Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: April 2020

สุกัญญา สมไพบูลย์ ครูที่เติบโตมากับเสียงเพลงลูกทุ่งและคณะลิเก สู่ครูผู้เชื่อมความเพลิดเพลินกับบทเรียนด้านวาทวิทยาฯ
Unique Teacher
30 April 2020

สุกัญญา สมไพบูลย์ ครูที่เติบโตมากับเสียงเพลงลูกทุ่งและคณะลิเก สู่ครูผู้เชื่อมความเพลิดเพลินกับบทเรียนด้านวาทวิทยาฯ

เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ นักร้อง แฟนเพลงลูกทุ่ง เด็กสาวที่เคยฝันอยากเป็นผู้ประกาศข่าว นักศึกษาปริญญาเอกผู้จบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อในอังกฤษ วิทยากรผู้สอนเรื่องการสื่อสารกับมนุษย์ รวมถึงเป็นผู้หลงรักลิเกจนเคยได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะ และเป็นหนึ่งในผู้ศึกษาศาสตร์ของลิเกอย่างลึกซึ้งที่สุดคนหนึ่งของประเทศ
  • ความสนใจที่กระจัดกระจาย ความชอบที่อาจจะไม่ได้เชื่อมโยงร้อยกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่สิ่งที่ทำให้เธอต่างคือครูโอ๋มีความเป็นนักเรียนอยู่ในตัว เธอศึกษาหลายด้าน สนใจหลายอย่าง และเอาจริงเอาจังกับมันอย่างถึงที่สุด จนทำให้ความชอบเปลี่ยนมาเป็นความรู้ที่กระจ่างชัดจนผู้อื่นสัมผัสได้

วิชาการใช้เสียงและการใช้คำเบื้องต้น, วิชา Human communication and rhetoric, วิชาการสื่อสารเชิงสุนทรียะ, วิชาละครชุมชน-ละครเพื่อสังคม, วิชาการพูดในที่สาธารณะ, วิชาวัฒนธรรมการแสดงทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก

รายชื่อวิชาข้างต้นเหล่านี้ คือความทรงจำของเหล่านักศึกษาที่มีต่อครูโอ๋ หรือ ผศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ และหากคุณเป็นนิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย ก็อาจจะทราบว่าปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งเป็นรองคณบดีและอาจารย์ในภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดงของคณะนิเทศศาสตร์ด้วย

อันที่จริงแล้ว ชีวิตของครูโอ๋นั้นมีมิติที่หลากหลายกว่าภาคของการเป็นอาจารย์มากนัก เพราะเธอเป็นทั้งนักร้อง แฟนเพลงลูกทุ่ง เด็กสาวที่เคยฝันอยากเป็นผู้ประกาศข่าว นักศึกษาปริญญาเอกผู้จบจากมหาวิทยาลัยมีชื่อในอังกฤษ วิทยากรผู้สอนเรื่องการสื่อสารกับมนุษย์ รวมถึงเป็นผู้หลงรักลิเกจนเคยได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะ และเป็นหนึ่งในผู้ศึกษาศาสตร์ของลิเกอย่างลึกซึ้งที่สุดคนหนึ่งของประเทศด้วย

หลายอย่างในตัวของครูโอ๋ ดูเหมือนจะผสมผสานรวมกันได้อย่างน่าประหลาด ทว่าเมื่อได้พูดคุยกับเธอแล้ว เราพบว่าความน่าประหลาดนั้นแท้จริงแล้วมีอยู่ในตัวเราทุกคน มันคือความสนใจที่กระจัดกระจาย ความชอบที่อาจจะไม่ได้เชื่อมโยงร้อยกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล แต่สิ่งที่ทำให้เธอต่างคือครูโอ๋มีความเป็นนักเรียนอยู่ในตัว เธอศึกษาหลายด้าน สนใจหลายอย่าง และเอาจริงเอาจังกับมันอย่างถึงที่สุด จนทำให้ความชอบเปลี่ยนมาเป็นความรู้ที่กระจ่างชัดจนผู้อื่นสัมผัสได้

ระหว่างที่นั่งคุยกัน เราสัมผัสได้อย่างหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเคล็ดลับของความเอาจริงเอาจังของเธอ นั่นคือครูโอ๋เป็นคนที่มีพลังงานเหลือล้น บทสนทนากว่า 2 ชั่วโมง ไม่ได้ลดทอนพลังของเธอแม้แต่น้อย กลับกัน ดูเหมือนว่าชีวิตของเธอจะมีเรื่องเล่าอีกมากมายที่ยังไม่ได้เอ่ยถึง การนำเอาบางส่วนของเสียงพูดคุยในวันนั้นมาเล่าให้กับผู้อ่านฟัง จึงเป็นความท้าทายที่เราสนุกไปกับมัน และเชื่อว่าคำตอบของครูโอ๋ที่เราได้เรียบเรียงมาแบ่งปันกับผู้อ่าน จะช่วยสะท้อนให้เห็นว่า เส้นทางของการเป็นผู้ส่งต่อความรู้นั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นนักเรียนผู้ตั้งใจ ใส่ใจ และเอาจริงเอาจังกับความชอบของตัวเอง

นักเรียนผู้ศึกษาลิเกอย่างถ่องแท้

ความชอบในลิเกของคุณ เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน

อิทธิพลจากครอบครัว (ตอบทันที) คือลิเกกับลูกทุ่งมันเป็นของคู่กัน เวลาที่เราดูลิเก นอกจากเพลง ราชนิเกลิง ที่เป็นสัญลักษณ์ของลิเก (บทพูดช่วงต้นที่มักจะขึ้นว่า “สวัสดีครับพี่น้อง…”) ก็จะมีเพลงไทยเดิม และที่ขาดไม่ได้เลยคือเพลงพื้นบ้านกับเพลงลูกทุ่ง

แม่เราเป็นคนดูลิเก แล้วแม่ก็รู้จักพระเอก นางเอกของแต่ละคณะ เคยมีอยู่งานหนึ่ง ลิเกได้จัดเชิญคุณยอดรัก สลักใจมา ตอนนั้นเราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว แต่แม่ก็เดินไปบอกเจ้าของคณะลิเกว่า “ลูกพี่ร้องเพลงได้นะ” ตัวเจ้าของคณะก็คงอยากจะสร้างความเซอร์ไพรส์เลยเชิญเราขึ้นไปร้องเพลงเดือนคว่ำเดือนหงาย คู่กับคุณยอดรัก สลักใจ เสียดายเมื่อก่อนไม่มี Social Media

นอกจากแม่แล้ว สิ่งที่ดึงดูดเราเข้าไปสู่โลกของลิเกคือการแต่งหน้าและแต่งตัวของเขา มันสวยมาก แล้วพอเราได้นั่งอยู่ตรงโรงมหรสพนั้นแล้ว เรารู้สึกว่าการร้องเพลงของเขามันมีเสน่ห์ บางทีก็ไม่ตรงจังหวะ บางทีก็เพี้ยนนิดๆ แต่เราชอบ เราบอกกับตัวเองว่า วันหนึ่งจะต้องไปเล่นลิเกให้ได้ ไม่เคยคิดเลยว่าสังคมจะมองยังไง คิดแต่ว่าฉันน่าจะทำได้ จนพอมาทำวิทยานิพนธ์ก็ได้มีโอกาสลองเล่นลิเกดูจริงๆ

ดูเหมือนว่าลิเกจะเป็นความชอบของคุณมานาน อะไรที่ทำให้มันฝังรากลึกขนาดนี้

เราโตมากับเพลงลูกทุ่งก่อน เพราะถึงเราจะเกิดและโตที่กรุงเทพฯ แต่มีแม่เป็นคนลพบุรีและพ่อเป็นคนสมุทรสาคร สมัยก่อนพ่อเคยเป็นคนขับรถบรรทุกเพื่อรับจ้างขนของให้วงลูกทุ่ง ซึ่ง 2 วงที่พ่อเคยทำด้วยก็คือวงของแสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ เจ้าของเพลง รักสาวเสื้อลาย กับสดใส รุ่งโพธิ์ทอง ที่ร้องเพลง รักจางที่บางปะกง ตอนนั้นเราอายุประมาณ 3-4 ขวบก็นั่งรถไปกับพ่อ ช่วงคอนเสิร์ตเราก็ได้ไปอยู่ข้างหน้าเวทีตลอด

พออายุได้ประมาณ 7 ขวบ มีครั้งหนึ่งเราได้ไปงานวันเกิดของผู้ใหญ่คนหนึ่งที่อยู่ในชุมชน อยู่ๆ แม่ไปบอกเขาอีกว่า “ลูกสาวร้องเพลงได้” เราก็เลยต้องขึ้นไปร้อง เกลียดห้องเบอร์ 5 ของสายัณห์ สัญญา ซึ่งเป็นเพลงที่ดังมากตอนนั้น พอเห็นเด็กร้องเพลงผู้ใหญ่ก็เอ็นดู ตอนนั้นเราร้องไม่เพราะหรอก แต่เขาให้เงินคนละ 20 บาท ซึ่งแบงค์ใหญ่ที่สุดตอนนั้นจำไม่ได้ว่าแบงค์ร้อยหรือแบงค์ห้าร้อย ร้องจบ 1 เพลง ได้เงิน 2,000 บาท ตอนนั้นรู้สึกว่าการร้องเพลงทำให้เรามีเงิน ก็เลยฝึกร้องต่อมาเรื่อยๆ

มีอีกเรื่องที่จำได้แม่น คือช่วงนั้นอายุประมาณ 9 ขวบ มีเพลงหนึ่งที่ดังมาก เป็นเพลงของประเทศอินโดนิเชียแล้วไทยเอามาแปล คุณเอกพจน์ วงศ์นาค เป็นคนร้อง ชื่อเพลง แอบฝัน แต่เราอยากร้องเป็นภาษาอินโดนีเซีย พ่อไปจดมาให้เป็นคาราโอเกะ แม้แต่ภาษาอังกฤษพ่อก็เขียนให้ อย่างคำว่า You don’t remember me คำว่า me พ่อเขียนเป็น ‘มี่’ เพราะมันออกเสียงแบบนั้น เราโตมากับอะไรแบบนี้ก็เลยชอบเพลงลูกทุ่งมากๆ

ตั้งแต่เด็กจนโต เทสต์ของคุณเปลี่ยนไปแบบวัยรุ่นคนอื่นๆ บ้างไหม

เพลงสตริงเราก็รู้จักนะ ฉันร้องเพลงโบ สุนิตาได้ ทาทา ยัง, โป้ โยคีเพลย์บอย เพราะว่าตอนอยู่ธรรมศาสตร์ เราอยู่ทียูแบนด์ (TU Band ชุมนุมดนตรีสากลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ไปเป็นแดนเซอร์ เพลงที่เต้นคือเพลงของทาทา ยัง ลิฟท์-ออย เต้นได้หมด

คุณสนใจลิเกจนนำไปทำเป็นวิทยานิพนธ์ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโทจนถึงปริญญาเอก ตอนนั้นคุณศึกษาเรื่องอะไรบ้าง

ตอนที่ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโท อยากจะรู้ว่าลิเกเขามีอะไรบ้างที่เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อสาร ตอนนั้นเราใช้คำว่า ‘สัญนิยม’ เช่น แต่งหน้าแบบนี้หมายความว่าอะไร การร้องรำต่างๆ มีที่มาจากไหน เป็นตัวแทนของอะไร ซึ่งในตอนนั้นเราก็เลือกวิธีการศึกษาโดยการเข้าไปฝังตัวที่คณะลิเก

ตอนแรกเราเคยถามเขาว่า ปลอมตัวเข้าไปเรียนแบบเนียนๆ ได้ไหม แต่เขาถามเรากลับว่าเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ไหม เพราะว่าการที่เรามาอยู่ในคณะลิเก หัวหน้าคณะหรือคนในคณะจะถ่ายทอดวิชาให้เราอย่างเต็มที่ แล้วถ้าเกิดเราไม่บอกว่าเราเป็นใคร เขาถ่ายทอดจนหมดแล้วเราหนีกลับ เขาอาจจะแช่งเอา เพราะถือว่าเรียนไปแล้วไม่ยอมเอาไปทำมาหากินต่อ

พอฟังแล้วเราก็เลยแนะนำตัวกับเขาไปตรงๆ ว่าเรามาจากนิเทศ จุฬาฯ จะมาขอฝึกเล่นลิเกกับพวกพี่ๆ เพื่อเอาไปทำวิทยานิพนธ์ แต่การทำแบบนี้มันก็มีข้อเสีย เพราะทุกคนในคณะจะปฏิบัติกับเราในฐานะนักศึกษาปริญญาโท ดังนั้นเราจึงต้องพยายามสร้างความคุ้นเคยกับเขา เช่น ถ้าลิเกเริ่มเล่นสองทุ่ม เราจะไปถึงคณะตั้งแต่บ่ายสอง ไปกวาดโรงลิเก ทำกับข้าวกับพี่ๆ จนเขาเรียกเราว่า ‘ไอ้โอ๋’ หรือ ‘อีโอ๋’ นั่นคือเราทำสำเร็จแล้ว เพราะมันคือการที่เขาได้ยอมรับเราให้เป็นส่วนหนึ่งของคณะ

เราใช้เวลาทำวิทยานิพนธ์ทั้งหมด 4 เดือน ฝังตัวอยู่กับคณะลิเกทั้งหมด 3 คณะ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก เรามี Passion กับเรื่องนี้มาก ซึ่งคนที่ได้อ่านวิทยานิพนธ์เล่มนี้มักจะมาบอกกับเราว่า ภาคผนวกสนุกมาก สนุกกว่าในเนื้อหาอีก เพราะมันคือบันทึกเรื่องราวประสบการณ์ระหว่าง 4 เดือนนั้นไว้ทั้งหมด เช่น เราเคยถูกแม่ยกด่าว่ายังไง เขาหมั่นไส้เรายังไง อะไรแบบนั้น

แล้วปริญญาเอกล่ะ

พอเป็นปริญญาเอกเราก็ยังเลือกลิเกมาเป็นศาสตร์ที่ใช้ศึกษาเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้ใช้วิธีการอธิบายในเชิงปฏิบัติการ คือ เราพยายาม ‘Reinvention’ โดยการตั้งโจทย์ว่า ถ้าหากเราต้องการเปลี่ยนกลุ่มคนดูหรือขยายกลุ่มคนดูลิเก เราจะต้องออกแบบลิเกอย่างไรโดยที่ไม่ทิ้งแก่นสำคัญของมัน

มีบางคนบอกไปเรียนเรื่องลิเกทำไม เรียนปริญญาเอกทำไมถึงไปเรียนสื่อชาวบ้าน การที่ยังมีคนคิดแบบนี้แสดงว่าลิเกถูกมองว่าเป็นสิ่งที่คนมีการศึกษาไม่เรียนกัน ซึ่งมันไม่ใช่ ถึงแม้ว่าศิลปะจะมีการจัดแบ่งประเภท เช่น ศิลปะพื้นบ้าน ศิลปะร่วมสมัย หรือ ศิลปะคลาสสิก แต่เราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเราเข้าไปผูกกับมัน

คือเรากำลังจะบอกว่าเราเป็นใคร แล้วเราจะชอบอะไรก็ได้ ไม่ใช่ว่าเราสนใจเรียนในศิลปะประเภทหนึ่งแล้ววิถีชีวิตเราต้องเป็นแบบนั้น บางคนบอกว่าจบปริญญาเอกจากอังกฤษต้องชอบอ่านหนังสือของ William Shakespeare หรือต้องฟังเพลงของ Elton John แต่ไม่เลย เราก็ยังนั่งร้องเพลงของทูล ทองใจอยู่ เรายังเปิดเพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ฟังทุกวัน บางคนถามว่าทำไมไม่ฟังเพลงฝรั่ง เราก็ฟังนะ แต่ทำไมเราจะต้องปฏิเสธในสิ่งที่เราชอบล่ะ

อะไรที่ทำให้คุณประทับใจในการศึกษาลิเกมากที่สุด

เราเพิ่งมาค้นพบทีหลังตอนที่ได้ใกล้ชิดกับคณะลิเกว่า เราทึ่งในความสามารถของคนแสดง เพราะสิ่งที่เขาพูดเขาร้องบนเวที มันใช้วิธีนัดกันเฉยๆ ไม่มีการซ้อม ไม่มีบทใดๆ สมมุติเราถึงโรงลิเกตอนสองทุ่ม สักสามทุ่มก็เริ่มผัดหน้า ระหว่างนั้นโต้โผหรือผู้กำกับจะเดินมาบอกว่าวันนี้เราจะได้รับบทเป็นตัวอะไร ชื่ออะไร แล้วเดี๋ยวก็เล่าเรื่องต่อ ทุกคนก็นั่งฟังไปแต่งหน้าไป คนนี้เป็นตัวโกงนะ ต้องออกมาก่อน ตัวโกงจะไปตีอีกเมืองหนึ่งแล้วฆ่ากษัตริย์เมืองนั้นตาย แต่กษัตริย์คนนั้นกลับไม่ตายจนต้องซมซานไปที่อื่น อันนี้คือฉากแรก จากนั้นนางเอกที่เป็นเมียก็เสียใจ ต้องบอกว่า “อย่าฆ่าผัวฉัน ฉันจะยอมไปกับเธอ” แล้วเอาลูกไปด้วย สิ่งที่ยากกว่านั้นอีกคือตัวโกงหรือคนที่ร้องลิเกก่อนหน้า เขาร้องลงด้วยสระอะไร คนที่ร้องต่อก็จะต้องลงด้วยสระเดียวกัน พูดง่ายๆ คือ ทุกคนต้องขึ้นไป Improvise บนเวทีทั้งหมด

นอกจากนี้ จริงๆ แล้ว ลิเกก็ไม่ต่างจากละครหลังข่าวหรอก คือมันเป็นละครเชิง Melodrama* เหมือนกัน มีพลอตเรื่องเดิมๆ ที่เร้าอารมณ์คนดู ซึ่งนี่แหละคือสเน่ห์ของลิเก เพราะคนดูเขาไม่ได้ดูเอาเรื่อง เขาดูเอารส เขาดูว่าตัวละครนี้เล่นเก่งไหม มีลีลาแบบไหน ชุดสวยหรือเปล่า เหมือนเวลาเราดูระหว่างณเดช ศรราม วรุฒ พี่เบิร์ด และคนอื่นๆ ที่เขาเคยเล่นเรื่องคู่กรรม ใครคือโกโบริที่ดีที่สุด เรื่องคู่กรรมถูกนำมาทำซ้ำถึง 7-8 ครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่ไม่ได้รับความนิยมเลย เพราะเราอยากรู้ว่าใครคือโกโบริ หรืออังศุมาลินที่ดีที่สุด

เมโลดรามา (Melodrama) การแสดงประเภทที่ทั้งพล็อตและตัวละครมีอารมณ์หลากหลาย โศกเศร้า จริงจัง เรื่อยไปถึงความผ่อนคลายเบาสมอง แม้จะมีความเครียดปะปนแต่สุดท้ายจะจบลงที่ความสุขสมหวัง ความโดดเด่นของเมโลดรามาคือทั้งพล็อตและตัวละครมักมีความเกินจริงในหลายด้านหลายมิติ

นักเรียนผู้ศึกษาเสียงข้างในของตัวเอง

ตอนนี้คุณทำอะไรอยู่บ้าง

ตอนนี้เป็นรองคณบดีฝ่ายวิจัยและวิรัชกิจ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นวิทยากรพิเศษเรื่องการสื่อสารของมนุษย์ให้กับองค์กรต่างๆ ทั้งราชการและเอกชน เป็นนักร้อง นักแสดง และผู้กำกับการแสดง รวมถึงช่วงก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นนักเขียนนวนิยาย วรรณกรรมเยาวชน และนักวาดภาพประกอบ

นอกจากนี้ยังควบบทบาทผู้ประสานงานเวลาที่หอดนตรีฯ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เวลามีการจัดการแสดงศิลปะวัฒนธรรมให้กับประชาชน เราก็จะติดต่อขอคิวการแสดง เพื่อนำเอาการแสดงพื้นบ้านหรือวงลูกทุ่งไปโชว์

ในปัจจุบันคุณทำหลายอย่างและมีหลายบทบาทในชีวิต อยากรู้ว่าสมัยเรียน คุณมองภาพอนาคตตัวเองอย่างไร

เราเรียนปริญญาตรีที่คณะวารสารศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในสาขาวิทยุและโทรทัศน์ ตอนนั้นความฝันของเราคืออยากเป็นผู้ประกาศข่าวหน้ากล้อง แต่ฝันนั้นก็จบลงไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เราก็ตระเวนสมัครงานตามช่องต่างๆ แต่กลับเทสหน้ากล้องไม่ผ่านเลยสักช่องเดียว โชคดีที่สมัยเรียนเราเคยร้องเพลงเป็นอาชีพเสริมมาก่อน เราเลยสร้างรายได้จากความสามารถนี้ได้

หลังจากที่เรียนจบแล้วออกไปร้องเพลงช่วงหนึ่ง เราก็เห็นช่องทางการสอบเข้าไปเรียนปริญญาโทในสาขาวิชาวาทวิทยา ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเรามีความชอบในด้านนี้อยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนชอบพูด ชอบแสดงออก แต่พอได้เข้ามาเรียนในคณะจริงๆ ก็พบว่ามันไม่ได้เน้นเรียนเรื่องการพูดเลย แต่ครูกลับสอนอะไรที่มันลึกลงไปกว่านั้น นั่นคือกระบวนการคิดของเราก่อนที่จะพูดออกมา

การเรียนในสาขาวาทวิทยาจึงทำให้เราได้พูดคุยสื่อสารกับตัวเองในแบบที่ลึกซึ้งขึ้น ทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น และเข้าใจว่าทุกอย่างต้องเริ่มจากความคิดข้างใน ความสุขเริ่มจากตัวเราเอง แล้วก็เอาเรื่องนี้ไปปรับใช้กับส่วนอื่นๆ ของชีวิต แม้กระทั่งเรื่องการสอนในชีวิตปัจจุบัน

แสดงว่าการเรียนปริญญาโทของคุณคือจุดเปลี่ยนสำคัญครั้งหนึ่งของชีวิต

ใช่ จริงๆ มีอีกช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกว่าได้คุยกับตัวเองเยอะมาก คือตอนที่ร้องเพลงเป็นอาชีพหาเงินให้ตัวเองสมัยเรียนปริญญาตรี มันมีเหตุการณ์หนึ่งที่สอนเราอย่างมาก คือครั้งหนึ่งเราได้ไปร้องเพลงบนเวทีงานเลี้ยงที่ไม่มีใครรู้จักเรา ในงานนั้นไม่มีใครในงานฟังเพลงที่เราร้องเลย ซึ่งจริงๆ ก็เป็นเรื่องปกติเพราะเขามากินเลี้ยงกัน แต่เราในตอนนั้นเกิดอาการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เพราะคิดว่าทุกคนจะต้องปรบมือจะต้องตั้งใจฟังฉันสิ พราะฉันเป็นเด็กธรรมศาสตร์ ฉันร้องเพลงเพราะ

หลังจากเหตุการณ์นั้น เวลาที่เราต้องไปร้องเพลงที่ไหนเราก็จะรู้สึกอึดอัด เพราะความทุกข์มันเกิดจากการที่เราคุยกับตัวเองว่า ทำไมไม่มีใครฟังเรา ยิ่งได้เจอทัศนคติจากคนในงานจำพวกที่ว่า เราเป็นนักศึกษาต้องมาร้องเพลงเพราะที่บ้านเราจน ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความทุกข์ให้กับเราอย่างมาก และทำให้เกิดคำถามในใจเวลามีคนมองตอนที่เราร้องเพลงว่า ‘เขาจะดูชุดเราหรือเปล่า’ ‘เขาจะหาว่าเราจนไหม’ กลายเป็นว่าตอนนั้นไม่มีความสุขกับการร้องเพลงเลย

แต่พอถึงจุดหนึ่งของชีวิต เราก็ได้กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งเลย ทำไมถึงคิดว่าเราจนเลยต้องมาทำงานพิเศษ แต่ทำไมไม่คิดกลับกันว่าขนาดเราเรียนหนังสือ มีเวลาเท่าเพื่อน แต่เรายังแบ่งเวลาไปทำงานได้ แสดงว่าเราเป็นคนเก่ง

เมื่อเราชื่นชมตัวเองได้ปุ๊บ เราก็ร้องเพลงเพราะขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ศักยภาพที่เรามีมันถูกคำว่า ‘ฉันจน’ กดเอาไว้ ดังนั้นเรามักจะพูดกับทุกที่ที่เราไปบรรยายเสมอว่า “Self Confidence มาทีหลัง Self Esteem” ถ้าเราเคารพตัวเองได้ ชื่นชมตัวเองเป็น ความมั่นใจก็จะตามมา แล้วจะอยู่ตรงไหนเราก็มีความสุขได้ เพราะเรามั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ

จากนักเรียนสู่ครูผู้ยึดหลักการเรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน

หลังจากจบปริญญาโท คุณเริ่มชีวิตการสอนตั้งแต่เมื่อไร

พอเรียนจบปริญญาโทเราก็สมัครเป็นอาจารย์พิเศษในคณะเลย แต่ระหว่างการรอพิจารณา เราได้รับเชิญให้ไปร้องเพลงในพรรคการเมืองหลายๆ พรรค จนวันหนึ่ง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ได้ชักชวนให้เราไปสอนที่โรงเรียนการเมืองแห่งหนึ่งของท่าน แต่ไม่ได้สอนเรื่องการเมืองนะ เราไปสอนเรื่องการใช้เสียงสำหรับคนที่จะก้าวสู่อาชีพนักการเมือง ซึ่งนี่ถือเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้สอนอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

หลังจากนั้นไม่นาน ภาควิชาวาทวิทยาฯ ก็อนุมัติให้เราได้เป็นอาจารย์พิเศษที่คณะ เราในตอนนั้นซึ่งอายุ 23 ปี ก็สะสมประสบการณ์จากช่วงที่เป็นอาจารย์พิเศษ จนพอถึงเวลาที่คณะเปิดรับสมัครอาจารย์ประจำ เราก็สมัครสอบเข้าไป และได้บรรจุในสาขาวาทวิทยาฯ คณะนิเทศศาสตร์ อย่างเป็นทางการตอนอายุ 25 ปีพอดี

แล้วครูสุกัญญาเมื่ออายุ 23 ปี เป็นครูแบบไหน

กลัวนักเรียน แล้วเราก็จะเตรียมทุกอย่างล่วงหน้าแบบเป๊ะๆ จดทุกอย่างที่จะต้องสอนก่อนเข้าห้องเรียน

เราจำคลาสแรกได้เลยว่าเราต้องไปสอนวิชาการบริหารกิจกรรมการฝึกอบรม ซึ่งเป็นคลาสวันศุกร์ เราใช้เวลาว่างวันพุธกับพฤหัสบดี นั่งอ่านหนังสือแล้วพิมพ์สิ่งที่เราจะพูดกับนิสิตทั้งหมดลงในกระดาษ จากนั้นก็จะไปพูดๆ หน้าห้องแบบที่มองแต่ไวท์บอร์ดตลอดเวลา จนมีนิสิตคนหนึ่งชื่อชิดชล อายุเท่ากันกับเราด้วย เขาจะชอบพูดกับเราว่า ครูไม่ต้องเขิน ตั้งแต่สอนมาครูยังไม่มองหน้าพวกเราเลย เราก็สารภาพกับเขาไปว่านี่เป็นการสอนในคลาสครั้งแรกของเรา

หลังจากคลาสแรก พัฒนาตัวเองต่ออย่างไร

เราเริ่มตั้งคำถามว่านิสิตจะมาเรียนทำไม ถ้าเราจะสอนแต่สิ่งที่มีอยู่ในหนังสือที่เขาอ่านเองได้ที่บ้าน จากคำถามนี้ทำให้เราได้ค้นพบว่าวิธีการสร้างการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพคือการสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เกิดการถกเถียง ตัวครูหน้าห้องทำหน้าที่ชวนให้เขาพูดคุยกันและช่วยกันขยี้ความรู้ที่ได้รับมาจากในหนังสือ หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันบนโจทย์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาการเรียน

เราเลยมักจะบอกนิสิตเสมอว่าคุณไม่ได้มีครูเป็นครูแค่คนเดียว แต่คุณมีเพื่อนทั้งคลาสเป็นครูของคุณ เพราะเวลาที่เพื่อนพูดไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ มันก็เป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ดังนั้นการมาเรียนในห้องเรียนของครูจึงไม่ใช่การจดสไลด์ PowerPoint แต่เป็นการมาคุยกัน คิดตามกัน ซึ่งเชื่อเถอะว่าสิ่งนี้มันช่วยสามารถสร้างความเข้าใจได้จริงๆ

แสดงว่าบรรยากาศในห้องเรียนของคุณคงสนุกสนานน่าดู

เราเคยอ่านหนังสือของคุณชัยอนันต์ สมุทวณิช เล่ม เพลินเพื่อรู้ ซึ่งท่านอธิบายไว้ว่าเวลาที่ทำให้มนุษย์เกิดความเพลิดเพลิน การเรียนรู้จะสามารถซึมซับลงไปได้ง่าย และฝังอยู่ในความทรงจำของเขาได้นาน หัวใจของคลาสเราเลยเป็น ‘ความรู้ที่มีความเพลิดเพลินและนำไปใช้ได้จริง’

แต่หลายๆ คลาสเราก็ทิ้งการสอนแบบบรรยายไปไม่ได้หรอก ซึ่งเราจะพยายามแบ่งสัดส่วนให้กับมัน เช่นในคลาสการใช้เสียง เราจะพูดบรรยายแค่ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นก็จะเปิดเวทีให้พูดคุย หรือบางครั้งเราก็นึกสนุกเปิดเพลงลูกทุ่งให้เด็กๆ เต้นกันเพื่อเป็นการวอร์มร่างกาย พอเหนื่อยได้ที่เราก็จะกลับมาสอนเรื่องวิธีการหายใจ คือแทนที่จะให้นิสิตออกกำลังกายแบบธรรมดา เราก็พยายามหาความสนุกเติมลงไปในคลาส

คุณได้ใช้ความสนใจและความถนัดของตัวเอง อย่างเรื่องลิเก หรือการร้องเพลง มาเป็นเครื่องมือการสอนบ้างไหม

ใช้เยอะมาก และสนุกกับการหาตัวอย่างมาสอนมากด้วย เช่น ในวิชาการสื่อสารเชิงสุนทรียะที่ต้องสอนเรื่องไวยากรณ์รูปแบบต่างๆ ในสื่อบันเทิงคดี เรามีชั่วโมงที่พูดถึงความแตกต่างของศิลปะกับความอนาจาร ซึ่งก็จะยกตัวอย่างเพลงอีโรติก โดยยกเอาเพลงเพลงสมัยก่อนมาเป็นบทเรียน แล้วก็ชี้ให้นิสิตเห็นวิธีการใช้ภาษาทำให้เพลงอาจจะฟังดูโป๊ แต่ไม่เปลือย เช่นบางเพลงมีท่อน ‘พี่ไปไถนา’ เราก็จะตั้งคำถามแล้วว่า ‘นา’ คืออะไร ‘การไถ’ คือกริยาอะไร นี่คือวิธีคิดแบบสองชั้นที่เป็นความงามของศิลปะประเภทนี้

แล้วเวลาที่เรายกเพลงอะไรแบบนี้ขึ้นมาเราก็จะร้องให้กับนิสิตฟังไปด้วย หรือถ้ายกกลอนก็จะอ่านเป็นทำนองเสนาะไปเลย เพื่อให้เขาได้รับทั้งรสและเนื้อหาของมัน เช่น ถ้าเราจะพูดถึงรุทรรส (รสแห่งความโกรธในวรรณคดี) ก็จะยกเอากลอนจาก ‘สามัคคีเภทคำฉันท์’ มาเป็นตัวอย่าง

เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร ทุทาษสถุลฉนี้ไฉน ก็มาเปน ฯ

ศึกบถึงและมึงก็ยังมิเห็น

จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด ฯ

อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ

ขยาดขยั้นมิทันอะไร ก็หมิ่นกู ฯ

ซึ่งเราจะท่องให้นิสิตฟังแบบนี้เลย โดยใส่อารมณ์และน้ำเสียงให้เขาได้รับรู้ถึงความโกรธด้วย หรือหากเป็นเรื่องความรัก เราก็จะยก ‘มัทนะพาธา’ มาเป็นตัวอย่าง

“อ้าอรุณแอร่มระเรื่อรุจี ประดุจมโนภิรมย์รตี ณ แรกรัก…” 

หลายครั้งที่พอเราท่องให้เขาฟัง เด็กก็จะสนุกสนานหัวเราะกัน ซึ่งทำให้เห็นว่าการมีทักษะแบบนี้ เราไม่ต้องใช้วิดีโอใดๆ มาเปิดให้เขาดูเลย เพราะเราทำได้ด้วยตัวเอง และเป็นสิ่งที่เราภูมิใจด้วย

อะไรที่ทำให้คุณเลือกเอาสิ่งเหล่านี้มาประกอบการสอนของตัวเอง

มันสนุก เราอยากให้คนมีความสุข อย่างเวลาทำกับข้าวก็อยากให้คนมากินแล้วมีความสุข สอนหนังสือก็เหมือนกัน เราอยากให้การเจอกันของเรากับนิสิตคือความสุข

สิ่งสำคัญเวลานำเอาความชอบของเรามาใช้ในการสอน คือต้องเลือกสิ่งที่คนรุ่นนี้จะเชื่อมโยงได้ด้วย อย่างเพลงลูกทุ่ง มันก็ไม่ได้มีแต่เพลงเก่าๆ มีนักร้องลูกทุ่งรุ่นใหม่ๆ ผลิตผลงานออกมาตลอดเวลา ซึ่งบ่อยครั้ง เด็กๆ ก็จะรู้จักอยู่แล้ว อย่างเพลง เลิกคุยทั้งอำเภอเพื่อเธอคนเดียว หรือ เต่างอย ซึ่งเวลายกเพลงแบบนี้มา เขาก็จะรีเลทได้ง่าย

แต่บางเรื่องเราก็จำเป็นจะต้องยกสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยมาให้เขาได้ทำความรู้จักเหมือนกัน เช่น วรรณกรรมอมตะที่อาจจะดูเชยไปแล้วในสายตาของเขา แต่มันคือความคลาสสิกที่เราจำเป็นจะต้องแนะนำและโน้มน้าวให้เขาได้ทดลองไปอ่าน 

อย่างที่เล่าว่า ‘เราเชื่อในความเพลิดเพลิน’ ฉะนั้นในห้องเรียนเราเลยแทรกสิ่งเหล่านี้ลงไป นอกจากนี้การถามสารทุกข์สุขดิบก่อนเรียน ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้เหมือนกัน เรามักจะชวนนิสิตพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ฟังความคิดเห็น และเปลี่ยนวิธีคิดกับพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะเข้าสู่บทเรียน

แต่เวลาที่เรียนกันจริงจัง เราก็เข้มข้นและเนี้ยบเหมือนกันนะ อย่างเช่น เราจะเน้นการเรียนรู้ด้านภาษาไทยของนิสิตมาก เราจะบอกนิสิตเสมอว่าคุณเป็นนักนิเทศศาสตร์ ภาษาไทยคือหนึ่งในอาวุธของเรา” ฉะนั้นคุณต้องสะกดคำให้แม่น อ่านออกเสียงให้ถูก และรู้จักศัพท์ให้เยอะ เพื่อที่คุณจะได้แพง มีมูลค่า มีมาตรฐานที่ดีที่คนอื่นอาจจะไม่ได้ใส่ใจในตรงนี้

Unique Teacher

ถ้าให้คุณนิยามความ Unique ของตัวเอง ความ Unique นั้นคืออะไร

เราคิดว่าสิ่งที่เรามีคือความเป็นคนใจดี ใจกว้าง และเห็นทุกคนเท่ากัน ทั้งสามอย่างนี้มันอาจจะไม่ได้พิเศษอะไรหรอก ออกจะธรรมดาด้วยซ้ำไป แต่เราคิดว่าความธรรมดานี้แหละที่ทำให้เรา Unique และแตกต่างจากคนอื่น

ความใจดีในที่นี้ไม่ใช่การสปอยล์ลูกศิษย์นะ แต่มันคือการเข้าใจความแตกต่างของคน เราจะไม่ไปหงุดหงิดหรือรู้สึกร้อนใจกับคนที่คิดไม่เหมือนกับเรา ซึ่งพอเป็นแบบนี้เราจะสามารถเข้าใจตัวลูกศิษย์ได้มากขึ้น เช่นถ้าเราถ่ายทอดออกไปแล้วมีคนที่ไม่รับ ไม่ตั้งใจฟัง เราก็จะไม่หงุดหงิดเพราะเราเข้าใจว่าเขาก็อาจจะมีความชอบอื่นเป็นของตัวเองที่ไม่ตรงกับสิ่งที่เราสอน พอคิดได้แบบนี้เราก็ไม่ทุกข์ คนเรียนก็ไม่ทุกข์

อยากให้คุณลองเลือกคีย์เวิร์ดมาหนึ่งคำ ที่คิดว่าสะท้อนตัวตนของคุณได้ดีที่สุด

คิดว่าเป็นคำว่า ‘ตั้งใจ’ เพราะง่ายๆ เลย คือเราเป็นคนที่มีความตั้งใจในการทำสิ่งต่างๆ มาก เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้ได้เพราะความตั้งใจ แม้ในช่วงเวลาที่ลำบากอย่างในในวัยเด็ก เราก็จะตั้งเป้าไว้เสมอว่าเราจะดีขึ้น เราจะแก้ไขมันให้ดีกว่านี้ แล้วเราก็จะลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน

จริงๆ มีอีกคำที่อยากเลือกคือคำว่า ‘กระบวนการ’ เราเชื่อว่าการเดินไปสู่ความสำเร็จจะต้องอาศัยกระบวนการที่ดี แต่ถึงเรามีกระบวนการที่ดี แต่ขาดความตั้งใจมันก็อาจจะเกิดขึ้้นได้ยาก เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เราเลือกว่าจะทำ แม้มีพลาดบ้าง สำเร็จบ้าง ก็ไม่เป็นไร เราตั้งมั่นว่าจะตั้งใจทำไปเรื่อยๆ ก็พอ

เพราะพอเราตั้งใจ มันก็จะทำให้เรามีสติ มีความรับผิดชอบ และมีวินัย 

Tags:

ลิเกดนตรีทักษะการสื่อสาร(Communication Skill)สุกัญญา สมไพบูลย์ศิลปะการแสดง

Author:

illustrator

คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์

นักเขียนอิสระ ที่กำลังสนใจเรื่องเกษตรอินทรีย์และการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Creative learning
    ‘บอร์ดเกม’ เปลี่ยนห้องเรียนแสนน่าเบื่อให้กลายเป็นสนามสนุกคิด: โรงเรียนวัดวังเรือน จังหวัดพิจิตร

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    อานันท์ นาคคง: เรียนมานุษยวิทยาดนตรีผ่านงานวัด งานประเพณี ถกเพลงประเทศกูมีในห้องเรียน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Space
    ปัตตานี ดีโคตร: เดินเล่นในย่านส่วนตัว แต่เรียนรู้แบบส่วนรวม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Creative learningCharacter building
    นาฏลีลาผสานกลองปูจา เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ

    เรื่อง

  • Creative learningCharacter building
    ฟ้อนก๋ายลาย VS ตีกลองสะบัดชัย: แทคทีมโยงใจละอ่อนสู่ชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

New normal การศึกษา คือการให้ผู้เรียนนำพาการเรียนรู้ด้วยตัวเอง
Education trend
30 April 2020

New normal การศึกษา คือการให้ผู้เรียนนำพาการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  •  หลังโควิด-19 ในประเด็นการศึกษาคาดการณ์ว่าการเรียนรู้ด้วยตัวเองอาจกลายเป็น New normal ของสังคม ผู้ปกครองจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่องการจัดการศึกษา สิ่งที่ตามคือการปรับตัวของผู้ปกครองและครูที่ต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงแก่นแท้และเป้าหมายของการศึกษาแต่ละรูปแบบ แล้วหยิบใช้จุดแข็งของการศึกษาแต่ละรูปแบบอย่างเหมาะสมกับความแตกต่างของเด็กแต่ละคน 
  • บทความนี้ชวนหาความเป็นไปได้ใหม่ในการจัดการเรียนรู้ผ่านการนำเสนอแนวคิดการจัดการศึกษาสองแบบ คือ การศึกษาพิพัฒนาการ (Progressive Education) และการศึกษาด้วยตัวเอง (Self-Directed Education)
  • ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้แบบ Progressive Education หรือ Self-Directed Education สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้เลย คือ เด็กแต่ละคนมีความสนใจเรียนรู้แตกต่างกันตามธรรมชาติ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เด็กทุกคนจะสนใจเรียนเรื่องเดียวกัน ในห้องเรียนเดียวกัน ชั่วโมงเรียนเดียวกัน แม้อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน

เด็กแต่ละคนมีคาแรกเตอร์ ความถนัด และความสนใจแตกต่างกัน การศึกษาเองก็มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการศึกษาตามระบบมาตรฐานในโรงเรียนทั่วไป ที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมาตลอดว่าปิดกั้นการเรียนรู้ของเด็กเพราะเต็มไปด้วยกรอบและการประเมินตามตัวชี้วัดที่ไม่ได้วัดศักยภาพที่แท้จริงของเด็กแต่ละคน แต่เป็นการวัดแบบเหมาโหลตามหลักเกณฑ์ที่ถูกกำหนด 

หลายครอบครัวตัดสินใจส่งลูกเข้าโรงเรียนทางเลือก หรือหันมาโฮมสคูลสอนลูกๆ ด้วยตัวเองตามกำลังทรัพย์ เวลา และศักยภาพ แต่หลายครอบครัวไม่ได้มีโอกาสเช่นนั้น 

ที่ผ่านมา The Potential ได้นำเสนอแนวทางการศึกษาที่มีความแตกต่างและหลากหลาย เพื่อฉายภาพและจุดประกายให้เห็นว่าภายใต้ระบบการศึกษาที่ยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ผู้ปกครองและครูช่วยสร้างแสงสว่างให้ลูกหลานของท่านได้โดยไม่ต้องรอ และไม่จำเป็นต้องมีกำลังทรัพย์มหาศาล แต่หัวใจสำคัญคือ ผู้ปกครองและครูต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงแก่นแท้และเป้าหมายของการศึกษาแต่ละรูปแบบ แล้วหยิบใช้จุดแข็งของการศึกษาแต่ละรูปแบบอย่างเหมาะสมกับความแตกต่างของเด็กแต่ละคน 

ครั้งนี้เราจะมาอธิบายความแตกต่างระหว่าง การศึกษาพิพัฒนาการ (Progressive Education)  กับ การศึกษาด้วยตนเอง (Self-Directed Education) ที่มีเป้าหมายและความคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย

 

Progressive Education

Progressive Education เป็นคำที่ใช้เรียกการปฏิรูปการศึกษาที่เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ราวปี 1890-1940 เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาได้วางระบบการศึกษาภาคบังคับ ใช้ทั่วประเทศ

จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) และมาเรีย มอนเตสซอรี (Maria Montessori) คือนักคิดและนักการศึกษาในกลุ่มนี้ ภายหลังแนวคิดของพวกเขาได้เป็นต้นแบบของโรงเรียนวอลดอร์ฟและโรงเรียนมอนเตสซอรีทั่วโลก

progressive Education เน้นการเรียนรู้จากการลงมือทำ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ อย่างลึกซึ้งแทนการท่องจำ เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวและจากประสบการณ์ชีวิต ให้ความสำคัญกับการคิดวิเคราะห์ (critical thinking) การทำงานกลุ่มที่ไม่ใช่การแข่งขัน วัดประเมินโดยไม่ใช้แบบทดสอบ ส่งเสริมให้เด็กมีความรับผิดชอบต่อสังคม (social responsibility) ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น (democratic attitudes) และไม่ละเลยเรื่องความยุติธรรมทางสังคม (social justice)

การเรียนรู้ลักษณะนี้ ครูมีบทบาทสำคัญเพราะจะต้องทำความรู้จักและเข้าใจเด็กแต่ละคน แล้วดึงศักยภาพที่ดีที่สุดของพวกเขาออกมา

Progressive Education จึงเป็นการออกแบบการสอนที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของทั้งนักเรียนและครู นักเรียนเป็นต้นคิดนำเสนอไอเดีย มีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้การเรียนรู้ที่ออกแบบขึ้นมานั้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ และ “การเล่น” เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่เป้าหมายแต่ละเรื่องที่วางไว้

เว็บไซต์ Progressive Education Network องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 เพื่อเผยแพร่แนวคิดการศึกษาพิพัฒนาการ กล่าวว่า

“การศึกษาต้องเป็นกระบอกเสียงให้นักเรียน ทำให้นักเรียนมีสติปัญญาสร้างสรรค์โลกที่มีความเท่าเทียมกันและมีความยั่งยืน การศึกษาจะต้องส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมทั้งในห้องเรียน สังคม และโลก ตอบสนองพัฒนาการของผู้เรียน มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีพัฒนาการที่ดีทั้งทางสังคม อารมณ์ สติปัญญา ความรู้และวัฒนธรรม 

การศึกษาจะต้องบ่มเพาะคุณลักษณะตามธรรมชาติของนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นความอยากรู้อยากเห็น ความต้องการเรียนรู้ สร้างเสริมแรงจูงใจจากภายใน เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบสิ่งที่ตัวเองหลงใหลและเป้าหมายในชีวิต ทำให้ผู้เรียนยอมรับและเข้าใจความต่าง ทั้งความสนใจ ประสบการณ์ เป้าหมาย และความต้องการในชีวิต และการศึกษาจะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนเคารพซึ่งกันและกัน มีความเห็นอกเห็นใจกัน โดยไม่แบ่งแยก”

Self-Directed Education

การศึกษาที่เน้นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เชื่อในศักยภาพตามธรรมชาติของเด็ก ความสนใจใคร่รู้สิ่งรอบข้าง แล้วหาทางเรียนรู้จากทรัพยากรต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัว เชื่อว่าความเก่งกาจของผู้เรียนมาจากตัวของผู้เรียนเอง บทบาทของครูในรูปแบบการเรียนรู้ด้วยตัวเองจึงมีน้อยกว่าการศึกษาพิพัฒนาการ

เว็บไซต์ Alliance for Self-Directed Education ที่นำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยตัวเอง อธิบายว่า ครูและผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะด้าน ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในทุกเรื่องที่ผู้เรียนสนใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน และไม่จำเป็นต้องเข้าใจความคิดและจิตใจของเด็กอย่างลึกซึ้ง

เพียงแค่ต้องมั่นใจว่าเด็ก/ผู้เรียน ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้สัญชาตญาณการเรียนรู้ตามธรรมชาติของเด็กเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการให้พื้นที่และเวลาในการเล่นและสำรวจสิ่งรอบตัวได้อย่างไม่จำกัด ช่วยให้เด็กเข้าถึงเครื่องมือที่มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้ ได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางชุมชนและผู้คนหลากหลายวัยแล้วเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นทักษะ ความรู้และไอเดียต่างๆ รวมทั้งควรให้ผู้เรียนอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีผู้ใหญ่พร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนในสิ่งที่พวกเขาสงสัย

หากผู้ปกครองและครูมีความเข้าใจก็จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ได้ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน โดยเฉพาะสำหรับนักเรียนระดับมัธยมปลายขึ้นไปที่กำลังครุ่นคิดกับตัวเอง ถึงความชอบ ความสนใจ ความถนัดและการวางเป้าหมายชีวิต เพื่อตัดสินใจเรียนต่อในระดับสูง

ซัดบูรี วัลเลย์ สคูล (Sudbury Valley School) (ลิงค์ https://sudburyvalley.org/) เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่อำนวยการสอนให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตัวเอง ก่อตั้งขึ้นมากว่า 50 ปี แต่ละชั้นหรืออาจต้องพูดว่าแต่ละกลุ่มผู้เรียน ประกอบด้วยผู้เรียนที่มีอายุหลากหลายตั้งแต่ 4-19 ปีเรียนรู้ร่วมกัน ผู้เรียนฝึกฝนทักษะ แลกเปลี่ยน ไอเดีย เล่น สำรวจ ค้นคว้า ในสิ่งที่ตนเองสนใจ ในขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้จากคนอื่น

ความต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่าง Progressive Education และ Self-Directed Education คือ “ครู” ในการศึกษาพิพัฒนาการ (Progressive Education) ครูจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากเพราะครูทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์และช่วยเสริมแนวทางการเรียนรู้ที่เหมาะสมให้นักเรียนแต่ละคน ส่วนการศึกษาด้วยตัวเอง (Self-Directed Education) เน้นให้ “ผู้เรียน” คิด ลงมือทำและเรียนรู้อย่างอิสระบนความเชื่อว่า มนษย์ถูกออกแบบให้มีคุณลักษณะที่ช่วยนำทางการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เป็นพลังขับเคลื่อนตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในดีเอ็นเอ (DNA) ของทุกคน 

ดร. ปีเตอร์ เกรย์ (Peter Gray) ศาสตราจารย์แห่งวิทยาลัยบอสตัน ผู้เขียนหนังสือ Free to Learn  และ Psychology และเป็นผู้เขียนบทความเรื่อง Differences Between Self-Directed and Progressive Education (ความแตกต่างระหว่าง การศึกษาด้วยตัวเอง และ การศึกษาพิพัฒนาการ) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเขาสนับสนุนการศึกษาด้วยตัวเอง หลังเขาให้นิยาม ข้อดีข้อด้อยของการศึกษาทั้งสองประเภท เขาให้ความเห็นส่วนตัวไว้ในบทความชิ้นนี้อย่างน่าสนใจ ตอนหนึ่งว่า… 

ตลอดชีวิตการทำงาน เขาพบเจอกับครูที่สนับสนุนการศึกษาพิพัฒนาการหลายคนมาก ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ใส่ใจผู้เรียนอย่างลึกซึ้งแท้จริง อยากเห็นเด็กคนหนึ่งเติบโตอย่างสมบูรณ์เต็มพร้อม ทั้งรู้ว่าข้อจำกัดในระบบการศึกษาเป็นอย่างไรและรู้ว่าด้วยการศึกษาพิพัฒนาการจะแก้ไขข้อบกพร่องนั้นได้อย่างไรบ้าง ครูที่สนับสนุนการศึกษาพิพัฒนาการส่วนมาก มักเป็นแนวหน้าของการปฏิรูปการเรียนรู้เลยก็ว่าได้ การออกแบบการเรียนรู้ของครูกลุ่มนี้จะให้การบ้านน้อยมากเพื่อผู้เรียนจะมีชีวิตนอกห้องเรียนที่มากขึ้น ลดการประเมินเชิงตัวเลข ออกแบบการทำงานของครูให้ยืดหยุ่นขึ้น และเพื่อให้ครูตอบรับความต้องการของเด็กแต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น เกรย์บอกว่านี่เป็นจุดที่ทำให้เขาเคารพการทำงานและจิตใจของครูสายนี้ 

กระนั้น เกรย์คิดว่านี่คือสนามต่อสู้ทางการศึกษา และจะต้องต่อสู้ (ทางความคิดและการปฏิบัติ) ต่อไปตราบเท่าที่การศึกษายังมี ‘มาตรฐาน’ บางอย่างให้ไปถึง ซึ่งเกรย์เห็นว่า มันยากเกินไป มันมี ‘ชุดมาตรฐาน’ และ ‘ชุดความเชื่อ’ เกี่ยวกับการศึกษามากเกินไป 

เกรย์ให้เหตุผลว่า เพื่อไปให้ถึงชุดมาตรฐานที่ว่า มันเป็นงานหนักของครูอย่างมากที่ต้อง ‘ทำให้มั่นใจ’ ว่าผู้เรียนจะเรียนรู้อย่างถูกต้อง ถูกเวลา ไม่ว่าความก้าวหน้าที่ครูคิดว่าเด็กๆ ต้องไปถึงคืออะไร แต่ครูจะก้มหน้าก้มตาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้เรียนไปถึงจุดนั้น แต่ด้วยบริบทแบบนี้ เด็กๆ จะไม่ได้พัฒนา ‘โดยธรรมชาติ’ และไม่ได้พัฒนาโดยความสนใจของพวกเขาเอง 

เกรย์บอกว่าในความเป็นจริง ครูทุกคนตั้งใจทำงาน รักและหวังดีกับผู้เรียน อยากทำตามชุดมาตรฐานที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม เมื่อครูเผชิญหน้ากับห้องเรียนจริง ที่ซึ่งพวกเขาดูแลเด็ก 30 คน ต้องทำตามแผนที่วางไว้เพื่อให้มั่นใจว่าการเรียนรู้ที่เตรียมไว้กำลังดำเนินอยู่ เมื่อนั้น เกรย์บอกว่า ‘การศึกษาพิพัฒนาการ’ อาจกระโดดออกจากหน้าต่างห้องเรียนไปเมื่อไรไม่รู้แล้วก็ได้ 

ที่ยกความเห็นของเกรย์ขึ้นมาเพื่ออยากชวนคิดอย่างนี้ว่า …ในเวลาที่ผู้ปกครองอาจต้องขยับเป็นส่วนหนึ่งในคนจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน ของบุตรหลานตัวเอง ข้อดีที่เกรย์พยายามจะโน้มน้าวให้เห็น คือ การเรียนรู้ด้วยตัวเอง เป็นคีย์เวิร์ดสำคัญ และ อยากให้เห็นว่า ภายใต้ระบบการศึกษาที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังปฏิวัติอุตสาหกรรม เราได้กำหนดชุดมาตรฐาน ที่มันรัดรึงและเครียดขึงกับเด็กเกินไปรึเปล่า 

ในเวลานี้ ผู้ปกครองลองดูข้อดีข้อเสียของแต่ละด้าน เลือกเชื่อ และลองมาปรับใช้กับตัวเองได้ 

สำหรับประเทศไทย แม้ปัจจุบันมีโรงเรียนทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น แต่อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าด้วยสภาพสังคมและข้อจำกัดหลายด้าน เด็กส่วนใหญ่ในประเทศยังเข้าถึงแค่การศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนตามระบบ แต่ในโลกปัจจุบันที่การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเปิดกว้าง ความเข้าใจระบบการศึกษาตามกรอบมาตรฐานเดิมไม่สามารถขจัดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อีกต่อไป… 

ความรู้และความเข้าใจของ “ผู้ปกครอง” และ “ครู” ที่มีต่อการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบต่างหาก ที่จะช่วยสร้างโอกาสให้กับลูกหลานได้ทันที

ความเชื่อและความเข้าใจว่าการเรียนคือการแข่งขัน เด็กจะเรียนรู้ได้ก็ต่อเมื่อถูกผลักดัน การสอบเป็นการวัดศักยภาพของนักเรียน ครูและโรงเรียน ครูต้องรักษาวินัยในห้องเรียนอย่างเข้มงวด และครอบครัวยังให้ความสำคัญกับการสำเร็จการศึกษาและใบปริญญาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเท่านั้น เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการเรียนรู้ของเด็ก 

หรือแม้แต่ความเชื่อที่ว่าผู้ปกครองและครูมีบทบาทต่อการช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็ยังมีจุดอ่อน เพราะนั่นอาจนำมาสู่การกำหนดกรอบหรือบังคับให้เด็กๆ เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่ตัวเขาเองอยู่ดี

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้แบบ Progressive Education หรือ Self-Directed Education สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้เลย คือ เด็กแต่ละคนมีความสนใจเรียนรู้แตกต่างกันตามธรรมชาติ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เด็กทุกคนจะสนใจเรียนเรื่องเดียวกัน ในห้องเรียนเดียวกัน ชั่วโมงเรียนเดียวกัน แม้อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน ดังนั้น การออกแบบหลักสูตรหรือออกแบบห้องเรียนในระบบให้เด็กๆ เรียนรู้แบบเหมารวมจึงไม่ใช่คำตอบ

ในยุคที่ new normal จะเกิดขึ้นนี้ เป็นไปได้ไหมว่าเราจะใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงการจัดการศึกษาในระบบการศึกษาไทย ขบคิดว่าการจัดการศึกษาที่ให้ผู้เรียนนำพาการเรียนรู้ของตัวเองได้ควรเป็นอย่างไร

อ้างอิง
psychologytoday.com
privateschoolreview.com
montessori.org
greatschools.org

Tags:

ระบบการศึกษาการเรียนรู้ด้วยตัวเอง(self-directed learning)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • 21st Century skills
    Learning Analytic ระบบวิเคราะห์สไตล์การเรียนรู้เฉพาะบุคคล ช่วยครูวิเคราะห์แผนการสอนว่ากำลังถ่ายทอดทักษะอะไรให้ผู้เรียน: นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ (2)

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีเพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • Social IssuesLearning Theory
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning TheorySocial Issues
    STUDY FROM HOME รวมคอร์สเรียนออนไลน์ในและต่างประเทศ และแพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนสำหรับครู

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Creative learningLearning Theory
    ชวนพ่อแม่มาเป็นครู สอนวิชาที่เด็กๆ ชอบและไม่มีอยู่ในตำรา โรงเรียนบ้านควนเก จังหวัดสตูล

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

เส้นทางการหนีออกนอกห้องเรียน สู่ผู้สร้างโรงเรียนเพื่อเด็กชนเผ่า ‘โจ๊ะมาโลลือหล่า’ ของ‘ครูนิด-อรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์’
Creative learning
27 April 2020

เส้นทางการหนีออกนอกห้องเรียน สู่ผู้สร้างโรงเรียนเพื่อเด็กชนเผ่า ‘โจ๊ะมาโลลือหล่า’ ของ‘ครูนิด-อรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์’

เรื่อง วิภาดา แหวนเพชร ภาพ ธีระพงษ์ สีทาโส

  • ว่าด้วยการหนีออกนอกห้องเรียน เพื่อการกลับมาออกแบบและสร้างโรงเรียนเจ๋งๆ โรงเรียนแห่งวิถีชีวิตในป่าใหญ่ของ ‘ครูนิด อรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์’ ผู้ก่อตั้งโรงเรียน ‘โจ๊ะมาโลลือหล่า’ โรงเรียนเพื่อเด็กๆ ชนเผ่าที่ขาดโอกาสทางการศึกษา แห่งบ้านสบลาน อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่
  • ที่นี่ ‘การเรียนรู้ต้องสอดคล้องกับปฏิทินชุมชน’ แบ่งภาคการศึกษาตามกิจกรรมสำคัญของชุมชน
  • ก่อนจะสร้างโรงเรียน ครูนิดใช้เวลาเกือบครึ่งปีเข้ามาอยู่กับชาวบ้าน เรียนรู้ทำความเข้าใจวิถีชุมชน จนสามารถออกแบบโรงเรียนที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนในป่าได้ โดยตั้งวงคุยกันในหมู่บ้านเพื่อหาความต้องการคนในพื้นที่ เมื่อพบว่าชาวบ้านต้องการให้เด็กๆ มีการศึกษา สามารถสื่อสารกับคนภายนอกและหาเลี้ยงชีพได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ครูนิดจึงเริ่มจัดตั้งโรงเรียนและจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีชุมชน

เป็นความปรารถนาของชีวิตที่อยากเขียนเล่าเรื่องราวของ ‘ครูนิด อรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์’ ผู้ก่อตั้งโรงเรียน ‘โจ๊ะมาโลลือหล่า’ โรงเรียนเพื่อเด็กๆ ชนเผ่าที่ขาดโอกาสทางการศึกษา แห่งบ้านสบลาน อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่

ไม่เพียงเพราะสิ่งที่ครูนิดทำนั้นมันยิ่งใหญ่ ที่ยอมทิ้งชีวิตในเมืองไปสร้างโรงเรียนในป่าเพื่อเด็กๆ นานกว่า 10 ปี แต่ ‘ความเป็นครูนิด’ ที่เราได้รู้จักเป็นการส่วนตัวมายาวนานนั้นทำให้เราได้เห็นจริงๆ ว่าหัวใจของครูนิดนั้นยิ่งใหญ่ (มาก) จึงอยากเล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ พร้อมทั้งถอดบทเรียนการทำโรงเรียนที่สอดคล้องกับวิถีชุมชนสำหรับทุกคนที่กำลังสนใจ

นี่คือเรื่องราวการหนีออกนอกห้องเรียน การกลับมาออกแบบห้องเรียน และการสร้างโรงเรียนเจ๋งๆ ในป่าใหญ่ของผู้หญิงที่มีหัวใจความเป็นครูคนหนึ่ง

หนีออกนอกห้องเรียน

เส้นทางการเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนของครูนิดนั้นเริ่มจากการลาออกจากโรงเรียนมาสร้าง ‘ห้องเรียน’ ของตัวเองตั้งแต่อายุ 16 ปี…

“เราพูดได้เต็มปากเลยว่าเราเติบโตมาจากการเรียนในระบบไม่รอด ตอนเรียนอยู่เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะเรียนไปเพื่ออะไร มนุษย์เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แต่มันไม่มีคำตอบ ไม่ใช่… เราเรียนแบบนั้นไม่ได้ เราไม่เจอการเรียนที่ตอบความหมายชีวิตเลย เราเลยหนีออกจากห้องเรียนตลอดเวลา

“พอหนีออกจากห้องเรียนบ่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่าไร้แก่นสาร อยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้ เลยเริ่มวางแผนตั้งแต่ ม.3 ที่จะลาออก ทำแผนการเรียนรู้ของตัวเองว่าออกไปจะเรียนอะไร เรียนแบบไหน เรียนกับใคร แล้วเอาแผนการนี้ไปบอกพ่อแม่ ซึ่ง 35 ปีที่แล้วมันยากนะที่จะบอกพ่อแม่ว่าขอออกจากโรงเรียนมาเรียนเอง แต่สุดท้ายท่านก็เข้าใจ”

คำถามสำคัญที่ครูนิดใช้สร้างห้องเรียนของตัวเองนั่นคือ ‘เป้าหมายชีวิตของฉันคืออะไร’ แล้วก็พบว่าตัวเองอยากประกอบอาชีพสายศิลปะ จึงไปค้นหาข้อมูลเส้นทางอาชีพและวางเป้าหมายระยะสั้นคือการสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากร ครูนิดออกแบบการเรียนรู้ของตนเองที่จะตอบโจทย์เป้าหมาย โดยแบ่งเวลาสำหรับอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ ฝึกทำงานศิลปะหลากหลายแขนงด้วยตนเองและเรียนจากติวเตอร์ เรียนว่ายน้ำเพื่อผ่อนคลาย รวมถึงเรียนรู้ทักษะการติดต่อสื่อสารซึ่งเป็นทักษะที่เธอไม่ถนัด จากเด็กที่เคยหมดไฟในห้องเรียนกลายเป็นเด็กที่ไฟในการเรียนรู้ลุกโชน 

และไฟดวงนั้นก็นำพาให้เธอสอบติดมหาวิทยาลัยศิลปากรตั้งแต่อายุ 17 ปี

กลับมาฝึกฝนออกแบบห้องเรียน

หลังจากเรียนจบที่ศิลปากรครูนิดก็ได้ทำงานในสายศิลปะสมใจ ทั้งงานละครเวที ตัดต่อภาพยนตร์ ล้างฟิล์ม ปั้นเซรามิก จนโชคชะตาพามาเจอ ‘โรงเรียนรุ่งอรุณ’ โรงเรียนที่สอนวิชา ‘ออกแบบห้องเรียน’ ให้ครูนิดแบบถึงแก่น

“เราทำละครเวทีและเซรามิกมาสักพักจนท้องแก่ ตอนนั้นมันเกิดความรู้สึกอยากเลี้ยงลูกเอง อยากดูแลลูกและสร้างการศึกษาให้เขา เราเลยไปทำโฮมสคูลที่นครปฐมให้ลูกได้อยู่กับธรรมชาติ แต่ปรากฏว่าลูกเราเป็นทาร์ซานมาก เค้าไม่เอาใครเลยนอกจากมดกับแมลง เราเลยเริ่มคิดว่าถ้าเขาอยู่ในสังคมไม่ได้คงลำบาก เลยเริ่มมองหาสังคมที่เหมาะกับเขาก็นึกถึงรุ่งอรุณนี่แหละ พอพาลูกไปสมัครเรียนอาจารย์ประภาภัทร นิยม ก็รับทั้งแม่ทั้งลูก ให้ลูกไปเรียน ให้แม่มาสอน

“เราได้อะไรจากรุ่งอรุณเยอะมากจากการทำงานที่นี่ 10 ปี ที่นี่ทำให้เรามีเวลาทบทวนตัวเองว่าเราสร้างการเรียนรู้มาให้ตัวเองได้ยังไง และเราจะจัดกระบวนการเรียนรู้ยังไงให้มันสอดคล้องกับการเรียนรู้ของมนุษย์

เราพบว่าจริงๆ มนุษย์เรียนรู้จากสิ่งที่มีความหมายกับชีวิต คือถ้ามนุษย์รู้ว่าสิ่งที่เรียนมีความหมาย เขาจะรู้สึกถึงคุณค่าของมัน จะสนใจมัน และเขาจะเรียนรู้มัน อันนี้คือประตูแรกของการเรียนรู้ ดังนั้นเราต้องเปิดประตูนี้ให้ได้ 

“เราก็พยายามเปิดด้วยกิจกรรมและวิธีการที่หลากหลายให้เข้ากับการเรียนรู้ของมนุษย์หลายๆ รูปแบบ อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือการเรียนรู้อะไรก็ตามมันต้องอยู่ในชีวิต เพราะถ้าไม่อยู่ในชีวิตมันเชื่อมตัวเองไม่ได้”

ครูนิดเล่าว่าพื้นฐานการสร้างโรงเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่าเพื่อเด็กชนเผ่า มาจากการเป็นอาจารย์ประจำชั้นห้องเรียนเด็กพิเศษระดับมัธยมศึกษาของโรงเรียนรุ่งอรุณ เพราะเป็นห้องเรียนที่รวมมิตรนักเรียนผู้มีความหลากหลายและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนครูนิดต้องบูรณาการทุกวิธีการสอนและทุกองค์ความรู้เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่มีความหมาย จนทำให้เด็กๆ เติบโตได้อย่างงดงามในแบบฉบับของตัวเขาเอง

“ตอนนั้นเราอ่านหนังสือเยอะมาก เรียกว่าทุกสำนักที่เขาว่าดีเกี่ยวกับการศึกษาเราอ่านหมด พอนักเรียนมันรวมมิตรขนาดนี้ เราเลยจัดการเรียนรู้โดยใช้ชีวิตของเด็กเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่วิชาการเป็นตัวตั้ง เราต้องเป็นผู้จัดการหรือผู้เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ ต้องเข้าใจทุกคนว่าใครถนัดอะไร พิเศษยังไง ใครเรียนร่วมกับใครได้ เราบูรณาการวิชาการเข้าไปในกิจกรรมต่างๆ เช่น ทุกวันที่อยู่ด้วยกันต้องทำอาหาร เด็กๆ ก็จะได้ฝึกกระบวนการตัดสินใจ การคิด การออกแบบ คณิตศาสตร์ด้วยการจ่ายตลาด ชั่ง ตวง วัด เขาได้เรียนเข้าไปในชีวิตเขาเลย…การดูแลเด็กห้องนี้ไปนานๆ เป็นฐานความรู้ใหญ่ในการสร้างโจ๊ะมาโลลือหล่าจริงๆ”

10 ปีผ่านไป…โรงเรียนรุ่งอรุณมีกิจกรรมพิเศษคือการนิเวศภาวนาสำหรับบุคลากรในโรงเรียน เป็นพิธีกรรมที่ทุกคนจะได้อยู่คนเดียวในป่า 1 วัน 1 คืน เพื่อภาวนาและอยู่กับตนเอง พิธีกรรมนี้เองที่พาครูนิดมารู้จักชุมชนปกาเกอะญอแห่งบ้านสบลาน

พิธีกรรมนี้เองที่ทำให้ครูนิดได้ยินเสียงเรียกของชีวิตตัวเอง… 

สู่โรงเรียนแห่งวิถีชีวิตในภูเขา

“เราเข้าไปอยู่ในป่าที่สบลาน 1 วัน 1 คืน ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือน เราไปเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ขณะหนึ่งเรานั่งอยู่บนก้อนหินริมแม่น้ำแล้วรับรู้ได้ถึงลวดลายของก้อนหิน พอลงในน้ำก็เห็นลวดลายของน้ำ พอมองท้องฟ้าก็เห็นลวดลายของฟ้า แล้วก็พบว่ามันมีลวดลายนั้นบนตัวเรา เราเลยรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ มีจังหวะหนึ่งที่รู้สึกว่ามันไม่มีตัวเราแล้ว เหมือนเราอยู่ในทุกที่ในธรรมชาติ จังหวะนั้นมันเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่อยากดูแลปกป้องธรรมชาติ และเกิดความรับรู้ที่พิเศษที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนคือเรื่องต้นน้ำกับปลายน้ำ แม่น้ำที่สบลานมันไหลไปถึงเจ้าพระยา นี่คือแม่น้ำที่ทำให้ชีวิตเราอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ และที่มันยังอยู่ได้ก็เพราะคนต้นน้ำคือชาวบ้านช่วยกันรักษาให้เราเป็นอย่างดี ตอนนั้นมันเกิดจิตสำนึกที่ไม่ใช่การคิด แต่รู้สึกอย่างแรงกล้าที่หัวใจที่อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อป่า 

พอออกมาจากป่าเจอชาวบ้าน พูดคุยกับชาวบ้าน ก็รับรู้ปัญหาว่าเขาไม่มีโรงเรียนในพื้นที่นี้ พอเด็กถูกส่งไปเรียนข้างนอกก็ไปไม่ค่อยรอด กลับมาอยู่ชุมชนก็ไม่สามารถทำงานในพื้นที่ตัวเองได้ ช่วงปีนั้นมีข่าวเด็กชนเผ่าที่อมก๋อยฆ่าตัวตายพร้อมกัน 6 คน ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนสืบเข้าไปพบว่ามันคือปัญหาที่เด็กชาวเขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีที่ยืน มันสะเทือนใจเรามาก

“พอหัวหน้าหมู่บ้านสบลานมาขอความช่วยเหลือจากโรงเรียนรุ่งอรุณให้ช่วยทำโรงเรียนเพื่อเด็กๆ ชนเผ่า เราก็เลยอาสาไปเลยเพราะอยากใช้ชีวิตสงบๆ ไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะมีใครสนับสนุนมั้ย จนสุดท้ายก็ได้โรงเรียนรุ่งอรุณซัพพอร์ตเงินเดือนและช่วยสร้างอาคาร เราก็เลยลุยเลย สร้างโจ๊ะมาโลลือหล่าขึ้นมา”

เด็กๆนักเรียนกำลังเล่นกันในวันก่อนสอบ เด็กคนหนึ่งกำลังกระโดดขาเดียวบนตารางที่ขีดเส้นไว้บนพื้น มีเด็กคนอื่นๆนั่งเชียร์เพื่อน เด็กคนถือลูกบอล รอเล่นกับเพื่อน

ก่อนจะสร้างโรงเรียนนั้น ครูนิดใช้เวลาเกือบครึ่งปีในการเข้ามาอยู่กับชาวบ้านเพื่อเรียนรู้ทำความเข้าใจวิถีชุมชน จนสามารถออกแบบโรงเรียนที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนในป่าได้ โดยเป้าหมายในการทำโรงเรียนนั้นเกิดจากการตั้งวงคุยกันในหมู่บ้านเพื่อหาความต้องการของคนในพื้นที่ เมื่อพบว่าชาวบ้านต้องการให้เด็กๆ มีการศึกษา สามารถสื่อสารกับคนภายนอกและหาเลี้ยงชีพได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ครูนิดจึงเริ่มจัดตั้งโรงเรียนและจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีชุมชน 

หลักการสำคัญในการจัดการเรียนรู้คือ ‘การเรียนรู้ต้องสอดคล้องกับปฏิทินชุมชน’ โดยโรงเรียนแบ่งภาคการศึกษาตามกิจกรรมสำคัญของชุมชน 

ในเทอมแรกที่ตรงกับฤดูทำไร่ทำนา เด็กๆ จะได้เรียนรู้การทำไร่ทำนาหาเลี้ยงชีพโดยบูรณาการวิชาความรู้สอดแทรกเข้าไป ส่วนเทอมหลังที่เป็นฤดูเก็บเกี่ยวและช่วงพักผ่อน เด็กๆ จะได้เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรม ป่าและระบบนิเวศ งานศิลปะและวิชาชีพอื่นๆ รวมถึงทักษะสำคัญ เช่น ภาษาอังกฤษ ซึ่งกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญคือการลงมือทำ พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ และทำบันทึกสรุปความรู้ของแต่ละคน   

 “สิ่งที่น่าแปลกใจคือการเรียนรู้แบบบูรณาการและการลงมือทำจริงมันทำให้เด็กได้เรียนรู้อย่างถึงแก่นและมีระบบการคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเอง มีช่วงหนึ่งเด็กๆ ของเราต้องไปสอบโอเน็ต ปรากฏว่าเขาได้คะแนนค่อนข้างสูงเลย เด็กๆ จะชอบโม้ว่าข้อสอบหมูๆ เพราะเขาเรียนจากของจริงมันลึกกว่านั้น นอกจากการเรียนในชุมชนเราก็ไปเรียนข้างนอก เพราะการเรียนในชุมชนอย่างเดียวมันไม่พอ เราต้องให้เขาได้ปะทะกับโลก ต้องได้เจอสังคมและฝึกปรับตัวจริงๆ เราเองได้อยู่ในเครือข่ายการศึกษาทางเลือกเพื่อผลักดันนโยบายไปด้วยกัน เราเลยได้พาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เล่านิทาน ละครหุ่นเยาวชน เด็กๆ ก็ได้เดินทางไปทั่วประเทศ ได้ไปแสดงงานที่เมืองนอก เขาก็ได้สัมพันธ์กับชาวต่างชาติซึ่งทำให้เขาเปิดโลกจริงๆ

  • พิธีเกี่ยวข้าวประจำปี
  • เด็กๆบันทึกข้อมูลสิ่งที่เรียนรู้จากธรรมชาติ

“สิ่งสำคัญที่เรานึกเสมอคือการเรียนมันต้องตอบเป้าหมายหรือมีความหมายกับ ชีวิตเด็กๆ เพราะฉะนั้นเด็กๆ ที่นี่จะต้องทำโปรเจกต์ 2 โปรเจกต์ทุกเทอม โปรเจกต์แรกคือแหล่งอาหาร เราให้เด็กๆ ทำอะไรก็ได้ที่สามารถพึ่งตัวเองได้เรื่องการกิน เช่น เลี้ยงไก่ ปลูกผัก เลี้ยงไส้เดือน โปรเจกต์ต่อมาคือโปรเจกต์ตามความสนใจ เป็น passion ของเขาจริงๆ เช่น การทอผ้า การเล่นหุ้น การถ่ายภาพ โดยโปรเจกต์นี้ต้องตอบคำถามสามข้อ คือ โปรเจกต์นี้เป็นประโยชน์อะไรกับตัวเอง ประโยชน์อะไรกับคนอื่น และประโยชน์อะไรกับส่วนรวม 

“เด็กๆ บางคนก็พัฒนาโปรเจกต์จนเป็นตากล้องที่เก่งๆ และใช้เป็นผลงานสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เลย ถึงวันนี้เราว่าความสำเร็จที่แท้จริงของโจ๊ะมาโลลือหล่าคือเด็กๆ รู้ว่าเขามีคุณค่า รู้ว่าตัวเองมีดีอะไร มีเป้าหมายอะไร และเขาเคารพคุณค่าคนอื่นด้วย การที่เด็กรู้คุณค่าตัวเองและคนอื่นนี่คือความสำเร็จที่สุดแล้ว เรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง เช่น เขาพึ่งตัวเองได้ อยู่ในวิถีได้ อยู่กับคนเมืองก็ทำได้ หาเงินก็ทำได้ ไม่ต้องรอจบตรีและตกงาน เขาสร้างอาชีพด้วยตัวเองได้ อันนี้คือความสำเร็จรองๆ ในสายตาเรา”

ถอดบทเรียนการสร้างโรงเรียนที่สอดคล้องกับวิถีชุมชน

เรานั่งฟังครูนิดเล่าเรื่องโรงเรียนด้วยความอิ่มเอมใจ แล้วใจก็นึกย้อนกลับไปที่ชุมชนบ้านเกิดของตนเองในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมชนเรามีวัฒนธรรมสำคัญคือหนังตะลุงกับมโนราห์ แต่ค่อยๆ เลือนหายเพราะขาดคนสืบสาน จึงอยากให้ครูนิดถอดบทเรียนการสร้างโรงเรียนที่สอดคล้องกับวิถีชุมชน สำหรับชุมชนทั่วประเทศที่อยากสร้างโรงเรียนในลักษณะเดียวกัน

ครูนิดนั่งอธิบายกับเด็กๆ

“ก่อนจะไปที่การถอดบทเรียน เราขอพูดถึงอุปสรรคปัญหาที่ท่านจะเจอถ้าหากทำโรงเรียนสำหรับชุมชน อุปสรรคที่เราพบคือ ความไม่เข้าใจกัน เป็นเรื่องใหญ่มากและทุกระดับ ตั้งแต่ระดับชุมชน ระดับคนทำงานการศึกษา และระดับเจ้าหน้าที่และหน่วยงาน ความไม่เข้าใจกันในประเด็นต่างๆ เช่น หลักการ แนวคิด หรือเป้าหมาย มันทำให้โรงเรียนขับเคลื่อนไปได้ยาก อีกเรื่องหนึ่งที่จะเจอเมื่อทำโรงเรียนคือเรื่องผลประโยชน์ มันนัวเนียซับซ้อนและแก้ยากมาก ถ้าจะให้เราคิดแบบนักอุดมคติ โรงเรียนไม่ควรมีการเมืองและผลประโยชน์ มันควรปลอดจากเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง เพราะว่าโรงเรียนควรจะเป็นสิ่งที่มุ่งเพื่อประโยชน์เดียว คือ เพื่อเด็กและเพื่อส่วนรวม 

“ตอนนี้มีชุมชนที่อยากให้เราไปเป็นที่ปรึกษาในการสร้างโรงเรียนเพื่อชุมชนอยู่หลายพื้นที่ เราก็ตัดสินใจเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำด้วยการดูว่าชุมชนพร้อมมั้ย คือ หนึ่ง-ชุมชนต้องยอมรับว่าโรงเรียนต้องปลอดพ้นจากการเมืองและผลประโยชน์ สอง-ชุมชนต้องเชื่อว่าชุดความรู้ที่เขามีมันดี มันมีคุณค่าและมีความหมายมากพอที่จะจัดการศึกษาได้ สาม-ชุมชนต้องเปิดใจรับชุดความรู้ใหม่เพื่อต่อยอดภูมิปัญญาให้อยู่ต่อไปได้ ถ้าชุมชนมีสามสิ่งนี้เราจะตัดสินใจลงมือไปกับเขา

พอมาทบทวนก็พบว่าการจัดการเรียนรู้ของเรา มาจากฐานคิดของปกาเกอะญอที่กล่าวว่า ‘ไม่ต้องเรียนเยอะ เรียนแค่น้ำบ่อหน้ากับน้ำบ่อหลังก็พอ’ น้ำบ่อหลังคือวิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่เป็นปัญญาในอดีต น้ำบ่อหน้าคือตัวความรู้ที่จะใช้กับอนาคต เวลาคนเอาสองอย่างนี้มาใช้จะเรียนแยกส่วนกัน แต่สิ่งที่เป็นตัวเชื่อมของเราคือ ‘สถานการณ์จริง’ หรือ ‘ปัญหาจริง’ มันคือสะพานเชื่อมความรู้ทั้งสองชุด พอเจอสถานการณ์หรือปัญหาจริงเราต้องใช้ความรู้ทุกชุดมาแก้ปัญหานี้ให้ได้ 

การสนทนาของเรามาถึงในช่วงท้าย เราเลยถามถึงเป้าหมายในการทำงานต่อจากนี้ไปจนถึงวาระสุดท้ายของครูนิด เธอตอบว่าตอนแรกคิดว่าจะทำอะไรสักอย่างให้จบและปลีกตัวออกไปวิเวกในป่าเพื่อเรียนรู้ชีวิตในช่วงสุดท้าย แต่ก็พบว่าการศึกษาสำหรับเด็กชนเผ่านั้นยังขาดแคลนและมีหลากหลายประเด็นที่ต้องขยับและพัฒนา เธอจึงอยากสร้างระบบขึ้นมาเพื่อให้ใครก็ตามสามารถมาสานต่อสิ่งนี้ได้ในวันที่ไม่มีเธอ เป็นระบบเพื่อสนับสนุนศูนย์การเรียนรู้เพื่อเด็กชนเผ่าในหลายส่วน เช่น การพัฒนาสินค้า การประกอบการสังคม เครื่องมือในการเรียนรู้และออกแบบกระบวนการ เป็นต้น

“เราเชื่อว่างานนี้มันจะมีคนมาทำต่อ มันจะมีคนที่เห็นคุณค่ากลุ่มชนเผ่าที่เขากำลังดูแลป่าให้กับเรา คนที่รู้ว่าการอยู่รอดของเขาคือการอยู่รอดของคนทุกคน คนที่จะสร้างคุณค่าร่วมกันระหว่างคนเมืองกับคนในป่า เหมือนที่เราเคยรู้สึกและทำมันมาถึงตอนนี้”

เราบีบมือครูนิดเป็นกำลังใจ พร้อมปิดท้ายการคุยด้วยประโยคที่เราอยากพูดออกไปให้ผู้หญิงคนนี้ได้รับรู้ 

“ขอให้ครูนิดสุขภาพแข็งแรงมากๆ เพื่อจะทำทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จนะคะ มันต้องเป็นครูนิดเท่านั้นแหละ เพราะป่าเรียกครูนิดมาแล้ว” 

ครูนิดยิ้มอย่างอบอุ่นเหมือนเคย…

สนับสนุนศูนย์การเรียนรู้โจ๊ะมาโลลือหล่าได้ที่ facebook : JOA IDEE

Tags:

ระบบการศึกษาเชียงใหม่เข้าป่าอรพินทุ์ กุศลรุ่งรัตน์การศึกษาทางเลือกโรงเรียนรุ่งอรุณชาติพันธุ์

Author:

illustrator

วิภาดา แหวนเพชร

อดีตเด็กหญิงที่เห็นภาพตัวเองโตขึ้นเพื่อได้สอนวิชาแปลกๆ ในโรงเรียนและเป็นนักเขียนแสนสนุก เพื่อทำทั้งสองอย่างเลยเรียนต่อคณะนิเทศศาตร์ จุฬาฯ ต่อโทอีกใบที่วิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ. อายุ 29 อดีตเด็กหญิงกลายเป็นอาจารย์สอนวิชาทักษะแห่งความสุข กับ วิชามนุษยสัมพันธ์ที่ลาดกระบัง เขียนบทหนัง 3 เรื่อง / สารคดี 4 เรื่อง / บทความอีกมากมาย ตอนนี้อดีตเด็กหญิงมีความสุขจัง

Photographer:

illustrator

ธีระพงษ์ สีทาโส

คนถ่ายภาพ คนทำละครเร่ กระบวนกร คนทำงานสื่อสารที่เลือกข้างแล้ว ชอบมองหาการเมืองในชีวิตประจำวัน เสพติดนิโคตินและแอกอฮอล์ ไม่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ยกเว้นจำเป็นเพื่อความอยู่รอด ความฝันคือได้เป็นคนเท่ๆ ตอนอายุ 50 ที่นั่งจิบเบียร์เย็นๆ รสชาติหลากหลายในราคาเอื้อมถึงได้ทุกวันบนประเทศที่มีรัฐสวัสดิการดี ตอนนี้กำลังมีส่วนร่วมดันกลุ่มช่างภาพ REALFRAME ที่ตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิกให้แมส

Related Posts

  • unique-teacher-outside-the-box-nologo
    Unique Teacher
    โรงเรียน 4 ตารางวา แต่ขนาดหัวใจของครูใหญ่กว่า: ‘ครูติ๊ก- ชัชวาลย์ บุตรทอง’ พาเด็ก Drop Out กลับสู่โลกการเรียนรู้ที่ไม่ลิดรอนความฝัน

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative learningSocial Issues
    ปิดโรงสอน ย้อนคืนการเรียนรู้กลับสู่เด็ก : พลิกโควิดเป็นโอกาส กรณีศึกษาโรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน: หลักสูตรที่ไม่เหมือนใคร อาคารเรียนไม่ต้องใหญ่ แต่ห้องเรียนกว้างมาก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

‘ชีวิตที่อยู่กึ่งกลางระหว่างนักศึกษากับคนตกงาน’ หนึ่งในเสียงเล็กๆ ของนักศึกษาช่วงโควิด19
Social Issues
18 April 2020

‘ชีวิตที่อยู่กึ่งกลางระหว่างนักศึกษากับคนตกงาน’ หนึ่งในเสียงเล็กๆ ของนักศึกษาช่วงโควิด19

เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • การประกาศย้ายการเรียนการสอนของนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นระบบออนไลน์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด19 ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้นักศึกษาต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน แม้ตอนแรกจะมองว่าเป็นข้อดีที่พวกเขาจะไม่ต้องเสียเวลาตื่นเช้าและแต่งตัวเดินทางไปมหาวิทยาลัย แต่ในตอนนี้การเว้นระยะห่างทางสังคมส่งผลต่อการใช้ชีวิตและจิตใจของชีวิตนักศึกษา
  • คิดถึงบ้าน แต่กลับไม่ได้, ช่วงเปลี่ยนจากนักศึกษากลายเป็นคนว่างงาน, ในเวลาที่ไม่สามารถออกไปไหนได้และบ้านไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย และเสียโอกาสค้นหาตัวเอง 4 ความรู้สึกของนักศึกษาในช่วงสถานการณ์วิกฤตนี้

การประกาศย้ายการเรียนการสอนของนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นระบบออนไลน์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด19 ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้นักศึกษาต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน แม้ตอนแรกจะมองว่าเป็นข้อดีที่พวกเขาจะไม่ต้องเสียเวลาตื่นเช้าและแต่งตัวเดินทางไปมหาวิทยาลัย แต่ในตอนนี้การเว้นระยะห่างทางสังคมส่งผลต่อการใช้ชีวิตและจิตใจของชีวิตนักศึกษา

  • คิดถึงบ้าน กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง 
  • เส้นบาง ๆ ระหว่างนักศึกษากับคนว่างงาน
  • เมื่อบ้านไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย  แต่ในเวลาแบบนี้จะออกไปไหนได้
  • เสียโอกาสค้นหาตัวเอง

ความคิดเหล่านี้เป็นความรู้สึกของ 4 นักศึกษา ที่ผู้เขียนรู้จักและได้พูดคุยต่อสถานการณ์ในตอนนี้ เพราะอนาคตของพวกเขาขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนและไม่สามารถวางแผนได้ รวมไปถึงสภาพจิตใจที่เหมือนขาดเลือดที่จะสูบฉีดความสุขที่จะทำให้พวกเขากลับมาใช้ชีวิตนักศึกษาได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง

กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง 

เด็กต่างจังหวัดที่ต้องมาเรียนในกรุงเทพฯ จะมีโอกาสกลับบ้านเมื่อถึงเทศกาลหรือธุระสำคัญเท่านั้น แต่ช่วงเวลาที่พวกเขารอคอยมากที่สุดก็คือช่วงปิดเทอมของแต่ละภาคเรียน ถึงจะเป็นเวลาไม่นาน แต่การกลับบ้านคือการชาร์จพลังให้กับตัวเองที่ล้อมรอบไปด้วยคนที่รัก

‘ปอ’ คือหนึ่งในเด็กต่างจังหวัดที่ต้องมาเรียนในกรุงเทพฯ และไม่ได้กลับบ้านมานานเกือบ 5 เดือน ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเธอหวังว่า จะกลับบ้านตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคม แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นานแต่การกลับบ้านคือการชาร์จพลังให้กับตัวเองที่ล้อมรอบไปด้วยคนที่รัก แต่การปิดระบบขนส่งเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด19 ทำให้เธอไม่สามารถกลับบ้านในจังหวัดยโสธรได้ 

“ตอนแรกเราคิดว่าสอบเสร็จแล้วจะกลับบ้านเลย เพราะว่าเขายกเลิกฝึกงาน แต่ในช่วงนั้นเรานั้นก็เสพข่าวเกี่ยวกับโรคนี้จากสื่อโซเชียลมีเดีย เจอเคสต่าง ๆ เเละมีข่าวบอกว่าถึงจะไม่มีอาการไข้ก็อาจจะติดเชื้อได้ เสพหนักมากจนเริ่มสงสัยเเละกลัวว่าเราคือหนึ่งในคนที่ติดเชื้อไหม เพราะตัวเราเองก็มีอาการไอแล้วก็ปวดหัว ขนาดอยู่ในหอเราใส่แมสปิดปากตลอด เลยตัดสินใจไปตรวจคิดว่า เป็นหรือไม่เป็นไม่รู้ แต่ไปตรวจอย่างน้อยก็ได้ยามากิน แต่โชคดีที่ผลตรวจเราได้เข้าห้องแล็ปก็เลยไม่เสียค่าใช้จ่าย และผลก็คือเราไม่ได้ติดโควิด แต่ก็กักตัวเองไปอีก 14 วันหลังจากนั้น

“การไปตรวจก็ส่งผลต่อการตัดสินใจในการกลับบ้านนะ เพราะโรงพยาบาลเป็นพื้นที่เสี่ยง เราไม่รู้ว่าคนที่นั่งข้างๆ เรา เขาติดเชื้อไหม แล้วตอนนั้นก็เป็นช่วงที่รัฐบาลขอความร่วมมือว่าอย่าเคลื่อนย้ายตัวเอง ก็เลยโทรศัพท์ไปคุยกับพ่อแม่ มันเป็นอารมณ์คนป่วยแบบ ‘คิดถึงพ่อแม่จังเลย ถ้าได้อยู่กับพ่อแม่ก็น่าจะดี’ แต่พ่อแม่บอกว่ารอสถานการณ์ดีขึ้นก่อนค่อยกลับ เพราะในการเดินทางขึ้นรถเมล์ รถตู้ หรือรถทัวร์ต้องเจอคนเยอะๆ จะได้ไม่เป็นการไปรับเชื้อ

“การคิดถึงบ้านตอนที่มีกับไม่มีโควิดมันต่างกันนะ มองว่าคิดถึงบ้านตอนไม่มีโควิดมันสามารถควบคุมได้ เราเป็นหวัดเรากินยาเราก็หายได้ และวางแผนเรื่องต่าง ๆ ได้ แต่พอเป็นช่วงที่มีโควิด เหมือนคาดเดาอะไรไม่ได้เลยเพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเมื่อไหร่ ไร้จุดหมาย ไร้การควบคุม เพราะวางแผนอะไรไม่ได้เลยตอนนี้อยากกลับบ้านและคิดถึงบ้านมาก อย่างน้อยการได้อยู่กับครอบครัวก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียว ช่วงนี้ก็คอลเฟสบุ๊กกับที่บ้านบ้างอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง พอให้หายเหงา แต่มันก็ไม่เหมือนกลับบ้าน ก็ยังคิดถึงบ้านอยู่ดี”

เส้นบาง ๆ ระหว่างนักศึกษากับคนว่างงาน

‘เรียนจบแล้ว เราจะทำอะไรต่อไปดี’ เป็นคำถามในใจของนักศึกษาจบใหม่หลาย ๆ คนที่กำลังจะก้าวออกจากออกจากรั้วมหาวิทยาลัย บางคนเลือกที่จะเรียนต่อ บางคนเลือกจะทำงาน หรือบางคนเลือกที่จะหยุดพักก่อนที่จะเริ่มงานครั้งแรก 

‘เพชร’ นักศึกษาจบใหม่ที่ยังต้องการเวลาค้นหาตนเองและอยากทำงานพาร์ทไทม์เพื่อเรียนรู้วิธีการทำงานในสายงานที่ต่างจากที่เรียนมา แต่เมื่อต้องอยู่บ้านป้องกันการแพร่ระบาดโควิด 19 ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาวะกึ่งกลางระหว่างนักศึกษากับคนตกงาน

“ตอนแรกเราวางแผนว่าหลังเรียนจบ เราจะยังไม่หางานทำ เพราะเป็นคนหนึ่งที่เรียนจบมาแล้วยังหาตัวเองไม่เจอ เลยอยากเข้าไปลองทำพาร์ทไทม์งานอีเวนท์ดูก่อน เพราะตัวเราชอบงานเบื้องหลัง อยากรู้ขั้นตอนและการทำงานว่าเป็นอย่างไร แล้วก็วางแผนไว้ว่าจะใช้เวลา 3-5 ปีเก็บเงินแล้วไปทำงานต่างประเทศ

“แต่ในสถานการณ์ตอนนี้แพลนที่เราคิดไว้พังหมดเลย เราว่าขนาดงานพาร์ทไทม์เล็ก ๆ ทั่วไปก็ไม่น่าจะมี อย่างร้านกาแฟตอนนี้ก็ไม่น่ามีการจ้างงาน รู้สึกแย่มาก ถ้าไม่มีโควิด เราจะทำอะไรก็ได้ หาเงินเองก็ได้ แต่ตอนนี้เงินไม่มี งานก็ไม่มี เป็นสถานะกึ่งกลางระหว่างนักศึกษากับคนว่างงาน เพราะบางงานรับคนที่มีประสบการณ์ แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลย เวลาหายไปเปล่า ๆ อ่านข่าวมาเขาก็บอกว่าถึงโควิดจะหายไป แต่เศรษฐกิจก็ฟื้นฟูไม่ได้ตามปกติ แล้วถ้าตอนนั้นมีเด็กจบใหม่มาเพิ่มแล้วงานไม่รองรับกับจำนวนคน แพลนที่คิดไว้ล่มหมดเลยนะ

“อยากลองเรียนทำงานเซรามิกหรือเรซิน เพราะเป็นคนชอบงานฝีมือเหมือนกัน อยากลองทำ แต่ตอนนี้ถ้าจะเริ่มทำเราก็ไม่มีทุน จะไปโครงการ Work&Holiday ที่ประเทศออสเตรเลียก็ทำไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้การให้วีซ่าการทำงานยังเหมือนเดิมไหม การเตรียมตัวสอบ ค่าสอบก็แพงยังมีเงินที่ต้องอดตัวไปอีก แล้วยังมีปัญหาการเหยียดเอเชียในประเทศแถบยุโรปอีก เพราะฉะนั้นตอนนี้เราอยากจะลองหางานพาร์ทไทม์ดูก่อนหรือทำงานออนไลน์ คิดว่าถ้าเรามีงาน มีเงินเราจะไปไหนก็ได้ แต่ก็ยังกังวลว่าการแพร่ระบาดและการฟื้นฟูเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรต่อไป”        

เส้นทางของนักศึกษาจบใหม่จะเป็นอย่างไร เพราะไม่ใช่ทุกคนที่มีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน  บางคนต้องอาศัยเวลาในการเรียนรู้และเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง ซึ่งโอกาสเหล่านี้กำลังถูกขยับออกไปเรื่อยๆ

เมื่อบ้านไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย  แต่ในเวลาแบบนี้จะออกไปไหนได้

บ้าน คือ ความสบายใจ แต่อาจไม่ใช่เสมอไป เพราะ ‘เฟิร์น’ นักศึกษาที่อาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ต อยากใช้เวลานอกบ้านมากกว่า กอปรกับเธอคือหนึ่งในคนที่มีภาวะซึมเศร้า เเต่เมื่อมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ส่งผลให้มีการปิดตำบลที่เธออยู่ เวลาปะทะกับคนที่บ้านทำให้เธอออกไปตั้งหลักข้างนอกไม่ได้ การอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมจึงเป็นทางเดียวที่เฟิร์นจะสามารถหลีกเลี่ยงคำพูดของคนในครอบครัวที่ทำร้ายจิตใจของเธอ

“มีอยู่ช่วงหนึ่งเราร้องไห้โดยไม่มีสาเหตุ เลยตัดสินใจไปหาหมอ เขาก็ให้เราทำแบบทดสอบโรคซึมเศร้าเขาก็บอกว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าระดับกลางและแนะนำว่าให้ออกกำลังกายหรือไปเที่ยว กินยาสม่ำเสมอ จนอาการดีขึ้น จากระดับกลางเป็นระดับน้อยคือไม่ได้ร้องไห้ แต่อารมณ์จะแปรปรวน แต่สถานการณ์ในตอนนี้ที่ทำให้เราต้องอยู่บ้านก็มีบางครั้งที่เรื่องราวของคนรอบข้างทำให้เราคิดมากจนรู้สึกไม่สบายใจ

“ก่อนที่จะมีโควิด ถ้าเราไม่สบายใจเราจะออกจากบ้านไปกินข้าวกับเพื่อน หรือนั่งรับลมทะเล ใช้เวลาในการทบทวนความรู้สึกของตนเอง แต่ตอนนี้สิ่งที่เราทำได้ คือ ไม่แสดงอาการว่าเราคิดมากให้แม่เห็น เพื่อที่เขาจะไม่พูดสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจ เลยตัดสินใจที่จะทำทุกอย่างในห้อง ทั้งกินข้าว เล่นกับแมว โทรศัพท์คุยกับเพื่อน คุยกับแฟน เพราะออกไปไหนไม่ได้

“ชีวิตตอนนี้วนลูปและรู้สึกเบื่อ บางครั้งการอยู่ในห้องคนเดียว อยู่ในที่เดิม ๆ ก็อาจจะมีนึกถึงเรื่องที่ทำให้เราเสียใจบ้าง จนเก็บไปฝันเลย ทำให้นอนไม่หลับ บางวันนอน 7 โมงเช้าตื่น 3 โมงเย็น เริ่มเห็นคุณค่าของสิ่งภายนอก อย่างน้อยการออกไปเรียน เรายังได้เจอเพื่อนเจออาจารย์ ดีกว่าการต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ส่วนวิธีคลายเหงาก็คือการติดต่อกับเพื่อน ๆ บนสื่อออนไลน์ และหาละครหรือซีรีส์ที่สนใจดู

แม้ว่าห้องสี่เหลี่ยมจะเป็นการหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ ‘เฟิร์น’ ไม่สบายใจ แต่ห้องสี่เหลี่ยมก่อให้เกิดความเหงา ที่แม้จะมีคนบนโลกออนไลน์เป็นเพื่อน แต่คงจะไม่มีความสุขเท่ากับการออกไปเจอคนรอบข้างและสร้างรอยยิ้มไปพร้อมกัน

เสียโอกาสค้นหาตัวเอง

ปิดเทอมของนักศึกษาคือช่วงเวลาของการพักผ่อนอย่างเต็มที่และทำในสิ่งที่อยากทำแต่ทำไม่ได้ในช่วงเปิดเทอม ‘ใบบัว’ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่เสียโอกาสในการพัฒนาทักษะและค้นหาตนเองโดยเฉพาะการฝึกงานเพื่อหาประสบการณ์จากการทำงานจริง เพราะการทำ Social Distancing

“เป็นเวลา 3-4 เดือนที่ทำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกเสียดายโอกาสว่า ควรเป็นปิดเทอมที่ได้ทำอะไรมากกว่าการอยู่บ้าน เดิมแพลนไว้ว่าปิดเทอมจะเรียนขับรถ เรียนภาษา แล้วก็ฝึกงาน เพราะตอนนี้เรียนมาก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร คิดว่าอย่างน้อยการฝึกงานจะทำให้เราได้ลองทำงานจริง ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ อาจจะทำให้เรารู้ว่าตัวเราทำอะไรได้และเหมาะสมกับอะไร และได้ประสบการณ์เพิ่มเติมให้กับตัวเราเอง

“ตอนแรกเราก็ลังเลว่าจะฝึกหรือไม่ฝึกงานดี แต่เราก็อยากจะรู้ว่าสิ่งที่เราคิดว่าอยากจะทำ เราทำได้ไหม ใช้เวลาหนึ่งเดือนในการเตรียมตัวเพื่อสมัครฝึกงาน แต่พอยื่นไป มหาวิทยาลัยก็ประกาศยกเลิกฝึกงาน ก็รู้สึกเสียดายมาก นอกจากฝึกงานแล้ว ก็ยังอยากลองเขียนบทความสั้น ๆ แต่พอมาอยู่บ้านมันหมดแรงบันดาลใจไปหมด

เพราะการหยุดพักผ่อนคือช่วงเวลาในการค้นหาตัวเองและวางแผนอนาคตเพื่อหาคำตอบในชีวิตของตนเอง การปิดเทอมของนักศึกษาก็เช่นกัน เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่พวกเขารอคอยในการหาความสนุกและแรงบันดาลใจ รวมถึงเตรียมพร้อมกับการเรียนรู้ที่ไม่อยู่ในเพียงตำรา แต่เป็นการสอนชีวิตจริงในสังคม

ถึงแม้ว่าการรณรงค์ให้ประชาชนทุกคนต้องอยู่บ้านหรือออกจากบ้านตามที่จำเป็นเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส แต่การรักษาระยะห่างด้วยการ ‘หยุดเชื้อ เพื่อชาติ’ คือการเว้นระยะห่าง เว้นการเจอหน้า เว้นการทำกิจกรรม ทำให้นักศึกษาต้องเสียโอกาสในการเรียนรู้และต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในชีวิตเพราะไม่มีสิ่งไหนมาประกันความคิดของพวกเขาได้ว่าเหตุการณ์นี้จะจบลงเมื่อไหร่

Tags:

ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)นักศึกษา

Author:

illustrator

ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

นักศึกษาปีสุดท้ายที่ชอบดูซีรีส์เกาหลี เชื่อว่าซีรีส์คือพื้นที่การเรียนรู้ที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้ สนใจเรื่องระบบการศึกษา อยากเล่าเรื่องให้สนุกเเบบฉบับของตัวเอง

Related Posts

  • How to get along with teenager
    ในวันที่วัยรุ่นรู้สึกว่า “ตัวฉันไม่ดีพอ” การรับฟังที่ดีจากพ่อแม่ คือ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ PHAR

  • Early childhood
    วัยเยาว์ที่ถูกพรากไป ในโลกที่ไม่ปลอดภัยดังเดิม : EP.1 ผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดที่มีต่อเด็กปฐมวัย

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Social Issues
    โรคระบาด ความเครียด การฆ่าตัวตาย และสถานการณ์ที่วัยรุ่นทั่วโลกกำลังแบกรับ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New GenSocial Issues
    ‘แบ่งปันความอิ่ม’ คูปองอาหารที่ให้คนมาจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อเพื่อนที่ลำบากในช่วงโควิด

    เรื่อง นฤมล ทิพย์รักษ์

  • Social IssuesLearning Theory
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

อนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร เส้นทางการเรียนจะเป็นแบบไหน – ความกังวลของวัยรุ่นช่วงโควิด-19
Life classroom
18 April 2020

อนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร เส้นทางการเรียนจะเป็นแบบไหน – ความกังวลของวัยรุ่นช่วงโควิด-19

เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

  • เมื่อความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาฝังรากลึกมาหลายปี ทำให้ช่วงเวลาเช่นนี้ เด็กและเยาวชนต้องเครียดกับอนาคตทางการศึกษาของตนเองมากขึ้นเป็นสองเท่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีต้นทุนในการศึกษาที่ดีมาก่อนหรือที่ไม่มีต้นทุนที่ดีมาก ต่างก็พยายามเพื่อสอบเข้าโรงเรียนและมหาวิทยาลัยให้ได้ไม่ต่างกัน ยิ่งช่วงเวลานี้ยังไม่ทราบว่าอนาคตการเรียนจะเป็นเช่นไร เปิดเรียนเมื่อไหร่ ได้เข้ารับการศึกษาที่ไหน ยิ่งทำให้เด็กๆ เครียดเพื่อทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จ
  • นอกจากการตั้งใจติวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้แล้ว เธอยังจำเป็นต้องตามข่าวสารและรออัปเดตเรื่องการสอบเข้าอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความเครียดเพิ่มขึ้นเป็น สองเท่า เพราะหากปีนี้เธอไม่ได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยและคณะที่ตั้งเป้าหมายไว้ ย่อมหมายถึงมันจะส่งผลกระทบทั้งครอบครัวและอนาคตทางการศึกษาของเธอ
  • การสอบเข้าไม่ใช่เพียงแค่การอ่านหนังสือและรอรับผลสอบ แต่การสอบมีค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยสำหรับเด็กคนหนึ่ง ยิ่งสอบวิชาที่มากขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสการสอบเข้าให้กับตนเอง ก็จะยิ่งมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน

จากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาดในปัจจุบัน แม้อัตราผู้ติดเชื้อในประเทศไทยจะมีจำนวนที่น้อยลงในแต่ละวัน แต่ท่ามกลางสถานการณ์นี้ วันเปิดเทอมของเด็กๆ ถูกเลื่อนจากเดิมไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ฟังดูแล้วอาจเป็นเรื่องที่สนุกสนานเพราะได้เล่นอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องไปโรงเรียน 

… แต่พวกเราเองกลับไม่มีความรู้สึกเหล่านั้นเลย

ปัจจุบันวัยรุ่นกำลังพบเจอกับความเครียดจากสถานการณ์นี้ เมื่อการเลือกโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าศึกษาต่อเป็นสิ่งที่กำหนดทางเดินชีวิตในอีก 3 ปีข้างหน้า  แต่ตอนนี้ทุกสิ่งถูกเลื่อนออกไป

การเปิดเรียนวันที่ 1 กรกฎาคมเองยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจะถูกเลื่อนอีกหรือไม่ รวมทั้งกำหนดการสอบเข้ารับการศึกษาเองก็เปลี่ยนแปลงไป หากเป็นสถานการณ์ปกติ ตอนนี้เด็ก ม.3 จะเริ่มสอบเข้า ตรวจสอบโควตาโรงเรียน และเตรียมรับการศึกษาต่อ ส่วนวัยรุ่นชั้น ม.6 จะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยระบบ TCAS ถึงรอบ 3 และเตรียมพร้อมเพื่อก้าวไปสอบในรอบที่ 4 -5 แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่มีการชี้แจงรายละเอียดอย่างเป็นทางการในหลายโรงเรียน 

รวมถึงการเข้ามหาวิทยาลัยที่มีค่าใช้จ่ายในการสอบหลากหลายวิชา เด็กคนหนึ่งอาจต้องใช้เงินเพื่อสอบวิชาต่างๆ รวมแล้วประมาณ 3,000 – 5,000 บาท และด้วยจำนวนเงินที่ใช้ในการสอบเข้านี้ทำให้เด็กๆ ต้องวางแผนในการใช้เงินและการสอบมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เด็กๆ จึงไม่ทราบเส้นทางการเดินต่อไปในอนาคตที่ชัดเจน

เด็กเครียด เพราะการสอบเป็นสนามในการแย่งชิงพื้นที่ คือการมีที่ทางของเด็กๆ

สังคมไทยในปัจจุบันมีการแข่งขันด้านการศึกษาที่สูงไม่น้อย โรงเรียนชื่อดังของประเทศมีเด็กมัธยมร่วมหมื่นคนสอบเข้าไปเรียนโดยมีที่นั่งเพียงแค่หลักร้อย รวมทั้งการแข่งขันที่สูงมากยิ่งขึ้นเนื่องด้วยความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเฉพาะเมื่อเราไม่มีการศึกษาที่ดีและเท่าเทียมให้กับเด็กทุกคน

กล่าวคือ หากพูดถึงโรงเรียน เราคงจะได้เห็นโรงเรียนหลายรูปแบบ โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนหลักสูตร English Program (EP), Intensive English Program (IEP) โรงเรียนสังกัดสำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สังกัดกรุงเทพมหานคร โรงเรียนประจำตำบล อำเภอ และจังหวัดต่างๆ ซึ่งหากเราได้นำหลักสูตรการเรียนมาเทียบกัน เราจะพบความแตกต่างที่แม้แต่มาตรฐานการศึกษาที่ควรมีเป็นเส้นตรงเหมือนกัน กลับยังไม่มี หากเปรียบเทียบเป็นกราฟ เราคงจะได้กราฟที่มีความแตกต่างสูงทีเดียว

เรามักเห็นข่าวเด็กที่อาศัยอยู่ในชนบท หรือเด็กที่อาศัยอยู่ในชุมชน ต้องพยายามดิ้นรนและเรียนให้หนักเพื่อให้ได้โอกาส และได้ศึกษาในโรงเรียน/มหาวิทยาลัยที่เท่าเทียมกันกับเด็กๆ คนอื่น

ผู้ใหญ่บางคนมักมองกว่าเด็กที่เกิดมาด้อยโอกาสกว่าต้องดิ้นรนมากกว่าย่อมเป็นเรื่องปกติ? แต่นั่นทำให้ผู้เขียนเกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมเด็กที่อยู่ห่างไกลและเข้าไม่ถึงโอกาสต้องดิ้นรนมากกว่า ทั้งๆ ที่เราควรมีหลักสูตรที่เป็นมาตรฐานที่ดีเพื่อรองรับเด็กและเยาวชนทุกคนที่เกิดมา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มีฐานะเช่นใด ก็ควรได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกัน 

เมื่อความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในประเทศไทยได้ฝังรากลึกมาหลายปี ทำให้ช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้เด็กและเยาวชนต้องเครียดกับอนาคตทางการศึกษาของตนเองมากขึ้นเป็นสองเท่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่มีต้นทุนในการศึกษาที่ดีมาก่อน หรือเด็กที่อาจไม่มีต้นทุนที่ดีมาก ต่างก็พยายามเพื่อสอบเข้าโรงเรียนและมหาวิทยาลัยให้ได้ไม่ต่างกัน ยิ่งในช่วงเวลานี้ เมื่อยังไม่ทราบว่าอนาคตการเรียนจะเป็นเช่นไร เปิดเรียนเมื่อไหร่ ได้เข้ารับการศึกษาที่ไหน ยิ่งทำให้เด็กๆ เครียดเพื่อทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จ

จากการพูดคุยและให้คำปรึกษาเพื่อนๆ พี่ๆ มีวัยรุ่นหลายคนที่กังวลในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

‘โบว ์’ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่าว่า เธอมีความฝันในการเข้าศึกษาต่อคณะวิศวกรรมศาสตร์ ตั้งแต่เด็กเธอเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่สังคมมักเรียกว่า ‘โรงเรียนวัด’ แน่นอนว่าทุกครั้งที่เธอเล่าให้ใครฟังว่าอยากสอบเข้าคณะวิศวะฯ มักมีคนบอกว่าเธอคงจะทำไม่ได้ เพราะต้นทุนทางการศึกษาของเธอไม่เพียงพอ แม้หลักสูตรในโรงเรียนที่เธอศึกษาอยู่อาจไม่เข้มข้น แต่เธอเองก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่เพื่อทำตามความฝัน ทุกวินาทีสำหรับเธอมีค่ามากในการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอเตรียมตัวมาอย่างหนักหน่วงตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่ 4 และคาดหวังไว้ว่าเมื่อผลออกมาว่าเธอสอบเข้าได้ มันจะเป็นวินาทีที่เธอสามารถยกภูเขาออกจากอก และความเครียดที่สะสมอยู่ในใจเธอมานานกว่า 3 ปีได้จบสิ้นลง   

แต่ในขณะนี้กำหนดการเดิมที่วางแผนไว้ถูกเลื่อนออกไป นอกจากการตั้งใจติวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้แล้ว เธอยังจำเป็นต้องตามข่าวสารและรออัปเดตเรื่องการสอบเข้าอยู่ตลอดเวลา ทำให้ความเครียดเพิ่มขึ้นเป็น สองเท่า เพราะหากปีนี้เธอไม่ได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยและคณะที่เธอตั้งเป้าหมายไว้ ย่อมหมายถึงมันจะส่งผลกระทบทั้งครอบครัวและอนาคตทางการศึกษาของเธอ 

นอกจากนั้น การสอบเข้าไม่ใช่เพียงแค่การอ่านหนังสืออย่างเข้มข้นและรอรับผลสอบ แต่การสอบยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยสำหรับเด็กคนหนึ่ง ยิ่งสอบวิชาที่มากขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสการสอบเข้าให้กับตนเอง ก็จะยิ่งมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน 

แนวทางที่ชัดเจน = สิ่งที่เด็กๆ รอคอยจากผู้ใหญ่

การเลื่อนเปิดเทอมจากเดิมเป็นเวลาราวๆ 2 เดือน ส่งผลกระทบอย่างยิ่งกับการเรียน เพราะเด็กๆ จะไม่ได้เรียนตามตารางเวลาปกติ หากเปรียบเทียบระยะเวลา 2 เดือนกับตารางเรียนของเด็กมัธยมตอนปลายนั้น ถือเป็นเนื้อหาการเรียนจำนวนไม่น้อย ดังนั้น เด็กๆ จึงต้องการความชัดเจนของแนวทางการเรียน

เรียนทุกวัน ไม่เว้นวันเสาร์อาทิตย์ เพิ่มจำนวนคาบและเวลาเรียนในแต่ละวัน?

การออกแบบหลักสูตรแบบเร่งรัดที่สามารถเรียนได้โดยใช้เวลาเท่าเดิม แต่เด็กได้ความรู้ที่เข้มข้นและชัดเจน?

การจัดทำโน้ตความรู้ให้เด็กได้ทบทวนเมื่ออยู่ที่บ้าน? การเรียนออนไลน์?

จากการสอบถามเยาวชนส่วนใหญ่มักมองว่า การเรียนทุกวันโดยไม่เว้นวันหยุด และการเพิ่มชั่วโมงเวลาเรียนนั้น จะทำให้เด็กๆ มีความเครียดและกดดันมากยิ่งขึ้น  

รวมถึงการเรียนออนไลน์ก็ทำให้เด็กส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ ดังนั้น ด้วยเวลาที่คงเหลืออยู่นี้ ผู้เขียนในฐานะเยาวชนคนหนึ่งก็อยากขอแชร์ไอเดียว่า ให้มีการออกแบบหลักสูตรที่รวบรัด ชัดเจน แม้มีเวลาที่ไม่มากแต่เด็กจะได้รับข้อมูลความรู้ที่ครบถ้วน ลดทอนบางส่วนที่เป็นเนื้อหาที่ไม่ได้ใช้งาน และเพิ่มรายละเอียด เทคนิค สรุปให้กับเนื้อหาที่สำคัญ

แน่นอนว่าหากพวกเราได้ทราบแนวทางที่ชัดเจนในการเรียนแล้ว ย่อมทำให้พวกเราสามารถเตรียมตัวรับการเปิดภาคเรียน จัดตารางเวลาอ่านหนังสือให้ถูกต้อง และที่สำคัญ คือ ช่วยลดความเครียดของเด็กและเยาวชนไปได้มาก รวมถึงแนวทางที่ออกมานั้น จะต้องเป็นแนวทางที่เท่าเทียมสำหรับเด็กและเยาวชนทุกคน ไม่สร้างความเหลี่อมลํ้า ไม่สร้างความแตกต่าง แต่ต้องมีจุดประสงค์เพื่อทำให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาอย่างครบถ้วนและเท่าเทียมกัน

นอกจากแนวทางที่ชัดเจนจากกระทรวงศึกษาธิการ แนวทางที่ชัดเจนจากครอบครัวก็สำคัญเช่นกัน

แน่นอนว่าทุกครอบครัวย่อมมีการวางแผนการเรียนและการศึกษาให้กับบุตรหลานเมื่อถึงเวลาที่สมควร พ่อแม่แต่ละคนย่อมมีโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยในใจที่อยากให้ลูกสอบเข้าได้ แต่แน่นอนว่าในช่วงนี้ที่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการศึกษา ทำให้เด็กและเยาวชนสับสน และกังวลว่าอาจไม่สามารถสอบเข้าได้ตามที่ตนและครอบครัวต้องการ

ดังนั้นแล้ว แต่ละครอบครัวควรร่วมกันหาแนวทางที่ชัดเจน เรื่องแผนการเรียนหลัก และแผนการเรียนสำรอง หากว่าวันหนึ่งเกิดปัญหาที่ไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยที่เด็กๆ ต้องการได้ ครอบครัวจำเป็นต้องมีแผนการสำรองที่คอยรอบรับสภาพจิตใจ และอนาคตทางการศึกษาของเด็กๆ เช่นกัน 

รวมถึงความชัดเจนของการพูดว่า ‘ไม่เป็นไร เราเริ่มต้นใหม่ได้’ เพราะในสถานการณ์ความเครียดที่ยังไม่ทราบว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร ได้เข้าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยตามที่หวังหรือไม่ ทำให้วัยรุ่นกดดันตนเอง และกังวลเรื่องการคาดหวังจากคนรอบข้างเป็นอย่างมาก ดังนั้น หากครอบครัวชัดเจนกับเด็กๆ ว่า เรามีแนวทางสำรองที่ช่วยกันเตรียมความพร้อมไว้แล้ว และไม่เป็นไรหากไม่สามารถเข้ารับการศึกษาต่อได้อย่างที่หวัง ก็จะทำให้เด็กและเยาวชนมีความพร้อมด้านการรับมือทั้งร่างกายและจิตใจ

Tags:

ระบบการศึกษาวัยรุ่นการสอบไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา

ผู้สนับสนุนการแก้พ.ร.บ. ให้คนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ญาเริ่มทำงานด้านปัญหาสุขภาพจิตในเด็กเมื่ออายุ 12 ปี ปัจจุบันญาอายุ 14 ปีทำงานเป็นที่ปรึกษาให้เด็กที่เป็นโรคซึมเศร้า ประธานสภาเด็กและเยาวชนเขตบางกะปิ รองประธานสภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร แกนนำเยาวชน Lovecare Station และทำวิชาภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ในโรงเรียน

Related Posts

  • Social Issues
    ‘ความไม่แน่นอน คือ สิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญ’ เสียงจากนักเรียนม.6 ต่อสถานการณ์โควิด-19 และอนาคตที่ยังมองไม่เห็นทาง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Life classroomMovie
    Accepted 2006: เมื่อเป้าหมายการศึกษาที่ไม่ใช่เพื่อเข้ามหาลัย แต่เพื่อค้นพบตัวเอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Creative learning
    หมดเวลาชอล์กแอนด์ทอล์ค มาเรียนรู้อย่างเสรีผ่านห้องเรียน NETFLIX

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family PsychologyMovie
    SKY CASTLE: จากเด็กผู้เอื้อมมือแตะแผ่นฟ้า สู่เบื้องหลัง ‘ออมม่า’ ผู้ไม่แพ้

    เรื่อง

  • Dear Parents
    เด็กม.6ก็มีหัวใจ อย่าให้ความหวังของผู้ใหญ่ทับเด็กตาย

    เรื่องและภาพ KHAE

เลื่อนเปิดเทอม: โจทย์ วิธีรับมือ ของ 4 ครูไทยในพื้นที่และบริบทที่แตกต่าง
Social Issues
17 April 2020

เลื่อนเปิดเทอม: โจทย์ วิธีรับมือ ของ 4 ครูไทยในพื้นที่และบริบทที่แตกต่าง

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ นัฐพล ไก่แก้ว

  • หลังจากกระทรวงศึกษาธิการมีมิติให้เลื่อนเปิดเทอมในภาคการศึกษาที่ 1 ไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ด้วยความไม่แน่นอนของสถานการณ์ ทำให้คาดเดาไม่ได้เลยว่าอนาคตข้างหน้าสถานการณ์จะดีขึ้นหรือไม่ เด็กๆ จะกลับมาเรียนได้ตามปกติหรือเปล่า การวางแผนรับมือระยะยาวจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น
  • The Potential ต่อสายตรงหาครูตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อชวนคุยว่าแผนการรับมือของพวกเขาเป็นอย่างไร
  • “เราต้องกลับมาที่แก่นว่าจริงๆ แล้วการศึกษามันมีไปเพื่ออะไร เรื่องที่เขาควรจะเรียนรู้คืออะไร ในสภาวะแบบนี้ เรื่องที่เกี่ยวกับการกลับมาสำรวจตัวเองหรือเปล่า วิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับโรคต่างๆ หรือเปล่าที่เขาควรเรียนรู้ ประวัติศาสตร์ในยุคต่างๆ เคยมีโรคระบาดอะไรบ้าง การเล่นกับคอนเทนต์แบบนี้ ทำยังไงให้มันน่าสนใจ” ครูแอม – นิธิ จันทรธนู โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าปีนี้ชีวิตของพวกเราเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แพลนต่างๆ ที่วางไว้เป็นอันต้องล่มเพราะสถานการณ์โควิด-19 ไหนจะการดำเนินชีวิตประจำวันที่มีการเว้นระยะห่างทางสังคม หรือ social distancing เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ‘รวมกันเราตาย แยกกันอยู่เรารอด’ การทำงานเปลี่ยนเป็น work from home ร้านอาหารเปลี่ยนเป็นสั่งกลับบ้าน

ประเด็นร้อนในวงการศึกษา (และอันที่จริงต้องบอกว่าเป็นประเด็นร้อนของทุกคนที่มีเด็กนักเรียนอยู่ที่บ้าน) ตอนนี้คงเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่มีมติเลื่อนเปิดเทอมในภาคการศึกษาที่ 1 ไปเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563

กระแสตอบรับในโลกโซเซียลมีหลากหลาย ทั้งข้อกังวลของนักเรียนว่าถ้าเลื่อนปิดเทอมจะทำให้มีเวลาเรียนน้อยลง และไม่มีปิดเทอมย่อยไว้พัก ฝั่งพ่อแม่ก็มีทั้งมุมมองบวกว่าเป็นโอกาสที่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกมากขึ้น บ้างก็เครียดเพราะไม่มีคนดูแลลูกรวมทั้งค่าใช้จ่ายที่หายไปเนื่องจากไปทำงานไม่ได้ หรือ ไปได้แต่ได้ค่าจ้างน้อยลง ฝั่งครูเองจะมีเรื่องแผนการสอนที่วางไว้ก็คงต้องเปลี่ยน และต้องเค้นสมองหาข้อสรุปกันหลายๆ กรณีว่า ถ้ากำหนดเปิดเทอมวันที่ 1 กรกฎาคมนั้นเปิดได้จริงจะมีการเรียนการสอนอย่างไร แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อไปไกลกว่านี้ จะมีมาตรการอะไรมารองรับดี?

เพราะยังตอบไม่ได้ว่าอนาคตข้างหน้าสถานการณ์จะดีขึ้นหรือไม่ การวางแผนรับมือระยะยาวจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะถ้าถึงเวลาเปิดเทอมแล้วสถานการณ์โรคระบาดยังไม่ดีขึ้น social distancing ยังคงมีอยู่ เราจะจัดการเรียนการสอนอย่างไร The Potential ต่อสายตรงหาครูตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อชวนคุยว่าแผนการรับมือของพวกเขาเป็นอย่างไร

1

เริ่มกันที่คนแรก ครูเอ๋ – ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์ ครูประจำชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านปะทาย จังหวัดศรีสะเกษ เธอเริ่มด้วยการเล่าให้ฟังถึงบริบทในห้องเรียน ครูเอ๋สอนนักเรียนแบบ PBL (Problem based learning การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นตัวนำ) ให้เด็กเรียนรู้ผ่านการแก้โจทย์ปัญหาและทำงานร่วมกัน แต่สถานการณ์ตอนนี้การเรียนอาจต้องเปลี่ยน ครูเอ๋ยังคงการเรียนแบบ PBL แต่เปลี่ยนจากทำงานในห้อง เป็นส่งโจทย์ให้นักเรียนต่างคนต่างทำที่บ้านแทน ตามมาตรการ social distancing

คำถามที่ตามมา ถ้าจะให้นักเรียนเรียนที่บ้าน แล้วเครื่องมือที่ใช้สอนพวกเขาละ? เครื่องมือที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้นระบบออนไลน์ ที่ใครๆ ก็มองว่าง่าย สะดวก สามารถเข้าถึงทุกคน เพราะยุคนี้ใครๆ ก็ต้องใช้อินเทอร์เน็ตเป็น แต่คงไม่ใช่กับนักเรียนของครูเอ๋ที่ส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี เด็กบางคนไม่มีแม้แต่อินเทอร์เน็ตใช้ ฉะนั้น ครูเอ๋วางแผนว่า เธอจะใช้เครื่องมือออนไลน์ให้น้อยที่สุด เน้นแจกเป็นใบงาน นัดรวมกลุ่มคุยกันสัปดาห์ละครั้งทางออนไลน์หรือเจอหน้ากัน ถ้านักเรียนคนไหนมีปัญหาครูเอ๋จะไปสอนที่บ้าน

“ความเป็นอยู่ของนักเรียนที่นี่ ครึ่งหนึ่งอยู่กับตายาย พ่อแม่ไปทำงานที่ต่างจังหวัด ส่วนอีกครึ่งพ่อแม่ทำงานรับจ้างทั่วไป เช่น ทำงานปั๊ม หาของป่าขายที่ตลาด แล้วส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ผู้ปกครองไม่สามารถช่วยเรื่องเรียนได้ แต่พวกเขาพอจะช่วยสอนเด็กในเรื่องทักษะชีวิต เช่น ทำสวน เลี้ยงสัตว์

“ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็เครียดนะ เพราะส่งลูกมาอยู่โรงเรียนก็มีครูคอยดูแล มีข้าวให้กินครบทุกมื้อ ผู้ปกครองก็ไปทำงาน พอต้องเปลี่ยนมาเรียนอยู่บ้านพ่อแม่มีความเครียดเพิ่มขึ้น ไหนจะต้องทำงาน ไหนจะต้องดูแลลูก ยิ่งถ้าเรียนแบบออนไลน์ เด็กเล็กจะถูกทิ้งให้อยู่กับหน้าจอมากกว่าเดิม ไม่ได้ไปไหน

“ทางโรงเรียนก็คุยกันว่าจะออกไปเยี่ยมเด็กแต่ละบ้าน ไปดูว่าเราสามารถช่วยเหลือเด็กได้อย่างไร คุยกับผู้ปกครอง เพราะเด็กที่นี่มีหลายระดับ มีทั้งที่พอจะดูแลตัวเองได้ กลุ่มเด็กอ่อน กลุ่มเด็กพิเศษ การสอนเราคงให้โจทย์ตามสถานการณ์ คิดกิจกรรมให้เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับครู กับทางบ้าน ครูจะต้องไปเยี่ยมนักเรียนบ้าง”

นอกจากแผนการรับมือ ครูเอ๋เล่าว่าตอนนี้เธอคิดบทเรียนสำหรับเทอมหน้าแล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับโควิด-19 เข้ากับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เนื้อหาเกี่ยวกับที่มาของเชื้อไวรัส สถานการณ์การแพร่ระบาด ผลกระทบที่เกิดทั้งที่ดีและไม่ดี การดูแลตัวเองควรทำอย่างไร วิธีการอยู่รอด การแพร่ระบาดในสังคมสะท้อนอะไรบ้าง  เชื่อมโยงเนื้อหาในหนังสือเรื่องระบบร่างกาย เกี่ยวข้องกับอวัยวะส่วนใดบ้าง พร้อมกับชวนเด็กๆ ทำกิจกรรมเย็บหน้ากากผ้าและทำเจลล้างมือ

รวมถึงครูเอ๋จะเชื่อมเนื้อหาที่เรียนไปถึงเรื่องของเพศวิถี เพราะตอนนี้นักเรียนของเธอกำลังสนใจดูซีรีส์เกี่ยวกับ LGBTQ (Lesbian, Gay, Bisexual, Transgender และ Queer หรือ Questioning) และอยู่ในช่วงวัยอยากรู้อยากลอง ถือเป็นโอกาสที่จะได้สอนพวกเขาเรื่องความหลากทางเพศ การเข้าใจตนเองและคนอื่น วิธีป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ โรคติดต่อทางเพศมีความเหมือนหรือความต่างกับการติดโควิด-19 อย่างไร

2

ครูยอดรัก ธรรมกิจ โรงเรียนบ้านอาวอย จังหวัดศรีสะเกษ สถานการณ์โรงเรียนของครูยอดรักตอนนี้กำลังรอฟังนโยบายจากกระทรวงศึกษาธิการว่า ถ้าเปิดเทอมแล้วรูปแบบการสอนจะเป็นเช่นไร ซึ่งตอนนี้ครูยอดรักกำลังวางโครงสร้างการเรียนการสอน นักเรียนของครูยอดรักเองมีปัญหาเช่นเดียวกับนักเรียนของครูเอ๋ คือ ไม่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยี

“ตอนนี้เราวางโครงเนื้อหาไว้แล้วว่าจะสอนอะไรเด็กบ้าง พอดีเทอมหน้าผอ. ขอให้เรามาช่วยสอนภาษาอังกฤษเด็กป.1-ป.4 เนื้อหาอะไรเราวางไว้เรียบร้อย หนังสือก็สั่งมาละ ส่วนรูปแบบการสอนคงต้องรอกระทรวงว่าจะมีนโยบายอะไร ถ้ากระทรวงให้เรียนแบบออนไลน์ ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้เด็ก ตัวเราที่เป็นครูก็ต้องเตรียมสื่อการสอน ตอนนี้ก็วางแผนว่าถ้ามันต้องออนไลน์จริงๆ ก็จะถ่ายคลิปลงยูทูปส่งให้เด็ก หรือถ้าเด็กคนไหนไม่พร้อมเรียนออนไลน์ เราก็จะเรียกมาสอนเป็นรายบุคคลแทน

“เด็กที่นี่บางคนไม่มีแม้แต่ทีวี ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ถ้าเรียนออนไลน์มันก็มีปัญหาหลายอย่างตามมา ต่อให้มีโทรศัพท์ มีอินเทอร์เน็ต แต่ความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่นี่ไม่ได้เหมือนกับในเมืองนะ ที่สำคัญเด็กส่วนใหญ่อยู่กับตายาย จะให้เขามานั่งเฝ้าลูกหลานเรียน เอาตรงๆ มันยากมากๆ โดยเฉพาะสำหรับเด็กป.1 – ป.3 แต่ถ้าสถานการณ์มันยังเลวร้ายอยู่อย่างนี้ การสอนออนไลน์คงเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยเด็กๆ ได้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง ดีกว่าเขาอยู่บ้านเฉยๆ

“ถ้าเด็กคนไหนไม่พร้อมจริงๆ เราจะเรียกให้มาเรียนที่บ้านเรา สักวันละคนสอนคนไม่ต้องทั้งห้อง นี่ก็วางแผนละว่าจะทำห้องๆ หนึ่งในบ้านให้เป็นโรงเรียนสำหรับเด็ก อย่างน้อยเราได้เจอเขาได้อยู่กับเขา ดูแลเขา”

นโยบายเบื้องต้นของโรงเรียนครูยอดรักจะเรียกผู้ปกครองมาทำความเข้าใจก่อน ชี้แจงว่าโรงเรียนจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนอย่างไร เพราะผู้ปกครองต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนของลูก

“การสอนของที่นี่เราเน้นให้เด็กทำกิจกรรม active ถ้าเปลี่ยนไปเรียนที่บ้านคงไม่สามารถทำได้ เพราะเราสอนเองเราจะเป็นคนเตรียมอุปกรณ์ให้ ถ้าให้เด็กเตรียมเองจะยาก คงทำได้แค่ฟังครู จดเนื้อหาตาม แล้วก็ทำใบงาน มันก็ส่งผลกระทบกับเด็กเหมือนกันนะ เขาไม่มีโอกาสได้เรียนรู้จากของจริง เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งวิชาภาษาอังกฤษ เด็กต้องฝึกพูด ฝึกปฎิบัติ ต้องทำงาน ต้องแสดงละคร สิ่งพวกนี้จะหายไปหมดเลย

“ก็คงต้องขอความร่วมมือจากผู้ปกครองให้ช่วยพาเด็กทำกิจกรรม active อย่างน้อยๆ ในพื้นที่บริเวณบ้าน เด็กได้ปลูกผัก ทำความสะอาดบ้านบ้าง ทำกับข้าว เลี้ยงไก่ เรียนรู้ทักษะชีวิตบ้างดีกว่ารู้ตัวหนังสือเฉยๆ ตอนนี้พอเลื่อนเปิดเทอมเด็กมีเวลามากขึ้น เขาก็อยู่บ้านช่วยพ่อแม่ทำงาน ปลูกมันสำปะหลัง แพ็คทุเรียนกรอบส่งขายต่างประเทศ”

3

ครูแนน – ปาริชาต ชัยวงษ์ สอนวิชาพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และวิชาประวัติศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์ จังหวัดนนทบุรี เธอเล่าว่า ถ้าในมุมภาพรวมของโรงเรียนยังไม่มีแผนที่แน่นอน เพราะสถานการณ์คาดเดาไม่ได้ โรงเรียนยังรอประกาศจากส่วนกลาง ตัวเธอเองไม่แน่ใจว่า ถ้าเลื่อนเปิดเทอมไปเป็นเดือนกรกฎาคมจะสามารถกลับมาเรียนได้ปกติ ซึ่งต้องรอส่วนกลางว่าจะมีมาตรการอะไร

“ที่โรงเรียนคุยกันว่าเป็นไปได้ไหมที่กระทรวงจะกระจายอำนาจ ให้โรงเรียนประเมินสถานการณ์และตัดสินใจเอง หรืออาจจะทำแผนเอ แผนบี แผนซีออกมา แล้วให้โรงเรียนเป็นคนเลือกว่าจะทำตามแผนไหน เช่น แผนเอ เปิดเรียนเดือนกรกฎาคม ถ้าโรงเรียนไหนไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสามารถเปิดเรียนได้ปกติ หรือบางโรงเรียนอาจจะเปิดเฉพาะบางระดับชั้น ตัวเราเองไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่ารัฐบาลกำลังมองปลายทางยังไง ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะควบคุมสถานการณ์ไปจนถึง ณ จุดไหน และเมื่อไรที่เราจะออกมาใช้ชีวิตกันได้ พอเราไม่รู้ตรงนี้เราก็แพลนอะไรไม่ได้มาก”

ถ้าในมุมปัจเจกบุคคล ครูแนนบอกว่า เธอคิดๆ ไว้เหมือนกันว่า ถ้าโรงเรียนไม่สามารถกลับมาเปิดเรียนได้ตามปกติ เธอควรปรับเปลี่ยนการสอนอย่างไร ระบบออนไลน์คงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เพราะเด็กที่นี่ส่วนใหญ่มีความพร้อมเข้าถึงระบบออนไลน์ได้

“ถ้าต่อไปมันต้องเรียนออนไลน์จริงๆ โจทย์ต่อไปจะทำยังไงให้เด็กอยู่หน้าจอน้อยที่สุด ไม่ต้องเรียนออนไลน์ทุกวิชา อย่างวิชาเราควรพาเขาออกไปทำอย่างอื่นให้ได้มากที่สุด ก็คิดอยู่นะว่าจะเป็นไปได้ไหม ถ้าปรับเป็นเด็กเลือกอ่านหนังสือสักเล่ม แล้วเขียน reflection ภายใต้ประเด็นเรียนรู้ที่กำหนดร่วมกัน แล้วเรา feedback รายบุคคล หรือออกไปหาประสบการณ์จากที่อื่นแล้วเขียนงาน มาคุยกลุ่มกัน ก็ปรับการเรียนรู้เป็นสิ่งที่สนใจรายบุคคลแทน เราอาจจะต้องขยับเนื้อหา ให้ตอบสนองบริบทปัจจุบันที่เด็กกำลังเจออยู่ และตอบจุดประสงค์ของการเรียนรู้ด้วย อะไรที่จะช่วยซัพพอร์ตให้เขาเติบโตภายใต้กรอบวิชาเรา

“ถ้าเด็กประถมเนื้อหามันสำคัญ เป็นความรู้พื้นฐานที่เขาต้องได้เพื่อไปต่อยอด แต่ระดับมัธยมปลายเนื้อหาใช้เป็นแค่ทางผ่านเพื่อให้เขาได้ทักษะบางอย่าง ได้คิด ได้รู้สึก ได้ปฎิบัติ เพื่อมองโลกและมองตัวเองในมุมอื่นๆ มันไม่ใช่แค่วิชาเรียน มันคือทักษะแห่งชีวิต อะไรก็ตามที่อยู่รอบตัวเรา แต่ที่ผ่านมามันแค่ถูกจับเอามาใส่กล่อง ความรู้มันถูกคัดเลือกมาเป็นความรู้มือสองให้เด็ก ดังนั้น เมื่อไรก็ตามที่เราไปยึดติดกับเนื้อ เราจะไม่ได้ถอยกลับมามองว่าสิ่งนี้มันซัพพอร์ตการเติบโตของเด็กยังไง ถ้าเขาต้องการแค่เนื้อทำไมต้องมาเรียนกับเรา? ไปเปิดหนังสือ หาในกูเกิ้ลเอาก็ได้ ที่เด็กจำเป็นต้องมีเราไม่ใช่เพราะเรารู้เนื้อหามากกว่า แต่เพราะเราอยู่ตรงนี้เพื่ออ่านพฤติกรรมการเรียนรู้ของเขา แล้วหาวิธีการซัพพอร์ตการเติบโตของเขา การเรียนรู้มันยืดหยุ่นมาก ถ้าไปยึดติดกับเนื้อหาก็คือจบ ไปต่อไม่ได้”

แม้คนจะพูดกันมากขึ้นว่า สมัยนี้คนเราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาโรงเรียน ยิ่งพอตอนนี้การเรียนออนไลน์เข้ามามีบทบาทถึงในรั้วโรงเรียน ในมุมครูแนนมีความคิดว่า ต่อให้มีเครื่องมือช่วยให้คนหาความรู้ได้เอง แต่พื้นที่ๆ ให้คนมารวมตัว เรียนรู้รวมกันยังคงจำเป็น เพราะพื้นที่นี้ยังมีฟังก์ชันอื่นๆ ที่ระบบออนไลน์ไม่สามารถให้ได้

“ขึ้นอยู่กับว่าเรานิยามโรงเรียนว่ายังไง ถ้าโรงเรียนหมายถึงอะไรก็ตามที่เป็น Learning community เป็นการรวมกลุ่มของกลุ่มคน ก็คิดว่ายังจำเป็นต้องมี คือเราต่างคนต่างไปเรียนก็ได้แหละ แต่เมื่อไรก็ตามที่เราได้ฟังคนอื่น ได้สบตากันตรงๆ เราจะได้เห็นโลกในมุมที่เราไม่เคยเห็น เราจะได้เข้าใจในสิ่งที่เราไม่เคยเข้าใจมาก่อน มันเป็นประสบการณ์ของคนอื่น เราไม่อาจเผชิญกับทุกประสบการณ์ในโลกด้วยตัวเองได้ แต่เมื่อไรที่เราอยู่กับคน 10 คนก็ 10 ประสบการณ์ ยิ่งถ้าเผชิญประสบการณ์ไปด้วยกัน มันก็ทำให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน ได้ตระหนักว่าเราอยู่ในสังคมเดียวกัน ถ้าไปนั่งเรียนออนไลน์เฉยๆ มันก็ไม่ใช่มนุษย์รึเปล่า ซึ่งการมีพื้นที่พวกนี้อาจจะไม่ต้องเป็นสิ่งที่เราเรียกว่าโรงเรียนในปัจจุบันก็ได้ มันคือที่ไหนก็ได้

“ระบบออนไลน์ยังมีข้อจำกัด เข้ามาแทนที่การเรียนรู้แบบเดิมไม่ได้ มันมีประสบการณ์บางอย่างที่เราจำเป็นต้องเจอไปด้วยกัน เช่น เด็กประถมเขาต้องเรียนรู้ที่จะรอคอย แบ่งปัน จัดการความขัดแย้ง มวลบรรยากาศการเรียนในห้องเรียนที่เราโฟกัสไปที่สิ่งเดียวกัน เทพลังไปที่มัน ไม่ใช่เดี๋ยวแมวร้อง แม่เรียกไปซักผ้า มันเป็นประสบการณ์เรียนรู้คนละแบบ

“แต่ที่แน่ๆ เราจะได้เห็นวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อเราได้เห็นว่าเด็กเขาบริหารเวลาได้เอง เขามีสิ่งที่สนใจและทุ่มเทกับมันเป็นพิเศษ เขาเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองมากขึ้น และจำเป็นต้องใช้เวลาในโรงเรียนน้อยลงเรื่อยๆ ครูเองได้โฟกัสเด็กเป็นรายบุคคลมากขึ้น ระบบแบบเหมาโหลที่เคยเป็นมาจะถูกเขย่า หลังจากนี้โรงเรียนอาจจะต้องกลับมาทบทวนว่า เวลาแต่ละนาทีที่เด็กอยู่ในโรงเรียนควรจะใช้ไปเพื่ออะไร”

4

แม้ตอนนี้แต่ละโรงเรียนจะอยู่ในช่วงเตรียมความพร้อม แต่บางโรงเรียนก็เริ่มเข้าสู่ระบบการเรียนออนไลน์แล้ว อย่างที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครูแอม – นิธิ จันทรธนู ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายบริการวิชาการและสื่อสารองค์กร และครูสอนวิชาการละคร เล่าให้ฟังว่า ตอนนี้โรงเรียนเริ่มการสอนออนไลน์ไปบ้างแล้ว เพราะโรงเรียนเปิด-ปิดเทอมตามมหาวิทยาลัย ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงเรียนของเด็กพอดี

ครูแอมเล่าย้อนไปตอนเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงที่การระบาดของโควิด-19 หนักขึ้น เป็นช่วงที่โรงเรียนสอบกลางภาคเสร็จพอดี นักเรียนกำลังหยุดพัก พอมีมาตรการให้คนกักตัว โรงเรียนตัดสินใจให้เด็กหยุดอยู่บ้าน ทีนี้โรงเรียนก็ต้องมาคุยกันว่าอีกครึ่งเทอมที่เหลือจะจัดการอย่างไร

“มันก็คือการเรียนทางไกล ซึ่งการเรียนทางไกลไม่จำเป็นต้องอินเทอร์เน็ตเท่านั้นนะ แต่โรงเรียนเราสำรวจนักเรียนเกือบทั้งหมดสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ เราเลยเลือกสอนแบบออนไลน์ ซึ่งการสำรวจทรัพยากรพื้นฐานของเด็กเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะ บางโรงเรียนเด็กเข้าถึงออนไลน์ไม่ได้ 100% แน่นอน การเรียนทางไกลมันไม่ใช่อินเทอร์เน็ตอย่างเดียว มันมีช่องทางอื่นอีก เช่น วิทยุ ช่องโทรทัศน์”

เมื่อเลือกแล้วว่าจะเป็นระบบออนไลน์ งานแรกที่ต้องทำ คือ ให้ความรู้ครูเรื่องการสอนออนไลน์ว่าทำอย่างไร วางแผนว่าจะใช้แพลตฟอร์มอะไรสอนเด็ก โดยสำรวจของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พบว่า เขาใช้ Microsoft teams ซึ่งอีเมลของอาจารย์และนักเรียนที่โรงเรียนใช้ของ Microsoft อยู่แล้ว มีแอคเคาท์ มีแบนด์วิดท์ที่รองรับได้ครอบคลุม โรงเรียนจึงตัดสินใจเลือกใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นแพลตฟอร์มหลัก ส่วนแพลตฟอร์มย่อยแล้วแต่วิชากำหนดเอง บางวิชาเด็กต้องทำโปรเจค อาจใช้ไลน์ (Line) หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ

“พอกำหนดวันเรียนเสร็จก็แจ้งผู้ปกครองต่อว่า โรงเรียนจะให้นักเรียนเรียนแบบออนไลน์ แต่เราบอกผู้ปกครองไว้ก่อนเลยนะว่าให้เด็กเป็นคนดูแลตัวเอง เพราะถ้าผู้ปกครองเข้ามามากเกินไปจะกลายเป็นเข้ามาควบคุม force ลูกตลอดเวลา ฉะนั้น เวลาจะส่งข่าวอะไรเด็กต้องรู้เป็นคนแรก เพราะเขาเป็นคนเรียน ถ้าผู้ปกครองรู้ก่อนจะกลายเป็นใช้อำนาจเหนือเด็ก เช่น ทำไมไม่ทำแบบนี้เพราะครูสั่งว่า… กลายเป็นอำนาจทับซ้อน เราก็เสนอว่าให้ผู้ปกครองอยู่ห่างๆ คอยดูแลเรื่องสำรับกับข้าว การบาลานซ์ในชีวิตลูก ส่วนเรื่องเรียนให้เด็กเป็นคนจัดการเอง ข้อดีคือโรงเรียนเราเป็นเด็กมัธยม ถ้าเด็กเล็กกว่านี้โจทย์อาจจะยากขึ้น”

ครูแอมเล่าต่อว่า ด้วยความที่โรงเรียนทดลองใช้ระบบออนไลน์ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม เริ่มเห็นว่ามีปัญหาอะไรบ้างที่ควรแก้ไข ถ้าสมมติต่อไปสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ ต้องเข้าสู่การเรียนออนไลน์แบบเต็มรูปแบบ มี 3 เรื่องที่ต้องวางแผน คือ 1.การจัดเนื้อหาวิชา อะไรที่ไม่จำเป็น ต้องตัดออก 2.วิธีออกแบบภาระงานให้เด็กทำ และ 3.วิธีประเมินผล

“การสำรวจเนื้อหานี้สำคัญมาก เนื้อหาบางอันมันอาจจะ too much (เยอะเกินไป) สำหรับเด็ก ตามทฤษฎีแล้วการเรียนออนไลน์ 100% มันเป็นไปไม่ได้ ควรมีออฟไลน์ผสมด้วยจะทำให้นักเรียนเป็นอิสระ มีช่องทางการเรียนมากขึ้น ถ้าให้เรียนออนไลน์แบบ 100% มันไม่บาลานซ์ งานหนักอยู่ที่เด็ก งานเยอะขึ้น เพราะเมื่อครูไม่สามารถประเมินเด็กได้แบบเรียลไทม์ ก็ต้องดูจากหลักฐานการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งก็คือการบ้านไง (หัวเราะ) แล้วมันไม่สามารถส่งเดี๋ยวนั้นได้เลย กลายเป็นสะสมงาน

“พอมีบทเรียนตรงนี้ก็ต้องกลับมาทบทวนใหม่เลยแหละ ทำยังไงให้เด็กได้เรียนรู้ในสภาวะที่เหมาะสม มนุษย์เราไม่ได้เกิดมาเพื่อออนไลน์ เกิดมาเพื่อปฎิสัมพันธ์ แล้ววันหนึ่งต้องมาออนไลน์ตลอดเวลา เรารู้สึกว่ามันส่งผลต่อมิติการรับรู้ของความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ จะให้เอาศาสตร์อะไรมาอธิบายก็เยอะแยะไปหมด เช่น ศาสตร์การเรียนรู้ ศาสตร์ทางจิตวิทยา มนุษย์ที่อยู่ในโลกเสมือนมากๆ มันจะเป็นยังไง ถึงเด็กยุคนี้จะเป็น digital age ก็เถอะ บางคนก็บอก ‘ชอบเล่นเกมนะครับครู แต่เวลาต้องมาเรียนออนไลน์ผมไม่ชอบเลย ผมเบื่อมากเลยอยู่แต่หน้าคอมตลอด’

“เรารู้สึกว่าการเรียนรู้ต้องมีระยะห่างมีช่องไฟที่พอดี ไม่งั้นอัดเด็กเกินไป ยิ่งเรียนออนไลน์ช่องไฟยิ่งต้องห่างไปอีก เพราะว่าเวลาให้งานเด็กเขาต้องมีเวลากำกับตัวเอง ไอเดียเบื้องต้นเราคิดว่าอาจจะเรียนเป็นบล็อก เช่น คอนเทนต์วิชานี้สอนและสอบให้เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์ อาจจะช่วยได้ เด็กจะได้โฟกัสไปเลยทีละวิชา เพราะทุกวันนี้เรียนวันละ 3-4 วิชา แล้วทุกวิชาจะมีงานให้เด็กทำหมดเลย มัน too much เกินไป แล้วการเรียนออนไลน์ไม่รู้ว่าจะทำให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ลดลงหรือเปล่าด้วย ทำให้แต่ละวิชาลดความคาดหวังลง วิธีประเมินผลเราไม่ใช้ข้อสอบให้เขียนงานตอบแทน สังเคราะห์งานจากคำถาม หรือวิชาอังกฤษสอบ speaking แทน”

ถือเป็นโจทย์สำคัญของการเรียนออนไลน์ การออกแบบจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนยังมีปฏิสัมพันธ์กับครูและเพื่อน ได้ลงมือปฎิบัติ นักเรียนสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาที่เรียนเข้ากับชีวิตจริงได้

“การที่เด็กปฏิสัมพันธ์กันเองในห้องมันก็เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ซึ่งเราก็สูญเสียไปเหมือนกันพอมาเป็นการเรียนทางไกล แล้วออนไลน์มันมีแนวโน้มที่จะเป็น passive ทางเดียว หรือมันอาจจะมี interaction ได้ไม่เท่ากับออฟไลน์อยู่แล้ว จะทำยังไงให้มัน active และ meaning กับเด็กในเรื่องการเรียนรู้นั้นๆ”

วิธีหนึ่ง คือ การจัดสัดส่วนวิชาให้บาลานซ์ ไม่หนักไปทางเนื้อหาอย่างเดียว ให้เด็กมีกิจกรรมอย่างอื่นทำ นอกเหนือจากการนั่งอยู่หน้าจออย่างเดียว ครูแอมบอกว่าเป็นสิ่งที่โรงเรียนกำลังทำอยู่ วิชาส่วนใหญ่จัดการเรียนให้ผสมกันระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ เขายกตัวอย่างวิชาศิลปะ เน้นให้เด็กลงมือปฎิบัติ ปลายเทอมมีโปรเจคให้เด็กทำ พอต้องเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์ เด็กยังคงทำโปรเจคเหมือนเดิม ซึ่งขึ้นกับตัวเด็กเองว่าอยากทำโปรเจคแบบไหน บางคนสร้างโมเดลโดยมีศิลปินที่ชื่นชอบเป็นต้นแบบ หรือบางคนออกแบบหนังสือ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ วิธีปรึกษาครู ทำผ่านออนไลน์แทน

“ถ้ามองว่ามันเป็นโอกาส ก็จะเป็นโอกาสดีที่ได้วิธีการเรียนรู้ใหม่ๆ จริงๆ มันก็ไม่ใหม่หรอก แต่เราแค่อย่าไปติดกับดักวิธีการ เราต้องกลับมาที่แก่นว่าจริงๆ แล้วการศึกษามันมีไปเพื่ออะไร เรื่องที่เขาควรจะเรียนรู้คืออะไร ในสภาวะแบบนี้ เรื่องที่เกี่ยวกับการกลับมาสำรวจตัวเองหรือเปล่า วิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับโรคต่างๆ หรือเปล่าที่เขาควรเรียนรู้ ประวัติศาสตร์ในยุคต่างๆ เคยมีโรคระบาดอะไรบ้าง การเล่นกับคอนเทนต์แบบนี้ ทำยังไงให้มันน่าสนใจ” ครูแอมกล่าวทิ้งท้าย

ครูแต่ละคนมีวิธีรับมือที่ต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันพวกเขาคำนึงถึงนักเรียนเป็นหลัก การคิดแผนการสอนต้องสอดคล้องกับบริบทของเด็กและสถานการณ์ปัจจุบัน ในช่วงสภาวะแบบนี้เด็กควรเรียนรู้เรื่องอะไร และถึงแม้ว่าตอนนี้ออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ มนุษย์สามารถหาความรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า เด็กๆ ยังคงต้องการพื้นที่เรียนรู้ร่วมกับคนอื่นๆ พวกเขายังต้องการคนที่มาช่วยวิเคราะห์ ช่วยหาเครื่องมือสำหรับเรียนรู้ที่เหมาะสม และซัพพอร์ตการเติบโตของเขา นั่นก็คือครู

Tags:

ยอดรัก ธรรมกิจปาริชาต ชัยวงษ์ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปัญชลีย์ ฉัตรอริยวิชญ์โรงเรียนDisruptionschool closureนิธิ จันทรธนู

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Illustrator:

illustrator

นัฐพล ไก่แก้ว

Related Posts

  • Social Issues
    NEW NORMAL ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกลไม่ใช่คำตอบ

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Social IssuesLearning Theory
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning TheorySocial Issues
    STUDY FROM HOME รวมคอร์สเรียนออนไลน์ในและต่างประเทศ และแพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนสำหรับครู

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

“วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง
Creative learning
13 April 2020

“วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง

เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • หลายมหาวิทยาลัยเริ่มมีวิชาทักษะชีวิตหรือศูนย์ให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพจิต เพราะความเครียดของคนรุ่นใหม่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ อีกต่อไป เช่นกันกับหน้างานของมะขวัญ-วิภาดา แหวนเพชร อาจารย์ผู้ใช้กระบวนการละครในการสอน ‘วิชาทักษะแห่งความสุข’ (happiness skills) ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
  • “คนจะมองว่าความสุขคือความสบายกาย สบายใจ เห็นความสุขเป็นรอยยิ้มอย่างเดียว แต่นิยามความสุขจากทุกศาสตร์ คือความสบายกายสบายใจ การที่เรามีความทุกข์แล้วเยียวยา ก้าวข้ามหรืออยู่กับมัน และการใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่า เพราะฉะนั้นถ้าคนจดจ่อแค่อันแรก มันก็เลยยากไง คนก็เลยไม่เอาความทุกข์เลย ผลักความทุกข์ออก ทั้งที่มันคือนิยามความสุข”
  • การแข่งขันในลูปที่ไม่เคยจบสิ้น, การ bully ในโรงเรียน, สภาพโลกและสังคมในปัจจุบัน และการต้องรับอารมณ์ทุกวันจากโซเชียลมีเดีย คือส่วนหนึ่งของภาวะการณ์คนรุ่นใหม่ที่เอามาเล่ากันในคาบเรียนนี้
  • วิชาทักษะแห่งความสุขคืออะไร ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ต้องเจอกับความเครียดแบบไหนบ้าง พบกันได้ที่บทความชิ้นนี้

บรรยากาศในวันพุธที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เต็มไปด้วยนักศึกษาหลากหลายคณะสวมชุดนักศึกษาสีขาวสะอาดตา ใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนคาบบ่าย เรามีนัดกับพี่มะขวัญ วิภาดา แหวนเพชร นักเขียน นักเขียนบทภาพยนตร์ และล่าสุดกับบทบาทอาจารย์ผู้ใช้กระบวนการละครในการสอนวิชาทักษะแห่งความสุข เพื่อสังเกตการณ์การเรียนการสอน แต่เมื่อก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องเรียน ที่นี่เราเห็นนักศึกษาในชุดที่หลากหลาย เสื้อสีสันสดใสตามโจทย์ที่ตั้งว่าให้นักศึกษาได้ใส่ชุดที่เขาอยากใส่ที่สุด เพื่อเรียนในหัวข้อ “who am I” ในวิชา Happiness Skills ทักษะแห่งความสุข

“โรคเครียด” “โรคซึมเศร้า” “การตัดสินใจปลิดชีวิต” เราเห็นข่าวคราวพวกนี้เกิดขึ้นโดยเกี่ยวพันกับรั้วมหาวิทยาลัยผ่านหน้าฟีดและสื่ออีกมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายมหาวิทยาลัยเริ่มมีวิชาทักษะชีวิต หรือศูนย์ให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพจิต ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ Viva city มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ Chula Student Wellness ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่โอบอุ้มสุขภาพจิตของนักศึกษา และอีกหลายมหาวิทยาลัย 

ในยุคที่เทคโนโลยีถึงพร้อม เราเข้าใกล้ความสุขได้ง่ายและราคาถูกลง ทำไมหลายมหาวิทยาลัยกลับเพิ่มรายวิชานี้และมีทีท่าจะเพิ่มในหลายรั้วมหาวิทยาลัย และจากที่พูดคุยกับอาจารย์ประจำวิชาและศูนย์ฯ เหล่านี้ พวกเขาบอกว่ามีนักศึกษาพากันมาพูดคุย ปรับทุกข์ และระบายปัญหาเชิงลึกไม่เว้นแต่ละวัน 

สถานการณ์แบบนี้ ยิ่งเชิญชวนให้เรามาคุยกับพี่มะขวัญ ผู้สอนวิชาทักษะแห่งความสุข ทำไมวิชานี้จึงจำเป็น ทักษะแห่งความสุขสร้างได้จริงเหรอ โลกสวยรึเปล่า? ถ้าทำได้ ทำอย่างไรกันนะ 

จากนักเรียนนิเทศฯ สู่การเป็นครู: กว่าจะมาเป็นอาจารย์ที่สอนเรื่องความสุขของมะขวัญ

“ตอนเด็กอายุประมาณ 9-10 ขวบ พี่ชอบเห็นตัวเองเขียนหนังสือ แล้วก็ชอบเห็นภาพตัวเองสอนวิชาแปลกๆ ในโรงเรียน เวลานึกภาพตัวเองในอนาคตจะเห็นตัวเองอยู่ท่ามกลางผู้คนแล้วก็หัวเราะมีความสุข แต่รู้ว่าวิชานั้นไม่ใช่ภาษาไทย สังคม แล้วพี่จะมองเห็นสองภาพนี้สลับไปสลับมาตลอดก็เลยเป็นอาชีพในฝัน เหมือนไม่ใช่เด็กที่ค้นตัวเองไม่เจอ ไม่หลงทางเลยชีวิตนี้ เห็นชัดมาก”

คำเกริ่นของพี่มะขวัญ ที่เล่าเรื่องเส้นทางของการทำงานสองอย่าง ทั้งงานเขียน งานเขียนบทภาพยนตร์ และงานสอนควบคู่กันไป ไม่เปลี่ยนจากในปัจจุบันมากนัก ในวัยเด็กของเธอมีทั้งด้านที่ขลุกตัวอยู่ในห้องสมุด ขณะที่อีกด้านเธอเป็นนักกิจกรรมตัวยงที่เป็นตัวตั้งตัวตีจัดค่ายธรรมมะตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษา เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ในคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นี่เองที่เป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตของเธอ

“จุดเปลี่ยนที่ทำให้เรามาถึงจุดนี้ เราเรียนนิเทศ จุฬาฯ เอกวารสารศาสตร์ แต่ว่าวิชาโทเราเลือกเรียนด้านการแสดง แล้วเวลาเรียนการแสดงต้องทำเวิร์กชอปเพื่อเข้าไปเป็นตัวละคร เข้าบท ทำละครเวที พี่ชอบกระบวนการเวิร์กชอปมากเลย หมายถึงได้แสดงบนเวทีพี่ก็สนุกและ enjoy นะ แต่พี่พบว่าตัวเองจะมีความสุขเวลาเอาคนมารวมกัน แล้วเรียนรู้ร่างกาย เรียนรู้อารมณ์แล้วเข้าถึงบท พี่ชอบตรงนั้นมาก”

 นอกจากความชอบเรื่องกระบวนการเวิร์กชอป การทำค่ายทานตะวัน ค่ายวิชาการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ออกไปสอนเด็กๆ และทำกิจกรรมตามต่างจังหวัดประมาณหนึ่งเดือนในทุกๆ ปีก็ทำให้พี่มะขวัญค้นพบความเป็นตัวเอง

“พอทำค่ายพี่ก็จะสอนแต่วิชาแนะแนวตลอดเลย พบว่ามันอยู่ในเลือด เรารู้เลยว่าเวลาเราเจอตัวเองหรือทำสิ่งที่มันเป็นตัวเอง นอกจากมันจะไม่มีคำถามกับตัวเองแล้ว ตัวที่วัดคือตอนที่เราเหนื่อย เรายินดีจะเหนื่อย หรือตอนที่เราเจ็บ หรือตอนที่เราแพ้กับมัน ข้างในลึกๆ เรายินดีที่จะทำให้ชนะ ก็เลยรู้ว่าอันนี้คือเรามากๆ เรียนจบปุ๊ปคนอื่นไปสมัครงานนิตยสารนู่นนี่ พี่ถือเรซูเม่เดินเข้าโรงเรียนรุ่งอรุณ ไปห้องผอ. แล้วบอกว่าหนูอยากสมัครเป็นครูที่โรงเรียนนี้ค่ะ”

การค้นพบโรงเรียนรุ่งอรุณผ่านนิตยสารอะเดย์เล่ม ‘โรงเรียนของฉัน’ ทำให้เธอพบว่าหากอยากจะเป็นครู ที่นี่ต้องเป็นที่บ่มเพาะที่ดีแน่ แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายของเด็กจบใหม่ โดยเฉพาะเธอจำเป็นต้องเปลี่ยนสายงานจากการเรียนนิเทศมาทำงานด้านการสอน  หลังจากผ่านการสอบสอนด้วยความไม่มั่นใจ แต่ทุ่มสิ่งที่มีในตัวเองจนหมดหน้าตัก เธอก็ได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนนักเรียนในชั้นป.4 วิชาภาษาไทย และการแสดง ผ่านความไม่รู้ และต้องเรียนรู้ตลอดเวลาในช่วงเวลาเทอมแรกของชีวิตการทำงาน

จนกระทั่งห้องเรียนของคุณครูมะขวัญเป็นเสมือนบ้านอันอบอุ่น จากมายเซ็ทที่ว่าเด็กก็มีความเป็นคนที่เท่ากัน เธอจึงเป็นเหมือนเพื่อนของเด็กในชั้นเรียนอีกคนนึงที่ทำให้นักเรียนหลายคนกล้าเข้ามาปรึกษา และสนิทสนมด้วย คล้ายว่าเป็นตอนจบที่แสนสุข  แต่ 3 เดือนต่อมา จากผลงานการสอนที่น่าประทับใจ เธอต้องตัดสินใจทางเลือกชีวิตอีกครั้งว่าจะเดินหน้าเป็นครูไปตลอดไหม เนื่องจากเธอถูกเสนอให้ไปเรียนต่อ และกลับมาเป็นครูระยะยาว ในขณะที่ตัวตนด้านนิเทศศาสตร์ก็เริ่มเรียกร้องให้กลับมาทำงานเขียน  

“ก็เลยเดินร้องไห้ไปลาออก”

หลังลาออกเธอกลับมาทำงานด้านนิเทศศาสตร์อย่างเต็มตัว ทั้งเขียนฟรีแลนซ์ให้นิตยสารหนีกรุง เว็บไซต์ read the cloud และนิตยสารสารคดี ทำงานเขียนเชิงท่องเที่ยวให้กับททท. ก่อนจะข้ามฝั่งไปเป็นทีมเขียนบททั้งที่ไม่เคยทำมาก่อนจากการชักชวนของเพื่อนสนิท ขณะที่เขียนบทเรื่อยๆ โดยมีผลงานฉายทางโทรทัศน์ผ่านช่อง Workpoint และช่อง 3 และบทภาพยนตร์อยู่ในสังกัดของค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่างสหมงคลฟิล์ม งานการสอนก็เริ่มเรียกร้องอีกครั้ง เธอจึงไปรวมกลุ่มกับเพื่อนทำงานแนะแนว ชื่อกลุ่มว่า life design

“เราอยากทำสองอย่างนี้ไปด้วยกัน เรารู้สึกว่าเสียงของเรามันชัด เราอยากทำมันคู่กันทั้งเขียนทั้งสอน”

จากภาพในวัยเด็กที่ตัดสลับไปสลับมาระหว่างงานเขียนและงานสอน เป็นดั่งเข็มทิศที่นำทางชีวิต และสะท้อนมายังภาพปัจจุบันของเธออย่างชัดเจน เพราะด้านนึงเธอเป็นคนทำงานสื่อ เป็นนักคิด นักเขียน ขณะที่งานด้านสอน ในช่วงแรกเธอเริ่มต้นจากงานแนะแนว ซึ่งปลุกให้เธอสนใจงานสอนอย่างจริงจังจนทำให้ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในระหว่างเรียนนั้นเองที่ทำให้เธอได้ทดลองอะไรหลายอย่าง เธอสะสมประสบการณ์ด้วยการช่วยพี่มะโหนก ศุภวิชช์ สงวนคัมธรณ์ทำสำนักงานส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ (Black Box) และช่วงที่จบเนื้อหาในชั้นเรียนไปแล้ว โอกาสก็แล่นมากระทบเธออย่างจัง เมื่อพี่ที่สนิทที่เคยเห็นเธอสอน เห็นแววและแนะนำให้ยื่นใบสมัครเข้ามาเป็นอาจารย์ในวิชาทักษะแห่งความสุข happiness skills ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

แต่ชีวิตไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ช่วงที่มหาวิทยาลัยตอบรับเธอเข้าสอน เธอกลับคิดว่าจะปฏิเสธ “เรารู้สึกว่าเราไม่เหมาะสมที่จะสอนวิชาเกี่ยวกับความสุข เพราะว่าเรายังเอาตัวเองไม่รอด พื้นฐานชีวิตเราค่อนข้างเป็นทุกข์ในระดับนึง ครอบครัวเราค่อนข้างจะแตกสลาย ตอนนั้นชีวิตเราค่อนข้างยากมาก แล้วก็ปัญหาชีวิตคู่ที่รักกันมานานเริ่มแตกสลาย เราคิดตลอดเลยว่าฉันไม่เหมาะสมกับวิชานี้เพราะฉันจะตายแล้ว”

ในขณะที่พี่มะขวัญเดินทางมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อที่จะปฏิเสธ ระหว่างที่นั่งอยู่เธอเห็นเด็กวิศวะสองคนที่เดินร้องไห้กันมา ภาพนั้นเปลี่ยนความคิดของเธอไปสิ้นเชิง

 “เราก็นั่งมองเด็กแล้วก็รู้สึกว่าเราจะสอนวิชานี้ เพื่อให้เด็กไม่ต้องมาร้องไห้แบบเรา แบบนี้ เราจะทำทุกวิธีให้ชีวิตแต่ละวันไม่ต้องเป็นแบบนี้”

 นี่คือความตั้งใจของเธอในการสอนวิชานี้

กว่าจะมาเป็นวิชาทักษะแห่งความสุข

“มหา’ ลัยเขาอยากเปิดวิชาเลือกแบบใหม่ๆ” 

คือจุดเริ่มต้นของการเปิดวิชา Happiness Skills ทักษะแห่งความสุข วิชาศึกษาทั่วไปในกลุ่มคุณค่าแห่งชีวิตของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยส่วนใหญ่ในช่วงแรกนักศึกษาที่ได้โควต้าจะเป็นนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ และอุตสาหกรรมเกษตร

ศึกษาหลักการทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์เชิงบวก โดยบูรณาการเพื่อการฝึกปฏิบัติทักษะแห่งความสุขในทุกบริบท เช่น การยอมรับความจริง การรู้จักการให้อภัย การมองโลกในแง่บวก และการรู้คิดเพื่อการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขทั้งในส่วนตน สังคม การงาน

ข้อความด้านบนคือคำอธิบายรายวิชาที่พี่มะขวัญออกแบบเนื้อหาเองใหม่ทั้งหมด เธอเล่าว่าเธอดีไซน์บนเป้าหมาย และคำถามที่ว่า “ถ้าหากเราย้อนเวลากลับไปได้ตอนอายุ 18-22 ปี เราอยากบอกอะไรตัวเอง มีอะไรที่เด็กในเวลานั้นต้องรู้บ้าง”

ไม่รอช้า เธอเริ่มศึกษาจากสภาพปัญหาเด็ก กระโจนลงไปในงานวิจัยเกี่ยวกับความสุขเพื่อหาแนวทางในการสอน แม้ตอนแรกการออกแบบจะเน้นวิทยาศาสตร์แห่งความสุข (science of happiness) เรียนเกี่ยวกับงานวิจัย แต่ด้วยชื่อที่พูดถึงทักษะแห่งความสุข พี่มะขวัญเลยออกแบบเนื้อหาให้นักศึกษาได้ฝึกทักษะ ใช้เครื่องมือ กระบวนการละคร และเวิร์กชอปที่เป็นสิ่งถนัดจึงถูกโยนเข้ามาในรายวิชา

Happiness skills เรียนอะไรบ้าง?

“ตอนที่เราสอนเรื่องความสุข เราโดนเพื่อนล้อว่าคนสอนมีความสุขหรือยัง? คนจะมองว่าความสุขคือความสบายกาย สบายใจ คนจะเห็นความสุขเป็นรอยยิ้มอย่างเดียว แต่นิยามความสุขจากทุกศาสตร์จริงๆ นิยามความสุขคือความสบายกาย สบายใจ, การที่เรามีความทุกข์แล้วเยียวยา ก้าวข้ามหรืออยู่กับมัน และการใช้ชีวิตอย่างรู้คุณค่า นี่คือนิยามเต็มๆ ของมัน เพราะฉะนั้นถ้าคนจดจ่อแค่อันแรก มันก็เลยยากไง คนก็เลยไม่เอาความทุกข์เลย ผลักความทุกข์ออก ทั้งที่มันคือนิยามความสุข”

จากนิยามความสุขทั้งสามข้อ พี่มะขวัญเลยตกตะกอนออกมาเป็นบทเรียนความสุขผ่านสามหัวข้อใหญ่ ได้แก่ ความสุขที่เริ่มจากตัวเอง, ความสุขที่เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ และ ความสุขที่เกี่ยวโยงกับโลก

ความสุขที่เริ่มจากตัวเอง

เนื้อหาจะประกอบไปด้วยเนื้อหาที่เรียนรู้ตัวเอง ซึ่งเป็นคาบที่ผู้เขียนมีโอกาสไปสังเกตการณ์ชื่อ ฉันเป็นใคร (Who am I?) ผ่านการฟัง เข้าใจ รู้จักตัวเอง หัวข้อต่อไปจะเรียนเรื่องเป้าหมายในชีวิต (Life purpose) หาเป้าหมาย ความหมาย หรือสิ่งที่เราอยากทำ และหัวข้อที่สาม คือพลังงานแห่งชีวิต (life battery) หาแหล่งพลังงานจากตัวเรา วิธีเติมพลังให้เรามีชีวิตอยู่คืออะไร

ความสุขที่เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์

งานวิจัยที่นานที่สุดในโลกเรื่องความสุขของฮาร์วาร์ด ชื่อ Harvard Study of Adult Development พูดว่าความสัมพันธ์ที่ดีนำมาซึ่งความสุข คาบเรียนจึงเริ่มด้วยการรู้จักคนอื่น คาบต่อมาคือเรื่องความสัมพันธ์ ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรามีใครบ้าง และจะรักษาแต่ละความสัมพันธ์อย่างไร หัวข้อถัดไปคือเรื่องความรักแบบคู่รัก และหัวข้อสุดท้ายในเรื่องความสัมพันธ์คือการกลับมารักตัวเอง (love yourself) พาเด็กมาสู่ด้านที่ไม่ชอบในตัวเอง เพื่อให้เราอยู่ได้กับทุกด้าน แต่เนื่องจากในห้องเรียนอาจมีนักศึกษาที่มีภาวะซึมเศร้า เพราะฉะนั้นการสอนจะพาไปด้านน่าเกลียดที่เบาๆ เช่น ขี้เกียจ ชอบนอน เพื่อโอบรับอีกด้านในตัวเรา

ความสุขที่เกี่ยวโยงกับโลก

งานวิจัยมองว่าทัศนคติ (mind set) หรือวิธีการที่เราจะมองโลกคือตัวที่จะนำมาซึ่งความสุข เรามองโลกยังไงเราใส่แว่นสีไหน ชีวิตเราก็จะเป็นแบบนั้น การเรียนการสอนเริ่มต้นด้วยคาบทัศนคติ (mind set)  คาบต่อมาเป็นความทุกข์ ด้วยการชวนนักศึกษาลงไปเจอว่าวันที่เรามีความทุกข์กันมาเราข้ามมายังไง ให้เด็กไปเจอเครื่องมือที่ตัวเองใช้ ได้ไปเจอรากความแข็งแกร่งในตัวเอง 

คาบ now เป็นคาบเกี่ยวกับการตระหนักรู้ (awareness) ซึ่งเป็นกุญแจของความสุข การถอยออกมาโดยที่ไม่ตัดสิน และอยู่กับทุกสภาวะอย่างมั่นคงในตัวเองไม่ว่าอะไรจะเข้ามา คาบนี้จะให้ทำกิจกรรมนับข้าวสาร ปักผ้า วาดรูปหรือให้ทำกิจกรรมอะไรที่นักศึกษาคิดว่าจะลงไปอยู่กับโมเมนท์นั้นอย่างเต็มที่ และคาบสุดท้ายเป็นคาบ meaningful life the last lecture จะได้ไปเจอความหมายของการมีชีวิตอยู่ของทุกคน ซึ่งเป็นนิยามสุดท้าย นี่คือสิ่งที่พี่มะขวัญดีไซน์

“เหมือนมาหาพี่สาวที่ร้านกาแฟ”

“เหมือนมาหาพี่สาวที่ร้านกาแฟ”

คือประโยคที่ได้มาจากการสะท้อนของนักศึกษาในคลาส พี่มะขวัญดีไซน์ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่เรียน แต่บรรยากาศของห้องเรียนก็ถูกออกแบบให้เด็กผ่อนคลายและสบาย เสียงเพลงและแสงไฟถูกออกแบบไว้อย่างละเอียดว่าจะเปิดตอนไหน เพื่อให้สร้างความรู้สึกแบบใด นอกจากแสงสีเสียงแล้ว มวลในห้องก็แสนอบอุ่น

“สิ่งที่เราพยายามสร้างให้เกิดในห้องเรียนก่อนความรู้ คือความสัมพันธ์” 

บรรยากาศความเป็นเพื่อนระหว่างพี่มะขวัญกับเด็ก ระหว่างเด็กกับเด็กก็ถูกวางให้พวกเขาได้ทำกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ เพื่อสร้างพื้นที่ที่โอบรับได้ เพราะงานวิจัยของ Shawn Achor นักวิจัยความสุขบอกว่าความสุขเป็นทีมกีฬา team sport เป็นการจับมือทำด้วยกัน สิ่งที่เป็นเป้าหมายของพี่มะขวัญจึงทำให้เด็กในห้องเรียนทุกคนจับมือและไปด้วยกัน เมื่อความสัมพันธ์แบบเพื่อนเริ่มเกิด หลังจากนั้นการเรียนการสอนก็จะไปได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับการออกแบบกิจกรรมเพื่อประกอบเนื้อหานั้นพี่มะขวัญใช้วิธีหาแก่นของเรื่อง (Key message) ที่อยากนำเสนอ และหาวิธีสื่อสารไปยังผู้ฟังซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับการเขียนบท กิจกรรมที่ใช้มีทั้งจิตปัญญาศึกษา ทั้งกระบวนการละคร เช่น การให้เด็กได้สำรวจร่างกายตัวเอง นอกจากนี้ยังมี free writing การเล่นเกม และอื่นๆ การใช้กิจกรรมพวกนี้จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ติดตัวผู้เรียน พวกเขาสามารถใช้ได้จริงเมื่อเกิดปัญหาในชีวิตที่พ้นจากห้องเรียนไปแล้ว

“เราพยายามจะเปิดรับทุกอย่าง รู้อะไรมาก็อยากเอามาลองใช้ มีกิจกรรมที่เราเคยรู้มาในชีวิตนี้ก่อน แล้วก็จะเริ่มจากการลองดีไซน์อะไรใหม่ๆ ขึ้นมาแล้วคิดว่าเด็กน่าจะเรียนรู้สิ่งนี้จากอันนี้ได้ ทดลองไปมั่วๆ“ 

พี่มะขวัญยังเสริมอีกว่าการสอนจะถูกปรับเปลี่ยนอีกเสมอผ่านธรรมชาติของเด็กในห้อง ฟีดแบกที่ได้รับ และวิธีการนำเสนอจากคนสอนที่ตกตะกอนมากยิ่งขึ้น

สอนความสุข แต่เห็นความทุกข์ของเด็กยุคนี้

อาจจะเพราะเป็นวิชาความสุข คนที่มาเรียนเลยน่าจะเป็นคนที่ต้องการคำตอบอะไรบางอย่าง กำลังประสบภาวะอะไรบางอย่างอยู่ หรืออาจเพราะธรรมชาติของอาชีพเธอเอง นิสัยส่วนตัวที่เป็นคนชอบฟัง เลยทำให้ผู้คนชอบมีคนมาเล่าเรื่องราว ทำให้พี่มะขวัญเห็นถึงความทุกข์ของเด็กยุคนี้ได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ปัญหาคลาสสิกอย่างปัญหาการเรียน เด็กอยากซิ่ว ไม่แน่ใจกับคณะที่เรียนอยู่ เมื่อพวกเขาต้องเจอช่วงสอบกลางภาค ปลายภาค เขาจะเกิดความไม่แน่ใจว่าเขาทำสิ่งนี้ทำไมจนเกิดเป็นความทุกข์

“เคสแบบนี้เยอะชนิดที่บางวันช่วงสอบกลางภาค/ปลายภาคพี่ต้องให้คำปรึกษาเด็กหกคนต่อวัน ไม่นับหลังเลิกเรียน ปีที่แล้วช่วงสอบปลายภาค พี่สอนเช้ายันเย็นสองทุ่มก็ยังมีเด็กมาร้องไห้จนเสื้อพี่เปียกทุกคาบ คือเวลาเด็กร้องไห้พี่ก็จะแบบรู็สึกว่าไม่เป็นไรเลย เราเป็นเพื่อนกัน ร้องไห้ได้ ทุกคาบก็จะรู้สึกว่าเด็กยุคนี้มันเป็นอะไรกัน นี่มันคือปรากฏการณ์อะไร เราอยากเข้าใจจัง” พี่มะขวัญเสริม

“การแข่งขันในลูปที่ไม่เคยจบสิ้น” คืออีกหนึ่งปัญหาที่พี่มะขวัญพบจากเด็กเมื่อปีที่ผ่านมา เสียงของนักศึกษาพูดถึงการต้องแข่งขันการเรียนผ่านการสอบเกือบทั้งชีวิตวัยรุ่น และต้องแข่งขันเพื่อไปทำงานที่ดีในอนาคต สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาเหนื่อยและท้อกับการใช้ชีวิต 

ปัญหาต่อมาที่เจอ คือเด็กต่างมีประสบการณ์ bully ในโรงเรียน และเป็น bully ในแบบเดียวกันคือโดนแบน นอกจากนี้ยังมีปัญหาซึมเศร้าที่มันมีอยู่แล้ว รวมไปถึงปัญหาที่เริ่มเจอมากขึ้นเรื่อยๆ คือปัญหาเรื่องเพศสภาพ – ‘ผมเป็นเกย์แต่ไม่กล้าบอกที่บ้าน’ ‘ผมเป็นเกย์แต่ศาสนาไม่ให้’ ‘ผมเป็นเกย์จะเปิดตัวยังไง’ ‘ผมเป็นตุ๊ด’ ‘หนูเป็นทอม’ ‘หนูชอบผู้หญิง’

จากปัญหาที่เธอเจอมาทั้งจากการปรึกษา และการเขียนงาน reflection ส่งท้ายคาบเรียน เธอคิดว่าสาเหตุที่่เด็กมีภาวะซึมเศร้าเกิดจากสภาพโลกและสังคมในปัจจุบัน

“พี่คิดถึงสภาพโลกตอนนี้ คนมันเยอะขึ้น ทรัพยากรมันลดลง มนุษย์ทุกคนในโลกตอนนี้กำลังเจอสภาวะบีบคั้นเดียวกันคือโลกมันเสื่อม โลกมันร้อน มีไฟไหม้ มีฝุ่น ใช้ชีวิตยากกว่าคนเมื่อร้อยปีที่แล้วที่อากาศดีตื่นมาทุ่งดอกหญ้า แค่นี้มันก็เป็นความทุกข์แล้ว แล้ว

อีกอย่างที่เจอเลย รู้สึกว่าเด็กยุคนี้หรือคนยุคนี้ต้องรับอารมณ์ทุกวัน เห็นจริงๆ ว่าการเล่นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ เลื่อนโพสต์นึงรู้สึกแบบนึง อีกโพสต์นึงรู้สึกแบบนึง สิ่งที่เด็กจะรู้สึกเยอะขึ้นคือไม่รู้สึก (numb) จิตใจเราไม่ได้ถูกดีไซน์ให้รับอารมณ์เยอะขนาดนั้น มันรู้สึกเยอะเกินไปในแต่ละวัน แค่สองอย่างนี้ไม่ต้องพูดถึงอะไรเลยมันก็ทำให้ง่ายแล้วที่เราจะซึมเศร้า

มากกว่าแค่สอน แต่รับฟัง และให้พื้นที่

“เด็กต้องการแค่ครูคนนึงที่เป็นเพื่อน รับฟัง และไม่ตัดสิน เด็กแค่ต้องการพื้นที่ในการที่เขาจะเป็นเขาได้ตลอด พี่ว่าอันนี้สำคัญมาก ไบเบิลของพี่คือพี่อยู่เป็นเพื่อนนักเรียนได้ ในวันที่เขาต้องการและเวลาที่พี่ไหว เราไม่เคยรำคาญเวลาเด็กมาแชร์ความเป็นมนุษย์ให้ฟังเลยหรือแชร์ความทุกข์ หรือแชร์เรื่องราว มีความสุขแล้ววิ่งมา บอกเรา เราไม่รำคาญเลย แต่รู้สึก ‘ดีใจจังที่เขาไว้ใจ’ ”

ไม่ใช่การสอนเรื่องความสุขในห้องเรียน แต่หลายครั้งหลังคาบ หรือเวลาอื่นๆ พี่มะขวัญยังต้องรับฟังและเป็นเพื่อนเด็กในช่วงที่พวกเขาเป็นสุข และทุกข์ แต่เธอย้ำว่าจำเป็นต้องรู้ข้อจำกัดว่าไม่ใช่นักจิตวิทยา ไม่ใช่แพทย์ ถ้าหากสังเกตว่าเริ่มมีข่ายอาการที่น่าเป็นห่วงก็จะให้คำแนะนำไปหาผู้เชี่ยวชาญมากกว่า

“คนเป็นครูน่าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดและทำงานกับโลกภายในของตัวเองให้ดี เพราะไม่งั้นปมเราจะออกมาทำร้ายเด็ก แต่พี่เห็นตัวเองเลยนะ พี่อยากขอบคุณมหา’ ลัยนี้ซ้ำๆ ที่ให้สอนวิชานี้ พี่เรียนรู้ที่จะเป็นครูที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วบางทีพี่ก็เป็นครูที่ไม่ดี บางทีพี่ก็ทำสิ่งที่ไม่ดีกับเด็ก บางทีพี่ก็ไปเรียกร้องเอาจากเด็ก แล้ววันนั้นพี่จะได้กลับมาทบทวนตัวเองว่าเออ วันนี้เกิดเพราะอะไร มันเห็นเลยระหว่างวันที่เราสอนเพื่อตัวเองกับวันที่เราสอนเพื่อเด็ก” 

พี่มะขวัญยังย้ำอีกว่าการสอน หรือการทำหน้าที่ของครูจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง และแนะนำว่าการดูแลคนใกล้ตัวที่กำลังทุกข์ใจด้วยการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และเข้าใจความเป็นมนุษย์ที่ผิดพลาดได้ของคนตรงหน้าไม่คาดหวังให้เขาเก่งกว่านี้หรือดีกว่านี้ แต่รับฟังแล้วอยู่กับเขาในฐานะคนกับคน  ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น

เครื่องมือมีความสุขในทุกวัน

เราถามคำถามก่อนจากกันว่าหากคนทั่วไปที่ไม่ได้มีโอกาสเรียนวิชานี้ พี่มะขวัญพอจะมีวิธีในการหาความสุขไหมในแต่ละวัน เธอคิดเล็กน้อยก่อนตอบว่า

“ให้เรื่องความสุขเป็นเรื่องง่ายเหมือนกับการอาบน้ำในแต่ละวัน เหมือนการกินข้าว”

พี่มะขวัญหยิบคำแนะนำของ Shawn Achor ที่ได้จากงานวิจัยมาเล่าให้เราฟังว่าหากทำ 5 สิ่งนี้วันละ 2 นาที ติดต่อกันเป็นเวลา 21 วัน จะทำให้เรามีความเครียด ความกังวลลดลง และมีแนวโน้มว่าเราจะมีความสุขขึ้น โดยหลักใหญ่ใจความของการมีความสุข คือการดูแลพื้นที่ของชีวิต ร่างกายและจิตใจให้ดี 

อย่างแรกเลยคือการแบ่งเวลา 15 นาทีในการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เคลื่อนไหวร่างกายให้มันซู่ซ่า ระบายเหงื่อให้ออกอาจจะใช้วิธีการเล่นกีฬา การเต้น อะไรก็ได้ที่ทำให้เราสนุกและอยากจะทำในทุกวัน

ถัดมาคือการพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีด้วยการพูดขอบคุณสิ่งดีๆ ของผู้อื่น ทั้งพูดต่อหน้า ส่งจดหมาย แชทไปหา ฯลฯ การกระชับความสัมพันธ์แบบนี้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง และสร้างความสุขในระยะยาว เพราะความโดดเดี่ยวเป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงอย่างหนึ่งของมนุษย์

ข้อสามและข้อสี่นั้นคล้ายคลึงกัน ก่อนจะหลับตานอนในทุกวัน เขียนขอบคุณอะไรก็ได้ 3 สิ่ง โดยห้ามเขียนซ้ำกัน สิ่งนี้จะเป็นแหล่งพลังงานชีวิต ทำให้เรามีความสุขง่ายขึ้นกับสิ่งเล็กน้อย ช่วยให้เราเปลี่ยนมายเซ็ทและวิธีการมองโลกได้ และการคิดถึงสิ่งที่มีความสุข วันละ 3 สิ่ง จะช่วยให้เราแสกนหาความสุข และสิ่งที่มีความหมาย

ข้อสุดท้าย คือ การทำสมาธิ 2 นาทีต่อวัน ด้วยวิธีการสังเกตลมหายใจเข้าออกตามธรรมชาติ พี่มะขวัญเล่าว่าการนั่งสมาธิช่วยสร้างพื้นที่ในใจเราให้มั่นคง “ตอนที่เจอปัญหาหนักๆ พี่ไม่รู้เลยว่าการฝึกสติ สมาธิมันใช้อะไรได้จนเจอปัญหา บางวันตื่นมามันรู้สึกเหมือนเราเป็นเรือแล้วอยู่ท่ามกลางพายุ ปั่นป่วนแล้วเราจะยืนยังไง การอยู่กับลมหายใจมันทำให้เรายืนได้ ทำให้เรามั่นคงในตัวเอง เราเจอสภาวะเดียวกันทั้งโลก โลกมันแย่ลง จิตใจเราต้องรับอารมณ์ทุกวัน”

Tags:

กลั่นแกล้ง(bully)ซึมเศร้าวัยรุ่นวิชาความสุขจิตวิทยาวิภาดา แหวนเพชร

Author:

illustrator

กรกมล ศรีวัฒน์

Photographer:

illustrator

ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

Related Posts

  • How to get along with teenager
    เปิดใจ-รับฟัง ช่วยวัยรุ่นแก้ปัญหาอย่างนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    เข็นวัยแสบขึ้นภูเขาอย่างเข้าใจและให้เวลา: ‘หมอมิน’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Social Issues
    กรณีศึกษารัฐมิสซิสซิปปี้: วัยรุ่นซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่จะได้เข้ารักษา

    เรื่อง The Potential

  • Life classroom
    BE KIND TO YOURSELF : ใจดีกับตัวเองบ้าง…วัยรุ่น

    เรื่องและภาพ SHHHH

  • Social Issues
    พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ห้องเรียนที่บ้าน: 5 วิชาจากโคโรน่าไวรัส เปลี่ยนวิกฤตเป็นสนามการเรียนรู้ของเด็กๆ
Social Issues
13 April 2020

ห้องเรียนที่บ้าน: 5 วิชาจากโคโรน่าไวรัส เปลี่ยนวิกฤตเป็นสนามการเรียนรู้ของเด็กๆ

เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • ในวิกฤตโคโรน่าไวรัส มีเรื่องอะไรที่ชวนกันคุยในบ้านได้บ้าง? นี่คือ 5 ประเด็นจากโรคระบาดที่ผู้ปกครองชวนเด็กๆ พูดคุย ทำความเข้าใจ เพื่อไม่ทำให้วิกฤตครั้งนี้ลอยนวลโดยไม่สร้างการเรียนรู้ต่อกัน
  • 5 เรื่องที่ผู้เขียนอยากชวยคุยคือ โคโรน่าไวรัสในประเด็นชีววิทยา สุขศึกษา จิตสำนึกสาธารณะ มนุษยธรรม และ สัจธรรมของโลก

ไวรัสโคโรนาคือสึนามิขนาดใหญ่ที่ถาโถมเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราทุกคนบนโลกใบนี้อย่างรวดเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทัน เป็นวิกฤติที่เท่าเทียมทั่วถึงอย่างไม่เลือกหน้า ผลกระทบที่เห็นชัดเจนคือการหยุดชะงักในกิจกรรมหลายอย่าง ทั้งการผลิต การจำหน่าย การบริการ การเดินทาง การท่องเที่ยว ฯลฯ  พื้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทุกคนคือการอยู่กับบ้าน ลดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโรค

ในวิกฤติมีการเรียนรู้ซ่อนอยู่เสมอหากเรามองหามันพบ จะดีไหม ถ้าเราสามารถเชื่อมโยงวิกฤติครั้งนี้ให้กลายเป็นห้องเรียนและบทเรียนสำหรับเด็กๆของเรา เป็นการยืนยันว่าการเรียนรู้นั้นเป็นไปเพื่อเชื่อมโยงสัมพันธ์ตัวเองกับโลกและเกิดขึ้นทุกที่ทุกเวลาได้ตลอดชีวิต

ห้องเรียนชีววิทยา

ในโลกของเรานี้ มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ด้วยมากมายทั้งที่มองเห็น เช่น คน พืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่มองไม่เห็น เช่น ไวรัส แบคทีเรีย ยีสต์ เชื้อรา ฯลฯ บางอย่างเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แม้แต่ร่างกายของคนเราโดยเฉพาะในระบบย่อยอาหารก็มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อาศัยอยู่ ทำหน้าที่ช่วยยับยั้งเชื้อร้าย กระตุ้นการย่อยอาหารและภูมิคุ้มกัน บางอย่างใช้ถนอมอาหารได้ เช่น หมักดอง ทำขนมปัง ผลิตเนย เป็นต้น

ส่วนไวรัสเล็กจิ๋วที่กำลังสร้างปัญหาให้มนุษย์เราอยู่นี้คือไวรัสโคโรน่า เมื่อเราได้รับเชื้อผ่านการสัมผัส หรือสูดละอองฝอย(จากการไอ จาม หายใจของผู้ติดเชื้อ)ที่ปะปนอยู่ในอากาศ มันจะแพร่ไปตามเซลล์เยื่อบุคอ ทางเดินหายใจ ปอด และผลิตจำนวนไวรัสเพิ่มในร่างกายของเรา จนทำให้ปอดติดเชื้อ ปอดอักเสบและเสียชีวิตได้

ห้องเรียนสุขศึกษา

เนื่องจากไวรัสโคโรนามีขนาดเล็กจิ๋วและไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา เวลาที่เราสัมผัสสิ่งของต่างๆ ที่มีการใช้ร่วมกัน หรือในพื้นที่สาธารณะ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได้ ปุ่มกดลิฟท์ ซึ่งอาจมีคนที่ติดเชื้อไปสัมผัสมาก่อน ทำให้มือของเราเป็นแหล่งรับเชื้อโรคตลอดเวลา เมื่อเราไม่ได้ระมัดระวังตัวเองมากพอ เผลอเอามือขยี้ตา แคะจมูก หรือสัมผัสใบหน้า จึงทำให้เชื้อโรคจากมือติดต่อมาสู่เราได้

แม้จะเป็นเชื้อร้ายทำลายสุขภาพ แต่ไวรัสโคโรน่าก็ถูกทำลายได้ง่ายมาก ถ้าเราหมั่นล้างมือด้วยสบู่เสมอ เช่น ล้างมือก่อนกินหรือสัมผัสอาหาร ก่อนสัมผัสใบหน้า เมื่อสัมผัสสิ่งของสาธารณะที่ใช้ร่วมกับคนอื่น หลังใช้ห้องน้ำ หลังไอหรือจาม หลังทิ้งขยะ หลังสัมผัสสัตว์เลี้ยง ก่อนสัมผัสเด็กหรือผู้สูงอายุ

การล้างมือที่ดีคือการล้างด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาที (หรือร้องเพลงช้างจบสองรอบ) เพราะมือเรามีรอยยับย่นหลายจุด การล้างมือให้นานพอ จะทำให้สบู่ชำระได้ทั่วถึง น้ำสบู่จะเข้าไปทำลายโปรตีนและไขมันที่เป็นเกราะป้องกันตัวของไวรัสโคโรนาให้แตกออกและหมดฤทธิ์ไปในที่สุด

ห้องเรียนจิตสำนึกสาธารณะ

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมเป็นกลุ่มสังคม ทุกสิ่งที่เรากระทำจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นและโลกใบนี้ทางใดทางหนึ่งเสมอ ดังนั้น เป็นโอกาสที่ดีของการชวนเด็กๆ มาเรียนรู้เรื่องการอยู่อย่างรับผิดชอบการกระทำของตัวเองในทุกเรื่องในชีวิต เช่น การไม่ทิ้งขยะเรี่ยราด การลดใช้พลาสติกในชีวิตประจำวัน การใช้จักรยานในระยะเดินทางใกล้ๆ แทนการใช้รถ ฯลฯ

ส่วนในกรณีของโรคระบาดนี้ เด็กๆ สามารถเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติตนเพื่อให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยไร้โรคได้ เช่น  สวมหน้ากากอนามัย(ผ้า)เสมอเมื่อออกจากบ้านเพื่อลดการแพร่และรับเชื้อโรคจากการหายใจ พกผ้าเช็ดหน้า เมื่อไอและจามต้องปิดปาก หรือจามใส่ข้อพับศอกเพื่อลดการปนเปื้อนที่มือ(ซึ่งจะใช้หยิบจับพื้นที่สาธารณะร่วมกัน) และล้างมือล้างข้อศอกด้วยสบู่ทันที เมื่อไม่สบายต้องอยู่บ้าน ไม่ออกไปโรงเรียน ไปทำงาน หรือไปในที่สาธารณะ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว พกพาภาชนะกินอาหารและน้ำของตัวเอง ลดการใช้สิ่งของร่วมกันเวลาที่ออกไปข้างนอก หรือแม้แต่ในบ้านทุกคนก็ควรมีชุดอาหารเฉพาะสำหรับตัวเอง

ห้องเรียนมนุษยธรรม

ในท่ามกลางวิกฤติใหญ่แบบฉับพลันทันที ทำให้หลายคนตกงาน ไร้ที่อยู่อาศัย ขาดแคลนสิ่งของจำเป็น เราอาจชวนลูกเรียนรู้เรื่องการแบ่งปันให้กับผู้อื่น เช่น การแบ่งปันอาหารสำหรับผู้ยากไร้ การเป็นอาสาสมัครช่วยทำเฟสชิลด์สำหรับบุคลากรการแพทย์ การแบ่งปันหน้ากากผ้าให้แก่ผู้ขาดโอกาสต่างๆ

สิ่งสำคัญของการแบ่งปันคือทำให้เด็กๆเรียนรู้สถานการณ์จริง เชื่อมโยงกับตัวเอง เชื่อมโยงกับคนอื่น เกิดความเห็นอกเห็นใจ และลงมือทำบางอย่างที่ทำได้อย่างไม่ดูดาย เพราะความเมตตาคือสิ่งค้ำจุนโลกและทำให้มนุษยชาติผ่านพ้นวิกฤติไปร่วมกันได้อย่างไม่ยากลำบากเกินไป

ห้องเรียนสัจธรรมของโลก

แม้อาจเป็นเรื่องยากสักหน่อยสำหรับเด็ก(ถ้าเล็กมาก) แต่การเชื่อมโยงความเข้าใจโลกและธรรมชาติตามความเป็นจริงได้  นี่คือโอกาสสำคัญของการเรียนรู้จากวิกฤติครั้งนี้ โควิดทำให้เรารู้ว่าทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้นบนความไม่แน่นอน แม้บางอย่างที่เราเชื่อมั่นยึดถือว่าจะคงอยู่ตลอดไปก็ยังสูญสลายได้ในพริบตา ดังนั้น ทั้งพ่อแม่และเด็กๆอาจเริ่มต้นเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างรู้ตัวรู้ตน(มีสติ)มากขึ้น ใช้ชีวิตช้าลง ใคร่ครวญมากขึ้น  เราอาจเริ่มมองเห็นได้ว่าความต้องการที่เป็นสิ่งสำคัญจริงแท้นั้นไม่ได้มากมายอย่างที่เราเคยคิดต้องการ

บางคนใช้วิกฤติเป็นโอกาสสร้างแหล่งอาหารในบ้านของตนด้วยการปลูกผักสวนครัว บางคนเรียนรู้เรื่องการทำอาหารกินเอง  แม้ไม่คุ้นเคยสะดวกสบายแต่ก็สร้างแนวโน้มให้เราเห็นว่ามนุษย์ทุกคนสามารถอยู่อย่างพึ่งตนเอง ด้วยความพอเพียงเรียบง่ายได้ อาจทำให้เริ่มตระหนักว่าที่ผ่านมาเราได้ใช้ชีวิตบริโภคอย่างล้นเกินแค่ไหน  มนุษยชาติได้ทำร้ายทำลายโลกมากมายเพียงใด ดังเห็นได้ชัดว่า เพียงแค่กิจกรรมของมนุษย์ชะงักลง สถานการณ์สิ่งแวดล้อมทั่วทั้งโลกก็ดีขึ้นทันที อาทิ อากาศก็ดีขึ้น เพราะโรงงานหยุดทำงาน เครื่องบินงดเดินทาง  น้ำทะเลใสขึ้น เพราะเรือหยุดเล่น คนหยุดท่องเที่ยว ส่งผลให้อุณหภูมิโลกลดลงอย่างน่าแปลกใจ

หากวิกฤติเหล่านี้ยืดเยื้อยาวนานเป็นปีสองปีดังที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์การระบาดเอาไว้  สิ่งเหล่านี้อาจนำมาซึ่ง “การสร้างมาตรฐานใหม่ในการใช้ชีวิต” (New Normal) ที่ทำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันและอยู่ร่วมกับโลกใบนี้ด้วยความเคารพนบนอบมากขึ้น และดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนได้ในท้ายที่สุด


เกี่ยวกับผู้เขียน

วิรตี ทะพิงค์แก เป็นนักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นแม่ของเด็กชายวัย 10 ขวบ-ผู้มีจิตใจอิสระ ชอบความโลดโผนท้าทายในชีวิต เป็นเจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ โดย สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Tags:

โฮมสคูลไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Illustrator:

illustrator

เพชรลัดดา แก้วจีน

นักวาดภาพประกอบอิสระ มีความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆในสังคม ชอบสังเกตผู้คน เขียนบันทึก และอ่านหนังสือ ยามว่างมักใช้เวลาไปกับการดริปกาแฟและเล่นกับแมว

Related Posts

  • Beyond Schooling : 3 รูปแบบการเรียนรู้ที่ไม่หยุดแค่รั้วโรงเรียน

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • How to get along with teenager
    Teenage Burnout : ภาวะหมดไฟในวัยรุ่นวัย (หมด) ฝัน

    เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    ‘เด็กยุคโควิด’ ดูแลไม่ให้ป่วยกายและใจ คุยกับ ‘หมอมินบานเย็น’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    พรเพ็ญ เธียรไพศาล หันหลังให้ความกลัว ทำงานอาสาสู้ความเดือดร้อนของคนคลองเตยจากโควิด-19

    เรื่อง นฤมล ทิพย์รักษ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    พ่อแม่ควรตั้งรับอย่างไร เมื่อต้องทำงานที่บ้านและลูกไม่ได้ไปโรงเรียน

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

เก็บตัวอยู่บ้านอย่างไรให้มีความสุข
Social Issues
12 April 2020

เก็บตัวอยู่บ้านอย่างไรให้มีความสุข

เรื่อง The Potential ภาพ ninaiscat

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทุกคนพูดคล้ายกัน ‘ช่วงนี้มันอึนๆ นอยด์ๆ ชอบกล’ อาจเป็นเพราะการอยู่บ้านไม่ได้สบายอย่างที่คิด เพราะยังมีงานต้องทำ ประชุมที่ต้องเข้า ข่าวสารก็ต้องรับ กับข้าวก็ต้องทำ (สายเชฟ) เต้นก็ต้องเต้น (สายแดนซ์) แม้ว่าจะลองทำทุกอย่างแล้วแต่ก็ยัง ‘นอยด์’ จากการอุดอู้ และ กังวลว่าสถานการณ์จะยังดำเนินไปอย่างนี้ถึงเมื่อไร

The Potential หนึ่งในผู้ประสบภัย ระดมไอเดียจากเพื่อนพ้องและจากบทความออนไลน์ที่หลายคนแชร์ไว้ หยิบจับมาทดลองและคิดว่าช่วยทำให้แต่ละวันผ่านไปได้อย่างไม่เฉาใจมากนัก

ขอแบ่งปันวิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้การ self-isolation ยังมีความสุข (ได้เท่าที่สุขไหว) และหากใครมีเทคนิคอะไร ใช้พื้นที่ร่วมแชร์กันได้เลยนะคะ

Tags:

สุขภาพจิตไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

ninaiscat

ทิพยา ทิพย์พันธ์ (ninaiscat) เป็นนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบกราฟิกอิสระ ชอบแมว (เป็นชีวิตจิตใจ) ชอบทำกับข้าว กินกาแฟทุกวันและมีความฝันว่าอยากมีบ้านสักหลังที่เชียงใหม่

Related Posts

  • Book
    The Perks of Being A Wallflower : ความพิเศษของคนไม่พิเศษ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    วิชาสำคัญที่คุณควรรู้ก่อนที่ชีวิตจะสอนคุณ: สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกาย…ไม่มีใครมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่เกิด 

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Creative learning
    ‘ใบงานบูรณาการ’ โรงเรียนบ้านเขาจีน : เมื่อครูช่วยกันออกแบบการเรียนรู้ร่วมในโจทย์เดียว ลดภาระผู้เรียนและผู้ปกครอง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Social Issues
    NEW NORMAL ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกลไม่ใช่คำตอบ

    เรื่อง ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน
Learning Theory
12 April 2020

พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ความอยากรู้อยากเห็น ความอยากเล่น ความสามารถในการเข้าสังคม และการวางแผน ในทางวิทยาศาสตร์อธิบายว่าคุณลักษณะทั้ง 4 อย่างนี้ ผ่านการคัดเลือกโดยธรรมชาติ มาตลอดประวัติศาสตร์แห่งวิวัฒนาการมนุษย์ เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์แห่งการเรียนรู้
  • ความอยากเล่นเป็นแรงขับช่วยส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นให้ต่อยอดและเกิดการเรียนรู้หลายรูปแบบ เช่น ด้านกายภาพ (ปีนป่าย วิ่งไล่จับ) การฝึกการสื่อสาร ฝึกการเข้าสังคม การทำตามกติกา
  • ด้วยเหตุนี้ การเล่นจึงไม่ใช่การหยุดพักจากการเรียน แต่เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างยอดเยี่ยม เพราะเด็กมีความสุขและสนุกขณะกำลังเรียนรู้ ซึ่งความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นได้ยากเหลือเกินในห้องเรียนสี่เหลี่ยมกำแพงล้อมรอบ

Photo by frank mckenna on Unsplash

มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมพลังมหัศจรรย์แห่งการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เราเห็นพัฒนาการทางชีวภาพของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนค่อยๆ เติบโต ในแต่ละช่วงวัยมนุษย์ถูกออกแบบให้มีคุณลักษณะ 4 อย่างที่ช่วยนำทาง สร้างสรรค์การเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ตั้งแต่เด็ก คุณลักษณะทั้ง 4 อย่างนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์ แต่เป็นพลังขับเคลื่อนตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้วในดีเอ็นเอ (DNA) ของทุกคน นั่นคือ

ความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) ความอยากเล่น (Playfulness) ความสามารถในการเข้าสังคม (Sociability) และการวางแผน (Planfulness) ในทางวิทยาศาสตร์อธิบายว่า คุณลักษณะทั้ง 4 อย่างนี้ ผ่านการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) มาตลอดประวัติศาสตร์แห่งวิวัฒนาการมนุษย์ เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์แห่งการเรียนรู้

ในเมื่อเด็กทุกคนมีศักยภาพแห่งการเรียนรู้ แต่แล้วทำไมในสภาพความเป็นจริง ดูเหมือนว่าเด็กๆ กำลังถูกจำกัดและปิดกั้นจนไม่สามารถสร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้?

“โรงเรียน” เป็นเหตุผลหลักที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้คุณลักษณะทั้ง 4 อย่างทำงานไม่ได้ โดยเฉพาะ 3 อย่างแรก ระบบการศึกษาที่เอาแต่เน้นการสอนไปตามหลักสูตรและไม่ยืดหยุ่นตามความสนใจผู้เรียน ทำให้พลังขับเคลื่อนแห่งการเรียนรู้ (ตามธรรมชาติ) เป็นอัมพาต

ในทางกลับกัน เราเห็น ความอยากรู้อยากเห็น, ความอยากเล่น, ความสามารถในการเข้าสังคม และการวางแผน เติบโตผลิบานกับนักเรียนในกลุ่มโรงเรียนทางเลือก โรงเรียนอิสระ และบ้านเรียน (Home School)

ปีเตอร์ เกรย์ ศาสตราจารย์แห่งวิทยาลัยบอสตัน (Boston Collage) ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา จิตวิทยาพัฒนาการ การศึกษาและมานุษยวิทยา ผู้เขียนหนังสือ “Free to Learn” และตำราด้านจิตวิทยา อธิบายถึงธรรมชาติของการเรียนรู้ด้วยตัวเองไว้ ดังนี้

ความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity)

“Human beings are naturally curious about things.”
“ตามธรรมชาติแล้วมนุษย์มักอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวต่างๆ”

อริสโตเติล (Aristotle: 384-322 ก่อนคริสตกาล) นักปรัชญาคนสำคัญในยุคกรีกกล่าวไว้ มั่นใจได้เลยว่าคงไม่มีใครในยุคนี้กล้าปฏิเสธคำกล่าวนี้

หลังคลอดออกมาเด็กทารกเริ่มให้ความสนใจสิ่งรอบตัว มองหาวัตถุแปลกใหม่แล้วสนใจสิ่งนั้นนานกว่าสิ่งที่เคยพบเห็น เมื่อเคลื่อนไหวใช้แขนขาได้ดีขึ้นจึงค่อยๆ ขยับเขยื้อนสำรวจอาณาจักรเล็กๆ และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และหยิบจับเพราะต้องการรู้ว่าพวกเขาสามารถทำอะไรกับวัตถุต่างๆ รอบตัวได้บ้าง

ยิ่งเมื่อค่อยๆ ซึมซับภาษาพูดจนสื่อสารได้ เด็กๆ จึงมักมีคำถามพรั่งพรูออกมาไม่รู้จบ ความอยากรู้อยากเห็นที่ว่ามานี้ไม่มีทางอันตธานหายไป มีแต่จะขยายขอบเขต มีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ทดลองและเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นหากไม่มีปัจจัยฉุดรั้ง เสียดายที่ระบบการศึกษากลับกลายมาเป็นอุปสรรค ทั้งที่เด็กทุกคนมีคุณสมบัติเป็นนักวิทยาศาสตร์โดยธรรมชาติมาตั้งแต่เกิด

ความอยากเล่น (Playfulness)

ความอยากเล่นเป็นแรงขับที่ช่วยส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นให้ต่อยอด ขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงจูงใจให้เด็กแสวงหาความรู้และสร้างความเข้าใจใหม่ๆ การเล่นทำให้เกิดความสนุกสนาน ความอยากเล่นเพราะติดใจในความสนุกสนานจากการเล่น กระตุ้นให้พวกเขาได้ฝึกฝนทักษะใหม่และได้ใช้ทักษะเหล่านั้นในทางปฏิบัติอย่างสร้างสรรค์ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ คือ กระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเองที่ต่อเติมทักษะชีวิต ทำให้พวกเขาอยู่รอดและใช้ชีวิตได้อย่างผาสุกในระยะยาว

การเล่นทำให้เกิดการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ

  1. ด้านกายภาพ การปีนป่าย วิ่งไล่จับ พัฒนาความแข็งแกร่งทางร่างกายและการเคลื่อนไหว
  2. การเล่นที่มีความเสี่ยง กิจกรรมผาดโผน เช่น การปีนป่ายในระดับสูงกว่าปกติ การเล่นสกี สเก็ตบอร์ด ปั่นจักรยาน การได้ลองใช้กรรไกรหรือมีดในครั้งแรก สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กๆ เรียนรู้การจัดการกับความกลัวและมีความกล้าหาญ (ในขั้นแรกการเล่นที่มีความเสี่ยงควรอยู่ในความดูแลของพ่อแม่หรือครู เพื่อให้คำแนะนำที่ถูกต้องในการปฏิบัติ)
  3. การเล่นทำให้ได้ฝึกใช้ภาษาสื่อสารระหว่างกัน ในช่วงตั้งแต่เด็กเริ่มพูดได้ไปจนถึงอายุราว 3 ขวบ การถามคำถามของพวกเขาไม่ได้เป็นการถามที่ต้องการคำตอบที่ถูกต้องไปเสียทีเดียว แต่พวกเขากำลังเล่นกับคำศัพท์ที่เคยได้ยินได้ฟังและเข้าใจ เป็นพัฒนาการด้านการใช้ภาษาที่จะนำไปสู่ทักษะการใช้ภาษาในอนาคต
  4. การเล่นเป็นการเข้าสังคม ฝึกฝนการมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เด็กๆ เรียนรู้การเจรจา ประนีประนอม และปรับตัวเข้ากับคนรอบข้าง
  5. การเล่นเกมเป็นการเรียนรู้การปฏิบัติตามกติกาและกฎเกณฑ์ บางเกมช่วยพัฒนาทักษะการคิด อย่างมีเหตุผล และบางเกมให้อิสระได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์
  6. การละเล่นท้องถิ่น บางพื้นที่มีการประดิษฐ์ของเล่นประจำท้องถิ่นจากวัสดุรอบตัว ทำให้เด็กๆ ได้ทำความรู้จักกับสภาพแวดล้อมและได้เรียนรู้ทักษะงานประดิษฐ์และงานช่าง เช่น การตัด การเหลา การงัด แงะ แกะ ประกอบ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ การเล่นจึงไม่ใช่การหยุดพักจากการเรียน แต่การเล่นเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่าง ยอดเยี่ยม เพราะเด็กมีความสุขและสนุกสนานในขณะที่กำลังเรียนรู้ ซึ่งความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นได้ยากเหลือเกินในห้องเรียน

ความสามารถในการเข้าสังคม (Sociability)

การศึกษาทางมานุษยวิทยา บอกว่า เด็กๆ เรียนรู้จากการดูและฟังจากผู้คนรอบข้างมากกว่าวิธีอื่น สังคมมนุษย์เรียนรู้กันและกันด้วยการสื่อสารผ่านภาษา เมื่อเด็กเติบโตขึ้นในระดับที่ตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวด้วยเหตุผล พวกเขามักตั้งคำถาม แต่พวกเขาไม่ต้องการได้รับคำบอกเล่าในสิ่งที่พวกเขาไม่สนใจ แต่ต้องการได้ยินได้ฟังคำตอบในเรื่องที่สนใจและสงสัย อินเทอร์เน็ตและระบบเครือข่ายความรู้ทำให้เด็กในโลกยุคใหม่เข้าถึงข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลก ยิ่งเปิดประตูให้กับโลกแห่งการเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างอิสระ

การวางแผน (Planfulness)

สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่น คือ มนุษย์ไม่ได้ใช้ชีวิตตอบสนองสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น แต่สมองของมนุษย์ชอบการคิดและคาดการณ์ล่วงหน้า หรือเรียกว่า การวางแผน

คุณลักษณะนี้เป็นด้านที่พัฒนาช้าที่สุดแต่มีความสำคัญมาก เพราะเชื่อมโยงมาสู่การตั้งเป้าหมายในชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่กระแสสังคมปัจจุบันชวนให้ตั้งคำถามอยู่เสมอ คุณลักษณะนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากคุณลักษณะ 3 อย่างแรกบกพร่อง การเรียนรู้ด้วยตัวเองส่วนนี้ผลักดันให้เกิดการวางเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเล็กๆ สำหรับบางเรื่อง หรือเป้าหมายใหญ่ในอนาคต เด็กที่สามารถสร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเองจะสามารถค้นหาความรู้และฝึกฝนทักษะที่จำเป็นเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างมั่นใจ

จากการศึกษาพบว่า เด็กที่มีอิสระในการเรียนรู้ด้วยตัวเองจริงๆ โดยปราศจากกรอบหรือข้อกำหนดของผู้ใหญ่ ทั้งในและนอกโรงเรียนประสบความสำเร็จในเรื่องนี้มากกว่าเด็กที่ต้องคอยปฏิบัติตามแบบแผนในระบบ พวกเขามีโอกาสคิด ทดลองทำ ได้ทำผิดพลาดและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด โดยไม่ต้องกังวลถึงคำตัดสินของผู้ใหญ่

ถึงตรงนี้หลายคนอาจกำลังตั้งคำถามต่อว่า ในเมื่อหลีกเลี่ยงระบบการเรียนการสอนในห้องเรียนแบบจำกัดกรอบไม่ได้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือแม้แต่ครูเองจะหาทางออกให้เด็กๆ สร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเองได้อย่างไร?

คำตอบ คือ ให้เวลาและพื้นที่เด็กได้เล่นและสำรวจสิ่งรอบตัวให้ได้มากที่สุด ไม่เฉพาะในกลุ่มเพื่อนนักเรียนด้วยกันเท่านั้น แต่รวมถึงการออกไปเรียนรู้กับชุมชนและสังคมรอบข้าง ให้พวกเขาพบเจอกับผู้คนหลายวัยหลากอาชีพ ให้อิสระพวกเขาได้เข้าถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ช่วยส่งเสริมการเล่นในหลายมิติ ให้โอกาสพวกเขาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์และถกเถียงด้วยเหตุผล สร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยสำหรับการเรียนรู้ ที่ปราศจากการกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมชั้น และไม่มีการออกคำสั่งโดยพลการจากครูและพ่อแม่

ด้วยวิธีการเหล่านี้ พลังมหัศจรรย์แห่งการเรียนรู้ด้วยตัวเองของเด็กๆ จะขับเคลื่อนไปได้อย่างอิสระและไม่มีสิ้นสุด

อ้างอิง
psychologytoday.com
psychologytoday.com (freedom-learn)

Tags:

การเล่นพัฒนาการพ่อแม่ครูคาแรกเตอร์(character building)การเรียนรู้ด้วยตัวเอง(self-directed learning)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character building
    ปั้น ‘คาแรคเตอร์’ ที่ดีให้เด็ก: โรงเรียน พ่อแม่ ชุมชน ต้องร่วมมือกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    สุภาวดี หาญเมธี: สันดานดี สร้างได้ ด้วย CHARACTER BUILDING

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel