Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Year: 2019

ความสิ้นหวังการศึกษาในกราฟิกดีไซน์: ศิลปะต้องสร้างอนาคต
Everyone can be an Educator
1 February 2019

ความสิ้นหวังการศึกษาในกราฟิกดีไซน์: ศิลปะต้องสร้างอนาคต

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • ThaiGA คือ สมาคมนักออกแบบเรขศิลป์ไทย ชื่อเต็มๆ ว่า Thai Graphic Designers Association มีภารกิจหลักคือการส่งเสริมวิชาชีพกราฟิกและหนึ่งในนั้นคือการจัดทำนิทรรศการ ในรูปแบบ Poster Exhibition ภายใต้หัวข้อ ‘อนาคตการศึกษาไทย?’
  • แต่ผลงานที่ส่งเข้ามาส่วนใหญ่ กลับสะท้อนสภาพปัญหาเดิมของระบบการศึกษาไทย เช่น พูดถึงความล้าหลังของวิชาเรียน การขังเด็กอยู่ในกรอบ เด็กไม่รู้จักตัวเอง
  • จี๊ด-พิชิต วีรังคบุตร นายกสมาคม บอกว่า โจทย์ต่อไปคือการผลักดันให้นักกราฟิกเข้าไปช่วยพัฒนาสังคม ใช้มิติของศิลปะทำประโยชน์ต่อสังคมให้ได้

‘ไปให้ถูกทาง (Go the right way)’ คือชื่อผลงานของ ธัญฤดี สุผล

ผลงานชิ้นนี้มีแนวคิดสำคัญที่สะท้อนการศึกษาไทย นั่นคือ “การศึกษาไทยที่ทุกวันนี้ได้แต่สงสัยว่าจะไปทางไหน แม้ว่าปัจจุบันจะปรับหลายต่อหลายอย่างก็ดูจะยังไปไม่ถึงฝั่งฝันเสียที เด็กสมัยนี้ก็เลยต้องปรับตัวตามหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนมาโดยตลอด ผลงานชิ้นนี้อยากสื่อถึงการศึกษาจะไปทางไหนก็ขึ้นอยู่กับเราทุกคนว่าจะป้อนจุดหมายปลายทางอย่างไร ถ้าเราไม่คิดถึงการพัฒนาร่วมกันเราก็คงไปไม่ถึงปลายทางที่เป็นประโยชน์กับเด็กไทยในอนาคต การศึกษาไทยก็คงหลงทางอยู่อย่างนั้น”

Race for the prize คือผลงานของชินธิป เอกก้านตรง

“ชอบอะไร ชอบแบบไหน ยังไม่รู้ แย่งๆ กันเข้าไปก่อน ลองใช้เวลาในนั้นซัก 4 ปีดู โชคดีก็จะได้รู้ โชคร้ายก็เคว้งกันต่อไป”

ชินธิปเจ้าของเฟซบุ๊คเพจ Shhhh อธิบายเพิ่มเติมว่า รู้สึกว่าตัวเองต้องแข่งขันกับคนอื่นมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่สอบเข้า ม.1 สอบเลือกสายตอน ม.4 แล้วก็สอบเข้ามหาวิทยาลัย

“ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้นะว่าที่เลือกไปมันดีมั้ย แต่เค้าบอกให้เลือกก็เอา แต่ที่คิดว่าแย่กว่าคือแข่งไปโดยไม่รู้ว่าเราชอบทางนี้จริงๆ มั้ย” ถ้าเป็นไปได้อยากให้เด็กๆ ได้รู้จักตัวเอง อย่างช้าที่สุดก็ก่อนจบชั้นมัธยมปลาย

“จะได้เลือกเรียนที่ชอบ อยากให้น้องๆ ได้เรียนที่ชอบจริงๆ แล้วก็… รักษาสุขภาพจิตกันด้วยครับ”

เป็น 2 ใน 36 ผลงานที่จะจัดแสดงภายในงาน ThaiGa Creative Showcase 2019 จัดขึ้นในรูปแบบ Poster Exhibition ภายใต้หัวข้อ ‘อนาคตการศึกษาไทย?’ แสดงวันที่ 26 มกราคม – 3 กุมภาพันธ์ 2562 นี้ 

The Potential สนทนากับ จี๊ด-พิชิต วีรังคบุตร ผู้ซื่อตรงกับศิลปะ สำหรับเขาศิลปะคือ comfort zone จึงทำให้มั่นใจและกล้าเดินไปข้างหน้ากับเส้นทางนี้ จนได้ขึ้นมาเป็นนายกสมาคมนักออกแบบเรขศิลป์ไทย หรือกลุ่ม ThaiGa ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการจัดนิทรรศการครั้งนี้

ThaiGA คือใคร ThaiGA ทำอะไร

กลุ่ม ThaiGA คือ สมาคมนักออกแบบเรขศิลป์ไทย ชื่อเต็มๆ ว่า Thai Graphic Designers Association เริ่มก่อตั้งมาประมาณ 20 ปีที่แล้ว ในยุคที่กราฟิกดีไซน์เริ่มเติบโต งานออกแบบเริ่มเเยกออกจากโรงพิมพ์ และเริ่มมีคนสนใจงานกราฟิกเฉพาะทางมากขึ้น ในช่วงสิบปีเเรก สมาคมฯ พยายามจะทำความรู้จักนักออกแบบกราฟิกก่อน เพราะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ ณ ตอนนั้น กลุ่มที่ทำงานกราฟฟิกมีจำนวนน้อย ไม่มีการเรียนการสอนโดยตรง หลังจากนั้นก็ขยับขยายขึ้นมาเรื่อยๆ สมาคมฯ พยายามเข้าไปผูกวิชาชีพของนักออกแบบกราฟิกให้แข็งแรงขึ้น ให้เห็นถึงความสำคัญของงานกราฟิกดีไซน์ต่างๆ จุดประสงค์สำคัญคือ ขับเคลื่อนกราฟิกดีไซน์ไทยให้เป็นมากกว่านักออกแบบ

“โดยเริ่มจากการตั้งคำถามว่า กราฟิกดีไซน์ สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ไหม?”

เพราะปัจจุบันงาน Communication Design มีความเเข็งเเรงมากขึ้น มีโอกาสมากขึ้น และภารกิจสำคัญอีกอย่าง คือ บ่มเพาะนักออกแบบกราฟิก เพื่อให้พร้อมในการเเข่งขัน เพราะในปัจจุบันอาชีพกราฟิกดีไซน์ คล้ายจะยังไม่ติดอันดับในสายงานออกแบบ

ThaiGA คือหน่วยที่ขับเคลื่อนเรื่องงานออกแบบและดูเเลนักกราฟิก

“ถ้าพูดโดยรวม เราเหมือนทำหน้าที่ส่งเสริมวิชาชีพมากกว่า แต่พอบอกว่าส่งเสริมวิชาชีพมันทำได้หลายอย่าง เรามองว่าสมาคมจะเป็นเหมือนประตูสำหรับงานที่อยู่ภายใต้อุตสาหกรรม communication design เพื่อการเชื่อมต่อกับนักออกแบบ ให้มีโอกาสใช้วิชาชีพเขาสร้างการเปลี่ยนแปลง

โดยที่ผ่านมาสมาคมเราเองไปร่วมมือทำงานกับหน่วยงานอื่นๆ หรือว่าแม้กระทั่งทำโปรเจ็คต์ขึ้นมาเอง งาน Poster Exhibition หัวข้อ ‘อนาคตการศึกษาไทย?’ ในครั้งนี้ ก็เป็นโปรเจ็คต์ที่สมาคมเห็นตรงกันว่า เข้ากับยุทธศาสตร์ที่เราพยายามทำ

ต้องย้อนให้ฟังก่อนว่าทางสมาคมฯ เคยจัดกิจกรรมร่วมกับ Bangkok Design Week มาก่อนแล้ว ซึ่งในปี 2019 นี้ ก็ยังคงสานต่อ ภายในงานจะมี 2 ส่วนที่จัดทำโดย ThaiGa นั่นคือ ThaiGa Creative Market 2019 และ ThaiGa Creative Showcase 2019 ซึ่งนิทรรศการแสดงภาพโปสเตอร์จะอยู่ในส่วนของงาน Creative Showcase

ทำไมกราฟิกดีไซน์ทำโปรเจ็คต์เกี่ยวกับการศึกษา

เราก็คุยกันในวงว่า มันมีเรื่องอะไรบ้างที่น่าสนใจและเหมาะสมกับงานออกแบบ แล้วถ้าอยากทำให้งานออกแบบมันเวิร์คจริงๆ มันก็ต้องไปช่วยเขย่าหรือแก้ปัญหา เราจึงพยายามมองว่าปัญหาพื้นฐานของประเทศมันมีอะไรบ้าง และมีอะไรบ้างที่กราฟิกดีไซน์สามารถเข้าไปกระพือมันได้เเละหนึ่งในนั้นก็คือ เรื่องของการศึกษา และเป็นเรื่องที่ตัวเองสนใจโดยส่วนตัวอยู่แล้ว

เราคิดว่าการศึกษาของบ้านเรามันยังมีโอกาสอื่นๆ ที่จะพัฒนาต่อได้ มองในเเง่บวกนะ ก็คือมันมีโอกาสอื่นๆ ที่มันจะปรับตัว และทำให้มันสมบูรณ์ เพราะเราก็มั่นใจว่าตอนนี้สิ่งเเวดล้อมของเมือง ของคน ของสังคม มันเปลี่ยนไปหมดเเล้ว การศึกษาอาจจะยังปรับตัวไม่ทัน คือถ้ามันได้อะไรมากระทุ้งแบบเปิดบทสนทนา ก็อาจจะทำให้สิ่งนั้นกว่าแบบไปถึงได้เร็วขึ้น

หรือคิดว่าประเด็นการศึกษายังเป็น pain point?

ด้วยความที่เรามีลูก การศึกษาจึงเป็นเรื่องที่เราสนใจ แทบทุกปัญหาในสังคมตอนนี้ มันวกกลับมาที่จุดเริ่มต้นทั้งหมดนั้นคือในเรื่องของการศึกษาล้วนๆ เพราะมันเป็นสิ่งตั้งต้นที่มันจะปลูกฝังให้คนแต่ละวัย

ถ้าคุณอยากจะเปลี่ยนสังคม คุณอยากจะเปลี่ยนเมืองจริง มันต้องใช้เวลานานมาก แล้วจะทำอย่างไรก็ได้ให้มัน short cut ให้ได้มากที่สุด อยากสร้างค่านิยมใหม่ๆ แต่ถ้ามันไม่มีปัจจัยอะไรมากระทุ้ง ไม่มีอะไรที่มันมากระเเทก มันเลยเดินเส้นเดิม เราจึงคิดว่าเรื่องการศึกษา จึงเป็นเรื่องสำคัญในเมืองของเรา ในสังคมของเราควรจะพูดถึง

ช่วยเล่าถึงกระบวนการของ Exhibition  

งานนี้ใช้เวลาทั้งหมดทำ 2 เดือน กระบวนการทั้งหมดคือ หลังจากเรากำหนดโจทย์ ให้ออกแบบ ‘อนาคตของการศึกษา’ โดยอยู่ในรูปแบบโปสเตอร์ จากนั้นก็ประชาสัมพันธ์ แล้วก็คัดเลือก จัดตั้งคณะกรรมการเข้ามาช่วย ว่าผลงานใครเข้าเป้าบ้าง

เราเปิดให้นักออกแบบนำเสนอผลงาน ผ่านการสร้างสรรค์หลายประเภทต่างๆ เช่น ภาพประกอบ งานออกแบบหนังสือ งานออกแบบกราฟิก งานออกแบบตัวอักษร งานออกแบบผลิตภัณฑ์ ภาพเคลื่อนไหว สื่อผสม ฯลฯ แต่ถ้าถามว่าทำไมต้องโปสเตอร์?

เราคิดว่าโปสเตอร์มันมีความ powerful บางอย่างซ่อนอยู่ เป็นหนึ่งในสื่อที่ทำงานได้ ถึงแม้จะเป็นภาพแบนๆ

ใช้เกณฑ์อะไร ในการตัดสินผลงาน

จริงๆ ในการคัดเลือกผลงานที่ส่งมานั้น ผ่านการตัดสินจากคณะกรรมการหลายๆ คน แต่หลักเกณฑ์ที่ต้องพิจารณาร่วมกันนั้นก็คือ ผลงานชิ้นนั้นสามารถพูดในประเด็นการศึกษาจนเกิดแรงกระเพื่อมขึ้นมาได้ไหม ไม่ว่าจะแรงน้อย แรงมาก แต่อย่างน้อยขอให้งานชิ้นนั้นส่งเสียงออกมาได้ นี่คือสิ่งหลักที่เราต้องคำนึงส่วนอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ ลีลาในการนำเสนอ เมื่อไอเดียดีแล้ว จะเล่าเรื่องได้ไหม สื่อสารได้หรือไม่ นี่คือสองหัวข้อใหญ่ๆ ที่เราใช้เป็นเกณฑ์คัดเลือกนั้นก็จัดเตรียมงานเเสดง

ผลงานส่วนใหญ่เป็นอย่างไร

คือโจทย์จริงๆ เราพยายามมองไปข้างหน้า ‘อนาคตกับการศึกษาไทย’ ดูว่ามันเป็นอย่างไร แต่ว่ามันอาจจะมองไม่เห็นจริงๆ (มั้ง) เพราะผลงานที่ส่งเข้ามาส่วนใหญ่มักสะท้อนสภาพปัญหาที่มันมีอยู่เดิม เช่น พูดถึงความล้าหลังของวิชาเรียน การขังเด็กอยู่ในกรอบ เด็กไม่รู้จักตัวเอง ซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจนะ ว่าสุดท้ายเเล้วสังคมเรามันสิ้นหวังกับเรื่องการศึกษาขนาดนี้เลยหรอ ทำไมเราจึงไม่เคยเห็น process ที่ออกแบบว่ามันจะไปทางไหนต่อ แต่มักจะพยายามพูดในสิ่งที่มันเป็นอยู่เดิมมากกว่า ซึ่งก็เป็นข้อค้นพบใหม่ที่เราไม่ได้คาดว่ามันจะเกิดขึ้น

สำหรับ Exhibition นี้ มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนเเปลงแค่ไหน

เราว่าอย่างน้อยมันก็คงสร้าง conversation หรือบทสนทนาอะไรบางอย่างได้เหมือนกัน เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงก็ต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ ทั้งนั้น เช่น การเริ่มพูดคุยในประเด็นการศึกษา เริ่มตั้งคำถาม เริ่มคิดตาม ก็โอเคแล้ว

ในฐานะนักออกแบบ อะไรที่เราจะช่วยสื่อสารในเรื่องการศึกษาได้มากที่สุด

หน้าที่ของนักออกแบบ มันจะสะท้อนใน 2 มิติ อันแรกคือความสนใจของเขาในเรื่องประเด็นนั้นๆ อย่างที่สองคือ การนำวิชาชีพเขามาสร้างความสนใจให้ประเด็นมันขับเคลื่อน เช่น คุณมีสคริปต์หนังดีๆ สักเรื่อง แต่มันยังไม่ถูกทำเป็นหนัง เป็นแค่ตัวหนังสือล้วนๆ ซึ่งอาจจะเรียกความสนใจได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้ามันถูกทำให้ผ่าน special effect ที่ดีบางอย่าง โดยงานดีไซน์ มันก็จะสร้างความสนใจให้มันมากขึ้นไปอีก สิ่งนั้นมันจะถูกนำพาไปสู่มวลชนที่กว้างขึ้น

คือบางครั้ง เนื้อดี-แต่ออกแบบเเย่ เรื่องก็หาย บางครั้งเนื้อแย่-แต่ออกแบบดี มันก็ไปได้ ดังนั้นนักออกแบบจึงมีส่วนช่วยสร้างภาพจำ สร้างความน่าสนใจ มันก็จะเป็นหนึ่งในวิธีการที่นักออกแบบควรจะ contribute ให้กับอุตสาหกรรมตัวเองมีความเชี่ยวชาญอยู่

กำลังจะบอกว่าศิลปะ ช่วยสนับสนุนสังคมได้

ใช่ ซึ่งเป็นโจทย์ต่อไปที่สมาคมต้องใช้กราฟิกเข้าไปช่วยพัฒนาสังคม อาจจะพูดแล้วดูเล่นใหญ่ (หัวเราะ) แต่มันมีพื้นที่ที่เอื้อให้ทำได้จริงๆ

ศิลปะมักไม่เคยถูกมองในแง่นี้มาก่อน แต่มันใช้งานในเชิงยุทธศาสตร์ได้ และน่าจะช่วยเปลี่ยนคุณภาพชีวิต การเป็นอยู่ของคนในสังคมได้

ยกตัวอย่าง เช่น ?

เช่น เราพาแม่ไปโรงพยาบาล เราต้องเจอกับข้อมูลสุขภาพที่ล้นมหาศาล และเราว่านักออกแบบหรือนักกราฟิกเอง ก็พอจะมีความสามารถที่จะทำให้ข้อมูลเข้าใจได้ง่ายขึ้น และเกิดประโยชน์บางอย่างขึ้นได้  

กราฟิกดีไซน์ มันมีอิทธิพลนะ เพียงแต่ในช่วงที่ผ่านมาเราอาจจะไปให้ความสำคัญกับมิติของความสวยงามเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง มันมีจุดสำคัญอื่นๆ ที่ทำให้มันไปไกลมากกว่านั้น และมันก็สร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ

ส่วนเรื่องความสวยงามก็จำเป็นอยู่ เพราะมันเป็นส่วนช่วยสร้างแรงดึงดูดจากคนมาได้ดีที่สุด ถ้าใครยังนึกไม่ออก ขอยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การออกแบบซองยา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตคนมาก ถ้าการออกแบบมันดี จนสามารถเข้าไปแตะถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงได้ มิติของการสื่อสารก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“เราชื่อว่าเรื่องการออกแบบให้สวย คนไทยเก่งอยู่แล้ว แต่มันควรจะไปให้ลึกกว่านั้น ถ้าเกิดกราฟฟิกไปให้ถึงระดับ strategy เราว่า มันน่าจะสร้างโอกาสในการเปลี่ยนแปลงให้เกิดมากขึ้นได้”

โอกาสต่อไป ThaiGa อยากสร้างโปรเจ็คต์อะไรเพิ่มอีก

เราก็จะพยายามเอาความเป็นกราฟิก ความเป็นศิลปะ เข้าไปผสมผสานกับประเด็นสังคม social issue ต่างๆ ให้มากขึ้น

ถ้ามองไปที่ปลายทางในอนาคต เราอยากเห็นภาพของนักออกแบบมีบทบาทและหน้าที่ช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลง ผลดีก็คือมันจะทำให้เกิดการว่าจ้างงานดีไซน์มากขึ้น

ถ้าสาธารณะมองเห็นว่าพวกเราสามารถก็คิดและสร้างสิ่งต่างๆ ที่เกิดประโยชน์ได้ มองว่าศิลปะกลายเป็นกระบอกเสียง มองว่าศิลปะทำให้ชิ้นงานนั้นเป็นที่รู้จัก ทำให้ขายได้  ก็จะเริ่มเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น สุดท้ายระหว่างภาคธุรกิจและศิลปะมันก็จะโตไปพร้อมๆ กัน

อย่างที่ผ่านมา ประเด็นบัตรเลือกตั้ง เราก็คิดๆ เหมือนกันว่าอยากจะทำอะไรสักอย่างกับมัน เวลาไม่นานก็มีคนออกมาทำ ซึ่งก็ทำให้เห็นว่า ‘เออ มันมีคนคิดเหมือนเรา’

วงการออกแบบมันเริ่มตื่นตัวกับประเด็นสังคมแล้ว

Tags:

ระบบการศึกษานวัตกรรมศิลปะนักออกแบบพิชิต วีรังคบุตร

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    CONNEXT KLONGTOEY : เรื่องจริงของ ‘เด็กคลองเตย’ ผ่านแฟชั่น แร็ป ภาพถ่ายและลายสัก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Voice of New Gen
    VISUALIZATION: ในโลกของ BIG DATA เราต้องการนักสร้างภาพจากมหาสมุทรข้อมูล

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊antizeptic ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

เคาะประตูบ้าน ส่งต่อเพลงซอและนิทาน สืบสานต่อโดยละอ่อนปกาเกอะญอ
Creative learningCharacter building
31 January 2019

เคาะประตูบ้าน ส่งต่อเพลงซอและนิทาน สืบสานต่อโดยละอ่อนปกาเกอะญอ

เรื่องและภาพ The Potential

  • เพราะการสืบทอดนิทานปกาเกอะญอ กับ ซอ-บทเพลงหรือกลอนเพื่อความสนุกสนานและความบันเทิง เป็นการสืบทอดแบบปากเปล่า ต้องถอดเรื่องราวจากคำบอกเล่าและความทรงจำของผู้เฒ่าผู้แก่ องค์ความรู้จึงค่อยหล่นหายไปตามกาลเวลา
  • เด็กปกาเกอะญอกลุ่มหนึ่งจึงร่วมตัวกันทำโครงการสืบสานภูมิปัญญานิทานและซอปกาเกอะญอ
  • ด้วยวิธีการสุดน่ารัก ส่วนหนึ่งคือตรงไป ‘เคาะประตูบ้าน’ ผู้เฒ่าผู้แก่เพื่อให้ซอและเล่านิทานให้ฟัง จากนั้นจึง จดๆๆ เรียบเรียง ตีความ จัดเก็บข้อมูล
ภาพ: สิริเชษฐ์ พรมรอด

‘นิทานปกาเกอะญอ’ นับเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงอุปนิสัย การใช้ชีวิตร่วมกันในชุมชน ส่วน ‘ซอ’ เปรียบเสมือนบทเพลงหรือบทกลอนที่ทำให้เกิดความสนุกสนานและความบันเทิง บทซอมีหลายประเภทและใช้ในโอกาสที่ต่างกัน เช่น ซอในงานศพ ซอไปไร่ ซอกล่อมเด็ก ซอเกี้ยวหญิงชาย เป็นต้น ส่วนสำเนียงภาษาปกาเกอะญอขับขานเพลงซอที่หาฟังได้ยากในปัจจุบัน เนื้อหาบอกเล่าถึงวิถีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมา ทว่ากำลังจะเลือนหายไป

แต่วันนี้มีเด็กปกาเกอะญอกลุ่มหนึ่ง คือ เปียโน-นงค์นภา สง่าภูพาน, เหมียว-ประกายทิพย์ สวัสดิ์บรรพต, เชียร์-โสภา ลูงพนาดอน, แวว-รสิตา ใจหล้ากาศ และ หลิน-กรกช ปงพางนิมิต เยาวชนบ้านแม่สะแงะตำบลทากาศ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ที่เห็นความคุณค่าความหมายของนิทานและซอของตนเอง จึงรวมตัวกันทำโครงการสืบสานภูมิปัญญานิทานและซอปกาเกอะญอ

เมื่อเด็กคิดสืบสานต่อนิทานและซอ

“ที่ผ่านมาเคยฟังพ่อแม่เล่านิทานตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ยังจำได้นิดหน่อย เรื่องที่ชอบมากที่สุดคือเรื่อง ‘ผีเจ้าที่’ ซึ่งเป็นความเชื่อของคนที่นี่ว่า ถ้าใครทำไร่ทำนาทำสวนจะมีผีเจ้าที่ของแต่ละคน ทำให้ทุกๆ ปี ต้องมีพิธีเรียกว่าเลี้ยงผีไฟ ซึ่งอยู่ในกระต๊อบในไร่ในสวนอยู่แล้ว” แววบอกและเสริมว่า แม้นิทานและซอจะยังไม่หายไป แต่ทุกวันนี้มีเฉพาะคนเฒ่าคนแก่เท่านั้นที่รู้

ขณะที่ พ่อหลวงอนุวัฒน์ วนารัตนชัยกุล ผู้ใหญ่บ้านบ้านแม่สะแงะ และพี่เลี้ยงโครงการเล่าให้เห็นภาพเพิ่มเติมว่า

“สมัยผมเป็นเด็ก หัวค่ำพ่อแม่จะเล่านิทานให้ฟังอยู่เสมอ เหมือนเราถูกปลูกฝังไปพร้อมกัน เพราะนิทานทุกเรื่องจะมีข้อคิดแฝงอยู่ เลยคิดว่าถ้าเด็กสามารถถอดความรู้เหล่านี้ไว้ได้คงจะดี อย่างน้อยหากเด็กรุ่นหลังไม่รู้ก็ยังมีรูปเล่มไว้ให้ศึกษา แม้วันนี้พวกเขาจะยังไม่สามารถจัดเก็บความรู้เรื่องนิทานและซอได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในอนาคตก็สามารถต่อยอดไปได้”

ทั้งหมดจึงเป็นจุดริเริ่มโครงการ แต่แม้จะตระหนักในคุณค่าของภูมิปัญญาชิ้นนี้ แต่เนื่องจากทั้งนิทานและซอ ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการสืบทอดแบบปากต่อปาก ต้องถอดเรื่องราวจากคำบอกเล่าและความทรงจำของผู้เฒ่าผู้แก่ โจทย์ใหญ่อันดับแรกจึงเป็นการพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนต่างวัย ซึ่งแต่เดิมต่างคนต่างก็มีภารกิจในความรับผิดชอบที่ต่างกันไป

เปียโนเล่ากระบวนการทำงานว่า เริ่มจากการจัดประชุมที่ศาลากลางหมู่บ้านเพื่อชี้แจงรายละเอียดการทำโครงการให้คนในชุมชนรับรู้ โดยมีพ่อหลวงช่วยประกาศเสียงตามสาย

“ตอนนั้นมีคนเฒ่าคนแก่มาร่วมฟังกันหลายคน แต่ละคนให้ความสนใจดี สังเกตได้จากหลังชี้แจงจบ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่เป็นผู้รู้ก็จะแบ่งหน้าที่กันว่าใครจะให้ความรู้เรื่องซอ ใครจะให้ความรู้เรื่องนิทาน จากนั้นก็เดินมาบอกพวกเราว่า นิทานต้องไปถามใคร ซอไปถามใคร”

เมื่อได้แหล่งข้อมูลซึ่งก็คือผู้เฒ่าผู้แก่แล้ว ต่อมาคือการจัดหมวดหมู่นิทานและซอ แล้วจึงค่อยลงมือเก็บข้อมูล ซึ่งวิธีการเก็บข้อมูลครั้งแรก เยาวชนใช้วิธีเดินทางไปถามที่บ้านเพื่อขอให้เล่านิทานและซอให้ฟัง ก่อนจะเชิญให้ผู้รู้มารวมตัวกันที่ศาลากลางบ้าน นัดหมายเวลาคือทุกวันเสาร์ตั้งแต่เวลา 10.00-14.00 น.

“เราจะเริ่มด้วยการขอให้ผู้เฒ่าผู้แก่เล่านิทานให้ฟัง เมื่อเล่าจบ เราก็จะมาจัดประเภทเองว่านิทานเรื่องนี้เป็นนิทานประเภทไหน” เด็กๆ เล่าถึงความยากของการทำงานว่า เพราะนิทานแต่ละเรื่องไม่มีบทตายตัว เช่น นิทานเรื่องหนึ่งอาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์ ยิ่งถ้าเป็นซอยิ่งยากขึ้นหลายเท่า เพราะผู้รู้จะซอไปเรื่อยๆ คนเก็บข้อมูลก็ต้องแบ่งกันจด ส่วนใหญ่จะได้ประมาณ 3 บทต่อคน ทำให้ต้องเก็บข้อมูลกันหลายครั้งกว่าจะได้แต่ละเรื่อง

“สำหรับนิทาน ตอนนี้เราแปลได้ 4-5 เรื่องแล้ว แต่ละเรื่องยาวมาก ความยากของการแปลนิทานอยู่ที่การเรียบเรียงถ้อยคำให้สละสลวย เพราะตอนเล่า คนก็เล่าแบบวกไปวนมา เราต้องฟังให้จบรอบหนึ่ง แล้วก็ฟังซ้ำอีกสองสามรอบแล้วค่อยมาเรียบเรียงใหม่” เปียโนอธิบายและเสริมว่า นิทานจะเข้าใจได้ง่ายกว่าจะใช้วิธีบันทึกเสียงแล้วมาแปลเป็นภาษาไทย ไม่ได้จดเป็นคำอ่านเหมือนการซอ เธออธิบายว่าซอคล้ายกับสุภาษิตไทย แต่ละซอจะไม่ได้มีความหมายตายตัว วิธีเก็บข้อมูลจึงต้องให้ผู้เฒ่าผู้แก่ซอไปเรื่อยๆ แล้วค่อยถามว่าแต่ละท่อนหมายถึงอะไร เมื่อรู้คำแปลแต่ละท่อนจึงนำคำแปลทั้งหมดมาเรียบเรียงเพื่อเขียนความหมายทั้งเพลง

ถึงตอนนี้พวกเธอเก็บซอจากหลาย ๆ เรื่องไปได้แล้ว 127 ท่อน นิทาน 12 เรื่อง ในจำนวนนี้แปลเสร็จเรียบร้อย  5 เรื่อง

รวมพลังเพื่อซอและนิทานบ้านเรา

ภายใต้บรรยากาศความร่วมมือและความหวังที่จะเห็นเรื่องราวที่เล่าขานต่อกันมาได้รับการบันทึกในรูปแบบของหนังสือ ระหว่างทางใช่ว่าจะไม่มีปัญหาและอุปสรรค บางครั้งก็หนักหนาจนเกือบจะทำให้ถอดใจ

“ความยากอยู่ที่การรวมทีม แรกเลยมีเพื่อน 5 คน พวกเราทั้ง 5 คนเรียนในเมืองเหมือนกัน แต่สมาชิกทีมหายไปเพราะเขาต้องไปเรียนสายอาชีพ เหลือหนู เหมียว และเชียร์ แต่เพราะพวกเราเรียนอยู่ในเมืองจะเก็บข้อมูลได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ตอนนั้นเราคิดว่าต้องทำไม่ได้แน่ ๆ เดินไปบอกพี่ๆ ทีมโค้ชแล้วด้วยว่าขอยกเลิกโครงการได้ไหม แต่พี่เขาไม่ให้ยกเลิก

“พี่อ้อย-ศิริขวัญ อุทา และพี่กอล์ฟ-กันตภณ จงงามวิไล เติมพลังให้ บอกว่า ‘สู้ ๆ’ เดี๋ยวพี่เขาจะช่วยอีกแรงหนึ่ง ตรงไหนไม่ได้ก็ให้มาบอก เลยคิดว่าเราต้องไม่ท้อ ลองทำอีกสักตั้ง ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๋ยวค่อยบอก เราก็ทำไป แล้วพอทำไปๆ อะไรก็ดีขึ้น ตอนนั้นบอกกับตัวเองว่ามี 3 คนก็จะทำ แม้จะทำได้ช้า แต่ก็ยังได้ทำ ถึงไม่มีเพื่อนคนอื่นแต่เรามีความตั้งใจว่าจะทำอันนี้แล้วก็ต้องให้มันสำเร็จ เราคาดหวังว่าจะทำได้ เราต้องทำให้ได้” เปียโนสะท้อนความรู้สึก อาการถอดใจนี้ไม่ต่างจากเหมียวที่อยากลาออกเหมือนกัน แต่ก็อดเป็นห่วงเพื่อนที่เหลือไม่ได้ จึงตัดสินใจอยู่ช่วยกันต่อไป

“ตอนนั้นความตั้งใจคือ เราทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น แต่ก็แอบคาดหวังว่ามันต้องดี” เหมียวอธิบาย

หลังจากจับมือกันสู้ต่อ ก็ได้แววและหลินซึ่งเป็นรุ่นน้องที่ยังเรียนอยู่ในชุมชนเข้ามาร่วมทีม และทั้งสองคนก็กลายเป็นกำลังหลักในการเก็บข้อมูล ซึ่งไม่ใช่แค่จดบันทึกเก่งยังสามารถซอเอื้อนเสียงได้ด้วย

“เมื่อก่อนนี้ซอได้นิดหน่อย ความรู้เรื่องนิทานกับซอมีน้อยมาก เพราะพ่อกับแม่ก็ซอไม่เป็น เราเคยแต่เห็นคนซอที่งานศพบ้าง ฟังตาซอก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง แต่ตอนนี้รู้มากขึ้นและอยากซอเป็น ยากที่สุดของการซอคือ ‘อือทา’ หรือการเอื้อนเสียง ส่วนการจดบันทึกช่วงไหนที่จดไม่ทันก็ถามซ้ำ ลุงเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็พูดเล่นกับเขาไปด้วย เป็นกันเองค่ะ” แววเล่าด้วยแววตามุ่งมั่น

สุดท้ายเมื่อแก้ปัญหาเรื่องทีมงานได้ มีการแบ่งหน้าที่กันตามความเหมาะสม งานก็ก้าวหน้าไปตามขั้นตอน เปียโนบอกว่าเธอรู้สึกดีใจมากที่ไม่ได้เลิกทำตั้งแต่ตอนนั้น

“ส่วนที่ยากที่สุดของการทำงานคือการเก็บข้อมูล การเรียบเรียงข้อมูล และการแปลความหมาย ซึ่งหลังจากเรียบเรียงนิทานเสร็จแล้วหนูคิดว่าจะชวนเด็กในชุมชนมาฟังพวกเราเล่านิทาน เผื่อน้องบางคนจะสนใจอยากรู้มากขึ้น ถึงแม้เขาไม่ได้เข้าร่วมโครงการ แต่ก็ขอให้รู้ว่าชุมชนเรามีนิทานอะไรอยู่บ้าง หรือจะให้ดีคือเขาเอานิทานไปเล่าต่อให้เพื่อนฟัง หากรวบรวมได้มาก ๆ ก็จะเอาไปบริจาคให้ห้องสมุดโรงเรียน หรือในหมู่บ้านให้เขาได้อ่านกัน”

นี่คือความหวังเล็กๆ ของเยาวชนบ้านสะแงะ ซึ่งพวกเขาได้ฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันมาเพื่อรักษาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษให้คงอยู่ต่อไป

งอกงามบนฐานวัฒนธรรม

ทุกนิทานเรื่องเล่าที่ได้ฟังจากผู้เฒ่า ทุกคำซอที่ได้ซาบซึ้งจากการอรรถาธิบาย ทำให้เยาวชนกลุ่มนี้ไม่เพียงตระหนักถึงคุณค่าของภูมิปัญญาปกาเกอะญอ ยังภาคภูมิใจที่ได้ร่วมสืบสานมรดกทางวัฒนธรรม

“เดี๋ยวนี้ภูมิใจในภาษาของตัวเองมาก เวลาไปโรงเรียนก็ไม่อายที่จะพูดภาษาตัวเอง แถมยังพยายามสอนให้เพื่อนที่อยู่ในเมืองพูดด้วย” เชียร์ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ขณะที่แววบอกว่า เธอภูมิใจที่ชุมชนของตนเองมีนิทานกับซอที่ชุมชนอื่นไม่มี ตั้งใจว่าจะสืบทอดจากปู่ย่าตายายไว้ให้เด็กรุ่นหลังต่อไป ซึ่งตอนนี้แววสามารถเล่านิทานและซอได้แล้ว แต่ยังต้องฝึกเอื้อนเสียงให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

“ในอดีตการซอและนิทานอยู่ในวิถีชีวิตของปกาเกอะญอ ถ้าเป็นไปได้หนูอยากให้มันกลับมาเหมือนเดิม เหตุผลที่วิถีชีวิตเปลี่ยนไปอาจมาจากอิทธิพลของเทคโนโลยี อย่างเมื่อก่อนมันไม่มีโทรศัพท์ให้เล่น นิทานและซอคือความบันเทิงของพวกเรา เย็นๆ ปู่ย่าตายายก็เล่านิทานให้ฟัง วันนี้ไปบ้านนี้ พรุ่งนี้ก็ไปบ้านคนนั้น เปลี่ยนบ้านไปเรื่อยๆ ทำให้คนในชุมชนรู้จักสนิทสนมกัน ไม่ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดี๋ยวนี้”

สำหรับพวกเธอแล้ว นิทานและซอสอนเรื่องคุณงามความดี เรื่องวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ การสืบทอดนิทานและซอ จึงเปรียบเสมือนการดำรงอัตลักษณ์อันงดงาม หลังจากนี้ภารกิจที่เหลือ คือ การทำนิทานในรูปแบบการ์ตูนและหนังสือซอให้เสร็จสมบูรณ์


เยาวชนทั้ง 5 คนยอมรับว่าการทำโครงการนี้คือการบ้านชิ้นใหญ่ที่ไม่เพียงทำให้คนต่างวัยในชุมชนได้พูดคุยกันมากขึ้น ยังทำให้คนในวัยเดียวกันได้ฝึกทำงานร่วมกัน ได้พัฒนาตัวเอง และได้เปลี่ยนมุมมองความคิดไปไม่น้อย

“การเข้าร่วมเวทีกลางที่ได้เจอเพื่อน ๆ ร่วมโครงการ ฝึกให้หนูเป็นคนกล้าคิด กล้าพูด และกล้าแสดงออก เพราะถูกฝึกให้พูดและรับฟังความคิดเห็นของเพื่อน แรกๆ หนูอายและกลัวมากที่ต้องพูดนำเสนอ เพราะพูดไม่ชัด กลัวว่าพูดไปแล้วเพื่อนจะหัวเราะ ตอนนั้นจำได้ว่าไปกัน 3 คน ถ้าเราไม่พูดก็ไม่ใครพูด เลยแบ่งส่วนกันพูด พอได้พูดก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แย่อย่างที่คิด แค่เราเปลี่ยนตัวเอง กล้าเข้าหาเพื่อน กล้าพูดนำเสนอเท่านั้น” เปียโน กล่าว  

เช่นเดียวกับเหมียว ซึ่งปกติเป็นคนเงียบๆ แต่เมื่อต้องรับหน้าที่หัวหน้าโครงการ ทำให้ต้องรับผิดชอบมากขึ้น สื่อสารกับคนอื่นมากขึ้น จากเด็กที่ไม่เคยกล้านำเสนองานหน้าชั้นเรียน  ก็สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้นำได้ เชียร์และแววเองก็มีความมั่นใจมากขึ้นด้วย

“งานที่ยากที่สุดคือ การแปลความหมายของนิทานและซอเป็นภาษาไทย แต่พอได้ทำก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเขียนหนังสือเก่งขึ้น ลายมือก็สวยขึ้น เพราะไม่เช่นนั้นคนอื่นจะอ่านไม่ออก แถมสมาธิก็ดีขึ้น เพราะต้องคอยฟังคำที่ผู้รู้บอก แล้วเขียนเป็นภาษาไทยอีกที จึงต้องเงี่ยหูฟังตลอดเวลา วอกแวกไม่ได้เลย ถ้าสติหลุดก็จะจดผิดทันที” แววบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

สิ่งเหล่านี้อยู่ในสายตาของพี่เลี้ยงอย่างพ่อพลวงอนุวัฒน์ตลอดเวลา เขาบอกว่าเด็กกลุ่มนี้กล้าแสดงออกมากขึ้น ตอนนี้เวลามีกิจกรรมในชุมชน นอกจากพ่อแม่ปู่ย่าตายายมาช่วยกันแล้ว ก็จะมีเยาวชนสนใจเยอะขึ้น

“อย่างน้อยเราก็ได้เด็กกลุ่มนี้ที่สนใจหันมาดูเรื่องของชุมชนหมู่บ้าน เหตุที่ผมอยากให้เด็กทำโครงการนี้เพราะเห็นว่านิทานและซอเริ่มหายไปจากชุมชน เลยอยากให้เก็บความรู้เรื่องนิทานและซอไว้ อย่างน้อยๆ ให้เด็กๆ ในหมู่บ้านได้เรียนรู้ว่าบรรพบุรุษเรา คนเฒ่าคนแก่เรามีภูมิปัญญาเรื่องนี้อยู่ แม้จะยังเก็บไม่ได้มากก็ยังได้ทำ แต่ถ้าไม่ทำมันก็จะหมดไป ถ้าไม่มีเด็กรุ่นนี้มาช่วยสืบทอด รับรองว่าหายไปแน่ๆ”

เยาวชนกลุ่มเล็กๆ นี้จึงเป็นมากกว่าลูกหลานปกาเกอะญอ แต่ยังเป็นความหวังในการรักษาวิถีชุมชนบนฐานวัฒนธรรมให้ยั่งยืนต่อไป

Tags:

active citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)นิทานปกาเกอะญอชาติพันธุ์

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    “ป่าไร่เหนือ” แม่ระมาด เมื่อคนรุ่นใหม่หยิบวิถีดั้งเดิมมาตั้งรับโลกที่เปลี่ยนไป

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Character buildingCreative learning
    ที่บ้านไม้สลี เด็กๆ ที่นี่ ปั่นฝ้าย ย้อมสี และทอผ้า ใส่กันเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ต๋ามฮอยกอยบ้านเกิด: รู้อะไรก็ไม่สู้ ‘รู้จัก’ และ ‘รัก’ หมู่บ้านตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

สื่อสารกันอย่างสันติ: ครูกับเด็กเป็นมนุษย์เท่ากันในห้องเรียน
Learning Theory
31 January 2019

สื่อสารกันอย่างสันติ: ครูกับเด็กเป็นมนุษย์เท่ากันในห้องเรียน

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • ไม่ต่างจากพ่อแม่ที่มักเผลอพูดจาภาษาหมาป่ากับลูก คือ ตัดสิน กล่าวโทษ ประชดประชัน ครูเองก็เช่นกัน
  • แม้ลึกๆ แล้วคือความรักและหวังดี แต่การบอกว่าเด็กๆ ทำผิดหรือโง่ นอกจากบรรยากาศเรียนรู้จะไม่เกิดขึ้น ซ้ำร้ายความสัมพันธ์ครู-นักเรียนจะดิ่งลงนรกเรื่อยๆ
  • ครู-นักเรียนเริ่มต้นกันใหม่ได้ด้วยการสื่อสารความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ตัดสิน ไม่ออกคำสั่ง คิดถึงใจเขาใจเรา แบบยีราฟ-สัตว์บกที่มี ‘หัวใจ’ ใหญ่โตที่สุด มันจึงพร้อมจะแบ่งปันความรัก ความเมตตากรุณาทั้งกับตัวเองและคนอื่น

ดร.มาร์เชล บี. โรเซนเบิร์ก (Marshall B. Rosenberg) ผู้ก่อตั้งและอำนวยการศูนย์การศึกษาเพื่อการสื่อสารอย่างสันติ อธิบายว่า สังคมที่หล่อหลอมให้คนมองโลกด้วยบรรทัดฐานดีชั่ว ถูกผิด เก่งโง่ เป็นธรรมดาที่ต้องใช้การทำโทษหรือให้รางวัลเป็นเครื่องมือเพื่อบริหารอำนาจตัดสิน สังคมแบบนี้คือระบบใครอำนาจเหนือกว่าเป็นใหญ่ (Dominant System) หมายความว่าคนมีสถานะเหนือกว่าจะใช้อำนาจนั้นควบคุม ‘เหนือ’ ผู้อื่นแทนที่จะเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียม

ในสังคมนี้ เราจะเห็นพ่อแม่มีอำนาจในบ้าน คุณครูอาจารย์มีอำนาจที่โรงเรียน หรือเจ้านายมีอำนาจในบริษัท สามารถออกคำสั่ง ชี้ถูกผิด และตัดสินผู้อยู่ใต้อำนาจอย่างลูกหลาน นักเรียน ลูกจ้างเสมอมา แต่เล็กจนโต สังคมแบบนี้สอนให้เราวัดประเมินการกระทำกับคำพูดคนอื่นอยู่ตลอดว่าใครดีหรือไม่ดี ทำถูกหรือทำผิด จึงไม่แปลกที่ทุกคนต่างก็เรียนรู้ที่จะมองโลกด้วยสายตาแห่งการประเมินตัดสินเช่นกัน

ภาษาที่ตัดสินคนอื่นว่าผิดหรือโง่

ดร.โรเซนเบิร์ก สังเกตว่า ภาษาที่เราใช้สื่อสารก็เป็นตัวการหนึ่งที่ผสมโรงให้ความสัมพันธ์ของผู้คนในระบบ Dominant เต็มไปด้วยการแสดงออกทางความรุนแรงในความสัมพันธ์ เช่น ออกคำสั่ง ประเมินตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นว่าดีหรือร้ายอยู่ตลอดเวลา ยิ่งในโรงเรียน คนที่ด้อยอำนาจกว่าคือนักเรียน ต้องเป็นฝ่ายถูกตัดสิน บังคับ และกดความต้องการที่แท้จริงเพื่อให้ครูถูกใจ โดยหารู้ไม่ว่ายิ่งถูกบีบให้กดความต้องการเท่าไหร่ แรงต่อต้านยิ่งก่อตัวมากขึ้นเท่านั้น เกิดเป็นการต่อต้าน อาการขบถ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ครูมองว่าเด็กมีนิสัยเกเร ดื้อ และลงเอยด้วยการทำโทษในที่สุด

สิ่งสำคัญที่สุดที่นักเรียนต้องเรียนรู้แทนที่จะเป็นการพัฒนาทักษะชีวิตและองค์ความรู้ จึงกลับเป็นการเรียนรู้ว่าทำยังไงจึงจะได้รับคำชม และทำยังไงจึงจะไม่ถูกต่อว่า

ไม่น่าเชื่อว่าปัจจัยของความรุนแรงที่มาจากภาษาที่เราใช้จนเห็นเป็นธรรมดาโดยไม่รู้ตัว รูปประโยคที่เต็มไปด้วยการกล่าวโทษ ตัดสินตีความ วิจารณ์ และจัดประเภท และมีนัยยะว่าคนที่ไม่ทำตามความต้องการของเรามีความผิด หรือสถานการณ์ที่ไม่เป็นดังใจเราก่อความทุกข์ เช่น

  • “พวกเธอมาเตะบอลในห้องได้ไง ทำกระจกแตกอีก โตป่านนี้แล้ว ยังเล่นไม่เข้าเรื่อง”
  • “ทำอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน ไปทำรายงานมาใหม่เลยส้มส้ม ใช้ไม่ได้”
  • “เป็นเด็กอย่าเถียงเวลาครูพูด”
  • “ถึงบอกไป ครูก็ไม่เข้าใจหรอก”
  • “หนูโง่จะตาย ใครจะไปทำได้”

ตัวอย่างข้างต้นนี้ ดร.โรเซนเบิร์ก เรียกว่า ภาษาหมาป่า (Jackal Language) ซึ่งเป็นรูปแบบการสื่อสารที่ตัดสินกล่าวโทษคนอื่น หรือบางครั้งก็กล่าวโทษตัวเอง คนฟังฟังแล้วรู้สึกเหมือนกำลังทำอะไรผิด ถูกประเมินตัดสิน อยากเถียงกลับ และต้องตั้งแง่โดยอัตโนมัติ จึงมีแนวโน้มสร้างปัญหาหรือความรุนแรงให้เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ได้ตลอดเวลา

ถ้าพิจารณากันดีๆ เราจะพบว่าภาษาหมาป่าเป็นภาษาที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันตลอดเวลา อย่างเช่น ตอนเราพูดกับเพื่อนว่า “ไปทำอะไรมา ทำไมอ้วนจังวะ”

เมื่อภาษาที่เราใช้ในการสื่อสารอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลับสร้างความร้าวฉานให้ทั้งคนฟังและพูด จึงเป็นที่มาของกระบวนการสื่อสารที่เรียกว่า Nonviolent Communication (NVC) หรือการสื่อสารอย่างสันติ ซึ่ง ดร.โรเซนเบิร์ก คิดค้นการปรับรูปแบบการพูดการฟังเสียใหม่ให้เป็นกลางที่สุด คือปราศจากการประเมิน การตัดสิน การวิจารณ์ หรือคำสั่ง อย่างสิ้นเชิง และตั้งชื่อการสื่อสารซึ่งตรงข้ามกับภาษาหมาป่าว่า ภาษายีราฟ (Giraffe Language)

เหตุผลที่เรียกมุ้งมิ้งอย่างนี้ ก็เพราะยีราฟเป็นสัตว์บกที่มี ‘หัวใจ’ ใหญ่โตที่สุด และเขาคิดว่าสิ่งสูงค่าที่สุดในธรรมชาติความเป็นมนุษย์ คือการมีความรักและความเมตตากรุณา (Love and Compassionate)

เมื่อยีราฟมีหัวใจดวงใหญ่โต มันก็พร้อมจะแบ่งปันความรัก ความเมตตากรุณาทั้งกับตัวเองและคนอื่น มันจึงสื่อสารอย่างซื่อตรง ต้องการอะไรก็บอกชัดเจน ปราศจากถ้อยคำที่ตัดสินคนอื่นว่าดีไม่ดี ฉลาด/โง่ ถูก/ผิด

ถ้าไม่เข้าใจอีกฝ่ายก็จะคาดเดาความรู้สึกและความต้องการของอีกฝ่ายโดยการถามออกไปตรงๆ ไม่ตีความเอง เช่น “เธอพูดโดยไม่มองหน้าฉัน กำลังโกรธอยู่รึเปล่า” เพราะเชื่อว่าอีกฝ่ายก็มีความต้องการที่อยากได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกัน

หลักการของ NVC คือ ในมนุษย์ทุกคนมี ‘ความต้องการในส่วนลึก (needs)’ ที่ต้องการการตอบสนองด้วยกันทั้งนั้น นอกเหนือจากปัจจัยสี่ ยังมีความต้องการพื้นฐานของชีวิต เช่น อิสรภาพในตนเอง ทางเลือก การเรียนรู้ เป้าหมาย หรือ ความต้องการด้านความสัมพันธ์ เช่น การมีส่วนร่วม ความเอาใจใส่ ความไว้วางใจ ความร่วมมือ ความเคารพ ความเข้าใจ หรือ ความต้องการความสุขทางกายใจ เช่น ความสะดวกสบาย สุขภาพที่แข็งแรง เป็นต้น

‘ความต้องการ’ คือปัจจัยเหตุที่เราแสดงความรู้สึกออกมาเป็นการกระทำหรือคำพูดนั่นเอง นี่จึงเป็นที่มาให้ภาษายีราฟออกแบบขึ้นเพื่อถอดเอาเฉพาะความต้องการที่อยู่ภายในออกมา โดยตัดคำกล่าวโทษ คำประเมินตัดสินทิ้งไป เพื่อไม่ให้คำพูดของเราทำร้ายอีกฝ่ายและหาวิธีตอบสนองความต้องการที่พอใจสำหรับทั้งสองฝ่าย

ลองดูว่า หากปรับจากภาษาหมาป่า มาพูดด้วยภาษายีราฟจะเป็นเช่นไร

  • “เธอมาเตะบอลในห้องได้ยังไง ทำกระจกแตกอีก โตป่านนี้แล้ว ยังเล่นไม่เข้าเรื่อง” เปลี่ยนเป็น “พวกเธอเล่นเตะบอลกันในห้องเรียนแล้วลูกบอลลอยไปโดนกระจก ครูรู้สึกใจแป้วเลยนะ ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ครูต้องการให้มีในห้องเรียน คราวหน้าพวกเธอไปเล่นที่สนามฟุตบอลได้ไหม”
  • “ทำอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน ไปทำรายงานมาใหม่เลยส้มส้ม ใช้ไม่ได้” เปลี่ยนเป็น “ส้มส้ม ครูเห็นว่ารายงานเรื่องพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของหนูมีเนื้อหาที่ตรงกับบทความที่ค้นพบใน Google ทุกตัวอักษร ครูรู้สึกผิดหวังนะ เพราะสิ่งที่ครูต้องการคือความซื่อสัตย์ อยากให้นักเรียนมีความมานะพยายามและเรียนรู้ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง เธอรู้สึกท้อกับหัวข้อนี้รึเปล่า อยากให้ครูให้คำแนะนำ หรือเธออยากอธิบายอะไรไหม”
  • “เป็นเด็กอย่าเถียงเวลาครูพูด” เปลี่ยนเป็น “สไปรท์ ครูยังพูดไม่จบแล้วหนูก็พูดขึ้นมากลางคัน ครูร้อนใจนะ ขอเวลาครูพูดให้จบ 10 นาที แล้วครูจะให้หนูอธิบายทุกอย่างหลังจากนั้นได้มั้ย”
  • “ถึงบอกไป ครูก็ไม่เข้าใจหรอก” เปลี่ยนเป็น “ตอนนี้หนูโมโหมากๆ เพราะส้มส้มพูดว่า “เธอมันแร่ด” กับหนู ต่อหน้าเพื่อนในห้อง หนูอยากได้ความเคารพและการยอมรับจากส้มส้ม”
  • “หนูโง่จะตาย ใครจะไปทำได้” เปลี่ยนเป็น “หนูไม่มั่นใจในตัวเองเลยว่าจะทำได้”

จากข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่าส่วนประกอบสำคัญของภาษายีราฟซึ่งไม่ก่อความระคายหูผู้ฟังจะประกอบไปด้วย 4 ข้อ

1. Observations, not evaluations: บอกสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่เจือปนการตัดสิน

ควรบรรยายสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมาเสมือนกล้อง CCTV ที่ฉายภาพไปเรื่อยๆ ไม่ใส่อารมณ์ ไม่บอกว่าเราคิดเห็นต่อเหตุการณ์อย่างไร

2. Feelings, not thoughts: บอกความรู้สึกที่มีตรงๆ ไม่เอาความคิดมาปะปน 

แยกระหว่างความรู้สึกกับความคิดให้ได้ ความรู้สึกคือ โมโห เสียใจ โกรธ ดีใจ ตื่นเต้น กังวล น้อยใจ สนุก จำให้ง่ายคือความรู้สึกเหล่านี้จะอยู่ในรูปคำคุณศัพท์ (adjective) ระวังประโยคประเภทที่ปะปนความรู้สึกกับความคิดเข้าด้วยกัน เช่น “หนูรู้สึกว่าครูเอาแต่ด่าๆๆ” “ครูรู้สึกว่าเธอเอาแต่เล่นมากเกินไปแล้ว”

3. Needs, not strategies: บอกสิ่งที่ต้องการอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยไม่กล่าวโทษว่าอีกฝ่ายเป็นต้นเหตุ

คำว่าความต้องการในที่นี้ควรบอกความต้องการออกมาเป็นคำนาม (noun) ไม่กล่าวโทษพาดพิงอีกฝ่ายว่าเป็นต้นเหตุของความรู้สึกเรา เช่น “ครูไม่โอเคเลยนะที่หนูก้าวร้าวอย่างนั้น” ควรพูดอย่างยีราฟเป็น “เธอกำลังโกรธ เพราะต้องการความเข้าใจใช่มั้ย ครูไม่สบายใจนะ ที่ครูต้องการคือความเคารพและความสุภาพในการพูดคุยกัน เธออยากให้ครูทำอะไรให้รู้สึกดีขึ้นมั้ย”

4. Requests, not demands: ขอให้อีกฝ่ายตอบสนองความต้องการของเรา ไม่ใช่ออกคำสั่ง

ระวังเสมอว่าเมื่อเราขอร้องให้อีกฝ่ายทำบางอย่าง เราให้โอกาสเขาตัดสินใจเลือกหรือไม่ หรือมันเป็นคำสั่งอยู่ในที ชั่งใจให้ดีว่า ถ้าเราขอร้องด้วยเจตนาจะให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการโดยไม่ให้ทางเลือก โยนความรู้สึกผิดเข้าใส่ ใช้การคาดโทษให้กลัว อ้างเป็นหน้าที่ ยังไงนั่นก็คือคำสั่งอยู่ดี เช่น “ทำคะแนนให้ดีกว่านี้ได้มั้ย”

การขอร้องหมายถึงเราให้สิทธิเขาเลือกทำตามความสมัครใจ คิดถึงใจเขาใจเรา (empathy) ถ้าอีกฝ่ายปฏิเสธที่จะทำตามที่ขอ ต้องเคารพการตัดสินใจนั้นและหาวิธีที่จะบรรลุความต้องการที่ต่างกันต่อไป

ในสถานการณ์จริง ครูกับนักเรียนไม่จำเป็นต้องพูดภาษายีราฟแบบเรียง 1-4 เป๊ะๆ อาจตัดการสังเกต แล้วบอกแค่ความรู้สึก ความต้องการ และขอให้อีกฝ่ายทำตามวิธีตอบสนองความต้องการของเราเลยก็ย่อมได้ ขอแค่ไม่ลืมว่า สิ่งสำคัญและเป็นเป้าหมายคือ ต้องบอกความต้องการออกไปให้ชัดเจนเสมอ ผู้ฟังก็ต้องจับความต้องการผู้พูดให้ได้เช่นกัน

สื่อสารแบบยีราฟๆ – เมื่อครูปิดโหมดตัดสิน นักเรียนก็กล้าเรียนรู้

จากข้างต้น คงพอจะจินตนาการออกว่า ถ้าจู่ๆ เราเริ่มพูดภาษายีราฟกันเลย โดยไม่ได้ทำความเข้าใจและฝึกฝนจนคุ้นปากเสียก่อน มันจะแปลกพิกลแค่ไหน ดังนั้นเบื้องต้น ครูกับนักเรียนต้อง

1. ทำความเข้าใจแก่นสำคัญของการสื่อสารอย่างสันติร่วมกันเสียก่อนว่า ห้องเรียนหรือโรงเรียนเป็นพื้นที่ที่ทุกคนมีความต้องการเหมือนกันคือ การเรียนรู้ การพัฒนาคุณภาพตนเอง ทักษะความรู้ที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจความเป็นไปของโลก และสังคมที่น่าอยู่

การหยิบภาษายีราฟมาใช้สื่อสารในพื้นที่การเรียนรู้ ก็เพื่อให้ทั้งครูและนักเรียนไม่ประเมินตัดสินว่าทำถูกผิด โง่ฉลาด หรือกล่าวโทษและตีความกันด้วยบรรทัดฐานที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง รูปแบบภาษายีราฟจะช่วยขัดเกลาให้เราพูดโดยคิดถึงความรู้สึกและความต้องการของอีกฝ่ายโดยปริยาย

2. ก้าวข้ามทัศนคติ “ถึงยังไงเด็กก็ยังเป็นเด็กวันยังค่ำ” เพราะนี่คืออุปสรรคสำคัญที่จะบดบังไม่ให้ครูมองเห็นความต้องการตรงกลางใจพวกเขาได้สักที ภาษาอังกฤษเรียกความคิดนี้ว่า labeling หรือการวางสถานะ เช่น ฉันเป็นผู้ใหญ่ เขาเป็นเด็ก ฉันเป็นผู้ชาย เขาเป็นผู้หญิง เขาเป็นเจ้านาย ฉันเป็นลูกน้อง และการวางสถานะในความสัมพันธ์นี่แหละที่ทำให้เราแสดงอำนาจในระดับต่างๆ ออกไปโดยไม่รู้ตัว

เช่นเดียวกับที่เราคิดว่าเราเป็นครู เป็นผู้ใหญ่ นักเรียนเป็นเด็ก ครูและผู้ใหญ่มีอำนาจโดยชอบในการชี้ผิดถูก ควบคุมให้เด็กต้องอยู่ในโอวาท ทำในสิ่งที่เราคิดว่า ‘ถูกต้อง’ ‘ฉลาด’ เราก็ไม่มีทางมองเห็นความต้องการที่แท้จริงของนักเรียนที่แต่งตัวผิดระเบียบ นักเรียนที่สอบตกซ้ำแล้วซ้ำเล่า นักเรียนที่โดดเรียนจนหมดสิทธิสอบ ว่าแท้จริงพวกเขากำลังต้องการอะไรและจะตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้อย่างไร

ดังนั้น ครูต้องเปลี่ยนจุดยืนจากที่สวมหัวโขนว่าเราเป็นครูผู้ถือกฎและความถูกต้อง หันมาใช้หัวใจรับฟังและเคารพความต้องการภายในของเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีความต้องการความสุขด้านต่างๆ ในชีวิตเหมือนกับเรา อย่าเพิ่งมองเขาด้วยสถานะความเป็นศิษย์ (ที่ต้องอยู่ในโอวาทครู) เป็นเด็ก (อายุน้อยไม่มีประสบการณ์ทางโลก) และโยนสายตาที่วัดประเมิน ตัดสิน ตีความการกระทำของนักเรียนทิ้งไปเสีย

3. ปรับความเคยชินจากครูใช้อำนาจเหนือกว่า ‘สั่งการ’ มาเป็น ‘แบ่งปัน’ ความรู้สึกและความต้องการระหว่างกัน ดร.โรเซนเบิร์ก บอกว่า หัวใจดวงใหญ่ของยีราฟกว้างขวางพอที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา (empathy) ลองนึกดูว่า ตัวเราเองเวลาถูกบังคับหรือสั่งให้ทำนู่นทำนี่ แม้ตั้งใจจะทำเองอยู่แล้วแต่กลับอยากจะต่อต้านไม่ทำมันซะอย่างนั้น นี่เป็นวิสัยธรรมชาติของมนุษย์ที่หวงแหนความเป็นอธิปไตย (autonomy) หรือการมีทางเลือกเป็นของตนเอง

การพูดภาษายีราฟเปิดโอกาสให้ครูกับศิษย์ได้ปรับตัวกันขนานใหญ่ ไม่ใช่บอกสิ่งที่คิดแล้วสั่งออกไปอย่างเคย แต่มันช่วยดึงสติให้เราสำรวจความรู้สึก และความต้องการก่อนจะสื่อสารออกไป

แอนเดรีย มาร์ชแบงค์ (Andrea Marshbank) เล่าประสบการณ์ปีแรกของการเป็นครูสอนนักเรียนเกรด 9 ที่แคนซัส สหรัฐอเมริกา ไว้ในบทความที่เผยแพร่ทาง EDUTOPIA.ORG ว่า เมื่อเป็นครูใหม่ๆ เธอใส่หัวโขนของครู เอาความเข้มงวดมาควบคุมพฤติกรรมและการเรียนรู้ของนักเรียนในชั้น ผลคือนอกจากจะไม่มีความสุขในการสอนแล้ว นักเรียนยังแสดงออกว่าไม่ยินดียินร้ายกับเธอ จนเมื่อล่วงเข้าปีที่สอง เธอเริ่มเข้าใจว่าการแสดงความเข้าอกเข้าใจ (compassionate) และใส่ใจความต้องการและความรู้สึกของพวกเขามากกว่าตั้งเป้าหมายว่าพวกเขาต้องทำตัวอย่างไร และควรได้เกรดเท่าไร ในที่สุด นักเรียนก็ไว้วางใจเธอและบรรยากาศการเรียนรู้ก็เปลี่ยนไปในทางที่ดี

จุดที่มาร์ชแบงค์เตือนให้ระวังคือ การแสดงความเข้าอกเข้าใจ ต้องไม่ทำไปเพื่อให้นักเรียนมานิยมชมชอบตัวเอง หรือวางสถานะตนเองเป็น ‘เพื่อน’ ให้เขาเล่นหัวได้ ครูต้องรักษาสมดุลระหว่างการให้โอกาสเขาเลือกตัดสินใจด้วยตนเองได้และเป็นผู้ที่เขายังต้องมีความเคารพ

อีกประการคือ การอยู่ในโหมดยีราฟไม่ได้หมายความว่า ฝ่ายที่รับฟังต้องโอนอ่อนตามความต้องการของคนพูดเป็นหลัก จำไว้ว่าถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องกดความต้องการเพื่ออีกฝ่ายแล้วละก็ เจ้าหมาป่าจอมโวยจะหลุดออกมาสร้างความวุ่นวายทันที

ครูสามารถใช้ภาษายีราฟในการ ‘ถาม’ ไกด์ให้นักเรียนบอกความต้องการออกมา ได้ดังนี้

1) Observations: เมื่อหนูเห็น/ได้ยิน/นึกถึง…(เรื่องการสอบ)…

2) Feelings: หนู…(กังวล)…รึเปล่า

3) Needs: ที่เป็นอย่างนั้นเพราะหนูต้องการ…(ความเข้าใจและเวลาว่างเพื่อทำสิ่งที่หนูสนใจอื่นๆ)…ใช่มั้ย

4) Requests: หนูต้องการให้ครู…(รับฟังหรือทำอะไรต่างไปจากนี้เพื่อให้หนูสบายใจขึ้นมั้ย)…

4. ฝึกฝนการใช้ภาษายีราฟให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน การจะให้นักเรียนคุ้นชินกับการสื่อสารอย่างสันติจนกลายเป็นนิสัยที่ดี ต้องใช้เวลาและการฝึกฝนกันพอสมควร

ทั้งนี้ เพื่อให้ครูสามารถนำ NVC ไปใช้ได้ง่ายขึ้น อาจแบ่งหมวดคำที่เป็น ‘ความรู้สึก’ และ ‘ความต้องการ’ ติดไว้บนบอร์ดในห้อง เพื่อให้นักเรียนคุ้นเคยกับคลังคำศัพท์และสามารถเลือกมาใช้สื่อสารได้ตรงใจมากขึ้น หรืออาจหาแบบฝึกหัดการแยกแยะความรู้สึกจากความคิด แบบฝึกหัดการถามคาดเดาความต้องการซึ่งกันและกันก็เป็นวิธีหนึ่ง (มีให้ด้านล่าง)

ที่มา: สื่อสารอย่างสันติ : คู่มือการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ โดย ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์

แบบฝึกหัดสำหรับฝึกฝนการสื่อสารอย่างสันติ (ออกแบบโดยศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล)

1. ให้ดูรูปภาพสถานการณ์ต่างๆ แล้วบรรยายเหตุการณ์นั้นด้วยการสังเกตไม่ตีความ

2. ฝึกแยกแยะประโยคที่เป็นภาษาหมาป่ากับภาษายีราฟ เช่น

– เย็นวานนี้เวลาครูพูดกับเธอ เธอไม่มองหน้าครู

– รุ่นน้องที่เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนน่ารักมาก

– เมื่อวานพ่อโทรหาเธอ 12 ครั้งเธอไม่ได้โทรกลับ

– หนูรู้สึกว่า เขาแอบชอบหนูอยู่

– หนูรู้สึกกลุ้มใจ อยากได้ความเงียบสงบเพื่อคิดทบทวน

3. ให้นักเรียนฝึกแยกแยะ ‘ความรู้สึก’ จากคำพูด เช่น

– วันนี้เพิ่งจะวันจันทร์เอง (ท้อแท้ เหนื่อย เบื่อ ซังกะตาย)

– เปิดเพลงเสียงดังขนาดนี้ ใครจะอ่านรู้เรื่อง (รำคาญ โมโห ข้องใจ)

– มันต้องอย่างนี้สิ (ถูกใจ พอใจ เห็นชอบ)

4. ให้นักเรียนฝึกแยกแยะ ‘ความรู้สึก’ กับ ‘ความคิด’ เช่น

– หนูรู้สึกว่าพละเกลียดหนู

– ครูเป็นห่วงนะ

– ผมดีใจที่ได้รับเลือก

– ผมรู้สึกว่าครูชอบมันมากกว่าผม ครูถึงเลือกมัน

5. ฝึกนักเรียนให้เคยชินในการ ‘คาดเดา’ ความรู้สึกและความต้องการ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ต่างๆ กัน โดยจำลองสถานการณ์สมมุติ หรือหยิบยกเหตุการณ์มาแล้วช่วยกันตอบ

ห้องเรียนที่มีการสื่อสารอย่างสันติ เมื่อการสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าว่าแท้จริงแล้วความต้องการภายในของศิษย์และครูคืออะไร การลงโทษก็ไม่มีความจำเป็นในห้องเรียนเลย หากครูเปลี่ยนโรงเรียนให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้อย่างสันติ ใช้หัวใจทุกห้องฟังนักเรียนด้วยความเข้าใจ ไม่ใช้อำนาจและความรุนแรงให้หวาดกลัว

โดยเริ่มต้นจากฝึกพูดภาษายีราฟกันให้คล่องก่อน ถ้าในช่วงแรกยังไม่บรรลุความต้องการของทั้งสองฝ่าย ทั้งครูและนักเรียนเองก็ต้องเมตตาต่อตัวเอง (self-empathy) อย่าโทษตัวเองว่าทำไมยังเป็นยีราฟที่สื่อสารหรือเข้าใจความต้องการไม่ได้สักที สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ว่าอย่างไรขอแค่เริ่มตัดคำพูดวิพากษ์วิจารณ์ กล่าวโทษ เสียดสี คำบ่น ที่เคยทำร้ายกันออกไป

ก้าวแรกของความพยายามสร้างบรรยากาศแห่งสันติและความรักขึ้นในโรงเรียนจะนำไปสู่ความเข้าใจกันและกันมากขึ้น ในที่สุดห้องเรียนก็จะกลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขในการเรียนรู้

อ้างอิง:
สื่อสารอย่างสันติ: คู่มือการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและแก้ไขความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ โดย ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ การสื่อสารอย่างสันติ โดยศูนย์สื่อสารและพัฒนาโดยสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล
Anger and Dominant Systems
Compassion as a Classroom Management Tool

Tags:

เทคนิคการสอนการฟังและตั้งคำถามการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)โคช

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • How to enjoy lifeFamily Psychology
    หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

ศุภรัช จรัสเพ็ชร์: ตื่นเช้ามา ‘ครูบอม’ อยากไปสอนเด็กๆ ทุกวัน
Unique Teacher
30 January 2019

ศุภรัช จรัสเพ็ชร์: ตื่นเช้ามา ‘ครูบอม’ อยากไปสอนเด็กๆ ทุกวัน

เรื่อง

  • เราไม่เคยมีความคิดที่จะเป็นครูเลย…จนวันนี้ บอม-ศุภรัช จรัสเพชร์ ใช้คำนำหน้าว่าครูมาได้สองปีกว่าแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนอาชีพ
  • ชายหนุ่มร่างเล็กผมยาวคือครูของเด็กๆ ชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนศรีสุวรรณสะเนพ่อง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
  • ครูตัวเล็กยกให้เด็กๆ เป็นครูเพราะสอนทักษะชีวิตมากมายให้ ส่วนเขาก็เปลี่ยนบทบาทเป็นเพื่อน เพราะเพื่อนจะวางใจเพื่อนได้มากกว่า
  • “ตื่นเช้ามายังอยากจะไปโรงเรียนทุกวัน” คือเหตุผลสำคัญที่เรามาคุยกับครูบอมคนนี้
เรื่อง/ภาพ: อรสา ศรีดาวเรือง

“เราไม่เคยมีความคิดที่จะเป็นครูเลย”

เขาบอกเราเช่นนี้หลายครั้งตลอดการสนทนา และตามมาด้วยเรื่องราวที่ใครจะไปคิดล่ะว่า จากนักทำสารคดีฟรีแลนซ์และผู้ผลิตรายการอิสระ ผู้ที่รักอิสระและเดินทางเพื่อถ่ายถอดเรื่องราวผ่านงานวิดีโอ จะกลายมาเป็น ‘ครูบอม’ ศุภรัช จรัสเพ็ชร์ ของเด็กๆ เพียงเพราะการไปเยือนศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ

‘ครูบอม’ ศุภรัช จรัสเพ็ชร์

ความบังเอิญที่ว่านั้น เกิดจากการไปได้ยินบทสนทนาสั้นๆ ของครูและนักเรียนที่ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ ซึ่งเป็นบทสนทนาที่เขาบอกว่า “มันทำงานกับภายในของเราอย่างจัง”

“ครูครับ อัตราส่วนเท่านี้มันพอได้ไหม” เด็กชายถามด้วยความสงสัยขณะลงมือผสมปูนเทพื้นอาคารเรียน

“ก็ลองทำดู” ครูไม่ห้ามและไม่ตัดสินถูกผิด

1. “ที่นี่เขาทำอะไรกันอยู่ ทำไมเด็กมีความกล้าขนาดนี้”

เขาถามตัวเองเมื่อสองปีก่อนด้วยประโยคนี้

แค่คำว่าลองทำดูของครู เด็กคนนั้นก็ลงมือผสมหิน ทราย ปูนทันที

“ตอนนั้นเรารู้สึกว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงกล้าตัดสินใจเเค่ครูบอกว่าลองทำเลย เราก็คิดย้อนกลับไปหาตัวเองตอนอายุเท่านี้ ถ้าสมมุติว่าครูเปิดโอกาสให้เราทำอะไรสักอย่าง เราจะกล้าลองทำมันจริงๆ ไหม อีกมุมหนึ่งเราก็รู้สึกว่า ถ้าเราเป็นเด็กคนนี้ที่กล้าทำ เราจะเจอครูที่เปิดโอกาสให้เราหรือเปล่า”

วันที่ยังไม่มีคำว่าครูนำหน้า บอม-ศุภรัช เจอหลายคำถามซัดเข้ามาไม่ยั้ง

ที่นี่เขาทำอะไรกันอยู่? ทำไมเด็กมีความกล้า? แล้วทำไมครูถึงเปิดโอกาสให้กับเด็กขนาดนี้? เขามีวิธีการจัดการเรียนรู้อย่างไร?

บอมจึงตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิต เก็บข้าวเก็บของมาลองใช้ชีวิตเป็นครูอาสาที่ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนศรีสุวรรณสะเนพ่อง (วิถีกะเหรี่ยงทุ่งใหญ่นเรศวร) โรงเรียนเล็กๆ ในชุมชนชาวบ้านชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโปว์หรือโผล่ว ตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อสองปีที่แล้ว

2. “เขาไม่ได้สอนทักษะชีวิตให้เรา แต่เขาทำให้เห็น”

จากเด็กกรุงเทพฯ ธรรมดา กลายไปเป็นครูอาสาในชนบท บทเรียนแรกที่เขาต้องเรียนรู้ก่อนการเป็นครู คือการเป็นลูกศิษย์

“มันเป็นสังคมใหม่ เราไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เด็กทุกคนมีทักษะชีวิตสูงมาก เช่น เรื่องง่ายๆ อย่างการกิน ไม่ใช่แค่ทำอาหาร เขาทำตั้งแต่ออกไปหาวัตถุดิบ เดินกลับบ้านก็จะแวะเข้าป่าไปเด็ดผักเด็ดหญ้ามาทำอาหาร อันนี้คือทักษะชีวิตที่เรารู้สึกสนใจ และเราไม่สามารถทำแบบเด็กได้ ง่ายที่สุดของเราคือออกไปซื้อมากิน”

สำหรับเด็กๆ ทักษะชีวิตคือการทำซ้ำจนเกิดเป็นความชำนาญ เด็กๆ จึงเป็นครูสอน ‘วิชาทักษะชีวิต’ ให้บอม ผ่านการลงมือทำ

“เขาไม่ได้มาคอยบอกเราหรอก แต่เขาทำให้เห็นเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงหน้าฝน เราต้องเดินไปอีกหมู่บ้านหนึ่งที่เขาจัดงานประเพณี ต้องเดินข้ามห้วย ทางเละๆ หน่อย เด็กๆ ก็เดินกันสนุกมาก แต่เราต้องค่อยๆ เดินเพราะเราเดินไม่เป็น กลัวลื่นกลัวล้ม การไปอยู่ที่นั่นเหมือนเราเกิดใหม่ ต้องเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมด แม้กระทั่งการเดิน” บอมเล่าไปหัวเราะไป

3. “เราอยากเป็นเพื่อนกับพวกเขามากกว่าเป็นครู”

แน่นอนว่าผู้ใหญ่ในวันนี้เคยผ่านการเป็นนักเรียน ผ่านการตั้งคำถาม และมีภาพจำบางอย่างของครู แล้วภาพที่ครูบอมเคยมี เป็นภาพเดียวกับที่สัมผัสได้ในวันนี้หรือเปล่า?

“ภาพเก่าๆ ของครูที่เราคิดไว้ คือครูจะคอยจัดการเรียนการสอน ต้องบอกชี้แนะ เด็กจะมีหน้าที่ฟัง แต่พอเอาเข้าจริงยังมีเรื่องอีกเยอะแยะที่เรายังไม่รู้ และครูก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความรู้มากที่สุด แต่ว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองไม่ใช่ครู ในความหมายของผู้ใช้อำนาจ”

กลายมาเป็นโจทย์สำคัญของครูบอมว่า จะทำอย่างไรให้ได้เป็นเพื่อนกับเด็ก จะได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน

“เริ่มแรกเราชวนเด็กทำสมุดไดอารี เราเห็นแค่ตาว่าพวกเขาทำอะไรได้และไม่ได้บ้าง แต่เราอยากรู้จักพวกเขามากกว่านั้น อยากรู้ไปถึงความคิด ความรู้สึก เลยชวนว่า เรามาเขียนไดอารีกันดีกว่า สมุดไดอารีนี้จะเป็นความลับระหว่างคนเขียนกับเรา จะไม่มีใครรู้นอกจากนี้”

ไดอารีช่วงแรก เด็กจะเขียนแค่ว่าวันนี้ทำอะไร ตื่นเช้า กินข้าว เล่ากิจกรรมธรรมดา แต่พอเข้าอาทิตย์ที่ 3-4 ความลึกและความลับเริ่มผุดขึ้น

“เริ่มมีความรู้สึกเกิดขึ้นละ ว่าเขารู้สึกกับเพื่อนคนนี้อย่างไร รู้สึกกับครูคนนี้ต่อวิชานี้อย่างไร วันนี้เขามีปัญหาอะไร ที่บ้านเป็นยังไง เริ่มเล่าเรื่องส่วนตัวมากขึ้น เรารู้เลยว่า ได้รับความไว้วางใจในระดับหนึ่งแล้วแหละ มันไม่ใช่เขาไว้ใจเราอย่างเดียวแล้ว อีกมุมหนึ่งเราก็ไว้ใจเขาเหมือนกัน”

4. “ไม่ได้เรียนจบครู แล้วไปสอนอะไรพวกเขา”

ปริญญาตรีจากคณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทำให้หลายคนสงสัยว่า ครูบอมจะสอนอย่างไร และสอนวิชาอะไร

“ช่วงเช้าก็จะเรียนตาม 8 กลุ่มสาระ แต่ช่วงบ่ายจะเป็นโครงงาน PBL (Project based Learning) มีอยู่งานหนึ่งตอนเราเข้าไปใหม่ๆ ครูที่นั่นเห็นว่าเราทำเรื่องการสื่อสารมา เลยให้เราสอนเรื่องเทคโนโลยี”

เทคโนโลยีเป็นคำที่กว้างมาก โดยเฉพาะการนำไปสอนกับเด็ก ครูบอมตัดสินใจสอนโดยเริ่มจากความไม่รู้ แล้วชวนเด็กๆ มาหาคำตอบด้วยกัน เช่น

“ให้เด็กหาว่า เทคโนโลยีที่อยู่ใกล้ตัวมีอะไรบ้าง เขาก็ตอบว่า ไฟฉาย นาฬิกา โทรศัพท์ นู่นนี่นั่นซึ่งก็ไม่ผิดซักอย่าง เราเลยถามต่อว่า แล้วทุกวันนี้เราใช้อะไรมากที่สุด คำตอบคือโทรศัพท์ เพราะโทรศัพท์แทบจะรวบรวมทุกอย่างไว้หมดทั้งนาฬิกา ฟังเพลง ฟังวิทยุ ถ่ายรูป ดูหนัง เราเลยถามต่อว่า แล้วจะใช้มันยังไงให้ได้มากกว่าแค่ฟังเพลง ดูหนัง แล้วถ้าเราไม่ใช่แค่คนฟังหรือคนดูล่ะ”

ครูบอมเลยชวนเด็กๆ มาทำเพลง ทำหนังกัน เล่าเรื่องอะไรก็ได้ ไม่จำกัดหัวข้อ เด็กกลุ่มหนึ่งเลือกแต่งเพลงเกี่ยวกับห้วยในชุมชน ก็พากันหิ้วกีตาร์ไปที่ห้วย นั่งเขียนเพลง อัดเพลงกันตรงนั้น กับอีกกลุ่มที่เรื่องศูนย์การเรียนรู้ฯ ก็ใช้โทรศัพท์ถ่ายบรรยากาศการเรียนการสอน แล้วตัดต่อง่ายๆ เอา

พอถึงวันสำคัญที่ต้องนำเสนอผลงาน ครูบอมคิดแล้วคิดอีกว่าจะทำอย่างไรให้เด็กๆ รู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นสำคัญและมีค่า

“เลยนัดครูทั้งศูนย์การเรียนที่ว่างมานั่งเป็นวงกลมกันในห้อง เด็กก็นำเสนองานแล้วให้ครูคอมเมนต์เกี่ยวกับผลงานแล้วเราก็ไม่ได้ซีเรียสกับผลงานของเด็กด้วย มันสนุกดี สนุกมากด้วย เด็กชอบ ครูก็ชอบ”

5. เช้าวันที่ต้องตื่นมาทำสารคดี กับเช้าวันที่ต้องตื่นมาเป็นครู

มาเป็นครูได้สองปี จากที่เคยเป็นมือปืนรับจ้างผลิตสารคดี มีอะไรที่แตกต่างกันบ้างไหม เช่น เช้าที่ตื่นขึ้นมา?

“ตอนทำสารคดีมันสนุกตรงที่ได้คุยกับหลายคน เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ และก็เลือกหยิบเอามาถ่ายทอด แต่พอทำเสร็จมันก็จบไป เราไม่ได้ทำอะไรต่อกับเรื่องนั้นอีกแล้วเพราะเราต้องไปทำเรื่องใหม่ แตกต่างกับตอนนี้ เพราะมันคือการอยู่ที่นี่ ได้เห็นตัวเองและเด็ก เห็นข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ”

ตอนนี้ครูบอมบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าตัวเองทำงานด้านการศึกษา ครูต้องทำงานกับเด็กและเด็กก็ต้องเติบโต

“การเติบโตนี่แหละที่มันค่อยๆ เปลี่ยน ไม่ใช่เรื่องเดิมที่แค่เล่า จบ แล้วหายไป แต่การมาเป็นเราได้เอาทักษะบางอย่างตอนทำงานมาใช้ ตอนทำสารคดีเราจะใช้การคุย ใช้คำถามที่เป็นปลายเปิดเพื่อรับฟัง ครูก็เหมือนกัน ต้องมีคำถามปลายเปิดเพื่อรับฟัง ไม่ชี้นำ มันทำให้เราไม่ล็อคความคิดของเด็กๆ ด้วย”

6. “เราไม่ได้มองโลกเปลี่ยนไป เราแค่ได้เรียนรู้มากขึ้น”

ครูบอมนิ่งอยู่พักใหญ่ เมื่อต้องตอบคำถามว่า สองปีผ่านไปมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

“การเปลี่ยนโดยการพลิกหรือบิดรูปมันไปเลย การศึกษาอาจจะไม่มีภาพนั้น มันเป็นการเติบโตมากกว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่เหมือนการปั้นดินน้ำมันที่ปั้นรูปแล้วขยำ แล้วก็ปั้นรูปใหม่ แต่มันคือการที่เด็กหรือคนเรียนรู้ร่วมกันทั้งเด็กทั้งครู มีฐานหรือประสบการณ์เดิมอยู่ ค่อยๆ เติบโต แต่ละคนมีฐานเก่าของมันอยู่ เพราะฉะนั้นการค่อยๆ เปลี่ยนฟอร์มไป มันก็จะมีความบิดเบี้ยวของมันอยู่เป็นเรื่องธรรมชาติ

แต่ส่วนตัวครูบอม การเปลี่ยนแปลงวัดผลได้จากคำพูดคนอื่น

“แรกๆ ที่เราไปเป็นครู แล้วได้กลับมากรุงเทพฯ เจอพี่ที่เคยทำงานโปรดักชั่นด้วยกัน เขาถามเราเรื่องการไปเป็นครู เราก็เล่าให้ฟัง พอเล่าจบแล้วพี่เขาก็บอกว่า เฮ้ยมึงทำเรื่องนี้มึงน่าจะมีความสุขนะ เพราะตอนที่มึงเล่า มึงยิ้มตลอดเลย อันนี้คือสิ่งที่พี่เขาบอกเรานะ”

เขาไม่ได้บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเขามีความสุขอย่างไรต่อสิ่งที่ทำอยู่ในวันนี้ แต่กลับเป็นเราเองที่อยากบอกครูบอมว่า ขณะที่นั่งสนทนากันอยู่นี้ แววตาของเขาเป็นประกายและเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้รู้สึกเอาเองว่า ครูบอมกำลังมีความสุขในชีวิตฉากใหม่ จากความตั้งใจแรกที่อยากทำสารคดีของศูนย์การเรียนรู้ฯ สู่การเป็นครูอาสา และกลายเป็นครูบอมเต็มตัวในวันนี้

เราไม่ได้ถามครูบอมต่อว่า แล้วเขาจะยังเป็นครูไปถึงเมื่อไหร่ เพราะตลอดบทสนทนาร่วมๆ สองชั่วโมง เรารู้ทันทีว่าชายหนุ่มวัย 28 กำลังสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่จบสิ้นไปพร้อมๆ กับชาวบ้าน กับชุมชน และกับเหล่าเด็กนักเรียนที่เขาเรียกว่า ‘เพื่อน’

Tags:

ครูproject based learningพลเมืองศุภรัช จรัสเพ็ชร์

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    อภิศักดิ์ ทัศนี: “การได้หาดกลับมา มีค่าเท่ากับปริญญาหนึ่งใบ”

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Learning Theory
    ประชาธิปไตยง่ายๆ เริ่มได้ที่ห้องเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Character building
    PROJECT-BASED LEARNING ทักษะมาก่อน คะแนนจะตามไป

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Everyone can be an Educator
    “เด็กจะโต ต้องออกจากห้องเรียน” ครูเร-เรณุกา หนูวัฒนา

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

SEX EDUCATION ควรรู้ของเด็กวัย 5-8 ปี
Learning Theory
29 January 2019

SEX EDUCATION ควรรู้ของเด็กวัย 5-8 ปี

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Sex Education ควรรู้ของเด็กวัย 5-8 ปี

Sex Education ไม่ใช่แค่เรื่องเพศ แต่คือ ‘สิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกาย’ ใครจะมาละเมิดไม่ได้ แล้วเส้นแบ่งใดที่จะบอกว่าแบบไหนคือ ‘ละเมิด-ไม่ละเมิด’ ที่สำคัญ หน้าตาของ Sex Education แบบไหน? ถึงจะเหมาะสมและสอดคล้องไปกับการรับรู้และพัฒนาการของเด็กแต่ละช่วงวัย โดยเฉพาะเด็กในวัย 5-8 ปี

อ่านบทที่ความช่วยอธิบายเป้าหมายของห้องเรียนเพศศึกษาและคลังคำศัพท์เรื่องเพศที่เด็กแต่ละช่วงวัยเหมาะสมที่จะรู้ได้ ที่นี่

Tags:

เทคนิคการสอนกลั่นแกล้ง(bully)เพศSexuality Education(เพศวิถีศึกษา)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    เรากลับมาเรียนเพศศึกษาในห้องได้หรือยัง เมื่อเรื่องยุติตั้งครรภ์อยู่ในหนังสือเรียนชั้น ม.3

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Social IssuesMovie
    SEX EDUCATION 5 เรื่องกับครูสอญอ มัครินทร์

    เรื่อง

  • Education trendLearning Theory
    SEX EDUCATION: เป้าหมายห้องเรียนเพศศึกษา จากอนุบาลถึงมัธยม

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน
Character buildingCreative learning
28 January 2019

‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน

เรื่องและภาพ The Potential

  • ความตั้งใจแรกของกลุ่มเยาวชนฮักไทลื้อหละปูน คือจัดทำโครงการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แต่หลังทบทวนโจทย์ตัวเองดีๆ แล้วพบว่าโจทย์นั้นคือปลายทาง แต่ต้นทาง หรือ ‘วัฒนธรรมไทลื้อ’ คือข้อมูลที่พวกเขาขาดไป
  • นั่นจึงเป็นที่มาโครงการ คือ กลับไปสร้างข้อมูลต้นน้ำ ออกแบบกระบวนการเพื่อกลับไปเรียนรู้วัฒนธรรมชุมชน
  • วิธีการเรียนรู้เริ่มง่ายๆ เพียงกลับไปเคาะประตูบ้านผู้ใหญ่ในหมู่บ้านและจัดทำแผนที่ชุมชน สิ่งที่ได้แน่ๆ คือข้อมูล และสิ่งที่ได้มาแบบไม่คาดคิด คือสายใยและความรู้สึกผูกพัน

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย การอนุรักษ์วัฒนธรรมถูกยกให้เป็นหนึ่งในภารกิจให้คนรุ่นใหม่ต้องมีหน้าที่สืบสานสืบทอด เพื่อไม่ให้รากเหง้าที่หล่อหลอมชุมชนสูญหายไป แต่นอกจากการแสดงถึงอัตลักษณ์ และความภาคภูมิใจในความเป็นคนพื้นถิ่น เป็นคนชาติพันธุ์แล้ว การดำรงอยู่ของวัฒนธรรมท้องถิ่นยังมีความสำคัญเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวแก่ชุมชนได้

นี่เป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้คนรุ่นใหม่มีอาชีพโดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งถิ่นฐาน และวัฒนธรรมถูกขับเคลื่อนต่อไปได้ในชุมชน – วินวินกันทุกฝ่าย 

เพราะมีประสบการณ์จากการทำโครงการเกี่ยวกับท่องเที่ยว จึงทำให้ กลุ่มเยาวชนฮักไทลื้อหละปูน ตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ จังหวัดลำพูน ประกอบด้วย ฟลุ๊ก-พงศกร ศรีวิชัย, มินนี่-ปณันธิตา พือวัน, แบม-กัญชพร เขื่อนคำ, ไนซ์-อโรชา ศรีสัตตยะบุตร และ นุช-วาสนา ปัญโญใหญ่ สนใจเข้าร่วมโครงการปลุกสำนึก สร้างพลัง เสริมศักยภาพเยาวชนเมืองลำพูน เพื่อสืบต่องานที่เคยทำไว้ ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ใช่การที่ชุมชนไทลื้อกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต แต่เป็นพวกเขาเองที่ได้ทำความรู้จักกับชุมชนบ้านเกิดลึกซึ้งกว่าที่เคยและเกิดสายใยผูกพันกับเพื่อน พี่ น้อง และผู้หลักผู้ใหญ่ในชุมชนอย่างที่ไม่เคยคาด

ผิดแผนตั้งแต่เริ่ม!

ทีมงานทั้งหมดเป็นกลุ่มเยาวชนที่มีใจอาสาเข้ามาช่วยเหลือทำงานของชุมชนอยู่แล้ว และมีประสบการณ์การทำโครงการอื่นมาก่อน เมื่อ สุจิน ใสสอาด ที่ปรึกษาโครงการ มาชักชวนให้เข้าร่วมโครงการสร้างสำนึกฯ ทีมงานอายุน้อยจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล

ฟลุ๊กเล่าว่า “พวกเราเคยทำโครงการเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวของชุมชน พอพี่สุจินพูดถึงโครงการนี้ก็สนใจ เพราะไม่อยากให้วัฒนธรรมไทลื้อของบ้านธิสูญหาย แต่ตอนนั้นเราอยากทำโครงการเที่ยวสบาย สไตล์ไทลื้อ”

ทว่าความตั้งใจของพวกเขากลับถูกเบรกกะทันหันจากทีมโค้ชว่า โครงการนี้อาจใหญ่เกินกำลัง ทีมงานจึงนำกลับมาปรึกษาผู้ใหญ่ในชุมชนและปราชญ์ชาวบ้านที่พวกเขารู้จักคุ้นเคย เพราะคิดว่าน่าจะได้รับคำแนะนำดีๆ ผู้ใหญ่แนะนำให้พวกเขาลองเริ่มจากการศึกษาวัฒนธรรมไทลื้อก่อน

“ตอนโดนเปลี่ยนก็เสียใจเหมือนกัน แต่พอมาคุยกับผู้ใหญ่ เขาบอกว่า ไหนๆ เราก็ชอบการท่องเที่ยวอยู่แล้ว มาลองศึกษาก่อนแล้วค่อยเปิดรับนักท่องเที่ยวเพื่อพาไปเรียนรู้ตามแหล่งชุมชนต่างๆ ก็น่าจะทำได้และเป็นการท่องเที่ยวเช่นกัน พวกเราเลยตกลง” ทีมงานเล่าสถานการณ์

ปฏิบัติการเรียนรู้ความเป็นไทลื้อ

เมื่อได้โจทย์การทำโครงการแล้ว ทีมงานที่เคยมีประสบการณ์การทำโครงการเก็บข้อมูลชุมชนมาก่อนได้ลงมือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเบื้องต้นผ่านอินเทอร์เน็ต พวกเขาบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า จริงๆ แล้วมีข้อมูลที่เคยเก็บเองจากโครงการก่อนส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งน่าจะใช้กับโครงการนี้ได้ แต่โดนไวรัสทำลายหมด หลังจากนั้นพวกเขากับครูชาเด ฮั้น ที่ปรึกษาโครงการ ได้ช่วยกันประสานงานกับผู้ใหญ่ในชุมชน พ่อหลวง-คำเรียกในภาษาท้องถิ่นภาคเหนือหมายถึงผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และปราชญ์ชาวบ้านหมู่ 1-10 ผ่านไลน์กลุ่มวัฒนธรรมไทลื้อและไปเชิญเองที่บ้านเพื่อมาร่วมกันให้ข้อมูลวัฒนธรรม และแหล่งของดีของแต่ละหมู่บ้าน สำหรับนำไปวางแผนการจัดการท่องเที่ยว

“ผู้ใหญ่ก็บอกกันว่า ได้ๆ ยินดีให้ความร่วมมือ แต่พอวันจริงหลายคนก็มาไม่ได้ เพราะติดธุระเรื่องงานบ้าง เรื่องส่วนตัวบ้าง แต่คนที่มาก็พอช่วยกันให้ข้อมูลได้อยู่” ฟลุ๊กเล่า

ทีมงานเริ่มต้นกิจกรรมด้วยการเล่าถึงภาพรวมโครงการเพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้น จากนั้นสอบถามว่าแต่ละหมู่บ้านมีของดีของเด่นเรื่องอะไร อยู่ตรงไหน จุดไหนที่พวกเขาควรหยิบมาเป็นเส้นทางท่องเที่ยว ผู้ใหญ่ทุกคนที่เห็นทีมงานมาตลอดในฐานะเด็กกิจกรรมของชุมชนต่างช่วยกันบอกเล่าข้อมูลชุมชนของตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยความเอ็นดู

ผลการเก็บข้อมูลทำให้ทีมงานพบจุดเด่นของหมู่บ้านต่างๆ มีทั้งการดำเนินชีวิตด้วยวิถีเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกผักปลอดสารพิษ ภูมิปัญญาเรื่องน้ำทุ่ง การทำข้าวแต๋นน้ำอ้อย และมีสถานที่โบราณหลายแห่ง เช่น ตลาดร้อยปี วัดที่มีศิลปะล้านนา บ้านไทลื้อโบราณ พิพิธภัณฑ์ไทลื้อหมู่ เป็นต้น

นอกจากข้อมูลจากผู้หลักผู้ใหญ่ พวกเขายังค้นพบว่า วิถีชีวิตของชาวไทลื้อดั้งเดิมจะเน้นที่การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและความสามารถในการเก็บรักษาภูมิปัญญาและโบราณสถานของชุมชนมาจนถึงปัจจุบัน ไม่หลงใหลไปกับวัฒนธรรมใหม่และไม่ลืมรากเหง้าตัวเอง

วางแผนแล้วก็ผิดแผน !?!

การดำเนินงานขั้นต่อมาคือ การลงพื้นที่เก็บข้อมูลของดีของแต่ละหมู่บ้าน เพื่อเรียนรู้ชุมชน ทั้งความเป็นมาของโบราณสถาน ประเพณีของชุมชน และวิถีชีวิตทั่วไปให้ลึกซึ้งมากขึ้น โดยพวกเขาได้ช่วยกันเตรียมคำถามก่อน แล้วแบ่งงานกันว่าใครอยู่หมู่บ้านไหนให้รับผิดชอบหมู่บ้านนั้นและหมู่บ้านข้างเคียง เพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางและถือเป็นการเรียนรู้รากเหง้าของหมู่บ้านตัวเองไปด้วย

สำหรับวิธีเก็บข้อมูลนั้น มินนี่เล่าว่า “เรากลัวไฟล์หายแบบครั้งก่อน เลยคิดกันว่าคราวนี้จะจดบันทึกและอัดเสียงด้วยโทรศัพท์ จากนั้นนำมาโหลดลงคอมพิวเตอร์แยกเป็นโฟลเดอร์ไว้ อันไหนจดไม่ทัน หนูกับนุชจะนั่งแกะไฟล์เสียงแล้วก็พิมพ์เพิ่มเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์และส่งไฟล์เข้ากลุ่มเฟซบุ๊ก”

แม้จะวางแผนมาอย่างดีแต่แค่การลงพื้นที่ครั้งแรกก็ผิดแผนเสียแล้ว เพราะผู้ใหญ่บางคนออกไปธุระช่วงที่ทีมงานเข้าไปที่บ้าน และการเลือกลงไปเก็บข้อมูลช่วงเย็นหลังเลิกเรียนที่มีเวลาจำกัด ทำให้เก็บข้อมูลไม่ครบและไม่ทัน จึงตัดสินใจลงไปเก็บข้อมูลซ้ำในบ้านที่เก็บไปแล้ว ส่วนบ้านที่ยังไม่ได้ไปจะโทรศัพท์หรือไลน์ไปบอกผู้ใหญ่ก่อนว่าจะเข้าไปถามข้อมูล และเพิ่มเวลาเก็บข้อมูลเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย แต่ระหว่างที่ดำเนินการตามแผนใหม่อยู่นั้น ความผิดแผนอีกระลอกก็มาเยือน

“ตอนนั้นพี่ชาเดยุ่งมากจนไม่มีเวลามาช่วยพวกเราเหมือนเดิม เราเลยหยุดทำโครงการไปพักหนึ่ง ไม่รู้จะทำอะไรต่อ เพราะพี่ชาเดเป็นคนช่วยติดต่อผู้ใหญ่ แต่พอคิดว่าเราชอบสิ่งที่กำลังทำ รักในวัฒนธรรมของเรา และรักเพื่อนในทีมด้วย ช่วยกันทำมาตั้งเยอะแล้ว เลยคิดว่าต้องช่วยกันไปให้ถึงที่สุด ถึงจะเหนื่อย แต่สนุกมาก เราเลยลุยต่อกันเอง พี่เลี้ยงไม่ว่างก็ไม่เป็นไร” ฟลุ๊กเล่า

หลังผ่านไปราวเดือนครึ่ง ในที่สุดทีมงานก็เก็บข้อมูลได้ครบตามที่ตั้งเป้าไว้ พวกเขานำข้อมูลที่ได้มาแลกเปลี่ยนให้กันฟัง เพื่อให้รู้เท่าๆ กัน และช่วยกันดูข้อมูลอีกครั้งเพื่อตรวจความถูกต้องและความครบถ้วน

แก้ปัญหา…ครั้งแล้ว ครั้งเล่า

กิจกรรมต่อมาคือการนำข้อมูลที่มีทั้งหมดมาเรียบเรียงเป็นแผนที่เพื่อทำเส้นทางท่องเที่ยว ซึ่งทีมงานพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่เป็นงานที่ยากที่สุด!

มินนี่เล่าว่า “ตอนนั้นเวลาของเราไม่ตรงกันค่ะ นุชกับพี่ไนต์เรียนในเมือง ส่วนพวกเราเรียนแถวบ้าน เวลานัดมาทำแผนที่ บางคนจึงไม่ว่าง มาทำได้แค่ 1-2 คน งานก็ไม่เสร็จ เราเลยพยายามหาวันที่ทุกคนว่างจริงๆ ถามย้ำหลายรอบว่าต้องว่างจริงๆ นะ แล้วให้พี่ฟลุ๊กกับแบมขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับเลยค่ะ”  

ในที่สุดวิธีการตามตัวถึงบ้านก็ทำให้ทีมงานมาพร้อมหน้าพร้อมตา ระหว่างนั้นพวกเขาได้ชักชวนผู้ใหญ่ในชุมชนมาร่วมให้ความเห็นด้วย และแล้วแผนที่ชุมชนที่ประกอบด้วย เส้นทางการท่องเที่ยว แหล่งเรียนรู้ จุดสำคัญในหมู่บ้าน และของดีในชุมชนก็เสร็จสมบูรณ์ ทีมงานเดินหน้าต่อด้วยการนำแผนที่ท่องเที่ยวไปทดลองจัดกิจกรรมปั่นจักรยานท่องเที่ยวชุมชนกับน้องๆ ในชุมชน 

“หลังทดลองปั่น ก็พบว่ายังวาดเส้นทางได้ไม่เหมือนจริงนัก จึงทำให้คนใช้งานงงบ้าง แต่ก็พอใช้ไปได้ หลังจบกิจกรรม น้องๆ สะท้อนว่าอยากให้พวกเราจัดงานสนุกๆ แบบนี้อีก จากนั้นทีมงานได้กลับมาปรับเปลี่ยนข้อมูลในแผ่นพับใหม่” 

ไนต์เล่าต่อว่า แผ่นพับเดิมมีข้อมูลของ 10 หมู่บ้าน แต่ปรับให้เหลือแค่ 4 หมู่บ้าน เพราะอยากเลือกที่เป็นของดีบ้านธิจริงๆ โดยสอบถามจากครูชาเดและพูดคุยกันเองในทีม เลือกจากจุดเด่นและของที่เป็นสินค้าโอทอป คือ บ้านแพะต้นยางงามเด่นเรื่องอุโบสถ ป่าเปามี ‘น้ำถุ้ง’ ที่เป็นชะลอมตักน้ำ(นำถุ้งเป็นหัตกรรมการสานไม้ไผ่ใช้เป็นที่ตักน้ำบ่อในสมัยก่อน) ป่าปี๊เป็นข้าวแคบ อาหารกินเล่น (ของว่างพื้นบ้านของชาวบ้านไทลื้อ ทำจากแป้งข้าวเหนียว ย่างไฟจนกรอบ ลักษณะคล้ายข้าวเกรียบว่าวของทางภาคกลาง) ป่าเหียงมีบ้านไทลื้อหลังสุดท้าย

หลังจากนี้พวกเขาวางแผนจะทำปฏิทินชุมชนต่อ โดยในปฏิทินจะใส่เทศกาล และของกินที่โดดเด่นในแต่ละฤดู เผื่อนักท่องเที่ยวที่เข้ามาจะได้นำไปดูเป็นไกด์ไลน์ 

ทว่ากว่าโครงการจะเดินมาถึงขั้นใกล้สมบูรณ์เช่นนี้ ทีมงานสารภาพพวกเขาแอบเบื่อโครงการนี้ไปหลายทีเหมือนกัน ฟลุ๊กเล่าว่า

“ตอนทำโครงการอยู่บางทีมันก็น่าเบื่อนะ เบื่อการประสานงานผู้ใหญ่ เบื่อการทะเลาะกับเพื่อน มาสายแล้วก็เถียงกัน วีนกัน แต่ทำไปทำมามันสนุกมากกว่า เพราะเถียงกันไปเถียงกันมามันจบด้วยการหัวเราะกันได้อย่างไรไม่รู้ (หัวเราะ)”

การเรียนรู้และความสุข

โดยไม่รู้ตัว-ระยะทางการทำโครงการช่วยขัดเกลาตัวตนของทีมงานแต่ละคน อะไรที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ ไม่กล้าทำ กลับกลายเป็นว่าพวกเขาทำได้ และทำได้ดีเสียด้วย

ฟลุ๊ค มินนี่ และนุช ที่เคยกลัวการพูดออกไมค์ ตอนนี้กลับหยิบมาพูดได้อย่างสบายๆ จากการได้ทำซ้ำๆ ผ่านกระบวนการทำงาน นอกจากนั้นเพื่อนๆ ยังสะท้อนว่าฟลุ๊กเป็นผู้นำทีมคนหนึ่งที่ดีทีเดียว

 ไนต์เล่าว่า “พี่ฟลุ๊กมีความเป็นผู้นำขึ้นมาก นำให้ทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ (หัวเราะ) คอยตามมาทำตลอด บางทีก็แกล้งขู่พวกเราว่าถ้าไม่เสร็จห้ามกลับ เขาจะบอกเสมอว่านี่เป็นความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่ของพวกเราที่เป็นลูกหลานชุมชน ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำล่ะ”

ส่วนไนต์ เจ้าตัวบอกว่ารู้เรื่องเกี่ยวกับชุมชนขึ้นมาก และกลายเป็นคนที่ติดนิสัยการจดข้อมูลจากการลงพื้นที่ ทำให้เธอไม่พลาดเรื่องสำคัญๆ ที่ต้องทำ ขณะที่เพื่อนๆ ยืนยันว่า ไนต์เป็นคนจดละเอียด และจัดระเบียบข้อมูลดีมาก เป็นประโยชน์ต่อการทำโครงการที่ผ่านมา

ครูชาเด ผู้ที่มองเห็นพัฒนาการของทีมงานมาตลอดบอกว่า “เมื่อก่อนเด็กกลุ่มนี้จะกลัวไมค์ใครส่งให้ก็ตื่นเต้น แต่พอทำโครงการมาเรื่อยๆ เขากล้าแสดงออก พัฒนาความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แล้วยิ่งทำก็ยิ่งรักชุมชน เชื่อว่าเขาจะกลับมาพัฒนาบ้านของเขาแน่นอน”

ไม่ใช่เพียงเปลี่ยนนิสัยของพวกเขา หากแต่การลงพื้นที่เก็บข้อมูลในชุมชนยังเป็นเหมือนเครื่องมือถักทอความผูกพันระหว่างทีมงานกับผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเกิดให้แน่นแฟ้นมากขึ้นจากการที่พวกเขาได้ค้นพบ ‘ความสุข’ บางอย่างด้วยตัวเอง

ฟลุ๊กเป็นตัวแทนเพื่อนๆ บอกเล่าประสบการณ์ดังกล่าวว่า

“คนเฒ่าคนแก่เขาชอบเล่าประวัติความเป็นมาของบ้านให้เราฟังครับ บางทีถามนิดเดียวก็เล่ายาวเลย คงเพราะบางคนอยู่คนเดียว เขาอาจจะเหงา เราไปคุยด้วย เขาก็มีความสุข ยิ้มได้ พอเจอรอยยิ้มของคนอื่นก็ทำให้เรายิ้มตามไปด้วย บางคนที่เมื่อก่อนไม่สนิทกันก็สนิทมากขึ้น เราไปถึงตอนเขากินข้าวอยู่ เขาก็ชวนกินข้าว ไปทุกครั้งชวนทุกครั้ง เขาเอ็นดูเราเหมือนเป็นลูกเป็นหลาน เจอหน้าก็พูดคุยทักทายกันครับ”

ความสุขอีกอย่างที่ทีมงานพบคือ การได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ในบ้านเกิดของตัวเอง ได้พบว่าชุมชนมีของดีๆ มากมายที่คนรุ่นก่อนพยายามรักษาไว้มาจนถึงพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกรักและภาคภูมิใจในความเป็นไทลื้อมากขึ้น และตั้งใจว่าอยากสืบทอดเพื่อส่งต่อแก่คนรุ่นต่อไปเช่นกัน

Tags:

ระบบการศึกษาโรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)21st Century skillsผู้ประกอบการ(entrepreneurship)มีชัย วีระไวทยะ

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative learning
    มีชัยพัฒนา: โรงเรียนนี้นักเรียนเป็นใหญ่

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learning
    โรงเรียนไม้ไผ่ มีชัยพัฒนา ทุกคาบคือทักษะชีวิต

    เรื่อง The Potential

หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชุมชน : เด็กๆ สงสัย คิดค้น และเขียนด้วยตัวเอง
Creative learningCharacter building
25 January 2019

หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชุมชน : เด็กๆ สงสัย คิดค้น และเขียนด้วยตัวเอง

เรื่องและภาพ The Potential

  • โครงการศึกษาประวัติศาสตร์ตำบลเกตรี อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เกิดขึ้นจากความสงสัยในชื่อตำบลที่ตนอาศัยอยู่
  • จุดหมายคือเรียนรู้ประวัติศาสตร์ กระบวนการคือต้องกลายร่างเป็นนักวิจัย นักประวัติศาสตร์ และนักมานุษยวิทยา สิ่งที่ได้เป็นหลักฐานคือ หนังสือประวัติศาสตร์ประจำโรงเรียน
  • ไม่เฉพาะความพยายามผลักดันหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตำบลเกตรีเข้าสู่โรงเรียน โครงการของเด็กๆ ทำให้เกิดความตื่นตัวเรื่องประวัติศาสตร์ชุมชน ทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนที่ได้เข้ามาร่วมในกิจกรรมของโครงการ

“บูเกตตรี หรือบูเก็ตบุตรี เป็นภาษามลายู บูเกตแปลว่าภูเขา ส่วนตรีหรือว่าตารี แปลว่าผู้หญิง รวมแล้วจึงแปลว่าภูเขาผู้หญิง หรือ เขาพระนางที่นอนตะแคงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก นานวันเข้า จากบูเกตตรี ก็ค่อยเพี้ยนเหลือแค่เกตรี

“ส่วนประวัติหมู่บ้าน หมู่ที่ 1 ชื่อว่าบ้านไร่ เพราะเมื่อก่อนคนจากฝั่งเหนือลงมาปักหลักทำไร่พลู จึงได้ชื่อว่าบ้านไร่ หมู่ที่ 2 ชื่อว่าบ้านกานิ กานิเป็นภาษามลายูแปลว่าต้นชะมวง ซึ่งในบ้านกานิจะมีบ้านย่อยอีก 3 บ้าน คือบ้านโคกยัก บ้านหัวหย๋อ บ้านเกตรีเหนือ

“ที่มาของชื่อ ‘บ้านโคกยัก’ มาจากลักษณะคนในชุมชนที่มีคนตัวใหญ่มากคล้ายกับยักษ์ รวมกับภูมิประเทศที่เป็นโคกหรือเนินสูง จึงได้ชื่อว่าบ้าน ‘โคกยัก’ ต่อมาคือบ้านหัวหย๋อ หัวหย๋อในภาษามลายูแปลว่ามะพร้าว สมัยก่อนที่ตรงนี้มีมะพร้าวเยอะมากจึงตั้งชื่อบ้านตามต้นไม้ในพื้นที่ ส่วนบ้านเกตรีเหนือ ตั้งอยู่ใกล้กับเขาเกตรี และตั้งอยู่ทางทิศเหนือ จึงได้ชื่อว่าบ้านตรีเหนือ แต่คนปัจจุบันก็จะเรียกว่าบ้านเกตรีเฉยๆ”

ทั้งหมดนี้คือคำอธิบายจากปาก อัพดอล พงศ์สวัสดิ์ สมาชิกสภาเด็กและเยาวชนตำบลเกตรี ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าสนใจการต่อยมวยมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่หลังจากได้รับหน้าที่เข้ารับผิดชอบ โครงการศึกษาประวัติศาสตร์ตำบลเกตรีเพื่อการดำรงอยู่รวมกันของผู้คนในตำบลเกตรี อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เต็มตัว แม้ไม่ชอบ ไม่ถนัดงานศึกษาค้นคว้า แต่พอถึงเวลา อัพดอลก็ทำมันได้อย่างเต็มที่และด้วยความตั้งใจ และสุดท้าย ข้อมูลดังกล่าวกลายเป็นข้อมูลประวัติศาสตร์สำคัญ ที่จะถูกผลักให้กลายเป็นประวัติศาสตร์ประจำโรงเรียน

ความรับผิดชอบทำให้อัพดอลต้องทำ แม้ว่าเริ่มต้น เขาจะไม่ได้สมัครใจเข้าไปแบกรับ ‘ความรับผิดชอบ’ ที่ว่านี้

“ผมน่าจะเป็นรุ่นที่ 1.5 เพราะเข้าโครงการในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างรุ่นแรกกับรุ่นสอง ที่มาที่ไปก็คือ ระหว่างที่พี่ๆ มานั่งประชุมกันทุกคืน ผมก็จะมานั่งอยู่ในวงนั้นด้วย นั่งฟังเฉยๆ นั่นแหละ ต่อมาพี่ๆ เขาก็มาชวนผมให้ช่วยทำงาน เมื่อถึงเวลาพี่ๆ กลุ่มนั้นต้องออกไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัด ผมจึงต้องรับช่วงต่อ เพราะเหมือนกับเป็นความรับผิดชอบของผมไปแล้ว

“ก่อนพี่ๆ จะไป เขามาบอกผมว่า ‘อัพดอล ฝากด้วยนะ’ ฝากอยู่นั่นแหละ คือแม้ว่าพี่ๆ เขาจะออกไปเรียนต่อก็ยังไม่ทิ้งโครงการ ไม่ปล่อยไปเลย ยังมากระตุ้นให้เราเข้าไปทำโครงการด้วย คอยโทรมาถามว่าถึงไหนแล้ว ในเมื่อโครงการนี้กลายเป็นความรับผิดชอบของผมแล้วก็ต้องทำต่อ โครงการจะไปหยุดที่ตรงไหนก็ไม่รู้ แต่เอาให้สุดไปเลย” อัพดอลเล่า

ราด้า-ราฎา กรมเมือง พี่เลี้ยงโครงการเยาวชน ในฐานะผู้ถูกอ้างอิงอธิบายว่า เหตุผลที่ต้องคอยกระตุ้น และชวนเด็กๆ เข้าร่วมในโครงการ ก็เพราะอยากสร้างความภาคภูมิใจให้กับเด็กในชุมชน ให้เด็กๆ มีส่วนในการทำงานเพื่อส่วนร่วม และยกระดับการทำงานของสภาเด็กและเยาวชนให้มากขึ้น

 “สิ่งที่คิดว่าประสบความสำเร็จอย่างหนึ่งในวันนี้คือ เราสร้างความภาคภูมิใจให้กับแกนนำชุดแรก ถ้าเขาไม่เห็นความสำคัญของงานที่เริ่มต้นไว้ เขาคงทิ้งไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ แม้ต้องไปเรียนหนังสือ แต่เขายังไม่ทิ้ง ยังห่วง รู้สึกว่าต้องทำต่อ เขาบอกเองว่าอยากให้คนมาสานต่อสิ่งที่เขาได้ทำไว้” ราด้าอธิบาย

อย่างไรก็ตาม ลำพังอัพดอลคนเดียวคงทำให้งานเดินหน้าไม่ได้ เขาจำเป็นต้องหาทีมงาน จึงไปชวน ซี-ภารดร พงค์สวัสดิ์, ยิบ-มูฮิมหมัด แก้วสลำ, กอน-ฟุรกอน สาดีน, อาหมัด-อะหมัด แก้วสลำ และ มุค-อับดุลมุคนี ขุนรักษ์ เข้ามาร่วมด้วย

แล้วรากเหง้าเรา คือใคร?

สำหรับ โครงการศึกษาประวัติศาสตร์ตำบลเกตรีเพื่อการดำรงอยู่รวมกันของผู้คนในตำบลเกตรี อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เกิดขึ้นจากความสงสัยในชื่อตำบลที่ตนอาศัยอยู่ของกลุ่มเยาวชนจากสภาเด็กและเยาวชนตำบลเกตรี ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆ เรื่องที่พวกเขาอยากทำ อาทิ การทำผ้ามัดย้อม การทำแผนที่ชุมชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่หลังจากที่สมาชิกทีมโหวตเลือกว่าจะทำหัวข้อแผนที่ชุมชน แผนก็มีอันสะดุด เมื่อทุกคนพบว่าต่างไม่มีความรู้เพียงพอที่จะทำแผนที่ได้

“ตอนแรกเราเลือกทำแผนที่ แต่พบว่าเราขาดความรู้เกี่ยวกับตำบลของตัวเอง เราไม่รู้ว่าความเป็นมาของบ้านเกิด ไม่รู้รากเหง้า ความรู้มันมีอยู่ในชุมชน แต่เราก็ไม่มีกระบวนการที่จะไปหามัน

“จากจุดเริ่มต้นตรงนั้น เรากลับมายังสิ่งที่ทุกคนสงสัยมานานตั้งแต่ก่อนที่จะทำโครงการคือ ทำไมบ้านเกตรีถึงชื่อบ้านเกตรี? อย่างนั้นเราทำเรื่องสืบค้นประวัติศาสตร์ของตำบลเกตรีดีไหม? ทุกคนก็เห็นด้วยว่าอยากจะทำเรื่องนี้” อัพดอลอธิบายที่มาของโครงการ

ช่วงแรกพวกเขาตั้งใจเก็บข้อมูลทุกอย่างทั้งที่มาของชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิความรู้ต่างๆ แต่จากคำแนะนำของ บังหยาด-ประวิทย์ ลัดเลีย และ บังเชษฐ์-พิเชษฐ์ เบญจมาศ (บัง คำเรียกผู้ชายอย่างให้เกียรติ) สองพี่เลี้ยงจากศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสตูล ก็ทำให้ทีมตัดสินใจเลือกโฟกัสแค่ประเด็นเดียวคือ ที่มาของชุมชน เพื่อให้การเก็บข้อมูลกระชับและชัดเจนขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์หลักอยู่ที่การเรียบเรียงข้อมูลเหล่านั้นเพื่อส่งต่อให้รุ่นน้องๆ ในชุมชนได้รับรู้รากเหง้าของตัวเอง

“อยากให้น้องๆ ได้รู้ประวัติศาสตร์ของบ้านเราว่ามีความเป็นมายังไง เพราะตอนที่พวกผมเป็นเด็กเหมือนน้องเขา พวกผมก็ไม่รู้เลยว่าเกตรีมีประวัติศาสตร์เป็นมายังไง เลยเห็นว่าถ้าน้องๆ ได้รู้ว่าบ้านเกิดของตัวเองมีความเป็นมายังไง เขาน่าจะรู้สึกรัก ภูมิใจ และหวงแหนในบ้านเกิดของตัวเอง”

ไม่เพียงแค่น้องๆ เท่านั้นที่จะได้รู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของชุมชน ในระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อส่งต่อให้น้องๆ สมาชิกในทีมทุกคน รวมทั้งพี่ๆ ที่ออกไปเรียนหนังสือก็ได้รู้เรื่องราวและประวัติศาสตร์ของชุมชนไปด้วยเช่นเดียวกัน

วางขอบเขต ตะลุยเก็บข้อมูล

ทีมเริ่มเก็บข้อมูลโดยใช้หลัก 3R คือ

  • R1 ค้นคว้าข้อมูลที่มีอยู่แล้วทั่วไป เช่น จากอินเทอร์เน็ต หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวม ทำความเข้าใจ
  • R2 ศึกษาข้อมูลเชิงลึก ที่ต้องการรู้เพิ่ม ลงรายละเอียด จากการสัมภาษณ์
  • R3 นำข้อมูลจาก R1 และ R2 มาวิเคราะห์ ทิศทางที่จะไป และออกแบบปฏิบัติการของโครงการ

3R เป็นวิธีที่ได้รับการอบรมจากพี่ ๆ โครงการกลไกชุมชนเพื่อพัฒนาเยาวชนจังหวัดสตูล เริ่มตั้งแต่การค้นคว้าข้อมูลทั่วไปของชุมชน เช่น ที่ตั้งหมู่บ้าน จำนวนประชากร ลักษณะพื้นที่ ฯลฯ โดยใช้ฐานข้อมูลจาก อบต.เกตรี (R1) ข้อมูลความเป็นมาชุมชน ซึ่งทีมเน้นไปที่ความเป็นมาของชื่อหมู่บ้าน ลงพื้นที่ไปสอบถามจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ข้อมูลตำนานชุมชน และ ข้อมูลสถานที่ ซึ่งเน้นมัสยิดเป็นสำคัญ เพราะเป็นศูนย์รวมของชุมชน โดยเก็บข้อมูลเรื่องวันก่อตั้ง ประวัติ และรายนามอิหม่าม (R2)

“เราแยกกลุ่มข้อมูลไว้ครับ คือ ความเป็นมา ตำนาน และสถานที่ เพราะถ้าไม่แยกกันมันจะยุ่งเหยิง การแยกแบบนี้เราจะเห็นเป้าชัดว่าเราต้องทำอะไร ส่วนความเป็นมากับตำนาน เราเลือกไปสัมภาษณ์คนเฒ่าคนแก่ ให้เขาเล่าความเป็นมาของตำบลทั้งหมดให้ฟัง ข้อมูลอาจเพี้ยนๆ บ้าง เพราะแต่ละคนจะเล่าไม่เหมือนกัน เราก็ใช้หลักสถิติ ยึดตามที่คนส่วนใหญ่พูดเป็นหลัก ส่วนข้อมูลสถานที่ที่เป็นมัสยิด พวกผมหาเอาจากเอกสาร” อัพดอลเล่ากระบวนการทำงานของทีม  

เมื่อเก็บข้อมูลและเรียบเรียงข้อมูลแล้วเสร็จ ทีมก็จัดเวทีชำระประวัติศาสตร์ชุมชนขึ้น

“เปิดเวทีเชิญคนเฒ่าคนแก่ที่พวกผมไปสัมภาษณ์ ทั้งโต๊ะอิหม่าม ผู้ใหญ่บ้าน ผู้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ตำบลเกตรีมานั่งรวมกัน จากนั้นจึงนำเสนอข้อมูลว่าที่ทำมานั้นถูกต้องไหม ต้องแก้ไขเพิ่มเติมตรงไหนหรือเปล่า ซึ่งก็มีทั้งส่วนที่ตรงและที่เราต้องไปหาเพิ่ม”

หลังชำระและเก็บข้อมูลแล้วเสร็จ ทีมก็รวมพลังกันเรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดออกมาในรูปของหนังสือประวัติศาสตร์ประจำโรงเรียน เพื่อเก็บเป็นฐานข้อมูลชุมชนและให้น้องๆ ได้ใช้ศึกษา ซึ่งในอนาคตทีมจะพัฒนาเป็นรูปแบบการ์ตูน เพื่อให้น้องๆ เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงแผนที่ชุมชนผืนใหญ่ ที่ทีมออกแบบและวาดกันเอง และได้นำไปแสดงประกอบการนำเสนอผลงานมาแล้วหลายที่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ค่ายเผยแพร่ประวัติศาสตร์

ค่ายสอนน้อง กระบวนการสอนตน

หนังสือประวัติศาสตร์ชุมชนคือเครื่องมือถ่ายทอดความรู้ในระยะยาว แต่ในระยะสั้น ทีมเลือกที่จะจัดค่ายเผยแพร่ประวัติศาสตร์ชุมชนเพื่อเผยแพร่ความรู้ให้แก่น้องๆ ในชุมชนไปพร้อมไปกับอบรมการทำสื่อไปด้วยในตัว

“เราเปิดให้น้องๆ ม.ต้น จำนวน 15 คนมาอบรมทำสื่อควบคู่กับการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปด้วย ซึ่งจะมีพี่ๆ มาสอนวิธีการถ่ายและตัดต่อวิดีโอ ส่วนเรื่องประวัติความเป็นมาของเกตรี พวกผมจะพาน้อง Walk Rally ไปตามบ้านผู้รู้ ซึ่งมี 3 ฐาน คือ ฐานความเป็นมา ตำนาน และสถานที่ น้องไปทำสื่อตามบ้านน้องก็จะได้ความรู้ แล้วก็ได้สื่อที่เก็บได้นาน สามารถเผยแพร่ให้คนอื่นได้ง่ายด้วย” อัพดอล พี่ใหญ่ของทีมอธิบายวิธีการอบรมน้องๆ กลุ่มเป้าหมายให้เข้าประวัติชุมชนตัวเอง

ตัวกิจกรรมว่าน่าสนใจแล้ว แต่ที่น่าสนใจกว่าคือ กิจกรรมครั้งนี้เป็นการจัดค่ายครั้งแรกของทีม ด้วยคำแนะนำที่ดีจากที่ปรึกษาและพี่เลี้ยงโครงการฯ ทำให้ทีมมีกระบวนการทำงานที่ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะการแบ่งบทบาทหน้าที่ ได้แก่ กอนและอาหมัดอยู่ฝ่ายสันทนาการ ซีอยู่ฝ่ายสถานที่ ยิบอยู่ฝ่ายอุปกรณ์ มีฝ่ายสวัสดิการ ฝ่ายโสตฯ ขณะที่อับดอล และมุคอยู่ฝ่ายวิชาการ ซึ่งถือเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับมุค

“ผมต้องทำไฟล์นำเสนอเกี่ยวกับความเป็นมา ตำนาน สถานที่ และเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ เอาจริงๆ ตอนแรกผมอยากอยู่สันทนาการ แต่เพื่อนให้มาเป็นฝ่ายวิชาการ แต่ก็ได้หมด เพราะคิดว่าอะไรที่ไม่เคยก็ต้องลองดู” มุคบอก

“เราประชุมกันเพื่อวางลำดับ วางโครงของค่ายไว้ แล้วค่อยมาลงรายละเอียดกันว่ามีอะไรบ้าง ใครต้องทำอะไร มีกี่เกม แต่ละเกมต้องทำยังไง ทุกฝ่ายต้องรู้เหมือนกันหมดทุกเรื่อง เพื่อที่จะได้เห็นภาพและเป้าหมายเหมือนกัน เป้าหมายของค่ายนี้คือความสนุก ความรู้เป็นเรื่องรองลงมา คือทำยังไงก็ได้ให้มันสนุก (หัวเราะ) ให้มันพิเศษ เพราะถ้าไม่พิเศษมันจะกร่อย ไม่น่าจดจำ ค่ายมันต้องเป็นอะไรที่น่าจดจำของคน” อัพดอลชี้ให้เห็นเป้าหมายของการจัดค่าย

และยิ่งน่าสนใจไปใหญ่ เมื่อทีมบอกถึงแผนการขั้นต่อไป ที่จะยกระดับความรู้สู่หลักสูตรในโรงเรียน

“หลังจากนี้ พวกผมจะไปเสนอให้โรงเรียนนำหลักสูตรประวัติศาสตร์ของตำบลเกตรีไปสอนน้อง ๆ ในโรงเรียน เพราะว่าตอนที่ผมเรียนไม่มีการสอนประวัติศาสตร์บ้านตัวเองเลย จึงอยากนำแผนนี้ไปเสนอให้กับโรงเรียนบ้านเกตรี และขยายไปโรงเรียนบ้านวังเพนียดต่อไป”

อัพดอลยังบอกอีกว่า

“ถ้าไม่มีคนสอน พวกผมก็จะไปสอนเองครับ”

เพราะถูกขัดเกลา จึงเติบโต

ไม่เฉพาะความพยายามที่จะผลักดันหลักสูตรประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตำบลเกตรีเข้าสู่โรงเรียน โครงการนี้ นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำให้เกิดความตื่นตัวเรื่องประวัติศาสตร์ชุมชนของคนเกตรี ทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนที่ได้เข้ามาร่วมในกิจกรรมของโครงการ ซึ่งน่าจะสามารถต่อยอดโครงการขึ้นไปได้อีกในหลายระดับ ดังที่ทีมกล่าวไปข้างต้นว่า นอกจากโครงการแล้ว สิ่งที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งก็คือ การที่สมาชิกในทีมได้พัฒนาตัวเองผ่านกระบวนการทำโครงการ

“การทำโครงการช่วยพัฒนากระบวนการคิดของพวกเราให้เป็นลำดับขั้นตอนมากขึ้น อย่างตัวผมเอง เมื่อก่อนจะเป็นคนขวางโลก (ยิ้ม) ชอบคิดต่าง ชอบขัดคนอื่นแบบไม่มีเหตุผล ขัดด้วยอารมณ์อยากเอาชนะ เช่น การจัดค่าย มีคนบอกว่าทำค่ายไม่ทันหรอก ผมก็ขัดว่าทัน! คือคิดแบบเด็กๆ แต่พอเราได้เรียนรู้เรื่องการวางแผน การออกแบบกระบวนการ มันก็ทำให้เราเห็นงาน ทำให้เรารู้ว่ามันไม่ทันจริงๆ (หัวเราะ)”

และที่อัพดอลเรียนรู้ไม่เพียงเรื่องกระบวนการทำงาน แต่สิ่งที่เขาได้เพิ่มเติมคือ “ความกล้า” ซึ่งความกล้านี้เองที่จะเป็นกุญแจเปิดประตูไปสู่การยกระดับการทำงานอีกหลาย ๆ เรื่อง

“โครงการทำให้ผมเป็นคนกล้าแสดงออกมากขึ้นครับ เมื่อก่อนเป็นคนที่อยู่แต่ในบ้าน อยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลย การมาเข้าสภาเด็กฯ และการได้ทำโครงการทำให้เราเปลี่ยนแปลง กล้าแสดงออก กล้าคุยกับคนอื่น และยิ่งตอนเขียนโครงการต่อยมวย ผมเป็นคนเขียนโครงการเองก็ต้องเป็นคำเสนอ” อัพดอลเพิ่มเติม

เช่นเดียวกับ อาหมัดที่การทำโครงการช่วยดึงเขาออกมาจากโลกของเกม

“แต่ก่อนเป็นนักเลงคีย์บอร์ดครับ เลิกเรียนก็ไปอยู่ร้านเกมจาก 4 โมงเย็นถึง 6 โมงครึ่ง กลับบ้านไปกินข้าวอาบน้ำ แล้วก็ไปอยู่ร้านเกมอีก 1 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม วันไหนโรงเรียนหยุดก็อยู่ร้านเกมทั้งวัน ไม่ไปไหนเลย สวมหูฟัง มือจับแป้นพิมพ์ ไม่ได้คุยกับใคร เล่นเกมอย่างเดียว จนได้มาทำโครงการ ก็เปลี่ยนจากเกมหน้าคอมมาเป็นเกมสันทนาการ ได้ความสัมพันธ์กับเพื่อนครับ”

นั่นคือส่วนหนึ่งของพัฒนาการที่เกิดขึ้นกับสมาชิกในทีม อันเกิดจากการได้ลงมือทำโครงการด้วยความมานะพยายาม อีกสิ่งหนึ่งที่เชื่อได้ว่าจะเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาเติบโตและสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้แก่ชุมชนบ้านเกิดได้อีกมากในอนาคต ก็คือ ต้นทุนของการได้รู้จักรากเหง้าของตนเอง

เด็กๆ เริ่มต้นมาจากศูนย์ ไม่มีข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชน แต่พวกเขาสามารถสร้างขึ้นมาและยังทำให้คนอื่นได้รับรู้ด้วยว่า ความเป็นมาของเกตรีเป็นอย่างไร ทั้งหมดมันเกิดกับแกนนำรุ่นแรก  5 คนที่เขาไม่เคยทิ้งน้องๆ จากนั้นคนที่เหลือก็ช่วยกันสานต่อจนเสร็จ และสิ่งที่ชุมชนได้รับไม่ใช่ประวัติศาสตร์ชุมชนตำบลเกตรีฉบับสภาเด็กและเยาวชนเท่านั้น พวกเขายังได้ ‘คนรุ่นใหม่’ ที่มีความรัก หวงแหน และผูกพันกับชุมชนเพิ่มขึ้นอีกนับสิบคน

และเชื่อเหลือเกินว่าด้วยพลังของคนหนุ่มเหล่านี้ จะช่วยพัฒนาบ้านเกิดของพวกเขาได้ต่อไป ด้วยต้นทุนของพลังสร้างสรรค์ที่เบ่งบานขึ้นมาจากรากเหง้าที่พวกเขาได้เรียนรู้ในวันนี้อย่างแน่นอน

Tags:

active citizenproject based learningศิลปหัตถกรรมประวัติศาสตร์สตูล

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    ขึ้นควนไปศึกษาเส้นทางธรรมชาติบ้านตะเหมก จังหวัดตรัง ไขปริศนาลี้ลับ “ควนดินดำ” ที่มีมากว่า 200 ปี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ลูกปัดโบราณท่าชนะอายุกว่าพันปี “คุณค่า” ที่ถูกขุดและค้นพบอีกครั้งจาก “นักโบราณคดีรุ่นเยาว์”

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    “นาข้าวอัลฮัม” โรงเรียนรู้ของเยาวชนที่ตำบลเกตรี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    ปันจักสีลัต ศิลปะและการต่อสู้ ที่ใช้ทั้งกาย จิต และปัญญาประสานเป็นหนึ่งเดียว

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Character building
    “อย่าสอนให้รู้ แต่จงสอนให้คิด” ห้องเรียนชีวิตเด็กน้ำท่อม

    เรื่องและภาพ The Potential

เมื่อสังคมก้มหน้าฆ่าคนที่เรารักให้กลายเป็นอากาศ : นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์
Social Issues
25 January 2019

เมื่อสังคมก้มหน้าฆ่าคนที่เรารักให้กลายเป็นอากาศ : นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • ติดอินเตอร์เน็ต-กลัวตกข่าว–ควบคุมตนเองไม่ได้ 3 ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้คนติดโทรศัพท์มือถือ
  • ตามตำราสากลไม่พบคำว่า ‘สังคมก้มหน้า’ แต่ใช้คำว่า Phubbing (ฟับบิ้ง) ที่มาจากคำว่า phone +  snubbing แปลว่าเพิกเฉยหรือดูแคลน ใช้เพิกเฉยต่อคู่สนทนาโดยการใช้โทรศัพท์มือถือ
  • Phubbing ไปกระทบต่อความต้องการพื้นฐานของจิตใจ การอยากเป็นที่ต้องการของใครสักคน-อยากมีความมั่นใจ-อยากให้คนอื่นมองเห็น-และความต้องการควบคุมอะไรบางอย่าง
เรื่อง: อรสา ศรีดาวเรือง

ปีแรกๆ ของการเป็นจิตแพทย์ คุณหมอไฟแรงชวนเพื่อนๆ ที่แยกย้ายใช้ทุนคนละพื้นที่ไปเที่ยวทะเลต่างจังหวัด ความคิดแรกในใจของ นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ ตอนนั้น คือ “ทุกคนต้องแย่งกันคุย แย่งกันเล่า เมาท์กันข้ามคืนแน่ๆ”

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกคนก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือกันหมดเลย   

“เกิดคำถามว่า เอ๊ะ เราหรือเพื่อนที่แปลกไป เราไม่เล่น (มือถือ) นี่เราผิดปกติหรือเปล่า” คุณหมอลองสังเกตอาการเพื่อนๆ ไปอีกหนึ่งวัน อาการยังเหมือนเดิม

“มันแย่ตรงที่เรามาเจอกันแล้วไม่ได้คุยกัน แต่เรากำลังไปคุยกับใครสักคนที่อยู่ไกลๆ ทั้งๆ ที่ เรานัดกันผ่านมือถือเพื่อให้ได้มาเจอหน้ากันนะ แต่พอมาเจอกันจริงๆ กลับไปคุยกับใครไม่รู้”

นพ.วรตม์ เก็บคำถามนี้ไว้ในใจ แล้วกลับไปเสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ตต่อว่า (ไอ้) พฤติกรรมแบบนี้ที่เรียกกันว่า ‘สังคมก้มหน้า’ ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร

“ปรากฏว่าไม่มีคำนี้ครับ” คุณหมอใช้เวลาค้นหาอยู่ 6 เดือนและเจอคำว่า Phubbing (ฟับบิ้ง) ที่มาจากคำว่า phone +  snubbing แปลว่าเพิกเฉยหรือดูแคลน

เรื่องตลกกว่ามีอยู่อีกว่า หลังจากค้นหางานวิจัยจากทั่วโลกด้วยการเสิร์ชคำว่า snubbing คุณหมอเจออยู่ทั้งหมด 1 ชิ้นถ้วน และเป็นผลงานนักศึกษาด้วย

“ผมก็เลยต้องไปเรียนต่อและไปทำวิจัยเรื่องนี้ให้ได้ครับ” นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็ก/วัยรุ่นและโฆษกกรมสุขภาพจิต เผย

จึงเป็นที่มาของงานวิจัยที่ชื่อ An Investigation of the antecedents and consequences of ‘Phubbing’: How being snubbed in favour of a mobile phone permeates and effects social life หรือ การศึกษาสาเหตุและผลลัพธ์ของพฤติกรรมฟับบิ้ง: การแทรกซึมและผลต่อชีวิตในสังคมของการเพิกเฉยคนรอบข้างผ่านโทรศัพท์มือถือ  

จากความสงสัยนำไปสู่การเรียนต่อและงานวิจัยอย่างไร

ผมรู้สึกว่าวันหนึ่งมันจะเป็นอย่างไรนะถ้าทุกคนในโลกไม่คุยกัน ถ้าทุกคนก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ ผมเรียนจิตเวชมาผมรู้ว่าถ้าครอบครัวไหนพูดกันน้อยลง ความรุนแรงจะมากขึ้น ความบาดหมางจะมากขึ้น เมื่อความรุนแรงมากขึ้น การทะเลาะเบาะแว้งจะมากขึ้น คดีต่างๆ ก็เกิดมากขึ้น

ความรุนแรงต่างๆ ในระดับสังคมเกิดจากความรุนแรงเล็กๆ ในครอบครัว แล้วอย่างนี้โลกมันจะไม่แตกหรือ มันจะไม่เกิดหายนะ จะไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่สามหรือ? ถ้าปัจจุบันคนไม่เงยหน้าคุยกันแล้ว

ผมก็ไปบอกผู้ใหญ่ในกรมสุขภาพจิตว่าอยากไปเรียนต่อ ปรากฏว่า มีทุนเรียนเรื่องจิตวิทยาสังคมพอดี ก็เลยเขียนโครงร่างงานวิจัยชิ้นนี้เพื่อส่งให้ไปให้มหาวิทยาลัยต่างๆ เรื่องตลกก็คือ มหา’ลัยกว่า 10 แห่งที่ผมส่งไป ไม่มีใครรับเลย เขาบอกว่าเรื่องที่คุณทำมันประหลาด

เพราะประเทศอื่นไม่ Phubbing?

คนไทยใช้โทรศัพท์เยอะ ฝรั่งใช้โทรศัพท์น้อยกว่า เขาเรียนรู้ที่จะไม่ใช้โทรศัพท์ต่อหน้าคนอื่น ฝรั่งจึงบอกว่า เฮ้ย คุณทำวิจัยเรื่องอะไร? เขาไม่เห็นว่ามันสำคัญเลย มันคือเรื่องอะไรไม่รู้ จนไปเจอศาสตราจารย์คนหนึ่งเขาทำเรื่อง ทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory)…

ดูเป็นเรื่องไม่เกี่ยวเลย?

ใช่ ปรากฏว่าเขาตอบมาอย่างน่าสนใจมากๆ ว่า “ที่บ้านเขาก็เป็น” คืออังกฤษ เขาก็เลยชวนมาทำวิจัยด้วยกัน ผมเลยได้ใบรับรองจากมหา’ลัยขอทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษ 4 ปี ทำวิจัยเรื่องนี้อย่างเดียวเลย

ศึกษาและวิจัยอะไรบ้าง

ทำวิจัยรวมกัน 11 ชิ้น ตั้งแต่หาสาเหตุของ Phubbing มีอะไรเป็นปัจจัยสำคัญ แล้ว Phubbing ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างไร พูดง่ายๆ คือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางบรรทัดฐาน เป็น social norm อย่างไร นี่คืองานวิจัยชิ้นแรก และงานวิจัยชิ้นนี้ทำให้คนอังกฤษตื่นเต้นมากๆ

การ Phubbing ในคนไทยไม่ได้เป็นปัญหาความรุนแรงและยังไม่เห็นผลชัดเจน เพียงแต่มันเริ่มซึมไปแล้ว ถามว่ามันเป็นปัญหาไหม ใช่ มันเป็นปัญหาแน่นอน ผมว่าปัญหาความรุนแรงในสังคมส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะคนเราคุยกันน้อยลง สมัยก่อนผมบอกให้ครอบครัวใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพ เดี๋ยวนี้ต้องพูดเพิ่มไปอีกว่าการใช้เวลาร่วมกันไม่ใช่แค่การก้มหน้าเล่นมือถือ

เพราะตอนนี้กลับบ้านไป ลูกเล่นอยู่ทาง พ่อแม่เล่นอยู่อีกทาง บางทีนั่งรวมกันอยู่ในห้องแต่ไม่ได้คุยอะไรกันเลย แต่ละคนเชื่อมไปแต่เรื่องส่วนตัว แต่ไม่ได้เชื่อมโยงคนในครอบครัว

เรื่องนี้เป็นปัญหา และผมพบสาเหตุของมันจากการวิจัย

สาเหตุของการก้มหน้ามีอะไรบ้าง

Phubbing มาจากคำว่า phone + snubbing แปลว่า การเพิกเฉยคู่สนทนาโดยการใช้โทรศัพท์มือถือ หรือ social exclusion หรือการกีดกันทางสังคมรูปแบบหนึ่ง

เกิดจากปัจจัยสำคัญอย่างเดียวเลยคือการติดโทรศัพท์มือถือ ถ้าคนไม่ติดโทรศัพท์มือถือ ไม่มีมือถือ ก็จะไม่ Phubbing

แค่ไหนถึงจะเรียกว่าติด

คำนิยามของการติดมือถือมีเยอะมาก เพราะมันไม่เป็นโรค แต่สำหรับผมการติดโทรศัพท์มือถือ จะต้องทำให้เสียฟังก์ชั่นบางอย่าง เช่น การติดมือถือทำให้ทำงานได้น้อยลง ทำให้ความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนแย่ลง อย่างนี้ผมใช้คำว่าติด พอเกิดลักษณะแบบนี้ส่วนมากจะตามมาด้วยอาการหลายอย่าง เช่น ไม่สามารถหักห้ามใจที่จะไม่ใช้ได้ แล้วก็เริ่มใช้นานและถี่มากขึ้น เมื่อคนมีอาการแบบนี้ก็จะมีโอกาส Phubbing ใส่คนอื่นมากขึ้น เพราะว่าตัวเองติด ก็จะหยิบขึ้นมาใช้

ทีนี้ผมก็ไปหาต่อว่า แล้วอะไรทำให้คนติดขนาดนั้น ก็พบว่ามี 3 ปัจจัย

ปัจจัยแรก คนต้องติดอินเตอร์เน็ตก่อน ต้องติดการเสิร์ชข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ติดในการใช้โซเชียลมีเดียทางอินเตอร์เน็ต ติดการเล่นเกมทางอินเตอร์เน็ต คือต้องมีการติดคอนเทนต์ของโทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่ติดโทรศัพท์มือถือ

ปัจจัยที่สอง Fomo ย่อมาจาก fear of missing out คือการกลัวที่จะหลุดข้อมูลข่าวสาร กลัวตกข่าว กลัวไม่รู้ว่าเพื่อนไปไหนกัน ดาราทำอะไรกันอยู่ การกลัวแบบนี้เป็นปัจจัยให้หยิบมือถือขึ้นมา อัพเดทหน่อยซิ และเป็นการหยิบขึ้นมาผิดจังหวะ ต่อหน้าเพื่อน เลยกลายเป็นการ Phubbing เพื่อนไปโดยปริยาย

ปัจจัยสุดท้ายคือ Self-control ไม่ดี หรือการควบคุมตนเองไม่ดี ต่อให้มี  fear of missing out หรือว่าติดอินเตอร์เน็ตแต่ว่าคอนโทรลตัวเองได้ ควบคุมพฤติกรรมตัวเองได้ รู้ว่าอะไรเหมาะไม่เหมาะก็จะไม่เกิดการ Phubbing

ผมเลยศึกษาต่อว่า แล้ว Phubbing เนี่ย มันมีผลต่อสังคมปัจจุบันยังไงบ้าง ก็ไปเจอว่าคนที่ Phubbing มากขึ้น เช่น ผมหยิบโทรศัพท์มา Phubbing ใส่เพื่อน สุดท้ายแล้วผมจะถูก Phubbing กลับมากขึ้นเช่นกัน

ในจังหวะที่เราเพิกเฉยต่อเขา เราจะกลายเป็นผู้ถูกเพิกเฉยเช่นกัน ยิ่งเราทำมากเท่าไร เราจะยิ่งถูกโต้ตอบกลับมามากขึ้นเท่านั้น

คนที่ Phubbing มากขึ้น ก็ถูก Phubbing กลับมากขึ้นเช่นกัน คนสองประเภทนี้จะทำให้สิ่งที่เรียกว่า การรับรู้บรรทัดฐานทางสังคม (social norm) เปลี่ยนแปลงไป ผมจะเริ่มรู้สึกว่ามันปกติมากขึ้น ทั้งเวลาที่ผมทำและเวลาที่ผมถูกทำมากขึ้น ทั้งสองอย่างนี้จะทำให้ผมรู้สึกว่า ไอ้เนี่ยมันปกติว่ะ แล้วก็จะวนเป็นวัฏจักร

ถ้าวงจรนี้กลายเป็นเรื่องปกติ สังคมจะเป็นอย่างไร

พอมันเป็นเรื่องปกติ ทุกคนก็จะทำกัน วงจรนี้ก็จะไปติดต่อคนอื่นเรื่อยๆ จึงมีความเป็นไปได้สองอย่าง

หนึ่ง คือทุกคนเจอผลกระทบเหมือนๆ กัน สอง คือเริ่มจะไม่มีผลกระทบเพราะว่าทุกคนชินเหมือนเป็นเรื่องปกติ

ผลกระทบระยะสั้นเนี่ย จากการทำและถูกทำซ้ำๆ บ่อยๆ เรื่อยๆ จนตลอดไป อาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้น หรือบางทีพฤติกรรมแบบนี้มันกลายเป็นปกติสังคม ทุกคนทำหมดก็อาจจะไม่มีผลกระทบระยะสั้นก็ได้ เหลือแต่ผลกระทบระยะยาวอย่างเดียว

งานวิจัยชิ้นที่สองผมอยากรู้ผลมันจะเป็นอย่างไร ผมพบอยู่สองอย่างที่ชัดเจนมากๆ หนึ่งคือ คุณภาพการสนทนาแย่ลงเมื่อมีการ Phubbing มากขึ้น สองคือคุณภาพความสัมพันธ์ ความพึงพอใจในความสัมพันธ์แย่ลง สองอย่างนี้คือเป็นจุดสูงสุดในการสนทนา ถ้าไม่มีสองอย่างนี้ ทั้งคุณภาพและความสัมพันธ์ในการสนทนามันล้มเหลว

ยังไม่พอ เราก็ไปหาว่า เอ๊ะ ทำไมมันเป็นปัญหา จนไปเจอกลไกจริงๆ ว่าการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมามันเป็นรูปแบบหนึ่งของการ social exclusion หรือการกีดกันทางสังคมรูปแบบหนึ่ง ถ้าเกิดการใช้มือถือรูปแบบนี้ถูกมองว่าเป็นการกีดกันทางสังคมมันจะเกิดผลทางจิตวิทยาบางอย่าง ซึ่งสุดท้ายจะไปส่งผลทำให้คุณภาพการสนทนาแย่ลง

ก่อนจะไปถึง “คุณภาพของการสนทนาและความสัมพันธ์ที่แย่ลง” ระหว่างทางมันจะเกิดกลไกทางจิตวิทยาที่เรียกว่า Basic psychological needs หรือ ความต้องการพื้นฐานของจิตใจ มนุษย์เราทุกคนมีความต้องการพื้นฐานทางด้านจิตใจ 4 อย่าง

  1. เราต้องการเป็นของของใครซักคน หรือ belonging ฟังดูมันโรแมนติกมากเลยนะครับ แต่จริงๆ ความหมายของมันคือการได้เป็นพวกเดียวกัน อันนี้คือสิ่งที่มนุษย์ต้องการ
  2. มนุษย์ต้องการมี self-esteem ทุกคนไม่อยากอยู่แบบ low self อยากมีความมั่นใจ พอใจตัวเองในการดำรงอยู่ ไม่อย่างนั้น เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้
  3. Meaningful existence คือการอยู่อย่างมีตัวตน มนุษย์เราจะใช้ชีวิตต่อไปได้ต้องรู้สึกว่าตนเองมีตัวตน ไม่ว่าจะเป็นในองค์กร ในสังคม ในวงเพื่อน ถ้าเราคบเพื่อน 9 คนแล้วเรารู้สึกไม่มีตัวตนเลย วันหนึ่งเราจะเดินออกไปเอง
  4. เราต้องการ control ไม่ได้หมายถึงตัวเอง แต่เราต้องการคอนโทรลสถานการณ์บางอย่างได้ เช่น เพื่อนสี่คนไปกินข้าวด้วยกัน ทำไมฉันไม่เคยมีปากเสียงเลยว่าจะไปกินอะไรได้บ้าง ทุกคนอยากมีตัวตนในวงสังคมโดยที่สามารถคอนโทรลอะไรได้บ้าง

 ปรากฏว่า Phubbing ไปกระแทกทั้งสี่ปัจจัยเลย

การ Phubbing ไปทำให้ทั้งสี่อย่างพื้นฐานทางด้านจิตใจของคนที่ถูก Phubbing ใส่เกิดปัญหา ทำให้เขาเสียความรู้สึก belonging ต่อการสนทนาในวงนี้ไป เขาเสีย self-esteem เขารู้สึกไม่ดึงดูดพอ ไม่มีตัวตน สุดท้ายเขารู้สึกว่าเขาคอนโทรลอะไรไม่ได้เลย ทั้งสี่อย่างนี้ทำให้คุณภาพการสนทนาแย่ลง ความสัมพันธ์กับคู่สนทนาแย่ลง

พองานวิจัยเรื่องนี้ถูกตีพิมพ์ สื่อต่างๆ ทั้ง BCC CNN สนใจมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พบว่า Phubbing มีผลจริงๆ โดยผ่านกลไกทางจิตวิทยาบางอย่าง

แต่ที่น่าสนใจมากๆ เป็นผลจากงานวิจัยชิ้นสุดท้ายของผมที่พบว่า ถ้าคู่สนทนาที่เรา Phubbing ใส่เป็นคนที่เราเกลียด มันจะให้ผลแบบเดียวกันไหม ผมก็ไปวิจัย ปรากฏว่าคำตอบคือ ‘เหมือนกัน’ พฤติกรรมนี้มันรุนแรงขนาดที่ว่า ไม่ว่าเพื่อนจะทำหรือว่าศัตรูทำ ความรุนแรงเท่ากัน

เพราะอะไร

เพราะว่าความรุนแรงมันอยู่ที่ตัวพฤติกรรม ไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคล มันเป็นพฤติกรรมที่รุนแรงมากจนเกินขนาดที่เราจะมาพิจารณาที่ตัวบุคคล

พฤติกรรมความรุนแรงหลายอย่างจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ตัวแปรที่มาเปลี่ยนแปลงผลของมัน (moderator) เช่น บางทีรถมันแรงมากเลย ไม่ว่าฝนจะตก ไม่ว่าดินจะถล่ม แต่ความแรงเท่าเดิม เพราะรถมันแรง เช่นเดียวกันกับพฤติกรรมนี้ที่รุนแรงขนาดที่ว่า คู่สนทนาจะเป็นใครก็ตาม ไม่สามารถปรับผลกระทบจากมันได้เลย

แสดงว่าสี่ปัจจัยที่คุณหมอว่า คือ การเป็นของใครสักคน, ความมั่นใจ, การอยู่อย่างมีตัวตน และ ความสามารถในการควบคุม คือปัจจัยสี่ของหัวใจ?

ใช่ครับ เป็นปัจจัยสี่ทางด้านจิตใจที่ทุกคนต้องการ

อะไรก็ตามที่มากระทบปัจจัยสี่ มันรุนแรงหมด?

ใช่ครับ เพราะมันไม่ใช่กระทบแค่เปลือกเรา มันกระทบตัวตนของเรา มันกระทบความดำรงอยู่ ความมีอยู่ของเรา ความ belonging ของเรา

ลองคิดดูถ้าเราอยู่ในสภาพสังคมที่เราไม่ belong เลย เราไม่มีความหมายในการมีอยู่ พรุ่งนี้เราจะหายใจไปทำไม

กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือเราเป็น ‘อากาศ’ สำหรับทุกคน

ใช่ครับ นั่งอยู่ในวงแล้วเราเริ่มจางไปเรื่อยๆ เนื่องจากบางทีมันเคยชินแล้วเราไม่ได้สนใจมากกว่าว่ามันมีผลกระทบอะไร แต่จริงๆ ถ้ามองดูดีๆ ลองหยิบมือถือมาวางแล้วมองดูเพื่อนก้มหน้าเล่นมือถือ เราจะรู้สึกว่าตัวตนเราจางไปเรื่อยๆ นะ คือ เราไม่มีตัวตน ต้องลองหยุดเล่นแล้วทุกคนกลับมาคุยกันใหม่ ตัวตนเราจะเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณเริ่มกลับมาเข้าร่าง  

อย่างที่คุณหมอบอกว่าการไม่คุยกันมันเป็นจุดบาดหมางเล็กๆ ที่จะลุกลามไปเรื่อยๆ อยากให้ยกตัวอย่างว่า สถานการณ์ที่ว่านี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

ลูกหนีออกมาจากบ้าน (ตอบทันที) เคสบางเคสเกิดจากเรื่องง่ายๆ คือลูกมีแฟนแล้วอยากเล่าให้ที่บ้านฟัง แต่หาจังหวะเล่าไม่ได้เพราะว่าพ่ออยู่หน้าคอม แม่เล่นมือถืออยู่ พอจะบอกปุ๊บ แม่บอกว่าเดี๋ยวค่อยคุย ติดธุระอยู่ คนไข้ผมเนี่ย พอเจอแบบนี้ก็เสียใจ โทรคุยกับแฟน ทำยังไงดีวะๆ พอกลับมาอีกทีหนึ่งก็บอกแม่ หนูจะปรึกษาเรื่องแฟน แม่ก็ว่า อะไรกันมีแฟน ฉันไม่อยากคุยกับแก ฉันไม่ได้สอนให้แกมีแฟน สุดท้ายก็หนีออกจากบ้านไปอยู่กับแฟนดีกว่า จนมีปัญหาครอบครัว ต้องมาเจอจิตแพทย์

ตัวอย่างแบบนี้มีบ่อยมากๆ เกิดจากการไม่คุยกัน หรือว่าเข้าใจผิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่คุยกัน คือบางทีอย่างเช่นกลับบ้านดึก เพราะว่างานเยอะ หรือเรื่องไม่ทำกับข้าว กลับบ้านมาแล้วหวังว่าแฟนจะทำกับข้าวให้ แต่กลับบ้านมาไม่มีข้าวกิน โวยวายก่อนเลย สรุปแฟนป่วยนอนอยู่ในห้อง แค่นี้ครับ เพราะว่าไม่ได้คุยกัน ทั้งแฟนที่อาจจะโทรไปบอกว่าวันนี้ฉันป่วยนะ หรืออีกฝั่งหนึ่งที่กลับมาบ้านก็แทนที่จะเดินไปคุยว่าทำไมไม่ทำกับข้าว เกิดอะไรขึ้น แต่มันไม่เกิดการคุยกัน ปัญหามันก็เกิดขึ้น

มันมีปัจจัยอื่นๆ แวดล้อมด้วยหรือเปล่าที่ทำให้คนคุยกันน้อยลง

ผมคิดว่าการ ‘คุยกัน’ มันยากมากขึ้น เมื่อเราเรียนรู้การใช้แอพพลิเคชั่นที่เป็น instant messaging ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนในปัจจุบันใช้ ตั้งแต่ส่งอีเมล SMS สมัยก่อนก็เพิร์ซ 98 ICQ MSN

การคิดก่อนแล้วพิมพ์ มันทำให้สิ่งที่เราพิมพ์ไป มันง่าย อย่างเราคุยกันต้องคิดไปด้วย ต้องประมวลอยู่ตลอดเวลามันยาก ต้องมองหน้ามองตากัน ผมจะต้องทำหน้าทำตาให้สอดคล้องกับเรื่องที่ผมพูด ผมจะต้องสื่อภาษากายให้ตรงกับเรื่องที่พูดไปด้วย มันเหนื่อยและยากนะครับบางที การเข้ามาของ instant messaging ทำให้ skill ในการสนทนาของคนมันเปลี่ยนแปลงไป

ยิ่งในปัจจุบัน Line หรือว่า Facebook เองมันมีฟังก์ชั่นหนึ่งที่ทำให้เราแย่ลงไปอีก คือการลบได้ พูดแล้วลบได้ ลบหรือแก้ไขโพสต์ก็ได้ โอเคมันอาจจะเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์เรา แต่มันทำให้ skill เราแย่ลงไป เพราะว่าในชีวิตจริงเราแก้ไม่ได้ เราไม่สามารถกดหยุดส่งได้

ผลที่ชัดจากเรื่องนี้ทำให้เด็กติดเกมมากขึ้น หลายคนติดเกมเพราะว่ามันสนุกแต่อีกหลายคนติดเกมเพราะว่า ติดเพื่อนในโลกออนไลน์ เพราะมันไม่ต้องเห็นตัวตน ไม่ต้องใช้อวัจนะภาษา คุณพิมพ์อะไรถ้ารู้สึกว่ามันไม่ดี คุณลบมันไปได้ นั่นแหละครับ คุณไม่ต้องพึ่งพาจิตใต้สำนึกคุณมาก คุณพึ่งแต่จิตสำนึกแล้วพิมพ์ออกไป แล้วค่อยกดส่ง ภาพลักษณ์ออกมาดูดีแต่ความเป็นจริงมันทำให้เราคุยกันยากมากขึ้น บางครอบครัวจะเรียกลูกที่อยู่ชั้นบนด้วยการส่งไลน์ จะส่งทำไม? ทำไมไม่เดินไปเรียกล่ะ? เพราะว่ามันยากไงครับ เพราะกลัวเรียกไปจะโดนโวยวายกลับมา ลูกทำอะไรอยู่ไม่รู้ ส่งไลน์ดีกว่า

การส่ง Line ส่งข้อความ instant ต่างๆ มันเหมือนกับว่าพอเราส่งไปได้มันจบหน้าที่เรา แต่เรากำลังผลักข้อความหรือภาระของเราไปให้คนอื่น

ใช่ครับ คือเราจะหยุดการสนทนาเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วหลายๆ อย่าง เราสามารถปรับโทนการสนทนาได้โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรมาก เช่นผมกำลังคุยกับคุณ แล้วผมรู้สึกโกรธขึ้นเรื่อยๆ บทสนทนาร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดูมีอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ผมจะต้องใช้ความสามารถในการที่จะค่อยๆ ทำให้บทสนทนามันเบาโทนลง

แต่ใน Line ผมสามารถส่งสติกเกอร์หัวใจไปอันเดียวแล้วก็ปรับโทนขำก็ได้ เปลี่ยนประโยคจากที่ผมด่าๆ อยู่เนี่ย แค่ส่งสติกเกอร์ไปเพิ่มอีกตัวนึงก็กลายเป็นเรื่องโจ๊กได้ กลายเป็นว่าเราสามารถปรับโทนได้เลย มันง่ายครับ แต่มันทำให้ skill ของจริงเราน้อยลง

จะมีวิธีหรือกระบวนการอะไร ช่วยดึงคนที่อยู่ในภาวะของการติดมือถือให้ตระหนักรู้และคอนโทรลตัวเองได้บ้าง

สติ คือคนเราจะติดสิ่งที่สนุก มันให้ reward กับเรา ถ้าพูดเชิงวิทยาศาสตร์เลยคือ dopamine เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่อยู่ในสมอง ติดยาเสพติด การพนัน ทุกอย่างนี้มันไปกระตุ้นวงจร dopamine system ซึ่งมันจะหลั่งทำให้เกิดความติด เช่นกันครับ มีงานวิจัยบอกว่าการใช้โทรศัพท์มือถือไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่ง dopamine มาก แล้วมันให้ reward เราตลอดเวลา เช่น เพื่อนคอมเมนท์ เพื่อนกดไลค์ กดแชร์ นั่นคือเขาให้รางวัลเรา เราก็อยากจะเขียนบทความต่อไป วนอย่างนี้เป็นวงจร

แต่สติจะดึงเราออกมาได้ เตือนเราว่ากำลังทำมันมากเกินไป มันกำลังรบกวนชีวิตเรา พอเรามีสติรู้ว่าเรากำลังพึ่งพิงมันมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น เราก็สามารถหยุดมันได้

อีกอันหนึ่งคือ ไปทำอะไรที่เราสนใจมากกว่า เช่นช่วงปิดเล่มผมต้องไปทำธีสิส ผมก็จะเงียบหายไปจากเฟซบุ๊ค เพราะผมไปสนใจเรื่องอื่นมากกว่า มีเรื่องอื่นที่ทำแล้วมันมีประโยชน์มากกว่า คือ งานเสร็จ เรียนนจบ สบายใจ นั่นก็เป็น reward อีกอย่างนึง ให้ผลมากกว่าด้วย

แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นคือคนยังติดมือถือ แสดงว่าคนก็ยังหาสิ่งอื่นที่มี reward ไม่เจอ?

เราให้คุณค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในออนไลน์ ให้คุณค่ากับการตอบสนองของเพื่อนในโลกออนไลน์มากกว่าการที่เราให้คุณค่ากับการสนทนากับตัวจริงๆ เพราะถ้าเราสนทนาแบบเจอตัวจริงเราจะเห็นว่า การสนทนาแบบนี้มันให้ reward เรานะ เราได้ความรู้มากขึ้น ได้ความสัมพันธ์ที่ดีมากขึ้น เราก็จะเลือกมาสนทนากับโลกความเป็นจริงมากกว่า มันคือการให้คุณค่า

ต่างประเทศเขาไม่ได้ให้ค่ากับการสนทนาในออนไลน์มากเท่าคนไทย เราให้ค่ามันเท่าๆ กับการสนทนาแบบปกติเลยด้วยซ้ำ แต่ฝรั่ง งานสำคัญต้องนัดคุยกัน ไม่มีทางที่จะมาพิมพ์ข้อความแล้วบอกเป็นตัวอักษร 

นอกจากเราจะคุยกันน้อยลง เราจะทนกับ ‘ความเงียบ’ ได้น้อยลงด้วย?

เป็น silent anxiety คือจริงๆ ในการพิมพ์ text หากันมันมีช่องว่างนะครับ มันมี silent เช่น ยังไม่อ่าน อ่านแล้วยังไม่ตอบ เราก็จะรู้สึกกังวล ว่าเป็นอะไรวะ คิดอะไรอยู่ แต่ silent ระหว่างคุยกันเนี่ย … (เงียบ) … เห็นไหมครับ น่ากังวลไหมครับ นี่คือ silent ตอนที่ผมหยุดนิ่งไปสามวินาที ‘หมอเป็นอะไรวะ ทำไมหมอหยุดพูด’ ความกังวลเต็มไปหมดเพราะเรามองหน้ากันอยู่ silent มันน่ากลัวครับ หรือ read แล้วไม่ตอบ ยังไม่น่ากลัวมากเพราะเราไม่เห็นหน้า

แต่ถ้าเจอหน้ากันอย่างนี้ พูดออกไปแล้ว คนฟัง ฟังหรือ read แล้ว แต่ไม่ตอบ เงียบ นี่คืออีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้การสนทนายากมากขึ้น

หมายความว่าสาเหตุที่เราทนกับความเงียบได้น้อยลง เกิดจากการใช้โซเชียลมีเดียโดยตรงเลยไหม

(พยักหน้า) ผมว่าเป็นปัจจัยเกือบจะหลักเลยด้วยซ้ำ กับอีกอย่างหนึ่งคือ สังคมที่มันเร่งรีบมากขึ้น ทุกคนมีเวลาน้อยลง คนจะทนกับการที่นั่งอยู่เฉยๆ แล้วไม่ทำอะไรได้น้อยลง เวลามันน้อยอะครับต้องรีบคุยๆ ให้จบ จะให้มานั่งเงียบๆ เนี่ยทำได้ยาก ยิ่งมีความกังวลเรื่องความเงียบ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะหยิบมือถือเข้ามาเล่นมากขึ้น

ทำไมการใช้โซเชียลมีเดียทำให้เรากลัวที่จะเงียบ

เพราะว่าความเงียบมันไปกระทบพื้นฐานทางด้านจิตใจ เรื่องการมีตัวตนของเรา เรารู้สึกว่าพอเราเงียบ ตัวตนหายละ เริ่มรู้สึกด้อยค่า บางทีผมไปจีบผู้หญิงคนหนึ่งแล้วผมส่งข้อความไป อ่านไปครึ่ง ชม. ไม่ตอบ แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นต้องคุยกับผู้ชายอีกคนหล่อกว่า รวยกว่าแน่ๆ เลย เรารู้สึกคอนโทรลคู่สนทนาไม่ได้เพราะเขาเงียบ  

ความว่างเปล่าคือพื้นที่ในการจินตนาการ คนเรากลัวความมืดเพราะว่าเราจินตนาการว่ามันอาจจะมีผี มีสัตว์ร้ายอยู่ ความเงียบก็เช่นกัน

ถ้าเรากลัวความเงียบ เราจำเป็นต้องมีอะไรทำอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่เราจะมีสมาธิหรือโฟกัสกับอะไรซักอย่างมันน้อยลงด้วยหรือเปล่าคะ เพราะทุกอย่างดูเร่งเร็วตลอดเวลา

เป็นไปได้ครับ ปัจจุบันคนพูดถึง multitasking เยอะ มันมีแง่ดีนะครับเพราะคนเราควรมีความสามารถ multitasking แต่ถ้า multitasking มากเกินไป ทำแล้วไม่รอผลของมันก่อน แล้วไปทำอย่างอื่นต่อ ไปๆ มาๆ สรุปคือไม่สำเร็จอะไรซักอย่างเพราะคุณไม่มีการรอคอย โอเคส่วนหนึ่งเป็นความเงียบ แต่อีกส่วนเขาเรียกว่า delay gratification คือการรอเพื่อให้เกิดผลบางอย่างที่ดีกว่า แต่เราไม่สามารถรอได้ อย่างที่บอก สมาธิสั้น ไม่ใช่โรคนะ แต่เราสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้สั้นลง เพราะเราอยากทำนู่นทำนั่นทำนี่ทั้งที่ยังไม่รอให้เกิดผลที่ดีเลยด้วยซ้ำ

อาการที่หมอบอกว่าเราติด content ในโซเชียลมีเดียมันสามารถพัฒนาเป็นโรคได้ไหม

ปัจจุบันเกณฑ์การวินิจฉัยโรคตระกูลนี้มีแค่โรคเดียวคือ internet gaming disorder: โรคติดเกม อนาคตไม่รู้ ถ้ามีการวิจัยที่มากขึ้น เขาก็อาจจะพัฒนาสิ่งเหล่านี้ไปเป็นโรคตามเกณฑ์วินิจฉัยได้ แต่สิ่งที่ไม่เป็นโรคไม่ใช่ว่าไม่เกิดปัญหา ถ้าเกิดปัญหาก็ต้องแก้แม้ว่ามันจะไม่เป็นโรคก็ตาม ตอนนี้ถามว่ามีปัญหาไหม มีแน่นอน เพราะไม่ว่าจะประเทศอะไรก็ตามเริ่มมี guideline ออกมาแล้ว อย่างเช่นเด็กเล็กๆ ควรใช้โทรศัพท์หน้าจอขนาดเท่าไร ไม่ควรใช้ตั้งแต่อายุเท่าไรถึงเท่าไร 

ฉะนั้นทุกคนเห็นปัญหา แต่ว่าจะทำหรือไม่ทำก็ต้องพิจารณาผ่านงานวิจัยว่า มันมีงานวิจัยเพียงพอไหมที่จะออกแนวทางในการทำงานต่างๆ

ทุกวันนี้คนไข้มาขอคำปรึกษาคุณหมอด้วยเรื่องอะไรบ้าง

ร้อยสาเหตุเลยครับ เรียนตก ติดเกม ติดยาเสพติด การพนัน ความรุนแรงในโรงเรียน เป็นเหยื่อความรุนแรงในโรงเรียนก็มี ถูก bully ลากลงไปเจอปัญหาเรื่องพ่อแม่ลูกไม่คุยกันเกือบทั้งหมด ทั้งคนที่ทำและคนที่เป็นเหยื่อ คนที่เป็นเหยื่อเองก็ไม่ได้คุยเพราะไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร คนที่ไปทำก็เกิดจากที่ไม่ได้รับแบบอย่างที่ดี ไม่ได้ผ่านการถูกสอนว่าสิ่งไหนทำได้ ทำไม่ได้ ไม่เคยได้รับคำชม เขาก็ไปหาแรงเสริมในทางลบ ไปหา reward ทางอื่นเช่นเป็นหัวหน้าแก๊ง เพื่อนชื่นชม

ถามว่าสิ่งดีๆ เคยเกิดขึ้นในครอบครัวไหม มี ทุกคนเคยมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในครอบครัว แต่ไม่มีเวลาพอที่จะมาจับข้อถูกตรงนั้นแล้วยกมาพูดคุยชมเชยกัน

พอสาวปัญหาไป ทั้งหมดเกิดจากการไม่ได้คุยกัน ในฐานะจิตแพทย์ มีวิธีแนะนำหรือเริ่มให้กลับมาคุยกันอย่างไร

การเริ่มมันยากจริงๆ ถ้าถามว่าเริ่มตรงไหน ต้องเริ่มจากการตระหนักรู้ก่อนว่าสิ่งนี้จำเป็นจริงๆ เกินกว่าครึ่งเท่าที่ผมเคยคุยกับคุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้ตระหนักว่าเวลาของครอบครัวนั้นสำคัญ ต้องทำให้ตระหนักก่อนว่าครอบครัวดีจะแบ่งเบาภาระไปได้มหาศาลขนาดไหน  

สิ่งต่อมาคือสร้าง เหมือนการลดความอ้วนครับ ชอบมีคนบอกว่าถ้าคุณไม่มีเวลาออกกำลังกายคุณต้องสร้างมันขึ้นมา คุณต้องเห็นก่อนว่าตัวเองสุขภาพไม่ดีละ คุณต้องสร้างเวลา เช่น ครึ่ง ชม. – 1 ชม. จะอยู่กับลูก ไม่ทำอย่างอื่น ให้เวลาลูก ถ้าเกิดเวลาเยอะหน่อยก็ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ว่ายน้ำ เดินเล่นสวนสาธารณะเย็นๆ เดินห้างก็ได้ถ้าขี้เกียจมาก ช่วยกันทำความสะอาดบ้าน พ่อกวาด ลูกถู กิจกรรมครอบครัวเกิดขึ้นได้ทุกที เรื่องง่ายๆ แค่นี้เราสามารถทำได้ อยู่ที่คุณรู้หรือเปล่าว่าครอบครัวของคุณต้องการมัน

หลายบ้านรู้ว่ามันสำคัญ แต่ไม่ทำหรือทำไม่ได้?

เพราะเขาไม่เห็นผลปลายทาง ไม่มีใครโชว์ให้เขาเห็นว่า เด็กแว้น เด็กเดินยา ทุกคนเกิดจากปัญหาตอนเป็นเด็กเล็กทั้งนั้น ไม่เคยมีใครหรืออะไรเกิดจากปัญหาใหญ่ๆ เกิดจากปัญหาเล็กๆ คือ การไม่พูดคุยกันในบ้านทั้งนั้น

Tags:

นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์วัยรุ่นgeneration gapโซเชียลมีเดีย

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Voice of New Gen
    จากติ่งเกาหลีสู่ Active Citizen: ลำโพงขนาดใหญ่ผู้ขับเคลื่อนประเด็นสังคมและการเมือง

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social IssuesBook
    WHY WE POST: เพราะโซเชียลมีเดียฉาบฉวย หรือช่องว่างระหว่างวัยทำให้ไม่เข้าใจกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • How to get along with teenager
    SEXTING คือ SEX+TEXT ไม่ใช่เรื่องเซ็กส์ แต่คือพัฒนาการ

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • How to get along with teenager
    ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    วัยรุ่นยุคก้มหน้า “ถ้าเราเงยขึ้นมา พ่อแม่จะคุยกับเราไหมล่ะ”

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

SEX EDUCATION: เป้าหมายห้องเรียนเพศศึกษา จากอนุบาลถึงมัธยม
Education trendLearning Theory
24 January 2019

SEX EDUCATION: เป้าหมายห้องเรียนเพศศึกษา จากอนุบาลถึงมัธยม

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ บัว คำดี

  • Sex Education ไม่ใช่แค่เรื่องเพศ แต่คือ ‘สิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกาย’ ซึ่งใครจะมาละเมิดไม่ได้
    แต่เท่าไรและลักษณะแบบไหนจึงเข้าข่าย ‘ทำร้าย ละเมิด คุกคาม ทารุณทางเพศ’ เส้นแบ่งที่ว่าคืออะไร และ เด็กอายุเท่าไรจึงควรรู้จักเส้นที่ว่านี้?
  • บทความนี้อธิบาย 2 ประเด็น คือ หนึ่ง-เป้าหมายของห้องเรียนเพศศึกษา สอง-คำศัพท์เรื่องเพศที่แต่ละช่วงวัยตั้งแต่ระดับอนุบาล ถึง มัธยมปลาย ควรรู้
  • เหมาะสำหรับพ่อแม่ และ ครูในสถานศึกษา เพราะแบ่งหมวดคำศัพท์และชุดความรู้เรื่องความรุนแรงทางเพศ ให้นำไปออกแบบห้องเรียนได้เหมาะสมแต่ละช่วงวัย

ช่วงปีที่ผ่านมา ข่าวในวงการศึกษาเรื่องหนึ่งคือการที่นักเรียนทั้งประถม มัธยม ออกมาแจ้งความเรื่องการถูกครูละเมิด ทำอนาจาร ข่มขู่ ข่มขืนนักเรียนกันหลายกรณี คงไม่ต้องพูดกันอีกแล้วว่าเรื่อง ‘การละเมิดลวนลาม’ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องไม่ว่ากรณีใด และถึงเวลาที่เราต้องออกมาทำงานเพื่อทำให้โรงเรียน เป็นพื้นที่ปลอดภัยจริงๆ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชัดเจนว่า ‘เรา’ ครู ผู้ปกครอง สังคม นักเรียน ต้องทำความเข้าใจควบคู่กันไปคือเรื่องสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายที่ใครจะมาละเมิดไม่ได้ อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศ (literacy)

บทความนี้ชวนทำความเข้าใจ Sex Education ที่เหมาะสมจะเป็นข้อมูลตั้งต้น และป้องกันไม่ให้ปัญหาสังคมยิ่งขยายกว้าง อันมาจากรากปัญหาเดิมนั่นก็คือ ‘เพศศึกษาถูกปิดตายในสังคมไทย’ ข้อมูลที่เหมาะสมดังกล่าว ต้องมีหน้าตาอย่างไร?

และท่ามกลางเนื้อหามากมายที่ห้องเรียนเพศศึกษาจำเป็นต้องพูดถึง มี 2 ประเด็นที่สำคัญและน่าสนใจ คือ

  • ห้องเรียนเพศศึกษา จำเป็นต้องพูด ต้องสร้างทัศนคติต่อผู้เรียนเรื่องใดบ้าง
  • สิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายของบุคคล มีนิยาม และ รูปธรรมอย่างไร โดยเฉพาะเส้นแบ่งของ สัมผัสที่แสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันธรรมดา กับ สัมผัสที่เป็นการล่วงละเมิดทางเพศ ทารุณทางเพศ ทำร้ายทางเพศ

อ้างอิงจาก Guidelines for Comprehensive Sexuality Education: Kindergarten-12th Grade (คู่มืออธิบายภาพรวมการเรียนรู้เรื่องเพศ: ระดับอนุบาลถึงมัธยมปลาย) โดย การศึกษาและข้อมูลข่าวสารด้านเพศวิถีแห่งสหรัฐอเมริกา (The Sexuality Information and Education Council of the United States-SIECUS) องค์กรไม่แสวงกำไรด้านสุขภาวะ

คู่มือดังกล่าวไม่ได้พูดถึง ‘หลักสูตร’ หรือ ‘แผนการสอน’ เพียงแต่แนะ ‘คีย์เวิร์ด’ จุดสตาร์ท หรือ จุดประสงค์หลัก ที่ครูควรเน้นหรือเริ่มทำความเข้าใจในแต่ละช่วงวัย เพื่อให้คุณครูในแต่ละพื้นที่นำไปออกแบบวิธีการเรียนสอนให้เข้ากับบริบทสังคมของตัวเอง ใช้เป็นแนวทางร่วมกับกลุ่มครูผู้สอนในแต่ละระดับชั้น ให้ผู้ปกครองทำความเข้าใจว่าควรเริ่มพูดเรื่องไหนกับลูกเมื่ออายุเท่าใด

โดย ‘คีย์เวิร์ด’ สำหรับห้องเรียนเพศศึกษาจะแบ่งเป็นช่วงวัย หรือ ระดับชั้นดังนี้

  • Level 1 : วัยเด็กตอนกลาง หรือชั้นอนุบาล อายุตั้งแต่ 5-8 ปี
  • Level 2 : วัยก่อนวัยรุ่น หรือชั้นประถมศึกษา อายุตั้งแต่ 9-12 ปี
  • Level 3 : วัยรุ่นตอนต้น หรือชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อายุตั้งแต่ 12-15 ปี
  • Level 4: วัยรุ่น หรือ ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย อายุตั้งแต่ 15-18 ปี

เหนือสิ่งอื่นใด คู่มือฉบับนี้ได้ให้นิยาม* ความหมาย และขีดเส้นให้ชัดเรื่อง ‘เส้นแบ่ง’ ระหว่างการทารุณทางเพศ คุกคามทางเพศ และการละเมิดทางเพศ

สำคัญที่สุดคือการทำให้ตัวเด็กเข้าใจเส้นแบ่งนี้ด้วยตัวเอง รู้ว่าเขาจะขอความช่วยเหลือได้โดยไม่รู้สึกว่าเขาคือเหยื่อและไม่ใช่คนผิด การรู้เส้นแบ่งนี้จะช่วยหยุดการละเมิด ซึ่งหากปล่อย(เบลอ)ไว้อาจลุกลามจนกลายเป็นการคุกคามหรือทารุณที่ยิ่งใหญ่กว่า

ดังที่พรรคพลเมืองไทยแสดงความกังวลไว้

เป้าหมายห้องเรียนเพศศึกษา ตั้งแต่ปฐมวัย ถึง มัธยมศึกษา

เป้าหมายของ Sexuality Education หรือ การเรียนรู้เรื่องเพศ หรือ เพศศึกษา ในนักเรียนตั้งแต่ปฐมวัยถึงวัยรุ่น คือ การมีมุมมองในทางบวกต่อเรื่องเพศ (ไม่ใช่แค่ได้ยินคำนี้ก็ปิดหูเพราะคิดว่า ‘ยังไม่ถึงเวลา’ หรือ มองว่ามันเป็นเรื่องสกปรก) สร้างพื้นที่ส่งต่อข้อมูลจำเป็นที่ควรรู้เพื่อให้แต่ละคนดูแลสุขอนามัยของตัวเอง มีทักษะคิดวิเคราะห์ ทักษะการดูแลตัวเองและการเอาตัวรอด

เมื่อถึงเวลามีความรักความสัมพันธ์ ให้รู้ว่าพวกเขามีทางเลือกอะไรบ้างในประเด็นเหล่านี้ โดยเฉพาะการเลือกเพศวิถีของตัวเอง มีทัศนคติที่เข้าใจ และเคารพต่อความสัมพันธ์ที่หลากหลาย

สำคัญที่สุด คือ รู้ว่าเส้นแบ่งเรื่องเพศของเรื่องการละเมิด การคุกคามทางเพศ คืออะไร

จุดประสงค์ของห้องเรียนเรื่องเพศ ซึ่งต้องทำให้เด็กมีวิธีคิด หรือทัศนคติทางเพศ มี 4 ข้อ ดังนี้

1. ความรู้ :ห้องเรียนต้องมุ่งหมายให้ข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องเพศ ตั้งแต่การเติบโต พัฒนาการร่างกาย การสืบพันธุ์ กายวิภาค(ร่างกายมนุษย์) การช่วยตัวเอง ชีวิตครอบครัว การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร บทบาทพ่อแม่ (ชายหญิง, หญิงหญิง, ชายชาย หรือ การดูแลเด็กในรูปแบบความสัมพันธ์อื่น) ความรับผิดชอบเรื่องเพศ รสนิยมทางเพศ, อัตลักษณ์ทางเพศ การคุมกำเนิด ความรุนแรงทางเพศ HIV/AIDS และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

2. ทัศนคติ, คุณค่า(ค่านิยม) และ ดุลยพินิจ: การเรียนรู้เรื่องเพศต้องเปิดพื้นที่ให้วัยรุ่นได้ตั้งคำถาม สำรวจ และเข้าถึงทัศนคติของชุมชนแต่ละกลุ่มที่มีต่อเพศสภาพ (Gender-เพศที่ถูกกำหนดและควบคุมโดยสังคม มีแค่ความเป็นหญิงและชาย) และเพศวิถี (Sexuality-เพศที่นิยามและไม่จำกัดตามกรอบสังคม มีเรื่องอัตลักษณ์ของปัจเจก และนัยที่ต้องการหลุดพ้นจากการครอบงำและการบังคับของสังคม) วิธีนี้จะช่วยให้วัยรุ่นเข้าใจสิ่งที่ครอบครัวให้คุณค่า แต่ก็ยังสร้างความเชื่อของตัวเองได้ พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ มีความมั่นใจ ทั้งยังพัฒนามุมมองเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของครอบครัว ความเป็นปัจเจกในเรื่องเพศ คู่รัก และ ความสัมพันธ์ของสังคมในภาพใหญ่ การเรียนรู้เรื่องเพศยังทำให้เข้าใจข้อห้าม (เช่น การละเมิด) และความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคม

3. ความสัมพันธ์และทักษะระหว่างบุคคล : ทักษะระหว่างบุคคลในที่นี้หมายถึง การสื่อสาร การตัดสินใจ ความกล้าแสดงออก ทักษะในการปฏิเสธ รวมทั้งความสามารถที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีและต่างตอบแทนซึ่งกันและกันด้วย ห้องเรียนเรื่องเพศต้องเตรียมพร้อมให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องเพศอย่างชัดเจนถึงบทบาทในการเป็นผู้ใหญ่ ในแง่นี้รวมถึงความสามารถของความใส่ใจ สนับสนุน ไม่บีบบังคับ และต้องเข้าใจความสัมพันธ์ทางเพศในมุมความเป็นส่วนตัวและต้องต่างสบายใจต่อกัน

4. ความรับผิดชอบ : ห้องเรียนเรื่องเพศเปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกบริหารทักษะความรับผิดชอบในเรื่องเพศ เช่น งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ การต้านทานต่อแรงกดดันในการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การคุมกำเนิด หรือเกี่ยวกับสุขภาวะทางเพศอื่นๆ

แนวทางการพูดคุยในห้องเรียนเรื่องเพศมีได้หลากหลาย แต่วิธีคิดสำคัญคือ มันจะมีประสิทธิภาพและจับต้องได้จริงที่สุดก็ต่อเมื่อผู้เรียนมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิด สำรวจทัศนคติ และอธิบายคุณค่าของเขาต่อเรื่องเพศ

เช่น การเปิดพื้นที่ให้แลกเปลี่ยนความคิดอย่างจริงจัง, เล่นบทบาทสมมติ, สร้างสถานการณ์ หรือจะเป็นการบ้านพื้นฐาน เช่น ทำงานค้นคว้าในเชิงเดี่ยวและกลุ่มก็ยังได้

หมายเหตุ: ในแต่ละช่วงวัย อาจมีการกล่าวซ้ำบางประเด็น คล้ายกับการทบทวนเนื้อหาที่เคยสอนไปในช่วงชั้นก่อนๆ

Key Concept
แต่ละช่วงวัย ควรรู้จักเรื่องสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย และ คำศัพท์เรื่องเพศ อะไรบ้าง?

คู่มืออธิบายภาพรวมการเรียนรู้เรื่องเพศ ระดับอนุบาลถึงมัธยมปลาย เน้นอธิบายผ่าน Key Concept ให้ผู้ปกครองและครูแต่ละช่วงวัยนำไปเป็นหลักในการสอน แบ่งออกเป็น 4 ช่วงวัย คือ วัยเด็กตอนกลาง, วัยก่อนวัยรุ่น, วัยรุ่นตอนต้น และ วัยรุ่น

แต่ละช่วงวัย มีสิ่งที่ควรทำความเข้าใจ ดังต่อไปนี้

Level 1: วัยเด็กตอนกลาง หรือชั้นอนุบาล อายุตั้งแต่ 5-8 ปี

– ร่างกายของเรา เราเป็นเจ้าของ

– อวัยวะบางอย่างในร่างกายที่ถูกกันไว้เป็นเรื่องสงวน เป็นสิ่งส่วนตัว (private parts) คือ ปาก, หัวนม, หน้าอก, อวัยวะเพศชาย, ถุงอัณฑะ, อวัยวะเพศหญิง, ปากช่องคลอด และ สะโพก

– ไม่มีใครมีสิทธิมาจับ สัมผัส อวัยวะดังกล่าวได้ เว้นแต่เป็นเป็นการตรวจทางสาธารณสุข หรือ การทำความสะอาด

– แม้แต่ตัวเด็กเอง ก็ไม่มีสิทธิ์จับต้องอวัยวะส่วนตัวของเด็กคนอื่น

– การกระทำที่เข้าข่าย ‘การทารุณเด็กทางเพศ’ (Sexual Abuse) คือเมื่อใครก็ตามสัมผัส จับ แตะต้องอวัยวะส่วนตัวของเด็ก โดยที่ไม่ใช่เหตุผลทางสาธารณสุข หรือ เหตุผลทางอนามัย

– หรือการขอให้เด็กจับ สัมผัส แตะ อวัยวะส่วนตัวของเขาหรือเธอ (ในที่นี้หมายถึงทุกเพศ) นับเป็น ‘การทารุณทางเพศเช่นกัน’

– แม้รายงานที่ได้ยินส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้หญิงและผู้หญิง แต่ทั้งเด็กผู้ชาย/ผู้ชาย เด็กผู้หญิง/ผู้หญิง หรือ คนทุกเพศทุกวัย ถูกทารุณทางเพศได้ทั้งหมด

– ในกรณีที่รู้สึกไม่สะดวกใจ ไม่ปลอดภัย ต่อสัมผัสนั้น เด็กหรือคนทุกคน มีสิทธิที่จะบอกหรือห้ามคนอื่น ไม่ให้ถูกเนื้อต้องตัวเราได้ทั้งนั้น

– แม้จะถูกบอกให้เก็บเป็นความลับ แต่ถ้าเด็กรู้สึกไม่ต้องการ รู้สึกไม่สะดวกใจ ไม่ปลอดภัยต่อสัมผัสนั้น เขาหรือเธอควรบอกผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้

– เด็กถูกทารุณทางเพศได้จากทั้งคนแปลกหน้า และคนที่เด็กเองก็รู้จักดี

– จำไว้ว่าเด็กจะไม่มีทางเป็นคนผิด แม้ว่าคนที่มอบสัมผัสอันทำให้เด็กรู้สึกไม่ชอบมาพากล ไม่สะดวกใจ จะเป็นคนในครอบครัวก็ตามที

– ถ้ามีคนแปลกหน้า พยายามจะชักชวนเด็กให้ไปด้วยกัน ให้วิ่งหนีไปเลย แล้วบอกผู้ปกครอง ครู เพื่อนบ้าน หรือผู้ใหญ่คนอื่นๆ ทันที

– สุดท้าย ย้ำให้เด็กรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่มีพฤติกรรมคุมคามทางเพศ หรือทารุณเด็ก

Level 2: วัยก่อนวัยรุ่น หรือชั้นประถมศึกษา อายุตั้งแต่ 9-12 ปี

– การทารุณทางเพศ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป แม้ว่าคนจะไม่พูดถึงมันก็ตาม

– การทารุณทางเพศเด็กส่วนใหญ่ เกิดขึ้นจากคนที่เด็กรู้จักดี ไม่ใช่คนแปลกหน้า

– ผู้กระทำอาจเป็นผู้ใหญ่ วัยรุ่น เด็ก เป็นได้ทุกเพศ ทุกวัย

– ความรุนแรงทางเพศในเด็กส่วนใหญ่ มักมาในรูปของความลับ, การติดสินบน, การใช้กลอุบาย, การคุกคาม หรือ บีบบังคับ

– ถ้าเด็กพบกับสัมผัสที่ไม่สะดวกใจ ไม่ต้องการ ไม่ยินยอม ต้องบอกผู้ใหญ่ที่ไว้ใจ้ได้ ซึ่งถ้าผู้ใหญ่คนนั้นไม่เชื่อเรา ไม่ต้องรู้สึกผิดกับตัวเอง อย่าหยุดแค่ผู้ใหญ่คนนี้ แต่หาผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้คนอื่นแล้วบอกเล่าให้ฟัง หาผู้ฟังที่ไว้ใจได้จนกว่าจะเจอเพื่อขอความช่วยเหลือ

– บางครั้งการทารุณทางเพศ ไม่จำเป็นมีสัมผัสเสมอไป การเปิดหนังโป๊ สื่ออนาจาร หรือให้ดูเซ็กส์สด นับเป็นการทารุณทางเพศเช่นกัน

– ผู้ที่พบประสบการณ์ทารุณทางเพศ อาจเผชิญหน้ากับก้อนอารมณ์ที่หลากหลาย เช่น สับสน โกรธแค้น หวาดกลัว รู้สึกผิด อับอาย โดดเดี่ยว ไร้ค่า ซึมเศร้า สิ้นหวัง หรืออาจเป็นความรู้สึกอยากได้รับความใส่ใจเป็นพิเศษ เช่น อยากเป็นที่ต้องการ อยากถูกรัก ถูกใส่ใจ

– ในกรณีดังกล่าว ผู้ที่เข้าช่วยเหลือได้คือ ครูแนะแนว ครู แพทย์ ตำรวจ และทีมทำงานด้านสิทธิอื่นๆ

– แม้ว่าการพูดคุยกับเพื่อนใหม่ในโลกออนไลน์จะสนุก แต่ควรย้ำกับตัวเองบ่อยครั้งว่าอาจมีอันตรายซ่อนอยู่ ต้องระวังตัว

– มีคนจำนวนไม่น้อยใช้โซเชียลมีเดียหลอกลวงเด็กเพื่อกระทำเรื่องทางเพศ

– การคุกคามทางเพศ (sexual harassment) คือพฤติกรรมการแสดงออกทั้งทางสัมผัส วาจา หรืออากัปกิริยา ที่ส่อไปในทางเพศ ซึ่งผู้รับสารไม่ต้องการ ไม่สะดวกใจ เช่น การแหย่ สัมผัส หรือ คำพูดในเชิงส่อเสียดทางเพศ

– การคุกคามทางเพศ ในนิยามข้างต้น นับเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

– กฎหมายเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศ และ อนาจารเด็ก ดูได้ที่นี่

Level 3: วัยรุ่นตอนต้น หรือชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น อายุตั้งแต่ 12-15 ปี

– การทารุณทางเพศในแง่การสัมผัส รวมถึงการจูบ(ที่ไม่ต้องการ)ด้วย ทั้งยังหมายถึงการถูกขอให้สัมผัสอวัยวะสงวนโดยตรง หรือขอให้กระทำบางอย่างเกี่ยวกับอวัยวะเพศ หรือ ทางทวารหนัก

– การทารุณทางเพศที่ไม่เกี่ยวข้องกับสัมผัส เช่น การเปิดหนังโป๊ สื่ออนาจาร หรือให้ดูเซ็กส์สด

– การคุกคามทางเพศ (sexual coercion) คือ การบังคับขู่เข็ญและใช้กำลังเพื่อบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับตัวเองโดยไม่เต็มใจ อันแปลว่า ไม่มีใครมีสิทธิ์คุกคามผู้อื่นเพื่อให้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับตัวเอง

– การทำร้ายทางเพศ (Sexual assault) คือพฤติกรรมทำร้ายร่างกายและทางจิตวิทยา เพื่อให้มีความสัมพันธ์ด้วย

– เมื่อไรก็ตามที่การทำร้ายร่างกายนั้น มีการสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศหรือทวารหนัก นับเป็นการข่มขืนทันที

– แม้ผู้หญิงและเด็กหญิงจะเป็นเพศที่มีรายงานว่าถูกทำร้ายทางเพศบ่อยครั้ง แต่ข้อเท็จจริงคือ ‘ทุกเพศ’ มีรายงานว่าถูกทำร้ายร่างกายทั้งหมด

– ผู้ที่ถูกทำร้ายทางเพศ ไม่นับว่ามีความผิด (คุณไม่ได้ทำอะไรผิด คุณไม่ผิดอะไร)

– ผู้ที่ถูกทำร้ายทางเพศโดยคนรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือคู่เดท จะเรียกว่า การข่มขืนโดยคนรู้จัก หรือโดยคู่เดท (acquaintance rape / date rape)

– ไม่มีใครมีสิทธิ์ทำร้ายร่างกาย หรือใช้กลวิธีทางจิตวิทยาทำร้ายคนอื่นเพื่อหวังความสัมพันธ์ทางเพศ

– การทำร้ายทางเพศ ถือเป็นความผิดทางกฎหมายเช่นกัน

– เมื่อถูกทำร้ายทางเพศ ต้องแจ้งความเพื่อดำเนินคดีให้มีการสืบสวนต่อไป ซึ่งในกฎหมายไทยระบุว่า การสืบพยานในเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ต้องมีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการอยู่ร่วมด้วย (สำคัญที่สุด ไม่จำเป็นต้องเล่าให้นักข่าว ซึ่งไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาฟัง – ผู้เขียน)

– เครื่องมือป้องกัน หลีกเลี่ยง เพื่อไม่นำไปสู่สถานการณ์ดังกล่าว คือทักษะป้องกันตัวเองของเด็ก ทักษะการเอาตัวรอดที่จะพิจารณาได้ว่าสถานการณ์แบบไหนนำไปสู่อันตราย สถานการณ์ใดควรหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ หรือการใช้สารเสพติด

– แน่นอนว่าในบางกรณี ต่อให้ระวังที่สุดแล้ว ก็ไม่สามารถป้องกันเหตุการณ์ทำร้าย คุกคาม หรือทารุณทางเพศ ได้ทุกกรณี

– ความรุนแรงในบ้าน เป็นได้ทั้งความรุนแรงทางจิตใจ ร่างกาย บางครั้งมีการทารุณทางเพศ ในที่นี้หมายถึงผู้ที่อยู่ร่วมกัน มีสายเลือดเดียวกัน และอยู่ร่วมกันด้วยความสัมพันธ์ที่หลากหลาย (เช่น คู่เดทที่อยู่ร่วมบ้านกัน)

– แม้คนที่ยอมรับการทารุณ หรือความรุนแรง (เพราะเคยโดนประจำ) การโดนกระทำซ้ำก็ยังถือเป็นการ ‘abuse’ อยู่ดี (ความเคยชิน ไม่เท่ากับ ยอมรับได้ – ผู้เขียน)

– มีหลายหน่วยงานที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์คุกคามทางเพศ ถูกทำร้ายทางเพศ หรือ ความรุนแรงทางเพศอื่นๆ เช่น ผู้ให้คำปรึกษาเฉพาะเรื่อง ครู แพทย์ ศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ หน่วยงานที่ดูแลด้านครอบครัว ตำรวจ เป็นต้น

– การคุกคามทางเพศเกิดขึ้นหลากหลายที่ ทั้งโรงเรียน ที่ทำงาน และอื่นๆ

– หากอยากขอความช่วยเหลือหรือคำปรึกษาเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ ติดต่อศูนย์ช่วยเหลือสังคม OSCC โทร.1300 ตลอด 24 ชม. หรือ ดูหน่วยงานอื่นๆ ที่นี่

Level 4: วัยรุ่น หรือ ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย อายุตั้งแต่ 15-18 ปี

ข้อมูลที่ต้องทำความเข้าใจในชั้นเรียนนี้เน้นไปที่กระบวนการได้รับความช่วยเหลือ คำปรึกษา และการเข้ารับความช่วยเหลืของบริบทแต่ละประเภท

– ผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์ความรุนแรงทางเพศ เข้ารับความช่วยเหลือ คำปรึกษา จากหน่วยงานสาธารณสุข หรือทีมทำงานทางสังคมได้ ดูที่นี่

– แต่ไม่ว่าผู้ที่ผ่านประสบการณ์ความรุนแรงทางเพศจะเลือกแบบไหน ถือเป็นสิทธิเด็ดขาดของผู้นั้น ผู้ที่อยู่รอบข้างขอให้พึงตระหนักว่า บางเหตุการณ์เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจ

– เพราะขั้นตอนการสอบสวน ขั้นตอนคดีความ หรือการหาหลักฐานในกรณีเช่นนี้ ถือเป็นการกระทำที่ยากลำบากของผู้ประสบเหตุการณ์บางราย

นอกจากข้อมูลพื้นฐานเรื่องสิทธิ และ คำศัพท์ที่แต่ละช่วงวัยควรรู้ Sex Education ยังกินพรมแดนความรู้เรื่อง ความหลากหลายทางเพศ ความสัมพันธ์ พัฒนาการร่างกายแต่ละช่วงวัย ความสัมพันธ์, ทักษะการเอาตัวรอด, พฤติกรรมธรรมชาติทางเพศ เช่น การช่วยตัวเอง การแบ่งปันข้อมูลเรื่องเพศของแต่ละกลุ่มชุมชน ความรับผิดชอบในเรื่องเพศสัมพันธ์ สุขภาวะ นอกจากนี้ยังเป็นมิติเรื่องการรับสื่อ ซึ่งมีทั้งผิดและถูกกฎหมาย ทั้งสื่อใกล้ตัวและสื่อออนไลน์ โดยทั้งหมดนี้กล่าวมานี้ ยังไม่ได้พูดถึงลงลึกในบทความนี้

ซึ่งจะว่าไปแล้ว อาจเป็นอย่างที่พรรคพลเมืองไทยพูด มันเป็นโอกาสอันดีที่เราจะต่อยอดการพูดถึงเนื้อหาใน Sex Education หรือ ห้องเรียนเพศศึกษาในบ้านเราที่ไม่เคยตอบคำถามเด็กๆ ได้สักที นอกจากมีไว้เป็นส่วนหนึ่งของคาบเรียน

Fun Fact

*นิยามเหล่านี้อ้างอิงจากข้อมูลในคู่มือดังกล่าว แต่ให้นิยามคล้ายกับกฎหมายในประเทศไทย คือ กฎ ก.พ.ว่าด้วยการกระทำการอันเป็นการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ พ.ศ. 2553 รวมถึงมาตรการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งหมายความว่า หากผู้ใดเข้าข่ายถูกกระทำในนิยามดังต่อไปนี้ ถือว่าเรียกร้องเอาความทางกฎหมายได้

– การทารุณทางเพศ จากคำว่า Sexual Abuse มีเส้นแบ่งที่ชัดคือ ต่อเมื่อมีการสัมผัสของสงวน หรืออวัยวะส่วนตัว (private parts) คือ ปาก, หัวนม, หน้าอก, อวัยวะเพศชาย, ถุงอัณฑะ, อวัยวะเพศหญิง, ปากช่องคลอด และ สะโพก

– การคุกคามทางเพศ จากคำว่า sexual coercion มีนัยแห่งการบังคับขู่เข็ญและใช้กำลังเพื่อบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับตัวเองโดยไม่เต็มใจ

– ส่วนการคุกคามทางเพศ จากคำว่า sexual harassment มีความหมายในแง่ พฤติกรรมการแสดงออกทั้งทางสัมผัส วาจา หรืออากัปกิริยาที่ส่อไปในทางเพศ ซึ่งผู้รับสารไม่ต้องการ ไม่สะดวกใจ เช่น การแหย่ สัมผัส หรือ คำพูดในเชิงส่อเสียดทางเพศ

– การล่วงละเมิดทางเพศ จากคำว่า Sexual Bullying การล่วงละเมิดทางเพศเป็นคำที่มีความ ‘เบลอ’ สูง เพราะไม่ปรากฏนิยามการกระทำที่เด่นชัด เป็นได้ทั้งการละเมิดทางกายกับของสงวนซึ่งหน้า เป็นเพียงสัมผัสที่ให้ความรู้สึกไม่สบายใจ อึดอัดใจ หรือบางครั้งเป็นการล่วงละเมิดทางวาจา ผู้เขียนตีความเอาเองว่าเป็นพฤติกรรมกึ่งๆ ระหว่างการคุกคามทางเพศ และ การทารุณทางเพศ

– การทำร้ายทางเพศ จากคำว่า Sexual assault คือพฤติกรรมทำร้ายร่างกายและทางจิตวิทยา เพื่อให้มีความสัมพันธ์ด้วย

– สรุปความที่ครบถ้วนในประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก จัดทำโดยมหาวิทยาลัยมหิดล อ่านที่นี่

– การเตรียมความพร้อมและคุ้มครองเด็กผู้เสียหายในกระบวนการยุติธรรม หรือ ดูข้อมูลสิทธิเด็ก อ่านที่นี่

Tags:

เทคนิคการสอนกลั่นแกล้ง(bully)เพศSexuality Education(เพศวิถีศึกษา)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    คุยเรื่องเพศกับลูกวัยรุ่นที่เริ่มคุยเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Learning Theory
    เรากลับมาเรียนเพศศึกษาในห้องได้หรือยัง เมื่อเรื่องยุติตั้งครรภ์อยู่ในหนังสือเรียนชั้น ม.3

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • Social IssuesMovie
    SEX EDUCATION 5 เรื่องกับครูสอญอ มัครินทร์

    เรื่อง

  • Learning Theory
    SEX EDUCATION ควรรู้ของเด็กวัย 5-8 ปี

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ที่บ้านไม้สลี เด็กๆ ที่นี่ ปั่นฝ้าย ย้อมสี และทอผ้า ใส่กันเอง
Character buildingCreative learning
23 January 2019

ที่บ้านไม้สลี เด็กๆ ที่นี่ ปั่นฝ้าย ย้อมสี และทอผ้า ใส่กันเอง

เรื่องและภาพ The Potential

  • แม้โลกจะพัฒนาวิธีผลิตเครื่องนุ่งห่มชนิดที่ทำให้เสื้อผ้ามีราคาถูก หาซื้อง่าย มีแบบและสีสันให้เลือกมากมาย แต่ชาวปกาเกอะญอ ตำบลตะเคียนปม อำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน กลุ่มนี้ ยังเลือกที่จะทอผ้าใส่เอง
  • เรื่องราวการเติบโตของ กลุ่มเยาวชนบ้านไม้สลี ที่ให้ความสนใจเรื่องราวของ ‘ผ้าทอ’ แบบลงลึกในระดับของสีและเส้นด้าย
  • เพราะไม่ใช่แค่เรื่องการสวมใส่ หากคือ คติ ความเชื่อ และภูมิปัญญา ที่ทำให้ชาวบ้านยังคงทอผ้าใส่เอง หากจะปรับเปลี่ยนไปบ้างก็คงเป็นเพียงตัววัตถุดิบ สีสัน ลวดลาย รวมทั้งรูปแบบของตัวเสื้อที่อาจปรับเปลี่ยนไป

‘แจ๋ว’ เด็กหญิงปกาเกอะญอวัย 7​ ขวบแห่งบ้านไม้สลี ตำบลตะเคียนปม อำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน ค่อย​ๆ​ บรรจงแกะปุยฝ้ายออกจากเม็ดก่อนยื่นให้ ‘นุกนิก’ เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเอาไปเข้าเครื่องอัดฝ้ายเพื่อแยกปุยฝ้ายออกจากเม็ด​ ขั้นตอนนี้​เป็นขั้นตอนแรกในหลาย​ๆ​ ขั้นตอนอันแสนจะยุ่งยากที่เด็กหญิงปกาเกอะญอต้องเรียนรู้เพื่อก้าวไปเป็นคนทอผ้าของหมู่บ้าน​

แม้โลกจะพัฒนาวิธีผลิตเครื่องนุ่งห่มชนิดที่ทำให้เสื้อผ้ามีราคาถูก หาซื้อง่าย มีแบบและสีสันให้เลือกมากมาย แต่ชาวปกาเกอะญอหรือชาวกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ก็ยังเลือกที่จะทอผ้าใส่เอง

ถึงกระนั้นก็ตาม การทอผ้าของคนกะเหรี่ยง ไม่ใช่แค่เรื่องของการสวมใส่ หากคือ คติ ความเชื่อ และภูมิปัญญาของการทอผ้า ที่ยังทำให้ทุกวันนี้ชาวบ้านยังคงทอผ้าใส่เอง หากจะปรับเปลี่ยนไปบ้างก็คงเป็นเพียงตัววัตถุดิบ สีสัน ลวดลาย รวมทั้งรูปแบบของตัวเสื้อที่อาจปรับเปลี่ยนไป

การทอผ้าของคนกะเหรี่ยงเป็นกิจกรรมที่สงวนไว้สำหรับผู้หญิง เด็กหญิงปกาเกอะญอจะต้องได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านการทอผ้าจากแม่ หรือญาติที่เป็นผู้หญิงตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กสาวจะเริ่มฝึกทอตั้งแต่อายุ 8-15 ปีโดยใช้ใบ ‘เตอะหน่าอิ’ ฉีกเป็นเส้นๆ นำมาสานเป็นแผ่นๆ และเมื่อมีความชำนาญมากพอ ก็จะยกระดับขึ้นไปเป็นการทอด้วยด้าย โดยเริ่มจากการทองานชิ้นเล็กๆ ลายง่ายๆ เช่นย่าม และถ้าเก่งขึ้นแล้ว ก็จะเริ่มทอผ้าที่มีลวดลายซับซ้อนมากขึ้น

กะเหรี่ยงใส่เสื้อผ้าฝ้ายทอมือมาตั้งแต่สมัยโบราณ ส่วนมากจะทอหลังว่างจากการไปไร่ไปนา เพราะการทอเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ทั้งการสวมใส่และการประกอบพิธีกรรมต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้การสอนในบ้านทำได้ยากขึ้นเพราะแม่ๆ ต้องทำมาหากิน หลายคนจึงมองข้ามไป

แม้หลายคนจะมองข้าม แต่ ลี้-จิณณพัต สุขหู, เบน-เบญจญาภา จันทร์ดี, แตงโม-ธิดา ณ คำปุ๊ด, ปูเป้-ธัญญารัตน์ ใหม่แก้ว และ หนึ่ง-ทันทิกา นันสาย กลุ่มเยาวชนบ้านไม้สลี กลับให้ความสนใจเรื่องราวของ ‘ผ้าทอ’ แบบลงลึกในระดับของสีและเส้นด้าย

เรื่องด้าย เรื่องใหญ่

กว่าจะได้ทำโครงการนี้ ต้องผ่านการวิเคราะห์และคัดเลือกจากหลายประเด็นที่หลายคนโยนลงมากลางวงคุยหลัง ดรุณี ใจทอง หรือ ‘พี่ทอง’ ที่ปรึกษาโครงการ เดินมาบอกว่ามีโครงการเยาวชนมาให้ทำ และมีงบประมาณสนับสนุนให้เด็กๆ ช่วยกันคิดโครงการและช่วยกันเสนอเข้ามา แม้ขณะนั้นหลายคนจะมีภารกิจหลายด้าน โดยเฉพาะลี้ที่เป้าหมายของเธอคือการสอบเข้าเรียนคณะสัตวแพทย์

“มีทั้งเรื่องขยะ เพราะในชุมชนและตามถนนมันจะมีถุงขนม แก้วพลาสติกเยอะแยะไปหมด ดูไม่สะอาดตา บางคนอยากให้ทำเรื่องป่า เพราะเราอยู่กับป่า และป่าก็เริ่มแห้งแล้ว นอกจากนั้นก็มีทำขนมขาย เลิกเรียนมาแล้วก็มาทำขาย หารายได้เสริม” แต่เมื่อวิเคราะห์ และทบทวนถึงความเป็นไปได้ ทั้งเรื่องป่า ขยะ และ ทำขนม ลี้ แกนนำเยาวชนบอกว่า ไม่มีสิ่งใดเป็นไปได้-แม้แต่เรื่องเดียว

“เรื่องป่ามันใหญ่เกินตัว เราคงทำกันไม่ไหวแน่ ส่วนขยะ เราคิดว่าคงไม่สามารถไปควบคุมใครให้มาทิ้งขยะได้ สำหรับขนม อันนี้เหมือนจะทำได้ง่ายสุด แต่จริงๆ แล้วพวกเราจะไปเอาเวลามาจากไหน เพราะกลางวันต้องไปโรงเรียน กลับมาก็ต้องช่วยงานบ้าน ทำการบ้านอีก และการทำขนมมันมีขั้นตอนเยอะแยะมากมาย ทำเสร็จก็ต้องเอาไปขายอีก คงจะไม่รอด” ทีมงานบอก

เมื่อหาข้อสรุปไม่ได้ เด็กๆ จึงเอาเรื่องโครงการไปหารือกับผู้ใหญ่ในชุมชน

“ส่วนใหญ่ก็แนะนำเรื่องป่า เรื่องขยะ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราตัดออกไปแล้ว บางคนเสนอให้เราคิดถึงเรื่องที่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของเรา ก็ทำให้คิดถึงเรื่องการทอผ้า เนื่องจากคนรุ่นใหม่ๆ ที่จะมาสานต่อเรื่องนี้ไม่ค่อยมี เพราะมักออกไปทำงานนอกชุมชน ไม่ค่อยมีคนสืบสาน แม้แต่พวกเราในทีมเองก็ตาม” ลี้ แกนนำกลุ่มบอกว่า เมื่อศึกษาลงลึกเข้าไปอีกก็พบปัจจัยที่มาสนับสนุนว่าต้องทำโครงการนี้

ลี้บอกว่า ตอนไปสำรวจข้อมูลพบว่ามีอยู่ 8 คนที่ยังทอเป็น และส่วนใหญ่ก็อายุมากแล้ว คนใส่ก็ไม่ค่อยมี ส่วนมากเป็นคนเฒ่าคนแก่เท่านั้นที่ยังใส่อยู่ ส่วนวัยรุ่นจะใส่ก็ในวันที่มีพิธีกรรม เช่น ทำบุญ เข้าพรรษา ออกพรรษา พิธีเลี้ยงผี เป็นต้น เพราะฉะนั้น กลุ่มเยาวชนบ้านไม้สลีจึงอยากให้การทอผ้าอยู่คู่กับชุมชน และต้องการให้มีคนสืบสานเพิ่มขึ้น

“แต่ด้วยระยะเวลาการทำโครงการมีเพียงแค่ 6 เดือน หนูคิดว่าถ้าจะทำจนครบกระบวนการตั้งแต่การปั่นฝ้ายไปจนถึงการทอเลยมันจะใช้เวลานานเหมือนกัน โดยเฉพาะขั้นตอนการปั่นฝ้าย มันจะเป็นขั้นตอนที่ยากมากๆ น้องๆ หลายคนยังไม่คล่อง หนูก็เลยคิดว่าถ้าใช้เวลากับอันนี้เยอะๆ มันจะได้คล่องๆ แล้วค่อยไปเรียนรู้ขั้นตอนต่อไป คือการทอ น่าจะดีกว่า สุดท้ายจึงเลือกทำเฉพาะการผลิตเส้นฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ” ลี้บอกเหตุผลของการเลือกทำโครงการ

เปิดห้องเรียนทอผ้า

แม้จะเลือกเฉพาะขั้นตอนการผลิตเส้นฝ้ายมาเป็นเป้าหมายในการทำโครงการ แต่พอถึงเวลาทำจริงๆ ก็ไม่ง่ายเพราะ ‘ดอกฝ้าย’ หายาก ในชุมชนไม่ปลูกกันแล้ว แต่โชคทีพี่บ้านพี่ทองพอจะมีดอกฝ้ายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการสำหรับการใช้ในการฝึกปฏิบัติ จำเป็นต้องซื้อดอกฝ้ายจากนอกชุมชน

“มีคนถามว่าทำไมไม่ข้ามขั้นตอนการผลิตเส้นฝ้ายไปสู่การย้อมสีเลย เราก็บอกว่าถ้าทำแบบนั้นเราจะไม่รู้จักกระบวนการทอผ้าของชุมชนอย่างแท้จริง แต่พอรู้ว่าไม่ค่อยมีใครปลูกฝ้าย หนูเลยคิดว่าหลังจากนี้ เราอาจจะชวนชาวบ้านปลูกไปด้วยควบคู่กัน” ลี้เผยแนวคิดหลังจากนี้

สำหรับกระบวนฝึกฝนเรื่องการผลิตเส้นฝ้าย กลุ่มเยาวชนบ้านไม้สลีตั้งใจจะเรียนรู้ และฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ ก่อนที่จะไปฝึกให้แก่น้องๆ รุ่นต่อมา

“แต่ปัญหาคือ เด็กๆ ในหมู่บ้านมีไม่ค่อยมาก ส่วนใหญ่ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำ ที่เหลืออยู่ก็มีน้องแจ๋ว นุกนิก น้องฟ้า น้องกาญจน์ รวมๆ แล้วประมาณ 8 คน รวมทั้งพวกเราด้วยก็ราว 13 คน” ซึ่งทั้งลี้ และทีมคาดหวังว่า 13 คนนี้ หากฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ก็จะสามารถสืบสานการทอผ้าของชุมชนได้ในอนาคต และทั้ง 13 คน จะมารวมตัวกันหลังเลิกเรียนและช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ใต้ถุนบ้านแม่หล้า ที่ดัดแปลงเป็น ‘ห้องเรียนทอผ้า’ ของกลุ่ม

กระบวนการอบรม ทีมงานและน้องๆ จะต้องรู้จักเครื่องมือและอุปกรณ์การทอก่อน เช่น การใช้เครื่องหีบ หรืออีดฝ้าย วิธีการแกะปุยฝ้ายออกจากเม็ดฝ้าย และเอาเข้าเครื่องหีบ หรือ อีดฝ้ายเพื่อแยกเม็ดออก วิธีที่ใช้กงดีดฝ้ายให้ฟู ถามยายว่าเหตุผลที่ต้องทำให้ฟูเพราะอะไร ยายบอกว่า จะทำให้ขั้นตอนการดึงฝ้ายเป็นเส้นง่ายขึ้น ฝ้ายจะเป็นเส้นยาว ไม่เป็นปม

‘ด่านปั่นฝ้าย’ ผ่านได้ด้วยสติและความอดทน

“เคยลองแล้ว ยาก พอปั่นๆ มันก็ขาด ถ้าไม่ขาดก็จะไม่ค่อยเป็นเส้น” ปูเป้ เด็กหญิงหัวร้อนประจำทีมบอกระหว่างบรรจงดึงก้อนฝ้ายเพื่อให้ออกมาเป็นเส้น

“สำหรับหนู การปั่นฝ้ายถือว่ายากเย็นที่สุด มันต้องลงน้ำหนักมือ ต้องปั่น มือซ้ายขวาต้องหมุนวงล้อ มือซ้ายต้องค่อยๆ ดึง ต้องมีจังหวะว่าต้องดึงประมาณไหน ตอนมาฝึกวันแรก ยายสอนว่า ‘ดึงอย่างนี้นะ’ เพราะมันเบี้ยวไปนั่นมานี่ ยายบอกว่า ‘เด็กคนนี้อย่างไรนะ สอนยาก’ ” ปูเป้บอก แต่สิ่งที่ทำให้เธอต้องมุ่งมั่นฝ่าด่านปั่นด้ายซึ่งเป็นด่านที่ยากที่สุดก็เพราะ คนอื่นยังทำได้เลย

“ก็แค่ฝึกไปเรื่อยๆ ทำอันนี้ไม่ได้ก็ไปทำอย่างอื่นก่อน อารมณ์ดีแล้วก็กลับมาทำใหม่ ทำจนกว่าจะทำได้” ปู้เป้ย้ำ

“จริงๆ แล้วมันมีเทคนิคนิดหน่อย” ลี้บอกก่อนอธิบายว่า เวลาดึงจะทำให้มือเบี้ยวไม่ได้ ต้องทำมือตรงๆ และต้องบีบฝ้ายไว้ให้มันหมุนตัว เพราะว่าถ้าเรายิ่งดึงไกล มันจะเป็นเส้นเล็กๆ มันจะไม่ขาด

“อีกเทคนิคหนึ่งคือ ต้องมีสติค่ะ ทำช้าๆ แล้วจะทำได้เอง” ลี้บอก

อย่างไรก็ตาม แม้หลายคนจะยังไม้พ้น ‘ด่านปั่นฝ้าย’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องหมั่นฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ เพราะหากปั่นด้ายไม่ออกมาเป็นเส้น นั่นหมายถึงรายจ่ายจำนวนหนึ่งที่ต้องเสียไป เพราะฝ้ายที่ถูกตีให้ฟู และนำมาปั่นเป็นเส้นแล้ว จะไม่สามารถเอากลับไปตีให้ฟูได้อีก ทำได้เพียงเอาไปยัดเป็นหมอนเท่านั้น ซึ่งทุกคนเข้าใจข้อนี้ดีและแม้จะยากเย็นขนาดไหน ‘ด่านปั่นฝ้าย’ คือสิ่งที่ทุกคนมุ่งมั่นจะฝ่าไปให้ได้เช่นกัน

จนถึงวันนี้ นอกจากการฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ ทั้งด่านการปั่นฝ้ายและการย้อมสีด้วยวัสดุจากธรรมชาติที่หาได้ไม่ยากในชุมชน ซึ่งขั้นตอนการย้อมก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากเหมือนขั้นตอนการปั่นฝ้ายให้เป็นเส้น แต่สิ่งที่จะต้องดำเนินงานต่อไปคือ แปรองค์ความรู้ด้านการ ‘ผลิตเส้นฝ้าย’ ออกมาเป็นรูปเล่มสำหรับการฝึกน้องๆ รุ่นต่อไปกรณีที่กลุ่มพี่ๆ บางคนต้องแยกย้ายกันออกไปเรียนต่อนอกชุมชน

ทั้ง ลี้ แตงโม ปูเป้ และคนอื่นๆ รวมทั้งปราชญ์ชาวบ้านบอกว่า โครงการครั้งนี้ทำให้ชุมชนค้นพบแนวทางการสานต่อการทอผ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่หล้า-บอกว่า…

“นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กๆ เดินมาบอกว่า อยากทอผ้า” ซึ่งต่างจากอดีตคือ “ต้องบอกให้เขาทำ… เขาถึงจะทำ”

Tags:

active citizenproject based learningคาแรกเตอร์(character building)ศิลปหัตถกรรมปกาเกอะญอชาติพันธุ์

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    เคาะประตูบ้าน ส่งต่อเพลงซอและนิทาน สืบสานต่อโดยละอ่อนปกาเกอะญอ

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ต๋ามฮอยกอยบ้านเกิด: รู้อะไรก็ไม่สู้ ‘รู้จัก’ และ ‘รัก’ หมู่บ้านตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Everyone can be an Educator
    ‘ครูแอ๊ด’ ผู้ร้อยเด็กๆ เข้ากับผ้าไหมชาวกวย

    เรื่องและภาพ The Potential

  • EF (executive function)
    ไม่พอใจก็แค่ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ ‘การจัดการอารมณ์’ ที่ท้าทายแต่ทำได้ในวัยรุ่น

    เรื่อง

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel