Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: May 2021

หัวใจของการเรียนประวัติศาสตร์เพื่อฝึกทักษะคิดวิเคราะห์ : เข้าห้องเรียนอินเดียกับ ‘ลิลลี่ พัชรวิรัล เจริญพัชรพร’
31 May 2021

หัวใจของการเรียนประวัติศาสตร์เพื่อฝึกทักษะคิดวิเคราะห์ : เข้าห้องเรียนอินเดียกับ ‘ลิลลี่ พัชรวิรัล เจริญพัชรพร’

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • วิชาประวัติศาสตร์ (history) ไม่เท่ากับ อดีต (the past) แต่เป็นคำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต นักประวัติศาสตร์แต่ละคนจะอธิบายจากมุมมองที่ต่างกันไปของแต่ละคน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเวลาที่เขาเขียนมันต่างกัน
  • หัวใจสำคัญของการเรียนประวัติศาสตร์ คือ ได้ทักษะฝึกคิดวิเคราะห์ และการสื่อสารออกมาให้คนเข้าใจ เป็นทักษะที่คนจ้างงานต้องการ ซึ่งคนที่จบสายประวัติศาสตร์ไปในระดับปริญญาตรี ออกไปทำงานหลากหลายมาก โดยเฉพาะสายงานที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์
  • บทสนทนาต่อไปนี้เป้าหมายหลัก คือ พาทุกคนไปซึมซับบรรยากาศการเรียนประวัติศาสตร์ฉบับต่างแดนของ ลิลลี่ – พัชรวิรัล เจริญพัชรพร ว่าจะเป็นอย่างไร พร้อมกับของแถมเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์อินเดียช่วงสงครามเย็น

สาเหตุที่เลือกเรียนประวัติศาสตร์ของแต่ละคนนั้นคงจะแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับ ลิลลี่ – พัชรวิรัล เจริญพัชรพร แล้วเธอเริ่มสนใจมันจากวันเกิดของเธอ

“ที่ชอบประวัติศาสตร์เป็นเพราะวันเกิดเรา คือ วันที่ 21 พฤษภาคม 2535 หลังเกิดพฤษภาทมิฬ พอทุกคนรู้วันเกิดเราก็จะพูดถึงพฤษภาทมิฬเสมอ แต่พวกเขาไม่อธิบายให้เราฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราก็สงสัยมาตลอด เพราะมันถึงขั้นที่แม่เล่าว่าพยาบาลทำคลอดบอกถ้าเกิดเด็กเป็นผู้ชายจะตั้งชื่อว่าสันติภาพ” จุดเริ่มต้นแรกที่ทำให้ลิลลี่สนใจสิ่งที่เรียกว่า ‘ประวัติศาสตร์’

จากการหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในเหตุการณ์นั้น กลายมาเป็นความหลงใหลในโลกประวัติศาสตร์ เป็นหนึ่งเหตุผลให้ลิลลี่ตัดสินใจลาออกจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังสอบชิงทุนของสกอ. (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) สาขามนุษยศาสตร์ และลัดฟ้าไปเรียนประวัติศาสตร์อินเดียที่ประเทศอังกฤษ

ปัจจุบันลิลลี่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาเอก Department of History ที่ University College London ประเทศอังกฤษ เป็นเวลาเกือบ10 ปีที่เธอได้อยู่กับสิ่งๆ นี้ ซึ่งถ้าเปรียบดั่งความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักก็คงใกล้ถึงฤกษ์แต่งงาน

บทสนทนาต่อไปนี้เป้าหมายหลัก คือ พาทุกคนไปซึมซับบรรยากาศการเรียนประวัติศาสตร์ฉบับต่างแดนว่าจะเป็นอย่างไร พร้อมกับของแถมเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์อินเดียช่วงสงครามเย็น

ปริญญาตรี

“เราสนใจอินเดียเพราะเหตุผลสองอย่าง หนึ่ง – เราชอบอินเดียยุคโมกุล (Mughal Empire) (เป็นจักรวรรดิที่ปกครองอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 16 – 18) ช่วงก่อนอังกฤษจะเข้ามาปกครองอินเดีย มันเป็นยุคที่ตรงกับจินตนาการของเราตอนเด็กๆ เวลาพูดถึงอินเดีย ภาพที่ป็อปขึ้นมาในหัวเป็นภาพการ์ตูนเรื่องอาละดิน ส่วนอีกเหตุผล คือ มันมีจุดที่คนเรียกอินเดียว่า เป็นประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าจะวัดจากจำนวนประชากรและความหลากหลายที่ประเทศนี้มี สิ่งนี้ทำให้เราสงสัยว่าทำไมประชาธิปไตยถึงเวิร์กในอินเดีย”

แรงบันดาลใจที่ทำให้ลิลลี่ตัดสินใจสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศ มาจากรุ่นพี่คนหนึ่งในคณะอักษรศาสตร์ (คุณกิตติพัฒน์ มณีใหญ่) ที่สอบได้ทุนก่อนหน้า พอเห็นแบบนั้นแล้วก็เกิดกระตุ้นบางสิ่งในตัวลิลลี่ที่ทำให้เธอตัดสินใจสอบชิงทุนไปเรียนต่อประวัติศาสตร์ที่ต่างประเทศ

เมื่อได้ทุนมาแล้วจะต้องเลือกว่าจะเรียนต่อประวัติศาสตร์ด้านไหนดี ซึ่งตัวเลือกในตอนนั้นมีทั้งประวัติศาสตร์ตะวันออกกลาง อินเดีย ยุโรป ฯลฯ ลิลลี่ก็ได้ตัดสินใจเลือกประวัติศาสตร์อินเดีย และสอบได้ทุนไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ 

ก่อนจะเข้าเรื่องเรียนประวัติศาสตร์ เราขอพาแวะมาข้างนอกนิดหนึ่ง ในการเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่อังกฤษนั้น ทุกคนจะต้องได้วุฒิ A – Levels (หรือ Advanced Level General Certificate of Secondary Education วุฒิที่ใช้สำหรับศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาของอังกฤษ)

ลิลลี่ใช้เวลาเรียน 2 ปีเพื่อให้ได้วุฒิดังกล่าว ก่อนจะสมัครเข้าเรียน History Department ที่ University of Exeter เพราะชื่อเสียงด้านวิชาประวัติศาสตร์ที่ติดท็อปเท็นในประเทศอังกฤษ บวกกับเมือง Exeter เป็นเมืองเล็กๆ เงียบสงบ ติดทะเล ในอดีตเคยเป็นเมืองโรมันเก่า ปัจจุบันจะยังคงเห็นกำแพงโรมันอยู่รอบเมือง รวมถึงสะพาน – ท่าน้ำที่สมัยยุคกลางใช้เป็นจุดลงสินค้า (ฟังแล้วดูเป็นบรรยากาศที่กระตุ้นให้เรียนประวัติศาสตร์)

สำหรับบรรยากาศการเรียนการสอน ในระดับปริญญาตรีเสมือนเป็นการเตรียมตัวปูพื้นฐานให้คนเรียนเข้าใจโลกประวัติศาสตร์ ซึ่งรายชื่อวิชาที่ลิลลี่เรียนตลอด 3 ปี ได้แก่ Introduction to Modern World, Introduction to Early Modern and Medieval World, Making History, Writing History เป็นต้น

ถ้าจะให้เล่าทุกวิชาที่ลิลลี่เรียน คาดว่าบทความนี้คงมีความยาวกลายเป็นหนังสือหนึ่งเล่ม ฉะนั้น เราขอดึงวิชาที่น่าสนใจมาเล่าให้ผู้อ่านฟัง พอจะเห็นบรรยากาศการเรียนคร่าวๆ วิชาแรก คือ Making History เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องกระบวนการทำหนังสือประวัติศาสตร์ ลิลลี่อธิบายว่า ประวัติศาสตร์ที่พวกเรารับรู้กัน เกิดจากวิธีทางวิชาการที่เราเขียนเรื่องราวในอดีตจากหลักฐานที่มีอยู่

“วิชาประวัติศาสตร์ (history) ไม่เท่ากับ ‘อดีต (the past)’ แต่เป็นคำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต นักประวัติศาสตร์แต่ละคนจะอธิบายจากมุมมองที่ต่างกันไปของแต่ละคน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเวลาที่เขาเขียนมันต่างกัน

ตัวอย่างเช่น การเขียนประวัติศาสตร์สงครามเย็นเกี่ยวกับสหภาพโซเวียต (Soviet Union) ในปี 1980 กับเขียนในปี 2010 จะต่างกัน เพราะข้อมูลหรือหลักฐานที่มีให้ไม่เหมือนกัน เพราะในปี 1990 หอจดหมายเหตุที่รัสเซียเพิ่งค้นพบเอกสารเพิ่มเติม ทำให้มีหลักฐานมากขึ้น มีอะไรให้นักประวัติศาสตร์ประมวลมากขึ้น แตกต่างจากนักประวัติศาสตร์สมัย 1980 ที่ต้องหลักฐานน้อยกว่า อาศัยการคาดเดามากกว่า”

นั่นเป็นเหตุว่าประวัติศาสตร์ควรเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้ ยิ่งคุยยิ่งได้ข้อสรุปใหม่ๆ ที่ช่วยเรื่องการรับรู้

“การเรียนประวัติศาสตร์ในไทยระดับโรงเรียน ส่วนใหญ่จะเรียนแค่ระดับ Fact ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อให้คนมีพื้นฐานความรู้ก่อน นั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะเวลาเราจะถกอะไรสักอย่าง ต้องมีความรู้ Fact เบื้องต้น”

ส่วนอีกหนึ่งวิชาที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องโสเภณียุควิกตอเรีย (Victorian era) เหตุผลที่ลิลลี่สนใจวิชานี้เป็นเพราะอาจารย์ที่สอนมีชื่อเสียงเรื่องเพศศึกษาและความน่าสนใจว่าเพศเกี่ยวข้องกับการเมืองได้อย่างไร

“เขาจะสอนให้เราเข้าใจมุมมองที่สังคมยุคนั้นมีต่อโสเภณี เช่น มุมมองด้านการเมือง ทำไมในยุคนั้นประเด็นเรื่องโสเภณีถึงกลายมาเป็นดีเบตระดับชาติ เราก็มาพิจารณาดูว่า ในสมัยนั้นเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Diseases : STD) สูงขึ้นตามเมืองท่า นั่นเป็นเพราะกะลาสีเรือมีแต่ผู้ชาย ฉะนั้น พอเทียบท่าก็จะไปซ่องโสเภณี ทีนี้นักการเมืองยุคนั้นรู้สึกว่าในกลุ่มประชากรที่อายุน้อยและเป็นกำลังสำคัญ ถ้าเกิดเป็นโรคนี้กันหมดจะแก้ไขยังไง ก็กลายเป็นดีเบตระดับชาติ นำไปสู่การออกกฏหมายควบคุมโสเภณี ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจควบคุมโรคต่อต่อไปในตัว

“แล้ววิชานี้ยังได้ให้พิจารณาดูด้านศิลปะด้วย ไปดูรูปภาพที่เขาวาดผู้หญิงกลุ่มนี้ว่าภาพนี้สื่อความว่าอย่างไร มีสัญลักษณ์อะไรอยู่ในภาพวาดสีน้ำมันนี้บ้าง นอกจากนี้ยังมีให้อ่านนิยาย และบันทึกประจำวันของคนที่ไปเกี่ยวข้องกับซ่องโสเภณีในสมัยนั้นอีกด้วย”

เมื่อติดตั้งเครื่องมือประวัติศาสตร์เสร็จ ก็ถึงเวลาลองเขียนประวัติศาสตร์หนึ่งเรื่อง เป็นโปรเจกต์ที่ชื่อว่า ‘Doing History’ หาข้อมูลและเขียนออกมาเป็นงาน 1 ชิ้น 5000 คำ ซึ่งหัวข้อที่ลิลลี่เลือก คือ การออกกฎหมายห้ามพิธีกรรมสตี (Sati) ในอินเดีย

สตี เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ภรรยาผู้ซื่อสัตย์ พิธีกรรมดังกล่าว คือ การที่ภรรยาหม้ายต้องกระโดดเข้ากองไฟไปพร้อมกับศพสามี เป็นพิธีกรรมที่มีรากฐานมาจากความคิดของศาสนาฮินดูที่นับถือผู้หญิงในความแข็งแกร่งด้านจิตใจและมีความบริสุทธิ์พอที่จะเผชิญกับกองไฟนี้ได้

“พิธีกรรมนี้มีทั้งคนที่สมัครใจและคนที่ถูกบังคับ ทีนี้พออังกฤษเข้ามีอำนาจในอินเดีย เขาก็รู้สึกว่าพิธีกรรมนี้มันค่อนข้างป่าเถื่อน เลยอยากจะยกเลิก แต่อังกฤษเองก็กังวลว่าถ้ายกเลิกแล้วจะมีผลต่อการปกครองหรือไม่ จะเป็นการแทรกแซงทางวัฒนธรรมหรือเปล่า

“ในขณะเดียวกันคนอินเดียด้วยกันเองก็แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่เรียกว่าเป็น Progressive คือ อยากจะยกเลิกพิธีกรรมนี้ โดยอ้างว่าประเพณีนี้มันไม่มีตัวบทรองรับในคัมภีร์ศาสนาของเขา กับอีกกลุ่ม คือ กลุ่มที่ต้องการรักษาไว้ กลายเป็นประเด็นถกเถียงว่าอังกฤษต้องการยกเลิก เพราะว่าต้องการเข้ามาแทรกแซงประเพณีของคนท้องถิ่น ทีนี้เราก็หาหลักฐานมาแล้วก็ดูว่าแต่ละกลุ่มถกเถียงว่าอย่างไร ทำไม วิเคราะห์เขียนออกมาเป็นงานหนึ่งชิ้น”

นอกจากลงมือสืบค้นศึกษาประวัติศาสตร์ ในทางกลับกันก็ต้องมีการวิเคราะห์ว่า การดึงเอาหลักฐานหรือประวัติศาสตร์มาใช้ในบางช่วงเวลา มาจากสาเหตุอะไร เป็นการฝึกทักษะวิเคราะห์ โดยดูว่าคนใช้ ‘ประวัติศาสตร์’ อย่างไรในสังคม ทำไมช่วงเวลาหนึ่งสังคมถึงหยิบเอาประวัติศาสตร์นี้มาเล่า มันตอบโจทย์อะไรสังคมในตอนนั้น

“เช่น ตอนนี้มีประวัติศาสตร์ในไทยที่กำลังเป็นประเด็น คือ ช่วงสงครามเย็น เราก็มาดูว่าทำไมอยู่ๆ คนถึงมาพูดเรื่องประวัติศาสตร์สงครามเย็น หรือจากเคสที่เราเคยศึกษาตอนเรียน คือ ที่รัสเซียหลังยุคคอมมิวนิสต์ รัฐบาลมีการกวาดเอารูปปั้นทุกอย่างมาไว้ในสวนๆ หนึ่ง ตั้งในกรุงมอสโก ก็กลับมาที่โจทย์ว่าทำไมเขาถึงเอารูปปั้นทั้งหมดมาไว้ที่นี่ มันแสดงถึงอะไร ทำไมสังคมหนึ่งตัดสินใจที่จะจำเรื่องหนึ่งและตั้งใจที่จะลืมอีกเรื่องหนึ่ง เป็นต้น”

ปริญญาโท

เนื่องจากทุนสกอ. เป็นทุนของรัฐบาลมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคนให้กลับมาพัฒนามหาวิทยาลัยต่อ ฉะนั้น การใช้ทุนคือต้องกลับมาทำงานที่มหาวิทยาลัย สำหรับลิลลี่เธอเลือกที่จะกลับมาเป็นอาจารย์ แล้วการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในไทยต้องได้วุฒิปริญญาโทขั้นต่ำ นั่นเป็นเหตุผลที่เธอต้องลงเรียนปริญญาโทต่อ

ในการเรียนระดับนี้ ลิลลี่เลือกศึกษาต่อ Modern South Asian Studies ที่ University of Oxford เป็นการลงลึกกับประวัติศาสตร์อินเดียโดยเฉพาะ บรรยากาศการเรียนการสอนด้วยความที่มีจำนวนคนสอบเข้ามาเรียนได้น้อย มีจำนวน 6 คน พอถึงคาบเรียนพวกเขาจะไปเรียนที่ห้องทำงานของอาจารย์ ซึ่งมีโซฟา 1 ตัวและเก้าอี้อีก 4 ตัว พร้อมกับคลังข้อมูลที่ได้จากการอ่านหนังสือ เตรียมถกคำถามที่เป็นหัวข้อในสัปดาห์นั้นๆ

วิชาที่เรียนมีทั้งหมด 4 วิชา คือ หนึ่ง – ภาษาฮินดี (Hindi ภาษาหลักที่ใช้ในอินเดีย) สอง – ประวัติศาสตร์อินเดียตั้งแต่ปี 1500 จนถึงปี 1947 ที่อินเดียได้รับเอกราช สาม – เรียนเรื่องการเมืองภายในอินเดียและได้รับเอกราช และสุดท้าย คือ การทำธีสิส (thesis)

ไฮไลท์ของการเรียนช่วงนี้คงอยู่ที่ธีสิส เป็นตัววัดว่าความรู้ที่เราสะสมมาเป็นอย่างไร ลิลลี่เลือกหัวข้อศึกษานโยบายต่างประเทศของอินเดียในสมัย ชวาหะร์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังอินเดียได้รับเอกราช

“เนห์รูเป็นคนที่ค่อนข้าง Idealistic เป็นนักอุดมการณ์ ต่อสู้เพื่อสันติภาพโลก สภาพอินเดียในยุคนั้น คือ โอเค เราต่อสู้ได้เอกราชจากอังกฤษมาแล้ว เป้าหมายถัดไปของเรา คือ การขยายความสำเร็จของเราไปยังประเทศอื่นๆ ที่กำลังต่อสู้เพื่อเอกราชตัวเองจากประเทศเจ้าอาณานิคมด้วย เนห์รูจะรับบทผู้นำของประเทศกลุ่มที่กำลังต่อสู้เพื่อเอกราชตัวเองอยู่”

“ส่วนหนึ่งของธีสิส จะดูบทบาทของเนห์รูในองค์การสหประชาชาติเป็นหลัก อย่างเช่น ปี 1956 เนห์รูถูกวิจารณ์ว่าเป็นคนสองมาตรฐาน เพราะในปีนั้น เมื่อวิกฤตคลองสุเอช (Suez Crisis)  ซึ่งกองกำลังร่วมระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอล เข้าไปบุกอียิปต์ได้เกิดขึ้น ตัวเนห์รูลุกขึ้นมาวิจารณ์ทันที ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ แต่ว่าไม่เกินสองอาทิตย์ถัดมา เกิดเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายๆ กัน ที่รัสเซียส่งรถถังเข้าไปแทรกแซงเหตุการณ์ในฮังการี เนห์รูใช้เวลาหลายวันกว่าจะขึ้นมาแสดงความคิดเห็น นักวิเคราะห์ นักวิจารณ์การเมืองในสมัยนั้น ก็เลยมองว่าเนห์รูสองมาตรฐาน นั่นคือ ถ้าเกิดเป็นเรื่องของประเทศทางตะวันตกก็จะออกมาวิจารณ์ทันที แต่ว่าทำไมพอเป็นรัสเซียถึงอ้ำอึ้ง”

พักเบรกเป็นอาจารย์

ถ้าเป้าหมายที่ตั้งไว้คือกลับมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ แต่ระยะเวลา 10 ปีมันจะทำให้เป้าหมายไขว้เขวหรือไม่?

การวางแผนของลิลลี่ถือเป็นแผนระยะยาว (ถ้าให้เรียกภาษาชาวบ้านก็กู้เงินซื้อบ้านได้เลยล่ะ) แต่นี่คือการเดิมพันอนาคตสายงานตัวเอง ทำให้เราตั้งข้อสงสัยว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาลิลลี่เคยเกิดอาการไขว้เขวหรือไม่

“ถ้าตอบตามความจริง ก็ต้องมีโมเมนต์ที่เราสนใจอย่างอื่นบ้าง เราเห็นคนที่มาทุนเขาไปเป็นนักการฑูตหรือทำธุรกิจ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่น่าสนใจ แต่พอเวลาผ่านไป เราค้นพบว่า ตัวเราชอบงาน สังคม สภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยมากกว่า

ส่วนคำถามที่ว่าตัวเราอยากเป็นอาจารย์จริงๆ ไหม เราตอบตัวเองได้จริงๆ ในช่วงปีระหว่างที่เรียนจบป.โท และกำลังทำเรื่องสมัครปริญญาเอก ตอนนั้นเราได้รับโอกาสให้เข้าไปเป็นวิทยากรรับเชิญที่จุฬาฯ เป็นเวลาประมาณครึ่งเทอม และต่อมาก็ได้ไปเป็นวิทยากรที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย สิ่งนี้เป็นจุดแรกที่ให้เราได้ลองสวมบทเป็นอาจารย์ มันทำให้เรารู้สึกว่าการส่งต่อความรู้ การกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่คิดได้เป็นอะไรที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นมาก และในทางกลับกัน การที่เราได้รับฟังความเห็นของพวกเขาว่าเขาคิดยังไงกับโลกที่เขาอยู่ในปัจจุบันก็นับเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากสำหรับเรา โอกาสที่เราได้ในครั้งนั้น ทำให้เราเห็นคุณค่าในงานด้านนี้”

ลิลลี่ยิ้มพร้อมกับเล่าย้อนช่วงเวลาที่ได้ลองไปเทคคอร์สเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย “สอนวิชาอินเดียนี่แหละ พวกเรื่องวรรณะในสังคมอินเดีย กับประวัติศาสตร์อินเดียหลังจากที่ได้รับเอกราช และในสงครามเย็น”

“ตอนแรกๆ เราก็รู้สึกตื่นเต้น กลัวนะ กลัวว่าเราจะไม่มีอะไรไปสอน (หัวเราะ) เราใช้เวลาเตรียมสอนนานมาก สมมติสอน 3 ชั่วโมง ใช้เวลาเตรียมตัว 7 ชั่วโมง จำได้ว่าพอสอนคาบแรกเสร็จไข้ขึ้นเลย”

ปริญญาเอก

ย้อนเวลากันนานก็ขอกลับเข้าสู่ช่วงเวลาปัจจุบันที่ลิลลี่กำลังเรียนปริญญาเอก ที่ Department of History ของ University College London (UCL) กิจกรรมของเธอตอนนี้ คือ การทำวิจัย ซึ่งแน่นอนว่าหัวข้อต้องเกี่ยวข้องกับอินเดีย แต่ว่าคราวนี้ลิลลี่ได้ขยับมาศึกษาสิ่งใกล้ตัว นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอินเดียในสมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม เป็นช่วงคาบเกี่ยวกับงานธีสิสเดิมของเธอ คือช่วงเวลาต้นสงครามเย็น ต้นสายปลายเหตุของงานวิจัยนี้เกิดจากอาจารย์ที่ปรึกษาสมัยปริญญาโทได้ถามลิลลี่ว่า ไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียเหรอ? ทำให้เธอสนใจไปไล่หาว่ามีใครนำเสนอเรื่องอะไรบ้าง จนเจอว่าช่วงจอมพลป.พิบูลสงครามไทยกับอินเดียมีความสัมพันธ์บางอย่าง ตัวอย่างเช่น

“ถ้าดูจากข้อมูลช่วงสงครามเย็นไทยจะอยู่ฝั่งอเมริกา ส่วนอินเดียเป็นผู้นำกลุ่มไม่ฝักฝ่ายใด แต่ว่าจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ถ้าเกิดขึ้นจริงถือเป็นจุดเปลี่ยนนโยบายการต่างประเทศไทยเลย คือ สมัยปลายจอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไทยได้เริ่มส่งสัญญานว่าจะไปเข้าร่วมฝ่ายเดียวกับเนห์รู โดยมีหลักฐานการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่มีความเชื่อมโยงทางการเมือง เช่น งานเฉลิมฉลองพุทธศักราชครบรอบ 2500 ปี ซึ่งเป็นการครบรอบ 2500 ปีแห่งการปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อินเดียเรียกงานนี้ว่า ‘พุทธชยันตี’ ที่ไทยเองก็จัดงานนี้เช่นกัน โดยเรียกงานนี้ว่า ‘งานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ’ หรือแม้แต่สาธารณรัฐประชาชนจีนเองที่เป็นคอมมิวนิสต์ในตอนนั้นก็ยังร่วมจัดงานฉลองพุทธศาสนานี้ เราก็หาข้อมูลต่อว่าเหตุการณ์นี้มีความสำคัญยังไง

“ในเวลานั้น รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพลป. ก็ได้สั่งทำหนังฉลองพุทธศาสนาที่อินเดีย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นวงการภาพยนตร์ไทยกำลังเฟื่องฟู มีหนังได้รางวัลต่างชาติ เช่น ภาพยนตร์เรื่องสันติ-วีณา เป็นต้น ตัวรัฐบาลเองก็ให้การสนับสนุนกับวงการภาพยนตร์ไทย มีโครงการจะร่วมรวมทุนไปเปิดสตูดิโออย่างยิ่งใหญ่แถวศรีราชา ในสภาพการณ์เช่นนี้ แล้วทำไมหนังฉลองพุทธศาสนานี้เรื่องนี้ต้องไปสร้างที่อินเดีย ไปให้ผู้สร้างภาพยนตร์อินเดียทำออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง องคุลีมาล ซึ่งเมื่อได้ออกฉายในที่ไทยในปี พ.ศ. 2504 ก็ได้กลายเป็นหนังดังด้วย เราก็เอาหลักฐานพวกนี้มาตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบต่อ”

ตอนแรกที่ลิลลี่บอกเราว่า เหตุผลที่เธอสนใจประวัติศาสตร์อินเดียมี 2 ข้อ คือ ยุคโมกุลและประชาธิปไตยในอินเดียทำไมถึงเวิร์ก เราถามลิลลี่ว่า ณ วันนี้เธอได้คำตอบหรือยัง

“ก็ยังเป็นโจทย์ที่เรายังต้องหาคำตอบอยู่ แต่ตอนนี้ก็ได้มาส่วนหนึ่ง คือ ความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยของคนอินเดีย มีส่วนทำให้ระบอบการปกครองนี้ทำงานได้

“อินเดียที่เรามองว่าเป็นประเทศหนึ่ง จริงๆ มีขนาดพอๆ กับทวีปยุโรปเลยนะ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีในพื้นที่นี้ก็ไม่น้อยไปกว่ายุโรปเลย เช่น ภาษาที่รัฐธรรมนูญอินเดียรองรับก็มีมากกว่า 20 ภาษา ในความเห็นของเรา ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่สามารถรองรับความหลากหลายของอินเดียได้

“ปัจจัยอีกส่วนหนึ่งมาจากการที่อินเดียได้รับมรดกทางวัฒนธรรมการเมืองจากอังกฤษ สมัยที่อินเดียอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ เช่น เราจะเห็นได้จากที่อินเดียใช้ระบอบการนับคะแนนเลือกตั้งระบบเดียวกับอังกฤษ ที่เรียกว่า First Past the Post (ระบบแบ่งคะแนนสูงสุด) นับเอาผู้ที่มีคะแนนชนะขาดจากแต่ละเขตการเลือกตั้งต่างๆ”

ประวัติศาสตร์

เวลาเราได้ยินคนพูดว่าเรียนประวัติศาสตร์ มักมีคำตอบประเภทหนึ่งที่ตามมาทุกครั้ง คือ ‘เรียนจบไปขุดฟอสซิลเหรอ?’ ทำให้ภาพจำของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อคนสายวิชานี้ คือ ต้องทำงานสำรวจโบราณสถาน ขุดซากฟอสซิล ลิลลี่บอกว่าคนมักเข้าใจผิดระหว่างนักโบราณคดีกับนักประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ไม่ได้มีความสามารถที่จะไปขุดสำรวจสิ่งของเหมือนนักโบราณคดี แต่ใช้ของหรือหลักฐานที่นักโบราณคดีได้มาทำงานต่อ หัวใจสำคัญของการเรียนประวัติศาสตร์ คือ ได้ทักษะฝึกคิดวิเคราะห์

ที่อังกฤษ ประวัติศาสตร์กลายเป็นวิชาที่เป็นที่ต้องการมาก (ลิลลี่เน้นเสียงว่ามาก) คนแย่งกันเข้า เรียกว่าเป็นวิชาขั้นสูง เพราะว่าการเรียนประวัติศาสตร์ต้องใช้การคิดวิเคราะห์สื่อความขั้นสุด

“มันเป็นการฝึกคิดวิเคราะห์จากสิ่งที่มีอยู่ตรงหน้า จะสื่อความออกมายังไงให้คนเข้าใจ เป็นทักษะที่คนจ้างงานจะชอบมาก ซึ่งคนที่จบสายประวัติศาสตร์ไปในระดับปริญญาตรี ออกไปทำงานหลากหลายมาก โดยเฉพาะสายงานที่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์ 

คนจบประวัติศาสตร์สามารถทำได้หมด เช่น ทำงานธนาคาร ไปเรียนต่อด้านกฎหมาย หรือวงการสื่อ เป็นสายงานที่เราจะได้เปรียบมาก เราคุ้นชินกับการมีข้อมูลอยู่ตรงหน้าให้เรากลั่นกรองออกมา ตีความว่าสิ่งนี้มีความหมายว่าอะไร นำเสนอออกไป 

เราคิดว่าคนที่เรียนก็ต้องเปิดใจกว้างด้วย ว่าฉันอาจไม่ได้ทำงานในสายประวัติศาสตร์ ต้องเปิดใจ แทนที่จะให้วิชาที่เรียนบล็อกตัวเองไว้ว่าเดินไปทางนี้เท่านั้น”

ก่อนที่บทสนทนาจะจบลง คำถามสุดท้ายที่เราถามลิลลี่ คือ ระยะเวลา 10 ปีที่เรียนมา นิยามคำว่าประวัติศาสตร์สำหรับเธอคืออะไร?

“การตั้งโจทย์ เป็นการที่เรามองย้อนกลับไปในอดีตเพื่อที่จะหาคำตอบให้สิ่งที่เราต้องการอยากจะรู้ สิ่งที่เราสงสัยในปัจจุบัน และส่วนบทบาทของนักประวัติศาสตร์ในคำนิยามส่วนตัวของเราเอง เราชอบคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนนักสืบไปในอดีต เป็น Detective of the Past ดูว่าพอเรามองย้อนกลับไปแล้ว มันมีหลักฐานอยู่ที่ไหนบ้าง มีหลักฐานอะไรบ้าง 1..2..3.. เราจะตีความเป็นอะไรได้บ้าง”

Tags:

ประวัติศาสตร์Creative Learningมหาวิทยาลัยอินเดีย

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Creative learning
    ถักทอการเรียนรู้บนฐานทุนชีวิต เชื่อมห้องเรียนกับชุมชนแบบไร้รอยต่อ: โรงเรียนบ้านขุนแปะ เชียงใหม่

    เรื่อง The Potential ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    ทำอาหาร ปักสะดึง ร้อยดอกไม้ อัปสกิลกุลสตรีไทยที่โรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง)

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Creative learning
    ขึ้นควนไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติบ้านตะเหมก จังหวัดตรัง ไขปริศนาลี้ลับ “ควนดินดำ” ที่มีมากว่า 200 ปี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ลูกปัดโบราณท่าชนะอายุกว่าพันปี “คุณค่า” ที่ถูกขุดและค้นพบอีกครั้งจาก “นักโบราณคดีรุ่นเยาว์”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    “ควรเป็น” หรือ “อยากเป็น” เส้นทางที่ต้องเลือกของ “เด็กซิ่ว” ในระบบการศึกษาไทย

    เรื่อง นฤมล ทิพย์รักษ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย
Adolescent Brain
31 May 2021

หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • การเข้าโซเชียลมีเดียบ่อยในเด็กอายุน้อย (13-14 ปี) ใช้ทำนายสุขภาพที่ย่ำแย่ลงได้ในปีถัดๆ มา สอดคล้องกับจำนวนการเข้าโซเชียลมีเดียที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นตามอายุในเด็กกลุ่มนี้ 
  • โซเชียลมีเดีย อาจจะไม่ใช่ปัญหาเสียทีเดียว แต่การกลั่นแกล้งกันทางไซเบอร์ร่วมกับการขาดการออกกำลังกายและหลับนอนอย่างเหมาะสมและพอเพียง ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลลบอย่างรุนแรงได้
  • การเสพติดโซเชียลมีเดียที่มากเกินไป อาจจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ลดการเข้าสังคม เกิดความขัดแย้งทางจิตใจ และ สูญเสียความสามารถในการแยกแยะระหว่างเว็บไซต์หรือแอปที่ดีต่อสุขภาพและที่เสียต่อสุขภาพ
  • มีการสำรวจครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 2017 พบว่า ผู้ที่ไวต่อการเสพติดโซเชียลมีเดียมากที่สุดคือ กลุ่มผู้หญิงอายุน้อยที่ยังโสด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพวกที่มีระดับการศึกษาต่ำ มีรายได้น้อย และมีความภาคภูมิใจในตัวเองต่ำ

เรื่องหนึ่งที่พ่อแม่จำนวนมากน่าจะอยากรู้คือ ควรให้ลูกของตัวเองใช้โซเชียลมีเดียหรือไม่? และถ้าใช้ได้ควรจะใช้มากน้อยเพียงใด จึงจะไม่เกิดผลเสีย?

ผลการสำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดและสุขภาพประจำปี 2018 ของสหรัฐ [1] เปิดเผยว่ามีวัยรุ่นอายุ 12–17 ปี ราว 14.4% ที่มีอาการซึมเศร้าในปีนั้น โดยกำหนดนิยามว่า “ความซึมเศร้า” ที่ว่านั้นคือ ต้องมีอารมณ์หดหู่หรือมีความสุขในการทำสิ่งต่างๆ ลดลงนาน 2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น จนก่อให้เกิดปัญหาเรื่องพฤติกรรม 

ผลการสำรวจนี้ระบุว่าตัวเลขนี้เท่ากับวัยรุ่นจำนวนราว 3.5 ล้านคนหรือ 1/7 ของวัยรุ่นทั้งหมดในสหรัฐที่ประสบปัญหาดังกล่าวอยู่

ที่น่าตกใจคือ จำนวนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า (2017) ที่ตัวอย่างระบุว่าอยู่ที่ 13.3% และหากย้อนไปเทียบกับปี 2004 ก็อยู่ที่แค่ 9% เท่านั้น ตัวเลขดังกล่าวไปในทิศทางเดียวกับจำนวนการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน จึงไม่น่าแปลกใจว่าคนจำนวนมากจะตกใจเมื่อเห็นตัวเลขพวกนี้ 

คำถามสำคัญคำถามหนึ่งก็คือ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียหรือไม่?

วัยรุ่นอเมริกันไม่ว่ายุคไหนก็มีเรื่องที่ท้าทายในชีวิตตลอดไม่ต่างกัน ทั้งเรื่องความกดดันในเรื่องการเรียน ไปจนถึงการเข้าสังคมและการใช้ยาเสพติด อย่างไรก็ตาม ในอดีตตัวเลขคนที่มีปัญหาซึมเศร้าไม่ได้มากอย่างนี้ จึงเป็นไปได้ว่าการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ น่าจะมีส่วนและเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ และน่าสนใจว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเด็กไทยในแบบเดียวกันหรือไม่  

มีการศึกษาชิ้นหนึ่งในอังกฤษ [2] ที่ติดตามพฤติกรรมของวัยรุ่นอายุ 13–16 ปี จำนวน 12,866 คน โดยใช้แบบสอบถามที่ใช้ทดสอบสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่เรียกว่า GHQ12 (General Health Questionare) ในแบบทดสอบดังกล่าวจะให้วัยรุ่นแต่ละคนให้คะแนนจาก 1–10 ในเรื่องที่เกี่ยวกับความกระวนกระวายใจ ความสุข และความพึงพอใจในชีวิต 

นอกจากนี้ ยังวัดในเรื่องการออกกำลังกาย การนอนหลับ และการถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ (cyberbullying) อีกด้วย 

ในแบบสอบถามยังถามเรื่องความถี่ของการเข้าใช้โซเชียลมีเดียอีกด้วย โดย “บ่อยมาก” หมายถึงเช็คมือถือหรือแอปหลายๆ ครั้งต่อวัน ขณะที่น้อยกว่านั้นก็อาจจะแค่สัปดาห์ละครั้งหรือน้อยกว่านั้นอีก ผลลัพธ์ที่น่าสนใจคือ การเข้าโซเชียลมีเดียบ่อยในพวกอายุน้อย (13-14 ปี) ใช้ทำนายสุขภาพที่ย่ำแย่ลงได้ในปีถัดๆ มา ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนการเข้าโซเชียลมีเดียที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นตามอายุในเด็กกลุ่มนี้อีกด้วย 

โดยในเด็กผู้ชายจะค่อยๆ เพิ่มจาก 34.4% ไปเป็น 61.9% และเด็กผู้หญิงเพิ่มจาก 51.4% ไปเป็น 75.4% เรื่องนี้อาจอธิบายได้ส่วนหนึ่งว่า เหตุใดจึงพบเด็กผู้หญิงจึงเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์มากกว่าเด็กผู้ชาย แถมผลกระทบยังรุนแรงกว่าอีกด้วย 

การที่เด็กผู้หญิงใช้โซเชียลมีเดียบ่อยกว่าจึงอธิบายได้ส่วนหนึ่ง แต่อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมด ยังมีการค้นพบเพิ่มเติมอีกว่า เด็กผู้หญิงใช้เวลากับการออกกำลังกายและหลับนอนน้อยกว่าด้วย ขณะที่เด็กผู้ชายใช้เวลาเล่นเกมมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด 

อีกเรื่องหนึ่งที่งานวิจัยนี้พบก็คือ ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่มีอาการเสพติดมือถือและอินเทอร์เน็ต จะเกิดผลลบต่อสุขภาพจิต [2]

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัยเยล [3] ระบุว่า สุขภาพจิตที่ดีขึ้นกับการออกกำลังและการนอนหลับที่ดีด้วย 

ตัวโซเชียลมีเดียเองอาจจะไม่ใช่ปัญหาเสียทีเดียว แต่การกลั่นแกล้งกันทางไซเบอร์ร่วมกับการขาดการออกกำลังกายและหลับนอนอย่างเหมาะสมและพอเพียง ถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลลบอย่างรุนแรงได้ 

อย่างไรก็ดี มีการตั้งข้อสังเกตว่า โซเชียลมีเดียอาจมีส่วนเป็นตัวกลางที่ทำให้เรื่องการฆ่าตัวตายแพร่หลายติดต่อกันเป็นกว้างได้ง่ายมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การตรวจวัดเรื่องความถี่ในการใช้งานโซเชียลมีเดียในการทดลองข้างต้น ยังเป็นการให้ตัววัยรุ่นรายงานเองว่า ใช้งานโซเชียลมีเดียบ่อยเพียงใด จึงอาจมีความแม่นยำน้อยไปสักนิด ในอนาคตหากมีการทดลองทำนองนี้เอง ก็อาจใช้ “การวัดโดยตรง” ผ่านแอปหรือใช้เซนเซอร์เข้าช่วย นอกจากจะบันทึกจำนวนครั้งได้แล้ว ก็อาจจะทำให้ได้ข้อมูลช่วงเวลาในการใช้งานแต่ละครั้ง หรืออาจรวมไปถึงสถานที่บนอินเทอร์เน็ตที่ใช้เวลามากหรือน้อยอีกด้วย

ดังนั้น ในแง่หนึ่งจำนวนที่รายงานในการทดลองคราวนี้อาจจะต่ำกว่าจริงก็เป็นได้     

ในทางกลับกัน ก็อาจจะพิสูจน์ในทางตรงกันข้ามได้ว่า การใช้งานโซเชียลมีเดียไม่ได้เกี่ยวข้องกับการมีสุขภาพที่แย่ลง การเกิดความรู้สึกซึมเศร้าหรืออยากฆ่าตัวตาย “โดยตรง” 

มีนักวิจัยที่ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า การมีแอคเคาต์หลายๆ แอคเคาต์สำหรับใช้ในโซเชียลมีเดียของวัยรุ่น อาจเป็นดัชนีชี้ได้ถึงความเปลี่ยวเหงา ความกระวนกระวายใจ ความวู่วาม และความซึมเศร้า ได้อีกด้วย [4]  

ขอกลับมาที่คำถามว่า “มากแค่ไหน จึงจะถือว่ามากเกินไป?” อีกครั้งนะครับ อันที่จริงนี่เป็นคำถามที่สำคัญมากนะครับ     
มาร์ค กริฟฟิธส์ จากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมเทรนต์ ให้ข้อสังเกตว่าน่าจะถือตามลักษณะสิ่งเสพติดต่างๆ ไม่ว่าจะบุหรี่ เหล้า หรือยาเสพติด นั่นคือมีการเสพติดจนเกิดความเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกาย มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ลดการเข้าสังคม เกิดความขัดแย้งทางจิตใจ และมีอาการอยากยา 

แต่ในกรณีของโซเชียลมีเดีย อาจจะมีปัจจัยที่ช่วยชี้อีกปัจจัยหนึ่งคือ สูญเสียความสามารถในการแยกแยะระหว่างเว็บไซต์หรือแอปที่ดีต่อสุขภาพและที่เสียต่อสุขภาพ 

สถานีวิทยุบีบีซีออกแบบสอบถามว่า [5] คุณคิดว่าการใช้โซเชียลมีเดียมากเท่าใดจึงจะถือว่าไม่ดีต่อสุขภาพ ปรากฏว่าจากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 554 คน มีอยู่ 40% (มากกว่า 1 ใน 3) ที่คิดว่าใช้มากกว่า 2 – 3 ชั่วโมงต่อวันก็มากแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ที่ใช้โซเชียลมีเดียอยู่ก็ใช้เวลากับมันอยู่ในราวๆ นี้ โดยไม่แสดงอาการป่วยแต่อย่างใด 

อันที่จริงแล้ว ราว 1/3 ของเด็กอังกฤษอายุ 15 ปี ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ราว 6 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นเสียอีก แม้จะใช้มากขนาดนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า มีอาการเสียสุขภาพจิตจากการใช้งานแต่อย่างใด 

เวลาที่ใช้ไปกับโซเชียลมีเดียจึงน่าจะเป็นแค่เพียงปัจจัยเดียว และน่าจะมีปัจจัยอื่นอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง กริฟฟิธมองว่า “เนื้อหาและบริบท” โดยรอบของการใช้ต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญกว่า  

เรื่องน่าสนใจก็คือ มีงานวิจัยตั้งแต่ ค.ศ. 2011 ที่ระบุว่า พวกคนที่เปิดเผยและชอบเข้าสังคม (extrovert) ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเพิ่มแวดวงการเข้าสังคมจริงของตัวเอง ในทางตรงกันข้าม พวกเก็บเนื้อเก็บตัว (introvert) ใช้โซเชียลมีเดียชดเชยการที่ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตเข้าสังคมแบบต่อหน้าจริงจัง แต่ทั้งสองกลุ่มยิ่งใช้เวลาออนไลน์มากขึ้นเท่าใด ก็จะใช้เวลาพบปะผู้คนในชีวิตจริงลดลงตามไปด้วยมากขึ้นเท่านั้น 

มีการสำรวจครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 2017 ที่พบว่า ผู้ที่ไวต่อการเสพติดโซเชียลมีเดียมากที่สุดคือ กลุ่มผู้หญิงอายุน้อยที่ยังโสด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพวกที่มีระดับการศึกษาต่ำ มีรายได้น้อย และมีความภาคภูมิใจในตัวเองต่ำ 

ก่อนจบ ไม่อยากให้มองว่าโซเชียลมีเดียเป็นต้นตอของเรื่องยุ่งยากเพียงด้านเดียว ก็เลยอยากให้ข้อมูลด้านตรงข้าม ใน ค.ศ. 2017 พบว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการใช้งานหน้าจอกับสภาพจิต โดยวาดภาพได้เป็นรูปตัวอักษรยูกลับหัว (∩) กล่าวคือ การใช้โซเชียลมีเดียจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะกลับส่งผลเสีย และหากยังใช้มากขึ้นไปอีก ผลเสียก็จะยิ่งมากขึ้นไปอีก

แต่จะใช้มากเท่าใดและใช้อย่างไร คงต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป

เอกสารอ้างอิง

1. Substance Abuse and Mental Health Services Administration. (2019) Key Substance Use and Mental Health Indicators in the United States: Results from the 2018 National Survey on Drug Use and Health. 

2.Roh, D., Bhang, S.Y., Choi, J.S., Kweon, Y.S., Lee, S.K., Potenza, M.N. (2018) The validation of Implicit Association Test measures for smartphone and Internet addiction in at-risk children and adolescents. J Behav Addict.

3.Yau, Y.H., Pilver, C.E., Steinberg, M.A., Rugle, L.J., Hoff, R.A., Krishnan-Sarin, S., Potenza, M.N. (2014) Relationships between problematic internet use and problem-gambling severity: findings from a high-school survey. Addict Behav.

4.Barry, C.T., Sidoti, C.L., Briggs, S.M., Reiter, S.R., Lindsey, R.A. (2017) Adolescent social media use and mental health from adolescent and parent perspectives. J Adolesc.

5.https://www.bbc.com/future/article/20180118-how-much-is-too-much-time-on-social-media

Tags:

ซึมเศร้าวัยรุ่นโซเชียลมีเดียสุขภาพจิต

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

อัคคเดช ดลสุข

Related Posts

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Social Issues
    เมื่อสังคมก้มหน้าฆ่าคนที่เรารักให้กลายเป็นอากาศ : นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Education trend
    เพราะผู้ใหญ่กลั่นแกล้งและไม่เคารพกัน เด็กๆ จึง BULLY ตาม

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Life classroom
    BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

    เรื่องและภาพ SHHHH

เงินทองต้องคิดส์ (3) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กโต)
How to get along with teenager
27 May 2021

เงินทองต้องคิดส์ (3) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กโต)

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • เมื่อเด็กๆ ขึ้นชั้นมัธยม พ่อแม่สามารถเริ่มระบุขอบเขตการใช้เงิน โดยให้เงินรายวันหรือรายสัปดาห์ในอัตราที่สมเหตุสมผลเพื่อเปิดทางให้เด็กๆ จัดสรรปันส่วนเงินที่ได้มาอย่างอิสระ โดยที่ผู้ปกครองอาจคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด สิ่งสำคัญ คือ อย่านำเรื่องเงินค่าขนมมาผูกกับการทำงานบ้าน เพราะงานบ้านคือความรับผิดชอบของทุกคน
  • ช่วงที่ลูกเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยหรือเริ่มทำงาน ผู้ปกครองสามารถให้คำแนะนำทางการเงินพวกเขาได้แบบห่างๆ เช่น เตือนว่าอย่าใช้เงินจนเกลี้ยงบัญชี ให้มีเงินออมสำหรับกรณีฉุกเฉินบ้างอย่างน้อย 1 เดือนก็ยังดี หรืออย่าเพิ่งรีบซื้อของชิ้นใหญ่โดยการใช้เครดิตจากแหล่งต่างๆ เพราะอาจนำไปสู่ความยุ่งยากในอนาคตหากใช้จ่ายเกินตัว
  • การออมที่ดีที่สุด คือ การออมแบบอัตโนมัติ เพราะนักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมพบว่า การเห็นเงินถูกหักจากบัญชีเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด และทางที่ดีก็ควรใช้ระบบหักบัญชีอัตโนมัติเพื่อเป็นการบังคับตัวเอง

ผมเชื่อเสมอว่าการเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการเงินไม่มีคำว่าสาย หากเป็นไปได้ก็ควรเรียนรู้ให้เร็วที่สุด แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ การเรียนรู้ที่จะจัดการการเงินของตนเองในวันนี้ ก็ยังดีกว่ารู้จักจัดการเงินในวันพรุ่งนี้

แม้ว่าพ่อแม่หลายบ้านจะเลี้ยงดูลูกๆ ราวเจ้าชายหรือเจ้าหญิงตัวน้อยในบ้านที่ได้ทุกอย่างเมื่อชี้นิ้วแสดงความต้องการ ยังไม่สายเกินไปที่จะตั้งหลักกันใหม่เมื่อเด็กๆ ขึ้นชั้นมัธยมซึ่งเป็นวัยที่เข้าใจแนวคิดพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยเริ่มจากการ ‘จำกัด’ ทรัพยากรที่เคยได้รับอย่างไร้ขอบเขตเป็นการให้เงินรายวันหรือรายสัปดาห์ในอัตราที่สมเหตุสมผลเพื่อเปิดทางให้เด็กๆ จัดสรรปันส่วนเงินที่ได้มาโดยที่เราคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด และสามารถเก็บออมในอนาคต

วัยมัธยม เริ่มจัดการเงินด้วยตนเอง

  1. เรื่องเงินต้องชัดเจนและคงเส้นคงวา

เมื่อตัดสินใจจะให้เงินรายวันหรือรายสัปดาห์แก่เด็กๆ พ่อแม่จะต้องว่าเงินที่เจ้าตัวเล็กได้สำหรับไปโรงเรียนแต่ละวันหรือสัปดาห์ครอบคลุมค่าอะไรบ้าง เช่น ค่าอาหารกลางวัน การเดินทาง ค่าขนมขบเคี้ยว หรือเวลาที่ลูกจะซื้อของขวัญให้เพื่อนก็ต้องควักกระเป๋าเงินของตัวเอง ขณะที่พ่อแม่ยังดูแลค่าชุดนักเรียน ค่าอุปกรณ์การเรียนการสอน และค่าใช้จ่ายเวลาไปเที่ยวด้วยกันวันหยุดสุดสัปดาห์ ส่วนของบางอย่าง เช่น ของเล่นราคาแพงที่ลูกอยากได้มากๆ ก็อาจต้องให้ลูกมีส่วนร่วมจ่าย

การขีดเส้นดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันจะง่ายขึ้นมากถ้าพ่อแม่คุยกับลูกอย่างชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่เริ่มให้เงินเพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน แต่ละบ้านสามารถกำหนดขอบเขตการใช้จ่ายขึ้นมาเองได้ไม่มีแบบไหนที่ถูกหรือผิด สิ่งสำคัญคือความคงเส้นคงวา ทั้งเรื่องความสม่ำเสมอในการให้เงินค่าขนม ยอดเงินในแต่ละวัน รวมถึงเส้นแบ่งที่ไม่ควรยืดหยุ่นมากเกินไปจนลูกๆ ไม่ได้เรียนรู้บริหารจัดการเงิน

  1. งานบ้านก็คืองานบ้าน ไม่เกี่ยวกับการให้เงินค่าขนม

ผู้อ่านหลายคนคงเคยผ่านตางานวิจัยว่า การช่วยทำงานบ้านจะเป็นการสอนให้เด็กๆ มีความรับผิดชอบและเรียนรู้ที่จะช่วยเหลืองานของส่วนรวม พ่อแม่จำนวนไม่น้อยจึงตัดสินใจผูกการทำงานบ้านกับการให้เงินค่าขนม วันดีคืนดีที่เจ้าตัวเล็กขี้เกียจกวาดบ้านถูบ้าน เอาขยะไปทิ้ง หรือรดน้ำต้นไม้ ก็จะต้องเจอกับคำขู่ว่าจะไม่ให้เงินค่าขนม

นี่คือสิ่งที่ผมไม่แนะนำให้ทำ เว้นแต่ว่าคุณอยากต่อรองเรื่องเงินๆ ทองๆ ทุกครั้งที่เรียกลูกสาวลูกชายให้ช่วยล้างจาน

งานบ้านเป็นความรับผิดชอบที่ทุกคนต้องทำซึ่งไม่ควรเอาไปปะปนกับการทำงานเพื่อหารายได้ การผูกเรื่องเงินค่าขนมกับงานบ้านหรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์อาจส่งผลที่ไม่คาดฝัน เพราะบางครั้งเด็กๆ อาจยอมเสียเงินค่าขนมไปหนึ่งวันเพื่อแลกกับการนอนขี้เกียจไม่ต้องทำงานบ้าน หรือเถลไถลกลับบ้านดึกกว่าเวลาที่กำหนดไว้ ทางที่ดีพ่อแม่ควรหามาตรการอื่นมากำกับดูแลพฤติกรรมลูกโดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน

  1. ให้อำนาจตัดสินใจ

เมื่อพ่อแม่วางระบบที่ชัดเจนและให้เงินค่าขนมอย่างสม่ำเสมอก็ควรให้อิสระในการบริหารจัดการแก่ลูกๆ ด้วย โดยเราอาจมีข้อห้ามพื้นฐานบางอย่าง เช่น ห้ามซื้อปืนของเล่น ลิปสติก เกมส์หรือภาพยนตร์ที่ยังไม่ถึงวัยอันเหมาะควร นอกจากนี้เราก็ให้คำแนะนำได้บ้าง แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเด็กๆ เพื่อให้เจ้าตัวเล็กเรียนรู้ว่าควรบริหารจัดการเงินอย่างไร อีกทั้งลิ้มรสความทุกข์ใจเมื่อเจอของที่อยากได้มากๆ แต่ไม่มีเงินในกระเป๋า

อย่างเดียวที่คุณพ่อคุณแม่จะใช้ควบคุมการใช้จ่ายของลูกได้ คือ ยอดเงินค่าขนมที่จะให้ในแต่ละวัน ซึ่งพ่อแม่อาจถามจากเพื่อนๆ ผู้ปกครองว่าสมัยนี้ควรให้วันละเท่าไหร่ พิจารณาประกอบกับงบประมาณที่มีในกระเป๋าตัวเอง และพูดคุยกับลูกอย่างใกล้ชิดว่าเงินที่ให้แต่ละวันเพียงพอหรือเปล่าเพื่อปรับตามความเหมาะสม

  1. เก็บออมเพื่ออนาคต

เมื่อเด็กก้าวเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษา พ่อแม่ควรบอกกับลูกตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าเขาโตพอที่จะเก็บออมเงินและช่วยค่าใช้จ่ายบางส่วนหากต้องการเรียนต่อมหาวิทยาลัย แม้จะไม่มากก็ยังดีโดยมีการวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่าหากเด็กๆ มีส่วนร่วมในการจ่ายค่าเล่าเรียน ค่าหอพัก หรือค่าอุปกรณ์การเรียนจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่สูงกว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็อาจเพราะเด็กๆ รู้สึกว่าตนต้องควักกระเป๋าตัวเองจ่าย ทำให้ต้องการเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเงินที่เสียไปให้ได้มากที่สุด

นอกจากการเก็บออมเพื่อการศึกษา เด็กในวัยนี้ก็ย่อมมีสิ่งของฟุ่มเฟือยที่อยากได้เป็นธรรมดา อาจเป็นเครื่องดนตรีราคาแพง เป็นรองเท้ากีฬายี่ห้อโปรด หรือเสื้อผ้าชุดสวยสำหรับใส่ไปงานโรงเรียน แน่นอนว่าพ่อแม่ไม่ควรห้ามลูกๆ ซื้อของตามความฝัน แต่สิ่งสำคัญคือต้องบอกอย่างชัดเจนว่าเด็กๆ ต้องเก็บออมและร่วมจ่าย โดยพ่อแม่จะช่วยสนับสนุนให้บางส่วนเท่านั้น

วัยมหาวิทยาลัย – เริ่มทำงาน ถึงเวลาเผชิญโลกความเป็นจริง

  1. อย่าใช้เงินจนเกลี้ยงบัญชี ควรมีไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินบ้าง

เตือนลูกๆ ของคุณเสมอว่าวันไหนที่เงินไม่เหลือในบัญชี ความไม่สะดวกสบายเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจกลายเป็นหายนะทางการเงิน ดังนั้นควรเก็บออมเงินบางส่วนเอาไว้บ้างเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างน้อยให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายสัก 6 เดือน หรือถ้ามันยากเกินไปก็อาจเริ่มแค่สัก 1 เดือนก็ยังดี 

แน่นอนครับว่าคุณลูกๆ ที่เพิ่งเริ่มทำงานหาเงินอาจออกอาการกระฟัดกระเฟียดที่พ่อแม่มาเร่งรัดให้ออมเงินก้อนใหญ่ ทั้งที่เงินเดือนก็น้อย งานก็หนัก ค่าเช่าห้องก็แพง ค่าอาหารก็ต้องจ่าย จนแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือเงินเก็บ แต่จังหวะนี้แหละครับที่เราต้องอธิบายว่าเงินออมนั้นสำคัญแค่ไหน ลูกอาจเริ่มด้วยเดือนละ 500 บาท 1,000 บาท เก็บหอมรอมริบไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งมันก็จะกลายเป็นเงินก้อนสำหรับเหตุฉุกเฉิน พร้อมสำทับว่าวันนี้ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าหวังพึ่งพาแต่พ่อแม่ในวันที่มีปัญหาทางการเงิน

  1. อย่าใจร้อนซื้อของชิ้นใหญ่

ผมยังจำได้ดีสมัยที่เริ่มทำงานใหม่ๆ รสชาติของเงินเดือนก้อนแรกที่โอนเข้าบัญชีทำให้รู้สึกเป็นอิสระ มองไปทางไหนก็มีแต่ของน่าใช้น่าซื้อไปเสียหมด เด็กจบใหม่จำนวนไม่น้อยหลงระเริงกับอำนาจในมือและตกเป็นเหยื่อบัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสด ติดอยู่ในวังวนหนี้กว่าจะล้มลุกคลุกคลานออกมาได้ก็ใช้เวลานาน กระทั่งเครดิตบูโรของไทยเองยังเตือนถึงระดับการก่อหนี้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ของคนรุ่นใหม่

แม้จะดูล้าสมัยไปเสียหน่อย แต่ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่พ่อแม่จะเตือนลูกๆ ว่าอย่าเพิ่งใจร้อนซื้อของชิ้นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊คสุดลื่นสุดแรง โทรทัศน์ใหญ่ยักษ์ กระเป๋าแบรนด์แนม โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเรือธงที่เพิ่งเปิดตัว หรือควักกระเป๋าไปดาวน์ซื้อรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ไว้ขับขี่ ทางที่ดีควรออมเงินไว้สักก้อนหนึ่งก่อนแล้วค่อยซื้อเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ปวดหัวกับสารพัดหนี้สินในภายหลัง 

  1. ออมแบบอัตโนมัติ

นักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมรู้ดีว่าการมองเงินถูกหักออกจากบัญชีเพื่อนำไปเก็บออมเป็นเรื่องเจ็บปวดเพียงใด จึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์ปุถุชนมักขอผัดผ่อนกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ‘เดือนหน้าค่อยเริ่มออม’ แต่เดือนที่ว่าก็ไม่เคยเดินทางมาถึงสักที เพราะเวลามีเงินในบัญชี เราก็จะมีเรื่องให้ใช้จ่ายเงินอย่างสม่ำเสมอ (ไม่รู้ทำไม!)

คำแนะนำที่น่าสนใจ คือ การเปลี่ยนการออมให้เป็นเรื่องอัตโนมัติ หากลูกของคุณทำบริษัทขนาดใหญ่ก็จะมีทางเลือกให้หักเงินเพื่อสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพแบบอัตโนมัติ พ่อแม่ควรแนะนำให้หักมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะเงินดังกล่าวจะตรงดิ่งไปยังบัญชีเงินออมโดยไม่ต้องเห็นตัวเลขติดลบให้เจ็บปวดใจ

นอกจากนี้ เราสามารถแนะนำบริการหักบัญชีอัตโนมัติสำหรับออมเงิน เช่น เงินฝากปลอดภาษีที่นอกจากจะได้รับดอกเบี้ยสูงเป็นพิเศษแบบไม่ต้องจ่ายภาษีแล้ว เงินฝากประเภทนี้จะบังคับให้เราออมเงินทุกเดือน เดือนละเท่าๆ กัน ส่วนใครมองว่าเงินฝากผลตอบแทนต่ำไป การลงทุนในสารพัดกองทุนก็มีบริการหักเงินอัตโนมัติรายเดือนเช่นกัน บางแห่งยังมีจัดพอร์ตการลงทุนแบบอัตโนมัติโดยสามารถระบุระดับความเสี่ยงที่ต้องการได้อีกด้วย การออมเงินอัตโนมัติแบบรายเดือนนี้ หลายแห่งเริ่มต้นเพียงเดือนละ 500 บาทเท่านั้นซึ่งคงไม่เกินกำลังแม้ว่าลูกๆ ของคุณจะเพิ่งเริ่มทำงาน

จะเห็นว่าการคุยเรื่องการออมเงินระหว่างเด็กโตกับเด็กเล็กต่างกันพอสมควร ในช่วงวัยเรียนรู้ เราต้องเน้นปลูกฝังอุปนิสัยให้ประหยัดอดออมและหนุนเสริมให้พวกเขาอดทนรอเพื่อบรรลุเป้าหมาย แต่เมื่อลูกโตพอที่จะจัดการเงินด้วยตนเอง พ่อแม่ก็ควรเริ่มพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา อะไรบ้างที่เด็กๆ จะต้องอดออมเพื่อซื้อเอง อะไรบ้างที่พ่อแม่จะช่วยจ่าย เพื่อเตรียมพร้อมให้เขาจัดการเงินเองได้เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ไม่ต้องมาขอให้พ่อแม่ช่วยแก้ปัญหาทุกครั้งที่เจออุปสรรคทางการเงิน 

Tags:

การเงินเงินทองต้องคิดส์การออม

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (11): เรื่องเงินทองที่พ่อแม่ต้องวางแผน

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (6) : เรียนเรื่องลงทุนแบบไม่ยุ่งยาก (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    เงินทองต้องคิดส์ (5) : สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับวัยรุ่น)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (4): สอนลูกชั่งใจก่อนใช้เงิน (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (2) : ออมเงินเรื่องง่าย (ฉบับเด็กเล็ก)

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

คนในครอบครัวของเรา ชอบคุยเรื่องนามธรรมหรือสิ่งที่จับต้องได้มากกว่ากัน?
Myth/Life/Crisis
27 May 2021

คนในครอบครัวของเรา ชอบคุยเรื่องนามธรรมหรือสิ่งที่จับต้องได้มากกว่ากัน?

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • การรับข้อมูลของมนุษย์สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ รับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัส (Sensing) ใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ในการรับสาร และชอบ ‘ความเป็นจริง’ ที่จับต้องได้ หรือรับข้อมูลผ่านความหยั่งรู้ (Intuition) สนุกกับการเดินทางในความคิด ชอบตั้งคำถาม และศึกษาทฤษฎี
  • ในขณะที่ลูกแต่งตัวออกจากบ้าน ถ้าคุณแม่ถนัดรับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัส ก็อาจดูว่ามีด้ายโผล่ออกจากเสื้อไหม ดูเนี้ยบ หรือเหมาะสมกับกาละเทศะไหม ส่วนลูกที่ชอบรับข้อมูลผ่านความหยั่งรู้อาจสนใจมากกว่าว่า กลุ่มคนที่เขากำลังไปเจอทำให้การมีชีวิตของเขามีความหมายอย่างไร รูปแบบเสื้อผ้าที่สวมให้ความหมายอย่างไร เช่น วันนั้นเขาใส่สีเแดงเลือดนก มองในเชิงสัญลักษณ์ได้ว่าสะท้อนความเข้มข้นทางอารมณ์และความมุ่งมั่น 
  • มาสำรวจกันเถอะว่าตัวคุณเอง สมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนรอบตัวคุณ ชอบใช้วิธีรับข้อมูลแบบไหนมากกว่ากัน ระหว่างชอบรับข้อมูลผ่านความหยั่งรู้ หรือชอบรับข้อมูลเข้ามาผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าทางร่างกาย

ในปลายศตวรรษที่ 19 ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมืองเคสวิล บุตรของนักบวชคริสตจักรปฏิรูปสวิสได้ถือกำเนิดขึ้น เด็กชายคาร์ล กุสตาฟ ยุง ที่เป็นลูกคนเดียวจนถึงอายุ 9 ขวบ ชอบนั่งเล่นอยู่คนเดียว บางทีเขานั่งอยู่บนก้อนหินและถามคำถามเชิงปรัชญากับตัวเอง เขาชอบรับข้อมูลผ่านความหยั่งรู้ (Intuition) ชอบประวัติศาสตร์ศาสนาและปรัชญา ต่อมาเขาลงเรียนแพทย์ศาสตร์ แล้วเลือกเรียนเฉพาะทางด้านจิตเวช และภายหลังก็กลายเป็นแพทย์ผู้ก่อตั้งจิตวิทยาวิเคราะห์ ในวัยชราเขาได้รับการจดจำในภาพของเฒ่าผู้ทรงปัญญา ผู้คนมากมายได้เยียวยาบาดแผลและได้เรียนรู้ขุมทรัพย์ทางปัญญามากมายผ่านความหยั่งรู้ของเขา

ลูกของคุณดูเหมือนจะเป็นเด็กที่ชอบจินตนาการเหมือนกับเด็กชายคาร์ล ยุง หรือเปล่า? ใช่หรือไม่ว่าลูกของคุณก็สนุกกับการเดินทางในความคิด ฝันเรื่องนามธรรม ชอบอธิบายอะไรด้วยการอุปมา หรือสนุกกับทฤษฎี ชอบอ่านระหว่างบรรทัด และเพิ่ม ‘ความหมาย’ เข้าไปในข้อเท็จจริง และบางทีคุณก็มองว่าลูกเป็นคนอุดมคตินิยมหรือเพ้อฝันมากไปหน่อย (แต่ใครจะไปรู้ บางทีลูกอาจเติบโตไปเป็นคนทรงปัญญาที่สามารถช่วยเหลือผู้คนมากมายเหมือนอย่างคาร์ล ยุงก็ได้)

หรือว่าคุณเองนั่นแหละที่ชอบโลกแห่งนามธรรมอันลึกซึ้ง แต่ว่าสมาชิกหลายคนในครอบครัวคุณอาจแตกต่างจากคุณมากเหลือเกิน พวกเขาถนัดการรับข้อมูลผ่าน ประสาทสัมผัส (Sensing) กล่าวคือผ่านตา หู จมูก ลิ้นกาย และดูจะชอบ ‘ความเป็นจริง’ ที่จับต้องได้มากกว่า ซึ่งคนที่ชอบเรื่องนามธรรมอาจมองว่าอยู่กับวัตถุมากไป หรือดูเหมือนไร้จินตนาการไปบ้าง

บางครอบครัว ในขณะที่ลูกแต่งตัวออกจากบ้าน คุณแม่ที่ถนัดรับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัส ก็อาจเน้นการรับรู้ว่ามีด้ายโผล่ออกจากเสื้อไหม ดูเนี้ยบหรือเหมาะสมกับกาละเทศะไหม ลูกจะไปเจอใคร ที่ไหน แต่คุณลูกที่ชอบรับข้อมูลผ่านความหยั่งรู้ อาจสนใจมากกว่าว่า กลุ่มคนที่เขากำลังจะออกไปเจอทำให้การมีชีวิตของเขามีความหมายอย่างไร แล้วสีสันและรูปแบบของอาภรณ์เล่ามันความหมายอย่างไร เช่น วันนั้น เขาใส่สีเแดงเลือดนก ซึ่งมองในเชิงสัญลักษณ์ได้ว่าสะท้อนความเข้มข้นทางอารมณ์และความมุ่งมั่น เขาใส่กางเกงเลย์สีน้ำตาล เมื่อออกไปประชุมกับกลุ่มเพื่อนเกษตรกรที่ไม่แสวงหากำไรและกลุ่มนักบวช สำหรับเขาสีน้ำตาลให้ความหมายระหว่างบรรทัดที่มีความสมถะและเชื่อมโยงกับผืนดิน เป็นต้น

ที่กล่าวไปเป็นเพียงหนึ่งในโฉมหน้าความรับรู้และนึกคิดต่างๆ ที่มีอีกมากมายกว่านี้ ของประชากรที่ชอบรับข้อมูลผ่านความหยั่งรู้ (Intuition) และแบบที่ชอบรับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัส (Sensing) และเนื่องจากตามสถิติแล้ว ประชากรแบบแรกจะมีน้อยกว่าประชากรแบบที่สอง ในสัดส่วนประมาณ 1 ต่อ 4 ดังนั้น ถ้าคุณมีความโน้มเอียงในแบบแรก คุณก็อาจมีวัยเด็กที่รู้สึกเดียวดายอยู่บ้าง ยิ่งถ้าเกิดมากับคนในครอบครัวที่ไม่มีใครเป็นเช่นนั้นเลยและมีวัยเด็กที่เต็มไปด้วยเพื่อนผองและคุณครูที่ชอบสิ่งที่จับต้องได้มากกว่า คุณก็อาจเคยรู้สึกแปลกแยกและมีคนเข้าใจน้อย ซึ่งบางครั้งมันก็นำพาไปสู่การปลีกวิเวกที่เอื้อแก่การดำดิ่งสู่ความซึมเศร้าหรือบ้างก็กลับกลายเป็นพื้นที่สำหรับสร้างผลงานอันล้ำเลิศ

มนุษย์แค่แตกต่างกัน และเมื่อเราโตขึ้น เส้นทางของแต่ละคนก็มักจะค่อยๆ มีจุดที่มาบรรจบกันมากขึ้น อีกทั้ง เรายังสามารถเรียนรู้จากความแตกต่างของกันและกันได้มากขึ้นด้วย

มาถึงจุดนี้ มาสำรวจกันเถอะว่าตัวคุณเอง สมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนรอบตัวคุณ ชอบใช้วิธีรับข้อมูลแบบไหนมากกว่ากันระหว่าง 1.ชอบรับข้อมูลผ่านความหยั่งรู้ (ผ่าน Intuitive function) มากกว่า หรือ 2.ชอบรับข้อมูลเข้ามาผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าทางร่างกาย (ถนัดรับข้อมูลผ่าน Sensing function) โดยที่เราจะมีแบบสอบถามมาให้ทำนะ วงข้อที่ค่อนข้างสอดคล้องกับคุณไว้ และจดเพิ่มว่าเป็นแบบนี้มากน้อยเท่าไหร่ พร้อมทั้งอาจบันทึกรายละเอียดอย่างอื่นไว้ด้วย

อย่างไรก็ตาม แบบทดสอบที่นำมาให้ลองทำดู เป็นแค่แบบคร่าวๆ เราจึงไม่จำเป็นต้องยึดติดลักษณะของตัวเองที่ได้จากมันมากเกินไปนัก นอกจากนั้น ความชอบทั้งสองอย่างนี้ก็ต้องไปผสมกับลักษณะอย่างอื่นอยู่ดี เช่น ใส่ใจโลกภายในหรือภายนอกมากกว่ากัน หรือเราชอบวางแผนหรือด้นส้นมากกว่า ฯลฯ ดังนั้น มันไม่มีใครเป็นตามแบบพิมพ์ไปทั้งหมด คนที่ถนัดรับข้อมูลผ่านความหยั่งรู้เหมือนกันก็มีลักษณะอื่นๆ แตกต่างกันได้ เช่นอีกคนอาจจะชอบใช้ชีวิตแบบด้นสดมากกว่าอีกคนที่ชอบวางและทำตามแผน นอกจากนี้ แต่ละคนก็มีระดับของตัวเองว่ามีแนวโน้มไปทางนั้นๆ กี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้โน้มเอียงไปในทางเดียวกัน แต่ก็อาจเข้มข้นคนละระดับกัน

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ก็ลุยเลย!

1) ฉันมักจะมองสิ่งต่างๆ เท่าที่เห็น และไม่ค่อยตีความเกินจากนั้น ฉันไม่สนใจคำพูดนามธรรมอย่างเช่น “เราเชื่อว่าเวลาเป็นเส้นตรง ว่ามันดำเนินไปในรูปแบบเดียวกันชั่วนิรันดร์ ไปสู่ความไม่สิ้นสุด แต่ความแตกต่างระหว่างอดีต ปัจจุบันและอนาคต เป็นเพียงสิ่งลวง” ฟังดูเพ้อๆ เนอะ2) ฉันมักจะให้น้ำหนักกับสัญลักษณ์ การอุปมาอุปไมย และชอบใช้การอธิบายแบบนี้ ฉันมักจะสนใจวงสนทนาที่มีความเป็นปรัชญา หรือการวิเคราะห์ที่ฟังดูเป็นนามธรรม
3) ฉันมักให้ความสำคัญกับสิ่งที่จับต้องได้ตรงหน้า มากกว่าการวิเคราะห์แนวคิดและภาพความเชื่อมโยงต่างๆฉันไม่ค่อยชอบการถกเถียงที่ฟังดูวิชาการ หรือฟังดูไม่อยู่กับความเป็นจริง4) ฉันสนุกกับจินตนาการและเรื่องราวที่มีความหมายในเชิงนามธรรม ฉันรู้สึกว่าการสนทนาที่คุยกันเฉพาะเรื่องชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น กินอะไร ไปไหนมา เขาเงินเดือนเท่าไหร่ ลูกเขาอายุเท่าไหร่แล้ว เขาไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลอะไร ฯลฯ ไม่ค่อยทำให้อิ่มใจ 
5) บทสนทนาของฉันและเพื่อนมักเป็นเรื่องชีวิตประจำวันที่จับต้องได้ ฉันไม่สนใจ หรือบางครั้งฉันถึงขนาดรำคาญเพื่อนที่ชอบพูดอะไรฟังดูซับซ้อนเข้าถึงยาก 6) ฉันมักรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ โดยมีการอ่านเรื่องราว “ระหว่างบรรทัด” เช่น พยายามอ่าน “ความหมายและแรงจูงใจที่ซ่อนเร้น” ของประโยค อันลึกกว่าพฤติกรรมภายนอก 
7) ฉันให้น้ำหนักกับประสบการณ์ตรงของตัวเองและคนอื่นมากกว่าทฤษฎี8) ฉันเห็นรูปแบบ ความเชื่อมโยง และเห็นความหมายที่ซ่อนอยู่ในแต่ละเหตุการณ์ ฉันไม่ได้พยายามจะซับซ้อนหรือเข้าใจยากแบบที่เพื่อนๆ บอก 

ข้อเลขคี่แสดงแนวโน้มที่ชอบรับข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าทางร่างกาย (Sensing) ส่วนข้อเลขคู่นั้นแสดงแนวโน้มในการรับข้อมูลเข้ามาผ่านความหยั่งรู้ (ผ่าน Intuitive function) 

มีคนมากมายที่ดูจะสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง แต่ก็สร้างคุณูปการให้แก่โลกอย่างยิ่ง พอล แอดิช นักคณิตศาสตร์ชาวยิวผู้เกิดในเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะสุดไปทางการรับข้อมูลผ่านความหยั่งรู้ (Intuition) และไม่ค่อยสนใจข้อมูลที่ผ่านประสาทสัมผัส รวมไปถึงการจัดการวัตถุต่างๆ เขาคิดเลขสามหลักได้ตั้งแต่สามขวบ แต่กลับผูกเชือกรองเท้าได้เอาตอนอายุ 11 แล้ว เขาไม่ค่อยแคร์เรื่องทรัพย์สิน เสื้อผ้า อาหาร ทว่าเพื่อนๆ นักคณิตศาสตร์ก็มักจะช่วยกันดูแลความต้องการทางร่างกายของเขา แอร์ดิชชอบร่อนเร่พเนจรไปเคาะบ้านเพื่อนนักคณิตศาสตร์ทั่วโลก และอยู่บ้านเพื่อนกระทั่งมีงานวิจัยตีพิมพ์ด้วยกัน เขาสามารถจะโผล่ไปบ้านเพื่อนกลางดึกเพราะอยากคิดเลข และถ้าคุณเปิดบ้านให้เขา เขาจะไม่ซักผ้ารีดผ้าในระหว่างที่อยู่กับคุณและเขาก็ไม่สามารถปิดหน้าต่างได้ด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ้าบ้านถึงกับจงใจเปิดหน้าต่างทิ้งไว้เพื่อให้เขาปีนเข้ามาในบ้านได้ตอนหลังเที่ยงคืน กระนั้น ไม่ว่าจะมีพฤติกรรมพิลึกพิลั่นอย่างไร เพื่อนๆ ก็ชอบเขา เขาคืออัจฉริยะผู้เป็นศูนย์กลางของโลกคณิตศาสตร์ และทำงานร่วมกับคนในสายคณิตศาสตร์มากมายมหาศาลมากกว่าใครๆ 

ไม่ว่าเราจะมีแนวโน้มรับรู้ข้อมูลลักษณะไหนมากกว่ากัน คนมักจะบอกกันว่าสมดุลนั้นแหละดีที่สุด มันคือการพาตัวเองไปเข้าใกล้ความบริบูรณ์ในบุคลิกภาพ แต่จากตัวอย่างชีวิตสุดโต่งของคนมากมายที่ทิ้งผลงานไว้แก่โลก เราก็อาจตั้งคำถามได้เช่นกันว่า คนบางคนก็อาจจะไม่จำเป็นต้อง ‘สมดุล’ ขนาดนั้นหรือเปล่า?

อ้างอิง
Jung A very short Introduction โดย Anthony Stevens
Mathematic Addict โดย Karl S. Kruszelnicki
Looking at TYPE โดย เอิร์ล C. Page ตีพิมพ์โดย Center for Applications of Psychological Type, MBTI step II USES’s Guide

Tags:


Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Alexithymia-nologo
    How to enjoy life
    พูดไม่ออก บอกไม่ถูก? เมื่อใจรู้สึก แต่ปากกลับบอกไม่ได้ว่าคืออารมณ์อะไร: Alexithymia ภาวะไร้คำให้กับอารมณ์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • RelationshipSocial Issues
    Toxic Masculinity: เมื่อ ‘ชายแทร่’ คือผลไม้พิษ สังคม-ครอบครัวต้องสร้างการเรียนรู้ใหม่…ไม่มีใครเหนือใครในความเป็นมนุษย์

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    เพราะ ‘ข่าวร้าย’ มักดึงดูดใจกว่า ‘ข่าวดี’: Doomscrolling พฤติกรรมเสพข่าวร้ายไม่หยุด ที่ต้องหยุดตัวเองก่อนเสียสุขภาพจิต

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • love-hate-relationship-nologo
    Relationship
    Love-Hate Relationship: จะอยู่อย่างไรให้ไหว เมื่อคนในครอบครัวคือคนที่ทั้งรักและเกลียด?

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    Love Bombing: เมื่อการทุ่มเทความรักมากมายเป็นเพียงเหยื่อล่อไปสู่ความสัมพันธ์ท็อกซิก

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

อนุญาตให้ตัวเองเปราะบางบ้าง เพราะการเข้มแข็งตลอดก็อาจทำร้ายตัวเองได้ (The Power of Vulnerability)
How to enjoy life
26 May 2021

อนุญาตให้ตัวเองเปราะบางบ้าง เพราะการเข้มแข็งตลอดก็อาจทำร้ายตัวเองได้ (The Power of Vulnerability)

เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความเปราะบาง (Vulnerability) คือ ความกล้าหาญที่จะเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้สึก แม้มันอาจจะดูไม่ดี แม้อาจจะมีคนไม่เห็นด้วย แม้จะเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธ เพราะคุณเพียงแค่เลือกที่จะเป็นตัวเอง ไม่ใช่เพราะคุณต้องการการยอมรับ หรือต้องการอย่างอื่น
  • ช่วงแรกที่เริ่มยอมรับและเผชิญหน้ากับความเปราะบาง อาจทำให้คุณรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่มั่นใจในการกระทำตนเอง คุณอาจกังวลที่ต้องพูดว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร กังวลที่ต้องยอมรับว่าคุณทำอะไรได้ไม่เก่ง รู้สึกแย่เวลาต้องยอมรับว่าตนเองผิดบ้าง หรือประหม่าเวลาที่จะบอกรักคนรอบข้าง
  • ความเป็นมนุษย์มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ ในความเข้มแข็งมีความเปราะบาง ในความเปราะบางมีความเข้มแข็ง ความเปราะบาง คือ แผนที่ขุมทรัพย์ที่เอาไว้สำรวจตนเอง ซึ่งจะทำให้เราเห็นว่าพื้นที่ตรงไหนที่เรายังต้องทำความเข้าใจตัวเองเพิ่ม เพราะฉะนั้นอย่าโกรธตัวเองไปเลยหากยังคงพบพื้นที่เปราะบางในใจ

ย้อนกลับไป 4 – 5 ปีที่แล้ว ผมพึ่งเริ่มสนใจจิตวิทยาเพราะอยากที่จะมีความสุขในชีวิตมากขึ้น ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ของปีแรกไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการมีความสุข แต่เป็นเรื่องน่าแปลกแม้จะอ่านเยอะแค่ไหน ผมกลับรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีความสุขขึ้น แม้จะรู้ว่าควรทำอย่างไร แต่ใจก็กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น หลังศึกษาจิตวิทยาไปสักพักก็ได้เข้าใจว่าความสุขไม่ใช่สิ่งที่ต้องตามหาหรือพยายามอะไรเลย มันมีอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว เพียงแค่มีบางอย่างที่ขัดขวางไม่ให้เรามองเห็น

สิ่งนั้นคือ ความเปราะบาง (Vulnerability) ความเปราะบางเป็นพื้นที่ที่หลายครั้งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจึงทำให้เราไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว แน่นอนว่าเราทำเช่นนั้นเพราะคิดว่าถ้าไม่เจ็บปวดก็จะได้มีความสุข ซึ่งก็อาจจะจริงในบางเหตุการณ์ แต่ในหลายครั้งความเปราะบางก็เป็นพื้นที่ที่เอาไว้เรียนรู้เพื่อเติบโตเช่นเดียวกัน เมื่อปฏิเสธความเปราะบางและถอยห่างออกจากความเปราะบางของตัวเองมากเท่าไหร่ เรายิ่งห่างไกลจากความเป็นตัวเองมากเท่านั้น 

ดังนั้น หัวใจของความสุขคือการไม่วิ่งหนีความเปราะบางในตนเองเพื่อหาความสุข แต่คือการโอบกอด ยอมรับ และแสดงความเปราะบาง

ความเปราะบาง คือ ความกล้าหาญที่จะเป็นตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้สึก แม้มันอาจจะดูไม่ดี แม้อาจจะมีคนไม่เห็นด้วย แม้จะเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธ เพราะคุณเพียงแค่เลือกที่จะเป็นตัวเอง ไม่ใช่เพราะคุณต้องการการยอมรับ หรือต้องการอย่างอื่น

ความเปราะบาง = ความกล้าหาญ

เมื่อเด็กคนหนึ่งอยากได้รับความรักจากแม่ของเขา แต่ถูกเมินเฉยอย่างต่อเนื่อง เขาจึงเริ่มเรียนรู้ว่าการขอความรักจากคนรักเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมันจะนำมาซึ่งความเจ็บปวด เมื่อเติบโตขึ้น เขากลายเป็นคนที่เมินเฉย เย็นชา ดูคล้ายคนที่ไร้หัวใจเพื่อปกป้องตนเองจากความเจ็บปวด แม้ในใจเขาจะอยากได้รับความรักมากเพียงใด แต่ความผิดหวังของการขอความรักจากคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็ได้กลายเป็นความเปราะบางของเธอไปแล้ว ทุกครั้งที่เธอมีแฟน เธอจะทำเหมือนไม่สนใจแม้ในใจจะสนใจมากเพียงใด การแสดงความรักกลายเป็นพื้นที่เปราะบางที่เธอจะไม่ยอมเข้าไปเด็ดขาด

การเผชิญหน้ากับความเปราะบางของเธอเป็นเรื่องยาก เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอพูดความรู้สึกหรือความคิดที่แท้จริง มันอาจเสี่ยงที่จะถูกปฏิเสธหรือตัดสิน แต่อีกนัยหนึ่ง การที่เธอกล้าเปราะบางก็จะกลายเป็นบ่อเกิดของความรักเช่นเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะรู้สึกได้รับความรักจากอีกฝ่าย หากเธอไม่เปิดเผยความเป็นตัวเองออกมา ซึ่งนั่นก็หมายถึงความเปราะบางด้วย

ความเปราะบางไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความกล้าหาญอย่างแท้จริง เบรนเน่ บราวน์ เจ้าของหนังสือ The Gifts of Imperfection กล่าวถึงที่มาของคำว่า Courage (ความกล้า) มาจากภาษา Latin ที่แปลว่า การบอกเล่าความรู้สึกจากทั้งหัวใจ ดังนั้น การซื่อสัตย์และกล้าหาญที่จะเป็นตัวเองในความเปราะบางล้วนเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม มันไม่ง่ายเลยที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเองโดยเฉพาะในสังคมที่พยายามบอก บังคับ ชี้ทางเสมอว่าเราควรเป็นอะไร เชื่ออะไร คิดแบบไหน ที่สำคัญทุกความกล้าบนโลกนี้ล้วนอาศัยความเปราะบางทั้งนั้น 

หากวันนี้คุณจะบอกรักใครสักคน คุณย่อมเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธ หรือการที่คุณจะบอกว่าตนเองเจ็บปวดแค่ไหนจากการถูกเพื่อนดูถูกมันเป็นเรื่องยาก เพราะมนุษย์มักรู้สึกอ่อนไหวเมื่อต้องบอกความเป็นตนเองให้คนอื่นรับรู้ ถึงอย่างนั้น การเสี่ยงที่จะเปราะบาง-เป็นตัวเอง ก็เป็นโอกาสที่ทำให้คุณได้รับความรัก และความเข้าใจในแบบที่คุณเป็นจริงๆ ที่ที่เรารู้สึกว่าเราเป็นตัวเองคือที่ที่เราสามารถเปราะบางได้ แบบที่ไม่ต้องสวมหน้ากากพยายามเป็นคนอื่น  

พื้นที่ใดไม่มีความเปราะบาง พื้นที่นั้นไม่มีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์อย่างแท้จริง ความเปราะบางเป็นหัวใจที่ทำให้เราเชื่อมโยงและสนิทกันมากขึ้น คุณจะรู้สึกเหมือนที่แห่งนี้คือที่ของคุณ (Belonging)

ลองถึงเวลาที่คุณเริ่มสนิทกับเพื่อน หลายครั้งมักเกิดจากการเล่าเรื่องที่เปราะบางและเสี่ยงต่อการถูกตัดสิน เรื่องที่เรารู้สึกละอายใจ เรื่องที่บางครั้งคนอื่นฟังอาจรับไม่ได้ ความเปราะบางนั้นนำมาซึ่งความรู้สึกเชื่อใจ (Trust) หรือบางครั้งความเชื่อใจก็นำพาให้เกิดความเปราะบาง เมื่อเริ่มพูดถึงความเปราะบางจากหัวใจ มันเหมือนจะมีเส้นใยบางอย่างที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้น

ความเปราะบางจะทำให้เราได้เป็นตัวเอง แน่นอนว่าคุณอาจเสียบางคนไปเมื่อคุณเริ่มเป็นตัวเอง แต่คุณก็จะได้โอกาสเจอคนที่คู่ควรกับคุณด้วย ความเปราะบางจะช่วยกะเทาะเปลือกที่เราหุ้มตัวเองไว้ว่าเราควรจะเป็นคนแบบไหน เราควรจะทำอะไร ลึกเข้าไปในแก่นจะเห็นความเป็นมนุษย์ที่เป็นธรรมชาติ หรือ Authentic Self ซึ่งหมายถึง การเป็นเนื้อแท้ การเป็นตัวเอง ความเปิดกว้าง ความจริงใจ การไม่พยายามเป็นอย่างอื่น ความธรรมชาติ มันยากที่จะนิยาม แต่ผมเชื่อว่าถ้าหากได้เห็นคนที่มีความธรรมาชาติหรือเป็นตัวเองจะนึกออกเองว่าเป็นอย่างไร

หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ พระภิกษุเซน เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเข้าใจความทุกข์ในจิตใจ ความกรุณาในหัวใจเราจะเบ่งบาน และสามารถแผ่ขยายความกรุณา (Compassion) นั้นไปให้ผู้อื่นได้ด้วย ผมคิดว่าการเข้าใจความเปราะบางก็เช่นกัน

ช่วงแรกที่เริ่มยอมรับและเผชิญหน้ากับความเปราะบางอาจทำให้คุณรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่มั่นใจในการกระทำตนเอง คุณอาจกังวลที่ต้องพูดว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร คุณอาจกังวลที่ต้องยอมรับว่าคุณทำอะไรได้ไม่เก่ง บางครั้งการพูดว่าคุณไม่รู้บ้างอาจเป็นเรื่องยาก คุณอาจประหม่าเวลาที่จะบอกรักคนรอบข้าง คุณอาจรู้สึกเขินเวลาต้องพูดชมใครบางคนจากใจจริง คุณอาจรู้สึกแย่เวลาต้องยอมรับว่าตนเองผิดบ้าง คุณอาจวิตกกังวลเวลาต้องเผชิญกับอารมณ์ที่เปราะบาง ทั้งหมดนี้อาจเป็นแบบฝึกหัดที่ยากสำหรับคนที่ปกปิดความรู้สึกตนเองมาตลอด แต่สุดท้ายคุณจะผ่านไป

อย่างไรก็ตาม ความเปราะบางไม่ใช่การเปิดเผยตัวตนทั้งหมด อาจมีคนบางกลุ่ม บางสถานที่ บางเหตุการณ์ที่คุณเลือกที่จะปิดมันไว้เพราะคุณรู้ดีว่าหากเปิดเผยไปมันจะเป็นผลเสียมากกว่า ตรงจุดนี้เป็นศิลปะที่ต้องพิจารณาด้วยประสบการณ์ และความเปราะบางก็ไม่ใช่เครื่องมือที่ใช้เพื่อบอกให้คนเห็นอกเห็นใจหรือสงสารเช่นเดียวกัน แต่มันคือการแสดงความเป็นตัวเอง-เราแค่เป็นเพราะเราเป็นแบบนั้น แก่นของความเปราะบางคือ การกล้าอยู่กับความรู้สึกเปราะบาง การกล้ายอมรับข้อผิดพลาด การกล้าอยู่ในบทสนทนาที่ข่มขื่น

สิ่งที่ขัดการเข้าถึงความเปราะบาง

  • การพยายามเอาใจคนอื่นจนละเลยตนเอง (People Pleaser)
  • การเป็นคนรักความสมบูรณ์แบบจนปฏิเสธความผิดพลาด (Perfectionist)
  • การไม่กล้าปฏิเสธผู้อื่น (Yes Man)
  • การไม่กล้าขอความช่วยเหลือเพราะกลัวเป็นภาระ
  • การไม่กล้าบอกรักเพราะกลัวถูกปฏิเสธ
  • การไม่กล้ายอมรับความผิดเพราะไม่อยากมองว่าตนเองผิดพลาด
  • การไม่กล้าพูดขอโทษ เพราะคิดว่ามันคือการเสียศักดิ์ศรี
  • การไม่กล้าบอกรัก หรือชื่นชม เพราะกลัวการบอกความรู้สึกที่แท้จริงให้คนรับรู้
  • การไม่กล้าล้มเหลวหรือผิดพลาด

ความเป็นมนุษย์มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ ในความเข้มแข็งมีความเปราะบาง ในความเปราะบางมีความเข้มแข็ง ความเปราะบางคือแผนที่ขุมทรัพย์ที่เอาไว้สำรวจตนเอง ซึ่งจะทำให้เราเห็นว่าพื้นที่ตรงไหนที่เรายังต้องทำความเข้าใจตัวเองเพิ่ม เพราะฉะนั้นอย่าโกรธตัวเองไปเลยหากยังคงพบพื้นที่เปราะบางในใจ

หลายครั้งความเปราะบางมีขุมทรัพย์ในนั้นด้วย หากคุณเป็นคนที่ไม่ค่อยเก่งในการสามารถปฏิเสธคนอื่น บางคนอาจมองว่าคุณเป็นคนอ่อนแอไม่กล้ายืนยัดเพื่อตัวเอง อีกมุมอาจมองได้ว่าคุณเป็นคนที่นึกถึงจิตใจคนอื่น

หากคุณเป็นคนไม่ชอบความล้มเหลว ขุมทรัพย์ของคุณอาจเป็นความรอบคอบ

เวลาจะเยียวยาความเปราะบางในหัวใจคุณ แต่ไม่ใช่ทุกความเปราะบางที่จะได้รับการเยียวยาแม้เวลาผ่านไปแค่ไหนก็ตาม และแม้เราจะทำความเข้าใจและก้าวข้าวผ่านความเปราะบางแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าความเปราะบางจะหายไป กลับกันเลย ความเปราะบางจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของคุณเสมอ

บนเส้นทางของการเข้าใจและโอบกอดความเปราะบางไม่ใช่เรื่องง่าย มันอาจไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว ฉะนั้น จึงอยากชวนให้ค่อยเป็นค่อยไปกับตัวเอง แต่รับรองได้เลยว่าหากวันนี้คุณเริ่มฝึกที่จะโอบกอดด้านที่เปราะบาง กล้าที่จะเป็นตัวเอง-แม้อาจถูกเกลียด เลิกฝืนเป็นคนแบบที่สังคมคอยบอก ซื่อสัตย์และกล้าหาญที่จะฟังเสียงหัวใจตนเอง ความเปราะบางเหล่านั้นจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้คุณมีความสัมพันธ์กับตนเองและคนรอบข้างข้างที่ลึกซึ้งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้คุณเป็นคนที่มีความรัก ความเมตตา ความอ่อนโยน ความสร้างสรรค์ และความกล้าหาญด้วย

อ้างอิง
Brown, B. (2015). Daring greatly: How the courage to be vulnerable transforms the way we live, love, parent, and lead. Penguin.
Brown, B. (2006). Shame resilience theory: A grounded theory study on women and shame. Families in Society, 87(1), 43-52.
Brown, B. (2010). The gifts of imperfection: Let go of who you think you’re supposed to be and embrace who you are. Hazelden Publishing.
Hanh, T. N. (2013). The art of communicating. Random House.

Tags:

การเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)ความเปราะบาง (Vulnerability)

Author:

illustrator

ชัค ชัชพงศ์

นักจิตวิทยาที่เขียนบทความเพื่อช่วยให้คนเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง FB: Chuck Chatpong

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

    เรื่อง The Potential

  • Life classroom
    ‘อนุญาตให้ตัวเองผิดหวังได้แต่อย่านาน’ ไดอารี่ชีวิตสาวน้อยคิดบวก ธันย์- ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • How to enjoy life
    ‘สัตว์เลี้ยงนักบำบัด’ มากกว่าเพื่อนคลายเหงา คือการเสริมสร้าง Self-esteem ในตัวเด็ก

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • How to enjoy life
    I am good enough : เห็นคุณค่าตัวเองในวันที่ถูกรายล้อมไปด้วยสังคมที่ขาด empathy

    เรื่อง ภณิชชา ไชยกวิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นวัตกรรม ‘ห้องเรียนเคลื่อนที่’ การจัดการเรียนรู้ในพื้นที่ห่างไกล เมื่อออนไลน์ไปไม่ถึง
26 May 2021

นวัตกรรม ‘ห้องเรียนเคลื่อนที่’ การจัดการเรียนรู้ในพื้นที่ห่างไกล เมื่อออนไลน์ไปไม่ถึง

เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • หนึ่งปีที่ผ่านมาการเรียนของเด็กๆ ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างไรบ้าง ถอดบทเรียนจากงานเสวนา “เปิดเทอมใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม” สอนอย่างไร เรียนแค่ไหน เมื่อออนไลน์ไปไม่ถึง 
  • ชุดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง Self-Directed Learning Package, ครูหลังม้า, อสม.การศึกษา นี่คือตัวอย่างนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนในยุคของวิด 19 ของโรงเรียนในพื้นที่ที่ตกที่นั่งลำบากในการจัดการเรียนแบบออนไลน์ 
  • การจัดการเรียนการสอนที่ไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่แค่การเรียนรู้ที่ต่อเนื่องเท่านั้น แต่คือการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เข้าถึงทักษะเด็กๆ ด้วย

ภาพ : ปริสุทธิ์

หลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ออกไปอีก จากกำหนดเดิมวันที่ 1 มิถุนายน เป็นวันที่ 14 มิถุนายน 2564 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ที่ไม่สู้ดีนัก เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของนักเรียน นักศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา และเพื่อให้มีระยะเวลารับการฉีดวัคซีนด้วย

ในสถานการณ์เช่นนี้ทางเลือกในการจัดการเรียนการสอนจึงเน้นไปที่การ ‘เรียนออนไลน์’ และ ‘เรียนทางไกล’ แต่สำหรับเด็กในพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร บนภูเขาสูง ที่เข้าไม่ถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ต บางพื้นที่ไม่มีแม้แต่ไฟฟ้า ไม่ต้องพูดถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟน คำถามก็คือ ทุกโรงเรียน ทุกพื้นที่ และทุกคนสามารถเรียนออนไลน์ได้จริงหรือ? 

“ไม่ได้เรียนค่ะ เพราะบนดอยอินเทอร์เน็ตค่อนข้างช้า ฝนตกทำให้ไฟดับบ่อย นักเรียนบางคนมีฐานะยากจนก็เลยไม่มีโทรศัพท์ใช้” 

“การที่ครูเอาแบบฝึกหัดไปให้ทำที่บ้าน ก็เรียนไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร จะถามพ่อแม่ก็ไม่ได้เพราะพ่อแม่ไม่เคยเรียนมาก่อน จะถามครูก็ห่างไกลจากโรงเรียนมาก” นี่คือเสียงสะท้อนเด็กๆ จากห้องเรียนกลางดอย ในงานเสวนา “เปิดเทอมใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม” สอนอย่างไร เรียนแค่ไหน เมื่อออนไลน์ไปไม่ถึง โดย กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, วุฒิสภา, TDRI, The Reporter และ The Active Thai PBS 

The Potential เลือกหยิบบางประเด็น โดยเฉพาะนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนในยุคโควิด 19 ของโรงเรียนที่ไม่สามารถจัดการเรียนผ่านออนไลน์หรือออนแอร์ได้ มานำเสนอให้เห็นว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาหลายพื้นที่ไม่ได้ปล่อยผ่าน มีการระดมความคิดเพื่อหาทางออกสำหรับข้อจำกัดที่เกิดขึ้นเพื่อให้การเรียนรู้ดำเนินต่อไปได้ ไม่ว่าจะเป็น ชุดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง Self-Directed Learning Package, ครูหลังม้า หรือ อสม.การศึกษา ตามด้วยการหาคำตอบว่า ถ้าจะต้องเปิดเทอมใหม่เร็วๆ นี้ พวกเขาพร้อมรับมือหรือไม่

สร้างการมีส่วนร่วมจัดการเรียนรู้ ‘โรงเรียนบนพื้นที่สูงและถิ่นทุรกันดาร’

โรงเรียนบนพื้นที่สูง เป็นโรงเรียนที่มีความยากลำบากในการจัดการศึกษาทั้งการเดินทางและความเป็นอยู่ มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ และอยู่ติดชายแดน จากการสำรวจของ อ.ศุภโชค ปิยะสันติ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนห้วยไร่สามัคคี จังหวัดเชียงราย และที่ปรึกษาเครือข่ายชมรม ‘นักจัดการศึกษาบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร โรงเรียนพื้นที่เกาะ’ เมื่อปีที่ผ่านมาพบว่า มีราว 1,190 โรง กระจายตัวอยู่ในโซนภาคเหนือ ตั้งแต่เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน น่าน ตาก ไปจนถึงราชบุรีและกาญจบุรี 

“เราลงไปพบผู้เรียนเพื่อดูว่าวิธีการจัดการศึกษาที่เราทำปีที่แล้วเวิร์กสำหรับเขาไหม ซึ่งพบว่าแต่ละบ้านไม่มีความพร้อมที่จะเรียนออนไลน์หรือใช้ออนแอร์ทีวีใดๆ บางบ้านมีนักเรียนหลายคน มีทีวีแต่ก็เรียนกันคนละช่อง แล้วบ้านไม่ได้เอื้อต่อการเรียนรู้ ไม่มีโต๊ะนั่งเรียน ไม่มีอุปกรณ์การเรียน และสภาพการทำงานของครูเองก็ค่อนข้างยุ่งยาก ลำบาก บางพื้นที่เดินทางยาก บางพื้นที่ครูเป็นคนแปลกหน้าสำหรับชุมชน หลายหมู่บ้านล็อกดาวน์ตัวเอง เพราะกลัวคนนอกจะเอาเชื้อมาแพร่ในหมู่บ้าน”

แล้วโรงเรียนปรับตัวอย่างไร? อ.ศุภโชค เล่าว่า เราต้องเรียนรู้ร่วมกันไป สร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วม ที่ผ่านมาสิ่งที่โรงเรียนหลายแห่งเริ่มขยับทำกันบ้างแล้ว คือ การปรับมายเซ็ตครู ออกแบบการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ทำอย่างไรถึงจะรู้วิธีการเรียนที่มีประสิทธิภาพกับผู้เรียนได้ และคัดเลือกเนื้อหาที่ควรจะเรียนมาก่อน เน้นให้มีการบูรณาการเพิ่มขึ้น และเน้นทักษะการเรียนรู้ กระบวนการตั้งคำถาม สืบค้น สรุปความรู้ นำเสนอ หาวิธีแก้ปัญหา 

“แทนที่จะเรียนตามบทเรียนก็เอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นคือเรื่องของโควิด 19 มาเรียน เช่น โควิดศึกษา คืออะไร มีผลกระทบต่อตนเองและครอบครัวอย่างไร และจะปฏิบัติตนอย่างไร) ออกแบบชุดคำถามให้นักเรียน เพื่อให้เขาไปสำรวจคนที่บ้าน และสรุปความรู้ ซึ่งเราก็พยายามติดตามผล ความก้าวหน้าของผู้เรียน”

ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน เชิญผู้ปกครองที่อยู่ในพื้นที่กลุ่มเล็กๆ เพื่อจะอธิบายวิธีการเรียน และขอความร่วมมือในการช่วยกันดูแลลูกหลานในช่วงโควิดนี้ 

“เราต้องคัดกรองว่ามีเด็กกี่คนออนไลน์ได้บ้าง ส่วนเด็กที่ไม่สามารถเรียนได้ก็จัดให้เรียนแบบออฟไลน์ ใช้ชุดการเรียนรู้ที่จัดทำเอง และอีกวิธีหนึ่งคือการผสมผสานวิธีการที่ยืดหยุ่น คัดกรองให้เด็กบางส่วนในบริเวณใกล้ๆ โรงเรียนเข้ามาเรียนที่โรงเรียนได้ หรือใช้อาสาสมัครเพื่อการศึกษา เช่น ศิษย์เก่า ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา เข้าไปสอนในหมู่บ้าน ซึ่งต้องระมัดระวังเรื่องสุขอนามัยด้วย ที่ผ่านมาจะเราแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนยังไม่ได้มีการอบรมอาสาสมัครกันจริงจัง แต่พลังของกลุ่มนี้เป็นตัวช่วยที่ดีที่ช่วยโรงเรียนได้ในระดับหนึ่ง”  

สิ่งที่ครูเห็นพ้องต้องกันว่าเด็กสามารถสะท้อนการเรียนได้ จากการจัดการเรียนเช่นนี้คือ เด็กๆ มีการจัดทำชุดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เช่น เนื่องจากการใช้สบู่หรือเจลล้างมือที่ใช้บ่อยมากทำให้มือแห้ง เขาจึงคิดค้นน้ำยาล้างมือจากพืชในท้องถิ่นที่ช่วยให้มือนุ่ม หรือวิธีการทำ social distancing ในโรงเรียน ทำอย่างไรที่จะเราไม่นั่งชิดกันได้โดยอัตโนมัติ เขานำกระถางต้นไม้มาวางกั้นแทนที่จะเอาอะไรมาทำเครื่องหมายไว้ เป็นวิธีการที่เรียบง่ายแต่ได้ผล 

การจัดการเรียนรู้ภายใต้วิถีชีวิตใหม่ (New Normal)

การจัดการเรียนการสอนที่ไม่เหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิมในที่นี้ ไม่ใช่แค่การเรียนรู้ที่ต่อเนื่องเท่านั้น แต่คือการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เข้าถึงทักษะเด็กๆ ด้วย 

ในช่วงหนึ่งที่ระบบการเรียนการสอนต้องปรับเปลี่ยนเป็น New Normal รศ.ดร.ธันยวิช วิเชียรพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย และวิทยบริการ ม.ศรีปทุม ชลบุรี ได้ทำวิจัยแนวทางการจัดการเรียนการสอนในช่วงโควิด 19 พัฒนาอบรมครูให้มีความพร้อมดูแลเด็กๆ ชื่อโครงการว่า TSQP โดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อใช้ในการดูแลโรงเรียนทั้งหมด 260 โรงเรียน กระจายไป 54 จังหวัด มีครูที่ดูแลให้คำปรึกษาและพัฒนาอยู่ราว 3,000 คน โดยสำรวจว่าลักษณะของการจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง 

“สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ความคาดหวังและเหตุผลในการรับการศึกษาจะเปลี่ยนไป คนอาจจะไม่คาดหวังว่าต้องการมีศักยภาพหรือขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อไปเป็นแรงงานในสถานประกอบการขนาดใหญ่แล้ว รูปแบบการประกอบธุรกิจและอาชีพก็จะเริ่มกลายเป็น start-up องค์กรขนาดเล็กที่ทำแบรนด์ท้องถิ่น และเน้นการสร้างอาชีพใหม่ด้วยตัวเองมากขึ้น”

โดยผลกระทบที่ตามมาจะทำให้ความคาดหวังของระบอบการศึกษาหรือผลลัพธ์ทางการศึกษาในระบอบเปลี่ยนไป ในผลลัพธ์การเรียนรู้จะเน้นทักษะการคิด ทักษะการทำงาน ทักษะชีวิต การอ่าน เขียน คำนวนพื้นฐาน ทักษะสังคม และที่สำคัญมากก็คือ การเป็นนักเรียนรู้เชิงรุกตลอดชีวิต เพราะเราคงไม่สามารถยึดโยงกับโรงเรียนได้อีกต่อไป 

และด้วยผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcome) ทำให้กระบวนการจัดการเรียนรู้เปลี่ยนแปลงไป อย่างแรกคือ หน่วยการเรียนรู้จากรายวิชา เป็น Unit ซึ่งอาจหมายถึง 1 โปรเจค เป็นการบูรณาการการเรียนรู้ สองคือ โรงเรียนในวิถีใหม่นี้ไม่สามารถจัดการศึกษาแบบแมสได้อีกต่อไป ฉะนั้นคำว่า ‘โรงเรียน’ คงจะถือเป็นสรณะไม่ได้แล้ว จึงเป็น Unschooling หรือความไร้ระบอบในการเรียนรู้ เรียนตามอัธยาศัย แล้วก็เรื่องของการศึกษาทางไกล (Remote Learning) เรียนรู้จากสภาพแวดล้อม ปรากฏการณ์จริง ปัญหา และที่สำคัญคือ บทบาทของครูจะเปลี่ยนเป็นครูโค้ช ผู้แนะนำ และผู้ประสานงาน

จากความเปลี่ยนแปลงที่เห็นโครงการนี้จึงพัฒนานวัตกรรมขึ้นมา 2 ตัวด้วยกัน เพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วยสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนในวิถีใหม่นี้ คือ Learning Process และ การพัฒนาสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ทางไกล 

“Learning Process ใหม่ ที่เราทำหรือทำการพัฒนาครู 3,000 คน โดยติดตั้งแนวคิดเรื่องของ Community Innovation Project การจัดการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน ใน ‘โครงการนวัตกรรมเพื่อชุมชน’ ให้แก่ครู ซึ่งผู้เรียนจะเรียนรู้จากปัญหา สถานการณ์จริง กับชุมชนของตัวเอง โดยคำถามที่คุณครูจะมอบหมาย การเรียนแบบนี้ครูมีหน้าที่เป็นผู้ถาม ผู้โยนโจทย์ ผู้ชี้แนะเท่านั้น จะไม่ได้อยู่ติดกับผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนมี space มากขึ้น” 

ตัวอย่างคำถามเพื่อสร้างสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างนวัตกรรม

1.ในชุมชนมีปัญหาใดที่กำลังทำให้ความภูมิใจหรือคุณาพชีวิตของคนในชุมชนลดลง (ทุกข์) 

2.สาเหตุของปัญหาที่แท้จริง พร้อมข้อมูล หรือหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ (สมุทัย) 

3.นวัตกรรมใดที่จะสามารถนํามาแทโยปัญหาดังกล่าวนี้ได้ (นิโรธ) 

4.มีหลักการ หลักวิชา และทฤษฎีใดบ้างที่จะทําให้การสร้างนวัตกรรมนี้สําเร็จ (มรรค)

“4 คำถามนี้ ครูจะเป็นคนถามเด็กตั้งแต่แรก แล้วเมื่อเขาอยู่ที่บ้านเขาก็จะสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้ในการสร้างนวัตกรรมดังกล่าว สิ่งที่เป็นประโยชน์คือผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ และเขาจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง เพราะเขาเป็นคนสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง โดยการวางแผนการรียนรู้ร่วมกับคนอื่นว่าจะเรียนรู้วิชาไหนบ้างที่จะทำให้นวัตกรรมของเขาสำเร็จ 

อีกส่วนที่สำคัญคือ การเห็นคุณค่าในตัวเอง โครงงานนวัตกรรมเพื่อชุมชน มีผลดีมากๆ ในเด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น และเด็กที่มองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่มีความยากลำบากในชีวิต” 

สำหรับ ‘การพัฒนาสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ทางไกล’ จะเห็นว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีความพยายามสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ทางไกล เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการศึกษายากลำบาก ไม่ว่าจะเพราะโควิด 19 หรือความยากไร้ ตัวอย่างเช่น อินเดียที่ทำโมบายแล็บ, ห้องเรียนบนลา ของโคลัมเบีย, ห้องเรียนบนเรือ ที่จะเข้าไปตามชุมชนของลาว หรือห้องเรียนบนอูฐ ของปากีสถาน ก็เป็นตัวอย่างที่หลายประเทศพยายามจะแก้ปัญหา 

ซึ่งบ้านเราก็มีเช่นกัน คือ Self-Directed Learning Package หรือ ชุดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่จะมี 12 เรื่องราวที่เป็นธีมหลัก มีชุดคำถามที่ยกตัวอย่างไป โดยใช้กล่องที่เป็นอุปกรณ์นี้ไปสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ผ่านธีมต่างๆ ซึ่งมี 4 กลุ่มวิชาด้วยกัน คือ เทคโนโลยีและนวัตกรรม, สังคมและมนุษยชน, วิทยาการวิจัย และสัมมาชีพศึกษา (สหกิจ/ประกอบการ) โดยหัวใจของชุด Self – Directed Learning Package ไม่ใช่อุปกรณ์แต่ว่าเป็นตัวธีม ชุดคำถาม และใบงานที่จะไปกระตุ้นให้เขาเกิดแรงบันดาลใจ และยังมีอีกหลายโมเดลที่ครูพยายามปรับให้เข้าบริบทของตัวเองซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป

“ผู้เรียนสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านชิ้นงาน โครงงาน กิจกรรมต่างๆ และมีการสนับสนุนอุปกรณ์ต่างๆ อุปกรณ์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทดลอง หาผล ทดสอบสมมติฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้องจุลทรรศน์กระดาษ แว่นขยาย ชุดกระดาษลิตมัส แล้วก็ยังมีอุปกรณ์ในการประดิษฐ์ต่างๆ และมีการติดตามผลเพื่อกระตุ้น ส่งเสริม สอบถามข้อเสนอแนะของผู้เรียนและผู้ปกครอง โดยชุดโครงงานส่วนใหญ่เน้นเรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ที่จะทำให้เด็กเองดีขึ้น”

นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรอบรมเติมเต็มให้ครูทุกวัน เช่น โครงงานนวัตกรรมชีวจักรกลเพื่อชุมชน, Phenomenon Based Learning ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้แบบนวัตกรรม เพื่อชุมชนให้เข้มแข็งขึ้น, ทักษะในการสร้าง Self-Directed ด้วยตัวเองอย่างง่ายของครู ต้องบอกว่าพวกนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จแต่เป็นประตูบานแรกที่อยากให้ครูได้เรียนรู้ที่จะออกแบบกระบวนการเรียนรู้ในวิถีชีวิตใหม่ เพราะฉะนั้นนวัตกรรมทั้งสองอย่างที่มอบให้ครูจึงเป็นประตูบานแรกให้เขาได้ฝึกฝน และสร้างทักษะเพิ่มให้ครู 

ขนความรู้ไปให้เด็กๆ บนดอย กับ ‘ครูหลังม้า’ 

แม่ฮ่องสอนก็เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีโรงเรียนกระจายตามหมู่บ้าน ตามหุบเขาและบนภูเขาสูง ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทุรกันดาร ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต รวมถึงสภาพความยากจนครัวเรือนของผู้ปกครองที่ไม่มีรายได้ เนื่องจากว่าเกือบ 100% เป็นชาวไทยภูเขาประกอบอาชีพเกษตรกรรมสามารถทำไร่ได้ปีละครั้ง ซึ่งบริโภคอย่างเดียวไม่ได้ขาย ส่งผลให้ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือในการเรียนให้กับบุตรหลาน ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แล็ปทอป หรือว่าทีวี 

อ.สยาม เรืองสุกใสย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนล่องแพวิทยา จังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงต้องปรับรูปแบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่ เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง โดยเรียกโครงการนี้ว่า ‘ครูหลังม้า’ ซึ่งเคยเป็นนวัตกรรมในอดีตของแม่ฮ่องสอนในการเข้าถึงพื้นที่โดยใช้ม้าบรรทุกสื่อการเรียนรู้ไปพร้อมกับครูแล้วก็ไปจัดการเรียนรู้ตามหย่อมบ้าน ปัจจุบันใช้รถมอเตอร์ไซต์แทนม้า แต่ในบางพื้นที่ก็ยังต้องเดินเท้า แบกเป้บรรทุกสื่อเข้าไป เพราะไม่สามารถเดินทางโดยรถได้ 

รูปแบบการเรียนการสอนของครูหลังม้า จะจัดเป็นคลาสเรียนเล็กๆ คละชั้น ประถม 1-6 มัธยม 1-6 ส่งครูเข้าไปในพื้นที่ กินนอนอยู่ร่วมกับชุมชน แต่ละหย่อมบ้านจะอยู่ราวหนึ่งสัปดาห์ พอหมดเนื้อหาก็หมุนวนไปหย่อมบ้านถัดไป หลังจากนั้นครูวิชาใหม่ก็จะเข้ามาแทน เหมือนกิจกรรมเข้าฐาน จนครบเนื้อหาวิชา ซึ่งการจัดการเรียนรู้จะต้องมีการออกแบบที่เหมาะสมกับบริบท เช่น ภาษาไทย คณิตศาสตร์

เมื่อออกแบบการจัดการเรียนรู้แล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ จะต้องมีการวัดผล ประเมินผลที่แตกต่างไป โดยเราเน้นการวัดผลประเมินผลตามสภาพจริง ไม่ได้ยึดตามตัวชี้วัด แต่ยึดตามสาระการรียนรู้ที่เราคิดว่าสำคัญ โดยดูจากสภาพจริง ชิ้นงาน พัฒนาการของผู้เรียน

กลไกการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบอาสาสมัคร

นอกจากชุดการเรียนรู้ที่พูดถึงไปแล้ว ในพื้นที่ที่เด็กไม่สามารถเข้าถึงการเรียนออนไลน์ได้ อ.เฉลียว เถื่อนเภา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านตะโกล่าง จังหวัดราชบุรี มีนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่น่าสนใจของ ‘ราชบุรีโมเดล’ ที่ใช้กลไกการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบอาสาสมัคร 

“จากโควิด 19 รอบที่แล้ว โรงเรียนได้สำรวจความพร้อมของนักเรียนราว 780 คน แล้วแบ่งสภาพภูมิศาสตร์ออกเป็น 7 หย่อมบ้าน ซึ่งทั้งหมดเด็กสามารถมารวมตัวกันได้ เราก็ต้องมองหาว่าตรงไหนบ้างที่จะให้เด็กรวมตัวกันได้ภายใต้ข้อกำหนดของ ศบค. ระดับจังหวัดและระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นศาลาวัด โบสถ์คริสต์ ที่ตั้งหน่วยงานทหารต่างๆ ศูนย์เศรษฐกิจพอเพียงของหมู่บ้าน จากนั้นก็ประสานกับผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา นายกอบต. ผู้ใหญ่บ้าน อสม. แบ่งภารกิจกัน พยายามกระจายเด็กๆ ให้ไม่เกิน 40 คนต่อจุด แล้วก็ได้ไปรวมศิษย์เก่ามาเป็นอาสาสมัครในการจัดการเรียนการสอน” 

“ในการทำงานครั้งนั้นเราได้สร้างเครือข่ายทางการศึกษา ที่มาช่วยกันสร้างการเรียนรู้ให้เกิดความต่อเนื่องและเกิดการเรียนรู้ที่สร้างทักษะของเด็กๆ แต่ละคนได้ มีทั้งศิษย์เก่าที่มาช่วยสอน ได้พ่อแม่ผู้ปกครองมาช่วยดูแลลูกหลานอีกแรง การที่เขาได้เข้ามามีบทบาทเช่นนี้ทำให้เขารู้จักเด็กๆ ในชุมชนมากขึ้น และเกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน”

ซึ่งโรงเรียนบ้านห้วยนกกกก็ใช้การจัดการเรียนรู้ลักษณะนี้เช่นกัน อ.ประหยัด อุสาห์รัมย์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยนกกก จังหวัดตาก ออกตัวก่อนเลยว่า โรงเรียนแห่งนี้อาจไม่ได้กันดารเหมือนอีกหลายๆ โรงเรียน เนื่องจากอยู่ติดถนนใหญ่ เดินทางไม่ลำบากนัก แต่มีนักเรียนที่มาจากหลายหมู่บ้านทั้งรอบๆ โรงเรียน และเดินทางมาเรียนโดยอาศัยอยู่หอพัก รวมๆ แล้ว 30 หย่อมบ้าน ซึ่งการจัดรูปแบบการจัดการเรียนการสอนในช่วงโควิดที่ผ่านมา ครั้งแรกทางโรงเรียนจัดตามนโยบายใช้การเรียนออนไลน์ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในขณะที่เจอปัญหาก็คิดค้นทางหนีทีไล่มาแก้ปัญหา 3 รูปแบบ ด้วยกัน

อย่างแรก เรียนที่โรงเรียน คัดเลือกนักเรียนในหมู่บ้านและบางหมู่บ้านที่ใกล้ๆ รวมถึงนักเรียนบ้านไกลที่อยู่หอพักมาเรียนที่โรงเรียน สองใช้โมเดล พี่ครูสอนน้อง และนวัตกรรม 4 จอ คือ จำอ่าน จำจด จำแจก (แจกรูปผสมคำ) จำเขียน ที่เรียกว่า ‘พี่ครู’ เพราะโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ จะเรียกพ่อครู แม่ครูกันส่วนใหญ่ พอเป็นนักเรียนพี่สอนน้องเราจึงเรียกว่า พี่ครู เพื่อเกิดความภูมิใจ นักเรียนเขาจะภูมิว่าได้เป็นครูแล้ว ฉันเป็นพี่และฉันเป็นครูด้วย 

สุดท้ายคือ ครูเคลื่อนที่ ในบริเวณโรงเรียนมีหมู่บ้านละแวกนั้นที่ใกล้ๆ กัน ก็จะให้นักเรียนเช่นหมู่บ้านที่ 1 เปิดชั้น ป.1-ป.2 หมู่บ้านที่ 2 เปิดชั้นที่ 2 ป.3-ป.4 ชั้นป.5 ป.6 ที่อยู่ละแวกเดียวกันก็จะให้เด็กไปเรียนรวมตัวหมู่บ้านที่ 1 เฉลี่ยกันไป แล้วให้ครูเคลื่อนที่ 1 วิชา วนไปสอน แล้วก็จะมีฝ่ายส่งอาหารด้วย

อ.ประหยัด บอกว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันทางโรงเรียนได้มีการเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัย ทั้งครูและนักเรียน ครูได้มากักตัว 14 วันตั้งแต่วันที่ 3 ของเดือนนี้ ดังนั้นวันนี้สามารถมาทำงานได้แล้ว ส่วนนักเรียนได้ทำประกาศส่งไปที่ผู้นำหมู่บ้านแล้วว่า นักเรียนต้องกักตัวอยู่บ้าน และใครที่ออกไปนอกพื้นที่ต้องกลับมาภายในวันที่ 17 นี้ เพื่อกักตัว นอกจากนี้ผู้นำชุมชนเองก็ต้องรู้สถานะว่าชุมชนตัวเองมีความเสี่ยงมากเท่าไร ต้องมีข้อมูลแจ้งให้ทราบว่าในชุมชนมีคนที่ออกนอกพื้นที่และเข้ามาในพื้นที่กี่คน 

สุดท้าย สิ่งที่ทุกท่านสะท้อนเป็นเสียงเดียวกันคือ ภาครัฐควรจะสนับสนุนงบประมาณ เช่น อุปกรณ์การเรียน อุปกรณ์คัดกรอง คลายล็อกเรื่องงบประมาณการจัดซื้อหนังสือเรียน เงินส่วนนี้สามารถจัดทำแบบฝึกเพื่อให้สอดคล้องกับที่แต่ละโรงเรียนต้องการ รวมถึงเรื่องอาหารกลางวัน และเมื่อออกแบบการจัดการเรียนรู้แล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ จะต้องมีการวัดผล ประเมินผลที่แตกต่างไป โดยเน้นการวัดผลประเมินผลตามสภาพจริง ไม่ใช่ดูแค่ตัวชี้วัด ยึดตามสาระการรียนรู้ที่คิดว่าสำคัญ ชิ้นงานและพัฒนาการของผู้เรียน เพื่อให้การเรียนรู้ของเด็กๆ สามารถดำเนินต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย

Tags:

การเรียนรู้ด้วยตัวเอง(self-directed learning)การศึกษาไทยอาสาสมัครการศึกษาครูหลังม้า

Author:

illustrator

นฤมล ทับปาน

Related Posts

  • Social Issue
    ‘ความผิดหวังต่อระบบการศึกษา’ ฝันร้ายในวิกฤตเด็กนอกระบบ

    เรื่อง The Potential

  • Book
    ครบรอบ 20 ปี หนังสือ ‘ไชลด์เซ็นเตอร์ สำนวนซ้ำซากของการศึกษาไทย’ กับคำถามที่ว่า การศึกษายังคงเป็นเพียงเรื่องฉาบฉวย?

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an EducatorSocial Issues
    ‘ครูจิ๋ว’ ทองพูล บัวศรี : ครูข้างถนนที่เติมแสงสว่างในชีวิตเด็กด้วยโอกาสทางการศึกษา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ทำไมคุณภาพการศึกษาไทยยังไปไม่ถึงไหน? : ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ชวนหาคำตอบด้วยแนวคิดเศรษฐศาสตร์การศึกษา

    เรื่อง ศากุน บางกระ

  • Education trend
    New normal การศึกษา คือการให้ผู้เรียนนำพาการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ในวันที่ลูกถูกทำร้ายทั้งกายใจ หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ
Early childhood
26 May 2021

ในวันที่ลูกถูกทำร้ายทั้งกายใจ หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ

เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • การสอนให้เด็กคนหนึ่งรู้จักปกป้องตัวเองเป็น กล้าที่จะลุกขึ้นมาปกป้องร่างกายของเขานั้น เขาต้องรู้ก่อนว่า “นี่คือร่างกายของฉัน” เมื่อเขารู้ว่าตัวเองเป็นเจ้าของและมีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว ต่อจากนั้นผู้ปกครองถึงสามารถสอนวิธีรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่อันตรายต่อตัวเขา
  • แต่บางครั้งเด็กๆ อาจไม่สามารถบอกผู้ปกครองได้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเขา ผู้ปกครองสามารถเช็กได้ด้วยการหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับลูก ไม่ว่าจะเป็นภายนอก เช่น บาดแผลตามร่างกาย การนอนละเมอฝันร้าย ฯลฯ และภายใน เช่น มีอาการไม่อยากไปโรงเรียน เหม่อลอย ซึมเศร้า ฯลฯ พวกนี้ล้วนเป็นสัญญาบ่งบอกว่าอาจมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกเรา
  • ผลกระทบจากเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับลูกอาจคงหลงเหลืออยู่ เป็นบาดแผลในใจ ผู้ปกครองสามารถเยียวยาเขาได้โดยพาไปพบแพทย์ นักจิตวิทยา หรือนักบำบัด

ในวันที่บ้านหรือโรงเรียนอาจจะไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยที่สุด และผู้ใหญ่ใกล้ตัวที่เด็กไว้ใจที่สุด อาจจะเป็นคนที่ทำร้ายเด็กเสียเอง

ช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงกับเด็กมากขึ้น ผู้กระทำและสถานที่ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองบางคนอาจเคยคิดว่า ถ้าลูกเราไปอยู่จะต้องปลอดภัยแน่นอน เช่น โรงเรียน เนอร์เซอร์รี่ หรือแม้แต่ในบ้านเอง ณ วันนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว 

ฉะนั้น หากสภาพแวดล้อม ณ ปัจจุบันไม่ได้เอื้ออำนวยให้ลูกเราเติบโตได้โดยไร้ซึ่งบาดแผล การสังเกตและเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้จึงสำคัญ

บทความนี้จะมาแนะนำว่า หากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นกับเด็กเล็ก ผู้ปกครองหรือผู้ที่เลี้ยงดูเด็กเล็กควรรับมืออย่างไร

ถ้าลูกถูกทำร้ายทางกายใจ พ่อแม่อย่างเราจะรับมืออย่างไรดี?

ขั้นตอนการรับมือแบ่งออกเป็น 5 ช่วง ดังนี้

ช่วงที่ 1 สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในลูก

ช่วงแรกจะเป็นช่วงที่พ่อแม่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก แต่เรารับรู้แล้วว่า มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกของเรา

ข้อแนะนำในการสังเกตเด็กที่ถูกทำร้าย

  1. เด็กบางคนมีรอยฟกช้ำตามลำตัวที่ไม่น่าจะเกิดจากการวิ่งเล่นทั่วไป เช่น จุดที่อยู่ใต้ร่มผ้า เพราะคนทำอาจจะไม่ต้องการให้ผู้ปกครองเห็นรอยบนตัวเด็ก ผู้ปกครองเด็กเล็กควรให้การดูแลเด็กใกล้ชิด ถ้าเราได้อาบน้ำให้เขาหรือดูเขาอาบน้ำ เราจะมองเห็นรอยเหล่านั้น
  2. เด็กบางคนละเมอนอนฝันร้าย แม้จะไม่มีบาดแผลทางกายให้เห็น แต่บาดแผลทางใจจะชัดเจน เพราะจิตใต้สำนึกไม่อาจปกปิดได้ยามที่เขาหลับ ดังนั้น หากลูกเรานอนหลับฝันร้ายบ่อยกว่าปกติ มีความถี่ติดๆ กันหลายคืน เมื่อปลุกให้ตื่นอาจจะร้องไห้หนัก เราควรจะเริ่มเอะใจว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับลูก”
  3. เด็กบางคนมีพฤติกรรมถดถอย เช่น ปัสสาวะราด กัดเล็บอมนิ้ว ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ พูดติดๆ ขัดๆ หรือ พูดติดอ่าง
  4. เด็กบางคนมีความวิตกกังวลและความเครียดในระดับที่ส่งผลต่อร่างกาย เช่น เมื่อต้องไปโรงเรียน เด็กบางคนมีอาการปวดท้องจนท้องเสียหรืออาเจียน เด็กบางคนอาจจะแสดงออกด้วยการร้องไห้กรีดร้องรุนแรงและเกาะตัวพ่อแม่ไม่อยากเข้ารั่วโรงเรียน
  5. เด็กบางคนมีอาการเหม่อลอย ไม่ร่าเริง ดวงตาไม่สดใส เด็กบางคนอาจจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวหงุดหงิดง่าย และแสดงออกด้วยการทำพฤติกรรมที่รุนแรง
  6. เด็กบางคนที่ถูกล่วงละเมิดทางร่างกายอาจจะหมกมุ่นอยู่กับการทำอะไรบางอย่าง เช่น การจับ – เล่นอวัยวะเพศบ่อยกว่าปกติ การเล่นของเล่นที่เป็นลักษณะการเลียนแบบพฤติกรรมของคนที่ทำร้ายเขา เช่น ตี บิด ต่อย และอื่นๆ
  7. เด็กบางคนอาจจะบอกเรา “ไม่อยากไปโรงเรียน” “กลัวครูคนนั้น” “ไม่อยากเรียนวิชานี้” หรือ มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงสถานที่ บุคคล หรือ สิ่งของบางอย่างชัดเจน

จากข้อสังเกตทั้ง 7 ข้อนี้ สามารถนำไปสู่ข้อสงสัยว่า “ลูกของเรากำลังถูกทำร้าย และล่วงละเมิดสิทธิอยู่” ให้พ่อแม่และผู้ใหญ่ดูแลใกล้ชิด

ช่วงที่ 2 เมื่อลูกของเราถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

ช่วงนี้จะแบ่งเด็กที่ถูกทำร้ายเป็น 2 กรณี คือ…

กรณีที่ 1 ลูกเราไม่ได้โดนกระทำ แต่เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่เพื่อนถูกกระทำ

ในกรณีนี้เด็กที่เห็นเหตุการณ์ แม้จะไม่ร่างกายไม่ได้บาดเจ็บ แต่ใช่ว่าจิตใจของเราจะไม่ได้เกิดบาดแผลไปด้วย เด็กทุกคนมีจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิด ดังนั้น ถ้าลูกเราอยู่ในเหตุการณ์ เขาก็ควรได้รับการเยียวยาจิตใจด้วยเช่นกัน

กรณีที่ 2 ลูกเราถูกกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายทางวาจา จิตใจ และร่างกาย

การทำร้ายทางวาจา เช่น การพูดประชดประชัน เสียดสี การขู่ การด่า เช่น ‘เธอนี่มันโง่เกินเยียวยา’ ‘ไอ้เด็กเปรต’ ‘เด็กปัญญาอ่อน’ และอื่นๆ

การทำร้ายร่างกาย เช่น ตี ฟาด ตบ จิก หยิก ต่อย ทุบ บิด ขว้างของใส่

การทำร้ายจิตใจ เช่น ขว้างของของเด็กลงกับพื้น ไม่พูดกับเด็ก ทำหน้ารังเกียจใส่เด็ก

และการล่วงละเมิดสิทธิเด็ก ไม่ให้เด็กไปห้องน้ำ กินข้าวตามเวลา หรือที่ร้ายแรงที่สุด คือ การล่วงละเมิดทางเพศ

ทั้งหมดทั้งมวลสามารถทำให้เด็กเกิดบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจ

สิ่งที่พ่อแม่สามารถทำได้เพื่อเยียวยาจิตใจลูกในเบื้องต้น

  1. พาลูกออกมาจากเหตุการณ์ สถานที่ หรือจากบุคคลที่ทำร้ายเขา พาลูกกลับบ้านที่เขารู้สึกปลอดภัย อยู่ในอ้อมอกของเราที่เขาไว้ใจ
  2. อย่าเพิ่งรีบซักไซ้ถามเพื่อให้ได้คำตอบจากลูก ให้เราปลอบเขาก่อน ใช้สัมผัสรัก เช่น กอดปลอบประโลม ลูบหัวหรือหลังเบาๆ มองตาเขา และพูดให้เขามั่นใจว่า “พ่อ/แม่ อยู่ตรงนี้กับลูก ลูกไม่ต้องกลัว มีอะไรที่ลูกอยากให้ช่วยพ่อ/แม่จะทำเต็มที่” เพื่อให้ลูกมั่นใจว่า พ่อแม่ของเขาพร้อมที่จะเคียงข้างและปกป้องเขา
  3. รับฟัง และไม่ใช้อารมณ์ เวลาเราฟังเรื่องราวจากปากลูก เราอาจจะรู้สึกโกรธคนที่ทำร้ายลูกเราจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ อย่าลืมว่าลูกคือคนที่อยู่ตรงนั้นกับเราไม่ใช่คนที่ทำร้ายลูก เวลาเราโกรธ และแสดงอารมณ์นั้นออกมาชัดเจน ลูกอาจจะกลัวว่า “เรากำลังโกรธเขา และไม่พอใจเขาอยู่” ดังนั้น รับฟังด้วยความสงบ ข่มใจไว้ก่อน ให้ลูกเล่าให้จบ จากนั้นให้พูดกับเขาว่า “ขอบคุณนะที่ลูกเล่าให้พ่อ/แม่ฟัง จากนี้พ่อ/แม่จะปกป้องลูกเอง ลูกไม่ต้องกลัวนะ”
  4. อารมณ์โกรธที่อยากทำร้ายคนที่กระทำลูกของเรา ให้เราหาที่ระบายอย่างเหมาะสม อย่าระเบิดอารมณ์ต่อหน้าลูก เพราะเขาจะกลัวว่า “เขาทำอะไรผิด” หรือ “เขาทำเราโกรธ” ครั้งหน้าลูกจะไม่กล้าเล่าให้เราฟังอีกแนะนำให้พูดคุยกันระหว่างสามี-ภรรยา หรือ กับคนที่เราไว้ใจ เพื่อระบายความอัดอั้น และหาทางออกอย่างเหมาะสมต่อไป
  5. หากลูกไม่พร้อมบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเรา เพราะบางครั้งลูกอาจจะถูกขู่จากคนทำร้ายว่า “ถ้าบอกใคร เขาจะถูกทำร้ายหนักกว่าเดิม หรือ คนที่เขารักจะถูกทำร้าย” การไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เป็นสิ่งที่ควรทำ ยิ่งเด็กเล็กๆ เขาอาจจะไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ผ่านการพูดบอกเล่าเหตุการณ์ แต่การไปพบนักบำบัดที่ใช้วิธีเฉพาะทาง เช่น การเล่นบำบัด ศิลปะบำบัด เด็กอาจจะมีเครื่องมือในการสื่อสารที่ง่ายขึ้น และรู้สึกสบายใจที่บอกเล่ากับคนกลาง แทนที่จะเป็นคนที่เขารัก เพราะเขากลัวคำขู่นั้น

ช่วงที่ 3 “เผชิญหน้าปัญหา”

เมื่อรู้ว่าลูกถูกทำร้ายโดยใคร พ่อแม่มีหน้าที่เผชิญหน้ากับปัญหานั้น

“พ่อแม่ต้องทำหน้าที่ปกป้องลูก อย่าให้ความเกรงใจเป็นอุปสรรคในการพูดคุยปัญหากับผู้ที่ทำร้ายลูกเรา”

  1. รวบรวมข้อมูลและหลักฐานเพื่อเข้าไปพูดคุยกับทางโรงเรียนโดยตรง ทั้งนี้แนะนำว่า ควรมีคนไปกับเราด้วย ถ้าไม่มีให้เราตั้งสติให้ดีก่อนจะไปเผชิญหน้ากับคู่กรณีของเรา
  2. พูดอย่างสุภาพแต่ชัดเจนตรงไปตรงมา อย่าเพิ่งใส่อารมณ์
  3. เมื่อไกล่เกลี่ยปัญหาจบแล้ว และอีกฝ่ายอาจจะสำนึกผิดและขอโอกาสเริ่มต้นใหม่ แต่สำหรับเด็กแล้ว บาดแผลที่เกิดขึ้นภายในใจอาจจะไม่ได้หายดีในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เขาอาจจะไม่พร้อมกลับไปเรียนที่เดิม หรือ เจอคนที่ทำร้ายเขาอีก
*ทางโรงเรียนไม่ควรให้ครูท่านนั้นกลับมาสอนเด็กคนนี้หรือคนไหน จนกว่าจะได้รับการประเมินสุขภาพจิตโดยจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ และการอบรมระยะยาว แต่ถ้าเป็นการทำผิดที่ร้ายแรง ก็ไม่ควรได้ทำวิชาชีพนี้ต่อ
  1. ในเด็กเล็กที่ถูกทำร้าย การย้ายโรงเรียน หรือการเรียนที่บ้านสักพัก อาจจะเป็นคำตอบที่ดี แต่ในเด็กที่โตแล้ว เขาอาจจะมีเพื่อนที่เขาสนิทด้วย การตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อ ควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการตัดสินใจจะดีที่สุด

ช่วงที่ 4 “การบำบัดเยียวยาจิตใจ”

แม้เหตุการณ์จะจบลงแล้ว แต่บาดแผลยังคงอยู่ พ่อแม่ควรให้เวลาลูกในการเยียวยาจิตใจของเขา การไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเด็ก เป็นคำตอบที่ดี เพราะในระยะยาว บาดแผลที่ไม่ได้รับการดูแลจะกลายเป็นแผลเรื้อรัง ส่งผลต่อชีวิตในอนาคตของเด็กคนหนึ่งได้เลย

สิ่งที่พ่อแม่สามารถทำได้

  1. ให้ความรักอย่างปราศจากเงื่อนไข ยอมรับลูกในสิ่งที่เขาเป็น เพราะในเวลานี้ลูกต้องการความรักและการยอมรับมากกว่าสิ่งไหน เพื่อยืนยันว่า “ตัวเขานั้นยังมีคุณค่าอยู่ไม่แปรเปลี่ยน”
  2. ให้อภัยตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องลูกได้ทัน เด็กบางคนอาจจะถูกละเมิดหรือทำร้ายร่างกายมา พ่อแม่อาจจะมีความรู้สึกผิดทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก ลูกอาจจะรู้สึกแย่และโทษตัวเองที่ทำให้พ่อแม่ของเขาเป็นเช่นนั้น ดังนั้น ก่อนจะช่วยเหลือลูก ให้อภัยตัวเองก่อน ปล่อยวางอดีตเพื่อเดินหน้าต่อ
  3. พาลูกไปรับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ บางครั้งบาดแผลที่มองไม่เห็นต้องการผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยดูแลเยียวยาเป็นพิเศษ 

อธิบายให้ลูกเขาใจว่า “พ่อแม่รักลูกและอยากช่วยลูก แต่บางอย่างพ่อแม่ทำไม่ได้ ต้องให้คุณหมอช่วย เหมือนเวลาที่ลูกป่วย บางครั้งเราก็ต้องไปโรงพยาบาลให้คุณหมอช่วยรักษา ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เราไปหาคุณหมอเพื่อให้คุณหมอช่วยในส่วนที่พ่อแม่ทำไม่ได้”

  1. อยู่เคียงข้างตลอดทางการบำบัดเยียวยาจิตใจ
  2. ไม่กลัวที่จะเริ่มต้นใหม่ และออกไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม

ข้อควรระวัง “ทุกขั้นตอนต้องใช้เวลา บางคนใช้เวลามาก บางคนใช้เวลาน้อย อย่าเร่งรีบ และอย่ารีบข้ามขั้น ค่อยๆ ก้าวช้าๆ ให้บาดแผลได้เยียวยา และหายดี”

“แม้บาดแผลจะหายดี แต่ไม่ได้หายไปไหน ให้เราช่วยประคองลูกให้เขาเรียนรู้ที่จะยอมรับและอยู่กับบาดแผลนี้อย่างมีคุณค่า และเติบโตเป็นตัวเองที่มีความสุข แข็งแรงทั้งกายใจ”

ช่วงที่ 5 “เรียนรู้เป็นบทเรียน ป้องกันก่อนเกิดในอนาคต”

เด็กทุกคนไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เขาควรจะรู้ว่า “ร่างกายเป็นของเขา” ไม่มีใครมีสิทธิ์มาทำร้ายหรือล่วงละเมิดเขาได้

สิ่งที่พ่อแม่สามารถสอนเพื่อช่วยให้เขาปกป้องร่างกายตัวเอง

  1. ในวัยที่เขาปกป้องตัวเองไม่ได้ พ่อแม่ปกป้องดูแลร่างกายของเขา ไม่ให้ใครมาละเมิดหรือทำร้ายเขา เด็กจะค่อยๆ พัฒนาการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และความสำคัญของตัวเขาที่เกิดมา
  2. เมื่อเด็กเติบโตพอจะช่วยเหลือตัวเอง พ่อแม่สอนเขาให้ช่วยเหลือตัวเองตามวัย เพื่อที่เขาจะสามารถดูแลและพึ่งพาตัวเองได้
  3. พ่อแม่สอนเขาว่า “ไม่มีใครควรมาจับส่วนต้องห้ามบนร่างกายของเขา แม้แต่คนในครอบครับ ส่วนต้องห้าม 5 ส่วน ได้แก่ อวัยวะเพศ ก้น หน้าอก ปาก ต้นขา” เพราะการสัมผัสส่วนต่างๆ เหล่านี้จะนำไปสู่อันตรายได้
  4. ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ให้ลูกบอกพ่อแม่ได้เสมอ พ่อแม่พร้อมจะรับฟัง และช่วยเหลือลูก
  5. อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว และถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินให้รีบวิ่งหนี หรือถ้ากำลังจะโดนจับตัวหรือทำร้าย ให้ตะโกนสุดเสียงว่า “ช่วยด้วย” และกรี๊ดให้ดังที่สุด

แม้เราจะย้อนกลับไปแก้ไขอดีตที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ หรือเราไม่สามารถปกป้องลูกได้ตลอดเวลา แต่ความรักและคุณค่าท่ีเรามอบให้ลูกจะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต

“รับฟังเรื่องเล็กๆ ของลูกในวันนี้ เพื่อวันหน้าเราจะได้รับฟังเรื่องใหญ่ๆ ของเขา”

“สอนเขาช่วยเหลือตัวเองในวันนี้ เพื่อวันหน้าเขาจะยืนหยัดเพื่อตัวเองได้”

“รักลูกวันนี้ให้มากพอ เพื่อวันหน้าเขาจะได้รักตัวเองเป็น”

หากเห็นเด็กโดนทำร้ายหรืออยู่ในอันตราย ผู้ใหญ่ในสังคมไม่ควรนิ่งเฉยและเพิกเฉยกับเหตุการณ์ตรงหน้า เพราะ “การนิ่งเฉย” เท่ากับว่า “เรายอมให้เกิดการทำร้าย” แม้จะไม่ใช่ลูกหลานเรา แต่เด็กทุกคนควรได้รับการปกป้องดูแลจากผู้ใหญ่ทุกคนในสังคม

นอกจากการทำร้ายทางร่างกายและจิตใจแล้ว ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กๆ ได้ คือ การล่วงละเมิดทางเพศ 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมีข่าวน่าเศร้าเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศในเด็กมากขึ้น จนทำให้พ่อแม่ต้องหันกลับมาดูแลและระวังเด็กๆ ของเรา ไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไป แม้เราจะอยากปกป้องลูกไว้ตลอดเวลา แต่ในความจริงเราไม่สามารถตามติดเขาไปทุกที่ได้

ถ้าลูกของเราถูกล่วงละเมิดทางเพศ พ่อแม่อย่างเราควรรับมืออย่างไรดี?

สิ่งที่สามารถช่วยลูกได้ คือ การสอนเขาให้ดูแลร่างกายของเขาให้ดี ซึ่งการที่เด็กคนหนึ่งจะลุกขึ้นปกป้องร่างกายของเขานั้น เขาต้องรู้ว่า “นี่คือร่างกายของฉัน” และเขาเป็นเจ้าของร่างกายของตนเองเสียก่อน

ข้อที่ 1 ให้ความรักและสายสัมพันธ์เพื่อสร้างตัวตนที่มีคุณค่าให้กับลูก

เด็กที่ได้รับความรักอย่างเหมาะสมและเพียงพอ เขาจะรักตัวเองเป็น พ่อแม่ที่มีเวลาคุณภาพให้ลูก สอนเขาด้วยความรักและเมตตา เด็กจะรับรู้ว่า ตัวเขานั้นมีคุณค่าและสำคัญกับพ่อแม่เพียงใด ถ้าเกิดเหตุอะไร เขาจะกล้ามาเล่าให้เราฟัง เพราะเขาเชื่อใจเรามากที่สุดในโลก

ข้อที่ 2 ให้การปกป้องลูกในวันที่เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่าเกรงใจคนรอบข้าง

เด็กจะเกิดความรักและหวงแหนร่างกายของเขาได้ ก็ต่อเมื่อในวัยเยาว์ของเขาได้รับการปกป้องจากพ่อแม่ของเขา

หากมีใครอยากมากอด มาอุ้ม มาหอม ลูกของเราในวัยแรกเกิดถึงวัยเตาะแตะ (0 – 3 ปี) พ่อแม่ไม่ควรเกรงใจ และบอกปฏิเสธชัดเจนว่า “ขอโทษนะคะ/ครับ ขอให้เล่นกับลูกโดยไม่สัมผัสตัวเขานะคะ/ครับ เพราะน้องยังเล็ก ไม่มีภูมิคุ้มกันเท่าเราผู้ใหญ่” ถ้าอีกฝ่ายไม่เข้าใจ ขอให้พ่อแม่ปล่อยวาง และยืนหยัดต่อไป

นอกจากนี้หากมีใครอยากมาเล่น มาหยอกล้อ มากอด มาอุ้ม มาสัมผัสตัวเด็ก โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกยินยอม พ่อแม่ควรเขาไปพาลูกออกมาจากผู้ใหญ่คนดังกล่าว ไม่ควรเกรงใจแล้วปล่อยให้เขาสัมผัสลูกของเรา แม้จะเป็นการหยอกล้อก็ตาม ไม่มีคำว่า “หวงลูก” “เล่นตัว” หรือ “หย่ิง” เกินไปในกรณีนี้ เพราะสำหรับเด็กไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไหร่ จะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง การที่เขาไม่ยินยอม เขาควรได้รับการปกป้องจากเรา

“ร่างกายนี้เป็นของลูก ลูกมีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ให้ใครมาสัมผัสได้เสมอ”

ข้อที่ 3 สอนลูกให้ช่วยเหลือตัวเองตามวัย

เด็กที่ช่วยเหลือตัวเองตามวัยเป็น เขาจะรับรู้ได้ว่า “ตนเองนั้นมีความสามารถ” และ “ตนเองสามารถพึ่งพาตนเองได้” นอกจากความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้น คือ การรับรู้ว่าตนเองนั้นสามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร เขาจะช่วยเหลือตัวเองได้ ในเวลาที่ไม่มีใครช่วยเหลือเขา

ในทางกลับกันถ้าหากเราช่วยเหลือเด็กทุกสิ่งทุกอย่าง และไม่ยอมให้เด็กทำอะไรด้วยตัวเองเลย เด็กจะรู้สึกไม่มั่นใจ เพราะเขาต้องพึ่งพาผู้อื่นในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นถ้าจะให้เขาช่วยเหลือตัวเองในยามคับขัน คงเป็นไปแทบไม่ได้เลย

ข้อที่ 4 “สอนลูกว่า บริเวณใดในร่างกายที่ไม่ควรให้ใครมาสัมผัส”

สอนลูกให้รู้จักร่างกายของตัวเอง และสอนเขาให้ปกป้องร่างกายของเขาจากการสัมผัสจากผู้อื่น

แม้จะเป็นผู้ใหญ่ในบ้าน ก็ไม่ควรสัมผัสเด็กบริเวณเหล่านี้

จุดต้องห้าม 4 จุด ได้แก่

  1. ริมฝีปาก
  2. หน้าอก
  3. อวัยวะเพศและบริเวณระหว่างขา
  4. ก้น

เหตุผล คือ “จุดเหล่านี้เป็นจุดที่ไวต่อการสัมผัสและละเอียดอ่อน ถ้าคนอื่นมาสัมผัสแล้ว เขาอาจจะเกิดความรู้สึกอยากทำอะไรมากกว่าแค่สัมผัส ซึ่งเขาอาจจะทำร้ายหนูได้”

สิ่งสำคัญ คือ ผู้ใหญ่ไม่ควรหยอกล้อเด็กๆ โดยการสัมผัสร่างกายของเขาในบริเวณเหล่านี้

ข้อที่ 5 “สอนลูกเอาตัวรอด”

ป้องกันก่อนเกิดเหตุ

  1. ห้ามคุยหรือไปไหนกับคนแปลกหน้า
  2. ห้ามไปในสถานที่ที่ลับตาคนหรืออยู่ในสถานที่ใดที่เป็นห้องปิดกับผู้ใหญ่หรือใครแบบสองต่อสอง เช่น ในห้องน้ำ ห้องนอน ตรอก ซอก ซอย เป็นต้น
  3. ห้ามกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ได้จากคนแปลกหน้า
  4. สอนลูกให้จดจำเบอร์โทรศัพท์และชื่อจริงของพ่อแม่เสมอ
  5. เราไม่ควรทิ้งลูกไว้กับผู้ใหญ่ในบ้านตามลำพัง

ในยามคับขัน ถ้าเผชิญสถานการณ์ที่มีคนจะมาทำร้ายเรา

  1. ตะโกนหรือกรี๊ดดังๆ ให้คนมาช่วย
  2. วิ่งหนีให้เร็วที่สุด วิ่งไปยังที่ๆ คนอยู่มากๆ หรือ ถ้าต้องซ่อนก็ต้องตั้งสติซ่อนตัวให้เงียบที่สุด
  3. บอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ผู้ใหญ่ที่เราเชื่อใจฟัง

ข้อที่ 6 “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูก ลูกเป็นสิ่งล้ำค่าของพ่อแม่เสมอ” [ในกรณีฉุกเฉิน]

ข้อนี้คงเป็นข้อที่ไม่มีใครอยากต้องรับมือหรืออยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นจริงๆ แม้เราจะป้องกันดีที่สุดแล้ว ขอให้ผู้ใหญ่ตั้งสติแล้วปลอบขวัญเขาให้ดีที่สุด บาดแผลที่เกิดขึ้นไม่มีวันหายไปจากใจ แต่ความรักจากพ่อแม่และคุณค่าในตัวจะทำให้เด็กก้าวข้ามสิ่งที่เข้าเผชิญมาได้

ข้อแนะนำที่พ่อแม่ควรทำในกรณีนี้

  1. อย่าผิดหวังในตัวเขา อย่าหมดความรักให้กับลูก
  2. ขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์และนักจิตวิทยา เพราะบาดแผลทางใจ ต้องใช้การเยียวยาระยะยาว
  3. อยู่เคียงข้างลูก จนกว่าเขาจะกลับมายืนหยัดได้อีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนั้นก็อย่าหมดหวังในตัวเขา

สุดท้าย แม้เราจะไม่สามารถปกป้องลูกได้ตลอดเวลา

แต่ความรักและคุณค่าที่เรามอบให้ลูกจะติดตัวเขาไปตลอดชีวิต

“ปกป้องลูกในวันที่เขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ และรักลูกวันนี้ให้มากพอ เพื่อวันข้างหน้าเขาจะได้รักและปกป้องตัวเองเป็น”

Tags:


Author:

illustrator

เมริษา ยอดมณฑป

นักจิตวิทยาเจ้าของเพจ ‘ตามใจนักจิตวิทยา’ เพจที่อยากให้ทุกคนเข้าถึง ‘นักจิตวิทยา’ ได้มากขึ้นในฐานะเพื่อนแปลกหน้าผู้เคียงข้าง ปัจจุบันเป็นนักจิตวิทยาที่ห้องเรียนครอบครัว เป็น "ครูเม" ของเด็กๆ และคุณพ่อคุณแม่ ความฝันต่อไปคือการเป็นนักเล่นบำบัด วิทยากร นักเขียน และการเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • How to get along with teenager
    การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.5 ‘ตัวตนภายในที่แข็งแรง ภายนอกจึงไม่เปราะบาง’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.4 ‘ความวิตกกังวลสูงในเด็ก’ อาจเริ่มต้นจากความกังวลของพ่อแม่

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

Global Citizenship Education: เราจะสอนให้นักเรียนเป็นพลเมืองโลกได้อย่างไร
Education trend
25 May 2021

Global Citizenship Education: เราจะสอนให้นักเรียนเป็นพลเมืองโลกได้อย่างไร

เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • ในห้วงเวลานี้ผู้คนบนโลกกำลังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำ การกดขี่ และความไม่เป็นธรรมในหลากหลายพื้นที่ การศึกษาจึงควรส่งเสริมให้ผู้เรียนมองสังคมที่ไปไกลกว่าแค่พรมแดนรัฐชาติ 
  • แนวคิดการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองโลก หรือ Global Citizenship Education (GCE) การส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าไปเรียนรู้ มีส่วนร่วม และเชื่อมโยงตัวเองกับประเด็นโลกในมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา
  • การศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองโลก เป็นเรื่องที่สามารถเรียนรู้ได้ในทุกวิชา โดยวางอยู่บนกรอบสำคัญที่ประกอบด้วย 1) ด้านความรู้และความเข้าใจ 2) ทักษะ และ 3) คุณค่าและทัศนคติ
  • บทบาทครูผู้สอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้เหตุผล การแสดงความเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นที่ในบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย และสนับสนุนให้พวกเขาได้พัฒนาทักษะทางดิจิทอล (Digital skill) และการรู้เท่าทันสื่อ (Media literacy) ที่สำคัญต้องนำเอาประเด็นที่เกิดขึ้นจริงในโลกหรือในชีวิตของนักเรียนมาออกแบบบทเรียนด้วย  

เราอยากเห็นโลกนี้เป็นอย่างไร?

คำถามจากชั้นเรียนในช่วงวัยเด็กที่ชวนให้ผมจินตนาการหาคำตอบ ผมจำไม่ได้ว่าคำตอบของผมเป็นอย่างไรในตอนนั้น แต่ทว่าคำถามนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้เริ่มหันมามองผู้คนที่ไกลกว่าสังคมที่ตัวเองอาศัยอยู่ นั่นก็คือสังคมโลก  

ในปัจจุบันเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกศตวรรษที่ 21ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายและปัญหาที่ซับซ้อนบนร่องรอยในยุคสมัยก่อนหน้า เราอาจเคยเห็นภาพข่าวผู้ลี้ภัยจำนวนมากต้องหนีตายจากสงครามในบ้านเกิด การปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐต่อผู้เห็นต่างทางการเมืองในหลายประเทศ การลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวของคนจำนวนมากทั่วโลกเพื่อเรียกร้องให้รัฐสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม การรณรงค์เรียกร้องเพื่อยุติเหยียดเชื้อชาติและสีผิว หรือแม้กระทั่งการมาของเชื้อไวรัสโควิด -19 ที่ยิ่งตอกย้ำว่าความเหลื่อมล้ำของผู้คนในพื้นที่ต่างๆ ไม่ได้หายไปในโลกสมัยใหม่  

หากเรามองสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้คนจากเส้นแบ่งพรมแดน เราก็อาจรู้สึกว่าเหตุการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเรื่องของผู้คนในสังคมอื่น เราอาจเป็นเพียงผู้เฝ้ามองหรือคนที่ผ่านมารับรู้และผ่านไป แต่ในทางกลับกัน หากเราลองลบเส้นแบ่งพรมแดนเหล่านั้นออก หรือมองเห็นผู้คนในฐานะ ‘เพื่อนมนุษย์’ นั่นก็อาจทำให้สังคมในสายตาของเราขยายกว้างขึ้น มันเป็นสังคมโลก มีผู้คนที่หลากหลายอยู่ร่วมกับเรา สำหรับผมแล้วมุมมองแบบนี้คือสำนึกการเป็นพลเมืองโลก และช่วยให้เรามีคำถาม ความคิด และความรู้สึกที่เชื่อมโยงถึงกัน 

หากวันใดวันหนึ่ง เพื่อนมนุษย์จากอีกซีกโลกหนึ่งต้องหนีตายจากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือเราได้ยินข่าวผู้คนในบางประเทศถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ย่อมต้องมีคำถามว่าตัวเราจะเข้าไปมีส่วนรวมต่อเรื่องเหล่านี้อย่างไรได้บ้าง 

ดังนั้น หากเรามองโลกด้วยมุมมองแบบที่สอง คำถามต่อมาที่จะเกิดขึ้นก็คือ การศึกษาควรรับมือกับความท้าทายในการสร้างมนุษย์เพื่อเป็นพลเมืองโลกอย่างไร

การศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองโลก

ที่ผ่านมาแนวคิดการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองโลก หรือ Global Citizenship Education (GCE) ได้ถูกพูดถึงในระดับนานาชาติมาโดยตลอด โดยมี UNESCO เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน แนวคิด GCE คือการส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าไปเรียนรู้ มีส่วนร่วม และเชื่อมโยงตัวเองกับประเด็นโลกในมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา กล่าวได้ว่าในด้านหนึ่ง GCE เป็นการสร้างสำนึกการเป็นพลเมืองโลกผ่านความรู้ความเข้าใจ และอีกด้านหนึ่งคือส่งเสริมให้เขามีส่วนรวมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับโลก โดยตระหนักเสมอว่าเราล้วนมีพันธะในการสร้างโลกและอนาคตที่ดีกว่าเดิม   

Henry Giroux นักการศึกษาชาวอเมริกัน ได้ให้มุมองที่น่าสนใจว่า

ในห้วงเวลานี้ผู้คนบนโลกกำลังเผชิญกับความเหลื่อมล้ำ การกดขี่ และความไม่เป็นธรรมในหลากหลายพื้นที่ การศึกษาจึงควรส่งเสริมให้ผู้เรียนมองสังคมที่ไปไกลกว่าแค่พรมแดนรัฐชาติ 

พร้อมกันนี้ต้องสร้างให้ผู้เรียนมีความกล้าหาญในการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองบนหลักการประชาธิปไตย ซึ่งไม่ได้หยุดอยู่เพียงปัญหาในชาติตัวเองเท่านั้น โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนได้คิด มองเห็น และตระหนักถึงเรื่องราวที่ไม่ธรรมในชีวิตประจำวันเชื่อมโยงกับประเด็นโลก อาจกล่าวได้ว่า GCE ได้มุ่งสร้างพลเมืองที่เป็นมากกว่าการรู้และปฎิบัติตามกฎหมาย เพราะบางครั้งสิ่งเหล่านี้เองก็อาจทำให้เกิดการแบ่งแยกกีดกัด ความไม่ยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำ ดังนั้น การสร้างพลเมืองโลกจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องส่งเสริมให้นักเรียนกล้าคิด กล้าตั้งคำถาม และท้าทายกับระเบียบ กฎหมาย และโครงสร้างของสังคมที่เขามองเห็นว่าไม่เป็นธรรม ทั้งในระดับท้องถิ่นจนไปถึงระดับสังคมโลก  

เราจะสอนให้นักเรียนเป็นพลเมืองโลกได้อย่างไร

หากเป้าหมาย คือ การทำให้นักเรียนได้ตระหนักถึงการเป็นพลเมืองและเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง Oxfam องค์กรที่ทำงานด้านพลเมืองโลก ได้เสนอว่า การศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองโลก เป็นเรื่องที่สามารถเรียนรู้ได้ในทุกวิชา โดยวางอยู่บนกรอบสำคัญที่ประกอบด้วย 1) ด้านความรู้และความเข้าใจ 2) ทักษะ และ 3) คุณค่าและทัศนคติ ดังต่อไปนี้

ความรู้และความเข้าใจ(Knowledge and understanding) ทักษะ(Skills) คุณค่าและทัศนคติ(Values and attitudes)
ความยุติธรรมทางสังคมและความเสมอภาค Social justice and equityการคิดเชิงวิพากษ์และสร้างสรรค์Critical and creative thinkingความรู้สึกของตัวตนและความนับถือตนเองSense of identity and self – esteem
อัตลักษณ์และความหลากหลายIdentity and diversityความเข้าอกเข้าใจEmpathyความมุ่งต่อความยุติธรรมทางสังคมและความเสมอภาคCommitment to social justice and equity
โลกภิวัฒน์และการพึ่งพาอาศัยกันGlobalization and interdependenceการตระหนักรู้ในตนเองและการสะท้อนSelf – awareness and reflectionเคารพผู้คนและสิทธิมนุษยชนRespect for people and human rights
การพัฒนาที่ยั่งยืนSustainable developmentการสื่อสารCommunicationความหลากหลายของคุณค่าvalue diversity
สันติภาพและความขัดแย้งPeace and conflictความร่วมมือและการแก้ไขความขัดแย้งcooperation and conflict resolutionการใส่ใจสิ่งแวดล้อมและการมุ่งมันสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนConcern for environment and commitment to sustainable development
สิทธิมนุษยชนHuman rightsความสามารถที่จะจัดการความซับซ้อนและความไม่แน่นอนability to manage complexity and uncertaintyการเข้าไปเป็นมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งcommitment to participation and inclusion
อำนาจและการปกครองPower and governanceการกระทำที่อยู่บนข้อมูลและการไตร่ตรองinformed and reflective actionความเชื่อว่าผู้คนสามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงได้Belief that people can bring about change

ทั้งนี้ การเรียนรู้ทั้ง 3 ด้านจะเกิดขึ้นได้ บทบาทครูผู้สอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้เหตุผล การแสดงความเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นที่ในบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย และสนับสนุนให้พวกเขาได้พัฒนาทักษะทางดิจิทอล (Digital skill) และการรู้เท่าทันสื่อ (Media literacy) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ ที่สำคัญต้องนำเอาประเด็นที่เกิดขึ้นจริงในโลกหรือในชีวิตของนักเรียนมาออกแบบบทเรียนด้วย ครูผู้สอนอาจใช้วิธีการแบบโสเครตีส (Socratic method) การเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน (Problem based Learning) หรือการเรียนรู้ผ่านปรากฏการณ์ (Phenomenon Based Learning) มาเป็นแนวทางหลักในการจัดการเรียนรู้แบบข้ามรายวิชาหรืออยู่ในรายวิชา ตัวอย่างเช่น  

  • วิชาคณิตศาสตร์ : นำตารางอันดับฟุตบอล (FIFA  ranking) หรือตารางเหรียญแข่งขันโอลิมปิคมาพูดคุยกับนักเรียนว่า ทำไมบางประเทศถึงมีโอกาสชนะมากกว่าประเทศอื่น หรือแท้จริงมันมีความไม่เป็นธรรมซ่อนอยู่
  • วิชาวิทยาศาสตร์  : สำรวจดูภาวะโลกร้อนว่าส่งผลกระทบต่อผู้คนในพื้นที่ต่างๆของโลกอย่างไร รวมไปถึงส่งเสริมให้นักเรียนได้วิเคราะห์สาเหตุ และฝึกใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ คาดการณ์อนาคตเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • วิชาภาษาอังกฤษ  : สำรวจดูว่าภาษาพูดถูกใช้สื่อสารเพื่อท้าทายความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างไร จากนักต่อสู้คนสำคัญของโลก เช่น เนลสัน เมนดาลา เป็นต้น  
  • วิชาสังคมศึกษา : วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการอพยพของผู้คนไปยังพื้นที่ต่างๆ การอพยพเกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม หรือปัญหาในมิติอื่นๆ อย่างไรบ้าง

สุดท้ายนี้ หากเราอยากเห็นโลกที่ยุติธรรม เท่าเทียม และเคารพคุณค่าที่แตกต่างกันของมนุษย์ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองโลก ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เติบโตไปเป็นพลเมืองที่ให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านั้น พร้อมๆ กับลงมือสร้างสังคมโลกที่ดีขึ้นกว่าเดิม ท่ามกลางปัญหาและความท้าทายที่ซับซ้อน

อ้างอิง
หนังสือ โลภาวิวัฒน์ :ความรู้ฉบับพกพา(ฉบับปรับปรุงเนื้อหาใหม่) เขียนโดย Manfred B.Steger และแปลโดย วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง
GLOBAL CITIZENSHIP GUIDES
WHAT IS GLOBAL CITIZENSHIP
Global Citizenship Guides
Global citizenship education 
Critical Citizenship Education Through Geography
Critical Pedagogy and Global Citizenship Education

Tags:

พลเมืองประชาธิปไตยอรรถพล ประภาสโนบลGlobal Citizenship Education

Author:

illustrator

อรรถพล ประภาสโนบล

ครูพล อดีตครูสังคมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ผู้เขียนหนังสือ “ห้องเรียนล้ำเส้น” และบรรณาธิการร่วมหนังสือ “สังคมศึกษาทะลุกะลา” ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาสาขา Education studies ที่ไต้หวัน

Illustrator:

illustrator

อัคคเดช ดลสุข

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Learning Theory
    ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

มารู้จักปรากฏการณ์ “รู้งี้”
How to enjoy life
24 May 2021

มารู้จักปรากฏการณ์ “รู้งี้”

เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความรู้สึกเสียใจและเสียดายว่าทำไมถึงตัดสินใจผิดได้ ทั้งๆ ที่มันน่าจะเห็นชัดๆ อยู่ว่าควรจะทำหรือไม่ทำในตอนนั้น แต่กลับเลือกผิดได้อย่างน่าเขกหัวตัวเองจริงๆ มันคือปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่มีชื่อเล่นน่ารักๆ ว่า “รู้งี้”
  • เมื่อเจอกับผลลัพธ์แล้ว เราก็จะรู้ได้ตอนนั้นว่าเส้นทางที่เลือกมันถูกหรือผิดเพราะอะไร แต่อคติจะทำให้เราลืมไปว่าตัวเองในอดีตตอนที่ตัดสินใจเลือกนั้นไม่รู้ข้อมูลดังกล่าว และพอเอาตัวเราที่ “อัปเดต” ความรู้แล้วมาประเมินตัวเองในอดีต เราเลยมองว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้เรื่อง
  • ถ้าเรามีความรู้ในสมองมากขึ้น อคติที่มาทำงานเพราะเรามีข้อมูลไม่พอก็จะน้อยลงไป

ท่านเคยไหมกับความรู้สึกว่า “รู้แบบนี้ไม่น่าทำเลย…” หรือ “รู้แบบนี้ทำไปตั้งนานแล้ว” หรือความรู้สึกเสียใจและเสียดายว่าทำไมถึงตัดสินใจผิดได้ ทั้งๆ ที่มันน่าจะเห็นชัดๆ อยู่ว่าควรจะทำหรือไม่ทำในตอนนั้น แต่กลับเลือกผิดได้อย่างน่าเขกหัวตัวเองจริงๆ ยิ่งกับในวัยทำงานหรือวัยผู้ใหญ่ ที่ทุกการตัดสินใจในชีวิตนั้นมีค่า เพราะมันอาจจะเกี่ยวกับเงินจำนวนมาก ความก้าวหน้าของการงาน หรือความสุขในชีวิต วันนี้เราจะมีทำความรู้จักกับปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่มีชื่อเล่นน่ารัก ๆ ว่า “รู้งี้” กันครับ

อาจจะฟังแล้วแสบเหมือนเกลือป้ายแผล แต่ท่านที่ขายบิตคอยน์หรือเงินสกุลคริปโตอื่นๆ ไปในช่วงที่ค่ามันตกต่ำ หลายๆ คนอาจคิดในใจว่า “รู้งี้ถ้าเก็บไว้ตอนนี้รวยเป็นล้านแล้ว” หรือท่านที่ “ตกรถ” ซื้อหุ้นที่อนาคตดีไม่ทัน เอาแต่คิดหน้าคิดหลังตัดสินใจจนราคาพุ่งไปถึงไหนต่อไหน จะซื้อตอนนี้ก็แพงเกินไปแถมเสี่ยงจะติดดอยเอา “รู้งี้รีบๆ ซื้อไม่ต้องคิดมากก็ดี” ผมอ่านงานเขียนของนักลงทุนหลายๆ ท่าน และผมมักจะเจอคำขวัญหรือสโลแกนเตือนใจนักลงทุนท่านอื่นๆ ว่า “รู้อะไร ไม่สู้ รู้งี้” เพราะนักลงทุนนั้นนอกจากจะช้ำจากความขาดทุนแล้ว ความเจ็บปวดและเจ็บใจที่ตัดสินใจพลาดแบบไม่น่าพลาดนี่สิ เป็นปัญหาอันสาหัสของประสบการณ์การลงทุนเลยก็ว่าได้

ไม่ใช่แค่นักลงทุนที่เจอปัญหานี้ ตอนนี้เทรนด์การย้ายไปอยู่เมืองนอกกำลังมาแรงเหลือเกิน แต่หลายๆ คนแค่คิดก็หนักใจแล้วเพราะไหนจะต้องเรียนภาษาที่สองที่สาม ซึ่งอายุมากขึ้น การเรียนรู้สิ่งใหม่มันก็ยากขึ้น ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า “รู้งี้ตอนเด็กๆ เรียนภาษาเยอะๆ ดีกว่า” 

หรือที่หนักหนากว่านั้นหลายๆ คนที่ลงหลักปักฐานไปกับธุรกิจการท่องเที่ยว การบิน หรือธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบสาหัสเหลือเกินจากโควิด คงมีความคิดว่า “รู้งี้หาทางหนีทีไล่ไว้บ้างก็ดี” 

ทำไมถึงตัดสินใจไปในทางที่มันน่าจะเห็นชัดๆ ว่าไม่ใช่หนทางที่ดี อย่าง รู้อยู่ว่าเรียนภาษาเยอะๆ เถอะ มันมีประโยชน์แน่ๆ แล้วทำไมตอนนั้นไม่คิดเรียนเพิ่มสักที หรือรู้อยู่ว่าไม่มีงานไหนมั่นคงตลอดกาล ทำไมไม่หาแผนสำรองให้ชีวิต การตัดสินใจพลาดบางครั้งมันได้รับผลกระทบที่ร้ายแรงจริงๆ บางท่านตัดสินใจพลาดครั้งเดียว สิ่งที่สู้ลำบากกัดฟันมานานอย่างเงิน ตำแหน่งการงาน หรือแม้แต่ชีวิตรักกลับหายไปในพริบตา แค่การสูญเสียก็หนักหนามากแล้ว ความรู้สึกแย่ ความรู้สึกผิดมันยังมาคอยทำร้ายจิตใจเราจนไม่อยากจะลุกสู้อีกแล้ว

จริงอยู่ว่ามันมีคำว่า “กฎแห่งกรรม” เราได้รับผลจากสิ่งที่ตนเองทำ แต่การโทษตัวเองในอดีตว่าทำไมถึงทำหรือไม่ทำอะไรไปนั้น อาจจะต้องตั้งสติกันนิดนึงว่า จริงหรือว่าตัวเราในอดีตนั้นตัดสินได้แย่ จริงหรือที่รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังตัดสินใจพลาด ที่ผมถามเพราะมันมีสิ่งที่ทำให้ท่านโทษตนเองจนเกินเหตุ และหนึ่งในสิ่งนั้นคือ “อคติ” ที่มาคอยเป่าหูให้เราว่าเราในอดีตน่ะตัดสินใจพลาดแบบ “โง่ๆ” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เราในอดีตอาจจะไม่ได้ตัดสินใจผิดก็ได้ 

อคติดังกล่าวมีชื่อว่า Hindsight เป็นคำที่ไม่มีชื่อไทย แต่มันมาจากสำนวนว่า “Hindsight is 20/20” ก็คือการมองย้อนกลับไป อะไรๆ มันก็ช่างชัดแจ๋ว (20/20 คือค่าวัดสายตาแบบหนึ่งที่แปลว่าตาดีมาก) Hindsight นั้นเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ ในวันนี้ผมจะเน้นถึงแบบที่ทำให้เราคิดว่าตนเองในอดีตที่ตัดสินใจพลาดนั้น มีข้อมูลว่าทางไหนถูกทางไหนผิดเกินจริง Hindsight แบบนี้ก็คือ “รู้งี้” นั่นแหละครับ

อคติในทางจิตวิทยาหมายถึงความคิดที่ไม่สมเหตุสมผล ซึ่งมันเป็นเหมือนโปรแกรมที่ทำให้สมองเราคิดอะไรได้ไวขึ้น แต่อคติมักไม่ค่อยแม่นยำนัก และคนมักไม่รู้ตัวด้วยว่ามีอคติอยู่ “รู้งี้” ก็เป็นเช่นเดียวกันครับ 

คนเรานั้นเมื่อเจอกับผลลัพธ์แล้ว เราก็จะรู้ได้ตอนนั้นว่าเส้นทางที่เราเลือกนั้นมันถูกหรือผิดเพราะอะไร แต่อคติจะทำให้เราลืมไปว่าตัวเองในอดีตตอนที่ตัดสินใจเลือกนั้นไม่รู้ข้อมูลดังกล่าว และพอเราเอาตัวเราที่ “อัปเดต” ความรู้แล้วมาประเมินตัวเองในอดีต เราก็เลยมองว่าเราตัดสินใจไม่ได้เรื่องเลย ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์มันชัดเจนอยู่แล้ว เช่น คนที่รู้สึกว่าสายไปเสียแล้วที่จะเรียนภาษาเอาตอนอายุปูนนี้ ตอนนี้อยากไปเรียนต่อเมืองนอก อยากย้ายงานไปต่างประเทศก็ไม่ทันแล้ว “รู้งี้ เรียนภาษามันตั้งแต่เด็กๆ ดีกว่า ใครๆ ก็บอกว่าภาษาอังกฤษจะใช้มากขึ้น แล้วธุรกิจระหว่างประเทศก็โตเอาๆ ทำไมตอนนั้นถึงยังดื้อไม่คิดจะเรียน” 

แต่แหม ตัวเราในสมัยก่อนไม่ได้เห็นเหตุการณ์ปัจจุบันเหมือนสมัยนี้นี่ครับ เราในตอนนั้นไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเหมือนตอนนี้ว่างานหายาก สายงานเราตอนนี้ไปต่างประเทศแล้วรุ่งกว่า สมัยที่เราตัดสินใจว่าไม่เรียนมันหรอกภาษา เพราะเราคิดว่าก็ทำงานในไทยต่อไปได้เรื่อยๆ แต่พอสถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไป เราเอาตัวเราที่อัปเดตข้อมูลแล้วไปตัดสินว่าตัวเราสมัยก่อนตัดสินใจไม่ได้ได้เรื่อง มันก็ไม่สมเหตุสมผลจริงไหมครับ มันเหมือนดูเฉลยแล้วค่อยคิดว่า “ผิดได้ยังไงเนี่ย พลาดข้อง่ายๆ เลย” แต่ตอนในห้องสอบนั่นวิธีทำที่บอกว่าง่ายน่ะ มันยังไม่มีในหัวเหมือนตอนนี้นี่นา

“รู้งี้” ยังเกิดได้จากการที่เราเลือกนึกถึงแต่อดีตที่มันสอดคล้องกับปัจจุบัน ไม่สนใจความทรงจำที่ขัดแย้งกับผลในปัจจุบัน อย่างเช่น คนที่ไม่ยอมลงทุนสักที พอรู้ตัวอีกทีหุ้นก็ไต่ราคาสูงลิบจนเกินเอื้อมคว้าแล้ว อาจจะมีความคิดว่า “รู้งี้รีบลงทุนไปดีกว่า ตอนนั้นก็เห็นอยู่ว่าธุรกิจบริษัท xyz มั่นคง ในอนาคตราคาหุ้นพุ่งแน่ๆ” แต่เราไม่ได้คิดเลยว่าสมัยตอนที่ไม่ซื้อนั่น เราก็คิดถึงความเสี่ยงต่างๆ นานา ตลาดของบริษัทนี้ยังไม่ชัดเจน (เท่าปัจจุบัน) การลงทุนในรูปแบบอื่นอาจมั่นคงกว่า เราก็เลยเลือกเก็บเงินฝากประจำในธนาคารไม่เสี่ยงลงทุน แต่พอผลออกมาหุ้นราคาสูงลิ่ว “รู้งี้” มันก็จะเลือกมาแต่ความทรงจำในสมองที่มันสอดคล้องกับตอนนี้ เช่น นึกถึงแต่ตอนที่มีเพื่อนมาชวนลงทุนหลายต่อหลายคน ยิ่งคิดยิ่งทำให้เราปวดใจกับการตัดสินใจพลาดของตัวเอง

ดังนั้นใครที่กำลังรู้สึกแย่ รู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่ตัดสินใจพลาดในแบบที่ไม่ควรพลาด อยากให้เราเข้าใจตัวเราในอดีตสักหน่อยนะครับ ว่าตอนนั้นเราก็อาจจะตัดสินใจดีแล้ว ก็เมื่อก่อนเราอาจจะไม่มีข้อมูลที่มากพอเหมือนตอนนี้ ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ชัดเจนเหมือนปัจจุบัน มันก็เป็นธรรมดาที่เราจะตัดสินใจพลาดได้ อย่าปล่อยให้อคติมาทำให้เรายิ่งรู้สึกแย่จนไปต่อไม่ได้ 

คำถามต่อมาคือถ้า “รู้งี้” นั้นมันมีโทษคือทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเราเอง แล้วทำไมมนุษย์ถึงมีระบบ “รู้งี้” อยู่ในสมองกัน… 

ก่อนจะตอบคำถามเรื่องนั้น ผมอยากชวนมาทำความรู้จักกับ Hindsight ในรูปแบบอื่นๆ นอกจาก “รู้งี้” Hindsight นั้นยังทำให้เกิดปรากฏการณ์อีกรูปแบบที่เกิดกับคนที่ตัดสินใจถูกด้วยครับ ผมขอตั้งชื่อเล่นว่า “ว่าแล้ว” และมักจะพ่วงมากับคำว่า “นั่นไง” “เห็นไหม” สำหรับคนบางคนที่โชคดีหรือบังเอิญตัดสินใจถูก ทั้งๆ ที่ตอนตัดสินใจนั่นไม่ได้มีเหตุผล หรือข้อมูลอะไรให้มั่นใจเลย แต่พอผลมันออกมาถูก แล้วเหตุผลมา ข้อมูลบังเกิดขึ้นมาในหัวได้ทันที “นั่นไง ว่าแล้วว่าเงินบาทไทยน่ะ เดี๋ยวก็อ่อน ปกติจะให้ค่าเงินดอลลาร์ตกมายี่สิบแปดยี่สิบเก้าบาทเนี่ยมันไม่ค่อยมีหรอก เดี๋ยวพอสหรัฐฯ ประคองตัวจากโควิด เงินบาทก็อ่อนลง ช่วงที่ถูกๆ เลยซื้อไว้ตั้งเยอะ” ในอดีตน่ะไม่ถึงกับไม่มีเหตุผล หรือไม่มีข้อมูลหรอกนะครับ แต่มันไม่ชัด หรือเหตุผลมันไม่เกี่ยว แต่พอปัจจุบันยืนยันว่ามาถูกทาง สมองเลยจัดเหตุผลที่สอดคล้องใส่พานมาให้เราไว้อวด ไว้ภูมิใจได้เลย

ปรากฏการณ์ “ว่าแล้ว” ยังถึงขั้นเชื่อมโยงให้สิ่งต่างๆ กลายเป็นหลักการอธิบายถึงผลดีๆ ในปัจจุบันได้เลยล่ะครับ เหมือนอย่าง “ว่าแล้ว ว่าคนเราใช้มือถือเยอะขึ้นทุกวัน เห็นไหมว่าตอนนี้ร้านค้าออนไลน์เลยรุ่งยิ่งกว่าอะไร ดีนะที่ลงทุนทำเว็บขายของมาแต่แรกๆ” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ยอดขายที่เพิ่มกับคนใช้มือถืออาจจะไม่ได้เกี่ยวกันก็ได้ แต่ด้วยข้อมูลเหล่านี้มันมีในหัว สมองเลยจัดการโยงเหตุผลให้เราเสร็จสรรพ

ถึง “รู้งี้” จะทำให้รู้สึกแย่ ส่วน “ว่าแล้ว” จะทำให้รู้สึกดี แต่ผลของมันคล้ายกันครับ คือการที่เราได้เหตุผลหรือหลักการของผลลัพธ์ในปัจจุบัน Hindsight อยู่ในสมองเราก็ด้วยเหตุผลนี้แหละครับ 

อคติทางจิตวิทยาเป็นความคิดที่ไม่สมเหตุสมผลและไม่แม่นยำนัก แต่อคติทุกประเภทนั้นมีข้อดีของมันอยู่คือมันช่วยให้สมองตัดสินใจรวมถึงเข้าใจสิ่งอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ไวขึ้น หรือทำได้แม้มีข้อมูลที่จำกัด มนุษย์นั้นพยายามหาเหตุผล เข้าใจระบบกลไกของสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ พอมีเหตุการณ์อะไรที่มันตรงกับแค่บางส่วนของข้อมูลในหัวของเรา สมองของเราก็จัดแจงหาสิ่งที่เกี่ยวข้องในหัว จัดแจงระบบ เชื่อมโยงเหตุผลให้ตัวเราในปัจจุบันสร้างหลักการเพื่อใช้ทำนายสิ่งต่าง ๆ ได้ 

สมมติว่าเรามีความรู้ในหัวนิดๆ หน่อยๆ ว่า เห็ดสีสดๆ มักจะมีพิษ แต่เห็ดพิษบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องมีสด แล้วบังเอิญเราไปเดินป่าแล้วเจอเห็ดสีขาวออกน้ำตาลหน่อย ไม่น่าจะมีพิษอะไร พอกินเข้าไปแล้วปรากฏว่าท้องเสียจนเกือบตาย สมองเราจะจัดแจงตัดข้อมูล “แต่เห็ดพิษบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องมีสด” มาให้เราเห็นชัดๆ เลยว่า และ “รู้งี้” จะทำงานให้เรารู้สึกแย่ว่า ไม่น่าเลย และต่อไปเราจะเรียนรู้ว่าไม่ว่าเห็ดสีอะไรก็เสี่ยงอยู่ดี นั่นคือกฎที่สมองมอบมาให้เราไว้ใช้เลี่ยงอันตราย แต่ถ้าสมมติเรากินเข้าไปแล้ว ไม่เป็นอะไรเลย แถมอร่อยด้วยซ้ำ สมองก็ตัดข้อมูล “เห็ดสีสดๆ มักจะมีพิษ” มาให้เรา และ “ว่าแล้ว” ก็จะทำงาน ว่าเห็นไหม พวกสีอ่อนๆ แบบนี้น่ะกินได้ แต่ก็อย่างที่เห็นครับ ทั้ง “รู้งี้” และ “ว่าแล้ว” ในกรณีนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องโดยสมบูรณ์ เห็ดมีพิษหรือไม่อาจจะมีสิ่งอื่นที่จำแนกได้ดีกว่าการใช้สี ดังนั้นมันอาจจะไม่แม่นยำนัก แต่มันก็ช่วยให้สมองสร้างความรู้จากข้อมูลที่มีไม่มากให้เราได้ 

ถ้าจะบอกว่าที่มนุษย์จับแพะชนแกะ สร้างทฤษฎี กฎเกณฑ์จนโลกเจริญก้าวหน้ามากมาย ส่วนหนึ่งก็เพราะ Hindsight ก็คงไม่ผิดนัก แต่ก็นั่นแหละครับไม่ใช่ทุกอย่างที่มนุษย์คิดขึ้นจะถูก ความรู้มากมายที่มาพบที่หลังว่ามันผิด ที่อธิบายมามันไม่ใช่ก็มี แต่เราก็คงเห็นแล้วว่า Hindsight มีประโยชน์ของมัน 

ส่วนข้อเสียของ Hindsight นั้นในฝั่ง “รู้งี้” เราคงได้เห็นไปแล้วว่า มันมีผลข้างเคียงคือมันทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเองกินจริง โทษตัวเองเกินจริงตอนที่พบว่าตัวเองตัดสินใจผิด เอาความรู้หลักการที่เราเพิ่งพบเพิ่งคิดได้ มาเป็นมาตรฐานตัดสินโทษตัวเองในอดีตที่ตัดสินใจผิด คนที่พลาดไปทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นคิดดีแล้ว แต่ผลของเหตุการณ์ปัจจุบันมันแย่เหลือเกิน อย่างเช่น ตัดสินใจเลิกกับคนรัก แต่มารู้ทีหลังว่าอยู่คนเดียวนั้นแย่กว่า ตัดสินใจออกจากงาน แต่มารู้ทีหลังว่างานใหม่หายากมาก บางคนรู้สึกแย่จนเป็นโรคซึมเศร้ากันไปก็มี รู้สึกว่าทำไมตัวเองตัดสินใจแบบนั้นไปได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มองเลยว่าในอดีตนั้นตนเองมีเหตุผลของตนเองที่จะเลิกกับแฟน ที่จะออกจากงาน และผลเสียในปัจจุบันตอนตัดสินใจเลิกกับแฟน ตอนออกจากงานเราในอดีตรู้เสียทีไหน

ส่วน “ว่าแล้ว” นั้นก็มีข้อเสียตรงที่ความมั่นใจในเหตุผลว่า เพราะแบบนั้นแบบนี้ ผลมันถึงออกมาเป็นผลลัพธ์ในปัจจุบัน มันอาจจะไม่ใช่เหตุผลที่ถูกต้อง หรือมันอาจจะไม่สมเหตุสมผลเสียด้วยซ้ำ นักวิจัยนั้นต้องระวัง “ว่าแล้ว” ให้ดี เพราะทฤษฎีที่สมองของเรานั้นพยายามเหลือเกินที่จะเอาความรู้ในหัวเรามาปะติดปะต่อให้มันฟังดูสมเหตุสมผลกับผลการวิจัยนั้นมันอาจจะผิด 

“ว่าแล้ว” ยังเป็นเรื่องใหญ่ของแวดวงการแพทย์ หมอเวลาเจอคนไข้ที่อาการไม่ชัดเจนว่าเป็นโรคอะไร เลยลองให้ยาบางตัวไป พอคนไข้กินแล้วดีขึ้น ก็ “ว่าแล้ว ว่าเป็นโรคนี้” ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะเป็นโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกัน หรือแม้แต่คนไข้ดีขึ้นเพราะสาเหตุอื่นก็ได้ หรือในการวินิจฉัยหมอเองไปปักธงไว้แล้วว่าน่าจะเป็นโรคนี้ พอคนไข้พูดอาการที่มันตรงกับธงขึ้นมา หมอก็เลย “นั่นไง เห็นไหมว่าเป็นโรคนี้” กลายเป็นสร้างความมั่นใจจนเกินเหตุและทำให้รักษาผิดพลาด

ตอนนี้ตัวอย่างที่เห็นชัดสุดในช่วงนี้อาจจะเป็นเรื่องของไวรัสโควิด หลาย ๆ คนพอรู้ว่าใครไปติดโรคมาก็ “นั่นไง บอกแล้วว่าอย่าขึ้นรถไฟฟ้า” “ว่าแล้ว ว่าโรงพยาบาลน่ะเชื้อโรคเยอะ” สุดแล้วแต่สมองจะสรรหาคำอธิบายมาให้ ซึ่งความมั่นใจเหล่านั้นมันเกิดขึ้นเพราะคนนั้นไปติดโรคมาแล้ว สมองเลยหาคำอธิบายมาให้เราพอใจว่าทำไมเขาถึงติด แต่มันอาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้ 

เช่นเดียวกับอคติอื่นๆ Hindsight มักเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวเป็นส่วนใหญ่ คือหมายถึงตอนที่เราเกิด “รู้งี้” “ว่าแล้ว” เราไม่รู้หรอกครับว่าเรากำลังใช้อคติซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลอยู่ งานวิจัยบอกว่าถึงคนทำความเข้าใจว่ามนุษย์เรามีสิ่งที่เรียกว่า Hindsight อยู่ และรู้แล้วว่า Hindsight ทำงานอย่างไร ก็ไม่ได้แปลว่าจะป้องกัน Hindsight ไม่ให้เกิดขึ้น ดังนั้นต่อให้ระวังก็อาจจะไม่ได้แปลว่าจะป้องกันไม่ให้สมองใช้งานมันได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็หวังว่าการได้รู้จัก “รู้งี้” จะทำให้ท่านให้อภัยตนเอง และเข้าใจตนเองในอดีตได้มากขึ้นว่าการตัดสินใจในอดีตถึงได้ผลลัพธ์ที่แย่ แต่ในตอนนั้นเราก็มีเหตุผลอยู่ เราเลยตัดสินใจแบบนี้ ตอนนี้เราเสียดายที่ทำไมสมัยอยู่มหาวิทยาลัยไม่ลงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่เราชอบ ที่เราสนใจ ซึ่งตอนนั้นใครจะรู้ว่าตัวเราจะอยากหางานในต่างประเทศ ขอให้นำ “รู้งี้” เป็นบทเรียนในอนาคต แต่อย่าไปใช้มันเพื่อต่อว่าตัวเองเลยครับ 

อคติ “ว่าแล้ว” นั้นต้องระวังว่าอย่ามั่นใจเกินเหตุ มีงานวิจัยบอกว่าถึงจะห้ามไม่ให้มีอคติแบบนี้คงยาก แต่พอจะมีทางลดมันได้บ้าง คือต้องพยายามหาคำอธิบายทางเลือกอื่นๆ ด้วยเสมอ 

อย่างถ้าเรากินสมุนไพรตัวหนึ่งที่เขาลือมาว่ากินแล้วต้านไข้หวัดใหญ่ได้ หลังจากนั้นมารู้ทีหลังว่าเพื่อนโต๊ะข้างๆ ติดโควิด แต่เราไปตรวจแล้วรอดไม่ติด ก็อย่าเพิ่งคิดว่าเพราะสมุนไพรทำให้เราไม่ติด ลองหาเหตุผลอื่นๆ ที่อาจจะเป็นไปได้ดู เขาใส่หน้ากากหรือเปล่า เราระวังตัวด้วยวิธีอื่นดีแค่ไหน พูดง่ายๆ คือการต้องคิดให้รอบคอบและรอบด้าน ถ้าเรามีความรู้ในสมองมากขึ้น อคติที่มาทำงานเพราะเรามีข้อมูลไม่พอก็จะน้อยลงไป ระวัง “ว่าแล้ว” แบบไม่ระวัง เอาเหตุผลผิดๆ ไปใช้ในอนาคต แล้วจะมาต้องมาเสียใจจนรู้สึก “รู้งี้” เอานะครับ

เอกสารอ้างอิง
Blank, H., & Nestler, S. (2007). Cognitive process models of hindsight bias. Social Cognition, 25(1), 132-146.
Groß, J., Blank, H., & Bayen, U. J. (2017). Hindsight bias in depression. Clinical Psychological Science, 5(5), 771-788.
Pohl, R. F., & Hell, W. (1996). No reduction in hindsight bias after complete information and repeated testing. Organizational Behavior and Human Decision Processes, 67(1), 49-58.
20/20 Hindsight and How to Avoid Regret

Tags:

จิตวิทยาปรากฏการณ์ “รู้งี้”การตัดสินใจ

Author:

illustrator

พงศ์มนัส บุศยประทีป

ตั้งแต่เรียนจบจิตวิทยา ก็ตั้งใจว่าอยากเป็นนักเขียน เพราะเราคิดความรู้หลายๆ อย่างที่เราได้จากอาจารย์ หนังสือเรียน หรืองานวิจัย มันมีประโยชน์กับคนทั่วไปจริงๆ และต้องมีคนที่เป็นสื่อที่ถ่ายทอดความรู้แบบหนักๆ ให้ดูง่ายขึ้น ให้คนทั่วไปสนใจ เข้าใจ และนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่อยากให้มันอยู่แต่ในวงการการศึกษา เราเลยอยากทำหน้าที่นั้น แต่เพราะงานหลักก็เลยเว้นว่างจากงานเขียนไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่ง The Potential ให้โอกาสมาทำงานเขียนในแบบที่เราอยากทำอีกครั้ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • How to enjoy life
    ฮุกกะ (Hygge): สุขแบบไม่หิวแสง จริตชีวิตในแบบฉบับคนเดนมาร์ก

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Relationship
    เกมของความรัก เกมที่ชนะคนเดียวไม่ได้

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Growth & Fixed Mindset
    เปลี่ยนคำชมจาก ‘เก่งจัง’ ‘ฉลาดมาก’ เป็น พยายามดีมาก ยากแค่ไหนเขาก็จะสู้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Relationship
    INTERNAL FAMILY SYSTEMS (IFS): ภายในตัวของเรา มีได้ตั้งหลายตัวตน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    สอบตกไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำยังไงให้เด็กไว้ใจเล่าให้ฟัง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

เฟน อารีเฟน กับการสร้างห้องสมุดการ์ตูนให้ความรู้เด็กๆ ในนาม ‘สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่’
Everyone can be an Educator
24 May 2021

เฟน อารีเฟน กับการสร้างห้องสมุดการ์ตูนให้ความรู้เด็กๆ ในนาม ‘สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่’

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • มุกตลกๆ จากการ์ตูนเล่มละ 15 บาท นอกจากจะสร้างเสียงหัวเราะแล้ว ยังเป็นคลังคำศัพท์ด้วย (จนกลายเป็นคู่มือเตรียมสอบของหลายคน)
  • ชวนย้อนวันวานวัยเด็กกับ เฟน – อารีเฟน ฮะซานี ผู้เขียน ‘สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่’ การ์ตูนที่มีเอกลักษณ์ คือ การล้อเลียนละคร และยังดัดแปลงวรรณกรรมดังๆ มาทำเป็นการ์ตูนสร้างความบันเทิงแต่แฝงสาระ เขาทำได้อย่างไร หาคำตอบได้ในบทสนทนานี้
  • หัวใจของการ์ตูนเรา คือ เด็กอ่านแล้วต้องสนุก เนื้อหาเข้าใจง่าย ด้วยภาษาพูด เอาคำศัพท์ง่ายๆ ย่อยเนื้อหาให้คนรับได้ง่ายๆ แต่ยังคงความถูกต้อง บางทีข้อมูลเยอะ ก็อาศัยทำเกร็ดความรู้แยกออกมา บางคนได้แรงบันดาลใจไปเรียนต่อทางวรรณคดี เพราะอ่านการ์ตูน

ในวัยเด็กที่แหล่งเอนเตอร์เทนเมนท์ยังเกิดขึ้นไม่เยอะเท่าดอกเห็ดเช่นสมัยนี้ รวมถึงเงินในกระเป๋าก็อาจจะไม่ได้มีมากพอ สิ่งที่สร้างความสนุกให้เราคงมีไม่กี่อย่าง สำหรับเราหนึ่งในนั้นคงเป็นเจ้าการ์ตูนเล่มละ 15 บาทที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ ราคาของมันไม่เจ็บปวดมากไป พอจะยอมควักเงินค่าขนมจ่าย 

ขายหัวเราะ มหาสนุก ปังปอนด์ สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่ ฯลฯ หัวหนังสือที่เราคุ้นตาบนแผง

นอกจากเสียงหัวเราะที่ได้เรายังได้ความรู้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคลังคำศัพท์ เรียกว่าเป็นแหล่งความบันเทิงพลัสความรู้ในราคาย่อมเยาที่หลายคนพอจะเอื้อมถึง

กาลเวลาผ่านไปทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง แหล่งความสนุกวันนี้หาได้ง่ายขึ้น สไลด์หน้าจอคุณก็จะพบตัวเลือกมากมาย คุยแชท ดูหนังซีรีส์ ฟังเพลง หรืออ่านหนังสือออนไลน์ก็ได้ หนังสือบนแผงก็ค่อยๆ ลดลงตามปริมาณคนอ่าน และเปลี่ยนไปอยู่บนแพลต์ฟอร์มออนไลน์แทน

บทความชิ้นนี้เราอยากชวนทุกคนไปย้อนวันวานวัยเด็กกับ เฟน – อารีเฟน ฮะซานี ผู้เขียนสาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่ การ์ตูนของเขานอกจากเอกลักษณ์ คือ การล้อเลียนละคร เฟนยังดัดแปลงวรรณกรรมดังๆ มาทำเป็นการ์ตูนด้วย (จนกลายเป็นคู่มือเตรียมสอบของหลายคน)

เบื้องหลังการปลุกตัวการ์ตูนให้มีชีวิตโลดแล่นบนหน้ากระดาษ หรือการหยิบวรรณกรรมที่เนื้อหายาวๆ ยากๆ มาดัดแปลงทำเป็นการ์ตูนที่สร้างความบันเทิง แต่ก็ยังแฝงสาระทำได้อย่างไร ชวนไปสนทนาหาคำตอบกับเฟน

เฟน – อารีเฟน ฮะซานี ผู้เขียนสาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่

การกำเนิดของนามปากกา ‘เฟน’

เป็นความฝันตั้งแต่เด็กๆ ว่าโตขึ้นอยากเป็นนักวาดการ์ตูน เพราะเราชอบอ่านการ์ตูนเบบี้ของของอาวัฒน์ วัฒนากับหนูจ๋าของอาจุ๋มจิ๋ม จำนูญ เล็กสมทิศมาก ฝังใจเลยว่าโตขึ้นต้องเป็นนักวาดการ์ตูนแบบนั้น ก็ฝึกวาดการ์ตูนมาเรื่อยๆ เอาสมุดตอนเรียนที่จะมีหน้าเหลือมาตีช่องวาดตัวการ์ตูน

ช่วงปวช.เรามีโอกาสมาเรียนต่อวิทยาลัยเพาะช่างที่กรุงเทพฯ ด้วยความที่ฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี ทำให้ต้องหางานพิเศษทำ ตัดสินใจลองเขียนการ์ตูนส่งสำนักพิมพ์ นั่งเปิดหนังสือการ์ตูนดูหน้าสารบัญว่าที่ตั้งสำนักพิมพ์อยู่ตรงไหน ไปหายื่นต้นฉบับให้เขา โชคดีว่าเขาคงเห็นแววเราเลยรับต้นฉบับตีพิมพ์ ได้ค่าเรื่องประมาณ 15 บาทต่อหน้า

เป็นจุดเริ่มต้นการเดินบนเส้นทางนักเขียนการ์ตูน

เขียนการ์ตูนส่งไปเรื่อยๆ ประมาณ 3 – 4 สำนักพิมพ์ ทำจนรู้สึกว่าแข็งแกร่งละ ตัดสินใจลองส่งการ์ตูนไปเสนอที่สำนักพิมพ์บรรลือสาส์นที่อาวัฒน์กับอาจุ๋มจิ๋มอยู่ ตอนไปเสนอเจอเจ้าของสำนักพิมพ์บันลือ​สาส์น​ คุณ​บันลือ​ อุตสาหจิต ​(คุณพ่อ​ บ.ก​ วิธิต​ อุตสาหจิต)​​ พอเขาเห็นงานเราเขาบอกว่า ลายเส้นพอไปได้ ตกลงรับตีพิมพ์ ให้ค่าต้นฉบับประมาณ 30 – 40 บาทต่อหน้า

ถ้าเทียบกับค่าเงินสมัยนั้นถือว่าเยอะไหม?

เรทปานกลางสำหรับนักเขียนหน้าใหม่อย่างเรา ตอนนั้นจำได้เลยว่าเขียนการ์ตูนเนื้อหาเกี่ยวกับเยาวชน ชื่อเรื่อง”สวัสดีโรงเรียน” เป็นการ์ตูนแนวนิยายภาพ หยิบเรื่องสมัยเรียนมัธยมที่อยู่ต่างจังหวัดมาเขียน

การ์ตูนไทยมีประมาณกี่แบบ

หลักๆ จะแบ่งเป็น 2 แบบ คือ การ์ตูนแนวนิยายภาพ ลายเส้นจะสมจริงเลย นึกถึงการ์ตูนฝรั่งอย่างพวกมาร์เวล (Marvel) ดีซี (DC) ได้รับความนิยมมาก กับอีกแบบหนึ่งจะเป็นการ์ตูนแนวหรรษา ความสมจริงน้อยลง ตัดทอนรายละเอียด เน้นอารมณ์ เช่น ตัวละครตกใจ ก็วาดตาโตๆ หัวโต แนวการ์ตูนขายหัวเราะ สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่ ตัวเราเป็นคนถนัดวาดการ์ตูนแบบนิยายภาพ ชอบผูกเป็นเรื่องๆ มีอยู่วันหนึ่ง​ บ.ก​.วิธิต​ ก็ถามว่า ลองเขียนการ์ตูนตลกดูไหม

ทำไมเขาถึงถามคุณแบบนั้น

ช่วงนั้น​การ์ตูน​แนวตลกมาแรง​ เช่น​ ขายหัวเราะ​ และ​ มหาสนุก​ กำลังได้รับความนิยม​  ทาง​ บ.ก​.วิธิต​คงเห็นว่าเราน่าจะปรับมาเขียน​แนวนี้ได้​ จึงให้โอกาสเราเขียนแนวตลกดู​

เขียนการ์ตูนตลกเป็นไง

แรกๆ เส้นแข็งมาก เพราะก่อนหน้านี้เราถนัดวาดแนวนิยายภาพรายละเอียดเยอะๆ สมจริงเลยละ​  พอมาเขียนการ์ตูนตลก ต้องลดทอนรายละเอียดลง ใส่แอคชั่นตัวละครมากขึ้น​  แต่ก็ใช้เวลาไม่นานนัก​ เราก็เขียนการ์ตูนแนวตลกหรรษาได้​  และเขียนแนวนี้จนถึงปัจจุบัน​

การเขียนการ์ตูนตลกยากไหม ต้องเป็นคนตลกหรือเปล่าถึงจะคิดมุกออก

เราก็ไม่เป็นคนตลกนะ​ แต่เป็นคนอารมณ์ดี​ แม้แต่พี่ต่าย (ภักดี แสนทวีสุข) หรือพี่นิค (นิพนธ์ เสงี่ยมศักดิ์) เองก็เหมือนกัน แต่เวลาคิดเรามักจะคิดในมุมที่มันตลกได้​ ขอใช้คำว่าต่อยอดละกัน อาศัยดูสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว แล้วคิดต่อยอดว่าจะเล่นมุกยังไง นำมาเขียนให้ตลกได้แบบไหน

บางคนอาจอ่านแล้วขำ แต่บางคนอาจจะไม่ คุณต้องมีทดสอบมุกก่อนไหมว่ามุกนี้คนฮาหรือเปล่า?

วัดจากตัวเราก่อน​ มีการคัดกรองระดับหนึ่ง ถ้าเราไม่ขำ​ก็เปลี่ยนใหม่​  จริงๆเรื่องแบบนี้ฝึกกันได้แต่ต้องอาศัยเวลา ต้องอาศัยประสบการณ์​ และ​อาจจะใช้พรสวรรค์ด้วยส่วนหนึ่ง​ 

เราว่ามันก็เหมือนกับการถ่ายภาพ ต้องอาศัยฝึกถ่ายบ่อยๆ ส่วนจะรู้ว่าผลงานเราดี – ไม่ดีก็ต้องส่งให้คนอื่นช่วยดู ช่วยวิจารณ์ ให้คำแนะนำว่าควรพัฒนาตรงไหน

เวลาเราสอนรุ่นน้องหรือลูกศิษย์จะบอกตลอดว่า มีของอย่าเก็บไว้ ให้นำเสนอไปเลย อย่าอาย วันหนึ่งมันอาจจะสร้างงานให้เราได้

ถ้าพูดชื่อนามปากกาเฟน คิดว่า ‘สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่’ คงเป็นผลงานชิ้นแรกๆ ที่คนนึกถึง อยากรู้ว่าจุดเริ่มต้นมาจากอะไร?

ตอนนั้นเราวาดการ์ตูนลงขายหัวเราะกับมหาสนุก ส่วนตัวเป็นคนชอบดูละคร ดูทุกช่องเลย ก็มานั่งคิดว่า เอ๊ะ ลองเอาที่ดูๆ มาเขียนการ์ตูนล้อดีไหม ปรากฎว่าคนอ่านชอบมาก เพราะเราทำมุกให้ฮาๆ ฉีกแนวละครที่เขาเคยดู ตอนต้นเดินเรื่องมาแบบนี้ พอกลางเรื่องฉีกไปอีกทาง ตอนจบหลุดโลกไปเลย

บ.ก​ ​วิธิต​ ​เสนอว่าเขียนแยกเป็นเล่มของตัวเองเลยดีไหม ตอนนั้นมีของพี่ต่ายที่แยกไปเขียนปังปอนด์แล้วไปได้ดี เขาเลยให้เราลองทำบ้าง สุดท้ายก็ออกมาเป็น”สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่” 

ที่มาของชื่อสาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่

เราคิดว่าเนื้อหาของการ์ตูนเล่มนี้มันคงเป็นเรื่องราวของผู้ชายกับผู้หญิง บวกกับมีหนังจีนที่กำลังดังในไทยตอนนั้นชื่อว่า ดอกไม้กับนายกระจอก (An Autumn’s Tale) เลยเอาว่ะ ตั้งชื่อล้อกับหนังเรื่องนี้ ออกมาเป็นสาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่ ชื่อหนังจีนมันนายกระจอก ฟังแล้วดูเป็นผู้ชายต่ำต้อย แต่ผู้ชายของเราต้องเป็นคนฮาๆทะเล้นๆ เลยตั้งชื่อเป็นนายกล้วยไข่แทน เขียนเป็นการ์ตูนล้อละครมาเรื่อยๆ

ยุคหลังๆ เริ่มมีการ์ตูนดัดแปลงจากวรรณกรรม เช่น ศึกมหาภารตะ มโหสถ เทพอภินิหารตำนานกรีก ทำไมถึงสนใจดึงเรื่องพวกนี้มาเล่าแบบฉบับการ์ตูน

ตอนเด็กๆ เราขัดใจตลอดว่า ทำไมถึงไม่ค่อยมีคนเอาเรื่องแบบรามเกียรติ์มาทำเป็นการ์ตูนให้อ่านง่ายๆ บ้าง ที่เจอคือเนื้อหาเยอะๆ ไม่ก็ภาพหนึ่งภาพแล้วแปะคำบรรยายไว้ข้างล่าง แถมบางทีเล่าเฉพาะตอน ไม่เป็นเรื่องต่อกันยาวๆ เช่น ตอนหนุมานเจอนางเงือก ตอนนางสีดาเจอกวาง

อยากลองทำเป็นการ์ตูน เอาไปเสนอ​บ.ก​ วิธิต เขาก็บอกมันเป็นเรื่องยาวนะ จะทำไหวหรือเปล่า? เพราะนโยบายเขียนการ์ตูนจะเน้นให้จบในตอน คนอ่านจะได้ไม่ลำบากต้องตามอ่านเยอะๆ แล้วบางทีเขียนเป็นเรื่องยาวๆ มันมีโอกาสสูงที่เขียนไปนานๆ แล้วจะเกิดอาการตัน แต่สุดท้ายเขาก็ให้เราลองทำนะ

การแปลงวรรณกรรมให้เป็นการ์ตูน

เริ่มจากเลือกเรื่องที่เราสนใจก่อน​  เรื่องแรกที่วาด คือรามเกียรติ์​ แต่เราใช้คำว่า​ รามาวตาร​ ส่วนเรื่องที่สองคือเรื่อง ศึกมหาภารตะ (มหากาพย์ชื่อดังของอินเดีย เล่าเรื่องราวความขัดแย้งของสองตระกูล เการพและปาณฑล) เราเคยอ่านฉบับแปลของอาจารย์กรุณา กุศลาสัย สนใจอยากเอามาทำเป็นการ์ตูน แต่ข้อมูลในไทยมีน้อยมาก (เน้นเสียง) ต้องสั่งหนังสือฉบับภาษาอังกฤษจากต่างประเทศมาอ่าน ลงทุนไปพาหุรัดซื้อซีรีส์ฉบับคนอินเดียแสดงมาดูอีกทาง ซื้อมาแทบทุกเวอร์ชันเลย จ่ายเงินไปเกือบหมื่น​ ตังค์เราก็ไม่ค่อยมี (หัวเราะ) แต่เราก็คิดว่าเขียนครั้งเดียวในชีวิตให้มันดีไปเลย

ต้องศึกษาเนื้อเรื่องให้ละเอียด โดยเฉพาะนิสัยใจคอของตัวละคร  เราถึงจะวางโครงเรื่องได้ ตอนหาข้อมูลเจอความแตกต่างเยอะมาก อย่างเช่นรามเกียรติ์ฉบับอินเดีย หนุมานบริสุทธิ์เลยนะ ไม่มีเมีย แต่ฉบับไทยนี่ โอ้โห เมียเยอะมาก คือศึกษาจนมีข้อมูลไปเขียนได้อีกเรื่องเลย

วรรณกรรมที่เนื้อหาเยอะและมีความละเอียดสูง เราจะย่อยเรื่องออกมาเป็นการ์ตูนอย่างไร?

หัวใจของการ์ตูนเรา คือ เด็กอ่านแล้วต้องสนุก ฉะนั้นเนื้อหาต้องเข้าใจง่าย ภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาพูด เอาคำศัพท์ง่ายๆ ย่อยเนื้อหาให้คนรับได้ง่ายๆ แต่ยังต้องคงความถูกต้องนะ บางทีข้อมูลมันเยอะเราอัดในเรื่องไม่หมด ก็อาศัยทำเกร็ดความรู้แยกออกมา

เสียงตอบรับของคนอ่าน

คนอ่านชอบมาก พอรวมเล่มก็ได้รับความนิยมมาก มีคนส่งจดหมายมาหาเยอะบอกว่าอ่านการ์ตูนเราแล้วไปสอบภาษาไทยได้คะแนนเต็ม 10 เลย หรือเป็นแรงบันดาลใจไปเรียนต่อทางวรรณคดี ฟังแบบนี้เราก็ดีใจนะที่งานของเรามันประสบความสำเร็จทำให้เด็กหันมาอ่านวรรณกรรมมากขึ้น อ่านการ์ตูนเราต่อยอดไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย​ด้านวรรณกรรม หรือต่อยอดอ่านวรรณกรรมที่เนื้อหามากขึ้น

ที่บอกว่าอ่านการ์ตูนแล้วเข้าใจกว่าเรียนในห้อง คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไร ในเมื่อใช้เนื้อหาเหมือนกัน ความแตกต่างระหว่างหนังสือเรียนกับการ์ตูนที่คุณนำเสนอ

การ์ตูนจะมีภาพให้เด็กเห็นชัดเจน​ ดูผ่อนคลายกว่าอ่านแบบตัวอักษรเยอะๆ​ อีกอย่างตัวการ์ตูนแต่ละตัวก็มีคาแรกเตอร์​ชัดเจนจำง่าย​ บทก็ใช้เป็นภาษาพูดมากกว่า​ อีกทั้งยังแทรกบทตลกเบาๆ ด้วย​ แต่เนื้อหาหลักจะต้องตรงตามต้นฉบับและแบบเรียน

กลุ่มคนอ่านการ์ตูนคุณส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยเรียน ณ วันนี้ที่คุณอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ช่องว่างระหว่างวัยคุณกับเด็กยุคนี้มันมากขึ้น ส่งผลกับการคิดงานคุณไหม?

ต้องปรับตัวพอสมควร​  อาศัยดูว่าช่วงนี้เด็กๆ กำลังฮิตอะไร เช่น ดูเพจเฟซบุ๊ก ช่องยูทูบทำให้เราพอเข้าใจวิธีคิดของเด็กสมัยนี้พอสมควร

ในฐานะที่คุณทำงานกับเด็ก คุณคิดว่าอะไรคือความเหมือน – แตกต่างของเด็กแต่ละยุค

เราว่าเด็กแต่ละยุคไม่แตกต่างกันมากนะ เด็กทุกยุคยังต้องการการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต้องการค้นหาตัวตน ค้นหากลุ่มของเขา อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เขาอยากหากลุ่มตัวเองให้เจอ เช่น ชอบดูหนังแนวเดียวกัน​  เล่นเกมเดียวกัน​  เขาก็จะหาคนที่ชอบสิ่งเหมือนๆ กัน เป็นปกติทุกยุค

พอจะมีคำแนะนำแนวทางการปรับตัวให้เข้ากับคนรุ่นใหม่สำหรับผู้ปกครองโพเทนเชียลไหม?

ปล่อยให้เขาได้ทำ​ ได้เป็นในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ไปบังคับหรือห้ามอะไรลูก เพราะจะขัดแย้งกันเปล่าๆ ไม่เชื่อลองนึกย้อนสมัยเราเป็นวัยรุ่นก็ได้ เราเชื่อพ่อแม่ที่ไหนละ? (หัวเราะ) และไม่แน่บางทีลูกอาจจะรุ่งในทางของเขาก็ได้

สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ เป็นแรงซับพอร์ตข้างๆ ลูก ถ้าวันไหนเขาไม่ไหวก็เข้าไปเป็นแบล็กอัพให้เขา เหนื่อยนัก​ หากไปต่อไม่ไหวก็กลับมาพักก่อน​ พ่อแม่ต้องพร้อมอ้าแขนรับ

ได้ยินว่านอกจากเป็นนักเขียนการ์ตูน คุณยังทำอาชีพอื่นๆ เช่น ครู

ใช่ เรียนเพาะช่างจะได้วุฒิศึกษาศาสตร์บัณฑิตด้วย ตอนเรียนเคยขอไปฝึกสอนที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สอนอยู่ 2 เดือน ประสบการณ์ช่วงนั้นเราเจอลูกศิษย์ดี เขารับการสอนเราได้ เลยรู้สึกว่าตัวเราก็น่าจะเป็นครูได้​  พอเรียนจบก็มีโอกาสไปเป็นครูสอนศิลปะชั้นประถมปลาย ที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตร 3​ ปี

เนื้อหาที่เราสอนจะเป็นเรื่องพื้นฐานตั้งแต่เส้น สี องค์ประกอบในภาพ การจัดวาง วาดภาพก็เหมือนเขียนงาน เราต้องมีการผูกเรื่องด้วย เช่น เราบอกโจทย์ให้วาดวิว นักเรียนก็จะคิดละว่าวาดวิวอะไร ทะเล ภูเขา ต้องใส่อะไรลงไปในงาน สร้างความบาลานซ์และสีสันในภาพ

ศิลปะมักจะมาคู่กับเรื่องสวย – ไม่สวย ส่วนตัวคุณมีมุมมองกับเรื่องนี้ยังไง?

เรื่องสวย – ไม่สวย เราว่าพูดลำบาก เพราะแต่ละคนมีมุมมองไม่เหมือนกัน แต่โอเคถ้าจุดๆ หนึ่งมันต้องการตัดสินว่าภาพนี้สวยหรือไม่​ แต่เราในฐานะครูจะไม่มองแค่เรื่องสวย – ไม่สวย เราเน้นสอนให้เด็กใส่ใจกับการวางองค์ประกอบภาพ และการใช้สีมากกว่า​

เวลาให้คะแนนเราก็จะมองหลายๆ มุม คนนี้ถึงวาดภาพไม่เก่งแต่จัดองค์ประกอบได้เอาไป B ถ้ามองแต่เรื่องสวย – ไม่สวย​ คนที่วาดไม่เก่งคงได้คะแนน C ทั้งปี เรารู้สึกว่านี่จะยิ่งทำให้เด็กไม่ชอบศิลปะ ทำให้เขาหนี ทั้งๆ ที่ในหัวเขาอาจจะมีศิลปะอยู่

เราเคยเจอลูกศิษย์บางคนที่เขาวาดรูปอาจไม่สวยเท่าคนวาดเก่ง​ แต่เขาถ่ายรูปออกมาได้อย่างมืออาชีพ​ เพราะใช้การจัดภาพและวางสีแสงได้ดีนั่นเอง​ ซึ่งก็มีอีกหลายอาชีพ​ ที่ไม่ต้องวาดรูปเก่งมากนักก็ได้​ ​แต่ใช้พื้นฐาน​ด้านศิลป​ะที่ซ่อนอยู่​ นำไปใช้ในอาชีพที่ตัวเองทำอยู่ได้ดีเช่นกัน

การทำงานที่ต้องผลิตงานสู่สายตาคนอื่นๆ มักจะตามคู่มากับคำวิจารณ์ คุณมีวิธีรับมือกับเรื่องนี้ยังไง?

เราก็รับฟังคำวิจารณ์พอสมควร  เพราะอย่างที่บอกว่าแต่ละคนมีมุมมองไม่เหมือนกัน ​แต่สุดท้ายอย่าให้คำวิจารณ์มาทำลายวิธีคิดเรา​ ทำลายงานที่เป็นตัวตนของเรา​จนเกินไป

สาวดอกไม้กะนายกล้วยไข่ ในวันที่เดินทางมาถึงฉบับที่ 300​ ถ้าให้เปรียบเป็นคน คุณคิดว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน?

เป็นคนทำ ‘ห้องสมุด​การ์ตูน​’  ที่มีหนังสือหลากหลายแนว​ ทั้งแนววรรณกรรม​ เช่น​ รามาวตาร​ ศึกมหาภารตะ​  อภินิหารตำนานกรีก​ ไซอิ๊ว​ ฯลฯ​ มีชั้นการ์ตูนแนวหรรษา​บันเทิง​ เช่น​ พ่อแม่ลูก​ สิงห์สยาม​ ปอมปอมกิ้งก่าเทวดา​ ซูเปอร์โคโรน่า​ และมีชั้นหนังสือแนวตลกขำขัน​ เช่น​ ก๊อง​ เปาบุ้นจี้​ บ้าครบสูตร​ และ​บริษัทอัดผี​   

รอให้คนอ่าน​ แวะเข้ามายัง​ห้องสมุดการ์ตูน​ของผมครับ

Tags:

นักเขียนการ์ตูนการ์ตูน

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • Book
    การศึกษาของกระป๋องมีฝัน และที่ทางให้ตัวเองได้เบ่งบาน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    ‘บัซ ไลท์เยียร์’  ไม่ต้องเป็นฮีโร่สำหรับใคร แค่เห็นคุณค่าในตัวเองก็พอ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Early childhood
    พ่อแม่แสดงความรักอย่างเหมาะสมต่อลูกด้วยการเคารพสิทธิลูก เพราะร่างกายเป็นของลูกไม่ใช่ของใคร

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ PHAR

  • Book
    ‘Slam Dunk’ บาสเกตบอล ความรักและมิตรภาพของเด็กมัธยมปลาย : Soft Power ที่ซ่อนอยู่หลังความฝันของเด็ก 90s

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย

  • Movie
    The Mitchells vs. The Machines : อย่าบอกให้ขอโทษเพียงเพราะเราเด็กกว่า

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง
  • “ผมไม่เคยหมดหวังกับการศึกษา” ดร.อุดม วงษ์สิงห์ ชวนทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนทั้งระบบ

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel