Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: March 2020

ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน
Creative learning
10 March 2020

ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

เรื่อง The Potential

ห้องเรียนสำหรับเด็กห้วยพ่าน เป็นป่าไปแล้วประมาณหมื่นกว่าไร่ มีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านอีก 3-4 สาย ห้องเรียนขนาดผืนฟ้าคูณผืนน้ำบรรจุตำราเรียนไว้อย่างไม่รู้จบทำให้นักเรียนท่ามกลางชุมชนโดดเดี่ยวในหุบเขานี้ นักเรียนอยากเรียนอะไรก็ได้เรียน

วิชาเก็บไก (สาหร่าย), วิชาสมุนไพร, วิชาเลี้ยงควาย คือตัวอย่างวิชาเรียนในศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน จังหวัดน่าน

ความพิเศษของศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ นับเป็นสถานศึกษาแห่งแรกๆ ที่เกิดจากชาวบ้านในชุมชนลุกขึ้นมาลงขันแรงกายและใจ สร้างอาคารเรียน ออกแบบหลักสูตร และจัดการศึกษาให้ลูกหลานของพวกเขาด้วยตัวเอง โดยปักธงไว้ที่การเน้นเรียนวิชาชีวิตและไม่ทิ้งวิชาการ

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่

Tags:

ระบบการศึกษาเข้าป่าสิ่งแวดล้อมeco literacyครูสามเส้าศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน: หลักสูตรที่ไม่เหมือนใคร อาคารเรียนไม่ต้องใหญ่ แต่ห้องเรียนกว้างมาก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

‘เล็กแต่ลึก’ และ ‘เรื่องจริงชีวิตจริง’ การเรียนรู้พลเมืองเยาวชนสงขลาที่ทำให้หัวใจคนเรียนถูกขยาย
Creative learning
10 March 2020

‘เล็กแต่ลึก’ และ ‘เรื่องจริงชีวิตจริง’ การเรียนรู้พลเมืองเยาวชนสงขลาที่ทำให้หัวใจคนเรียนถูกขยาย

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เทศกาลการเรียนรู้พลเมืองเยาวชนสงขลาส่องแสง การเรียนรู้ที่แท้ สร้างสรรค์พลเมืองเท่าทันโลก ประจำปี 2563 พื้นที่แสดงผลงานของพลเมืองเยาวชนสงขลา กำลังสำคัญที่จะช่วยพัฒนาจังหวัดสงขลาในอนาคต เป้าหมายไม่ใช่แค่โครงการที่ให้เด็กได้ทำ แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้เด็กๆ ได้คิด ได้ลงมือทำ
  • Authentic Learning หรือกระบวนการเรียนรู้ที่ออกแบบให้คนได้ไปเจอกับเรื่องจริง ชีวิตจริง และได้ทำจริง โดยมีครูพลเมืองและพี่เลี้ยง ช่วย ‘ช้อน’ ประเด็น ผลักดัน และเชื่อมโยงปัญหาที่ใครอื่นคิดว่าเป็นเรื่องเล็กอย่าง การอนุรักษ์พันธุกรรมผักพื้นบ้าน, ประวัติศาสตร์ชุมชน, ลวดลายผ้ามันย้อม, ขยะ, โซล่าเซลล์ และอื่นๆ ให้ยกระดับเพื่อเชื่อมไปสู่ประเด็นอื่นในสังคมได้
ภาพ: เดชา เข็มทอง / The Potential

“The Young Citizen เราเลื่อมใสในคำว่า ‘เล็กแต่ลึก’ และ การพาคนไปเจอกับ ‘เรื่องจริง ชีวิตจริง’ เราออกแบบกระบวนการโดยให้เด็กเลือกเรื่องที่อยากทำเอง ซึ่งส่วนใหญ่มันก็ใกล้ตัวใกล้ชีวิตเค้า พอเค้าได้ทำอะไรที่มันเชื่อมโยงกับตัวเอง หัวใจเค้าก็ถูกขยายนะ

“ทุนที่เรามีคืออะไร? ต้องเล่าก่อนว่าสงขลาเป็นเมืองอพยพ เด็กจากสามจังหวัดชายแดนและอื่นๆ ย้ายเข้ามาอยู่ มาเรียนที่นี่ เรียกได้ว่าสงขลาเป็นเมืองหลวงของภาคใต้ก็ว่าได้ ทุนที่เรามีประการแรกเลยคือประชากรเด็กก็ได้ นอกจากเรายังมีทุนทางสังคมวัฒนธรรม ทุนเรื่องสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะเรื่องหาด และทุนความรู้ ทั้งหมดนี้เลยเป็นข้อได้เปรียบในการทำงานเยาวชนมาก”

คือคำของ พรรณิภา โสตถิพันธุ์ หรือ ‘ป้าหนู’ ผู้อำนวยการสงขลาฟอรั่ม องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานขับเคลื่อนหลายมิติ ทั้งเชิงสังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเด็กและเยาวชน กล่าวถึงเด็กๆ ร่วมร้อยชีวิต จาก 10 โครงการ ที่นำโครงการของตัวเองมาแสดงในเทศกาลการเรียนรู้พลเมืองเยาวชนสงขลาส่องแสง การเรียนรู้ที่แท้ สร้างสรรค์พลเมืองเท่าทันโลก* วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ณ หอศิลป์สงขลา Songkla Art Center

ป้าหนู พรรณิภา โสตถิพันธุ์

Authentic Learning คือคำที่ป้าหนูและทีมงานสงขลาฟอรั่มพูดบ่อยในครั้งนี้ ความตั้งใจคือ นี่ไม่ใช่แค่โครงการที่ให้เด็กได้ทำ แต่คือ ‘กระบวนการเรียนรู้’ ที่ออกแบบให้คนได้ไปเจอกับเรื่องจริง ชีวิตจริง และได้ทำจริง โดยมีครูพลเมืองและพี่เลี้ยง ช่วย ‘ช้อน’ ประเด็น ผลักดัน และเชื่อมโยงปัญหาที่ใครอื่นคิดว่าเป็นเรื่องเล็กอย่าง การอนุรักษ์พันธุกรรมผักพื้นบ้าน ประวัติศาสตร์ชุมชน ลวดลายผ้ามันย้อม ขยะ โซล่าเซลล์ และอื่นๆ ให้ยกระดับเพื่อเชื่อมไปสู่ประเด็นอื่นในสังคมได้

ก่อนจะว่ากันถึงประเด็น ‘เล็กแต่ลึก’ ว่าโยงกับ ‘เรื่องจริง ชีวิตจริง’ อย่างไร ขอกล่าวถึงโครงการที่เด็กๆ ทำกันมาในระยะ 6-7 เดือน และนำมาแสดงในครั้งนี้ทั้ง 10 โครงการก่อน ดังนี้

  1. โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมผักพื้นบ้าน: ผักเหนาะ สร้างการมีส่วนร่วมชุมชนคลองยอ
  2. โครงการประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านแหลมสน: ประวัติศาสต์ชุมชนฉบับนี้เขียนด้วยมือเรา
  3. โครงการเกษตรปลอดสารพิษ: ผักปลอดภัย ปลูกด้วยหัวใจพลเมือง
  4. โครงการไก่ไข่อารมณ์ดี: ไม่ใช่แค่ไก่อารมณ์ดี แต่ตัวเรามีพัฒนาการเกิดขึ้นมากมาย
  5. โครงการผ้ามัดย้อมคนต้นปริก: ค้นหาลวดลายและความหมาย ผ้ามัดย้อมฅนต้นปริก
  6. โครงการศึกษาสถานการณ์ขยะและแนวทางลดปริมาณขยะในโรงเรียน: ลดปริมาณขยะ เริ่มที่ตัวเราก่อน
  7. โครงการเศษขยะ: ชุมชนสร้างถังกินแกง เพื่อขยะเปียก
  8. โครงการอนุรักษ์ขนมพื้นบ้าน: การเรียนรู้ชีวิตชุมชนผ่านขนมพื้นบ้าน
  9. โครงการศึกษาความต้องการและการใช้โซล่าเซลล์ในชุมชนอำเภอจะนะ: โซล่าเซลล์สร้างชีวิตให้ชุมชน สร้างเยาวชนให้คิดไกล
  10. โครงการพี่สอนน้องให้อ่านเขียน: นักศึกษากับการเผชิญหน้าการศึกษาในโลกยุคใหม่

‘เล็กแต่ลึก’ และ ‘เรื่องจริง ชีวิตจริง’ : กระบวนการเรียนรู้เยาวชนสงขลาที่ทำให้หัวใจของเด็กๆ ถูกขยาย

เพราะหัวข้อของงานมีคีย์เวิร์ดที่คำว่า ‘พลเมือง’ อันให้นัยกว้างถึงผู้ที่มีสิทธิและหน้าที่ต่อ ‘เมือง’ ในฐานะประชาชนของประเทศใดประเทศหนึ่ง หลายคนอาจถามว่า ประเด็นเล็กๆ ที่เด็กทำโครงการในชุมชนอย่าง 10 ประเด็นข้างต้น มันจะเชื่อมโยงไปสู่ประเด็นสังคมใหญ่อย่างไร

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี นักวิจัย นักเคลื่อนไหว และเจ้าหน้าที่สงขลาฟอรั่มอธิบายว่า หากดูแค่ประเด็นที่เด็กๆ ทำนั้น ก็จริงอยู่ที่มันเป็นเรื่องใกล้ตัวและอาจมองว่าเป็นประเด็นเล็ก แต่หากมองให้ดี ทุกประเด็นที่เด็กทำนั้นเชื่อมกลับไปยังประเด็นใหญ่ของสังคมได้ เช่น โครงการโซล่าเซลล์ โดยกลุ่ม จช.นำแสง นี่คือคำตอบของชุมชนเรื่องพลังงานสะอาด อธิบายให้ใหญ่กว่านั้น พื้นที่สงขลาถูกจับจ้องโดยกลุ่มทุนที่ต้องการเข้ามาพัฒนาเมือง หนึ่งในโครงการใหญ่คือโรงไฟฟ้าชีวมวล แต่โครงการของเด็กๆ อย่างโซล่าเซลล์กำลังบอกคนในชุมชนหรือนักกำหนดนโยบายว่า นี่ไง… นี่คือคำตอบที่เด็กๆ เค้าคิดและหาข้อมูลมา และมันผ่านการหารือกับชุมชนมาแล้วด้วย

น้ำนิ่ง-อภิศักดิ์ ทัศนี

หรืออย่างโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมผักพื้นบ้าน ผักเหนาะ ก็เป็นเรื่องเดียวกับสิ่งแวดล้อม เป็นการตอบและตั้งคำถามต่อการทำเกษตรเชิงเดี่ยวที่ไม่ใช่แค่มีปัญหาแค่ในสงขลาแต่เป็นประเด็กร่วมในสังคม หรืออย่างโครงการประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านแหลมสน นี่ก็เป็นการตอบคำถามเรื่องอัตลักษณ์คนในพื้นที่

“key person คือครู พี่เลี้ยงในชุมชน และ กระบวนการ ว่ารู้เท่าทันประเด็นเหล่านี้มั้ย และทำยังไงให้คนเหล่านี้นำกระบวนการ พาเด็กๆ ไปเห็นประเด็นใหญ่ที่มันเชื่อมโยงกันเหล่านี้ให้ได้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่สงขลาฟอรั่มทำ คือทำงานกับ key person เหล่านี้ด้วย” น้ำนิ่งกล่าวและย้ำว่า เด็กจะเห็นภาพใหญ่ไม่ได้หากไม่ลงมือทำ นี่คือห้องเรียนจริง ทำจริง รู้สึกจริง ตั้งคำถามกับมันจริงๆ อย่างที่ปรากฎในชื่องานว่าคือกระบวนการแบบ Authentic Learning หัวใจของโครงการ The Young Citizen ที่เด็กๆ เอาผลงานมานำเสนอในวันนี้ และการเดินทางของโครงการมาเป็นปีที่ 7 แล้ว

ถามอย่างกำปั้นทุบดิน หากเราเข้าใจแล้วว่าโครงการที่เด็กทำนั้นเชื่อมโยงประเด็นสังคมในภาพใหญ่ได้ แต่ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมหลายอย่างที่นำมาแสดงในงานนี้จะถูกนำไปใช้และพัฒนาต่อจริงหรือ?

“ปัญหาคือ เพราะคุณไม่เคยเชื่อว่าความคิดจากเด็กมันทำแล้วเปลี่ยนจริงได้ คือไม่เคยคิดและเอานโยบายหรือไอเดียของเด็กๆ ไปสานต่อ” น้ำนิ่งตอบด้วยการตั้งคำถามกลับไม่รู้ว่าดอกผลที่เกิดจากพลเมืองเยาวชนสงขลาจะเติบโตเช่นไร เพราะคำตอบที่ได้ย่อมต้องอาศัยเวลาในการฟูมฟัก แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือ เกิดความร่วมมือในระดับท้องถิ่น อย่างที่สุริยา ยีขุน นายกเทศมนตรีตำบลปริก รับลูกโดยการให้ทีมสงขลาฟอรั่มเป็นโคช ถ่ายทอดการทำงานเช่นนี้ให้กับครูในโรงเรียนเทศบาลเมืองปริก ทำโครงการด้วยกระบวนที่เหมือนกัน เพราะเชื่อว่า กระบวนทัศน์แห่งการเรียนรู้ได้เปลี่ยนไปแล้ว

สุริยาเล่าว่า ในโรงเรียนเทศบาลเมืองปริก นอกจากจะจัดการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระตามหลักสูตรทั่วไป ยังเพิ่ม 4 สาระท้องถิ่น โดยเรียนรู้ร่วมกันคือ เทศบาลท้องถิ่น โรงเรียน และ ชุมชน จัดการเรียนรู้ดังนี้ วิถีชุมชน, สิ่งแวดล้อม, ภัยพิบัติ และ เศรษฐกิจพอเพียง

สุริยา ยีขุน

ท่ามกลางปัญหาการศึกษาทั้งเรื่องคุณภาพและโลก disruption ที่ทุกคนตั้งคำถามกันว่าเราจะผลิตประชากรประเทศในทิศทางไหน การเดินทางของ The Young Citizen  ในปีที่ 7 นี้ อาจเป็นอีกหนึ่งคำตอบว่าการเรียนรู้ที่ ‘ทำให้หัวใจถูกขยาย’ ต้องมาจากความรู้สึก การลงมือทำ และการร่วมมือของคนหลายหน่วยงานไม่ใช่แค่ภาคโรงเรียน และคงไม่ใช่แค่เยาวชนได้เรียนรู้ แต่อาจพูดได้ว่านี่คือพื้นที่ที่ให้คนในชุมชนได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน

อาจเป็นอย่างที่น้ำนิ่งกล่าว หากเราฟังเสียง ฟังไอเดีย ฟังการเดินทางเพื่อแก้ปัญหาเมืองดีๆ เราอาจเห็นนโยบายสร้างสรรค์ที่มาจากการมีส่วนร่วมชุมชนก็ได้ อย่างน้อยๆ ก็ 10 โครงการนี้แล้ว


*เทศกาลการเรียนรู้พลเมืองเยาวชนสงขลาส่องแสง การเรียนรู้ที่แท้ สร้างสรรค์พลเมืองเท่าทันโลก ภายใต้ชื่อโครงการ The Young Ciizen ความร่วมมือระหว่างทีม สงขลาฟอรั่ม, มูลนิธิสยามกัมมาจล, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ หอศิลป์สงขลา Songkla Art Center

Tags:

สงขลาฟอรั่มactive citizenproject based learningพรรณิภา โสตถิพันธุ์อีเวนต์อภิศักดิ์ ทัศนี

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Voice of New Gen
    สวนกง…เพราะหาดคือชีวิต

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    อภิศักดิ์ ทัศนี: “การได้หาดกลับมา มีค่าเท่ากับปริญญาหนึ่งใบ”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Creative learning
    เปลี่ยนภาระ ให้เป็นพลัง: วิจัยชุมชนชิ้นโบแดงมหกรรมเยาวชนสตูล

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ป้าหนู’ แห่งสงขลาฟอรั่ม: เด็กที่เติบโตจากชายหาด ท้องทะเล และแผ่นดินเกิด จะงอกงามเป็นพลเมืองโลก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    หาดหายไปไหน?: เมื่อความสงสัยอัพเกรดไปสู่การเรียนรู้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง
Creative learning
10 March 2020

สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • “คนชนเผ่าโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่เค้าไม่อยากเป็นคนชนเผ่า เค้าอยากทิ้งสีของตัวเอง อยากทิ้งกลิ่น ทิ้งรส ทิ้งตัวเองไปเพื่อสร้างกลิ่นใหม่ให้ตัวเองมีกลิ่นไทย จะทำแบบนั้นได้เขาต้องปรับตัวขนานใหญ่ ในร้อยเปอร์เซ็นต์อาจมีคนทำได้ 30 เปอร์เซ็นต์ อีก 70 เปอร์เซ็นต์จะกลายเป็นคนตกขอบโดยทันที แต่ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ ยังไงเขาก็ต้องสูญเสียหลายอย่าง ต้องลงทุนหลายอย่างเพื่อให้เป็นแบบนั้น”
  • สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม งานที่จัดโดยเยาวชนชาติพันธ์ุจังหวัดตาก ต้องการสื่อสารว่าทุกคนมีสีของตัวเอง กลิ่นของตัวเอง รสชาติของตัวเอง ที่รุ้งสวยก็เพราะสีสันหลากหลายแต่ไม่กลืนกัน
  • ถอดรหัสการออกแบบการเรียนรู้เบื้องหลังงาน ‘I-You-We’ คือขั้นตอนการออกแบบการเรียนรู้เบื้องหลัง ‘สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม’ ครั้งนี้
ภาพ: ธันวา ศิริโพธิโสรัตร์

“ผมตั้งชื่องานว่า ‘สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม’ เพื่อให้เห็นว่า 5 อำเภอชายแดนจังหวัดตากนั้น มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีสีสัน มีกลิ่น มีรสชาติ และหน้าตาของมันเอง รุ้งอาจไม่ได้มอบพลังงานเท่าแสงอาทิตย์ก็จริงอยู่ แต่ในทางความเชื่อของปกาเกอะญอ รุ้งคือความงามที่มีความชุ่มฉ่ำ คือความอุดมสมบูรณ์ ธรรมชาติสอนเราอย่างนี้

“สังคมเรามีความเชื่อว่าถ้าคุณจะเป็นคนที่พัฒนาคุณต้องเป็นคนไทย ถ้าคุณพูดภาษาชนเผ่าหรือพูดไม่ชัดแสดงว่าคุณยังไม่พัฒนา คุณเป็นคนบ้านนอก เป็นผู้อพยพ เป็นคนอื่น เป็นคนต่างด้าวต่างแดน แต่ฝรั่งพูดไม่ชัดได้นะ (หัวเราะ) นี่คือการเลือกปฏิบัติ พอถูกเลือกปฏิบัติเยอะๆ เกิดอะไรขึ้น? คนชนเผ่าโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่เค้าไม่อยากเป็นคนชนเผ่า เขาอยากทิ้งสีของตัวเอง อยากทิ้งกลิ่น ทิ้งรส ทิ้งตัวเองไปเพื่อสร้างกลิ่นใหม่ให้ตัวเองมีกลิ่นไทย จะทำแบบนั้นได้เขาต้องปรับตัวขนานใหญ่ ในร้อยเปอร์เซ็นต์อาจมีคนทำได้ 30 เปอร์เซ็นต์ อีก 70 เปอร์เซ็นต์จะกลายเป็นคนตกขอบโดยทันที แต่ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ ยังไงเขาก็ต้องสูญเสียหลายอย่าง ต้องลงทุนหลายอย่างเพื่อให้เป็นแบบนั้น

“สิ่งที่เราอยากทำคือทำยังไงให้เด็กเข้าใจ มองเห็นสีและกลิ่นของตัวเอง ให้เขารู้ว่าเขาเป็นสีตัวเขาได้ รู้ว่าในสีนั้นมีอะไรดีอยู่ ขณะเดียวกันก็ต้องสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจและยอมรับว่ามันมีสีที่แตกต่างกันอยู่”

คือคำของ ชิ-สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ศิลปิน นักเคลื่อนไหว และอาจารย์ปกาเกอะญอ สังกัดวิทยาลัยโพธิวิชชาลัย แห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กล่าวประโยคข้างต้นในฐานะผู้จัดงาน มหกรรมเยาวชนชาติพันธุ์ 5 อำเภอชายแดนจังหวัดตาก* วันที่ 15 – 16 กุมภาพันธ์ 2563 ณ อุทยานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ทีปังกรรัศมีโชติ (สวนสมเด็จพระนเรศวร แม่สอด) ซึ่งการจัดงานในปีนี้เดินทางมาสู่ปีที่ 5 แล้ว

ชิ-สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์

5 อำเภอชายแดนจังหวัดตาก (จากทั้งหมด 9 อำเภอ) มีประชากรส่วนมากเป็นคนชนเผ่า ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเมย ประกอบด้วย อำเภออุ้มผาง พบพระ แม่สอด แม่ระมาด และ ท่าสองยาง โดยมีชาวปกาเกอะญอ เป็นประชากรหลัก ตามด้วย ม้ง ลีซู ละหู่ อะข่า เมี่ยน และชาติพันธ์ุอื่นๆ

ประชากรเยาวชนร่วมร้อยชีวิตที่ปรากฎตัววันนี้ไม่ได้แค่รวมและร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อบอกว่าพวกเขาคือใคร มีชีวิตและสิ่งที่เชื่ออะไร แต่นี่คืองาน ‘โชว์ของ’ ‘Showcase’ นำเสนองานวิจัยที่สมัชชาเยาวชนชาติพันธ์ุร่วมร้อยคน จากทั้งหมด 9 โครงการ ซึ่งได้ดำเนินงานมาตลอด 1 ปี* ประเด็นที่พวกเขาทำครอบคลุมตั้งแต่ประเด็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม การจัดการศึกษา การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดินทำกิน และ สัญชาติ

จักรพล มรดกบรรพต และ ปราโมทย์ เวียงจอมทอง สองแกนนำเยาวชนชาวปกาเกอะญอ โครงการสร้างพลังเครือข่ายเยาวชนเทือกเขาเบ๊อะบละตู ต.แม่วะหลวง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก แม้โดยชื่อและกระบวนการคือโครงการที่ตั้งใจรวมตัวเครือข่ายเยาวชนให้เหนียวแน่นสามัคคีโดยใช้ ‘กีฬาพื้นบ้าน’ เป็นตัวเชื่อมและได้สืบสานวัฒนธรรมไปในตัว แต่เป้าประสงค์ที่ลึกและเป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงคือเรื่องปัญหาที่ดินทำกินและความเข้าใจผิดเรื่องการใช้ชีวิตของคนปกาเกอะญอ (เช่น คนชนเผ่าเป็นคนเผาป่า ตัดป่า) ทั้งสองเชื่อว่าหากเยาวชนรวมตัวกันและได้เรียนรู้วัฒนธรรมจะเกิดความเข้าใจภูมิปัญญา จากนั้นจะมั่นใจและออกไปเป็นปากเป็นเสียงสื่อสารเรื่องราวที่แท้จริงของชุมชนตัวเองได้ ซึ่งพวกเขามองว่านี่จะเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ดีที่สุด

  • จักรพล มรดกบรรพต
  • ปราโมทย์ เวียงจอมทอง

ขณะที่ พิงค์-นิศาชล สมบูรณ์ศรีสกุล นักเรียนชาวม้ง ชั้นม.ปลาย ปัจจุบันเธอกับเพื่อนทำโครงการ ‘ผ้าใยกัญชง’ เพื่อนำไปถักทอเป็นผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ ซึ่งในปัจจุบันใยกัญชงเป็นวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมในตลาดเครื่องแต่งกายมาก พิงค์บอกว่านี่เป็นโอกาสดีที่เยาวชนจะศึกษาใยกัญชงตั้งแต่การปลูก เก็บเกี่ยว แปรรูป ทอ การขึ้นเป็นเครื่องประดับ และวัฒนธรรมการใช้ผ้าใบกัญชงในพิธีกรรมต่างๆ ของชาวม้ง โดยเธอและเพื่อนได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ที่วิทยาลัยโพธิวิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตาก เข้ามาร่วมวิจัยและช่วยต่อยอดลวดลายและผลิตภัณฑ์จากผ้าใยกัญชงที่กลุ่มทำด้วย

เยาวชนทั้ง 3 ที่เก็บเกี่ยวประวัติศาสตร์ท้องถิ่นและเล่าออกมาในรูปแบบของตัวเอง เป็นแค่กลุ่มคนที่เราได้พูดคุยด้วย แต่พวกเขาย้ำคล้ายกันว่าการปรากฎตัวของพื้นที่แบบนี้ก็เพราะอยากสื่อสารให้คนนอกเข้าใจว่าความหลากหลายมีอยู่จริง พวกเขาไม่ใช่คนพลัดถิ่น ไม่ใช่คนต่างด้าว แต่เป็นคนที่อยู่และใช้ชีวิตตรงนั้นมาเนิ่นนานเพียงแต่พูดกันคนละภาษากับคนส่วนใหญ่ สิ่งที่กระทบและรบกวนคือความเชื่อที่ว่าพวกเขาเป็นคนต่างด้าว พลัดถิ่น ทำลายสิ่งแวดล้อม ทั้งที่จริงพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่มาเนิ่นนาน และชีวิตของชนเผ่าพึ่งพิงระบบนิเวศ ธรรมชาติมากกว่าที่คนเมืองเข้าใจมากนัก

I-You-We คือสามขั้นตอนการออกแบบการเรียนรู้เบื้องหลัง ‘สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม’

เพราะตั้งใจให้สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรมทำหน้าที่ชวนคนมาเข้าใจความหลากหลายของสี กลิ่น รสชาติของเพื่อนมนุษย์ แต่การจะเปิดประตูแห่งความ(อยาก)เข้าใจ ประตูเหล่านั้นต้องมาพร้อมความรื่นรมย์และการเปิดใจ กิจกรรมในสวนสายรุ้งนี้ (ซึ่งจัดทำกันเองโดยเยาวชนทั้งหมด) จึงเต็มไปด้วย อาหาร เพลง ของเล่น และการเวิร์กช็อปให้ลงมือทำจริงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นถักสร้อยข้อมือจากใยกัญชง, สานตะกร้า, ทำจานใบไม้, ถักพรมเช็ดเท้า, ฝนแป้งทานาคา

หากมองทะลุตัวกิจกรรมดีๆ เราจะเห็น ‘คอนเทนต์’ หรือข้อมูลทางวัฒนธรรมเชิงลึกที่เยาวชนเจ้าของบูธ หรือ เจ้าของโครงการวิจัยนั้นพร้อมจะบอกเล่าให้ฟังอย่างแข็งขัน แต่ที่เรียกว่าเป็นไฮไลต์คือ การแสดงทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นลาวกระทบไม้ (ที่กระทบกันไปมาหลายรูปแบบมาก) ระบำเกลียวเชือกพร้อมเพลงชาวปกาเกอะญอ

เบื้องหน้าเต็มไปด้วยความสนุก แต่เบื้องหลัง ชิ ในฐานะอาจารย์ และหัวหน้าโครงการสมัชชาเยาวชนชาติพันธ์ฯ เล่าให้ฟังถึงวิธีคิด การออกแบบกิจกรรมที่จะย้อนกลับไปให้เยาวชนเกิดความมั่นใจ และภูมิใจกับการเป็น สี และ กลิ่น ของตัวเอง ว่า…

“ที่ผมบอกว่าสีรุ้งเดิมมันถูกกลืนก็ดี ถูกรุกให้เข้าไปสู่กระแสอื่นก็ดี ที่กระทบมากคือเด็กขาดความมั่นใจ ก่อนจะขาดความมั่นใจก็เพราะเขาขาดความเข้าใจในวิถีวัฒนธรรมตัวเอง พอเป็นแบบนั้นก็ขาดความภูมิใจ ไม่เข้าใจว่าใส่เสื้อแบบนี้หมายความว่าอะไร ท่ามกลางคำว่า ‘ไม่’ ทั้งหมดนี้ เป็นไปได้ยากมากที่จะหวังให้เค้าสื่อสาร ปกป้อง สืบสาน

“กระบวนการที่เราทำคือ ข้อแรก ศึกษา ‘I’ หรือตัวฉันก่อน เพราะ inter cultural skill เริ่มจากความเป็น I นะครับ ค้นหารากเหง้า งานวิจัยที่ทำกับโครงการ active citizen ครั้งนี้เลยเป็นโครงการที่เชื่อมกับวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่ภูมิใจและรู้ว่าเรามีดีอะไร แต่รู้ว่าเราพัฒนาต่อได้ มีทักษะจะใช้ภูมิปัญญาของตัวเองได้ จะใช้เพื่อความสนุกสนาน ใช้หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ หรือเป็นเครื่องมือสื่อสารก็ได้ ถ้าเค้ารู้ว่ารากเหง้าตัวเองมีอะไรบ้าง เค้าเริ่มภูมิใจและรู้ว่าจะใช้อย่างไร นี่คือทักษะขั้นแรกคือรู้จักความเป็น I

“ข้อสอง รู้จักตัวเองแล้วต้องรู้จักคนอื่นด้วยนะ หรือคือรู้จักความเป็น ‘You’ ถ้าจะสื่อสารกับคนในเมืองต้องสื่อสารยังไง ถ้าจะเอาของใช้ของตัวเองไปเล่าความเป็นเรา ต้องใช้อะไร สมมติเรามีของอยู่ 20 อย่าง แต่จะมีกี่อย่างกันที่จะสื่อสารกับเค้าได้ เสื้อหรือย่ามเหรอ? ห่วงคอเหรอ หรือหมาก? เรามีอาหารมากมายแต่จะเอาเมนูไหนไปสื่อสารกับเค้า นี่คือประตูบานแรกที่จะเชื่อมสีอื่นๆ ในรุ้งให้เข้ามาได้

“สุดท้าย ‘We’ การที่เราจะเอาตัวเองไปเชื่อมกับคนอื่น จะไปจอยกัน มันควรเป็นกิจกรรมอะไร ที่บ้านเราอาจจะเล่นการละเล่นนี้แบบนึง แต่พอมาเล่นในพื้นที่กลาง เราจะปรับมันเมื่อให้เค้าเข้าใจยังไง

“I-You-We  พูดง่ายๆ ว่ามันก็คือการ accept, adapt และ integrate (ยอมรับ-ปรับตัว-ผสมผสาน) เราต้องยอมรับว่าสังคมสมัยนี้อยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ ถ้าอยู่แต่ของเราอย่างเดียวก็ไม่ใช่สีรุ้งอยู่ดี”

ชิ ยกตัวอย่างที่เห็นภาพว่า คืนที่เด็กๆ ชาวปกาเกอะญอกำลังเล่นลาวกระทบไม้ที่มีกลุ่มนักดนตรีเล่นประกอบเพลงเข้าจังหวะ คืนนั้นมีครูนาฏศิลป์คนนึงเดินมาบอกเด็กว่า เด็กคนนี้ใช้กลองคนไทยตีในการละเล่นปกาเกอะญอ นี่เป็นสิ่งที่ผิดและครูคนนี้รับไม่ได้ แต่เด็กคนนี้ยืนยันกับชิว่า ตั้งแต่เขาเกิดมาก็เห็นคนที่บ้านใช้กลองแบบนี้ในประเพณีต่างๆ ทั่วไป เขาตั้งคำถามกลับว่า อะไรคือกลองคนปกาเกอะญอ อะไรคือกลองคนไทย?

“นี่แหละ นี่คือสิ่งที่เราต้องทำคือสร้างเด็กแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราสร้างเด็กหัวแข็งต่อต้านคนอื่น แต่เราอยากสร้างเด็กให้เข้าใจและเป็นนักสื่อสารที่มีชีวิต สื่อสารอย่างมั่นใจในข้อมูลที่มีในมือของเค้าได้” ชิกล่าว

อย่างที่ชิย้ำเสมอ ไม่ใช่แค่คนชาติพันธ์ุจะมั่นใจ ไม่ทิ้งสีและกลิ่นของตัวเอง แต่การเป็นรุ้ง สีอื่นๆ ต้องยอมรับการมีอยู่ของเฉดสีอันหลากหลาย เคารพและรู้ว่าเราต่างมีอัตลักษณ์ทับซ้อนกัน เราเดินทางมาไกลเกินกว่าจะปฏิเสธการมีอยู่ของอัตลักษณ์อื่นเพียงเพราะความไม่สบายใจ ไม่ชอบใจ ต่อความเป็นอื่นของผู้คน

เพราะไม่ใช่แค่กลุ่มชาติพันธ์ุที่ต้องรู้จัก I-You-We เราที่เรียกตัวเองว่า ‘ไทย’ ก็ต้องกลับมาเข้าใจ I ของตัวเองด้วยว่าที่เรียกตัวเองว่า ‘ไทย’ อยู่นี้ สาวกลับไปที่มาของปู่ย่าตายายแล้ว เราแล้วเป็นไทยกี่เปอร์เซ็นต์กัน


*งานสมัชชาเยาวชนชาติพันธ์ุ 5 อำเภอชายแดนจังหวัดตาก เป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอผลงานวิจัยของเยาวชน ภายใต้โครงการการหนุนเสริมศักยภาพนักวิจัยเยาวชนชาติพันธุ์รุ่นใหม่ 5 อำเภอชายแดนจังหวัดตาก สนับสนุนโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) มูลนิธิสยามกัมมาจล  และวิทยาลัยโพธิชชาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จ.ตาก และร่วมสนับสนุนการจัดงานสมัชชาฯ โดย สถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.) และองค์กรภาคีเครือข่ายในพื้นที่

Tags:

สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ชาติพันธุ์active citizenproject based learningศิลปะการแสดงอีเวนต์ปกาเกอะญอ

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ออกจากป้อม ROV มานั่งล้อมวงเล่นดนตรีพื้นเมือง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    เคาะประตูบ้าน ส่งต่อเพลงซอและนิทาน สืบสานต่อโดยละอ่อนปกาเกอะญอ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ที่บ้านไม้สลี เด็กๆ ที่นี่ ปั่นฝ้าย ย้อมสี และทอผ้า ใส่กันเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

ทุกพื้นที่คือการเรียนรู้ ทุก SPACE ที่ต่างกันทำให้ได้ทั้งวิชาการและประสบการณ์
Creative learning
10 March 2020

ทุกพื้นที่คือการเรียนรู้ ทุก SPACE ที่ต่างกันทำให้ได้ทั้งวิชาการและประสบการณ์

เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

พูดกันมานานว่าการจัดการเรียนรู้ต้องร่วมมือกัน 3 ฝ่ายคือ โรงเรียน-ชุมชน-ครอบครัว แต่พอพูดว่า ‘การเรียนรู้’ พรมแดนมันคงไม่ใช่แค่ 3 สถาบันนี้ เราเรียนรู้ผ่านชีวิตของเพื่อน, หนังสือที่อ่าน, ภาพยนตร์ที่ดู, tik-tok ที่เล่น, เสียงบ่นของผู้คนที่ไม่รู้จักแต่เหมือนรู้ใจในโลกทวิตเตอร์ (ทวิตภพ) และ … คุณเติมคำในช่องว่างได้เลยว่า พื้นที่การเรียนรู้ของคุณคืออะไร แบบไหน อย่างไรบ้าง

เพราะเราเชื่อว่า ทุกพื้นที่ คือการเรียนรู้ และทุก space ที่ต่างทำให้เราได้ประสบการณ์และความรู้ที่ต่างกัน การเติบโตจึงไม่ใช่แค่อายุ แต่มันคือการรวบรวมทุกบทเรียนที่เราเจอในทุกคน จากคุณครูมากหน้าหลายตา

Tags:

โซเชียลมีเดียครูสามเส้า

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Relationship
    Parasocial Relationship: รักข้างเดียวของแฟนคลับ ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้เท่าทัน

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ถอดบทเรียน ‘ครูสามเส้า’ พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต้องเป็นโอกาสและโจทย์ร่วมของสังคม : มุมมอง ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Social Issues
    เมื่อสังคมก้มหน้าฆ่าคนที่เรารักให้กลายเป็นอากาศ : นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Voice of New Gen
    VISUALIZATION: ในโลกของ BIG DATA เราต้องการนักสร้างภาพจากมหาสมุทรข้อมูล

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊antizeptic ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Early childhood
    สิ่งที่พ่อแม่ควรทำก่อนตัดสินใจโพสต์รูปของลูกลง SOCIAL MEDIA

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

พื้นที่ที่ 5 (THE 5TH SPACE) สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อค้นพบศักยภาพและเปลี่ยนแปลงสังคม
Learning Theory
9 March 2020

พื้นที่ที่ 5 (THE 5TH SPACE) สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อค้นพบศักยภาพและเปลี่ยนแปลงสังคม

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

คนรุ่นใหม่/เด็กและเยาวชน เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมในทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่และแทบไม่เปลี่ยนแปลงในทุกยุคสมัยเช่นกัน คือ ศักยภาพของเด็กและเยาวชนถูกครอบงำและจำกัดโดยผู้ใหญ่ The Ocean in a Drop โดย องค์กรปราวาห์ (Pravah) ที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนในประเทศอินเดีย นำเสนอแนวคิดและให้แนวทางที่ผู้ใหญ่จะช่วยกระตุ้นและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนดึงศักยภาพในตัวเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่อีกครั้งในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

The Ocean in a Drop บอกว่า ครอบครัว เพื่อน การศึกษา/อาชีพ และไลฟ์สไตล์หรือวิถีการใช้ชีวิต เป็นสี่พื้นที่ที่มีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชน แต่ยังมีตัวช่วยเสริมพลังอีกหนึ่งอย่าง เรียกว่า พื้นที่ที่ 5 (the 5th Space)

พื้นที่ที่ 5 (the 5th Space) คือพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่สามารถสร้างการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยเชื่อว่าการได้รับโอกาสอย่างเต็มที่ในการเป็นผู้นำ ทดลอง เรียนรู้ ล้มเหลว หรือแม้แต่ทำผิดพลาด เป็นประสบการณ์สำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจตนเองจากภายใน ก่อนออกไปสร้างความสัมพันธ์กับภายนอก (self to society)

กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ทำให้เด็กและเยาวชนได้เห็นผลลัพธ์หรือบทเรียนจากการลงมือทำ เห็นภาพเชื่อมโยงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมากับสังคม แล้วไตร่ตรองการกระทำของตนเองด้วยตัวเอง

ช่วงขณะนี้ หากผู้ใหญ่ทำให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่เด็กและเยาวชนรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจ คอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ และอ้าแขนให้ความช่วยเหลือเมื่อพวกเขาต้องการ ผู้ใหญ่จะได้ใจพวกเขาไปเต็มๆ ไม่ใช่แค่เชื่อฟัง แต่เขาจะให้ความเคารพอย่างเต็มใจ

อ่านบทความเพิ่มเติม: The 5th space: พื้นที่ที่ 5 ที่คนรุ่นใหม่สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า “ฉันเป็นใคร มีศักยภาพอะไร”

Tags:

วัยรุ่นพลเมืองThe 5th spaceประชาธิปไตย

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

มานิตา บุญยงค์

กราฟิกดีไซน์เนอร์ที่รักการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ ฝากติดตามผลงานที่ IG : mntttk ด้วยนะคะ

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Learning Theory
    The 5th space: พื้นที่ที่ 5 ที่คนรุ่นใหม่สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า “ฉันเป็นใคร มีศักยภาพอะไร”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

‘เพื่อนแสนดีในยามยาก’ หนังสือ 6 เล่มที่อยากแนะนำให้อยู่เป็นเพื่อนในช่วงเวลายากๆ อย่างนี้
How to enjoy lifeBook
9 March 2020

‘เพื่อนแสนดีในยามยาก’ หนังสือ 6 เล่มที่อยากแนะนำให้อยู่เป็นเพื่อนในช่วงเวลายากๆ อย่างนี้

เรื่องและภาพ วิภาดา แหวนเพชร

“ปี 2020 มันหนักเหลือเกิน”

ประโยคที่เราได้ยินบ่อยๆ จากคนรอบตัวในช่วงเวลานี้ คงเป็นเพราะตั้งแต่ต้นปี หัวใจเราต้องรับแรงกระแทกจากข่าวหนักๆ มากมาย เช่น ไฟไหม้ป่าหลายพื้นที่ โจรปล้นทอง กราดยิงห้างที่โคราช มาจนโรคระบาด Covid-19 ช่วงเวลานี้หลายคนอาจรู้สึกเคว้งคว้าง เจ็บปวด อึดอัด และตั้งคำถามบางอย่างกับชีวิต

เรา-ในฐานะหนอนหนังสือที่ใช้ชีวิตส่วนมากกับร้านหนังสือและห้องสมุด และในฐานะอาจารย์สอนวิชาทักษะแห่งความสุขแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง ขอถือวิสาสะแนะนำหนังสือที่คิดว่าน่าจะปลอบประโลมหัวใจ… และอาจตั้งหลักให้หัวใจทุกดวงในช่วงเวลาแห่งความเคว้งคว้างนี้ได้

เป็นหนังสือที่เราเรียกเขาว่า…‘เพื่อนแสนดีในยามยาก’

1. สิ่งสำคัญของหัวใจ

สิ่งสำคัญของหัวใจ 
เขียน: นิ้วกลม สนทนากับ อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์

“นี่คือเล่มที่ดีที่สุดที่ได้อ่านในปีนี้… ตอนอ่านมันรู้สึกดี เหมือนหนังสือเล่มนี้พาเราไปท่องโลกหัวใจตัวเอง ได้ทบทวน ได้ตกตะกอนอะไรหลายๆ อย่าง ได้เห็นสิ่งที่ควรทำเพื่อมีหัวใจที่มั่นคงขึ้น”

นี่คือความรู้สึกที่เราเล่าให้เพื่อนสนิทฟังหลังจากอ่านเล่มนี้จบ ‘สิ่งสำคัญของหัวใจ’ เป็นบทสนทนาของคุณนิ้วกลมกับอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ว่าด้วยการเผชิญกับสภาวะต่างๆ ภายในใจ เช่น ความกลัว ความขัดแย้ง ความทุกข์ รวมถึงการฝึกจิตใจให้มั่นคง การรับรู้ความหมายของชีวิตและสิ่งต่างๆ ความรักและการประคองชีวิตคู่ และสิ่งที่มนุษย์ล้วนสงสัยอย่างเรื่องจิต ความตาย สวรรค์ นรกคืออะไร

ผู้ตอบคำถามทั้งหมดคืออาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ เราขอเรียกท่านว่า ‘ต้นไม้ใหญ่’ ที่ให้ร่มเงาอันสงบเย็นแก่ผู้คนมากมาย ผ่านงานสอนวิชาศาสนาและปรัชญากว่าค่อนชีวิต งานเขียนที่โด่งดังอย่าง ‘เดินสู่อิสรภาพ’ ซึ่งว่าด้วยประสบการณ์การเดินจากเชียงใหม่กลับบ้านที่สุราษฎร์ธานี โดยไม่พกเงินติดตัวเพื่อทำความเข้าใจชีวิต อาจารย์ประมวลคือต้นไม้ใหญ่ที่คุณควรอาศัยร่มเงาของท่านดูสักครั้ง… แล้วจะสัมผัสได้ถึงพลังความรักและความสงบเย็น

คำตอบของอาจารย์ประมวลในหนังสือเล่มนี้ มาจากการประมวลชีวิตและประสบการณ์ตลอดหลายปีของอาจารย์ สิ่งที่เราได้เรียนรู้มากที่สุดจากการอ่านสิ่งสำคัญของหัวใจคือ ‘ความไว้วางใจในชีวิต’ เพราะอาจารย์มีความเชื่อว่า ทุกสิ่งที่เกิดในชีวิต เกิดขึ้นมาเพื่อให้อะไรบางอย่างแก่เรา มันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดไปแบบนั้น… และมันมหัศจรรย์มาก

“ผมไว้เนื้อเชื่อใจธรรมชาติออกมาจากในผมเลย เชื่อว่าธรรมชาติจัดสรรสิ่งนี้ให้กับผม ถ้าผมนับถือศาสนาที่มีพระผู้เป็นเจ้า ผมคงกล่าวง่ายๆ เลยว่าผมไว้เนื้อเชื่อใจพระองค์ ทุกสิ่งที่พระองค์จัดสรรให้ผมรับหมดเลย เมื่อรู้สึกแบบนี้จึงไม่มีสิ่งที่เป็นเรื่องร้าย สมมติว่าวันหนึ่งผมออกจากบ้านแล้วถูกรถชนตาย ผมจะบอกว่า โอ้ นี่ผมออกมาเพื่อถูกรถชนตาย ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องโชคร้ายอะไร”

2. Gift from the sea – ของฝากจากทะเล

Gift from the sea 
เขียน: Anne Morrow Lindbergh

“ทุกครั้งที่เราหลงทางในการใช้ชีวิต…เราจะกลับมาอ่านเล่มนี้”

นี่คือสิ่งที่บอกตัวเองหลังอ่าน Gift from the sea จบ หนังสือ International Bestseller ที่แปลไป 45 ภาษา ตีพิมพ์ต่อเนื่องยาวนานกว่า 60 ปีเล่มนี้เป็นบทเรียนชีวิตของนักเขียนผู้โด่งดังคนหนึ่งที่ตัดสินใจทิ้งความเป็นภรรยา-ความเป็นแม่-ความเป็นนักเขียนและทุกบทบาท ไปใช้ชีวิตคนเดียวบนเกาะห่างไกล ช่วงเวลานั้นเธอได้ทบทวนความหมายของการมีชีวิตอยู่ ผ่านการเชื่อมโยงความหมายเหล่านั้นเข้ากับเปลือกหอยที่เธอพบริมชายหาด เช่น เปลือกหอยแชเนิลด์ เวลค์ที่ถูกทิ้งร้างนั้นบอกเธอว่าในบางช่วงเราก็ต้องหาเวลาปลีกตัวออกจากบ้าน บทบาทหน้าที่ และตัวตนที่เราคุ้นเคย เพื่อทำความรู้จักตัวเองใหม่อีกครั้ง

เปลือกหอยพระจันทร์ที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว… บอกเธอว่าเธอควรใช้ช่วงเวลาที่สันโดษเพื่อพักผ่อน เพื่อรักษาแก่นและศูนย์กลางที่มั่นคงในใจของตัวเองไว้

เปลือกหอยคู่อรุณ… บอกเธอว่าความรักและความสัมพันธ์นั้นงดงาม…แต่มันล้วนดำรงอยู่เพียงชั่วคราว

โขดหินหอยนางรม… ชวนเธอมายอมรับความน่าเกลียดและความบิดเบี้ยวในชีวิตตัวเอง

เปลือกหอยและชายหาดสอนให้เธอใช้ชีวิตในฐานะ “ผู้หญิงที่มีความสุข” คนหนึ่ง

ดังนั้นเล่มนี้น่าจะทำให้คนหลายคน-โดยเฉพาะผู้หญิง ค้นพบแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข และเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

3.จะเล่าให้คุณฟัง

จะเล่าให้คุณฟัง 
เขียน: ฆอร์เฆ่ บูกาย

สำนักพิมพ์ผีเสื้อบอกว่า “หนังสือเล่มนี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนและช่วยเหลือจิตใจอันตกอยู่ในสภาวะไม่ปกติให้กลับฟื้นคืนสภาพดังเดิมมามากต่อมากแล้ว เป็นหนังสืออ่านสนุก ไม่เครียด ความยุ่งยากในการอธิบายปัญหาทางจิตที่อาจใช้เวลาสนทนากันนาน กลายเป็นเรื่องง่ายในหนังสือเล่มนี้”

ตอนอ่านคำนำสำนักพิมพ์ครั้งแรกก็คิดว่ามันจะขนาดนั้นเลยเหรอ พออ่านจบก็พบว่า ‘มันดีขนาดนั้นจริงๆ’ หนังสือเล่มนี้เขียนโดยนักจิตบำบัดผู้มีชื่อเสียง ว่าด้วยเรื่องราวของนักบำบัดร่างอ้วนที่บำบัดชายผู้มีปัญหาในใจมากมายเขาบำบัดชายผู้นั้นด้วย ‘เรื่องเล่าหรือนิทาน’ ซึ่งเรื่องเล่าเหล่านั้นมีเสน่ห์เฉพาะตัว สนุก และที่แน่ๆ ทำให้เราได้กลับมาย้อนมองเรื่องราวของตัวเอง

อย่างเช่นเรื่อง วงกลมเก้าสิบเก้า ที่เปิดด้วยบทสนทนาว่า “ทำไมนะหมอ…ทำไมคนเราถึงอยู่อย่างสบายใจไม่ได้สักที”
หมอเลยเล่าเรื่อง ‘วงกลมเก้าสิบเก้า’ ว่าด้วยพระราชาที่ไม่มีความสุข ถามคนใช้ที่มีความสุขว่ามีเคล็ดลับอะไรให้ชีวิตเป็นสุข คนใช้บอกว่าไม่มีเคล็ดลับอะไรนอกจาก “ก็แค่ใช้ชีวิตไป” พระราชาสงสัยเลยปรึกษาเสนาบดี เสนาบดีเลยหาวิธีทำให้คนใช้ไม่มีความสุข โดยการเอาถุงซึ่งมีเหรียญทอง 99 เหรียญไปแขวนหน้าบ้านคนใช้ คนใช้ซึ่งไม่เคยมีสมบัติมาก่อนดีใจมากที่ได้เหรียญทอง หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่เฝ้าดูแลมัน และเริ่มอยากได้เหรียญทองอีก 1 เหรียญเพื่อให้ครบหนึ่งร้อย ตอนนั้นคนใช้ยอมขายทุกอย่าง ยอมทำงานหนักเพื่อได้มันมา ในที่สุดคนใช้คนนี้ก็กลายเป็นคนที่ไม่มีความสุขและโดนพระราชาไล่ออก

“เรามักจะรู้สึกว่ายังขาดอะไรเสมอเพื่อมีความสุข แต่การที่คนเราจะสุขได้นั้นต้องรู้จักพอใจสิ่งที่ตนมีอยู่”

เล่มนี้มันดีขนาดนั้นจริงๆ

4. Life Lesson : ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง

Life Lesson: ชีวิตสอนอะไรเราบ้าง 
เขียน: อลิซาเบธ คืบเลอร์-รอสส์ / เดวิด เคสเลอร์

“คนเราจะมองเห็นชีวิตชัดเจนที่สุดเมื่อถูกผักไสให้เข้าใกล้ความตาย ผู้ใกล้ตายสอนเรามากมายเกี่ยวกับความล้ำค่าของชีวิต”

หนังสือว่าด้วยบทเรียนซึ่งเล่าโดยผู้ทำงานใกล้ชิดคนใกล้ตาย นักเขียนทั้งสองคนชวนเรามาทำความเข้าใจว่า “ชีวิตคืออะไร” และ “อะไรคือบทเรียนสำคัญที่เราน่าจะเรียนรู้ในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่” เป็นหนังสือที่อ่านง่ายและเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงที่ให้ความรู้สึกเป็นมิตร มีประสบการณ์และกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจมากมายที่ทำให้เรารื่นรมย์ตลอดการอ่าน

บทเรียนทั้ง 14 บทเรียนนั้นว่าด้วยตัวตนที่แท้ ความรัก ความสัมพันธ์ การสูญเสีย พลังอำนาจ ความรู้สึกผิด เวลา ความกลัว ความโกรธ การเล่นสนุก ความอดทน การให้อภัย และความสุข เราชอบตั้งแต่บทเรียนแรกซึ่งว่าด้วยตัวตนที่แท้ ผู้เขียนชวนทุกคนมาทบทวนถึงส่วนลึกภายในที่เราต่างรู้ว่าเราเกิดมาเพื่อเป็นใครคนหนึ่งและต้องทำอะไรบางอย่าง เราจึงต้องเรียนรู้ในทุกๆ วันเพื่อเป็นตัวเองอย่างแท้จริงและให้เวลาทำในสิ่งที่เราเกิดมาทำมัน

“ความเป็นตัวคุณคือความรักอันบริสุทธิ์ เป็นความสมบูรณ์แบบยิ่งใหญ่ คุณมาที่นี่เพื่อเยียวยาตนเองและเพื่อจดจำสิ่งที่คุณเป็นอยู่ตลอดกาล นี่คือไฟที่ส่องนำคุณในความมืด”

5.When things fall apart : เมื่อทุกอย่างพังทลาย

When Things fall apart 
เขียน: เพม่า โชดรัน

“เมื่อทุกอย่างพังทลาย และเราไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง บททดสอบสำหรับเราแต่ละคนคือ อยู่กับวิกฤตินั้นให้ได้โดยไม่ตายด้านหรือเย็นชาไปเสียก่อน เส้นทางแห่งจิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องของสวรรค์หรือการมุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่สูงส่งอะไร”

ทำยังไงที่จะผ่านช่วงวิกฤตินี้โดยไม่ตายด้านหรือเย็นชา คือคำถามที่นำเรามาเจอหนังสือเล่มนี้ จำได้ว่าอ่านครั้งแรกตอนที่ชีวิตเผชิญวิกฤติชีวิต รู้สึกว่าตัวเองมีความมั่นคงภายในมากขึ้นหลังอ่านจบ พอกลับมาอ่านอีกครั้งก็ยังอยาก Highly Recommended ใครที่รู้สึกว่าข้างในเริ่มพังทลายแล้ว ไปซื้อมาวางไว้ข้างหัวนอนเพื่ออ่านก่อนนอนได้เลย

หนังสือเล่มนี้ว่าการฝึกใจในช่วงเวลายากๆ มีแนวคิดและเทคนิคการฝึกใจแบบต่างๆ เพื่อให้เรากลับมาอยู่กับตอนนี้ เพื่อให้เราผ่อนคลายกับสภาวะต่างๆ มากขึ้น เพื่อจะเป็นอิสระในช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดและสับสนอลหม่านโดยหลักการและแนวทางการปฏิบัตินั้นเป็นไปตามแนวท่านเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ครุผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก
ไม่มีอะไรจะบอกนอกจาก…ไปหามาอ่านดู

6. Awareness : คนไม่รู้จักตัวเอง

Awareness: คนไม่รู้จักตัวเอง 
เขียน: Anthony de Mello

หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยการตระหนักรู้ (Awareness) คือการถอยออกมาเป็นผู้เฝ้ามองและสังเกตตัวเองอย่างเปิดกว้าง ไม่ตัดสิน ไม่หลบตา เพื่อให้เรารู้จักตัวเอง เท่าทันกลไกและความซับซ้อนของจิตใจ เปิดพื้นที่ให้สิ่งดีงามได้ออกมา เป็นหนังสือที่อาจจะอ่านยากสักนิดเลยให้มันเป็นเล่มปิดท้าย แต่ละบทจะมีแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เราเฝ้ามองตัวเองได้ดีขึ้น

เราสงสัยว่าถอยออกมามองตัวเองมันจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นยังไง เลยลองทำตามบางแบบฝึกหัดที่เราพอจะทำได้ คือการเฝ้ามองลมหายใจ การเฝ้ามองความคิดตัวเองโดยปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปแบบนั้น เราแค่มองมันอย่างเปิดกว้าง เราก็พบพลังบางอย่างของการเฝ้ามอง…นั่นคือความสบายใจที่จะใช้ชีวิต เพราะเราได้เห็นจริงๆ ว่าทุกสิ่งมันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และมันเปลี่ยนตลอดเวลา

พออ่านจบเราก็แค่อยากเต้นรำไปกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต
เต้นรำด้วยความไว้วางใจว่าชีวิตมอบสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้เราแล้ว

Tags:

วิชาความสุขspiritual

Author & Photographer:

illustrator

วิภาดา แหวนเพชร

อดีตเด็กหญิงที่เห็นภาพตัวเองโตขึ้นเพื่อได้สอนวิชาแปลกๆ ในโรงเรียนและเป็นนักเขียนแสนสนุก เพื่อทำทั้งสองอย่างเลยเรียนต่อคณะนิเทศศาตร์ จุฬาฯ ต่อโทอีกใบที่วิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มธ. อายุ 29 อดีตเด็กหญิงกลายเป็นอาจารย์สอนวิชาทักษะแห่งความสุข กับ วิชามนุษยสัมพันธ์ที่ลาดกระบัง เขียนบทหนัง 3 เรื่อง / สารคดี 4 เรื่อง / บทความอีกมากมาย ตอนนี้อดีตเด็กหญิงมีความสุขจัง

Related Posts

  • Character building
    ล้มได้ แต่ไม่พ่ายแพ้ : ชวนเด็กๆ เรียนรู้และรับมือกับความล้มเหลว

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • How to enjoy life
    ‘คนเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขได้ คือ ตัวเรา’ 5 สถานการณ์ที่ทำให้เราไม่เชื่อในเรื่องความสุขอีกต่อไป และวิธีดึงความสุขกลับมาที่ตัวเรา

    เรื่อง The Potential

  • Everyone can be an Educator
    มุมมองใหม่ในการรู้จักตัวเอง ผ่านการดูไพ่ทาโรต์

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Life classroom
    เติบโตก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ผ่านตำนาน

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Creative learning
    Parkใจ ปวดใจเมื่อไหร่ให้เข้าป่า

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย
Space
8 March 2020

เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ของเล่นและสนามเด็กเล่นในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหลายแห่งในไทยยังมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย ไม่ถูกใช้งานจริง และไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อพัฒนาการเด็กเล็ก 
  • ทั้งๆ ที่เด็กเล็กคือวัยที่ต้องได้เล่นมากที่สุด เพื่อนำไปสู่พัฒนาการและการเรียนรู้ต่างๆ
  • ชวนทำความเข้าใจว่าของเล่นและสนามเด็กเล่นเพื่อพัฒนาการควรเป็นแบบไหน พร้อมข้อเสนอวิธีแก้ไขที่ควรทำและทำได้จริงผ่านงานออกแบบและการมีส่วนร่วมของชุมชน

เป็นที่ทราบกันดีว่าก่อน 7 ปี การเรียนรู้ที่ดีที่สุดของหนูๆ ในช่วงวัยนี้คือการเล่น และหากเป็นการเล่นอย่าง ‘อิสระ’ หรือ unstructured play – ไม่จำเป็นต้องมีของเล่นแต่ให้เขาหยิบจับสิ่งใกล้ตัวมาเล่นตามจินตนาการ หรือจะเล่นกับธรรมชาติ เช่น ปีนต้นไม้ หยิบใบไม้ในสวนมาเล่นหม้อข้าวหมอแกง หรือการเล่นด้วยวิธีใดก็ตามที่ไม่ขึ้นกับของเล่นยิ่งดีใหญ่

เพียงได้เล่นอย่างเต็มที่และมีผู้ใหญ่คอยดูแลไม่ห่าง ยิ่งไม่จำเป็นต้องนำเด็กๆ เข้าชั้นเตรียมอนุบาล หรือ อนุบาลเลยด้วยซ้ำ

แต่ก็เป็นที่รู้กันอีกเช่นกันว่ามีผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง (ในที่นี้ขอโฟกัสที่ผู้ปกครองเด็กๆ ปฐมวัยก่อนเข้าเรียนอนุบาล หรือ ประถม) ไม่สามารถอยู่กับลูกได้เต็มวัน ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่สร้างข้อจำกัดให้ต้องออกไปทำงานนอกบ้านเต็มเวลา ต้องฝากเด็กๆ วัย 2-5 ปีไว้กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) หรือเนิร์สเซอรี และหวังใจว่าศูนย์ฯ เหล่านี้จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อพัฒนาการตามวัยได้ หรืออย่างน้อยก็ขอให้เด็กๆ มีคนดูแลและมีความสุข

อย่างไรก็ตาม การจัดพื้นที่และการเรียนรู้ใน ศพด. หลายแห่งยังมีปัญหา โดยเฉพาะภาพที่ให้เด็กๆ มานั่ง (นิ่งๆ) รวมกันในห้องเรียน ฝึกเขียนอ่าน นอกจากทำให้เด็กไม่แจ่มใส ขาดพลังแห่งการอยากเล่นอยากรู้สมวัย และอาจตัดโอกาสการพัฒนาสมองซึ่งจะกลายเป็นขุมพลังและศักยภาพในการเรียนรู้ต่อไปในชีวิต

เชื่อว่าผู้ปกครองหลายท่านไม่คาดหวังให้ลูกๆ ในวัยก่อน 3 ขวบรู้หนังสือจนอ่านออกเขียนได้ในช่วงวัยนี้ คุณครู ศพด. (หลังจากนี้จะขอโฟกัสที่ ศพด. ในแง่การให้บริการของรัฐ) ก็คงไม่ได้คาดหวังกดดันให้เด็กๆ ทำได้เช่นนั้น แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏใน ศพด. หลายแห่ง พบว่ามีการใช้เวลาว่างส่วนใหญ่จับเด็กก่อน 3 ขวบนั่งหันหน้าเข้าหากันเพื่อนั่งท่องตัวหนังสือและเขียนอ่านให้ได้จริง อุปกรณ์การเรียนรู้เช่นของเล่น ไม่น่าเล่นหรือเป็นอันตราย สนามเด็กเล่นดูไม่ปลอดภัย ไม่น่าเล่น ไม่ร่มรื่น และไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อพัฒนาฐานกายและใจตามเป้าหมายของมัน

ปัญหาที่เกิดจริง เช่น ลูกปัดร้อยเชือก แม้จะเสริมสร้างพัฒนาการแต่เส้นผ่าศูนย์กลางสั้นกว่า 3 เซนติเมตร ซึ่งหวาดเสียวว่าเด็กจะกลืนลงคอได้ (ทำให้ผู้ดูแลต้องเหนื่อยเป็นพิเศษเพราะต้องสอดส่องเด็กจำนวนมากกว่า 20 คนว่าคนไหนทำท่าจะกลืนลงคอหรือเปล่า) ของเล่นไม่ได้มีฟังก์ชั่นเหมาะสมกับการสร้างพัฒนาการเด็กตามวัย ส่วนสนามเด็กเล่นที่ควรจะเป็นความสุขกลับแห้งแล้ง บางแห่งมีเพียงสไลเดอร์พลาสติกขนาดย่อมที่มีชุดห้องครัวอยู่ข้างใต้ (สไลเดอร์ชุดคลาสสิกที่เราๆ ต่างผ่านมือมาแล้วนั่นเอง)

ทั้งที่จริงๆ แล้วของเล่น – แม้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของที่ผลิตมาเพื่อเป็นของเล่น – มีฟังก์ชั่นแยบคายเพื่อการพัฒนาสมองและกล้ามเนื้อมัดต่างๆ

ไม่ใช่ว่าผู้ปกครองไม่ควรนำเด็กไปฝากไว้กับศูนย์เด็กเล็ก และไม่ใช่ศูนย์เด็กเล็กทุกแห่งมีปัญหา ประเด็นคือกิจกรรมที่อยู่ในศูนย์เด็กเล็กนั้นออกแบบอย่างไรบ้าง? เด็กได้เล่นตามวัยหรือไม่ กิจกรรมในห้องเป็นอย่างไร ของเล่นแบบไหนที่สร้างจินตนาการ ของเล่นจำเป็นต้องซื้อหาจริงหรือ? สภาพแวดล้อมในสถานที่เรียนเป็นแบบไหน ทั้งหมดนี้ต่างหากคือประเด็นที่เราอยากชี้ชวนดู

ล่าสุดผู้เขียนมีโอกาสลงพื้นที่ร่วมกับ ศูนย์การออกแบบเพื่อสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CUD4S) หน่วยงานใหม่ของจุฬาฯ ที่ต้องการให้องค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยเข้าไปรับใช้ประเด็นสังคมผ่านสายตาของนักออกแบบ ซึ่งขณะนี้ทีมมีโปรเจ็คต์ที่กำลังทำอยู่ 8 โครงการ แต่ประเด็นที่ผู้เขียนลงพื้นที่ไปร่วมสังเกตการณ์ด้วยคือโปรเจ็คต์ ‘ของเล่น’ และ ‘สนามเด็กเล่น’ ที่สร้างพัฒนาการเรียนรู้* หนึ่งในโปรเจ็คต์ย่อยของ CUD4S หมวดการพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก

วันนั้นเราเดินทางไปที่ตัวเมืองจังหวัดตรัง ซึ่งเป็นพื้นที่ทดลองที่ทีมนักออกแบบและนักวิจัยตั้งใจอยากใช้พื้นที่นี้ร่วมมือกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจำนวน 8 แห่ง ชวนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาร่วมวงเพื่อช่วยกันโยนปัญหาหรือบอกความต้องการของแต่ละคนในการใช้ของเล่นและสนามเด็กเล่น ผู้เข้าร่วมมีตั้งแต่นักการศึกษาด้านปฐมวัย ครูปฐมวัย นักออกแบบ ตัวแทนคนในพื้นที่ประกอบด้วยภาคเอกชน ครู/ผู้ดูแลเด็กจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ผู้ปกครอง รวมถึงทีมงานจาก PlanToys แบรนด์ของเล่นที่เน้นพัฒนาการเด็กและสิ่งแวดล้อม ซึ่งโรงงานหลักตั้งอยู่ที่จังหวัดตรัง และเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ให้คำปรึกษาและสนับสนุนทรัพยากร

ทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อคุยกันแค่เรื่อง ‘ของเล่น’ และ ‘สนามเด็กเล่น’ โดยเฉพาะ!

วิธีการคือลงสำรวจพื้นที่กายภาพและของเล่นใน ศพด. แต่ละแห่ง มากางดูว่าปัญหาในมุมนักวิชาการคืออะไร ตรงกับปัญหาที่ครู/ผู้แลเด็กใน ศพด. และผู้ปกครองในพื้นที่เห็นไหม

  • ถ้าใช่ ผู้ปฏิบัติงานและผู้ปกครองเห็นตรงกันหรือเปล่าว่าควรปรับปรุง และจะปรับอย่างไร
  • ถ้าไม่ใช่ ครู/ผู้ดูแลเด็ก และผู้ปกครองมองว่าปัญหาของพวกเขาคืออะไร

และทั้งหมดนี้จะแก้ไขด้วยงานออกแบบได้หรือเปล่า ซึ่งเป็นขั้นตอนที่นักออกแบบย้ำว่าจำเป็นอย่างมากในแง่การถามความต้องการและปัญหาของผู้ใช้งานจริง

ปรับปรุงของเล่น และ สนามเด็กเล่น ด้วยการออกแบบ

มองในมุมการเล่นเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการ ซึ่ง วิฑูรย์ วิระพรสวรรค์ ผู้ก่อตั้ง PlanToys ย้ำในวงคุยอีกครั้งว่า อันที่จริงไม่จำเป็นต้องมีของเล่นด้วยซ้ำ ของใกล้ตัว ของที่อยู่ในบ้าน ใบไม้ใบหญ้า ไม่ว่าอะไรก็หยิบมาเป็นของเล่นได้ทั้งนั้น แม้แต่ ‘ฝนตก’ พ่อแม่ยังชวนลูกแต่งนิทานจากฝนได้เลย หากเข้าใจว่าฟังก์ชั่นของเล่นเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งช่วยกระตุ้นให้เด็กได้สร้างจินตนาการและออกกำลังเคลื่อนไหว

แต่หากต้องสร้างของเล่นใน ศพด. เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพัฒนาการเด็กสูงสุด สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ

ประการแรก–ของเล่น เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการจะแบ่งตามช่วงวัย เช่น ช่วงวัย 2-5 ปีที่เด็กๆ เข้ามาอยู่ใน ศพด. นั้นเป็นช่วงวัยที่ พัฒนาฐานกายและความรู้สึก ช่วงวัยเติบโตค่อนข้างเร็ว เต็มเปี่ยมด้วยพลัง สงสัยใคร่รู้ แม้เป็นช่วงที่เริ่มรู้จักอารมณ์หลากหลาย (หงุดหงิด น้อยใจ งอน) แต่เริ่มรู้จักความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับเพื่อนและตัวเองกับคนอื่นๆ นอกจากคนในครอบครัว

ของเล่นในช่วงวัย 2-5 ปี โดยรวมจึงควรเป็นของเล่นที่ได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ เช่น ของเล่นเป็นชิ้นๆ ที่ถอดประกอบได้ตามรูปทรง, puzzle รูปทรงต่างๆ, ของเล่นที่ได้ยินเสียง, ของเล่นจำลองการทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้าน เช่น การทำครัว, ของเล่นจำลองอาชีพ – สิ่งนี้อาจไม่จำเป็นต้องซื้อหา แต่ลองมองหาสิ่งของใกล้ตัวที่ให้เด็กได้ทำกิจกรรมลักษณะนี้ก็ได้

ส่วนการเล่นที่ไม่ใช่ของเล่น คือการชวนเด็กๆ พูดคุยโดยชี้ชวนให้ฟังเสียง ดมและแยกแยะกลิ่น ชวนจำแนกสี ทุกครั้งที่เด็กไม่พอใจก็ชวนกันคุยว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาขณะนี้มีชื่อว่าอะไร (อย่าเพิ่งรีบเฉลยคำตอบกับเด็กๆ หรือพูดคุยในเชิงตรรกะเหตุผล ช่วงเวลานี้เป็นช่วงฝึกให้เข้าใจอารมณ์ หรือใช้สมองส่วนขวาบน) และดีที่สุด ชวนเขาออกไปเล่นกับเพื่อน

(ชวนอ่านการเล่นที่อิงพัฒนาการตามวัย ที่นี่)

ประการที่สอง-สนามเด็กเล่น สนามเด็กเล่นที่เอื้อต่อพัฒนาการเด็กในช่วง 2-5 ปี อันดับแรกควรออกแบบให้ปลอดภัยและอยู่สบาย สนามเด็กเล่นที่พบส่วนใหญ่ ถ้าไม่เอาของเล่นภาคสนามจำลองมาไว้ในตัวตึกเรียน (และตั้งวางบนพื้นปูน) ก็จะถูกวางไว้กลางแจ้งซึ่งไม่มีต้นไม้ให้ร่มเงา และช่วงเวลาที่เด็กๆ ใน ศพด. จะออกไปเล่นที่สนามเด็กเล่นคือตื่นจากนอนกลางวัน ราวบ่ายสามโมงเย็น (จุดนี้อาจลองจินตนาการได้ว่าแดดช่วงเวลานั้นจะแสบร้อนอย่างไร ชวนเล่นขนาดไหน)

พื้นที่สนามเด็กเล่นควรกว้างพอและมีต้นไม้ให้ร่มเงา อาจมีบ่อน้ำเล็กๆ และลึกเหมาะสมกับช่วงวัย 2-5 ปี ออกแบบวิธีเล่นให้เด็กๆ ได้ใช้ร่างกายให้มาก เช่น ตัวอาคารอาจเป็นสองชั้นและมีเชือกให้ป่ายปีน จับโหน หรือฝึกการเดินทรงตัวบนเชือก การปีนเชือกจะฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่และทักษะการทรงตัว นอกจากเป็นการปลุกประสาททุกส่วนให้ตื่นตัวระหว่างการเล่นแล้ว ยังเปิดจินตนาการให้เด็กๆ ระหว่างการเล่นด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกับการเรียนรู้ตามหลักการพัฒนาสมอง (BBL: Brain-Based Learning) ที่จะเกิดขึ้นระหว่างการเล่นอย่างครบถ้วน

สนามเด็กเล่นที่ ‘น่าเล่น’ และเอื้อต่อพัฒนาการร่างกายและสมอง ที่พูดถึงกันมากในปัจจุบันคือนวัตกรรม ‘สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา’ ออกแบบโดย อาจารย์ดิสสกร กุนธร ประธานมูลนิธิสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ซึ่งทีม CUD4S ตั้งใจใช้แปลนนี้พัฒนาในพื้นที่นำร่องด้วย ‘สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา’ มีฟังก์ชั่นครบเหมือนที่กล่าวไปข้างต้น แต่อยู่ในรูปแบบแปลนพื้นฐานที่ทำได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือคนในชุมชน ตอนนี้เปิดให้หน่วยงานดาวน์โหลดใช้แล้ว ที่นี่ ทั้งกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) และกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพ (สสส.) สำนัก 3 ได้นำร่อง ‘สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา’ ในบางพื้นที่ในประเทศไทยแล้ว

“เขายังมีเวลาเรียนอีกมากและอาจเป็นทั้งชีวิต มีแต่เพียงช่วงวัยนี้แหละที่จะได้เล่นและอยู่กับคนที่รักเขาเพื่อให้เขาได้มีตัวตน น่าเศร้าที่ต้องเห็นภาพเด็กตัวเท่านี้นั่งนิ่งๆ แล้วท่องหนังสือ”

ครูปฐมวัยคนหนึ่งพูดกับฉันก่อนเดินออกจาก ศพด. แห่งหนึ่งระหว่างลงพื้นที่

ในทางทฤษฎีมันเป็นอย่างนั้น แต่เราต่างรู้กันว่าท่ามกลางสภาพสังคมเช่นนี้ สิ่งที่ทำได้คือผลักดันให้ – แม้เด็กก่อน 5 ขวบจะต้องอยู่ใน ศพด. แต่ต้องช่วยกันส่งเสียงให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าใจการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ที่สมจริงที่มาจากความเข้าใจหลักการพัฒนาสมอง และผลักไปสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่อย่างง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด

คำถามคือ เราเข้าใจกันตรงกันแล้วหรือยังว่าพัฒนาการที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ตอนโต แต่คือช่วงปฐมวัยต่างหาก

Tags:

โรงเรียนปฐมวัยCUD4Sการเล่นพัฒนาการพ่อแม่ครูสนามเด็กเล่น

Author & Illustrator:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Creative learning
    พาเด็กอนุบาลเรียนรู้ผ่าน ‘งานสวน’ เสริมสมรรถนะการอยู่ร่วมกันและการแก้ปัญหา:  ครูกิม – ภาวิดา แซ่โฮ่ โรงเรียนรุ่งอรุณ

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    พลังเคลื่อนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ที่ปรากฎใน DNA ของเด็กทุกคน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • EF (executive function)
    เพราะอะไรจึงไม่ควรส่งเด็กไปเรียนหนังสือก่อน 7 ขวบ: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

  • Early childhoodLearning Theory
    เรียนปนเล่น เล่นปนเรียน: กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักเพื่อการเรียนรู้ ให้การมาโรงเรียนไม่ใช่แค่เรียนไปวันๆ
Learning Theory
8 March 2020

‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักเพื่อการเรียนรู้ ให้การมาโรงเรียนไม่ใช่แค่เรียนไปวันๆ

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • การใช้สมองเพียงข้างใดข้างหนึ่งเหมือนกับการว่ายน้ำด้วยมือและแขนข้างเดียวที่อาจช่วยพยุงตัวไปได้ แต่การใช้มือและแขนทั้งสองข้างว่ายพาตัวเองไปจนถึงเส้นชัยย่อมง่ายกว่าและสำเร็จได้มากกว่า-การเรียนรู้ก็เช่นกัน
  • การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเกิดขึ้นได้ดีกว่า หากกระบวนการเรียนรู้นั้นไม่เน้นหนักไปที่การทำงานของสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่ให้ทั้งสองส่วนทำงานร่วมกันอย่างสมดุล
  • การเปิดประตู ‘ความรู้สึก’ เป็นเสมือนการเปิดประตูการเรียนรู้ ที่ช่วยกระตุ้นผัสสะต่างๆ ให้ตื่นตัว ซึ่งจะแสดงออกให้เห็นผ่านความรู้สึกอยากเรียนอยากรู้ ตื่นเต้นไปกับการเรียน ไม่ใช่แค่มาเรียนไปวันๆ

เมื่อพูดถึงการเรียนรู้ เรื่องที่มักถูกหยิบยกมาอธิบายควบคู่ไปด้วยอยู่บ่อยครั้ง คือ เรื่องการทำงานของสมอง โดยเฉพาะการทำงานของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวาที่แสดงให้เห็นบทบาทหลักของสมองแต่ละส่วน

โรเจอร์ สเปอร์รี (Roger Sperry) นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา (Neurobiologist) เจ้าของรางวัลโนเบล ได้ศึกษาระบบโครงสร้างการทำงานของสมอง อธิบายถึงการทำงานที่แตกต่างกันของสมองทั้งสองซีกไว้ว่า สมองซีกซ้ายทำงานเกี่ยวข้องกับเรื่องการตัดสินใจ การใช้เหตุผล การคิดวิเคราะห์ (เรื่องใดเรื่องหนึ่ง) ทักษะการคิดคำนวณ ทักษะด้านวิทยาศาตร์ รวมไปถึงเรื่องการใช้ภาษา การเขียน การอ่าน การพูด และการควบคุมการทำงานของมือขวา

ส่วนสมองซีกขวามักถูกเปรียบเทียบถึงการทำงานเกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ การคิดสังเคราะห์ (สร้างสิ่งใหม่) การคิดหลายๆ เรื่องพร้อมๆ กันโดยแต่ละเรื่องอาจไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย การเห็นในเชิงสามมิติ (กว้าง ยาว ลึก) ในภาพรวมการทำงานของสมองส่วนนี้เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก เช่น ความรัก ความเมตตา สัญชาตญาณ ลางสังหรณ์ต่างๆ รวมถึงความรู้สึกดื่มด่ำกับศิลปะ ความมีสุนทรียะด้านดนตรี เพลง การใช้จินตนาการในการดำเนินชีวิต และควบคุมการทำงานของมือซ้าย

อย่างไรก็ตาม แม้นักวิทยาศาสตร์สามารถจำแนกการทำงานของสมองทั้งสองส่วนได้ แต่ในความเป็นจริงนั้นกระบวนการคิดของสมองทั้งสองซีกจะทำงานเชื่อมโยงประสานกัน ด้วยเครือข่ายที่สลับซับซ้อน เรียกว่า คอร์ปัส คอลโลซัม (Corpus Collosum) ความเข้าใจที่ว่าสมองทั้งสองส่วนทำหน้าที่แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิงจึงเป็นความเข้าใจผิด

เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ คือ การใช้สมองเพียงข้างใดข้างหนึ่งก็เหมือนกับการว่ายน้ำด้วยมือและแขนข้างเดียวที่อาจช่วยพยุงตัวไปได้ แต่การใช้มือและแขนทั้งสองข้างว่ายพาตัวเองไปจนถึงเส้นชัยย่อมง่ายกว่าและประสบความสำเร็จได้มากกว่า

เช่นเดียวกับเรื่องของการเรียนรู้ที่มักถูกเชื่อมโยงให้นึกถึงการคิดและการใช้เหตุผลเพียงอย่างเดียว (สมองซีกซ้าย) ทั้งที่แท้จริงแล้ว การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเกิดขึ้นได้ดีกว่าหากกระบวนการเรียนรู้นั้นไม่เน้นหนักไปที่การทำงานของสมองส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่ให้ทั้งสองส่วนทำงานร่วมกันอย่างสมดุล องค์ประกอบของอารมณ์ความรู้สึก (สมองซีกขวา) จึงควรถูกหยิบยกเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการเรียนรู้ด้วย

ตัวอย่างผลงานของบุคคลในประวัติศาสตร์โลกที่เห็นได้อย่างชัดเจน ได้แก่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) และ เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci)

ไอน์สไตน์ เป็นที่รู้จักในฐานะนักวิทยาศาสตร์และนักคิดจอมอัจฉริยะที่ดูเหมือนต้องใช้งานสมองซีกซ้ายอย่างหนักหน่วง แต่นอกจากการคิดวิเคราะห์ที่ปราดเปรื่องแล้ว ไอน์สไตน์ยังมีความสามารถด้านดนตรี (ไวโอลิน) ศิลปะ รวมถึงชอบคิดจินตนาการถึงเรื่องที่ยังไม่เคยมีอยู่จริง แล้วคิดต่อจนสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ เช่น ทฤษฎีสัมพันธภาพ เป็นต้น

ส่วนดาวินชี ศิลปินชาวอิตาเลียนที่มีชื่อเสียงในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ หรือ เรเนส์ซองส์ (Renaissance) เขาเป็นทั้งสถาปนิก นักกายวิภาคศาสตร์ วิศวกร นักวาดภาพ และนักดนตรี ภาพวาดของดาวินชีเป็นการผสมผสานทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน จากการสังเกตร่างกายมนุษย์และธรรมชาติ

อันโตนิโอ เปาลุชชี (Antonio Paoluci) หนึ่งในนักประวัติศาสตร์ศิลปะอิตาลีและของโลก เขียนคำอธิบายประกอบนิทรรศการเลโอนาร์โด โอเปรา ออมเนีย (Leonardo Opera Omnia) ที่ริเวอร์ซิตี แบงค็อค (River City Bangkok) เนื่องในโอกาสรำลึกถึง 500 ปีหลังการเสียชีวิตของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ว่า

“แท้จริงแล้วสำหรับเลโอนาร์โด งานจิตรกรรมเป็นการศึกษากรรมวิธีมากกว่าการสิ้นสุดกระบวนการสร้าง การเขียนภาพเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่ความรู้ รวมถึงการศึกษาวิทยาศาสตร์ และการทดลองตามแนวทางอวองการ์ด

“ดังนั้นงานจิตรกรรมจึงเป็นกิจกรรมของผู้มีความรู้ที่สูงส่งที่มุ่งไปสู่การทำความเข้าใจผ่านการลอกเลียนแบบและตีความธรรมชาติ ซึ่งเป็นกลไกอันยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจผลงานของเลโอนาร์โดโดยปราศจากความรู้ความเข้าใจว่าผลงานของเขาเกี่ยวข้องกับการสังเกตทางวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ การบินของนก กลไกของสิ่งต่างๆ การเคลื่อนไหวของสายน้ำ สายลมและทะเล”

ดังนั้น ความอัจฉริยะจึงไม่ใช่การทำงานของสมองซีกใดซีกหนึ่ง แต่เกิดจากการให้สมองทั้งสองซีกได้รับการฝึกฝน จนสามารถทำงานประสานและส่งเสริมกันได้อย่างยอดเยี่ยม

ความรู้สึกเชื่อมโยงสู่การเรียนรู้ได้อย่างไร?

การเปิดประตู ‘ความรู้สึก’ เป็นเสมือนการเปิดประตูการเรียนรู้ ที่ช่วยกระตุ้นผัสสะ (sense) ต่างๆ ให้ตื่นตัว ไม่ว่าจะเป็น ตา หู จมูก ปาก ซึ่งจะแสดงออกให้เห็นผ่านความรู้สึกอยากเรียนอยากรู้ สนใจ สนุก ตื่นเต้นไปกับการเรียน พร้อมที่จะเรียนรู้จนทำให้อยากมาโรงเรียนทุกวัน ไม่ใช่แค่มาเรียนไปวันๆ

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ผู้จัดการโครงการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้รับผิดชอบโครงการ Active Citizen หรือ พลังพลเมืองพลังเยาวชน ทั้งหมด 9 จังหวัด โครงการที่ชวนคนในพื้นที่ชุมชนมาจัดและออกแบบการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ และในฐานะนักออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้กว่า 15 ปี กล่าวถึง ‘การสร้างการเรียนรู้’ ในโลกสมัยใหม่ว่า การศึกษาในศตวรรษที่ 21 เชื่อว่าการเรียนรู้ที่ดีที่สุดและตรงไปตรงมาที่สุด คือการเรียนรู้จาก ‘ประสบการณ์’ ที่ต้องอาศัยการเปิดรับสัมผัส หรือ sensing

“ตาสำคัญมาก เรามองเห็นอย่างตรงไปตรงมาก็จริง แต่เวลาที่ตาไม่เปิด ประสบการณ์คนเราจะไม่เปิด หรือไม่ก็จะเห็นแต่สิ่งที่ตาเห็นหรือสิ่งที่อยากเห็นเท่านั้น เช่น ถ้าเราตั้งประเด็นเรื่องขยะ เราลงพื้นที่ปากบารา จังหวัดสตูล เราเห็นแต่ขยะ แต่ถ้าเราเปิดสัมผัสกว้างๆ เราจะเห็นหลายอย่าง เราอาจเห็นคนคนหนึ่งเดินมา ในมือเขาถือลูกชิ้นปิ้ง เขากินอย่างเอร็ดอร่อย เสร็จแล้วเอาถุงนั้นทิ้งข้างทาง ถ้าเราเปิดผัสสะทั้งหมดเราจะไม่เห็นแต่ตัวขยะแต่จะเห็นสายพานของมัน เห็น ‘คน’ ที่ทิ้งมัน กระบวนการคิดที่มาจากการเปิดรับสัมผัสทำให้เราเกิดกระบวนการคิดแบบรื่นรมย์ คิดแบบกว้างๆ และคิดแบบเชื่อมโยงด้วยซ้ำว่าผลลัพธ์ของสิ่งหนึ่งมันมาจากอะไรและทำให้ภาพรวมในพื้นที่ นำไปสู่การออกแบบกระบวนการเรียนรู้

การมองเห็น การได้กลิ่น การสัมผัสจริง ทั้งหมดจะเกิดเป็นประสบการณ์บางอย่างเข้ามาทำงานสองส่วนคือ ใจ กับ สมอง ร่างกายของเราจะเลือกได้เองว่าเรากระทบใจเรื่องอะไร เป็นประเด็นที่เราเกิดความเชื่อมโยงระหว่างโลกภายนอก โลกภายใน ความทรงจำวัยเด็ก ซึ่งสามารถนำไปสู่การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ไม่ใช่แค่ใช้หัวคิดแต่ใช้ใจสัมผัส แล้วเกิดความรู้สึกร่วมด้วย”

การเกิดขึ้นของ play passion และ purpose นี้ จะทำให้เกิดการเรียนรู้แบบกัดไม่ปล่อยโดยไม่ต้องมีใครบังคับให้ทำ เรียกว่า ยอมทุ่มเท ล้มลุกคลุกคลานไปกับมันได้ ห้ามเท่าไรก็ไม่หยุด

จากคำอธิบายนี้ขยายภาพให้เห็นว่า ความอินหรือการเกิดความรู้สึกร่วมกับเรื่องๆ หนึ่งจากการลงมือทำ (play) ทำให้ความรู้สึกเข้าไปซ่อนตัวกลมกลืนกับประสบการณ์ที่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง จนเกิดความอยากเข้าไปค้นคว้าต่อด้วยความสงสัย แรงขับที่เกิดขึ้นนี้เป็นความหลงใหล (passion) ที่มีเป้าหมาย (purpose) ชัดเจนว่า เราต้องการทำสิ่งนี้เพื่ออะไร

ใน ‘ทฤษฎีการเรียนรู้จากประสบการณ์’ หรือ Experiential Learning Theory (ELT) (อ่านบทความเรื่อง ELT คลิก) โดย ดร.เดวิด เอ. โคล์บ (Dr.David A. Kolb) นักทฤษฎีการศึกษาการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Education) ก็ได้กล่าวถึง ความรู้สึกในการเรียนรู้ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่กระบวนการแรกในวงจรการเรียนรู้ (learning cycle) ที่เรียกว่า Concrete Experience หรือ ประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม

โคล์บบอกว่า คนเราเชื่อมต่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งด้วย ‘ความรู้สึก’ เมื่อเทียบกับการเรียนรู้ ขั้นตอนนี้เริ่มต้นจากการที่ผู้เรียนได้มีส่วมร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ภาคปฏิบัติและเป็นการทำความรู้จักกับข้อมูลหรือความรู้ใหม่ แล้วเกิดความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรก การสร้างให้เกิดความรู้สึกประทับใจครั้งแรกนี้เองเป็นกุญแจของการเรียนรู้

โดยโคล์บบอกว่า กระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดความรู้สึกนี้ได้ คือ การสร้างการเรียนรู้ด้วย STEAM – Science, Technology, Engineering, Arts และ Mathematics ที่ผนวกวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม ศิลปะ และคณิตศาสตร์เข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังเรียนรู้ STEAM โดยขาดการนำศิลปะเข้ามาบูรณาการควบคู่ไปด้วย เหตุผลอาจเป็นเพราะเราตีความศิลปะเพียงผิวเผิน โดยมองศิลปะเป็นแค่วิธีการ เช่น การวาดเขียน การระบายสี หรือสิ่งที่เรียนในวิชาศิลปะ ทั้งที่กระบวนการทำงานของศิลปะมีความหมายและมีความลึกซึ้งมากกว่านั้น

ศิลปะเปิดสัมผัสการเรียนรู้

เมื่อการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพสัมพันธ์กับความรู้สึก การเรียนรู้ผ่าน ‘ศิลปะ’ จึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะพาผู้เรียนไปสัมผัสกับความรู้สึกของตัวเอง และกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างที่หลับใหลอยู่ได้

เราเห็นตัวอย่างการนำศิลปะมาใช้ในการเรียนการสอน อย่างชัดเจนในแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf) ริเริ่มโดยรูดอล์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) นักปรัชญาผู้บุกเบิกการศึกษาชาวออสเตรีย สไตเนอร์กล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่ราวร้อยปีมาแล้ว

การสอนแบบวอลดอร์ฟเน้นการพัฒนาจินตนาการผ่านการแสดงออกเชิงสร้างสรรค์และศิลปะ สไตเนอร์ให้ความสำคัญกับความมุ่งมั่นในการลงมือทำ (will) และ ความรู้สึก (feeling) ก่อน แล้วประสบการณ์จะค่อยๆ เปลี่ยนรูปกลายเป็นความคิด (thinking) ที่สามารถแตกแขนงออกไปได้อย่างหลากหลายในที่สุด ขณะที่การศึกษากระแสหลักมุ่งเน้นไปที่การฝึกให้คิดและจำ แต่กลับไม่สามารถพลิกแพลงความรู้ได้

มีงานวิจัยด้านสมองที่น่าสนใจ ผลการศึกษาจากการใช้เครื่องกระตุ้นสมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า* (Transcranial Magnetic Stimulation: TMS) แสดงให้เห็นการทำงานของสมองมนุษย์ขณะดูงานศิลปะ ปรากฏว่าสมองมนุษย์ทำงานตอบสนองต่องานศิลปะที่มองเห็น แล้วสามารถสื่อสารออกมาผ่านพฤติกรรมหรือลักษณะทางกายภาพบางอย่าง

การศึกษาหนึ่งทดลองโดยให้ผู้ทดสอบดูภาพ ‘The Creation of Adam’ ที่วาดบนเพดานโบสถ์ซิสตีน (Sistine Chapel) ของ ไมเคิล แองเจโล (Michelangelo) ณ นครรัฐวาติกัน

ในภาพข้อมือของอดัมโค้งงอผิดรูป นักวิจัยค้นพบว่าภาพดังกล่าวนอกจากส่งผลให้เกิดความรู้สึกอึดอัดเมื่อมองภาพแล้ว ยังพบปฏิกิริยาในสมองที่ส่งผลโดยตรงต่อการควบคุมการทำงานของข้อมือของผู้ที่มองภาพแต่ละคนด้วย

ส่วนผลที่เกิดขึ้นขณะลงมือวาดภาพ ระบายสี หรือทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การเต้น การร้อง การเคลื่อนไหวประกอบจังหวะ การทำขนมและการทำอาหาร ด้วยตัวเอง คือ ความรู้สึกสนุก ความรื่นรมย์ และความสุข

เดวิด เอ. โซซา (David A.Sousa) ที่ปรึกษาด้านการศึกษาระหว่างประเทศ เจ้าของหนังสือ ‘How the Brain Learns’ และบทความ ‘How the Arts Develop the Young Brain’ กล่าวว่า

การศึกษาที่ได้ผลดีมักเกิดขึ้นในโรงเรียนที่นำศิลปะเข้ามาผสมผสานเข้ากับหลักสูตรแกนกลาง ผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ นักเรียนมีความรู้สึกร่วมกับการเรียนในห้องเรียน มีความขยันหมั่นเพียร รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมาย และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ครูสอนดนตรีและศิลปะที่เป็นวิชารอง กลับมีบทบาทสำคัญในแทบทุกวิชา เพราะดนตรีหรือศิลปะเป็นส่วนหนึ่งในทุกวิชาเรียน

นอกจากนี้ เพื่อเปิดสัมผัสและความรู้สึกแห่งการเรียนรู้ให้มีความเชื่อมโยงกับตัวผู้เรียนมากขึ้น โรงเรียนสามารถเปลี่ยนห้องเรียนให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยดึงผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วม แล้วเปิดโอกาสให้ครูแต่ละชั้นเรียนทำงานร่วมกัน

หากต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ชีวิตที่ด่ำดิ่งไปกับอารมณ์มากเกินไปจนเพ้อฝัน และไม่อยากจมปลักอยู่กับชีวิตที่แห้งแล้ง จืดชืดไร้วิญญาณเพราะมัวแต่เครียดจนเกินพอดี เมื่อได้ทำความเข้าใจกับวิธีการทำงานของสมองแล้ว เชื่อว่าทุกคนคงเห็นความสำคัญของการพัฒนาสมองทั้งสองซีกอย่างสมดุล ไม่หมกมุ่นหรือเดินต่อบนวิถีชีวิตที่มุ่งเน้นการใช้สมองซีกขวาหรือซีกซ้ายอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว

เพราะหากเป็นอย่างนั้นสมองคงไม่สามารถปลดปล่อยศักยภาพได้อย่างเต็มที่ เราควรหันมาสร้างสมดุลของวิถีการเรียนรู้ที่นำมาสู่สมดุลชีวิต ทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก ท้าทายและชวนค้นหา อนุญาตให้ชีวิตได้สัมผัสกับเรื่องราวที่ต้องใช้ทั้งเหตุผลและอารมณ์คละเคล้ากันไปในทุกๆ วัน…

ตามแนวคิดมนุษยปรัชญา ความมุ่งมั่นในการลงมือทำ (will) ในที่นี้เชื่อมโยงกับมือ (hands) ส่วนความรู้สึก (feeling) เชื่อมโยงกับใจ (heart) และ ความคิด (thinking) เชื่อมโยงกับสมอง/หัว (head)

หมายเหตุ1 : ตามแนวคิดมนุษยปรัชญา ความมุ่งมั่นในการลงมือทำ (will) ในที่นี้เชื่อมโยงกับมือ (hands) ส่วนความรู้สึก (feeling) เชื่อมโยงกับใจ (heart) และ ความคิด (thinking) เชื่อมโยงกับสมอง/หัว (head)
หมายเหตุ2: เครื่องกระตุ้นสมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (Transcranial Magnetic Stimulation: TMS) ทำงานคล้ายกับเครื่อง MRI สามารถทะลุเข้าผ่านอวัยวะต่างๆ เข้าไปได้ลึกประมาณ 1-3 เซนติเมตร เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โดยไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่ออวัยวะโดยรอบ

อ้างอิง
Feel, watch, think, do: the four stages of experiential learning
Measuring actual learning versus feeling of learning in response to being actively engaged in the classroom
Artistic Feeling in the Art of Education
The Roots ofEducation

Tags:

ความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สมองExperiential Learning Theory(ELT)การเล่นพัฒนาการSTEM

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เข้าใจลูกในวันที่เขาเปลี่ยนไป EP.3 ‘เด็กปฐมวัยกับพลังอันล้นเหลือ’

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    ‘ความรู้สึก’ ส่วนผสมหลักในการเรียนรู้ ประตูสู่การเรียนรู้ไม่รู้จบ

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • Early childhoodLearning Theory
    เรียนปนเล่น เล่นปนเรียน: กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

Problem Based Learning: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา
Learning Theory
8 March 2020

Problem Based Learning: การเรียนรู้ที่เด็กสร้างความรู้ด้วยตัวเองที่ลำปลายมาศพัฒนา

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ KHAE

  • PBL (Problem Based Learning) คือ การเรียนรู้โดยตั้งต้นจาก ‘ปัญหา’
  • การใช้ PBL แต่ละโรงเรียนจะไม่เหมือนกัน บางโรงเรียนอาจใช้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร ขณะที่บางโรงเรียนก็ใช้เต็มเวลา เช่น โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ที่มีวิธีการออกแบบ
  • แผนการสอน PBL โดยใช้คอนเซ็ปต์ 2 ส่วนคือ หนึ่ง-รู้จักการทำ สามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็ง และ สอง-รหัส ซึ่งมีอยู่ 2 ชุดคือ P (problem) กับ K (knowledge)
  • บทความนี้อธิบายการใช้ PBL โดยตัวอย่างเป็นการจัดการขยะล้นโรงเก็บขยะในโรงเรียน ขั้นแรกให้ครูพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องโดยใช้ก้อนสามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็ง จากนั้นจึงค่อยนำไปสู่การออกแบบแผนการสอน

เชื่อว่าครูหลายคนได้ยินกันมาบ่อยแล้วกับคำว่า PBL (Problem Based Learning) การออกแบบการเรียนรู้โดยตั้งต้นจาก ‘ปัญหา’ คือแทนที่จะเรียนเป็นหมวดหมู่รายวิชา แต่ PBL จะเปลี่ยนวิธี เลือกหยิบ ‘ปัญหา’ มาหนึ่งอย่างแล้วให้ผู้เขียน ‘คลุกวงใน’ อยู่กับมัน ครูเองก็ได้เปลี่ยนบทบาทไปเป็น ‘ผู้อำนวยการเรียนรู้’ หรือ facilitator ไม่ยืนเลคเชอร์หน้าห้องแต่คอยหนุนเสริมให้เด็กๆ ทำโปรเจ็คต์นั้นด้วยตัวเขาเอง

ด้วยตัวมันเอง PBL เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สร้าง ‘ความเข้าใจ’ มากกว่าการ ‘copy and paste’ ความรู้ให้กับผู้เรียน เด็กๆ จะได้ลงมือทำ คิด วิเคราะห์ หาทางหนีทีไล่ (ถ้าแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ไม่ได้จะแก้แบบไหนดี) ได้ออกไปเรียนตามวิธีที่ตัวเองเป็นคนออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการทดลอง ออกไปสัมภาษณ์ ค้นข้อมูลด้วยตัวเองทางอินเทอร์เน็ตหรือหนังสือ และอีกหลากวิธีตามแต่ประเด็นเพื่อมาแก้ปัญหานั้น และแม้จะตั้งต้นที่ปัญหาหนึ่งเรื่อง แต่พอทำจริงก็ได้บูรณาการไปทุกศาสตร์วิชาอย่างเป็นองค์รวมไม่แยกกัน

ที่น่าสนใจคือ PBL ถูกบอกว่าเป็น ‘นวัตกรรมทางการศึกษา’ ที่จะทำให้เด็กๆ มีทักษะในศตวรรษที่ 21 เพราะการแก้ปัญหาหนึ่งย่อมเรียกร้อง การคิดวิเคราะห์, ความสร้างสรรค์, ทำงานร่วมเป็นทีม และการสื่อสาร และยังก่อคาแรคเตอร์อย่าง ความสงสัยใคร่รู้, การริเริ่ม, ความเข้าอกเข้าใจผู้ใช้งาน (empathy), การปรับตัวยืดหยุ่น และอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม การใช้ PBL แต่ละโรงเรียนจะไม่เหมือนกัน บางโรงเรียนอาจใช้ PBL เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร โดยอาจกำหนดเป็นชั่วโมง เช่น 3 ชั่วโมง/สัปดาห์ ขณะที่บางโรงเรียนก็ใช้ PBL เต็มเวลาไม่มีการสอนแบบแยกคาบเลย เช่น โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา ซึ่งผู้เขียนใช้ข้อมูลและวิธีคิดในการออกแบบการสอนจากที่นี่เป็นหลัก  

ประเด็นที่อยากเขียนเล่าและไฮไลต์ในบทความชิ้นนี้ คือ อยากเล่าวิธีคิด ‘ก่อน’ ที่ครูจะออกแบบหน่วย PBL ครูจะเขียนแผนอย่างไรให้หน่วย PBL นอกจากจะสนุกแล้ว ความเข้าใจใน ‘ปัญหา’ ยังจะพาผู้เรียนไปสู่ทักษะชีวิตอีกด้วย ทำให้ผู้เขียนรู้สึกท้าทาย และใช้ ‘ปัญหา’ นี้สร้างการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เป็นเจ้าของการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ออกแบบแผนการสอน PBL

ก่อนจะว่ากันเรื่องครูสร้างแผนการเรียนรู้อย่างไร โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาจะชวนคุณครูทำความเข้าใจคอนเซ็ปต์ 2 ส่วนคือ หนึ่ง-รู้จักการทำ สามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็ง และ สอง-รหัส ซึ่งมีอยู่ 2 ชุดคือ P (problem) กับ K (knowledge) 

วิธีการออกแบบแผนการสอน PBL: สามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็ง

สามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็ง มีไว้เพื่อให้ครูทำความเข้าใจปรากฏการณ์/สถานการณ์ของ ‘ปัญหา’ ในระดับที่ลึกลงไปในชั้นโครงสร้างว่าในปัญหาหนึ่งๆ นั้นเกี่ยวพันกับเรื่องอะไรบ้าง เพราะในฐานะที่ครูเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ จะได้ชัดเจนกับตัวเองก่อนว่ากำลังจะใช้ความเข้าใจ ‘ปัญหา’ นี้เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอะไรของผู้เรียน อยากให้เขาเห็นคุณค่าอะไร และด้วยตัวภูเขาน้ำแข็งเองจะทำให้เข้าใจในระดับทะลุทะลวง และให้รู้รอบว่าปรากฏการณ์ที่ดูเล็กน้อยนั้น แท้จริงแล้วมันไปแตะที่เรื่องอะไรบ้าง ซึ่งจุดนี้เองที่เป็นหัวใจของของ PBL

การทำความเข้าใจ ‘ปัญหา’ โดยก่อนออกแบบแผนการเรียนรู้ ครูต้องทำภูเขาน้ำแข็งตามรูปและวิธีการดังนี้ 

  • Event: ปรากฏการณ์ พฤติกรรมที่ปรากฏ และจะเป็นหัวข้อที่เลือกจะศึกษา
  • แบบแผนพฤติกรรม: ใต้ปรากฏการณ์นั้น มีพฤติกรรมอะไรที่เกิดซ้ำๆ 
  • โครงสร้าง: event นี้เป็นผลจากโครงสร้างสังคมอะไรบ้าง เป็นได้ทั้งโครงสร้างทางกายภาพ สังคม การเมือง เศรษฐกิจ  
  • คุณค่า ค่านิยม ความเชื่อ: เพราะมีความเชื่ออะไร จึงนำไปสู่โครงสร้าง แบบแผนพฤติกรรม และ event ที่ปรากฏนั้น 

จะเห็นว่าฝั่งซ้ายจะมีคำว่า ‘เดิม/ปัญหา’ ฝั่งขวามีคำว่า ‘เปลี่ยนสู่’ การเติมรายละเอียดในแต่ละชั้นน้ำแข็งก็เพื่อให้ครูเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหา และให้ชัดว่าในแต่ละชั้นของภูเขาน้ำแข็ง ครูอยากให้ผู้เรียนเข้าใจสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อเปลี่ยนไปสู่ความเข้าใจเรื่องอะไร

สำคัญที่สุดคือประเด็นจากภูเขาน้ำแข็งที่ยกมาทำ PBL ต้องเป็นประเด็นที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จากกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน ประเด็นอะไรที่เกินกำลัง เปลี่ยนไม่ได้ในระดับผู้เรียนให้หลีกเลี่ยงดีกว่า เพราะ PBL ที่ดีต้องทำได้จริง ต้องนำไปสู่การเปลี่ยนทั้งภูเขาน้ำแข็ง (วิธีแก้ ครูอาจใช้เรื่องในประเด็นเดิมแต่เลือก Event ที่เกิดได้ในระดับผู้เรียนมาเป็นประเด็นสำหรับทำ PBL)

พอสรุปภูเขาน้ำแข็งได้แล้ว ต่อไปก็จะมาออกแบบแผนการเรียนรู้แต่จะออกแบบแผนได้ก็ต้องเข้าใจก่อนว่า อยากให้ผู้เรียนได้ความรู้อะไร และอยากให้เกิดทักษะอะไร ผ่าน ‘ปัญหา’ นั้น ซึ่งตรงนี้จะเป็นอันที่นำเอา รหัส มาใช้ 

วิธีการออกแบบแผนการสอน PBL: รหัส

รหัสมีอยู่ 2 ชุดคือ K (knowledge) กับ P (problem) 

K – Knowledge คือ ความรู้ที่ผู้เรียนจะได้จากการเรียนรู้ผ่านปัญหา ซึ่งมี 3 ระดับ คือ

  • K3 – ความรู้ปฐมภูมิที่มีอยู่แล้ว เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ผลลัพธ์ทางสถิติที่มีอยู่แล้ว หรือข้อเท็จจริงทั่วไป 
  • K2 – ความรู้ทั่วไป และความรู้เชิงเทคนิคที่ได้จากการปฏิบัติ ระหว่างการปฏิบัติงาน เด็กๆ จะต้องคุยกับเพื่อน คิดหาทางแก้โจทย์ปัญหาและลงมือทดลอง ทักษะ 4Cs (critical thinking, creativity, communication, collaboration) ก็จะเกิดตามมา หรือเกิดความรู้เชิงเทคนิคเฉพาะเรื่องจากประเด็นที่ตนเองศึกษา เช่น วิธีการจัดการขยะ เป็นต้น
  • K1 – ความรู้ที่เกิดจากตัวเด็ก เด็กสร้างความรู้เองจากการลงมือปฏิบัติงาน รวมถึงทักษะในศตวรรษที่ 21 เช่น เวลาทดลองแล้วไม่เป็นไปตามหวัง เด็กต้องแก้ปัญหาเอง เขาอาจได้ค้นพบวิธีแก้ใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีคนคิดได้มาก่อน และมันเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากตัวผู้เรียนเอง คือเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวบุคคล 

P – Problem คือ ปัญหาที่ผู้เรียนจะได้เผชิญในระหว่างทำ PBL มี 3 ระดับ คือ

  • P0 – ปัญหาที่ผู้เรียนยังไม่มีความรู้ ครูให้เด็กไปค้นคว้าแล้วมาจัดการความรู้ร่วมกัน (ทำให้ได้ความรู้ระดับ K3) 
  • เช่น การทำ PBL หมวดการลดปริมาณขยะ ครูอาจให้นักเรียนค้นความรู้ก่อนว่า ขยะมีกี่ประเภท ผลกระทบของขยะมีอะไรบ้าง สถิติปริมาณขยะต่อปีของประเทศไทย วงจรการเกิดขยะ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความรู้ที่มีอยู่แล้ว หาได้จากการค้นคว้าทั่วไป เป็นต้น 
  • P1 – ปัญหาที่ครูเป็นคนตั้งให้เพื่อให้เด็กค้นคว้า และสร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหานั้น ทักษะที่เด็กได้ในขั้นนี้คือทักษะเชิงเทคนิค (ได้ความรู้ระดับ K3 และ K2) 
  • เช่น การทำ PBL หมวดการลดปริมาณขยะ ครูอาจตั้งโจทย์ให้นักเรียนคิด ‘นวัตกรรมเพื่อจัดการขยะ’ ผู้เรียนก็ต้องไปคิด ค้นคว้า หาวิธีว่าจะใช้วิธีการอะไรมาบริหารจัดการขยะที่ถูกวิธีและเกิดประโยชน์สูงสุด ต้องคิดว่าต้องมีถังขยะกี่ใบกันดีนะ ถ้าเป็นแก้วน้ำที่มีน้ำแข็ง ก็ต้องมีถังเปล่าสำหรับใส่น้ำแข็งและน้ำที่ติดมากับแก้วหรือเปล่า หรือมีถังแยกเพิ่มสำหรับเศษอาหารอีกใบดี? โดยผู้เรียนอาจคิด ‘ถังแยกขยะอัจฉริยะ’ และการลงถือสร้างถังขยะอัจฉริยะนี่เองที่จะทำให้ผู้เรียนได้ความรู้ระดับ K3 และ K2 
  • P2 – เป็นปัญหาของเด็กเองที่เกิดระหว่างการทำงานนั้นๆ ทักษะที่เด็กได้ในขั้นนี้คือทักษะศตวรรษที่ 21 ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาในระดับ P2 ขึ้น เด็กๆ จะต้องคิดหาทางแก้ปัญหาเอง ต้องค้นความรู้เพิ่มขึ้นและสร้างนวัตกรรมขึ้นเพื่อแก้ปัญหานั้น (ความรู้ที่ได้มีโอกาสเกิดได้ทั้ง K2 และ K1)

เช่น เมื่อนำ ‘ถังแยกขยะอัจฉริยะ’ ไปตั้งแล้วคนก็ยังไม่แยกขยะอยู่ดี อันนี้จะเป็นโจทย์ปัญหาของเด็กๆ แล้ว (P2) กล่าวคือ หน้าที่ของโครงงานนี้อาจจบลงที่นักเรียนจัดทำถังแยกขยะตามโจทย์ที่ได้รับแล้ว นักเรียนจะพอใจแค่นี้ก็ได้ แต่ถ้าเด็กๆ ยังอยากแก้ปัญหาต่อว่า “แม้จะมีถังแยกขยะแล้ว แต่ทำไมคนก็ยังไม่แยกอยู่ดีนะ?” เด็กๆ อาจต้องไปสัมภาษณ์คนที่ไม่แยกขยะแล้วดูว่าเขาคิดอย่างไร อะไรทำให้เขาแยกหรือไม่แยกขยะ เด็กๆ อาจคิดวิธีแก้ได้หลากหลาย เช่น อาจออกกฎร่วมมือกับคนขายเลยว่าให้ใช้ภาชนะถาวรที่ต้องนำภาชนะมาคืนและคิดค่ามัดจำภาชนะ พัฒนาตู้หยอดขวดน้ำที่จะแยกขยะให้อัตโนมัติและคนหยอดได้แต้มหรือได้เงินคืน หรือวิธีอื่นๆ

ซึ่ง P2 นี่เองที่ทำให้เด็กๆ ‘อิน’ ท้าทาย อยากทำโปรเจ็คต์ให้จบเพราะมันเป็นโจทย์ที่เกิดมาจากความไม่แล้วใจของเขาเอง (initiate) ซึ่งการแก้ปัญหาในระดับนี้ทำให้เกิดความรู้ที่เขาเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเองด้วย และยังชัดเจนอีกว่าวิธีการทำงานของเด็กๆ ในลักษณะนี้จะก่อให้เกิดทักษะในศตวรรษที่ 21 

ทั้งในหมวดความสามารถ (competency) ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเป็นทีม ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร คิดวิเคราะห์ และหมวดคาแรคเตอร์ เช่น การริเริ่ม ลงมือทำ ยืดหยุ่นปรับตัว มุมานะ และอื่นๆ – อย่างไม่ต้องสงสัย

ย้ำอีกครั้ง ปัญหาในระดับ P0 – ไม่เกิดนวัตกรรม แต่ P1 กับ P2 เกิดนวัตกรรม และทำให้เกิดความรู้เชิงเทคนิค และ ทักษะในศตวรรษที่ 21 

การใส่รหัสทั้งหมดนี้เพื่อย้ำกับครูว่าเวลาคิดแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละขั้น ต้องพยายามมองให้ทะลุว่าแผนแต่ละขั้นจะทำให้เกิด P และ K ในระดับไหนและครูจะสร้างให้เกิดความรู้แต่ละระดับอย่างไร แผนที่ดีต้องพยายามให้เกิดความรู้ในระดับ K1 และ K2 ขึ้นไป และให้เกิดปัญหาในระดับ P2 ขึ้นไป เพื่อให้เป็นการเรียนรู้ของผู้เรียน ที่มาจากปัญหาของเขา และเกิดทักษะใหม่ในการคิดแก้ไขปัญหาจริงๆ 

21st century skills

ตัวอย่างแผนการสอน

ปัญหา: ขยะล้นโรงเก็บขยะในโรงเรียนทุกวัน ส่งกลิ่นเหม็น 

ขั้นแรกให้ครูพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องโดยใช้ก้อนสามเหลี่ยมภูเขาน้ำแข็งก่อน จากนั้นจึงค่อยนำไปสู่การออกแบบแผนการสอนต่อไป  

ปัญหาเดิมภูเขาน้ำแข็งเปลี่ยนไปสู่
ขยะล้นโรงเก็บขยะในโรงเรียนทุกวัน ส่งกลิ่นเหม็นeventขยะในโรงเก็บขยะน้อยลง กลิ่นเหม็นน้อยลง
คนไม่แยกขยะ ทิ้งเศษอาหารรวมกับขยะมูลฝอยอื่นมักใช้ single used plasticแบบแผนพฤติกรรมแยกขยะ โดยเฉพาะขยะเศษอาหารคนพกขวดน้ำ แก้วน้ำถาวรมากขึ้น
ไม่มีถังแยกขยะในโรงเรียน/ถังขยะแต่ละจุดมีใบเดียว ทำให้ไม่รู้จะแยกยังไง โรงอาหารไม่แยกขยะอาหาร ไม่มีระบบแยกขยะในโรงเก็บขยะ ระบบแยกขยะไม่ครบวงจร การใช้บรรจุภัณฑ์สิ้นเปลือง/อายุน้อย (single used)โครงสร้างมีระบบคัดแยกขยะในโรงเรียน โดยเฉพาะการคัดแยกเศษอาหารจากขยะประเภทอื่น สหกรณ์ในโรงเรียนไม่ขาย/ไม่ให้ single used plastic
แยกขยะไปก็เท่านั้น เดี๋ยวก็เอาไปทิ้งรวมกัน มีซาเล้งแยกขยะอยู่แล้ว/มีคนประกอบอาชีพนี้อยู่แล้วการแยกขยะไม่ใช่เรื่องของเรา แค่ทิ้งขยะเป็นที่เป็นทางก็พอแล้วคุณค่า ค่านิยม ความเชื่อการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางเป็นหน้าที่ของเรา การไม่ผลิตขยะที่ไม่จำเป็นตั้งแต่ต้นทาง เป็นหน้าที่ของเรา

แผนการสอน

ชื่อหน่วย: ขยะ 

คำถามหลัก: ขยะ กระทบอะไรบ้าง จะลดขยะและจัดการให้ถูกต้องและเป็นระบบได้อย่างไร? 

ภูมิหลังปัญหา: เป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหาใหญ่ระดับโลกขณะนี้คือวิกฤติโลกร้อน และหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นคือเรื่อง ‘ขยะ’ ประเทศไทยผลิตขยะ 74,988 ตัน/วัน หรือ 1.13 กิโลกรัม/คน/วัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะลุกขึ้นมาสำรวจว่าเราเป็นหนึ่งในปัญหาอย่างไร ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เกิดปัญหาขยะล้นโลกแบบนี้ และวิธีการจัดการขยะอย่างถูกต้อง ทำได้อย่างไรบ้าง 

เป้าหมายความเข้าใจ: เข้าใจและแยกขยะแต่ละประเภทอย่างถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การจัดการอย่างถูกวิธี และลดการผลิตขยะในชีวิตประจำวันได้ 

ระยะเวลา: 11 สัปดาห์ (8 ชั่วโมง/สัปดาห์)

weekกระบวนการ
Week 1โจทย์: สร้างแรงบันดาลใจ (P0 P1)
กิจกรรม (K2)
1. เรียนรู้ขยะที่เกิดจากตัวเรา 
2. สำรวจบ่อขยะ สถานที่ที่มีการทิ้งขยะเป็นจำนวนมาก 
3. วางแผนและออกแบบการเรียนรู้ 
4. สร้างวิธีลดขยะร่วมกัน (ถุงผ้า ขวดน้ำ ห่อข้าว) 
Week 2-3 โจทย์: ออกแบบนวัตกรรมเพื่อจัดการขยะ (P1) กิจกรรม: (K2)
1. วิพากษ์ระบบการจัดการขยะที่มีคุณภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ
2. วิเคราะห์การจัดการขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่รอบตัว (โรงเรียน บ้าน ชุมชน) 
3. วางแผนและออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ออกแบบนวัตกรรมเพื่อจัดการขยะ (P2 K2 K1)

(P2 จะเกิดเพราะหากออกแบบนวัตกรรมมาใช้ ไปทดลองแล้วทำไม่ได้ อันนี้จะกลายเป็นปัญหาของผู้เรียนที่ต้องคิดหาทางแก้ เมื่อลงมือแก้ ความรู้ที่เขาได้แน่ๆ คือความรู้ระหว่างลงมือทำ (K2) กับความรู้ในทักษะเฉพาะด้านที่เขาเป็นคนคิดค้นมันขึ้นมาเอง (K1)

*กิจกรรมระยะยาวคู่ขนานไปตลอดหน่วย
Week 4-7โจทย์: การลดขยะ (P1)
กิจกรรม: สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ผ่านกระบวนการ Reuse, Reduce, Recycle, Repair, Reject (P2 K2 K1)
Week 8-9โจทย์: สร้างสื่อเพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับขยะและการจัดการ รวมถึงผลกระทบที่ต่อมีต่อตัวเรา สังคม และโลก  (P1)
กิจกรรม: 
1. วางแผนและออกแบบสื่อ
2. สร้างสื่อและเผยแพร่ (P2)
Week 10-11โจทย์: ถอดบทเรียน, HOME
กิจกรรม: ประเมินและถอดบทเรียนการเรียนรู้ (K2 K1)
1. วางแผนและออกแบบสื่อ
2. กิจกรรม HOME เปิดบ้าน ชวนผู้ปกครองและเพื่อนๆ มาร่วมเรียนรู้ร่วมยินดี

Tags:

โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาProblem based Learning(PBL)วิเชียร ไชยบังพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Creative learning
    ครูใหญ่วิเชียร ไชยบัง : เคลื่อนมุมคิดจากโรงเรียนเป็นฐาน สู่เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ (Child Base Learning)

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Creative learning
    Self-Directed Learner ช่วงเวลาเรียนรู้ที่มีคุณภาพของเด็กมัธยม: ครูณี-พรรณี แซ่ซือ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • โจทย์ไม่เยอะแต่ท้าทาย เป้าหมายคือสมรรถนะ : การจัดการเรียนรู้ระดับประถม ‘ครูยิ้ม – ศิริมา โพธิจักร์’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Creative learning
    Visible Learning : 4 ครูต้นเรื่อง ที่เติมหัวใจแห่งการเรียนรู้ให้เด็กด้วยการตั้งคำถามและหาคำตอบเอง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Creative learning
    เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

ค้นพบตัวตนของลูกผ่านการปั้นดิน: ไม่คาดหวัง เปิดตา เปิดใจ ยอมรับให้ดินได้ขึ้นรูปทรงด้วยตัวเอง
Family Psychology
5 March 2020

ค้นพบตัวตนของลูกผ่านการปั้นดิน: ไม่คาดหวัง เปิดตา เปิดใจ ยอมรับให้ดินได้ขึ้นรูปทรงด้วยตัวเอง

เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Workshop: งานเปิดเผยศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของลูก จัดโดย Hackerhouse ชวนพ่อแม่ให้ลองกลับมาฟังเสียงลูก เพื่อเข้าใจตัวตนของพวกเขามากขึ้นผ่านการทำศิลปะปั้นดิน
  • “การที่เราเป็นตัวเราอย่างในทุกวันนี้ เราก็เป็นผู้ที่ปั้นตัวเรามาโดยอาศัยสิ่งแวดล้อม เหมือนกับที่เด็กก็ปั้นตัวเขาเอง เปิดเผยตัวเขาเอง เพียงแต่เราจะเป็นสิ่งแวดล้อมไปช่วยเกื้อกูลหรือช่วยให้เขาเติบโตในสิ่งที่เขาอยากเป็น” ศศิลักษณ์ ขยันกิจ

“การที่เราเป็นตัวเราอย่างในทุกวันนี้ เราก็เป็นผู้ที่ปั้นตัวเรามาโดยอาศัยสิ่งแวดล้อม เหมือนกับที่เด็กต้อง ‘ปั้น’ ตัวเขาเอง เปิดเผยตัวเขาเอง เราเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมที่ช่วยเกื้อกูลหรือช่วยให้เขาเติบโตในสิ่งที่เขาอยากเป็น จะพบว่าเวลาปั้นตามดินไปมันไม่เหนื่อย ไม่เครียด แล้วก็ไม่ต้องพยายามมาก”

เป็นการสื่อความถึงการเลี้ยงลูกอย่างอิสระ โดยเปรียบเปรยลูกเป็นดิน เมื่อไรที่คนปั้น (พ่อแม่) บีบเค้น พยายามปั้นดินให้รูปร่างออกมาตามที่ตัวเองต้องการ ผลคือทั้งคนปั้นและดินต่างก็เหนื่อย ไม่มีความสุข แต่เมื่อไรที่ปล่อยให้ดินเลือกรูปร่างของเขาเอง อยากเป็นอะไรก็เป็นไปตามที่ใจเขาปรารถนา ทั้งดินและคนปั้นต่างก็จะพบกับความสุข

สารที่ได้มาจากงาน Workshop: งานเปิดเผยศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของลูก จัดโดย Hackerhouse เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563 ณ สามย่านมิตรทาวน์ งานที่พาพ่อแม่กลับมาฟังเสียงลูกและเข้าใจตัวตนของพวกเขามากขึ้นผ่านการปั้นดิน วิทยากรในครั้งนี้ คือ รศ.ดร.ศศิลักษณ์ ขยันกิจ อาจารย์สาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคุณอิสรียาห์ ประดับเวทย์ นักการศึกษาปฐมวัย สาขาหลักสูตรและการสอน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พวกเขาจะมาช่วยพ่อแม่สื่อสารกับลูก โดยจำลองก้อนดินให้เป็นลูกพวกเขาเอง เราจะพูด ฟัง คุยกับก้อนดินอย่างไร ให้พวกเขารู้ว่าพ่อแม่พร้อมเป็นแรงสนับสนุน พร้อมกับพาไปค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวลูก เพียงแต่รอเวลาให้พ่อแม่มองเห็นและยอมรับ

สเต็ปที่หนึ่ง: รู้จักก้อนดิน

ห้องเรียนเริ่มต้นด้วยการแจกอุปกรณ์สำหรับทำงาน ประกอบด้วยดินเหนียว 1 ก้อน แก้วน้ำ และเพลทสำหรับวางดิน หลังจากแจกอุปกรณ์ ดร.ศศิลักษณ์ให้ทุกคนเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักกับก้อนดินเหนียวในมือตัวเองก่อน ผ่านการปั้น นวด ให้ก้อนดินนุ่ม ให้รู้สึกคุ้นเคยกับมัน

ดร.ศศิลักษณ์อธิบายว่า การสื่อสารกับดินจะใช้แค่มือเท่านั้น ใหตำแหน่งของมืออยู่ระดับหน้าอก ไม่สูงเกินไปและไม่ต่ำเกินไป เท้าติดพื้น และขณะที่กำลังปั้นนั้น ดินของใครแห้งหรือแข็งเกินไปให้แก้ไขด้วยการนำน้ำมาลูบที่ก้อนดินเหนียวเพื่อให้มันนุ่มขึ้นจนสามารถปั้นต่อได้

ขณะที่ทุกคนกำลังทำความรู้จักกับก้อนดินของตัวเอง ดร.ศศิลักษณ์ขยายความให้ฟังว่าการทำงานกับศิลปะเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราสื่อสารกับตัวเอง กระบวนการทำงานกับศิลปะจะช่วยให้ตัวเราค่อยๆ กลับมาโฟกัสภายใน เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดจากข้างใน ค่อยๆ แกะปมที่พันกันอยู่

เมื่อทุกคนเตรียมดินของตัวเองเรียบร้อย ดร.ศศิลักษณ์อธิบายขั้นตอนการเรียนปั้นดินว่าแบ่งเป็น 3 สเต็ป โดยเริ่มกันที่สเต็ปแรก ให้นักเรียนทุกคนปั้นก้อนดินเป็นทรงกลม โดยที่ทุกคนจะต้องหลับตา ใช้เพียงความรู้สึกและอุ้งมือในการกำหนดให้ก้อนดินเป็นทรงกลม

“สองมือประกบดินเอาไว้เฉยๆ นิ่งๆ ให้ดินนอนหลับในมือเราสักครู่หนึ่ง ให้เราสัมผัสรับรู้ ณ ปัจจุบันว่าดินของเรามีอุณหภูมิยังไง หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ค่อยๆ ทำด้วยความเบาสบาย ไม่กดดันไม่เคร่งเครียด ประหนึ่งว่ามีเด็กอยู่ในมือเราหรือเป็นลูกของเราที่ยังเล็กๆ การทำงานกับดินเหมือนเป็นการทำงานกับพลังชีวิตเพื่อที่จะก่อลูก พลังชีวิตก็คือพลังงานที่มองไม่เห็น แต่รู้ว่ามีอยู่ในร่างกาย ทำให้เกิดออกมาเป็นรูปเป็นร่าง

“อุ้งมือของเราจะมีความฉลาดมาก เวลาเอาดินไปวางในอุ้งมือมันจะรู้ทันทีว่าความกลมเป็นแบบไหน ขณะที่ทำงานไปด้วยก็ให้ดูใจของเราเอง เวลาเราสัมผัสดินแล้วเรารู้สึกยังไง ถ้าเรารู้สึกเครียดเกินไปให้เราผ่อนตัวเองออกมา ค่อยๆ สื่อสารกับดินเหมือนกับเรากำลังพูดคุยกับเขาว่าให้เขาค่อยๆ ฟอร์มตัวเองเป็นทรงกลม สังเกตลมหายใจของเราและความรู้สึกข้างในขณะทำงาน” ดร.ศศิลักษณ์กล่าว

เมื่อทุกคนปั้นก้อนดินให้เป็นทรงกลมเสร็จ ก็ให้ยืนล้อมเป็นวงกลม ดร.ศศิลักษณ์อธิบายว่าขั้นตอนนี้เป็นการสื่อสารกับดินของคนอื่นๆ วิธีการสื่อสาร คือ ให้ทุกคนหลับตา มือข้างหนึ่งส่งก้อนดินไปให้เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ส่วนมืออีกข้างก็ค่อยรับก้อนดินจากเพื่อน เปิดใจรับความรู้สึกจากดินของเพื่อน

ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ดร.ศศิลักษณ์ให้ทุกคนลืมตาพร้อมถามความรู้สึกต่อกระบวนการนี้ บางคนบอกว่ารู้สึกถึงอุณหภูมิที่แตกต่างกันของก้อนดินแต่ละก้อนซึ่งมีทั้งเย็นและอุ่น ส่วนบางคนเป็นเรื่องความแน่น บางก้อนจับแน่นแข็ง แต่บางก้อนจับแล้วเบา

ดร.ศศิลักษณ์ถามต่อว่าแล้วความคิดที่เกิดขึ้นขณะที่ปั้นดินช่วงแรกเป็นอย่างไร คุณพ่อท่านหนึ่งบอกว่า เขารู้สึกกดดันเพราะต้องทำให้เป็นก้อนกลมให้ได้ คุณศศิลักษณ์อธิบายว่าเป็นธรรมชาติของดิน บางทีมนุษย์ก็ไม่สามารถควบคุมได้

สเต็ปที่สอง: สื่อสารกับดินว่าต้องการอะไร

หลังจากสเต็ปแรกปั้นก้อนดินให้เป็นทรงกลม ต่อมาสเต็ปที่สอง คือ ปั้นก้อนดินให้เป็นทรงเปิด ศศิลักษณ์อธิบายว่า ก้อนดินในมือพ่อแม่ตอนนี้เป็นทรงปิด เธออยากให้พ่อแม่ทุกท่านปั้นออกมายังไงก็ได้ให้เป็นทรงเปิด สีหน้าของพ่อแม่หลายๆ คนหลังจากฟังโจทย์รู้สึกแปลกใจ อาจเพราะไม่เข้าใจว่าทรงเปิดคืออะไร ทุกคนจึงเริ่มด้วยการกดก้อนดินให้เป็นแผ่นกลมๆ จากนั้นต่างคนต่างครีเอทแผ่นดินของตัวเอง บางคนทำเป็นจาน เป็นเรือ หรือเป็นกระถาง

ปั้นได้สักพัก ดร.ศศิลักษณ์ให้ทุกคนวางมือ แล้วให้ทุกกลุ่มยืนขึ้นสลับโต๊ะกัน โดยกลุ่มหนึ่งไปยืนกลุ่มสอง กลุ่มสองไปกลุ่มสาม และกลุ่มสามไปกลุ่มหนึ่ง โจทย์ของขั้นตอนนี้เพื่อให้ทุกคนพิจารณาชิ้นงานของเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า ให้ทุกคนสื่อสารกับก้อนดินของเพื่อนว่ามันต้องการอะไรและเติมเต็มให้กับมัน นักเรียนบางคนมองแค่แวบเดียวก็ลุกขึ้นไปหยิบดินมาปั้นเพิ่ม บางคนก็ใช้เวลานานก่อนจะลุกไปหยิบดิน หรือบางคนลงมือทำงานทันทีโดยไม่ได้เพิ่มเติมอะไร ใช้เวลาแต่ละโต๊ะประมาณ 15 นาทีก่อนจะเวียนครบทุกกลุ่ม

โจทย์ต่อไป คือ ให้เจ้าของชิ้นงานพูดคุยกับคนที่มาช่วยเติมเต็มงานของตัวเอง แลกเปลี่ยนความเห็น ความรู้สึกต่อชิ้นงานนั้นๆ เป็นวิธีปั้นดินแบบที่ต้องฟังความต้องการของดินว่าเขาอยากได้อะไร หน้าที่ของพ่อแม่เติมเต็มสิ่งๆ นั้น ก่อนจะเรียกให้ทุกคนนั่งประจำที่เดิมและให้แชร์ความรู้สึกงานของตัวเองที่มีคนมาเติมให้ หลายๆ คนบอกว่ารู้สึกดีใจงานออกมาสวย แม้ว่าไม่รู้ตัวเองต้องการอะไร แต่ก็ชอบสิ่งที่เพื่อนทำให้ หรือบางคนบอกว่ารู้สึกเครียดพราะมองของเพื่อนไม่ออกว่ามันต้องการอะไร ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยใส่ความคิดตัวเองลงไปแทน

สเต็ปที่สาม: ปล่อยให้ก้อนดินเป็นไปตามธรรมชาติความต้องการของมัน

มาถึงสเต็ปสุดท้าย คราวนี้ให้พ่อแม่ทุกคนนำชิ้นงานตัวเองกลับมาปั้นให้เป็นทรงกลมเหมือนเดิม แต่วิธีครั้งนี้จะต่างกับตอนแรก ในตอนต้นทุกคนปั้นดินให้เป็นทรงกลมจากดินก้อนใหญ่ๆ แต่ครั้งนี้เธอให้เริ่มจากการฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ จากก้อนงานเดิม ค่อยๆ ปั้นให้มันใหญ่ขึ้นเป็นทรงกลมเหมือนเดิม ก่อนจะเริ่มโจทย์ต่อไป คือ ปั้นให้เป็นทรงไข่ ซึ่งวิธีการเธอแนะนำว่า ให้วางมือไว้ที่ระดับหน้าอกเหมือนเดิม แต่ทำมือเป็นรูปตัววีแล้วหมุนดินในมือให้เป็นทรงไข่

เมื่อได้ก้อนดินทรงไข่แล้ว ก่อนที่จะเริ่มขั้นตอนต่อไป ดร.ศศิลักษณ์ขอให้ทุกคนทำใจให้ว่างเปล่า ปล่อยสมองให้โล่ง ไม่ต้องคิดอะไร มองก้อนดินในมือว่ามันอยากเป็นรูปทรงอะไร ก่อนจะปั้นตามสิ่งที่มันต้องการ เป็นโจทย์ที่ค่อนข้างยาก เพราะลักษณะของก้อนดินในมือแต่ละคนเป็นเพียงก้อนสีน้ำตาลธรรมดา ต้องใช้เวลาเพ่งพิจารณาอยู่นานก่อนจะพอมองเห็นว่ามันควรเป็นอะไร

“ตั้งแต่แรกเราพยายามปั้นให้เป็นสิ่งที่เราต้องการซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ความคิดแต่สเต็ปนี้เราจะมาลองทำแบบไม่ต้องคิด ดินจะเป็นยังไงก็ปล่อยตามธรรมชาติมัน เพราะเราจะเห็นว่ากระบวนการทำงานที่ต้องใช้ความคิดทำให้เรากังวล คาดหวัง เครียด คราวนี้ลองมาตอบสนองดินด้วยความไม่คาดหวัง มันจะเป็นอะไรก็ปล่อยมัน ปล่อยไปตามสิ่งที่ดินจะเป็น ตอบสนองตาม action อย่างเดียว

“การทำงานแบบนี้ไม่ได้ใช้ความคิดที่เราคุ้นชิน แต่ใช้จิตนาการ ปล่อยไปตามใจ กดไปตามจินตภาพที่มันเกิดขึ้น ง่ายกว่าทำแบบสิ่งที่เราอยากให้เป็น ถ้าก้อนดินอยากจะเป็นหมูก็ต้องยอมให้เขาเป็นหมู” ดร.ศศิลักษณ์อธิบายเพิ่ม

เมื่อทุกกลุ่มปั้นเสร็จเรียบร้อย ดร.ศศิลักษณ์ให้แต่ละกลุ่มจัดชิ้นงานมารวมกัน ก่อนจะปล่อยให้พ่อแม่ทุกท่านไปเดินดูชิ้นงานคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้สึก เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็ให้พ่อแม่ลากเก้าอี้มานั่งเป็นวงกลมเพื่อคุยสรุปท้าย

เคล็ดลับที่จะทำให้พ่อแม่เห็นศักยภาพของลูก: เปิดตา เปิดใจ และยอมรับสิ่งที่ลูกเป็น

หลังจากเสร็จกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมด ดร.ศศิลักษณ์และคุณอิสรียาห์ก็ชวนพ่อแม่ลากเก้าอี้มาตั้งวงคุยกัน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าร่วมกระบวนการ เริ่มด้วยการให้พ่อแม่แชร์ความรู้สึกของตัวเองกับการปั้นดินในแต่ละสเต็ป

แม่ท่านหนึ่งเล่าว่า ตัวเองรู้สึกสบายใจกับการปั้นในสเต็ปหลังๆ มากกว่าสเต็ปแรกที่เริ่มจากชิ้นใหญ่ๆ สเต็ปที่สองและสามจะเริ่มทำงานจากชิ้นเล็กๆ ทำให้รู้สึกว่าการค่อยๆ ปั้น ค่อยๆ ทำมันง่ายกว่า และด้วยความที่ไม่ต้องนั่งคาดหวังว่าผลงานจะต้องออกมาเป็นแบบไหน ทำให้ไม่รู้สึกกดดัน พอใจกับผลงานที่ได้

หลังจากนั้น คุณอิสรียาห์ยกประโยคๆ หนึ่งมาเล่าในวงสนทนา ‘พ่อแม่รู้จักลูก รู้ว่าลูกคิดอะไรก่อนที่ลูกจะบอกเสียอีก’ เธอบอกต่อว่า แม้ว่าพ่อแม่จะรู้จักลูกตัวเอง แต่ในหลายๆ ครั้งพ่อแม่มักจะมีความคาดหวัง ความกังวล หรือสภาพแวดล้อมที่กดดัน ทำให้พ่อแม่ใส่หรือปรุงแต่งสิ่งที่อยากให้ลูกได้รับ เพราะทุกคนล้วนอยากให้ลูกได้เป็นตัวของตัวเอง และประสบความสำเร็จ มีความสุขในอนาคต

“อย่างหนึ่งที่เราเจอจากการทำงานด้านการศึกษา คือเราจะประเมินตลอดเวลา เกิดการคัดสรรบางอย่างเพื่อ force เขาให้เป็นบางอย่าง ทำให้เรารู้สึกว่ามันเหนื่อย ออกแรงเยอะ ตอนที่เราปั้นดินครั้งแรกก็เหมือนเราเป็นพ่อแม่มือใหม่ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับก้อนดินนี้ดี ถ้างั้นปั้นให้เป็นทรงกลมก่อนละกัน พอกลมแล้วก็ปั้นให้เป็นอะไรสักอย่าง แต่มันเป็นสิ่งที่ดินต้องการจริงๆ หรือเปล่า

“แต่เมื่อเราเริ่มปล่อยให้ดินเป็นคนบอกเราว่าเขาอยากเป็นแบบนี้ แล้วเราช่วยเขา ไม่ได้เป็นสิ่งที่ปรากฎอยู่ในหัว แต่เป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา หลายท่านๆ รู้สึกสงบใจ เบา ไม่เหนื่อยละ แฮปปี้กับสิ่งที่ปรากฎ จริงๆ พ่อแม่มีสมบัติที่ล้ำค่าอยู่แล้วคือดิน พ่อแม่ทำความรู้จักและเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของดิน เปิดเผยสมบัติที่ซ่อนอยู่” คุณอิสรียาห์กล่าว

คุณอิสรียาห์อธิบายต่อว่า การที่พ่อแม่ได้ลองปล่อยวางความกลัว ความกังวล ก็จะพบว่าค้นพบสิ่งที่ดินบอกเรา เปรียบเสมือนกับลูก ชีวิตประจำวันที่พ่อแม่ได้เห็นได้สังเกตตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ในบางครั้งศักยภาพ คุณลักษณะดีเด่น ความถนัด ความเก่งต่างๆ ที่ลูกมี อาจไม่ใช่สิ่งที่สังคมให้ค่ากับมันจนอาจทำให้พ่อแม่เกิดความกังวล

คุณอิสรียาห์ยกตัวอย่างวิธีมองลูกของคนยิว พวกเขาจะมองแค่ว่าลูกชอบอะไร ลูกทำอะไร เขาจะไม่สนใจมาตรฐานสังคมหรือโลกใบนี้ว่าให้คุณค่ากับสิ่งที่ลูกพวกเขาชอบหรือเปล่า แต่พวกเขาจะหยิบยื่นสิ่งที่ตัวตนลูกเป็นและส่งเสริมให้ถึงที่สุด

“การที่เราเป็นตัวเราอย่างในทุกวันนี้ เราก็เป็นผู้ที่ปั้นตัวเรามาโดยอาศัยสิ่งแวดล้อม เหมือนกับที่เด็กต้อง ‘ปั้น’ ตัวเขาเอง เปิดเผยตัวเขาเอง เราเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมที่ไปช่วยเกื้อกูลหรือช่วยให้เขาเติบโตในสิ่งที่เขาอยากเป็น จะพบว่าเวลาปั้นตามดินไปมันไม่เหนื่อย ไม่เครียด แล้วก็ไม่ต้องพยายามมาก

“สิ่งสำคัญคือมองให้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดินบอกตลอดเวลาว่าตัวเองต้องการจะเป็นอะไร แต่เราอาจจะไม่ได้ฟัง เพราะเรามักจะมีประเด็นต่างๆ หรือความคาดหวังว่าเราอยากให้เป็นแบบนั้นแต่มันไม่ใช่ สุดท้ายเกิดการชนกันปะทะ การทำงานกับดินจะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ทำให้เรามีสายตากระจ่างชัด” ดร.ศศิลักษณ์กล่าว

ดร.ศศิลักษณ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร ต้องอาศัยประสบการณ์ในการเข้าไปสัมผัสกับสิ่งต่างๆ แล้วก็มีหลายเส้นทางให้เด็กเลือกเดิน ขึ้นอยู่กับว่าเขาได้ลองทำอะไรบ้าง พ่อแม่เองอย่าเพิ่งไปตัดสิน หรือตั้งความคาดหวังกับสิ่งที่ลูกทำ เช่น ลูกเรียนฟุตบอล ก็หวังให้ลูกโตมาเป็นนักกีฬา เด็กจะไม่รู้สึกสนุก ทางที่ดี คือ ปล่อยให้เด็กเรียนรู้ ให้เขารู้สึกสนุกไปกับมัน แล้วสุดท้ายเขาจะค้นพบสิ่งที่พวกเขาชอบ

เป้าหมายสูงสุดในการเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง คือ อยากเห็นเขามีความสุข แต่ความสุขไม่ได้เกิดจากความสำเร็จที่ปลายทาง มันเกิดขึ้นระหว่างทางที่เดินไป หากพ่อแม่ลองปล่อยวาง ไม่ตั้งความคาดหวังให้ลูก ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น เป็นลมใต้ปีกให้กับลูก ลูกเองก็เหมือนกับก้อนดิน การไปตั้งความหวัง ไปตั้งเป้าหมายว่าต้องปั้นออกมาแบบนี้จะทำให้ทั้งพ่อ แม่ และลูกเองรู้สึกเหนื่อยและไม่มีความสุข การปล่อยให้ดินเป็นไปตามความต้องการ ตามธรรมชาติของเขาต่างหาก นั่นแหละคือความสุข

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์อีเวนต์งานปั้น

Author & Photographer:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    หลายครั้งเราไม่อาจพูดสิ่งที่คิดว่าจริงแม้กับตัวเอง แต่หากสื่อสารกับคนอื่นแล้วบังเอิญไปกระทบคุณค่ากันและกัน ก็เป็นโอกาสสำหรับการเติบโต

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Life classroom
    ฮาวทูทิ้ง: มอง “ตัวละคร” ผ่านเลนส์จิตวิทยา เมื่อเราต่างมี “ฮาวทู” จัดการความสัมพันธ์ในแบบของตัวเอง

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel