง 

ถ้าพ่อแม่เลือกข้อนี้ เราจะสามารถทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วยได้ ถ้าบุคลากรที่ดูแลลูกดี เด็กอาจจะพัฒนาได้ดี แต่ถ้าไม่ดี อาจจะทำให้เด็กเกิดการถดถอยทางกายใจได้

ข้อ 3 ให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงเช่นเดิม และกลับมาชดเชยให้ลูกมากที่สุดในตอนเย็น 

ข้อนี้เราทำงาน ปู่ย่าตายายเลี้ยงเหมือนเดิม ปัญหาอาจจะวนกลับมาเช่นเดิม เราต้องยอมรับปัญหาที่จะตามมาได้

พ่อแม่บางบ้านอาจจะเลือกที่จะผสมข้อ 1 – 2 – 3 อย่างละนิดละหน่อย เช่น ฝากปู่ย่าตายาย แค่ 1 – 2 วันต่อสัปดาห์ 5 วันที่เหลือ พ่อหรือแม่ทำงานพาร์ทไทม์แล้วมาอยู่กับลูกครึ่งบ่าย เช้าพาลูกไปเรียนเนิร์สเซอร์รี่

ทั้งนี้ แต่ละบ้านสามารถตกลงและวางแผนกันตามเหมาะสม แต่แนะนำให้เลือกตัวเลือกที่เราได้ใช้เวลากับลูกมากที่สุด

สรุปคำตอบ ทุกการเลือกย่อมได้บางสิ่งบางอย่างมา แต่ก็ต้องสูญเสียบางอย่างไป พ่อแม่ต้องยอมรับว่า การเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง คือ การลงทุน หากเราไม่ลงทุนเรื่องเวลาและการสอนเขาด้วยตัวเราเองตอนนี้ให้เขา เราอาจจะต้องเผื่อใจในการซ่อมเขาในตอนโต

การเป็นพ่อแม่ที่ทำงานด้วย เลี้ยงลูกเองด้วยนั้น ต้องใช้คำว่า “เหนื่อยแสนสาหัส” แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเป็นไปไม่ได้ การลงทุนเรื่องเวลากับลูก ให้เวลาวันละนิด แต่ทุกวันสม่ำเสมอ ดอกผลนั้นงดงามแน่นอน

“พ่อแม่ควรเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเราและลูกมากที่สุด เพราะสุดท้ายเมื่อปัญหาเกิดขึ้น ปู่ย่าตายายไม่ใช่คนที่จะมาแก้ปัญหาหรืออยู่กับลูกเราในอนาคต แต่เราต่างหากที่จะต้องมารับผิดชอบแก้ปัญหานั้น และอยู่กับลูกต่อไป”

สำหรับคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายที่มีโอกาสช่วยลูกเลี้ยงดูหลานตัวน้อย เราสามารถทำอย่างไรให้หลานเติบโตทั้งกายใจ

ข้อที่ 1 ให้หลานช่วยเหลือตัวเองตามวัย

เมื่อหลานถึงวัยที่เริ่มหยิบจับอาหารเข้าปากได้ สอนหลานให้กินข้าวเอง

เมื่อหลานเริ่มเดินได้ อย่าอุ้มเขาตลอดเวลา ให้เขาฝึกเดินมาหาเรา จูงมือเขาเดินไปที่ต่างๆ หลานล้มบ้าง ไม่เป็นไร อย่าตกใจ และวิตกเกินเหตุ เพราะหลานจะตกใจตามเรา

เมื่อหลานอยากลองทำสิ่งใหม่ๆ อย่าห้ามเขา แต่ให้สอนเขาทำสิ่งนั้น หลานทำไม่ได้เรียบร้อย ไม่เป็นไร ค่อยๆ สอน ค่อยๆ ฝึก เมื่อถึงเวลาเขาจะทำได้ดีขึ้น

ข้อสำคัญเวลาหลานทำไม่ได้ อย่าเพิ่งทำให้ ลองทำให้เขาดู จากนั้นสอนเขาทำ อาจจะจับมือเขาทำ เมื่อเริ่มทำได้บ้าง ให้ทำไปด้วยกัน และสุดท้ายลองปล่อยให้เขาทำเอง โดยมีเราดูอยู่ห่างๆ

“หลานยิ่งทำ ยิ่งฝึกฝน ยิ่งเติบโต”

ข้อที่ 2 ‘เล่นกับหลาน’ และ ‘หลีกเลี่ยงการเปิดหน้าจอ (โทรทัศน์ โทรศัพท์ แท็บเล็ต ไอแพด…) ให้หลานดู’

หากเด็กเล็กดูหน้าจอ สมองของเขาจะถูกขัดขวางและแทรกแซง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุของการพูดที่ล่าช้า หรือ สมาธิที่สั้นลง นอกจากนี้ เด็กเล็กควรพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก-ใหญ่ ได้แก่ แขน ขา นิ้วมือของเขาให้พร้อมสำหรับการเรียนรู้ในวัยต่อไป ซึ่งหมายรวมถึง การช่วยเหลือตัวเอง การคิด การเขียน การอ่าน ถ้าหากเราให้เขาดูหน้าจอ ร่างกายของเด็กๆ ก็ไม่ได้เคลื่อนไหว ผลคือ กล้ามเนื้อของเขาก็ไม่คงทนแข็งแรง แทนการดูหน้าจอ เราควรชวนเขาเล่น

“การเล่นที่ส่งเสริมให้สมองและร่างกายของเด็กพัฒนา”

สำหรับผู้สูงวัยอย่างเรา การเล่นที่สามารถทำได้ อาจจะไม่ใช่เป็นการเล่นวิ่งไล่จับกับหลาน แต่อาจจะเป็นการเล่นที่เราใช้แรงน้อย แต่หลานออกแรงมากก็ได้ เช่น

การเล่นน้ำ เล่นทราย ปั้นแป้ง ปั้นดินน้ำมัน ระบายสี เด็กๆ มักจะเล่นได้ด้วยตัวเอง โดยมีเราควรดูแลความปลอดภัย

หรืออาจจะเป็นการเล่นบทบาทสมมติ เช่น เล่นทำกับข้าว หลานเป็นคนทำอาหาร เราเป็นลูกค้า หรือเล่นคุณครูนักเรียน หลานเป็นคุณครู เราเป็นนักเรียน เป็นต้น

“เรายิ่งเล่น หลานยิ่งผูกพัน”

ข้อที่ 3 ‘อ่านหนังสือนิทานหรือเล่าเรื่องราวให้หลานฟัง’

หากเราเล่านิทานให้หลานฟังตั้งแต่เด็กๆ สมองของพวกเขาจะพัฒนาได้อย่างยอดเยี่ยม และเรื่องราวในนิทานหลายๆ เรื่องจะกล่อมเกลาให้เขาเป็นเด็กที่อ่อนโยน เข้าใจตนเองและเข้าใจผู้อื่น

ถ้าหากหลานเบื่อหนังสือนิทานหรือไม่มีหนังสือนิทานให้อ่านแล้ว เราสามารถเล่าเรื่องตอนสมัยเราเป็นเด็กๆ ให้หลานฟังก็ได้ เด็กหลายคนชอบฟังเรื่องราวเหล่านั้นมากๆ

“เรายิ่งอ่าน ยิ่งเล่า หลานยิ่งพัฒนา”

ข้อที่ 4 ‘พูดคุย รับฟัง และชื่นชมหลาน’

เริ่มจากไม่รู้ใจหลานมากเกินไป ให้หลานสื่อสารกับเราก่อนจะทำให้เขา

ตอนหลานยังเป็นเด็กเล็กๆ ให้เราชวนเขาพูดคุยเยอะๆ เพราะเขาจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ และการสื่อสารจากเรา

แต่เวลาหลานพูดกลับมา ให้เรามองตาเขา และรับฟังเขาให้จบ อย่าเพิ่งพูดขัดเขา เพราะหลานจะได้เรียนรู้การเป็นผู้ฟังที่ดีจากเราด้วย

ชื่นชมหลานในสิ่งที่เขาทำ เน้นว่า “สิ่งที่เขาทำได้” อย่างจริงใจ เช่น

เวลาหลานทำอะไรได้เอง ให้ชมเขาว่า “ทำ….ได้เองด้วย เยี่ยมไปเลย”

แต่หากเขายังทำไม่ได้ อย่าเพิ่งตำหนิเขา หรือ บ่นเขา ให้ชมเขาว่า “วันนี้ทำได้เท่านี้ก็เยี่ยมมากแล้ว ครั้งหน้าเอาใหม่”

“ไม่แซว” หรือ “ตำหนิ” เวลาหลานทำไม่ได้ เพราะว่าเด็กจะเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ให้เปลี่ยนเป็นให้กำลังใจหลานดีกว่า

ข้อที่ 5 ‘ถ่ายทอดวิชาให้หลาน’

ถ้าหลานโตมากพอระดับหนึ่งแล้ว ถ้ามีโอกาส เราลองสอนทักษะต่างๆ ที่เรารู้ให้กับหลานได้ อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ อย่าง งานบ้าน งานครับ งานช่าง งานหัตถกรรม และอื่นๆ เพราะนอกจากหลานจะได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก-มัดใหญ่แล้ว สมองของเขาก็พัฒนาอีกด้วย

“ยิ่งหลานเรียนรู้ เขายิ่งมีทักษะหลากหลาย”

ข้อที่ 6 ‘ไม่ตามใจหลานในทางที่ไม่เหมาะสม’

เวลาหลานอยากได้อะไร เขาไม่จำเป็นต้องได้ทุกอย่าง แม้ว่าเราจะสามารถสรรหาหรือซื้อมาให้เขาได้ เพราะถ้าเราทำเช่นนั้น หลานจะไม่ได้เรียนรู้คุณค่าของสิ่งของ และความพยายามเพื่อที่จะได้สิ่งนั้นมา

ในเด็กเล็ก เราสามารถตั้งกติกาได้ว่า “วันนี้จะให้เขาซื้อของได้กี่อย่าง” หรือ บอกเขาชัดเจนได้เลยว่า “วันนี้ไม่ซื้อของเล่นนะ” ถ้าเขาร้องไห้งอแง แปลว่า หลานไม่พร้อม เราจะกลับบ้านกัน

ในเด็กโต ถ้าเขาอยากได้อะไร เราควรสอนให้เขาเก็บออมเงิน

และทำงานแลกเงินมาซื้อ เราอาจจะช่วยสมทบให้เขาครึ่งหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าตกลงกับเขาไว้อย่างไร

ข้อที่ 7 ‘ไม่ปล่อยให้หลานทำผิดกฎ 3 ข้อ’

กติกาที่หลานและผู้ใหญ่ทุกคนในบ้านควรทำตาม คือ “กฎ 3 ข้อ” ได้แก่

ข้อที่ 1 ไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ (ไม่ทำร้ายตัวเอง)

ข้อที่ 2 ไม่ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ หรือ เดือดร้อน

ข้อที่ 3 ไม่ทำให้ข้าวของเสียหาย

ดังนั้น หากหลานกำลังทำผิดกติกา 3 ข้อนี้ เราควรเข้าไปจับมือเขา หรือ พาเขาออกมา ไม่ควรตามใจเขาด้วยการปล่อยให้เขาทำพฤติกรรมนั้นต่อไป

หรือถ้าเรารับมือหลานไม่ไหว ควรให้พ่อแม่ของหลานได้เข้ามาช่วยรับผิดชอบหลักในการสอนลูกด้วยตัวเอง

ข้อที่ 8 ‘ไม่ปกป้องหลานเวลาที่เขาทำผิด แต่สอนเขาให้รับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ’

เวลาหลานทำผิด อย่าเข้าข้างหลาน และโทษคนอื่นหรือสิ่งของ แทนการตำหนิหลาน เช่น หลานเดินชนโต๊ะ เราไม่ควรโทษโต๊ะ และตีโต๊ะ แต่ควรสอนหลานว่า “ไม่เป็นไรนะลูก ค่อยๆ เดินระวังๆ” หรือ ไปหลานร้องไห้ ก็โทษคนรอบตัวหลานว่า “ใครทำหลานร้องไห้ เดี๋ยวตีให้เลย” เป็นต้น

สิ่งที่ควรทำ คือ…

ข้อที่ 1 บอกหลานทันทีว่า “สิ่งนั้นไม่ควรทำ” และ “สิ่งที่ควรทำคืออะไร”

ข้อที่ 2 หากหลานไม่พร้อม พาเขาออกมาจากที่เกิดเหตุก่อน ถ้าต้านแรงหลานไม่ไหว ก็รอเขาสงบตรงนั้น ไม่ต้องรีบสอน หรือ พูดอะไร

ข้อที่ 3 เมื่อหลานพร้อม พาเขาไปขอโทษอีกฝ่าย และสอนเขาให้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาทำ เช่น ช่วยกันเก็บกวาด หรือ ช่วยเหลืออีกฝ่าย

ข้อที่ 4 กอดเขา และชื่นชมเมื่อเขากล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ทำผิด

ข้อที่ 5 เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับหลาน

สุดท้าย หากรับมือไม่ไหว ควรเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องสอนลูกเป็นหลักในการสอนเขา

ข้อที่ 9 ‘เคารพซึ่งกันและกัน’

เวลาที่พ่อแม่สอนลูก อย่าเพิ่งเข้าไปแทรกแซงหรือปกป้องหลาน เพราะการทำเช่นนั้นจะเป็นการทำให้หลานไม่ฟังพ่อแม่ และเรียนรู้ว่า “มีคนปกป้องเขา” แม้ว่าเขาจะทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมก็ตาม ปู่ย่าตายายควรให้สิทธิ์พ่อแม่สอนลูกของตัวเองเสมอ

ถ้าทิศทางในการสอนของเราไม่ตรงกับพ่อแม่ของหลาน ให้เปิดใจคุยกันในแนวทางสายกลางที่จะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไปในแนวทางเดียวกัน

อย่างไรก็ตามพ่อแม่ควรตระหนักเสมอว่า “หน้าที่หลักในการเลี้ยงลูก ควรเป็นของพ่อแม่” พ่อแม่ควรรับผิดชอบในหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด

ข้อที่ 10 ‘สัมผัสหลานด้วยความรัก’

การมองตาหลาน การอยู่ใกล้ๆ การกอด การหอม การลูบหัว เกาหลัง กล่อมนอน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นสัมผัสด้วยรักที่เราสามารถเติมเต็มใจให้หลานได้

คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ที่เป็นกังวลว่าหลานจะไม่รักหากไม่ตามใจเขา อาจจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า “การตามใจ” ไม่เท่ากับ “ความรักที่แท้จริง”

แม้การตามใจจะทำได้ง่ายกว่า และเรารู้สึกสบายใจที่ไม่ต้องขัดใจหลาน แต่ผลกระทบระยะยาวที่จะเกิดขึ้นกับหลานอาจจะทำร้ายตัวเขาโดยไม่รู้ตัว ทั้ง “ความเอาแต่ใจ” “ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้” “อารมณ์ที่ไม่มั่นคง” และอื่นๆ

“ความรักที่แท้จริง” ควรเป็นความปรารถนาดีให้หลานเติบโตแข็งแรงทั้งกายใจ ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นได้ หากเราช่วยสอนเขาให้ทำสิ่งต่างๆ ได้ตามวัย และให้เวลาคุณภาพกับหลาน เล่นกับเขา อ่านหนังสือ และสัมผัสเขาด้วยรัก

ในท้ายที่สุด มีคำกล่าวว่า  “It takes a village to raise a child.” 

“การจะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตต้องอาศัยคนทั้งหมู่บ้าน”

ดังนั้น พ่อแม่และผู้ใหญ่ทุกคนภายในบ้าน ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตทั้งร่างกายและจิตใจ

Tags:

สังคมสูงวัยการเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Family Psychology
    เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ต้อง ‘ซ่อมใจ’ ทีหลัง: ผศ.นพ.อัศวิน นาคพงศ์พันธุ์ เจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ’

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Myth/Life/Crisis
    ดอเรียน เกรย์ : ความเหงาและหัวใจที่เชื่อมโยง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to get along with teenager
    “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” เข้าใจวัยรุ่นในวันที่ป่วยใจ

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Jane The Virgin : สิ่งที่เกิดขึ้นกับยาย ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดกับ ‘เจน’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    เป็นพ่อแม่แบบ ‘กระบวนกร’ เปิดพื้นที่ปลอดภัยและใช้อำนาจเย็น

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘เด็กยุคโควิด’ ดูแลไม่ให้ป่วยกายและใจ คุยกับ ‘หมอมินบานเย็น’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ     จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
Social Issues
1 June 2021

‘เด็กยุคโควิด’ ดูแลไม่ให้ป่วยกายและใจ คุยกับ ‘หมอมินบานเย็น’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

เรื่อง ปริสุทธิ์

  • การระบาดโควิด-19 ระลอกนี้ เริ่มพบผู้ติดเชื้อที่อายุน้อยลง ส่งสัญญาณว่าพ่อแม่และผู้ดูแลต้องระมัดระวังมากขึ้นในการป้องกันเด็กไม่ให้เจ็บป่วยทั้งกายและใจ 
  • กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีตอนนี้ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ แม้ว่าเด็กจะอยู่บ้าน แต่ถ้าผู้ปกครองติดเชื้อ ก็อาจนำมาแพร่สู่ลูกหลานได้ ดังนั้นแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน ก็ควรรักษาระยะห่างและเฝ้าระวังการติดและแพร่เชื้อ ไม่ควรชะล่าใจ
  • เด็กอาจมีความเครียดและผลกระทบ เช่น ต้องเรียนออนไลน์ เครียดเรียนไม่รู้เรื่อง งานเยอะขึ้น อยู่หน้าจอมากขึ้น ติดเกม ยูทูบ โซเชียลมีเดียอื่นๆ ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมตามปกติ ออกกำลังกาย ขยับร่างกายน้อยลง นอนดึก กินไม่เป็นเวลา ร่างกายไม่แข็งแรง เช่น อ้วนขึ้น

ช่วงแรกของการระบาดโควิด-19 หลายคนอาจจะเคยได้รับข้อมูลข่าวสารว่า เด็กๆ เป็นกลุ่มที่มีโอกาสติดเชื้อน้อยและอาการไม่ค่อยรุนแรง แต่หลังจากสถานการณ์การระบาดผ่านมาถึงระลอกปัจจุบัน เริ่มพบผู้ติดเชื้ออายุน้อยลง ส่งสัญญาณว่าพ่อแม่และผู้ดูแลต้องระมัดระวังมากขึ้นในการป้องกันเด็กไม่ให้เจ็บป่วย 

ทว่าไม่ใช่แค่นั้น นอกจากสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วย เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการใช้ชีวิตตามปกติ รวมถึงการปรับรูปแบบการเรียนการสอน ทำให้เด็กไม่สามารถออกไปเล่นกับเพื่อน หรือทำกิจกรรมที่ชอบได้ และแม้พวกเขาจะยังไม่ได้มีภาระความรับผิดชอบมากมาย แต่ภายใต้ความไม่ปกตินี้ เด็กย่อมมีความวิตกกังวล หวาดกลัวและเบื่อหน่ายได้เช่นเดียวกัน

The Potential ชวนทุกคนมาทำความเข้าใจเด็กๆ ในสถานการณ์นี้ รวมไปถึงคำแนะนำในการดูแลพวกเขาให้รอดปลอดภัย แข็งแรงทั้งร่างกายจิตใจ และไม่บกพร่องในเรื่องการเรียนรู้ กับ พญ.เบญจพร ตันตสูติ  หรือ “หมอมินบานเย็น” จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เจ้าของเพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา 

สถานการณ์โควิด-19 ปัจจุบันดูเหมือนว่าเด็กเป็นกลุ่มที่เราต้องให้ความสำคัญและดูแลอย่างถูกวิธีเช่นเดียวกัน?

เราจะเห็นจากข้อมูลการระบาดของโควิดครั้งนี้ว่า การติดเชื้อส่วนใหญ่พบจากคนที่อยู่บ้านเดียวกัน และกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีตอนนี้ยังไม่สามารถฉีดวัคซีนได้ ดังนั้นแม้ว่าเด็กไม่ได้ออกไปไหน อยู่บ้าน แต่ถ้าผู้ปกครองติดเชื้อ ก็อาจจะนำเชื้อมาแพร่สู่ลูกหลานได้ค่ะ ทำให้มีคำแนะนำว่าแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน ก็ควรรักษาระยะห่างและเฝ้าระวังการติดและแพร่เชื้อ แม้ในเด็กก็มีอาการที่รุนแรงก็ติดเชื้อได้เช่นกัน ดังนั้นไม่ควรชะล่าใจ

การป้องกันคือ ผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดเด็กๆ ควรระมัดระวังการติดเชื้อ และไปรับการฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในเด็กอายุมากกว่า 2 ปี ต้องใส่หน้ากากหากจำเป็นต้องออกไปนอกบ้าน หรือพบคนที่ไม่ได้อยู่ในครอบครัว หมอคิดว่าพ่อแม่ผู้ปกครองก็คงไม่ได้อยากให้ลูกๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโตป่วยเป็นโควิด นอกจากนั้นสำหรับการเตรียมตัวไปเรียน นอกจากการจัดการรักษาระยะห่างในเด็กที่ไปโรงเรียน ก็ควรฉีดวัคซีนให้ครูด้วยค่ะ

อะไรคือข้อควรระวังในเด็กช่วงที่ยังไม่ได้ไปโรงเรียนและผู้ปกครองส่วนมากยังทำงานที่บ้าน (Work from Home) ?

เด็กอาจมีความเครียดและผลกระทบ เช่น ต้องเรียนออนไลน์ เครียดเรียนไม่รู้เรื่อง งานเยอะขึ้น อยู่หน้าจอมากขึ้น ติดเกม ยูทูบ โซเชียลมีเดียอื่นๆ ไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมตามปกติ ออกกำลังกาย ขยับร่างกายน้อยลง นอนดึก กินไม่เป็นเวลา ร่างกายไม่แข็งแรง เช่น อ้วนขึ้น

เมื่อพ่อแม่ Work from Home  อาจเครียดกว่าเดิม งานบ้านมากขึ้นที่ต้องจัดการ บางคนรายได้ลดลง เศรษฐกิจไม่ดี เผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน ลูกต้องเรียนออนไลน์ และเพราะเป็นการเรียนจากที่บ้าน พ่อแม่ก็เครียด เหมือนต้องมาเป็นครูด้วยและเป็นพ่อแม่ด้วย นอกจากจะโชคดีถ้าลูกดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ก็อาจไม่ต้องเหนื่อยมาก และบางทีความเครียดที่มีก็ทำให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัวมากขึ้น 

เนื่องจากเด็กเล็กยังเป็นวัยเล่น วัยซน การควบคุมพฤติกรรมให้เด็กลดความเสี่ยงจากโควิด-19 ต้องทำอย่างไรบ้าง ?

ผู้ใหญ่ต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจเรื่องโควิดอย่างง่ายๆ เช่น เปิดคลิปอนิเมชันเรื่องการล้างมือให้เด็กดู ทำเป็นตัวอย่าง และ เพราะเด็กออกไปเล่นทำกิจกรรมอะไรได้น้อยลง ก็อาจจะเบื่อ เครียด ก็อยากให้พ่อแม่เข้าใจ ก็พยายามหากิจกรรมทำร่วมกับเด็กๆ มากขึ้น ในที่สุดก็คงต้องป้องกันที่ผู้ใหญ่ใกล้ชิดด้วยค่ะ

พญ.เบญจพร ตันตสูติ  หรือ “หมอมินบานเย็น”

ในกรณีเปิดเทอม ซึ่งอาจจะเร็วๆ นี้หรือยืดเยื้อออกไปก็ตาม อะไรคือข้อควรระวัง ?

ถ้าเปิดเทอมตามปกติควรระมัดระวังเรื่องการระบาดของโรคโควิด ถ้าเด็กไปโรงเรียนก็ต้องมีความมั่นใจเพียงพอว่าควบคุมได้ ส่วนถ้ายืดเยื้อก็คงต้องระวังผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ โดยเฉพาะในเด็กปฐมวัย เพราะการเรียนการสอนออนไลน์ ไม่สามารถทดแทนการสอนตามปกติได้ แต่ใช้ชั่วคราวได้ 

บางครอบครัวอาจจะไม่พร้อมในการดูแลเด็กให้เรียนออนไลน์ เพราะเด็กปฐมวัยนั้นสมาธิไม่ค่อยได้ต่อเนื่องนานอยู่แล้ว ถ้าต้องอยู่หน้าจอนานครูต้องมีเทคนิคที่ทำให้เด็กเรียนได้อย่างไม่น่าเบื่อ มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กไปด้วย ดังนั้นจึงต้องมีความพร้อมพอสมควรของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นครูหรือผู้ปกครอง บางครอบครัวอาจไม่ได้มีอุปกรณ์ที่พร้อม ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตที่เสถียร หรืออุปกรณ์ที่ใช้ เด็กเล็กจำเป็นต้องมีผู้ปกครองนั่งเป็นเพื่อน 

เมื่อเด็กๆ ต้องไปโรงเรียน ผู้ปกครองควรเตรียมตัวเอง และเตรียมเด็กๆ อย่างไร ?

ถ้าเปิดเทอมไปโรงเรียนตามปกติก็คงต้องเฝ้าระวังการติดเชื้อค่ะ และเด็กต้องปรับตัวกับการไปโรงเรียนแบบระวังการติดเชื้อ ใส่หน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง ปรับตัวในการไปเจอเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เจอกันมานานด้วยค่ะ

ขณะที่การไปโรงเรียนมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ แต่การไม่ไปโรงเรียนก็มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก คุณหมอมีคำแนะนำอย่างไร ?

ในกรณีที่ต้องเรียนออนไลน์ผู้ใหญ่ควรให้เวลาเด็กได้พักสายตาจากหน้าจอ มีเวลาไปยืดเส้นยืดสายบ้าง ทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่การอยู่กับหน้าจอนานๆ ด้วย เป็นไปได้การเรียนออนไลน์ควรเป็นกิจกรรมที่ครูและเด็กๆ มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ถ้าเด็กหรือครอบครัวไหนไม่พร้อมในการเรียนออนไลน์ ครูอาจจะลองหาระบบการเรียนที่ทดแทนให้จนกว่าจะเปิดเทอมก็ได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่ไม่เหมาะนักกับการเรียนออนไลน์

นอกจากผู้ปกครองและเด็ก โรงเรียนก็มีส่วนสำคัญในการดูแลไม่ให้เด็กเสี่ยงติดเชื้อใช่ไหม?

ใช่แล้วค่ะ ในเมื่อโรงเรียนคืออีกตัวแปรสำคัญหมอแนะนำว่าควรจะฉีดวัคซีนให้คุณครู และคุณครูควรจะร่วมมือกับผู้ปกครองในการป้องกันผลกระทบต่างๆ ในกรณีที่เรียนออนไลน์ ปรับวิธีที่เหมาะสมในการให้เด็กเล็กเรียนออนไลน์ที่ทำให้เกิดผลกระทบไม่มากนัก

หมอพบว่าเด็กที่เรียนออนไลน์ได้ดี มักมีปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ คุณครูที่วางระบบการเรียนที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงวัย ควรเป็นเด็กที่โตในระดับหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่ปลูกฝังระเบียบวินัย การควบคุมตัวเองที่เหมาะสมตั้งแต่เล็กๆ รู้ว่าถึงเวลาเรียนก็ต้องเรียน เรียนเสร็จแล้วค่อยไปเล่น (เด็กเล็กๆ หรือเด็กที่สมาธิไม่ดีอยู่เดิม มักมีปัญหากับการเรียนออนไลน์) 

พ่อแม่และผู้ปกครองมีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เครียดมากไป จัดการอารมณ์ได้ในระดับหนึ่ง มีความพร้อมที่จะเข้ามาดูแลในเรื่องการเรียนออนไลน์ของเด็ก สามารถประสานกับคุณครูในการร่วมมือกันในเรื่องการเรียนหากมีปัญหา

สุดท้ายคุณหมอมีความเห็นต่อสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ขณะนี้อย่างไร

ผู้เกี่ยวข้องทุกคนควรจะควบคุมการระบาดให้ได้โดยเร็ว การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม ผู้รักษากฎหมายควบคุมเฝ้าระวังสถานที่และพฤติกรรมใดๆ ที่ผิดกฎหมายและทำให้เกิดการระบาดได้ (บ่อนการพนัน การหลบหนีของแรงงานเข้าประเทศผิดกฎหมายฯลฯ) และประชาชนมีความตระหนักรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)พญ.เบญจพร ตันตสูติสุขภาพกายใจ

Author:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • How to get along with teenager
    Teenage Burnout : ภาวะหมดไฟในวัยรุ่นวัย (หมด) ฝัน

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social IssuesCreative learning
    ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก : พลิกโควิดเป็นโอกาส กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    พรเพ็ญ เธียรไพศาล หันหลังให้ความกลัว ทำงานอาสาสู้ความเดือดร้อนของคนคลองเตยจากโควิด-19

    เรื่อง นฤมล ทิพย์รักษ์

  • Social Issues
    เก็บตัวอยู่บ้านอย่างไรให้มีความสุข

    เรื่อง The Potential ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel