Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: February 2020

ความขัดแย้ง และวิธีสงบศึกกับลูกด้วยดี ตอน 2
Family Psychology
28 February 2020

ความขัดแย้ง และวิธีสงบศึกกับลูกด้วยดี ตอน 2

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • กลไก Shame Dynamic จะถูกจิตใต้สำนึกสะกิดให้ทำงานทันทีที่สัมผัสถึงบรรยากาศคับข้องใจแบบเดิมๆ หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่ตกอยู่ในสถานะที่รู้สึกไร้ค่าและถูกลิดรอนอำนาจ ถ้าลูกมีความขัดแย้งรุนแรงกับพ่อแม่โดยไม่ได้รับการคลี่คลาย ในอนาคตเขาก็จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะทำซ้ำความบาดหมางเดิมอยู่ตลอดเพราะกลไกปิดกั้นนี้จะติดตัวไป
  • อุปสรรคส่วนใหญ่ที่ทำให้ปัญหาคาราคาซัง คือ ทิฐิที่คิดหมกมุ่นถึงต้นตอความผิดใจกันและโมเมนท์ที่โดนอีกฝ่ายสาดอารมณ์เข้าใส่ ยิ่งแล้วใหญ่ถ้าพ่อแม่บางคนทำแค่ “ปรับอารมณ์”  ทะเลาะกันรุนแรงแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กจะยิ่งทับถมความรู้สึกห่างเหินไปเรื่อยๆ
  • การทบทวนตัวเองและคลี่คลายความบาดหมางที่มีกับลูก คือ การตัดไฟแต่ต้นลม พ่อแม่จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะสังเกตและหา Shame Dynamic ของตัวเองให้เจอเพื่อสร้างเส้นทางใหม่ไม่ซ้ำแผลเดิมและเพื่อทำความเข้าใจตัวเองมากขึ้น

อ่าน ความขัดแย้ง และวิธีสงบศึกกับลูกด้วยดี ตอน 1 คลิก

ปมบาดแผลของพ่อแม่ส่งผลอย่างไรถึงลูก

เมื่อผิดใจอย่างรุนแรงกับผู้ใหญ่ ลูกอาจรู้สึกคับข้องใจไปจนถึงหมดคุณค่าในตัวเองได้เลยทีเดียว ยิ่งพ่อแม่ใช้อารมณ์บีบคั้นรุนแรง ความคับข้องใจจากความบาดหมางอาจพัฒนาสู่ภาวะเข้าสังคมไม่ได้เพราะคิดว่าตัวเองด้อยกว่าเพื่อนและปรับตัวยืดหยุ่นไม่เป็น ซึ่งนอกจากจะกลายเป็นบุคลิกติดตัวไปในที่สุด การอยู่ในครอบครัวที่บาดหมางกันเป็นเวลานาน พัฒนาการทางจิตใจอาจพลอยได้รับความเสียหายไปด้วย

สถานะความสัมพันธ์กับลูกสังเกตดูได้ไม่ยาก ถ้าผิดปกติ สัญญาณมีให้เห็นตั้งแต่การปลีกตัวจากพ่อแม่ ไม่ปฏิสัมพันธ์ หลบสายตา หน้าบึ้งใส่ ไปจนกระทั่งแสดงออกก้าวร้าวไม่เคารพ บางกรณีอาจพูดคุยปกติแต่วางระยะห่างเหิน คุยแต่เรื่องจิปาถะไม่ลงลึกถึงความรู้สึกภายในระหว่างกันเลย ต่างฝ่ายต่างฟังแต่เสียงตัวเอง ยิ่งถ้าพ่อแม่มีปมเก่าแล้วไม่เคยทบทวนทำความเข้าใจกับตัวเองอย่างหมดจด ปล่อยให้ความห่างเหินกับลูกลุกลามเป็นความบาดหมางขั้นรุนแรง ความแตกแยกก็ยิ่งยากจะเยียวยา

กลไก Shame Dynamic จะถูกจิตใต้สำนึกสะกิดให้ทำงานทันทีที่สัมผัสถึงบรรยากาศคับข้องใจแบบเดิมๆ หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่ตกอยู่ในสถานะที่รู้สึกไร้ค่าและถูกลิดรอนอำนาจ ถ้าลูกมีความขัดแย้งรุนแรงกับพ่อแม่โดยไม่ได้รับการคลี่คลาย ในอนาคตเขาก็จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะทำซ้ำความบาดหมางเดิมอยู่ตลอดเพราะกลไกปิดกั้นนี้จะติดตัวไป การทบทวนตัวเองและคลี่คลายความบาดหมางที่มีกับเขาคือการตัดไฟแต่ต้นลม พ่อแม่จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะสังเกตและหา Shame Dynamic ของตัวเองให้เจอเพื่อสร้างเส้นทางใหม่ไม่ซ้ำแผลเดิมและเพื่อทำความเข้าใจตัวเองมากขึ้น

เตรียมพร้อมก่อนสงบศึก

จะสงบศึกได้ พ่อแม่ต้องเป็นฝ่ายริเริ่มเปิดใจและปล่อยวางอารมณ์ที่มีลงเพื่อหันหน้าเข้าหาลูกแล้วปรับความเข้าใจ จุดเริ่มต้นคือการทำใจให้เป็นกลางที่สุด ถ้ายังบูดบึ้งแผ่รังสีมืดหม่นให้ลูกกลัวก็คงยากที่จะประสานรอยบาดหมางได้สนิท อุปสรรคส่วนใหญ่ที่ทำให้ปัญหาคาราคาซังคือทิฐิที่คิดหมกมุ่นถึงต้นตอความผิดใจกันและโมเมนท์ที่โดนอีกฝ่ายสาดอารมณ์เข้าใส่ ยิ่งแล้วใหญ่ถ้าพ่อแม่บางคนทำแค่ “ปรับอารมณ์”  ทะเลาะกันรุนแรงแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กจะยิ่งทับถมความรู้สึกห่างเหินไปเรื่อยๆ

ทำใจให้เป็นกลางทำอย่างไร?

อันดับแรก ถอยกลับไปพิจารณาประเด็นปัญหาด้วยมุมมองของคนนอก ปลีกตัวมาใคร่ครวญเพียงลำพัง ปลงใจเสียก่อนว่าข้อพิพาทบางเรื่องต้องใช้เวลา อย่ากดดันว่าจะแก้ได้ทันที  ทั้งลูกและเราต่างต้องใช้เวลาจัดการความรู้สึก อย่าหมกมุ่นครุ่นคิดจนอ่อนล้า ทำใจให้สบายด้วยการหายใจให้ลึกๆและหากิจกรรมผ่อนคลายตัวเอง วางทิฐิหรือความคิดเล็กคิดน้อยต่างๆลง

เมื่อจิตใจสงบและไตร่ตรองสถานการณ์อย่างรอบด้านดีแล้วค่อยคิดหาวิธีเข้าหาลูกและจังหวะเวลาที่เหมาะๆ ใช้ความสุขุมเยือกเย็นเป็นกำลัง อย่าใจร้อนเข้าหาลูกถ้าไม่แน่ใจว่าจะคุมอารมณ์ได้หรือแม้แต่สัมผัสเขาขณะพลุ่งพล่าน ถ้าเกิดโมโหและทะเลาะกันอีกระหว่างปรับความเข้าใจ ปัญหาจะยิ่งบานปลายซับซ้อนเกินแก้ไขกว่าเดิม

คำถามที่พ่อแม่ต้องใคร่ครวญและตอบให้ได้คือ

  • เรารู้สึกคับข้องใจกับการเลี้ยงดูของพ่อแม่ในอดีตหรือมีความบาดหมางใดติดค้างอยู่บ้าง
  • ความสัมพันธ์ที่มีกับลูกในตอนนี้เป็นสะท้อนปมในใจอย่างไร
  • การกระทำใดของลูกที่กระตุ้นให้เราตอบโต้ด้วยความรุนแรงอย่างขาดสติ

พิจารณาความรู้สึกทั้งของตนเองและจากมุมมองของลูกว่าเขาต้องเผชิญกับอะไรระหว่างความบาดหมางนี้ อย่าหลงลืมว่าเขาอ่อนแอและเปราะบางมากแค่ไหน ความรู้สึกที่ลูกกำลังประสบอาจน่ากลัวและหนักหนากว่าที่เราคิด ยิ่งเด็กเล็กแรงทนทานต่อความอ้างว้างและการถูกเมินเฉยจากผู้ใหญ่ไม่มี พ่อแม่จึงไม่ควรปล่อยให้ภาวะมึนตึงกินเวลานานเด็ดขาด

ลงมือคลี่คลายความขัดแย้ง

ระลึกเสมอว่าเด็กไม่สามารถฟื้นความสัมพันธ์เองได้ถ้าพ่อแม่ไม่เป็นฝ่ายเริ่ม หนทางประสานรอยบาดหมางที่ดีที่สุดคือความเข้าใจทั้งตนเองและความรู้สึกนึกคิดของลูก อาจารย์ฮาร์ทเซลแนะนำไว้คร่าวๆดังนี้

  1. เริ่มด้วยการพูดเปิดอกกับลูก “ตอนเราทะเลาะกันมีแต่ความอึดอัดใจ พ่อกับแม่อยากปรับความเข้าใจกับลูกนะ มานั่งคุยให้เข้าใจกันเถอะ”  ระหว่างปรับความเข้าใจให้เลือกนั่งในระดับเดียวกับเขาเพื่อสามารถสบตาและส่งผ่านความใกล้ชิด (เด็กโตอาจต้องให้ระยะห่างสักเล็กน้อยก่อน)
  2. ใช้โอกาสนี้สังเกตเรียนรู้ลักษณะนิสัยที่เขาเป็นระหว่างปรับความเข้าใจ มีเมตตาให้เยอะ ให้เวลาเขาจัดการความรู้สึกถ้าเขายังไม่พร้อม เลี่ยงคำพูดทำร้ายจิตใจ การบีบคั้นให้พูด ตัดสินคำตอบ ไม่กล่าวโทษแม้เขาจะกวนโมโห ไม่ตอบโต้แม้ลูกจะกล่าวโทษ รับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจแล้วพูดทวนมุมมองและสิ่งที่เขารู้สึก
  3. พูดถึงเหตุการณ์ต้นตอความผิดใจกันโดยเอ่ยถึงอารมณ์ของกันและกัน คำต่อว่าต่อขานที่เกิดขึ้น และอธิบายให้เขารู้ว่าบางครั้งผู้ใหญ่ก็อาจเผลอฟิวส์ขาดได้ ให้ลูกรู้ว่าการทะเลาะมีปากเสียงกันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการอยู่ร่วมกัน เราสามารถแก้ไขปรับจูนความสัมพันธ์กันได้เสมอ

วัยและพื้นนิสัยของเด็กมีผลต่อวิธีที่เขาใช้รับมือกับความบาดหมาง เด็กเล็กจะยังไม่สามารถรับมือความสัมพันธ์ลบได้เลย โตมาหน่อยเป็นวัยก่อนเข้าเรียนจะตอบโต้ความขัดแย้งกับพ่อแม่ด้วยการเรียกร้องยิ่งกว่าเดิมเพราะสิ่งที่วัยนี้ต้องการมากที่สุดคือสัมผัสอ่อนโยนทางกายและภาษาสัญญาณจากพ่อแม่ว่าแคร์เขาเต็มที่ ในขณะที่เด็กโตจะรับมือความขัดแย้งและเปิดรับคำอธิบายได้มากกว่า ถ้าลูกอยู่ในวัยอนุบาล พ่อแม่อาจใช้วิธีเล่นติ๊ต่างด้วยตุ๊กตา ทำเป็นตัวละครสมมติ เล่านิทานหรือวาดรูปมาง้อลูกให้เปิดใจ เด็กโตจำเป็นต้องมีการพูดคุยปรับความเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและทบทวนความรู้สึกที่เขามีต่อพ่อแม่เป็นกิจจะลักษณะเพื่อหาจุดแก้ไขที่เหมาะสมร่วมกัน

ประสบการณ์สติขาดผึงใส่ลูกและการคลี่คลายความบาดหมาง

คุณหมอซีเกลเองก็มีประสบการณ์การทะเลาะผิดใจกับลูกชายวัยรุ่นในร้านขายของเล่นครั้งหนึ่งเพราะเผลอฟิวส์ขาดจากคำพูดของลูก คุณหมอแชร์เรื่องราวและวิธีปรับความเข้าใจไว้ตอนหนึ่งในหนังสือว่า

ผมเคยสัญญากับลูกชายว่าจะพาเขาไปซื้ออุปกรณ์เล่นเกมชิ้นใหม่แล้วปรากฏว่าช่วงเวลาที่ว่างเพียงช่วงเดียวในสัปดาห์ที่พาเขาไปนั้นมีนัดประชุมสำคัญต่อพอดี ผมกับลูกต้องซื้อของให้เสร็จภายในครึ่งชั่วโมงซึ่งกระชั้นชิดมาก แต่ผมคิดว่ายังไงก็ดีกว่าผิดสัญญากับลูก ปรากฏว่าด้วยความรีบเราจึงงดมื้อเที่ยงเพื่อไปที่ร้านเลย ลูกหยิบของที่ต้องการราคายี่สิบเหรียญได้แล้วแต่พอตอนกำลังคิดเงินเขาดันหันไปเจอเกมเบสบอลราคาแพงที่เพิ่งออกใหม่แล้วเกิดอยากได้ ผมไม่ได้เตรียมใจและเงินมาซื้อของชิ้นที่สองจึงปฏิเสธเขาทันที แต่ลูกก็เถียงว่าเขามีเงินเก็บอยู่หกสิบห้าเหรียญแค่ให้ผมออกไปก่อน ผมก็ยังปรามให้เขาเลือกเกมส์ที่ราคาถูกกว่า เราทุ่มเถียงกันเรื่องค่าของเงินจนเลยเถิดไปเทศนาให้เขาอย่าเอาตามอย่างเพื่อนมากนัก ตอนนั้นผมทั้งหิวและห่วงนัดสำคัญ หงุดหงิดอยู่เป็นทุน คิดว่าเขาได้คืบจะเอาศอก ผมจึงบ่นว่าอเมริกันชนเป็นพวกบ้าวัตถุไปกันหมดจนเด็กเสียคน

“เกมสี่สิบเหรียญไม่ใช่ถูกนะ ลูกควรวางแผนก่อนที่จะปุบปับซื้อ พอใจสิ่งที่ตัวเองมีสิ จะซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่ได้หรอก กลับไปคิดดูก่อนถ้าอยากซื้อ อาทิตย์หน้ากำเงินกลับมายังทัน ไว้พ่อพามา”

“ตอนนี้ผมก็มีเงินอยู่แล้วแค่ไม่ได้เอามา นี่ก็คิดมาแล้ว เงินเก็บผมเองนะ พ่อจะมาห้ามไม่ได้”

“พ่อไม่ซื้อให้ เราต้องไปกันแล้ว”

“ได้ ไว้เดี๋ยวถึงบ้านผมจะบอกให้แม่พามานี่แล้วซื้อให้”

“แม่เค้าไม่พามาหรอก”

“พามาแน่ แม่เป็นใหญ่ในบ้าน ไม่ใช่พ่อ แม่พาผมมาแน่”

“หยุดเลย ไม่ต้องไปบอกแม่ให้เขาวุ่นวายพามา”

“ผมจะบอก แม่พาผมมาแน่”

“เลิกเถียง ไม่งั้นลูกก็จะไม่ได้ไอ้ที่เราถ่อมาซื้อกันด้วย”

“ผมจะบอกแม่ว่าพ่อใจร้าย แม่เค้าไม่ทำแบบพ่อหรอก”

“ถ้ายังไม่หยุด อย่าหวังว่าจะได้ไอ้นี่กลับบ้านเลย”

“เอาเลย  ผมให้แม่ซื้อให้ก็ได้”

ผมหมดความอดทน โยนกล่องอุปกรณ์ลงเคาน์เตอร์โครมก่อนจะลากลูกชายขึ้นรถ ระหว่างทางลูกร้องไห้พร้อมกับต่อว่าต่อขานว่าผมเป็นพ่อที่เอาแต่อารมณ์ เขาขู่ว่าวันหน้าเขาจะเอาคืนผมทางใดทางหนึ่งบ้าง ได้ยินแบบนั้นผมฉุดอารมณ์ไม่อยู่จึงด่าว่าเขารุนแรงและสั่งให้เขางดเล่นเกมสิบเดือน

พอถึงบ้าน อย่างแรกเลยคือเขาวิ่งไปฟ้องแม่ว่าผมดุด่าเขายังไงบ้าง ผมเองเย็นนั้นเสร็จธุระแล้วจึงได้สงบสติอารมณ์ในห้องและใช้เวลาพักใหญ่ใคร่ครวญถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ผมทะเลาะกับลูกครั้งใหญ่ทั้งที่เมื่อเช้าเรายังหยอกล้อกันสนุกสนานและวางแผนจะไปซื้อเกมร้านของเล่นด้วยกัน สีหน้าตอนลูกบอกว่าอยากได้เกมเบสบอลออกใหม่นั้น ตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เขาบอกผมว่าจะสอนให้ผมเล่นกับเขาด้วยแต่ตอนนั้นผมมัวแต่กังวลเรื่องประชุมและคิดว่าแค่พาเขาไปที่ร้านได้ทันเวลาก็ดีแล้ว ส่วนที่เขาบอกว่าจะซื้อเกมด้วยเงินของเขาเอง ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงต้องห้ามปรามเขาเสียขนาดนั้น ผมระลึกได้ในที่สุดว่าตัวเองฟิวส์ขาดตอนที่เขาพาดพิงถึงแม่เพื่อเอาชนะผม ตอนนั้นผมไม่สนใจว่าลูกรู้สึกยังไงอีกต่อไป เห็นเขาเป็นเด็กอวดดีได้คืบจะเอาศอก ซึ่งถ้าอธิบายด้วยหลักข้างต้นคือผมกับลูกเสียความควบคุมเพราะคันเร่งกับเบรกในหัวทำงานพร้อมกัน (อารมณ์เตลิดเพราะถูกอีกฝ่ายต่อต้าน)

เมื่อผมนั่งทบทวนจนเข้าใจตัวเองและสถานการณ์อย่างรอบด้านแล้ว ผมก็ไปเคาะห้องเขาแล้วเข้าไปนั่งลงข้างเตียงที่เขากำลังร้องไห้ ผมเริ่มเป็นฝ่ายเอ่ยขอโทษเขา เขาเมินหน้าหนีในตอนแรก ผมจึงบอกเขาว่าพ่ออยากปรับความเข้าใจกับเขา และเรื่องที่ร้านผมเองเป็นฝ่ายผิด เขาบอกว่าเขาอยากได้เกมเบสบอลมานานแล้วเพียงแต่ผมไม่รู้ เขาโกรธที่ผมห้ามไม่ให้เขาซื้อทั้งที่เป็นเงินเขา ผมจึงเล่าความกังวลเรื่องประชุมให้เขาฟังและที่ว่าผมโมโหหิวด้วย มาตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าเขาอยากได้เกมส์และวางแผนไว้มาตลอดเพียงแต่ผมหมกมุ่นกับตัวเองจนมองไม่เห็นความตื่นเต้นของเขา ผมกอดและขอโทษเขาที่พูดจาแย่ๆและขาดสติ ผมเข้าใจและจะเคารพสิทธิเรื่องการใช้เงินของเขาต่อจากนี้ จากนั้นผมอธิบายว่าการที่เขาอ้างแม่คือการล้ำเส้นที่ทำให้ผมฟิวส์ขาด เรากอดกัน หลังจากนั้นผมกับภรรยาหารือกันว่าเราจะพาเขาไปซื้อเกมอาทิตย์หน้าแล้วเราก็พูดคุยเรื่องที่ทะเลาะกันพร้อมหน้าอีกครั้งทั้งครอบครัว ผมกับลูกเล่าความรู้สึกในวันนั้นกันอย่างออกรสชาติได้เสียน้ำตาอีกเล็กน้อยแล้วก็หัวเราะใส่กันเพราะต่างฝ่ายต่างเลียนแบบท่าทางของอีกฝ่ายตอนโกรธกันสนุกสนาน

คุณหมอซีเกลและอาจารย์ฮาร์ทเซลย้ำว่าสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งที่พ่อแม่ทุกคนจำเป็นต้องมีอยู่เสมอคือ “สติ” และ “ความรับผิดชอบในหน้าที่พ่อแม่” ซึ่งหมายถึงการรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกและการกระทำตนเองให้ได้ สามารถเห็นสาเหตุปัจจัยที่นำไปสู่เรื่องผิดใจกับลูกอย่างรอบด้านและพร้อมไตร่ตรองหาวิธีแก้ไขโดยไม่มีทิฐิว่าใครเป็นคนผิดหรือเริ่มความขัดแย้ง พ่อแม่ต้องเป็นฝ่ายหันหน้าเข้าหาลูกโดยไม่มีข้อแม้เพื่อประสานข้อบาดหมางให้แล้วแก่ใจกันทั้งสองฝ่าย ไม่ปล่อยผ่านจนรอยร้าวลุกลามสู่ความแตกแยกในอนาคต

รองลงมาคือต้องมีเมตตาต่อตนเองและพร้อมที่จะเข้าใจทุกความรู้สึกลบที่เกิดขึ้นระหว่างเลี้ยงลูก เช่น เครียด ท้อแท้ที่เขาดื้อไม่หยุด โทษตัวเองที่รู้สึกแย่กับเขาหรือรู้สึกผิดที่เผลอตะวาด ทุบตีใช้อารมณ์ลงไป ซึ่งหากไร้ความเมตตาต่อตนเอง จมกับความรู้สึกผิดหรือโทษตัวเองว่าเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดีตลอดเวลา สิ่งที่ตามมาคือจิตใจจะถอยห่างจากความสัมพันธ์โดยอัตโนมัติ ผู้ใหญ่จะยิ่งมีช่องว่างในใจกับลูกมากขึ้น ความห่างเหินจะยิ่งทำให้สายสัมพันธ์ย่ำแย่ลงไปอีก

ดังนั้นจงปล่อยวางในการเลี้ยงลูกและรักตัวเองให้เป็นด้วย ทบทวนทำความเข้าใจและยอมรับในตัวเองให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยๆเรียนรู้และก้าวไปพร้อมกับเขาด้วยการหันหน้าเข้าหากัน พยายามเข้าใจเขาในแบบที่เขาเป็น หมั่นใช้อารมณ์ขันกับเสียงหัวเราะเป็นยาใจ อย่าปล่อยให้การทะเลาะผิดใจกันหยุมหยิมธรรมดาล่วงเลยและทับถมเป็นชนวนให้เกิดความห่างเหินกับลูก พ่อแม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบเยียวยาสมานความสัมพันธ์ให้กลับมาดีดังเดิม ทบทวนตัวเองและความรู้สึกของลูกควบคู่กันเสมอ เปิดใจยอมรับผิดให้ได้เมื่อทำพลาด และหมั่นแบ่งปันความคิด อารมณ์ความรู้สึกระหว่างกันในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ คือหนทางช่วยกระชับความสัมพันธ์และสร้างความอบอุ่นไว้ใจขึ้นดังเดิม

อ้างอิง:
Daniel J. Siegel, M. a. (2004). How We Disconnect and Reconnect: Rupture and Repair. In Parenting from the Inside Out (pp. 213-253). New York: tarcherperigee.

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์Parenting from the Inside OutAdolescent Brain

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

เพชรลัดดา แก้วจีน

นักวาดภาพประกอบอิสระ มีความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆในสังคม ชอบสังเกตผู้คน เขียนบันทึก และอ่านหนังสือ ยามว่างมักใช้เวลาไปกับการดริปกาแฟและเล่นกับแมว

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family Psychology
    ความขัดแย้ง และวิธีสงบศึกกับลูกด้วยดี ตอน 1

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

คุยเรื่องเพศไม่ต้องกระซิบ: สร้างพื้นที่ปลอดภัยไม่ให้ลูกกลัวถูกตำหนิ สบายใจที่จะแชร์
Family Psychology
27 February 2020

คุยเรื่องเพศไม่ต้องกระซิบ: สร้างพื้นที่ปลอดภัยไม่ให้ลูกกลัวถูกตำหนิ สบายใจที่จะแชร์

เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • พ่อแม่เป็นหนึ่งในบุคคลที่ใกล้ชิดกับเด็ก รู้จักและเห็นชีวิตรอบด้านของเด็กดีที่สุดคนหนึ่ง หากจะเป็นใครสักคนที่รัก ปรารถนาดี และโตพอจะให้คำแนะนำเรื่องเพศได้ หนึ่งในนั้นคือพ่อแม่
  • แต่เพราะพ่อแม่เองก็โตมากับค่านิยมที่ว่าเรื่องเพศไม่สามารถพูดดังๆ ได้ ต้องใช้วิธีกระซิบเอา พอมาถึงตาตัวเองก็เลยไม่รู้จะเข้าหาลูกยังไง สุดท้ายปล่อยผ่านไม่เคยพูดเรื่องนี้กับลูกจริงจังเสียที
  • งานเสวนา Sex Must Say: เรื่องเพศคุยได้ ด้วยความเข้าใจและเท่าทัน จะมาช่วยไขปัญหานี้ให้กับพ่อแม่ ด้วยการแนะนำวิธีพูดคุยกับลูกเรื่องเพศ ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ท่าทีของพ่อแม่ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการคุยเรื่องเพศกัน และเรื่องเพศไม่ใช่แค่เรื่องเพศสัมพันธ์ แต่ยังมีมิติความสัมพันธ์ กรอบค่านิยมสังคม

เรื่องเพศเป็นหนึ่งในท็อปปิคที่พ่อแม่หลายๆ คนคิดว่าเป็นเรื่อง ‘ยาก’ ที่จะคุยกับลูก อาจเพราะพ่อแม่เองก็ถูกเลี้ยงมาด้วยค่านิยมที่ว่าเรื่องเพศไม่สามารถพูดดังๆ ได้ ต้องใช้วิธีกระซิบเอา พอมาถึงตาตัวเองก็เลยไม่รู้จะเข้าหาลูกยังไง สุดท้ายปล่อยผ่านไม่เคยพูดเรื่องนี้กับลูกจริงจังเสียที

เมื่อเด็กมีข้อสงสัยหรืออยากรู้เรื่องเพศ พวกเขาเลือกที่จะไปหาข้อมูลจากแหล่งอื่น ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต หรือคุยกับคนที่เขาไว้ใจอย่างเพื่อน ด้วยประสบการณ์ที่ยังมีไม่มาก บางครั้งการตัดสินใจ ประเมิน หรือแยกแยะข้อมูลที่ได้รับอาจคลาดเคลื่อน อาจส่งผลตั้งแต่ระดับไม่ร้ายแรงมากไปถึงร้อนรนได้

พ่อแม่เป็นหนึ่งในบุคคลที่ใกล้ชิดกับเด็ก รู้จักและเห็นชีวิตรอบด้านของเด็กดีที่สุดคนหนึ่ง หากจะเป็นใครสักคนที่รัก ปรารถนาดี และโตพอจะให้คำแนะนำเรื่องเพศได้ หนึ่งในนั้นคือพ่อแม่

คุณบ็อง-ปรียากมล น้อยกร

งานเสวนา Sex Must Say: เรื่องเพศคุยได้ ด้วยความเข้าใจและเท่าทัน จัดโดย โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา มีวิทยากร คือ คุณจิต-จิตติมา ภาณุเตชะ นักพัฒนาสังคมอิสระที่ทำงานประเด็นเรื่องเพศมาอย่างยาวนาน และ คุณบ็อง-ปรียากมล น้อยกร ผู้อำนวยการกลุ่มแบ่งฝันปันใจ หนึ่งในภาคีเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ จะมาช่วยแนะนำพ่อแม่ถึงวิธีการคุยเรื่องเพศกับลูก ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนทัศนคติ ท่าทีของพ่อแม่ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการคุยเรื่องเพศกัน และเรื่องเพศไม่ใช่แค่เรื่องเพศสัมพันธ์ แต่ยังมีมิติความสัมพันธ์ กรอบค่านิยมสังคม

คุณจิต-จิตติมา ภาณุเตชะ

คุยกับตัวเองก่อนที่จะคุยกับลูก

ก่อนจะไปรู้วิธีพูดคุยเรื่องเพศกับลูก คุณบ็องให้พ่อแม่ลองสำรวจว่าที่ผ่านมาตัวเองมีชุดข้อมูลเรื่องเพศยังไง ทัศนคติ หรือมุมมองที่มีตอนเรื่องนี้อย่างไร เพราะมันจะส่งผลต่อสารที่พ่อแม่จะส่งให้กับลูก บางครั้งอาจกลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้พ่อแม่และลูกคุยเรื่องเพศกันไม่ได้

“สารที่ส่งไปไม่ใช่แค่ข้อมูลอย่างเดียว แต่มีสิ่งอื่นผสมลงไปด้วย เช่น ประสบการณ์ ทัศนคติ มุมมอง แหล่งอำนาจที่ติดตัวเรามาผสมลงไปด้วย เป็นต้น พ่อแม่มีความคิดแบบหนึ่ง ลูกเองก็มีความคิดอีกแบบ ก่อนที่เราจะคุยกับลูกเรื่องเพศ เราต้องคุยกับตัวเองก่อน ทำความเข้าใจมิติสังคม มิติความสัมพันธ์ในครอบครัว” คุณบ็องกล่าว

สร้างพื้นที่ปลอดภัย ให้ลูกไม่กลัวโดนตำหนิ รู้สึกสบายใจที่จะแชร์

คุณบ็องเล่าประสบการณ์การทำงานให้ความรู้เรื่องเพศในเด็ก คำถามที่เธอมักถามเด็กๆ คือ เวลาที่พวกเขาอยากคุยเรื่องเรื่องเพศ เขาอยากคุยกับใครมากที่สุด คำตอบที่มาเป็นอันดับหนึ่ง คือ พ่อแม่ เธอถามต่อว่า อยากคุยแล้วได้คุยหรือไม่ คงไม่ต้องเดาคำตอบ เด็กส่วนใหญ่ถึงแม้จะอยากคุยกับพ่อแม่แค่ไหน แต่พวกเขาเลือกที่จะไปคุยกับเพื่อน รุ่นพี่ หรือไปหาข้อมูลจากที่อื่นเอา เพราะเขารู้สึกปลอดภัยที่จะแชร์ข้อมูล ความรู้สึก โดยไม่ถูกตัดสิน หรือถูกตำหนิ

นอกเหนือจากจะเตรียมตัวเองให้พร้อม การสร้างพื้นที่สำหรับการพูดคุยก็สำคัญเช่นกัน เมื่อรู้แล้วว่าคนที่เด็กอยากคุยด้วยเป็นพ่อแม่ แต่พวกเขาแค่รู้สึกไม่มั่นใจ กลัวโดนตำหนิ ทำให้ไม่กล้าที่จะพูดความต้องการ หรือข้อสงสัย สิ่งที่พ่อแม่สามารถทำได้ คือ ทำให้พื้นที่การพูดคุยเรื่องนี้ปลอดภัย ทำให้ลูกรู้สึกสบายใจอยากจะแชร์เรื่องราว อยากถาม ซึ่งหลักในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยคุณบ็องแนะนำว่ามี 4 อย่าง คือ

  • ฟังอย่างมีสติหัวใจสำคัญ พ่อแม่เข้าใจ อดทน ฟังโดยไม่ตัดสิน เพื่อให้ลูกเปิดใจ กล้าพูด พ่อแม่จะได้ฟังสิ่งที่อยู่ข้างใต้ระหว่างบรรทัด รับรู้ข้อมูลเรื่องราวมากขึ้น ทำให้ระหว่างที่คุยเรื่องนี้ทั้งพ่อแม่และลูกจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ ไม่เกิดความขัดแย้ง
  • สำรวจมุมมองเรื่องเพศ เพื่อให้ตัวของพ่อแม่เองเข้าใจว่าตัวเองมีทัศนคติ มุมมอง หรือชุดความคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องเพศ มีความรู้มากน้อยแค่ไหน และมองเห็นว่าข้อมูลของพ่อแม่และลูกมีความแตกต่างหรือเหมือนยังไง เพื่อที่จะเข้าใจและคุยกันได้
  • ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ท่าทีระหว่างคุยเรื่องนี้ พ่อแม่ไม่ควรใช้อำนาจหรือการตัดสิน เช่น คำพูดประมาณว่า ‘ทำไมถึงทำแบบนี้’ ‘ห้ามทำแบบนี้’ เป็นต้น เพราะจะทำให้ลูกไม่รู้สึกอยากคุย ไม่รู้สึกปลอดภัยที่จะแชร์ความต้องการของตัวเอง ลดช่องว่างลดการใช้อำนาจ ทำให้ตัวเองเป็นเพื่อนเป็นมิตรกับลูก
  • กรอบเรื่องเพศทางสังคม เรื่องเพศไม่ใช่แค่เรื่องเฉพาะบุคคล แต่สิ่งแวดล้อมภายนอกก็ส่งผลด้วย ไม่ว่าจะเป็น ทัศนคติ ค่านิยมสังคม ที่สร้างกรอบความคิดทางเพศ เช่น ผู้ชายห้ามร้องไห้ ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว เป็นต้น พ่อแม่ต้องลองศึกษาเพื่อให้เข้าใจที่มาที่ไปกรอบคิดทั้งของตัวเอง สังคม เพื่อปรับเปลี่ยนท่าทีหรือพฤติกรรม เข้าใจสภาพแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูก เข้าใจว่ามีกรอบคิดอะไรบ้างที่ส่งผลกับลูก จะได้คุยได้ถูกทาง มองเห็นทางออกที่ชัดเจน เช่น เป็นผู้ชายสามารถร้องไห้ได้ เป็นผู้หญิงก็สามารถบอกความต้องการของตัวเองได้ มั่นใจ

คุณบ็องอธิบายเพิ่มว่า ถ้าพ่อแม่ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและทำตามคำแนะนำ แต่ลูกยังไม่กล้าเข้ามาคุยเรื่องเพศ เพราะลูกอาจยังไม่เชื่อใจ ไม่มั่นใจว่าเขาจะแชร์สิ่งนี้กับพ่อแม่ได้หรือไม่ หัวใจสำคัญอยู่ที่การทำซ้ำและสม่ำเสมอ การเปลี่ยนแปลงไม่อาจทำได้ทันที ต้องอาศัยเวลา พ่อแม่ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งที่ลูกพร้อมเขาจะเดินมาคุยกับพ่อแม่เอง

คุณจิตกล่าวเสริมว่า การคุยกับลูกเรื่องเพศไม่ใช่แค่รู้ข้อมูลหรือเทคนิคในการคุยเท่านั้น เพราะเวลาเอาไปใช้ต้องเข้าใจเชิงวิธีคิด คือ ทัศนคติ มุมมอง ค่านิยมสังคม ส่งผลต่อการสร้างพื้นที่ในการเข้าหากันระหว่างลูกและพ่อแม่

การวางแผนชีวิตเพศของลูก

ในช่วงนี้คุณบ็องเอากิจกรรมมาให้พ่อแม่ได้ลองเล่นกันเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น กิจกรรมวางบัตรคำ โดยคุณบ็องจะแบ่งช่องทั้งหมด 6 ช่อง เป็นช่วงวัยของเด็กตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงมหาวิทยาลัย บัตรคำจะเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับเพศ ให้พ่อแม่เอาบัตรคำที่ตัวเองได้ไปวางไว้ในช่องไหนก็ได้ที่ตัวเองคิดว่ามันน่าจะเกิดกับลูกในวัยนั้น คุณบ็องแนะนำว่าให้วิเคราะห์ตามพัฒนาการของวัยนั้นๆ ไม่ใช่วิเคราะห์ตามความต้องการของพ่อแม่

พอเริ่มกิจกรรม พ่อแม่ก็ช่วยกันเอาบัตรคำไปวาง บางอันก็ช่วยกันวิเคราะห์ว่าควรวางช่องไหน พอวางครบคุณบ็องก็ให้เวลาพ่อแม่ดูอีกทีเผื่อมีใครอยากเปลี่ยนบัตรคำในช่องไหน ก่อนจะถามพ่อแม่ว่าเห็นอะไรจากกิจกรรมนี้ พ่อแม่บอกว่า กิจกรรมในบัตรคำมีทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อารมณ์ ความสัมพันธ์ แล้วบางเรื่องเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดกับทุกคน คุณบ็องถามต่อว่า ‘การวางบัตรคำที่สะท้อนถึงกรอบคิดนี้มีแยกยุคสมัยไหม’ เช่น สิ่งนี้เกิดกับยุคพ่อแม่แต่ลูกไม่เกิด พ่อแม่บอกว่า เห็นความแตกต่างเรื่องสื่อ เพราะสมัยพวกเขาสื่อยังไม่มีการนำเสนอเรื่องนี้ แต่ยุคนี้ลูกพวกเขาสามารถหาได้ตามอินเทอร์เนต

คุณบ็องอธิบายว่า การวางแผนในการคุยเรื่องเพศอาจขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ค่านิยม ทัศนคติของพ่อแม่ว่าเลือกจะคุยกับลูกช่วงไหน เรื่องอะไร ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นพัฒนาการในช่วงวัยเขา

“ในชีวิตจริงมันก็มีเรื่องอื่นอีกเยอะแยะนอกจากที่อยู่ในบัตรคำ ตัวพ่อแม่หรือตัวเด็กเองไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องเพศทุกเรื่อง ทำให้มันเป็นกระบวนการที่เรียนรู้ร่วมกันระหว่างเรากับลูก” คุณบ็องกล่าว

คราวนี้คุณบ็องแจกบัตรคำอีกชุด เธออธิบายว่า เป็นบัตรคำเกี่ยวกับเรื่องที่เด็กควรจะต้องรู้และน่าจะต้องรู้สอดคล้องกับพัฒนาการการเปลี่ยนแปลงของเขา โดยแบ่งเป็นสี สีเหลืองคือสิ่งที่เด็กจำเป็นต้องรู้ ส่วนสีเขียวคือสิ่งที่พ่อแม่ต้องลงมือทำเพื่อให้เขามีความสุขและปลอดภัย การเล่นเหมือนเดิม คือ ให้เอาไปวางตามช่องวัยของเด็ก หลังจากจบกิจกรรมคุณบ็องถามความรู้ของพ่อแม่เหมือนเดิม มีแม่ท่านหนึ่งบอกว่ารู้สึกเสียดาย เรื่องบางเรื่องน่าจะต้องคุยกับลูกก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ไม่ใช่คุยหลังจากที่มันเกิดไปแล้ว

“มันไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปเรื่องเพศ รู้วันนี้คุยวันนี้ไม่เป็นอะไรเลย บางเรื่องเราก็มารู้ตอนแก่ คุยเพื่อเช็ค แก้ปัญหา” คุณบ็องให้กำลังใจพ่อแม่

คุณบ็องอธิบายว่า ที่ให้พ่อแม่เล่นกิจกรรมนี้ก็เพื่อให้พ่อแม่เข้าใจว่าเรื่องเพศนั้นคุยได้เลย ไม่ต้องวางแผน ไม่ต้องรอพัฒนาการแต่ละช่วงวัย เพราะเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน

หลักการง่ายๆ คือดูความต้องการของลูกเป็นหลัก ลูกถามอะไรก็ตอบ ไม่ควรบ่ายเบี่ยงหรือห้ามไม่ให้เขาพูด สิ่งที่สำคัญ คือ พ่อแม่ไม่ควรแบกบทบาทผู้เชี่ยวชาญเอาไว้ เพราะเรื่องบางเรื่องพ่อแม่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน พ่อแม่มีสิทธิที่จะไม่รู้

สิ่งที่ทำได้ ทำให้บรรยากาศการพูดคุยเป็นสีเขียว ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกเป็นสีเขียว ทำให้เป็นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันไปตลอดชีวิต ‘แม่ก็ไม่รู้เรื่องนี้ไปหาข้อมูลด้วยกัน’

ระหว่างที่พูดคุยมีผู้ปกครองบางท่านหยิบคำถามมาว่า การที่คุยเรื่องเพศแบบนี้จะกลายเป็นการชี้โพรงให้กระรอกหรือไม่ คุณบ็องบอกว่า วิธีการของแต่ละครอบครัวต่างกัน บางครอบครัวอาจจะมีค่านิยมบางอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่พ่อแม่ทำ คือ ทำให้ลูกรู้เท่าทัน ไม่ทำให้สิ่งที่พ่อแม่เป็นไปปิดกั้นลูก ทั้งลูกและพ่อแม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ คุณบ็องยกตัวอย่างค่านิยมในครอบครัวเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ เรื่องนี้สามารถแชร์กันได้ ขึ้นอยู่กับวิธีคุย ท่าที การใช้คำหรือน้ำเสียง เช่น ‘ตอนนี้แม่คิดว่าไม่โอเค แม่คิดว่ามีตอน…’ ซึ่งมันต่างกับการบอกว่า ‘อย่าให้รู้ว่ามี ถ้ามีเป็นเรื่องแน่’ วิธีมันต่างกัน พ่อแม่บอกความรู้สึกของตัวเองได้ ให้ทั้งพ่อแม่และลูกมีพื้นที่ของตัวเอง

คุณบ็องอธิบายเพิ่มว่า เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เขาฟัง แต่ทำให้เขาดู เช่น ความอ่อนโยน ถ้าพ่อแม่ปฎิบัติกับลูกบ่อยๆ ลูกจะรับรู้เอง เมื่อไรที่เขาได้รับการปฎิบัติที่แตกต่าง ถูกทำร้าย หรือถูกเอาเปรียบในความสัมพันธ์เขาจะไม่ทน บางครั้งตัวเด็กเองก็มีความรู้เรื่องนี้ อาจจะเยอะกว่าพ่อแม่ด้วย เพราะการเข้าถึงข้อมูลมันง่ายมากในยุคสมัยนี้ สิ่งที่พ่อแม่ทำ คือ เช็คว่าข้อมูลที่ลูกได้รับถูกต้องหรือไม่ เขามีมุมมองหรือทัศนคติอย่างไรต่อเรื่องนั้นๆ

“คุยเรื่องเพศตอนที่ลูกตั้งคำถาม ไม่บ่ายเบี่ยง ลูกพูดปุ๊บตอบทันที ลองตั้งคำถามเพื่อเช็คความเข้าใจของลูกว่าลูกเข้าใจว่าอะไรอยู่ ถามความรู้สึกที่เขามีต่อเรื่องนั้นๆ สนับสนุนความคิดเชิงบวกของเขา พร้อมกับใส่ข้อมูลเชิงบวกเพิ่มขึ้นด้วย แล้วเปิดโอกาสในการพูดคุยเรื่องนี้ต่อ ลูกสามารถพูดคุยได้ตลอด ไม่ปิดกั้น

คุณบ็องแนะนำว่าเวลาที่คุยเรื่องนี้พ่อแม่ไม่ควรปิดกั้น หรือห้ามไม่ให้เขาทำ พ่อแม่ลองเปิดหูเปิดใจ ตั้งเป้าหมายว่าให้เขาปลอดภัย ส่วนเรื่องอื่นค่อยคุยทีหลัง สิ่งที่พ่อแม่ควรทำนอกจากให้ข้อมูล สอนวิธีป้องกันวิธีใช้ คือ สร้างทัศนคติให้กับลูก เรื่องป้องกันไม่ใช่หน้าที่เพศใดเพศหนึ่ง แต่ต้องทำร่วมกัน

“ปลอดภัยมันไม่ใช่แค่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง ความรับผิดชอบร่วมกัน ช่วยเตือน ช่วยจ่ายเงิน ช่วยซื้อให้หน่อย พยายามไม่ให้เป็นความรับผิดชอบเพศใดเพศหนึ่ง สอนให้เขาต้องสื่อสารกับคู่ของเขาเอง” คุณบ็องกล่าว

คุณจิตกล่าวเสริมว่า ถ้ามองเรื่องนี้ในมุมเพศ ผลกระทบมันตกกับผู้หญิง ทำให้ผู้หญิงต้องแสวงหาทางป้องกันที่จะทำให้ตัวเองไม่เสียหาย ยาคุมเลยกลายเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ผู้หญิงเลือกเพื่อดูแลตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่อยากกิน ถ้าพ่อแม่สอนให้ลูกเข้าใจเรื่องบทบาทในความสัมพันธ์ ความรับผิดชอบร่วมกัน ทำให้เมื่อลูกอยู่ในความสัมพันธ์เขาจะรู้ว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของเขากับคู่

จะเห็นได้ว่าเรื่องเพศไม่ใช่รู้แค่ข้อมูลและพูดได้เลย แต่ยังมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผล ทั้งทัศนคติสังคม ของตัวพ่อแม่เอง หรือแม้แต่ของตัวเด็ก หัวใจสำคัญของการพูดคุยเรื่องเพศ คือ การเปิดใจและการรับฟัง หลังอ่านบทความนี้จบแล้วพ่อแม่สามารถลองทำตามได้เลย อาจเริ่มด้วยการเปิดใจของตัวเองให้กว้างๆ เตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องนี้


คุณบ็องและคุณจิตได้ให้แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับเพศที่พ่อแม่สามารถใช้ได้
โครงการก้าวย่างอย่างเข้าใจ โดย องค์การแพธ
คลินิกรักดอทคอม
talkaboutsex โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมความสุข

Tags:

อีเวนต์โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พ่อแม่เพศ

Author & Photographer:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

Related Posts

  • Dear ParentsMovie
    We’re here: แดร็กควีนที่ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เพื่อความรู้สึกมีอำนาจ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Queer as Folk: คำถามที่ลูกอยากรู้ ถ้าเราเปลี่ยนไปไม่ใช่เพศเดิม พ่อแม่จะยังรักหรือปล่อยมือ

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • MovieDear Parents
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Education trend
    10 อันดับประเทศที่เหมาะต่อการเลี้ยงลูกมากที่สุดแห่งปี 2020

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

ฮาวทู GET 4CS! ออกแบบกิจกรรมอย่างไรให้พัฒนาทักษะเด็ก
21st Century skills
27 February 2020

ฮาวทู GET 4CS! ออกแบบกิจกรรมอย่างไรให้พัฒนาทักษะเด็ก

เรื่อง The Potential

ภาพประกอบ: เสฎฐวุฒิ โกมารกุล ณ นคร

4Cs คือทักษะการเรียนรู้ที่สำคัญทั้งปัจจุบันและอนาคต ประกอบด้วย

  • Creativity คิดนอกกรอบและต่อยอดเป็น
  • Critical Thinking คิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ปัญหาเองได้
  • Communication สื่อสารได้ถูกต้องเหมาะสม
  • Collaboration การทำงานร่วมกับผู้อื่น

แต่เราจะติดตั้งอาวุธเหล่านี้ให้กับเด็กๆ อย่างไร เพื่อสร้างและคืนประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ให้กับพวกเขาโดยที่ไม่ละทิ้งทักษะที่สำคัญทั้ง 4Cs นี้ไป อาจฟังดูยาก แต่เราสามารถออกแบบได้ผ่าน 7 กิจกรรมนี้ 

กิจกรรม 1:  Ice Breaking ละลายตัวตน ออกมาเชื่อมโยงกับคนอื่น

ฝึกทักษะการสื่อสาร (Communication)

รอบที่ 1 : ให้ผู้เข้าร่วมเลือกคนที่เราคิดว่ารู้จักน้อยที่สุด เอามือไปแตะที่คนนั้น ถามว่า “ชื่ออะไรและเช้านี้ทานอะไรมา”

รอบที่ 2 : ให้ผู้เข้าร่วมเดินไปแตะมือคนใหม่ ถามว่า “ชื่ออะไร ทำงานอะไร และถ้าวันนี้ถูกหวยเขาจะทำอะไร”

รอบที่ 3 : ให้ผู้เข้าร่วมเดินไปแตะมือคนสุดท้าย ที่เราไม่รู้จักเลย ถามว่า “ชื่ออะไรและความรักครั้งแรกเป็นอย่างไร”ให้คล้องแขนกันไว้ วิทยากรสุ่มแลกเปลี่ยนกันในวง

กิจกรรม 2: แนะนำตัวผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์

ฝึกทักษะการสื่อสาร (Communication, Creativity)

  1. ให้ผู้เข้าร่วมวาดรูปหน้าตัวเอง ด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด
  2. ให้เขียนชื่อเล่นใต้รูปภาพ
  3. ให้เขียนข้อมูลในบัตรประชาชน (ให้เวลา 10 นาที)
  • ลักษณะทางกายภาพของชุมชนของตัวเอง เช่น บ้านของเราเป็นแบบไหน
  • อาหารจานโปรดของเรา 1 เมนู
  • มีที่เที่ยวที่ไหนที่เป็นที่เที่ยวสุดโปรด ไปแล้วรู้สึกสบายใจ
  • ข้อดี-ข้อเสียของเราคืออะไร
  • คำฮิตติดปากของเรา
  • ความฝันของเราคืออะไร เราอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร
  • ปัจจุบันความสุขที่แท้จริงของเราคืออะไร
  • เวลาที่เราทุกข์ใจมากที่สุด เราก้าวข้ามไปได้อย่างไร
  1. ให้ผู้เข้าร่วมจับคู่แลกเปลี่ยนกับเพื่อน

กิจกรรม 3: รวมพลังกลุ่ม ทำภารกิจให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน

ฝึกการทำงานเป็นทีม (Collaboration,Critical thinking)

  • ฐานที่ 1 มือวาง ช่วยกันใช้นิ้วดีดให้แก้ว 3 ใบที่หงายอยู่กลับมาคว่ำ
  • ฐานที่ 2 ดัชนีมีดาว ใช้นิ้ว วาดรูป 2 รูป คือ วงกลม ดาว และเขียนชื่อกลุ่ม
  • ฐานที่ 3 จับปูเดินทาง สมาชิกเกาะกันเป็นวงกลม ห้ามมือขาดเดินไปยังฐานต่อไป
  • ฐานที่ 4 ไข่บิน ได้ไข่กลุ่มละ 2 ฟอง ให้โยนให้สมาชิกในกลุ่มที่อยู่ตรงข้าม โยนรอบที่ 1 สามารถเรียกชื่อผู้รับได้ โยนรอบที่ 2 ห้ามเรียกชื่อผู้รับ สามารถทำแตกได้กลุ่มละ 1 ใบเท่านั้น
  • ฐานที่ 5 ปากดี มีไม้เล็กๆ ความยาวประมาณ 1 ไม้บรรทัด ให้จับคู่ภายในทีม นำไม้สอดตรงที่เปิดกระป๋อง แต่ละคู่ใช้ปากคาบไม้เพื่อประคองกระป๋องไปสู่อีกฝั่งที่เป็นจุดหมาย
  • ฐานที่ 6 น้ำใจ มีแหล่งน้ำให้ ให้นำอุปกรณ์ที่มีในตัวของคนในทีม อะไรก็ได้ ให้ตักน้ำจากแหล่งน้ำเพื่อไปเติมน้ำในถังเปล่าของแต่ละทีมให้เต็ม ทีมไหนเต็มก่อนเป็นฝ่ายชนะ หยุดเล่นเมื่อมีทีมที่เติมน้ำเต็มแล้ว

กิจกรรม 4: สายธารชีวิต ทบทวนและถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง

ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์, การสื่อสาร  (Critical thinking, Communication)

  1. ให้ผู้เข้าร่วมค่อยๆหลับตา นิ่งๆ และกลับมาอยู่กับตัวเอง (5 นาที)
  2. วิทยากรชวนผู้เข้าร่วมให้ย้อนกลับไปทบทวนตัวเองในวัยเด็ก ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ จนออกมาสู่โลกกว้าง
  • ตอนที่เราอายุ 10 ปี ระหว่างนั้นเราจำอะไรได้บ้าง ภาพความทรงจำในวัย 0-10 ปี เป็นอย่างไร มีสุข-มีทุกข์อะไรที่เราจำได้บ้าง
  • ออกเดินทางต่อไป ในช่วง 10-20 ปี เราเริ่มเข้าสู่โรงเรียน เรามีความทรงจำ สุข-ทุกข์อะไรบ้าง เราเห็นอะไร เราได้เรียนรู้อะไร
  • ในช่วงวัย 20-30 ปี เป็นอีกวัยที่เราเริ่มเติบโต เราได้ก้าวข้ามความสุข ความทุกข์ ในช่วงวัยนี้อย่างไร เราได้เรียนรู้อะไร หลายๆ คนได้ทำงาน และหลายคนเข้ามาทำงานเพื่อสังคม ทำงานจิตอาสา
  1. ให้ทุกคนเล่าเรื่องของตนเองให้เพื่อนในกลุ่ม 3-4 คนฟัง 

กิจกรรม 5: ลงพื้นที่จริง เพื่อศึกษาชุมชนในประเด็นที่สนใจร่วมกัน

ฝึกทักษะการสื่อสาร (Communication,Critical thinking)

ใช้การ sensing คือการเปิดประสบการณ์ เปิดผัสสะของเราในการรับข้อมูลอย่างเที่ยงตรงและกระทบใจ ไปในพื้นที่บริเวนหาดปากบารา แล้วตาเรามองเห็นอะไร รู้สึกอะไร ได้ยิน ได้กลิ่นอะไร กระทบใจกับตรงไหน ประเด็นอะไรที่โดน เป็นการทำให้เด็กอิน รู้สึก โดยไม่ใช้ฐานหัวอย่างเดียว

กิจกรรม 6: สร้างสรรค์งานศิลปะสื่อสารข้อมูลจากชุมชน

ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์, การสื่อสาร, การทำงานเป็นทีม (Creativity, Critical thinking, Communication, Collaboration)

ศิลปะจัดวาง ภาพวาดและกวี หุ่นเงา แต่งเพลง เป็นการนำสิ่งที่สัมผัส (sensing) ได้จากการลงพื้นที่มาผลิตงานศิลปะ เพื่อใช้งานศิลปะสื่อสารประเด็นที่เรามองเห็นสู่สาธารณะ เช่น ประเด็นการเข้ามาของคนนอกที่มาเป็นนายทุนทำธุรกิจในพื้นที่ ทำให้ธุรกิจในพื้นที่เป็นของคนนอก เป็นต้น

กิจกรรม 7: จัด Festival สื่อสารประเด็นที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลง

ฝึกทักษะการสื่อสารและทำงานเป็นทีม (Creativity, Critical thinking, Communication, Collaboration)

การสื่อสารมีหลายแบบอย่างที่พูดไปก่อนหน้านี้ แต่ที่ครั้งนี้เราเลือกออกแบบการเรียนรู้ให้น้องได้ใช้ศิลปะ เพราะเชื่อว่าการสื่อสารในปัจจุบันไม่ได้สื่อผ่านเทคโนโลยีอย่างเดียว สิ่งสำคัญคือการสื่อสารผ่านชุมชน ผ่านผู้คนที่เข้ามาเรียนรู้ผ่านงานที่เขากำลังจะจัด โดยการจำลองให้น้องจัดงาน festival ขึ้น งานนี้เขาต้องมีเรื่องจะสื่อสาร ต้องเชิญคนมาร่วมงานให้ได้อย่างน้อย 50 คนขึ้นไป ซึ่งเวลาคน 50 คนมารวมกันในพื้นที่ใดหนึ่ง เขาไม่ได้ดูงานตลอดเวลา แต่จะเอาตัวเองเข้าไปดูนิทรรศการ ดูการแสดง ดูอะไรบางอย่าง

Tags:

4Csคาแรกเตอร์(character building)21st Century skills

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Unique Teacher
    จุฑา พิชิตลำเค็ญ อาจารย์ที่ตั้งหลักว่า “You Teach Who You Are” จัดการตัวเองก่อน จากนั้นค่อยไปสอนคนอื่น

    เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • 21st Century skills
    กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ ครูต้องเลิกถามว่าเข้าใจไหมและไม่รีบเฉลยคำตอบ

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    ในห้องเรียน ‘ความคิดสร้างสรรค์’ วัดกันได้ และไม่ต้องใช้คะแนนหรือเกรดเฉลี่ย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

Stay at home dad: การปรากฏตัวของคุณพ่อเต็มเวลากับมายาคติเรื่องเพศ
อ่านความรู้จากบ้านอื่นSocial Issues
25 February 2020

Stay at home dad: การปรากฏตัวของคุณพ่อเต็มเวลากับมายาคติเรื่องเพศ

เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ณิชากร ศรีเพชรดี

  • stay-at-home dad พ่อที่อยู่บ้านเต็มเวลาแบบ 24 ชั่วโมง/ 7 วันต่อสัปดาห์ เป็นพ่อบ้านเต็มตัวและไม่ได้ทำอาชีพอื่นใดเป็นหลัก บ้างเป็นฟรีแลนซ์หรืองานที่ไม่ได้เรียกร้องให้เข้าออฟฟิศ มีความยืดหยุ่นเรื่องการทำงานมากกว่า
  • เรื่องเหมือนจะง่ายเพราะขึ้นกับข้อตกลงแต่ละครอบครัว แต่ stay-at-home dad หลายคนเป็นซึมเศร้าเนื่องจากเสียงกดดันทางสังคม เช่น อยู่บ้านเลี้ยงลูกนี่เป็น loser รึเปล่า? เกาะเมียกินรึเปล่านะ?
  • สาเหตุแห่งความโดดเดี่ยวที่ว่า ส่วนหนึ่งก็มาจากกลุ่มเครือข่ายคุณแม่เองที่ตั้งแง่กับการเป็นคุณพ่อเต็มเวลา เพราะไม่สบายใจว่า การเป็นพ่อคนจะเลี้ยงลูกอย่างครบเครื่องได้อย่างไร

หากพูดถึงบทบาทพ่อแม่ ดูเหมือนสังคมจะตั้งค่า (standardize) บทบาทชายหญิงเอาไว้แยกชัด หน้าที่การเลี้ยงการดูแลลูกจะผูกไว้กับคนเป็นแม่ บอกว่าผู้หญิงอ่อนโยนกว่า ใกล้ชิดกับลูกมากกว่าในแง่การอุ้มท้อง และการให้นมบุตร จึงเป็นเหตุผลให้หน้าที่การดูแล (pamper) ลูกอยู่บ้านนั้น ตกเป็นของฝ่ายหญิง เมื่ออยู่บ้านแล้วก็ต้องทำงานบ้านให้เรียบร้อย ส่งยิ้มให้สามีก่อนและหลังออกจากบ้าน ในภาพนั้นอาจมีลูกเล็กหลับตาพริ้มในอ้อมกอดด้วยก็ได้ ส่วนหน้าที่ผู้ชายให้เป็นผู้ออกไปทำมาหากินนอกบ้าน เป็นคนหาเงินเข้าบ้าน เป็นฝ่ายบู๊บุ๋นออกไปเผชิญกับโลกเคร่งเครียดนอกบ้านแทน

ทั้งหมดนี้คือภาพจำที่เราส่วนใหญ่มักเห็นกันมาโดยตลอด แต่ความจริงของทุกบ้าน โดยเฉพาะในสมัยที่ทุกเพศต่างก็มีความรู้ความสามารถออกไปทำงานหาเงินเข้าบ้านได้หมด เมื่อมีคุณแม่ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูก ก็ต้องมีคุณพ่อที่อยู่บ้านเลี้ยงลูกเช่นเดียวกัน และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย หลักฐานคือเรามีตัวอย่างให้เห็นการเป็นคุณพ่อเต็มเวลาอย่าง ภาพยนตร์อย่าง Dad Day Care หรือซีรีส์สัญชาติอเมริกันอย่าง Guys with Kids มาแล้วด้วยซ้ำ

เมื่อได้ยินคำว่า Stay at home dad เราอาจยักไหล่และบอกว่ามันก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ ข้อตกลงของแต่ละบ้านย่อมไม่เหมือนกัน แล้วปัญหาคืออะไรล่ะ?

แต่เรื่องไม่ง่ายอย่างนั้น มีสถิติหลายชิ้นชี้ว่า stay-at-home dad หลายคนเป็นซึมเศร้าอันเนื่องจากเสียงกดดันทางสังคม เช่น อยู่บ้านเลี้ยงลูกนี่เป็น loser รึเปล่า? เกาะเมียกินรึเปล่านะ? หรือ ความโดดเดี่ยว ถูกลดทอนคุณค่า เนื่องจากมันไม่ตรงกับความคาดหวังสังคม

เพื่อทำความเข้าใจให้ทุกคนใช้ชีวิตง่ายขึ้น ชวนทำความเข้าใจศัพท์และเสียงของ stay-at-home dad จริงๆ โดยประมวลจากบทความหลายๆ ชิ้นที่พูดถึงเรื่องนี้กันค่ะ

stay-at-home dad vs. dad ต่างกันยังไง?

เป็นเสาหลักของบ้าน เป็นผู้นำของครอบครัว ทำหน้าที่หาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ช่วยเหลือภรรยาและแม่ของลูกบ้างในเนื้องานเล็กๆ เช่น รับ-ส่งลูกไปโรงเรียน ทั้งหมดที่กล่าวไป คือหน้าที่ของพ่อและสามีแบบที่ไม่ใช่ stay-at-home dad

stay-at-home dad คือ พ่อที่อยู่บ้านเต็มเวลาแบบ 24 ชั่วโมง/ 7 วันต่อสัปดาห์ คือเป็นพ่อบ้านเต็มตัวและไม่ได้ทำอาชีพอื่นใดเป็นหลัก แต่ผู้เขียนได้คุยกับเพื่อนๆ ที่เป็น stay-at-home dad บางคนก็เป็นฟรีแลนซ์ หรืองานที่ไม่ได้เรียกร้องให้เข้าออฟฟิศ หรือมีความยืดหยุ่นเรื่องการทำงานมากกว่า

อะไรที่เป็นงานในบ้าน stay-at-home dad จะทำทั้งหมด ตั้งแต่ซักผ้า ซื้อของเข้าบ้าน ทำกับข้าว เปลี่ยนผ้าอ้อม เล่นกับลูกแต่ต้องรักษาความปลอดภัยของพวกเขาไปพร้อมกัน รวมถึงการพาลูกไปเล่นกับกลุ่มเด็กๆ ในหมู่บ้านหรือที่โรงเรียน โดยระหว่างรอลูกๆ ก็ต้องพูดคุยกับแกงค์พ่อแม่คนอื่นๆ ด้วย

“มันเป็นงานยาก ไม่มีเวลาพัก ทำงานเป็นพ่อตลอด 24/7 ไม่มีพักร้อน และห้ามป่วย” คือคำอธิบายเกี่ยวกับการเป็นพ่อฟูลไทม์จาก เบน แซนเดอร์ (Ben Sanders) คุณพ่อของลูกชายสามขวบครึ่งหนึ่งคนและหกขวบครึ่งอีกหนึ่งคน

การกรากฎตัวของ stay-at-home dad VS การต่อสู้กับกรอบคิดเรื่องความเป็นแม่/ภรรยา และ พ่อ/สามี

สก็อต เมลเซอร์ (Scott Melzer) นักสังคมวิทยาจากวิทยาลัยอัลเบียน (Albion College) และผู้เขียนหนังสือเรื่อง Manhood Impossible (สำรวจนิยามความเป็นชายชาวอเมริกัน ไอเดียหลักว่าด้วยเรื่องผู้ชายจะรู้สึกล้มเหลวเมื่อทำบทบาทอะไรไม่สำเร็จ หนึ่งในนั้นคือการเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวหรือที่เรียกว่า breadwinner) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Atlantics ว่า…

การเป็น stay-at-home dad เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นหลัก เพราะการปรากฏตัวของคุณพ่อเต็มเวลาเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นครั้งวิกฤติเศรษฐกิจปี 2007-2009 ที่ทำให้หลายคนต้องตกงาน คนที่อยู่ในบทบาทพ่อหลายคน กึ่งๆ ถูกบังคับให้ต้องเป็นคนรับหน้าที่อยู่บ้านเต็มเวลาเพื่อดูแลลูกและบ้านแทน

ขณะที่งานวิจัย Pew Research Center ในปี 2014 พบว่าชาวอเมริกันเป็นคุณพ่อเต็มเวลามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงสิบปีทีผ่านมา หากย้อนดูตัวเลขตั้งแต่ปี 1984 จนถึงตอนนี้ อาจมีคุณพ่อเต็มเวลามากถึงหนึ่งล้านคน

แม้การเป็นคุณพ่อฟูลไทม์จะเริ่มเป็นที่เข้าใจมากขึ้นแต่ยังไม่ได้เป็นที่รับรู้หรือเข้าใจโดยทั่วกันมากนัก

“มันก็ยังพบเห็นได้น้อยนะ ถ้าดูที่ตัวเลข ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณดูจากผลการสำรวจอะไร บ้างประเมินว่ามีคนที่เป็นคุณพ่อเต็มเวลาประมาณ 1 ใน 20 ครอบครัว บ้างก็ประเมินว่า 1 ใน 15” คือความเห็นของแบรด แฮร์ริงตัน (Brad Harrington) ผู้อำนวยการวิทยาลัยบอสตัน ศูนย์การทำงานและครอบครัว (Boston College Center for Work and Family)

แต่กับแนวคิดคนปัจจุบัน งานวิจัยของแฮร์ริงตันชี้ว่าชาวมิลเลเนียมเข้าใจและพิจารณาการเป็นคุณพ่อเต็มเวลามากขึ้น โดยชาวมิลเลเนียมกว่าครึ่งบอกว่าจะพิจารณาว่าใครคนใดคนหนึ่งจะเป็นผู้ปกครองเต็มเวลาก็ด้วยเงื่อนไขที่ว่า ใครมีหน้าที่การงานมั่นคงกว่า มีรายได้มั่นคงกว่ากัน ก็อาจเป็นคนหลักในการหาเงินเข้าบ้านโดยไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นเพศไหน

แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ความไม่เท่าเทียมทางรายได้เพราะเรื่องเพศ ที่ส่วนใหญ่ผู้ชายมักได้ค่าตอบแทนมากกว่าผู้หญิง ทำให้ข้อตกลงส่วนใหญ่กลับไปที่ผู้หญิงเป็นคุณแม่เต็มเวลาจะคุ้มค่ากว่า ยังไม่รวมเงื่อนไขด้านสวัสดิการที่ไม่เอื้อให้ผู้ชายลามาเลี้ยงลูก ผลสำรวจความเห็นพบว่าความกังวลหนึ่งคือหากผู้ชายลามาเลี้ยงลูกหรือตั้งใจลาออกสักช่วงเวลาหนึ่งเพื่อเป็น stay-at-home dad นั้น มักกลัวมากว่าจะกลับเข้าไปในตำแหน่งนั้นไม่ได้อีก (ซึ่งแม้ข้อกังวลเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงด้วย แต่เนื่องจากค่าแรงส่วนใหญ่ผู้ชายมักได้มากกว่าผู้หญิง นั่นทำให้ตัวเลือก(หวย)มักตกที่ผู้หญิงที่ต้องอยู่บ้านง่ายกว่าอีกชั้นหนึ่ง)

กล่าวโดยสรุป ที่การเป็นคุณพ่อเต็มเวลาไม่ค่อยเป็นสิ่ง ‘common’ เท่าไรนัก ก็เพราะเงื่อนไขหลายอย่างในชีวิตคู่ที่มาจากเงื่อนไขทางเพศ เอื้อให้ผู้หญิงอยู่บ้านมากกว่า …นั่นเอง

กลับมาดูที่บทบาทผู้หญิง แม่และเมียกันบ้าง เราอาจพูดได้ว่าเราอยู่ในยุคแห่งการเบ่งบานเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้าที่และบทบาทของผู้หญิงเท่าเทียมกับเพศชายมากขึ้นทั้งในภาคเอกชนหรือภาครัฐ และถึงแม้จะยังมีแง่มุมเรื่องความไม่เท่าเทียมทางรายได้และมายาคติบางอย่างของชายหญิงและทุกเพศหลงเหลือในระดับลึก แต่ก็ถือว่าเรามาไกลกว่าที่เคยมากนัก

สิ่งที่ตามมาจึงทำให้ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเล่นบทแม่และเมียแบบเดิมๆ อีกต่อไป ผู้หญิงในฐานะมนุษย์คนนึงก็มีความฝันในหน้าที่การงาน อยากเติบโตในสายอาชีพ และมีความทะเยอะทะยานไม่ต่างกับเพศไหน กระแส stay-at-home dad จึงเป็นอีกหนึ่งแรงสั่นสะเทือนไปยังอุดมคติเรื่องเพศเหล่านั้น มันเป็นทางเลือก เป็นจินตนาการในชีวิต เป็นทิศทางให้ผู้หญิงหลายคนเดินตามฝันในหน้าที่การงานได้อย่างอิสระ คล่องแคล่วคล่องตัวมากขึ้น

ความโดดเดี่ยวเศร้าซึมของคุณพ่อเต็มเวลา ที่ถูกทำให้โดดเดี่ยวจากแก๊งคุณแม่เสียเอง

แม้ข้อมูลข้างต้นจะบอกว่า การเป็นพ่อบ้านเลี้ยงลูกเต็มตัวเป็นเรื่องปกติ แต่หากหันไปมองรอบตัวดีๆ ก็เห็นคุณพ่อเต็มเวลาได้น้อยยิ่งนัก หนึ่งในเงื่อนไขนั้นคือ มันสั่นสะเทือนคุณค่าในความเป็นผู้ชาย

ในบทความที่เกี่ยวกับการเป็นคุณพ่อเต็มเวลาส่วนใหญ่มักพูดถึงความโดดเดี่ยว ความเศร้าซึมที่พ่วงมากับการเป็นคุณพ่อ อย่างในบทความเรื่อง Why So Many Stay-at-Home Dads Are Depressed (ทำไมคุณพ่อเต็มเวลาส่วนใหญ่ถึงซึมเศร้า) เผยแพร่ผ่าน Vice อธิบายว่า กลุ่มผู้ปกครองส่วนใหญ่ที่โอภาปราศรัยเป็นเครือข่ายกันมักเป็นคุณแม่ เวลาคุณพ่อพาเด็กๆ ไปทำกิจกรรมกับกลุ่มคุณแม่เหล่านี้ทีไร มักถูกตั้งคำถาม เดินหนี แสดงความไม่สบายใจกับภาพคุณพ่อพาลูกมาเล่นในสวน หรือไม่อยากปฏิสัมพันธ์ยุ่งเกี่ยวด้วย

เจมส์ คลิน (James Kline) สมาชิกกลุ่ม National At-Home dad Network เล่าผ่าน VICE ว่า มันเป็นเรื่องจริง และมันเป็นหัวข้อที่คุยกันในกลุ่มบ่อยๆ ว่าคุณพ่อเต็มเวลามักรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกตัดสินจากคนอื่นเสมอ คลินย้ำเรื่องความซึมเศร้าของบรรดาคุณพ่อว่า มันจริงและมีบทความในเว็บไซต์นี้ที่แชร์ประสบการณ์การจัดการกับเสียงของผู้คนและจัดการกับอารมณ์ของตัวเองจำนวนหนึ่ง

แต่เขาย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะคุณพ่อเต็มเวลา แต่กับคุณพ่อที่ไม่ได้เป็น full-time dad ก็ซึมเศร้าหลังมีลูกได้ไม่ต่างจากผู้หญิง เช่น รายงานจากอังกฤษในปี 2016 บอกว่า ผู้ชาย 3.6 เปอร์เซ็นต์มีภาวะเศร้าในช่วงปีแรกของการเป็นพ่อ ขณะที่ผลสำรวจอีกชิ้นในปี 2015 บอกว่า พ่อทุก 1 ใน 3 คนมีความกังวลเรื่องสุขภาพจิตของตัวเอง หมายความว่า ผู้ชายก็ซึมเศร้าหลังคลอดได้ เพียงแต่มักไม่ขอความช่วยเหลือเวลาตกอยู่ในห้วงอารมณ์เหล่านี้ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ก็กลับไปเรื่องกรอบคิดสังคมส่วนใหญ่เรื่องบทบาทความเป็นชาย

แต่ถ้าจะบอกว่าความซึมเศร้าของ stay at home dad เป็นอย่างไรนั้น คลินอธิบายว่า ผู้ชายส่วนใหญ่มักถูกมองว่าไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องงานบ้านงานเรือน และมักต้องใช้ ‘รายได้ต่อเดือน’ เป็นมาตรฐานว่าคุณเป็นผู้ชายที่ใช้ได้มั้ย ซึ่งเอาเข้าจริงมันเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องรับใช้คุณค่านี้อยู่ตลอดเวลา

ในประเด็นนี้ อาจจะเป็นรายงานที่เก่าไปสักหน่อยแต่ก็ทำให้เห็นภาพได้ คือผลสำรวจจากประเทศสวีเดนในปี 2013 บอกว่า ผู้ชายที่ไม่ได้หาเงินเข้าบ้านเป็นหลักหรือคนที่มีรายได้ไม่มั่นคง มักเข้ามาพบจิตแพทย์ด้วยปัญหาเรื่องความกังวล นอนไม่หลับ ปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

“มีเพื่อนที่ชอบแหย่ผมเรื่องความไม่มั่นคงทางการเงิน เช่น ชอบถามว่า ‘คุณได้เงินเดือนเท่าไรหรอ’ ผมก็มักจะตอบกลับไปว่า ‘คุณคิดว่าการเลี้ยงเด็กมันราคาเท่าไรล่ะ เพราะนั่นเป็นราคาที่ผมควรจะได้รับ’ ” คือเสียงของมาร์ก ซูกวิตัน (Mark Suguitan) คุณพ่อลูกสองเต็มเวลาเมือง LA ซึ่งภรรยาเป็นทันตแพทย์ทหารเรือ ให้ภาพความกดดันเรื่องรายได้ที่คนเป็นคุณพ่อเต็มเวลามักได้รับ

กลับมาที่เครือข่ายการรวมตัวของคุณพ่อเต็มเวลาเพื่อแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง เราจะเห็นเครือข่ายคุณพ่อเต็มเวลาหลายกลุ่ม National At-Home Dad Network เป็นหนึ่งในนั้น และยังมีการรวมตัวกันแบบ offline ด้วย เช่น ที่เมืองอาลิงตัน (Arlington) รัฐเวอร์จิเนีย เราจะเห็นคุณพ่อเต็มเวลาร่วม 20 ชีวิต จะพาลูกๆ ออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน ขณะที่ลูกๆ เล่นกัน พวกเขาก็จับกลุ่มพูดคุยเปิดใจกันถึงปัญหาการเลี้ยงลูกในแต่ละวัน แชร์ความหนักอกหนักใจจากความแก่นแก้วของลูกๆ ตัวเอง

มาร์ค บลิดเนอร์ (Mark Bildner) คุณพ่อลูกสี่ หนึ่งในสมาชิกกลุ่มดังกล่าวเล่าให้สำนักข่าว NPR ฟังว่า ผู้ชายส่วนมากมีปัญหากับการแยกความคิดเรื่องงานกับการเลี้ยงลูกออกจากกัน เค้าเปรียบเทียบว่ากับการทำงาน ทุกอย่างมีกระบวนการเป็นเส้นตรง มีจุดเริ่มและมีจุดจบ แต่การเลี้ยงลูกไม่ใช่แบบนั้น

“งานมาแล้วก็จะไป แต่กับเรื่องบ้าน วันหนึ่งมันสะอาดแต่อีกวันจะเละเทะ วันหนึ่งลูกจะสดใสแต่อีกวันเค้าอาจเศร้า นาทีนี้เค้าอาจซุกซนจนเหนื่อยแต่อีกเดี๋ยวเค้าอาจจะสงบนิ่ง

“คุณจำเป็นต้องยอมรับว่ามันจะมีสิ่งที่ ‘เสร็จ’ กับ ‘ไม่เสร็จ’ ตลอดเวลา หน้าที่ของคุณคือแค่ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น” บลิดเนอร์เล่าให้ฟัง

เอรอน โรเซนบาม (Aaron Rosenbaum) อีกหนึ่งคุณพ่อเต็มเวลา บอกว่าในการเป็นคุณพ่อเต็มเวลามักถูกตั้งคำถามหรือมองด้วยสายตาแปลกๆ เสมอ แต่กับกลุ่มนี้จะบรรเทาความรู้สึกโดดเดี่ยวและความไม่เข้าใจจากคนอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะการเป็นคุณพ่อเต็มเวลาที่ต้องไปทำกิจกรรมกับแกงค์คุณแม่

“จริงๆ คุณแม่ส่วนใหญ่จะโอเคเวลาผมอยู่ด้วยนะ แต่ก็มีบ้างที่คุณแม่บางคนจะรู้สึกไม่สะดวกใจจะพูดคุยกับผมในฐานะผู้ปกครอง บางคนก็หนีเลย ถ้าให้พูดตรงๆ ผมก็เหงาๆ เหมือนกัน

“แต่กับกลุ่มนี้ (กลุ่มคุณพ่อเต็มเวลา) มันเป็นมิตรภาพจากคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันเท่านั้นที่เข้าใจ ไม่มีใครที่รู้สึกแปลกๆ กับคุณ คุณไม่สงสัยว่าพวกเขาจะตั้งคำถามต่อคุณว่าทำไมจึงอยู่บ้านเลี้ยงลูก” โรเซนบามกล่าว

อย่างไรก็ แม้ในตอนนี้กระแส stay-at-home dad จะฟังดูเหมือนเปลี่ยวเหงาและยังต้องการความเข้าใจจากสังคมอยู่อีกมาก ถึงอย่างนั้น นักสังคมวิทยาจากวิทยาลัยอัลเบียนอย่างเมลเซอร์ก็เชื่อว่า กระแสดังกล่าวจะอยู่ยาวแน่นอน เพราะความคิดความเชื่อเรื่องบทบาทเพศนั้นเปลี่ยนไปแล้ว รวมถึงการแต่งงานของคนหลากหลายทางเพศที่เพิ่มขึ้นจะยิ่งเพิ่มสัดส่วนของคุณพ่อกลุ่มนี้ให้มีมากขึ้นด้วย

Tags:

stay at home dadมายาคติการเป็นแม่

Author:

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Juno: การรับมือกับท้องไม่พร้อม และการบอกสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ(ด้วยตัวเอง)กับครอบครัว

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    “ถึงพ่อแม่จะเลิกรักกัน ไม่ได้แปลว่าเราจะเลิกเป็นครอบครัว” แคลร์ จิรัศยา ผู้กำกับที่ใช้ซีรีส์ส่งข้อความจากใจลูกถึงพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ลูกเกิดมาดี สวยงาม สมบูรณ์แบบแล้ว: ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ พ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกที่มีความพิการ

    เรื่องและภาพ คชรักษ์ แก้วสุราช

  • Movie
    รีวิวตัวละครเเม่ในหนังหลากสัญชาติที่บอกว่า ไม่ว่าหนังหรือชีวิตจริง แม่ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง

    เรื่อง The Potentialณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เกรียงไกร นิตรานนท์: คุณพ่อผู้ลาออกจากงานเพื่อเป็น FULL TIME DADDY

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

ความขัดแย้ง และวิธีสงบศึกกับลูกด้วยดี ตอน 1
Family Psychology
21 February 2020

ความขัดแย้ง และวิธีสงบศึกกับลูกด้วยดี ตอน 1

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • ความขัดแย้งของพ่อแม่กับลูกๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นในครอบครัว มีตั้งแต่เรื่องโต้แย้งหยุมหยิมอย่างลูกอยากเล่นเกมหามรุ่งหามค่ำ จนไปถึงความขัดแย้งผิดใจบานปลายใหญ่โตจนใช้อารมณ์ใส่กัน หากเพิกเฉยไม่แก้ไขให้ทันการ อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนในบ้านและความสัมพันธ์ระยะยาวได้
  • หนังสือ Parenting from the Inside Out จะมาช่วยไขข้อกังวลใจ โดยพูดถึงรูปแบบความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกที่มักพบบ่อย พร้อมกับวิธีรับมือและเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความเข้าใจ
  • ขณะที่ทะเลาะกัน ถ้าพ่อแม่ระเบิดอารมณ์ ตะคอก ใช้วาจาหรือกำลังด้วยความรุนแรงหยาบคาย การทะเลาะนั้นอาจกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงได้ ลูกจะหวาดกลัวและรู้สึกไม่มีคุณค่าในตัวเอง จนถึงขนาดรู้สึกขาดที่พึ่ง

เชื่อว่าความขัดแย้งของพ่อแม่กับลูกๆ การทะเลาะผิดใจกัน คงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อแม่ซึ่งมีความเป็นห่วง คาดหวัง ประกอบกับพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะในขณะที่ลูกเป็นเด็ก บางครั้งเรียกร้องความรักความเอาใจใส่ แต่บางคราวอยากมีอิสระ

เรื่องโต้แย้งหยุมหยิมอย่างลูกอยากเล่นเกมหามรุ่งหามค่ำ แล้วเราห้ามเพราะห่วงสุขภาพเขายังพอทำเนา แต่หากความขัดแย้งผิดใจบานปลายใหญ่โตจนใช้อารมณ์ใส่กัน แล้วเพิกเฉยไม่แก้ไขให้ทันการ อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของคนในบ้านและความสัมพันธ์ระยะยาวได้

ในหนังสือ Parenting from the Inside Out ตำราเลี้ยงลูกจากภายในถึงภายนอกโดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านแม่และเด็ก ดร.แดเนียล เจ. ซีเกล และอาจารย์แม่รี ฮาร์ทเซลกูรูด้านพฤติกรรมและการเลี้ยงเด็ก กล่าวถึงรูปแบบความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกที่พบได้เสมอๆ ได้แก่

  • ความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ส่วนตัว
  • การสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน
  • ความขัดแย้งเมื่อลูกถูกวางกฎระเบียบ
  • ความขัดแย้งขั้นรุนแรง

ซึ่งนอกจากทั้งสองได้ให้คำแนะนำในการรับมือความขัดแย้งแล้ว ยังได้อธิบายถึงการทำงานของสมองและจิตใจไว้อย่างน่าสนใจ พร้อมนำเทคนิคที่นำไปปรับใช้เพื่อคลี่คลายปัญหากระทบกระทั่งในชีวิตประจำวันกับลูกรักได้เลย

ความขัดแย้งหยุมหยิมเรื่องพื้นที่ส่วนตัวและสื่อสารไม่เข้าใจกัน

ในการอยู่ร่วมกัน ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกอาจเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายได้ตลอดเวลา เพราะไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กต่างก็ต้องการคิดอ่านทำอะไรลำพังในพื้นที่ส่วนตัว พ่อแม่ต้องละเอียดอ่อนพอตัวในการอ่านความต้องการเล็กๆ น้อยๆ นี้ของลูกให้ออกว่าเมื่อไหร่เขาต้องการให้สนใจเต็มที่ และเมื่อไหร่ที่เขาไม่อยากให้พ่อแม่เข้าไปวุ่นวาย สำหรับโลกใบเล็กของเด็กทารก เขาจะยังไม่รู้จักพื้นที่ตรงนี้และโลกทั้งใบของเขา คือ พ่อแม่เท่านั้น พ่อแม่ต้องระวังและไม่ควรมีพื้นที่ส่วนตัวแยกออกจากเขา โดยเฉพาะวัยนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ควรสอนให้รอ เคารพหรืออดทน แต่ถ้าลูกโตพอ สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำนอกจากเคารพพื้นที่ส่วนตัวของเขาแล้ว ต้องสอนให้เขารู้จักเคารพพื้นที่ของคนอื่นควบคู่ไปด้วยเช่นกัน แต่สำหรับลูกวัยรุ่น ทำใจไว้แต่เนิ่นๆ เสียก่อนว่าเขาจะหวงแหนพื้นที่ส่วนตัวของเขาเอาไว้ให้เฉพาะเพื่อนเท่านั้น

พื้นที่ส่วนตัวที่เรากำลังพูดถึง คือ ภาวะจำเป็นชั่วคราวที่ต่างคนต่างจำเป็นต้องขอเวลานอก เพื่อสะสางปัญหาหรือขบคิดเพียงลำพัง สำหรับพ่อแม่ การเอ่ยปากบอกลูกตรงๆ ว่าขอเวลาเป็นส่วนตัวสักครู่เป็นเรื่องควรทำมากกว่าการหลบมุมหนีไปเฉยๆ ไม่บอกกล่าว ปล่อยให้เขาตีความที่แม่หน้าบึ้งเมินเฉยและปลีกตัวจากเขาเพราะเขาทำอะไรผิดรึเปล่า การทำแบบนี้จะยิ่งทำให้ลูกเรียกร้องต้องการมากขึ้น ทางที่ดีควรบอกไปตามตรงว่า ‘แม่ขอเวลาไปคิดแกปัญหาสำคัญสักสิบห้านาทีคนเดียวในห้องทำงาน เสร็จแล้วเดี๋ยวกลับมาอ่านนิทานเรื่องที่หนูชอบให้ฟังนะ’

เรื่องหยุมหยิมที่มักเกิดอีกอย่าง คือ การเข้าใจผิดระหว่างกัน หรือเวลาพ่อแม่ ‘ไม่เก็ท’ ความต้องการที่ลูกสื่อออกมาเพราะกำลังคิดเรื่องงาน หรือตีความที่ลูกบอกไปอีกอย่าง

เด็กมีความคาดหวังให้พ่อแม่เข้าใจและตอบสนองเขาได้ทุกเรื่องเสมอ บางทีการนิ่งเงียบอาจหมายถึงตั้งใจปั้นปึ่งเพราะกำลังน้อยใจ หรือบางทีพ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วง แต่เขาอาจตีความว่าถูกตำหนิเพราะทำผิด

พ่อแม่ต้องหมั่นสังเกตอากัปกิริยาและเข้าถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาว่ากำลังสุข เศร้า น้อยใจ โมโห หรือตื่นเต้น แล้วสะท้อนกลับไปให้ถูกจังหวะและสอดคล้อง เพราะถึงจะเป็นความขัดแย้งเล็กน้อยแต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ใส่ใจดูแลและปรับความเข้าใจ ก็มีสิทธิลุกลามเป็นแผลใหญ่จนยากเกินแก้ไขเช่นกัน

ประเด็นเรื่องการต้องการพื้นที่ส่วนตัวของบุคคล และการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกในครอบครัวนั้น คุณหมอซีเกลยก ทฤษฎีความซับซ้อน (Complexity Theory)  มาอธิบายไว้สองประเด็น ข้อแรก ภาวะความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ที่ตัดสลับไปมาระหว่างความต้องการเป็นส่วนหนึ่งร่วมกับผู้อื่น กับความต้องการอิสระเป็นตัวของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ส่วนอีกประเด็นคุณหมอเปรียบเทียบครอบครัวเป็นระบบซับซ้อน (Complex System) ซึ่งมีองค์ประกอบภายในยิบย่อยมากมาย โดยแต่ละส่วนมีคุณสมบัติแตกต่างกัน สาระสำคัญของทฤษฎีนี้ที่ทับซ้อนกับการทำงานของจิตใจ และความเป็นไปในการอยู่ร่วมกันในครอบครัวอยู่ที่การเป็นส่วนหนึ่งในระบบ ซึ่งแม้ว่าแต่ละองค์ประกอบแตกต่างและอยู่อย่างตัวใครตัวมัน แต่ทุกส่วนจำเป็นต้องเชื่อมโยงซึ่งกันและกันกับส่วนอื่น ในขณะเดียวกันกับที่ยังคงไว้ซึ่งอิสระในคุณสมบัติที่ตัวเองเป็น และสอดผสานจนเป็นหนึ่งเดียวกัน (Harmony) ในที่สุด (ทฤษฎีนี้ยังถูกใช้เทียบเคียงการทำงานในสมองหรือหลักการทางคณิตศาสตร์ต่างๆอีกด้วย)

ทุกระบบซับซ้อนจะมีกลไกจัดระเบียบตัวเองไว้รับมือกับความวุ่นวาย ทางด้านจิตใจจะจัดระเบียบตัวเองได้ต้องได้รับการปลูกฝังติดตั้งความยับยั้งชั่งใจ ส่วนในบ้าน เราเรียกสิ่งนั้นว่า กฎระเบียบหรือขอบเขตการปฏิบัติตัว ที่ทุกคนต้องเข้าใจตรงกัน

สมาชิกซึ่งอยู่ร่วมกันในครอบครัวต่างมีความต้องการ นิสัยใจคอ ไลฟ์สไตล์ เป้าหมายไม่เหมือนกัน (อีกทั้งบางครั้งต้องการเข้าพวกแต่บางครั้งต้องการอยู่เงียบๆคนเดียว) การเคารพซึ่งกันและกัน คือ อีกหนึ่งการจัดระเบียบสมดุลทางความสัมพันธ์ให้ปรับตัวยืดหยุ่นในการรักษาความเป็นตัวเอง และสามารถผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไปพร้อมกัน

ความขัดแย้งเมื่อลูกถูกจำกัดขอบเขต

พ่อแม่มีหน้าที่สอนให้ลูกรู้จักขอบเขตทั้งในบ้านและสังคมนอกบ้านว่าเขาสามารถทำอะไรได้และไม่ได้บ้าง ซึ่งรวมไปถึงการที่เขาต้องถูกขัดใจ ไม่ได้ทำตามใจอยากเสมอไป เช่น กินขนมแทนข้าว ไปเดินห้างแล้วต้องได้ของเล่น เอาเท้าวางบนโต๊ะ ความขัดแย้งที่เกิดจากการสอนให้ลูกมีขอบเขตเป็นเรื่องธรมดา พ่อแม่ไม่ควรหลีกเลี่ยงละเลยส่วนนี้เพียงเพราะไม่อยากทะเลาะ เพราะมารยาทและการเคารพสิทธิของคนอื่นในสังคมต้องปลูกฝังให้เป็นนิสัยติดตัวจากที่บ้าน

การปฏิเสธอย่างสร้างสรรค์และได้ผลที่สุด คือ เลี่ยงใช้คำว่า ‘ไม่ได้’ ออกไปตรงๆ ยิ่งถ้าห้ามด้วยการพูดว่า ‘อย่า…’ ‘ห้าม…’ เขาจะตีความว่ากำลังถูกตำหนิ และต่อต้านทันที ทางที่ดีควรสังเกตว่าเขารู้สึกอย่างไรเวลาเรียกร้องต้องการแล้วสะท้อนอารมณ์นั้นกลับไปอย่างเข้าอกเข้าใจ เช่น ‘พ่อรู้ว่าหนูอยากกินขนมร้านนี้ หูย ก็มันหอมน่ากินซะขนาดนี้ ดูสิ หอมออกมาข้างนอกเลย พ่อก็อยากกิน แต่นี่ได้เวลามื้อเย็นแล้ว เราต้องกินข้าวก่อนค่อยมากินขนมกัน ตกลงไหม’ วางขอบเขตหรือข้อกำหนดให้ชัดเจนและหนักแน่น ถ้าเขางอแง ทางแก้ไม่ใช่การขู่ให้เงียบ ทำโทษ หรือโอ๋ปลอบ แต่ควรให้เวลาเขาร้องไห้เสียใจและเรียนรู้อารมณ์ตัวเองสักพักพร้อมกับพูดชี้นำให้เขายอมรับว่าเขาจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการทุกครั้งด้วยความเข้าใจและมั่นคง และขอบเขตที่วางไว้นี้จะไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ‘พ่อเข้าใจความรู้สึกหนูที่ไม่ได้อย่างใจนะ อยากร้องก็ร้องนะลูกจะได้สบายใจขึ้น ถ้าหายเสียใจแล้วเราค่อยไปล้างหน้าล้างตากัน’

ทำความรู้จักกับคันเร่งและเบรกในสมอง

ในการสอนเรื่องขอบเขตหรือวางกฎข้อจำกัด พ่อแม่ต้องเข้าใจกลไกและเรียนรู้ที่จะจัดการอารมณ์ของลูกให้ได้ สมองส่วนหน้า คือ ศูนย์บัญชาการของอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งนอกจากควบคุมอารมณ์โดยเชื่อมต่อกับสมองส่วนนีโอคอร์เทกซ์ที่คิดวิเคราะห์เหตุผลซับซ้อน ส่วนลิมบิกที่รับสิ่งกระตุ้นแล้วแปลงเป็นอารมณ์ความรู้สึก และก้านสมองที่ประมวลผลจากเส้นประสาททั่วตัวเป็นวงจรการตื่นนอน สัญชาตญาณ ภาวะตื่นตกใจเป็นต้นแล้ว มันยังควบคุมไปถึงอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้วยเช่น หัวใจ ปอด ลำไส้ ถ้าอารมณ์สมดุลก็หมายถึงสุขภาพจิตที่สมบูรณ์แข็งแรง เวลาตื่นเต้นสมองจะมีกลไกเสมือน ‘คันเร่ง’ สั่งให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ปอดหายใจหอบ ลำไส้ปั่นป่วน ออกอาการลิงโลด และเมื่อสงบลงหรือควบคุมอารมณ์ได้สมองจะค่อยๆ ‘เบรก’ ให้หัวใจกลับมาเต้นปกติ ลมหายใจสม่ำเสมอและลำไส้คลายตัว

การอนุญาตหรือตอบรับลูกว่า ‘ทำได้’ ‘เอาเลย’ ‘โอเค’ เปรียบได้กับการเหยียบคันเร่งในสมองของเขา และตรงกันข้ามเมื่อปฏิเสธว่า ‘ไม่ได้’ สมองเขาจะถูกแตะเบรก ร่างกายจะหนักอึ้ง รู้สึกใจหาย หดหู่ จะให้ดีทั้งกลไกคันเร่งและเบรคในสมองของลูกจำเป็นต้องได้รับการจัดระเบียบจากพ่อแม่ โดยสอนให้เขารู้จักผ่อนหนักเบาถูกจังหวะ ซึ่งหมายความว่าควบคู่กับการวางกฎระเบียบให้เขา ผู้ใหญ่ต้องสอนให้รู้จักการควบคุมอารมณ์ตนเอง หรือมีความยับยั้งชั่งใจ (Self-Regulation) พร้อมกันไปด้วย

ความยับยั้งชั่งใจจะทำหน้าที่เหมือน ‘คลัทช์’ คอยผ่อนพลังที่เกิดจากคันเร่ง (เมื่อเรียกร้องต้องการบางอย่าง) และลดแรงปะทะจากการเหยียบเบรค (เมื่อถูกห้ามหรือปฏิเสธ) ให้เบาบางลง การสอนให้ลูกควบคุมความต้องการให้เป็น พ่อแม่ต้องเริ่มจากค่อยๆ เบนความอยากอันผิดที่ผิดทางของเขาไปยังสิ่งสร้างสรรค์อื่นแทน เช่น เวลาปีนขึ้นโต๊ะกินข้าว หรือขว้างปาข้าวของทั่วบ้าน ‘โต๊ะไม่ได้มีไว้สำหรับปีนนะ ถ้าหนูอยากปีน เก็บแรงไว้เสาร์นี้เอิร์ทกับแม่ไปเล่นปีนตาข่ายในวันเดอร์แลนด์กันดีกว่า’ หรือ ‘กระแทกพื้นแล้วเดี๋ยวตะกร้าพัง แม่ไว้ใส่ของ ถ้าลูกแรงเหลืออยากเล่นสนุก ออกไปเล่นปาบอลกับดุ๊กดิ๊กที่สนามสิจ๊ะ มันกระดิกหางรอให้ลูกไปเล่นด้วยแหนะ’ วิธีนี้สะท้อนว่าพ่อแม่ยอมรับอารมณ์สนุกตื่นเต้นของเขาได้ โดยต้องมีขอบเขตในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม

การสอนให้รู้จักขอบเขตไปพร้อมๆ กับความยับยั้งชั่งใจเป็นการปูให้เขาเรียนรู้ที่จะรับฟังคำปฏิเสธให้เป็น ไม่ทำตามใจอยากได้โดยไม่รู้สึกขาดตกบกพร่อง (สร้าง EQ ที่ดี) ถ้าเขาไม่เคยถูกสอนให้ยับยั้งชั่งใจอยากได้อะไรต้องได้ ก็จะกลายเป็นเด็กงี่เง่าเอาแต่ใจสุดโต่ง

แต่ถ้าหากลูกต่อรอง ต่อต้าน ยอกย้อนไม่รู้จบ นอกจากต้องมีน้ำอดน้ำทนให้สูง พ่อแม่ต้องควบคุมอารมณ์ วางตัวสุขุมและกล่าวให้ชัดเจนหนักแน่น ไม่พูดทีเล่นทีจริง หรือฟิวส์ขาดโดยเด็ดขาด เพราะนั่นจะทำให้เขาเรียนรู้ว่าขนาดผู้ใหญ่ยังควบคุมตัวเองไม่ได้เลย เขาก็ทำกลับไปได้เช่นกัน บางครั้งจึงป่วยการอธิบายต่อคำขอเซ้าซี้โยเยไม่รู้จบ เพราะเขาอาจมีหวังว่าจะโดนตามใจในที่สุด ไม้ตายสั้นๆ คือ ตัดบทว่า ‘ไม่ได้ค่ะ แม่ไม่โอเคที่หนูทำอย่างนี้’ หรือ ‘พ่อรู้ว่าหนูไม่พอใจ แต่พ่อไม่ตามใจเรื่องนี้นะ’

การตอบโต้ด้วยอารมณ์ใส่ลูกเพื่อเอาชนะเวลาเขาต่อต้าน หรือเถียงไม่เลิกรา เป็นการสร้างความคับข้องใจให้เขารู้สึกเสียหน้าว่าตนผิด เขาจะหันหลังใส่คำแนะนำหรือทางเลือกอื่นทันที โทสะจากพ่อแม่จะไปเหยียบเบรคในสมองลูกแบบกระแทกกระทัน ขณะที่เขากำลังเหยียบคันเร่งเตรียมพุ่งทะยาน ผล คือ คลัทช์ไม่ทำงาน รถเสียความควบคุม อารมณ์ที่ถูกเหยียบเบรคจนหัวทิ่มจะยิ่งผลักให้เขาจงใจเหยียบคันเร่งให้แรงขึ้นเพื่อเอาชนะ อารมณ์เตลิดเปิดเปิงนี้จะแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมงี่เง่าหนักข้อขึ้นกว่าเดิม

ความขัดแย้งขั้นรุนแรง

การทะเลาะผิดใจกับลูกอาจกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงได้ หากพ่อแม่ระเบิดอารมณ์ ตะคอก ใช้วาจาหรือกำลังด้วยความรุนแรงหยาบคายจนเขาหวาดกลัว และรู้สึกไม่มีคุณค่าในตัวเองจนรู้สึกถึงขนาดขาดที่พึ่ง

สาเหตุหลักของความขัดแย้งขั้นรุนแรงมักมาจากพ่อแม่ที่มีปมเลวร้ายตอนเป็นเด็กแล้วมาลงกับลูกโดยไม่รู้ตัว เช่น เคยถูกทิ้งขว้าง ใช้ความรุนแรง เปรียบเทียบกับคนอื่น เลี้ยงอย่างลำเอียง เป็นต้น ครั้นโตมาเป็นพ่อแม่ก็ส่งต่อพฤติกรรมที่เคยได้รับ เพราะติดกับปมเดิมจนมองไม่เห็นความต้องการที่ลูกมี หรือเก็บกดไว้จากการถูกจิตปิดกั้นไม่รับรู้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดซ้ำรอยเดิมกับตอนเด็ก ในหนังสือเรียกกลไกปิดกั้นทางจิตนี้ว่า Shame Dynamic ซึ่งกลไกจะทำงานในจิตใจที่ฝังจำความบาดหมางที่มีต่อพ่อแม่ในวัยเด็กโดยการสร้างเกราะป้องกันไม่ให้ตัวเองรู้สึกอับอายที่ตนเองบกพร่อง จิตจะปิดกั้นเหตุการณ์ที่พ้องกับความบาดหมางในอดีต ทำให้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเกิดปัญหากระทบกระทั่งกับลูก พ่อแม่ก็จะหนีหรือเมินปัญหาที่มีกับลูกโดยอัตโนมัติ

พ่อแม่ที่มีปมบาดแผลและถูกครอบงำด้วย Shame Dynamic ลึกๆ มักรู้สึกขายหน้า เสียเซลฟ์ คิดว่าตนเป็นพ่อแม่ที่บกพร่องที่มีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับลูกหรือโดนลูกดื้อใส่ ชอบฟังเสียงคนรอบข้างมากเกินไป เพราะกลัวคนอื่นจะติงว่าเลี้ยงลูกผิด อย่างเวลาลูกร้องโยเยในห้างจะอับอายและแคร์สายตาคนอื่นว่าคิดกับตัวเองอย่างไร แทนที่จะพยายามทำความเข้าใจว่าลูกต้องการอะไร พ่อแม่กลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะดุลูกรุนแรงทันทีเพราะรู้สึกอาย ในกรณีที่ลูกดื้อรั้นมากๆ พ่อแม่บางบ้านอาจเกิดความรู้สึกกับตัวเองว่าเป็นพ่อแม่ไม่เอาไหนได้เช่นกัน ซึ่งต้องระวังว่าความคิดทำนองนี้อาจไปสะกิดแผลในวัยเด็ก จนเกิดภาวะหมางเมินลูกจากกลไกปิดกั้นตนเองอย่างที่กล่าวมาได้

ติดตามตอนจบได้ที่ ความขัดแย้ง และวิธีสงบศึกกับลูกด้วยดี ตอน 2

อ้างอิง:
Daniel J. Siegel, M. a. (2004). How We Disconnect and Reconnect: Rupture and Repair. In Parenting from the Inside Out (pp. 213-253). New York: tarcherperigee.

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์Parenting from the Inside OutAdolescent Brain

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

เพชรลัดดา แก้วจีน

นักวาดภาพประกอบอิสระ มีความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆในสังคม ชอบสังเกตผู้คน เขียนบันทึก และอ่านหนังสือ ยามว่างมักใช้เวลาไปกับการดริปกาแฟและเล่นกับแมว

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Family Psychology
    ความขัดแย้ง และวิธีสงบศึกกับลูกด้วยดี ตอน 2

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

SACRED MOUNTAIN สนามเด็กเล่นทางจิตวิญญาณที่บอกเราว่า โลกคือปาฏิหาริย์และชีวิตคือความศักดิ์สิทธิ์
How to enjoy life
20 February 2020

SACRED MOUNTAIN สนามเด็กเล่นทางจิตวิญญาณที่บอกเราว่า โลกคือปาฏิหาริย์และชีวิตคือความศักดิ์สิทธิ์

เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • ‘การค้นพบและเข้าใจตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง’ คือ หัวใจของงาน Sacred Mountain Festival งานที่จะพาทุกคนไปดำดิ่ง เชื่อมโยง และทำความเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง
  • มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเปราะบางในใจ แต่พวกเราไม่เคยมีพื้นที่ๆ ไว้พูดคุย สื่อสาร หรืออนุญาตให้เปิดเผยเรื่องเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย ไว้วางใจได้ พวกเราส่วนใหญ่จึงเลือกกดทับและกลบเกลื่อนความเป็นตัวเองที่แท้จริงเอาไว้แล้วสร้างตัวตนที่สังคมต้องการขึ้นมาแทน
  • พื้นที่ของ Sacred Mountain เชื้อเชิญให้เราเดินกลับเข้าไปด้านใน สืบค้น มองดู ยอมรับ และอนุญาตให้เรา “เห็นตัวเอง” ที่เราเก็บซ่อนไว้ แล้วเผชิญหน้าตัวเองด้วยความรักและปราศจากการตัดสินใดๆ เพื่อให้เราได้ยอมรับและรักตัวเองได้ “อย่างที่เราเป็นทั้งหมด” ได้จริงๆ

“ความเปิดกว้างช่วยให้จิตใจเรา มีพื้นที่ที่มองเห็นความเป็นไปได้ต่างๆ
และพบกับความอิสระจากการโต้ตอบที่เราทำประจำจนเป็นนิสัย”
วัชรจารย์ พักชก รินโปเช

                                                                                     

Sacred Mountain Festival เป็นพื้นที่สื่อสารเรื่องความเข้าใจ “ภาวะด้านใน” เทศกาลแรกๆ ของประเทศไทย จัดครั้งแรกเมื่อปี 2562 และได้รับการตอบรับดีเกินคาดจนเกิดการรวมตัวกันอีกเป็นครั้งที่สอง บางคนปรามาสว่าเป็นเพียงเทศกาลที่คนบ้ามารวมตัวกัน บ้างก็ว่าเป็นเทศกาลที่นำพาไปสู่การค้นพบและเข้าใจตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง น่าสนใจเหลือเกินว่าอะไร คือ นิยามของคำว่า “จิตวิญญาณ” ที่แท้จริง

โลดแล่นไปในแดนศักดิ์สิทธิ์

ฉันเองไม่เคยเข้าร่วม Sacred Mountain มาก่อน แถมปีนี้ก็มาไม่ทันวันเปิดงานเสียด้วย นึกทึกทักไปเองว่าเทศกาลนี้คงเป็นคล้ายตลาดนัดวิชาทางจิตวิญญาณให้ผู้คนร่วมเรียนรู้ แต่เมื่อได้จมจ่อมและกลืนกลายไปกับทุกสิ่ง ฉันพบว่า Sacred Mountain เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นประตูการเรียนรู้ให้เราดำดิ่ง เชื่อมโยง ทำความเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง โดยมีทุกสิ่งเป็น “ครู” ของเราได้ทั้งหมด ขณะเดียวกันก็นำพาตัวเราออกไปเชื่อมโยงกับผู้คน และโลกธรรมชาติภายนอก จนทั้งหมดนั้นเกิดการเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน

วิจักขณ์ พานิช หนึ่งในสามแกนนำผู้ริเริ่มสร้างสรรค์งานร่วมกับ กฤตยา ศรีสรรพกิจ และชนินทร์ เจียรทัศนประกิต เล่าให้ฟังว่า “ปีแรกคอนเซ็ปต์ของการจัดงานคือ “Sharing heart, Sharing vision” เป็นความตั้งใจที่อยากนำคนทำงานด้านสร้างสรรค์หล่อเลี้ยงทางจิตวิญญาณมารวมตัวกัน ซึ่งไม่ใช่แค่การรวมกระบวนการเรียนรู้แต่ห่อหุ้มด้วยมิติของ unknown และ unseen อยู่ด้วย ทุกคนที่ทำงานด้านนี้ฝันถึงสังคมที่มีความสุข มนุษย์มีความรักแก่กัน มีสันติภาพ มนุษยชาติได้เห็นคุณค่าในตัวเอง ปีนี้เราทำงานต่อในแนวคิด “Spiritual playground for living heart &soul” มีพื้นที่ให้คนได้ปลดปล่อยและเชื่อมโยงกันมากขึ้น

“เรามีพื้นที่ให้คน co-create กับพลังงานที่มองไม่เห็น มีลานเขาวงกต สถูปหิน ศาลพญานาค และทำพิธีเปิดให้เจ้าหลวงคำแดงเป็นธรรมบาลของงาน เชื้อเชิญให้คนปล่อยวาง ลดการปรุงแต่งทางความคิดแล้วเปิดเซนส์ออก การวางความคิดช่วยให้ผัสสะละเอียดขึ้น และต้องรื่นรมย์ด้วยจึงจะเรียนรู้ เราทำพื้นที่ปลอดภัย ทำให้คนเปิดใจและไว้วางใจ ใช้ประสาทสัมผัสของมนุษย์ค้นพบ ‘พลังบางอย่าง’ ที่มีอยู่แล้วในตัวเราเอง ทำให้คนเข้าไปคอนเนคกับตัวเองในระดับลึก มีพื้นที่ที่เชื่อมโยงความหมาย และสุดท้ายทุกคนจะมีเส้นทางการเรียนรู้ในแบบของตัวเอง”

รักตัวเองได้ในแบบที่เป็น

มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเปราะบางในใจ แต่เราไม่เคยมีพื้นที่ (ทั้งกายภาพและจิตใจ) ที่จะพูดคุย สื่อสาร หรืออนุญาตให้เปิดเผยเรื่องเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย ไว้วางใจได้  ส่วนใหญ่จึงเลือกกดทับและกลบเกลื่อนความเป็นตัวเองที่แท้จริงเอาไว้แล้วสร้างตัวตน (ที่สังคมต้องการ) ขึ้นมาแทน

แต่พื้นที่ของ Sacred Mountain เชื้อเชิญให้เราเดินกลับเข้าไปด้านใน สืบค้น มองดู ยอมรับ และอนุญาตให้เรา “เห็นตัวเอง” ที่เราเก็บซ่อนไว้ แล้วเผชิญหน้ากับตัวเองด้วยความรักและปราศจากการตัดสินใดๆ

ผ่านเครื่องมือ (วิชา) สำรวจใจหลายๆ อย่าง อาทิ Inner Child, Voice Dialogue, Deep Democracy & Process Work เพื่อให้เราได้ยอมรับและรักตัวเองได้ “อย่างที่เราเป็นทั้งหมด” ได้จริงๆ

ฉันเองได้เรียนรู้เรื่อง Inner Child ที่ถิง ชู ชวนให้เรากลับไปค้นหาตัวตนบางคนที่เราเก็บซ่อนไว้ไม่ยอมให้เผยตัว ผ่านกิจกรรมที่แสนง่ายดายคือการกลับไปเชื่อมโยงกับตัวเอง สังเกตดูว่ามีสิ่งใดปรากฏในใจ เมื่อพบเด็กน้อยภายในแล้วให้เชื่อมโยงด้วยคำถามที่ว่า เขาชื่ออะไร รู้สึกอะไร มีอะไรที่เราช่วยได้บ้าง จากนั้นลืมตาขึ้น เลือกสีที่ดึงดูดใจ ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดเขียนบนกระดาษ เด็กน้อยภายในนั้นจะค่อยๆ สื่อสารสิ่งที่เขาต้องการออกมา

ฉันออกจะตกใจนิดหน่อยตอนที่ความรู้สึกชั่วขณะนั้นดึงดูดให้ตัวเองหยิบสีไม้สีชมพู (ฉัน-ในสำนึกรู้ที่บอกตัวเองว่า‘แมนมากและแข็งแกร่งเสมอ’) แต่เมื่อปล่อยให้ภาวะไหลลื่นนั้นดำเนินไปฉันได้ค้นพบเด็กน้อยภายในของตัวเองที่ทั้งอ่อนหวานและอ่อนไหวไปพร้อมกัน สีชมพูคือสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของความเบิกบาน สดใส ที่ฉันทำหล่นหายไปจากชีวิต เพราะไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองสนุก หรือทำอะไรเล่นๆได้เลย  ในฐานะพี่คนโตฉันรู้สึกว่าตัวเอง “มีสิ่งที่ต้องทำ” เยอะมาก มีความเหมาะควรมากมายไปหมด เด็กน้อยคนนั้นบอกฉันว่า เธอยังอยากเล่น อยากสนุก อยากหัวเราะมากกว่านี้ ตอนที่เราจับกลุ่มแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ กลุ่มย่อย น้ำตาฉันไหล รู้ชัดว่าชีวิตที่ผ่านมานั้น ตัวเองหัวเราะน้อยมากเพียงใด “สิ่งที่ต้องการที่สุดในชีวิตคือการได้เป็นคนตลก ทำให้คนอื่นหัวเราะได้” ฉันเล่า น้องสาวที่นั่งตรงหน้าจึงเอ่ยว่า “พี่ทำได้แล้วนะ” หลังจากเธอหัวเราะเมื่อฟังบางสิ่งที่ฉันพูดจบลงทั้งหมด

ฉันเองมิอาจบรรยายได้ว่ามันงดงามเพียงใดที่เราได้เดินทางเข้าไปค้นพบตัวเองในอีกแบบหนึ่ง (แบบที่สำนึกรู้เรามักบอกว่า‘ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น/ฉันไม่มีวันเป็นคนแบบนั้น’) ได้เผชิญหน้า มองเห็น ยอมรับ และไม่ตัดสินคนๆนั้น และตระหนักว่าเราต่างมีส่วนเสี้ยวของตัวตนที่เรายังไม่รู้จักอีกมากมายนัก และเมื่อเราได้รู้จักตัวเองมากเท่าไร เราจะยิ่งเข้าใจคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น เราจะตัดสินคนอื่นน้อยลง เพราะรู้ชัดแจ้งแล้วว่าเราต่างเป็นมนุษย์ที่เปราะบางไม่ต่างกัน

เราล้วนเป็นผู้วิเศษ

มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องการเป็นคนที่มีคุณค่าความหมาย ถูกมองเห็น และมีตัวตนในแบบที่ตนเป็น แต่ด้วยมาตรฐานของสังคม ความคาดหวังของครอบครัว คนรอบข้าง ได้กำหนดคุณค่าของความดีงามและความสำเร็จในชีวิตไว้เพียงไม่กี่ประการ

คนไม่น้อยจึงเกลียดชังตัวเอง กดข่มตัวตนแท้ เพียงเพื่อจะเป็นในแบบที่โลกภายนอกต้องการ หากพื้นที่ของ Sacred Mountain ได้เป็นพื้นที่เปิดกว้าง ยอมรับความหลากหลายที่อนุญาตให้ผู้คนได้เป็นตัวเองอย่างจริงแท้ เรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเอง ค้นพบพลังภายในและตระหนักรู้ว่า “เราทุกคนต่างเป็นผู้วิเศษในแบบของตน” ทั้งสิ้น

หากเราให้นิยามความหมาย (ใหม่) ว่า อาหารอร่อยล้ำ กาแฟรสละมุน เสียงดนตรีพลิ้วไหว เสียงเพลงอ่อนโยน กอดอันทรงพลัง การรับฟังที่เหมือนนั่งอยู่ในใจ ฯลฯ คืออาวุธลับของผู้วิเศษ เราทุกคนล้วนต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญในมนตราแบบของตัวเองอยู่นานแล้ว ที่นี่จึงเป็นพื้นที่ของการโอบรับ “ความเป็นทุกสิ่ง” ของทุกคนโดยไม่แบ่งแยกตัดสิน  ไม่มีการตีตราว่าอะไรดีไม่ดี ถูกหรือผิด ด้วยบรรยากาศเปิดกว้างทางใจ ปลอดภัย ไว้วางใจ รับฟังกัน โอบอุ้ม เอื้ออาทร กอปรกับการได้อยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง มองเห็นท้องฟ้า ได้กลิ่นต้นไม้ ยินเสียงสายน้ำ ฟังเสียงสายลม และชื่นชมดอยหลวงเชียงดาว-ขุนเขายิ่งใหญ่ทรงพลังตรงหน้า เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้เชื่อมโยงพลังบริสุทธิ์กับธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ทำให้ Sacred Mountain กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจผู้คนไปโดยปริยาย

เนื้อหาการเรียนรู้หลายเรื่องจากเหล่า Magician (วิทยากร) เป็นเครื่องมือให้เราได้กลับไปสืบค้นความวิเศษในตัวเองและมองเห็นว่าเรามีพลังอีกมากมายเพียงใดที่ยังไม่เคยถูกค้นพบและนำมาใช้ในชีวิต คนสมัยใหม่ถูกสอนให้เรียนรู้ในระดับสมอง ตรรกะและเหตุผล แต่เนื้อหาเรียนรู้หลายเรื่องชวนเราเปิดโลกใหม่ เป็นการเรียนรู้ผ่านร่างกายและหัวใจ เติมเต็มให้เราเป็นมนุษย์ที่รู้สึกรู้สามากกว่าเดิม

เพื่อนๆ ที่เรียนรู้บทเรียนผ่านร่างกาย เช่น Body in Perspective จาก ศศิพินทุ์ ศิริวาณิชย์ กลุ่ม B-floor, Contact Improvisation จาก นิธิพัฒน์ พลชัย มาแบ่งปันการค้นพบที่น่าสนใจว่า ร่างกายมีความทรงจำและมีการสื่อสารในแบบตัวเอง แต่เราไม่เคยถูกฝึกให้อ่านสัญญาณที่ร่างกายพยายามสื่อสารกับเรา เราจึงไม่ค่อยรู้จักตัวเอง ไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง เมื่อได้เรียนรู้เครื่องมือที่กลับไปเข้าใจตัวเองจึงได้ค้นพบสัญญาณความหมายนี้อย่างลึกซึ้ง ส่วน Emphatic Body Listening โดย ดุจดาว วัฒนปกรณ์ ทำให้หลายคนค้นพบว่าการฟังนั้นไม่ใช่เป็นเพียงการรับฟังถ้อยคำ หากเป็นการฟังทั้งเนื้อทั้งตัว ฟังด้วยหัวใจ เป็นการฟังที่ข้ามพ้นไปจากภาษา (บางคู่เป็นคนไทยกับคนต่างชาติที่ฟังความหมายกันไม่เข้าใจ) ข้ามพ้นการมองเห็น (บางคู่เป็นคนตาดีกับตามองไม่เห็น) เป็นการสื่อสารแบบใช้พลังของใจสู่ใจอย่างแท้จริง

กิจกรรม Contact Improvisation 

คลาสเดินป่า ของ นิคม พุทธา นำพาผู้คนออกไปเชื่อมโยงกับธรรมชาติโดยไม่ใช้ความคิดใดๆ คลาสเวทมนตร์ของเสียงดนตรีโดยกอล์ฟ ทีโบน, อิเคบานะ โดย ดิเรก ชัยชนะ, สื่อสารจิตวิญญาณผ่านตัวอักษร โดย นิ้วกลม, Haiku Writing โดย อนุสรณ์ ติปยานนท์, ระบายสีจักรวาล โดย อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธุ์ขจี และอ่านสัญญาณชีวิต โดย ชนินทร์ นำพาให้ผู้คนเปิดพื้นที่ของความรู้สึกด้านใน อนุญาตให้ตัวเองได้รู้สึก มองเห็นรับรู้ในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก แล้วสื่อสารออกมาผ่านการจัดดอกไม้ ภาพวาด ตัวอักษร การเขียนอันลื่นไหลต่อเนื่องปราศจากการคิดและตัดสินถูกผิดใดๆ หลายคนตื่นเต้นเมื่อค้นพบว่าตัวเองมีความเป็นศิลปินและเป็นกวีอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งจากการเรียนรู้เหล่านี้

คลาสที่ฉันประทับใจมากที่สุดคลาสหนึ่งคือ Healing Art and Blind Experience เพราะได้จำลองช่วงเวลาการเป็นคนตามองไม่เห็น น้องอมีนา (ที่ตามองไม่เห็น) ชวนเราเดินเล่นในลำธารที่ก้อนหินเรียงรายสูงต่ำ น้องเดินลำพังอย่างคล่องแคล่วมั่นใจ หากเมื่อฉันได้ลองหลับตาลงบ้างจึงได้ค้นพบว่าตัวเองสูญเสียการรับรู้ทิศทางหมดสิ้น ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่ว ความไว้วางใจต่อตัวเองและบัดดี้เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ภารกิจลุล่วง เมื่อเราสัมผัสรู้ความงามของธรรมชาติผ่านผัสสะอื่นๆ มันมีความหมายไปอีกแบบที่ต่างจากการมองเห็น มันตรงเข้าสู่หัวใจ เพราะเราประทับมันด้วยความรู้สึก (ไม่ใช่ความคิดแบบที่ชีวิตเราคุ้นชิน) บัดดี้ของเราจะบรรยายภาพความงามของธรรมชาติตรงหน้า ภูเขาต้นไม้ สายน้ำ เราประทับจำความรู้สึกเหล่านั้นแล้วนำกลับไปวาดภาพของตัวเอง เราเลือกสีที่ใช้วาดด้วยการใช้จมูกดมกลิ่น แล้วสร้างความหมายว่ากลิ่นแบบนั้นเชื่อมโยงกับสีสันหรือรูปที่เราต้องการสื่อสารอย่างไร แล้วใช้มือแตะสีวาดภาพไปบนกระดาษ

ฉันทึ่งมากที่ครูทราย นักศิลปะบำบัดกลุ่ม The Nose Thailand ได้ออกแบบกลิ่นของสีได้ใกล้เคียงกับความหมายที่แท้จริง อย่างเช่น สีน้ำเงินมีกลิ่นคล้ายแร่ธาตุ เหมือนยาสีฟัน ซึ่งฉันเองใช้วาดภาพดอยเชียงดาวซึ่งเป็นภูเขาหินปูน สีเขียวมีกลิ่นเหมือนดินและหญ้า ซึ่งฉันใช้วาดต้นไม้ และสีขาวและม่วงมีกลิ่นความอ่อนหวานเหมือนดอกไม้ การทำงานศิลปะโดยไม่ต้องใช้ตามอง ทำให้เราได้เปิดศักยภาพของผัสสะอื่นในร่างกาย ฉันพบว่าตัวเองมีประสาทรับรู้กลิ่นที่ดีมากจนน่าทึ่ง ขณะบางคนก็รู้สึกว่าแยกกลิ่นไม่ได้เลย แต่กระนั้นทุกคนก็สร้างสรรค์งานศิลปะออกมาได้อย่างงดงาม เป็นอีกหนึ่งการค้นพบสำคัญว่า

แท้จริงแล้วในชีวิตนี้ ไม่มีข้อจำกัดใดที่มีอยู่จริง เมื่อเราเชื่อว่าหนทางมีมากกว่าหนึ่ง ความเป็นไปได้จึงเกิดขึ้นได้เสมอในทุกรูปแบบ เหนือไปกว่านั้น การได้จำลองชีวิตผู้ที่ตามองไม่เห็น ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งถึงหัวใจ Empathy หรือ การร่วมรู้สึกรู้สาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราได้เรียนรู้เพื่อที่จะรักตัวเองและรักคนอื่นไปพร้อมๆ กัน

เวทมนตร์บังเกิดเมื่อเราเชื่อมโยงกับธรรมชาติ

คำว่าเวทมนตร์หายไปจากสำนึกรู้ของโลกสมัยใหม่เพราะเราอธิบายทุกสิ่งด้วยวิทยาศาสตร์ เราเชื่อและยอมรับในสิ่งที่พิสูจน์ได้จริงเท่านั้น หากแท้จริงแล้ว สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้มิใช่ไม่มีอยู่จริง วิจักขณ์ พานิช แบ่งปันในคลาสพลังแห่งมนตราถึงพุทธทิเบตว่า ทุกข์ของคนสมัยใหม่เกิดจากการตัดขาด การที่มนุษย์ไม่สามารถเชื่อมโยงกับผู้คนหรือธรรมชาติรอบตัว เพราะเมื่อทุกสิ่งถูกอธิบายด้วยเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ทั้งหมด เสน่ห์ของการใช้ชีวิตจึงหายไป การร่ายมนต์หรือสวดภาวนาจึงเครื่องมือที่ช่วยนำเรากลับมาเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ เพื่อเข้าสู่ภาวะที่เป็นหนึ่งเดียวโดยไม่แบ่งแยก และเข้าถึงความเชื่อมโยงนั้นได้ อาจทำให้เกิด Magical Moment ในชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์

Magic Moment มักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นราวเป็นเรื่องบังเอิญ อธิบายไม่ได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากการวางแผน การคิด แต่เกิดขึ้นในสภาวะจิตที่ว่าง (จากความคิด) เปิดกว้าง ผ่อนคลาย ที่ทำให้ภาวะภายนอกกับภายในได้เชื่อมโยงถึงกัน ความว่างมีความหมายโดยนัยสื่อถึงการยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ว่าเป็นอย่างไร การปลอดปล่อย อนุญาตให้ความเป็นไปได้มีมากกว่าหนึ่งทางเลือก

ตลอดสามวันใน Sacred Mountain (แม้อยู่ไม่ครบถ้วนทั้งหมด) ฉันรับรู้ถึงการเปิดออก รู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง ได้รับการสื่อสารจากบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือไปจากตนเอง เป็นคำตอบของหลายคำถามที่วนเวียนคิดมานานแต่ก็ไม่เคยพบทางออก คำตอบนั้นมาจากต้นมะเดื่อริมศาลพญานาค มาจากการเดินในลานเขาวงกต การเล่น Transformation Game การเรียนรู้ผ่านหลายบทเรียนในงาน การสนทนากับผู้คนตรงหน้า และอีกมากมาย คำตอบจึงเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกคราว เมื่อเราเปิดใจและวางใจว่า ความเป็นไปได้มีมากกว่าหนึ่งเสมอ เป็นสิ่งที่ผู้จัดต้องการให้ผู้ร่วมงานได้มีประสบการณ์ “Co-Creation with Unknown” ในแบบของตัวเอง

“การมีพื้นที่ให้เชื่อมโยงกับบางสิ่งบางอย่างที่เราไม่แน่ใจว่ามีจริงหรือเปล่าหรือไม่รู้ว่าจะนำไปสู่อะไร  ก่อให้เกิดความไว้วางใจ ในระหว่างที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มักมีเมจิคที่มาเซอร์ไพรส์เราอยู่เสมอ ตอนเด็กๆ เล่นกัน เราสมมติบางสิ่งเป็นบางอย่าง เช่น ต้นไม้วิเศษ เราสามารถเปลี่ยนแปลงพื้นที่ให้มีความหมายใหม่แล้วสนุกไปกับมัน เด็กๆ เข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาเล่นกันใน ‘จินตนาการร่วม’ มันก็กลายเป็นความสนุก ความทรงจำ ที่เขาได้แชร์ความรื่นรมย์ร่วมกัน…นี่เป็นเรื่องเดียวกันกับจิตวิญญาณ เราอยู่ในมณฑลที่สร้างความหมายบางอย่างและทำให้คนเกิดการเรียนรู้ภายใน ความศักดิ์สิทธิ์ในมณฑลนี้มีขอบเขตกว้างขวางมาก เช่น จักรวาล สันติภาพ ความรัก มนุษยชาติ เมื่อแต่ละคนได้มาอยู่ในพื้นที่เหล่านี้จะเกิดกระบวนการการคลี่คลายเองของแต่ละคน และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในพื้นที่แบบนี้” นี่คือเบื้องหลังความปรารถนาของการสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นี้

ในพิธีปิด เรานำทุกสิ่งกลับคืนจากแหล่งที่มา ยืนยันว่าดินน้ำลมไฟนั้นอยู่ในตัวเราและอยู่นอกตัวเรา ในจักรวาลนี้จึงไม่คำว่า “ข้างนอก” หรือ “ข้างใน” เพราะเราต่างกอปรขึ้นจากธาตุทั้งสี่เฉกเช่นกัน ถ้าใครสักคนกล่าวว่า Sacred Mountain เป็นแค่เทศกาลที่คนบ้ามารวมตัวกัน ฉันคิดว่าหากเราให้นิยามการที่ผู้คนได้เป็นตัวเองบนฐานของการเคารพตัวเอง เคารพผู้อื่น เปิดกว้าง รับฟัง ไว้วางใจ ปลอดภัย และไม่ตัดสินกัน เป็นความหมายของ “ความบ้า” ฉันคงขอยอมรับการเป็นคนบ้านี้ไว้ด้วยความเต็มใจยิ่ง

หมายเหตุ Sacred Mountain Festival จัดขึ้นที่ค่ายเยาวชนเชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Facebook : Sacred Mountain Festival

Tags:

SACRED MOUNTAINเชียงใหม่ชีวิตการทำงานspiritual

Author & Photographer:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • BookHow to enjoy life
    ชีวิตช่วงนี้อ่านอะไรดี? ให้ Fathom Bookspace เลือกหนังสือให้คุณ

    เรื่อง ขนิษฐา ธรรมปัญญาภัทรอนงค์ สิรีพิพัฒน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to enjoy life
    “เปลี่ยนโลกให้เป็นสนามเด็กเล่น” กลับมาเติมความสนุกที่หายไปในชีวิต กับ โจน จันได

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • How to enjoy life
    ผลัดใบจากความกลัว ผลัดใจเก่าทิ้งไป เพื่อชีวิตใหม่ที่งดงาม

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Life Long Learning
    คุณจะนอนเล่นมือถือบนโซฟา หรือลุกขึ้นมาแล้ววิ่งไปหาเป้าหมายของตัวเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรียนและการเรียนแบบร่วมมือ ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียน
Learning Theory
20 February 2020

ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรียนและการเรียนแบบร่วมมือ ส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียน

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • ความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรียนและการเรียนแบบร่วมมือกัน เป็นปัจจัยทางสังคมที่ทำให้คนๆ หนึ่งประสบความสำเร็จในการเรียน บันทึกที่ 2 ของชุดความคิดว่าด้วยความสัมพันธ์กับศิษย์ (relational mindset) จะพูดถึงวิธีการจัดการเรียนในห้องเรียนที่แบ่งเวลาออกเป็น 2 ส่วน คือ เวลาสำหรับปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน และเวลาสำหรับอยู่กับตนเองครึ่งหนึ่ง ซึ่งสามารถทำได้โดยให้นักเรียนทำงานร่วมกัน พร้อมกับมีส่วนร่วมในชั้นเรียน ผ่านวิธีจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณลักษณะช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน (interdependency)
  • มีผลงานวิจัยยืนยันคุณค่าของการมีเพื่อนคอยช่วยเหลือกันในการเรียน นักเรียนที่มีผลการเรียนดี เป็นคนที่มีและให้คุณค่ากับการมีเครือข่ายของเพื่อนคอยช่วยเหลือกัน
  • พร้อมกับไปอ่านประสบการณ์ของครูที่ใช้วิธีการเรียนการสอนเพื่อนช่วยเพื่อน เพราะไม่มีห้องเรียนใดที่มีครูทำหน้าที่เพียงคนเดียวได้ ห้องเรียนควรเป็นห้องเรียนที่มีผู้สอน ผู้สังเกต ผู้ช่วยเหลือ และผู้เรียนรู้ ทุกคนในห้องเรียนมีสิทธิ์ที่จะเป็นได้ในทุกๆ ตำแหน่ง

บทความนี้มาจากหนังสือสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน ซึ่งได้รับความกรุณาจากผู้เขียนทั้งสองท่านให้นำมาเผยแพร่ ซึ่งเป็นบทความที่ตีความจากหนังสือ ‘Poor Students, Rich Teaching: Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty’ (Revised Edition, 2019) เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) โดยผู้เขียนตีความให้เหมาะกับบริบทประเทศไทย พร้อมทั้งเรื่องเล่าจากห้องเรียนในประเทศไทยที่นำสาระของบทความนี้ไปใช้

บันทึกนี้เป็นบันทึกที่สองใน 3 บันทึก (อ่านบันทึกตอนที่ 1 ได้ที่นี่) ภายใต้ชุดความคิดว่าด้วยความสัมพันธ์กับศิษย์ (relational mindset) ตีความจาก Chapter 2 Connect Everyone for Success เขียนโดย อีริค เจนเซน (Eric Jensen) ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียนและเคยเป็นครูมาก่อน เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู

ความเป็นจริงที่สำคัญยิ่งคือ การมีกัลยาณมิตรทำให้คนมีความสุขยิ่งกว่ามีเงิน

กฎห้าสิบ-ห้าสิบ

ปัจจัยทางสังคม 2 ประการ มีอิทธิพลสูงยิ่งต่อความสำเร็จในการเรียน ได้แก่ (1) ความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรียน (2) การเรียนแบบร่วมมือกัน ดังนั้น จึงมีผู้เสนอว่าเพื่อความสำเร็จในการเรียน ควรแบ่งเวลาในชั้นเรียนออกเป็น 2 ส่วนเท่าๆ กัน เป็นเวลาสำหรับสังคมหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนครึ่งหนึ่ง และอยู่กับตนเองครึ่งหนึ่ง นี่คือกฎห้าสิบ-ห้าสิบ

ในบางวันการแบ่งเวลาอาจเป็น 90-10 หรือ 80-20 แต่ในภาพรวมของแต่ละสัปดาห์ควรเป็น 50-50

มีผลงานวิจัยยืนยันคุณค่าของการมีเพื่อนคอยช่วยเหลือกันในการเรียน นักเรียนที่มีผลการเรียนดี เป็นคนที่มีและให้คุณค่ากับการมีเครือข่ายของเพื่อนคอยช่วยเหลือกัน ในขณะที่นักเรียนที่เรียนอ่อนมักไม่มีเครือข่ายเพื่อน ผลงานวิจัยวัด effect size เทียบระหว่างผลการเรียนของนักเรียนที่ถนัดเรียนแบบร่วมมือกับเพื่อนกับนักเรียนที่เรียนคนเดียว เท่ากับ 0.59 (ตัวเลขที่มีนํ้าหนักน่าเชื่อถือคือ 0.40 ขึ้นไป)

ตัวอย่างกิจกรรมในช่วงเรียนร่วมกับเพื่อนกับเรียนคนเดียว แสดงอยู่ในตารางข้างล่าง

เวลาเรียนร่วมกับเพื่อนเวลาเรียนคนเดียว
กลุ่มหรือทีมร่วมมือเวลาเขียนหรือทำ mind map คนเดียว
คู่หูเรียนรู้ ผลัดกัน quizฝึกทดสอบตนเอง
หุ้นส่วนชั่วคราว ช่วยกันสรุปกำหนดเป้าหมาย และทดสอบตนเอง
สถานีเรียนรู้ เพื่อเก็บข้อมูลจากเพื่อนๆอ่าน สะท้อนคิด และเขียน
โครงงานกลุ่ม เพื่อระดมความคิดและอภิปรายนั่งทำงานเพื่อแก้ปัญหา

ยุทธศาสตร์ความร่วมมือ

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มีอิทธิพลทั้งจากพันธุกรรมและสภาพสังคมแวดล้อม ปฏิสัมพันธ์พัฒนาขึ้นตามอายุ ตั้งแต่แรกเกิด ดังนี้

  • อายุ 0-3 ปี ความสัมพันธ์อยู่ที่คนรอบตัว (แม่ พ่อ พี่เลี้ยง)
  • อายุ 4-9 ขวบ ตอนอายุ 4 ขวบ ความสนใจของเด็กอยู่ที่พ่อแม่ ไม่สนใจเพื่อน แต่เมื่อโตขึ้นพันธุกรรมกำหนดให้มีความต้องการเพื่อน ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของแวดวงเพื่อนๆ
  • อายุ 10-17 ปี ตอนเรียนชั้น ม. ต้น เด็กไม่เพียงต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม แต่ยังต้องการแสดงเอกลักษณ์หรือตัวตนของตนด้วย ถึงตอนนี้นักเรียนควรได้เรียนรู้ความสำคัญของการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน (interdependency) จากเวลาเรียนแบบร่วมมือกันกับเพื่อน

ครูต้องรู้วิธีให้ทำกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนสร้างทักษะการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกันขึ้นในตน รวมทั้งเห็นคุณค่าของการพึ่งพาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผลงานวิจัยบอกว่า effect size ของการเรียนแบบทีม 4 คน มีค่าเท่ากับ 0.69

วิธีจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณลักษณะช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน (interdependency)

มีดังต่อไปนี้

กลุ่มและทีมร่วมงาน

การจัดกลุ่มและทีมร่วมกันทำงาน ที่จะเกิดผลพัฒนาสปิริตของการทำงานเป็นทีม เกิดการเสริมแรงซึ่งกันและกัน (synergy) และเกิดมิตรภาพ ต้องมีหลักการและวิธีการ ดังต่อไปนี้

  • มีการตั้งชื่อทีม คำขวัญประจำทีม โลโก้ กองเชียร์ และการเฉลิมฉลองความสำเร็จ เพื่อสร้างสถานะทางสังคม และความเป็นทีม
  • มอบหมายให้สมาชิกแต่ละคนของทีมมีบทบาทเฉพาะและมีความหมาย ซึ่งจะช่วยให้เกิดสภาพช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน ตัวอย่างของบทบาท เช่น ผู้สรุป ผู้นำ ผู้ฝึก ผู้นำการเคลื่อนไหวร่างกาย ผู้เติมพลัง ผู้เล่าเรื่องขบขัน ผู้เดินสาร
  • กำหนดกติกาสำหรับพฤติกรรมในกลุ่ม เพื่อให้นักเรียนมีพฤติกรรมกลุ่มที่เหมาะสม มีความรับผิดชอบ โดยกำหนดกติกาสำคัญ 3 ประการ ที่ทุกทีมต้องปฏิบัติ เช่น (1) ให้ความร่วมมือต่อชั้นเรียน (2) ตรงต่อเวลา (3) ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
  • ให้ทีมทำงานร่วมกันทุกวัน มีกำหนดการให้ทุกคนมีส่วนร่วมในทุกวัน ให้มีส่วนร่วมเท่าๆ กัน หมุนเวียนหน้าที่กัน

เพื่อให้กลุ่มและทีมร่วมงานมีประสิทธิผลสูง ครูควรโค้ชผู้นำทีม แล้วให้ผู้นำทีมไปโค้ชเพื่อนอีกต่อหนึ่ง ผลงานวิจัยบอกว่าการที่นักเรียนไปสอนเพื่อนมี effect size 0.74

เกลอร่วมเรียน

ในตอนต้นปีการศึกษาหรือต้นเทอม จับคู่ให้นักเรียนเป็นเกลอร่วมเรียน ช่วยเหลือกัน มีการแลกเบอร์โทรศัพท์และอีเมลกัน โดยครูบอกว่าทั้งคู่ต้องช่วยเหลือกัน ให้ทั้งตนเองและเพื่อนประสบความสำเร็จในการเรียนด้วยกัน

วิธีการจับคู่ ต้องให้ได้คู่ที่เป็นคน “คอเดียวกัน” มีความสนใจหรือเป้าหมายชีวิตคล้ายๆ กัน โดยครูให้เขียนเรียงความสั้นๆ บอกความสนใจ ความคลั่งใคล้ แล้วครูนำมาแยกกลุ่ม เพื่อจัดให้นักเรียนได้เกลอที่มีจริตคล้ายกัน ไปกันได้

ในกรณีที่คู่เกลอมีปัญหาด้านความสัมพันธ์ เขาไม่แนะนำให้เปลี่ยนคู่ แต่ให้ใช้วิธีการเยียวยา หรือแก้ความขัดแย้ง 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้

1. “ฉันรู้สึก” บอกความรู้สึกของแต่ละฝ่าย เช่น “ฉันรู้สึกท้อและขาดเพื่อน เมื่อเธอไม่พูดในช่วงเวลาสำหรับเกลอร่วมเรียนปรึกษากัน”

2. “เมื่อเกิดสิ่งนั้นขึ้น” บอกเหตุการณ์ที่สะท้อนปัญหา เช่น “เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญ เราไม่ได้แก้ปัญหาหรือเรียนสิ่งที่ต้องเรียน เมื่อวานนี้ฉันต้องการความช่วยเหลือในชั้นเรียน”

3. “ฉันต้องการ” บอกความต้องการ เช่น “ฉันอยากรู้ว่าเราสามารถทำงานร่วมกันได้ ใช่ไหม”

4. “ฟัง” ถึงตอนนี้ ฝ่ายพูดก่อน (ตาม 3 ข้อข้างบน) ฟังอีกฝ่ายหนึ่งพูดบ้าง ตาม 3 ข้อข้างบน

5. “ทบทวนและแก้ไข” ร่วมกันเสนอแนวทางทำงานร่วมกัน ต่างจากเดิม เช่น “เพื่อให้เราทำงานร่วมกันได้ เราเปลี่ยนวิธีทำงานเรื่อง … ให้ต่างไปจากเดิม ในแต่ละครั้งที่ทำงานร่วมกัน แล้วดูว่าได้ผลอย่างไร”

เขาแนะนำให้เกลอร่วมเรียนนั่งติดกันในห้องเรียนแชร์สาระเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทำหน้าที่เชียร์หรือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และคอยเอาใจใส่ความก้าวหน้าในการเรียนของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยอาจนำไปหารือกับครูหรือพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย หลังจากมีผลการทดสอบออกมาควรให้เวลาเกลอร่วมเรียนได้ปรึกษากัน

นักเรียนพี่เลี้ยง

เป็นการให้คำแนะแนว กำลังใจ และภาวะผู้นำแก่นักเรียน โดยนักเรียนชั้นโตกว่า หรือโดยนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ได้ประโยชน์ทั้งตัว mentor (ผู้ให้คำปรึกษา) และ mentee (ผู้รับคำปรึกษา)

การให้คำปรึกษามักเน้นเรื่องวิธีการเรียน เรื่องทางสังคมกับเพื่อนๆ ในโรงเรียน เรื่องปฏิสัมพันธ์ในครอบครัว และในชุมชน อาจรวมไปถึงติวเตอร์ในเรื่องวิชาความรู้

มีงานวิจัยบอกว่าการมีกิจกรรมพี่เลี้ยงโดยนักเรียนด้วยกันเอง ช่วยให้พัฒนาการของนักเรียนดีขึ้น ทั้งด้านการเห็นความสำคัญของตนเอง (self-esteem) ความตั้งใจเรียน ความประพฤติ และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (กับพ่อแม่ พี่เลี้ยง และเพื่อนๆ)

หุ้นส่วนชั่วคราว

อาจเรียกว่าหุ้นส่วน 60 วินาที ทำโดยบอกให้นักเรียนยืนขึ้น บอกให้เริ่มเดินเมื่อเพลงดังขึ้น เดินไปแตะเก้าอี้อย่างน้อย 4 ตัว เมื่อเพลงหยุดก็หยุดเดินและชี้ไปที่คนที่อยู่ใกล้ที่สุดว่านี่คือหุ้นส่วนชั่วคราวและเริ่มคุยกันเรื่องที่กำลังเรียน กำลังทำกิจกรรมกลุ่ม หรือกำลังอภิปรายกัน คู่ไหนคุยกันเสร็จก็ให้ยกมือขึ้น เมื่อเสร็จทั้งชั้นให้กล่าวขอบคุณหุ้นส่วนโดยเรียกชื่อแล้วจึงกลับไปนั่งที่เดิม

เป็นกิจกรรมที่ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ ลดความเครียดหรือความขัดแย้งในกลุ่มหรือทีมร่วมงาน

เรื่องเล่าจากห้องเรียน

คุณครูอรนภา พุทธวรรณ ครูโรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เขียนเล่าถึงประสบการณ์การนำเอาวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนไปใช้ในชั้นเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ระดับชั้น ป.1 เอาไว้ว่า

“เพื่อนช่วยเพื่อน” ไม่มีครูท่านใดไม่รู้จักเทคนิคนี้ การให้นักเรียนมีส่วนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บ่อยครั้งที่ทำให้ชิ้นงานหรือภาระงานของนักเรียนสำเร็จลุล่วงได้ดีกว่าครูอธิบายให้ฟัง อาจเพราะด้วยคำที่ครูใช้เข้าใจยากไป หรือครูไม่เข้าใจว่านักเรียนไม่เข้าใจตรงไหน และสำคัญที่สุดนักเรียนไม่กล้าถามครู

การสอนแบบนี้ถูกนำมาใช้บ่อยครั้งในรายวิชาของฉัน รายวิชาภาษาอังกฤษ การที่ให้เพื่อนช่วยเพื่อนไม่ได้เป็นการให้เพื่อนลอกงานกันมาส่ง แต่เป็นการให้เพื่อนที่เข้าใจภาระงานแบบชัดแจ้งได้มีโอกาสช่วยเพื่อนในการอธิบายแนวทางการทำงานแบบง่ายๆ แบบภาษาเดียวกันของนักเรียน

ตอนแรกที่เห็นนักเรียนคนหนึ่งคอยแต่ถามเพื่อนว่าครูให้ทำอะไร ยอมรับรู้สึกไม่ชอบใจอยู่นิดๆ จนสังเกตได้สักระยะ จึงพอจะเข้าใจว่าสิ่งที่นักเรียนคนนั้นถามไม่ได้เกิดจากคำว่าไม่เข้าใจ แต่บางครั้งเกิดจากความไม่แน่ใจว่าตนเองเข้าใจถูกไหม หรือ อาจจะเกิดจากเราเองที่ใช้คำยากไปรึเปล่า เพราะทำไมเวลาเพื่อนอธิบาย เขาถึงเข้าใจและทำภาระงานออกมาได้ดีทีเดียว วันหนึ่งได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกันกับนักเรียนกลุ่มหนึ่งเลยแอบยิงคำถามเชิงเล่นๆ ว่า “สมมุตินะถ้าวันนี้ครูสอนแล้วหนูไม่เข้าใจสิ่งที่ครูสอนเลย พวกหนูกล้ายกมือถามครูไหมลูก” เด็กๆตอบ “ไม่ค่ะครู” “ทำไมหละ” ครูยังคงไม่เข้าใจ เด็กๆ ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดออกมาแบบภาษาเด็กๆ “ไม่กล้าค่ะครู กลัวครูดุ กลัวครูว่าพวกหนูไม่ตั้งใจฟัง” ครูผู้สงสัยเลยพูดออกไป “แล้วแบบนี้พวกหนูจะทำยังไงหละ” เด็กหญิงคนหนึ่งตอบแบบไม่ได้คิด “ไปถามเพื่อนที่เข้าใจค่ะ บางทีก็รวมตัวกันมาถามครูเหมือนทุกทีค่ะ”

จากการพูดคุยในครั้งนั้น ทุกครั้งที่มีการสอนเนื้อหาที่อาจเข้าใจได้ยาก ฉันมักจะยํ้ากับนักเรียนเสมอว่า “ใครไม่เข้าใจลุกมาหาครูได้เลยนะลูก เดี๋ยวครูอธิบายให้ฟังอีกรอบ” เพราะอย่างน้อยมันอาจจะทำให้เด็กๆ ได้เข้าใจว่าหากพวกเขาลุกมาถามมันไม่ใช่เรื่องผิด และฉันจะไม่ดุพวกเขาแน่นอน!! และนอกจากนั้นคำว่า “ใครเข้าใจก็ช่วยอธิบายให้เพื่อนฟังได้นะคะ” ก็ยังเป็นคำที่ติดปากทุกครั้งเช่นกัน

จนเดี๋ยวนี้ห้องเรียนเด็ก ป.1 เวลามีนักเรียนคนใดคนหนึ่งทำภาระงานเสร็จก็มันจะมีคำถามว่า “ครูจะให้ผมไปช่วยสอนเพื่อนคนไหนครับ/ค่ะ” ครูแบบฉันก็จะมีหน้าที่คอยสังเกตว่านักเรียนคนไหนที่ยังต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขา และสะกิดให้เพื่อนที่ทำงานเสร็จแล้วให้ไปหาอยู่เสมอ

ไม่มีห้องเรียนใดที่มีครูทำหน้าที่เพียงคนเดียวได้ ห้องเรียนควรเป็นห้องเรียนที่มีผู้สอน ผู้สังเกต ผู้ช่วยเหลือ และผู้เรียนรู้ ซึ่งแน่นอนทุกคนในห้องเรียนมีสิทธิ์ที่จะเป็นได้ในทุกๆ ตำแหน่ง บางวันฉันอาจจะต้องเป็นผู้เรียนที่เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ จากเด็กๆ ในห้อง เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด เพื่อปรับปรุงการสอนเล็กๆ น้อยๆ ให้มันได้ผลที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

คุณครูลัดดาวัลย์ ไสยวรรณ์ ครูโรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคีอีกท่านหนึ่งที่ได้นำเอาวิธีการเรียนรู้แบบเพื่อนช่วยเพื่อนไปใช้ในชั้นเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้น ป.4 -ป.6 บันทึกประสบการณ์เอาไว้ว่า

จากการที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ต้องคำนวณ นักเรียนจะรู้สึกเบื่อหน่ายได้ง่าย ข้าพเจ้าได้สังเกตการเรียนการสอน พบว่า จากการที่ครูผู้สอนได้ถ่ายทอดความรู้ให้นักเรียนในชั้น หลังจากการสอนครูได้ประเมินผลโดยการมอบหมายให้ทำแบบฝึกหัด ใบกิจกรรม และแบบทดสอบ พบว่านักเรียนบางคนไม่สามารถทำแบบฝึกหัด ทำใบกิจกรรม และทำข้อสอบให้ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวนั้น เกิดจากการที่นักเรียนบางคนเรียนรู้ได้ช้า และมีความสามารถในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน ข้าพเจ้าจึงได้หาวิธีการที่จะจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจ และกระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นมากขึ้น กิจกรรมการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนนั้น เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนวิธีการดังกล่าวได้ โดยให้เพื่อนได้มีบทบาทสำคัญในการเรียน เพื่อนและกลุ่มมีอิทธิพลในการสร้างความสนใจ จูงใจ และการยอมรับของเพื่อนด้วยกัน ซึ่งการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน การทำกิจกรรมกลุ่ม การเรียนเป็นกลุ่มย่อย หรือการเรียนร่วมกัน มีประโยชน์ ดังนี้

  1. นักเรียนได้รับประโยชน์จากเพื่อนและมีโอกาสได้รับประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหลายวิธี
  2. นักเรียนที่เรียนเก่งมีโอกาสขยายความรู้ให้เพื่อนฟังได้ และช่วยเหลือเพื่อนที่เรียนอ่อนได้
  3. ทำให้นักเรียนรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น ปรับตัวเข้ากับสังคมและมีความสุขกับการเรียนมากขึ้น
  4. นักเรียนเข้าใจวัฒนธรรมของผู้อื่นมากยิ่งขึ้น มีความสัมพันธ์กันเป็นอันดี แม้จะมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ได้ช่วยกันแก้ปัญหาซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยพัฒนาทักษะทางชีวิตที่สำคัญ
  5. ทำให้บรรยากาศในการเรียนมีความสนุกสนาน น่าเรียน
  6. ทำให้นักเรียนกล้าพูด กล้าซักถาม และกล้าแสดงความคิดเห็นต่อหน้าเพื่อนในชั้น
  7. นักเรียนรู้จักบทบาทหน้าที่ มีการการแบ่งการทำงานได้อย่างชัดเจน
  8. นักเรียนทุกคนมีโอกาสที่จะนำเสนองาน/ความคิดของตนเอง ได้อย่างไม่เก้อเขิน
  9. ช่วยครูในการสอนและควบคุมชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี

วิธีการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน

  • แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะมีนักเรียนที่เก่ง อ่อน ปานกลาง คละกัน นักเรียนที่มีความรับผิดชอบ มีลักษณะเป็นผู้นำมอบหมายให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม
  • ครูผู้สอนชี้แจงการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน โดยหลังจากครูสอนในแต่ละครั้งก็จะมอบหมายให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด ใบงาน โดยนักเรียนนั่งทำแบบฝึกหัดระดมสมอง ช่วยกันคิด หากหัวข้อใดสมาชิกในกลุ่มไม่เข้าใจ ผู้ที่เข้าใจก็จะช่วยกันอธิบายจนเพื่อนเข้าใจ หากสมาชิกในกลุ่มยังไม่เข้าใจก็จะมาปรึกษาครูผู้สอน
  • ครูสังเกตการทำกิจกรรมของกลุ่ม การช่วยกันแก้ปัญหา ความสนใจ และความตั้งใจของสมาชิกในกลุ่ม
  • สังเกตผลการทำแบบฝึกหัด ใบงานว่าดีขึ้นหรือไม่
  • สังเกตการประเมินตามสภาพจริงในแต่ละครั้ง

ผลจากการจัดการเรียนการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนมาใช้ในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ ปรากฏว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนดทุกคน และกิจกรรมกลุ่มทำให้เกิดบรรยากาศที่ดี ช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นสนใจ ตั้งใจ และมีความรับผิดชอบมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ช่วยสร้างความสามัคคี รู้จักแก้ปัญหาร่วมกัน ทำให้การเรียนคณิตศาสตร์ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

อ่านบทความตอนที่ 3 ได้ที่นี่

อ้างอิง:
หนังสือสอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน จัดพิมพ์โดย มูลนิธิสยามกัมมาจล ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และกองทุนจิตตปัญญาเพื่อครูเพลินพัฒนา

Tags:

ความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้สอนเข้มเพื่อศิษย์ขาดแคลน

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

illustrator

ครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์

Illustrator:

illustrator

เพชรลัดดา แก้วจีน

นักวาดภาพประกอบอิสระ มีความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆในสังคม ชอบสังเกตผู้คน เขียนบันทึก และอ่านหนังสือ ยามว่างมักใช้เวลาไปกับการดริปกาแฟและเล่นกับแมว

Related Posts

  • Learning Theory
    Achievement mindset: เสริมสร้างทักษะ Grit ให้อยู่กับนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    Achievement mindset: ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายสูง เคล็ดลับผลักดันให้นักเรียนประสบความสำเร็จ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    เด็กซึมซับการควบคุมอารมณ์จากครู: ครูใจเย็น รับฟัง มีสัมพันธ์ดี พฤติกรรมเด็กจะดีขึ้นเอง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Learning Theory
    Relational mindset: ‘ครูแสดงความเอาใจใส่ต่อศิษย์’ เทคนิคที่จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ได้ดีขึ้น

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชครูใหม่ วิมลศรี ศุษิลวรณ์ ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Learning Theory
    วิจารณ์ พานิช: ใช้ศิลปะและการเล่นกีฬากระตุ้นการเจริญงอกงามของสมองเด็ก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ บัว คำดี

ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน: หลักสูตรที่ไม่เหมือนใคร อาคารเรียนไม่ต้องใหญ่ แต่ห้องเรียนกว้างมาก
Creative learning
18 February 2020

ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน: หลักสูตรที่ไม่เหมือนใคร อาคารเรียนไม่ต้องใหญ่ แต่ห้องเรียนกว้างมาก

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน จังหวัดน่าน เป็นสถานศึกษาที่เกิดจากชาวบ้านในชุมชน ลุกขึ้นมาจัดการศึกษาให้ลูกหลานของพวกเขาด้วยตัวเอง โดยปักธงไว้ที่การเน้นเรียนวิชาชีวิตและไม่ทิ้งวิชาการ
  • ห้องเรียนของเด็กๆ ชาวห้วยพ่านกว้างมาก ริมน้ำน่าน ริมห้วย กลางสนาม ในป่า ในวัด นาข้าว และไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ พระ ชาวบ้าน หรือต้นไม้ ทุกคนสามารถเป็นครูได้
  • ผลลัพธ์ของการที่ชุมชนลุกขึ้นจัดการศึกษาด้วยตัวเอง นอกจากลูกหลานของพวกเขาไม่ต้องลำบากเดินทางไกลแล้ว ยังทำให้เด็กๆ เกิดจิตสำนึกรักในบ้านเกิดของตัวเองและเห็นคุณค่าของธรรมชาติมากขึ้นด้วย
ภาพ: รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา, โกวิท โพธิสาร

ความซับซ้อนคล้ายกับกำลังเข้าสู่ดินแดนที่ลึกลับ การเดินทางฝ่าเส้นทางถนนลูกรังลัดเลาะไปตามภูเขาจนฝุ่นดินแดงฟุ้งกระจาย เพื่อพบกับหมู่บ้านบนพื้นที่ราบที่มีภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่เป็นแม่น้ำน่านและลำน้ำห้วยพ่านไหลผ่าน มีป่ากว่าหมื่นไร่โอบกอดไว้เต็มพื้นที่ นี่คืออาณาบริเวณของชุมชนบ้านห้วยพ่าน ตำบลเปือ อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน 

ย้อนไปในอดีตช่วง พ.ศ. 2502 – 2514 ในยุคที่มีการต่อสู้ทางความคิดด้านการเมืองระหว่างกองทัพของรัฐบาลและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มีการยึดพื้นที่ในป่าทึบบนภูเขาสูงในอำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน เพื่อเป็นฐานที่ตั้งในการต่อสู้ โดยใช้แนวขุนเขาธรรมชาติเป็นกำบังเพื่อปิดกั้นสร้างความปลอดภัย ทำให้ขณะนั้นการเดินทางและการติดต่อสื่อสารเป็นไปได้อย่างยากลําบาก ต้องใช้เวลาเดินทางเท้าถึง 5-7 วันเพื่อข้ามกลับไปในอำเภอใกล้เคียง และยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร สงครามยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นมากเท่านั้น เป็นเหตุให้ชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ จำนวน 7 ครอบครัว ตัดสินใจอพยพอุ้มลูกจูงหลานหนีจากภัยสงคราม บ้างก็ไปอยู่กับญาติพี่น้องต่างหมู่บ้าน บ้างก็เดินทางตามหาถิ่นฐานใหม่ จนพวกเขามาบรรจบกันที่พื้นที่ชุมชนบ้านห้วยพ่านแห่งนี้ 

เมื่อรัศมีความห่างไกลกลายเป็นตัวแปรที่สำคัญ ในอดีตชาวบ้านในชุมชนห้วยพ่านจึงถูกตัดขาดโลกภายนอกและกลายเป็นดินแดนลึกลับท่ามกลางพงไพรอย่างสมบูรณ์ บ้านของพวกเขาไม่มีถนนลาดยางเข้าหมู่บ้าน สองข้างทางไม่มีเสาไฟฟ้า ไม่มีระบบน้ำประปา ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และไม่มีโรงเรียน…

หลังยุติสงครามบ้านเมืองเข้าสู่การพัฒนา ชาวชุมชนห้วยพ่านเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างคน พวกเขาจึงรวมตัวกันเรียกร้องและก่อตั้งโรงเรียน โดยช่วยกันออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นของตัวเอง ปักธงที่การเน้นเรียนวิชาชีวิตและไม่ทิ้งวิชาการ เพื่อสร้างทางเลือกในการศึกษาสําหรับเด็กในหมู่บ้านโดยเฉพาะ นับเป็นครั้งแรกๆ ในประเทศไทยที่เราเห็นชาวบ้าน (ที่เป็นชาวบ้านจริงๆ) ลุกขึ้นมาเรียกร้องจนเกิดการปฏิรูปการศึกษาให้ลูกหลานของพวกเขาด้วยตัวเอง

ความห่างไกลคืออุปสรรคทางการศึกษา

สมบูรณ์ ใจปิง ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านห้วยพ่านและผู้อำนวยการศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน เล่าให้ฟังว่า ประเด็นหลักๆ ที่ชาวห้วยพ่านต้องสร้างโรงเรียนขึ้นมาเอง เพราะทนเห็นสภาพเด็กๆ ในชุมชนที่ต้องไปเรียนในสถานที่ห่างไกลไม่ไหว

“ในอดีตแม้ว่าเด็กๆ ในหมู่บ้าน จะได้ไปเรียนที่โรงเรียนสงเคราะห์ชาวเขา แต่ก็มีโควตาจำกัดแค่เพียงหมู่บ้านละไม่กี่ที่นั่งเท่านั้น ทำให้มีเด็กอีกหลายคนไม่ได้เรียนหนังสือ หรือต้องไปเรียนไกลข้ามอำเภอ สมัยผมเป็นเด็ก ผมมีโอกาสได้เรียน แต่ต้องเดินทางเท้าจากบ้าน 6 กิโลฯ เช้า-เย็น 12 กิโลฯ” 

สมบูรณ์ ใจปิง

ภาพเด็กๆ ฝ่าแดด ฝ่าฝน เดินเท้าไปโรงเรียนไกล ทำให้ผู้ใหญ่สมกล้าพูดได้เต็มปากว่าสิ่งนี้คือ ปมด้อยทางการศึกษาของพี่น้องชาวห้วยพ่าน

“รุ่นปู่รุ่นพ่อพวกเราสู้รบ จับปืนยิงกัน ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสืออยู่แล้ว พอรุ่นผมก็มีคนที่ยังไม่ได้เรียนหนังสืออีก นี่คือปมด้อยทางการศึกษาของพี่น้องในชุมชน เราต้องหนีอยู่ตลอดเวลา พอได้ขึ้นมาเป็นผู้นำผมบอกกับตัวเองไว้ว่าเราต้องมีโรงเรียน เพราะการจะพัฒนาอะไรสักอย่างมันต้องเริ่มที่คน ถ้าเรามีการศึกษาที่ดีเราก็จะพัฒนาชุมชนได้”

ผู้ใหญ่สมชวนคิดให้เห็นภาพอีกว่า การศึกษาที่ผ่านมา นักเรียนต้องเรียนประถม 6 ปี มัธยม 6 ปี แปลว่าเราส่งลูกหลานของเราออกไปข้างนอกนานถึง 12 ปี พอเขากลับบ้านเกิด วิถีชีวิต ความคิด รากเหง้าทางวัฒนธรรม สำนึกรักในชุมชนก็เลือนรางหายไปเกือบหมด ไม่ต่างจากกอไผ่ไม่มีหน่อเกิดขึ้นมาใหม่ สักวันกอไผ่ต้นนั้นมันก็เริ่มหักและหลุดไป ความล่มสลายก็จะเกิดขึ้นในที่สุด เด็กจำนวนน้อยที่ออกจากบ้านไปแล้วเขาจะหวนกลับคืนชุมชน ถึงเขากลับมาก็อาจจะรู้สึกไม่เหมือนเดิมกับชุมชน ความรักต่อชุมชนก็หายไป

“ยิ่งเวลาผมเห็นพ่อแม่ส่งเด็กน้อยอายุ 7-8 ขวบ ไปเรียนไกลๆ หรือไปอยู่โรงเรียนประจำ มันหดหู่ใจมากนะ แทนที่เด็กน่าจะได้อยู่กับครอบครัวของตัวเอง ยิ่งเด็กเล็กก่อนเข้าวัยประถม เขาควรจะอยู่กับพ่อแม่ให้มากที่สุดไม่ใช่หรือ” ผู้ใหญ่สมตั้งคำถาม

แต่การสร้างโรงเรียนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะที่ผู้ใหญ่สมพยายามขอโรงเรียนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เขาต้องเจอกับนโยบายยุบโรงเรียนขนาดเล็กสวนกลับ แต่ผู้ใหญ่สมไม่ยอมแพ้ พยายามหาลู่ทางเรื่อยๆ จนได้มาเจอกับ ครูหน่อง-วิทิต เติมผลบุญ แห่งมูลนิธิส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชน และเครือข่าย ผู้ใหญ่สมไม่รีรอที่จะแจกแจงความต้องการและปัญหาด้านการศึกษาที่เกิดในชุมชน

หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันทำงาน เพื่อขบคิด ตกผลึก จนชาวบ้านกว่า 45 หลังคาเรือนลงมติร่วมกันว่า ‘ชุมชนเราต้องสร้างศูนย์การเรียนฯ ให้ลูกหลานของเรา’ นำไปสู่การลงขัน เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์มาก่ออิฐ โบกปูน จนเกิดเป็นบ้านเรียนดินขึ้นได้สำเร็จ เมื่อปี 2555 และเปิดการเรียนการสอนครั้งแรกในปี 2556

“ตอนนั้นผมมั่นใจว่าปัญหาด้านการศึกษาของชาวห้วยพ่านจะถูกแก้ไข”

ผู้ใหญ่สมขยายความว่า ตั้งแต่เห็นชาวบ้านมาช่วยกันปั้นบล็อกดินเพื่อสร้างอาคารเรียน มันทำให้รู้ว่า ‘พวกเราเอาจริงแน่’ เพราะชาวบ้านทุกคนเต็มที่ มีการกำหนดเวลาและเช็คชื่อชาวบ้านที่มาลงแรงช่วยก่อสร้าง ถ้าใครไม่เอาด้วย ไม่มาช่วยทำ เวลาไปไร่ไปนาก็มีเรื่องคุยกับคนอื่น ถ้าใครขาดก็มาชดเชย

“จนถึงวันนี้ผมมานั่งมองศูนย์การเรียนที่สร้างเสร็จแล้ว มันก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ พอมาถึงวันนี้มันภูมิใจมาก มันเห็นภาพวันที่เราร่วมมือร่วมแรง ไม่ได้มองเรื่องเงินทองหรือค่าตอบแทน เขาอยากได้โรงเรียนให้ลูกหลานของพวกเขาอยู่ใกล้ๆ แค่นั้นเอง”

หลักสูตรที่ไม่เหมือนใคร อาคารเรียนไม่ต้องใหญ่ แต่ห้องเรียนกว้างมาก

ความมีชีวิตชีวาและอาการตื่นเต้นจนเก็บซ่อนแทบไม่ไหวที่เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้วในวันเปิดเทอมวันแรก ภาพนักเรียนและผู้ปกครองชาวห้วยพ่านต่างเดินทางมาที่ศูนย์การเรียนฯ แห่งนี้ ตั้งแต่ดวงตะวันยังไม่โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า ครูมนยังจำได้ดี

ศรัณย์พร รัตสีโว หรือ ครูมน ครูเพียงคนเดียวที่สอนประจำในศูนย์การเรียนฯ แห่งนี้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีไล่รายชื่อของนักเรียนทั้งหมดให้เราฟัง เพราะปัจจุบันมีนักเรียนเพียง 15 คน นับรวมตั้งแต่ระดับอนุบาล-มัธยมปีที่ 3 โดยเด็กๆ ทุกคนจะถูกเรียกนำหน้าด้วยคำว่า ‘พี่’ ทุกครั้ง เช่น พี่แนน ป.4 พี่ไอซ์ ป.3 พี่นิว ป.2 เป็นเทคนิคหนึ่งที่ครูมนนำมาช่วยให้เด็กๆ รู้สึกว่าตัวเองเติบโตแล้ว พวกเขาจึงต้องมีความรับผิดชอบตัวเองและดูแลเพื่อนๆ คนอื่นได้ด้วย 

เด็กๆ 15 คน ที่เรียนอยู่ในศูนย์การเรียนฯ นี้ ส่วนใหญ่เป็นเด็กที่อยู่ในชุมชน ตอนเช้าเราจะเห็นภาพเด็กๆ พากันเดินมาเรียน หากมีเวลาเหลือพวกเขาก็จะวิ่งเล่นเพื่อรอเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ก่อนช่วยกันเก็บกวาดใบไม้ ก่อนเข้าเรียนในคาบแรก

ครูมนเล่าให้ฟังว่า โดยพื้นเพไม่ใช่คนห้วยพ่านตั้งแต่กำเนิด ครูมนย้ายตามสามีมาเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ช่วงแรกยังไปๆ มาๆ ระหว่างห้วยพ่านและอำเภอทุ่งช้าง เพราะครูเปิดร้านซ่อมคอมพิวเตอร์อยู่ที่นั่น แต่หลังจากนั้นครูมนได้รับคัดเลือกให้เข้ามาทำงานเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านห้วยพ่าน (อสม.) ซึ่งเป็นช่วงที่ก่อสร้างศูนย์การเรียนฯ กอปรกับเป็นช่วงเดียวกันกับที่ครูคนเดิมที่เคยสอนประจำอยู่ศูนย์การเรียนฯ ลาออก และมีการประกาศรับสมัครครูคนใหม่พอดี

“แต่ตอนนั้นเราไม่กล้าที่จะสมัครเป็นครูนะ เราคิดว่าเราไม่มีคุณสมบัติพอ เราจบแค่ ม.6 และคิดว่าตัวเองสอนไม่ได้ แต่สุดท้ายชุมชนก็คัดเลือกให้เรามาเป็นครู”

แม้ครูมนไม่ได้สอนที่ศูนย์การเรียนฯ ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ครูมนเป็นหนึ่งในคนที่ลงแรงกายและใจเข้ามาช่วยสร้างศูนย์การเรียนฯ แห่งนี้ขึ้นมาพร้อมกับชาวบ้านคนอื่นๆ ดังนั้นภาพที่ครูมนเห็นมาตลอดก่อนที่จะเข้ามาเป็นครูก็คือภาพความยากลำบากของเด็กๆ ที่ต้องเดินทางไปเรียนไกลบ้าน 

“ถ้าฝนตกเมื่อไรแปลว่า เด็กๆ ออกไปไหนไม่ได้เลยต้องอยู่ในชุมชนอย่างเดียว หรือออกไปได้แต่กว่าจะถึงโรงเรียนก็สาย เด็กๆ ลำบากพอสมควรในการออกไปเรียนข้างนอก และสิ่งที่เรามองเห็นได้ชัดคือการที่ผู้ปกครองไม่สามารถอยู่ใกล้ชิดกับลูกหลานได้ มีอาการความเป็นห่วงเยอะแยะมากมาย ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน”

นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ครูมนสอนนักเรียนได้ 5 ปีแล้ว ระหว่างทางครูมนไม่นิ่งดูดาย เร่งตักตวงและแสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากการเข้าอบรมกับหน่วยงานต่างๆ รวมถึงใช้วิธีลักจำ หยิบวิธีการจัดการห้องเรียนจากโรงเรียนต้นแบบอื่นๆ มาปรับใช้กับเด็กห้วยพ่าน จนสามารถออกแบบกระบวนการสอนที่เหมาะกับเด็กห้วยพ่านได้ในที่สุด 

“ก่อนเด็กๆ จะเรียนทุกคาบ เราจะทำกระบวนการจิตศึกษาก่อน เพื่อพาเด็กๆ สำรวจว่าขณะนั้นตัวเองรู้สึกอย่างไร เหมือนเป็นการเช็คอิน ต่อไปเราให้เด็กๆ เลือกกันว่าวันนี้เขาอยากเรียนอะไร เช่น เด็กๆ ส่วนมากยกมืออยากเรียนคณิตศาสตร์ เราก็พาเรียนคณิตศาสตร์ ให้เด็กเลือกเองได้เลย พอเรียนเสร็จครูพาทำจิตศึกษาอีกรอบเพื่อให้เด็กสำรวจตัวเองว่าจากเนื้อหาคาบที่แล้วเขาได้ความรู้ใหม่อะไรมาบ้าง จากนั้นก็พาเขาทำ ‘ปลาดาว’ โดยให้เด็กๆ มานอนหงาย ฟังเพลงสบายๆ ฟังเสียงธรรมชาติ พักผ่อนร่างกายเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่วิชาต่อไป ซึ่งกระบวนการเช่นนี้เราได้โมเดลมาจากโรงเรียนลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรีมย์” 

พอถึงช่วงบ่าย ครูมนอธิบายให้ฟังต่อว่าตอนนี้กำลังทดลองใช้กระบวนการเรียน PBL หรือการเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning) มาปรับใช้ในห้องเรียน โดยขณะนี้กำลังทำโครงงานเรื่องสวนผักและสารเคมี ให้เด็กๆ ตั้งต้นคิดจากปัญหาและสิ่งที่เขาอยากรู้ เช่น มีวิธีการใดบ้างที่จะลดสารเคมีในผัก 

ท่ามกลางความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม ครูมนและผู้ใหญ่สมบอกตรงกันว่า ทุกตารางนิ้วในชุมชนห้วยพ่านคือห้องเรียน

“เราสร้างการเรียนโดยเอาเด็กเป็นศูนย์กลาง ที่ผ่านมาถ้าเด็กๆ อยากจะเรียนเรื่องเลี้ยงควาย เรื่องเข้าไร่เข้านา มาเรียนคุณภาพน้ำจากแมลงในวิชานักสืบสายน้ำ ทำให้รู้ทุกเรื่อง ดิน น้ำ ป่า ความมั่นคงทางอาหาร ทั้งหมดที่กล่าวมาเราก็ยังไม่ทิ้งวิชาที่เป็นกลุ่มสาระต่างๆ 

ณ วันนี้ห้วยพ่านมีห้องเรียนที่ใหญ่มาก ป่าประมาณหมื่นกว่าไร่ แม่น้ำมี 3-4 สาย เด็กว่ายน้ำเก็บไก (สาหร่าย) หาปู หาปลา เรามีทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมดีๆ เยอะมาก ดังนั้นเราจะทำอะไรให้เด็กรู้จักธรรมชาติ วัฒนธรรม และบูรณาการควบไปกับการเรียนตามระบบ” ผู้ใหญ่สมบอก

เช่นเดียวกับครูมน ที่บอกว่า เด็กๆ ห้วยพ่านสามารถเรียนได้ทุกที่ ริมน้ำน่าน ริมห้วย กลางสนาม ในป่า ในวัด นาข้าว ที่สำคัญทุกคนสามารถเป็นครูได้หมด ผู้ปกครองก็เป็นครูได้ พระ ชาวบ้าน ต้นไม้ก็สามารถเป็นครูได้ 

การเรียนแบบห้วยพ่านคือเติมเต็มทั้งสองฝ่าย “ครูไม่ได้มาสอนเขาอย่างเดียว เด็กๆ ก็สอนในเรื่องที่ครูไม่รู้ เช่น ภาษาลัวะ (ภาษาท้องถิ่นของชาวห้วยพ่าน) สอนการไปทำเกษตร ทำไร่ ทำสวน ที่เด็กๆ มีความเชี่ยวชาญ เพราะพ่อแม่ถ่ายทอดความรู้ให้ เขาก็เอามาแบ่งปันให้เรา”

พระอาจารย์สุนทร สุภาวโร ภิกษุประจำวัดในชุมชนห้วยพ่าน เป็นหนึ่งในครูของเด็กๆ นอกจากพระอาจารย์จะแพร่หลักศาสนาให้กับเด็กๆ แล้ว ยังถ่ายทอดวิชาอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น วิชาสมุนไพร วิชานั่งสมาธิ

“การให้เด็กรู้จักสรรพคุณของสมุนไพรในป่า เผื่อพวกเขาจะนำความรู้เหล่านี้ไปบอกต่อกับพ่อแม่ ชาวบ้านที่เจ็บป่วย หรือผู้เฒ่าผู้แก่ที่นอนติดเตียง เช่น เห็ดหลินจือ มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเก๊าท์ นำไปต้มและกิน เมื่อเวลามีอาการจะช่วยลดอาการบวมแดงอักเสบบริเวณข้อต่อที่เป็นอาการของโรคเก๊าท์ได้” 

พระอาจารย์สุนทร สุภาวโร

แต่ดูเหมือนว่าผลพลอยได้ของการสอนเรื่องสมุนไพรในป่าของพระอาจารย์ ไม่เพียงแค่ทำให้เด็กๆ มีความรู้เรื่องสมุนไพรเท่านั้น แต่มันคือการทำให้เห็นว่าบ้านของพวกเขามีทรัพยากรที่ดีอยู่มากแค่ไหน และพวกเขาควรจัดการกับทรัพยากรล้ำค่าเหล่านั้นอย่างไร

“เวลาเราสอนต้องย้อนให้เขารู้ว่าการที่เห็ดจะเกิดมันต้องมีความชื้นนะ ถ้าพ่อแม่ใครไปเผาป่าให้มันแห้ง เห็ดมันก็จะไม่เกิด เราก็จะไม่มีอาหาร มียา เพื่อความสมดุลของป่าเราก็ต้องอนุรักษ์ลำธาร ต้นไม้ ให้มากๆ การมีป่าคือการมีคุณสมบัติมหาศาล เหมือนเรามีซูเปอร์มาร์เก็ตก็ว่าได้” นี่คือสิ่งที่พระอาจารย์ทิ้งท้ายไว้

เกิด เติบโต เรียนรู้ อยู่ในบ้าน

ปฏิเสธไม่ได้หากนึกถึงการสร้างโรงเรียนหรือแหล่งเรียนรู้ขึ้นมาสักแห่ง เรามักจะมองว่าเป็นเรื่องของคนใหญ่คนโตที่ต้องเป็นผู้จัดการดูแลและสร้างมันขึ้นมา แต่วันนี้ชาวห้วยพ่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า…การศึกษาอยู่ที่ชุมชนก็ได้

ปัจจุบันศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่านกำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 6 ผลคะแนนสอบติดระดับท็อปของประเทศอาจไม่ใช่ดอกผลทางการศึกษาของที่นี่ แต่ผลลัพธ์ที่เห็นอย่างชัดเจนคือ คาแรคเตอร์ของเด็กๆ ที่เปลี่ยนไป พวกเขากล้าพูด กล้าถาม กล้าคิด กล้าแสดงออก รวมถึงมีจิตสำนึกรักในบ้านเกิด รักสิ่งแวดล้อม เห็นคุณค่าของธรรมชาติในบ้านตัวเองมากขึ้น 

“ผมว่าเรามาถูกทางและนี่คือสิ่งที่ใช่สำหรับการศึกษา ทุกวันนี้เราจะให้ลูกหลานเป็นอย่างไร จะให้อยู่กับชุมชนไหมหรือให้เขาไปอยู่ที่อื่น ผมว่าภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งสำคัญ โลกมันแคบลงแล้ว ชาวห้วยพ่านต้องเรียนและช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกหลานของเรา วันนี้เด็กๆ ในศูนย์การเรียนฯ ได้เจอแขกบ่อย เขากล้าพูด กล้าถาม กล้าคิด กล้าทำมากขึ้น เขากล้าคุยกับแขกที่เข้ามาเที่ยวในชุมชน เขาพาเดินดูบ้านของตัวเอง ถึงแม้เขาจะยังเรียนไม่จบ แต่ประเมินจากความกล้าของเขาแล้ว ผมว่าเด็กที่นี่ใช้ได้เลย” ผู้ใหญ่สมบอกกับเรา

“เวลาไปพูดที่ไหน ผมบอกเสมอว่า ผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่อีกตำแหน่งผมเป็นผู้อำนวยการศูนย์การเรียนฯ ที่ไม่มีค่าตอบแทนอะไรสักอย่าง มีแต่ตัวและหัวใจ เราทุกคนภูมิใจที่ได้ทำเพื่อให้ลูกหลานได้เรียนที่นี่ ได้มีที่เรียน ทำให้ชุมชนได้เป็นที่รู้จักและได้เป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ”

เหมือนที่ พี่แนน-ด.ญ.วรรณิภา ใจปิง, พี่ไอซ์-ด.ช.วัชระพล แปงอุด สองนักเรียนในศูนย์การเรียนฯ ทิ้งท้ายไว้กับเราว่า ความฝันของพวกเขาคือการกลับมาช่วยแม่ทำไร่ที่บ้านและอยากทำงานรับจ้างอยู่ในชุมชนแห่งนี้โดยที่ไม่คิดอยากจะย้ายไปอยู่ที่ไหน

Tags:

เข้าป่าสิ่งแวดล้อมeco literacyครูสามเส้าศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่านระบบการศึกษา

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Related Posts

  • Creative learning
    ศูนย์การเรียนชุมชนธรรมชาติบ้านห้วยพ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘ด.เด็กเดินป่า’ ปล่อยมือลูกให้เดินเข้าป่าบ้าง ให้ที่ว่างของการเติบโต

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

เด็กๆ ทุกคนไม่มีใครเหมือนกัน ทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นตัวของตัวเอง
Early childhood
12 February 2020

เด็กๆ ทุกคนไม่มีใครเหมือนกัน ทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นตัวของตัวเอง

เรื่องและภาพ PHAR

เด็กๆ ทุกคนไม่มีใครเหมือนกัน ทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นตัวของตัวเอง

เนื่องในวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์วันแห่งความรัก หนึ่งในนั้นคือความรักตัวเอง รักคนที่อยู่ตรงหน้า และยอมรับที่เค้าเป็นเค้าจริงๆ แม้ไม่ตรงกับกรอบความคาดหวังเราก็ตาม

เชื่อจริงๆ ค่ะว่าเราจะรักคนตรงหน้าได้เต็มหัวใจที่สุด รู้จักคนตรงหน้าได้หมดจดก็เมื่อคนๆ นั้นรู้สึกสบายใจที่จะได้เปล่งประกายและซื่อตรงจะเป็นตัวของตัวเอง และเค้า (โดยเฉพาะเด็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า) เค้ารอให้คนข้างๆ เชื่อมั่นเชื่อใจในตัวเค้า ยอมรับ และสนับสนุนอยู่นะคะ

ทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นตัวของตัวเอง

Tags:

พ่อแม่ปฐมวัย

Author & Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • Early childhoodFamily Psychology
    เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Early childhood
    ‘ธาตุ’ ในวัยอนุบาล เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน

    เรื่อง อุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Early childhoodBook
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    ฟังลูกบ้าง อย่าเพิ่งแปลงร่างเป็นหมาป่า

    เรื่อง ภาพ BONALISA SMILE

  • Family PsychologyLearning Theory
    4 SENSES เข้าใจวัยรุ่น : อะไรทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

“พื้นที่การดูหนัง จุดเชื่อมต่อระหว่างเรากับสิ่งอื่นๆ ในโลกใบนี้” ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ พูดถึงหนังกับการเรียนรู้
Space
11 February 2020

“พื้นที่การดูหนัง จุดเชื่อมต่อระหว่างเรากับสิ่งอื่นๆ ในโลกใบนี้” ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ พูดถึงหนังกับการเรียนรู้

เรื่อง คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • คนเราเรียนรู้ได้ทุกที่ไม่เฉพาะในห้องเรียน ‘โรงภาพยนตร์’ ก็เช่นกัน
  • คุยกับ ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ ผู้ก่อตั้ง Documentary Club ถึงฟังก์ชันของโรงภาพยนตร์ที่ไม่ใช่แค่พื้นที่แห่งความเอนเตอร์เทนเมนต์ แต่เป็น Space – พื้นที่หนึ่งในการเรียนรู้ เล่าถึงฟังก์ชันที่เปลี่ยนไปของโรงภาพยนตร์สมัย Stand Alone ถึง Multiplex ว่าวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปพร้อมรูปแบบนั้นเปลี่ยนไปแค่ไหน
  • “ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่เราอ่านนิตยสารเกี่ยวกับหนัง ซึ่งมันก็พาเราไปรู้จักกับความคิดของคนทำ เจาะลึกการถ่ายทำ มีบทความในเชิงศิลปะเชิงสังคมต่างๆ หนังพาเราแตก แยก ย่อย และเชื่อมโยงไปถึงสิ่งอื่นๆ เราเคยไปดูหนังเรื่อง Trainspotting ในเทศกาลหนังอังกฤษ ฟังไม่รู้เรื่องเลยเพราะมันไม่มีซับแล้วก็พูดสำเนียงสก็อตติชกันทั้งเรื่อง แต่เพลงเพราะมาก พอดูเสร็จออกจากเฉลิมกรุงต้องรีบไปหาซื้อแผ่นซีดีมาเก็บไว้ พื้นที่ของการดูหนังมันเป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่างเรากับสิ่งอื่นๆ ในโลกใบนี้”

ไม่ใช่แค่ห้องเรียนหรอก ที่หล่อหลอมเราให้เป็นเราอย่างในทุกวันนี้

หากมองย้อนกลับไปในชีวิตของตัวเอง ผู้อ่านคงเห็นด้วยว่าความรู้ต่างๆ ที่มีอยู่ในตอนนี้ ล้วนมีที่มาจากหลายแห่งหน เรื่องบางเรื่องเราพบยามที่ได้คุยกับเพื่อน บางเรื่องได้มาจากโทรทัศน์ บางอย่างก็รู้จากอินเทอร์เน็ต แม้ปลายทางของความรู้จะมีหน้าตาเหมือนๆ กัน แต่รูปแบบในการเสาะหานั้นมีหลากหลายเกินกว่าจะนับ

นั่นเพราะว่ามนุษย์เรามีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน บางคนเรียนรู้ได้ดีในห้องเรียน บางคนกลับเอนจอยกว่ากับการเรียนในพื้นที่อื่นๆ นอกห้อง ธิดา ผลิตผลการพิมพ์ ผู้ก่อตั้ง Documentary Club องค์กรที่คัดสรรภาพยนตร์สารคดีคุณภาพจากทั่วโลกมาเผยแพร่ในประเทศไทย เป็นหนึ่งในคนแบบหลังที่ว่านั่น เธอเติบโตมากับภาพยนตร์และโรงหนัง รู้จักโลกผ่าน ‘เรื่องเล่า’ ของคนอื่นที่อยู่บนจอขนาดยักษ์

แต่การดูหนังในโลกที่เธอเติบโตและเรียนรู้ชีวิตผ่านมันช่างแตกต่างจากการดูหนังในสมัยนี้ ชนิดที่เรียกว่าห่างไกล โรงหนังที่เคยเป็นความสุขของเธอเปลี่ยนไปอย่างไร แล้วยังทำหน้าที่ในฐานะ ‘พื้นที่การเรียนรู้’ ที่ไม่ใช่ห้องเรียนได้อยู่หรือเปล่า เราชวนผู้อ่านติดตามในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้

คุณเติบโตโดยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหนังและโรงหนังอย่างไรบ้าง

ความทรงจำสมัยเด็กๆ คือ เมื่อก่อนโรงหนังมันไม่ใช่มัลติเพล็กซ์ (Multiplex) แบบทุกวันนี้ แต่เป็นแบบสแตนด์อโลน (Stand Alone) และไม่ได้มีเยอะ แต่ละโรงก็จะฉายหนังคนละประเภทกัน

การดูหนังสมัยก่อนก็ไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้บ่อยๆ แต่เหมือนเป็นกิจกรรมครอบครัวในวาระพิเศษ เช่น ตรุษจีน วันหยุด ช่วงปิดเทอม หรืออาจจะเป็นวันเสาร์ที่พ่อกลับจากต่างจังหวัดแล้วอยู่กันพร้อมหน้า ดังนั้นมันจึงเป็นกิจกรรมที่ประทับใจ เป็นภาพบวก เพราะมันไม่ใช่การดูหนังคนเดียว แต่มันเป็นการไปดูหนังด้วยกัน จะมีภาพของความต้องเตรียมตัว แต่งตัวออกไปดูหนัง ดูเสร็จต้องไปกินข้าวกัน ดังนั้นสำหรับพี่ การดูหนังเป็นภาพแบบนี้ เราจะรู้สึกว่ามันเป็นความบันเทิงที่มาพร้อมกับความประทับใจ

พอเราโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่น เป็นช่วงที่เราอ่านนิตยสารเกี่ยวกับหนัง ซึ่งมันก็พาเราไปรู้จักกับเรื่องความคิดของคนทำ เจาะลึกการถ่ายทำ มีบทความในเชิงศิลปะ เชิงสังคมอะไรต่างๆ หนังพาเราแตก แยก ย่อย และเชื่อมโยง ไปถึงสิ่งอื่นๆ เช่น เราเคยไปดูหนังเรื่อง Trainspotting ในเทศกาลหนังอังกฤษ ซึ่งฟังไม่รู้เรื่องเลยเพราะมันไม่มีซับ แล้วก็พูดสำเนียงสก็อตติชกันทั้งเรื่อง แต่เพลงเพราะมาก พอดูเสร็จออกจากเฉลิมกรุงต้องรีบไปหาซื้อแผ่นซีดีมาเก็บไว้ พื้นที่ของการดูหนังมันเป็นจุดเชื่อมต่อ ระหว่างเรากับสิ่งอื่นๆ ในโลกใบนี้

โรงสมัยก่อนมีหนังฉายทุกวันไหม แล้วที่บอกว่าแต่ละโรงฉายหนังไม่เหมือนกันคือแบบไหน

ก็ฉายทุกวันเหมือนโรงหนังทั่วไป เพียงแต่โรงหนังไม่ได้มีจำนวนมากและใกล้บ้านเหมือนทุกวันนี้ อย่างที่บอกว่าโรงสมัยก่อนเป็นแบบสแตนด์อโลน คือ เป็นตัวโรงหนังอย่างเดียว ไม่ได้ผูกติดอยู่กับห้าง​ และเป็นโรงขนาดใหญ่ แต่ละกลุ่มโรงก็จะเป็นคนละเจ้าของกัน ซึ่งเขาก็จะเลือกหนังที่เขาเชื่อ เพราะฉะนั้นก็จะมีบางโรงที่ฉายเฉพาะหนังอินเดีย หนังจีน หรือหนังไทย​ ก็เลยทำให้มีความแตกต่าง ซึ่งถ้าเราอยากดูหนังประเภทไหนเราก็ต้องไปที่โรงนั้น

พอเปลี่ยนจากสแตนด์อโลนมาเป็นมัลติเพล็กซ์ บรรยากาศความเป็นมหรสพและมุมมองของคนที่มีต่อโรงหนังเปลี่ยนไปยังไงบ้าง

เราว่ามันเปลี่ยนพฤติกรรมการรับรู้เรื่องการดูหนังไป จากเดิมโรงหนังมีจำนวนน้อย และตั้งอยู่ในที่ของมัน เราเป็นฝ่ายต้องเข้าไปหา แต่พอโรงหนังเปลี่ยนจุดยืนทางการตลาด เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในชุมชน กลายเป็นส่วนหนึ่งในพฤติกรรมของคนเดินห้าง คนก็เลยมีความรู้สึกต่อโรงหนังเปลี่ยนไป เช่น เมื่อก่อนนี้เราต้องเตรียมนัดหมายเพื่อนเพื่อไปดูหนัง เข้าสกาล่า แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าเราไปเดินห้าง ระหว่างรอเพื่อนไม่มีอะไรทำก็ไปดูหนัง กินข้าวกับเพื่อนเสร็จไม่รู้ทำอะไรก็ไปดูหนัง หรือดูหนังเสร็จไม่รู้ทำอะไรก็ไปเดินห้าง มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมอีกแบบหนึ่ง ที่โรงหนังและการดูหนังไม่ใช่เป้าหมายหลักเสมอไป

เวลาเราดูหนังที่ย้อนยุคหน่อย คนที่มีชื่อเสียงมักต้องควงกันไปดูหนังรอบเปิดตัวหรือรอบพรีเมียร์ โรงหนังดูเป็นสถานที่ที่มีสัญญะบางอย่าง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

เราคิดว่าโรงหนังเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมบันเทิงที่สร้างวัฒนธรรมบางอย่างขึ้นมา เพื่อให้ดูเป็นอุตสาหกรรมที่มีคุณค่าและมูลค่า​ งานเปิดตัวที่ว่านั้นก็คงเหมือนการเปิดตัวของมหกรรมที่มีความพิเศษ หรูหรา แล้วหนังก็ถูกผูกอยู่กับมูลค่าของความหรูหรา เช่น การสร้างวัฒนธรรมเดินพรมแดง การสร้างวัฒนธรรมว่าเมื่อมีการมอบรางวัลตุ๊กตาทอง ทุกคนต้องแต่ตัวหรู ต้องประโคมเครื่องเพชร ซึ่งนี่เป็นประเด็นน่าสนใจ เพราะตอนแรกที่หนังได้ถือกำเนิดขึ้น มันมีภาพลักษณ์ตรงกันข้ามกับตอนนี้เลย

ย้อนไปสมัยเริ่มต้น​ หนังเป็นแค่ภาพเคลื่อนไหวในสิ่งประดิษฐ์สำหรับก้มดูคนเดียว​ เป็นแค่ความตื่นตาตื่นใจชั่วครั้งชั่วคราว​ แต่พี่น้องลูมิแอร์ (Lumiere) กลับมองว่าหนังมีคุณค่าทางสังคม คือแทนที่จะดูคนเดียวกลับเอามันฉายขึ้นจอ เกิดการสร้างประสบการณ์ร่วมแก่คนที่มานั่งดูด้วยกันแล้วตื่นตาตื่นใจกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าไปด้วยกัน​ มูลค่าทางตลาดก็เกิดขึ้น​ และโรงหนังก็เป็นส่วนประกอบสำคัญของเส้นทางการตลาดที่ว่านั้น​ เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีในการฉายและสร้างค่านิยมใหม่ๆ​ ในการชมมาเรื่อยๆ​ ซึ่งส่งผลให้วัฒนธรรมการดูหนังในโรงถูกปรับเปลี่ยนตามทิศทางการตลาดไปด้วย

ทุกวันนี้เราเริ่มเห็นการกลับมาของโรงหนังเล็กๆ เหมือนเขาก็พยายามหาพื้นที่ของตัวเอง คุณมองว่าทำไมจึงเกิดปรากฏการณ์แบบนี้

จริงๆ มันก็เป็นปรากฏการณ์ปกติ เพราะเมื่อก่อนตอนที่โรงย่อยๆ ยังไม่ปิดตัว สิ่งที่มีก็คือความหลากหลายของหนัง เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้สึกว่าการไปดูหนังอินเดียคือหนังอาร์ต หรือหนังไต้หวันที่มาฉายมันอินดี้ มันไม่มีคำว่าหนังนอกกระแสหรือในกระแส คำเหล่านี้มันมาพร้อมกับตลาดหนังของอเมริกัน มาพร้อมกับฮอลลีวูดที่พยายามบูมตัวเองขึ้นมาเป็นตลาดใหญ่ แล้วเราก็รับวัฒนธรรมนี้เข้ามาจนนำมาสู่หนังที่ใช้คำว่าแมส

เมื่อมีโรงหนังที่ทำมาเพื่อขายตลาดใหญ่ หนังสเกลเล็กหรือกลางที่ทุนไม่หนาพอก็จะถูกกีดกันออกไป แต่เรารู้สึกว่าการที่ตลาดเป็นแบบนี้มันคือการบิดเบือน เพราะเราอยู่กับความหลากหลายมาตั้งแต่ต้น แล้ววันหนึ่งก็มีคนมากำหนดว่าสิ่งนี้คือสินค้าตลาด ส่วนสิ่งนั้นไม่ใช่ ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ความจริง และเราเชื่อว่ากลุ่มที่ถูกมองว่าไม่ใช่หนังตลาด มันก็ยังเป็นที่ต้องการอยู่ แค่อาจจะถูกทำให้ลดน้อยลง

อย่างโรงหนัง House ที่เป็นโรงของค่ายสหมงคลฟิล์ม ซึ่งเป็นค่ายจัดจำหน่ายหนังอิสระ เขามีหนังหลากหลายประเภท แน่นอนเขาก็ต้องการพื้นที่สำหรับปล่อยหนังของเขาเอง แต่อีกส่วนหนึ่งคนทำโรงก็มีค​วา​มเชื่อในเรื่องหนังอิสระและหนังนอกกระแสด้วย​

Bangkok screening Room ก็เป็นแบบโรงของคนรักหนังจริงๆ คือใช้ทุนตัวเองทำเอง​ ค้นหารูปแบบโปรแกรมมิ่งที่มีความเฉพาะตัว​ ส่วน​ Lido และ​ Scala เจ้าของเดิมคือเครือ Apex ซึ่งก็นำเข้าหนังอิสระเช่นกัน

เราเลยบอกว่า​ เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้มีบริษัทสตูดิโอใหญ่จากฮอลลีวูดเข้ามา​ คนที่ทำค่ายจัดจำหน่ายและทำโรงหนังก็ดำเนินธุรกิจตามปกติ​ เขาไม่ได้มองว่าเขากำลังทำหนังอินดี้อะไร เขาก็ทำธุรกิจหนังน่ะ​  มันเป็นเรื่องปกติมากๆ ที่มีโรงหนังที่ฉายหนังสารพัดแบบ​ แต่พอสตูดิโอเข้ามา​ การตลาดแบบฮอลลีวูดเข้ามา​ ระบบโรงแบบมัลติเพล็กซ์เข้ามา​ สมดุลของตลาดก็เปลี่ยนไป​ ใครไม่ใหญ่ก็กลายเป็นนอกกระแสไป

โรงหนังเป็นสถานที่ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ไหม

แน่นอน มันคือหน้าที่สำคัญของหนังเลย

เพราะหนังทุกเรื่องคือเรื่องเล่าของคนอื่น​ ​ชีวิตและความคิดของผู้คนที่ถูกถ่ายทอดด้วยพลังของภาพและเสียง การดูหนังจึงเป็นประตูสู่การเรียนรู้คนอื่นได้อย่างมีศักยภาพที่สุด

ในที่นี้เราหมายถึงการดูหนังโดยรวมเลยนะ​ ไม่ใช่แค่การดูในโรง​ สำหรับเราเวลาดูหนังเรื่องหนึ่งมันเชื่อมกับสิ่งอื่นๆ เสมอ ไม่ว่ามันจะอยู่ในโรงใหญ่ โรงเล็ก​ กลางแจ้ง​ ในห้องประชุม​ แกลเลอรีหรือที่ไหน  เราก็จะรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่การจ่ายเงิน ซื้อตั๋ว นั่งดูเสร็จ แล้วกลับบ้าน แต่เรามองว่าพื้นที่ของการดูหนังมันเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเรากับคนอื่นๆ และตัวหนังเอง มันก็เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเรากับสิ่งอื่นๆ ในโลกใบนี้

เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวนักเรียนโดดเรียนเพื่อไปดูหนังลดราคา คุณคิดว่าเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอะไร

มันก็สะท้อนว่าถ้าเราเลือกได้เราก็อยากไปดูหนัง เพราะมันเป็นความบันเทิงง่ายๆ แต่พอเราต้องมาเสียเงิน 200​ บาทเราก็เริ่มคิดมากแล้ว พอตั๋วหนังแพงเนี่ยมันก็ จะกีดกันคนดูอย่างเราๆ​ จำนวนหนึ่งออกไปเพราะกำลังซื้อไม่ถึง จะดูหนังสักเรื่องเริ่มต้องคิดถึงความคุ้มค่า​ ไม่อยากจะเสียเงินไปกับการทดลองดูอะไรเสี่ยงๆ​ โดยง่ายแล้ว

แต่ทีนี้อะไรล่ะคือความคุ้มค่า?​ ส่วนใหญ่ความรู้สึกที่เรามีต่อคำว่าคุ้มค่ามันก็จะไปเกี่ยวข้องกับการตลาด เราไม่ได้เลือกความคุ้มค่าของหนังจากการที่มันเป็นหนังของประเทศที่เราไม่เคยดูมาก่อน​ หรือหนังอะไรเนี่ยท่าทางพิลึกพิลั่นไม่เคยดู​ ฯลฯ​ ใช่ไหม​ ตรงกันข้าม​ เรามีแนวโน้มจะเลือกในสิ่งที่การตลาดของหนังโน้มน้าวให้เรารู้สึกว่าต้องดู​ พลาดไม่ได้​ ถ้าพลาดแล้วจะเสียดาย​ จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระแส​ ฯลฯ​

ทุกอย่างเลยอยู่ภายใต้พลังทางการตลาด แต่ถ้าหนังราคา 25 บาทคุณไม่ต้องคิดอะไรมาก หนังอะไรก็ดูได้หมด ซึ่งมันดีมากเลย วันนั้นที่ตั๋วหนังราคา 25 บาทนั่นปรากฏว่าหนังทุกเรื่องที่ฉายอยู่สามารถทำรายได้พุ่งสูงมากทั้งที่บางเรื่องแทบไม่มีคนดูในวันอื่น​  แสดงว่าพอราคาตั๋วไม่ใช่อุปสรรคแล้ว​ เราก็พร้อมจะดูหนังที่อยู่นอกกระแสการตลาดมากขึ้นได้

ในยุคก่อน ตั๋วหนังราคาแพงไหม

ตอนพี่เรียนอยู่มัธยมชอบไปดูหนังที่โรงหนังสยาม ตอนที่ยังไม่ไฟไหม้ แถวหน้าสุด 15 บาท​ เลิกเรียนวันศุกร์ปุ๊บดูหนังต่อปั๊บ​ หนังอะไรเข้าอยู่ก็ดูหมด

แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ตั๋วหนังถึงต้องแพงขนาดนั้น

นั่นสิ เราเคยทำกราฟิกเปรียบเทียบราคาตั๋วหนัง เทียบกับค่าแรงขั้นต่ำของหลายๆ ประเทศ เช่น เกาหลีญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เชื่อไหมว่าตั๋วหนังของประเทศไทยแพงเป็นอันดับต้นๆ ของตารางเลย ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าตั๋วหนังต้องแพงอะไรมากมาย​ โรงอาจจะให้คำต​อบว่าเขาลงทุนปรับคุณภาพเยอะมาก​ โรงดีกว่าสมัยก่อนอย่างเทียบกันไม่ได้​ แต่เราก็จะมีคำถามอีกแหละว่าความ​สูงส่งแบบนี้คนดูเป็นฝ่ายเรียกร้องก่อน​ หรือโรงและอุตสาหกรรมปั้นระดับมาตรฐานใหม่ขึ้นมาก่อนและเป็นฝ่ายผลักคนดูเข้ามาสู่วัฒนธรรม​ดูหนังในสถานที่หรูหราราคาแพงจนกลายเป็นวงจรที่ถอนตัวไม่ได้กันแน่​ สำหรับเราแล้วความหรูหรานี้มันเกินจำเป็นไปมากๆ

และประเด็นสำคัญกว่านั้นคือเรามีโรงแทบจะแบบเดียว​ วิธีคิดเดียว​ แถมยังดำเนินธุรกิจแบบผูกขาดอีกด้วย​ แทบไม่เหลือทางเลือกอะไรเลย​ จริงๆ ในต่างประเทศมันก็มีทั้งประเทศที่ตั๋วถูกและแพง แต่สิ่งหนึ่งที่เขายังมีอยู่ก็คือความหลากหลาย มันไม่ได้ผูกขาดโดยวิธีคิดแบบเดียวเหมือนประเทศเรา​ อย่างเกาหลีซึ่งเป็นประเทศที่ตลาดโตมากๆ ก็มีโรงหนังหรูๆ แบบราคา 500 – 600 บาท มีอาหารให้กินมีโซฟาผ้าห่มเว่อร์ๆ​  แต่ในขณะเดียวกันมันไม่ได้มีแค่โรงแบบเดียวเครือเดียว มันมีโรงอิสระ มีทางเลือกแบบอื่นๆ​ ให้คนดู​ ความหลากหลายคือสิ่งสำคัญที่สุดนะในความคิดเรา

นอกจากราคาตั๋วหนังแล้ว โรงหนังในไทย มีอะไรที่แปลกจากที่อื่นอีกไหม

อันนี้ไม่แน่ใจว่าที่อื่นเป็นแบบนี้ไหม​ แต่มันเป็นเรื่องประหลาดดีในสายตาเรา​ คือเมื่อก่อนเรามองโรงหนังว่าเป็นที่บันเทิง แต่ปัจจุบันเหมือนมันเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว​ การมีคนพูดคุยกันหรือกินอะไรจุบจิบส่งเสียงในโรงเคยเป็นเรื่​องธรรมดาๆ​ ตอนเรายังเด็ก​ แต่ทุกวันนี้เป็นความผิดบาป​ไปแล้ว​ คือพฤติกรรม​พวกนี้ถ้ามากไปมันก็สร้างความรำคาญแหละ​ แต่การต้องนั่งเงียบนิ่งเกร็งมันก็มากไปเหมือน​กัน​ คนรุ่นปู่ย่าพ่อแม่เราไม่กล้าเข้าโรงหนังเดี๋ยวนี้เลยเพราะเขารู้สึกกลัวไปทำอะไรผิดมารยาท​ มันไม่ใช่ที่สำหรับเขาแล้ว​ ยังไม่นับรวมบรรยากาศรายรอบของโรงซึ่งมันมากและยากเกินไปสำหรับคนอีกหลายกลุ่ม​ การมาดูหนังในโรงทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องยากสำหรับเขา

พอมันกีดกันคนจำนวนหนึ่ง เลยกลายเป็นว่าโรงหนังเป็นพื้นที่เข้าถึงยากหรือเปล่า

ใช่ พี่ว่ามันเห็นชัดขึ้นในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจไม่ดี อาจจะด้วยปัจจัยเรื่องราคา คนจำนวนหนึ่งก็จะไม่ไปโรงหนังแล้ว มีทางเลือกอื่นให้ดูในราคาประหยัด และด้วยบรรยากาศของโรงอย่างที่ว่าเมื่อกี้ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่ง หนังที่เลือกมา​ รูปแบบการใช้บริการ หรือการสร้างภาพลักษณ์ของโรง มันทำให้คนจํานวนหนึ่งรู้สึกว่าโรงหนังไม่ใช่ที่ของเขา เช่น ผู้สูงอายุ เพราะขนาดเราโตมากับการดูหนังเรายังรู้สึกว่าการไปโรงหนังทีนึงมันเหนื่อยมาก เหมือนทุกอย่างมันดูดพลังของเราไปหมด

ส่วนตัวพี่คิดว่าเมื่อก่อนการดูหนังมันเป็นอะไรที่ง่ายและมีความเป็นมนุษย์กว่านี้ อย่างตอนเด็กๆ ที่เราดูมันก็เป็นโรงง่ายๆ บ้านๆ ไปถึงดูหนังแผ่นดูใบปิด​ จ่ายค่าตั๋วกับพนักงาน​ ยืนคุยกันรอโรงเปิด เดินเข้าโรง ทุกอย่างเข้าใจง่ายและเป็นมิตร แต่อันนี้คือขับรถไปหาที่จอดรถ กว่าจะไปกดตู้ซื้อตั๋ว กดผิดกดถูก ไม่รู้เรื่องอีกกว่าจะเลือกหนังได้​ กว่าจะดูโฆษณาอีกครึ่งชั่วโมง​ เราหมดแรงที่จะรู้สึกอะไรกับหนังที่ดูแล้ว ดูหนังเสร็จออกไปเจอพรม ไฟ​ เจอการตกแต่ง คือทุกสิ่งทุกอย่างเรารู้สึกว่ามันมากไป​ ซึ่งน่าตลกที่มันสวนทางกับการที่ทุกวันนี้มีโรงทุกมุมเมือง​ คือโรงหนังอาจจะไปง่ายขึ้น แต่เรากลับไม่ได้มีความรู้สึกว่าการดูหนังมันเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายและเป็นมิตร​ แปลกดี

ทีนี้พอมันเริ่มยากคนก็มีวิธีอื่น เช่น ดูผ่าน Streaming คุณว่าสิ่งนี้มันทำให้การเรียนรู้จากหนังเปลี่ยนไปไหม

สื่อภาพยนตร์มันเกิดขึ้นมาในฐานะมหรสพ ที่ต้องดูในสถานที่ที่มีคนเยอะๆ เราต้องการอารมณ์ร่วม​ การสร้างประสบการณ์เป็นลักษณะเฉพาะของหนังที่อาจจะจำเป็นต้องมีโรงหนังหรือสถานที่ทางกายภาพสำหรับดูหนังด้วยกัน

แต่ถ้าพูดถึงการเรียนรู้ในเชิงเนื้อหาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง​ สิ่งที่สำคัญอาจไม่ใช่ Platform การดูแบบสตรีมมิ่งไม่ได้ลดทอนสิ่งนี้หรอกตราบใดที่มันยังมีส่วนอื่นๆ ตามมา เช่น ดูเสร็จแล้วคุณก็สามารถโพสต์เฟซบุ๊กหรือทวิตบอกว่าคุณดูอะไรมาเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เราเชื่อว่าบ่อยครั้งการเรียนรู้มันเกิดจากบทสนทนา มากกว่าจากตัวหนังเองเสียอีก

คุณให้ความสำคัญกับบทสนทนาหลังจากที่หนังจบมาก

เรารู้สึกว่าหนังมันทรงคุณค่า เมื่อถูกพูดถึงและแลกเปลี่ยน เราชอบฉากไหน ตรงไหน ไม่ชอบอะไร อันนี้คือโมเมนต์ที่สำคัญ แล้วมันก็สามารถเป็นได้หลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นเสวนาวิชาการ หรือ เอาผู้กำกับเอานักวิชาการมาพูดก็ได้​ คนดูหนังคุยกันเองนี่แหละมีชีวิตชีวาที่สุด

ท้ายที่สุดแล้วในความเห็นของคุณ โรงหนังสำคัญกับมนุษย์และสังคมอย่างไร

ถ้าพูดถึงโรงหนัง ความรู้สึกแรกของเรามันคือที่ที่เราไปแล้วมีความสุข ในแง่ของปัจเจกการเข้าไปในโรงหนังมันคือการใช้เวลาเพื่อเติมความสุขให้กับตัวเอง ไม่ว่าคุณจะมองว่าความสุขนั้นหน้าตาแบบไหน ได้หนีจากความทุกข์ภายนอก​ ได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ หรือได้เติมความรู้และสติปัญญา

ในแง่สังคมเราคิดว่าโรงหนังเป็นพื้นที่ที่ทำหน้าที่ขัดเกลาคน ขัดเกลาทั้งรสนิยม​ ทั้งความเข้าใจที่มีต่อมนุษย์คนอื่นๆ รสนิยมในที่นี้หมายความว่าเราได้เข้าไปดูศิลปะรูปแบบหนึ่ง ได้ดูเรื่องเล่าของคนอื่น ได้เข้าไปทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นๆ ในพื้นที่ทางสังคมแบบที่เรายังมีความเป็นส่วนตัวด้วยในเวลาเดียวกัน

ใน​การดูหนัง​ เราไม่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบๆ แต่เรามีอารมณ์ร่วมกันต่อสิ่งที่ดูได้​ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญในการสร้างการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เราเข้าไปใช้เวลาสั้นๆ​ อยู่ในพื้นที่ที่อาจแทบไม่มีใครรู้จักกัน แต่ภาพและเสียงบนจอกลับสามารถทำให้เราสามารถมีความรู้สึกร่วมกันในสิ่งเดียวกันได้​​ เมื่อหนังจบและออกจากโรงแล้วเรายังพกพาความรู้สึกและความรับรู้เหล่านั้นออกมาได้​ ยังอ้อยอิ่งกับมันได้​ พูดคุยกับคนอื่นหรือสัมผัสมวลอารมณ์ของคนที่ดูหนังรอบเดียวกับเราได้

เรารู้สึกว่าโรงหนังควรจะรักษาความรู้สึกที่เป็นนามธรรมเหล่านี้ให้ได้ ไม่ว่าจะโดยบรรยากาศ การออกแบบ ราคาตั๋ว หนังที่เลือกมาฉาย เราอยากเห็นโรงหนังที่เป็นแบบนี้​ โรงหนังที่เห็นคุณค่าของการมาดูหนัง​ ไม่ใช่โรงที่ทำทุกทางเพื่อจะดึงเราให้เข้าไปเสียเงินให้มากที่สุด​และเร็วที่สุด และเมื่อหนังจบก็ถีบเราออกไปจากหนังและสถานที่อย่างเร็วที่สุดพอกันแบบที่เป็นอยู่

Tags:

ภาพยนตร์public spaceธิดา ผลิตผลการพิมพ์

Author:

illustrator

คณพล วงศ์วิเศษไพบูลย์

นักเขียนอิสระ ที่กำลังสนใจเรื่องเกษตรอินทรีย์และการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Movie
    Thelma (2024) : คุณยายสุดเท่ปราบแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Gran Turismo: ล้มกี่ครั้งไม่สำคัญเท่าลุกอย่างไรให้ไปต่อได้

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Moxie (2021) หนังที่บอกเราว่าไม่ควรเมินเฉยต่อการถูกแกล้ง ลวนลาม แต่จงลุกขึ้นมาส่งเสียงของตัวเอง

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • Everyone can be an Educator
    จุฤทธิ์ กังวานภูมิ: เปลี่ยนย่านตลาดน้อย คนในต้องอยู่สบาย บ้านถึงจะกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel