Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: August 2020

เด็กจะเล่นอย่างไรให้สนุกเเละคลายความเศร้าในใจได้ โดยมีผู้ใหญ่เป็นนักสังเกตการณ์
Early childhoodLearning Theory
13 August 2020

เด็กจะเล่นอย่างไรให้สนุกเเละคลายความเศร้าในใจได้ โดยมีผู้ใหญ่เป็นนักสังเกตการณ์

เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • การเล่นช่วยให้เด็กจัดการกับความเศร้า ความกังวล ความสูญเสียได้ เเละยังเป็นเครื่องมือให้เด็กเผชิญหน้ากับความกลัวเเละเข้าใจความรู้สึก เพราะระหว่างการเล่น เด็กสามารถควบคุมการเล่นในสถานการณ์ที่พวกเขาเป็นคนกำหนดได้เองเเละยังเพิ่มความสามารถในการมีส่วนร่วมในการคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป  ซึ่งช่วยผ่อนคลายความกลัวในใจของเด็กได้
  • ผู้ใหญ่เป็นนักสังเกตการณ์โดยไม่เข้าไปสอดเเทรกหรือจัดการ ยกเว้นเป็นการเเนะนำการเล่น เพราะความจริงเเล้วเด็กคือคนนำการเล่นที่ดีที่สุด เเละเข้าไปเเนะนำการเล่นรูปเเบบอื่น เมื่อเห็นว่าการเล่นเเบบเดิมทำให้เด็กกังวลหรือไม่ได้เป็นการเล่นที่เขาต้องการ

ท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายทั้งเรื่องการเเพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เเละการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพความเท่าเทียมกันในกรณี Black Live Matter ที่ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเดียวในปี 2020 ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ที่เครียด เหตุการณ์เดียวกันนี้ทำให้เด็กๆ รู้สึกเจ็บปวดเเละเกิดความกลัวเช่นกัน เเต่พวกเขาสามารถขจัดความรู้สึกเหล่านั้นผ่านการเล่นได้เพราะพวกเขาจะเเสดงความคิดความรู้สึกต่อเหตุการณ์ผ่านการเล่นของพวกเขา โดยมีผู้ใหญ่คอยสนับสนุน

ปล่อยให้เด็กเล่นตามที่เขาอยากเล่น

ผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง คนที่ใกล้ชิดกับเด็ก หรือคุณครูที่โรงเรียนควรปล่อยให้พวกเขาเล่นในสิ่งที่เขาอยากเล่น โดยไม่ตัดสินหรือเเสดงความกังวลว่าสิ่งที่เขาเล่นจะพาพวกเขาไปสู่ความเศร้า เพราะในช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับตัวเองจะทำให้พวกเขาทบทวนเเละพัฒนาตนเอง

โดยความคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจาก วิเวียน กัสซิน พาลีย์ (Vivian Gussin Paley) คุณครูอนุบาลเเละเจ้าของรางวัล Genius Grant ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับบุคคลที่มีริเริ่มเเละสร้างสรรค์สิ่งใหม่ จากการเป็นนักเขียนของหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับการเล่นของเด็ก เธอพูดถึงการเล่นของเด็กในหนังสือหลายเล่มว่า เด็กจะเลือกเล่นตามอารมณ์ จะทำให้พวกเขาเข้าใจตนเองมากกว่าการเล่นในรูปเเบบอื่นๆ

รวมถึงเซธ อรอนสัน (Seth Aronson) นักจิตวิทยาเเละและผู้อำนวยการหลักสูตรการฝึกอบรมและที่ปรึกษาของสถาบันจิตเวชศาสตร์ William Alanson White ในนิวยอร์ก มองว่า 

การเล่นจะช่วยให้เด็กจัดการกับความเศร้า ความกังวล เเละความสูญเสียได้ เเละยังเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เด็กเผชิญหน้ากับความกลัว เเละเข้าใจความรู้สึก เพราะระหว่างการเล่น เด็กสามารถควบคุมการเล่นในสถานการณ์ที่พวกเขาเป็นคนกำหนดได้เองเเละยังเพิ่มความสามารถในการมีส่วนร่วมในการคาดเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป  ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายความกลัวในใจของเด็กได้

อย่างไรก็ตาม ในโลกของความจริงมีความกลัวเเละปมภายในใจเด็กในหลายรูปแบบ การเล่นจะช่วยเเทนที่เเละสร้างพื้นที่ในการเเสดงความรู้สึกเหล่านั้น

นอกจากนี้อรอนสันยังบอกว่า พลังของการเล่นคือการนำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มาเติมเต็มสิ่งเด็กยากจะเผชิญ ตัวอย่างเช่น เด็กที่สูญเสียคุณยายมักจะบอกว่าคุณยายอยู่นห้องเเละเล่นกับเขา ซึ่งเป็นเรื่องปกติ การที่ผู้ใหญ่ไม่ทำอะไรจะช่วยให้เด็กสบายใจมากขึ้นเเละช่วยเด็กเข้าใจความสูญเสีย

เล่นอย่างมีประสิทธิภาพ

เอริกา คริสตากิ (Erika Christaki) อดีตอาจารย์ใน Yale Child Study Center เเละเจ้าของหนังสือ The Importance of Being Little: What Young Children Really Need from Grownups กล่าวว่า เเรงกระตุ้นในการเล่นไม่ต่างจากวิวัฒนาการของคนเพราะไม่สามารถลัดวงจรได้ เเละยังบอกอีกว่า ผู้ใหญ่คือคนสำคัญในการวางรากฐานให้กับเด็ก ๆ หรือที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “การเล่นที่มีประสิทธิภาพ” (Productive play) ซึ่งเป็นการเล่นที่จะช่วยเสริมทักษะด้านอารมณ์เเละการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของพวกเขา โดยคริสตากิเสนอเเนวทางว่าผู้ใหญ่สามารถเป็นคนสนับสนุนการเล่นของเด็ก

สิ่งเเรกคือการเข้าถึงเเบบ P.A.C.E เป็นวิธีการเล่นที่จะช่วยผู้ใหญ่ที่อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมของเด็กๆ เเละเพิ่มความสามารถของพวกเขาด้วยตัวเลือกที่เหมาะสม เช่น การถามว่าเขาอยากร้องเพลงอะไรหรืออยากกินอะไร รวมถึงทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย ประกอบด้วย 4 ข้อ ตามตัวย่อของ 4 ตัวอักษร คือ

P: Playfulness การเล่น

การสร้างบรรยากาศที่น่าสนใจในการสื่อสารกับเด็ก เช่น การใช้น้ำเสียง การสร้างองค์ประกอบของความสนุกในชีวิตเเต่ละวันรวมถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กไม่สบายใจ เพื่อสร้างความสนุกสนานเเละทำให้เด็กมีความรู้สึกร่วม ซึ่งจะช่วยเด็กเปิดรับประสบการณ์ในชีวิตของพวกเขา

A: Acceptance การยอมรับ

การยอมรับในความคิด ความฝัน เเรงบันดาลใจ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้พฤติกรรมของเด็ก เเละเป็นการยอมรับโดยไม่ได้ตัดสินหรือประเมินไปก่อนเพราะความคิดของเด็กไม่มีผิดหรือถูก

C: Curiosity ความอยากรู้

การช่วยให้เด็กอยากรู้เเละรับรู้ในความรู้สึกของตนเองที่สะท้อนผ่านพฤติกรรมของพวกเขาที่ทำให้เด็กเข้าใจว่าผู้ปกครองหรือนักจิตวิทยาเข้าใจความหมายของสิ่งที่พวกเขาทำ

E: Emphaty การเอาใจใส่

การเอาใจใส่จะทำให้เด็กรู้สึกถึงความเห็นอกเห็นใจเเละทำให้เด็กรู้ว่าความรู้สึกของพวกเขาเป็นเรื่องสำคัญเเละพร้อมจะอยู่เคียงข้างเขาในวันที่มีปัญหารวมถึงพร้อมจะให้ความสบายใจเเละจะไม่ทิ้งเขาในวันที่เขาต้องการผู้ใหญ่มากที่สุด

ดังนั้น ผู้ใหญ่ควรคิดว่าเด็กกำลังควบคุมอารมณ์เครียดภายในตัวเขา พวกเขาต้องการพลังเเละอิสระ เพื่อให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัยเเละการดูเเลเอาใจใส่ จึงควรจะสร้างตัวเลือกที่เหมาะสมให้เขาเป็นคนเลือกสิ่งที่เขาอยากทำเอง

ขณะเดียวกันผู้ใหญ่ไม่ต้องกังวลว่าคำพูดของพ่อเเม่จะทำให้เด็กรู้สึกไม่ดี เพราะตามธรรมชาติของเด็ก เขาจะมองหาสิ่งที่ตรงกับความสนใจของตัวเองรือบางครั้งอาจจะลงมือทำเลย เพราะพวกเขารู้ว่าสิ่งไหนเหมาะสมกับตัวเขาเเละเข้าใจอารมณ์ของตัวเองมากที่สุด

อย่าทำให้เด็กอับอาย

นอกจากนี้บางครั้งการเล่นของเด็กเป็นการกระตุ้นความไม่สบายใจภายในใจของผู้ใหญ่ที่มองว่า การเล่นของเด็กเป็นเรื่องเเปลกเกินไป ถือเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ผู้ใหญ่ไม่ได้เเสดงความรู้สึกว่าการเล่นของเด็กเป็นเรื่องที่น่าอับอายหรือเป็นสิ่งที่ผิด

เพราะการเล่นเป็นเรื่องของเเต่ละบุคคล เเนนซี่ คริสสัน เพจ (Nancy Carisson-Paige) อาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการขจัดปมผ่านการเล่นของเด็กประจำมหาวิทยาลัยเลสลีย์ (Lesley University) ในเมืองเเคมบริดจ์เเละมัสชาชูเซต กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า องค์ประกอบของเด็กประกอบด้วย 3 อย่างคือ อารมณ์ ความคิด เเละร่างกาย

ข้อเสนอต่อมาของคริสตากิ คือ การสร้างสรรค์เงื่อนไขในการค้นหาจินตนาการคือ การส่งเสริมเด็กที่จะเล่นตามสิ่งที่เขาต้องการ เเละเเนะนำให้ใช้ของเล่นที่สามารถเล่นได้หลายเเบบ (multi-use toys) เช่น บล็อคหรือตุ๊กตาไม้ เเละเริ่มกิจกรรมในสิ่งที่เขาอยากทำ การเล่นแบบนี้จะช่วยให้เขาปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในใจได้อย่างไร? อาจคิดตามอย่างนี้ว่า ถ้าให้เด็กเล่นตุ๊กตาโมเดลตัวละครซุปเปอร์เเมน พวกเขาก็จะเลือกเล่นตามเรื่องราวของซุปเปอร์เเมน เเต่ถ้าพวกเขาเล่นตุ๊กตาโมเดลเเบบไร้หน้า พวกเขาจะเล่นตามความรู้สึกเเละอารมณ์ รวมถึงเด็กๆ จะเจอกับความตื่นเต้น ความเศร้าเเละความสับสน ซึ่งการเล่นในลักษณะนี้จะเป็นการเล่นที่มีประสิทธิภาพ เพราะการเล่นจะสะท้อนประสบการณ์เเละจินตนาการ

ผู้ใหญ่ คือ นักสังเกตการณ์เล่น

รวมถึงการดูรูปแบบการเล่นที่ไม่เหมาะกับเด็ก คือ ในเหตุการณ์ที่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักหรือเด็กขาดการเล่น ซึ่งกลายเป็นข้อกังวล หมายความว่า ผู้ใหญ่ไม่ควรสอดแทรกหรือเข้าไปจัดการกับการเล่นของเด็ก

ผู้ใหญ่ควรเป็นนักสังเกตการณ์ เว้นเเต่เป็นการเเนะนำวิธีการเล่นให้กับเด็ก เเละควรจะทำให้เด็กเป็นผู้นำในการเล่น เเละมองท่าทางเเละพฤติกรรมเเละฟังคำพูดของเขา หรือผู้ใหญ่อาจจะลองถามวิธีการจากเด็กก็ได้ เพื่อให้เขาสามารถควบคุมการมีส่วนร่วมในการเล่นของผู้ใหญ่ได้ เพราะความจริงเเล้ว เด็กคือครูที่ดีที่สุดว่าเราจะเล่นเเบบไหน ด้วยวิธีการไหน 

เเต่อย่างไรก็ตาม ถ้าการเล่นทำให้เด็กรู้สึกกังวล หรือว่าไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นตามที่เขาต้องการหรือซ้ำเดิม อาจเป็นสัญญาณว่าการเล่นในลักษณะนี้ไม่ได้ตอบโจทย์ความชอบหรือความต้องการของเด็กคนนั้น เเล้วผู้ใหญ่เองควรจะเเนะนำองค์ประกอบเเละการนำเสนอที่น่าสนใจ

“การมองหาความเปลี่ยนเเปลงในการเล่นของเด็ก เพราะถ้ายังคงเล่นเเบบเดิมเเล้วทำให้เกิดเหตุการณ์เเละผลลัพธ์เเบบเดิมๆ ทุกครั้ง หมายความว่าการเเทรกเเซงหรือความสนใจนั้น ผู้ใหญ่ควรเข้าไปเเนะนำ”

“เด็กต้องการที่จะมีความรู้สึกมั่นคงผ่านพื้นที่การเล่นตามจินตนาการ” โดยพื้นที่เหล่านั้นผู้ใหญ่สามารถจัดพื้นที่ปลอดภัยท่ามกลางเหตุการณ์บ้านเมืองในปี 2020 ดังนั้นผู้ใหญ่ควรระมัดระวังการจัดสมดุลในการจัดพื้นที่ระหว่างอิสระในการที่จะเเสวงหาความซับซ้อนจากเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวของเขาเองเเละระยะเวลาในการเล่น

อ้างอิง
How Children Process Grief and Loss Through Play
The Importance of Play
MacArthur Fellows Program
What is mean by PACE

Tags:

การเล่นความเข้าอกเข้าใจ(empathy)ความสงสัยใคร่รู้(Curiosity)PACE

Author:

illustrator

ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

นักศึกษาปีสุดท้ายที่ชอบดูซีรีส์เกาหลี เชื่อว่าซีรีส์คือพื้นที่การเรียนรู้ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ สนใจเรื่องระบบการศึกษา อยากเล่าเรื่องให้สนุกเเบบฉบับของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

เพชรลัดดา แก้วจีน

นักวาดภาพประกอบอิสระ มีความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆในสังคม ชอบสังเกตผู้คน เขียนบันทึก และอ่านหนังสือ ยามว่างมักใช้เวลาไปกับการดริปกาแฟและเล่นกับแมว

Related Posts

  • How to enjoy life
    เก็นจิ เก็นบุตซึ (Genchi Genbutsu):  ไปให้เห็นกับตา ค้นหาความจริงและไม่ด่วนตัดสิน

    เรื่อง ปริพนธ์ นำพบสันติ ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    self-awareness และ empathy ยาสามัญสำหรับคนป่วยใจ: เชื่อม ‘โลก’ ซึมเศร้า กับ Eyedropper fill

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Character building
    ‘LEARNING HOW TO LEARN’ เรียนเพื่อเรียนรู้: คอร์สเรียนออนไลน์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    เอาชนะหุ่นยนต์ได้ด้วยการ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ และความฉลาดทางอารมณ์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: พลังของการเล่นสร้าง EF

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เพราะการเงินไม่แบ่งวัย เราทุกคนควรรู้วิธีบริหารเงินตั้งแต่เด็ก: คุยเรื่องเงินกับ Money Coach หนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์
Everyone can be an Educatorอ่านความรู้จากบ้านอื่น
13 August 2020

เพราะการเงินไม่แบ่งวัย เราทุกคนควรรู้วิธีบริหารเงินตั้งแต่เด็ก: คุยเรื่องเงินกับ Money Coach หนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาปรียานุช ปรีชามาตย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ผู้ปกครองอ่านได้ แต่คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะเด็กจบใหม่อ่านก็ยิ่งดี คุยเรื่องการสอนวิชาการเงิน Money literacy ที่เด็กเล็กและมัธยมต้องรู้แต่โรงเรียนอาจไม่ได้สอน กับ จักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือ โค้ชหนุ่ม (Money Coach) 
  • ตั้งแต่พ่อแม่ควรปลูกฝังเรื่องการเงินกับลูกอย่างไร และถ้าออกแบบวิชา Money literacy ให้เด็กแต่ละช่วงวัยได้ แต่ละช่วงวัยต้องรู้อะไรบ้าง และชีวิตของคนรุ่นใหม่กับการวางแผนการเงิน
  • “เราบอกเขาว่า ‘ก็ถ้าลูกมีเงินแล้วไม่ใช้ แสดงว่าเงินไม่จำเป็นกับลูกละสิ’ ผมอยากสอนลูกว่ามนุษย์มีเงินเพื่อใช้จ่ายเติมเต็มชีวิตให้มีความสุข โดยกันบางส่วนเก็บไว้เพื่อวันข้างหน้า อยากสอนให้เขาอยู่กับเงินแล้วมีความสุข ไม่ได้สอนให้ประหยัดแบบใครเก็บเงินได้มากกว่าเป็นผู้ชนะ ผมว่าชีวิตไม่ใช่แบบนั้น”

ถ้าพูดถึง Money coach เมืองไทย ชื่อของจักรพงษ์ เมษพันธุ์ หรือ โค้ชหนุ่ม คงปรากฎขึ้นมาในความคิดของหลายคน จากชายหนุ่มที่เผชิญปัญหาหนี้ 18 ล้าน ปัจจุบันเขากลายโค้ชให้คำปรึกษาด้านการเงิน เดินทางไปบรรยายให้ความรู้ เปิดคอร์สสอนออนไลน์ และเจ้าของสำนักพิมพ์ลิฟรีช (Live rich)

เราเป็นคนหนึ่งที่มีความรู้ทางการเงินแค่เรื่องการออม เพราะเรามองว่าการเงินเป็นเรื่องเข้าใจยาก ซับซ้อน ไกลตัว ให้ลงทุนกับการซื้อกองทุนซื้อหุ้นเหรอ? ขอผ่านดีกว่าไม่อยากเสี่ยง

แต่พอมีโอกาสได้มาคุยกับโค้ชหนุ่ม ความคิดเราเปลี่ยนทันที จริงๆ การเงินเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากๆๆๆ (พอๆ กับเรื่องการเมือง) ชีวิตเราจะเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนการเงิน แต่ทำไมเรื่องที่จำเป็นขนาดนี้เรากลับไม่เคยถูกสอน? 

ย้อนกลับไปช่วงที่เรียนอยู่ในโรงเรียน อยู่ในมหาวิทยาลัย เรื่องการเงินเราถูกสอนแบบไหน? เศรษฐศาสตร์จุลภาค – มหภาค เศรษฐกิจพอเพียงแบ่งที่นาทำไร่ ถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์นะ แต่เราแค่รู้สึกว่าเราไม่สามารถเอาเรื่องพวกนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้

พ้นจากวัยเรียนเข้าสู่วัยทำงาน ปัญหาที่คนส่วนใหญ่เจอ เสียภาษีคืออะไร? จะกู้ซื้อบ้านต้องทำยังไง? เก็บเงินยังไงให้ออกดอกออกผลเยอะๆ เรื่องพวกนี้หรือเปล่าคือสิ่งที่เราควรจะได้เรียน

นั่นเป็นเป้าหมายที่เราชวนโค้ชหนุ่มมาคุยกันครั้งนี้ วงสนทนาของเราเริ่มตั้งแต่วิพากษ์การสอนเรื่องการเงินที่ผ่านๆ มาเป็นอย่างไร สิ่งที่โรงเรียนรวมไปถึงครอบครัวควรสอนเด็กเรื่องการเงินในแต่ละวัย และชีวิตของคนรุ่นใหม่กับการวางแผนการเงิน

ในฐานะ Money coach คุณหนุ่มมองภาพการสอนการเงินในระบบการศึกษาไทยเป็นอย่างไร?

ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้สอนเรื่องการเงินจริงๆ จังๆ ถ้าพูดถึงความรู้เรื่องการเงิน ผมจะพูด 4 เรื่องหลักๆ คือ หนึ่ง – หารายได้ เป็นเรื่องที่เราแทบไม่ต้องสอนกัน เพราะเรียนหนังสือจบเราก็มีความรู้ไปหารายได้กันเป็น แต่เราขาดการสอนอีก 3 เรื่อง คือ การใช้จ่าย การออม และการลงทุน อาจเป็นเพราะระบบการศึกษาเรายังติดอยู่ในโลกอดีต แต่ปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว

สมัยก่อนเราไม่จำเป็นต้องลงทุน แค่เก็บออมก็พอ ก่อนหน้าปี 40 ดอกเบี้ยเงินฝากประจำเฉลี่ย 10 – 12% แค่ทำงานแล้วเก็บออมก็ได้เงินเยอะแล้ว แต่ตอนนี้ดอกเบี้ยเงินฝากมันเหลือเปอร์เซ็นต์เดียว แถมกำลังลดลงไปอีก เพราะฉะนั้นหลักสูตรการศึกษาแบบเดิมที่ไม่ได้พูดการเงินด้านอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว ลำพังแค่หารายได้ กินให้เหลือ เก็บออม ไม่สามารถทำให้เราดูแลตัวเองได้

ความเปลี่ยนของโลกอีกอย่าง เมื่อก่อนการใช้จ่ายคนเรามันไม่ง่ายเหมือนวันนี้ เดียวนี้เรามีแอปพลิเคชันบนมือถือที่ชวนให้เราเสียเงินได้ทุกวินาที ถ้าเป็นสมัยก่อนมีทางเดียว คือ เราต้องไปห้าง ไปร้านค้า เราถึงได้ควักสตางค์ซื้อของ 

เลยจำเป็นที่ปัจจุบันเราต้องสอนเรื่องพวกนี้ (หารายได้ ใช้จ่าย เก็บออม และลงทุน) อย่างน้อยที่สุดให้เขามีความรู้ไว้เพื่อเวลาจำเป็นสามารถดึงออกมาใช้ได้ คงไม่ใช่ว่าโรงเรียนไม่ตั้งใจจะสอนเรื่องการเงิน เพียงแต่ว่าหลักสูตรมันเปลี่ยนไม่ทันโลก แม้กระทั่งการหาเงินที่คนยุคเก่าบอกเราว่า ‘แค่ตั้งใจเรียนก็พอ เรียนจบจะได้มีงานดีๆ ทำ มีเงินเยอะแยะ’ แต่สมัยนี้เด็กอายุ 15 – 16 สามารถหารายได้ๆ แล้ว บางทีหาด้วยวิธีที่พ่อแม่ไม่เข้าใจ เช่น รีวิวของ โฆษณาทางยูทูป รายได้อาจจะมากกว่าพ่อแม่ที่ออกไปทำงานซะอีก เขาอาจตั้งคำถามว่า อย่างนี้เขาต้องเรียนไหม? 

ผมว่านอกจากหลักสูตรต้องเปลี่ยน ตัวพ่อแม่เองก็ต้องปรับวิธีสอนเช่นกัน อย่างเรื่องการเรียนอย่าสอนว่า ‘ถ้าไม่ตั้งใจเรียนแบบนี้ อีกหน่อยไม่มีงานทำแล้วจะรู้สึก’ พ่อแม่ต้องเปิดใจให้กว้าง เหตุผลการเรียนคงต้องเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่เรื่องหาเงิน แต่คือความรู้วิชาที่เราสะสมไว้ใช้ดำรงชีวิต

ถ้าถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนวิธีสอนเรื่องการเงิน เราควรจะเปลี่ยนยังไง และถ้าต้องเริ่มสอนตั้งแต่เด็กๆ แต่ละช่วงวัยควรรู้เรื่องการเงินด้านไหนบ้าง?

สำหรับเด็กประถม เบสิคสำคัญอยู่ที่การใช้จ่ายและการออม พยายามทำให้มันอยู่ในชีวิตประจำวันเขา อย่าไปแยกว่านี่คือเรื่องเงิน เพราะชีวิตประจำวันเราต้องใช้เงินอยู่แล้ว ในหมวดการใช้จ่าย ตั้งหลักสอนเขาเรื่องความจำเป็น ให้เด็กแยกได้ว่าอะไรคือจำเป็น อะไรคือความต้องการ ผมว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก

ความยากที่สุดของการสอนเรื่องเงินคือใส่ศิลปะลงไป ว่ามนุษย์เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อความจำเป็นเท่านั้น เรามีชีวิตมีความสุขได้ด้วยความต้องการเหมือนกัน เราไม่ได้อยากกินข้าวแกงทุกมื้อ บางวันเราก็อยากกินชาบูบ้าง

ผมขอยกตัวอย่างคำว่าฟุ่มเฟือย กับ เกินตัว สองคำนี้แตกต่างกันนะ มนุษย์เราเวลาฟุ่มเฟือยแล้วมีความสุขดีใช่ไหม? เราได้ใช้จ่ายในสิ่งที่มันสูงขึ้นไป ซึ่งคนเราฟุ่มเฟือยได้นะแต่ต้องไม่เกินตัว เราสามารถกินชาบูบางมื้อได้ กินของราคาสูงได้ แต่ถ้าให้กินทุกวันก็ไม่ไหว เดี๋ยวกระทบกับการเงิน (หัวเราะ)

อีกเรื่องที่ควรสอนในหมวดการใช้จ่าย คือ ความคุ้มค่า สอนเขาเวลาที่ตัดสินใจซื้อหรือจ่ายเงินให้อะไรสักอย่าง ให้เขาตัดสินใจโดยดูว่าสิ่งไหนเหมาะสมกับเขา ของบางอย่างไม่จำเป็นต้องซื้อถูก บางอย่างอาจจะซื้อแพงได้ แต่ให้เขาเปรียบเทียบได้ว่าซื้อสิ่งไหนคุ้มค่ากว่า

หัวใจสำคัญในการสอนเรื่องเงิน สุดท้ายปลายทางเราต้องทำให้เด็กสามารถตัดสินใจเรื่องการเงินได้อย่างถูกต้อง (ในแบบของเขา) เพราะชีวิตเขาจะเจอ choice ทางเลือกเยอะแยะ แค่จะซื้อมือถือเครื่องเดียวเราจะเจอ choice แบบ “อื้อหือ! Iphone ก็ดูคลาสิคดี แต่ Samsung ก็ช่างฟีเจอร์เยอะเหลือเกิน” 

พยายามให้เขาตัดสินใจเรื่องการเงินบนเหตุและผลบวกศิลปะด้านอารมณ์เข้าไป การเงินเราจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ไม่มีผิดหรือถูกเพราะการเงินเป็นเรื่องปักเจกบุคคล เราต้องสอนให้เด็กรู้ว่า ไม่ว่าจะเลือกอะไรก็เป็นสิทธิ์ของเรา ไม่มีใครวิจารณ์เราได้ ถ้าเราสามารถจัดการการเงินเราได้อย่างเหมาะสม

ส่วนการออมต้องปลูกฝังให้เป็นนิสัยติดตัวเขาตั้งแต่เด็ก ผมพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการออมเงิน มักจะถูกปลูกฝังเรื่องการออมมาตั้งแต่เด็กๆ จนถึงกระทั่งถ้าไม่ได้ออมเงินเขาจะรู้สึกผิด ซึ่งถ้าพ่อแม่สามารถปลูกฝังให้ลูกได้ถึงขั้นนี้ผมว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีมาก ให้เหมือนกับการทำดี ถ้าไม่ทำแล้วจะรู้สึกผิด ซึ่งการปลูกฝังนิสัยรักการออมอาจจะไม่ใช่หน้าที่ครู แต่เป็นหน้าที่พ่อแม่ด้วยซ้ำ

‘ปลูกฝังการออมให้เหมือนกับการทำดี’ ฟังแล้วดูยากจัง โค้ชหนุ่มพอจะมีคำแนะนำไหมว่าควรเริ่มต้นอย่างไร?

แล้วแต่คนเลย อย่างที่บ้านผมเราใช้วิธีแอบสะกดจิต (หัวเราะ) ตั้งแต่เขายังเด็กๆ สัก 2 – 3 ขวบ ก่อนนอนเราจะยื่นเหรียญให้หนึ่งเหรียญ ให้เขายอดกระปุกทุกวัน ด้วยความที่เขายังเป็นเด็กก็จะเกิดความชิน ยังนอนไม่ได้ถ้ายังไม่ได้หยอดกระปุก (หัวเราะ)

พอถึงวัยเข้าโรงเรียน เราจะไปสำรวจที่โรงเรียนเขาว่าร้านขนมขายของราคาต่อชิ้นเท่าไร แล้วมานั่งคิดว่าจะให้เงินไปโรงเรียนเท่าไร อาจบวกเพิ่มไปนิดหนึ่งเผื่อมีวันที่เขาอยากกินอะไรกับเพื่อนๆ แล้วเราก็สร้างแรงจูงใจว่า ‘เนี่ย ถ้าลูกเก็บเงินเดี๋ยวพ่อให้เงินเพิ่ม’ สมมติเหลือกลับมา 5 บาท เราให้เพิ่มอีก 5 บาท สนุกดีนะ มีบางวันที่เขาไม่กินอะไรเลยเพราะกะจะเก็บเงินเต็มๆ (หัวเราะ) เราก็บอกเขาว่า ‘งั้นพ่อไม่ให้เงินนะพรุ่งนี้ เอาเงินที่เหลือวันนี้ไปใช้วันพรุ่งนี้’ เขาก็จะแบบ ‘อ้าว ทำไมละพ่อ เก็บมา 20 ก็ต้องได้เพิ่ม 20 สิ’ เราบอกเขาว่า ‘ก็ถ้าเกิดลูกมีเงินแล้วไม่ใช้ แสดงว่าเงินไม่จำเป็นกับลูกละสิ’ 

ผมอยากสอนลูกว่า มนุษย์มีเงินเพื่อใช้จ่ายเติมเต็มชีวิตให้มีความสุข โดยกันบางส่วนเก็บไว้เพื่อวันข้างหน้า อยากสอนให้เขาอยู่กับเงินแล้วมีความสุข ไม่ได้สอนให้ประหยัดแบบใครเก็บเงินได้มากกว่าเป็นผู้ชนะ ผมว่าชีวิตไม่ใช่แบบนั้น 

อันนี้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ ผมเคยเป็นหนี้ 18 ล้านตอนปี 40 พอแก้หนี้เสร็จปุ๊บผมหาเงินรัวๆ เพราะอยากจะรวย สุดท้ายเป็นภูมิแพ้เกือบตาย ตอนนอนอยู่โรงพยาบาลหมอก็แซวนะ ‘เฮอะ! หาเงินเยอะๆ แล้วเป็นไง ตายไปได้ใช้มั้ย? สุดท้ายหาเงินมาให้หมอใช้’ เราก็กลับมาคิดว่า เฮ้ย! เงินมันไม่ใช่แบบนั้นนิ ฉะนั้น เราจะไม่ไปปลูกฝังเขาแบบนั้น

แล้วผมจะไม่สอนให้เขาตั้งเงินเป็นเป้าหมายชีวิตด้วย เราอย่าไปตั้งเป้าเลยว่าอยากจะมี 10 ล้าน 20 ล้าน เพราะการวางแผนการเงินที่ถูกต้องต้องวางแผนชีวิตก่อนว่าชีวิตที่เราอยากได้เป็นแบบไหน บางคนอาจจะอยู่ในเมือง มีคอนโดสักห้องหนึ่ง มีรถคันหนึ่ง ได้ทำงานที่รัก มีเงินกิน – เงินเก็บ ดูแลตัวเองได้หากเจ็บป่วย แบบนี้อาจจะไม่ต้องถึง 10 ล้านก็ได้ โจทย์ชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราต้องวางแผนชีวิตให้ชัด เสร็จแล้วค่อยวางแผนการเงิน โดยดูว่าสิ่งที่เราต้องการต้องมีเงินไปสนับสนุนเท่าไร แล้วค่อยไปวางแผนจากตรงนั้น

พอสอนเรื่องการออมเสร็จค่อยต่อยอดไปสอนเรื่องอื่นๆ เช่น การเก็บตังค์ซื้อของ ที่บ้านผมจะให้สิทธิ์ลูกซื้อของเต็มที่ เงินเก็บเงินออมจะเอาไปซื้อของหมดก็ไม่มีใครว่า เพราะเงินของคุณคุณต้องบริหารเอง เราพยายามสอนให้เขาคิด บริหาร ตัดสินใจเอง

แต่ชีวิตคนเรามักจะหนีไม่พ้นต้องมีเรื่องทุนนิยมมาเกี่ยวข้อง แล้วพ่อแม่จะสอนลูกได้ยังไงว่า เงินไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของชีวิต

ผมว่าคำพูดพ่อแม่ในบ้านเป็นจุดเริ่มต้น อยู่ที่ว่าเราพูดอะไร ‘เงินนะ ไอ้นี้ก็ต้องเงินๆๆๆ’ แล้วการสอนเด็กไม่ใช่กดปุ่มปุ๊บแล้วจะได้สิ่งที่เราต้องการปั๊บ แต่มันคือการกล่อมเกลา เราสอนไปเรื่องหนึ่ง เขาอาจ react กลับมาผิดถูกบิดเบี้ยวไม่เป็นไร เวลาสอนเด็กเราต้องมีความรู้สึกที่พร้อมจะให้อภัย คิดถึงตอนเราเรียนหนังสือก็ได้ กว่าเราจะแยกตัวประกอบคณิตศาสตร์ได้จะเป็นจะตาย มันต้องใช้เวลา

บ้านผม ด้วยความที่เรามีสำนักพิมพ์ก็ให้ลูกไปทำงานขายหนังสือ 10 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ให้เงิน 300 บาท เขาก็บอกว่า ‘พ่อ ทำไมเป็นลูกเจ้าของแล้วต้องมาขายหนังสือด้วย’ เราจะบอกเขาว่า ‘ไม่ ลูกอยู่ในฐานะของลูกจ้าง เมื่อเป็นพนักงานเราก็ต้องทำงานเขาให้เต็มที่ เงินมันสำคัญ แต่คุณค่าในตัวเองก็สำคัญเช่นกัน’ เราสอนเขาต่อว่า จนแค่ไหนอย่าไปขอเงินใคร ไม่ต้องไปรอรับเงินบริจาค แค่เอาแรงมาขายเราก็ได้สตางค์ละ

ที่โค้ชหนุ่มเล่ามาก็จะเป็นการเงินที่เด็กประถมควรรู้ แล้วถ้าเป็นเด็กมัธยมเขาควรจะรู้การเงินด้านไหนบ้าง?

ลูกคนโตผมเขาขึ้นมัธยม เราสอนเขาทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อดูว่าเงินที่มีเขาเอาไปใช้เอาไปไว้ตรงไหนบ้าง แล้วเราก็ไม่ไปยุ่งกับเขาว่า ทำไมซื้ออันนั้น ทำไมซื้ออันนี้ เราไม่มีสิทธิ์เพราะมันเป็นเงินเขา แต่ว่าเราอยากให้เขาแจกแจงตัวเอง ให้เห็นว่าทำอะไรไปบ้าง ก็วางแผนว่าพอขึ้นมัธยมปลายค่อยไปสอนเรื่องการลงทุน ว่าเงินที่เขามีอยู่มันมีทางเลือกมากมาย รวมไปถึง sense ผู้ประกอบการในอนาคต สามารถใส่ในวัยมัธยมปลายได้

แต่มายเซ็ตสังคมส่วนใหญ่ยังมองว่าวัยมัธยมยังเป็นเด็ก การลงทุนหรือแม้แต่การเงินเป็นเรื่องที่ไกลตัวพวกเขา ต่อให้ขึ้นมหาวิทยาลัยก็ยังคงเจอมายเซ็ตแบบนี้อยู่

จริงๆ ผู้ใหญ่ที่ลงทุนแล้วขาดทุน เป็นเพราะไม่ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้ การลงทุนไม่ใช่ว่าเรามีเงินก้อนหนึ่งแล้วถามคนอื่นว่า ‘ซื้ออะไรดี?’ การลงทุนมีเรื่องที่ต้องศึกษาเยอะมากๆ กว่าที่เราจะเอาเงินสักก้อนไปวาง เราสอนเด็กให้เรียนแต่ตัวเองกลับไม่เรียนซะเอง แล้วแปลกนะ พอเราเรียนจบปุ๊บเรากลับไม่อยากเรียนอะไรต่อละ ผมถึงชอบแซวว่า ‘ลงทุนเรียน 16 ปี เพื่อเอาเงินเดือนหมื่นกว่าบาทมาสู้กันแทบตาย แต่พอจะต่อยอดเงินที่ตัวเองมีให้เป็นหลักแสนหลักล้านเรากลับไม่เรียน บอกไม่มีเวลา’

เรื่องพวกนี้เราควรปูให้เขาไว้ตั้งแต่มัธยม ช่วงมัธยมต้นอาจให้เขาเริ่มลงทุนแบบง่ายๆ เช่น ซื้อสลากออมสิน สลากธ.ก.ส. สลากออมทรัพย์อื่นๆ รวมไปถึงทำความรู้จักหุ้นสหกรณ์ เงินฝากสหกรณ์ กองทุนรวม แต่เด็กบางคนเขาอาจซื้อหุ้นเป็นแล้วนะ อย่างลูกชายผมซื้อหุ้นเป็นตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เป็นเพราะเวลาเราทำงาน เขาก็ไปกับเราตลอด นั่งฟังอยู่หลังห้องประจำ ทำให้เขาสนใจเรื่องการเงินไปในตัว 

พอถึงช่วงมัธยมปลาย เราสามารถใส่เรื่องการวางแผนทางการเงินได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น สอนให้เขารู้จักสินเชื่อต่างๆ การวางแผนซื้อบ้านซื้อรถ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวนะ แต่มันเป็นสิ่งที่เขาต้องเจอในอนาคตแน่ๆ อย่างการกู้เงินซื้อบ้าน ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดนะ คิดดูเด็กคนหนึ่งทำงานมา 10 ปีจะมีสักกี่คนที่ซื้อบ้านด้วยเงินสดได้ ในประเทศไทยมันมีไม่เยอะถ้าไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองนะ เราควรสอนเขาให้ดูว่าถ้าซื้อบ้านขนาดเท่านี้ ควรขอสินเชื่อแบบไหน ดอกเบี้ยขั้นบันไดเป็นอย่างไร หรือสอนเขาเรื่องที่มันใกล้ตัวมากขึ้นอย่างเก็บเงินเรียนต่อ ถ้าไม่มีเงินสามารถกู้ก.ย.ศ.ได้นะ เขาคิดดอกเบี้ยเท่าไหร่ 1% แต่ถ้าไม่จ่ายเขาคิดดอกเบี้ยปรับ 18% แถมคิดย้อนหลังตั้งแต่วันแรกที่ได้เงิน เด็กส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะไม่มีคนสอนเขา

รวมไปถึงสอนเรื่องอื่นๆ เช่น ถ้าเกิดปัญหาทางการเงินต้องจัดการอย่างไร ทุกวันนี้คนที่มีปัญหาทางการเงิน ไม่มีเงินจ่ายหนี้ รู้ไหมเขาแก้ปัญหายังไง? คนส่วนใหญ่จะพยายามไปหาสินเชื่อตัวใหม่กู้เงินมาจ่ายหนี้เก่า ซึ่งเป็นวิธีที่ผิดแต่ทำกันทั้งประเทศ (หัวเราะ) เราควรสอนเขาว่า ถ้าเกิดปัญหาเราส่งเงินไม่ไหวต้องแก้ยังไง ธนาคารส่วนใหญ่เขามีช่องให้คุยนะ แต่เรากลับเลือกไม่คุยกัน แล้วปล่อยให้ผิดนัดชำระหนี้ค่อยไปคุยทีหลังซึ่งมันคุยยาก 

หรือกลโกงทางการเงินอย่างแชร์ลูกโซ่ ทำไมคนไทยถึงเชื่อแชร์ลูกโซ่ เพราะเราไม่รู้ว่าการลงทุนหน้าตาเป็นยังไง การลงทุนจริงๆ ให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งก็ถือว่าเยอะแล้วนะ แต่เจอแม่มณี (แชร์ลูกโซ่แม่มณี (2019) แชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่ที่มีการใช้ดอกเบี้ยที่สูงกว่า 93 เปอร์เซ็นต์ มาจูงใจให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนมีผู้เสียหายหลายพันคน) เข้าไปผลตอบแทน 93% ต่อเดือน ทำไมเราถึงเชื่อ? นี่คือสิ่งที่มันควรใส่เข้าในหลักสูตรไป 

พูดถึงฝั่งเด็กไปแล้ว มาที่ฝั่งคนสอนอย่างครูบ้างดีกว่า วิชาการเงิน 101 สำหรับครูที่เริ่มสอนการเงิน โค้ชหนุ่มพอจะมีคำแนะนำไหมว่าพวกเขาต้องเริ่มต้นยังไง?

ในมุมผมอาจเป็นแบบปฎิวัติ คือ ครูต้องดูแลการเงินของตัวเองให้ดีก่อน ไม่งั้นทุกครั้งที่เราพูดว่าการเงินที่ถูกต้องเป็นยังไง คงสะเทือนใจไม่น้อยละผมว่า คงต้องปรับการเงินของครูไปพร้อมๆ กับปรับหลักสูตร ตีคู่กันไป

ส่วนตัวหลักสูตรผมเคยคิดนะว่า ทำไมเราไม่เอาเรื่องการเงินไปอยู่ในทุกวิชา ไม่ต้องแยกหรอกว่าเป็นวิชาการเงิน อย่างวิชาคณิตศาสตร์ทำไมไม่ใส่การเงินเข้าไป ผมสามารถสอนหนี้นอกระบบได้ผ่านการทำโจทย์คณิต เช่น คุณพ่อไปยืมหนี้นอกระบบมาต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 5% ถามว่าสิ้นเดือนคุณพ่อต้องจ่ายดอกเบี้ยรวมเท่าไร คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นของเงินต้นทั้งหมด กลับมีแต่โจทย์ฝากตังค์ที่ธนาคารได้ดอกเบี้ย 2% ทำไมเราคิดโจทย์คณิตศาสตร์ที่มันลอยๆ ทำไมเราไม่เอาข้อเท็จจริงไปสอนเด็ก 

หรือสอนสถิติด้วยการให้นักเรียนเอาบิลค่าน้ำค่าไฟมาโชว์สัก 12 เดือน ถ้าเป็นเด็กเล็กๆ ก็สอนให้เขาเปรียบเทียบว่า เดือนมีนาคมใช้ไฟเท่าไร เพราะอะไรถึงใช้มากกว่าเดือนธันวาคม ถ้าเป็นเด็กโตก็สอนเรื่องฟังก์ชั่นสมการว่า เอาค่าน้ำค่าไฟมาพล็อตเป็นกราฟได้รูปยังไง หรือวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ เราสอนให้เขาทำอาหารแล้วขาย เราสามารถต่อยอดสอนให้เด็กทำบัญชีต้นทุน – รายรับ รายจ่าย หรือเอาเงินขายของไปต่อยอดทำอย่างอื่นต่อ

ผมว่าครูเป็นคนหนึ่งที่สำคัญมากที่สามารถปลูกฝังเรื่องการเงินให้เด็กได้ แต่เด็กส่วนใหญ่เขาเรียนรู้เรื่องเงินจากที่บ้าน สังเกตได้ว่าบ้านไหนที่คุณพ่อคุณแม่มีนิสัยประหยัดมัธยัสถ์ มีโอกาสถ่ายทอดมาที่ลูก มีการเงินสไตล์เดียวกัน

วิชาการเงินเป็นวิชาที่ประหลาดนะ เพราะต้นแบบที่สอนต้องการเงินดี เงินไม่ใช่ความรู้ ไม่ใช่ knowledge ถึงคุณมีความรู้ด้านการเงิน แต่คุณก็อาจไม่ประสบความสำเร็จทางการเงิน หนึ่ง – ต้องมีความรับผิดชอบ วันนี้ถ้ามองไปที่สังคมไทย เราจะเห็นบางคนที่มีปัญหาทางการเงินแต่เลือกนิ่งเฉย เลือกที่จะ ignore คิดว่าการเงินก็เหมือนความรักเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่าง ไม่! บอกเลยเวลาจะทำให้ดอกเบี้ยบานขึ้น (หัวเราะ) 

สอง – พอมีความรับผิดชอบต้องมีความรู้ด้วย สาม – เป็นเรื่องที่ยากที่สุด คือ วินัย คนเรามีโอกาสเก็บเงินได้ 7 ล้าน 10 ล้าน ไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นคนทำงานทั่วไปกินเงินเดือนก็สามารถทำได้ ถ้าเรามีความรู้และวินัยพอ

คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ไม่ได้ผ่านการเรียนเรื่องพวกนี้ แต่เมื่อเข้าสู่วัยทำงานกลับถูกคาดหวังว่าต้องจัดการการเงินได้ มีเงินเก็บ เลี้ยงดูพ่อแม่ได้ แล้วพอไม่สามารถทำได้ก็จะเจอประโยคที่ว่า ‘คนรุ่นใหม่เก็บเงินไม่เป็น แถมจนกว่าคนรุ่นเก่า’

ถ้ามองเป็นเรื่องกับดักรายได้ก็เป็นไปได้นะ เพราะปัจจุบันรายได้มันไม่เพิ่มขึ้นเท่าไรเลย ตอนผมเรียนจบปี 40 วิศวกรรุ่นนั้นจบมาเงินเดือนเริ่มต้น 16,000 แต่เห็นรุ่นนี้ก็ไม่ได้ต่างกันมากนะ (หัวเราะ) แต่ว่าก๋วยเตี๋ยวสมัยนั้นกับสมัยนี้ต่างกันไปแล้วเท่าตัว ปัญหานี้มันอาจประกอบด้วยหลายปัจจัย คือ รายได้ที่ไม่ปรับ แต่สภาพสังคมเปลี่ยน การใช้การบริโภคของเราหนักขึ้น 

แต่ในอีกมุมหนึ่งผมคิดว่ามันมีโอกาสเพิ่มขึ้นนะ เทียบกับผมตอนปี 40 ที่ช่วงนั้นมีวิกฤตต้มยำกุ้งด้วย สมัยนั้นกว่าเราจะสร้างอะไรสักอย่างด้วยตัวเองมันไม่ง่าย สมมติผมเป็นวิศวกรทำงานเป็นที่ปรึกษาให้โรงงานต่างๆ ถ้าผมอยากให้ตัวเองมีชื่อเสียงคนรู้จักมากขึ้น โอ้โห ผมต้องเข้าออกโรงงานไม่รู้กี่แห่ง จนคนเริ่มรู้จักและพูดว่า ‘ใช้บริการอาจารย์คนนี้สิเก่ง’ เทียบกับยุคปัจจุบันที่เรามีโซเซียลมีเดีย เราสามารถพลิกหรือทำให้คนรู้จักเรา เห็นความสามารถเราได้ง่ายขึ้น

มีทั้งข้อได้เปรียบ – เสียเปรียบ หรือบางคนยังอยู่ในโลกการเงินใบเดิมว่า ตั้งใจเรียนหางานดีๆ ทำ แล้วยึดรายได้นี้เป็นหลัก ผมไม่ได้บอกว่าให้ออกจากงานประจำนะ เพียงแต่ว่าอาจถึงยุคที่เราต้องมีรายได้มากกว่าหนึ่งทาง อาจจะมาจากอาชีพอิสระ จากการทำธุรกิจ หรือจากการลงทุนของเรา เพราะเราคงไม่สามารถไปเปลี่ยนโครงสร้างรายได้ของสังคมได้หรอก อยู่ดีๆ จะให้ไปบอกว่า เพิ่มเงินเดือนให้ทุกคนสบายหมดคงทำไม่ได้ ก็ปรับที่ตัวเรา

ส่วนเด็กจบใหม่เขามีลักษณะที่ต่างกัน บางคนไม่ต้องดูแลใคร ดูแลแค่ตัวเองก็โชคดีหน่อย แต่บางคนต้องส่งเงินให้คุณพ่อคุณแม่ ในมุมหนึ่งประเทศไทยเราเป็นสังคมอุปถัมภ์แบบนี้ ผมพยายามปลูกฝังทัศนคติใหม่ให้คนรุ่นใหม่ ลูกศิษย์ของผมส่วนใหญ่อายุ 25 – 45 ผมพยายามบอกเขาว่า ‘จงอย่าเป็นพ่อแม่ที่ต้องพึ่งพาลูก’ เวลาไปบรรยายที่ไหนจะชอบเจอคำถาม ‘ไม่มีลูก ต้องวางแผนเกษียณยังไง?’ ผมก็จะบอกว่า วางแผนเหมือนคนมีลูกแหละ เพราะเราจะไม่พึ่งพาลูก

เราต้องพาให้คนทั้งสังคมคิดแบบนี้ให้ได้ พ่อแม่ต้องวางแผนวัยเกษียณ เพราะเด็กจบใหม่เงินเดือนเขาก็น้อยอยู่แล้ว ถ้าเอาพ่อแม่ไปทับถมชีวิตเขาอีก ชีวิตเขาจะเคลื่อนไปยังไง? สุดท้ายวงจรของประเทศไทยก็เป็นแบบนี้ พ่อแม่แย่ ลูกเรียนจบมาต้องเลี้ยงดู แล้วกว่าจะตั้งตัวเก็บเงินออมได้ เผลอๆ ตอนปลายเกษียณก็ไม่มีเงินเหมือนพ่อแม่เลย วนมาที่รุ่นหลานอีก กลายเป็นวงจรส่งต่อความยากจนไปเรื่อยๆ 

แต่ละคนมีโจทย์ชีวิตไม่เหมือนกัน ใครมีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดูก็ทำไป แต่อย่าให้เกินกำลังตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่เกินกำลังตัวเองมันจะแย่ ผมเจอมาเยอะคนที่ทำงานเงินเดือนหมื่นสองแต่ที่บ้านขอหมื่นหนึ่ง ไม่รู้จะทำยังไงก็กดบัตรเงินสดออกมา แล้วตัวเองมานั่งผ่อน นี่เป็นปัญหาใหญ่เลยถ้าคนไทยไม่รู้เรื่องการเงิน ไม่วางแผน

How to เก็บเงินเกษียณฉบับมนุษย์เงินเดือน

อย่างแรกตอบให้ได้ว่าวันที่เราเกษียณเราจะใช้เงินเท่าไหร่? ถึงจะมีคนบอกว่าต้องเก็บให้ได้สัก 4 ล้าน แต่บางคนเกษียณแล้วอยากไปใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด ก็อาจใช้ไม่ถึง 4 ล้าน หรือบางคนอยากใช้ชีวิตเกษียณในเมือง อันนี้อาจจะมากกว่า 4 ล้าน ต่อมาการเก็บเงิน ถ้าพูดว่าต้องได้เงินก้อน 4 ล้าน คนจะกลัวละ แต่ถ้าบอกว่าใช้เดือนละ 20,000 ก็เป็นไปได้

วิธีคิดที่ว่าให้เก็บเป็นเงินก้อนเป็นความรู้แค่ครึ่งเดียว คนเราไม่จำเป็นต้องเก็บ 4 ล้าน 10 ล้าน เราสามารถเก็บเป็นทรัพย์สินที่สร้างเงินรายเดือนให้เราก็ได้ คนบางคนอาจจะเก็บเงินทำบ้านเช่า ในวัย 20 – 30 อาจกู้เงินทำบ้านเช่า แล้วเก็บค่าเช่าให้ได้มากกว่าที่เราผ่อนธนาคาร เช่น เก็บค่าเช่า 10,000 ผ่อนธนาคาร 8,000 เราจะมี cash flow หรือกระแสเงินสด 2,000 ฟังดูน้อย แต่เราอย่าลืมว่ามีคนช่วยผ่อนบ้านเรานะ หนี้ลดลงไปเรื่อยๆ แถมถ้ารีไฟแนนซ์เป็นจะทำให้ผ่อนเงินลดลง ถ้าเวลาผ่านไปเราสามารถเพิ่มค่าเช่าได้นะ หรือถึงวันเกษียณบ้านผ่อนหมด เราก็มีรายได้จากค่าเช่าเต็มๆ 

คนเรามี option เก็บเงินเยอะมาก บางคนวางแผนวัยเกษียณมีเงินเดือนละ 20,000 น่าจะอยู่ได้ ถ้าเราส่งประกันสังคมตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน วันที่เกษียณอายุ 55 จะได้เงินเดือนละ 7,500 บาทไปจนตาย นี่ไงเรามีเงินเดือนละ 7,500 ละ เหลือที่ต้องหาอีก 12,500 ก็ถ้าทำบ้านเช่าแบบที่บอกข้างต้นก็จะมีเงินส่วนนี้เก็บไว้ แต่ไม่ทำบ้านเช่าทุกคนหรอกนะ จะเก็บออมเป็นหุ้นที่ให้ปันผล หรืออะไรก็ได้

หรือบางคนอาจอยากเก็บเป็นก้อนๆ เดียว 4 ล้านแล้วดูแลตัวเอง เก็บเงิน 4 ล้านไม่ยาก เก็บเดือนละ 2,000 ยังได้ แต่เก็บไว้ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอย่างหุ้นนะ ทำงานไปอีก 30 – 40 ปี ก็มีโอกาส มีเงิน 7 – 8 ล้าน พอได้ยินคำว่าหุ้นคนจะบอกว่า ‘เดี๋ยวนะ หุ้นมันจะดียังไง?’ 

พอเราไม่มีความรู้เรื่องการเงิน ได้ยินคำว่าเสี่ยงก็กลัว ถ้าอธิบายในฐานะคนที่ทำงานสายการเงิน เสี่ยงไม่ได้แปลว่าโอกาสในการขาดทุน แต่เสี่ยงแปลว่าโอกาสได้รับผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาด เหมือนเลี่ยงบาลีเนอะ (หัวเราะ) แต่ผมชอบถามคนเล่นๆ ว่า สมมติวันนี้ไปซื้อหุ้นราคา 10 บาท เราอยากได้ผลตอบแทน 10% ปีหน้าควรเป็น 11 บาทปรากฎปีหน้า 8 บาท อย่างนี้เรียกเสี่ยงไหม? เสี่ยง งั้นถามใหม่ ซื้อ 10 บาท ผลตอบแทนควรเป็น 11 ถ้าปีหน้าหุ้นขึ้นเป็น 14 บาท อันนี้เสี่ยงไหม? ไม่เสี่ยง อันนี้โอเค๊ (เสียงสูง) ไม่ๆ ภาษาการเงินอันนี้เรียกเสี่ยง เพราะผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาด แล้วทำไมเงินฝากถึงไม่เสี่ยง ก็เขาบอกแล้วฝาก 100 ได้ 50 ตังค์ ไม่มีเสี่ยงหรือพลิกล็อค

Money Coach ในฐานะคุณพ่อ 

ทราบมาว่าครอบครัวคุณหนุ่มก็เป็นครอบครัวหนึ่งที่ให้ลูกออกจากระบบโรงเรียน มาเรียนแบบ Home school แทน อยากรู้เหตุผลว่าทำไมคุณหนุ่มถึงเลือกทางนี้ 

ต้องบอกก่อนว่าเป็นมุมมองส่วนตัว แต่ละคนอาจคิดไม่เหมือนกัน ของผม หนึ่ง – มองจากตัวเองเป็นฐาน ตัวผมจบวิศวะจุฬาฯ แต่สุดท้ายมาเป็นอะไร (หัวเราะ) เป็นโค้ชการเงิน เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับที่เรียนมาเลย แล้วผมรู้สึกว่าโลกใบนี้คำว่าการเรียนรู้ หรือ learning มันใหญ่กว่า education ไปแล้ว ในยุคหนึ่ง education อาจเป็นสิ่งที่ดีจำเป็น อย่างคนยุคผมการสอบเข้ามหาลัยได้มันคือชีวิตและการตัดสิน เป็นการปูทางชีวิตในอนาคตเลยนะ เพื่อนฝูง สังคม การงาน แต่ในยุคปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องการ skills หรือทักษะบางอย่างที่อยู่ในเนื้อตัวคนๆ นั้น คือโลกเปลี่ยนแล้ว แต่การศึกษาเปลี่ยนช้ามาก (ลากเสียง)

สอง – พอเรามีลูกนะ เราก็กลับมามองตัวเองว่า ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตวัยเด็กมีความสุขหรือเปล่า สมัยเด็กผมเป็นนักสอบ สอบทุกอย่างในสากลโลก สอบแข่งไปเรื่อยๆ สุดท้ายเรามานั่งถามตัวเองในช่วงบั้นปลายว่า เราสอบไปแล้วเราเป็นใคร? เราได้อะไรจากการสอบชนะผู้คนมากมาย? ฉะนั้น พอมีลูกเราตั้งโจทย์ว่า อยากให้ลูกมีความสุข

สุดท้าย ผมเป็นคนสายการเงิน ลงทุนสร้างทำอะไรไปเยอะแยะมากมาย จนวันหนึ่งผมมานั่งคิดว่าเราต้องสร้างไปถึงเท่าไรลูกเราถึงจะปลอดภัย จำได้ว่ามีอยู่คืนหนึ่งนั่งเอากระดาษเอสี่มาจดว่า อะไรหนอ? ที่ฝากไว้ให้ลูกแล้วจะทำให้เราตายตาหลับ มันไม่ใช่ทรัพย์สินทั้งหมดที่เรามี แต่คือตัวตนที่เราต้องปลูกถ่ายแล้วก็สอนเขาไว้ตั้งแต่วันนี้ 

ผมมานั่งลิสต์ว่าเราอยากให้ลูกมีคุณลักษณะอะไรบ้าง หนึ่งลูกเราต้องเป็นคนอ่อนน้อมน่ารัก เรื่องนี้สำคัญถ้าเขาอ่อนน้อมน่ารักอยู่ที่ไหนก็จะมีแต่คนเอ็นดูเขา ชีวิตเขาก็จะง่าย สอง ลูกเราควรจะแยกแยะได้อันไหนควรทำไม่ควรทำ สิ่งที่เราสอนลูก คือ อะไรในโลกนี้ไม่มีถูกผิดร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ยกเว้นสองเรื่อง คือ ศีลธรรมกับกฎหมาย ถ้าสองเรื่องนี้ลูกทำผิดต่อให้มีเหตุผลอะไรก็ฟังไม่ขึ้น อย่าทำอะไรที่ผิดกรอบศีลธรรมกฎหมาย สาม เราคิดว่าเขาควรจะเอาตัวรอดเป็น อย่างที่ผมให้ลูกขายหนังสือ ไม่มีอะไรมากเราแค่อยากสอนเขาว่า วันใดที่จนหมดเนื้อหมดตัว ของที่พ่อทิ้งไว้ให้มันช่วยได้ 

สี่ เรื่องการคิดอ่านต่างๆ ผมพยายามสอนให้ลูกตัดสินใจเอง แล้วเห็น consequences (ผลลัพธ์) ที่ตามมา ผมว่าวิธีการสอนเด็กต้องสอนแบบนี้ อย่าไปบอกเขาว่าอย่างนู้นอย่างงนี้ บางเรื่องเราบอกเขาแล้วก็บอก consequences หรือบางเรื่องเราไม่ต้องบอกให้เขาลองได้เลย แล้วให้เขาผิดดู อย่างการช่วยตรวจการบ้าน ผมไม่ช่วยดูเลย เพราะทำไมเราต้องเป็นคนเดียวที่บอกลูกว่านี่ผิด เราอยากให้ลูกฟังจากคนอื่นบ้าง ไม่งั้นกลายเป็นฟังจากเราคนเดียว พอฟังคนอื่นพูดแล้วรับไม่ได้ โกรธแค้น

ห้า ให้เขารักการเรียนรู้ ที่บ้านเราจะเลี้ยงเขาแบบอยากเรียนอะไรให้เลือกเองเลย อยากได้คอร์สนี้มาปรึกษาเรามาคุยกัน อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือ เรื่องวินัย ผมมีโปรแกรมการเรียนให้เขาเอากางไว้เลย แล้วให้เขาทำตารางมาส่งทุกสัปดาห์ว่า สัปดาห์นี้จะเรียนอะไรบ้าง เพื่อเป็นสัญญาหรือ commitment มนุษย์เราถ้าไม่มี commitment ก็ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง

นอกจากนี้เราก็ให้เขาไปเรียนรู้ด้วยวิธีอื่น มีคนรู้จักก็จะฝากลูกให้ไปทำงานกับเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทิ้งไม่ให้เขาเรียนวิชาหลักในห้องเรียนนะ เรายังให้เขาเรียนอยู่ผ่านคอร์สเรียนออนไลน์ของสถาบันกวดวิชาต่างๆ เพราะเราจะไม่กำหนดชีวิตลูก เผื่อวันหนึ่งเขาอยากกลับไปเรียนในระบบ อยากไปเป็นหมอ อยากไปสอบวิศวะ เป็นนักบัญชี จะได้สามารถทำได้ 

วิธีเรียนรู้เรื่องการเงินมีอย่างหนึ่งที่โค้ชหนุ่มให้ลูกทำ คือ การทำงาน เชื่อว่ามีเด็กอีกหลายคนที่อยากทำงาน แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง ประกอบกับทัศนคติของสังคมที่มองว่าเด็กไปทำงาน เท่ากับ ครอบครัวมีปัญหาทางการเงิน

ผมว่าแต่ละครอบครัวมี background ไม่เหมือนกัน ถ้าเกิดเป็นครอบครัวที่ฐานะไม่ดีแล้วเด็กอยากทำงาน อันนี้ผมว่าไม่ผิด แล้วส่วนใหญ่เด็กที่มีทัศนคติแบบนี้ผมพบว่า หลายคนกลายเป็นคนบริหารเวลาได้ดีและเป็นเด็กที่เก่งมาก แต่ถ้าบางครอบครัวที่บอกว่า ‘ครอบครัวฉันก็ดีไม่ได้เป็นอะไร’ ก็ไม่ต้องก็ได้ สอนเขาเรื่องเบสิคก็พอ คนเราหาเงินได้ ใช้จ่ายเป็น รู้จักเก็บออมก็โอเคละ แค่นี้ก็เป็นการสอนการเงินได้

แต่ถ้าเด็กอยู่ในครอบครัวที่โอเคแล้วแต่ยังอยากทำงาน ผมอยากให้พ่อแม่เปิดใจแล้วให้เวลาถกเถียง discuss กับเขาว่าอยากทำอะไร ทำไมอยู่ดีๆ ถึงอยากทำ ผมรู้นะว่าถึงอย่างไรลูกก็ยังเป็นเด็กในสายตาพ่อแม่ แต่อย่ากดเขาด้วยคำว่าเด็กเลยนะ เพราะเด็กเขาโตแล้ว โดยเฉพาะเด็กมัธยมที่ผมมองว่าเป็นวัยโคตรสับสน บางวันก็เป็นเด็ก บางวันก็เป็นผู้ใหญ่ (หัวเราะ)

คำหนึ่งที่ผมใช้เป็นหลักในการเลี้ยงลูก คือ trust เราต้องเชื่อในความคิดเขา อย่างลูกชายผมทุกวันต้องบอกว่า ‘พ่อ ออกัสอยากทำอันนี้’ ด้วยความที่เขา 12 ขวบแล้วตามผมไปทำงานด้วยตลอด เขาก็จะเห็นที่สิ่งที่เราทำ เกิดไอเดียทำนู่นทำนี้ ผมก็จะบอกเขาว่า ‘ไหนๆ มาเล่าให้ฟังหน่อย ที่ลูกอยากทำมันยังขาด 1 2 3 4 ถ้าแก้โจทย์นี้ได้พ่อจะให้ทำ’ 

ผมว่าเราต้องให้เวลาเขา อย่าแบบ ‘โอ๊ย แกเรียนให้ดีๆ ก่อนเถอะ’ โอ้ คำๆ นี้มันโคตรเสียดแทงเลยนะ เราไม่รู้ว่าวันหนึ่งจากที่เขาอาจเป็นแค่คนที่เรียนธรรมดาๆ แต่พอมีโอกาสได้เริ่มทำอะไรขึ้นมา ความรับผิดชอบสูงขึ้น มันอาจจะเปลี่ยนเขาก็ได้ เป็นการเรียนอีกรูปแบบหนึ่ง

รวมไปถึงว่าเวลาลูกคิดอะไรได้ขึ้นมาแล้วบอกว่า ‘โธ่ ความคิดแกมันเด็กๆ อย่าคิดเรื่องพวกนี้ อย่าฟุ้งซ่านเลย’ คือคำพูดมันแอบไปทำร้ายลูกนะ 

วันแรกที่มีลูก ผมคุยกับแฟนเลยว่า เราจะเลี้ยงลูกแบบให้เราเป็นสองคนแรกที่ลูกจะเล่าปัญหาให้ฟัง ไม่ใช่เพื่อน ดังนั้น พอลูกมีเรื่องจะปรึกษาผมจะรับฟังทันทีไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ยกเว้นว่าเรากำลังโฟนอินคุยงาน (หัวเราะ) ก็จะบอกลูกแปปหนึ่งนะ พอเสร็จก็เดินไปคุยกับเขา เมื่อกี้ลูกมีเรื่องอะไรไหนเล่าให้ฟังสิ ถ้าเรื่องไหนที่เราไม่รู้ก็จะนั่ง search หาข้อมูลใน Google ไปกับลูก อยากบอกให้เขารู้ว่า พ่อก็ไม่ใช่เทพมาจากไหนที่จะรู้ทุกเรื่อง แต่เมื่อไรก็ตามที่พ่อมีปัญหาพ่อจะมีกระบวนการแก้แบบนี้

แล้วในมุมการสอนเรื่องการเงิน ในฐานะ money coach โค้ชหนุ่มสอนลูกเรื่องการเงินอย่างไรบ้าง?

เรื่องการเงินผมสอนเขาว่า หนึ่ง – เงินจะมาหาเราได้ก็ต่อเมื่อเราสร้างคุณค่าให้คนอื่น แปลง่ายๆ คือประโยชน์ที่มีต่อคนอื่น ถ้าบอกว่าวันนี้เราเป็นครูสอนพิเศษให้เด็กกลุ่มหนึ่ง ถือเป็นสร้างคุณค่าให้เด็กกลุ่มหนึ่ง มีเด็กยอมจ่ายสตางค์มาเรียน แต่ถ้าสอนได้มากขึ้นทำหนังสือเรียนสอนคนจำนวนมากๆ ก็ได้เงินเยอะขึ้น โจทย์ที่เราต้องคิดก่อนว่าจะทำยังไง อย่าไปคิดว่าทำอันนี้ได้มากได้น้อย จะทำอะไรสักอย่างให้ลูกคิดว่ามันมีประโยชน์ต่อคนอื่นหรือเปล่า ไม่ต้องกังวลเรื่องสตางค์เดียวก็มาเอง

สอง – เงินที่ได้มาไม่สำคัญเท่าเงินที่เก็บได้ เคยเล่าให้เขาฟังว่ามีคุณหมอคนหนึ่งอายุ 29 รายได้เดือนละแสน แต่ใช้จ่ายติดลบเดือนละสองหมื่น กับอีกคนเป็นลูกจ้างคนหนึ่งชั่วคราวของมหาวิทยาลัย เงินเดือนหมื่นสอง แต่มีเงินเก็บเดือนละ 4,000 แถมออมทองได้เดือนละพัน ตอนต้นเดือนหมออาจจะรวยกว่า แต่ปลายเดือนไม่รู้ใครรวยกว่า 

สาม – เรียนรู้ให้เงินทำงานให้เราบ้าง เราจะได้เหนื่อยน้อยลง ผมไม่ได้สอนลูกให้ลงทุนจะได้รวย แต่สอนให้ลงทุนเพื่อที่จะได้มีสินทรัพย์ในแบบที่เราพักผ่อนได้บ้าง หรือเป็นตัวช่วยเก็บเงินให้เรา

สี่ – เงินไม่ได้สำคัญกว่าความสุข มีเงินก็ใช้จ่ายตามสมควร ถ้าอยากได้อะไรก็ซื้อบ้าง เขาก็ชอบแซวว่า พ่อชอบซื้อ gadget (หัวเราะ) เราก็บอกว่า ไม่รู้จะมีเงินไปทำไม ถ้าตายไปพ่อก็เอาไปไม่ได้เลย ถ้าสิ่งนี้เป็นความสุขเรา แล้วมีเงินแล้วไม่ได้เดือดร้อนก็อย่าไปกังวลที่จะใช้  

สุดท้ายที่สอนลูก คือ พ่อไม่รู้ว่าลูกจะเป็นคนรวยในอนาคตหรือเปล่า แล้วพ่อก็ไม่อยากใช้คำว่ารวยเพราะไม่รู้จะวัดยังไง แถมฟังดูเป็นคำที่ทุนนิยม (เสียงสูง) ในชีวิตพ่อเชื่อเรื่องความมั่งคั่งมากกว่า มันจะเป็น feeling ความรู้สึกอุดมสมบูรณ์ เรารู้สึกหมดความกังวลเรื่องเงินในชีวิตประจำวัน และมีแบ่งปันช่วยคนอื่นได้ตามกำลัง

ที่โค้ชหนุ่มบอกว่าลูกซื้อหุ้นตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ทำให้อยากรู้ว่าเป้าหมายที่โค้ชหนุ่มสอนลูกเรื่องการเงินคืออะไร อยากให้ลูกเป็น geek การเงินเหมือนเราหรือเปล่า?

ไม่เลย ไม่ต้องเป็นโค้ชการเงิน ผมเชื่อว่าทุกคนควรบริหารการเงินตัวเองให้ดี เราจะหาได้มากน้อยไม่สำคัญ เท่ากับเงินที่เราเก็บออมได้ หัวใจสำคัญของการเรียนเรื่องการเงิน คือ บริหารการเงินได้ดี คนเรามีความต้องการในชีวิตไม่เท่ากัน ฉะนั้น เงินเราไม่ต้องมีเท่ากันก็ได้ ขึ้นอยู่ที่จุดพอใจของแต่ละคน 

เราพยายามสอนให้ลูกดูแลตัวเองได้ และสิ่งที่ไม่ควรสูญเสียไป คือ ความโลภจากตัวเราเอง แย่ที่สุดเลย ถ้าเราโลภแล้วถูกเขาหลอก ปัจจัยที่ทำให้ถูกหลอกมีอยู่ 3 อย่าง คือ ความไม่รู้ เราไม่รู้ว่าการลงทุนนั้นไม่มีจริงๆ ความโลภ แล้วก็ความมักง่าย เราเชื่อว่ามีอะไรที่ทำได้ง่ายๆ โดนไม่ต้องลงทุนหรือออกแรง

ถ้าสุดท้ายวิธีสอนการเงินมันเปลี่ยนไปแบบที่โค้ชหนุ่มบอก โค้ชหนุ่มว่าปลายทางการเงินของเด็กรุ่นใหม่จะเป็นอย่างไร

ถ้าให้ผมตอบเลยอาจจะยากเพราะเรื่องมันยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็น่าจะดีกว่าปัจจุบัน พูดง่ายๆ เรื่องศีลธรรมที่เราสอนมาตลอด ทุกคนก็รู้ว่าทำเรื่องนี้แล้วมันผิดแต่ก็ยังมีคนทำ แต่อย่างน้อยก่อนจะทำอะไรก็ยังตระหนักคิดได้ มีอะไรที่คอยยับยั่งชั่งใจว่า ‘อย่าทำอะไรไม่ดี’ ผมว่าความรู้เรื่องการเงินก็เป็นแบบนั้น ถ้าเราฝังไว้ในตัวในความคิดของเขา อย่างน้อยเวลาจะทำอะไรเขาก็จะมีมุมฉุกคิด ‘เฮ้ย จะแต่งงานวางแผนซะหน่อยนะ’ ‘เฮ้ย จะซื้อรถวางแผนหน่อยนะ’ 

อาจจะตรงกับคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การวางแผนทางการเงินก็คือเรื่องภูมิคุ้มกัน เราวางแผนเพื่อกันตัวเองจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ผมว่าถ้าเขาเข้าใจตรงนี้มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของความฉลาดทางการเงินที่ดี

Tags:

พ่อแม่ระบบการศึกษาmoney literacyการเงินจักรพงษ์ เมษพันธุ์

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

illustrator

ปรียานุช ปรีชามาตย์

นิสิตภาควารสารที่สมัครฝึกงานกับ The Potential เพราะชอบสีม่วง แต่ดันค้นพบสีสันมากมายระหว่างบรรทัดที่ได้ลองเขียน ชอบหนีออกจากบ้านไปเที่ยวตามตรอกเพื่อคุยกับแมวจร รอ fromis_9 คัมแบคมา 1 ปีแล้ว

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Early childhood
    เงินทองต้องคิดส์ (1) : สอนลูกเรื่องการเงินควรเริ่มอย่างไรดี?

    เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trend
    โลกไม่สนใจว่าเรารู้อะไรแต่สนใจว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่รู้: บันไดขั้นแรกสู่ YOUNG INNOVATOR

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • 21st Century skills
    คำถามสำคัญกว่า ควรมีการบ้านหรือไม่ คือ มีการบ้านไปเพื่ออะไร

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

เตรียมตัวอย่างไรก่อนลูกออกจากอก: เมื่อลูกต้องไกลห่างท่ามกลางข่าวละเมิดเด็กมากมาย ประสบการณ์จากคุณแม่โฮมสคูล
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
12 August 2020

เตรียมตัวอย่างไรก่อนลูกออกจากอก: เมื่อลูกต้องไกลห่างท่ามกลางข่าวละเมิดเด็กมากมาย ประสบการณ์จากคุณแม่โฮมสคูล

เรื่อง สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • วันหนึ่งลูกก็ต้องโบยบินและมีชีวิต (ไกลบ้าน) เป็นของตัวเอง นอกจากผู้ปกครองต้องเตรียมใจ เตรียมทักษะของเขาให้พร้อม ‘ก่อน’ ออกจากบ้านด้วย ตั้งแต่ฝึกการสังเกต ความกล้าที่จะจริงใจกับตัวเองเพื่อบอกความรู้สึกชอบ/ไม่ชอบ อันเป็น ‘เซนส์’ สำคัญจับสังเกตสิ่งไม่ชอบมาพากล
  • สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน ผู้เขียนซึ่งเป็นผู้ปกครอง คนทำงานเรื่องเด็ก และวิทยากรเรื่องสุขภาวะทางเพศ เขียนอธิบายการเตรียมทักษะป้องกันตัวเองและสร้างความเข้าใจเส้นแบ่งการถูกคุกคามทางเพศอย่างละเอียดและปฏิบัติตามได้ง่ายด้วย
  • “ ‘ไม่กลัวลูกจะเจอคนไม่ดี ทำอะไรไม่ดีเหรอ’ ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้า  แต่ที่เราไม่ต้องเดาก็คือ การเตรียม การฝึกฝนลูกของเราที่ผ่านมานี่แหละ จะช่วยวางความเป็นห่วงลงได้บ้าง เพื่อเปิดทางให้เค้าได้โบยบินสู่โลกกว้าง งั้นก็ลุยกันเลย”

การเป็นคุณแม่ที่สอนลูกแบบ Home School มาตลอดชั้นประถม การเป็นครอบครัวที่อยู่ด้วยกันพ่อ แม่ ลูกมาตลอด 12 ปีเต็ม เมื่อถึงเวลาที่ลูกจะโบยบิน ออกจากครอบครัว เหมือนลูกนกออกจากรัง และไม่ได้ออกไปใกล้ๆ แค่ต่างจังหวัด แต่เธอยังไปไกลถึงต่างประเทศอีกด้วย แน่นอนไม่ใช่เรื่องง่าย สารพัดคำถามด้วยความห่วงใยจากคนรอบตัว ประเดประดังเข้ามา  

  • ลูกยังเล็กทำไมกล้าส่งไป 
  • ลูกยังเล็กทำไมรีบส่งไปจัง
  • ส่งไปเร็วก็เท่ากับเค้าต้องห่างจากเราเร็วนะ
  • ไม่คิดถึงเหรอ ไม่ห่วงเหรอ
  • ไม่กลัวลูกจะเจอคนไม่ดีเหรอ
  • ไม่กลัวเค้าจะมีพฤติกรรมเสี่ยงๆ ตามเพื่อนเหรอ
  • อีกสารพัด

แม้จะมั่นใจว่าตัวเองตัดสินใจดีแล้ว หนักแน่นพอแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าสารพัดคำถามเหล่านี้ก็ทำเอาแอบหวั่นไหวได้เช่นกัน

เมื่อหวั่นไหวก็ต้องมาทบทวน มีอะไรที่มั่นใจ อะไรที่ยังไม่มั่นใจ จะได้เตรียมการให้พร้อมยิ่งขึ้น บทความนี้จึงจะมาเล่าสู่กันฟังว่าเราเตรียมตัวเอง เราเตรียมลูกมาอย่างไรบ้าง จึงทำให้มั่นใจปล่อยเขาโบยบินไปไกล โดยเฉพาะการได้ยินข่าวความไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนให้เราได้ยินอยู่ทุกวัน จึงคิดว่าบทความนี้น่าจะเป็นประสบการณ์ในการเตรียมทักษะลูกๆ ให้พ่อแม่หรือผู้ดูแลเด็กได้บ้าง 

ในวันที่ลูกต้องห่างเรา ไม่ต้องไกลถึงต่างประเทศ แค่ไกลจากบ้านไปโรงเรียนก็ควรต้องมีทักษะเหล่านี้ติดตัว

การ “สังเกต” ทักษะง่ายๆ ที่ต้องฝึกตั้งแต่เด็ก

การสังเกต เป็นทักษะพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้เรื่องอื่นๆ เด็กที่มีทักษะการสังเกตที่ดีจะสามารถเก็บข้อมูลต่างๆ ในการเรียนได้ดี และส่งผลต่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เอาเข้าจริงเราพบว่าทักษะการสังเกตไม่ได้มีไว้เพื่อการเรียนอย่างเดียว แต่มันคือทักษะในการใช้ชีวิต ทักษะในการระวังความปลอดภัยได้อีกด้วย 

เราฝึกลูกของเราให้เป็นคนช่างสังเกตได้ไม่ยากเลยจากการเล่น ที่เราใช้บ่อยๆ ตอนลูกยังเล็ก คือ หยิบจับสิ่งของที่มีรายละเอียดต่างกัน สีต่างกัน ผิวสัมผัสต่างกัน ขนาดต่างกันเป็นต้น ยิ่งครอบครัวไหนชอบเดินป่า เที่ยวธรรมชาติ ใบไม้ กิ่งไม้ ก้อนหิน จึงเป็นเครื่องมือการฝึกทักษะนี้ได้เป็นอย่างดี

โตขึ้นมาหน่อยก็ฝึกด้วยการตั้งคำถาม กระตุ้นการสังเกต ทั้งที่บ้านและระหว่างอยู่ในรถ ยิ่งเดินทางไกลยิ่งสนุกเพราะแก้เบื่อได้ด้วย เช่น สังเกตป้ายทะเบียนรถ สีรถ หรือการตั้งคำถามประเภทให้สังเกตและใช้เหตุผลประกอบ เช่น คิดว่ารถคันนี้ (บรรทุกของบางอย่างหลังรถ) น่าจะประกอบอาชีพอะไร? หรือ คิดว่าแถวนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพอะไรเป็นหลัก? (จากการสังเกตสองข้างทาง) เป็นต้น หรือจะเป็นของเล่นประเภทการต่อจิ๊กซอว์ เปิดการ์ดจับคู่ภาพเหมือน เหล่านี้ล้วนเป็นการฝึกการสังเกตได้เป็นอย่างดี

ฟังดูเหมือนไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับที่เกริ่นไว้ตอนต้นใช่ไหม? เราเองก็คิดแบบนั้น แต่สิ่งที่เกิดกับลูกทำให้รู้ว่าทักษะเหล่านี้ลูกเอาไปใช้ได้กับทุกๆ เรื่องจริงๆ  คือว่ามีอยู่ครั้งนึง (จริงๆหลายครั้ง) ลูกน่าจะอายุราวๆ 4-5 ขวบ ลูกหลับในรถ เราแง้มกระจกไว้แล้วลงไปกินข้าวช่วงค่ำๆ ที่ร้านริมทาง โดยจอดรถไว้ที่หน้าร้าน โต๊ะที่นั่งกินไม่ไกลจากรถในระยะที่ว่ากินไปก็มองเห็นลูกตลอดเวลาได้เลย โดยเลยจากร้านไป 1 บล็อกเป็นร้านสะดวกซื้อ 

เรานั่งกินไปได้ไม่ถึงครึ่งจานดีก็ได้ยินเสียงแตรรถดัง เราเดินมาที่รถมาดูลูกปรากฏว่าเขาตื่นแล้ว และบอกเราว่าไม่นอนแล้วจะไปนั่งในร้านด้วย เราล๊อครถ จูงลูกมานั่งด้วยกัน มาถึงโต๊ะลูกก็บอกว่า “หนูกะจะนอนต่อแหละ แต่เหลือบไปเห็นวัยรุ่น 3-4 คนหน้าร้านสะดวกซื้อ กำลังมองมาที่หนูและคุยอะไรกันไม่รู้หนูเดาว่าคุยถึงหนู หนูคิดว่าไม่น่าจะปลอดภัยเท่าไหร่ เลยไม่อยากนอนแล้ว” 

เราชะโงกไปดูหน้าร้านสะดวกซื้อมีวัยรุ่นอยู่จริงๆ เหตุการณ์ครั้งนั้นและอีกหลายๆ ครั้งที่ลูกทำให้เราเห็นว่าเค้าเป็นคนช่างสังเกต ระวัง แต่ไม่ได้หวาดกลัวจนเกินไป  

เชื่อว่าทักษะเหล่านี้ไม่ได้ติดตัวมาแต่เกิด แต่มาจากการฝึกฝน ผ่านกิจกรรมต่างๆเหล่านั้นเป็นแน่

ความรับผิดชอบ เรื่องใกล้ตัวที่ต้องฝึกฝนตั้งแต่เด็ก

เราเองก็ไม่ใช่แม่ที่เนี๊ยบมากนักในเรื่องนี้ เพราะในหลายๆ เรื่องก็ยังต้องคอยจ้ำจี้จำไชเป็นปกติทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เมื่อเรื่องความรับผิดชอบเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องฝึกฝน โดยเฉพาะเวลาที่เค้าไม่ได้อยู่กับเรา เรื่องนี้ยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ที่ต้องมีติดตัวไว้ 

และเมื่อเป็นเด็ก Home School ไม่มีเวลาประจำที่ต้องไปโรงเรียน ยิ่งต้องมีวิธีให้รับผิดชอบเรื่องส่วนตัวง่ายๆ ที่ต้องทำทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บที่นอน กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ อะไรก็ได้ตามกิจกรรมของครอบครัว แต่ต้องทุกวันและไม่ยากจนเกินไป ค่อยๆ เพื่มปริมาณหรือความยากตามอายุ วิธีนี้คิดว่าหลายๆครอบครัวก็คงทำอยู่แล้ว

 อีกวิธีการหนึ่ง คือ การลงสนามจริง ด้วยครอบครัวเราต้องเดินทางบ่อยๆ ทั้งจากหน้าที่การงานบ้าง ท่องเที่ยวบ้าง เมื่อเลี้ยงลูกแบบ Home School ลูกจึงต้องติดสอยห้อยตามไปทุกที่ การฝึกให้เด็กรับผิดชอบสัมภาระส่วนตัวบางอย่างตลอดการเดินทาง จึงเป็นวิธีที่จะสร้างทักษะให้กับเด็กได้เป็นอย่างดี ค่อยๆ เริ่มจากการรับผิดชอบหมอนเน่าของตัวเองที่ต้องติดตัวเป็นประจำ รับผิดชอบกระเป๋าใบเล็กของตัวเอง ขยับเป็นรับผิดชอบสัมภาระทั้งหมดของตัวเอง รับผิดชอบตั๋วระหว่างเดินทาง ค่อยๆ เพิ่มเป็นจัดกระเป๋าเองตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ดูแลกลับมาให้ครบ แม้แต่ passport ก็ต้องดูแลเองตลอดทริป

การทำแบบนี้นอกจากค่อยๆ เพิ่มความมั่นใจให้ลูกแล้ว ก็ยังค่อยๆ เพิ่มความมั่นใจให้เราด้วยว่าถึงเวลาที่จะให้รับผิดชอบของสำคัญหรือยัง ถ้าบทนี้ผ่าน เราก็เบาใจได้ แต่เราเองก็ต้องเตรียมแผนสำรองไว้ด้วยโดยไม่ให้ลูกรู้เพื่อรับมือกรณีผิดพลาดเรื่องสำคัญๆ เช่น passport หาย ตั๋วหายเป็นต้น แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญก็ปล่อยให้แก้ปัญหาเอง เช่น ลืมชุดนอน จัดเสื้อผ้ามาไม่ครบวัน ลืมผ้าเช็ดตัวไว้ที่ Hostel ก่อนหน้า เป็นต้น

อีกวิธีที่คิดว่าเป็นแบบฝึกหัดเรื่องความรับผิดชอบและการสังเกตได้เป็นอย่างดี คือการพัก Hostel  เวลาเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่วิธีนี้ขึ้นอยู่กับ life style ของแต่ละครอบครัวนะ สำหรับเราชอบแบบนี้ เหตุผลหลักคือประหยัด นี่แหละสำคัญสุด แต่พบว่านอกจากประหยัดเงินในกระเป๋าแล้ว การพัก Hostel เป็นการได้ฝึกลูกไปในตัว ลูกต้องมีกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง รับผิดชอบสัมภาระทั้งหมดของตัวเอง เพราะที่พักเป็นเตียงไม่ใช่เป็นห้อง ต่างคนต้องดูแลตัวเอง เวลา Check out ก็ต้องเก็บของจากเตียงตัวเองให้ครบ ไม่ลืมอะไรไว้  Hostel  มักจะใช้ห้องน้ำรวม ต้องจัดการอุปกรณ์ในการไปอาบน้ำและเอากลับมาให้ครบทุกครั้ง แรกๆ พ่อแม่ก็ต้องคอยเตือน คอยบอก บางครั้งก็มีแอบ Double Check เตียงลูกก่อน Check Out แต่พอบ่อยๆ เข้าลูกก็สามารถรับผิดชอบเองได้ มีของกลับมาครบทุกชิ้น

นอกจากนี้การพัก Hostel เป็นการพักรวมกับคนอื่น แม้จะมีความปลอดภัยระดับหนึ่ง แต่พื้นที่แบบนี้ก็สอนให้เค้าต้องรู้จักสังเกตผู้คนร่วมห้อง แบบไหนรู้สึกปลอดภัย ไม่ปลอดภัย และถ้ารู้สึกไม่ปลอดภัย จะจัดการดูแลตัวเองอย่างไร เป็นสนามจริงที่ยังคงมีพ่อแม่คอย Support อยู่ข้างๆ

ทักษะความรับผิดชอบนี่เป็นอะไรที่แปลกนะ ตอนลูกใช้ชีวิตปกติกับเราที่บ้าน เรามักจะไม่ค่อยเห็น ต้องคอยบ่นคอยบอกตลอดเวลา แต่วันที่เค้าไกลจากเรา ทักษะที่เราฝึกฝนเหล่านี้ปรากฏอย่างชัดเจน  เหมือนวัคซีนที่มีอยู่ในตัว เมื่อถึงเวลาเค้าก็เอามันออกมาใช้ได้อย่างไม่ขัดสน

เราลองมาแล้วทั้งกับลูกตัวเอง และลูกคนอื่น ไม่เชื่อลองดูซิ

โอบกอดเสมอ แม้ผิดพลาดกลับมา

อีกอย่างที่พบระหว่างการทบทวนว่าเราพร้อมแค่ไหนก่อนส่งลูกโบยบินสู่โลกกว้าง คือ การทำให้ลูกมั่นคงในความรักของเรา ฟังดูเป็นวิชาการเชียวนะ แต่ความจริงแล้วคือการที่เรามีเวลาให้เค้า เล่นกับเค้า ไม่ดันหลังให้เค้าทำในสิ่งที่เค้ายังไม่พร้อม เราจำได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับครอบครัวเรา  เพราะเชื่อว่าความพร้อมของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน เราทำได้แค่รอ รอวันที่เค้าพร้อมเค้าจะลุยสุดใจ เราทำแบบนี้กับทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องการพูด เดิน เรียน อ่าน เขียน และมันก็พิสูจน์จริงๆ ว่า พอเค้าพร้อม เค้าจะบอกเราเอง และทำมันได้ในที่สุด 

มีเหมือนกันที่บางอย่างเค้าบอกว่าพร้อม แต่พอลงมือไปได้ซักพักนั้นเริ่มไม่ใช่ ไปต่อไม่ไหว สิ่งที่เราต้องทำคือโอบกอด ปลอบโยน ให้โอกาสได้พักก่อน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยไปต่อ เพราะช่วงเวลาที่เค้ากำลังผิดพลาด พ่ายแพ้ อ่อนแอ นั่นคือเวลาที่เค้าต้องการใครซักคนที่เข้าใจและอยู่ข้างๆ เค้า นั่นคือเวลาทองที่ คนๆ นั้น ต้องเป็นเราให้ได้  

เรื่องนี้สำคัญอย่างไรกับการที่ลูกต้องไปอยู่ไกลหูไกลตาเรา เพราะเรื่องนี้เป็นฐานทางจิตใจที่มั่นคงมาก ถ้าลูกมั่นใจว่าความรักของพ่อแม่ ปู่ย่าตายายที่บ้าน เป็นความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของเค้า มันทำให้เรามั่นใจได้ว่า ต่อให้ห่างกันสุดขอบโลก แต่วันที่เค้าผิดหวัง พ่ายแพ้ อ่อนแอ คนที่เค้าจะโทรหา หรือ กลับมาซบอกคือเรา คือคนที่บ้าน และคนที่จะทำให้เค้ามีแรงไปต่อ ก็คือ เรา คือคนที่บ้าน ถ้าเรามั่นใจแบบนี้ได้ การห่างกันจึงไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป

แล้วอะไรล่ะ ที่จะทำให้เรารู้ว่าเรามั่นใจแบบนั้นได้?

โดยทางวิชาการจะเป็นอย่างไร เราไม่แน่ใจ แต่ที่เราสามารถแน่ใจได้ คือ การที่ลูกไม่โกหก บ่อยครั้งที่เค้าทำผิด สิ่งที่ทำนั้นรู้ว่าแม่ไม่ชอบ อยากจะปิดแม่นะ แต่ท้ายที่สุดก็อดไม่ได้ต้องบอกอยู่ดี “บอกแล้วโล่ง” ลูกบอก และหลายครั้งที่ลูกถามว่า “แม่ไม่โกรธเหรอ” “ โกรธซิ เสียใจซิ แต่กลับไปแก้อะไรไม่ได้แล้วนี่ เหลือแต่ครั้งต่อไปจะทำยังไงไม่ให้เป็นแบบนั้นอีก” เรามักบอกลูกแบบนี้เสมอ

เราเชื่อนะว่า ไม่ว่าเด็กคนไหน ถ้าเค้ารับรู้ เค้าได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากพ่อแม่ ต่อให้ผิดพลาดแค่ไหน เค้าก็พร้อมจะเลือกเราเป็นคนยืนข้างๆ เค้า และจับมือเค้าไปต่อ และเมื่อเป็นเช่นนั้น หากวันนึงเค้าเจอเรื่องร้ายในชีวิต เจอคนไม่ดีทำร้ายหรือโดนละเมิด เราก็มั่นใจได้ว่าเค้าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองโดยทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก เค้าต้องเลือกที่จะบอกเรื่องแบบนี้ให้เรารับรู้ก่อนที่จะสายเกินไป

ป้องกันลูกจากการถูกละเมิดทางเพศ เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน เด็กรู้เองไม่ได้

เรื่องนี้เป็นประเด็นที่พ่อแม่ทุกบ้านกังวลเป็นที่สุด ยิ่งเห็นข่าวอยู่ทุกวันยิ่งกังวล เพราะแม้แต่โรงเรียน สถานที่ที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของลูกเรา เด็กบางคนใช้ชีวิตที่โรงเรียนมากพอๆ กับที่บ้าน ก็ยังไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กเลย แล้วนี่ลูกจะไปอยู่ห่างหูห่างตา ที่ไหนล่ะจะปลอดภัยสำหรับลูกเรา?  

ในฐานะคุณแม่ และในฐานะคนทำงานเรื่องเด็ก เป็นวิทยากรเรื่องสุขภาวะทางเพศ อยากบอกว่า  “อย่ามัวหาที่ที่ปลอดภัยเลย เพราะแทบจะไม่มีที่ไหนหรอกที่จะปลอดภัยแม้แต่ที่บ้าน” แต่เราเอาเวลามาฝึกฝนให้ลูกของเราเท่าทันกับสถานการณ์เรื่องเพศ มีทักษะในการป้องกันตัวเองกันดีกว่า อย่าอายที่จะพูดคุยกับลูก อย่ารอให้ลูกโตก่อน เพราะนั่นอาจสายเกินไป เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่บ้านเราฝึกฝนกันเป็นประจำ  ทั้งในชีวิตปกติ และการเข้าร่วมกิจกรรมที่พ่อแม่สอนเรื่องนี้ด้วย

จริงๆ เดี๋ยวนี้มี How To สำหรับเรื่องนี้มากมาย ทั้งใน Google และในหนังสือ 5 วิธีสอนลูกให้ปลอดภัยจากการล่วงละเมิด, สอนลูกอย่างไรให้ปลอดภัยจากการล่วงละเมิด ฯลฯ แต่อ่านแล้วก็ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ ไม่ใช่เพราะมันยากหรือเพราะเราไม่เก่งพอหรอกนะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อน 

เรามีความคิดความเชื่อที่ฝังหัวเรามานานแสนนาน  ว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องบนเตียงบ้างละ คนที่คุยเรื่องเพศดูเป็นคนไม่ดีบ้างละ เรื่องแบบนี้ถึงเวลาก็รู้เองบ้างละ บลา บลา  บลา… เมื่อสิ่งเหล่านี้ฝังอยู่ในความคิดความเชื่อของเราเสียแล้ว การจะทำสิ่งที่ต่างหรือขัดแย้งกับสิ่งที่เชื่อ มันจึงยาก เราจึงต้องค่อยๆใช้เวลา นั่นจึงเป็นเหตุให้แค่อ่าน ก็อาจไม่ช่วยให้ทำได้ เพราะการจะสอนลูกเรื่องนี้ เราต้องสอน ต้องฝึกฝนตั้งแต่เด็ก เป็นเหมือนวัคซีนที่ต้องฉีดเรื่อยๆ ตามอายุ ไม่ติดโรคนั้นก็ไม่ต้องใช้ แต่ถ้าติดโรคนั้นขึ้นมา การมีวัคซีนอยู่ในตัวย่อมดีกว่าไม่มีเป็นแน่  เรื่องเพศก็เหมือนกัน  แล้วเราควรเริ่มอย่างไร ?

พ่อแม่ต้องเปิดใจ ก่อนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่สามารถคุยกับลูกได้อย่างเหมาะสมตามวัย ไม่ต้องเขินอาย และสอนลูกได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก เช่น

  1. สอนให้ลูกเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง ย้ำเตือนให้ลูกรู้ว่าไม่มีใครมีสิทธิ์มาแตะต้องร่างกายของเค้า  ถ้าเค้าไม่สบายใจ  ส่วนไหนบ้างที่เป็นอวัยวะต้องห้ามสัมผัสเลย  เว้นเสียแต่เพื่อการทำความสะอาดและรักษาโรค  คุย  บอก สอนได้ตั้งแต่ลูกยังเล็ก  โดยเฉพาะเวลาที่เราอาบน้ำให้ลูก  สำหรับเด็กเล็ก “กฎชุดว่ายน้ำ”  เป็นสิ่งที่เด็กเข้าใจได้ง่ายสุด  นั่นคือ  อวัยวะที่อยู่ภายใต้ชุดว่ายน้ำเป็นอวัยวะต้องห้ามจับ ห้ามจ้อง  ห้ามถ่ายรูป  ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำได้
  2. เรียกชื่ออวัยวะด้วยชื่อเรียกที่ถูกต้อง หลายต่อหลายบ้านเลี่ยงที่จะเรียกอวัยวะเพศด้วยชื่อที่ถูกต้อง และเลือกที่จะตั้งชื่อน่ารักๆ ให้อวัยวะส่วนนั้น ฟังดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเวลาที่ลูกต้องการอธิบายถึงปัญหาที่เกิดกับอวัยวะเพศให้พ่อแม่ฟัง ลูกจะได้ใช้คำที่เข้าใจตรงกัน และถ้าลูกเรียกชื่อด้วยคำน่ารักๆ ที่พ่อแม่ตั้งให้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดีขึ้น ลูกจะไม่สามารถอธิบายเรื่องราวได้อย่างถูกต้อง และอีกประเด็นหนึ่งคือ อวัยวะทุกอย่างมีชื่อเรียก การเรียกชื่ออย่างถูกต้อง นั่นคือการยอมรับ ไม่รังเกียจอวัยวะนั้น เมื่อไม่รังเกียจก็พร้อมจะดูแลอย่างดีที่สุดเช่นกัน  เหมือนกับการดูแลอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกาย
  3. สอนลูกให้รู้จักสัมผัสที่รู้สึกดี รู้สึกไม่ดี เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก ในฐานะของคนที่ทำงานเด็กมาตลอด 20 กว่าปี พบว่าการจะให้เด็ก (หรือแม้แต่ผู้ใหญ่) บอกความรู้สึกให้ได้นั้นยังเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน ถ้าวิเคราะห์ดีจะพบว่า เพราะเด็กของเราไม่ถูกฝึกให้สะท้อนความรู้สึกเลย ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ห้องเรียนยิ่งแล้วใหญ่เลย การบอกความรู้สึกเป็นเรื่องไร้สาระ 

การบอกเหตุผลต่างหากเป็นที่ยอมรับแม้จะเป็นเหตุผลข้างๆ คูๆ ก็ตาม เมื่อเราไม่เคยฝึกให้เด็กบอกความรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี ร้อน หนาว หิว ฯลฯ และผู้ใหญ่โดยส่วนมากก็มักจะยอมรับฟังเหตุผลมากกว่าความรู้สึก เมื่อถึงสถานการณ์เรื่องเพศ เรามักคิดว่า ถ้าเด็กรู้ว่าสัมผัสนั้นรู้สึกอึดอัด รู้สึกไม่ดี ก็ให้รีบหนีออกมาก็อาจจะทำให้การล่วงละเมิดไม่เกิดขึ้นได้ แต่นั่นแหละ มันไม่ง่ายสำหรับเด็ก ยิ่งเด็กเล็กที่ไม่ถูกฝึกให้สะท้อนความรู้สึกเลย เด็กจะแยกแยะไม่ได้ว่ารู้สึกดีหรือไม่ดี หรือไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรด้วยซ้ำไป

ฉะนั้นการถามลูกว่ารู้สึกอย่างไร ทุกวันหลังตื่นนอน หรือ หลังจากกลับจากโรงเรียนหรือหลังจากทำกิจกรรมใดใด จึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรทำ และไม่ใช่แค่รับฟังเฉยๆ ถ้าลูกรู้สึกแย่ รู้สึกไม่ชอบ นั่นคือเวลาที่ต้องถามลูกว่าเพราะอะไร เกิดอะไรขึ้น เพื่อจะได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างวันที่ลูกอยู่ที่โรงเรียน ไปเรียนพิเศษ หรือทำกิจกรรมนั้นๆ ซึ่งต้องไม่ใช่การยัดเยียดความรู้สึกของเราให้ลูกเด็ดขาด 

เช่น ลูกบอก “รู้สึกไม่ชอบเพื่อนคนนี้เลย” “แม่ว่า เค้าก็เป็นเด็กน่ารักดีนี่” จบข่าว เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าลูกไปเจออะไรกับเพื่อนคนนี้มา และเมื่อเป็นเช่นนั้นลูกก็อาจจะไม่กล้าบอกเราเมื่อเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เค้ารู้สึกแย่ จากครู  จากเพื่อนบ้าน จากคนรู้จัก หรือจากใครใคร

  1. สอนให้ลูกรู้จักการปฏิเสธ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ แต่เด็กของเรามักจะไม่ถูกฝึก ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน การปฏิเสธเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนเรื่อยๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ฝึกฝนได้กับทุกเรื่อง เช่น การเลือกของเล่นเองไม่ใช่ของที่พ่อเลือกให้ เลือกใส่ชุดนี้ไปโรงเรียนไม่ใช่ชุดที่แม่เลือกให้ ไม่เรียนพิเศษวิชาคณิตเพราะอยากเรียนศิลปะมากกว่า ไม่ไปกินข้าวผัดกระเพรากับเพื่อนเพราะอยากกินก๋วยเตี๋ยวมากกว่า ฯลฯ  ถ้าแม้แต่เรื่องในชีวิตประจำวันเหล่านี้เด็กยังไม่เคย ยังไม่กล้าที่จะปฏิเสธเพื่อเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วละก็ ผู้ใหญ่ก็อย่าคาดหวังว่าเมื่อถึงสถานการณ์เรื่องเพศ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นท้องไม่พร้อม หรือการล่วงละเมิด เด็กๆ ก็จะปฏิเสธไม่เป็น และไม่รู้วิธีการที่จะปฏิเสธ

สำหรับเรื่องนี้ผู้ใหญ่ คนเป็นพ่อแม่เองก็ต้องฝึกเช่นกัน ฝึกที่จะยอมรับคำปฏิเสธเหล่านี้ของลูกให้ได้ กล้าที่จะคุยอย่างเปิดใจกับลูก เพื่อเป็นทักษะให้ลูกกล้าที่จะปฏิเสธเรื่องไม่ดีที่จะเกิดขึ้นกับตัว ยิ่งเด็กเล็กยิ่งต้องสอนตัวอย่างการปฏิเสธให้ลูกได้รู้เลยว่าสามารถทำยังไงได้บ้าง เช่น รีบวิ่งออกมาเลย ตะโกนให้คนอื่นได้ยิน พูดว่า “อย่า” เสียงดังๆ รีบมาบอกผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ เป็นต้น เพื่อให้เด็กมีภาพเหล่านี้ติดตัวไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

  1. พูดคุยเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศกับลูก  พูดคุยกับลูกด้วยน้ำเสียงและบรรยากาศสบายๆ ให้เค้ารับรู้ความหมายของการล่วงละเมิดและสิทธิในการป้องกันตัวเอง สำหรับเรา มักใช้ข่าวที่ได้ยินได้ฟังมาด้วยกันเปิดประเด็นคุยกันบ่อยๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เราทั้งได้เห็นความคิด วิธีการแก้ปัญหาของลูก และขณะเดียวกันก็ได้เติมในสิ่งที่คิดว่าเค้ายังไม่รู้ให้แข็งแรงขึ้น 

เช่น ครั้งหนึ่ง มีข่าวครูลวนลามเด็กและขู่ว่าอย่าบอกใคร ถ้าบอกจะเอาคลิปไปประจาน กับลูกเรา ถ้าได้ยินคำว่า “อย่าบอกใคร” เราว่านางผ่าน เพราะนางจะบอกคนอื่นแน่ๆ แต่พอเรายกตัวอย่างว่า “ถ้าบอก ครูเค้าจะเอาคลิปไปประจานนะ” นางอึ้งไปนิดนึงแบบลังเล ทำให้เรารู้ว่านี่คือจุดอ่อนที่เด็กเองก็กลัว ตอนนี้ถึงเวลาที่จะให้ข้อมูลเพิ่ม เช่น เรื่องกฎหมายการนำเข้าภาพลามกอนาจารลงสื่อโซเชียล เพื่อให้ลูกมั่นใจว่า  อย่างไรเสีย กฎหมายและความรักจากพ่อแม่จะคุ้มครองเค้า แต่ถ้าไม่บอกเรื่องจะใหญ่โตจนอาจแก้ยากก็ได้

ทั้งหมดนี้เป็นทักษะที่เราเตรียมลูกมาตลอดเวลา ไม่ใช่เพื่อการโบยบินสู่โลกกว้างเท่านั้น แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของเค้า เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเรื่องราวไม่ดีจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ไหน ยิ่งไม่มีทักษะยิ่งน่าเป็นห่วง

ก่อนจะบินจริง ต้องฝึกเก็บชั่วโมงบินก่อน

เมื่อรู้ว่าลูกต้องไปอยู่ไกล ไปใช้ชีวิตโดยไม่มีเราอยู่ข้างๆ อีกแล้ว ประกอบกับที่ผ่านมา 12 ปี ตัวติดกันตลอดเวลา การจะห่างกันจึงเป็นเรื่องยากทั้งกับพ่อแม่และลูก สิ่งที่เราทำคือการต้องสะสมชั่วโมงบินก่อน ทั้งของเราและลูก โดยค่อยๆ เริ่มจากน้อยไปมาก จากง่ายไปยาก วิธีง่ายๆ ก็คือ การให้ไปนอนค้างบ้านย่า บ้านยาย ครั้งละ 2  คืนบ้าง 3 คืนบ้าง จนเป็น 5 คืนในที่สุด แรกๆ ก็มีร้องไห้ก่อนนอน โทรคุยกันทุกคืน ก็ต้อง Challenge ตัวเองให้ครั้งต่อไปร้องน้อยลงจนในที่สุดไม่ร้องเลย 

หลังจากนั้นก็ขยับความยากขึ้นมาเป็นการไปเข้าค่ายต่างจังหวัดกับพี่ๆ ที่คุ้นเคย แต่ไม่มีพ่อแม่ไปด้วย ในพื้นที่ที่สัญญาณโทรศัพท์เข้าไม่ถึง เป็นเวลา 1 อาทิตย์ หลังกลับมาคุยกัน เล่าให้ฟังว่ามีแอบร้องให้นิดหน่อยแต่ไม่ให้พี่ๆ รู้ และมีวิธีจัดการความคิดถึง มีวิธีปลอบใจตัวเองจนผ่านมันมาได้ และขยับยากขึ้นไปอีก ลองไปเรียนภาษาในประเทศที่จะไปอยู่ก่อนเป็นเวลา 1 เดือนโดยไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย ลองใช้ชีวิตจริงๆ ที่นั่น เข้าห้องเรียนจริงๆ เพื่อดูว่าตัวเองพร้อมแค่ไหน ใช้ชีวิตได้หรือไม่ รวมทั้งหาวิธีในการจัดการความคิดถึงให้ได้ด้วยตัวเอง

การฝึกเก็บชั่วโมงบินก่อน เป็นสิ่งที่ควรทำมากๆ สำหรับครอบครัวที่ต้องส่งลูกไปสู่สิ่งแวดล้อมใหม่ เพราะนอกจากจะสร้างความมั่นใจให้กับลูกแล้ว ยังสร้างความวางใจให้กับเราด้วยว่าเราจะวางใจลูกได้แค่ไหน มีอะไรที่ลูกทำแล้วเสี่ยงก็จะได้บอกสอน และหาวิธีที่จะลดความเสี่ยงนั้นได้ทันเวลา เช่น การเดินทางด้วย Taxi ต้องทำยังไง ต้องสังเกตอะไร การไปกดเงินให้ปลอดภัยต้องทำยังไง เป็นต้น

เมื่อชั่วโมงบินลูกพร้อม  พ่อแม่ก็คลายความกังวลลงไปได้มากทีเดียว

รวมทั้งการให้ลูกได้ไปเห็นสถานที่จริง ที่อยู่ ที่กิน ที่เรียน ก่อนถึงวันจริงก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรละเลย เพราะจะทำให้ลูกเห็นภาพว่าเค้าจะใช้ชีวิตอย่างไรที่นั่น ต้องเจอกับอะไรบ้างเมื่อถึงวันจริง พ่อแม่เองก็จะได้เห็นภาพว่าลูกไปอยู่อย่างไร มีอะไรน่าห่วง กังวลหรือไม่

เอาล่ะ เมื่อทบทวนมาถึงจุดนี้แล้ว ทั้งเรื่องความรักที่มีให้ ความรับผิดชอบ ทักษะในการดูแลตัวเองให้ปลอดภัย ทั้งหมดที่ฝึกฝนและใช้ชีวิตกันมา ก็ทำให้ความมั่นใจนั้นแข็งแรงขึ้น  

“เร็วไปไหม ที่ส่งลูกไป” ถ้าโลกของเค้ากว้างกว่าเราแน่ๆ เร็วหรือช้าเค้าก็โบยบินอยู่ดี

“ไม่คิดถึง  ไม่ห่วงเหรอ” ความคิดถึงนั้นมากมายนับไม่ได้จริงๆ แต่ก็เชื่อเถอะว่าใครหลายต่อหลายคนต่างก็เคยผ่านความรู้สึกคิดถึงมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น เราและลูกก็ต้องรับรู้ว่าเป็นความรู้สึกธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แล้วก็ผ่านได้เช่นกัน  

“ไม่กลัวลูกจะเจอคนไม่ดี ทำอะไรไม่ดีเหรอ” ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้า  แต่ที่เราไม่ต้องเดาก็คือ การเตรียม การฝึกฝนลูกของเราที่ผ่านมานี่แหละ จะช่วยวางความเป็นห่วงลงได้บ้าง เพื่อเปิดทางให้เค้าได้โบยบินสู่โลกกว้าง งั้นก็ลุยกันเลย

แต่ก็นั่นแหละ เมื่อถึงวันจริงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ 2 สิ่งนี้ก็จะช่วยให้ทั้งลูกและเราผ่านวันยากๆไปได้ นั่นก็คือ การตั้งเป้าหมายร่วมกัน  และ เป็นเป้าหมายของลูก

การตั้งเป้าหมายร่วมกัน และ เป็นเป้าหมายของลูก

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตครั้งสำคัญของเด็กคนนึง ต้องเปลี่ยนอย่างมีเป้าหมาย สำหรับเราแล้วเป้าหมายนั้นต้องมาจากลูกเป็นหลัก แล้วพ่อแม่ทำหน้าที่หาตัวเลือกให้ ลูกต้องรู้ว่าเค้าจากพ่อแม่ จากบ้าน จากพื้นที่ที่คุ้นเคยมาเพื่ออะไร สิ่งนั้นมันสำคัญต่อชีวิต ต่ออนาคตเค้าอย่างไร และเค้าต้องการมันหรือไม่ เพราะถ้าเค้าต้องการ และรู้ว่ามันสำคัญ เค้าจะผ่านเรื่องยากๆ ที่จะเจอข้างหน้าไปได้ อาจไม่ใช่ด้วยความเก่งแต่ก็ใช้ความฮึดเป็นตัวตั้ง  

แต่ถ้ามาจากความต้องการของพ่อแม่ เมื่อเจอโจทย์ยากความท้อแท้ย่อมเกิดขึ้น และเมื่อไม่ใช่เป้าหมายของตน ความฮึดก็มีน้อยตามไปด้วย โอกาสไม่ไปต่ออาจมีสูงกว่า ฉะนั้นการให้เด็กเห็นเป้าหมายที่ชัดเจน หากเป้าหมายนั้นมาจาก Passion ของเค้าด้วยแล้วยิ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนลูกมาเรื่อยๆ  

เทคนิคง่ายๆ ช่วยลูกตั้งเป้าหมาย 

  • ฝึกได้ตั้งแต่เล็ก เช่น การตั้งเป้าหมายในกิจวัตรแต่ละวัน ตื่นเช้ามาต้องทำอะไรน้า? วันหยุดนี้จะทำอะไรกันดี เป้าหมายค่อยๆ เพิ่มความยากขึ้นตามวัย เป็นเป้าหมายการเรียน เป้าหมายต่อทักษะที่สนใจ เช่น เทอมนี้จะส่งการบ้านให้ครบ จะเล่นเปียโนให้จบเพลง เป็นต้น
  • ให้เป้าหมายนั้นมาจากลูก นี่แหละสำคัญมาก เพราะเมื่อเป้าหมายนั้นมาจากเค้า เค้าจะมีแรงฮึดในการผ่านสถานการณ์ยากๆ ได้ พ่อแม่ทำหน้าที่ค่อยๆ ชวนคุยให้เห็นผลดีของมันและอาจช่วยแนะนำให้เป้าหมายของลูกพัฒนายิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่เอาเป้าหมายของเราไปใส่ในเป้าหมายของลูก
  • เป้าหมายมีได้หลายอย่าง การตั้งเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องสำคัญๆ ในชีวิตเท่านั้น แต่สามารถฝึกให้ลูกตั้งเป้าหมายได้หลายๆ อย่าง เช่น เป้าหมายเรื่องร่างกาย เรื่องงานอดิเรก เรื่องการช่วยงานที่บ้าน เรื่องการเรียน เรื่องการพัฒนาตัวเอง เรื่องบุคลิก ฯลฯ
  • แชร์เป้าหมายร่วมกับลูกบ้างก็ดีนะ เพื่อให้ลูกเห็นว่าคนเราทุกคนต่างก็ต้องมีเป้าหมายของชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
  • อย่าลืมชื่นชมความพยายามของลูกด้วย ไม่ต้องรอให้ถึงเป้าหมาย หากระหว่างทางที่ลูกพยายามก็ชื่นชมได้

เมื่อเราฝึกฝนลูกมาแบบนี้ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในช่วงวัยของเค้าจึงต้องมาจากเค้าด้วยเช่นกัน เมื่อเค้ามีเป้าหมายนี้ พ่อแม่ก็ทำหน้าที่หาสนับสนุนและช่วยกันหาสิ่งที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้นร่วมกัน

พ่อแม่ต้องพร้อม Support เมื่อถึงวันจริง

“หนูรู้ว่าหนูมาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร  แต่มันยากมากนะแม่ กว่าจะผ่านความคิดถึงไปได้”

ประโยคนี้มาตามสายพร้อมเสียงสะอื้นของลูก ในช่วงอาทิตย์แรกที่ไปอยู่ที่โน่น ทำเอาคนเป็นแม่แทบจะจองตั๋วบินไปรับกลับมาเลยเดี๋ยวนั้น แต่นั่นแหละ เมื่อทั้งเราและลูกรู้ดีว่าไปเพื่ออะไร ห่างกันเพราะอะไร สิ่งที่ทำได้เวลานั้นคือการ Support ให้ลูกมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เค้าที่เป็นแบบนั้น พ่อแม่เองก็เป็น เราต่างคิดถึง และต่างก็ต้องหาวิธีการผ่านมันให้ได้  เทคนิคที่เราใช้กับลูกคือ

  • ค้นหาวิธีการจัดการความคิดถึงในแบบของเรา บันทึกลงสมุดแล้วผลัดกันอ่าน
  • มีช่องทางสื่อสารถึงกันแม้บางช่วงเวลาไม่ตรงกัน เพื่อให้เค้ามั่นใจว่าเราอยู่กับเค้าแม้จะห่างกันก็ตาม
  • ฟังด้วยสติ ทุกเรื่องที่ลูกโทรมาเล่าให้ฟัง รวมทั้งมีเวลาให้ทุกครั้งที่โทรมา
  • ไม่เข้มงวดจนกดดัน ทั้งเรื่องการเรียนและการใช้ชีวิต เพื่อให้เค้ารู้สึกเป็นอิสระ และแสดงให้เค้ารู้ว่าเรามั่นใจในตัวเค้าด้วย
  • ให้ความมั่นใจว่าลูกจะผ่านมันไปได้  และให้ความเชื่อมั่นด้วยว่าหากพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ลูกไปต่อไม่ได้จริงๆ พ่อแม่ก็พร้อมโอบกอด

เมื่อกลับไปที่คำถามเดิมอีกครั้ง “เตรียมตัวอย่างไรก่อนลูกออกจากอก” จึงไม่ใช่แค่การเตรียมลูก แต่คือการเตรียมตัวเราเองด้วย และที่สำคัญไม่ใช่เตรียมก่อนเดินทางแค่ 3 เดือน 5 เดือน หรือ 1 ปี แต่มันคือการค่อยๆ เตรียม ค่อยๆ ฝึกฝนมาเรื่อยๆ ตลอดชีวิตเค้า ไม่ใช่เพื่อการนี้เท่านั้น แต่ทุกเรื่องที่เราฝึกทักษะให้ลูก เชื่อเถอะว่าเมื่อถึงเวลาที่ใช่ลูกเราจะสามารถดึงทักษะเหล่านั้นมาใช้ได้อย่างเหมาะสม  

เหมือนทหารออกรบ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากยิงใครหรอก แต่เมื่อถึงเวลาประจันหน้ากับข้าศึก ถ้าในเป้มีปืนมีกระสุน ก็ยังได้คว้ามาสู้กันซักตั้ง แต่ถ้าล้วงไปในเป้ว่างเปล่า แน่นอนว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้

Tags:

ปฐมวัยการเลี้ยงลูก

Author:

illustrator

สุมณฑา ปลื้มสูงเนิน

คุณแม่นักกิจกรรม ที่ทำงานกับเด็กมาตลอด นำวิชาความรู้ทั้งหมดที่ทำมาใช้ในการเลี้ยงลูกแบบ Home School เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพต่างกันและห้องเรียนของเด็กคือโลกทั้งใบไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.2 แนวทางการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับลูกปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Character building
    ประชาธิปไตย Vs. เผด็จการ เมื่อการเลี้ยงดูสามารถสร้างคาแรกเตอร์เหล่านี้ได้

    เรื่อง The Potential ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    “เด็กแต่ละคนปีนต้นไม้ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่เห็น” ชั้นหนึ่ง (First Grade)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodFamily Psychology
    “โรค”จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ (1): อาหารไม่ย่อย ขี้กลัว ภูมิแพ้ เพราะพ่อแม่ห่วงหรือบ่นมากไป

    เรื่อง อังคณา มาศรังสรรค์ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhoodFamily Psychology
    ความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา EP.1 การขู่ การหลอก การแหย่ และการล้อเลียน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

รีวิวตัวละครเเม่ในหนังหลากสัญชาติที่บอกว่า ไม่ว่าหนังหรือชีวิตจริง แม่ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง
Movie
11 August 2020

รีวิวตัวละครเเม่ในหนังหลากสัญชาติที่บอกว่า ไม่ว่าหนังหรือชีวิตจริง แม่ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง

เรื่อง The Potentialณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

ดูซีรีส์ แล้วย้อนมอง ‘แม่’ ตัวเอง เอ๊ะ… ทำไมเหมือนแม่เราไม่มีผิด!? และบทลูกในซีรีส์ นี่คือฉันรึเปล่า! กี่ครั้งที่ต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องราวความสัมพันธ์แม่ลูกที่เหมือนมาจากชีวิตจริงของตัวเอง

หลายครั้งที่การดูซีรีส์ หนัง ละคร เหมือนได้เห็นชีวิตของตัวเองผ่านเรื่องราวตรงหน้า (ราวผู้กำกับเอาชีวิตและเรื่องราวในบ้านฉันไปเขียนหรือเปล่านี่) โดยเฉพาะซีรีส์เกี่ยวกับความรักความผูกพันของคนในครอบครัว คาแรกเตอร์ของแม่ที่แตกต่าง น้ำเสียงของตัวละคร หรือสถานการณ์ในเรื่อง ที่ดูแล้วทำให้นึกถึงแม่ตัวเอง แม่ ที่มีทั้งความสมบูรณ์แบบ ไม่สมบูรณ์แบบ ความถูกต้อง ความผิดพลาด ความเปราะบาง ความเข้มแข็ง แม่ที่เป็นเมียหลวงเมียน้อย แม่เลี้ยงเดี่ยว หรือใครก็ตามที่อาจไม่เคยคลอดลูกแต่มีบุคลิกบางอย่างที่เราอยากบอกว่าเขาก็คือ  “แม่” 

ทั้งหมดเหล่านี้… ทำให้เกิดคำถามหรือคิดในใจว่า แม่ที่เรากำลังดูอยู่ เหมือนแม่ของฉันไม่มีผิด แล้วลูกที่อยู่ในเรื่องนั้น คือตัวเราเอง ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่เราต่างเป็นผลพวง ส่งผลกระทบต่อกันและกัน 

เนื่องในโอกาสวันแม่ปี 2563 เราลองลิสต์คุณแม่ในซีรีส์ ละคร และภาพยนตร์ที่บอกถึงความคิด ความรู้สึก และบทบาทของแม่ในเเต่ละครอบครัว คุณเเม่คนไหนเหมือนกับเเม่ของคุณมากที่สุดจนอยากจะเรียกแม่ที่บ้านให้มาอ่าน มาดูที 

SKY Castle – แม่ เพราะรักจึงคาดหวัง

แม่ (ชุด) แรกที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือบรรดาแม่ๆ ใน “SKY Castle” (2018) ซีรีส์จากประเทศเกาหลีใต้ ถ่ายทอดเรื่องราวของพ่อเเม่ในการส่งลูกให้ไปเเตะฟ้า ซึ่งพ้องมาจาก  SKY อักษรต้นของมหาวิทยาลัยชั้นนำในเกาหลีใต้ คือ S-Seoul National University K- Korea University Y-Yonsei University จนครองใจผู้ชมด้วยเรตติ้งอันดับ 1 ของรายการเคเบิ้ลเกาหลีนานถึง 2 ปี (จนเรื่อง A World of Married Couple จากค่ายเดียวกันมาโค่นไป!)

โดยบทบาทที่เราจะพูดถึงคือบทบาทของฮันซอจิน (แสดงโดย ยอมจองอา ) แม่ผู้เเบกความคาดหวังว่าอียอนซอ (แสดงโดย อีฮเยยุน) ลูกสาวจะต้องเป็นทายาทหมอรุ่นที่ 3 ของตระกูลให้ได้ ซึ่งเป็นความหวังของตัวเธอเอง สามี และแม่สามี สิ่งนี้ทำให้อียอนซอเป็นเด็กที่ชอบแข่งขัน ชอบเอาชนะ ต้องเป็นที่หนึ่ง และไม่เคยเผชิญกับความผิดหวัง

จนวันหนึ่งที่อียอนซอพลาดคะแนนสอบไปเพียง 1 คะแนน ทำให้เธอหัวเสีย แสดงความก้าวร้าว และไม่สามารถควบคุมอารมณ์และการกระทำของตัวเอง และไม่มีใครจะเยียวยาความรู้สึกนั้นได้ แม้แต่ครอบครัวของเธอเอง

สุดท้ายซีรีส์เรื่องนี้คงพยายามจะบอกเเม่ๆ ว่าถึงแม่จะบอกกับเราและกับตัวเองว่า “เเม่ไม่ได้คาดหวัง” เเต่คำพูดที่พูดกับลูก การกระทำที่ทำให้ลูก ก็มีมวลแห่งความคาดหวังในอีกรูปแบบเพียงแต่แม่อาจไม่พูดออกมาหรือบางทีอาจไม่รู้ตัว เเละลูกก็ต้องยอมรับความคาดหวังไปโดยปริยาย

ดูได้ที่: Viu, Netflix

Another Child – แม่ เมียหลวง เมียน้อย ผู้หญิงคนหนึ่ง

Another Child (2019) ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีที่ว่าด้วยบทบาทของ ‘แม่’ ทั้งแม่ที่เป็นเมียหลวง แม่ที่เป็นเมียน้อย และการหยิบยื่นความเป็นมนุษย์ให้แก่กันตราบที่ความเข้าใจ ณ ขณะนั้นจะมอบให้กันได้ 

จูริ (แสดงโดย คิมฮเยจอน) และ ยุนอา (แสดงโดย พัคเซจิน) นักเรียนชั้นมัธยม 5 ในโรงเรียนเดียวกัน เพิ่งมารู้ว่า “พ่อ” และ “แม่” ของพวกเธอเป็นชู้กัน (พ่อของจูริ เป็นชู้กับแม่ของยุนอา) เมื่อรู้ความจริง ทั้งคู่จึงพยายามหาทางยุติความสัมพันธ์ครั้งนี้ โดยเฉพาะยิ่งรู้ว่าแม่ของยุนอากำลังตั้งครรภ์น้องอีกคน (แปลว่า น้องคนนี้กำลังจะกลายเป็นน้องของทั้งจูริและยุนอาด้วย) แต่ปรากฎว่า ยิ่งช่วยมากเท่าไหร่ เรื่องกลับยิ่งบานปลายขึ้นเท่านั้น 

แม้หนังจะตั้งต้นที่คู่ความสัมพันธ์ของชู้ แต่กลับให้น้ำหนักไปที่ความสัมพันธ์ของ จูริ และยุนอา และ ความสัมพันธ์แม่ลูก และ เมีย-เมีย เริ่มกันที่ จูริ และ ยุนอาก่อน ที่มันประหลาดมากเพราะทั้งคู่อยู่ในสถานะของลูกเมียหลวงเมียน้อย ต่างแบกรับความรู้สึกเจ็บแค้นจากความเจ็บปวดของแม่ตัวเอง (ไม่ว่าจะหลวงหรือน้อยก็เปราะบางไม่ต่างกัน) ขณะเดียวกันก็ต้องวางความแค้นลงแล้วโฟกัสที่ ‘น้องน้อย’ ที่เพิ่งเกิดมาและตายไปอย่างไม่มีใครช่วยได้ “พี่ครั้งแรก” นี่คือสิ่งที่เธอมีร่วมกัน เข้าใจเหมือนกัน สุขและทุกข์ยามเห็นน้องนอนตัวเขียวและสิ้นลมหายใจ ความรับผิดชอบร่วมที่จะดูแลน้องในวาระสุดท้าย ทำให้ความเป็นลูกเมียหลวงเมียน้อย หายไปชั่วคราว 

และอีกคู่ คือ แม่ของจูริ (สถานะเมียคนแรก) และ แม่ของยุนอา (สถานะเมียคนรอง) คู่นี้หลายคนอาจตัดสินไปแล้วว่าแม่ของยุนอานั้นทำผิดศีลธรรม แต่หนังพาคนดูเข้าไปทำความเข้าใจความเป็นมนุษย์(ขี้เหม็น)อย่างลึกพอ ชวนกลับไปโฟกัสที่ความเป็นแม่ ที่อยากปกป้องและรีบเคลียร์ความเจ็บช้ำของตัวเองให้คลี่คลายเร็ววัน แม่จูริเสียใจที่ถูกสามีหักหลัง เกลียดเมียน้อยเช่นกันที่ทำลายภาพฝันครอบครัว ขณะเดียวกัน วันที่รู้ว่าแม่ยุนอาตั้งครรภ์ลูกของสามี ในฐานะผู้หญิงด้วยกัน เธอเกลียดแม่จูริได้อย่างไม่เต็มใจนัก อาจเป็นความเวทนา แต่คงเป็นผู้ที่ผ่านความเป็นแม่มาเท่านั้นละมั้งถึงจะเข้าใจความหนักหนาของภาระนี้ด้วยกัน แต่ฉากตอนแบบอินดีเทลจะเป็นอย่างไร อยากให้ติดตามชมต่อในภาพยนตร์

ในฐานะลูกและเป็นพี่สาวซึ่งโตพอเข้าใจความเทาของโลกใบนี้ แค่อยากบอกแม่ว่า …วันหนึ่งเธออาจทำผิด อาจอกหักในวัยชราและกลายเป็นหญิงคนหนึ่งที่ต้องการนอนเน่าๆ อยู่บนเตียง ร้องไห้จนหมอนเปียก ไม่แค่จิบแต่กระดกบรั่นดีจนเมาคอพับแถมตัวเหม็นจนไม่มีใครอยากเข้าใกล้ แต่ขอให้รู้ไว้ว่า เมื่อเช้าวันพรุ่งนี้มาถึง ฉันจะจับเธอไปร้านทำผม ออกค่าทำเล็บให้ จะโทรศัพท์ไปบอกเจ้านายให้เองว่าแม่จะขอพักร้อนสักสี่ห้าวัน อืม… ไม่เป็นไรแม่ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ ฉันจะเข้าข้างเธอ 

ดูได้ที่ : Viu

My mother เรียกฉันว่าเเม่ – ฉันไม่ได้อยากเป็นเเม่

“ฉันไม่เคยอยากจะเป็นเเม่ เพราะฉันเข้าใจความรู้สึกหวาดกลัวที่พ่อทำร้ายเราทุกวันได้”

คำพูดของ ทิชา (เเสดงโดย เเพนเค้ก เขมนิจ) นักวิจัยตกงานที่จำใจมาเป็นคุณครูประจำชั้น จากซีรีส์เรื่อง My Mother เรียกฉันว่าเเม่ (2018) ที่นำมารีเมคเป็นเวอร์ชันที่ 3 หลังจากเคยทำในเวอร์ชันญี่ปุ่น เเละเกาหลี  

ตลอดชีวิตทิชาไม่เคยอยากเป็นแม่ เเต่เเล้วความคิดของเธอก็เปลี่ยนไปหลังได้พบกับ ของขวัญ (เเสดงโดย มากิมาชิดา) เด็กหญิงในชั้นที่เธอดูแล ของขวัญกล้าคิด กล้าทำ กล้าถาม เเตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ แต่ภายใต้ความกล้าของเด็กหญิง ของขวัญอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความรุนเเรงในครอบครัว และของขวัญก็ไม่เคยบอกใครเพราะคิดว่านี่คือการปกป้องเเม่เเท้ๆ ของเธอ  

ชีวิตของของขวัญไม่ต่างจากวัยเด็กของทิชา เพราะตอนอายุ 7 ขวบ คนที่เธอเรียกว่าพ่อทำร้ายเธอจนเเม่ต้องพาเธอออกจากบ้านเเละทำให้เธอต้องเข้าไปอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นี่เป็นเเรงผลักให้ทิชาเลือกจะเป็นเเม่ให้กับของขวัญ ในวันที่เธอเจอของขวัญถูกทิ้งอยู่ในถุงขยะ (ของขวัญนั่งเงียบอยู่ตรงนั้นเพราะคิดว่านี่คือการทำตามความต้องการของแม่ตัวเอง) เกิดเป็นความผูกพันของเเม่ลูกที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด

บางครั้งความสัมพันธ์ของเเม่ลูก อาจไม่ได้หมายถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดเพียงอย่างเดียว เเต่เป็นความรู้สึกที่อยากจะพาคนๆ หนึ่งให้หลุดพ้นจากบ่วงความรู้สึกเศร้า ความหวาดกลัวในบ้านซึ่งควรจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยของตัวเราเอง 

ดูได้ที่: LINE TV

ฮาวทูทิ้ง – แม่นักเก็บ

เคยไหม? เวลาจะทิ้งของบางอย่างเเล้วเเม่ไม่ให้ทิ้ง พร้อมกับได้รับคำตอบว่า ของสิ่งนั้นยังเอาไปทำอย่างอื่นได้ หรือบอกว่ายังใช้ได้อยู่ ลูกไม่ใช้ เดี๋ยวเเม่ใช้เอง เพราะเเม่ของจีนเเละเจย์ (เเสดงโดย อุ๋ม อาภาศิริ) ในภาพยนตร์เรื่อง ฮาวทูทิ้ง ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ (2019) ภาพยนตร์จากค่าย GDH559 กับเรื่องราวที่เริ่มต้นมาจากจีน (เเสดงโดย ออกแบบ ชุติมณฑน์) ผู้หญิงสายมินิมอล อยากเปลี่ยนบ้านให้เป็นบ้าน 2 ชั้นเเละต้องการเคลียร์สิ่งของภายในบ้านที่เเต่ละชิ้นเต็มไปด้วยเรื่องราว

เเม่ของจีนเเละเจย์คือเเม่ที่อยากจะเก็บสิ่งของในบ้านไว้ เพราะเป็นร่องรอยความทรงจำแห่งความสุขของคนในครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ก่อนที่สามีเเละพ่อจะตัดสินใจเดินออกจากชีวิตครอบครัวนี้ เช่น การเถียงกันของเเม่เเละจีนว่าต้องการจะเอาเปียโนที่พ่อชอบเล่นไปขาย เเต่เเม่ไม่ยอมเพราะการขายเปียโนก็เป็นการลบความทรงจำ ตัดเรื่องราวของพ่อทิ้งไป 

ของชิ้นเล็กชิ้นน้อย สำหรับลูกเเล้วอาจเป็นเเค่ของชิ้นหนึ่ง เเต่ของชิ้นนั้นเเฝงไปด้วยความทรงจำเเละเรื่องราวที่เเม่ไม่อยากให้หายไปจากความทรงจำของเขา เพราะความทรงจำเเละเรื่องราวเกี่ยวกับของอาจมีคุณค่าเเละเเรงใจที่ทำให้เขามีความสุขกับการเป็น ‘เเม่’ ของลูกๆ ต่อไปก็ได้

แม่ในเรื่องนี้คนอื่นอาจตัดสินว่าเธอมูฟออนเป็นวงกลม ยังคงเก็บของและเรื่องราวไว้แม้รู้ว่าสามีจะไม่กลับมาเเล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเธอและอดีตสามีผ่านเรื่องราวผูกพันกันมาแค่ไหน ทั้งในฐานะ คนรัก คู่ชีวิต สามีภรรยา และพ่อแม่ของลูกๆ  เราต่างมีวิธีเยียวยาและก้าวต่อไปในแบบของตัวเอง แม่ในเรื่องนี้สะท้อนภาพผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เจ็บปวดได้ ผิดหวังกับความรัก และยังไม่ต้องมูฟออนก็ได้ 

ดูได้ที่ : Netflix

The Yard – แม่ที่เดินเข้าคุกแทนลูก 

ฉากแรกของซีรีส์ฉายให้เห็นภาพชาย-หญิงคู่หนึ่งกำลังแย่งปืนกัน ศีรษะฝ่ายหญิงชุ่มไปด้วยเลือด สักพักมีหญิงสาวอีกคนวิ่งเข้าห้าม ก่อนจะตัดจบด้วยเสียงปืนหนึ่งนัดที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดใน The Yard (2018) ซีรีส์สัญชาติตุรกี เล่าเรื่องราวของเดนิซ เดมีร์ (แสดงโดย Demet Evgar) คุณแม่ที่เดินเข้าคุกแทนลูกสาว เอเจม เดมีร์ (แสดงโดย Eslem Akar) ในข้อหายิงพ่อตัวเอง

ชีวิตในคุกไม่ง่ายสำหรับเดนิซ เธอต้องเอาตัวรอดจากเจ้าถิ่นที่หวังใช้เธอเป็นเครื่องมือทำสิ่งผิดกฎหมาย สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเดนิซไม่ทำให้เธอเป็นบ้าไปซะก่อน คือ เอเจม ภาพลูกสาวบนกำแพงเป็นเครื่องเตือนใจเดนิซว่า มีคนกำลังรอเธออยู่ข้างนอก เธอต้องออกไปจากคุกให้ได้

ถ้าถามว่าต้นเหตุเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากอะไร คงไม่ใช่กระสุนนัดนั้น แต่คือความรุนแรงในครอบครัวเดมีร์ ซีรีส์ฉายให้เห็นผลกระทบที่ส่งต่อเป็นโดมิโน่ ตั้งแต่ภรรยาที่ทนอยู่กับสามีอารมณ์ร้าย จนกลายเป็นคนเก็บกด หรือลูกที่โตมากับภาพแม่โดนพ่อทำร้ายเป็นประจำ กลายเป็นแรงผลักให้ตัดสินใจหยิบปืนยิงพ่อเพื่อปกป้องแม่ หรือแม้แต่ตัวสามีที่ถึงจะทุกข์ทรมานกับการกระทำตัวเอง แต่ก็ไม่หยุดหรือเปลี่ยนมัน

ถ้าบอกว่าแม่ที่ดีต้องปกป้องลูก ต้องเลี้ยงดูให้ลูกโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดี แม่แบบเดนิซอาจไม่ใช่ แต่แม่ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีความรู้สึก มีความรักให้สามีตัวเอง เราคงไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เดนิซทำผิดหรือไม่ เพราะแต่ละคนมีสิ่งที่ต้องดีลต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่บอกได้คือการเคารพสิทธิความเป็นมนุษย์ ไม่ควรมีใครถูกทำร้าย โดยเฉพาะจากคนที่เรารัก 

ดูได้ที่: Netflix

https://www.youtube.com/watch?v=s9j8MvV7tE0

My Happy Family – แม่ที่หนีออกจากบ้านไปมีพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง 

My Happy Family (2017) ภาพยนตร์สัญชาติจอร์เจีย อยู่มาวันหนึ่ง มานานา ผู้หญิง แม่ ภรรยา ลูกสาว ผู้หญิงวัย 50 ปีที่อาศัยร่วมกับคนในครอบครัวร่วมสิบชีวิตในห้องเช่าเล็กๆ ห้องหนึ่ง วันหนึ่งโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว มานานาตัดสินใจเก็บเสื้อผ้า ไม่บอกใคร ไม่อธิบายเหตุผล และเดินออกจากบ้าน จากครอบครัวไปหาอพาร์ทเมนต์โกโรโกโส (แต่มีระเบียงกว้าง) อยู่เองคนเดียว 

เธอยังเป็นแม่ เป็นลูกสาว เป็นภรรยา เป็นหญิงคนเดิม ต่างตรงที่เธอชัดเจนแล้วว่าเธออยากใช้ชีวิตที่ ‘เงียบ’ และสงบมากพอจะทำอะไรก็ตามเพื่อตัวเองสักที ถ้ามองในมุมลูกและสามี มันคงเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้ว่าอยู่ดีๆ ทำไมต้องทิ้งทุกคนแล้วออกมา แต่ในชีวิตคนเราน่ะ บางทีมันก็ยากมากนะที่จะอธิบายเหตุผลที่แม้แต่ตัวเองก็สรุปมาเป็นคำพูดไม่ได้ เพียงแต่ข้างในมันบอกว่า ต้องเปลี่ยนแล้ว ต้องไปแล้ว และอีกนัยหนึ่งก็คือ ชีวิตของเราน่ะ ทำไมต้องอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ 

เราไม่แน่ใจว่าความหมายครอบครัวในจอร์เจียคืออะไร แต่ในหนังฉายภาพความบงการลูกสาว ของพี่ชาย ของแม่ ของสามี การเรียกญาติทั้งตระกูลมาปรับทัศนคติมานานา เพราะเข้าใจไม่ได้ว่า “การอยากมีชีวิตส่วนตัว” มันคืออะไรนะ และความต้องการนี้ถึงกับทำให้เธอต้องทิ้งหน้าที่ดูแลบ้าน สามี ลูก และพ่อแม่ไปเลยหรือ? 

มานานาไม่ได้อธิบายเหตุผล ไม่เลย แต่จังหวะที่เธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ เปิดหน้าต่าง จับอาร์มแชร์ที่เอาผ้าห่มเก่าๆ มาคลุมไว้แล้วดันหันเก้าอี้เข้าหาหน้าต่าง กินเค้กเป็นอาหารเช้า นั่งมองความเงียบที่กองตรงหน้า ไม่มีความจอแจและความเคียดขึง คนที่อยู่นอกจอพลันเข้าใจทันที เธอแค่อยากรู้สึกเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง เป็นเจ้าของพื้นที่ของเธอเอง 

ทั้งหมดนี้ทำให้คิดถึงชีวิตของแม่ แม่จะรู้สึกอึดอัดกับชีวิตหลายสิบปีที่เขาต้องรับบทบาทหน้าที่แม่ พื้นที่ส่วนตัวขาดผึงไปตั้งแต่คลอดเราออกมา บ้างรึเปล่านะ? 

มิซาเอะ แม่ชินจัง – แม่ (ที่เป็น) บ้าน

“แม่คือคนที่หาของในบ้านทุกอย่างเจอเสมอ” ฉันเคยนั่งวิเคราะห์กับเพื่อนว่าเวทย์มนตร์ของแม่ข้อนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วลงความเห็นตรงกันว่า เพราะเเม่คือคนที่ใส่ใจรายละเอียดและรู้จักทุกซอกทุกมุมไม่ใช่แค่ของบ้าน แต่ของทุกคนในบ้านด้วย แม่เลยเก็บของไว้อย่างเป็นระเบียบ และรู้ว่าเรามักจะลืมของอะไรไว้ที่ไหน

ข้อนี้ทำให้นึกถึงภาพของมิซาเอะ คุณแม่ของเจ้าหนูคิ้วเข้ม สุดกวน เจ้าของมุกทะลึ่งที่สร้างเสียงหัวเราะให้หลายคน เธอคือผู้หญิงที่เลือกทางเดินมาเป็นคุณแม่และภรรยาแบบเต็มเวลา และได้รับโหวตจากชาวญี่ปุ่นให้สุดยอดคุณแม่ เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วยังมีสีสันในชีวิต ตลอดเรื่องฉายให้เห็นชีวิตประจำวันของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตื่นนอนก่อนทุกคนในบ้าน เปิดม่านรับแสง  เตรียมอาหารเช้า เตรียมอาหารกลางวัน ดูแลความเรียบร้อยทั้งของสามีและลูก หรือขี่จักรยานไล่ตามรถโรงเรียนเพื่อไปส่งชินจังอยู่ประจำ กลับมาทำความสะอาดบ้าน ซักเสื้อผ้า เป็นกิจวัตรที่ทำซ้ำวนไปมาทุกวัน จนเธอแทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง 

แม้จะมีปากเสียง และเป็นคุณแม่จอมโหดเจ้าของกำปั้นสว่านในบางที แต่เธอคือคุณแม่ที่คอยสนับสนุนความฝันของลูก และเป็นลมใต้ปีกของครอบครัว ไม่มีเรื่องไหนที่มิซาเอะไม่รู้ เพราะไม่มีเรื่องไหนของครอบครัวที่เธอไม่ใส่ใจ

ในวันที่โลกสนใจเรื่องความเท่าเทียม บทบาทของการเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ ที่แบกรับภาระดูแลบ้านสารพัดอย่างถูกหยิบขึ้นมาถกเถียงกันมากขึ้น ต่างคนต่างความเห็น รอยยิ้มของมิซาเอะหรือแม้แต่การระเบิดอารมณ์ของเธอบอกเราว่า ความเท่าเทียมที่เราเรียกร้องกันนั้นควรครอบคลุมถึงการเคารพว่าการเป็นแม่บ้านเป็นอีกทางหนึ่งที่มีคนเต็มใจเลือก อาจเป็นความฝันของใครบางคน และเป็นความภูมิใจของใครอีกหลายคนก็ได้ 

Sex Education – แม่ แม่ ลูก

ภาพของครอบครัว LGBTQ มีให้เราเห็นในซีรีส์หลายเรื่อง ตั้งแต่ Friends (1994) Working moms (2017) เรื่องที่เราอยากหยิบมาเล่าคือ ครอบครัว Marchetti ครอบครัวเพศหลากหลายของคุณแม่ผิวสีและผิวขาว จากซีรีส์ Sex Education (2019) ซีรีส์สัญชาติอังกฤษที่เล่าเรื่องวัยรุ่นที่ว้าวุ่นกับเรื่องเพศ เปลือกนอกของซีรีส์อาจฉาบด้วยประเด็นที่ดูแรงและชวนโฟกัสไปที่เซ็กส์ แต่เนื้อในกลับตรงกันข้าม ซีรีส์พาเราไปรู้จักครอบครัวธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีปัญหา มีบาดแผล มีชีวิตจิตใจ มีเรื่องเพศที่เราไม่เคยหยิบมาพูดกัน sex education ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเพศสัมพันธ์แต่คือเรื่องความสัมพันธ์ ครอบครัว ความเป็นเพื่อน และการเติบโต ซีรีส์สามารถหยิบจับประเด็นยากๆ ทั้งบนเตียงและใต้เตียงมาเล่าได้อย่างอบอุ่น

โซเฟีย มาร์เช็ททิ (Sofia Marchetti) (นำแสดงโดย Hannah Waddingham) เป็นคุณแม่ผมบลอนด์ของแจ็คสันลูกชาวผิวสี เธอเคี่ยวกรำลูกชายอย่างหนักให้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ขณะเเจ็คสันที่ต้องทิ้งชีวิตวัยเด็กเพื่อมามุ่งมั่นฝึกซ้อม แรงกดดันรอบทิศที่เขาแบกรับโดยเฉพาะจากแม่ ทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามว่าเขากำลังมีชีวิตเพื่อความฝันของแม่หรือเพื่ออะไรกันแน่ 

เรื่องมาคลายปมเมื่อโซฟียอมรับออกมาว่าสิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือความจริงที่เธอไม่ใช่แม่เเท้ๆ (non-biological mom) เธอจึงดีใจมากที่ลูกสนใจว่ายน้ำ เพราะการว่ายน้ำคือสิ่งที่เธอรักและเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกเชื่อมโยงกับลูก ขณะที่แจ็คสันได้แชร์กลับเช่นกันว่า สิ่งที่ทำให้เขาชอบการว่ายน้ำที่สุดคือการที่เขาได้ทำกิจกรรมร่วมกับแม่

นอกจากนั้นในเรื่องนี้ยังมีเหล่าคุณแม่ที่คาแรกเตอร์หลากหลาย ทั้งคุณแม่นักบำบัดทางเพศที่สอนสุขศึกษาให้ทุกคนได้ยกเว้นลูกชายตัวเอง  แม่ขี้เหล้า ติดยา ขี้โกหก แม่ผู้อยู่ใต้กรอบของสามีจนลืมความสนุกในชีวิตของตัวเอง แม่เคร่งศาสนา ถ้าในเรื่องนี้ลูกๆ กำลังเรียนรู้การเป็นผู้ใหญ่ เหล่าผู้ใหญ่ก็กำลังเรียนรู้การเป็นแม่ในแบบของตัวเองเช่นกัน

Tags:

มายาคติการเป็นแม่ภาพยนตร์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

illustrator

ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

นักศึกษาปีสุดท้ายที่ชอบดูซีรีส์เกาหลี เชื่อว่าซีรีส์คือพื้นที่การเรียนรู้ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ สนใจเรื่องระบบการศึกษา อยากเล่าเรื่องให้สนุกเเบบฉบับของตัวเอง

Related Posts

  • Movie
    Thelma (2024) : คุณยายสุดเท่ปราบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Gran Turismo: ล้มกี่ครั้งไม่สำคัญเท่าลุกอย่างไรให้ไปต่อได้

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Moxie (2021) หนังที่บอกเราว่าไม่ควรเมินเฉยต่อการถูกแกล้ง ลวนลาม แต่จงลุกขึ้นมาส่งเสียงของตัวเอง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Creative learning
    หมดเวลาชอล์กแอนด์ทอล์ค มาเรียนรู้อย่างเสรีผ่านห้องเรียน NETFLIX

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ
How to enjoy lifeBook
11 August 2020

ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘ชีวิตช่วงนี้รู้สึกกำลังหลงทาง’ ‘รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร’ ‘งานเยอะแต่รู้สึกตัวเองจัดการได้ไม่ดีพอ’ และสารพัดปัญหาอีกมากมาย ป่านและกุ๊กไก่แห่งร้านหนังสือ Fathom Bookspace ขอแนะนำทางออกผ่านการอ่านหนังสือ

ในช่วงเวลาที่ ‘ใจไม่ค่อยดี’ พวกเราจะชอบทำ 3 อย่างค่ะ

  1. ดูแลร่างกายให้ดี – จะทำให้เรายังใช้ชีวิตได้อย่างดี และมีความรักสำหรับตัวเราเอง
  2. ใช้เวลากับคนที่เรารักหรือรักเรา – จะทำให้เรามีพื้นที่ปลอดภัย เห็นความเป็นไปได้และโอกาสมากมาย พร้อมกับรับรู้พลังกายใจที่อยู่กับเราเสมอ
  3. อ่านหนังสือ – จะทำให้เราเห็นว่า เรื่องที่เรากำลังเจอ ไม่ว่ามันคือเรื่องไหน จริงๆ แล้ว มันคือเรื่องอะไรกันแน่ หนังสือมักจะมีข้อความที่ใช่ ในเวลาที่ใช่ มันช่วยให้เราเห็นตัวเองได้ชัด มองคนอื่นได้พอเข้าใจ แล้วช่วยเพิ่มทางเลือกให้เรา ทางเลือกที่ไม่ได้มีไว้สำหรับอนาคตเท่านั้น บางทีก็เป็นทางสำหรับอดีต ที่เราจะได้ทบทวนบางอย่างใหม่ได้อีกด้วย

พวกเรา – ป่าน และ กุ๊กไก่ กำลังอยู่ในร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace ขณะอ่านและตอบข้อความนี้ และมีหนังสือหลายเล่มสบตา 😊

1.

Kamonphan C. 

รู้สึกชีวิตกำลังหลงทาง ทั้งๆ ที่ถือแผนที่ ดูมันมาอย่างดี เดินตามมาอย่างถูกต้อง แต่พอถึงที่ กลับรู้สึกว่าเหมือนกำลังหลงทางอยู่ บางครั้งก็เหมือนชีวิตวนลูป ทำแบบนั้นเดิมๆ เป็นแพทเทิร์น จนเกิดคำถามหลายครั้งว่าเป็นเพราะอะไร เพราะเราไม่มีเวลา เราเหนื่อย หรือเราเพิกเฉยปล่อยให้มันเป็นแบบนี้กันแน่

รู้สึกยังเศร้ากับความฝันหลายอย่างที่เราเกือบจะคว้ามันได้ แต่ด้วยปัจจัยบางอย่าง เลยทำให้เราเลือกที่จะปล่อยความฝันนั้นไป เคยเป็นคนที่มีความมั่นใจ มีความภูมิใจในสิ่งที่ทำ ในงานที่ทำ แต่ปัจจุบันกลับรู้สึกว่า ผลงานที่เราทำออกมามันดูไร้ค่า ดูมันไม่มีอะไร จนถามตัวเอง “นี่เราไม่มีความสามารถหรอวะ?”

ที่บอกมาอาจจะดูเหมือนคนไม่มีความสุข จริงๆ ก็มีนะ ฮ่าๆ เรายังแฮปปี้กับบางอย่างที่เราทำ เราเจอ ในแต่ละวัน จะรออ่านหนังสือเล่มนั้นนะคะ หรือมีหลายเล่มก็ยินดีค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ 🙂

ถึงคุณ Kamonphan

ดีใจที่ได้เห็นว่าคุณมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ที่เจอ ในแต่ละวันด้วย 😊

พูดถึงเรื่องเส้นทางชีวิต ความฝัน ความคาดหวัง และคุณค่าที่เรามองตัวเอง แล้วนึกถึงหนังสือเรื่อง วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน ค่ะ ตอนนี้มันเป็นหนังสือที่หลายคนซื้อมอบให้กันในวันรับปริญญา ดูเหมาะกับสถานการณ์ของคุณ Kamonphan อยู่เหมือนกัน ^^

ในเล่มรวบรวมปาฐกถาในงานรับปริญญาของหลายมหาวิทยาลัยดังซึ่งกล่าวโดยบุคคลหลากหลายแวดวง เช่น Steve Jobs, Marc Lewis, J.K. Rowling, Sheryl Sandberg และอื่นๆ ที่อาจเรียกว่า ‘คนประสบความสำเร็จ’ คนที่ผ่านการต่อสู้จนน่าจะเข้าใจชีวิต คนที่น่าจะรู้วิธีไขว่คว้าฝัน รู้วิธีสร้างความมั่นใจ รู้ว่าแผนที่ชีวิตนั้นควรวาดแบบไหน มันดูคล้ายหนังสือรวมสูตรสำเร็จและแรงบันดาลใจ แต่เมื่ออ่านไปแล้วเราก็พบว่าไม่มีชีวิตใครที่มีสูตร กระทั่งอาจไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จอยู่เลยก็ได้

ประโยคหนึ่งในหนังสือเรื่องวิชาสุดท้ายฯ เล่าว่า “คุณจะได้รับคำบอกเล่าเป็นร้อยวิธี ทั้งแบบอ้อมค้อมและแบบโจ่งแจ้ง ว่าจงปีนขึ้นไปเรื่อยๆ และจงอย่าพอใจกับพื้นที่ที่คุณยืนอยู่ คนที่คุณเป็น และสิ่งที่คุณทำ…การคิดค้นความหมายให้กับชีวิตของคุณเองไม่ใช่เรื่องง่าย”

นอกจากไม่ง่ายแล้ว ก็คงไม่ได้มีวิธีเดียวอีกด้วย ซึ่งนี่เหมือนความจริงที่เราน่าจะรู้กันอยู่แล้ว จนกระทั่งเมื่อเราเจอมันกับตัว คนทั้ง 11 คนในเล่ม ไม่ได้เชื่อในสิ่งเดียวกัน ให้คุณค่าต่อสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน และนั่นก็ทำให้ความหมายของความสำเร็จมีหน้าตาแตกต่างกันไป บางขณะเขาเหล่านั้นพบกับความสูญเสีย บางขณะพบความผิดหวัง บางช่วงชีวิตพังทลาย ตั้งคำถามกับคุณค่าของตัวเอง และนั่นก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้พวกเขาได้ใคร่ครวญ ใช้ชีวิต กอบกู้บางสิ่ง จนได้ถอดบทเรียนออกมาเป็นปาฐกถาเหล่านี้

เป็นหนังสือที่น่าจะเป็นแรงพลังและมุมมองใหม่ๆ 😊

อีกเล่มที่ชวนอ่านเป็นอีกแนวเลยค่ะ คือเรื่อง วันที่เหมาะกับขนมปัง ซุป และแมว นิยายอบอุ่นเล่าถึงผู้หญิงอายุราว 50 ที่ตัดสินใจทิ้งงานการที่ทำมาตลอดชีวิตออกมาเปิดร้านที่ขายแค่ซุปกับขนมปัง เสี่ยงให้ชีวิตเจอที่ทางใหม่ๆ ที่นำมาซึ่งคำตอบใหม่ และคำถามใหม่

 2. 

Nawasri C.

อะไรบางอย่างในตัวกำลังเปลี่ยน ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่แย่ แต่อยากลองอยู่นิ่งๆ ค่อยๆ ตกตะกอน ระหว่างที่กำลังลงมือทำเรื่อยๆ ก็มีคำถามตลอดว่าควรรอให้ตัวเองนิ่งลงกว่านี้ไหม แต่รู้สึกว่ารอไม่ได้อีกต่อไป คงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านอะไรสักอย่าง อยู่ในระหว่างเปลี่ยน แต่ยังไม่ผ่านไป

ถึงคุณ Nawasri C.

การเปลี่ยนบางอย่างข้างในไม่ได้เห็นชัดเหมือนการเปลี่ยนข้างนอก แต่เป็นเรื่องที่ดีมากเลย ที่เราสังเกตเห็น รับรู้ ว่ามีบางอย่างกำลังเปลี่ยน และดีที่มันไม่แย่ด้วยเนอะ 😊

เวลาพวกเราเป็นแบบนี้ ชอบอ่านหนังสือที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายพร้อมๆ กับได้ตกตะกอนบางอย่างไปด้วย ซึ่งพบว่า หนังสือประเภทที่เวิร์กมาก คือหนังสือภาพค่ะ

Can I build another me? เป็นหนังสือภาพน่ารักของคุณ Shinsuke Yoshitake ที่เล่าถึงเด็กชายคนหนึ่ง ผู้อยากสร้างตัวเองขึ้นมาหลายๆ คน จะได้มีคนช่วยทำอะไรต่างๆ นานาได้ ว่าแล้ว เด็กชายก็ไปซื้อหุ่นยนต์นักประดิษฐ์มาตัวหนึ่ง หุ่นยนต์นั้น ก็ทำรีเสิร์ชอย่างขะมักเขม้น ว่า อ่ะ… ที่เธออยากให้ฉันก็อปปี้ตัวเธอขึ้นมา ถ้าอย่างนั้น เธอคือใครกันล่ะ

ทั้งเล่ม เราจะได้สำรวจ ทบทวน ไปพร้อมกับคำถามของหุ่นยนต์ และคำตอบของเด็กชาย ว่าเราเป็นใครกันแน่ อะไรที่เราชอบ เราเชื่อ เราเป็น เราสนุก เรารัก

หนังสือไม่ได้ให้คำตอบอะไรค่ะ แต่สิ่งที่พวกเรานึกได้ตอนอ่าน ก็คือ ในตัวเรามีความคิด ความเชื่อ ความเป็นเราบางสิ่งอยู่เสมอ ในขณะเดียวกัน ก็มีบางอย่างเปลี่ยนไปอยู่เรื่อย เวลาที่ผ่านไปบางอย่างก็เพิ่มขึ้นมา บางสิ่งเราอาจไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะมีสิ่งนี้ในตัวเราได้ บางสิ่งมีอยู่เพราะคนอื่นบอกว่าเรามี บางอย่างเราเคยเป็น บางอย่างเราจะไม่เป็น ฯลฯ

เป็นหนังสือที่ทำให้คิดว่า ชีวิตนั้นน่ารัก ค่อยๆ เปลี่ยน เปิด มีหลายๆ มุมให้เราค่อยๆ เจอและรู้จัก 😊

ทะเลเป็นสถานที่ที่ดูเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่แปลกดีที่เวลาเราไปทะเล กายใจที่อยู่กับคลื่นลมซัดสาด กลับทำให้เราสงบลงได้ อีกเล่มชวนอ่านเลยเป็น ของฝากจากทะเล ของคุณแอนน์ มอร์โรว์ ลินด์เบิร์กห์ ที่พาเราใคร่ครวญถึงสิ่งที่เรากำลังพบ คว้า และปล่อยมันไป

3.

Thitirat S.

ช่วงนี้งานเยอะมากค่ะ อยากทำทุกงานเลย แต่ทำไม่ทันด้วยข้อจำกัดเรื่องสุขภาพและเวลาค่ะ

คือลึกๆ มุมหนึ่งก็มั่นใจว่าตัวเองบริหารจัดการทุกอย่างได้ดีค่ะ แต่พอมีข้อจำกัดต่างๆ เช่น เวลา รึสภาพแวดล้อมก็ทำเอาเราหนักใจเหมือนกันค่ะ

อยากเรียนรู้การรับมือกับความไม่สมบูรณ์แบบและการอดทนกับสิ่งที่ไม่ได้คาดหวังค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ

ถึงคุณ Thitirat S.

ตอนนี้ เรากำลังอ่านหนังสือเรื่อง Wabi Sabi อยู่ค่ะ ชื่อเต็มๆ คือ วะบิ ซะบิ แด่ความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต ปรัชญาญี่ปุ่นที่ว่าด้วยความงามในความไม่สมบูรณ์แบบ ผู้เขียนคือคุณ Beth Kempton ผู้ใช้ชีวิตในญี่ปุ่นอยู่ยาวนานและศึกษา สัมภาษณ์ ทำความเข้าใจกับเรื่องวะบิซะบิ ว่าคืออะไรกันแน่

โดยทั่วไป เวลาพูดเรื่องวะบิซะบิ เราจะนึกถึงถ้วยชามแตกร้าว ข้าวของที่ไม่สมมาตร สรรพสิ่งที่มีตำหนิ แต่ในหนังสือเล่มนี้ พาเราไปไกลกว่านั้น คือ พยายามจะหาไปถึงรากว่าทำไมเราจึงควรลองรื่นรมย์กับบรรดาความไม่สมบูรณ์แบบนั้นด้วย เล่าอย่างให้เห็นรูปธรรมในมิติต่างๆ ตั้งแต่เรื่องการจัดบ้าน การซื้อข้าวของ ความสัมพันธ์ การพักผ่อน ไปจนกระทั่งการงาน (ซึ่งไม่สมบูรณ์แบบได้ด้วยหรือ??)

ตอนหนึ่งในหนังสือ เล่าถึงประเทศญี่ปุ่นว่ามีการแบ่งฤดูกาลย่อยออกเป็น 72 ฤดู ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในทั้งสาเหตุและผลลัพธ์ ของการที่ผู้คนได้สังเกตสรรพสิ่งรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา และแน่นอนว่า เมื่อเป็นเรื่องธรรมชาติ ส่วนใหญ่ ก็มาในแบบที่เราไม่ได้คาดคิดนัก

ธรรมชาติที่วะบิซะบิพูดถึงจึง ขยายใจความไปที่ ‘สรรพสิ่งตามที่มันเป็น’ สัจธรรมของโลกและชีวิต ว่า “ไม่มีอะไรที่เสร็จสิ้น ครบถ้วน หรือสมบูรณ์แบบ” แต่วะบิซะบิก็ไม่ได้บอกให้ปล่อยทุกอย่างไปตามชะตากรรม แต่เชิญชวนให้เราสามารถอยู่ร่วม ดูแล และรื่นรมย์ประคับประคองกับฤดูกาลที่ผันผ่าน ทั้งฤดูโลก และฤดูในตัวเราเอง – ฤดูที่แข็งแรง ฤดูที่เหนื่อย ฤดูที่ป่วย ฤดูคึกคักสดใส หรือฤดูร้อนหนาวในใจ ซึ่งไม่ว่าใครๆ ก็กำลังเผชิญกับฤดูอะไรสักอย่างอยู่เช่นกัน

บางแบบฝึกหัดในเล่ม บอกว่าเราสามารถมีเวลาให้ตัวเองได้มองเห็นห้วงเวลาผ่านไป เพิ่มพลังตัวเองผ่านการไม่จัดการอะไรเลยสักช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ ขณะเดียวกัน ก็อาจจัดการบางอย่าง และทำให้งานเยอะๆ ที่คุณ Thitirat กำลังสนุกกับมัน สนุกมากขึ้นไปอีกได้ด้วย ^^

อีกเล่มที่ชวนอ่าน คือ วิถีบันทึกแบบบูโจ หนังสือยอดฮิตที่พาเราลองใช้การบันทึกแบบ ‘บูโจ’ เพื่อจัดการสารพัดความโกลาหลในชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง

 4.

Beau S.

เพิ่งย้ายที่นั่งในออฟฟิศค่ะ เพราะที่นั่งเดิมทำให้ใจสั่นเกินไป การรักใครข้างเดียวนานเกินไปสุดท้ายแล้วก็จบลงที่เราต้องกลับมารักตัวเองค่ะ หวังว่าการย้ายครั้งนี้จะทำให้ใจนิ่งลงบ้าง

ถึงคุณ Beau S.

มีนิยายเรื่องหนึ่งที่เราเพิ่งอ่านจบไป ชื่อว่า Sad Café เธอ, เขา, เรา, ฉัน และสามร้อยกว่าวันในดินแดนแสนโศก เป็นนิยายเล่มเล็กของคุณวิรัตน์ โตอารีย์มิตร เรื่องสนุกดีอ่านเพลินและดูเข้ากับสถานการณ์มากเลยค่ะ

นิยายเล่าถึงชายหญิงคู่หนึ่ง จากอดีตคนที่เคยแอบรัก มาเป็นหุ้นส่วนกันเปิดคาเฟ่ที่ตั้งใจว่าจะเป็นคาเฟ่ที่แสนเศร้า ทุกอย่างในร้านจะเศร้ากันให้สุดๆ แบบที่กระทั่งแอร์ในร้านก็จะเปิดให้หนาวกว่าปกติ สถานการณ์ในเรื่องดำเนินไปโดยที่มีลูกค้ามากมายแวะเวียนเข้ามาพร้อมกับเรื่องเศร้าตามคาด

และเรื่องเศร้าที่สุด ก็หนีไม่พ้นเรื่องความสัมพันธ์ สิ่งที่น่าสนใจคือ ความสัมพันธ์นั้นเกิดขึ้นในหลากหลายหน้าตา เรื่องบางแบบเราเคยเจอ บางแบบซับซ้อนซ่อนเงื่อน บางเรื่องสามเส้า บางเรื่องหนึ่งเศร้า บางเรื่องแค่ฟังก็รู้สึกเจ็บปวดแทน แต่โดยรวมๆ แล้ว มันช่างเป็นเรื่องใกล้ใจและเหมาะกับการมีใครสักคนรับฟัง และเจ้าของร้านทั้งสองของคาเฟ่ ก็ทำหน้าที่นั้นจนสถานการณ์ความเศร้าและความรักในร้านค่อยๆ แปรเปลี่ยนชีวิตของบรรดาตัวละครไป

เป็นหนังสือที่เราคนอ่านก็ได้ออกสำรวจและค่อยๆ เติบโตไปด้วยกัน

สำหรับเรา การเลือกของคุณ Beau ทำให้รู้สึกถึงความรัก 😊 เป็นกำลังใจให้นะคะ

อีกเล่มที่ชวนอ่านเป็นหนังสืออ่านความเรียง เป็นตอนสั้นๆ อ่านเพลินๆ พร้อมภาพประกอบสวยงาม เป็นงานเขียนจากเกาหลี ชื่อ ไม่ได้ขี้เกียจ แค่กำลังชาร์จพลัง เป็นหนังสือที่เหมือนทำให้ได้ทบทวนพูดคุยกับตัวเองในประเด็นต่างๆ และเตือนกับเราว่า “ไม่ไหวบอกไม่ไหว”

 5. 

Keawalee W.

รู้สึกมีความสุขกับชีวิตโดยเฉพาะในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่กลับรู้สึกลึกว่าๆ ยังมีอะไรที่ขาดไป… ถ้าให้แบ่งตามทั่วไปน่าจะเรียกว่าเรื่องของ ‘การงาน’ แต่เรากลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของ ‘เป้าหมายในชีวิต’ มากกว่าหรือเปล่าไม่รู้ จากเดิมที่มีฝันและไฟแรงกล้า ตอนนี้เรากลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็นกับการมีความสุขในชีวิตเลย มันรู้สึกเหมือนกับเราทิ้งจุดหมายไปอย่างง่ายดายทั้งที่เราเดินทางมาไกลก็เพื่อเติมเต็มความฝัน มาเรียนรู้ เดินทางมาไกลอีกฟากโลกเพื่อให้ตัวเองได้เติบโตและกลับไปเป็นตัวตนแบบที่เคยรู้สึกว่า ambitious ที่สุด

ผ่านมาสองปีแล้วเรากลับกลายเป็นได้เรียนรู้คุณภาพการใช้ชีวิตที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อนที่ดีมากๆ แต่เรายังรู้สึกว่าเรายังอยากค้นพบสิ่งที่ทำเป็นงานแบบไม่รู้สึกทรมานได้ งานที่ทำแล้วเรารักมัน แต่ตอนนี้เรามีความสุขและผลัดผ่อนมันเกินไปไหมนะ หรือมันก็แค่ช่วงชีวิตนี้ที่เรากำลังถึงทางแยก เรามีความสุขกับปัจจุบันแต่ไม่เห็นภาพของอนาคตเลย จนเราแอบหวั่นกับชีวิตตัวเองบางคราว มันมีปัญหาอะไรที่ทำให้เราไม่เผชิญหน้ากับชีวิตหรือเปล่านะ..

ถึงคุณ Keawalee W.

เราอ่านข้อความของคุณ Keawalee แล้วเห็นความเอาใจใส่ที่มีต่อความคิด ความรู้สึก และสถานการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน สังเกตการณ์ตัวเองได้ละเอียดลออน่าสนใจมาก ที่สำคัญ พวกเราว่าคนที่สามารถมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตได้ เหมือนได้รับของขวัญเลยค่ะ 😊

การจัดการชีวิตแบบที่คำนึงถึงความเป็นเรา ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทำให้นึกถึงหนังสือเรื่อง Designing your life หนังสือโดยบิล เบอร์เนตต์ และเดฟ อีวานส์ นักออกแบบผลิตภัณฑ์ชั้นนำผู้ประยุกต์ใช้ Design Thinking เข้ากับการออกแบบชีวิต และเป็นผู้ริเริ่มหลักสูตร Designing Your Life ซึ่งกลายเป็นวิชายอดนิยมของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นักออกแบบทั้งสอง หาวิธีที่เอาความคิดของการออกแบบ มาทำให้ชีวิตอิ่มเต็มและมีความหมาย และพยายามหาคำตอบว่า เราจำเป็นต้องทำงานในสาขาที่เรียนมาไหม แล้วจะทำอย่างไรถ้าเราเพิ่งรู้ตัวว่าเลือกทางผิด ทำยังไงให้ passion เป็นเรื่องที่เวิร์ก สมดุลระหว่างงานและครอบครัวสร้างได้ใช่ไหม กระทั่งเราจะออกจากการติดหล่มได้ยังไง

แม้เป็นหนังสือที่บอกไปจนถึงวิธีการ แต่ก็ย้ำกับเราว่า ชีวิตที่ดีไม่ได้มีสูตรตายตัวเหมือนคณิตศาสตร์ แต่ทำยังไงที่เราจะเห็นปัญหาจริงๆ และแก้ไขให้ถูกจุด

ชีวิตเป็นเรื่องคาดเดายาก มันยากจะนึกออก จังหวะชีวิตก็เปลี่ยนไปเสมอ บางทีเราก็ไม่ได้คิดเหมือนเดิม ไม่รู้สึกอย่างเดิม ไม่ได้มีพลังเท่าเดิม เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไป แล้วเป้าหมายก็อาจจะเปลี่ยน ซึ่งบางทีก็ยังไม่แน่ใจว่าเปลี่ยนไปทางไหน และทั้งหมดนั้นก็น่ากังวลใจอยู่เหมือนกัน

แต่อนาคต…วินาทีข้างหน้าก็มาถึงเสมอ แล้วก็ดูเหมือนคุณ Keawalee จะเผชิญมันได้ดีมาตลอด ทีละแยกๆ

มีประโยคหนึ่งที่เคยอ่านเจอเป็นประโยคของนักจิตวิทยาคลินิก คุณ Meg Jay มาเล่าสู่กันฟังค่ะ

“ประสบการณ์ในแต่ละช่วงวัย จะค่อยๆ สะสมถึงแก่นแท้ ซึ่งคือการที่เราบอกตัวเองได้ว่า ‘เราจะเลือกเอาอะไรเข้ามาในชีวิต’ เท่านั้นเอง”

มีอีกเล่มหนึ่งที่พวกเราชอบมาก เวลาได้คุยเรื่องชีวิตกัน คือ ‘เรื่องส่วนตัว’ ของ Jimmy Liao เป็นหนังสือภาพวาดน่ารัก แต่ละหน้าจะมีบุคคลน่าสนใจ 1 คนที่เราไม่รู้จักและอาจมีเฉพาะในโลกจินตนาการ กับประวัติของเขาเขียนอยู่ด้านข้าง เขาชอบกินอะไร อธิษฐานอะไรตอนเห็นดาวตก ความใฝ่ฝันเป็นแบบไหน และอื่นๆ พวกเราอ่านแล้วพบตัวเรากระจัดกระจายอยู่ในนั้น เป็นช่วงเวลาแห่งการใคร่ครวญที่สนุก 😊

ป่านและกุ๊กไก่ เจ้าของร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace ร้านหนังสือเล็กๆ น่ารักที่มีกิจกรรมสารพัดชวนเราค้นหา ค้นพบ ตัวเราและเพื่อนมนุษย์อย่างรื่นรมย์ไปด้วยกัน

Tags:

หนังสือชีวิตการทำงานการเติบโตFathom bookspace

Author:

illustrator

ขนิษฐา ธรรมปัญญา

นักเล่น นักทำงานอดิเรก สนใจการเดินทางด้านในของผู้คน นักออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมายหลากหลายมากว่า15 ปี เจ้าของร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace

illustrator

ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

นักอ่าน บรรณาธิการอิสระ อดีตกองบรรณาธิการนิตยสาร writer ชอบการเดินทางและกำลังสนุกกับกล้องฟิล์ม เจ้าของร้านหนังสือและพื้นที่เรียนรู้ Fathom Bookspace

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Book
    แปดขุนเขา – คือขุนเขาลูกไหน…ในใจคุณ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    นกนางนวลตัวนั้น – ยังโบยบินอยู่ไหม?

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ‘อย่าเป็นคนฉลาดที่สุดในห้อง’ นักวิทย์โนเบลแนะวิธีเรียนให้รุ่ง

    เรื่อง

  • Book
    หนทางเดียวที่จะเป็นปรมาจารย์แห่งรัก คือ ฝึกรัก

    เรื่อง ภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ขนิษฐา ธรรมปัญญา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Book
    ส่งท้ายปี 2020 ด้วยหนังสือ 10 เล่ม ที่เหมาะกับการอ่านเพื่อการ ‘มูฟออน’

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์

เวิร์คชอปภาพถ่ายพลังงานทางเลือกที่เล่าตั้งแต่เรื่องแดดไปจนถึงขยะความเชื่อ
Creative learning
10 August 2020

เวิร์คชอปภาพถ่ายพลังงานทางเลือกที่เล่าตั้งแต่เรื่องแดดไปจนถึงขยะความเชื่อ

เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ชวนไปเข้า workshop ถ่ายภาพ หนึ่งในเครื่องมือที่บอกเล่าปัญหาสังคม “Realframe Photo Workshop 3rd : Looking for the Exits เล่าเรื่องทางเลือกสู่ทางรอดของพลังงานไทย”
  • ระยะเวลาการเวิร์คชอป 6 วันเต็มไปด้วยการเลคเชอร์ ลงพื้นที่ คิดประเด็น ถกเถียง ถ่ายรูป กลับเข้ามาถกเถียงเพื่อแก้ไขงาน และวนออกไปถ่ายรูปใหม่พร้อมเมนเทอร์มืออาชีพที่ลงสนามถ่ายรูปมามากกว่า 10 ปี การคอมเมนต์เกิดขึ้นทั้งในห้องและหลังกล้อง ณ พื้นที่จริง
  • ประเด็นของเลคเชอร์ส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อนของซับเจ็กต์ที่เป็นแบบ การคิดประเด็นและวางแผนสำคัญมากในการได้รูป การเข้าหาซับเจ็กต์โดยไม่ตัดสินและถามคำถามสำคัญ เช่น คุณอยากต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมนี้ไหม วันๆ หนึ่งอาจจะได้รูปที่ดีเพียงใบเดียวและต้องรออย่างยาวนาน ในขณะเดียวกันก็ต้องตรวจสอบข้อมูลกระบวนการยุติธรรมของการจับผู้ต้องหาในสามชายแดนฯ ของรัฐ และสังเกตวิถีชีวิตของซับเจ็กต์ไปด้วย เพราะทุกอย่างล้วนสำคัญต่อการสื่อสารที่ต้องการกระตุกความคิดของผู้ชม

“ภาพถ่ายมันอยู่ในชีวิตเราอยู่แล้ว ฟอร์แมตมันอาจจะเปลี่ยน วิธีการใช้มันอาจจะเปลี่ยน อำนาจในมือของการถ่ายภาพอาจจะเปลี่ยนไป แต่เราเห็นภาพถ่ายในทุกๆ วัน เรารู้สึกว่าสิ่งนี้มันอยู่กับเราทุกวันไม่แพ้ตัวหนังสือ ไม่แพ้งานเคลื่อนไหว หรือศิลปะ หรือการสื่อสารแบบอื่นๆ”

ธีระพงษ์ สีทาโส หนึ่งในสมาชิกของ Realframe กลุ่มช่างภาพที่ทำงานในประเด็นสังคม สิทธิมนุษยชนสะท้อนแนวคิดด้านการถ่ายภาพสำหรับ “Realframe Photo Workshop 3rd : Looking for the Exits เล่าเรื่องทางเลือกสู่ทางรอดของพลังงานไทย”

การสังเกตเวิร์คชอป Looking for the exits เริ่มง่ายๆ ด้วยคำถามที่ว่าภาพถ่ายจะเป็นเครื่องมือที่บอกเล่า กระตุ้นจิตสำนึก หรือแม้กระทั่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในประเด็นที่ดูเหมือนจะใกล้ตัว แต่ไกลความเข้าใจอย่างเรื่อง พลังงานทางเลือกได้อย่างไร

ผู้เข้าร่วมโครงการมีอายุตั้งแต่ 17 – 40 ปี มีทั้งนักเรียนมัธยม นักศึกษา นักข่าว ผู้ที่สนใจประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ไปจนถึงผู้ที่สนใจใช้การถ่ายภาพเพื่อสื่อสารอย่างจริงจัง บรรยากาศในชั้นสองของโฮสเทลที่ใช้เป็นพื้นที่เวิร์คชอปชั่วคราวเต็มไปด้วยความครึกครื้นและเป็นกันเองเพราะผู้เข้าร่วมบางคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว ในขณะที่บางคนก็จับกลุ่มกันคุยเกี่ยวกับหัวข้อและประเด็นที่ตัวเองอยากปักหมุด

ธีระพงษ์ สีทาโส กระบวนกรและสมาชิก Realframe

เวิร์คชอปถ่ายภาพในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ Power Jungle ซึ่งเป็นโครงการของสถาบันเอเชียศึกษาและสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

“โครงการนี้ต้องการสร้างความตระหนักรู้เรื่องพลังงานทางเลือก เป้าหมายของโครงการเราคือเยาวชน 3 กลุ่ม มัธยม มหาลัย และ first jobber เราทำงานกับคนที่เราคิดว่าเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) กลุ่มเป้าหมายเราเขาโตมาท่ามกลาง visual culture เราเลยคิดว่าการสื่อสารทาง visual จะสร้างผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมาย คนที่เราเลือกมาเป็น change agent อย่างน้อยถ้าเขามีสำนึกเรื่องพลังงาน เขาก็สามารถไปสื่อสารเองต่อในโอกาสต่อไป เมื่อเขามีทักษะทางการสื่อสารและความสำเหนียกในเรื่องพลังงาน เขาไปต่อยอด รณรงค์ นี่คือสิ่งที่เราคาดหวังนอกเหนือจากตัวงาน”

อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ อรรคณัฐ วันทนะสมบัติ นักวิจัยศูนย์แม่โขงศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าถึงจุดประสงค์โครงการ

ระยะเวลาการเวิร์คชอป 6 วันเต็มไปด้วยการเลคเชอร์ ลงพื้นที่ คิดประเด็น ถกเถียง ถ่ายรูป กลับเข้ามาถกเถียงเพื่อแก้ไขงาน และวนออกไปถ่ายรูปใหม่พร้อมเมนเทอร์มืออาชีพที่ลงสนามถ่ายรูปมามากกว่า 10 ปี การคอมเมนต์เกิดขึ้นทั้งในห้องและหลังกล้อง ณ พื้นที่จริง

“หลักๆ แล้วก็คือขั้นตอนของการ ‘Pre – Pro – Post’ Pre ก็คือการเตรียมตัวผู้เข้าร่วม เพราะเราคิดว่าเราจะเวิร์คช็อบภาพถ่ายในแบบที่มันไม่ใช่แค่มาเอาเทคนิคลงไปถ่าย วิจารณ์ภาพแล้วก็กลับไป แต่เรารู้สึกว่าเราอยากให้มันมีความสัมพันธ์กันด้วย และอยากให้แชร์มุมมอง ความทรงจำของตัวเองออกมาด้วยก่อนที่จะเวิร์คชอปภาพถ่าย กระบวนการ Pre จึงเป็นการนำมุมมองของตัวเองออกมาให้เห็นถึงความแตกต่างหลากหลาย คีย์เวิร์ดอีกอย่างหนึ่งคืออยากให้ผู้เข้าร่วมเห็นว่านี่คือพื้นที่ทดลอง พื้นที่จะลองผิดลองถูกได้ เราไม่ได้มาแข่งว่าภาพของใครดีที่สุด แต่เรามาช่วยกันหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ หามุมมองใหม่ของตัวเองผ่านเรื่องพลังงาน” ธีระพงษ์เสริม

หนึ่งในการเลคเชอร์ในวันแรกๆ ของเวิร์คชอป คือ ประสบการณ์ในการถ่ายภาพของ ยศธร ไตรยศ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Realframe ที่ลงไปฝังตัวอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยาวนานกว่า 4 เดือนมารวมขั้นตอนการเก็บข้อมูลที่ใช้เวลามากพอกัน เก็บเป้าหมายในการสลายมายาคติของความรุนแรงในพื้นที่ใส่กระเป๋าแล้วพยายามเสนอข้อเท็จจริงอีกชุดหนึ่งผ่านภาพถ่าย

ยศธร ไตรยศ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Realframe

ประเด็นของเลคเชอร์ส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องของความละเอียดอ่อนของซับเจ็กต์ที่เป็นแบบ การคิดประเด็นและวางแผนสำคัญมากในการได้รูป การเข้าหาซับเจ็กต์โดยไม่ตัดสินและถามคำถามสำคัญ เช่น คุณอยากต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมนี้ไหม วันๆ หนึ่งอาจจะได้รูปที่ดีเพียงใบเดียวและต้องรออย่างยาวนาน ในขณะเดียวกันก็ต้องตรวจสอบข้อมูลกระบวนการยุติธรรมของการจับผู้ต้องหาในสามชายแดนฯ ของรัฐ และสังเกตวิถีชีวิตของซับเจ็กต์ไปด้วย เพราะทุกอย่างล้วนสำคัญต่อการสื่อสารที่ต้องการกระตุกความคิดของผู้ชม

“ผมนับถือหัวใจคนเหล่านี้มากที่เขายอมให้ผมถ่ายรูป ทั้งๆ ที่ในหลายเคสเขาเองก็ถูกคุกคาม ถ่ายไป 1,000 รูปอาจจะเวิร์คแค่รูปเดียว แต่ถ้าคุณตั้งใจอยากจะได้เฟรมนี้ คุณก็สำเร็จแล้ว”

เขาจำรายละเอียดของการลงพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ หลังจากการบรรยายผ่านไป ผู้เข้าร่วมจึงมีคำถามในประเด็นการตัดสินใจทำงานถ่ายรูปในหัวข้อที่มีความเสี่ยงสูง หรือการวางแผนการทำงานก่อนจะแยกย้ายกันออกไป ได้ฟังแนวคิดคร่าวๆ จากประสบการณ์ตรง แล้วจึงลงพื้นที่ตามประเด็นที่ตัวเองสนใจ

ปัญหาหลักๆ ของผู้เข้าร่วมคือเริ่มไม่ถูก คิดภาพเชิงคอนเซ็บของพลังงานทางเลือกค่อนข้างยาก หรือไม่ก็ไปลงพื้นที่แล้วมีข้อจำกัดมากกว่าที่คิด เมนเทอร์ Realframe ช่วยเหลาไอเดียเหล่านั้นให้แหลมคมมากขึ้นและจบก่อนที่จะออกไปลุย ใครที่ยังคิดไม่จบให้หาหลักยึดให้ได้ก่อน คุยกันช็อตต่อช็อต ผู้เข้าร่วมบางคนก็โยนไอเดียง่ายๆ แต่แหลมคม เช่น เรื่องแดด ก็เป็นประเด็นพลังงานทางเลือกได้

ด้วยวัย ประสบการณ์ และความสนใจที่ต่างกัน เราจึงเห็นความหลากหลายและความเป็นไปได้มากมายแม้แต่ในเรื่องที่ดูจะเชื่อมโยงภาพถ่ายกับพลังงานทางเลือกได้ยาก เช่น เรื่องขยะความเชื่อ ที่ผู้เข้าร่วมเชื่อมโยงกับพลังงานทางเลือกในประเด็นที่ว่าพลังงานเป็นสิงที่มองไม่เห็น แต่เรารู้ว่ามันมีอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะตระนักถึงมันอย่างไร อ้างข้อมูลเรื่องที่ภาครัฐรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักเรื่องพลังงานไฟฟ้าแต่ไม่เคยเป็นรูปธรรม ภาพถ่ายของเขาจึงถูกตีความออกมาเป็นเรื่องที่ว่าถ้าความเชื่อเรื่องพลังงานถูกแปรไปเป็นขยะในวันหนึ่ง ความเชื่อก็อาจจะกลายเป็นความงมงายได้เช่นเดียวกัน

รวมถึงตั้งคำถามย้อนมาหาตัวเองด้วยว่าจริงๆ แล้วเราใช้พลังงานกันแบบไหนอย่างไรบ้าง

หรือผู้เข้าร่วมวัยมัธยมสี่ ที่มีมุมมองในเชิงสุนทรียศาสตร์เป็นหนึ่งในแกนของการเล่าเรื่อง ภายใต้ชื่อเท่ๆ อย่าง Bangkok’s new Sun พูดถึงปัญหาการสร้างตึกที่มีกระจกจำนวนมาก สะท้อนแสงอาทิตย์ทำให้เมืองร้อน

“ผมไป research ดูว่าคนกรุงเทพใช้พลังงานไปกับอะไรเยอะ ก็ค้นพบว่าใช้กับเครื่องปรับอากาศเยอะเพราะว่ากรุงเทพฯ มันร้อน ผมเลยลองหาสาเหตุว่าทำไมกรุงเทพมันถึงร้อนกว่าต่างจังหวัดและที่อื่นๆ หนึ่งในสาเหตุนั้นก็คือเรื่องของสถาปัตยกรรม เมืองเรามีตึกกระจกเยอะทำให้กรุงเทพร้อนขึ้น

วิธีการทำงานจึงเป็นการเดินไปตรงที่ที่ตึกเยอะช่วงเช้า 8-10 โมงและตอนเย็น แล้วดูว่าตรงไหนแสงสะท้อนเข้าตาเรา ความน่าสนใจของประเด็นนี้คือเราละเลยว่าสิ่งนี้มันส่งผลต่อชีวิตเรานะ ทำไมเราถึงไม่สร้างสถาปัตยกรรมที่มันกรีนกว่านี้” เตชินท์ รุ่งวัฒนโสภณ

ผลงานของเตชินท์ รุ่งวัฒนโสภณ

บางคนก็เลือกที่จะใช้ความมืดอธิบายการเข้าถึงไฟฟ้าของชนชั้นล่างในพื้นที่ต่างๆ เพราะสงสัยในเรื่องสิทธิการเข้าถึงพลังงาน“ผมสนใจเรื่องสิทธิในการเข้าถึงพลังงาน สงสัยว่าสิ่งที่เราแลกไปกับการได้พลังงานมาคืออะไรบ้าง พอมันต้องถ่ายในกรุงเทพฯ เลยพยายามหาบ้านที่ใช้ไฟจากแบตเตอรี่ทั้งหมด แล้วมีพี่ในกลุ่มเสนอว่าอาจจะเป็นแบตเตอรี่ที่อื่นที่ไม่ใช่จากบ้านคนก็ได้ เลยกลายเป็นไอเดียของแบตเตอรี่ที่อยู่ในแม่ค้ารถเข็น ผมไปลงพื้นที่ตามหน้าห้างที่มีรถเข็นที่ไม่มีไฟ เลยต้องไปพึ่งแสงจากห้างแทน หรือรถเข็นที่พ่วงไฟกับตึกเอา พยายามหาซีนที่มีรถเข็นรวมๆ กันเพื่อเล่าเรื่องนี้” อีกหนึ่งความเห็นจากตรัยภูมิ จงพิพัฒนสุข ผู้เข้าร่วมวัย 16

วิธีการเล่าเรื่องมีตั้งแต่เรื่องไฟฟ้า แสง ที่สังเกตเห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องพลังงานทางเลือกไปจนถึงเรื่องความมั่นคงทางอาหารที่ใช้พลังงานเป็นตัวช่วย บางคนลุยเรื่องโครงการ Solar cell ในชุมชน หรือแม้กระทั่งไปถ่ายวัดแห่งแรกที่ใช้พลังงาน Solar cell

“ผมอยากเจาะลึกว่าเรื่องโซล่าร์เซลล์มันสามารถลงไปลึกได้อีกแค่ไหน เลยจะทำออกมาในเชิงเปรียบเทียบว่าโซล่าเซลล์อยู่ทุกที่ วัด มัสยิดก็มี ดังนั้นนอกจากผลดีแล้ว มันจะมีผลเสียอย่างไรบ้าง วัดมีความน่าสนใจตรงที่ว่ามันช่วยด้านค่าใช้จ่ายของวัดจริงๆ นอกจากวัด หลังเวิร์คชอป เราพยายามเพิ่มข้อเสียเรื่องชนชั้น เพราะโซล่าเซลล์ไม่สามารถติดได้ทุกคนเพราะต้นทุนมันสูง อยากทำให้เห็นว่ามีคนที่อยากใช้แต่ไม่มีกำลังพอที่จะเริ่มระบบนี้ หรือบางคนใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ด้วยซ้ำ” ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์

ผลงานของณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์

ความสนุกสนานของคอนเทนต์งานจึงมีตั้งแต่เทคนิคการคิด visual storytelling ใครสนใจพลังงานในมุมของการวิพากษ์สังคมและรัฐบ้าง ใครสนใจแสงในแง่มุมของสุนทรียศาสตร์บ้าง เวิร์คชอปค่อนข้างเปิดกว้างให้แต่ละคนได้ตีความตามที่ตัวเองสนใจโดยมีเมนเทอร์คอยตัดแต่งและเสริมความคมให้ในตอนท้าย

“รู้สึกว่าจริงๆ แล้ว เรื่องการใช้พลังงานมันใกล้ตัวมากๆ แต่บางทีเราก็มองข้ามมันไป ที่เลือกทำเรื่อง ‘ตาก’ มันก็คือเรื่องพลังงานที่อยู่ในชีวิตประจำวันเราเลย แล้วการได้ลงพื้นที่ไปเดินในคลองเตยมันก็ทำให้ได้เห็นความเลือกไม่ได้ของคนชั้นล่างรวมไปถึงเรื่องพลังงานด้วย คือไม่เห็นพลังงานทางเลือกในชุมชนเลย ก็ยิ่งตอกย้ำว่าพลังงานทางเลือกมันแสนแพงนะ และคนก็ยังรับรู้เรื่องพลังงานของน้อยจนทำให้คิดว่ามันคือเรื่องไกลตัว” จิตติมา หลักบุญ ผู้เข้าร่วมที่เลือกประเด็นเรื่องการใช้แสงอาทิตย์บอกเล่า

“เรามองว่าพลังงานทางเลือกมันเป็นเรื่องท้าทาย จะทำยังไงให้คนรู้สึกว่าต้องทำอะไรกับมันสักอย่าง แต่ว่าสิ่งที่มันเคยถูกเล่ามาในภาพจำของคนอาจจะรู้สึกว่ามันไกลตัว แล้วเราจะทำยังไงให้เรื่องนี้มันใกล้ตัวมากขึ้น เลยมองว่าภาพถ่ายน่าจะเป็นเรื่องหนึ่งที่เข้าถึงผู้คนได้ และจะช่วยเปลี่ยนภาพจำเดิมๆ ให้เห็นแง่มุมใหม่ๆ ผ่านภาพถ่ายซึ่งเป็นเรื่องเบสิก” เมนเทอร์ธีระพงษ์เสริมอีกแรง

ผลงานของสมสกุล กัญญาเงิน

ยิ่งวันพรีเซนท์ใกล้เข้ามา กิจกรรมก็เริ่มเข้มข้นขึ้นในแง่ของการวิพากษ์ Narrative (การเล่าเรื่อง) และความเนี๊ยบของภาพถ่าย คอมเมนต์งานอย่างตรงไปตรงมาว่าควรซ่อมจุดไหน หรือภาพทั้งเซ็ตขาดการเล่าเรื่องอะไรบ้าง ควรใช้ภาพไหนเปิด – ปิดเรื่อง ตั้งคำถามที่ไปไกลกว่าการถ่ายภาพ เช่น คิดว่างานเหมาะกับแพลตฟอร์มการนำเสนอแบบไหน

“เราพูดเสมอว่าเราให้ความสำคัญกับ process ไม่แพ้ product เรื่องภาพถ่ายที่จะออกมาสื่อสารได้ก็สำคัญ แต่อีกอย่างหนึ่งคือการเรียนรู้ของคนเข้าร่วม เราหวังว่าเขาจะเกิดมุมมองใหม่ๆ ได้ทั้งทบทวนตัวเอง ได้รู้จักแง่มุมของคนอื่น รู้จักแง่มุมของสังคมแล้วก็โลกมากขึ้นผ่านการทำงาน แลกเปลี่ยนถกเถียงไปจนถึงการสัมผัสกับพื้นที่จริง สภาพแวดล้อมจริง คนจริงๆ ที่คุณต้องดีลกับเขาอีกแบบหนึ่งเลย”

ผลงานของตรัยภูมิ จงพิพัฒนสุข

ผู้เข้าร่วมหลายคนลงพื้นที่หลายต่อหลายครั้งเพื่อไปสัมภาษณ์ซับเจ็กในชุมชนจนถึงวันสุดท้ายของการพรีเซนท์งาน ในช่วงที่แต่ละคนนำเสนอเราจะเห็นประเด็นเฉียบแหลมอย่าง ‘ทำไมกรุงเทพฯ ไม่เห็นดาวแต่ต่างจังหวัดเห็นง่ายกว่า’ ‘การเข้าถึงไฟฟ้าเป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำหรือไม่’ ‘ไฟในห้างเป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง แต่สำหรับบางคนไฟฟ้าคือชีวิตของเขา’ ‘หลายคนไม่ได้ตระหนักถึงความสว่างที่มากไปจากไฟสาธารณะ’

อรรคนัฐช่วยเสริมในแง่มุมของนักวิจัยเรื่องพลังงานไฟฟ้าที่คนใช้อยู่ในปัจจุบันว่ามีข้อจำกัดที่จะสร้างความเท่าเทียมให้ประชาชนอย่างไรบ้าง หลังจากการพรีเซนท์เมนเทอร์ให้จับกลุ่ม 4 คนเพื่อแลกเปลี่ยนปัญหาและอุปสรรค จนมีฟีดแบ็กที่ไปไกลกว่าการถ่ายภาพหลายเสียง และบางคนอยากต่อยอดงานของตัวเองแม้โครงการจะจบลงไปแล้ว

ผลงานของฉัทดนัย ทิพยวรรณ์

“ตั้งใจมาเพื่อพัฒนาทักษะการถ่ายภาพ แต่พอเป็นเรื่องพลังงานทางเลือก มันใกล้ตัวเรามากแต่กลับมองไม่เห็น คิดภาพไม่ออกเลย พอเราลองเข้าไปทำความเข้าใจกับมันว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้าง เราก็ได้เข้าใจแง่มุมที่มากกว่าการถ่ายรูปออกมาให้ดี

“ตัวคอนเทนต์นี้เป็นแค่แบบฝึกหัด หลังจากนี้แต่ละคนจะมีประเด็นทางสังคมหรืออะไรก็ตามที่สนใจ ก็สามารถนำไปขับเคลื่อนต่อได้ คิดว่าภาพถ่ายน่าจะมีฟังก์ชันอื่นมากกว่าการบันทึกความทรงจำ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องการสื่อสาร เพราะมันมีประโยชน์กับคนในวงกว้าง เราอยากให้ไปไกลต่อถึงเรื่องสำนึกทางสังคมด้วยถ้ามีโอกาส เพราะ knowledge is all about sharing กระบวนการเรียนรู้เลยไม่ใช่การให้อย่างเดียว แต่เป็นการได้รับด้วย” อรรคนัฐเสริมในช่วงท้ายของเวิร์คชอป

ผลงานของชูศักดิ์ จารุลักขณา

“เรารู้สึกว่าภาพถ่ายไม่ใช่งานเดี่ยวๆ มันต้องทำร่วมกัน เราเป็นได้ในฐานะฟังก์ชันหนึ่งในการสร้างความรู้สึก จิตสำนึก หรือ impact บางอย่าง มันไม่สามารถที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวมันเองได้หรอก แต่อย่างน้อยมันช่วยกระตุ้น ตั้งคำถาม ช่วยให้คนที่เขาทำเรื่องนี้อยู่แล้วไปใช้มันต่อให้เป็นประโยชน์มากขึ้น” ธีระพงษ์ปิดท้าย

สาระสำคัญของเวิร์คชอปภาพถ่ายอาจจะไม่ใช่ตัวภาพถ่ายอย่างเดียวที่เป็นพระเอก แต่คือช่วงเวลาการทำงาน คิดค้นก่อนกดชัตเตอร์ภายใต้ประเด็นเชิงสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างพลังงานทางเลือก ภาพถ่ายของแต่ละคนคลี่คลายให้เห็นว่ามุมมองที่เขาเชื่อมโยงตัวเองในฐานะปัจเจกกับสังคมชัดลึกในประเด็นไหน และจะต่อยอดไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไรบ้าง

ผลงานของจิตติมา หลักบุญ

Tags:

สิ่งแวดล้อมอีเวนต์ความเหลื่อมล้ำการถ่ายภาพRealframe

Author & Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ยศธร ไตรยศ…ในฐานะประชาชนผู้ประสบภัย ภาพถ่ายจะนำไปสู่สังคมที่เท่าเทียม

    เรื่อง ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Voice of New GenSocial Issues
    บ้านสวนกง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ปกป้องทะเลมากว่า 24 ปี: หลักฐานว่าทำไม ‘ไครียะห์’ ต้องยื่นหนังสือถึงนายกฯ

    เรื่อง The Potential

  • Education trend
    10 อันดับประเทศที่เหมาะต่อการเลี้ยงลูกมากที่สุดแห่งปี 2020

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Voice of New Gen
    TEDXYOUTH 2019 #NOW PLAYING: ตัวแทนเสียงเด็กไทยที่ไม่ถูก PAUSE

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    ‘ความเหลื่อมล้ำแห่งการเล่น’ มีอยู่จริง และการที่เด็กไม่ได้เล่นคือปัญหาสังคม

    เรื่อง The Potential

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(5): รูปลูกออนไลน์ โพสต์แค่ไหนถึงพอดี
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
7 August 2020

บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน(5): รูปลูกออนไลน์ โพสต์แค่ไหนถึงพอดี

เรื่อง รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ความเสี่ยงหนึ่งที่มักถูกมองข้ามคือการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าตัวเล็กในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เจ้าตัวเล็กโดนขโมยตัวตน (identity theft) โดยใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีบนโลกออนไลน์เช่น ภาพถ่าย ชื่อ-สกุล วันเดือนปีเกิด และที่อยู่ประกอบสร้างเป็นตัวตนปลอมสำหรับทำธุรกรรมทางการเงิน
  • เพียงเพราะเด็กชายหรือเด็กหญิงยังอาจไม่มีพัฒนาการเพียงพอที่จะบอกปฏิเสธ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอย่างไรกับเขาหรือเธอก็ได้ เพราะวันหนึ่งเมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่หรือวัยรุ่น ภาพหรือคลิปวีดีโอที่พ่อแม่เคยมองว่าน่ารักอาจกลายเป็นเรื่องน่าอับอาย ถูกหยิบนำมาล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งจนเด็กสูญเสียความมั่นใจในตัวเองในอนาคต

ผมกับภรรยาค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการใช้โซเชียลมีเดียในการแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว และตระหนักถึงความสำคัญเรื่องความเป็นส่วนตัว เราเองก็ตั้งมั่นว่าจะแบ่งปันประสบการณ์เลี้ยงลูกบนโลกออนไลน์แบบพอเหมาะพอควร ส่วนใหญ่จะถ่ายรูปเก็บไว้แบ่งปันกันเองในกลุ่มส่วนตัว หรือพื้นที่ออฟไลน์

แต่เรื่องที่ห้ามยากจนอาจกล่าวได้ว่าควบคุมไม่ได้ คือการโพสต์รูปลูกโดยเหล่าญาติสนิทมิตรสหาย ทั้งปู่ย่าตายายลุงป้าน้าอาซึ่งหลายคนอาจมีค่านิยมการใช้โซเชียลมีเดียและความเป็นส่วนตัวแตกต่างกันไป

“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ใครๆ เขาก็ทำกัน” นี่คือประโยคคลาสสิคที่ผมและภรรยาได้ยินเมื่อเริ่มห้ามปราม แต่ในฐานะพ่อแม่ เราต้องให้น้ำหนักกับสิทธิและความเป็นส่วนตัวลูกเป็นสำคัญ และพยายามหาทางออกแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นกับเหล่าญาติๆ บางครั้งคุยกันไม่เข้าใจ สุดท้ายก็ต้องใช้เอกสิทธิ์คนเป็น ‘พ่อแม่’ ขอให้ลบหรือเปลี่ยนการตั้งค่าว่าใครควรเห็นรูปนั้นได้บ้าง

ผมจึงถือโอกาสใช้พื้นที่ในบทความนี้ ถ่ายทอดประสบการณ์ตรง แนวทางการพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกับเหล่าญาติ และสาเหตุที่ทำไมเราต้องคิดให้รอบคอบก่อนโพสต์รูปลูกหลาน

ถ้าเป็นเรา เราโอเคไหม?

พ่อแม่บางคนชื่นชอบการโพสต์รูปเด็กน้อยกำลังอาบน้ำ หรือภาพเกือบเปลือยของเจ้าตัวเล็กโดยมีสติกเกอร์น่ารักมาปิดบางส่วนไว้ไม่ให้ดูวาบหวิวจนเกินไป ภาพลักษณะนี้คือกฎเหล็กของผมและภรรยาว่าห้ามเด็ดขาด ห้ามแม้กระทั่งส่งต่อในกลุ่มส่วนตัว เพราะเป็นการละเมิดสิทธิของเด็กในฐานะมนุษย์คนหนึ่งอย่างรุนแรง

เพียงเพราะเด็กชายหรือเด็กหญิงยังอาจไม่มีพัฒนาการเพียงพอที่จะบอกปฏิเสธ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอย่างไรกับเขาหรือเธอก็ได้ เพราะวันหนึ่งเมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่หรือวัยรุ่น ภาพหรือคลิปวีดีโอที่พ่อแม่เคยมองว่าน่ารักอาจกลายเป็นเรื่องน่าอับอาย ถูกหยิบนำมาล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งจนเด็กสูญเสียความมั่นใจในตัวเองในอนาคต

สิ่งหนึ่งที่เรามักไม่ตระหนักถึงในโลกออนไลน์ คือ การทำซ้ำข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลมีต้นทุนต่ำมาก ผนวกกับความสามารถในการค้นหาที่ทรงพลัง ทำให้ภาพที่พ่อแม่เคยโพสต์สมัยเจ้าตัวเล็กยังจำความไม่ได้มีโอกาสที่จะกลับมาแพร่สะพัดในโลกออนไลน์ได้เสมอหากผู้ค้นหามีความพยายามมากพอ 

การศึกษาชิ้นหนึ่งที่มีกลุ่มตัวอย่างคือคู่พ่อแม่และเด็กวัย 10 ถึง 17 ปีในสหรัฐอเมริกาจำนวน 249 คู่พบว่า นอกจากพ่อแม่จะพยายามตั้งกฎเกณฑ์การใช้เทคโนโลยีในบ้านเพื่อกำกับลูกแล้ว ลูกๆ เองก็ต้องการตั้งกฎเกณฑ์กับพ่อแม่โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งปันข้อมูลของเด็กๆ บนโลกออนไลน์ โดยเขาและเธอมองว่าพ่อแม่มีแนวโน้ม ‘แบ่งปันมากเกินไป’ โดยโพสต์ข้อมูลหรือภาพของลูกโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน

ในวัยที่เด็กน้อยยังไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเอง ผมและภรรยาจะใช้กฎจำง่ายด้วยการตั้งคำถามว่า “ถ้าเป็นเรา เราโอเคไหม?”

เราโอเคไหมที่อากัปกิริยาของเราจะถูกนำไปทำเป็นสติกเกอร์ขาย? เราโอเคไหมที่จะมีรูปกึ่งเปลือยที่เพื่อนสามารถเข้ามาค้นเจอ? เราโอเคไหมที่จะมีภาพขณะเข้าโรงพยาบาลโพสต์บนโลกออนไลน์?

ถ้าคำตอบคือไม่ ก็ไม่มีใครแม้กระทั่งพ่อแม่เองควรกระทำเพราะนั่นคือการละเมิดสิทธิของเจ้าตัวเล็ก

เสี่ยงแค่ไหนกับการให้ข้อมูลลูกบนโลกออนไลน์

อีกหนึ่งความเสี่ยงที่พ่อแม่หลายคนมักดูเบาคือความเสี่ยงจากการแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าตัวเล็กในปริมาณที่มากเกินไป ปัจจุบัน การขโมยตัวตน (identity theft) โดยใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีบนโลกออนไลน์มาประกอบสร้างเป็นตัวตนปลอมสำหรับทำธุรกรรมต่างๆ เริ่มกลายเป็นสิ่งแพร่หลายมากขึ้น 

รายงานของธนาคารบาร์เคลย์ สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหราชอาณาจักรคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า การแบ่งปันข้อมูลลูกๆ บนโลกออนไลน์ที่มากเกินไป (sharenting) จะเป็นสาเหตุของการฉ้อโกงมูลค่าหลายร้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะอาชญากรสามารถรวบรวมข้อมูลทั้งภาพถ่าย ชื่อ-สกุล วันเดือนปีเกิด และที่อยู่ เพื่อใช้เปิดบัญชีปลอมขึ้นมาได้

นอกจากนี้ หลายคนอาจไม่เคยทราบถึงความเสี่ยงว่ารูปน่ารักของลูกน้อยในท่วงท่าในชีวิตประจำวันแสนจะธรรมดาจะถูกนำไปรวบรวมและเผยแพร่บนเว็บไซต์สื่อลามกอนาจารเด็ก 

เมื่อ พ.ศ. 2559 มีการเปิดโปงครั้งสำคัญเมื่อคุณแม่ชาวออสเตรเลียตามไปเจอภาพลูกของเธอบนเว็บไซต์หนึ่งพร้อมกับกลุ่มคนที่แสดงความคิดเห็นจากหยาบคายและอนาจารต่อภาพนั้น บนเว็บไซต์ดังกล่าวมีภาพเด็กกว่า 45 ล้านภาพโดยรัฐบาลออสเตรเลียประมาณการว่ากว่าครึ่งหนึ่งเป็นภาพที่พ่อแม่อัปโหลดลงเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม

แล้วเราจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้กับข้อมูลของลูกเราอย่างไรดี?

วิธีป้องกันเบื้องต้นที่ทำได้ไม่ยากและผู้เขียนแนะนำให้พ่อแม่ทุกคนทำทันที คือการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของบัญชีโซเชียลมีเดีย ไม่ใช่เฉพาะของเราเท่านั้นนะครับ แต่ต้องช่วยตรวจเช็คการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของบัญชีคนในครอบครัวด้วยซึ่งส่วนใหญ่จะมีค่าตั้งต้นในการโพสต์คือ ‘สาธารณะ’ ที่ใครๆ ก็สามารถเข้ามาดูได้โดยไม่ต้องเป็นเพื่อน

สิ่งที่ผู้เขียนอธิบายให้พ่อแม่เห็นภาพ คือการบอกว่าการตั้งค่าโพสต์แบบสาธารณะก็ไม่ต่างจากการปรินท์ภาพทุกภาพมาแปะไว้รอบบ้าน ใครที่เดินผ่านบ้านก็สามารถดูได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ส่วนการตั้งค่าโพสต์แบบเฉพาะเพื่อนนั้น ก็คล้ายกับการเก็บภาพไว้ในสมุดที่หากเพื่อนจะเข้ามาชมดูต้องได้รับอนุญาตจากเราก่อน

แต่หากถามว่าการตั้งค่าโพสต์ให้เห็นเฉพาะเพื่อนนั้นสามารถขจัดความเสี่ยงได้อย่างหมดจดหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ครับ เพราะหลายครั้งที่เราอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ในรายชื่อเพื่อนของเราคือใคร อีกทั้งการจัดเก็บและส่งต่อรูปภาพนั้นก็

ง่ายแสนง่ายเพียงปลายนิ้วคลิก ทางที่ดีที่สุดคือการคิดให้รอบคอบก่อนการโพสต์แต่ละครั้ง หรือถ้าเด็กน้อยเริ่มรู้ความก็ควรขออนุญาตเจ้าตัวเล็กเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่ายอีก ทั้งส่งเสริมความเป็นตัวของตัวเองและการกล้าตัดสินใจของเด็กอีกด้วย

แน่นอนว่าการแบ่งปันเรื่องราวของลูกแบบออนไลน์ให้กับญาติสนิทที่อยู่ห่างไกลในโลกออฟไลน์ย่อมช่วยสานสัมพันธ์และสร้างความแน่นแฟ้นในหมู่เครือญาติ ผมเองก็คอยแบ่งปันคลิปวีดีโอน่ารักๆ ของเจ้าตัวเล็กให้กับกลุ่มไลน์ส่วนตัวอยู่เป็นประจำ แต่ก่อนที่จะคลิกส่งทุกครั้งผู้เขียนอยากให้ทุกครอบครัวชั่งน้ำหนักระหว่างความสุขและความเสี่ยง ยิ่งเมื่อเด็กอายุราว 6 ถึง 8 ขวบ พ่อแม่อาจเริ่มกระบวนการเรียนรู้ไปพร้อมกันว่าภาพและเนื้อหาแบบไหนที่ทุกคนสบายใจให้ปรากฎอยู่บนโลกออนไลน์

Tags:

โซเชียลมีเดียความปลอดภัยไซเบอร์บันทึกนักการเงินพ่อลูกอ่อน

Author:

illustrator

รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์

คุณพ่อลูกอ่อน นักการเงินทาสหมา ที่ใช้เวลาว่างหลังลูกนอน (ซึ่งไม่ค่อยจะมี) ในการอ่าน เขียน และเรียนคอร์สออนไลน์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Movie
    Social Dilemma พลังการเก็บข้อมูล digital footprint ที่กำลังหลอกหลอนเรา

    เรื่อง พิมพ์พาพ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Family Psychology
    ทำไมพ่อกับแม่ถึงชอบแชร์เรื่องของหนู?

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

ทบทวนความจำ ลงรายละเอียด เขียนผังมโนทัศน์: 3 กลยุทธ์ฝึกสมองให้คิดอย่างลึกซึ้ง เข้าใจเนื้อหาที่เรียน
Learning Theory
5 August 2020

ทบทวนความจำ ลงรายละเอียด เขียนผังมโนทัศน์: 3 กลยุทธ์ฝึกสมองให้คิดอย่างลึกซึ้ง เข้าใจเนื้อหาที่เรียน

เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

  • ทบทวนความจำ, ลงรายละเอียด และเขียนผังมโนทัศน์ 3 กลยุทธ์ฝึกสมองเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาที่เรียนพร้อมทั้งมีทักษะการเชื่อมโยงและการจัดระเบียบข้อมูล ซึ่งคุณครูสามารถนำไปประยุกต์ใช้ทั้งการสอนออนไลน์และการสอนในห้องเรียนปกติให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมและสนุกสนานไปด้วยกันได้

ทบทวนความจำ ลงรายละเอียด เขียนผังมโนทัศน์ กระตุ้นให้ผู้เรียนสร้างการเชื่อมโยงที่สมบูรณ์และมีความหมายยิ่งขึ้นในแต่ละบทเรียน โดย ดร.คริปา ศุนทัร (Kripa Sundar) นักวิจัยชาวอินเดียผู้มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการเรียนรู้ให้เด็กๆ มีส่วนร่วมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เธอได้เปิดตัวเว็บไซต์ Learning Incognito ศูนย์ทรัพยากรสำหรับผู้ใหญ่เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กๆ เพื่อให้คุณครูและผู้ปกครองสามารถนำเคล็ดลับที่เป็นผลผลิตจากงานวิจัยของเธอไปสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ

แผนการสอนเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโรงเรียนแต่ละแห่งย่อมจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ ผู้บริหารต้องจัดการปัญหาเชิงสนับสนุนการทำงานของครูและนักเรียนต่างๆ นานา คุณครูต้องพิจารณาแผนการสอนของตัวเองแล้วปรับเปลี่ยนอยู่เสมอเพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและได้เรียนรู้มากที่สุด เมื่อต้องจัดการให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมเท่ากันนั้น แรงกดดันมหาศาลย่อมตกมายังคุณครู

ในบทความฉบับนี้จะเป็นการแบ่งปัน 3 กลยุทธ์ฝึกสมองเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาที่เรียนพร้อมทั้งมีทักษะการเชื่อมโยงและการจัดระเบียบข้อมูล ซึ่งคุณครูสามารถนำไปประยุกต์ใช้ทั้งการสอนออนไลน์และการสอนในห้องเรียนปกติให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมและสนุกสนานไปด้วยกันได้ ดังนี้

  1. ทบทวนความจำ
  2. ลงรายละเอียด
  3. เขียนผังมโนทัศน์

กลยุทธ์ที่ 1: ทบทวนความจำ (RETRIEVAL PRACTICE)

“การฝึกทบทวนความจำหรือการฝึกจำ เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเรียนรู้ที่สำคัญ” ข้อมูลดังกล่าวผ่านการวิเคราะห์จากผลการค้นคว้ากว่า 200 ฉบับ ในหัวข้อ Rethinking the Use of Tests (การสอบเป็นผลดีต่อการเรียนรู้หรือไม่) โดย ดร.คริปา ศุนทัร นักวิจัยชาวอินเดียและคณะ การฝึกทบทวนความจำคือการพยายามดึงความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่เคยเรียนออกมาเขียน เล่า หรือวาดภาพ อันจะช่วยทำความเข้าใจบางหัวข้อที่อาจจำไม่ได้อย่างชัดเจน กระบวนการจดจำจะช่วยเสริมความจำของผู้เรียน นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์เพิ่มเติมในการระบุสิ่งที่พวกเขารู้และไม่รู้ ครูหลายคนเริ่มใช้กลยุทธ์นี้ในห้องเรียนแล้ว ซึ่งวิธีการเริ่มต้นฝึกให้เรียนทบทวนความจำมี 2 วิธีดังนี้

  1. ออกแบบคู่มือการเรียนที่มีแต่คำถาม ให้นักเรียนลองตอบคำถามจากบทเรียนโดยที่ครูยังไม่ต้องช่วยเหลือ เมื่อนักเรียนตอบเสร็จแล้ว ให้พวกเขาแลกเปลี่ยนคำตอบกับเพื่อน เขาสามารถค้นหาคำตอบที่ถูกต้องได้ด้วยตัวเองหรือจากการพูดคุยกับเพื่อน จากนั้นครูค่อยเฉลยคำตอบในตอนสุดท้าย
  2. กิจกรรมถ่ายโอนข้อมูลจากสมองสู่กระดาษ ให้นักเรียนเขียนบรรยายทุกอย่างที่เกี่ยวกับหัวข้อที่คุณครูกำหนดให้มากที่สุดเท่าที่นึกออกลงบนกระดาษ เช่น ในวิชาภาษาไทยคุณครูอาจตั้งโจทย์ว่า “คำซ้อนคืออะไร ยกตัวอย่างคำซ้อนให้ได้มากที่สุด” เมื่อนักเรียนได้รับโจทย์ก็จะโดนกระตุ้นให้เกิดการแข่งกับเพื่อนในห้องเรียนเพื่อคิดคำตอบให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ครูยังสามารถให้นักเรียนแลกเปลี่ยนคำตอบจากกระดาษของเพื่อนเพื่อช่วยเติมเต็มข้อมูลที่พวกเขาหลงลืม หรือเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างของคำตอบแต่ละคน

กลยุทธ์ที่ 2 : ลงรายละเอียด (ELABORATION)

การลงรายละเอียด หรือการตอบคำถามอย่างละเอียดนั้น หมายถึงการขยายหัวข้อนั้นๆ ให้มีรายละเอียดมากขึ้น ทำให้สมองของเราสามารถเชื่อมโยงหัวข้อใหญ่หรือใจความหลักไปยังหัวข้อย่อยอื่นๆ  ยิ่งสร้างการเชื่อมโยงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจำข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่อบทเรียนนั้นๆ ได้ดีขึ้น

นึกถึงวิธีคิดของกิจกรรมละลายพฤติกรรมด้วยการ “เล่าเรื่องตลกของตัวเองมา 1 ข้อ” ไม่เพียงช่วยให้สามารถจดจำความน่าสนใจของบุคคล แต่ยังช่วยให้นึกถึงคนๆ นั้นในทุกครั้งที่เจอสิ่งที่เกี่ยวของกับเขา เช่น คนนั้นชอบกินขนมบ้าบิ่น เราก็จะนึกถึงเขาทุกครั้งที่เห็นร้านขายขนมบ้าบิ่น

ในบริบทการเรียนรู้การลงรายละเอียดสามารถทำได้จากการตั้งคำถามเชิงลึกเกี่ยวกับเนื้อหาแทนที่จะถามคำถามทั่วไปที่ท่องจำได้ ผู้เรียนก็จะสามารถตอบได้ว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกหรือผิด วิธีการนี้ง่ายมากๆ สามารถนำไปใช้ในห้องเรียนได้ ดังนี้

  1. ให้ผู้เรียนเปรียบเทียบความเหมือนหรือความต่างของแต่ละหัวข้อย่อยในบทเรียนนั้นๆ หรือให้ยกตัวอย่างในแต่ละหัวข้อที่เรียน เช่น หากเรียนเรื่องพลังงานหมุนเวียน ลองตั้งโจทย์ว่า “จงบอกความเหมือน 3 ข้อ และความต่าง 3 ข้อ ของพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์” แล้วให้เด็กๆ ยกมือตอบ หรือเขียนคำตอบสั้นๆ ส่งครูเพื่อเพิ่มสีสันและกระตุ้นการคิดให้กับเด็กๆ
  2. กิจกรรมจิ๊กซอว์ ที่มอบหมายข้อมูลให้นักเรียนแต่ละคนไปอธิบายให้เพื่อนในกลุ่มเข้าใจ เช่น ในวิชาสังคมคุณครูสามารถให้นับเลข 1-4  เพื่อให้นักเรียนอธิบายเรื่องอริยสัจ 4 โดยเลข 1 คือทุกข์, เลข 2 สมุทัย, เลข 3 นิโรธ, เลข 4 มรรค เริ่มต้นอาจให้นักเรียนที่ได้นับเลขเดียวกันมาถกเถียงกันเกี่ยวกับหัวข้อที่ตนได้ จากนั้นให้พวกเขากระจายไปรวมกลุ่ม 4 คนกับเพื่อนๆ หมายเลขอื่น โดยแต่ละกลุ่มต้องมีหมายเลขครบ 1-4 แล้วให้พวกเขาอธิบายแต่ละหัวข้อที่ตนเองได้รับให้เพื่อนในกลุ่มฟัง
  3. กิจกรรมบทบาทสมมติ ให้นักเรียนเล่นบทครูเพื่ออธิบายเนื้อหาที่เรียนแก่เพื่อนในห้อง สำหรับการเรียนออนไลน์คุณครูสามารถใช้แอปพลิเคชัน Flipgrid ที่เป็นเครื่องมือสำหรับการสอบพูด โดยคุณครูสามารถสร้างห้องเรียนได้ไม่จำกัด และกำหนดคำถามหรือคำชี้แจงเพื่อให้นักเรียนส่งคลิปวิดีโอคำตอบกลับมาได้

กลยุทธ์ที่ 3 : เขียนผังมโนทัศน์ (CONCEPT MAPPING) รวมกลยุทธ์ทั้งหมดเข้าด้วยกัน

การเขียนผังมโนทัศน์เป็นการรวม 2 กลยุทธ์การทบทวนความจำและการลงรายละเอียดเข้าด้วยกันโดยใช้วิธีวาดแผนผังความสัมพันธ์ของหัวข้อที่เรียน โดยแผนผังส่วนใหญ่มักประกอบด้วยอย่างน้อย 2 หัวข้อ จากนั้นจึงอธิบายความสัมพันธ์ของ 2 หัวข้อนั้นด้วยการนิยามสั้นๆ และการใช้ลูกศรโยงความสัมพันธ์ ภาษาในการเขียนแผนผังนั้นอาจไม่ถูกต้องมากนักเพราะต้องการความกระชับ 

ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนที่เรียนเรื่องแบคทีเรีย ก็สามารถวาดผังมโนทัศน์เกี่ยวกับหัวข้อที่เรียนได้ ดังนี้ “ประเภทของแบคทีเรีย” และ “Helicobacter pylori มีลักษณะอย่างไร” กิจกรรมนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถอธิบายสิ่งที่พวกเขารู้และเชื่อมโยงแต่ละหัวข้อที่เรียนเข้าด้วยกันได้ ผลการทดลองกว่า 140 ครั้ง บอกว่ากลยุทธ์นี้ช่วยให้ผู้เรียนจำได้ดีกว่าการท่องจำปกติ เพราะมันกระตุ้นให้ผู้เรียนสร้างการเชื่อมโยงที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและมีความหมายมากขึ้นในแต่ละหัวข้อ

ผังมโนทัศน์ช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อต่างๆ  เรื่อง “ประเภทของแบคทีเรีย”

การทำแผนที่มโนทัศน์มี 6 ขั้นตอน เริ่มต้นจากการที่ผู้สอนตั้งคำถามชี้นำที่เฉพาะเจาะจงให้ผู้เรียน

  1. ขั้นตอนการตั้งโจทย์ : ตั้งคำถามที่นำทางให้ผู้เรียนไปหาคำตอบ เช่น น้ำแข็งก่อตัวขึ้นได้อย่างไร?​ 
  2. ขั้นตอนการระดมสมอง (กลยุทธ์ฝึกฝนการทบทวนความจำ) : ให้ผู้เรียนทำกิจกรรมถ่ายโอนข้อมูลจากสมองสู่กระดาษ ตอบคำถามที่ครูถามว่า น้ำแข็งก่อตัวขึ้นได้อย่างไร?​ ลงในกระดาษให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะนึกออก 
  3. ขั้นตอนการจัดระบบ (กลยุทธ์ลงรายละเอียด) : ให้ผู้เรียนทบทวนคำตอบที่ได้มา แล้วหาหัวข้อใหญ่ที่ตอบคำถามคุณครูเพื่อนำไปวาดผังมโนทัศน์ พร้อมตั้งคำถามกับตัวเองว่าข้อมูลแต่ละส่วนเชื่อมโยงกันอย่างไร
  4. ขั้นตอนการเขียนโครงร่าง : ให้ผู้เรียนวาดแผนผังที่ใช้ลูกศรแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลตามความเข้าใจของตัวเอง เขียนหัวกระดาษด้วยหัวข้อใหญ่หรือใจความหลัก เช่น การก่อตัวของน้ำแข็ง แล้วเชื่อมโยงข้อมูลแต่ละหัวข้อเข้าด้วยกัน
  5. ขั้นตอนการเชื่อมโยง : ตอนนี้พวกเขาวาดร่างที่หนึ่งเสร็จแล้วโดยการวาดลูกศรและเขียนคำอธิบาย   เช่น หากพวกเขาเริ่มเขียนลงไปว่า “น้ำแข็ง” และ “ของแข็ง” พวกเขาสามารถเขียนกำกับที่ลูกศรด้วยคำว่า “เป็น” สิ่งนี้ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์น้ำแข็งต่อหลายๆ ประเด็น 
  6. ขั้นตอนการแก้ไขและปรับปรุง : ไม่มีแผงผังใดที่สมบูรณ์แบบในครั้งแรก ให้โอกาสผู้เรียนได้แก้ไขและปรับปรุงแผนผังตามความเข้าใจของพวกเขา

เคล็ดลับสุดท้าย : ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกกลยุทธ์ในทุกบทเรียน คุณสามารถเลือกใช้ให้เข้ากับเนื้อหาที่จะสอน เริ่มจากสิ่งเล็กๆ แล้วค่อยๆ สร้างความคุ้นชิน กลยุทธ์เหล่านี้ได้ผลเพราะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียนและช่วยให้พวกเขาทำความเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้น

อ้างอิง
3 Brain-Based Strategies That Encourage Deeper Thinking

Tags:

วิทยาศาสตร์สมองกลยุทธ์ฝึกสมองเทคนิคการสอนAdolescent Brain

Author:

illustrator

ปรียานุช ปรีชามาตย์

นิสิตภาควารสารที่สมัครฝึกงานกับ The Potential เพราะชอบสีม่วง แต่ดันค้นพบสีสันมากมายระหว่างบรรทัดที่ได้ลองเขียน ชอบหนีออกจากบ้านไปเที่ยวตามตรอกเพื่อคุยกับแมวจร รอ fromis_9 คัมแบคมา 1 ปีแล้ว

Related Posts

  • Adolescent Brain
    ใน “การเรียนรู้” สมองทุกส่วนมีหน้าที่สำคัญทั้งสิ้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    ‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักในการเรียนรู้ ประตูสู่การเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

Grace and Frankie: หย่าร้างในวัย 70 การมูฟออนที่ทำให้พบตัวเองอีกครั้งในเวอร์ชันที่ต่างไปจากเดิม
Dear ParentsMovie
4 August 2020

Grace and Frankie: หย่าร้างในวัย 70 การมูฟออนที่ทำให้พบตัวเองอีกครั้งในเวอร์ชันที่ต่างไปจากเดิม

เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • พิมพ์พาพ์ เขียนถึงซีรีส์ Grace and Frankie เล่าชีวิตสองสาว (รุ่นใหญ่) เกรซและแฟรงกี้ ที่เผชิญเหตุการณ์หย่าร้างทั้งคู่ ทำให้พวกเธอต้องจับมือเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัย 70 ปี เริ่มมีความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ได้รู้จักตัวเองในเวอร์ชันที่ต่างออกไปจากเดิม เวอร์ชันที่แม้แต่เกรซและแฟรงกี้ที่ใช้ชีวิตมานานกว่า 70 ปีก็เพิ่งจะค้นพบ
  • “สำหรับเรา การเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ในวัยสูงอายุ ก็ดูไม่ต่างจากวัยรุ่นสักเท่าไหร่นะ (ถ้าไม่นับเรื่องร่างกาย) มันมีความวุ่นวายใจ สงสัย อารมณ์ที่เว้าแหว่งหรือเกินกว่าปกติ ไม่ต่างกันเลย เราว่าความผูกพันและความเคยชินมีส่วนทำให้การเริ่มต้นชีวิตใหม่มันยากขึ้น ใครมันจะไปคิดว่าต้องมาเริ่มมีชีวิตคู่และครอบครัวใหม่ในวัย 70 กัน แต่พอมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่เราทำได้ก็คือใช้ชีวิตมันต่อไปแหละ”
Grace
Frankie

Tags:

สังคมสูงวัยซีรีส์พิมพ์พาพ์การเริ่มต้นใหม่

Author & Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Hometown Cha Cha Cha: ทะเลาะกันไม่ใช่ประเด็น แต่คือเรา ‘เอมพาตี้’ คนตรงหน้าแค่ไหน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Jane The Virgin : สิ่งที่เกิดขึ้นกับยาย ไม่ได้แปลว่ามันจะเกิดกับ ‘เจน’

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Reply 1988: แม่มีรักครั้งใหม่ได้นะ มาอยู่เป็นเพื่อนพึ่งพากันแบบในซีรีส์ได้ก็จะยิ่งยินดี

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    How I met your mother: เมื่อต้องตกลงกันว่าจะส่งต่อความเชื่อของตัวเองสู่ลูก ดีรึเปล่า?

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Never Have I Ever แม้ไม่ใช้ชีวิตตามความคาดหวังของแม่ แต่ยังอยากได้ยิน ‘แม่ภูมิใจในตัวลูกนะ’

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

การตายเสมือนจริงของพ่อ ที่ทำให้ก้าวข้ามความเกลียด กลับไปสำรวจพ่อในฐานะเด็กน้อยคนหนึ่ง
Healing the traumaRelationship
3 August 2020

การตายเสมือนจริงของพ่อ ที่ทำให้ก้าวข้ามความเกลียด กลับไปสำรวจพ่อในฐานะเด็กน้อยคนหนึ่ง

เรื่อง The Potentialมาแชร์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ข้างในใจลึกๆ ฉันไม่รู้ว่าพี่น้องคนอื่นคิดอย่างไร แต่สำหรับฉันในวัยเกือบ 9 ขวบ กำลังเริ่มมีเสียงผุดขึ้นมาว่า “อยากตายประชดพ่อ” เพราะจะมีวิธีไหนอีกล่ะที่จะทำให้พ่อเจ็บปวดแทบตายได้ ถ้าไม่ใช่การตายพร้อมเขียนจดหมายประกาศให้โลกรู้ว่า “พ่อนี่แหละคือคนที่ฆ่าฉัน”
  • เราเลยเป็นครอบครัวที่เข้มแข็งจากภายนอกแต่ภายในล้มเหลวไม่มีชิ้นดี กระนั้นความทุกข์ใจที่ฉันได้รับก็คงไม่เท่ากับเสี้ยวหนึ่งที่พ่อเจอ เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความรุนแรงขนาดนั้น ถ้าเขามองว่านี่คือปมชีวิตที่ต้องมี “ผู้ชดใช้” เหมือนพ่อแม่บางคนที่เอาความเจ็บปวดในวัยเด็กมาลงที่ลูก ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเราทุกคนคงต้องเจ็บมากกว่าพ่อหลายเท่านัก (…) นึกไม่ออกว่าหากฉันเกิดแต่งงานมีลูกไปก่อนที่จะนั่งคุยกับพ่อในวันนี้ ฉันจะกลายเป็นแม่แบบไหน จะบ้าอำนาจ ขี้โมโห เหมือนพ่อหรือไม่?

วัยเด็กคือช่วงเวลาที่ถ้าเปรียบเป็นบ้านก็คือช่วงลงเสาเข็ม ถมดิน ปรับพื้น เพื่อสร้างให้บ้านหนึ่งหลังมีพื้นฐานมั่นคง หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นช่วงที่ก่อร่างสร้าง “ตัวตนที่แท้จริง” ของเรา ซึ่งพ่อแม่ยุคนี้ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก แต่ก็มีหลายครอบครัวที่ประสบปัญหาทั้งที่ก็ศึกษาหาข้อมูลมาอย่างดี แล้วนับประสาอะไรกับพ่อแม่เมื่อ 30-40 ปีที่ก่อน ที่เลี้ยงลูกจากคู่มือพ่อแม่ที่เขียนขึ้นจาก “ตัวเอง” 

ว่ากันว่าเสาเข็มชีวิตจะทยอยลงครบทุกต้นในช่วงอายุประมาณ 7 ปี บ้านหลังนี้จะอยู่อย่างมั่นคงแข็งแรงยาวนานแค่ไหน นี่จึงเป็นช่วงเวลาชนิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แต่จะมีใครบ้างล่ะที่สุขสมหวังไปหมดทุกอย่าง แล้วถ้าเรามีวัยเด็กที่เจ็บปวดล่ะ จะโตขึ้นมาเป็นอย่างไร? 

ใครที่เริ่มรู้ว่าชีวิตกำลังพังจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ไม่ว่าจะจากการโดนบังคับให้เรียนมากไป พ่อแม่หย่าร้าง ถูกละเลยขาดความรัก ใช้ชีวิตอย่างขัดสนยากจน หรือแม้แต่ถูกทำร้ายร่างกายในทุกระดับ คงมีคำถามนี้ผุดขึ้นในหัวอยู่เหมือนกัน เพราะการเลี้ยงดูของพ่อแม่ภายใต้ความ “หวังดี” บางทีก็ทำร้ายลูกอย่างแสนสาหัส จนบางคนไม่เหลือแม้แต่ชีวิตให้แก้ตัวใหม่ เพราะพ่อแม่บางคนไม่รู้จริงๆ ว่าคำพูดประโยคไหน หรือการกระทำแบบใดที่ทำให้หัวใจของลูก “ล่มสลาย” 

สำหรับฉันเอง เมื่อก่อนก็คิดว่ามีชีวิตราบรื่นเหมือนคนปกติ จนมีโอกาสได้ทบทวนตัวเองในวัย 35 ปี ทำให้รู้ว่าฉันแค่เป็นคนโชคดีที่ “กู้ซากตัวเอง” ได้ทัน 

“วัยเด็กที่เจ็บปวด” 

ย้อนไปราวอายุ 6-7 ขวบ เป็นช่วงที่แม่และเราสี่พี่น้องได้รู้ข่าวจากเพื่อนพ่อ (ที่สงสารพวกเรา) ว่าพ่อมีเมียน้อย ฉันจำได้ว่าตัวเองช็อกและผิดหวังกับพ่อมาก แต่พวกเราไม่มีใครกล้าบอกให้พ่อเลิกกับเมียน้อยเพราะพ่อเป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน และใครจะรู้ว่านี่เพิ่งเข้าสู่จุดเริ่มต้นของฝันร้ายในวัยเด็ก… 

พ่อที่นำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนร่วมกับเมียน้อยเพราะหลงเชื่อคำชวนแสนหวาน ผ่านไปไม่ถึงปีก็เริ่มเห็นแล้วว่าเงินที่ลงทุนไปน่าจะเสียเปล่า ในที่สุดพ่อทนไม่ไหวจนเริ่มทะเลาะอย่างรุนแรงและเลิกรากัน แน่นอนว่าจากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้การค้าที่บ้านหยุดลง ภายในไม่กี่ปีก็ต้องขายบ้าน ขายรถ กลายเป็นครอบครัวที่ใช้ชีวิตอย่างลำบากโดยที่ภายนอกไม่มีใครดูออก เพราะเราคือชนชั้นกลางที่ยังมีบ้านอยู่ ยังมีเสื้อผ้าดีๆ ลูกๆ ได้ไปเรียนหนังสือ แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะได้รับการช่วยเหลือจากญาติๆ ทำให้เราผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นมาได้  

“ปัญหาจากภายนอกมักส่งผลถึงปัญหาภายใน” นับตั้งแต่วันที่การเงินฝืดเคือง พวกเราพี่น้องต้องทนเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันแทบทุกวัน แม่ที่ปกติเรียบร้อยไม่ชอบทะเลาะกับใครก็เริ่มเถียงพ่อแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเราสี่พี่น้องร้องไห้กันระงมด้วยความกลัว บางวันถึงขั้นลงไม้ลงมือกันก็มี แต่ยังดีที่ไม่ถึงขั้นทำร้ายร่างกายจนเป็นแผล และนับจากนั้นพวกเราก็เริ่มออกห่างจากพ่อมากขึ้น เรามองเขาเหมือนคนแปลกหน้าที่น่ากลัวเหมือนผีหรือตัวอะไรก็ได้ที่รู้สึกเกลียดชัง 

ข้างในใจลึกๆ ฉันไม่รู้ว่าพี่น้องคนอื่นคิดอย่างไร แต่สำหรับฉันในวัยเกือบ 9 ขวบ กำลังเริ่มมีเสียงผุดขึ้นมาว่า “อยากตายประชดพ่อ” เพราะจะมีวิธีไหนอีกล่ะที่จะทำให้พ่อเจ็บปวดแทบตายได้ ถ้าไม่ใช่การตายพร้อมเขียนจดหมายประกาศให้โลกรู้ว่า “พ่อนี่แหละคือคนที่ฆ่าฉัน” 

เด็ก 9 ขวบ ที่ดูภายนอกร่าเริงสดใส ไปโรงเรียนกลับมาบ้านเหมือนปกติ แต่ใครจะรู้ว่ากำลังวางแผนหาตึกสูงเพื่อฆ่าตัวตาย ส่วนเหตุที่เลือก “กระโดดตึก” เพราะดูง่ายสุดเท่าที่ปัญญาเด็กจะคิดได้ในตอนนั้น แต่สักพักก็มีเสียงถามว่า… “ตึกที่สูงแค่ 3 ชั้น ถ้ากระโดดลงมาเราจะตายจริงเหรอ ความสูงจะพอเหรอ? เออ แฮะ… ดีนะที่พอมีความรู้จากการ์ตูนอยู่บ้าง เพราะถ้าโดดลงมาแล้วไม่ตายทันที หลังออกจากโรงพยาบาลต้องโดนพ่อตีปางตายแน่นอน แค่นึกภาพพ่อถือไม้เรียวในมือความกลัวตายก็บังเกิด เลยคิดว่างั้นย้ายไปกระโดดตึกที่สูงสุดของโรงเรียนแทนละกัน 

แต่พอคิดได้ว่าตึกโรงเรียนที่สูงสุดก็แค่ 3 ชั้นเท่าบ้านเหมือนกัน แผนนี้เลยเป็นอันต้องพับไปเพราะไม่มีปัญญาจะหาตึกสูงกว่านี้อีกแล้ว แต่ยิ่งไปกว่านั้นการกระโดดตึกตายคงไม่ใช่ทางออกที่ดีด้วย งั้น “เลิกตาย” ก็ได้ เปลี่ยนแผนใหม่เป็น “หนีออกจากบ้าน” แทนละกัน แต่แค่คิดได้ไม่นาน แม่ก็ตะโกนเรียก “กินข้าวได้แล้ว” เออ…ถ้าฉันหนีไปจริงๆ จะเอาข้าวที่ไหนกิน? ฉันที่ตั้งใจจะไม่ตายแล้ว แต่ถ้าไม่มีข้าวกินคงต้องตายในสักวันแน่นอน ไหนจะแม่อีกล่ะ พี่น้องอีกล่ะ คนที่รักฉันคงเสียใจน่าดู

เมื่อคิดได้แบบนี้ความอยากประชดพ่อเลยจบลงภายในวันเดียว อาจเพราะพื้นฐานฉันเป็นคนร่าเริงและสดใสมาก แถมมีเสียงแม่มาช่วยเรียกสติเลยทำให้ฉันผ่านช่วงเวลานี้มาได้อย่างหวุดหวิด… แถมเจ้าความคิดฆ่าตัวตายนั้นก็ไม่ได้ย้อนกลับมาอีกเลย เพียงแต่เปลี่ยนสภาพเป็นความ “เก็บกด” จนทำให้ฉันแทบเป็นคน “ไร้อารมณ์” ที่ภายในเต็มไปด้วย “อารมณ์” เพราะฉันสามารถพูดด่าใครก็ได้อย่างไม่แคร์และไม่รู้สึกผิด แถมพยายามไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นเพราะมันเจ็บปวดเกินไปถ้าฉันต้องอ่อนแอ ส่วนอารมณ์ที่ฉันใช้บ่อยสุดเวลากลบเกลื่อนความทุกข์ในใจก็คือ “ความโกรธ” ไม่ว่าฉันจะเสียใจ อยากร้องไห้แค่ไหน ฉันจะโกรธทุกอย่างรอบตัวเพราะมันง่ายและดีกว่าที่จะร้องไห้ออกมาตรงๆ

นับจากนั้นทุกคนในบ้านก็ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างเคร่งเครียด พ่อที่ยังตั้งหลักชีวิตไม่ได้ก็ยังเอาแต่ใจตัวเองและตั้งตัวเป็นใหญ่ภายในบ้าน แม่ที่ต้องเป็นทั้งแม่บ้านและออกไปทำงานหาเงินแทนพ่อ ทำให้พวกเราพี่น้องสงสารแม่จนแทบจะคุยกับพ่อแบบนับคำได้ 

 “พ่อที่จากไป” 

ในวัยที่อายุย่าง 19 ปี ฉันเลิกหวังว่าชีวิตในบ้านจะดีขึ้น เลยให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมชมรมที่มหาลัย ที่นี่มีทั้งเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ที่สนิทใจและเป็นยิ่งกว่าบ้านของฉัน พวกเขาเข้าใจ ยอมรับ จริงใจ และตลกเฮฮา ทำให้เราสนิทกันมาก เพื่อนของฉันส่วนมากเป็นเด็กดี เรียบร้อย และไม่มีการมั่วสุมหรือชวนไปทำอะไรเกเรอย่างที่พ่อชอบกล่าวหา ฉันพยายามอธิบายจนกลายเป็นทะเลาะรุนแรงในหลายที แต่ด้วยความที่กลับบ้านค่ำเกือบทุกวัน ในที่สุดวันหนึ่งพ่อก็สั่งให้ฉันเลิกทำชมรมอย่างเด็ดขาด! พร้อมขู่ว่าจะไปหาฉันถึงมหาลัยถ้ายังไม่ยอมเลิก และถ้าเจอฉันอยู่ชมรมจะตบฉันต่อหน้าเพื่อนๆ ให้อาย 

คำพูดครั้งนี้ถือว่าทำร้ายจิตใจมาก การตั้งใจเรียนจนได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ไม่ได้ทำให้พ่อเชื่อใจในตัวฉันเลย ในทางกลับกันพ่อที่ไม่ทำงานอะไร ไม่เป็นผู้นำครอบครัวที่ให้ความอบอุ่นใจ มาในวันนี้ยังจะพรากความสุขเพียงหนึ่งเดียวของฉันไปอีกเหรอ!? หลังทะเลาะกับพ่ออย่างรุนแรงในวันนั้น เสียงที่ฉันไม่ได้ยินมาเนิ่นนานก็เริ่ม…กลับมาอีกครั้ง 

“ถ้ามีพ่อเป็นแบบนี้เราจะมีไปทำไม สู้ตายๆ ไปเลยจะยังดีกว่า ใช่… พ่อนี่แหละต้องตาย พวกเราทุกคนจะได้มีความสุขกันเสียที” ฉันนึกสาปแช่งพ่ออยู่ในใจแบบนี้จนกระทั่งนอนหลับไป

ณ ช่วงกลางวันที่ทุกคนเดินวุ่นวายในสถานที่ที่มองเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกคุ้นเคย รู้แค่เพียงฉันที่ใส่ชุดเดรสสีดำทั้งตัวกำลังก้าวเท้าไปที่ห้องเล็กแห่งหนึ่ง ภายในห้องปูด้วยเสื่อญี่ปุ่นคล้ายเป็นห้องรับรองขนาดไม่ใหญ่นัก ตรงกลางห้องมีที่เก็บของอยู่ใต้เสื่อ ฉันไม่รีรอที่จะเดินไปเปิดดูอย่างร้อนใจ ซึ่งสิ่งที่พบก็คือเสื้อผ้าผู้ชายชุดหนึ่งวางพับอยู่ ใกล้กับชุดคือรองเท้าที่มองแล้วรู้สึกคุ้นเคย สักครู่ก็เริ่มคิดได้ว่าที่นี่คือเสื้อผ้า และรองเท้าของพ่อ ใช่เลย! ฉันกำลังอยู่ใน “งานศพพ่อ” พ่อ…ที่ฉันสาปแช่งให้ตายไปให้พ้นๆ ฉันเคยตั้งใจว่าในงานศพพ่อจะหัวเราะออกมาดังๆ ให้สาสมที่รอคอยมาเป็นสิบปี แต่น่าแปลกที่น้ำตากลับไหลออกมาแทนที่ พอรู้สึกตัวอีกทีมือก็เอื้อมไปหยิบรองเท้าคู่นั้นมากำไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นแทบขาดใจ 

“ฮึกๆ… ฮือออออออ” น้ำตาที่ไหลท่วมหน้าจนเปียกไปถึงไรผม ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง โดยมีสองมือจับผ้าห่มไว้แน่นแทนรองเท้าคู่นั้น พอนิ่งสักพักก็ได้สติรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ “ความฝัน” แต่น่าแปลกที่น้ำตากับความรู้สึกเสียใจนี้คือของจริง ฉันยังคงร้องไห้เสียใจกับการตายของพ่อชนิดไม่มีอะไรเทียบได้ และรู้แล้วว่าถ้าพ่อตายจริงฉันก็คงร้องไห้ไม่ต่างจากตอนนี้ เพราะอะไรน่ะหรือ? คงเพราะในวัยเด็กของฉัน พ่อคือคนที่ฉันรักมากที่สุด ใช่…ฉันรักพ่อมากกว่าแม่ เพราะพ่อเป็นคนพูดเก่ง ฉลาด ร้องเพลงเพราะ และมักจะซื้อของเล่นกับเทปเพลงการ์ตูนให้ตามที่ลูกๆ ขอเสมอ ที่สำคัญพ่อพาพวกเราไปเที่ยวทะเล ไปกินอาหารอร่อยเป็นประจำ และที่สำคัญ ฉันกับพ่อเราหน้าเหมือนกันมาก เดินไปไหนจะรู้ทันทีว่านี่ลูกใคร

“เราจะกลายเป็นคนดีที่สุดทันที ก็ต่อเมื่อตายไปแล้วเท่านั้น” 

ประโยคนี้ท่าจะจริง เพราะการตาย (ในฝัน) ของพ่อครั้งนี้ ทำให้ความรักที่ฉันมีต่อพ่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง เหมือนมีเวทย์มนตร์ประหลาดมาเสกให้ “ปุ่มรับรู้ความดี” ของพ่อในตัวฉันทำงาน ความโกรธแค้นที่มีต่อพ่อในตอนนี้หายไปแทบจะเกินครึ่ง แม้ว่าหลังจากตื่นมาไม่นานก็ยังได้ยินเสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกันเหมือนเคย แต่ครั้งนี้เปลี่ยนจากความรู้สึกโกรธ เบื่อ รำคาญ กลายเป็นย่องออกไปดูพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างเงียบๆ ภาพพ่อที่กำลังเถียงแม่ด้วยเสียงดัง ก้าวร้าว เป็นสิ่งยืนยันอย่างดีว่า “พ่อยังไม่ตาย” และนี่คงเป็นการฟังพ่อแม่ทะเลาะกันที่ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิต 

ถึงไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆ ไป ฉันยังต้องทะเลาะกับพ่ออีกนานแคไหน แต่อย่างน้อยวันนี้ฉันก็ไม่ได้เกลียดเขาเท่าเมื่อวานอีกแล้ว 

“ค้นหาเงาหลังกระจก”

ค่ำนี้เป็นอีกวันที่พ่อยืนรออยู่หน้าบ้านด้วยสีหน้าดุดันเหมือนเคย แต่ภารกิจออกค่ายประจำปีที่แสนเข้มข้นของชมรม คงไม่มีทางทำให้ฉันกลับบ้านเร็วกว่านี้ได้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้คือวันนี้ฉันตั้งใจจะมา “ฟัง” โดยเฉพาะ เพราะที่ผ่านมาฉันเอาแต่เถียงอยู่ตลอดจนทะเลาะกันรุนแรงแทบทุกครั้ง และจากการที่รับฟังพ่ออย่างตั้งใจ ฉันก็เซอร์ไพรส์กับการค้นพบครั้งนี้ เพราะภายใต้คำดุด่า ใต้ท่าทางที่ร้อนรน และอารมณ์ที่พุ่งพล่าน ฉันเห็นแต่ “ความเป็นห่วง” ของพ่อเต็มไปหมด 

ตอนนี้รู้แล้วว่าพ่อสอนพวกเราแบบอ่อนโยนไม่เป็น ดังนั้นการด่าว่าของพ่อก็คือการแสดงความรักแบบหนึ่ง แต่เป็นแบบที่ไม่มีลูกคนไหนชอบ และคงไม่มีใครต้องการความรักแบบนี้ แม้แต่พ่อเองก็คงไม่ชอบเหมือนกัน แต่ครั้งนี้ฉันบอกตัวเองว่าจะลองตั้งใจฟังพ่อแบบดีๆ สักครั้ง และน่าแปลกที่ความตั้งใจนี้ทำให้พ่อเริ่มผ่อนท่าทีเกรี้ยวกราดลง ฉันจึงรีบใช้จังหวะนั้นขอบคุณที่พ่อเป็นห่วง และสัญญาว่าจะพยายามกลับบ้านให้เร็วขึ้นเท่าที่ทำได้ สีหน้าพ่อดีขึ้นทันทีราวกับเสกมนตร์ และจบบทสนทนาด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อจนทุกคนในบ้านแทบตั้งตัวไม่ทัน 

หลังจากวันนั้นฉันเริ่มอยากรู้ว่าพ่อถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ดูจังหวะที่พ่ออารมณ์ดีก็หาโอกาสถามเรื่องปู่เพราะพ่อมักเล่าถึงท่านไม่มากนัก ปู่เสียชีวิตก่อนน้องชายจะเกิดเพียงไม่กี่เดือน ฉันยังจำได้ว่าพ่อสะดุ้งโหยงและรีบปฏิเสธทันทีเมื่อฉันบอกว่า “น้องชายต้องเป็นปู่กลับชาติมาเกิดแน่เลย”

จากที่นั่งคุยอยู่ราวครึ่งชั่วโมง ฉันจับใจความได้ว่าปู่เป็นคนดุมาก เพราะเป็นทหารเก่าหนีตายมาจากประเทศจีนช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง คุณย่าเป็นสาวชาวจีนที่ก็หนีมาอยู่เมืองไทย ท่านทั้งสองพบกันผ่านการดูตัวจนมีลูกด้วยกันถึง 8 คน ปู่เป็นคนขยันมาก ทำการค้าจนมีกิจการใหญ่โต เลี้ยงลูกเหมือนอยู่ค่ายทหาร เพราะลูกทุกคนจะถูกฝึกให้ทำงานช่วยที่บ้านอย่างขันแข็ง โดยเฉพาะพ่อที่ดูมีแววดื้อและรักอิสระที่สุดเลยต้องโดนใช้งานหนักสุด 

แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนเด็กๆ เวลาพ่อดื้อหรือหนีไปเที่ยวเล่นไม่เชื่อฟังคำสั่งก็มักโดนผูกแขนด้วยเชือกแล้วห้อยลงมาจากเสาบ้าน ก่อนจะใช้เข็มขัดหรือสายไฟฟาดที่หลังจนแทบไม่เหลือที่ว่าง หลายครั้งคนข้างบ้านต้องวิ่งมาขอให้หยุดตีด้วยความสงสาร หรือเวลาถอดเสื้อไปวิ่งเล่นนอกบ้านก็มีอาแปะแถวนั้นมาลูบหลังพ่อพร้อมถามว่า “หลังลื้อไปโดนอะไรมา?” แล้วก็น้ำตาไหลด้วยความสงสาร 

ระหว่างที่พ่อเล่า ฉันจำได้ว่าตัวเองอ้าปากค้าง ในใจนึกอยากลุกไปกอดพ่อมาก เพราะทุกวันนี้ร่องรอยที่หลังก็ยังมีเหลืออยู่ให้เห็น แต่ก็ได้แค่คิดเพราะฉันยังไม่สนิทใจกับพ่อขนาดนั้น ส่วนพ่อก็เล่าด้วยสีหน้าปกติปนสงสัยเพราะไม่รู้ว่าทำไมถึงโดนตีขนาดนั้น 

ฉันแอบเดาในใจว่าตอนนั้นพ่อคงเด็กเกินไปที่จะรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับปู่ จึงไม่ต่างอะไรระหว่างฉันกับพ่อ ที่ต่างก็อยู่ด้วยความ “กลัว” ในพ่อของตัวเอง 

ฉันไม่รู้ว่าพ่อเกลียดปู่ไหมเพราะเห็นแต่ความกลัวเต็มไปหมด แต่ก็คงไม่มีอะไรจะหนักหนาเท่ากับการสูญเสียแม่ที่รักมากในวัยเพียง 13 ปี พ่อเล่าว่าย่าป่วยหนักหลังคลอดลูกคนสุดท้าย และนั่นคงทำให้พ่อหัวใจสลาย แต่ความเป็นลูกอดีตทหารที่โดนเลี้ยงอย่างเข้มงวดคงไม่มีเวลาให้เสียใจมากนัก

ฉันคิดย้อนไปถึงความฝันเรื่องพ่อตายในวันนั้น ฉันในวัย 19 ปี กับพ่อที่โกรธเกลียดมาตลอดสิบกว่าปี ฉันยังร้องไห้แทบตาย แล้วประสาอะไรกับพ่อที่ต้องสูญเสียแม่ที่รักมากในชีวิตจริงด้วยวัยเพียง 13 ปี คิดไม่ออกเลยว่าถ้าเป็นฉันจะร้องไห้ขนาดไหน ฉันเดาว่าพ่อต้องเก็บอารมณ์ความรู้สึกเสียใจทั้งหมดเอาไว้ และเปลี่ยนเป็นความเข้มแข็งเพื่อให้ผ่านความทุกข์อันสาหัสไปให้ได้ ที่ฉันคิดแบบนี้เพราะฉันและพี่น้องก็ถูกพ่อสอนให้ไม่ร้องไห้ตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ถ้าหกล้มแล้วร้องจะโดนตีซ้ำ ถ้าร้องไห้เพราะอยากให้โอ๋จะโดนด่าหนักกว่าเดิม 

เราเลยเป็นครอบครัวที่เข้มแข็งจากภายนอกแต่ภายในล้มเหลวไม่มีชิ้นดี แต่ถึงกระนั้นความทุกข์ใจที่ฉันได้รับก็คงไม่เท่ากับเสี้ยวหนึ่งที่พ่อเจอ เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยความรุนแรงขนาดนั้น ถ้าเขามองว่านี่คือปมชีวิตที่ต้องมี “ผู้ชดใช้” เหมือนพ่อแม่บางคนที่เอาความเจ็บปวดในวัยเด็กมาลงที่ลูก ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเราทุกคนคงต้องเจ็บมากกว่าพ่อหลายเท่านัก ฉันเลยสรุปเองในใจว่า “พ่อดีขึ้นกว่าเดิม” เพราะพ่อชอบพูดเสมอว่าถ้าพวกฉันเป็นลูกปู่คงโดนตีไม่เหลือแน่ และนึกไม่ออกเลยว่าหากฉันเกิดแต่งงานมีลูกไปก่อนที่จะนั่งคุยกับพ่อในวันนี้ ฉันจะกลายเป็นแม่แบบไหน จะบ้าอำนาจ ขี้โมโห เหมือนพ่อหรือไม่? 

แต่คำถามนี้คงไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะทุกวันนี้ฉันมีโอกาสเริ่มต้นใหม่… และเหนืออื่นใดเวลามองพ่อตอนนี้ฉันกลับเห็นเงาของเด็กน้อยขี้กลัวคนนั้น มากกว่าจะเป็นพ่อจอมบ้าอำนาจที่ชอบดุด่าลูกเมีย เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกทึ่งว่าการฟังอดีตของพ่อมันเปลี่ยนฉันได้ขนาดนี้เชียวหรือนี่! 

“เราเปลี่ยนพ่อเปลี่ยน”

จากวันนั้นกว่า 20 ปี ถ้าเปรียบเป็นเด็กหนึ่งคนก็คงเรียนจบใกล้รับปริญญาเต็มที และผลจากพากเพียรของฉันก็คือพ่อค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ช่วงปีแรกเราอาจไม่คุ้นเคยกับการพูดจาดีๆ สักเท่าไหร่ แต่ทุกวันนี้ฉันสามารถพูดกับพ่อได้ทุกเรื่อง แม้บางหัวข้อจะมีทะเลาะกันบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่ฉันในวัยเด็กไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ เมื่อลองวิเคราะห์ว่าเหตุใดพ่อถึงสามารถเปลี่ยนแปลง และเปิดใจกับฉันได้มากกว่าลูกๆ คนอื่น 

ในที่สุดก็พบคำตอบว่า การได้มองเห็น “เงาหลังกระจก” หรือได้เห็น “เด็กน้อย” ที่ซ่อนอยู่ในเงา นี่แหละ…พ่อถึงเริ่มเปิดใจยอมรับฉันจริงๆ การเรียนหนังสือเก่ง หรือการเป็นลูกที่ดีเชื่อฟังตามคำสั่งอย่างที่ฉันเคยพยายามทำในตอนเด็ก ก็พอมีส่วนอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ฉันกับพ่อสามารถคุยได้ทุกเรื่องแบบนี้

เพราะหากมีเด็กสักคนโตมาพร้อมความกลัวที่กัดกินอยู่ในใจลึกๆ โอกาสที่เขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่สมบูรณ์ย่อมมีน้อยนัก แถมบ่อยครั้งความกลัวมักกลายร่างเป็นความโกรธ ความอยากได้การยอมรับก็มักแสดงตัวผ่านการใช้อำนาจ สำหรับพ่อ ต้นแบบการใช้อำนาจก็คือปู่ ส่วนครอบครัวคือโอกาสให้พ่อได้ใช้อำนาจเพื่อชดเชยความเจ็บปวดในอดีต ดังนั้นเมื่อฉันสัมผัสและเข้าใจได้ทั้งหมดนี้ พ่อจึงกลายเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่ง จนทำให้ฉันสามารถลดอคติ ความโกรธ และความเกลียดชังในใจลงได้ จนส่งผลไปถึงการรับฟัง การกลั่นกรองคำพูดต่างๆ ที่เต็มไปด้วยความใส่ใจและระมัดระวังมากขึ้น เพราะฉันรู้ดีว่าถ้ายิ่งใส่ใจพ่อมากเท่าไหร่ เด็กน้อยคนนั้นของพ่อก็จะแข็งแรงและเติบโตขึ้นจนพร้อมรับฟังเด็กน้อยของฉันได้เช่นกัน 

กฎความจริงอีกข้อคือ “เราทุกคนต่างเป็นเงาในกระจกของกันและกัน” ที่ผ่านมาฉันมองเห็นแต่ภาพตัวเองทุกข์ใจผ่านเงาสะท้อนในกระจกของพ่อ ยิ่งอยากเห็นตัวเองยิ้มเท่าไหร่ก็ยิ่งคาดหวัง เมื่อไม่สมหวังก็โกรธแค้น โมโห เกลียดชัง แต่ไม่เคยสนใจมองทะลุเข้าไปว่าหลังกระจกบานนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ จนเมื่อวันหนึ่งได้รู้ว่าเงาที่อยู่หลังกระจกนั้นก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน ฉันถึงได้ “เลิกทุกข์” และมีความเข้าใจ เห็นใจ มาแทนที่ 

ที่สำคัญฉันเริ่มเห็นสีหน้าตัวเองเปลี่ยนไป ในที่สุดก็มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นเสียที และแน่นอนว่าพ่อคงไม่ต่างกัน ที่ผ่านมาก็เห็นแต่ใบหน้าทุกข์ใจของตัวเองผ่านกระจกเงาของฉัน จนเมื่อวันหนึ่งที่ฉันเริ่มเปลี่ยน พ่อก็คงเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของตัวเองสะท้อนกลับมามากขึ้นเช่นกัน ความมั่นคงเริ่มแทนที่ความกลัวในใจของเด็กน้อยคนนั้น เมื่อพ่อไม่กลัวก็จะไม่โกรธจนต้องใช้อำนาจบ่อยๆ พ่อเริ่มเรียนรู้วิธีที่จะขอร้องลูกๆ มากกว่าสั่งหรือบังคับอย่างเดียวเหมือนก่อน

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ทำให้ฉันเชื่อแล้วว่าแค่เราเริ่มต้นจากการ “ฟัง” ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่แบบคาดไม่ถึงจะตามมาอย่างแน่นอน สำหรับฉัน 20 ปี ไม่ใช่เรื่องที่ยาวนาน เพราะความสัมพันธ์ไม่ได้เปลี่ยนกันได้แค่เพียงข้ามคืน ข้ามปี โดยเฉพาะกับคนที่มีความเจ็บปวดในวัยเด็ก ระยะเวลาและความใส่ใจที่สม่ำเสมอ คือเครื่องมือชั้นเลิศที่จะพาความสุขกลับมาได้มั่นคงที่สุด และด้วยวิธีเดียวกันนี้ ฉันก็รู้ว่าหากค้นลึกเข้าไปในกระจกเงาของปู่ ก็คงได้พบกับเด็กน้อยคนหนึ่งในนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะขี้กลัวเหมือนพ่อ ขี้โมโหเหมือนฉัน หรืออาจจะขี้เหงาก็เป็นได้?

“ทุกคนล้วนมีเงา แต่ไม่ใช่ทุกคนจะมองเห็น”

ฉันเชื่อว่าเราทุกคนล้วนมีกระจกที่ใช้สะท้อนผู้อื่น และเห็นตัวเองผ่านกระจกของทุกคนเช่นกัน ส่วนภาพสะท้อนของเราจะสุขหรือทุกข์เพียงใด คงขึ้นอยู่กับว่าเรารู้สึกกับเจ้าของกระจกแบบไหน และที่สำคัญ “เงาหลังกระจก” ของเรามีเด็กน้อยคนไหนแอบอยู่ข้างหลัง 

ระหว่างที่ฉันใช้ทั้งชีวิตเรียนรู้ที่จะพูดคุยกับพ่อ ฉันก็ไม่ละเลยที่จะคุยกับเด็กน้อยหลังกระจกของตัวเองเช่นกัน หากวันใดเด็กน้อยขี้โมโหคนนั้นเจ็บปวด ฉันจะรีบดูแลเขาและถอยห่างจากพ่อทันที อาจเว้นไป 1-2 วัน หรือรอจนกระทั่งดีขึ้นจึงค่อยคุยต่อ นั่นเพราะฉันรู้แล้วว่าทุกการพูดคุยกับพ่อ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องไม่สร้างบาดแผลให้ตัวเอง รวมถึงไม่คาดหวังว่าผู้คนที่พบเจอในแต่ละวันจะมองเห็นเด็กน้อยที่แอบอยู่หลังกระจกของฉัน ในทางกลับกันฉันได้ใช้วิธีนี้กับคนที่รู้สึกไม่ชอบเพื่อเปลี่ยนอคติที่มีต่อเขาให้กลายเป็นความเข้าใจ เพราะการจะเห็นเงาหลังกระจกนี้ได้ต้องอาศัยเวลา ความเมตตา และความเคารพที่มีให้กันจากหัวใจ ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่ทุกคนจะมองเห็นเงาหลังกระจกของตัวเองหรือใคร แต่ก็ไม่ยากเกินไปหากมีความตั้งใจจริง 

และถ้าจะให้ขอบคุณสำหรับจุดเปลี่ยนที่ทำให้ฉันมีความสุขได้อย่างทุกวันนี้ ก็คงเป็น “การตายเสมือนจริง” ของพ่อในคืนนั้น นี่อาจเป็นความฝันที่ดีที่สุดในชีวิตของฉันก็ว่าได้ เพราะถ้าปล่อยเวลาเนิ่นนานไปกว่านี้จนพ่อตายจากไปจริงๆ ฉันคงไม่มีโอกาสเข้าใจใครสักคนอย่างถ่องแท้ ไม่รับรู้ว่าในความเกลียดชังมีความรักมากมายซ่อนอยู่ และที่สำคัญ “พ่อ” ก็จะกลายเป็นผู้สร้างบาดแผลที่กัดกินใจฉันไปจนวันตาย และฉันก็จะนำความเจ็บปวดนี้ส่งต่อไปให้กับลูก หลาน ตลอดจนทุกคนรอบตัวที่พบเจอ จนในที่สุดก็ต้องใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวด ทุกข์ใจ จากความเกลียดชังที่เขาเหล่านั้นส่งกลับมาให้ ที่สุดคงได้ตายทั้งเป็นในชีวิตจริงสักวันหนึ่ง 

ทุกครอบครัวล้วนมีความทุกข์ ความเจ็บปวดบางอย่าง เป็นมรดกตกทอดโดยไม่ตั้งใจ แม้แต่พ่อแม่ยุคนี้ที่ศึกษาวิธีเลี้ยงลูกอย่างดีจากตำราคุณหมอจิตวิทยาเด็ก ก็ยังไม่อาจหนีพ้นมรดกแห่งความทุกข์นี้ เพราะวิธีแก้ไม่ได้มีเขียนไว้ในตำราหมอเล่มใด หากแต่อยู่ที่การฟังและพูดคุยอย่างเปิดใจเพื่อจะมองให้ลึกถึงเงาของเด็กน้อยที่ซ่อนอยู่หลังกระจกนั้น และไม่ใช่แค่เฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น ผู้คนรอบตัวล้วนก็มีเงาที่ซ่อนอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 

แล้วคุณล่ะ…เคยพบกับเงาหลังกระจก (เงา) ใครบ้างหรือยัง?

Tags:

ปม(trauma)พ่อปัญหาครอบครัวความตาย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

illustrator

มาแชร์

นักสื่อสารโลกภายใน และนักใช้ชีวิตอิสระ ที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคน มีเสียงอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    About time: ความสัมพันธ์ต้องไม่พยายามฝ่ายเดียว คนในครอบครัวก็เช่นเดียวกัน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Myth/Life/Crisis
    ดอเรียน เกรย์: ภาพที่เห็น ภาพที่จำ และภาพคนในครอบครัวที่เราวาดขึ้นเองได้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Family Psychology
    ด้วยรัก ภาระ และบาดแผล จากการเติบโตในครอบครัวใหญ่ที่ต้องทำตามความต้องการของสมาชิกหลายคน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    บำบัดจิตใจปั่นป่วนของพ่อแม่ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (IFS)

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel