Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: June 2021

ในวันที่พ่อแม่หรือบุคคลที่รักจากไป
Family Psychology
30 June 2021

ในวันที่พ่อแม่หรือบุคคลที่รักจากไป

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ‘ความตาย หรือการสูญเสีย’ ฟังดูเป็นเรื่องไกลตัวเด็กๆ ที่เพิ่งใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ไม่นาน แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ในวันที่ผู้ใหญ่จำเป็นต้องบอกพวกเขาเรื่องความเจ็บป่วยและความตายที่จะเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวพวกเขา เราสามารถเตรียมความพร้อมให้กับลูกได้
  • เริ่มตั้งแต่ให้เขารู้จักกับความตายผ่านนิทาน หนังสือ การ์ตูน หรือภาพยนตร์เพื่อให้เขาเข้าใจเรื่องดังกล่าว และหากสถานการณ์เกิดขึ้นแล้ว ผู้ใหญ่ควรบอกความจริงกับเด็กอย่างตรงไปตรงมา โดยใช้วิธีการอธิบายให้เหมาะกับวัยของเด็ก เช่น เล่าเป็นนิทานในเชิงเปรียบเทียบร่างกายกับสิ่งของที่เด็กคุ้นเคย เช่น บ้าน รถยนต์ หรือต้นไม้
  • ผู้ใหญ่สามารถชวนพูดคุยถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ ไม่ควรห้ามเด็กกลัว หรือห้ามไม่ให้เขาเสียใจ แต่เราควรรับฟังและย้ำเตือนถึงปัจจุบันที่เรายังอยู่กับเขาในวันนี้ ตอนนี้

บทสนทนาเรื่อง ‘ความตาย’ กับลูกวัยเยาว์

ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูกสองคน คนพี่อายุ 7 ปี คนน้องอายุเพียง 4 ปี วันหนึ่ง พ่อพบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ไม่มีทางรักษาหาย และคงไม่สามารถใช้ชีวิตได้ยืนยาวเหมือนคนอื่นๆ พ่อคิดอยู่นานว่า จะเล่าเรื่องนี้ให้ลูกๆ ฟังดีไหม เพราะลูกทั้งสองยังเป็นเด็ก แต่สุดท้าย พ่อตัดสินใจจะเล่าเรื่อง ‘ความจริง’ ให้ลูกๆ ฟัง

คืนนั้น หลังจากการเล่านิทานให้สองพี่น้องตามปกติฟัง และพ่อก็เริ่มเข้าเรื่องทันที…

พ่อ “รู้ไหมไม่นานมานี้พ่อไม่สบาย และต้องไปพบคุณหมอที่โรงพยาบาล”

สองพี่น้องพยักหน้า

พ่อ “คุณหมอบอกว่า ร่างกายของพ่อไม่สบาย”

ลูกคนโต “แล้วพ่อจะหายดีไหม”

พ่อ “น่าเสียดายที่ โรคที่พ่อเป็นยังไม่มียังไม่มียาที่รักษาให้หายได้ สักวันหนึ่งพ่อก็ต้องตายจากพวกเราไป…”

ลูกคนเล็ก “ตายคืออะไร”

พ่อ “ความตาย คือ การที่คนไม่หายใจ ไม่มีชีวิตแล้ว”

สองพี่น้อง …..

พ่อ “ร่างกายพ่อก็เหมือนบ้าน เวลาบ้านเราพังเราก็ซ่อม แต่ถ้าวันหนึ่งบ้านหลังนี้มันเก่ามากๆ ซ่อมหลายรอบจนซ่อมไม่ได้อีก คนในบ้านก็ต้องย้ายบ้านไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ดีกว่าหลังนี้”

ลูกคนโต “ทุกคนต้องย้ายบ้านไหม?”

พ่อ “ทุกคนต้องย้ายบ้าน สักวันหนึ่ง บ้านของลูกสองคนยังใหม่คงอยู่ได้นานกว่าพ่อ แต่ไม่ใช่ว่าบ้านหลังใหม่จะพังก่อนหลังเก่าไม่ได้นะ”

สองพี่น้อง “ยังไง?”

พ่อ “ถ้ามีพายุเข้ามาพัดบ้านพัง หรือรถมาชนบ้านพังก่อนเวลาอันควร เจ้าบ้านก็ต้องย้ายเหมือนกัน”

ลูกคนโต “งั้นเราก็สามารถตายก่อนพ่อได้เหมือนกัน?”

พ่อ “ใช่ เพราะความตายไม่เลือกว่า ใครแก่กว่าตายก่อน หรือเด็กกว่าต้องอยู่นานกว่า เป็นสิ่งที่เราไม่รู้ว่าจะมาหาเราเมื่อไหร่ แต่สักวันจะมาหาแน่นอน”

สองพี่น้อง “พ่อกลัวไหม?”

พ่อ “กลัวตายเหรอ? พ่อไม่กลัวตาย แต่พ่อกลัวว่า ถ้าพ่อไม่สอนในสิ่งที่พ่อจำเป็นต้องสอนเรา พ่อกลัวมากกว่า”

สองพี่น้อง “สอนอะไร?”

พ่อ “นี่คือ สิ่งที่พ่อตั้งใจจะสอน ตอนนี้ลูกสองคนอาจจะไม่เข้าใจ แต่นับจากวันนี้พ่อจะสอนเราทุกวันจนกว่าเราจะเข้าใจ…”

  1. ความเจ็บป่วย และความตายเป็นสิ่งที่เราต้องเจอแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
  2. เวลา คือ สิ่งที่มีค่ามากที่สุด มีค่ากว่าเงินทอง เพราะเราไม่รู้ว่า เรามีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้เท่าไหร่
  3. ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด มีสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้น นั่นคือการที่ไม่ยอมทำอะไรจนสายเกินไป
  4. อย่าทะเลาะกับคนในครอบครัวหรือคนที่เรารักข้ามวัน เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มีอยู่จริงไหม
  5. อย่าเศร้ากับเรื่องบางเรื่องนานจนมองไม่เห็นสิ่งดีๆ และความสุขตรงหน้าเรา

วันนั้นลูกคนเล็กอาจจะยังไม่เข้าใจลึกซึ้ง เพราะเด็กน้อยอาจจะยังเด็กเกินไป แต่พี่คนโตสามารถเข้าใจกระจ่าง สิ่งที่ส่งผลต่อสองพี่น้องหลังจากที่พ่อบอกเรื่องนี้ไป คือ ‘การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป’ แม้เด็กๆ จะเศร้ากับสิ่งที่พ่อบอก และรู้ว่าพ่ออาจจะอยู่กับพวกเขาได้อีกไม่นาน แต่เพราะรู้ก่อน จึงมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ เมื่อความตายเป็นเรื่องใกล้ตัว และเกิดขึ้นกับพ่อได้ทุกเมื่อ จึงทำให้สองพี่น้องพยายามโกรธกันข้ามวัน ให้อภัยได้เร็วกับสิ่งที่ผิดพลาด และพยายามทำดีต่อกันให้มากที่สุด

เด็กหลายคนที่มีพ่อแม่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง หรือต้องประสบกับเหตุการณ์ที่พ่อแม่เสียชีวิต ชีวิตของพวกเขาย่อมได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย แต่ถ้าหากมีการเตรียมตัว เตรียมใจที่ดี อย่างน้อยการจากลาย่อมมีความหมาย และทำให้ช่วงเวลาที่ก่อนจะจากลากัน พวกเขายังมีโอกาสทำสิ่งที่อยากทำ เมื่อวันที่ต้องจากกันมาถึง อย่างน้อยทั้งผู้ที่จากไปและผู้ที่ยังอยู่ต่อจะมีไม่สิ่งใดติดค้างในใจต่อกัน

“การเตรียมความพร้อมให้กับลูกวัยเยาว์ให้รับมือกับการสูญเสียบุคคลที่รัก”

แม้ความตายดูเป็นเรื่องไกลตัวของเด็กๆ ที่เพิ่งใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ไม่นาน แต่ความตายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้น ในวันที่เราจำเป็นต้องบอกพวกเขาเรื่องความเจ็บป่วยและความตายที่จะเกิดขึ้นกับเรา เราสามารถเตรียมความพร้อมให้กับลูกได้ ดังนี้

ขั้นที่ 1 ใช้สื่อช่วยให้เด็กๆ เข้าใจเรื่อง “ความตาย” และ “การจากลา” 

สำหรับเด็กเล็กการอ่านหนังสือนิทานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ “ความตาย” และ “การจากลา” จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจและรับรู้เรื่องยากนี้ได้ง่ายขึ้น 

ตัวอย่างหนังสือนิทานที่กล่าวถึงความตายและการจากลา

  1. “คุณตาจ๋า ลาก่อน” เขียนโดย Jelleke Rijken และ Mack van Gageldonk แปลโดย วิชุดา โอภาสโศภณ

วันนี้หมีน้อยกับคุณตาจะไปตกปลากัน แต่คุณตาไม่มา เมื่อไปตามคุณตา ก็พบว่า คุณตานอนแน่นิ่งไป คุณช้างบอกว่า “คุณตาตายแล้ว” หมีน้อยไม่เข้าใจ คุณช้างจึงพยายามอธิบายหมีน้อย สุดท้ายหมีน้อยเข้าใจว่า “แม้คุณตาจะจากไปแล้ว แต่คุณตาจะอยู่กับเขาตลอดไป”

  1. “คิดถึงนะครับแม่” เขียนโดย Rebecca Cobb แปลโดย ริยา ไพฑูรย์

วันหนึ่งแม่จากเด็กชายไปตลอดกาล หลังงานศพของแม่ เด็กชายกลับมาตามหาแม่ไปทั่วบ้านของเขา แต่ก็หาแม่ไม่เจอ เขาคิดไปต่างๆ นาๆ ว่า “แม่อาจจะโกรธเขาที่เขาเป็นเด็กดื้อ เลยไม่กลับมา” 

พ่อบอกเด็กชายตรงไปตรงมาว่า “แม่ตายแล้ว” หลังจากนั้นทั้งพ่อและเด็กชายต่างใช้เวลาร่วมกัน เพื่อร้องไห้ และรู้สึกถึงความโศกเศร้าให้เต็มที่ ก่อนที่จะก้าวต่อไป

สำหรับเด็กโต การดูภาพยนตร์หรือการ์ตูน สำหรับเด็ก ที่กล่าวถึงความตายและการจากลา จะช่วยให้พวกเขาเปิดใจและเข้าใจว่าสองสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา เช่น COCO วันอลวน วิญญาณอลเวง (2017), Soul อัศจรรย์วิญญาณอลเวง (2020), A Dog’s Purpose หมา เป้าหมาย และเด็กชายของผม (2017), Hana Miso’s soup ซุปมิโสะของฮานะจัง (2015) เป็นต้น

ขั้นที่ 2 บอกความจริงกับลูก

ผู้ใหญ่ควรบอกความจริงกับเด็กอย่างตรงไปตรงมา โดยใช้วิธีการอธิบายให้เหมาะกับวัยของเด็ก เช่น เล่าเป็นนิทานในเชิงเปรียบเทียบร่างกายกับสิ่งของที่เด็กคุ้นเคย เช่น บ้าน รถยนต์ หรือ ต้นไม้ และอธิบายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเปรียบเทียบกับสิ่งของที่แปรสภาพ

ขั้นที่ 3 ให้เวลากับลูก

“ความตายคือการจากไปอย่างถาวรของบุคคลนั้น” ดังนั้น ความน่ากลัวของความตายคือ “การหายไป” ผู้ใหญ่สามารถชวนพูดคุยถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ เราไม่ควรห้ามเด็กกลัว หรือห้ามไม่ให้เขาเสียใจ แต่เราควรรับฟังและย้ำเตือนถึงปัจจุบันที่เรายังอยู่กับเขาในวันนี้ ตอนนี้ 

“ตอนนี้ที่เราคุยกัน พ่อแม่ยังไม่ได้ตายจากลูกไปไหน ดังนั้น ถ้ามีอะไรที่พ่อแม่อยากทำให้ลูก พ่อแม่จะทำให้ดีที่สุด สำหรับลูกแล้วถ้ามีอะไรอยากทำอะไรด้วยกัน เราไปทำร่วมกันนะ”

แม้ว่าลูกในวันนี้ยังไม่สามารถเข้าใจและยอมรับทุกอย่าง แต่อย่างน้อยเขาได้รับรู้ความจริง และมีเวลาในการเตรียมตัวเตรียมใจไปกับเรา เพราะมันคงไม่ยุติธรรมกับลูก หากวันหนึ่งอยู่ดีๆ ร่างกายของพ่อแม่ที่เขารับรู้ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน และพ่อแม่ตายจากเขาไป โดยที่เขาไม่ได้เตรียมใจเลย

“เตรียมตัวก่อนจากไป”

สำหรับ “ผู้ที่ต้องจากไป” เราควรตระเตรียมจัดการสิ่งต่างๆ ที่สำคัญให้เรียบร้อยก่อนที่วันนั้นจะมาถึง… ได้แก่ ทำพินัยกรรม การส่งต่อหรือการแบ่งมรดก การบริจาคร่างกายหรืออวัยวะต่างๆ และการทำรายการทรัพย์สิน หรือ หนี้สิน ต่างๆ การจัดการเอกสารการเงินต่างๆ ให้เรียบร้อย

ที่สำคัญที่สุด คือ การแสดงความเจตจำนงสุดท้ายให้ชัดเจน หรือการทำ Living Will เพราะสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายบางท่าน อาจจะไม่สามารถสื่อสารได้แล้ว การทำ Living Will จะถือเป็นคำพูดสำคัญของเรา

5 ข้อมูลสำคัญในการเขียน Living Will ได้แก่ 

  1. ข้อมูลส่วนบุคคลความต้องการในระยะสุดท้ายของชีวิต เช่น ต้องการให้ยื้อชีวิตหรือไม่
  2. ต้องการให้ดูแลรักษาแบบใด เช่น ไม่ต้องการให้ใส่ท่อหายใจ ต้องการการรักษาแบบประคับประคองเท่านั้น
  3. ชื่อผู้ใกล้ชิดที่สามารถช่วยตัดสินใจกรณที่มีปัญหาได้ เช่น สามี / ภรรยา พ่อ / แม่ ของเรา
  4. การดูแลหลังเสียชีวิต เช่น ขอบริจาคร่างกายและอวัยวะให้กับโรงพยาบาล
  5. ลงลายมือชื่อ และอาจจะลงลายมือชื่อพยาน พร้อมบอกความเกี่ยวข้องด้วย 

เมื่อเขียน Living Will เสร็จแล้วให้ถ่ายสำเนาและรับรองสำเนาถูกต้อง มอบให้กับสมาชิกในครอบครัว และแพทย์ผู้ดูแลรักษาเรา เพื่อให้เข้าใจตรงกัน ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของขั้นนี้จึงเป็นการพูดคุยกับคนในครอบครัวให้ชัดเจนถึงเจตจำนงของเราเพื่อให้เข้าใจตรงกัน เมื่อวันนั้นมาถึงจะไม่มีความขัดแย้งและเราจะสามารถจากไปอย่างสบายใจ

ภาวะกตัญญูเฉียบพลัน

ภาวะที่ลูกหลานพยายามจะรักษาและยื้อชีวิตของพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายของตนเอาไว้สุดความสามารถ เพราะที่ผ่านมาพวกเขาอาจจะรู้สึกว่า ตนเองไม่ได้ทำหน้าที่ลูกหลานที่ดีอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้เกิดความรู้สึกผิด และพยายามจะชดเชยความรู้สึกผิดของตนเอง ผ่านการทำสิ่งต่างๆ เท่าที่จะนึกได้ ในช่วงสุดท้ายของชีวิตของพ่อแม่ หรือปู่ย่าตายาย

ดังนั้น เพื่อป้องกันภาวะกตัญญูเฉียบพลัน ลูกหลานควรให้ความสำคัญกับการทำสิ่งต่างๆ ที่อยากทำให้กับพ่อแม่และปู่ย่าตายายในวันที่เขายังมีสุขภาพแข็งแรง หรือยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

“การรับมือกับความสูญเสีย”

“The 5 Stages of Grief Model” โมเดล 5 ขั้นของความเศร้าโศก

จิตแพทย์ชาวสวิส Elisabeth Kübler-Ross ได้กล่าวว่า ธรรมชาติของมนุษย์ที่ตอบสนองต่อการสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียบุคคลที่รัก สูญเสียสิ่งที่รัก หรือแม้แต่การถูกพรากโอกาสบางอย่างไปจากชีวิต ล้วนเป็นความสูญเสียที่ส่งผลต่ออารมณ์ของมนุษย์ทั้งสิ้น ซึ่งรูปแบบการตอบสนองทางอารมณ์และระดับความรุนแรงของอารมณ์ที่แสดงออกมีความแตกต่างกันในแต่ละบุคคล และแต่ละช่วงเวลา

Kübler-Ross ได้พัฒนาขั้นตอนเพื่ออธิบายกระบวนการของผู้ป่วยที่มีอาการป่วยระยะสุดท้ายต้องผ่านไปเมื่อพวกเขาต้องรับรู้ว่า “ตนเองต้องเผชิญกับความตาย” ต่อมาขั้นตอนเหล่านี้ถูกนำไปใช้กับเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยด้วยเช่นกัน ขั้นตอนที่รู้จักกันแพร่หลายในชื่อย่อ “DABDA” ได้แก่

ขั้นที่ 1 Denial – ปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้น 

ปฏิกิริยาแรกคือการปฏิเสธ ในขั้นนี้บุคคลจะไม่อยากเชื่อว่า การวินิจฉัยผิดนั้นถูกต้อง หรือสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง และพร้อมจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการเชื่อ นั่นคือ “สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง” “ฉันกำลังฝันไป” “หมอวินิจฉัยพลาด” ทำให้ในขั้นนี้ หลายคนพยายามเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษา เพื่อต้องการความคิดเห็นที่สอง (Second opinion) ที่สาม หรือมากกว่านั้น  

ขั้นที่ 2 Anger – โกรธในสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อบุคคลตระหนักว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธความจริงตรงหน้าอีกต่อไป พวกเขาจะเข้าสู่ขั้นที่สอง คือ ความโกรธ พวกเขาจะหงุดหงิด โดยเฉพาะกับบุคคลที่ใกล้ชิด การตอบสนองทางจิตใจของบุคคลที่อยู่ในระยะนี้จะเป็นไปในลักษณะ โกรธเคืองและโทษสิ่งต่างๆ คนรอบตัว รวมทั้งตัวเองด้วย เช่น “มันไม่ยุติธรรมเลยที่คนที่ฉันรักต้องจากไป”  “ทำไมฉันต้องเจอกับเรื่องนี้ด้วย” “ฉันทำอะไรผิดถึงต้องมารับการลงโทษนี้ด้วย” เป็นต้น 

ขั้นที่ 3 Bargaining – การต่อรองวนไปวนมาภายในจิตใจ

ความหวังเดียวที่หลงเหลือยามที่ต้องสูญเสียบุคคลหรือสิ่งที่รักไป คือ การต่อรองที่เกิดขึ้นภายใจจิตใจ เช่น 

“ฉันจะเลิกกินเนื้อสัตว์ทั้งชีวิตเลย ขอให้พ่อของฉันกลับมามีชีวิตอยู่อีก ขอให้เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน”

“ถ้าฉันพูดดีๆ กับแม่ของฉัน แม่คงยังมีชีวิตอยู่”

“ถ้าเราไม่ทะเลาะกันวันนั้น เธอคงยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้” เป็นต้น

การต่อรองที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริงแล้ววนไปวนมาในหัว ทำให้เกิดเป็นความคิดย้ำทำ ซึ่งในขั้นนี้อาจจะนำไปสู่อาการซึมเศร้าในที่สุด

ขั้นที่ 4 Depression – อาการซึมเศร้า

อาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นในขั้นนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี

กรณีที่ 1 บุคคลมีอาการซึมเศร้าหลังสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป บุคคลใช้เวลากับเศร้าช่วงเวลาหนึ่งกับการไว้อาลัยและความโศกเศร้าที่เกิดขึ้น จากนั้นสามารถดึงตัวเองให้กลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้ง 

กรณีที่ 2 บุคคลมีอาการซึมเศร้าในระดับที่รุนแรง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเกินหนึ่งเดือน แต่ก็ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ ไม่สามารถกินอาหาร นอนหลับ ไปเรียนหรือทำงานได้ตามปกติได้ ที่สำคัญมีความคำทำร้ายตัวเองและไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ในกรณีบุคคลมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า ควรพบจิตแพทย์ทันที

ในกรณีที่ 2 มักเกิดขึ้นกับบุคคลที่สูญเสียบุคคลที่รักไปอย่างกระทันหัน ไม่ทันมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ หรืออาจจะมีปมติดค้างในใจที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลายกับบุคคลที่จากไป ทำให้เกิดความรู้สึกผิดต่อตัวเองและในบางคนไม่สามารถให้อภัยตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้

ขั้นที่ 5 Acceptance – การยอมรับ

หลังจากผ่านทุกขั้นตอนไปได้ บุคคลจะเกิดความรู้สึกยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และก้าวข้ามผ่านความสูญเสียเพื่อเติบโตต่อไป การยอมรับ ไม่ได้แปลว่า ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจอีกแล้ว บุคคลยังรู้สึกเศร้าเสียใจได้ แต่สามารถก้าวต่อไปได้

“การรับมือกับความเศร้าจากการสูญเสีย”

ข้อที่ 1 เราควรอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกเศร้า เสียใจ และร้องไห้ได้

เราไม่จะเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา และการร้องไห้ ไม่ได้แปลว่า เราอ่อนแอไม่ต้องรีบเดินต่อ หากเรายังไม่พร้อม ให้เวลากับความเศร้า และให้เวลากับตัวเองเท่าที่ต้องการ 

สำหรับเด็กๆ ก็เช่นเดียวกัน ผู้ใหญ่ควรอนุญาตให้เขารู้สึกเศร้า และร้องไห้ได้ อย่าบอกให้เขาหยุดร้องไห้ และเข้มแข็ง เพราะเขาไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งในยามที่เขาเศร้า เราต่างเป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกและควรได้รับอนุญาตให้แสดงความรู้สึกเหล่านั้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม

สำหรับเด็กเล็กบางคนยังคงคิดว่า “บุคคลที่เขารักจะกลับมา” หรือ “ไม่ได้ไปไหน” เด็กๆ จึงถามหาบุคคลเหล่านั้นอยู่ในช่วงแรก เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจว่า “ความตาย” ได้พรากบุคคลที่เขารักไปแล้ว เขาจะไม่สามารถเจอบุคคลเหล่านั้นในชีวิตจริงได้อีก

ข้อที่ 2 พูดคุยกับคนที่เราไว้ใจ 

ในยามที่เราเศร้า บางครั้ง การได้พูดถึงสิ่งที่เรารู้สึกออกมา ก็ทำให้ใจของเราที่ทุกข์โศก ได้รับการบรรเทาลงได้

สำหรับเด็กๆ พวกเขาอาจจะพูดออกมาได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ แต่ไม่ได้แปลว่า เขาจะรู้สึกน้อยไปกว่าเรา ดังนั้น ให้การเคียงข้าง กอด ปลอบประโลม และรับฟังเท่าที่เขาต้องการ บางครั้งเพียงเรานั่งลงข้างๆ ให้เขาเอนตัวมาพิงเรา โดยมีเราลูบหลังน้อยๆ ของเขา เท่านี้ก็ทำให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจได้

ข้อที่ 3 การพบจิตแพทย์หรือนักบำบัด

บางครั้งการสูญเสียบุคคลที่รักอาจจะหนักหนาเกินที่ใจของเราจะรับไหว การไปพบจิตแพทย์อาจจะเป็นทางออกที่ดี เพราะบางครั้งร่างกายที่ได้รับผลกระทบจากความเศร้าเป็นระยะเวลานาน อาจจะกลับมาทำงานได้ไม่ปกติตามเดิมด้วยตัวเอง ได้ ดังนั้นจิตแพทย์อาจจะช่วยปรับสมดุลตรงนี้ผ่านการจ่ายยา หรือการบำบัดด้วยวิธีต่างๆ 

สำหรับเด็กๆ การบำบัดมีหลายวิธีที่สามารถเยียวยาจิตใจพวกเขาได้ เช่น การเล่นบำบัด ศิลปะบำบัด ดนตรบำบัด และการพูดบำบัด เป็นต้น ยิ่งเรารู้ตัวเร็วว่า เราไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ วิตกกังวลจนเกินเหตุ ร้องไห้ไม่มีเหตุผล และอื่นๆ เราควรรีบมาพบจิตแพทย์ เพื่อจะได้รับการช่วยเหลือได้ทันท่วงที

“บทเรียนจากความตาย”

ข้อที่ 1 “ในวันที่เราต้องจากไป สิ่งที่จะยังคงอยู่กับลูก คือ ความรักและคำสอนจากเรา”

ในวันที่เรามีชีวิตอยู่ เราควรมอบความรักให้กัน เพื่อว่าวันที่เราจากไป ลูกจะยังรับรู้ถึงความรักของเราในตัวเขา

ในวันที่เรายังสามารถเฝ้าดูอยู่ไม่ห่างและให้ความช่วยเหลือลูกได้ ให้เราสอนเขาสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เพื่อว่าวันที่เราต้องห่างไกล ลูกยังสามารถทำสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเขาเอง

ในวันที่เรายังอยู่ด้วยกัน ให้เราสร้างสร้างประสบการณ์ดีๆ กับลูกให้มากที่สุด เพื่อว่าวันที่เรากลายเป็นเพียงความทรงจำของลูก เราจะเป็นภาพจำที่ดีในใจของเขา

ข้อที่ 2 “วันที่ดีที่สุด คือ วันนี้ที่เรายังมีชีวิตอยู่”

เราไม่รู้ว่า “ความตาย” จะพรากเรากับคนที่เรารักหรือสิ่งต่างๆ ไปเมื่อไหร่ ดังนั้น ในวันนี้ที่เรายังลืมตาตื่นขึ้นมามีลมหายใจ ทำให้วันนี้เป็นวันที่เรายังมีอยู่และวันที่เรายังมีชีวิต ทำให้เรามีโอกาสทำสิ่งต่างๆ ที่เราต้องการจะทำ และหนึ่งในนั้น คือ การทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเราเอง และคนที่เรารัก

เราไม่ควรทะเลาะกับคนที่เรารักข้ามวัน หรือ ลังเลที่จะแสดงความรักต่อคนที่เรารัก เพราะ “พรุ่งนี้อาจจะไม่มีอยุ่จริง”

ข้อที่ 3 “เมื่อคนที่เรารักตายจากไป สิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำให้เขาได้ คือ การใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีที่สุด”

“ความตาย” เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่อย่างใด

สักวันหนึ่งทั้งตัวเรา และคนที่เรารักต้องตายจากกันไป

อยู่แค่เพียงว่า “ใครจะจากไปก่อนกัน” ข้อนี้ไม่มีใครรู้

หากเราเป็นฝ่ายที่ต้องจากไปก่อน เราก็คงอยากให้ฝ่ายที่ยังอยู่มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข

ดังนั้น ในทางกลับกัน เราเสียเองที่ต้องเป็นฝ่ายที่ต้องอยู่ต่อไป สิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำให้เขาได้ คือ การใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีที่สุด “วันเวลามีค่าเสมอ” เพราะเราไม่รู้ว่า เราจะเหลือเวลาอยู่บนโลกนี้อีกนานเท่าไหร่ กอดลูกในวันที่เรายังมีกัน บอกรักเขาในวันทุกวัน เพื่อว่า “แม้ว่า เราจะจากไป ลูกยังคงรับรู้ถึงการเคียงข้างของเราเสมอ”

อ้างอิง
Ross, E. K. (2015). Attitudes Toward Death and Dying, On Death and Dying, Elisabeth Kübler Ross, 1973 (pp. 77-93). Routledge.

Tags:

การเลี้ยงลูกความสูญเสีย

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • How to enjoy life
    เลี้ยงลูกทั้งเหนื่อยทั้งหนัก ขอพักไปเล่นมือถือได้ไหม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    ‘ให้อิสระกับลูก ปล่อยให้เขาทำผิดบ้าง’ 6 แนวทางการดูแลเด็กในช่วงโควิด-19 ที่ไม่ซ้ำเติมความเครียดในครอบครัว

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Keep Your Hands Off Eizouken! (2020) มองเห็นสิ่งที่เราเป็นและสนับสนุน พ่อแม่ที่ลูกๆ อยากได้

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Family Psychology
    “ลูก…คนพิเศษ” แม้เด็กบางคนจะเกิดมาพร้อมกับความพิเศษบางอย่าง แต่เด็กทุกคนสามารถเติบโตมาเป็นตัวเองในแบบฉบับที่ดีที่สุดได้

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Movie
    Captain Fantastic : เลี้ยงลูกเหมือนเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่พร้อมรับความจริงไม่ต้องปรุงแต่ง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

รักดาราแล้วได้อะไร (ตอน 1): ยีนคลั่งคนดัง และต้นแบบในดวงใจ
How to enjoy lifeRelationship
30 June 2021

รักดาราแล้วได้อะไร (ตอน 1): ยีนคลั่งคนดัง และต้นแบบในดวงใจ

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อมีคำว่า “ดารา” ก็มีคนคลั่งไคล้แล้ว ในแง่ของสังคมมนุษย์ที่ค่อยๆ วิวัฒนาการไปเรื่อยๆ จ่าฝูงที่มีความโดดเด่นและเคยเป็นคนคนเดียวของชนชั้นปกครอง ก็แตกสาขาออกมาหลากหลายรูปแบบ ในด้านอำนาจเป็นรัฐมนตรี ในเศรษฐกิจเป็นซีอีโอหรือเป็นไฮโซ ในทางสมรรถนะร่างกายก็เป็นนักกีฬาทีมชาติ และหนึ่งในนั้นก็คือดารานั่นเอง 
  • ในวัยเด็กเรามีต้นแบบเป็นพ่อแม่ แต่พอเข้าสู่วัยรุ่นจะเริ่มหาต้นแบบอื่นๆ ที่มีอิทธิพลในสังคม และคนที่แสนมีความโดดเด่นในสังคมจะเป็นใครได้อีกล่ะครับนอกจากคนดังที่ออกตามสื่อต่างๆ ซึ่งงานวิจัยสมัยใหม่ก็เลยโยงว่า การที่เด็กคลั่งไคล้ดาราเพราะดาราคือตัวอุดมคติที่ตนต้องการจะเป็นนั้นเป็นคำอธิบายที่ฟังขึ้นทีเดียว 
  • สิ่งหนึ่งที่เติมเชื้อไฟรักของคนให้ดาราก็คือ เทคโนโลยี ปัจจุบันเรามีโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ว่าจะเป็น facebook, twitter, intagram ที่คอยอัปเดตชีวิต บางคนรู้เรื่องชีวิตดาราดีกว่ารู้เรื่องชีวิตคนในบ้านด้วยซ้ำ ความสนิทแบบ “เสมือนจริง” ทางข่าวสารข้อมูลนี่แหละ ที่สร้างความรู้สึกหลงใหล ครั้งไคล้ได้ยิ่งขึ้น

หากถามบางคนว่าทั้งชีวิตบอก “รัก” ใครบ่อยที่สุด คำตอบอาจจะไม่ใช่คนใกล้ตัว ไม่ใช่แม้แต่พ่อแม่ และคู่รัก แต่คนที่บอกรักบ่อยที่สุดก็คือดารา นักร้อง ไอดอลในดวงใจที่เราบอกผ่านคอมเมนต์ คำบรรยายตอนแชร์ภาพ หรือตอนเพ้อให้เพื่อน ๆ ฟัง 

คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครจะเห็นใครดูรูปของดาราที่ตัวเองชอบแล้วก็คิดในใจกับตัวเอง หรืออาจจะขอพูดให้เพื่อนฟังว่า “รักมาก!” ยิ่งเป็นวัยรุ่นแล้ว คำว่ารักมันไม่ใช่แค่การเปรียบว่าชอบมากๆ แต่มันคือรักแบบจริงจัง คลั่งไคล้ หลงใหล เห็นหน้าเคลิ้ม ฟังเสียงแล้วละลาย ยอมตายแทนก็ได้ สมัยก่อนยังไม่มีอินเทอร์เน็ตก็ต้องตัดรูปเก็บไว้ สมัยนี้สะดวกหน่อยเซฟภาพ หรือแชร์เอาก็ได้ หากเขาเล่นหนัง เล่นละครเรื่องไหนต้องตามดูให้ได้ ออกเพลงใหม่ต้องซื้ออัลบั้ม มีคอนเสิร์ตบัตรหายากแค่ไหนก็ห้ามพลาด บทสัมภาษณ์ตั้งใจอ่านกว่าหนังสือเรียน วันเดือนปีเกิด น้ำหนัก ส่วนสูง อาหารที่ชอบ โรคประจำตัว รู้ดียิ่งกว่าของเพื่อนๆ หรือครอบครัว เรื่องสินค้านี่เรียกว่าออกเถอะ เปย์ไม่อั้น 

ยิ่งสมัยนี้มีวัฒนธรรมไอดอลเข้ามาในไทย “การจับมือ” ที่เหมือนจะเป็นของฟรี แต่เหล่า “โอชิ” ก็พร้อมเปย์ทุ่มเทเพื่อให้ได้จับมือคนที่ตนเองชอบ พลังอะไรกันหนอที่ทำให้คนจำนวนมากรักและคลั่งไคล้ดารา ซึ่งก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แถมไม่ใช่คนรู้จักของเรา ไม่ได้สนิทกับเรา ไม่เคยคุยด้วย (อาจมีได้คุยตอนอีเวนต์นานไม่กี่วินาที) จริงอยู่ที่คนดังที่คนหลงใหลมักจะหน้าตาดี แต่คนหน้าตาดีมันก็มีถมไป วันนี้เราเลยจะมาคุยเรื่องนี้กันว่า ความรักที่มีให้แก่ดารานั้นมันมาจากไหนกัน

แต่ก่อนที่เราจะคุยกันต่อ ผมอยากให้ผู้อ่านทราบว่าบทความนี้ไม่ได้ต้องการสื่อว่าการหลงรักหรือคลั่งไคล้ดาราเป็นเรื่องถูกหรือผิด เราไม่ได้คัดค้านหรือสนับสนุน และเราไม่ได้มาฟันธงหรือจะมาชี้ว่าใครจะรักดาราในดวงใจด้วยเหตุผลที่บอกนี้เท่านั้น แน่นอนว่าหากเป็นเรื่องของความคิด อารมณ์ ความรู้สึกของแต่ละคนมันละเอียดซับซ้อน มีที่มาที่แตกต่างกันไป แต่ผมอยากมาชวนดูเหตุผลเบื้องหลังปรากฏการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจนี้กันว่าการวิจัยในหลากหลายวงการเขาอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไรบ้าง

การคลั่งไคล้ดารานั้นเป็นเรื่องที่มีมานานมากครับ จะบอกว่ามีคำว่า “ดารา” ก็มีคนคลั่งไคล้แล้ว และในแวดวงการวิจัยเกี่ยวกับมนุษย์และสังคมต่างก็ศึกษาเรื่องการคลั่งไคล้ดารากันมานานแล้ว 

งานวิจัยจากศาสตร์คนละสาขาก็อธิบายในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป แง่มุมแรกที่ผมอยากนำเสนอนั้นคือเรื่องของวิวัฒนาการมนุษย์ เพราะเป็นสิ่งที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด ในทางวิวัฒนาการนั้นสิ่งที่คนเราทำหรือรูปแบบความคิดของมนุษย์ล้วนแต่มีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นทางวิวัฒนาการ ก็คือการเพิ่มโอกาสอยู่รอด หรือเพิ่มโอกาสการมีคู่ เพื่อมีลูกหลานสืบทอดยีนต่อไป แล้วการคลั่งไคล้ดารามันจำเป็นต่อในแง่ไหนกัน

หากท่านย้อนไปในสมัยดึกดำบรรพ์ที่มนุษย์ยังออกหาของป่าล่าสัตว์ประทังชีวิต หรือย้อนไปไกลกว่านั้นสมัยที่เรายังเป็นลิงไม่มีหาง สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนปัจจุบันคือเราเป็นสัตว์สังคมเหมือนเดิม แต่สังคมของเราทั้งหมดก็มีแค่ฝูงหลักสิบตัวครับ และธรรมชาติของเรานั้นก็เหมือนกับสัตว์ที่มีฝูงอื่นๆ ที่สังคมมีลำดับชั้นว่าตัวไหนแข็งแกร่งสุดเป็นจ่าฝูง หรือถ้าสมัยเราเป็นมนุษย์แล้วก็เรียกว่าหัวหน้าเผ่า

อำนาจนั้นอาจจะมีหลากหลายชั้นลดหลั่นกันลงมาตามความแข็งแกร่ง ในสมัยนั้นการจะเอาตัวรอดไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะแค่อาหารไม่ได้หาได้ง่ายๆ แล้วต้องเสี่ยงชีวิตตระเวนออกหาออกล่าในทุ่งในป่า และตอนที่ได้อาหารมาแล้วแบ่งกันในฝูงนั้น ก็จ่าฝูงนี่แหละที่จะมีอำนาจในการได้ของที่ดีๆ ไปกินก่อน หรือแม้แต่ตัดสินว่าจะให้อาหารที่ได้มากับใครมากน้อยแค่ไหน หากเราไม่พอใจก็ต้องหาทางทำให้ตัวเองแข็งแกร่งพอจะไปแย่งชิงตำแหน่งในสูงฝูงๆ มาให้ได้ 

แต่อีกวิธีที่อาจจะง่ายกว่าคือ ทำตัวสนิทกับจ่าฝูงเข้าไว้ ถ้าจ่าฝูงถูกใจเรา เราก็อาจจะได้ส่วนแบ่งอาหารมากตามไปด้วย เหมือนได้อาศัยบารมี การจะไปตีสนิทกับใครก็ต้องรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายไว้มากๆ อยากสนิทกับจ่าฝูงหรือหัวหน้าเผ่าก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเขาชอบอะไรจะได้เอาใจ เขาอยู่ที่ไหนจะได้ไปเสนอหน้า เขาเกลียดอะไรจะได้ไม่ทำ หรือในกรณีที่เป็นเพศตรงข้ามของจ่าฝูง การได้จ่าฝูงเป็นคู่การันตีทั้งยีนที่แข็งแกร่ง และส่วนแบ่งอาหารให้ลูกที่มากพอ ดังนั้นต้องรู้ไปถึงขั้นจ่าฝูงชอบใครอยู่ มีคู่หรือยัง รสนิยมแบบไหน การรู้ข้อมูลของจ่าฝูงนั้นจึงสำคัญกับการเอาตัวรอดของเราอย่างยิ่งในสมัยก่อน แต่ว่าแล้วในสังคมปัจจุบัน ดาราไปเกี่ยวอะไรกับจ่าฝูง…

สังคมมนุษย์นั้นค่อยๆ วิวัฒนาการไปเรื่อยๆ ครับ อย่างแรกคือขนาดหรือจำนวนคน ที่จากหลักสิบเพิ่มเป็นหลักร้อยหลักพัน จนตอนนี้เราไปจนถึงสังคมระดับประเทศในหลักสิบล้าน จ่าฝูงที่เคยเป็นคนคนเดียวของชนชั้นปกครอง ก็แตกสาขาออกมาหลากหลายรูปแบบ ในด้านอำนาจเป็นรัฐมนตรี ในเศรษฐกิจเป็นซีอีโอหรือเป็นไฮโซ ในทางสมรรถนะร่างกายก็เป็นนักกีฬาทีมชาติ เรามีจ่าฝูงหลากหลายสาขาและหนึ่งในนั้นก็คือดารานั่นเอง 

จ่าฝูงที่โดดเด่นในด้านหน้าตา น้ำเสียง บุคลิก หรือรวมๆ ก็คือด้านเสน่ห์ แม้ความรู้สึกอาจจะแตกต่างจากการเคารพบูชาจ่าฝูงหรือหัวหน้าเผ่า แต่กลไกของจิตใจที่ใช้คลั่งไคล้ดาราเป็นกลไกแบบเดียวกัน ดังนั้นมนุษย์ก็เลยชอบติดตามข่าวสารของบุคคลเหล่านี้มากเป็นพิเศษ จะในหนังสือพิมพ์ เว็บข่าว หรือแอปโซเชียล จะมีข่าวอะไรที่มีมากและคนชอบอ่านไปกว่าข่าวบันเทิง กีฬา การเมือง เพราะว่าคนเหล่านี้ก็คือจ่าฝูงในยุคสมัยใหม่ที่ “แกร่ง” กว่าคนทั่วไปในสังคม จนยีนมันมากระตุ้นให้เราอยากรู้ อยากเห็นชีวิตของคนเหล่านั้นโดยอัตโนมัติ 

จริงอยู่ครับที่การรู้ข่าวของดาราอาจไม่ได้ช่วยให้เราเอาตัวรอดในได้ดีขึ้น และคงน้อยคนที่จะหวังอย่างจริงจังที่จะมีคนรักเป็นดาราที่ตนเองชอบเพื่อที่จะคว้ายีนเสน่ห์อันโดดเด่นจากพวกเขามาให้ลูก แต่ในทางวิวัฒนาการนั้นนิสัยที่ฝังอยู่ในยีนนั้นเปลี่ยนยากมากๆ ครับ มันจะเป็นกลไกอัตโนมัติที่เราไม่รู้ตัว และมันใช้เวลาหลักแสนหลักล้านปีในการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มากับยีนของเรา

อย่างไรก็ตาม หากอธิบายด้วยวิวัฒนาการเพียงอย่างเดียว ถึงจะเห็นภาพว่าทำไมเราถึงอยากรู้ข้อมูลข่าวสาร แต่การจะอธิบาย “ความรัก” ในระดับความคลั่งไคล้นั้นคงยังไม่ชัดเจนเท่าไร กลไกของความรู้สึกนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน จนถึงตอนนี้ก็ใช่ว่าจะอธิบายได้หมด แต่สมัยก่อนมีหนึ่งในนักจิตวิทยาที่กล้าออกตัวทฤษฎีกลไกของจิตใจ “ทั้งระบบ” คือ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ คนที่หลายคนอาจจะคุ้นหูดีในเรื่องการบำบัดผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต แต่ฟรอยด์ไม่ได้มีทฤษฎีเกี่ยวกับผู้ป่วยจิตเวชเท่านั้นนะครับ เขาพยายามสร้างทฤษฎีหลักที่ใช้อธิบายกลไกของจิตใจมนุษย์ทั้งระบบมาโดยตลอด ซึ่งหนึ่งในความคิดนั้นคือชีวิตมีแรงที่ชื่อว่า “ลิบิโด” ที่เป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์ชีวิต หรือก็คือการมีเพศสัมพันธ์นั่นแหละครับ เป็นหนึ่งในพลังสำคัญ แนวคิดของเขานั้นพอเวลาผ่านไปก็ค่อย ๆ มีคนตีตกไปทีละเรื่องๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องครับ ทฤษฎีของฟรอยด์ยังมีอิทธิพลและเป็นรากฐานของจิตวิทยาในปัจจุบันอย่างยิ่ง และเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือ ตัวตนบุคลิกของผู้ใหญ่นั้นล้วนแต่ส่งผลมาจากชีวิตในวัยเด็ก 

ฟรอยด์อธิบายว่า การที่เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เด็กต้องผ่าน “ปม” หรือสิ่งสำคัญที่ต้องแก้ไขให้ได้หลายอย่างให้ได้ ปมที่เราจะพูดถึงกันวันนี้ชื่อ “ปมโอดิปุส” 

สรุปง่ายๆ คือ โดยธรรมชาตินั้น เด็กผู้ชายจะเกิดมารักแม่ ส่วนเด็กผู้หญิงจะรักพ่อ ซึ่งไม่เป็นรักในแบบคนรักหรือชู้สาวนั่นแหละครับ พอเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะต้องการสร้างสิ่งที่เรียกว่า “อัตลักษณ์” (identity) ของตนเอง เพื่อตอบคำถามว่าตนเป็นใคร มีจุดเด่นตรงไหน ตนเองควรจะเป็นคนแบบไหนถึงจะดี โดยปมโอดิปุสจะมีผลกับการสร้างตัวตนดังกล่าว จากการที่เด็กผู้ชายรักแม่ แต่แม่มีพ่อเป็นคนรักอยู่แล้ว เด็กผู้ชายเลยจะสร้างอัตลักษณ์ด้วยการเลียนแบบพ่อของตนเอง เพราะพ่อเป็นคนที่แม่รัก ถ้าตนเป็นแบบพ่อแม่ก็น่าจะรักตนด้วย เช่นเดียวกับเด็กผู้หญิงจะตรงกันข้ามกันก็คือรักพ่อ จึงเลียนแบบแม่ เพราะแม่คือคนที่พ่อรัก 

ประเด็นคือเด็กนั้นไม่ได้ใช้พ่อหรือแม่เป็นต้นแบบตลอดกาล พอเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นต้นแบบในการเลียนแบบนั้นจะย้ายที่ เด็กผู้ชายจะยึดติดกับปมโอดิปุสน้อยลง และเริ่มหันมาสนใจว่าจะทำอย่างไรให้ตนเป็น “ผู้ชายในอุดมคติ” และจะเริ่มหาต้นแบบอื่นๆ ที่มีอิทธิพลในสังคม และคนที่แสนมีความโดดเด่นในสังคมจะเป็นใครได้อีกล่ะครับนอกจากคนดังที่ออกตามสื่อต่างๆ ซึ่งงานวิจัยสมัยใหม่ก็เลยโยงว่า การที่เด็กคลั่งไคล้ดาราเพราะดาราคือตัวอุดมคติที่ตนต้องการจะเป็นนั้นเป็นคำอธิบายที่ฟังขึ้นทีเดียว 

งานวิจัยยังพบความสอดคล้องว่า คนดังที่เด็กวัยรุ่นผู้ชายมักจะคลั่งไคล้นั้นมักจะเป็น นักกีฬา เพราะการเล่นกีฬาเก่งมักเป็นอุดมคติของเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ ส่วนดารานั้นผู้ชายจะชอบในรูปแบบภาพลักษณ์ที่ “แมน” ห้าม ดุดัน ไปจนถึงก้าวร้าวเลยก็ได้ ซึ่งต่างสะท้อนถึงผู้ชายในแบบฉบับของสังคมทั้งนั้น 

อย่างไรก็ตามในเด็กผู้หญิงนั้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะใช้วิธีที่ต่างจากเด็กผู้ชาย เพราะเด็กผู้หญิงจะเน้นการสร้างอัตลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับ “การหาคู่รักในอุดมคติ” ผู้หญิงที่แต่เดิมเลียนแบบแม่ จึงเปลี่ยนมาสนใจคนเพศชายคนอื่นๆ ที่นอกจากพ่อแทนว่าจะสร้างตัวตนอย่างไรถึงจะเป็นคนรักที่ดีพร้อมของชายในอุดมคติ ดังนั้นเด็กผู้หญิงจึงสนใจดาราชายแทนที่จะดูต้นแบบดาราหญิง การวิจัยจำนวนมากยังพบว่าเด็กผู้หญิงจะคลั่งไคล้ดาราชายที่รูปลักษณ์ น้ำเสียง บุคลิกภาพ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่เป็นคุณภาพของชายที่ต้องการจะมาเป็นคนรัก 

การได้หลงรักดาราเป็นเหมือนสนามฝึกซ้อมความรักของเด็กผู้หญิง แถมเป็นสนามฝึกซ้อมที่ “ปลอดภัย” เพราะการคลั่งไคล้ดารานั้น น้อยคนมากที่จะคิดว่าสุดท้ายตนจะได้เป็นคนรักเขาจริงๆ แต่เหมือนแค่ซ้อมรักคนคนหนึ่งไปก่อน

การสร้างอัตลักษณ์นั้นมีผลต่อตัวตนของคนหนึ่งมากครับ บุคคลต้นแบบเรียกได้ว่าเป็นเหมือน “ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ” ก็ว่าได้ ดังนั้นจึงมีการให้ความสำคัญเหมือนมีความรักที่ท่วมท้นต่อบุคคลที่ตนใช้เป็นแนวทางการกำหนดตัวตนของตนเอง ซึ่งต้นแบบของวัยรุ่นก็มักจะเป็นดารา นักกีฬา และคนดัง ยิ่งในเด็กผู้หญิงที่ดาราเป็นเหมือนตัวแทนของคนรักแล้ว ความคลั่งไคล้ในนักร้องดาราหนุ่มของเด็กวัยรุ่นผู้หญิงจึงเป็นสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนกว่าในเด็กผู้ชายเยอะ บรรดาแฟนคลับของดารากลุ่มใหญ่ที่สุดก็คือเด็กผู้หญิงนี่แหละครับ ผู้ชายเองจะที่แสดงความคลั่งไคล้น้อยกว่า ส่วนหนึ่งเพราะการสร้างอัตลักษณ์ไม่มีเรื่องโรแมนติกมาโยงด้วย 

สิ่งหนึ่งที่ทั้งเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชายจะเป็นเหมือนกันคือ พออายุมากขึ้นอัตลักษณ์จะเริ่มมั่นคง และเข้าที่เข้าทางว่าตัวตนของตนควรเป็นแบบไหน ดาราที่เป็นเหมือนต้นแบบเลยมีอิทธิพลกับชีวิตน้อยลง ดังนั้นอาการคลั่งไคล้ดาราแบบวัยรุ่นจะพบน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ

สองคำอธิบายบนนั้นอาจจะสรุปได้ว่ากลไกทั้งทางยีน และทางจิตใจของมนุษย์ถูกออกแบบมาเพื่อคลั่งไคล้ดาราอยู่แล้วก็ได้ เหมือนธรรมชาติของตัวมนุษย์เองเป็นเหมือนตัวจุดประกาย แต่ไฟรักนี้ยังรุนแรงขึ้นด้วยอีกเหตุผลครับ สิ่งหนึ่งที่เติมเชื้อไฟรักของคนให้ดาราก็คือ เทคโนโลยี ในสมัยโบราณเราจะรู้จัก สนิท ผูกพันกับใคร ก็มักมาจากการเริ่มรู้สารทุกข์สุกดิบของอีกฝ่าย สมัยก่อนหากเราไม่รู้ด้วยตนเองก็ฟังจากที่คนอื่นเล่า ซึ่งก็อาจจะไม่ละเอียดนัก แต่พอเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น เริ่มมีสื่อ ตั้งแต่ข่าวบันเทิงบนหน้าหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือโทรทัศน์ที่มาคอยอัปเดตชีวิตคนดังให้เราฟังทุกวี่ทุกวัน และในปัจจุบันเรามีโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ว่าจะเป็น facebook, twitter, intagram ที่อัปเดตชีวิตข่าวสารความเป็นไปทั้งจากนักข่าว คนวงใน รวมถึงตัวดาราเองมาอัปเองที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนรู้จักดารามากขึ้นจากนั่งอ่านนั่งฟังข่าวเหล่านั้นได้ตลอดเวลา บางคนรู้เรื่องชีวิตดาราดีกว่ารู้เรื่องชีวิตคนในบ้านด้วยซ้ำ ความสนิทแบบ “เสมือนจริง” ทางข่าวสารข้อมูลนี่แหละครับ ที่สร้างความรู้สึกหลงใหล ครั้งไคล้ได้ยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ คนเรานั้นมีกลไกทางจิตใจอย่างหนึ่งคือการ “ร่วมรู้สึก” (empathy) คือ เวลารู้ว่าใครรู้สึกอะไร เราจะเหมือนมีอารมณ์ร่วมไปด้วย บางครั้งการได้รู้ว่าคนหนึ่งที่เราชอบเรารัก มีความสุข หรือทุกข์ เราเองก็ร่วมรู้สึกในแบบเดียวกัน และข่าวบันเทิง และ tweet ทั้งหลายนี่แหละ ที่มาทำให้เราร่วมรู้สึกไปกับชีวิตของคนดังทั้งหลาย ดารามาโพสต์เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันให้เรารู้สึกอินไปกับเรื่องราวเหล่านั้นด้วย เหมือนได้เห็นคนสนิทดีใจ หรือเสียใจ มันก็ทำให้อารมณ์เราเปลี่ยนไปตามคนนั้นเหมือนกัน พอยิ่งเสพก็ยิ่งรู้สึกใกล้ชิด และยิ่งหลงรัก แล้วก็ยิ่งทำให้ตามเสพข่าวสารพวกนี้เพิ่มอีกเรื่อยๆ เป็นวัฏจักร 

ที่คุยกันมาถึงตอนนี้น่าจะทำให้เห็นที่มาที่ไปของการ “รักดารา” กันมากขึ้น แต่อย่างที่เราคุยกันไว้ครับ ว่ามันไม่ได้ใช้ได้กับทุกกรณี อย่างที่เห็นภาพชัดเลยคือ คนดังในรูปแบบใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในสังคมไทยไม่นานที่เรียกกันว่า “วัฒนธรรมไอดอล” ที่คำอธิบายด้านบนนั้นอาจจะไม่ตอบโจทย์ เพราะคนที่คลั่งไคล้ไอดอลไม่ได้มีแต่เด็กผู้หญิงหรือวัยรุ่น ไอดอลหญิงอย่าง AKB48 ของญี่ปุ่นหรือ BNK48 ของไทยต่างก็มีแฟนๆ ทั้งชายหญิง วัยรุ่น จนถึงผู้ใหญ่วัยทำงาน 

ถ้าแบบนั้นยังมีพลังอะไรอีกที่ทำให้คนเรากลายเป็น “โอชิ” ของไอดอล บทความนี้ขอพูดถึงเรื่องนี้ในตอนต่อไปแล้วกันครับ แล้วพบกันใหม่ครับ

อ้างอิง

Engle, Y., & Kasser, T. (2005). Why do adolescent girls idolize male celebrities?. Journal of Adolescent Research, 20(2), 263-283.

Karniol, R. (2001). Adolescent females’ idolization of male media stars as a transition into sexuality. Sex Roles, 44(1), 61-77.

Raviv, A., Bar-Tal, D., Raviv, A., & Ben-Horin, A. (1996). Adolescent idolization of pop singers: Causes, expressions, and reliance. Journal of Youth and Adolescence, 25(5), 631-650.

ดิแลน อีวานส์. (2559). จิตวิทยาวิวัฒนาการ (พงศ์มนัส บุศยประทีป, แปล). กรุงเทพฯ , มูลนิธิเด็ก.

ริชาร์ด แอพพิกนาเนซี. (2562). ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (พงศ์มนัส บุศยประทีป, แปล). กรุงเทพฯ , มูลนิธิเด็ก.

https://www.bbc.co.uk/bitesize/articles/zjgv6v4

https://www.livescience.com/18649-oscar-psychology-celebrity-worship.html

https://www.sainte-anastasie.org/articles/psicologia/caractersticas-del-fenmeno-fan-entre-los-adolescentes.html

Tags:

จิตวิทยาความเข้าอกเข้าใจ(empathy)ความรักอัตลักษณ์ (identity)

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Family Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.3 การแสดงออกซึ่งความรัก

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • How to enjoy life
    ณัฐวุฒิ เผ่าทวี: เศรษฐศาสตร์ความสุขในครอบครัว “ถ้าคนหนึ่งสุขที่สุด แล้วคนอื่นทุกข์อยู่หรือเปล่า”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • BookFamily Psychology
    การแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกในครอบครัวคือขุมพลังชีวิตของลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Relationship
    HURTING YOURSELF = HURTING YOUR KID แม่เจ็บ ลูกยิ่งเจ็บ

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

‘ล้อเลียน’ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ : เส้นบางๆ ระหว่าง playful กับ hurtful ที่ทำให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียน
29 June 2021

‘ล้อเลียน’ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ : เส้นบางๆ ระหว่าง playful กับ hurtful ที่ทำให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียน

เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • การล้อเลียนเป็น Generalistic Context มันคือบริบทที่สามารถเกิดได้ทั่วๆ ไป และเกิดได้อย่างธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนอยู่กับการล้อเลียนหรือการถูกล้อมาตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ ซึ่งวัยรุ่นเป็นวัยที่เจอกับการล้อเลียนหนักที่สุดแล้ว
  • ระดับการล้อเลียนมี 3 สถานะ โดยส่วนมากเราอาจจะอยู่ในสถานะสีเหลือง แต่ถ้าหากมันล้ำเส้นขึ้นมามันก็อาจจะกลายเป็นสีส้มหรือสีแดง
  • ผลกระทบจากการล้อเลียน มากที่สุดคือ  เด็กมีความอยากเอาคืน รองลงมาคือ เด็กมีความเครียดโดยไม่จำเป็น สิ่งหนึ่งที่จะเกิดตามมาก็คือ เด็กไม่อยากไปโรงเรียน เพราะการถูกล้อเลียนทำให้เขาเฮิร์ทฟูล เขาอยากหลีกหนีจากสิ่งที่ทำให้ทุกข์

“อ้วน เตี้ย ดำ บ้านนอก” หรือแม้แต่เรียกแทนกันด้วยชื่อพ่อแม่ของอีกฝ่าย คล้ายจะเป็นเรื่องล้อเล่นของเด็กๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่น่าเชื่อว่าจนถึงวันนี้ที่โลกเปลี่ยนไปอย่างมากมาย เราก็ยังเห็นพฤติกรรมแบบนี้ในโรงเรียน 

ทำไมเด็กบางคนถึงชอบล้อชื่อพ่อชื่อแม่ ล้อสีผิว ล้อรูปร่างคนอื่น การล้อกันมันสะท้อนจิตใจของเด็กอย่างไร และส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กที่ถูกล้อเลียนมากแค่ไหน? ที่สำคัญคนใกล้ชิดจะช่วยเด็กให้รับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร? เราหอบความสงสัยนี้ต่อสายตรงถึง นีท – เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ นักจิตวิทยาโรงเรียน 

เธอบอกว่า การล้อเลียน (teasing) ก็คือการล้อคนในปมด้อย เริ่มจากผู้ใหญ่ล้อเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนกว่าที่คิด การล้อเลียนจะแตกต่างจากการบูลลี่ซึ่งชัดเจนว่าเป็นเรื่องความรุนแรง เพราะมันคือการทำให้อีกคนได้รับความเจ็บปวดอย่างแน่นอน แต่ในประเด็นของการล้อเลียนมันมีความตลกขบขันเข้ามาเกี่ยวด้วย จึงเป็นความกำกวมว่าจะเข้าข่ายรุนแรงหรือไม่ เพราะไม่ได้มีเพียงด้านลบอย่างเดียว ดังนั้นจึงอยากให้ดูที่วัตถุประสงค์หรือเจตนาของผู้กระทำ “ถ้าเจตนาเขาดี แล้วเราโอเค” เรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ แต่หากทำให้อีกคนเจ็บปวด อาจจะกลายเป็นความรุนแรงได้ และอาจทำให้เป็นเด็กที่ค่อนข้างก้าวร้าว 

“การล้อเลียนมันไม่มีความตายตัว ไม่สามารถตอบได้ว่าเราล้อเลียนเพราะอะไร ทุกอย่างมันมีเหตุและมีผล ก็ต้องมาดูว่าถ้าเป็นกรณีที่หนึ่ง ฉันไม่ชอบขี้หน้าและต้องการทำให้เขาเจ็บปวด อันนี้คือตอบได้ว่ามันคือสิ่งที่เราไม่เรียนรู้วิธีการจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง” 

บทสนทนานี้จะชวนทุกคนทำความรู้จักพฤติกรรม ‘การล้อเลียน’ ที่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไปพร้อมๆ กันว่า มันคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วเราจะดีลกับมันอย่างไรดี 

มนุษย์อยู่กับการล้อเลียน

“เราไปอ่านเจอในหนังสือเขาบอกว่า การล้อเลียน มันเป็น Generalistic Context มันคือบริบทที่สามารถเกิดได้ทั่วๆ ไป และเกิดได้อย่างธรรมชาติ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนมนุษย์ทุกคนอยู่กับการล้อเลียน หรือการถูกล้อมาตั้งแต่เด็กๆ ยังจนโต ซึ่งวัยรุ่นเป็นวัยที่เจอกับการล้อเลียนหนักที่สุดแล้ว” 

เนื่องจากหลายๆ เรื่องวัยรุ่นก็เซนซิทีฟมากที่สุด แม้ว่าการล้อจะมีทุกช่วงวัย แต่วัยรุ่นเป็นวัยที่โดนล้อหนักที่สุด อีกทั้งจากการสำรวจเรื่อง “บูลลี่ กลั่นแกล้ง ความรุนแรงในสถานศึกษา” ของเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน พบว่า เด็กอายุ 10-15 ปี อยู่ในช่วงการถูกล้อเลียนและบูลลี่มากที่สุด ซึ่งการถูกล้อเลียนเป็นอันดับที่สองที่เด็กๆ โดน โดยจะล้อบุพการีร้อยละ 43.57, พูดจาเหยียดหยามร้อยละ 41.78 และอื่นๆ เช่น นินทา ด่าทอ ชกต่อย ล้อปมด้อย พูดเชิงให้ร้าย เสียดสี กลั่นแกล้งในสื่อออนไลน์

“ซึ่งในเด็กเล็กก็โดนล้อนะ แต่บางทีเขาอาจจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ได้ ด้วยความที่มันอาจจะมีเรื่องของ Cognition (ความรู้ความเข้าใจ) มันคือพัฒนาการทางสมองที่เด็กๆ อาจจะยังไม่ได้ Aware(ตระหนัก) กับสิ่งที่แมสเซสส่งมาแล้วรู้สึกว่า นี่ล้อฉันนี่นา ฉันไม่พอใจนี่นา คำมันก็เลยอาจจะทำให้เด็กๆ ที่ถูกล้อไม่ได้ตีความลึกซึ้ง อันนี้ในเด็กเล็กๆ ก็คงมีโดน ก็อาจจะไม่พอใจนิดหน่อย แล้วก็หายไป หรือบางคนอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันถูกล้ออยู่นะ” 

ต่างจากในมุมของผู้ใหญ่ ซึ่งเธอเล่าว่า บางครั้งเราก็มีการจัดระบบสมอง หรือว่ามีการเลือกรับข้อมูล ข้อมูล เป็นการตีความของผู้ใหญ่ที่อาจจะมองว่ามันไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับชีวิตเท่าไร และปล่อยมันไป เหมือนที่เขาว่า ลอยตัวเหนือดรามา นี่ก็เป็นการลอยตัวเหนือคำล้อเลียน   

5 เรื่องที่คนเรามักจะล้อหรือโดนล้อกันและระดับของการรับรู้ที่ไม่ควรละเลย

นีทอธิบายต่อว่า โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะล้อหรือโดนล้อกันด้วย 5 เรื่อง เรื่องแรกคือ การแสดงออกและบุคลิกภาพในเรื่องทั่วไป เช่น เราอาจเป็นคนไม่เก่งกีฬา ก็อาจจะโดนล้อเรื่องเพอฟอร์แมนซ์ที่แสดงออกมาว่าเล่นกีฬาไม่เก่ง เล่นดนตรีไม่เก่ง เต้นไม่สวย ร้องเพลงไม่เพราะ หรืออาจจะเป็นในเรื่องของบุคลิกภาพ เช่น เดินไม่ดี เดินหลังค่อม เดินลากเท้า อันนี้ก็จะเป็นบุคลิกภาพที่เราจะโดนล้อ 

เรื่องที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การเรียน ซึ่งก็โดนสองอย่าง “เรียนเก่งคนก็อิจฉา เรียนไม่เก่งคนก็ว่าโง่”เรื่องที่สามเป็นการล้อในเรื่อง การเข้าสังคมหรือเป็นบุคลิกภาพที่เกี่ยวกับการเข้าสังคม เช่น เธอไม่ใช่คนร่าเริง เป็นคนขี้อาย ขี้กังวล สื่อสารไม่เก่ง ส่วนเรื่องที่สี่อันนี้คิดว่าทุกคนคุ้นเคยกันในบริบทคนไทย เป็นเรื่อง ครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพื้นหลัง ภูมิหลัง ฐานะ เศรษฐกิจ หรือแม้แต่ชื่อพ่อแม่ก็จะโดนล้อ และเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่อง รูปลักษณ์ภายนอกของเรา ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนัก ส่วนสูง หน้าตา สีผิว เพศ เชื้อชาติ 

ทั้งนี้ การล้อเลียนยังมีหลายระดับ และไม่ได้มีเพียงแง่ลบเท่านั้น งานวิจัยบางมุมก็พูดถึงการล้อเลียนในมุมบวก นีทสรุปจากความเข้าใจของตนเองว่า จริงๆ แล้วการล้อเลียนมันมีระดับของการรับรู้ของคน โดยแบ่งเป็น 3 สี คือ สีเหลือง สีส้ม สีแดง 

เริ่มต้นที่ สีเหลือง เป็นอัตราการล้อเลียนที่เรารับรู้ว่า เป็นเรื่องของการล้อเลียนเพื่อ ‘เพลย์ฟูล’ (playful) มันคือฟีลเพื่อความสนุกสนานและความบันเทิง ล้อเลียนเพื่อกระชับมิตรกัน เช่น เราเรียกแทนแฟนเราว่า อ้วน ซึ่งก็ถือเป็นการล้อเลียน แต่มันเป็นการล้อเลียนที่เพลย์ฟูล เป็นด้านบวกของการล้อเลียนที่กระชับความสัมพันธ์ให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น 

แต่ว่าสีส้มกับสีแดงก็จะเป็นการล้อเลียนอีกแบบหนึ่งที่เราเรียกว่า ‘เฮิร์ทฟูล’ (Hurtful) มันคือการล้อเลียนที่ทำให้คนเราสามารถเจ็บปวด รู้สึกอับอาย และไม่โอเค ถ้าเป็นสีส้มก็อาจจะไม่รุนแรงมาก อาจจะเริ่มรู้สึกว่าไม่โอเคนะ แต่ยังไม่ได้รู้สึกเจ็บปวด จนการรับรู้เดินทางมาถึงสีแดง ซึ่งระดับนี้อาจเข้าข่ายการถูกบูลลี่หรือที่เราเรียกว่า การบูลลี่ทางวาจา คือทำให้เจ็บปวดด้วยคำพูดด้วยถ้อยคำ 

การสื่อสารระหว่างเราสร้างทั้งความเข้าใจและความร้าวฉาน

“คราวนี้นีทก็เลยอยากจะมาชวนขยายว่า เออแล้วการล้อเลียนที่มันมีตลอดของสีที่ว่ามันมีความซับซ้อนอยู่นะ อยู่ตรงในเรื่องของที่ผู้ส่งสารกับผู้รับสาร สิ่งๆ นี้มันเป็นความกำกวมที่ทำให้คนไม่รู้ว่าระดับการล้อเลียนของเรามันอยู่ที่สีไหน สมมติในกรณีเดียวกัน ผู้ส่งสารรู้สึกว่าเราเล่นๆ วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารคือ ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเพลย์ฟูลแหละ แต่ปรากฏว่าผู้รับสารไม่รู้สึกว่าเป็นเพลย์ฟูล กลับรู้สึกว่ามันเป็นเฮิร์ทฟูล แล้วเราจะแบ่งสียังไง” 

หลักๆ ใจความสำคัญอยู่ที่ ‘ผู้ตีความ’ ว่าเขาตีความสารที่ส่งมาหาเขาเป็นแบบไหน จึงเป็นจุดสำคัญที่ว่า การล้อเลียนมีความซับซ้อนและซ่อนเงื่อนตรงที่มันมีหลายกระบวนการ แม้ว่าคนส่งสารจะส่งมาเล่นๆ แต่หากผู้รับสารรู้สึกไม่เล่นก็กลายเป็นการล้อเลียนในทางลบในทันที แม้ว่าเจตนาของผู้ส่งสารจะไม่ได้รู้สึกว่าลบก็ตาม เพราะว่าระดับการรับสารของแต่ละคนไม่เท่ากัน 

“อันนี้มันเลยเป็นจุดบางๆ ของการล้อเลียนที่ว่า มันอาจจะมีความเลยเถิดของเส้นปรอทโดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนึงคิดยังไงด้วย มันก็เลยเป็นประเด็นว่าเรื่องการล้อเลียนนี่นะมันเป็นเรื่องที่เซนซิทีฟ มันคือความรู้สึกและการตีความของมนุษย์” 

หากเราลองจำลองสถานการณ์ที่มักเห็นในละครหลายๆ เรื่อง เป็นฉากในห้องเรียนที่ตัวละครหลักสักตัวในเรื่องมักเจอเมื่อย้ายจากโรงเรียนในชนบทเข้ามาโรงเรียนในเมือง นั่นคือการถูกเพื่อนล้อเรื่องหน้าตา ล้อว่าบ้านนอก ต่างๆ นานา ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่สร้างปมวัยเด็กให้กับคนๆ นั้น

ในฐานะนักจิตวิทยาโรงเรียน เธอบอกว่า เวลาที่คนเราล้อเลียนมันมีสองรูปแบบในการล้อเลียน รูปแบบแรกก็คือ เขา(คนนั้น)มีความผิดแปลก แปลกแยกจากบรรทัดฐานทางสังคม ก็เลยจะเป็นจุดเด่นในการโดนล้อได้ง่าย ส่วนอีกรูปแบบหนึ่ง อาจเป็นความรู้สึกไม่ชอบเป็นการส่วนตัว ก็อาจจะใช้ความรุนแรงได้ผลกระทบที่เกิดมีอะไรบ้าง 

ผลกระทบที่ตามมาจากการล้อเลียน

ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นนำสู่ความรุนแรงที่มากกว่าแค่เรื่องเล่นๆ จากการสำรวจของเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชนข้างต้น ผลกระทบที่เห็นได้ชัดเมื่อเด็กโดนล้อเลียนและโดนบูลลี่ เกิดผลเสียอะไรบ้าง

มากที่สุดคือ เด็กมีความอยากเอาคืน ร้อยละ 42.86 มันเป็นเรื่องของความ aggressive เหมือนเธอทำฉันมา ฉันทำเธอกลับ มันก็เลยกลายเป็นว่าจุดเริ่มต้นของการล้อเลียนธรรมดาเพิ่มผลเสียให้เด็กอาจจะเป็นคนก้าวร้าวมากยิ่งขึ้น 

รองลงมา ร้อยละ 18.2 การล้อเลียนทำให้ เด็กมีความเครียดโดยไม่จำเป็น เราลองมาจินตนาการแบบนี้ ไปโรงเรียนแล้วอยู่ดีๆ ก็โดนเพื่อนล้อ เหมือนเราเป็นคนไม่มีเพื่อน เราก็เครียด ทำไมเราถึงต้องมาเจอสภาพแวดล้อมแบบนี้ 

“ความเครียดจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เฉพาะเรื่องเรียน ความเครียดมันหมายความว่า การที่เราไปเจอสถานการณ์นึงแล้วเรารู้สึกว่าถูกคุกคาม นี่คือนิยามของความเครียด เพราะฉะนั้นเด็กที่โดนล้อเลียน เขาก็จะรู้สึกว่าทำไมการล้อเลียนนี้มาคุกคามฉันจังเลย ฉันไม่ได้รู้สึกโอเคที่จะให้คนมาคุกคาม เขาก็จะเกิดความเครียดได้” 

สิ่งหนึ่งที่จะเกิดตามมาก็คือ ฉันไม่อยากไปโรงเรียน เมื่อการไปโรงเรียนมันคือการที่เราไปแล้วเราควรจะมีความสุข แต่เมื่อเราถูกล้อเลียนในสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราเฮิร์ทฟูลกับเรา ก็รู้สึกว่าไม่อยากไปโรงเรียน มันเป็นอัลโตเมติกของมนุษย์ทุกคนที่เราก็อยากหลีกเลี่ยง หรือหลีกหนีจากสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ 

และสุดท้ายหากโดนล้อเลียนบ่อยๆ สิ่งที่ตามมาและน่าจะเป็นขั้นหนักสุด ก็คือ เด็กอาจมีภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล ถ้าหากโดนมากขึ้นไม่ได้รับการดูแลก็อาจจะมีโอกาสพัฒนากลายเป็น ‘โรคซึมเศร้า’ ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่สามารถระบุได้ว่าเมื่อไรจะผันเปลี่ยนกลายเป็นโรคซึมเศร้า

บทบาทครูในการช่วยแก้ปัญหาเด็กๆ ล้อเลียนกันในโรงเรียน 

สำหรับนีทเธอมองว่า การช่วยเหลือเด็กมีสองส่วน คือ ‘การป้องกัน’ กับ ‘การแก้ไข’ ซึ่งการแก้ไขในที่นี้ คือเมื่อเกิดเหตุขึ้นมาแล้วเราจะแก้ไขมันอย่างไรดี

“นีทคิดว่าคาบโฮมรูม เป็นคาบที่เราสามารถคุยในหลายๆ เรื่องกับเด็กได้เลยนะ ที่ให้เด็กเข้าใจชีวิตมากขึ้น เรื่องของความเชื่อ เรื่องของการล้อเลียน เรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง เรื่องอะไรต่างๆ ที่มันเป็นปัญหาสังคม เราสามารถเอาไปพูดในคาบโฮมรูมได้เลย พอพูดเสร็จนีทว่าเด็กจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น รับมื อกับปัญหาตัวเองได้ดีมากขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่ครูป้องกันเด็กๆ ได้” 

และสิ่งที่ครูต้องทำอยู่แล้วคือ ‘การแก้ไข’ เมื่อเด็กมีปัญหาหรือว่าเด็กโดนล้อ 

คุณครูต้องไม่เพิกเฉยกับปัญหา และไม่รู้สึกว่าเธอจะมาโวยวายอะไรเรื่องแค่นี้ ครูควรให้ความสำคัญกับทุกๆ จิตใจของเด็ก แม้ว่าเราอาจจะรู้สึกว่าเรื่องแค่นี้เอง เรื่องธรรมดา แต่มันคือแค่นี้ของเรา ไม่ใช่แค่นี้ของเขา 

สำหรับในกระบวนการของนักจิตวิทยาโรงเรียน ขั้นตอนแรกคือ การฟังเรื่องราวของเด็ก แล้วก็ต้องมาปรับใจเขาก่อน และต้องถามเขาด้วยว่าเรื่องนี้อนุญาตให้ไปบอกครูประจำชั้นไหม เพื่อให้ครูเป็นคนดีลกับเด็ก 

“การโดนล้อมันแก้ฝ่ายเดียวไม่ได้ จะบอกว่าหนูต้องอดทนค่ะ มันเรื่องเล็กน้อยมาก ทำอย่างนั้นไม่ได้ หนูไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายอดทนถ้าอีกคนนึงเป็นฝ่ายทำให้หนูเจ็บปวด เมื่อเราขออนุญาตเขาเราถึงจะสามารถดำเนินการต่อในการขอให้คุณครูดูแลเรื่องนี้ต่อได้ หรือเรียกเด็กที่มีปัญหามาคุยกันได้”  

จากนั้นนักจิตวิทยาก็ต้องดูแลสภาพจิตใจเด็กทั้งสองคน ทั้งเด็กผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ และติดตามสภาพจิตใจเด็กต่อว่าปัญหามันถูกได้รับการแก้ไขจริงๆ หรือยัง 

พ่อแม่จะรับมืออย่างไร? เมื่อลูกถูกเพื่อนล้อ หรือลูกชอบล้อเพื่อน 

หากลูกเป็นฝ่ายกระทำ พ่อแม่จำเป็นต้องสอนให้เขารู้สึกว่า เขาทำผิดแล้วต้องขอโทษอีกฝ่ายหนึ่ง และปรับพฤติกรรมในสิ่งที่เขาทำไม่ดีไป

“ซึ่งการปรับพฤติกรรมก็ต้องดูว่าสาเหตุมาจากไหน ถ้าสาเหตุมาจากการที่รู้สึกว่าไม่ชอบขี้หน้า ต้องการทำให้เขาเจ็บปวด เราก็ต้องสอนวิธีการจัดการอารมณ์และสอนวิธีการที่จะสื่อสารและจะจัดการกับความไม่พอใจของตัวเองอย่างไร ด้วยวิธีการที่ไม่ aggressive (ก้าวร้าว) 

แต่ถ้าหากเป็นคนที่ล้อเลียนเพื่อเพลย์ฟูล แต่ปรากฏว่าการล้อเลียนของเขาไม่เพลย์ฟูล ถ้าจะดีลกับเขาก็ต้องปรับความคิดว่า หนูอาจจะไม่รู้สึกแต่ว่าเพื่อนเขารู้สึก เพราะฉะนั้นสิ่งๆ นี้ไม่สามารถเอาประเด็นของหนูมาไม่รู้สึกได้ เพราะหนูทำให้เขาเจ็บปวด ก็ต้องสอนให้เขามี empathy กับเพื่อน ว่าสิ่งที่เขาทำมันทำให้เพื่อนเจ็บปวด เพราะฉะนั้นต้องไม่ทำอีก นี่ก็จะเป็นวิธีการปรับว่า เราต้องปรับที่พฤติกรรมส่วนไหน หรือเราปรับแค่ทัศนคติก็พอ”

แต่หากลูกเราเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ วิธีการแรกที่เธอแนะนำก็คือ ‘การเยียวยาจิตใจ’ เพราะเขาคงเจ็บปวดมากกับการโดนกระทำ เขาคงอยากจะมีพื้นที่ในการระบายว่าเขาไม่โอเคอย่างไรบ้าง จากนั้นให้เขาสำรวจจิตใจตัวเอง เป็นการปรับเปลี่ยนจิตใจ เวลาที่เราโดนล้อเลียนมากๆ เช่น เราโดนล้อว่า “ดำ” แต่ว่าความดำมันมาแต่ชาติกำเนิด ก็ต้องดีลกับความรู้สึกตัวเองว่า การที่เราผิวดำน่าเกลียดจริงเหรอ 

วิธีการก็คือ เราต้อง Reframe Thinking ให้เขารู้สึกว่า จริงๆ แล้วตัวเขาก็มีคุณค่าในตัวเอง การเป็นคนผิวดำไม่ใช่เรื่องแย่ ไหนเราไปลองดูสิว่ามิสยูนิเวิร์สของหลายๆ ประเทศ จะผิวแทน ผิวดำ เขาก็สวยได้ เพื่อให้เขารู้สึกดีกับตัวเองก่อน หรือในบางกรณี เช่นอ้วนแล้วเรารู้สึกว่ามันก็ไม่ได้โอเคจริงๆ วิธีการยอมรับตัวเองไม่ใช่บอกว่าฉันอ้วนแล้วดีจังเลย บางอันเป็นเรื่องที่เปลี่ยนได้แล้วดีกว่านี้ เราก็อาจจะยอมรับว่าเราอ้วน แต่ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะคนเราเปลี่ยนแปลงได้ เรามาเปลี่ยนแปลงหุ่นให้ดี เพื่อห่างไกลจากการเป็นโรคดีกว่า 

“อีกอย่างการโดนล้อเลียนมันก็มีสิ่งที่ไม่จริงขึ้นมา อย่างเช่น คนนี้เป็นเด็กมีน้ำใจแล้วโดนเพื่อล้อว่า ประจบครู อันนี้ไม่ได้อยู่ที่ยอมรับ เพราะเด็กคนนั้นเขารู้สึกว่าเขาไม่ได้ประจบครู เขาแค่เต็มใจช่วยครูเฉยๆ ก็ต้องสอนให้เด็กรู้จักไม่สนใจ ถ้าไม่จริงก็ปล่อยไป”

เรื่องแบบนี้เราสามารถ ‘ป้องกัน’ ได้ จากการ Teaches and Models สอนเด็กๆ ให้เขารู้ว่า ล้อเลียนมันคืออะไร แล้วมันไม่ดีอย่างไร เป็นสิ่งที่เราสามารถสอนผ่านโมเดลหรือผ่านตัวแบบต่างๆ ได้ 

แล้วจะสอนอย่างไรดีละ? “ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่วัยด้วย ถ้าเป็นในวัยเด็กๆ อาจจะสอนผ่านนิทาน เช่น น้องกระต่ายชอบแซวคนแล้วมีความสุข วันนี้เธอไปเจอน้องหมีแล้วกินเยอะ เธอเรียกว่าตุ้ยนุ้ย แล้วน้องหมีทำหน้าบึ้ง น้องกระต่ายต้องรู้แล้วนะว่าน้องหมีไม่โอเค ไม่ควรพูดแบบนี้ อันนี้คือเป็นการสอนเบื้องต้นว่าคนเราแซวได้อย่างมีข้อจำกัด เราต้องมีวิธีการสอนให้เด็กสังเกตแล้วรู้ว่า แซวได้แค่ไหนและเมื่อไรการแซวกลายเป็นการล้อเลียน เป็นการสอนเชิงบวกให้เด็กเข้าใจในสิ่งต่างๆ มากขึ้น เพราะเราไม่สามารถห้ามให้ทุกคนไม่ล้อเลียนใครได้ แต่เราต้องสอนให้เขารู้จักระดับของการล้อเลียน”

 “ถ้าเป็นเด็กโตอาจจะเป็นการพูดคุย- อภิปราย ในเรื่องๆ นี้ อาจจะมีสถานการณ์นึงให้เด็กอ่านเกี่ยวกับเรื่องการล้อเลียนแล้วให้เขาวิเคราะห์ทำไมคนนี้ถึงล้อเลียน คนล้อเลียนรู้สึกยังไง คนถูกล้อเลียนเป็นยังไง จะแก้ปัญหายังไง และถ้าหากตัวคุณเองเป็นคนแบบนี้คุณจะทำยังไง เป็นการตั้งคำถามที่ให้เด็กเข้าใจเรื่องของการล้อเลียนได้ดีมากขึ้น แล้วก็จะเป็นการสอนเขาและป้องกันเขา พร้อมให้เขาคิดด้วยว่า ถ้าเป็นตัวเขาเขาจะทำแบบนี้มั้ย” 

สิ่งสำคัญก็คือ มันเป็นเรื่องที่เราต้องปลูกฝังหรือเพิ่มสกิลให้กับเด็กทุกคนก็คือเรื่องของการมี Self-esteem หรือการรักในตัวเองในแบบที่เราเป็น ซึ่งนักการศึกษาหรือว่าพ่อแม่อาจจะลืมสอนเรื่องนี้กับลูกไป 

“สมมติว่าเราไม่ค่อยมี Self-esteem การล้อเลียนอาจจะมาทำให้เราเจ็บปวดสักสิบ แต่หากเรามี Self-esteem ขึ้นมา การล้อเลียนมันจะถูกแบบบัฟเฟอร์ เราอาจจะเฮิร์ตแค่ประมาณห้า นั่นหมายความว่าช่องว่างอีกห้ามันมี Self-esteem มาบัฟเฟอร์ความเศร้าหรือความเจ็บปวดนี้”  

“เรื่องของการล้อเลียนเป็นเรื่องที่ซับซ้อน สิ่งสำคัญที่นีทอยากให้ทุกคนแคร์ที่สุดก็คือ ผู้รับสาร ว่าเขารู้สึกกับสิ่งๆ นี้ยังไง แต่บางครั้งเราก็โทษผู้กระทำอย่างเดียวไม่ได้ เพราะผู้กระทำเขาก็ไม่รู้ไงว่าเธอตีความแบบเดียวกับที่ฉันตีความรึป่าว เธอโอเคกับมันรึป่าว ถ้าหากเราไม่สื่อสารให้ชัดเจน คือไม่มีไดเรคว่าเราไม่ชอบที่เธอพูดแบบนี้  คนอื่นเขาก็จะไม่รู้ แล้วไปทุกข์อยู่คนเดียวมันก็ไม่ได้ 

ดังนั้นผู้กระทำควรดูแลการตีความดีๆ อย่าคิดไปเอง ส่วนผู้ที่ถูกกระทำก็ต้องกล้าที่จะบอกตรงๆ ว่า เราชอบหรือเราไม่ชอบ เพื่อให้ทุกอย่างมันดำเนินไปได้ด้วยดี ปรับให้มันอยู่ในทิศทางที่มันบวก”

เราคงทำให้การล้อเลียนหายไปเลยไม่ได้ เพราะบางทีเราก็ไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้เจตนา เราเพียงอยากล้อเพื่อความสนุกสนาน แต่เมื่อความสนุกของเรากลายเป็นความเจ็บปวดของเขา โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ การล้อเลียนจึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป 

อ้างอิง

พฤติกรรม บูลลี่ เด็กไทยติดอันดับ 2 ของโลก – Thaihealth.or.th | สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

https://citeseerx.ist.psu.edu/viewdoc/download?doi=10.1.1.718.9851&rep=rep1&type=pdf

Tags:

ซึมเศร้าความเครียดนักจิตวิทยาโรงเรียนการล้อเลียน

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Illustrator:

illustrator

อัคคเดช ดลสุข

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่โลกดูสิ้นหวัง และตัวฉันที่กำลังจะหมดหวังกับตัวเอง : EP.1 ‘I feel hopeless.’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    หาก Grit คือความเพียร แต่จะเพียรพยายามในเรื่องที่ไม่อินมากๆ ได้อย่างไร?

    เรื่อง เบญจรัตน์ จงจำรัสพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • How to get along with teenager
    เข็นวัยแสบขึ้นภูเขาอย่างเข้าใจและให้เวลา: ‘หมอมิน’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

มาสเตอร์เชฟ จูเนียร์ ‘บ้านตะเคียนราม’: ห้องเรียน PBL ที่ชวนเด็กหาความรู้ด้วยตนเอง ยกเลิกวัดผลด้วยการสอบ ลดปัญหาเด็ก Drop out
Creative learning
29 June 2021

มาสเตอร์เชฟ จูเนียร์ ‘บ้านตะเคียนราม’: ห้องเรียน PBL ที่ชวนเด็กหาความรู้ด้วยตนเอง ยกเลิกวัดผลด้วยการสอบ ลดปัญหาเด็ก Drop out

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • จากสอนหลายๆ วิชา ลดเหลือวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย อังกฤษ ไปเน้นกระบวนการสอนที่ให้นักเรียนเป็นคนหาความรู้เองผ่าน PBL (Problem – based Learning การเรียนรู้จากโจทย์ปัญหา) และเพิ่มกิจกรรมจิตศึกษาและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้านอื่นๆ ที่สำคัญคือทั้งโรงเรียนยกเลิกการวัดผลแบบสอบด้วย!
  • ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้อัตราจำนวนนักเรียนออกกลางคันลดลงเหลือประมาณ 6% จากเดิม 20% ความสัมพันธ์ของครูและนักเรียนดีขึ้น พวกเขาอยากมาโรงเรียน เพราะอยากเรียนและก็กล้าแสดงออก 
  • การเรียนที่ตะเคียนราม 1 เทอมจะแบ่งเป็น 4 ควอเตอร์ แต่ละควอเตอร์ครูจะตั้งโจทย์ว่าเด็กอยากเรียนเรื่องอะไร นำมาบูรณาการเข้ากับวิชาเรียน หน่วยการเรียนครั้งนี้ในหัวข้อ ‘ข้าว’ และออกมาเป็นกิจกรรม ‘มาสเตอร์เชฟ’ ที่ให้เด็กๆ ออกแบบเมนูที่มีข้าวเป็นวัตถุดิบหลัก

เป็นที่รู้กันว่าหลังเคารพธงชาติจบ ถือเป็นสัญญาณเริ่มชั่วโมงเรียน เด็กเกือบทุกคนในโรงเรียนก็จะสิงสถิตอยู่ในห้องเรียน แต่ไม่ใช่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในวันนี้ ที่พวกเขาออกจากห้องเรียนมารวมตัวใต้อาคารโล่งเพื่อทำกิจกรรมสุดพิเศษ ‘มาสเตอร์เชฟ’

“เตือนแล้วนะ!”

“ตอนนี้ใกล้หมดเวลาแล้ว คุณต้องเริ่มจัดจานได้แล้ว”

สารพัดประโยคเด็ดที่ต่อให้คุณไม่เคยดูรายการมาสเตอร์เชฟ (MasterChef รายการแข่งทำอาหารที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ ก่อนจะจำหน่ายลิขสิทธิ์ไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย) ก็ต้องเคยผ่านหูผ่านตามาบ้าง ซึ่งแน่นอนว่ากระแสนิยมรายการทำให้มีคนจับไปทำคอนเทนต์ต่างๆ เช่น ทำคลิปล้อเลียน รวมถึงครูปู – ศุภากร อ่อนลา แห่งโรงเรียนบ้านตะเคียนราม ก็จับเอารายการนี้มาประยุกต์เข้ากับวิชาเรียน PBL (Problem – based Learning) ของชั้นเรียนเธอ

เด็กป.3 กับการทำอาหาร ดูเป็นการจับคู่ที่ค่อนข้างสร้างความแปลกใจให้กับเรา แน่นอนว่าเด็กๆ ควรได้ทำกิจกรรมที่ส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดเล็ก แต่การเห็นเด็กตัวเล็กๆ จับมีดหั่นของ หรือก่อไฟตั้งเตา ก็สร้างความกังวลให้เรานิดหนึ่ง

“เด็กๆ ที่นี่ทำอาหารเก่ง เขาทำตั้งแต่อนุบาลแล้ว ครั้งที่แล้วก็ทำยำ ทำน้ำพริกกะปิ รสชาติอร่อยด้วยนะ” เสียงยืนยันจากครูปูที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้เราอีกเปราะ บวกกับภาพเด็กๆ ตรงหน้าที่ดูเชี่ยวชาญราวกับว่านี้เป็นกิจวัตรประจำวันที่พวกเขาทำอยู่แล้ว

บางคนก็จับมีดหั่นวัตถุดิบ บางคนก็ยืนล้อมกระทะตั้งหน้าตั้งตาผัดบางอย่าง บางคนก็เข้าขั้นแอดวานซ์ คือ ก่อเตาไฟสำหรับตั้งเผาอาหาร หรือบางคนขอละจากครัวไปวิ่งเล่นกับเพื่อนแทน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำกิจกรรมอะไร สิ่งที่เราเห็น คือ รอยยิ้มของเด็กๆ ที่มีความสุขกับงานตรงหน้า

ก่อนจะเข้าชั้นเรียนของครูปู เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโรงเรียนบ้านตะเคียนราม โรงเรียนตั้งอยู่ใน จังหวัดศรีสะเกษ เป็นหนึ่งในโรงเรียนนำร่องในโครงการพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา กระบวนการสอนที่ใช้ในโรงเรียนจะเป็น PBL (Problem – based Learning การเรียนรู้จากโจทย์ปัญหา) จิตศึกษา และมีกระบวนการพัฒนาครูด้วย PLC (Professional Learning Community)

จากปัญหาอัตรานักเรียนที่ลาออกกลางคัน (Drop out) สูง บวกกับความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียนไม่ค่อยดี ทำให้ผู้อำนวยการโรงเรียน อำนวย มีศรี กลับมาตั้งคำถามว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

ผอ.อำนวย เริ่มด้วยการเข้าโครงการต่างๆ ที่เขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดเป็นคนแนะนำ แต่ก็พบว่าไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่บ้านตะเคียนรามมีได้ สุดท้ายผอ.ตัดสินใจไปคุยกับ ครูใหญ่ – วิเชียร ไชยบัง แห่งโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ที่มีกระบวนการเรียนการสอนสะดุดตาผอ.อำนวย เขาตัดสินใจพาครูทั้งโรงเรียนรวมถึงชุมชนไปเรียนรู้ที่ลำปลายมาศ 

ผลที่ได้คือเปลี่ยนการสอนโรงเรียนยกชุด จากสอนหลายๆ วิชา ลดเหลือวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย อังกฤษ ไปเน้นกระบวนการสอนที่ให้นักเรียนเป็นคนหาความรู้เองผ่าน PBL และเพิ่มกิจกรรมจิตศึกษาและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนด้านอื่นๆ ที่สำคัญคือทั้งโรงเรียนยกเลิกการวัดผลแบบสอบด้วย!

“เรารู้สึกว่ามันไม่มีประโยชน์ คือการสอบก็คงมีประโยชน์อยู่นะ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาที่เรามี คนที่สอบได้คะแนนดีๆ คือ พวกเด็กเรียนเก่ง ส่วนคนที่ไม่เก่งก็ไม่ได้เหมือนเดิม ตัวข้อสอบครูก็เอามาจากของเดิมๆ เงินที่ใช้ทำข้อสอบเทอมๆ หนึ่งหลายหมื่นอยู่นะ เรารู้สึกว่ามันเพิ่มภาระเฉยๆ ประโยชน์ที่ได้น้อย” ผอ.อำนวย กล่าวถึงที่เหตุผลประกอบการตัดสินใจ 

“ยกเลิกการสอบในโรงเรียน เหลือแค่รอสอบของหน่วยงานภายนอกหรือการวัดผลระดับชาติ เช่น O-NET ที่เขาสร้างเครื่องมือให้เราแล้ว ไม่ต้องยุ่งยากทำเอง ในโรงเรียนเน้นวัดผลระหว่างเรียน ผ่านการประเมินชิ้นงานที่เขาทำ จะกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำว่าควอเตอร์ละกี่ชิ้น

“ทางโรงเรียนก็ไม่ซีเรียสกับคะแนนสอบเด็กนะ แต่พอเราเปลี่ยนวิธีเรียนวิธีสอน ปรากฏว่าอันดับคะแนนสอบเด็กดีขึ้น เพราะเราติดตั้งวิธีคิดให้เขา” 

ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้อัตราจำนวนนักเรียนออกกลางคันลดลงเหลือประมาณ 6% จากเดิม 20% ความสัมพันธ์ของครูและนักเรียนดีขึ้น พวกเขาอยากมาโรงเรียน เพราะอยากเรียนและก็กล้าแสดงออก 

นอกจากพัฒนานักเรียนแล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ การพัฒนาครู ที่บ้านตะเคียนรามจะมีวง PLC ให้ครูๆ ในโรงเรียนแลกเปลี่ยนให้ฟีดแบ็กการสอนแต่ละคน ให้คำแนะนำตารางสอน วิธีสอนตัวเอง และส่งคุณครูไปอบรมเพิ่มทักษะด้านต่างๆ ซึ่งผลงานด้านนี้ก็ขยายไปยังโรงเรียนอื่นๆ ที่ขอมาซิทอินศึกษาความรู้จากบ้านตะเคียนรามด้วย

ครูปู – ศุภากร อ่อนลา กับเด็กๆ

กลับมาที่ห้องเรียนของครูปู กิจกรรมมาสเตอร์เชฟถึงเป็นกิจกรรมปิดควอเตอร์ (การเรียนที่ตะเคียนราม 1 เทอมจะแบ่งเป็น 4 ควอเตอร์ แต่ละควอเตอร์ครูจะตั้งโจทย์ว่าเด็กอยากเรียนเรื่องอะไร นำมาบูรณาการเข้ากับวิชาเรียน) หน่วยการเรียนครั้งนี้ในหัวข้อ ‘ข้าว’

“เรียนเยอะไปก็ไม่ได้ใช้ทุกอย่างหรอก อีกอย่างความรู้มันเปลี่ยนทุกวัน และหาได้ในอินเทอร์เน็ต ทำให้เราเน้นสอนแบบ active learning เพื่อให้เขามีสกิล มีทักษะศตวรรษที่ 21 คือ ทำงานเป็น สื่อสารกับคนอื่นได้ รู้จักแก้ไขปัญหา ที่สำคัญคือรู้ว่าตัวเองเรียนอะไร เรียนไปทำไม

“การคิดโจทย์เรียน เราจะตั้งหลักว่าต้นทุนท้องถิ่นมีอะไรบ้าง เลือกปัญหาที่เกิดใกล้ๆ ตัวเด็ก เช่น เรื่องขยะ วิธีเรียน PBL ก็เหมือนกับใช้หลักอริยสัจ 4 ปัญหาคืออะไร รู้ที่มาของปัญหา หาวิธีแก้ไข ซึ่งก็แก้ได้บ้างไม่ได้ ก็หาวิธีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแก้ได้ เป็นการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL” ครูปูอธิบายให้ฟัง

โจทย์ ‘ข้าว’ เกิดจาก DOE (Desired Outcomes of Education ผลลัพธ์การเรียนรู้พึงประสงค์ของโรงเรียน) ของโรงเรียนบ้านตะเคียนราม คือ เกษตรกรรม ข้าวเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อ อาชีพของคนส่วนใหญ่ที่นี่ก็คือการทำนา ทำให้มีข้าวจำนวนมาก ครูปูเกิดไอเดียชวนเด็กๆ มาเรียนเรื่องข้าว และตั้งโจทย์ว่าข้าวนอกจากหุงกินตามปกติ มันสามารถแปรรูปทำอย่างอื่นได้ไหม

“โฮบบาย” ครูปูพูดชื่อหน่วยการเรียนรู้นี้ให้เราฟัง แน่นอนว่าเราไม่เข้าใจคำดังกล่าว ครูปูยิ้มและอธิบายว่า โฮบ-บาย เป็นภาษาเขมรแปลว่ากินข้าว คนที่นี่ส่วนใหญ่ใช้ภาษาเขมรในการสื่อสาร ครูปูเลยนำมาตั้งเป็นชื่อหน่วยการเรียนรู้

ก่อนจะมาถึงกิจกรรมมาสเตอร์เชฟ ครูปูพานักเรียนไปรู้จักก่อนว่า ก่อนเป็นเมล็ดข้าวที่เรากินทุกวันนี้มันมีที่มาอย่างไร ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้ครูปู เพราะเด็กในห้องเกือบทั้งหมดไม่เคยมีใครทำนา แม้พ่อแม่พวกเขาจะทำนาเป็นอาชีพ

“มีเด็กยกมืออยู่ 2 – 3 คน เราก็ อ้าว แล้วที่เหลือไม่เคยทำเหรอ (หัวเราะ) เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากนะ กลายเป็นเราคิดผิดว่าเด็กๆ ทุกคนต้องเคยทำนาแน่เลย แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป พ่อแม่ให้เด็กทำนาน้อยลง

“เราเลยพาเขาเดินไปทุ่งนาแถวโรงเรียน ถึงไม่ใช่หน้าข้าวแต่ก็ยังพอมีให้เห็น เด็กก็บอกอากาศร้อนมาก เราก็บอกเขาว่า เนี่ย พ่อแม่ก็ร้อนต้องทำนา พูดให้เด็กรู้คุณค่าของเมล็ดข้าว หลังจากนั้นไปเรียนเรื่องอื่นๆ เช่นโภชนาการ เลือกอาหารให้ครบ 5 หมู่ จนถึงการแปรรูปข้าว”

เมื่อรู้จักข้าวเสร็จก็มาถึงด่านสุดท้าย คือ เอาความรู้ที่มีไปใช้ยังไง ออกมาเป็นกิจกรรมมาสเตอร์เชฟที่ให้นักเรียนออกแบบเมนูที่มี ‘ข้าว’ เป็นวัตถุดิบหลัก หน้าที่คนให้โจทย์อย่างครูปูก็หมดลง คนที่ดำเนินการต่อคือนักเรียนในห้องที่จับกลุ่มวางแผนว่าจะทำเมนูอะไรบ้าง ใครจะเตรียมวัตถุดิบ-อุปกรณ์ วันจริงใครมีหน้าที่อะไร ซึ่งกิจกรรมนี้ถือเป็นกิจกรรมใหญ่ เพราะนักเรียนชั้นป.3 ทุกคนมาทำด้วยกัน ทำให้การแบ่งกลุ่มแบ่งเป็นห้องๆ แทน

เมนูวันนี้มีตั้งแต่อาหารเบสิกอย่างข้าวผัด ไปจนถึงการประยุกต์โดยเอาข้าวไปผัดและนำไปทอดกรอบ หรือแม้แต่เมนูที่ดูหลุดๆ ธีม อย่างส้มตำ (น่าจะเมนูที่มาจากความต้องการโดยส่วนตัวของเด็กๆ) แต่ละกลุ่มเมื่อทำอาหารเสร็จก็แบ่งหน้าที่ คนหนึ่งเก็บของ ที่เหลือจัดอาหารลงถาดรอเพื่อนมากิน หรือคนไหนรอเพื่อนไม่ไหวก็จัดการกินก่อน สีหน้าของเด็กๆ ไม่ต้องบอกว่าอาหารมื้อนี้อร่อยแค่ไหน (หรือต่อให้ไม่อร่อยแต่ถ้าเป็นฝีมือตัวเองก็กินจนหมด – ครูปูแอบกระซิบบอกเรา)

“การสอนแบบใหม่มันยากและก็เหนื่อย แต่สนุกทั้งครู – เด็ก สอนแบบเก่าสบายนะ ปรินท์ใบงานจากคอมพิวเตอร์ให้เด็กทำ ‘ทุกคนเปิดหน้า 20 อ่านพร้อมกัน’ เด็กได้แค่ passive แต่สอนแบบปัจจุบันเด็กต้องลงมือทำถึงจะได้ความรู้ บางอย่างทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็มี มานั่งสะท้อนคุยกันว่าสาเหตุที่งานชิ้นนี้ทำไม่สำเร็จเพราะอะไร เช่น เราเคยตั้งโจทย์ให้นักเรียนทำดอกไม้ไปไหว้พระ แต่ไม่สำเร็จ เพราะบางคนตัดก้านสั้นไปจับช่อไม่ได้ เป็นต้น การเรียนแบบนี้มีคุณค่าเพราะเขาลงมือทำด้วยตัวเอง”

ภาพนักเรียนบ้านตะเคียนรามที่เราสัมผัสได้ คือ พวกเขากล้าแสดงออกอย่างมาก บางคนลงมือทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว ไม่กลัวว่าจะผิดหรือถูก ‘ทำไมเด็กทุกคนกล้าแสดงออกจัง’ เราโยนคำถามไปที่ครูปู เธอยิ้มตอบว่า “ก็นั่งคุยแบบนี้เลย empower เขาตลอด ‘หั่นผักเก่งจังเลย’ หรือบางทีเพื่อนด้วยกันตำหนิกันเอง เราก็จะบอกว่าไม่เป็นไร หั่นครั้งแรก ลองหั่นชิ้นใหม่แบบอื่นดู ไม่ใช่บอกว่า เออ…หั่นใหญ่จริงๆ เพราะมันเป็นการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์เขา เขาจะไม่มั่นใจในตัวเอง เราต้องพูดให้เขาอยากทำต่อ

“แค่คำพูดของครูหนึ่งคำอาจทำให้เด็กเป็นอัจริยะในเรื่องนั้นๆ เลยก็ได้นะ สำหรับเด็กโดยเฉพาะเด็กประถมต้น ครูเป็นเหมือนไอดอลของเขาเลยนะ ครูเป็นยังไงเด็กก็เป็นอย่างนั้น”

กิจกรรมมาสเตอร์เชฟจบลงที่เด็กๆ ช่วยกันเก็บกวาดอุปกรณ์ พร้อมเตรียมตัวไปเรียนคาบต่อไป ที่แน่ๆ พวกเขาคงจะขอข้ามชั่วโมงอาหารกลางวัน เพราะท้องที่ป่องเป็นสัญญาณโชว์ได้ดีว่าอาหารมื้อนี้เติมเต็มท้องพวกเขาจนอิ่มแปล้ รวมถึงเป็นอาหารสมองอีกด้วย

Tags:

เทคนิคการสอนCreative Learningโรงเรียนบ้านตะเคียนรามProblem based Learning(PBL)

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • 21st Century skills
    PROBLEM BASED LEARNING: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • Creative learning
    เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Learning Theory
    จิตศึกษา: วิชาที่ไม่ใช่การเรียนสมาธิ แต่ชวนกันคุยเรื่องจริยธรรมเพื่อเลิกตัดสินและเคารพผู้อื่น

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Learning Theory
    เพราะครูห้ามและไม่เอาใจใส่ วินัยจึงไม่เกิดในห้องเรียน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learningBook
    FINNISH LESSONS 2.0 : การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน

    เรื่อง The Potential

Vygotsky การจัดการเรียนรู้ที่ดี คือ การทำให้เด็กรู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่เคียงข้าง เป็นนั่งร้านที่ช่วยสนับสนุนให้เขาเติบโต
Learning Theory
28 June 2021

Vygotsky การจัดการเรียนรู้ที่ดี คือ การทำให้เด็กรู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่เคียงข้าง เป็นนั่งร้านที่ช่วยสนับสนุนให้เขาเติบโต

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • นิยามการเรียนรู้ในมุมมองของ Lev Vygotsky หรือเลฟ ไวก็อตสกี้ นักจิตวิทยาชาวรัสเซีย คือ  การให้ความหมาย การสะท้อนคิด การสร้างสรรค์ หรือการเกิดขึ้นของสำนึกบางอย่างต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ผ่านการปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น
  • จากนิยามดังกล่าว โลกของการเรียนรู้จึงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในห้องเรียนเท่านั้น ฉะนั้น วิธีสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ พวกเขาควรได้สื่อสารกับผู้อื่น การปฏิสัมพันธ์ที่จะช่วยขยายการเรียนรู้ไปสู่การคิดที่ซับซ้อน การให้ความหมายใหม่ การปรับความเข้าใจ และการแก้ปัญหาได้
  • ในการเรียนรู้ของเด็กจะมีระยะห่างระหว่างสิ่งที่เด็กทำได้ด้วยตนเอง และสิ่งที่เด็กสามารถจะทำหรือเป็นได้ โดยการพัฒนาไปสู่ระยะที่ทำได้หรือเป็นได้นั้น จำเป็นต้องมีพื้นที่รอยต่อพัฒนาการที่เด็กได้รับการสนับสนุนจากผู้อื่น เช่น ครู เพื่อน ผู้เชี่ยวชาญ ครอบครัว หรือสื่อเทคโนโลยี เพื่อให้พวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมาย หรือข้ามผ่านเข้าสู่พื้นที่ใหม่ได้

การเรียนรู้คืออะไร มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

เด็กๆ เรียนรู้อย่างไร? 

เราจะมีวิธีการสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้อย่างไร? 

คำถามทั้งสามข้อนี้ อาจเป็นสิ่งที่คุณครูหลายคนเคยคิด หรือค้นหาคำตอบจากประสบการณ์ในห้องเรียนของตนเอง ซึ่งแน่นอนว่า ห้องเรียนของแต่ละคนก็อาจให้คำตอบที่ต่างกันออกไป เช่นเดียวกับ Lev Vygotsky หรือเลฟ ไวก็อตสกี้ (1896 –1934) นักจิตวิทยาชาวรัสเซีย ได้นำเสนอแนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษาจนถึงทุกวันนี้ Vygotsky ได้ให้คำตอบของคำถามทั้งสามผ่านแนวคิดที่ปรากฎในงานต่างๆ ไว้หลายประเด็นด้วยกัน 

การเรียนรู้คืออะไร มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

Vygotsky มองว่าการเรียนรู้เป็นการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์ ที่จะทำให้มนุษย์เกิดมุมมอง ความเข้าใจ สร้างสรรค์ หรือปรับเปลี่ยนวิธีคิดที่มีต่อโลก สำหรับ Vygotsky การเรียนรู้จึงไม่ใช่สิ่งที่แยกขาด แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม การที่ผู้คนเกิดการปฏิสัมพันธ์หรือกระทำการร่วมกันผู้อื่น เช่น พูดคุย สนทนา แลกเปลี่ยน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งทางประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน ณ จุดนี้เองที่ทำให้มนุษย์เกิดการสะท้อนคิดกับตัวเอง เช่น ฉันรู้สึกผิดที่พูดแบบนั้น อะไรคือความนัยของคำถามนี้ หรือฉันเห็นด้วยกับประโยคนั้น ฯลฯ 

สุดท้ายการสะท้อนคิดเหล่านั้นจะนำมาสู่พัฒนาการทางความคิด อาจกล่าวได้ว่า สำหรับ Vygotsky การเรียนรู้ คือ การให้ความหมาย การสะท้อนคิด การสร้างสรรค์ หรือการเกิดขึ้นของสำนึกบางอย่างต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ผ่านการปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น

เด็กๆ เรียนรู้อย่างไร 

จากมุมมองการเรียนรู้ จะเห็นได้ว่าในความคิดของ Vygotsky สภาพแวดล้อมทางสังคมส่งผลต่อการพัฒนาความคิด ความเข้าใจของมนุษย์อย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะวัฒนธรรมซึ่งหมายรวมถึงชุดคุณค่า ความคิดความเชื่อ หรือการให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆ นั้นเกิดขึ้นจากสมาชิกในสังคม ดังนั้น ภาษาจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่มนุษย์ใช้เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมกับผู้อื่น ขณะเดียวกันภาษายังสะท้อนถึงประสบการณ์เบื้องหลังของชีวิตมนุษย์ และกลายเป็นส่วนสำคัญของพัฒนาการทางความคิด

โลกของการเรียนรู้จึงไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่เกิดขึ้นจากการที่เด็กได้เข้าไปปฏิสัมพันธ์กับผู้คนหรือสังคมที่อยู่ผ่านภาษา หมายความว่า เด็กจะเรียนรู้ผ่านการสื่อสารในระหว่างที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับคนอื่น จุดนี้เองเด็กจะไม่ได้แค่รับรู้ความหมาย แต่จะเรียนรู้ชุดคุณค่า ความเชื่อ หรือระบบความคิดของสังคม นั้นๆ ไปพร้อมกัน และในขณะเดียวกันนั้น เขาก็สามารถที่จะต่อรองเพื่อเสนอความหมายใหม่ให้กับคุณค่าที่มีอยู่เดิมในสังคมผ่านภาษาได้เช่นกัน

ตัวอย่างจากประสบการณ์ในห้องเรียน ผู้เขียนเคยถามเด็กว่า วัฒนธรรมคืออะไร คำตอบของเด็กส่วนใหญ่ คือ วัด ชุดไทย โขน  เพราะเขามองว่า วัฒนธรรม = ความเป็นไทย สะท้อนให้เห็นว่าคำว่า “วัฒนธรรม” ในสังคมไทยที่เด็กเรียนรู้มาตลอดได้สร้างความคิดความเชื่อหรือภาพจำแบบนั้นขึ้นมา 

แต่ในห้องเรียนวันนั้น ผู้เขียนมีโอกาสถามเด็กต่อ เช่น การรับประทานหมูกระทะ  การเล่นโซเขียลมีเดีย สิ่งเหล่านี้เป็นวัฒนธรรมหรือไม่  คำถามดังกล่าวทำให้บรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นทั้งครูและนักเรียน หลังจบคาบวันนั้นเด็กเริ่มให้ความหมายของวัฒนธรรมในมุมที่ต่างจากสิ่งที่เขารับรู้มาก่อนหน้า 

จะเห็นได้ว่าภาษา ในด้านหนึ่งสะท้อนถึงประสบการณ์ทางสังคมของเด็ก และในอีกด้านหนึ่งก็เป็นสะพานเชื่อมให้เด็กเรียนรู้ความคิดและความเข้าใจสิ่งต่างๆ จากคนอื่นๆ และใช้แสดงความคิด ความเข้าใจ ของตนเองสู่ผู้อื่นได้เช่นกัน บทสนทนาจึงเป็นการปฏิสัมพันธ์ที่จะช่วยขยายการเรียนรู้ไปสู่การคิดที่ซับซ้อน การให้ความหมายใหม่ การปรับความเข้าใจ และการแก้ปัญหาได้  

เราจะมีวิธีการสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กๆ อย่างไร? 

Vygotsky มองว่าการเรียนรู้ที่จะสร้างให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ ตีความ ให้ความหมาย แม้กระทั่งการแก้ปัญหาได้นั้น ต้องอาศัยการเข้าไปปฏิสัมพันธ์ทางสังคมร่วมกับผู้อื่นด้วยการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ คำถามถัดมาก็คือ การปฏิสัมพันธ์ควรเป็นอย่างไร ถึงจะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กให้เกิดขึ้นได้

เขาได้เสนอแนวคิดเรื่อง Zone of proximal development หรือพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ เป็นแนวคิดที่อธิบายว่าพัฒนาการทางสติปัญญาสัมพันธ์กับการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร ซึ่งพบว่าในการเรียนรู้ของเด็กจะมีระยะห่างระหว่างสิ่งที่เด็กทำได้ด้วยตนเอง และสิ่งที่เด็กสามารถจะทำหรือเป็นได้ โดยการพัฒนาไปสู่ระยะที่ทำได้หรือเป็นได้นั้น จำเป็นต้องมีพื้นที่รอยต่อพัฒนาการที่เด็กได้รับการสนับสนุน ช่วยเหลือ หรือคำแนะนำจากผู้อื่น เช่น ครู เพื่อน ผู้เชี่ยวชาญ ครอบครัว หรือสื่อเทคโนโลยี เพื่อให้พวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมาย หรือข้ามผ่านเข้าสู่พื้นที่ใหม่ได้     

ตัวอย่างจากภาพ ในโซนใกล้ฝั่งเด็กสามารถเล่นน้ำในพื้นที่ตื้นได้ แต่การจะว่ายน้ำเป็น (โซนที่สาม) ได้นั้น ต้องอาศัยคนที่มีความรู้ความเข้าใจ เข้ามาให้คำแนะนำ  สุดท้ายเด็กก็สามารถว่ายน้ำได้ด้วยตันเองในเวลาต่อมา  หรือจากประสบการณ์การเป็นนักเรียนของผู้เขียน มีครูคนหนึ่งสั่งให้ไปค้นข้อมูลแล้วมานำเสนอ สุดท้ายผู้เขียนก็ไม่ได้เข้าใจประเด็นที่ตนไปศึกษา แต่ทว่าครูอีกคนให้คำแนะนำก่อนไปค้นข้อมูล หลังค้นคว้ามาแล้ว ครูให้คำถามชวนคิดเพื่อให้กลับไปศึกษาอีกรอบ เมื่อต้องนำเสนองาน ผู้เขียนสามารถสื่อสารเรื่องที่ค้นคว้ามาได้ด้วยความเข้าใจของตนเอง 

ภาพจาก : วีดีโอ Vygotsky’s Theory of Cognitive Development in Social Relationships

กล่าวได้ว่า แม้เด็กจะมีความเข้าใจในบางเรื่องมาก่อนหรือสามารทำบางอย่างได้ด้วยตนเอง แต่เมื่อมีโจทย์ สถานการณ์ หรือความท้าทายใหม่เข้ามา เขาจำเป็นต้องอาศัยใครบางคนเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อให้เขาสามารถเข้าใจหรือทำในสิ่งที่ยากขึ้นได้  ดังนั้นจึงมีลักษณะเป็นวงจรที่ไม่สิ้นสุด    

ในการสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็ก ครูจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ภายใต้ความสนใจของเขา และมองให้เห็นว่า อะไรที่เด็กสามารถทำได้สำเร็จอย่างอิสระ และอะไรที่เด็กจะทำสำเร็จได้ด้วยคำแนะนำหรือการสนับสนุนจากผู้อื่น เพราะฉะนั้นการจัดการเรียนรู้จึงต้องวางอยู่บนการเรียนรู้ร่วมกัน (cooperative learning) และการให้ข้อเสนอแนะเชิงสร้างสรรค์ (constructive feedback) โดยมีครูคอยส่งเสริมให้เด็กได้มีส่วนร่วมกับเพื่อน ผู้ช่วย ผู้ที่มีประสบการณ์บนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต รวมถึงพื้นที่การเรียนรู้ที่ไม่เป็นทางการอื่นๆ เช่น พิพิธภัณฑ์ ค่ายกิจกรรม หรือหลักสูตรตามความสนใจเฉพาะ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เด็กได้เห็นความคิดที่หลากหลายและเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อนขึ้นได้  สื่งสำคัญคือต้องไม่ปล่อยให้เด็กเป็นเพียงคนคอยฟังคำตอบจากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า แต่จะต้องส่งเสริมให้เขาเข้าไปมีส่วนร่วม สร้างความเข้าใจ แก้ปัญหา กับผู้อื่นอย่างกระตือรือร้น

สุดท้ายนี้อาจพูดได้ว่า Vygotsky กำลังบอกเราว่า การจัดการเรียนรู้ที่ดีคือการทำให้เด็กรู้สึกว่ามีใครสักคนอยู่เคียงข้าง หรือเป็นนั่งร้านที่ช่วยสนับสนุนให้เขาได้เติบโต พร้อมกับสร้างพื้นที่ให้เขาได้คิด ได้พูด ได้สื่อสารออกมาในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน สนทนา หรือการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น 

อ้างอิง

หนังสือ Education : A very short introduction เขียนโดย Gary Thomas 

A behavior interpretation of Vygotsky’ theory of Thought , Language , Culture https://psycnet.apa.org/journals/bdb/9/1/7.html

Lev Vygotsky’s Sociocultural Theory https://www.simplypsychology.org/vygotsky.html

Lev Vygotsky – Sociocultural Theory of Cognitive Development Lev Vygotsky – Sociocultural Theory of Cognitive Development – Educational Technology

(Re)Introducing Vygotsky’s Thought: From Historical Overview to Contemporary Psychology https://www.frontiersin.org/articles/10.3389/fpsyg.2019.01515/full

Vygotsky’s Sociocultural Theory https://www.researchgate.net/publication/288227535_Vygotsky’s_Sociocultural_Theory

วีดีโอ Vygotsky’s Theory of Cognitive Development in Social Relationships Vygotsky’s Theory of Cognitive Development in Social Relationships – YouTube

Tags:

การเรียนรู้Lev Vygotskyพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ (Zone of proximal development)

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Learning Theory
    ‘เพราะคำถามดีๆ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคำตอบดีๆ’ เรียนรู้วิธีตั้งคำถามที่ทำให้เราเก่งขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า: เทคนิคการเล่าเรื่องที่ช่วยให้ผู้เรียนจดจำได้ดีขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Learning Theory
    สังเกต เลียนแบบ เปรียบเทียบ และการกำกับตนเอง : มองการเรียนรู้ผ่าน social cognitive theory

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    จาก ‘ขยะ’ สู่การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง : โครงงานบูรณาการกับการสร้าง Co – Agent โรงเรียนบ้านกู้กู ภูเก็ต

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

พ่อแม่ควรทำอย่างไรดี เมื่อรู้ว่าลูกเป็น LGBTQ+
Dear Parents
25 June 2021

พ่อแม่ควรทำอย่างไรดี เมื่อรู้ว่าลูกเป็น LGBTQ+

เรื่อง ณัชชาพร มีสัจ

  • แม้ว่าสังคมไทยจะดูเป็นมิตรกับกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่จากผลสำรวจของ UNDP ปี 2019 พบว่า คนไทยมักยอมรับคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่อยู่นอกครอบครัวมากกว่าที่จะยอมรับคนในครอบครัวตัวเอง
  • การที่คนข้ามเพศหรือคนรักเพศเดียวกันได้แสดงออกถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นจะทำให้เขามีความสุขและพอใจกับชีวิตมากขึ้น เพราะได้รับการสนับสนุนและยอมรับจากครอบครัวที่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง
  • ผู้เขียนในฐานะทรานส์แมน (ผู้ชายข้ามเพศ) จะมาแชร์ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครองในวันที่ลูกเดินมาบอกว่าตัวเองเป็นเพศหลากหลาย LGBTIQAN+

คุณเคยสังเกตหรือแอบสงสัยบ้างไหมครับ เวลาที่เห็นลูกน้อยเลือกของเล่น ลูกบอล รถแข่ง ตัวต่อ ทหาร ตุ๊กตา บาร์บี้ หรือเล่าถึงตัวการ์ตูนที่ชอบ แล้วคุณกังวลใจ กลัวว่าลูกจะโตมาผิดเพศแล้วไม่มีใครยอมรับ กลัวว่าลูกจะถูกมองว่าเป็นตุ๊ด ไม่แมน หรือเป็นทอม จนกังวลว่าลูกอาจจะต้องใช้ชีวิตที่ลำบากมากกว่าเดิม 

ผู้เขียนนั้นเกิดในร่างกายของผู้หญิงและรู้ตัวว่าอยากเติบโตเป็นผู้ชายตั้งแต่ 2 – 3 ขวบแล้ว แต่กว่าจะยอมรับกับตัวเองได้ว่าชอบผู้หญิงก็ปาไปจนอายุ 16 ปี กว่าจะเริ่มรู้ว่ายุคนี้การแพทย์สามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายให้เป็นผู้ชายและเริ่มกระบวนการแปลงเพศก็อายุ 21 ปีเข้าแล้ว เนื่องจากข้อมูลของทรานส์แมน หรือผู้ชายข้ามเพศมีน้อยกว่าข้อมูลของผู้หญิงข้ามเพศอย่างมาก

ผู้เขียนในฐานะที่เป็นคนข้ามเพศวัยรุ่นขอยืนยันนะครับว่า ยุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว บุคคลที่ประกาศตัวว่าเป็นเพศหลากหลายหรือ LGBTQ+ ไม่ได้ถูกกีดกันจากสังคม หรือจะต้องมีวิถีชีวิตที่ลำบากเช่นเดียวกับคนรุ่น Gen X หรือ Baby Boomer อีกแล้ว 

การที่คนข้ามเพศหรือคนรักเพศเดียวกันได้แสดงออกถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นจะทำให้เขามีความสุขและพอใจกับชีวิตมากขึ้น เพราะได้รับการสนับสนุนและยอมรับจากครอบครัวที่มีความเข้าใจที่ถูกต้องนั่นเองครับ 

ผลการศึกษาจาก JAMA Surgery พบว่า การยืนยันเพศสภาพที่แท้จริง ‘ทุกรูปแบบ’ สามารถช่วยกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้มากกว่าคนที่สามารถแสดงออกได้

ข้อมูลจากผลการสำรวจเพื่อสอบถามประสบการณ์การถูกตีตราและเลือกปฏิบัติของผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทย UNDP (โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ) 2019 พบว่า ร้อยละ 69 ของผู้ทำแบบสอบถามที่ไม่ได้เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีทัศนคติที่ดีต่อคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่ข้อมูลก็ยังบ่งชี้ว่าคนไทยมักยอมรับคนที่มีความหลากหลายทางเพศที่อยู่นอกครอบครัวมากกว่าที่จะยอมรับคนในครอบครัวตัวเอง 

อาจเพราะไม่เคยมีใครบอกว่าคุณพ่อคุณแม่ควรโต้ตอบหรือวางตัวอย่างไรหากวันหนึ่งลูกน้อยเดินมาถามว่า ”หนูชอบเพื่อนเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติไหม” หรือถามคุณว่า “หนูไม่ใช่ลูกสาว/ลูกชายอย่างที่คุณพ่อแม่คิด หนูขอเปลี่ยนเพศได้ไหม”

ไม่ว่าคุณจะเคยตอบลูกในวัยเด็กว่าอย่างไร มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า ลูกจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และจะมีชีวิตวัยผู้ใหญ่ของตัวเองสักวันหนึ่ง แต่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างวัยรุ่นนี่แหละที่เป็นจุดเปลี่ยน LGBTQ+ หลายคนค้นพบตัวเองและอยากบอกความต้องการให้กับคนที่เขาไว้วางใจในช่วงวัยรุ่น ต้องการแสดงความเป็นตัวเอง ทั้งยังหวั่นไหวและต้องการการยอมรับและมีเอกลักษณ์ในขณะเดียวกัน

การที่ผมไม่สามารถบอกพ่อแม่ได้ทำร้ายสุขภาพจิตทั้งตัวเองและคนที่เรารักมากเลยครับ ผมไม่สามารถพูดคุยความต้องการของผมกับครอบครัวได้ ต้องแสวงหาที่พึ่งภายนอกครอบครัว แต่หากย้อนเวลากลับไปได้ผมอยากบอกพ่อแม่ตั้งแต่ประถมและอยากให้ท่านสนับสนุนและรับฟังผมมากกว่านี้ 

เด็กข้ามเพศจำนวนมากที่รู้ตัวว่าตัวเองเกิดมาผิดร่างตั้งแต่เด็กแล้ว แต่เนื่องจากเขาไม่ค่อยพบเห็นผู้ใหญ่ที่เป็นคนข้ามเพศเหมือนกันกับเขาในสื่อ โทรทัศน์ ข่าวสาร มากเท่ากับชาย-หญิงทั่วไป เด็กข้ามเพศจึงมีแนวโน้มที่อาจรู้สึกแปลกประหลาด โดดเดี่ยว ไร้ที่พึ่ง จนกระทั่งได้รับข่าวสารยุคใหม่ทางอินเทอร์เน็ต เกม นิยาย ซีรีส์ที่เริ่มมีตัวละคร LGBTQ+ และธงสีรุ้งโบกสะพัดทั่วเดือนมิถุนายน ทำให้เด็กวัยรุ่นได้รับข้อมูลที่นำไปสู่การค้นพบตัวเองมากขึ้น เร็วขึ้น

ถ้าหากคุณยังไม่รู้จักว่า LGBTQ+ หมายถึงอะไร ผมขออธิบายเพื่อให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจสักเล็กน้อยครับ

เพศหลากหลาย หรือ LGBTQ+ นั้นหมายถึง คนที่ค้นพบตัวเองว่ามีอัตลักษณ์หรือรสนิยมทางเพศที่ไม่ตรงกับสิ่งที่คนรุ่นก่อนที่เรียนรู้ว่าโลกนี้มีแค่สองเพศเท่านั้น คือ ชายและหญิง ขอยกตัวตัวอย่างบางส่วนตามความหมายของตัวอักษร LGBTQIAN+ อย่างเช่น

  • Lesbian เลสเบี้ยน คือ คนที่นิยามว่าตัวเองเป็นผู้หญิงและรักชอบผู้หญิงเหมือนกัน คำศัพท์ที่คุ้นเคยอย่างเช่น ทอม ดี้ ยูริ หญิงรักหญิง
  • Gay เกย์ คือ คนที่นิยามตัวเองว่าเป็นผู้ชาย รักชอบกับผู้ชายเช่นเดียวกัน คำศัพท์ที่อาจได้ยินเช่น ชายรักชาย ยาโออิ 
  • Bisexual ไบเซ็กชวล คือ คนที่รักชอบได้ทั้งเพศหญิงเพศชาย ไม่ว่าจะนิยามตัวเองเป็นเพศอะไรก็ตาม
  • Transgender คนข้ามเพศ คือ คนที่เพศกำเนิดไม่ตรงกับความคิดจิตใจที่รับรู้ตัวเอง และอาจเลือกรับฮอร์โมนหรือศัลยกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงร่างกายตัวเองหรือไม่ก็ได้ อย่างเช่น ผู้หญิงข้ามเพศ (Male to Female Transgender) ผู้ชายข้ามเพศ (Female to Male Transgender) หรือ เลือกแสดงทั้งลักษณะชายและหญิงในตัวเอง (Androgynous Transgender)
  • Queer คือ คนที่ไม่ได้นิยามตัวเองและไม่ได้ปฏิบัติตามกรอบชายหญิงตามขนบ
  • Intersex คือ คนที่เกิดมามีเครื่องเพศทั้งชายและหญิงในตัวเองตั้งแต่เกิด 
  • Asexual คือ คนไม่ได้มีแรงดึงดูดทางเพศกับใคร ไม่ได้ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับใคร ไม่ใช่ความเชื่อเรื่องการรักษาพรหมจรรย์
  • Non-Binary คือ คนที่มีอัตลักษณ์ สำนึกทางเพศที่พ้นความเป็นชายและหญิง

ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครอง ในวันที่ลูกเดินมาบอกว่าตัวเองเป็นเพศหลากหลาย LGBTIQAN+

  1. ตั้งสติ ใจเย็น ไม่บอกปัด หรือเมินเฉยปฏิเสธ 

คุณอาจจะตกใจเมื่อรู้ว่า กว่าที่ลูกจะกล้าบอกกับคุณได้นั้น เขาผ่านการคิดใคร่ครวญ ค้นหาตัวเอง สำรวจตัวเองมาระยะหนึ่งแล้ว รู้ตัวเองมานานแล้ว เขาอาจหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต เพื่อน รุ่นพี่ที่เชื่อใจ รวมไปถึงค้นหาเทคนิควิธีที่จะบอกพ่อแม่เรียบร้อยแล้ว ประเมินนิสัยและความเปิดใจยอมรับของคุณ เขาถึงได้มาบอกกับคุณ เพราะเขาคิดว่าคุณเปิดใจมากพอ สิ่งที่เขาต้องการก็คือผู้ใหญ่ที่จะไม่บังคับเขา แต่เป็นเพื่อนร่วมเดินบนเส้นทางค้นหาตัวเองในครั้งนี้

คุณอาจจับสัญญาณได้ว่าลูกเป็นเพศหลากหลาย หรืออาจทำเมิน ปฏิเสธตัวเองมากก่อนหน้านี้ แต่เมื่อลูกแสดงความเป็นตัวเองและส่งเสียงที่ต้องใช้ความกล้าหาญสูงมากมาบอกคุณ 

วิธีที่ดีสุดที่ควรทำ คือ การตั้งสติ ใจเย็น ค่อยๆ ฟังและถามทีละคำถาม ยังไม่ต้องด่วนสรุปอะไร โลกไม่ได้กำลังถล่มถลาย เขายังเป็นลูกน้อยที่น่ารักคนเดิมของคุณ จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป นอกจากความสุขของลูกที่จะเพิ่มมากขึ้น

  1. แสดงความรัก ขอบคุณลูกที่บอก ความเคารพการตัดสินใจและยอมรับลูก

หากลูกคุณกล้าที่จะบอกความในใจกับคุณได้ตรงๆ แสดงว่าคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นพื้นฐาน แต่ยังมีอีกหลายครอบครัวที่ลูกไม่สามารถสื่อสารกับพ่อแม่โดยตรงได้ จากการประเมินนิสัยและความสัมพันธ์ ลูกอาจเลือกบอกเพื่อนสนิทหรือรุ่นพี่ที่ไว้วางใจได้มากกว่า ดังนั้น คุณควรขอบคุณเพราะว่านี่เป็นความไว้วางใจที่ลูกมีต่อคุณ

สำหรับการสื่อสารแสดงความรัก นี่เป็นเทคนิคที่ช่วยแสดงการยอมรับลูกได้ สามารถเลือกใช้ได้ตามความถนัดของคุณหรือของลูก อ้างอิงมาจากทฤษฎี 5 ภาษารัก (5 Love Language) โดย ดร.แกรี แชปแมน (Gary Chapman)

  • ภาษารักทางคำพูด คือ คำพูดที่แสดงความชื่นชม ขอบคุณ เชื่อใจ ไว้วางใจ เช่น แม่ยอมรับลูกนะ
  • ภาษารักทางการสัมผัส คือ การโอบกอด จับมือ ลูบหัว ลูบหลังอย่างอ่อนโยนเพื่อแสดงความรัก
  • ภาษารักผ่านการใช้เวลาร่วมกัน คือ การทำกิจกรรมที่มีเวลาคุณภาพด้วยกัน เช่น ทำอาหารด้วยกัน
  • ภาษารักผ่านการดูแลเอาใจใส่ คือ การดูแล ช่วยเหลือบริการ เป็นภาษารักสำหรับคนพูดน้อยที่มักจะแสดงออกความรักผ่านการกระทำ เช่น ทำความสะอาดห้อง หรือขับรถไปส่ง
  • ภาษารักทางการของขวัญ คือ การใส่ใจเลือกซื้อหรือทำของขวัญเพื่อแสดงว่าเขามีความสำคัญกับคุณ เช่น ซื้อเกมที่ลูกชอบ หรือเย็บเสื้อผ้าให้ลูก
  1. พูดคุยกับลูก รับฟังลูก สร้างพื้นที่ปลอดภัยโดยใช้การฟังอย่างลึกซึ้ง Deep Listening

เนื่องจากโลกที่คุณเติบโตมากกับโลกที่ลูกเติบโตมามีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ดังนั้น ข้อมูลที่ลูกมีย่อมมาจากผู้ใหญ่หลากหลายที่เขารับรู้ผ่านสื่อ ละคร อินเตอร์เน็ตได้ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงทั่วโลก ขอให้รับฟังสิ่งที่ลูกต้องการจะพูด เพราะหากไม่ฟังแล้ว เขาจะไร้ที่พึ่งพิงและคุณคงไม่อยากให้ลูกทนอยู่ในความอึดอัดความทุกข์ไปตลอดชีวิตหรอก 

หากคุณไม่รักเขาไม่ยอบรับในตัวลูก เรื่องน่าเศร้าก็คือลูกก็ยังคงรักคุณเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เขาจะเกลียดตัวเองแทน จากการที่คุณไม่ยอมรับเขา เขาจะโทษตัวเองมากกว่าที่จะไม่รักคุณ

ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ คุณอาจจะคิดว่ามันไม่ใช่ความจริง เคยเห็นเค้าลางเดาออกมาก่อนแล้ว หรือลึกๆ แล้วรับไม่ได้ กลัว โทษตัวเองว่าลูกเป็นแบบนี้เพราะคุณ หรือยอมรับแต่ไม่อยากป่าวประกาศในคนอื่นรับรู้ ไม่ว่าคุณจะคิดหรือรู้สึกอย่างไร ขอให้เก็บความคิด ความเชื่อ สังเกตเสียงในหัวของคุณ วางการตัดสินใจลงก่อนจะทำอะไร ขอให้รับฟังข้อมูล ใช้ความรักที่คุณมีเป็นตัวนำทาง ฟังความหวัง ความต้องการของลูกขึ้นมาก่อน มันไม่ได้มีอะไรน่ากลัวไปกว่าความกลัวที่เกิดขึ้นในความคิดคุณ ขอให้ใช้การรับฟังอย่างลึกซึ้ง คือการพูดทีละคน ฟังทีละเสียง ไม่พูดแทรกหรือถามแทรกในขณะที่ลูกยังพูดไม่เสร็จ ตั้งใจฟังเสียงของลูกให้มากที่สุดและไม่ละเลยเสียงในหัวของคุณ เมื่อถึงตาคุณพูดก็สามารถเล่าความกลัวกังวล หรือถามลูกเพื่อให้ลูกเล่าเพิ่มเติมได้อีกด้วย

  1. ศึกษาหาความรู้ และทำในสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนลูกได้

ไม่ว่าลูกจะบอกว่าชอบเพศเดียวคน หรือสองเพศ หรือบอกว่าอยากเปลี่ยนแปลงเพศ ขอให้คุณพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจในอัตลักษณ์และความรักของลูก เพราะความสัมพันธ์กับผู้ปกครองจะเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ที่เขาจะปฏิบัติต่อชีวิตคู่ในวัยผู้ใหญ่ด้วย คุณยังสามารถค้นหาข้อมูลความรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ หรือดูช่อง YouTube ที่ลูกคุณแนะนำให้ศึกษาเรียนรู้ได้ คุณอาจปรึกษาพ่อแม่ท่านอื่นๆ ที่ภูมิใจที่มีลูกเป็นเพศหลากหลายที่คุณรู้จักเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ หากไม่มี ให้สอบถามทางหน่วยงานที่ให้ความรู้เรื่อง LGBT ได้ เช่น เพจเฟซบุ๊ค พ่อแม่หลากหลายเพศ Thai LGBTI Parents

หากจำเป็นต้องปรึกษาจิตแพทย์ในกรณีที่ลูกคุณต้องการรับฮอร์โมนการเปลี่ยนแปลงร่างกายให้ตรงกับจิตใจ ให้หาข้อมูลโรงพยาบาลที่ให้บริการใกล้บ้าน สื่อสารกับคนในครอบครัวเพื่อทำความเข้าใจร่วมกันและทำการนัดหมายแพทย์ในจังหวะเวลาที่เหมาะสม หากต้องการหากข้อมูลทางการแพทย์ประกอบสามารถติดต่อเพื่อนัดหมายกับแพทย์จิตเวชเฉพาะทางให้คำปรึกษาเรื่องเด็กเพศหลากหลายได้ที่ แพทย์ Gen V Clinic คลินิกเพศหลากหลาย

สิ่งที่ไม่ควรพูดโดดเด็ดขาด

  • บอกว่า “รู้อยู่แล้ว เห็นมานานแล้ว” เพราะถึงแม้ว่าคุณจะเห็น แต่นั่นไม่ได้หมายความเป็นสิ่งที่เห็นจะเป็นสิ่งที่ลูกเป็นและรู้สึกจริงๆ หากลูกได้ยินจะยิ่งรู้สึกน้อยใจและคิดว่าคุณไม่ได้เข้าใจเขาเลย หากเป็นไปได้ขอให้ฟังคำนิยามเพศ อัตลักษณ์ ฟังเขาเล่าถึงคนที่ชอบ กระทั่งความสับสนในน้ำเสียงของลูก เพราะเป็นการเคารพการเติบโตและค้นพบตัวเองของลูก
  • บอกว่า “เสียดาย” หรือ “ไม่น่าเลย” ทำหน้าตาผิดหวังเสียดาย บอกว่าผิด บาป หากเป็นไปได้ ขอให้วางความเชื่อที่ตัดสินถูกผิด เพื่อเปิดใจฟังความจริง ความทุกข์ใจ ความอึดอัดของคนที่อยู่ตรงหน้าคุณ เมื่อผ่านไปแล้วคุณจะพบว่าความสุขมากมาย มาจาการเห็นลูกรักมีความสุข
  • “อย่าไปบอก [ชื่อญาติ] ให้รู้เชียวนะ” เพราะแสดงถึงความกลัวการปฏิเสธ ซึ่งจะทำให้ลูกอึดอัดและกังวล ถ้าหากเป็นไปได้ให้ค่อยๆ หาวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมหากจะต้องบอกกับญาติคนั้น
  • พยายามซ่อม แก้ไข หรือรักษา เพราะสิ่งที่เดียวที่คุณสามารถควบคุมจัดการได้คือจิตใจและการกระทำของคุณเอง เราไม่สามารถไปแก้ไขสิ่งภายนอกได้เพราะนั่นเป็นปัจจัยนอกตัวและ การเป็น LGBTQ+ ไม่ได้เป็นโรคที่ต้องรักษาหรือ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ถอดถอนการรักชอบเพศเดียวกับออกจากบัญชีอาการป่วยทางจิตตั้งแต่ ปี 1990 แล้ว

สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่าความรักเป็นสิ่งสำคัญที่ครอบครัวจะมีให้แก่กันได้ เป็นพื้นฐานชีวิตที่ดีเพื่อลูกเติบโตอย่างแข็งกายทางร่างกายและจิตใจ ที่ผ่านมาเยาวชนที่เป็น LGBTQ+ ถูกทำร้ายทางจิตใจโดยที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวแบบไม่รู้ตัวจำนวนมาก 

รายงานผลการสำรวจของ UNDP ปี 2019 ยังพบอีกว่า เกือบ 1 ใน 6 ของผู้มีความหลากหลายทางเพศเคยพยายามฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปีที่ไม่ได้รับการยอมรับและถูกเลือกปฏิบัติจากคนในครอบครัว เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูงสุด และ ร้อยละ 47.5 ของผู้มีความหลากหลายทางเพศเคยถูกเลือกปฏิบัติรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจากคนในครอบครัว โดยรูปแบบที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือการถูกบอกกล่าวให้ “ระมัดระวังเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก หรือวิธีการพูดและการวางตัว”

ผมเชื่อว่าเราทุกคนสามารถสร้างสังคมใหม่ร่วมกันที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ และไม่มองว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ แต่เป็นเรื่องความธรรมดา เป็นความหลากหลายที่งดงาม ขอชวนเชิญให้พ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานเป็น LGBTQ+ ได้ทำความเข้าใจ เปิดใจเรียนรู้และรับรู้ข้อมูลใหม่ เพราะโลกทุกวันนี้เคลื่อนไปเร็วมาก คุณอาจประหลาดใจที่ได้เห็นว่าชีวิตที่ได้เป็นตัวเองและมีความสุขจะสามารถช่วยให้ลูกหลานสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับโลกนี้ได้อีกมากมาย ทุกอย่างสามารถเริ่มต้นได้ที่ความรัก ความเอาใจใส่จากคนในครอบครัว ที่จะเป็นบ้านอบอุ่นปลอดภัยสำหรับลูกเสมอ

เมื่อรากฐานทางใจมั่นคง เขาจะเติบโตสวยงามเป็นเอกลักษณ์เหมือนกับธงสีรุ้งที่โบกสะบัดอย่างเสรีในทุกวัน ไม่ใช่แค่เดือนแห่งความภาคภูมิใจ Pride Month ผมไม่อยากให้รุ่นน้องๆ ต้องรอนานอย่างผม ที่กว่าจะมีความสุขเมื่อได้ใช้ชีวิตในร่างกายที่ตรงกับจิตใจของผมหลังจากรอมานานกว่ายี่สิบปีนะครับ 

อ้างอิง
ผลสำรวจพบ การผ่าตัดยืนยันเพศสภาพ สอดคล้องกับสุขภาพจิตที่ดีขึ้นของทรานส์เจนเดอร์
รายงาน UNDP
LGBTQ+: แต่งงานเพศเดียวกัน, บริจาคเลือด, ห้ามบำบัดแก้เพศวิถี ประเด็นเด่นในปี 2020
How to Support Your LGBTQ+ Kid When He, She or They Come Out
How to react to your child coming out as gay
5 ภาษารัก วิธีที่แต่ละคนใช้เพื่อสื่อสารความรัก (The Five Love Languages)

Tags:

Sexuality Education(เพศวิถีศึกษา)LGBTQ+การเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

ณัชชาพร มีสัจ

คนรุ่นใหม่ที่สนใจการศึกษาที่ออกแบบได้เอง มีสไตล์การเรียนรู้เฉพาะตัว ชอบอ่านหนังสือและฟังเรื่องราวความทุกข์ของคน เพราะรู้ว่าอาจเป็นครั้งเดียวเขาจะได้เล่าเรื่องนั้นก็เป็นได้

Related Posts

  • Movie
    Love, Simon: สักกี่บ้านที่ลูกรู้สึกไม่โดดเดี่ยว สักกี่ครอบครัวที่ไม่คาดหวังให้ลูกเป็นอะไรเลย

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
    สิทธิของ LGBTQ+ ผ่าน Soft power ในจอ และ power ในสภา – กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Movie
    Captain Fantastic : เลี้ยงลูกเหมือนเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่พร้อมรับความจริงไม่ต้องปรุงแต่ง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • How to get along with teenager
    (ก่อน)คุยกับลูกเรื่องเพศ ชวนพ่อแม่ถามตัวเอง ‘มีความรักครั้งแรกเมื่อไร’ และอีกหลายความรู้เรื่องเพศที่ต้องรู้ก่อนคุย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    “ต่างครอบครัว แต่รักเหมือนกัน” อีเวนต์ของเด็กประถมไอร์แลนด์เทศกาล Dublin Pride Week

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

ดอเรียน เกรย์: ภาพที่เห็น ภาพที่จำ และภาพคนในครอบครัวที่เราวาดขึ้นเองได้
Myth/Life/Crisis
25 June 2021

ดอเรียน เกรย์: ภาพที่เห็น ภาพที่จำ และภาพคนในครอบครัวที่เราวาดขึ้นเองได้

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • คนเราเห็นความคิดและพฤติกรรมของตัวเองได้ทั่วถ้วนมากกว่าของคนอื่น แม้ในซอกหลืบดำมืดแห่งใจดุจในห้องเก็บภาพเปื้อนบาปของดอเรียน เกรย์  บางครั้งเราจึงอาจเห็นว่าตัวเองมีมลทินมากกว่าคนอื่น แต่แท้จริงแล้ว คนอื่นก็อาจซุกซ่อนมุมอื่นไว้อยู่เช่นกัน
  • มีเรื่องดีๆ มากมายที่คนในบ้าน โดยเฉพาะที่พ่อแม่ทำให้เรา และก็มีเรื่องดีๆ มากมายที่ลูกทำให้เราเช่นกัน แต่ความใกล้ชิดก็อาจทำให้เราเห็นภาพที่ไม่น่ารักของกันและกันบ่อยๆ และบางครั้งมันก็เป็นเรื่องง่ายที่เราจะจดจำภาพลบๆ ของคนใกล้ชิด
  • บทความชิ้นนี้ ภัทรารัตน์ หยิบเรื่องราวของ ดอเรียน เกรย์ หนุ่มรูปงามที่ยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้รูปเหมือนแบกรับความแก่ชราไว้แทน ในขณะที่เขาดูเป็นหนุ่มหล่อตลอดไป เทียบเคียงกับภาพที่เราเห็น ภาพจำและภาพของคนในครอบครัวที่เราวาดขึ้นเองเพื่อขยายพรมแดนความรู้สึกเชิงบวกได้

1.

ดอเรียน เกรย์ เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ เขาได้รับการเลี้ยงดูโดยท่านลอร์ดเคลโซ คุณตาที่เพียงแต่อยากให้หลานอย่างเขาอยู่ไกลหูไกลตาส่วนหนึ่งก็เพราะเขาหน้าตาละม้ายคล้ายแม่มาก ในอดีตนั้นแม่ผู้งามหยาดฟ้าของเขา เลดี้ มาร์กาเร็ต เดเวอรู ซึ่งเป็นลูกสาวของลอร์ดเคลโซ ได้หนีไปแต่งงานกับหนุ่มผู้ยากไร้ ลอร์ดเคลโซสั่งเก็บชายผู้นั้นและไปพาตัวลูกสาวกลับมา ทว่าหลังจากนั้นเลดี้ มาร์กาเร็ต เดเวอรู กลับสิ้นใจลงภายในเวลาไม่นาน เด็กชายดอเรียน เกรย์ จึงจำต้องอยู่ในความดูแลของลอร์ดเคลโซผู้ไร้ความรัก…   

อย่างไรก็ตาม ดอเรียนเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มรูปงาม และจิตรกรก็ได้วาดภาพเหมือนซึ่งสะท้อนความงามในวัยหนุ่มอันหอมรัญจวนของดอเรียนไว้ เขาจ้องมองภาพเหมือนของตัวเองและประจักษ์ถึงความงามอย่างปริ่มสุข กระนั้นก็เศร้าใจที่กาลเวลาจะพรากความงามให้เขาต้องเหี่ยวแห้งโรยรา ในขณะที่รูปเหมือนของเขาจะอ่อนเยาว์ชั่วนิรันดร์  

เขาจึงประกาศยอมแลกกับทุกอย่างเพื่อให้รูปเหมือนแบกรับความแก่ชราไว้แทน ในขณะที่เขาจะดูเป็นหนุ่มหล่อวิลาสตลอดไป

ดอเรียนออกไปใช้ชีวิตและภาพเหมือนของเขาก็ดูอำมหิตขึ้น จนในที่สุดเขาต้องซุกซ่อนภาพชวนสยองไว้ในห้องใต้หลังคาและล็อคปิดตายไว้ วันเวลาผ่านผัน ทิ้งรอยชราและบาปมลทินต่างๆ ที่ดอเรียนทำไว้บนภาพเหมือน โดยที่ดวงหน้าของเขายังคงอ่อนเยาว์และงามตราตรึง จนแม้มีข่าวลือเกี่ยวกับวิถีชีวิตเสื่อมเสียของดอเรียน ใบหน้าอันพิสุทธิ์หมดจดของเขาก็ตำหนิให้ผู้คนที่ซุบซิบรู้สึกว่ากำลังป้ายความแปดเปื้อนใส่เขา  

นอกจากนั้น ดอเรียนยังคงสายสัมพันธ์กับสังคมอย่างพิถีพิถัน เขาต้อนรับผู้คนเข้ามาในคฤหาสน์เคล้าคลอเสียงดนตรีสะกดแขกเหรื่อและรสนิยมอันปราณีต ชายหนุ่มทั้งหลายเพ้อฝันว่าดอเรียนคือคนที่พวกเขาวาดไว้ คนที่ดูเพรียบพร้อมด้วยความคงแก่เรียน รุ่มรวยวัฒนธรรม อีกทั้งมารยาทและความงาม 

มีเพียงดอเรียนเท่านั้นรู้อยู่แก่ใจว่าอีกด้านหนึ่งของเขาเป็นอย่างไรและภาพเหมือนของเขาเปลี่ยนไปอย่างไร เขามักจะกลับไปดูภาพเหมือนอันปรากฏรอยชราและความเสื่อมทราม และบ้างก็หมกมุ่นถึงกับไม่อยากออกห่างจากมันเลย ในขณะเดียวกันเมื่อเขาไปเยือนคฤหาสน์ชนบทของตน เขาก็ชอบเข้าไปในห้องแสดงภาพอันเปลี่ยวเหงาเพื่อดูภาพเหมือนของบรรพบุรุษที่เขาสืบสายเลือด เขาจินตนาการถึงคนเหล่านั้นไปตามคำบอกเล่าของคนอื่นและตามความรู้สึกของตนเอง… เช่นเดียวกัน เขารู้สึกถึงแม่ที่เสียชีวิตไปนับแต่เขายังเด็กมาก และอิทธิพลของแม่ที่มีต่อเขาผ่านการนึกคิดจินตนาการ

2.

ภาพที่เราเห็นตัวเองและคนวงใน แตกต่างจากภาพที่เราเห็นคนวงนอก

คนเราเห็นความคิดและพฤติกรรมของตัวเองได้ทั่วถ้วนมากกว่าของคนอื่น แม้ในซอกหลืบดำมืดแห่งใจดุจในห้องเก็บภาพเปื้อนบาปของดอเรียน เกรย์ บางครั้งเราจึงอาจเห็นว่าตัวเองมีมลทินมากกว่าคนอื่น หรือรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีเท่าที่คนอื่นเห็น และบ้างก็ระคนไปกับความกลัวว่าคนอื่นจะค้นพบว่าเรามีบางอย่างที่ลวงโลก แต่แท้จริงแล้ว คนอื่นก็อาจซุกซ่อนมุมอื่นไว้อยู่เช่นกัน หรือถึงเขาไม่ได้จงใจแอบด้านที่ไม่น่ารักไว้ในห้องลงกลอน แต่เราก็ไม่ได้ใกล้ชิดเขามากพอที่จะเห็นเขาอย่างรอบด้าน  

ในทำนองเดียวกัน หลายครั้งคนเรามักจะกรี๊ดคนที่ไม่ค่อยรู้จักมากกว่าจะแสดงออกซึ่งความชื่นชมในความเกื้อกูลของคนใกล้ตัว เรามักเห็นด้านต่างๆ ทั้งด้านบวกและโดยเฉพาะด้านลบ ของคนใกล้ชิดได้มากกว่า อีกทั้งมีความคาดหวังหรือรู้สึกว่าเราควรได้รับสิ่งดีๆ จากคนใกล้ตัวอยู่แล้ว ในทางกลับกัน ความสัมพันธ์กับคนที่ไม่สนิทนั้นมีระยะห่าง บางครั้งเราจึงอาจเป็นเหมือนบรรดาหนุ่มวัยกระเตาะที่กรี๊ดดอเรียน เกรย์ เมื่อได้ปฏิสัมพันธ์กับเขาเพียงในงานเลี้ยงที่ดอเรียนได้ไตร่ตรองมาอย่างดีว่าจะนำเสนออะไรให้เห็น ไม่น่าแปลกใจที่การแห่แหนดาราและ ‘มาสเตอร์ กูรู’ สายต่างๆ แบบยึดติดกับตัวบุคคล มักตามมาด้วยความผิดหวังของสาวกแฟนคลับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชวนให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า “อย่าไปเจอฮีโรในดวงใจคุณเลยนะ” 

เพราะเมื่อได้ลองคลุกคลีกันจริงจัง ก็อาจเจอนิสัยหรือคำพูดที่ทำให้คุณขุ่นเขืองยิ่งกว่าที่ได้สัมผัสจากคนในบ้านซึ่งคุณพร่ำบ่นฉอดๆ เสียอีก แต่ความ “ขัดใจ” ของตัวเราเองก็เป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถามไม่น้อยเลย ยิ่งถ้าใครมีอาการลุ่มหลงยกย่อง ‘ฮีโร่’ หรือคนไกลอื่นๆ อย่างมาก แต่วันดีคืนดีเมื่อเจออะไรขัดใจก็พลิกไปเกลียดชังเขาอย่างรุนแรง ก็น่าฉุกคิดว่าแรงชอบชังอันเชี่ยวกรากเช่นนี้มันเป็นการฉายภาพ (psychological projection) หรือสะท้อน (resonate) สรรพสำเนียงและเรื่องราวอะไรจากเบื้องลึกหัวใจ “ของคนผู้นั้นเอง” กันแน่?  (สนใจดูเพิ่ม Swan Lake 1: เงามืดในตัวเองที่เราไม่ยอมรับรู้ ซึ่งไปปรากฏในความสัมพันธ์)

ภาพพ่อแม่หรือลูกในความทรงจำ 

มีเรื่องดีๆ มากมายที่คนในบ้าน โดยเฉพาะที่พ่อแม่ทำให้เรา และก็มีเรื่องดีๆ มากมายที่ลูกทำให้เราเช่นกัน แต่ความใกล้ชิดก็อาจทำให้เราเห็นภาพที่ไม่น่ารักของกันและกันบ่อยๆ และบางครั้งมันก็เป็นเรื่องง่ายที่เราจะจดจำภาพลบๆ ของคนใกล้ชิด อย่างเช่น ภาพที่พ่อแม่ระเบิดอารมณ์ ทำร้ายตำหนิเรา ฯลฯ หรือภาพที่ลูกเราไม่มีวินัย ไร้มารยาท และอื่นๆ ซึ่งไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง ภาพเหล่านั้นอาจไม่ตรงกับความจริงในอีกหลายห้วงขณะ แต่เราก็ยังเลือกเก็บภาพทางลบนั้นไว้ และบางทีภาพอันไม่งดงามนั้นก็มีแรงดึงดูดลึกลับบางอย่างให้เราต้องกลับไปดูบ่อยๆ – เราฉายมันซ้ำในหัวตัวเอง 

แต่มันก็ไม่ได้มีอำนาจเหนือกว่าเรา ถ้าเรารู้ทันมันมากพอ

ยิ่งไปกว่านั้นเรายังสามารถวาดภาพคนในครอบครัวในแบบอื่นๆ เพื่อเป็นจุดเปลี่ยนอารมณ์ให้เป็นบวกขึ้นได้ด้วย

ภาพของคนในครอบครัวที่เราเลือกเก็บและวาดต่อได้เอง 

เมื่อพูดถึงภาพบุคคล เราอาจนึกถึงภาพถ่ายหรือภาพวาด แต่มันก็รวมไปถึงมโนภาพซึ่งจะมโนไปอย่างไรก็ได้ อย่างภาพวาดบุคคลเองก็ดูจะไม่ได้มีภาพที่เป็นกลาง เห็นด้วยกับการอภิปรายจากหอศิลป์เทต (Tate) ว่าเวลาที่ศิลปินวาดภาพใครสักคน เขาตัดสินใจแล้วว่าจะบอกเล่าอะไรเกี่ยวกับตัวคนนั้น และบอกเล่าอย่างไร (ซึ่งหากเป็นการจ้างวาด ภาพเหมือนก็อาจมีลักษณะสอพลอ ดูดีไม่ตรงปกราวกับเซลฟีผ่านแอพได้) ภาพไม่เพียงเป็นบันทึกของรูปร่างหน้าตาแต่ยังเป็นบันทึกความสำคัญ คุณความดี และคุณสมบัติอะไรอีกหลายอย่างของผู้ถูกวาดได้อีกด้วย และเมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้ดูภาพก็สามารถจะ “รับรู้ภาพ” ของคนที่เขาไม่เจอตัว แบบไหนก็ได้เช่นกัน ดั่งที่ดอเรียน เกรย์ จินตนาการต่างๆ นานาถึงบรรพบุรุษและแม่ที่เสียชีวิตไป ผ่านการดูภาพแน่นิ่งมากมายในห้องแสดงภาพ

ในทำนองเดียวกับเวลาที่เรานั่งอยู่เบื้องหน้าเทวรูปหรือสัมผัสถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เราสามารถวาดภาพสิ่งเหล่านี้ให้เป็นอย่างไรก็ได้ดั่งศิลปินที่วาดรูปนายแบบของเขาไปตามใจ เช่น เราวาดว่าอะไรบางอย่างคือพลังงานศักดิ์สิทธิ์ซึ่งคอยปกป้องคุ้มครองให้เราพ้นภัยและปลอบโยนเราอย่างไร้เงื่อนไขในยามโศกตรม เฉกเช่นเดียวกัน หากการดูรูปภาพพ่อแม่หรือการอ่านจดหมายชวนซาบซึ้งที่พ่อแม่เขียนให้เมื่อคราวอยู่ไกลกัน หรือการมองภาพของลูกน้อยที่บัดนี้ได้เติบโตออกจากรวงรังแล้วมีช่องว่างให้เราวาดภาพทางบวกต่อในใจ ซึ่งส่งผลให้เรารู้สึกดีกับพวกเขาได้ง่ายกว่าตอนที่ต้องสัมพันธ์กับพวกเขาจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เราก็สามารถใช้ห้วงอารมณ์จากภาพหรือข้อความอย่างนั้นมาเป็นตัวตั้งได้ แล้วค่อยขยายพรมแดนความรู้สึกเชิงบวกย้อนกลับไปในความสัมพันธ์ประจำวัน 

3.

ตัวอย่างและหนทางเพิ่มภาพจำทางบวก

ยกตัวอย่างเช่น แม่มีภาพจำเกี่ยวกับลูกในทางลบ ซึ่งรวบรวมจากหลายช่วงเวลาที่ลูกมีพฤติกรรมที่ทำแม่รู้สึกไม่ดี พลอยทำให้รู้สึกไม่ดีกับลูกได้ง่าย (ซึ่งน่าเห็นใจคนเป็นแม่มาก โดยเฉพาะบางทีความรู้สึกนั้นสั่งสมมาพร้อมกับความเหนื่อยล้าจากภาระที่แม่นั้นทั้งต้องดูแลคนรอบตัวแทบทุกวัย อีกทั้งต้องจัดการกับงานอีกมายมายที่แค่ทำกิจกรรมรูทีนก็ทำไม่ค่อยทันแล้ว) ภาพจำเกี่ยวกับลูกในทางลบ ทำให้หงุดหงิดลูกง่ายและย่อมสื่อสารกับลูกในทางลบได้ง่ายด้วย

แต่แล้วแม่ก็นึกได้ว่า มีหลายช่วงเวลาที่ลูกน่ารัก และมีสิ่งของหลายอย่างที่เตือนให้ระลึกถึงความน่ารักนั้นของลูก คุณแม่จึงสามารถลองแปะการ์ดวันแม่ที่มีข้อความซึ้งๆ ว่า “หนูรักแม่นะคะ” ฯลฯ ไว้ตรงประตูที่เข้าออกบ่อยๆ (หรือทำอย่างอื่นที่สร้างอารมณ์เชิงบวกในทำนองนี้) ซึ่งช่วยเพิ่มการฉายภาพซ้ำในทางบวกได้

วิธีนี้ใช้ได้กับความสัมพันธ์กับพ่อแม่เช่นกัน เช่น พ่อหรือแม่อาจเป็นคนขี้โมโห ทำให้ลูกมีภาพจำเกี่ยวกับการระเบิดอารมณ์ของเขา แต่เราสามารถเอารูปถ่ายตอนเขายิ้มและสงบ หรือจดหมาย หรือกระดาษโน๊ตในวันธรรมดาสามัญซึ่งแสดงความห่วงใยอันสันติที่พ่อแม่เคยเขียนให้ มาแปะไว้ในไดอารี่หรือหน้าคอมพิวเตอร์ก็ได้ สิ่งเหล่านี้จะค่อยๆ ย้ำภาพพ่อแม่ในทางบวกไว้ในความจำและเพิ่มความรู้สึกทางบวกต่อพวกเขาได้เช่นกัน

แล้วเราอาจต้องหลั่งน้ำตาให้กับสิ่งดีๆ ทุกอย่างที่พ่อแม่เคยทำให้เรา ใจของเราเปิดออก เพราะรู้ดีว่าไม่มีอะไรที่อภัยให้พ่อแม่ไม่ได้เลย แม้การให้อภัยอาจเป็นเรื่องที่ยังต้องทำซ้ำไปเรื่อยๆ และไม่ได้เป็นการเห็นด้วยกับการกระทำหลายอย่างของพวกเขา แต่อย่างน้อยมันก็คือการแสดงความประสงค์ในการตัดวงจรลบและปล่อยพลังงานลบออกไป 

อ้างอิง 
Art as Symptom: A Portrait of Child Abuse in “The Picture of Dorian Gray” โดย Esther Rashkin 
The Picture of Dorian Gray โดย Oscar Wilde และ ดอเรียน เกรย์ ฉบับแปลภาษาไทย จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์มูลนิธิหยดธรรม (สนใจซื้อติดต่อ dhammadrops@gmail.com) 
Portrait เว็ปไซต์หอศิลป์เทต สหราชอาณาจักร 
The Picture of Dorian Gray Novel by Wilde จากสารานุกรมออนไลน์บริแทนนิกา
Why are Portraits so Important in Art History?

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ภาพยนตร์ปม(trauma)ความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem)

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Matilda The Musical: เมื่อโลกไม่เข้าข้าง เราต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsMovie
    The King’s speech (2010) – ‘ไม่ต้องกลัวในสิ่งที่เคยกลัวในตอนเด็ก ไม่ต้องพกพ่อ(ที่ดุและกดดัน) ไปตลอด เชื่อมั่นในตัวเอง’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Myth/Life/Crisis
    Burn out (2) ชวนนักรบที่ไม่ยอมพัก ดู 4 ข้อเสนอและคำถามทบทวนตัวเอง โหมงานจนป่วยไข้แปลว่ามีคุณค่าและจริงหรือ?

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • MovieMyth/Life/Crisis
    แด่วันที่เศร้าและหดหู่: เพียงคนธรรมดาที่มีบาดแผลคล้ายกันได้แบ่งปันและโอบอุ้ม

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

อยู่กับพ่อแม่วัยเกษียณ “การมองเห็นคุณค่าในกันและกัน”
Life Long LearningFamily Psychology
23 June 2021

อยู่กับพ่อแม่วัยเกษียณ “การมองเห็นคุณค่าในกันและกัน”

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • ตามทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคม (Psychosocial Development) ของ อีริก อีริกสัน นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน กล่าวไว้ว่า ‘บันไดขั้นสุดท้ายของพัฒนาการชีวิตมนุษย์ คือ การรับรู้ว่าตนเองมีความมั่นคงทางจิตใจ (Integrity)’ ผู้สูงวัยจึงอยู่ในวัยที่ย้อนกลับไปมองชีวิตของตัวเองที่ผ่านมาว่า ‘ชีวิตของตนนั้นมีคุณค่าเช่นไร’
  • พ่อแม่บางท่านเมื่อเข้าสู่วัยชรา สมองของท่านเข้าสู่การเสื่อมถอยเต็มรูปแบบ ความจำที่เคยแม่นยำ การคิด การตัดสินใจ และความว่องไว ค่อยๆ เสื่อมถอยไป
  • ‘รำคาญ’ ‘ภาระ’ ‘โง่’ ‘ไม่ได้เรื่อง’ ‘อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือไง’ ฯลฯ โกรธแค่ไหน ก็ไม่ควรพูดคำเหล่านี้ออกมา เพราะไม่ใช่แค่กับพ่อแม่ คำเหล่านี้ไม่ควรพูดกับใครที่เรารักทั้งนั้น เพราะมีแต่จะสร้างบาดเเผลให้กัน ที่สำคัญหากพูดออกไปแล้ว แม้จะกลับมานึกเสียใจทีหลัง คำพูดก็ไม่อาจย้อนคืนมาได้
หมายเหตุ: บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นโดยเลือกมูลเหตุของคนส่วนใหญ่ที่มาจากประสบการณ์การทำงานของผู้เขียนเอง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวของแต่ละคนย่อมแตกต่างหลากหลายและเป็นไปในเงื่อนไขของตัวเอง ซึ่งผู้เขียนยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาลดทอนปัญหาของแต่ละคน เพียงแต่อยากยกประสบการณ์ที่คนส่วนใหญ่ประสบขึ้นมาเพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายถึงที่มาที่ไปและแนะนำวิธีคลี่คลายบาดแผลของแต่ละคนต่อไป

“พ่อแม่วัยเกษียณ”

ในปัจจุบันลูกหลานหลายๆ คนอาจจะอาศัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่วัยเกษียณอายุ

ซึ่งวัยนี้ตามพัฒนาการชีวิตมนุษย์เป็น “วัยที่แสวงหาการที่ลูกหลานเห็นคุณค่าในตัวเอง” 

ตามทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคม (Psychosocial Development) ของ อีริก อีริกสัน นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน กล่าวไว้ว่า “บันไดขั้นสุดท้ายของพัฒนาการชีวิตมนุษย์ คือ การรับรู้ว่าตนเองมีความมั่นคงทางจิตใจ (Integrity)” ผู้สูงวัยอยู่ในวัยที่ย้อนกลับไปมองชีวิตของตัวเองที่ผ่านมาว่า “ชีวิตของตนนั้นมีคุณค่าเช่นไร” ซึ่งหากผู้สูงวัยได้สร้างคุณค่าและความหมายให้กับชีวิตตนเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาจะพบกับความสงบสุขทางจิตใจเมื่อใกล้เวลาที่ต้องปล่อยวาง และจากไป เพราะเขาสามารถรับรู้ได้ถึงคุณค่าภายในตัวเอง และคุณค่าที่มอบไว้ให้กับลูกหลาน จึงเป็นธรรมดาที่เรามักพบว่า ผู้สูงวัยที่รู้สึกดีกับช่วงชีวิตที่ผ่านมาจะเล่าเรื่องที่ตนเองประสบความสำเร็จหรือเรื่องราวในอดีตให้ลูกหลานฟังอยู่เสมอ เพราะเขารู้สึกดีกับตัวเอง

ในทางกลับกันหากผู้สูงวัยท่านนั้นไม่สามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวเองหรือใครได้ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เขาอาจจะไม่ได้ทำบางสิ่งที่ตั้งใจ หรือ พลาดโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆ ผู้สูงวัยท่านนั้นจะรู้สึกคับข้องใจและสิ้นหวัง (Despair) เพราะรู้สึกผิดหวังในอดีตที่ตนเองไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้แล้ว 

อย่างไรก็ตาม ในขั้นสุดท้ายของพัฒนาการชีวิต คือ “ความตาย” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ดังนั้น ช่วงเวลาก่อนที่ผู้สูงวัยจะจากไป การได้ทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนาหรืองานที่ยังไม่เสร็จสิ้นได้สำเร็จ จะช่วยให้ตนเองสามารถปล่อยวางและจากไปอย่างสงบเมื่อเวลานั้นมาถึง

“สิ่งที่ลูกๆ ควรรู้ ในวันที่พ่อแม่อยู่ในวัยเกษียณ”

ข้อที่ 1 ความจำพ่อแม่เราอาจจะไม่เหมือนเดิม 

พ่อแม่บางท่านเมื่อเข้าสู่วัยชรา สมองของท่านเข้าสู่การเสื่อมถอยเต็มรูปแบบ ความจำที่เคยแม่นยำ การคิด การตัดสินใจ และความว่องไว ค่อยๆ เสื่อมถอยไป

สิ่งที่ตามมา คือ ความขี้หลงขี้ลืม ซึ่งทำให้พ่อแม่บางท่านอาจจะถามคำถามและพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ให้ลูกหลาน

บางทีก็ลืมของ…ซื้อของแล้วลืมทิ้งไว้ที่รถเข็น

บางทีลืมนัดหมาย…มีนัดพบคุณหมอวันพรุ่งนี้ กลับจำว่าเป็นวันนี้

บางทีลืมปิดเตาแก๊ส ซ่ึงอาจจะทำให้คนในครอบครัวเดือดร้อนโดยไม่ตั้งใจ

อย่างไรก็ตาม หากอาการหลงลืมของท่านกำลังทำให้เราที่เป็นลูกหลานหงุดหงิด ให้เรานึกภาพไปถึงตัวเราเองที่เคยเป็นเด็กเล็กๆ เรามักจะถามคำถามพ่อแม่ของเราเรื่องเดิมซ้ำๆ หรือ ขอให้พ่อแม่เล่านิทานเรื่องเดิมเป็นร้อยๆ ครั้ง ซึ่งพ่อแม่ของเรามักจะตอบคำถามน้ัน หรือตอบรับคำของเรา แม้จะรู้สึกเบื่อหน่าย แต่คงไม่นึกรำคาญหรือหงุดหงิดเรา

“โรคอัลไซเมอร์” โรคที่มักจะมาพร้อมกับความชรา โดยปกติแล้วสมองของผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปจะมีอาการเสื่อมถอยลง ซึ่งมักจะพบว่า ผู้สูงอายุมีอาการหลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง และความคิด การตัดสินใจจะช้าลงไปกว่าเดิม แต่ถ้าหากมีคนรอบตัวให้การกระตุ้นถามหรือเตือน จะสามารถจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้อยู่ ที่สำคัญยังสามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ

ในทางกลับกัน ผู้สูงอายุที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ จะไม่สามารถจดจำข้อมูลเหล่านั้นได้เลย แม้จะมีการกระตุ้นเตือน บอกใบ้ และแม้แต่บรรยายถึงเหตุการณ์ บุคคล หรือ สิ่งนั้นให้ฟัง ก็ยังไม่สามารถจดจำได้ ที่สำคัญการใช้ชีิวิตประจำวันจะบกพร่องไปเรื่อยๆ ตามอาการและความรุนแรงของโรค จนสุดท้ายหากปล่อยทิ้งไว้ ไม่ได้รับความช่วยเหลือ อาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่อยู่ตามลำพัง มักไม่สามารถดูแลสุขลักษณะของตัวเองได้ ที่สำคัญผู้สูงอายุมักมีโรคประจำตัวอย่างอื่นร่วมด้วย เมื่อผนวกกับอาการของอัลไซเมอร์ ทำให้อาจจะลืมกินยา และดูแลตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อน และเสียชีวิตลง

สัญญาณบ่งบอกว่าพ่อแม่ของเราอาจจะเป็นโรคอัลไซเมอร์

  1. มีอาการหลงลืม เช่น ลืมของ ลืมวัน-เวลา ลืมนัดหมาย ลืมที่อยู่ และอื่นๆ
  2. สับสนเรื่องวัน เวลา สถานที่ และเหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิต เช่น วันเกิดตัวเอง วันแต่งงาน บ้านของตัวเอง
  3. ไม่สนใจทำกิจวัตรประจำวันหรืองานอดิเรกที่เคยทำ
  4. มีปัญหาเรื่องการจดจำบุคคลที่เคยรู้จัก เช่น คนในครอบครัว เพื่อน และพ่อแม่ของตัวเอง
  5. มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร เช่น พูดประโยคเดิมๆ ซ้ำ หรือ พูดไม่เป็นประโยค
  6. มีปัญหาเรื่องตัวเลข ได้แก่ การนับ การเข้าใจจำนวน และเวลา เช่น เวลาจ่ายเงิน-ทอนเงิน ดูวัน-เวลา
  7. มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมจากหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น จากที่เป็นคนพูดจาไพเราะนุ่มนวล อาจจะเริ่มใช้เสียงดังและพูดพยาบคาย หรือ จากที่เคยเป็นคนใจเย็นกลายเป็นคนใจร้อนและโมโหง่าย
  8. ไม่ใส่ใจสุขลักษณะของตัวเอง เช่น ใส่เสื้อผ้าซ้ำเดิม ไม่อาบน้ำแปรงฟัน ไม่ทำความสะอาดหลังขับถ่าย
  9. มีอาการซึมเศร้า ร้องไห้ไม่มีสาเหตุ

หากเราพบสัญญาณเหล่านี้ควรพาพ่อแม่ของเราไปพบคุณหมอ เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

กิจกรรมที่สามารถช่วยชะลออาการสมองเสื่อมได้

  1. ทำโจทย์นับเลข บวก ลบ คูณ หาร ซึ่งบางบ้านอาจจะรวมกระบวนการเหล่านี้ไว้ในการเล่นบอร์ดเกม หรือ การ์ดเกม (ไพ่) ก็ไม่ว่ากัน
  2. ทำงานอดิเรกที่ท่านชอบ เช่น ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ ถักนิ้ตติ้ง ไปจนถึงการดูพระ
  3. การพูดคุยกับท่านในทุกๆ วันเพื่อช่วยท่านในเรื่องการทบทวนความจำผ่านการเล่าเรื่องในแต่ละวันให้เราฟัง

ข้อที่ 2 พ่อแม่เราอาจจะยึดติดกับข้าวของเครื่องใช้มากขึ้น กลัวการเปลี่ยนแปลง (และชอบเล่าเรื่องเดิมๆ ให้เราฟัง)

อันนั้นก็ไม่ให้ทิ้ง อันนี้เก่าแล้วแต่จะเอาไปซ่อม รถคันนี้ยังใช้ได้ บ้านไม่ให้จัด ฯลฯ

ใช่แล้ว ระดับความยึดติดนี่ทวีคูณ ถ้าอธิบายว่า ทำไมพ่อแม่เราถึงเป็นเช่นนั้น

ข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ ก็คงเหมือนกับคนๆ หนึ่งที่ผ่านชีวิตมาพร้อมกันกับท่าน

มาวันนี้ที่เพื่อนในชีวิตจริงของพ่อแม่เราได้ล้มหายตายจากไปหลายคน ข้าวของเครื่องใช้ก็คงเป็นเพื่อนที่ท่านไม่ได้อยากให้จากไป

ที่สำคัญบ้านที่มีข้าวของเครื่องใช้จากยุคสมัยที่พ่อแม่เราเคยอยู่ ทำให้ท่านรู้สึกว่ายังมีพื้นที่ที่ยังอบอุ่นใจและปลอดภัย เพราะเมื่อพ่อแม่ก้าวเท้าออกจากบ้านไป โลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ดังนั้น ค่อยๆ คุยกับท่าน อย่าหักดิบโดยเอาไปทิ้งเลย พ่อแม่อาจใจสลายได้ ให้ท่านได้มาเลือก ถ้าอันไหนเกินเยียวยา ถ่ายรูปแล้วอัดเป็นอัลบั้มให้ท่านไว้ดูคลายความคิดถึง แต่ถ้าอันไหนทิ้งไม่ได้จริงๆ ลูกก็ต้องยอมรับให้ได้

ถ้าลูกคนไหนอยู่บ้านพ่อแม่ เราควรเคารพในการตัดสินใจและแนวทางในการจัดบ้านของพ่อแม่ 

ถ้าลูกคนไหนพาพ่อแม่มาอยู่ด้วย เราสามารถกำหนดกติการ่วมกัน พ่อแม่สามารถนำของแบบไหนมาเก็บได้บ้าง และห้องของพ่อแม่ ลูกควรให้อิสระพ่อแม่ตัดสินใจ

แต่ในกรณีที่ข้าวของเครื่องใช้ที่พ่อแม่เก็บเริ่มส่งผลอันตรายต่อสุขภาพกายใจ ควรพาพ่อแม่ไปพบจิตแพทย์เพราะพ่อแม่เราอาจจะเสียงต่อการเป็นโรคเก็บสะสมของ (Hoarding Disorder) เช่น เก็บสะสมทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่หนังสือพิมพ์ที่หมดอายุแล้วจรด เสื้อผ้า ใบเสร็จ ถุงพลาสติก ขวดต่างๆ ที่ไม่ใช้แล้ว และตัดใจทิ้งอะไรไม่ลงเลยสักอย่าง จนของกองพะเนินเต็มบ้าน แทบจะทับคนในบ้านตาย 

หากพบว่าพ่อแม่ของเรามีอาการของโรคเก็บสะสมของ ควรพาท่านไปปรึกษาจิตแพทย์หรือพูดคุยกับนักจิตวิทยา เพราะสาเหตุของโรคนี้มีที่มาจากปมทางจิตใจ หากทิ้งไว้เนิ่นนานอาจจะเกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคจิตเวชอื่นๆ เพิ่มเติมได้ เช่น โรคซึมเศร้า โรคย้ำคิดย้ำทำ และโรควิตกกังวล เป็นต้น

ข้อที่ 3 อยากชวนพ่อแม่ไปเที่ยว แต่พ่อแม่อยากอยู่บ้าน

พ่อแม่ของบางบ้าน อาจจะมีอาการห่วงบ้าน และไม่อยากไปไหนไกลๆ เราเรียกอาการนี้ว่า  “ติดบ้าน”

สาเหตุที่ท่านเป็นเช่นนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น 

บางบ้านที่พ่อแม่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง พ่อแม่เราอาจจะบอกว่า “เป็นห่วงหมาแมว”

บางบ้านที่พ่อแม่เป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยว ก็จะไม่อยากรบกวนลูก

บางบ้านที่พ่อแม่มีโรคประจำตัว ก็เป็นห่วงว่าตัวเองไปเที่ยวกับลูกอาจจะกลายเป็นภาระของลูก จึงไม่กล้าไป

เป็นต้น 

ดังนั้น สิ่งที่ลูกหลานพอทำได้ คือ การชวนท่านไปที่ใกล้ๆ ก่อน แล้วค่อยๆ พาไปที่ไกลมากขึ้นๆ 

ในบ้านที่พ่อแม่เป็นกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายหรือโรคประจำตัวของตัวเอง ลูกหลานสามารถป้องกันก่อนเกิดด้วยการ

เตรียมแผนการเที่ยวที่รัดกุม ตอบคำถามท่านในเรื่องการรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ครบ ท่านจะสบายใจมากขึ้น

การรู้ใจพ่อแม่คือสิ่งสำคัญ ถ้ารู้ว่าพ่อแม่เราชอบเที่ยวสไตล์ไหน เช่น พ่อแม่สายกิน พ่อแม่สายช็อป พ่อแม่สายชมวิว พ่อแม่สายธรรมชาติ พ่อแม่สายนวดแผนโบราณ ฯลฯ จะทำให้เราเลือกสถานที่เที่ยวได้ตรงใจพ่อแม่มากขึ้น

ข้อที่ 4 รักสัตว์เลี้ยงมาก

บางบ้านที่พ่อแม่เลี้ยงสัตว์ ยิ่งพอท่านสู่วัยเกษียณ ยิ่งรักสัตว์เหล่านั้นมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งมีเวลาให้ ยิ่งรักและผูกพัน ลูกหลานอย่าได้น้อยใจ ถ้าบางคราได้ยินพ่อแม่พูดกับสัตว์เหล่านั้นได้ไพเราะเพราะพริ้งกว่าตัวเอง 

เช่น “กินข้าวยังลูก” (พูดกับน้องหมาแมวที่บ้าน) “กินเสร็จยัง เหลือหมูไว้ไม้นะ จะเอาไปให้กระรอก” (พูดกับลูกแท้ๆ) 

ทำความเข้าใจสถานะตนเอง “ลูกก็คือลูก” เพียงแค่หมาแมวกระรอกเหล่านั้นเข้ามาเพิ่มเติมในหัวใจพ่อแม่ของเราด้วย อย่าได้น้อยใจไป ถ้าคิดในแง่ดี สำหรับพ่อแม่วัยเกษียณ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ท่านจะลุกขึ้นมาทำนู่นทำนี่มากขึ้น เช่น ลุกเดิน ให้อาหาร อาบน้ำ พาเดินเล่น ซึ่งเป็นการป้องกันโรคสมองเสื่อมไปในตัว และช่วยทำให้พ่อแม่เรามีสุขภาพกายใจที่ดีขึ้นอีกด้วย

ข้อที่ 5 “หู” พาลหาเรื่อง

อาการหูตึง เป็นสิ่งที่พ่อแม่วัยเกษียณหลายคนเผชิญ บางครั้งคุยกันดีๆ กลายเป็นเข้าใจลูกหลานผิดก็มีมานักต่อนักแล้ว พูดเสียงดังเข้าไว้ พ่อแม่เราจะได้ไม่หงุดหงิดและไม่เข้าใจเราผิดด้วย ที่สำคัญอย่าหงุดหงิดท่านเลย หากท่านไม่ได้ยินที่เราพูด และขอให้เราพูดอีกสักครั้ง

ข้อที่ 6 เข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น และกังวลกับการเดินทางนานๆ

พ่อแม่บางท่านเมื่อเข้าสู่วัยชรา ปัญหาเรื่องกระเพาะปัสสาวะก็ตามมาทันที ทั้งเรื่องกล้ามเนื้อหูรูดที่ทำงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม ส่งผลให้ต้องปัสสาวะบ่อย ลูกหลานโปรดเข้าใจ และคงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ไม่ชอบไปเที่ยวข้างนอกที่ไม่รู้จัก เพราะท่านกลัวจะไปสร้างภาระให้กับเรา 

การเข้าห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุเป็นเรื่องที่ลูกหลานควรช่วยกันดูแลสอดส่อง เพราะอุบัติเหตุในผู้สูงอายุบ่อยครั้ง มักเกิดเหตุที่ห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพื้นลื่นทำให้ท่านล้มหัวฟาดได้ง่ายๆ หรือ หน้ามืดเมื่อลุกขึ้นมาเร็วๆ เป็นต้น

ข้อที่ 7 อยากทำสิ่งต่างๆ ให้ลูกหลาน

พ่อแม่บางท่านอาจจะไม่ชอบการอยู่เฉยๆ เพราะรู้สึกว่า อยากทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับตัวเองและลูกหลาน เช่น อยากทำอาหารอร่อยๆ ให้ลูกหลานกิน, อยากปลูกต้นไม้ให้บ้านร่มเย็น, อยากทำความสะอาดบ้าน เป็นต้น

แม้บางครั้งเราอยากให้พ่อแม่เราสบายด้วยการอยู่เฉยๆ แต่นั่นกลับไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการ ท่านอยากช่วย อยากมีคุณค่า อยากเป็นประโยชน์กับลูกหลาน ดังนั้นให้ท่านทำเถอะ ถ้าไม่ได้อันตรายหรือเกินกำลังจนเกินไป

ข้อที่ 8 ใจร้อน ขี้น้อยใจ และหงุดหงิดง่าย

เพราะพ่อแม่วัยเกษียณไวต่อความรู้สึกและใจร้อนไม่แพ้วัยรุ่นเลย หากทะเลาะกัน ลูกหลานเป็นฝ่ายง้อท่านก่อนบ้างก็ได้ ถ้าไม่ไหว รอท่านสงบ แล้วค่อยเข้าไปคุยใหม่ เข้าไปพร้อมขนมที่ท่านชอบ เครื่องดื่มที่ท่านถูกใจ เข้าไปบีบๆ นวดๆ เท่านี้ก็หายงอนแล้ว

พ่อแม่เมื่อชราภาพก็หงุดหงิดง่ายขึ้น เพราะร่างกายท่านไม่เหมือนแต่ก่อน สมองที่เสื่อมถอย ฮอร์โมนที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ กับร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมให้เคลื่อนไหวดังใจสั่งอีกต่อไป ร่างกายที่ไม่เหมือนเป็นร่างกายของตัวเองอีกแล้ว ส่งผลให้ผู้สูงอายุรู้สึกหงุดหงิดและไม่พอใจที่ตัวเองเป็นเช่นนี้

หากเอาใจเขามาใส่ใจเรา ให้เราลองนึกถามตัวเอง แค่ข้อเท้าพลิกวันเดียวยังบ่นระงมทั้งวัน แต่พ่อแม่เราต้องอยู่กับร่างกายที่ทรุดโทรมลงทุกๆ วัน มีแต่จะแย่ลง ท่านคงหงุดหงิดตัวเองเช่นกัน หากท่านหงุดง่ายและขี้บ่นมากขึ้น ให้เราทำความเข้าใจ และปล่อยวาง ไม่ถือเอามาเป็นอารมณ์โกรธท่าน

ข้อที่  9 คำต้องห้ามที่ไม่ควรพูดกับพ่อแม่เด็ดขาด

“รำคาญ” “ภาระ” “โง่” “ไม่ได้เรื่อง” “อยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือไง” ฯลฯ โกรธแค่ไหน ก็ไม่ควรพูดคำเหล่านี้ออกมา เพราะไม่ใช่แค่กับพ่อแม่ คำเหล่านี้ไม่ควรพูดกับใครที่เรารักทั้งนั้น 

วันไหนทะเลาะกับพ่อแม่ ตะโกนใส่ฟ้า ใส่น้ำ กรี๊ดใส่หมอน แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ดีกว่า อย่าคุยกันตอนไม่พร้อม เพราะมีแต่จะสร้างบาดเเผลให้กัน ที่สำคัญหากพูดออกไปแล้ว แม้จะกลับมานึกเสียใจทีหลัง คำพูดก็ไม่อาจย้อนคืนมาได้ 

“เราไม่มีทางรู้ว่า คำพูดสุดท้ายที่เราจะพูดกับท่านจะเป็นคำว่าอะไร การไม่พูดคำแย่ๆ เหล่านี้ออกไป คือ สิ่งที่ดีที่สุด”

ข้อที่ 10 อย่ากลัวที่จะแสดงความรักกับพ่อแม่ของเรา

พ่อแม่อายุมากแล้ว อย่าเสียเวลาคิดมาก อยากทำอะไรก็ทำเถอะ จะกอด จะบอกรัก จะหอม จะพาไปสระผม จะพาไปกินข้าว จะจูงมือ ทำเถอะ เพราะถ้าไม่ได้ทำจะเสียดายไปทั้งชีวิต

ขออนุญาตนำข้อความจากภาพยนตร์เรื่อง Tokyo tower mom and me sometimes dad (2007) มาฝากเอาไว้

“ถ้ายังมีโอกาสจงมอบความรักและความเอาใจใส่กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำให้ท่าน กลับเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ช่วยเติมเต็มหัวใจ อยากพาไปไหน กินอะไร ทำอะไร ให้รีบทำ ก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสทำหน้าที่ลูก”

ทุกๆ ปี เมื่อมาถึงวันเกิดของพ่อแม่เรา เราควรจะดีใจที่อย่างน้อยปีนี้ยังมีท่านอยู่ในชีวิต

สิ่งที่พ่อแม่วัยเกษียณควรตระหนักรู้

พ่อแม่เป็นคนธรรมดาที่ทำผิดพลาดได้

แม้ว่าเราจะอายุมากกว่าลูก หรือมีประสบการณ์มากกว่าเขาแค่ไหนก็ตาม ไม่มีพ่อแม่คนไหนเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ เราทำผิดพลาดได้เสมอ และบางครั้งลูกเราอาจจะเป็นฝ่ายที่ถูก เราควรรับฟังเขา

หากเราทำผิดพลาดต่อลูกแล้ว สิ่งที่พ่อแม่ทุกคนควรทำคือ ‘การให้อภัยตัวเอง’ ‘ขอโทษลูก’ และ ‘ทำในสิ่งที่ถูกต้อง’

การขอเวลานอก

เวลาที่พ่อแม่ทะเลาะกับลูก หรือเวลาที่ต่างฝ่ายต่างไม่พร้อมรับฟังซึ่งกันและกัน

การขอเวลานอกไปสงบใจเป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะขืนพูดคุยกัน ณ เวลานั้น นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไร การทะเลาะกันอาจจะบานปลายใหญ่โตกว่าเดิม

โกรธกันแค่ไหนก็อย่าพูดคำว่า ‘ตัดพ่อแม่ ตัดลูกกัน’ เพราะหากลูกยอมให้เป็นเช่นนั้น เขาจะเดินจากเราไปตลอดกาล สุดท้ายพ่อแม่อย่างเราเองที่จะเป็นฝ่ายเสียใจในภายหลัง

อย่าทิ้งเวลานานจนเกินไป

เมื่อทะเลาะกัน อย่าทิ้งเวลาในการปรับความเข้าใจเข้าหากันนานจนเกินไป ดีที่สุด คือ เมื่อขอเวลานอกไปสงบใจกันแล้ว อย่าลืมกลับมาทำความเข้าใจกันด้วย อย่าให้จบวันนั้นไปโดยไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน เพราะใจเราจะยิ่งเหินห่างไปเรื่อยๆ

คำพูดที่ไม่ควรถูกจำกัด ‘บอกรัก’ ‘ขอบคุณ’ ‘ขอโทษ’ พ่อแม่ควรบอกรักลูกและพูดขอบคุณเขาโดยไม่ขวยเขิน เมื่อเราทำผิดเราสามารถขอโทษลูกโดยที่ไม่จำเป็นต้องสงวนท่าทีเอาไว้ เพื่อให้ลูกคุ้นเคยกับการแสดงออกเช่นเดียวกับเรา เพื่อที่เขาจะสามารถบอกรัก ขอบคุณ และขอโทษเราเช่นเดียวกัน

อย่าคิดแทนลูก

พ่อแม่มักเป็นห่วงและปรารถนาดีต่อลูก แต่บางครั้งการคิดแทนลูก อาจจะไม่ส่งผลดีต่อลูกอย่างที่คิด เพราะลูกอาจจะอยากตัดสินใจและทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเขาเอง ดังนั้น เมื่อเราเลี้ยงดูลูกอย่างดี โปรดมั่นใจในวันที่เขาเติบโตพร้อมจะใช้ชีวิตในแบบของเขา พ่อแม่ต้องปล่อยให้เขาเดินต่อไป โดยมีเราเป็นบ้านที่พักใจในวันที่เขาเหนื่อยล้า

หากเรามีเรื่องสำคัญที่ต้องตัดสินใจและสิ่งนั้นอาจจะกระทบกับชีวิตของลูกด้วย เราควรพูดคุยกับลูกในเรื่องดังกล่าวเสมอ อย่าคิดแทนลูกและจัดการเองเพียงลำพัง เพราะผลที่เกิดขึ้นอาจจะทำให้ตัวเราและลูกเดือดร้อนได้

การปล่อยวาง

แม้ว่า การใช้ชีวิตอย่างดีที่สุด คือ ความพยายามที่เราพยายามมาทั้งชีวิต ในเมื่อที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว ทั้งการทำหน้าที่เป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกให้เติบโต ทำหน้าที่สามี/ภรรยา การทำงาน และการใช้ชีวิตในด้านต่างๆ ดังนั้น เมื่อเวลามาถึง เราต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง และเชื่อมั่นในตัวลูกหลานของเรา ให้เขาได้ดูแลสิ่งเหล่านี้ต่อไป

“ห่างวัย ความสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องห่างเลย”

ปรับตัวอยู่เสมอ

แม้ว่า พ่อแม่วัยเกษียณจะเข้าสู่ช่วงวัยสุดท้ายของชีวิตแล้ว แต่เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยได้เสมอ ขอเพียงแค่เราเปิดใจ และกล้าที่จะลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากลูกหลานของเรา เช่น การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ไว้สื่อสารกับลูกหลาน การดูภาพยนตร์หรือสื่อต่างๆ ในยุคปัจจุบัน และอื่นๆ 

ถึงแม้ว่า เราจะเรียนรู้และปรับตัวกับสิ่งใหม่ๆ ไม่ได้แปลว่า เราต้องละทิ้งอดีตและสิ่งเก่าๆ เราสามารถนำเรื่องราวและสิ่งเหล่านั้นมาแบ่งปันให้กับลูกหลานได้เสมอ ขอเพียงแค่เราเปิดใจเข้าหากันและกัน

การเติมเต็มคุณค่าภายในระหว่างคนสองวัย : เราต่างมีคุณค่า

ศูนย์การเล่นหลากหลายวัย (Intergenerational Play Center) ในประเทศออสเตรเลียก่อตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีโอกาสเชื่อมต่อกับสังคมอีกครั้ง โดยศูนย์แห่งนี้ ผู้สูงวัยจะได้มาทำกิจกรรมร่วมกับเด็กปฐมวัย

แม้ความแตกต่างระหว่างวัยจะมีช่องว่างมหาศาล แต่สิ่งที่ทั้งสองวัยนี้ต้องการไม่แตกต่างกัน คือ การได้รับความสนใจและการรับรู้ถึงคุณค่าภายในตนเอง ซึ่งเมื่อทั้งสองวัยมาเจอกัน พวกเขาสามารถเติมเต็มทั้งสองสิ่งนี้ให้กันได้เป็นอย่างดี

“ความใจร้อน”​ ที่มาพร้อมกับพลังความเร็วและความกระตือรือร้นของเด็กๆ

“ความใจเย็น” ที่มาพร้อมกับความสงบ ความช้า และความมั่นคงของผู้สูงวัย

ต่างเป็นส่วนผสมที่ลงตัว

“เราต่างยอมรับในกันและกัน” การเติมเต็มคุณค่าภายในระหว่างคนสองวัย

ตัวอย่างกิจกรรมที่สร้างการมองเห็นคุณค่าให้กันและกัน

เด็กๆ วัย 4 ขวบ เป็นเพื่อนกับคุณตาคุณยายจากบ้านพักคนชรา วันนี้พวกเขาต้องวาดรูปกันและกัน เด็กหญิงวัย 4 ขวบ ซึ่งจับคู่กับคุณตาวัย 82 ปี เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ เพราะว่า เธอไม่รู้วิธีวาดรูป “เด็กผู้ชาย”

เด็กหญิง “หนูไม่รู้วิธีวาดรูปคุณ”

คุณตา “ขอโทษนะ หนูพูดว่าอะไรนะ”

เด็กหญิง “หนูพูดว่า หนูไม่รู้วิธีวาดรูปเด็กผู้ชาย”

คุณตา “ฉันเป็นเด็กผู้ชายเหรอ”

เด็กหญิง “ใช่ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะวาดเด็กผู้ชายยังไงดี”

เด็กหญิงพูดประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยความคับข้องใจที่เธอไม่สามารถวาดรูปคุณตาได้ ทำให้เธอเริ่มร้องไห้ออกมา

คุณตาที่ไม่รู้จะปลอบเด็กหญิงอย่างไรดี จึงลูบหลังน้อยๆ ของเธอ และถามว่า “หนูเป็นอะไรหรือเปล่า?”

เด็กหญิง “หนูไม่รู้วิธีวาดรูปเด็กผู้ชาย”

คุณตา “ไม่เป็นไรนะ ฉันไม่อยากทำให้หนูร้องไห้เลย”

คุณตาค่อยใช้มือของเขาเช็ดน้ำตาให้เด็กหญิง และจับไปที่ไหล่ของเธออย่างอ่อนโยน

สำหรับเด็กหญิงแล้ว ในช่วงเวลานี้ที่เธอทำอะไรไม่ถูก คุณตาเป็นเสมือนพื้นที่ปลอดภัยที่ยอมรับในตัวเธออย่างปราศจากเงื่อนไข ไม่ว่าเธอจะร้องไห้ออกมา แต่คุณตาก็ยังยอมรับเธอและรอเธอสงบอย่างใจเย็น

คุณตา “เราต้องการกระดาษทิชชู่สำหรับเช็ดน้ำตาให้หนู”

เด็กหญิง “เราต้องการกระดาษทิชชู่”

หลังจากที่เธอได้ร้องไห้ออกมา เด็กหญิงค่อยๆ กลับมาเป็นตัวเธอที่ “ร่าเริง” และ “สดใส” อีกครั้ง

เด็กหญิง “เป็นเพราะหนูลงสีดำตรงนี้ไป จึงทำให้เรามองไม่เห็นสีของดวงตาคุณ ถ้าเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นไรใช่ไหม”

คุณตา “ไม่เป็นไรเลย”

ที่แท้ ที่เด็กหญิงร้องไห้ อาจจะเป็นเพราะเธอลงสีดวงตาของคุณตาพลาดไป ทำให้เธอรู้สึกแย่ที่เธอทำผิดพลาด แต่ด้วยความที่คุณตายอมรับเธออย่างจริงใจ เด็กหญิงจึงกลับมาวาดรูปเขาได้อีกครั้ง

“บทเรียนที่เด็กหญิงกับคุณตาได้มอบให้” 

แม้วัยของทั้งสองจะห่างกันมาก แต่สายสัมพันธ์ระหว่างเด็กหญิงกับคุณตานั้นแน่นแฟ้น เด็กๆ จะวางใจกับบุคคลที่พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีด้วย ซึ่งการวางใจนำไปสู่… 

“การรับฟัง”

“การทำตาม”

“ความเชื่อมั่นทั้งต่อตนเองและบุคคลนั้น”

สายสัมพันธ์อันดีเกิดขึ้นได้จาก ‘การยอมรับโดยปราศจากเงื่อนไข’ ยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายเป็น ทั้งตอนที่มีความสุข หรือมีความเศร้า เราไม่ปฏิเสธหรือผลักไสอีกฝ่ายออกไปในวันที่เขาต้องการเราที่สุด แต่เราจะให้การเคียงข้าง จนอีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น

สำหรับผู้สูงวัยการที่มีใครสักคนที่เชื่อมั่นใจตัวเรา ทำให้เรามีความเชื่อมั่นที่จะทำหลายสิ่งหลายอย่าง

เราจะไม่กลัวที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ ในวันที่ร่างกายสวนทางไป เราไม่กลัวทำพลาด และไม่กลัวที่จะเริ่มต้นอีกครั้ง

เพราะความเชื่อมั่นที่ใครสักคนที่รักเรามอบให้ ทำให้เรารับรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง และสามารถที่จะสร้างคุณค่าภายในตัวเองต่อไป

สุดท้าย สิ่งที่พ่อแม่วัยเกษียณต้องการ คือ “การรับรู้ถึงคุณค่าภายในตัวเอง” และ “การมีคุณค่าสำหรับใครสักคน” เพราะคุณค่าเหล่านี้ทำให้พวกท่านมีพลังแรงใจที่ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดีที่สุด

อ้างอิง
Widick, C, Parker, C A, & Knefelkamp, L (1978) Erik Erikson and psychosocial development New directions for student services, 1978(4), 1-17

Tags:

การเรียนรู้ในวัยเกษียณพ่อแม่

Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • BookEarly childhood
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Early childhoodEF (executive function)
    นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “ในโลกที่มี WI-FI เด็กจะต้องมี EF”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน
Learning Theory
23 June 2021

Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เพราะชีวิตนักเรียนไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร แต่เป็นการวิ่งมาราธอน เพื่อให้ยังอยู่ในสนามพวกเขาต้องฝึกความมุ่งมั่นสองแบบ คือ ความมุ่งมั่นระยะสั้นเรียกว่า การกำกับตัวเอง (self-control) ให้ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่วอกแวก อยู่กับเป้าหมายที่บรรลุได้ในระยะสั้น และความมุ่งมั่นระยะยาวเรียกว่า อิทธิบาท 4 (grit) เพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น สอบเข้ามหาวิทยาลัย
  • นักเรียนส่วนใหญ่มีคุณสมบัตินี้อยู่แล้ว แต่มีนักเรียนอีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่ขาดแคลนไม่มี ทำให้พวกเขาไม่สามารถทนต่ออุปสรรคขวากหนามของการเรียน และออกจากการเรียนกลางคันไปเสียก่อน ครูเป็นหนึ่งคนที่สามารถช่วยติดตั้งและรักษาทักษะนี้ให้ติดตัวเด็กไปตลอด
  • บันทึกสุดท้ายใน 3 บันทึกภายใต้ชุดความคิดว่าด้วยความสำเร็จของศิษย์ (achievement mindset) บันทึกตอนนี้ว่าด้วยเรื่องการพัฒนา grit ผ่าน 5 วิธี และเครื่องมือที่ช่วยรักษาเมื่อ grit ตกต่ำ พร้อมกับไปฟังเรื่องเล่าจากในห้องเรียนของครูต้อง – นฤตยา ถาวรพรหม ครูผู้สอนหน่วยภูมิปัญญาภาษาไทย โรงเรียนเพลินพัฒนาที่นำวิธีนี้ไปใช้กับนักเรียนของเธอ

บทความนี้มาจากหนังสือสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน ซึ่งได้รับความกรุณาจากผู้เขียนทั้งสองท่านให้นำมาเผยแพร่ เป็นบทความที่ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) โดยผู้เขียนตีความให้เหมาะกับบริบทประเทศไทย พร้อมทั้งเรื่องเล่าจากห้องเรียนในประเทศไทยที่นำสาระของบทความนี้ไปใช้

บันทึกนี้เป็นบันทึกสุดท้ายใน 3 บันทึกภายใต้ชุดความคิดว่าด้วยความสำเร็จของศิษย์ (achievement mindset) ตีความจาก Chapter 6 Persist with Grit เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียนและเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู

ชีวิตนักเรียนไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร แต่เป็นการวิ่งมาราธอน นักเรียนต้องฝึกความมุ่งมั่นสองแบบ คือ แบบระยะสั้นและแบบระยะยาว ความมุ่งมั่นระยะสั้นเรียกว่า การกำกับตัวเอง (self-control) ให้ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่วอกแวก อยู่กับเป้าหมายที่บรรลุได้ในระยะสั้น เช่น จดจ่ออยู่กับบทเรียน 50 นาที ส่วนอิทธิบาท 4 (grit) เป็นความมุ่งมั่นระยะยาว เพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น เรียนให้จบ ม.6 เพื่อไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย

ข่าวดีคือ นักเรียนส่วนใหญ่มีคุณสมบัตินี้อยู่แล้ว แต่มีนักเรียนอีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่ขาดแคลนไม่มี ทำให้พวกเขาไม่สามารถทนต่ออุปสรรคขวากหนามของการเรียน และออกจากการเรียนกลางคันไปเสียก่อน มีผลงานวิจัยรายงานว่า grit มีผลต่อความสำเร็จในการเรียนยิ่งกว่าไอคิว

เด็กนักเรียนบางคนอาจมีความสามารถในการกำกับตัวเอง มีความมุ่งมั่นระยะสั้นที่ดี แต่ขาดอิทธิบาท 4 แต่โดยทั่วไปทักษะสองอย่างนี้มักไปด้วยกัน และข่าวดีคือ ทั้งสองทักษะนี้ฝึกได้

ผู้เขียนเคยเขียนบันทึกเรื่อง grit ไว้ ที่ ชีวิตที่พอเพียง: 2744. พลังความชอบระดับความหลงใหลและความมุ่งมานะบากบั่น และมานึกได้ภายหลังว่า องค์ประกอบแรกของ grit คือ passion (ความชอบในระดับคลั่งไคล้ใหลหลง) นั้นตรงกับฉันทะในอิทธิบาท 4 และองค์ประกอบที่สองของ grit คือ perseverance (ความมุมานะต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว) ก็ตรงกับ วิริยะ + จิตตะ + วิมังสา ในอิทธิบาท 4 ดังนั้น ผู้เขียนตีความว่า grit คือ อิทธิบาท 4 นั่นเอง

ห้าวิธีพัฒนา grit

  1. ช่วยให้นักเรียนตระหนักถึงคุณค่าของเป้าหมายที่ท้าทายอยู่เสมอ หาวิธีเตือนใจนักเรียนให้ผูกพันอยู่กับเป้าหมายระยะยาว เช่น เขียนติดเป็นโปสเตอร์ในห้องเรียน ฉลองเมื่อบรรลุเป้าหมายรายทางไปสู่เป้าหมายปลายทางที่กำหนด และอาศัยการฉลองตอกยํ้าถึงเป้าหมายปลายทาง เล่าเรื่องของความมุ่งมั่นสู่เป้าหมาย ฯลฯ
  2. ให้นักเรียนได้รู้จัก grit เช่น ให้ดูภาพยนตร์ที่สะท้อน grit อย่างเช่น เรื่อง Forrest Gump, Bend It Like Beckham, Remember the Titans (ผู้เขียนไม่ใช่นักดูหนัง จึงไม่มีความสามารถแนะนำหนังไทยหรือละครไทย) หลังจากเปิดหนังให้นักเรียนดูด้วยกันแล้ว ช่วยกันแชร์ความคิดว่า หนังสอนใจเรื่อง grit อย่างไรบ้าง หรือในบริบทไทยช่วยกันแชร์ความคิดว่า ได้ข้อสอนใจในเรื่องอิทธิบาท 4 อย่างไรบ้าง
  3. สร้างเงื่อนไขให้เกิด grit เงื่อนไขหลัก คือ บรรยากาศเชิงบวก ซึ่งสร้างได้ผ่านการฉลอง บทกวี นิทาน เรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ เพลงที่เร้าใจ มีผลวิจัยรายงานว่า การสร้าง grit ให้ได้ผลสูงสุด โดยเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่าง บรรยากาศเชิงบวก : บรรยากาศเชิงลบ เท่ากับ 3 : 1 ครูลองหาวิธีให้นักเรียนรับความรู้สึกเชิงบวก มากกว่าความรู้สึกเชิงลบก่อนกลับบ้านในแต่ละวัน และมีช่วงเวลาให้นักเรียนได้เล่าเรื่องราวของตนที่สะท้อนการพัฒนา grit ของตน
  4. ทำให้ grit เป็นสิ่งที่จับต้องได้ในหลายแง่มุม โดยใช้คำเปรียบเทียบ (อุปมา) คำคม (quotes) คำคล้ายคลึง บอกนักเรียนว่า ‘เวลาเราล้มเราไม่เป็นผู้รับผิดชอบต่อการล้ม แต่เราต้องรับผิดชอบต่อการลุกขึ้น’ ‘คนเราล้มเพื่อจะได้ฝึกลุก ซึ่งจะช่วยให้เราแข็งแรงขึ้นเก่งขึ้น’ มีครูในสหรัฐอเมริกาคิดวิธีเป็นรูปธรรมให้นักเรียนเข้าใจ โดยเอาของรูปร่างกลมๆ มาสองอย่าง คือ ไข่ กับ super ball (ลูกบอลที่เด้งดีมาก) เอามาให้นักเรียนดู แล้วตั้งคำถามว่าพวกเขาอยากจะเป็นไข่ หรือเป็น super ball จากนั้นก็ปล่อยของทั้งสองอย่างลงพื้น ซึ่งแน่นอนว่าไข่แตก แต่ super ball เด้งดึ๋ง ครูลองถามซํ้า ‘เธอจะเป็นอะไร’ นักเรียนส่วนใหญ่มักจะตอบไม่เต็มเสียง ‘super ball’ ครูลองยํ้าให้นักเรียนพูดดังๆ ว่า ‘เราจะเป็น… super ball’
  5. ใช้ grit ให้เห็นผล และเพิ่มความตระหนักในคุณค่าของ grit ในสถานการณ์จริง เมื่อใดที่ครูเห็นนักเรียนกำลังใช้ความพยายามทำงานอยู่ ครูลองกล่าวชมว่า ‘ครูดีใจมาก ที่เห็นเธอกำลังฝึก grit (อิทธิบาท 4) อยู่’ ขณะที่นักเรียนมีปัญหาในการทำงาน ครูลองพูดว่า ‘ไม่มีใครหรอก ที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานหนัก ไม่ต้องฟันฝ่า’ แต่อย่าพูดว่า ‘ไม่ทุกคนหรอกที่ประสบความสำเร็จ’ หรือ ‘เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่เธอถนัด’ จะเห็นว่าคำพูดของครูในสถานการณ์จริง มีความหมายมากในการบ่มเพาะหรือทำลาย grit

ครูพึงตระหนักว่า การบ่มเพาะ grit เป็นกิจกรรมระยะยาวให้ทำต่อเนื่อง อย่าใจร้อน โดยต้องเริ่มทำตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก หน้าที่หลักของครูในการบ่มเพาะ grit ให้แก่ศิษย์ คือ การร้องขอ ไม่ใช่การบอกหรือให้คำตอบ ครูต้องร้องขอสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่บรรลุยากจากศิษย์ เพื่อเป็นโจทย์ให้ศิษย์ฝึก grit โดยมีครูคอยให้กำลังใจ

เริ่มจากกิจกรรมที่ทำเสร็จในเวลาสั้นๆ เช่น 20 นาที แล้วค่อยๆ ยาวขึ้นเป็นวัน สัปดาห์ จนกระทั่งยาวเป็นปี เมื่อไรก็ตามที่นักเรียนท้อ ถือเป็นโอกาสทองของครูที่จะได้ฝึกทักษะการฟื้นความมุ่งมั่น

ผู้เขียนขอตีความจากประสบการณ์ของตนเองว่าการฝึกพัฒนา grit ให้แก่ศิษย์นั้น ไม่มีทางทำได้หากใช้การเรียนแบบครูบอกให้นักเรียนจดจำ ต้องใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบ active learning / activity-based learning / inquiry-based learning เท่านั้น ผู้เขียนเตรียมโจทย์ให้นักเรียนฝึกพัฒนา grit  และครูเองก็จะได้ฝึกพัฒนา grit ไปด้วยในตัว

เครื่องมือช่วย เมื่อ grit ตกต่ำ

นักวิจัยได้ทดลองและแนะนำวิธีฟื้นการฝึก grit หลังจาก grit ตกตํ่า โดยการเชื่อมโยงคุณค่าและอัตลักษณ์ของ grit เข้ากับงาน เพื่อใส่พลังและความพยายามเพิ่มเข้าไป โดยวิธีการดังต่อไปนี้

ครูลองให้นักเรียนพัก 5 นาที ใช้เวลา 2 นาทีแรกให้นักเรียนยืดเส้นยืดสาย หายใจลึกๆ และทำกายบริหารเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและผ่อนคลาย และใช้เวลา 3 นาทีหลังให้นักเรียนเขียนรายการคุณลักษณะส่วนตัวของตัวเองซึ่งอาจมีเป็นโหล การเขียนนี้จะช่วยเตือนสตินักเรียนว่าตัวเองคือใคร จะช่วยเรียกความมุ่งมั่นกลับคืนมา

เปลี่ยนเอกลักษณ์ของนักเรียนไปเป็น ผู้เชี่ยวชาญระหว่างการฝึก (expert-in-training) หรือเรียกว่าเป็น ปราชญ์น้อย (scholar) ซึ่งเป็นคำยกย่อง และชักจูงให้นักเรียนอดทน เมื่อประกอบกับคำพูดเชียร์ให้เดินหน้าต่อ นักเรียนจะลุกขึ้นสู้

ใช้โปสเตอร์ปลุกใจ เช่น ‘ทำงานหนัก เพื่อความสำเร็จข้างหน้า (Working Harder Gets You Smarter)’

ใช้เครื่องมือ 3 ขั้น

ขั้นที่ 1 : ฟัง

บอกนักเรียนว่าเมื่อจะทำงานสำคัญ ให้เริ่มจากฟังเสียงจากภายในตนก่อน ตรวจสอบหาชุดความคิดหยุดนิ่ง (fixed mindset) และเปลี่ยนไปเป็นชุดความคิดเจริญงอกงาม (growth mindset) เสีย บอกตัวเองว่าจะไม่หมกมุ่นอยู่กับอดีตหรือความผิดพลาด จะเรียนรู้และแก้ปัญหานี้ให้จงได้

ขั้นที่ 2 : ฟื้นพลัง

ให้นักเรียนบอกตนเองว่าตนมีเป้าหมายอะไร เป้าหมายนั้นมีความสำคัญอย่างไรต่อตัวเอง ที่จะต้องบรรลุให้ได้ จินตนาการถึงสภาพความสำเร็จ ความรู้สึกของตนเองเมื่อบรรลุความสำเร็จนั้น และแชร์ความรู้สึกนั้นต่อเพื่อนๆ ในชั้น

ขั้นที่ 3 : เลือกอีก 

เลือกข้างระหว่างเสียงในหัวว่า ‘ฉันไม่คิดว่าจะสามารถทำสิ่งนี้ได้’ กับ ‘ฉันเคยทำสิ่งที่ยากและไม่คิดว่าจะทำได้ให้บรรลุความสำเร็จมาแล้วมากมาย ฉันจะพยายามต่อ ฉันเชื่อว่าสามารถขอความช่วยเหลือได้ ในระหว่างทางหากประสบความล้มเหลว ฉันก็จะได้เรียนรู้ และหาทางแก้ไขจนบรรลุเป้าหมายให้จงได้’

ในภาคปฏิบัติ การดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวย่อมมีขึ้นมีลงในเรื่องความมุ่งมั่นเป็นธรรมดา ครูต้องมีเครื่องมือฟื้นพลังของนักเรียน และหมั่นใช้อยู่เสมอ เช่น 1.ลองให้นักเรียนหาคลิปในยูทูปที่มีเนื้อหาสื่อสารคุณค่าของเป้าหมายที่กำลังทำอยู่ นำมาดูในชั้นและร่วมกันแชร์ความคิดเห็น 2.ขอให้นักเรียนเตรียมใช้เวลา 30 วินาที เสนอเป้าหมายที่ท้าทายของตน และเพราะอะไรตนจึงต้องการบรรลุเป้าหมายนั้น 3.ให้นักเรียนทำผังเส้นทางสู่เป้าหมายว่า เริ่มตรงไหน เวลานี้อยู่ตรงไหน ขั้นตอนต่อไปคืออะไร เพื่อการบรรลุเป้าหมายสุดท้าย 4.ให้นักเรียนยืนขึ้น เดินไป 10 วินาที ไปหาคู่ เพื่อแชร์เป้าหมาย อุปสรรค และวิธีเอาชนะอุปสรรคนั้น

กระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนรู้สึกว่าเป้าหมายของตนเป็นสิ่งจับต้องได้ แชร์ได้ และเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของตน

เปลี่ยนวาทกรรม เปลี่ยนพฤติกรรม

เพื่อให้ตัวเองมีความมุ่งมั่นในการหนุนให้ศิษย์ประสบความสำเร็จในระดับ “รู้จริง” (mastery) ครูต้องเปลี่ยนวาทกรรมในหัวของตนจาก ‚เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ลูก ไม่ใช่หน้าที่ของครู‛ ไปสู่ ‚ฉันจะกระตุ้นความพยายาม แรงจูงใจ และเจตคติสู่ความสำเร็จของศิษย์ ทักษะเหล่านี้ฝึกได้‛

ใคร่ครวญสะท้อนคิด และตัดสินใจ

จะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายและยั่งยืนเริ่มที่ ‘กระจก’ คือ ครูต้องประเมินตนเองเป็นปฐม ผ่านการใคร่ครวญสะท้อนคิดว่า มีความท้าทายเรื่องความสำเร็จและความมานะพยายามของนักเรียนในชั้นหรือไม่ แล้วจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางว่า จะทำหน้าที่ ‘ครูเพื่อศิษย์’ ที่เน้นการสร้างชุดความคิด และทักษะเพื่อบรรลุความสำเร็จระดับ mastery ให้แก่ศิษย์หรือไม่

เรื่องเล่าจากในห้องเรียน

นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า และข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ คือ บทเรียนในสัปดาห์แรกที่นักเรียนชั้น 2 โรงเรียนเพลินพัฒนาได้พบตั้งแต่ต้นปีการศึกษา เพื่อการสร้างความเพียรพยายามในการเรียนรู้ให้แก่พวกเขา

นอกจากนิทานเรื่องนี้แล้ว คุณครูต้อง – นฤตยา ถาวรพรหม ครูผู้สอนหน่วยภูมิปัญญาภาษาไทย ยังได้นำเอาคุณค่าของความพยายามนี้ไปใส่ไว้ในดวงใจเล็กๆ ทุกดวง ด้วยการเปิดคลิปวีดิทัศน์เรื่องลูกหมีตัวหนึ่งที่พยายามปีนขึ้นไปบนภูเขานํ้าแข็งครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งความพยายามของมันสำเร็จ

แต่ถึงกระนั้นครูก็ยังต้องพบกับโจทย์ยาก… เมื่อการเรียนรู้ดำเนินมาถึงช่วงเวลาที่นักเรียนต้องทำโครงงาน ครูต้องบันทึกการเรียนรู้ในช่วงนี้เอาไว้ว่า

ห้องเรียนวิชาโครงงานถือเป็นโจทย์ยากสำหรับเด็กและตัวฉัน ผลจากการสำรวจเจตคติของนักเรียนพบว่านักเรียนร้อยละ 14 มีความรู้สึกไม่อยากเรียน นักเรียนให้เหตุผลว่า เขารู้สึกว่ามันยาก ไม่สนุก การบ้านเยอะเกินไป และไม่อยากทำงาน 

เมื่อฉันอ่านผลงานของนักเรียนก็พบว่า ผลงานของพวกเขาสอดคล้องกับเหตุผลและความรู้สึกที่นักเรียนแสดงออก นั่นคือนักเรียนเขียนงานสั้นๆ ด้วยลายมือที่ไม่มีระเบียบ ข้อมูลที่มีอยู่ก็ไม่ครบถ้วน มีการเขียนสะกดคำที่ผิดพลาดและตกหล่นอยู่เต็มไปหมด เมื่อครูให้นำงานกลับมาแก้ไขข้อผิดพลาด สีหน้าของนักเรียนก็จะแสดงออกถึงความไม่อยากทำให้เห็นอย่างชัดเจน หรือรีบทำให้เสร็จโดยไม่ได้คำนึงว่าจะพัฒนาให้งานของตนเองดีขึ้นแต่อย่างใด

จากท่าทีที่แสดงออก ประกอบกับเหตุผลที่นักเรียนสะท้อนกลับมา และผลงานที่ครูตรวจพบนั้น ทำให้ฉันกับคุณครูกิ๊ฟ- จิตตินันท์ มากผล ซึ่งเป็นครูคู่วิชาที่สอนในระดับชั้นเดียวกัน และคุณครูที่สอนในหน่วยวิชามานุษกับโลกที่ทำโครงการบูรณาการด้วยกัน ต้องกลับมานั่งจับเข่าคุยกัน เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนการสอน ร่วมกันหากลวิธีพิชิตใจนักเรียน สร้างโจทย์ที่ท้าทายความสามารถ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักเรียนอยากทำมากขึ้น และโจทย์ที่สำคัญคือ ครูจะทำอย่างไรให้นักเรียนอยากทำ และเพียรพยายามที่จะทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาตนเองจนประสบความสำเร็จได้

ก่อนการเริ่มต้นทำโครงงานสังเคราะห์ต่อยอดของนักเรียนชั้น 2 เพียงไม่กี่วัน ฉันได้รับบันทึกชุดสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน ที่กล่าวถึงการให้คำแนะนำป้อนกลับที่ทรงพลังแก่ผู้เรียน มาจากคุณครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ในบันทึกพูดถึงวิธีการที่ครูจะให้คำแนะนำป้อนกลับกับนักเรียน วิธีการที่ครูจะประเมินเพื่อพัฒนาการทำงานของนักเรียน ควบคู่ไปกับการประเมินตนเองของนักเรียน และการตั้งเป้าหมายเพื่อไปสู่การสร้างผลงานที่เป็นเลิศ

ฉันลองนำวิธีการที่น่าสนใจ ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับครูผู้สอนเพื่อทดลองใช้ในห้องเรียน โดยให้ความสำคัญกับจุดเริ่มต้นคือ การสร้างเป้าหมายร่วมกันของครูและเด็ก เพื่อให้นักเรียนเห็นว่าชิ้นงานที่มีคุณภาพเป็นเลิศมีลักษณะอย่างไร ให้ผู้เรียนตั้งความคาดหวังว่าเขามีความสามารถจะไปถึงเส้นชัยได้ และหาวิธีการที่จะไปถึงเส้นชัยด้วยวิธีการที่เหมาะสม หน้าที่สำคัญของครูคือการสร้างความเชื่อมั่นว่านักเรียนทุกคนมีศักยภาพและสามารถทำได้

เป้าหมายในการทำงานครั้งนี้ ฉันต้องการให้นักเรียนรู้สึกท้าทาย สนใจ และเกิดแรงบันดาลใจอยากที่จะทำโครงงานด้วยแรงขับเคลื่อนของตัวเอง ฉันเริ่มสร้างแรงบันดาลใจด้วยการชักชวนให้เขามาทำหนังสือเล่มเล็ก ชวนคุยถึงรายละเอียดของหนังสือเล่มเล็กนั้นว่า ในหนังสือจะมีเพียงสี่หน้า คือ หน้าที่หนึ่ง หน้านี้เป็นรูปต้นไม้ที่เขาวาดขึ้นเอง ซึ่งต้องวาดให้เหมือนจริงมากที่สุด โดยที่ทุกคนต้องดึงทักษะที่ได้เรียนรู้จากหน่วยวิชามานุษกับโลกมาใช้อย่างเต็มที่

หน้าที่สองคือ การเล่าเรื่องต้นไม้ด้วยบทกลอน ที่นักเรียนจะแต่งคำคล้องจองสนุกๆ เกี่ยวกับต้นไม้ของตนเอง ตามความสามารถของเขา ไม่ว่าจะคิดได้มากหรือน้อยก็ตาม แต่มีข้อแม้ว่านักเรียนจะต้องเขียนด้วยลายมือที่บรรจงมากที่สุด หน้าที่สาม คือ การเล่าเรื่องต้นไม้ที่ชื่นชอบด้วยการเขียนบรรยายเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นทักษะที่นักเรียนฝึกฝนจนเชี่ยวชาญในคาบเรียนภูมิปัญญาภาษาไทยอยู่แล้ว หน้าที่สี่เป็นหน้าสุดท้าย ให้ชื่อว่า ตามใจฉัน คือนักเรียนสามารถออกแบบว่าอยากนำเสนอเรื่องต้นไม้ของตนเองอย่างไรก็ได้ เช่น เกม ลายไทย แต่งนิทาน เป็นต้น

จากข้อมูลเดิมที่ครูพบคือ มีนักเรียนจำนวนหนึ่งที่มีความรู้สึกไม่อยากเขียน ไม่อยากทำงาน รู้สึกว่ายาก ท้อแท้ใจและคิดว่าตนเองทำไม่ได้ ครูคาดการณ์ว่าถ้าเดินเข้าไปในห้องเรียน แล้วบอกว่าจะให้นักเรียนเขียน ให้แต่งกลอนโดยที่นักเรียนยังไม่เกิดแรงบันดาลใจ นักเรียนคงรู้สึกไม่อยากทำแน่ๆ

ดังนั้น ครูจึงเปลี่ยนวิธีเพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ด้วยการบอกกับนักเรียนว่า ‘ครูอยากชวนเด็กๆ มาเป็นนักเขียน เขียนหนังสือที่มีอยู่เพียงเล่มเดียวและไม่เหมือนใคร อยากให้เด็กๆ เล่าเรื่องต้นไม้ที่ตนเองปลูกให้คนที่อ่านหนังสือเรื่องนี้มีความสุขที่ได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน เด็กๆ คิดว่าคนอ่านน่าจะอยากรู้อะไร หรืออยากอ่านอะไรเกี่ยวกับต้นไม้ของเราบ้างคะ’ 

สีหน้าของพวกเขาดูตื่นเต้นมากที่ตนเองกำลังจะได้กลายเป็นนักเขียน ทุกคนพยายามนึกว่าคนอ่านน่าจะอยากอ่านอะไรในหนังสือ คำตอบจากเด็กๆ เช่น ‘ความสวยงามของต้นไม้’ ‘จุดเด่นและความพิเศษที่ไม่เหมือนใคร’ ฯลฯ ความคิดสร้างสรรค์มากมายก่อเกิดขึ้น แต่ละคนเริ่มวางแผนว่าตนเองอยากเล่าอะไรให้คนอ่านฟัง แล้วลงมือเขียนเล่าเรื่องจากไอเดียความคิดที่เขามีอยู่

ฉันมองเห็นความสนุกจากเด็กๆ ที่มักจะคอยถามว่า ‘ถ้าเขียนเรื่องนี้คนอ่านจะชอบไหมนะ’ ‘ผมใส่มุกตลกลงไปด้วยนะครับ’ นักเรียนในห้องนำพลังมาจากไหนก็ไม่รู้เพื่อที่จะเขียน เขาเขียนด้วยความรู้สึกว่าคนอ่านต้องชอบเรื่องที่เขาเขียนแน่ๆ ไม่มีนักเรียนคนใดถามว่า ‘ต้องเขียนกี่บรรทัด’ แต่คำถามนั้นเปลี่ยนเป็น ‘คิดว่าสนุกพอหรือยังครับ’ ฉันบอกเด็กๆ ไปว่า ‘ครูไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเด็กๆ จะเขียนสนุกพอหรือยัง แต่ครูมีวิธีการที่จะรู้ว่างานของเด็กๆ ดีพอหรือยัง’

วิธีที่ว่าก็คือลองอ่านให้เพื่อนทุกคนฟังแล้วช่วยกันบอกดีไหมว่างานของเราสนุกหรือยัง นักเรียนออกมาอ่านให้เพื่อนฟัง เพื่อนๆ ตั้งใจฟังและแสดงความรู้สึกอย่างตั้งใจว่างานที่ฟังรู้สึกสนุกหรือยัง พร้อมทั้งให้คำแนะนำเพิ่มเติม บางคนเขียนได้ดีมากจนเพื่อนขอนำวิธีการเล่าเรื่องไปใช้ในงานเขียนของตนเองบ้าง

ฉันที่ยืนสังเกตชั้นเรียนอยู่ ชวนนักเรียนคอยสังเกตจุดเด่นในงานของเพื่อนที่ออกมานำเสนอเรื่องเล่าของแต่ละคน นักเรียนเริ่มมีสายตาที่มองได้อย่างละเอียด เขาบอกได้ว่างานของเพื่อนแต่ละคนนั้นต่างกันอย่างไร เช่น ‘เพื่อนคนนี้เขียนเหมือนกับว่ากำลังคุยเรื่องต้นไม้ให้เราฟังอยู่เพราะภาษาที่ใช้ เหมือนคุยกับเพื่อน ส่วนเพื่อนอีกคนจะแตกต่างกันคือมีวิธีเขียนที่เหมือนเราอ่านในหนังสือเลย เพื่อนคนที่สามเขียนเรื่องเล่ามาสั้นๆ แต่เลือกเขียนเรื่องเด่นๆ ทำให้น่าสนใจ’ 

การนำเสนอผลงานเป็นที่ชื่นชอบและสนใจของนักเรียนทุกคนในห้อง คนเขียนอยากอ่านให้เพื่อนฟัง ส่วนคนฟังก็อยากรู้ว่าเพื่อนแต่ละคนเขียนอะไรมานำเสนอ นักเรียนรู้สึกสนุกที่ได้ถกเถียงกัน ครูอย่างฉันก็ตื่นเต้นมากที่เห็นว่า นักเรียนกำลังทำสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นได้ชัดเจนเท่านี้มาก่อน คือ การที่เขาร่วมเรียนไปด้วยกันทั้งชั้นจนเวลาหมดลง นักเรียนลงความเห็นว่าอยากฟังงานของเพื่อนให้ครบทุกคนเลย คนที่เขียนไม่เสร็จก็จะตั้งใจเขียนจนเสร็จและจะออกมาอ่านให้เพื่อนฟังก่อนจะเขียนลงไปในหนังสือให้ได้

ช่วงพักกลางวัน เด็กๆ นั่งเขียนเล่าเรื่องต้นไม้ของตนเองกันต่อ เมื่อถึงเวลาที่ได้เจอกันในคาบโครงงานอีกครั้ง นักเรียนยังคงยืนยันว่าอยากที่จะฟังงานของเพื่อนให้ครบทุกคน ครูเลยเปิดพื้นที่ให้นักเรียนได้นำเสนองานเขียนของตนเอง โดยมีเพื่อนๆ รอฟังกันอย่างใจจดใจจ่ออีกครั้ง

จากวันที่ทำนักเรียนให้เห็นเป้าหมายการสร้างผลงานของตนเอง จนถึงการเริ่มต้นการทำงานของเขา ฉันได้นำวิธีการสังเกตชั้นเรียนประเมินเพื่อพัฒนาการทำชิ้นงานของนักเรียน ด้วยการใช้หลัก SEA (strategy, effort และ attitude) และพยายามจัดจังหวะให้นักเรียนได้รับคำแนะนำจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งใน 4 แหล่ง คือ จากเพื่อนนักเรียนด้วยกัน จากกิจกรรมที่ทำ จากการใคร่ครวญสะท้อนคิด และจากครู ตลอดช่วงเวลาที่ลงมือทำงาน เพื่อเป็นการชื่นชม ให้กำลังใจ หรือให้คำแนะนำต่อประเด็นใดประเด็นหนึ่งของ SEA ที่เป็นการเสริมพลังในการฟันฝ่าความยากลำบาก

ในการให้คำแนะนำป้อนกลับเชิงคุณภาพ ที่มาจากคำแนะนำของครูเป็นผู้สะท้อนการสร้างผลงาน คำแนะนำจากเพื่อนนักเรียนด้วยกัน และจากการสะท้อนการเรียนรู้ของตัวนักเรียนเองนั้น ฉันสังเกตว่านักเรียนสนใจที่จะฟังว่าครูและเพื่อนมีมุมมองอย่างไรต่องานของเขา เขาชอบที่จะฟังว่าเพื่อนคิดอย่างไร หรือครูจะบอกว่างานของเขามีจุดเด่นอย่างไร ต่างจากเพื่อนคนอื่นตรงไหน เขายินดีที่จะกลับไปพัฒนางานของตนเองเมื่อได้รับคำแนะนำจากเพื่อน ซึ่งคำพูดจากเพื่อนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดแนะนำเชิงการให้กำลังใจ และนำเสนอวิธีการปรับปรุงผลงานจากการสังเกตงานเพื่อนที่ออกมานำเสนอจริงๆ ยกตัวอย่าง เช่น ‘หนูคิดว่าเรื่องนี้ถ้าเพื่อน ตัดคำว่า และ ที่มีจำนวนมากออกไป จะทำให้คนฟังเข้าใจง่ายขึ้น แต่ก็ขอชมว่าเพื่อนเขียนได้ดีขึ้นมากจากครั้งก่อนค่ะ’

วิธีการที่นักเรียนจะมองเห็นจุดเด่นในงานของเพื่อนได้ดีและสะท้อนได้อย่างตรงประเด็นนั้น จุดสำคัญคือการที่ครูต้องฝึกการสังเกตข้อดีในงานของเด็กๆ ทุกคนแล้วหมั่นสะท้อนข้อดีและจุดเด่นของนักเรียนแต่ละคนอย่างสมํ่าเสมอ

ชวนนักเรียนสังเกตและตั้งคำถามในผลงานของตนเองและเพื่อน ชวนนักเรียนให้มองเห็นความสำคัญของความเพียรพยายามของนักเรียนแต่ละคน ว่าเพื่อนทุกคนรวมทั้งตัวเราสามารถพัฒนาตนเองได้โดยที่เราทุกคนในห้องต้องช่วยกันมองหา

นอกจากนี้วิธีการให้คำแนะนำป้อนกลับกับนักเรียนแบบ 3M (milestone, mission และ method) ก็เป็นวิธีการแนะนำป้อนกลับที่ฉันเห็นว่าใช้ได้ผลกับนักเรียน ที่จะทำให้เขาค่อยๆ เดินไปสู่ความสำเร็จได้ด้วยตัวเขาเอง โดยการฝึกให้นักเรียนเป็นผู้ตรวจสอบเป้าหมายของตนเองเป็นระยะๆ มองหาความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการทำงานของตนเอง และหาวิธีที่จะปรับปรุงผลงานของตนเองให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

ในขั้นตอนการทำหนังสือของนักเรียน ครูนำพาเด็กๆ ให้ร่วมกันมองและตั้งเป้าหมายก่อนการทำชิ้นงานว่า นักเรียนอยากเห็นหนังสือต้นไม้ของตนเองเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเขียนเป้าหมายที่ทุกคนร่วมกันคิดไว้ที่กระดานเพื่อให้นักเรียนเห็นภาพปลายทางที่จะเกิดขึ้น หลังจากนั้นนักเรียนก็เริ่มทำงานของตนเอง ภาพของชั้นเรียนขณะที่นักเรียนทำงาน เป็นภาพที่ดูจริงจัง พวกเขาขะมักเขม้นกับการคัดตัวหนังสือให้สวยที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

ขณะเดียวกันก็ต้องตรวจสอบว่าเขาเขียนถูกต้องหรือยัง บางคนอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนแล้วไม่ถูกใจ จะขอเขียนเพิ่มเติม ในขณะที่บางกลุ่มเริ่มต้นด้วยการวาดภาพ อยากจะวาดภาพให้เหมือนจริงที่สุด เขาพยายามหาแบบที่ถูกใจ โดยการค้นหาข้อมูลที่มีจากการบ้านเชิงโครงงาน จากภาพที่เตรียมมาจากที่บ้าน และจากสมุดวิชามานุษกับโลก เขานำรายละเอียดจากแหล่งข้อมูลต่างๆ มารวมกันแล้วค่อยๆ วาดภาพของตัวเองออกมา จนเกิดเป็นภาพที่มีรายละเอียดสวยงาม

หลังการทำงานทุกๆ ครั้ง นักเรียนและครูจะนำผลงานมารวมกันแล้วนั่งล้อมวง เพื่อให้นั่งเรียนได้ใคร่ครวญประเมินตนเอง สะท้อนความรู้สึกและสิ่งที่ได้เรียนรู้ระหว่างการทำงาน นักเรียนจะพิจารณาผลงานของตนเองและผลงานของเพื่อนๆ ทุกคนไปพร้อมกัน ทำให้ทุกคนได้เห็นภาพรวมของผลงานในห้องเรียน และมองเห็นผลงานของตนเองที่รวมอยู่กับเพื่อน

ในวงสนทนานักเรียนจะสะท้อนความรู้สึกของตนเอง ข้อค้นพบของตนเองที่อยากบอกเพื่อน หรืออาจเป็นปัญหาที่พบเจอแล้วอยากเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง นักเรียนจะเดินดูงานของเพื่อนแต่ละคน ร่วมกันสะท้อนและชื่นชมถึงผลงานที่ชื่นชอบประทับใจ ผลงานที่เพื่อนๆ สนใจจะได้แชร์การทำงานของตนเองให้เพื่อนๆ ได้รู้เทคนิควิธีการทำงานอย่างมีคุณภาพ ข้อค้นพบระหว่างการทำงาน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นขณะทำงาน เป็นต้น

ฉันสังเกตว่านอกจากนักเรียนจะเลือกผลงานที่โดดเด่นสวยงามในแต่ละครั้งแล้ว นักเรียนมักจะเลือกผลงานที่พัฒนาจากงานครั้งก่อนขึ้นมาชื่นชม เช่น ผลงานของเพื่อนคนหนึ่งที่แต่เดิมนั้นเขียนด้วยลายมือโย้เย้ ตัวหนังสือขนาดเล็ก–ใหญ่ไม่สมํ่าเสมอ แต่เมื่อเพื่อนสะท้อนให้ฟังในครั้งก่อน เขาจึงนำไปปรับปรุงมาใหม่เขียนด้วยลายมือบรรจงเป็นระเบียบ อีกทั้งเพื่อนในชั้นเรียนยังคงเกาะติดพัฒนาการเขียนของเขาอยู่ คอยมองและชื่นชมเขา ยิ่งทำให้เขาอยากฝึกฝนการเขียนของตนเองให้ดีขึ้น 

หลังจากแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นกันแล้วครูจะชวนนักเรียนขบคิดเพื่อตั้งเป้าหมายว่าในครั้งต่อไปนักเรียนอยากจะฝึกฝนตนเองในเรื่องใดเพื่อพัฒนาผลงานของตนเองให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

นักเรียนชื่นชอบและสนใจการสะท้อนวิธีทำงานและการมองผลงานของเพื่อนๆ มาก เขาสะท้อนว่า การดูผลงานทำให้เขาได้เห็นตัวเอง ได้เห็นเพื่อน และได้พัฒนาฝีมือตัวเองจากคำแนะนำของเพื่อนๆ การชื่นชมและแนะนำของเพื่อนกับครูทำให้เขาเกิดความมั่นใจว่าเขาสามารถทำได้ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากไปดูผลงานของเพื่อนห้องอื่นๆ อีก 

จากวงสะท้อนวงเล็กๆ จึงกลายเป็นวงสะท้อนวงใหญ่ของทั้งระดับชั้น ที่สร้างพลังการเรียนรู้ที่เกิดจากการมองและสะท้อนคิดจากการได้ชมผลงานของเพื่อนต่างห้อง ในวันสุดท้ายที่ผลงานของนักเรียนเสร็จสมบูรณ์ นักเรียนนั่งล้อมวงกันแล้วมองผลงานของเพื่อนทุกๆ คน ฉันถามนักเรียนว่า ‘เมื่อเห็นผลงานของเพื่อนทุกคนแล้วเด็กๆ อยากบอกอะไร’ คำตอบของนักเรียนคือ ‘ภูมิใจมาก’ ‘ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะทำได้’ ฯลฯ

ภาพห้องเรียนที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้ฉันได้เรียนรู้ว่า

เมื่อครูพาให้นักเรียนเห็นเป้าหมายของการเรียนรู้ที่ชัดเจน นักเรียนจะเกิดแรงบันดาลใจอยากจะลงมือทำ มีความมั่นใจว่าตนเองสามารถทำได้ เขาจะมองข้ามปัญหาอุปสรรคเรื่องความไม่อยากเขียน ไปสู่เป้าหมายของความสนุกสนานในโลกของการใช้ภาษาเล่าเรื่องราวต่างๆ 

ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่จะนำพาให้นักเรียน พัฒนาศักยภาพภายในของเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นคนที่เขียนเก่งหรือไม่ก็ตาม เดิมในห้องเรียนนี้มีเด็กที่เขียนหนังสือไม่คล่องอยู่ประมาณ 2 – 3 คน ฉันสังเกตว่านักเรียนกลุ่มนี้มีพัฒนาวิธีการทำงานของตัวเองที่น่าสนใจ โดยการเขียนเรื่องต้นไม้จากความรู้จักของตนเองก่อน นั่นคือการได้ข้อมูลที่จะเขียนจากการไปสังเกตของจริง จากนั้นเขาจึงเรียบเรียงโดยเลือกใช้ภาษาง่ายๆ ที่ตนเองรู้จัก แล้วคอยปรึกษาเพื่อนข้างๆ เป็นระยะว่า ‘ฉันจะเขียนเรียบเรียงแบบนี้ดีไหม’ และพยายามเขียนสะกดคำด้วยตนเองทั้งหมด

เมื่อนักเรียนกลุ่มนี้ออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียนแล้วได้รับเสียงชื่นชมจากเพื่อนในห้องเรียนและครู ถึงความเพียรพยายามในการฝึกฝนตนเอง ส่งผลให้นักเรียนมีความรักและอยากที่จะพัฒนาการเขียนของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

ฉันพบว่าสิ่งสำคัญที่ทำให้ชั้นเรียนขับเคลื่อนไปด้วยกันได้ก็คือ การแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความคิดเห็นที่สร้างให้นักเรียนทุกคนตั้งใจมองผลงานของตนเองอย่างใคร่ครวญ แล้วนำเสนอสิ่งที่ตนเองค้นพบ ห้องเรียนจึงห้องที่ทุกคนตั้งใจฟังเพื่อน ในขณะเดียวกันก็มีการถกเถียงเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และมีการแสดงความชื่นชมยินดีในงานที่มีคุณภาพ ที่ทำให้นักเรียนทุกคนเกิดการเรียนรู้และพัฒนาไปด้วยกัน

Tags:

ครูเทคนิคการสอนGritสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

illustrator

ครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    วิจารณ์ พานิช: เตรียมนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย เข้าสู่อาชีพที่ชอบ ใช่ และเหมาะกับตัวเอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Learning TheoryBook
    วิจารณ์ พานิช: เป้าหมายของการเรียนรู้คือเปลี่ยนแปลงสมอง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    อย่าให้ใครว่ามั่ว เช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ FAKE NEWS

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ความรู้และทักษะแบบไหนที่เด็กยุคดิสรัปชันควรเติมก่อนโต พร้อมวิธีฝึกผ่านการทำกิจกรรมในครอบครัว
Adolescent Brain
21 June 2021

ความรู้และทักษะแบบไหนที่เด็กยุคดิสรัปชันควรเติมก่อนโต พร้อมวิธีฝึกผ่านการทำกิจกรรมในครอบครัว

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • เด็กรุ่นใหม่ยังจำเป็นต้องมี “ความรู้พื้นฐาน” ที่ดีพอ โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะไม่โดนหลอกในเรื่องง่ายๆ รวมไปถึงการรู้ภาษาที่ 2 หรือ 3 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ภาษาสหประชาชาติ” ที่ครอบคลุมผู้คนจำนวนมาก
  • ทักษะแบบอ่อนหยุ่น (soft skill) มีความจำเป็นมากขึ้น ยกตัวอย่าง ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการทำงานเป็นทีม สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี มีอีคิวสูง รวมไปถึงรู้วิธีการควบคุมและจัดการเวลาของตัวเอง 
  • ทักษะที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่ง ได้แก่ ทักษะการคิดแบบต่างๆ ทั้งคิดแก้โจทย์ปัญหาที่ยุ่งยากและซับซ้อน การมีความคิดวิเคราะห์ และความสามารถในการคิดนอกกรอบ มีความคิดสร้างสรรค์ในการหาคำตอบในมุมมองใหม่ๆ และสุดท้ายต้องเป็นคนที่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา  
  • นอกจาก “ความรู้” ต่างๆ แล้ว เด็กๆ ควรจะรู้วิธีการพักผ่อนหย่อนใจที่เหมาะกับตัวเอง มีงานอดิเรก และมีการออกกำลังกายที่เหมาะกับนิสัยทำอย่างสม่ำเสมอ มีกีฬาและดนตรีที่ชอบและอย่างน้อยพอเล่นได้

ในวงการศึกษามีการพูดคุยถกเถียงกันมาหลายปีแล้วว่า ท่ามกลางเทคโนโลยีที่กำลัง “ดิสรัป” เปลี่ยนแปลงโลกแบบไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิม เรามีอะไรสอนเด็กๆ ของเราได้บ้าง เหลืออะไรที่เราจะพอมั่นใจได้ว่าเรียนไปไม่เสียเวลาเปล่า เสียทรัพยากรเปล่า? 

คำถามทำนองนี้ถือว่ายากมากๆ นะครับ เพราะปัญหาที่เราเผชิญอยู่ถือได้ว่าเป็นปัญหาใหม่เอี่ยมไม่เคยต้องเผชิญมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ดังนั้นไม่ว่าคำแนะนำใดก็ตาม ก็คงต้องรอคอยดูผลว่าจะได้ตามที่คาดหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ยังพอมีข้อสรุปบางอย่างที่ไม่น่าจะผิด เรื่องแรกคือความจำเป็นที่ต้องเรียนทักษะแบบแข็งตัว (hard skill) น่าจะจำกัดเหลืออยู่ในอาชีพเฉพาะอย่าง (โดยเฉพาะพวกที่ต้องใช้ใบประกอบวิชาชีพหรือต้องการความรู้เฉพาะทางมากๆ) ไม่ว่าจะหมอ พยาบาล วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ 

กระนั้นก็ตามเด็กรุ่นใหม่ยังจำเป็นต้องมี “ความรู้พื้นฐาน” ที่ดีพอ โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะไม่โดนหลอกในเรื่องง่ายๆ เช่น การจะฆ่าไวรัสนั้นไม่น่าจะมี “อุปกรณ์ห้อยคอ” รูปแบบต่างๆ ที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะอ้างว่าใช้แสงยูวี คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือประจุไฟฟ้า ก็ตาม

สำหรับคณิตศาสตร์ก็เช่นกัน การลงทุนโดยซื้อหุ้นหรือสมัครสมาชิกแล้วได้ปันผลหรือเงินคืนหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อเดือนนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาเสียทีเดียว คณิตศาสตร์ระดับชั้นประถมศึกษายืนยันเรื่องนี้กับเราได้ ถ้าเราไม่โลภจนเกินไป เพื่อยืนยันเรื่องนี้ จะขอยกข้อมูลผลกำไรเฉลี่ย (ตัวเลขในวงเล็บ) เทียบกับรายได้ทั้งหมดของบางอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกา [1] 

โดยคิดจากฐานข้อมูลในปี ค.ศ. 2018 ดังนี้ ก่อสร้าง (5%) ค้าปลีก (5%) โรงแรมและที่พัก (8%) ซ่อมรถยนต์ (12%) ภัตตาคาร (15%) และการขนส่ง (19%) จะเห็นได้ว่า หากคิดกำไรต่อเดือนแล้วยังแค่ไม่ถึง 1% หรือเกิน 1% มาก็เล็กน้อยเท่านั้น  

มีตัวอย่างเรื่องทำนองนี้ให้ยกได้อีกมากมายไม่จบสิ้น (โอกาสถูกหวย, โอกาสถูกฟ้าผ่าหรือเครื่องบินตก, อันตรายจากยาคุมกำเนิดหรือการสูบบุหรี่ ฯลฯ) 

พื้นฐานความรู้แบบนี้บางครั้งก็จำเป็นระดับที่ช่วยให้รอดชีวิตได้ทีเดียว เช่น เมื่อมีผู้โดนฟ้าผ่าก็ไม่มัวเสียเวลาหาแผ่นสังกะสีมารองตัวผู้ป่วยหรือหาทรายมากลบเพื่อลดประจุไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ หรือการรู้จักการปฐมพยาบาล การทำซีพีอาร์  

นอกจากเรื่องความรู้พื้นฐาน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาศาสตร์) แล้ว การรู้ภาษาที่ 2 หรือ 3 หรือมากกว่านั้นก็มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีอย่าง “แอปกูเกิลทรานสเลต” ที่ช่วยแปลเนื้อหาต่างๆ ให้ หรือมีเครื่องแปลภาษาวางขายบ้างแล้ว แต่การรู้ภาษาอื่นดีพอจะสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ก็มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ภาษาสหประชาชาติ” ที่ครอบคลุมผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจต่างๆ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีมาก 

ในอีกด้านหนึ่ง ทักษะแบบอ่อนหยุ่น (soft skill) น่าจะมีความจำเป็นมากขึ้น ทักษะกลุ่มนี้อาจมองรวมๆ ได้ว่าเป็นทักษะในการใช้ชีวิตแบบเป็นหมู่เหล่าหรือเพื่อเข้าสังคม ยกตัวอย่าง ความสามารถในการสื่อสาร (รวมทั้งการฟังและจับใจความอย่างตั้งใจ) ความสามารถในการทำงานเป็นทีม สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี มีอีคิวสูง รวมไปถึงรู้วิธีการควบคุมและจัดการเวลาของตัวเอง 

นอกจากนี้ก็ยังมีความสามารถในการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา การมีความสามารถในการจูงใจตัวเอง รู้จักบังคับตัวเองให้ทำตามแผนเพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมายทั้งในเรื่องที่ชอบหรือไม่ชอบ

ทักษะแบบยืดหยุ่นที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่งได้แก่ การใช้ทักษะการคิดแบบต่างๆ ทั้งคิดแก้โจทย์ปัญหาที่ยุ่งยากและซับซ้อน การมีความคิดวิเคราะห์ และความสามารถในการคิดนอกกรอบ มีความคิดสร้างสรรค์ในการหาคำตอบในมุมมองใหม่ๆ และสุดท้ายต้องเป็นคนที่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลา ต้องรู้จักแก้ไขสิ่งที่เรียนมาอย่างผิดๆ หรือความรู้ที่ล้าสมัยที่เรียกว่า อันเลิร์น (unlearn) และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่จำเป็นเพื่อแทนที่ความรู้เดิมที่ล้าสมัยใช้การไม่ได้ไปแล้วที่เรียกว่า รีเลิร์น (relearn)     

นอกจาก “ความรู้” ต่างๆ ที่ว่าไปแล้ว ยังต้องรู้วิธีการจัดการกับร่างกายและจิตใจด้วยนะครับ 

เด็กๆ ควรจะรู้วิธีการพักผ่อนหย่อนใจที่เหมาะกับตัวเอง มีงานอดิเรก และมีการออกกำลังกายที่เหมาะกับนิสัยทำอย่างสม่ำเสมอ มีกีฬาและดนตรีที่ชอบและอย่างน้อยพอเล่นได้  

อธิบายมาทั้งหมดนี้ ฟังดูเป็น “ทฤษฎี” มากๆ อาจมีผู้ปกครองที่สงสัยว่า แล้วจะ “ฝึกอย่างไร” กันล่ะ มีวิธีการหรือคู่มือ ทำนองเดียวกับสูตรทำอาหารหรือไม่? จะบอกว่าพอมีก็คงได้ครับ แต่เป็นตำราอาหารแบบไทยนะครับ ไม่ใช่ตำราแบบฝรั่งคือ จะบอกว่าต้องใส่ไอ้นั่น “จำนวนหนึ่ง” ไอ้นี่ “ตามเหมาะสม” และไอ้โน่น “ตามใจชอบ” ไม่ใช่ใส่อันนั้นกี่กรัม อันนี้กี่ขีดแบบตำราฝรั่ง

มาดูตัวอย่างวิธีฝึกทักษะการคิดหลายๆ แบบที่มีคนทดลองทำกันและพบว่าได้ผลดีนะครับ [2]  

ทักษะแรกการฝึกแก้ปัญหา (problem-solving) สิ่งที่เด็กๆ ควรจะมีก็คือ ความสามารถในการสังเกต วิเคราะห์ และหาคำตอบ สำหรับคำถามหรือโจทย์ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน เจฟฟ์ ชาร์บอนนัว (Jeff Chabonneau) ครูแห่งปี 2013 ของสหรัฐแนะนำว่า “ต้องทำให้เด็กๆ ตั้งคำถาม “ทำไม?” และ “อะไรจะเกิดขึ้นถ้า (what if?) ให้ได้ และต้องคิดอย่างรอบด้านด้วย” 

ตัวอย่างการฝึกหรือกระตุ้นคือ วิธีแรกให้เปลี่ยนจากคำถามเป็นโครงการ (วิจัย) เช่น หากลูกเกิดสงสัยว่า ทำไมจึงเกิดสิว? ทำไมวัยรุ่นเป็นสิวมากกว่าผู้ใหญ่? แทนที่คุณจะเฉลยด้วยคำอธิบายที่ค้นเจอในกูเกิลหรือที่รู้อยู่แล้ว ลองกระตุ้นให้เขาหรือเธอตั้งทฤษฎีขึ้นมาอธิบายก่อน จากนั้นจึงลองค้นข้อมูลดูว่าที่ทายไว้ถูกต้องหรือไม่ 

เมื่ออ่านทำความเข้าใจแล้ว ลองให้เด็กๆ อธิบายให้คุณฟังตามความเข้าใจของพวกเขา ด้วยวิธีการเช่นนี้ เด็กๆ จะเข้าใจวิธีตั้งสมมุติฐาน หาข้อมูล สรุปใจความสำคัญ และเล่าเรื่องสื่อสารได้  

วิธีฝึกแบบที่สองเป็นการฝึกสร้างภาพ 3 มิติในหัว 

ในการเรียนแบบสะเต็ม (STEM) ที่มีคณิตศาสตร์เป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่ง (ตัว M หรือ Mathematics) นอกจากการบวกลบคูณหารยกกำลังที่เป็นความรู้พื้นฐานสำคัญที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันบ่อยที่สุดแล้ว ก็มีการวาดภาพในหัวแบบนี้แหละที่สำคัญรองลงมา 

หลายคนอาจไม่รู้ว่าการคิดจินตนาการภาพเป็น 3 มิติแบบนี้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตเราตั้งแต่การเลือกเส้นทางการเดินทางไปยังเป้าหมาย การเรียนเรื่องแผนที่และภูมิศาสตร์ ไปจนถึงการใช้ในงานสาขาอาชีพสถาปัตยกรรม การผ่าตัด หรือแม้แต่การออกแบบแฟชั่น ฯลฯ!

การฝึกทักษะแบบนี้ก็มีตั้งแต่การให้เล่นตัวต่อ 3 มิติ ซึ่งแน่นอนว่าที่ดังที่สุดย่อมต้องเป็นตัวต่อเลโก้ การให้เด็กๆ ออกแบบและปั้นตามแบบด้วยดินน้ำมันก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง การให้ลองหยุดใช้กูเกิลแมปสักวัน แล้วเดินทางด้วยแผนที่ในสมอง ก็เป็นการทดลองที่กระตุ้นการใช้ความคิดแบบนี้เช่นกัน 

วิดีโอเกมแบบสร้างเมืองแบบ 3 มิติก็ไม่เลวเช่นกัน 

หากเป็นเด็กเล็ก เช่น อายุ 3-4 ขวบ ก็อาจดัดแปลงวิธีการสร้างภาพ 3 มิติในหัว โดยทำให้เป็นเกมล่าสมบัติได้ [3] โดยการวางแผนที่แบบง่ายๆ เพื่อให้เด็กๆ ไปตามหาสมบัติดังกล่าว เกมนี้คุณพ่อคุณแม่อาจต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าสักเล็กน้อย เช่น การนำตุ๊กตาหมีไปแอบไว้ที่มุมสวนหลังบ้านหรือในตู้กับข่าว 

สำหรับเด็กที่โตขึ้นมาอีกหน่อยอาจพาไปตามพิพิธภัณฑ์หรือสวนสัตว์ แล้วให้เด็กดูแผนที่เองและสมมุติตัวเองเป็นไกด์นำทาง อ่านแผนที่และพาคุณพ่อคุณแม่ไปยังกรงลิงหรือห้องอวกาศ ก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนุกไม่น้อยเช่นกัน 

ที่ว่ามาเป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อยที่ทำได้เท่านั้น ท่านที่อยากได้ตัวอย่างเพิ่ม ลองดูในเอกสารอ้างอิงหมายเลข 2 และ 3 นะครับ แต่ผมว่าพ่อแม่หรือครูที่ช่างคิดและช่างสังเกตอาจคิดและใช้เกมหรือการละเล่นต่างๆ เป็นตัวสร้างอุปนิสัยที่น่าปรารถนาและมีประโยชน์สำหรับลูกได้ 

คีย์เวิร์ดสำคัญสำหรับการสร้าง “ทักษะ” ที่จำเป็นในยุคที่ความรู้เพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงอาจจะสรุปได้ว่าเป็นการฝึกคิดและฝึกการสื่อสารผ่านทางการเล่นและทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันในครอบครัวนั่นเอง

อ้างอิง

[1] https://www.caminofinancial.com/profit-margin-by-industry/ 

[2] https://www.scholastic.com/parents/family-life/creativity-and-critical-thinking/learning-skills-for-kids/6-life-skills-kids-need-future.html  

[3] https://www.parents.com/parenting/better-parenting/advice/10-life-skills-to-teach-your-child-by-age-10/

Tags:

เด็กยุคดิสครัปชันทักษะการฝึกแก้ปัญหา (problem-solving)ภาษาทักษะแบบอ่อนหยุ่น (soft skill)ความรู้พื้นฐาน

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

อัคคเดช ดลสุข

Related Posts

  • How to enjoy life
    อ่านอะไร อ่านเท่าไร อ่านอย่างไร: วิธีสะสมต้นทุนชีวิตด้วยหนังสือ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Space
    Civilization: เรียนสังคมและประวัติศาสตร์ด้วยเกม

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • 21st Century skills
    พลังแห่ง Soft Skill ทักษะที่จะช่วยให้เด็กเข้าใกล้ความสำเร็จในชีวิตได้มากขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Creative learning
    สานเสวนา (Dialogue) เชื่อมโยงบทเรียนภาษาไทยสู่การเรียนรู้เชิงรุก : ครูมิลค์ – นิศาชล พูนวศินมงคล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • ‘อาหารกลางวัน’ คือสื่อการเรียนรู้ที่ทำให้ท้องและสมองของเด็กอิ่ม : โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel