Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Year: 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติ ความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน
EF (executive function)
26 March 2019

อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กพูดคนเดียวคือเรื่องปกติ ความจำใช้งานของเขากำลังทำงาน

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ข้อเขียนต่อไปนี้เก็บความแล้วเขียนขึ้นใหม่จากหนังสือ ‘The Development of Working Memory in Children’ เขียนโดย Lucy Henry สำนักพิมพ์ Sage ปี 2012

ความจำใช้งาน (working memory) เป็นความจำพร้อมใช้ เกิดขึ้นเพื่อใช้งานแล้วดับไป เป็นความจำที่เกิดขึ้นชั่วคราวเพื่อทำงานเวลานั้นอย่างดีที่สุด เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

Baddeley & Hitch ได้เสนอโมเดลของความจำใช้งานขึ้นมาเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1974 ก่อนที่จะปรับปรุงเพิ่มเติมในเวลาต่อมา โมเดลที่คนทั้งสองเสนอนี้ได้แบ่งความจำใช้งานออกเป็น 3 ส่วน

ส่วนที่ 1 เรียกว่า central executive เป็นส่วนบัญชาการกลาง

ส่วนที่ 2 เรียกว่า phonological loop เป็นส่วนนำเข้าข้อมูลด้านเสียง

และส่วนที่ 3 เรียกว่า visuospatial sketchpad เป็นส่วนที่ใช้จัดการข้อมูลด้านภาพและช่องว่าง

สองส่วนหลังนี้มิได้เป็นส่วนปฏิบัติการจริงๆ แต่ก็มีผลกระทบต่อความรวดเร็วของความจำใช้งาน

อย่าลืมว่าความสำคัญของความจำใช้งานคือ ‘ความเร็ว’

พูดง่ายๆ ว่าส่วนที่ 1 คือกองบัญชาการมีหน้าที่ใช้ข้อมูลนำเข้าจากทั้งสองส่วน คือข้อมูลเสียงและข้อมูลภาพ เพื่อบริหารจัดการก่อนที่จะส่งต่อให้สมองส่วนหน้า prefrontal cortex เพื่อประมวลข้อมูล คิดยืดหยุ่น แล้วตัดสินใจปฏิบัติการ

วันนี้เรามาดูส่วนข้อมูลเสียง ซึ่งเรียกว่า phonological loop ส่วนข้อมูลนี้เสียงนี้ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ

องค์ประกอบที่ 1 เรียกว่า phonological store ซึ่งน่าจะแปลว่าร้านเก็บรักษาเสียง ร้านเก็บรักษาเสียงนี้ทำหน้าที่เก็บรักษาเสียงที่เราได้ยินเป็นการชั่วคราวก่อนที่จะเลือนหายไป ชั่วคราวที่ว่านี้กินเวลาเพียงแค่ประมาณ 2 วินาที ซึ่งเร็วมาก จึงเรียกว่าเป็นร้านชั่วคราว เก็บขึ้นแล้วปล่อยออกไป เก็บขึ้นแล้วปล่อยออกไป เก็บขึ้นแล้วปล่อยออกไป

ตัวอย่างคือ ‘หมายเลขโทรศัพท์’ ใครคนหนึ่งบอกหมายเลขโทรศัพท์ 10 หลักให้เราฟัง เราสามารถทวนตัวเลข 10 หลักได้ไม่ยากหากทวนทันที เพราะแต่ละหลักจะเก็บเอาไว้นาน 2 วินาทีเท่านั้นเอง เมื่อทวนแล้ว หากต้องการเก็บไว้นานกว่านั้นเราต้องรีบจดหรือรีบท่องไปเรื่อยๆ จนกว่าความจำส่วนนี้จะย้ายออกจากร้านเก็บรักษาเสียงไปไว้ที่ลิ้นชักแห่งความทรงจำระยะสั้นต่อไป

ในทิศทางตรงข้าม เมื่อเราได้ยินตัวเลข 10 หลัก แล้วได้รับคำสั่งให้พูดตัวเลข 10 หลักนั้นกลับทิศทาง เรามักพูดได้เพียง 2-3 หลักแรก หลังจากนั้นคนส่วนใหญ่ไม่สามารถพูดต่อได้ เหตุเพราะความจำชั่วคราวของเสียงที่ได้ยิน 7-8 หลักแรก บัดนี้เลือนหายไปแล้ว

มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าร้านเก็บรักษาเสียงหรือ phonological store นี้ตั้งอยู่ที่สมองซีกซ้าย แสดงให้เห็นได้ด้วยภาพถ่ายการทำงานของสมอง (Jonides etal 1998, Paulesu etal 1993)

การทวนตัวเลขที่ได้ยินทันทีนี้คือองค์ประกอบที่ 2 เรียกว่า articular rehearsal mechanism น่าจะแปลว่ากลไกการทบทวนเสียง ยกตัวอย่างเดิมคือตัวเลข 10 หลัก แม้ว่าเราจะใช้วิธีจด แต่เรามักต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งในการหากระดาษและปากกา หรือเปิดสมาร์ทโฟน เปิดแอพพลิเคชั่น เพื่อกดตัวเลข และถ้าหากเราตั้งรหัสผ่านสมาร์ทโฟนด้วยตัวเลข นั่นแปลว่าเราจะถูกตัวเลขรหัสผ่านรบกวนความจำตัวเลข 10 หลักนั้นเข้าไปอีก ทั้งหมดนี้แก้ไขได้ด้วยการออกเสียงตัวเลข 10 หลักนั้นซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจดลงเรียบร้อย

แต่ในชีวิตจริง เรามิได้ได้รับเพียงข้อมูลเสียง หลายครั้งที่เราได้รับข้อมูลภาพด้วย ตัวอย่างเช่นการจำหมายเลขทะเบียนรถที่ชนแล้วหนี นอกเหนือจากการจำหมายเลขทะเบียนรถซึ่งประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลขแล้ว ยังต้องจดจำลักษณะรถ ยี่ห้อรถ และสี อีกด้วย

การจดจำข้อมูลด้านภาพเป็นอีกเรื่องที่จะพูดถึงต่อไปแต่ในขั้นตอนนี้หลายคนจะเปลี่ยนข้อมูลภาพเป็นข้อมูลเสียงด้วยตนเองเสียก่อน ซึ่งทำได้ด้วยองค์ประกอบที่ 2 นี้นั่นเองคือการออกเสียงซ้ำๆ “รถเก๋ง คันเล็ก สีดำ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจดเก็บไว้เช่นกัน

กลไกการออกเสียงเพื่อคงไว้ซึ่งความจำใช้งานประเภทนี้สามารถทำได้ในใจของผู้ใหญ่ด้วย พูดง่ายๆ ว่าท่องในใจ ในขณะที่สำหรับเด็กแล้วส่วนใหญ่พวกเขาต้องพูดออกมา ปรากฏการณ์นี้เราจะได้เห็นเวลาเด็กเล่นในสนามแล้วพูดคนเดียว ดูเผินๆ คล้ายเขากำลังพากย์ตัวเอง แต่หากตั้งใจฟังหลายข้อความนั้นเป็นการทวนซ้ำเรื่องที่เขาทำเพื่อคงไว้ 2 วินาที มิเช่นนั้นเขาอาจจะไม่รู้ว่าขั้นตอนต่อไปจะทำอะไร

นี่คือขบวนของความจำใช้งาน!

เวลาเด็กเล่นคนเดียวก็ตาม หรือทำงานคนเดียวก็ตาม การพูดคนเดียวจึงมิใช่เรื่องผิดปกติ ที่แท้แล้วเขากำลังบริหารความจำใช้งาน พูดให้ถูกต้องมากขึ้นคือเขากำลังบริหารองค์ประกอบทั้งสองของร้านเก็บรักษาเสียง อันเป็นส่วนย่อยของระบบหรือโครงสร้างความจำใช้งาน

นี่คือคำอธิบายว่าเพราะอะไรเด็กเล่นจริงๆ หรือทำงานจริงๆ จะมีความจำใช้งานที่ดีกว่า

Tags:

ความจำใช้งานพัฒนาการEFประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงาน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 2

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 1

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่าน-สมองและจิตใจของเด็กสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ตอนที่ 2 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เด็กทำอะไรช้า มาจาก ‘ความจำใช้งาน’ เด็กๆ จึงต้องได้อ่านนิทานภาพก่อนนอน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ‘นิทาน’ สมาธิและความฉลาดเริ่มต้นในห้องนอนยามค่ำคืน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

โละ 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับพ่อทิ้งไป อย่าให้พ่ออยู่นอกสายตา
Family Psychology
25 March 2019

โละ 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับพ่อทิ้งไป อย่าให้พ่ออยู่นอกสายตา

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • เรามักนึกถึงบทบาทของ ‘แม่’ มากกว่า ‘พ่อ’ บทบาทของพ่อจึงถูกมองข้ามและไม่ได้รับการพูดถึง จนเกิดเป็นมายาคติหรือความเชื่อที่พูดต่อๆ กันมาว่า ‘แม่เลี้ยงลูกได้ดีกว่า’
  • จากการศึกษาพบว่า หากปล่อยให้พ่อได้ใช้เวลาดูแลลูกในระยะเวลาพอๆ กับแม่ พ่อสามารถพัฒนาทักษะการดูแลลูกได้ไม่ต่างจากแม่เลยแม้แต่น้อย
  • สำหรับบทบาทของพ่อ การมีเวลาให้กับลูก ดูแลเอาใจใส่ลูกอย่างใกล้ชิด เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ เรียกอิทธิพลของพ่อที่มีต่อลูกว่า dose effect บทบาทของพ่อมีผลทั้งต่อบุคลิกภาพ พฤติกรรม และวิธีคิดในการใช้ชีวิตของลูก

เอ่ยถึงบทบาทหน้าที่ในการเลี้ยงดูลูก ทั่วไปแล้วเรามักนึกถึงบทบาทของ ‘แม่’ มากกว่า ‘พ่อ’ อาจเพราะแม่เป็นผู้อุ้มท้องมาตลอด 9 เดือน แถมยังต้องรับหน้าที่ให้นมลูกต่อ ส่วนจะให้นมได้ยาวนานขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพ การดูแลเรื่องอาหารการกินของแม่ เพื่อให้เต้านมสามารถผลิตนมได้ดีและต่อเนื่อง ทั้งหมดต้องอาศัยความพยายามและความอดทนของผู้เป็นแม่ บทบาทของพ่อจึงถูกมองข้ามและไม่ได้รับการพูดถึง ซ้ำยังเกิดเป็นมายาคติหรือความเชื่อที่พูดต่อๆ กันมาว่า “แม่เลี้ยงลูกได้ดีกว่าพ่อ”

ลอเรน แม็คเคลน (Lauren McClain) และ ซูซาน แอล. บราวน์ (Susan L. Brown) นักสังคมวิทยา กล่าวถึงความเชื่อลักษณะนี้ไว้ในบทความ ‘The Roles of Fathers’ Involvement and Coparenting in Relationship Quality among Cohabiting and Married Parents’ ว่าเป็น ‘role traditionalization’ หรือ ‘บทบาทดั้งเดิม’ ที่มีความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ในชีวิตคู่หรือความมั่นคงในความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยา ผลการศึกษาชี้ว่า

การเข้ามามีบทบาทดูแลลูกของพ่อ ทำให้แม่มีความพึงพอใจในชีวิตคู่หรือชีวิตแต่งงานมากขึ้นด้วย ในทางกลับกัน หากพ่อละเลยบทบาทดังกล่าว ความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ก็มีแนวโน้มสั่นคลอนได้เช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านครอบครัวจากฟาร์เธอร์ฮูด (Fatherhood Institute) สถาบันที่ศึกษาเกี่ยวกับความเป็นพ่อและบทบาทของพ่อ เอเดรียน เบอร์เกส (Adrienne Burgess) ได้เปิดเผย 6 ความเชื่อที่ไม่จริงเสมอไปเกี่ยวกับพ่อไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

หนึ่ง ผู้ชายไม่ได้อยากมีลูกเท่าผู้หญิง

(MEN DON’T WANT CHILDREN AS MUCH AS WOMEN DO)

ความอยากมีหรือไม่มีลูก เปลี่ยนแปลงได้ตามวัยหรือช่วงจังหวะชีวิต เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องของประสบการณ์ชีวิต ที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกมั่นใจ และความพร้อมของแต่ละบุคคลมากกว่าเพศสภาพ จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงจะมีความรู้สึกหรือมีความต้องอยากมีลูกก่อนผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นไปจนถึงช่วงอายุราว 30 ปี

ในทางกลับกันเมื่ออายุย่างเข้าเลข 4 ผู้ชายจะเริ่มมองว่าการมีลูกเป็นเรื่องสำคัญไม่ต่างจากผู้หญิง เพราะเป็นช่วงวัยที่รู้สึกว่าตนเองมีความพร้อม

สอง ผู้ชายไม่มีความอ่อนโยนกับเด็กทารก

(MEN ARE INSENSITIVE TO BABIES)

การศึกษาบอกอย่างชัดเจนว่า ความอ่อนโยนนั้นคุณพ่อมีไม่น้อยไปกว่าคุณแม่ รวมไปถึงความรู้สึกตามสัญชาตญาณอื่นๆ เช่น ความรู้สึกหวง ห่วงใย ความอาทรและความรัก สิ่งเดียวที่พ่อทำไม่ได้ก็คือ การให้นมลูกเท่านั้นเอง

การวิจัยได้ทำการสำรวจปฏิกิริยาตอบสนองของผู้หญิงและผู้ชาย เมื่อได้ยินเสียงทารกร้องไห้ พบว่า จังหวะการเต้นของหัวใจที่ตอบสนองต่อการได้ยินเสียงทารกร้องไห้ในผู้หญิงและผู้ชายมีอัตราการเต้นไม่ต่างกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเพศหญิงหรือชายเมื่อต้องกลายเป็นพ่อแม่ ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะรู้สึกใจอ่อนกับลูก

นอกจากนี้ จากการทดลองเก็บข้อมูล ยังพบว่า หากปล่อยให้พ่อได้คลุกคลีกอดเล่นกับลูกประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อปิดตาพ่อ ประสาทสัมผัสของพ่อสามารถแยกแยะได้ว่าเด็กคนไหนเป็นลูกของตัวเองจากการสัมผัสมือของลูกเท่านั้นเอง ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของสายใยความสัมพันธ์ตามธรรมชาติ

สาม โดยธรรมชาติแล้วแม่ดูแลลูกได้ดีกว่าพ่อ

(MUMS ARE NATURALLY BETTER AT CARING FOR CHILDREN)

เมื่อเทียบแล้ว ในช่วงแรกเกิดแม่ใช้เวลาอยู่กับลูกมากกว่าพ่อ เนื่องจากต้องคอยให้นมลูกอย่างใกล้ชิด แม่จึงได้เรียนรู้และฝึกฝนการดูแลลูกจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง แต่เรื่อง ‘ทักษะการดูแล’ อย่างคล่องแคล่วนี้เป็นคนละเรื่องกับ ‘ความมั่นใจ’ และ ‘ความเข้าใจ’ ความต้องการของเด็กทารก

จากการศึกษาพบว่า หากปล่อยให้พ่อได้ใช้เวลาดูแลลูกในระยะเวลาพอๆ กับแม่ พ่อสามารถพัฒนาทักษะการดูแลลูกได้ไม่ต่างจากแม่เลยแม้แต่น้อย

สี่ พ่อก็คือพ่อ พ่อเป็นผู้ชาย ทำอะไรมากไม่ได้หรอก

(DADS DON’T MAKE MUCH DIFFERENCE)

เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะพ่อสามารถสร้างความแตกต่างและสร้างพัฒนาการที่ดีให้ลูกได้ตั้งแต่ในครรภ์ ด้วยการดูแลเอาใจใส่ผู้เป็นภรรยาหรือแม่ของลูกอย่างใกล้ชิด รวมถึงการส่งผ่านความรักและความห่วงใยให้แก่ภรรยาด้วย

การสร้างความอบอุ่นใจและสบายใจให้ผู้เป็นแม่ จะส่งผลต่อการสร้างสารเคมีในร่างกายของแม่ ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการของลูก

ดังนั้น พ่อจึงสร้างความแตกต่างด้านพัฒนาการของลูกได้ตั้งแต่แรกเกิด

จากการศึกษาพบว่า การเลี้ยงดูของพ่อมีผลต่อไอคิว (IQ) โดยเฉพาะพัฒนาการทางภาษาของลูก รวมทั้งเรื่องความมั่นใจในตัวเอง การเคารพตัวเอง และการเข้าสังคม ความสัมพันธ์ที่อบอุ่น แน่นแฟ้นระหว่างพ่อกับลูก ทำให้ลูกมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าน้อยลง

ไม่เว้นแม้แต่เรื่องการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวในครอบครัว เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องรับผิดชอบดูแลตัวเองและครอบครัว

ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากผลการศึกษา คือ พ่อที่สนใจเรื่องการเรียนของลูก ให้คำแนะนำ พูดคุย จะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีผลการเรียนที่ดีได้ โดยเฉพาะในเด็กผู้ชาย นอกจากนี้ ความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างพ่อกับลูก ยังส่งผลให้ลูกควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีอีกด้วย

กลับมามองที่ปัญหายาเสพติด ทางออกของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนจึงต้องกลับมาที่การสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งในครอบครัว ทำให้ลูกเคารพและรักตัวเอง จากการให้ความรักความเข้าใจกับลูกนั่นเอง

ห้า พ่อไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกหรอก

(DADS HARDLY EVER LOOK AFTER CHILDREN)

แม้ส่วนใหญ่แล้ว พ่อต้องเป็นผู้รับผิดชอบทำงานนอกบ้านจนไม่มีเวลาดูแลลูกเท่าที่ควรในช่วงระหว่างวัน  ผลการศึกษาในประเทศอังกฤษ พบว่า พ่อมีส่วนร่วมดูแลลูกหลังจากเลิกงาน เฉลี่ยแล้วประมาณ 2 ชั่วโมงต่อวัน รวมแล้วคิดเป็น 1 ใน 4 ของเวลาทั้งหมด นอกจากนี้ เมื่อลูกอยู่ในช่วงวัยที่แม่ต้องกลับไปทำงาน การใช้เวลาของพ่อกับลูก เพิ่มมากขึ้นตามลำดับและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

นี่แสดงให้เห็นว่า ในทางปฏิบัติพ่ออาจไม่มีเวลามากนักในการดูแลลูก เนื่องจากต้องออกไปทำงาน แต่เมื่อมีเวลาพ่อสามารถใช้เวลาที่มีอย่างคุ้มค่าดูแลลูก

หก ผู้ชายทำอะไรพร้อมกันหลายอย่างไม่ได้

(MEN CAN’T MULTI-TASK)

เรื่องนี้ไม่จริงเสียทีเดียวเพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เมื่อให้พ่อได้ใช้เวลาอยู่กับลูก และได้เรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลลูก ไม่ว่าจะเรื่องชงนม เปลี่ยนผ้าอ้อม เล่นกับลูก และอื่นๆ ผลลัพธ์ คือ พ่อมีความสามารถในการดูแลลูกไม่แพ้แม่เลยทีเดียว เพียงแต่ส่วนใหญ่แล้ว พ่อมักได้รับบทบาทให้เป็นกองหนุนช่วยแม่มากกว่า เลยทำให้ถูกมองว่าไม่สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘เวลา’ ที่ใช้กับลูกเป็นตัวแปรสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ‘พ่อ’ หรือ ‘แม่’ หากมีเวลาให้ลูกอย่างเพียงพอ การเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดของทั้ง 2 คน หรือคนใดคนหนึ่งมีผลต่อพัฒนาการของลูกไม่ต่างกัน

‘การดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด’ ในที่นี้หมายถึง การทำให้ลูก รู้สึกปลอดภัยและมีที่พึ่ง (safe) ด้วยการให้เวลาพูดคุยและรับฟังสิ่งที่ลูกต้องการสื่อสารโดยไม่ตัดสิน รู้ว่าตัวเองมีคุณค่าและมีความสามารถในการทำสิ่งต่างๆ (competent) จากการให้กำลังใจและสนับสนุนของพ่อแม่ และ รู้สึกว่าเป็นที่รัก (lovable) เช่น การแสดงออกด้วยการกอด เป็นต้น

ดังนั้นไม่ว่าจะรับบทบาทเป็นพ่อแบบไหน…พ่อทางสายเลือด พ่อบุญธรรม พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือครอบครัวที่พ่อแม่ตัดสินใจสิ้นสุดความสัมพันธ์ต่อกัน พ่อแม่ยังคงต้องร่วมมือกันสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก และแม่กับลูกให้ได้อย่างมั่นคง

สำหรับบทบาทของพ่อ การมีเวลาให้กับลูก เพื่อให้ได้ดูแลเอาใจใส่ลูกอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ เบอร์เกส เรียกอิทธิพลของพ่อที่มีต่อลูกว่า dose effect เพราะบทบาทของพ่อมีผลทั้งต่อบุคลิกภาพ พฤติกรรม และวิธีคิดในการใช้ชีวิตของลูก

Tags:

มายาคติการเป็นแม่เพศพ่อ

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ลูกเกิดมาดี สวยงาม สมบูรณ์แบบแล้ว: ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ พ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกที่มีความพิการ

    เรื่องและภาพ คชรักษ์ แก้วสุราช

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    อาริยา มิลินธนาภา: เพศสภาพไม่ได้ใช้ในการเลี้ยงลูก แม่ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เอกชัย กล่อมเจริญ: คุณพ่อช่างไม้ เลี้ยงเดี่ยว พาลูกเที่ยวและสอนให้ลงมือทำ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เกรียงไกร นิตรานนท์: คุณพ่อผู้ลาออกจากงานเพื่อเป็น FULL TIME DADDY

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    พ่อก็คือแม่ แม่ก็คือพ่อ อย่าเชื่อว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่ได้

    เรื่องและภาพ KHAE

ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์: สังคมที่แม่เป็นบุคคลล่องหนและลูกคือศูนย์กลางของจักรวาล
Family Psychology
22 March 2019

ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์: สังคมที่แม่เป็นบุคคลล่องหนและลูกคือศูนย์กลางของจักรวาล

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • ในนามของความรักและความปรารถนาดี ตัวตนของแม่จำนวนมากค่อยๆ หายไป เพราะไม่ว่าจะทำอะไรมีแต่ลูก ลูก และลูก ตลอดเวลา
  • มูลเหตุสำคัญคือ ‘มายาคติความเป็นแม่’ ที่ไม่แค่ศักดิ์สิทธิ์ แม่หลายคนไม่คิดตั้งคำถาม ซ้ำยังแบกรับเอาไว้อย่างเต็มใจ
  • โดยอาจไม่รู้หรือคาดไม่ถึงว่า ภาระที่แบกเอาไว้นี้กำลังทำลายตัวเอง ทำลายลูก สร้างสังคมที่ทั้งบิดเบี้ยวและเปราะบางอย่างทุกวันนี้
  • The Potential ชวนนักสตรีศึกษาอย่าง รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ มาสำรวจมายาคติความเป็นแม่ต่างๆ ที่เคยเป็นใหญ่ ไม่ได้ชี้ถูก-ผิด แต่ชวนคิดว่ายังจะไปต่อหรือพอแค่นี้
เรื่อง: ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ, ชนม์นิภา เชื้อดวงผุย
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

ในนามของความรักและความปรารถนาดี ตัวตนของแม่จำนวนไม่น้อยค่อยๆ หายไป เพราะไม่ว่าจะทำอะไร ‘ลูก’ ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองก็ต้องไม่ใช่ตัวเอง ถ้าจะมีอันดับรั้งท้าย – นั่นแหละแม่

มูลเหตุสำคัญคือ ‘มายาคติความเป็นแม่’ ที่ไม่แค่ศักดิ์สิทธิ์ แต่แม่หลายคนไม่คิดตั้งคำถาม มิหนำซ้ำยังแบกรับเอาไว้อย่างเต็มใจ โดยอาจไม่รู้หรือคาดไม่ถึงว่า ภาระที่แบกเอาไว้นี้กำลังทำลายตัวเอง ทำลายลูก สร้างสังคมที่ทั้งบิดเบี้ยวและเปราะบางอย่างทุกวันนี้

ด้วยความสงสัยและไม่อยากให้แม่ค่อยๆ กลายไปเป็นบุคคลล่องหน The Potential จึงชวนนักสตรีศึกษาอย่าง รศ.ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาสำรวจมายาคติความเป็นแม่ต่างๆ ที่เคยเป็นใหญ่ ไม่ได้ชี้ถูก-ผิด แต่ชวนคิดว่ายังจะไปต่อหรือพอแค่นี้

ในความคิดเห็นของอาจารย์ ‘มายาคติความเป็นแม่’ มีอะไรบ้าง และรากมาจากไหน

พอพูดถึงความเป็นแม่ สิ่งที่เรียกว่าความเป็นแม่มันใหญ่หลวงกว่าที่เราคิด จริงๆ ไม่มีอะไรที่เป็นธรรมชาติเลยสักเรื่อง คุณต้องไปเริ่มดูตั้งแต่ ‘วิธี’ ที่คุณนิยามว่าความเป็นหญิงคืออะไร เพราะความเป็นหญิงมันไปผูกอยู่กับความเป็นแม่ด้วย ไปผูกอยู่กับความเป็นวัตถุทางเพศ ผู้หญิงต้องสวย ฯลฯ

ความเป็นแม่จะเป็นเเง่มุมที่ใหญ่มาก เเล้วก็ไม่ได้พูดแค่ว่าผู้หญิงเกิดมาเเล้วเป็นเพศเเม่เพียงอย่างเดียว เเต่มันลงไปถึงอะไรมากมาย เช่น ถ้าคุณพูดว่าผู้หญิงเป็นเพศแม่ นั่นคุณ assume แล้วใช่ไหมว่าผู้หญิงทุกคนเป็นแม่ได้ ให้กำเนิดได้ ซึ่งอันนี้ไม่จริง ถ้าคุณพูดอย่างนี้ คุณเชื่ออย่างนี้ เสร็จเเล้วคุณมีลูกไม่ได้ คุณตั้งครรภ์ไม่ได้ ใหญ่หลวงมากนะ สิ่งที่ตามมาคือธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อช่วยให้คนมีลูก ที่เป็น ‘ลูกของฉัน’

ยังมีอีกหลาย assumption เช่น ผู้หญิงเกิดมาเป็นเพศแม่ แปลว่าถ้าคุณตั้งครรภ์ คุณต้องดีใจใช่ไหม แล้วก็รักลูกทันที ซึ่งเอาเข้าจริง พอลูกเกิดมาใหม่ๆ บางคนรัก บางคนยังไม่รัก สำหรับผู้หญิงที่เกิดมามีเพศสภาพหญิงจำนวนไม่น้อยที่มีลูก ความสัมพันธ์แม่-ลูกหรือความรัก ต้องอาศัยการพัฒนา บางคนอาจจะไม่ได้รักทันทีที่เห็นหน้าลูก มันอาจต้องใช้เวลาและการค่อยๆ เลี้ยงดู ได้อยู่ด้วยกัน

ทีนี้กลายเป็นว่าคนที่เฉยๆ ไม่รักลูก ไม่ปลื้มการเลี้ยงเด็ก ก็จะถูกมองว่าบกพร่อง เพราะคุณดันไปเชื่อว่าผู้หญิงเป็นเพศแม่ต้องเป็นดังนี้ มายาคติความเป็นแม่เลยซ้อนอยู่หลายเรื่อง

อีกเรื่องคือ ความปรารถนาที่จะเจริญพันธ์ุ คุณ assume ว่าผู้หญิงเกิดมาปุ๊บต้องอยากมีลูก เเละความผูกพันระหว่างแม่ลูกถูกมองเป็นเรื่องธรรมชาติหมด พอมาถึงเรื่องการเลี้ยงเด็ก เนื่องจากคุณดันไปเชื่อว่าแม่ พอมีลูกปุ๊บจะรักลูกทันที

มันส่งผลถึงวิธีที่คุณนิยามวิธีเลี้ยงลูกของแม่ แบบ ‘ยอดมหาโหด’ เลยนะ เหมือนกับว่าพอผู้หญิงเป็นแม่ปุ๊บ ตัวตนคุณหายไปเลย ลูกต้องมาก่อนและสำคัญกว่าทุกอย่าง แม่ต้องเสียสละเพื่อลูก ยอมตายเพื่อลูก ความปรารถนาของตัวเองทุกอย่างไม่มีความหมาย ความปรารถนาของลูกสำคัญกว่า นายทาสยังไม่ทำกับทาสขนาดนี้เลยนะ โหดมาก เพราะคุณเรียกร้องให้คนคนหนึ่ง โยนตัวตนของเขาในฐานะมนุษย์ทิ้งไป แล้วเอาคนอีกคนขึ้นมาสำคัญกว่า ฟังดูเหมือนโรเเมนติก

จะมีคนมากมายที่เถียงกับดิฉันว่า ความเป็นเเม่ก็อย่างนี้แหละยิ่งใหญ่มาก แล้วคนที่เขาทำไม่ได้ทำไง ที่สำคัญคนที่ทำไม่ได้มีเยอะด้วย คุณก็จะเห็นปัญหาของมันจากความคาดหวังที่บางทีมันบังคับตัวเอง บังคับคนอื่นว่าด้วยการเล่นบทบาทเเม่

วัฒนธรรมเข้ามามีส่วนร่วมกับความคิดชุดนี้มากน้อยเเค่ไหน

มันเป็นความเชื่อ ความหมายว่าด้วยเรื่องหญิงชาย ว่าด้วยเรื่องความเป็นเเม่ ซึ่งมันเคลื่อน เลื่อนไหลไปตลอด

ขณะนี้ความเป็นเเม่อย่างที่เราพูดถึงอยู่ ดิฉันว่ามันนำเข้าซะส่วนใหญ่ ซึ่งมาพร้อมกับเรื่องของความเป็นหญิงสมัยใหม่ คือคุณเชื่อว่าเด็กจะมีคุณภาพ แม่ของเด็ก (ผู้ให้กำเนิด) ต้องเป็นคนเลี้ยงเองเท่านั้น ถ้าคนอื่นเลี้ยงเด็กจะโตขึ้นมาอย่างไม่เเข็งเเรง ไม่มีศีลธรรม แต่ถ้าคุณดูให้ดีๆ เมื่อก่อนนี้ดิฉันว่าผู้หญิงสยามไม่ได้เลี้ยงลูกเอง มีคนช่วยเลี้ยง หญิงชนชั้นสูง ก็มีคนอื่นที่เป็นบ่าวไพร่ เลี้ยงลูกให้ ถ้าเป็นสามัญชนก็เป็นผู้หญิงคนอื่นช่วยเลี้ยงลูก …เพราะถ้าเลี้ยงลูกเอง ตายไปหมดเเล้วคุณ น้อยมากที่ผู้หญิงคนเดียวเลี้ยงลูกแล้วมีความสุขเเฮปปี้

เฟมินิสซึม จะพูดถึงคอนเซ็ปต์หนึ่ง ชื่อว่า the other mother เพราะเอาเข้าจริงๆ เราหนึ่งคนโตขึ้นมาได้ทั้งเชิงร่างกาย เเละจิตใจ จิตวิญญาณตัวตนด้วยผู้หญิงหลายคน ไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียว

ทุกคนที่เลี้ยงลูกมาถือว่าเป็นเเม่หมดเลย?

ไม่ใช่ถือว่าเป็นเเม่ เเต่ว่าคนที่ทำหน้าที่เลี้ยงเด็ก กล่อมเกลาเด็กทั้งร่างกายและจิตใจมักจะไม่ใช่ผู้หญิงคนเดียว คุณลองถามตัวคุณให้ดีๆ คนที่มีความหมายกับคุณ ที่เลี้ยงดูคุณมาจริงๆ ทำให้กลายเป็นคุณ ณ วันนี้ มีเเต่เเม่คุณจริงหรือ พวกเราก็จะมีย่า ยาย พี่ ป้า น้า อา เพราะฉะนั้นภาพที่มีแม่คนเดียวอาจแปลกสำหรับคนหลายๆ คน แต่บางคนก็อาจจะโตมาจากการเลี้ยงของแม่คนเดียวก็ได้

แล้วพอความคิดชุดนี้กลายเป็นความโรเเมนติก มันมีผลต่อการเลี้ยงดู การเเบ่งหน้าที่ของตัวเอง เช่น ฉัน (แม่) ต้องทำงานด้วย ดูเเลบ้านด้วย ถึงจะสุดยอด อย่างนี้ถือว่าเป็นชุดความคิดที่มีถูก มีผิดไหมคะ

จริงๆ ความคิดชุดนี้มันยุ่งมาก การที่คุณนิยามความเป็นเเม่เเบบนี้ ต้องเลี้ยงลูกอย่างนี้ ทุกอย่างต้องเป๊ะ มันสร้างปัญหาตามมาเยอะมาก เพราะว่าความเป็นเเม่ที่ถูกนิยามเเบบนั้นมันไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเลือกอะไรเลยในชีวิต ถ้าคุณเลือกเป็นอื่น และเลือกไม่เป็นเเม่ คุณผิดเเล้ว บกพร่อง

เลือกไม่เป็นเเม่ในความหมายต่างๆ คือเลือกไม่เจริญพันธ์ุ หรือเมื่อตั้งครรภ์เเล้วยุติการตั้งครรภ์ ผิดหมดเลย เพราะมันไม่สอดคล้องกับความเชื่อว่าผู้หญิงคือเพศเเม่ แปลว่าทางเลือกชีวิตของผู้หญิงมันปิด ถ้าคุณเลือกมีลูกตัวคุณหายไป แต่มันก็ต้องเป็นอย่างนี้สิ แม่บางคนจะได้ไม่รู้สึกผิด

อย่าลืมว่า ผู้หญิงที่ขณะนี้มีลูกเเล้วเล่นบทบาทแม่ยังต้องมีมิติอื่นๆ ในชีวิต บางคนการทำมาหากินนี่มันหมายถึงความอยู่รอด ไม่ใช่ทำมาหากินเล่นๆ และคุณก็ยังมีความปรารถนาส่วนตัว เช่นอยากใช้เวลาทำโน่นนี่ให้ตัวเอง คือตัวตนคุณยังอยู่ แต่คุณไม่สามารถทำหรือเลือกสิ่งเหล่านั้นได้โดยไม่รู้สึกผิด

หรือผู้ชายที่เป็นสามี คุณเจริญพันธ์ุมาด้วยกัน แต่คุณคิดว่าเมียต้องทำหน้าที่ในการเลี้ยงดูเด็กเพียงฝ่ายเดียว เเละมีความคาดหวังว่าเมียต้องทำอย่างนี้ๆ มันเป็นเเรงกดดันและความคาดหวังอีกชุดหนึ่ง นี่ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ นอกครอบครัว คือคนทั่วไปคาดหวังว่าผู้หญิงพอมีลูกปุ๊บ คุณต้องให้ความสำคัญกับบทบาทความเป็นเเม่ก่อน เเล้วก็ทึกทักเอาเองว่าพอมีลูกปุ๊บผู้หญิงจะด้อยคุณภาพลงในเเง่การทำงาน เพราะคุณต้องเอาเวลาทุ่มให้ลูกคุณก่อน นี่คือ priority สูงสุดในชีวิต เพราะฉะนั้นอีนี่ต้องกลายเป็นเเรงงานด้อยคุณภาพ

เวลาเป็นศตวรรษๆ คุณยังไม่สามารถทำให้เเรงงานหญิงกับเเรงงานชายได้ค่าจ้างเท่ากันเลย ในประเทศโซนยุโรปก็ทำไม่ได้เพราะความเชื่อแบบนี้ เช่น ผู้หญิงได้เงินเดือนเท่าผู้ชายได้อย่างไร พอมีลูกเดี๋ยวผู้หญิงเดี๋ยวก็ลาออกไป ถึงจะกลับทำงานได้ก็ยังให้ความสำคัญกับลูกมากกว่า หน้าที่แม่ยังไงก็สำคัญที่สุด

ในที่สุดเเล้ว ความเป็นแม่เป็นสิ่งที่สังคมเรียกร้องจากผู้หญิง คาดหวังจากผู้หญิง ขณะเดียวกันก็กลายเป็นเครื่องมือในการบอกว่าผู้หญิงทำอะไรหลายๆ อย่างได้อย่างไม่มีคุณภาพเพราะเป็นเเม่ ตกลงคุณจะเอาอย่างไรกันเเน่

หรืออย่างคำว่า มือก็ไกว ดาบก็แกว่ง ก็คือที่สุดของมายาคติความเป็นเเม่

แน่นอน ซูเปอร์วูเเมน ทำได้ทุกอย่าง เเล้วเพอร์เฟ็คท์ทุกอย่าง คือดิฉันยิ่งเเก่ยิ่งเห็นคนเป็น multi-tasker ดิฉันว่าเป็นทุกข์ของคนยุคหลังสมัยใหม่ คือบอกว่าทำอะไรได้หลายอย่างพร้อมกันมันดูโอเค เเต่ทำเเล้วดีเลิศทุกอย่างนี่แหละที่เป็นปัญหา

เช่น ในโซเชียลมีเดีย เราเห็นผู้หญิงอายุ 60 กว่าสวยปิ๊ง เสร็จเเล้วคุณก็จะรู้สึกว่าทำไมกูไม่ได้อย่างนั้นบ้าง กลายเป็นคุณบกพร่อง ดิฉันว่ามันเป็นปัญหา เพราะคุณจะรู้สึกว่าเเทนที่คุณจะตั้งคำถามอย่างที่เราคุยกัน คุณก็รู้สึกว่ามีคนทำได้ ฉันต้องทำได้บ้างสิ พอคุณทำไม่ได้มันทำให้คุณบกพร่อง โดยไม่คิดว่าพวกนั้นกำลังโกหกคุณอยู่

เอาเข้าจริงมายาคติที่อยู่ในหัวคนรอบข้าง กับมายาคติที่อยู่ในหัวผู้หญิงเองอันไหนมันรุนเเรงมากกว่ากัน

จริงๆ มันรุนเเรงหมด เวลาที่คุณพูดเรื่องความเป็นเเม่ ดิฉันพูดเรื่องนี้ไม่เคยไม่ถูกด่า ศักดิ์สิทธิ์มาก ห้ามเเตะต้อง

กลับกันถ้าอาจารย์เป็นผู้ชาย เเต่อาจารย์ไปพูดเรื่องนี้มันจะมีฟีดเเบ็คต่างกันไหม

ถ้ามีผู้ชายคนไหนพูดเเบบนี้ ต้องได้รับการยกย่อง ทรงปัญญา แต่พอผู้หญิงพูดเนี่ยนะ เจ้าอารมณ์ มองแต่เรื่องเล็กๆ

ความต่างนี้มันบอกอะไร

นี่คือ sexism หรืออคติในทางเพศ พูดเหมือนกันเเต่คุณตีความ ฟังเข้าหูเเล้วรับรู้ไม่เท่ากัน

มีปัญหาอะไรอีกบ้างจากมายาคติความเป็นแม่

เวลาคุณเลี้ยงคน แล้วคุณรู้สึกว่าคนนี้เป็นความรับผิดชอบของคุณ เป็น priority สูงสุด ตัวตนคุณไม่สำคัญเท่าคนนี้ แต่อย่าลืมว่าลูกคือคนอีกคนหนึ่ง เขาจะกลายเป็นอะไรก็ได้ เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ส่วนต่อขยายของคุณ ทีนี้เวลาที่ลูกบกพร่อง ไม่ได้สมบูรณ์แบบในเรื่องต่างๆ ผู้หญิงหลายคนจะรู้สึกตัวเองทำได้ไม่ดี เพราะฉันไม่ได้ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้หรือเปล่าลูกฉันถึงได้ออกมาเป็นเเบบนี้ โทษตัวเอง

เเละที่เเย่ไปกว่านั้นก็คือ มายาคติความเป็นเเม่ทำให้ผู้หญิงเห็นเเต่ลูกตัวเอง คุณไม่ได้เห็นเด็กคนอื่นๆ เป็นลูกคุณ ก็จะเกิดการทุ่มเทไปที่คนคนเดียวสูงมาก ขณะที่คุณสามารถละเลยเด็กคนอื่นๆ ในสังคมได้

ปัญหาเหล่านี้ส่งผลปลายทางอย่างไรบ้าง

ผู้หญิงชนชั้นกลางที่ดิฉันเห็นในชีวิตประจำวัน มีเยอะที่ทุ่มเททุกอย่างที่ลูก เอาความฝันตัวเองไปฝากลูกด้วย แม่เคยอยากเป็นอะไรเเล้วเป็นไม่ได้ก็ลงที่ลูก อะไรๆ ก็อยู่ที่ลูกหมด

ความรักแบบนี้ของแม่ จริงๆ เเล้วมากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี แต่ถ้าเชื่อในมายาคติความเป็นเเม่มาก ก็ไปกันใหญ่ การจัดลูกใส่พิมพ์เเล้วก็บังคับให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังบังคับ

ทั้งหมดอยู่ภายใต้ความรักความปรารถนาดีอยากให้เขาประสบความสำเร็จ อันนี้ก็จะกระทบทั้งเเม่ทั้งลูก พอเอาเข้าจริงๆ จะไม่มีลูกคนไหนได้ดั่งใจแม่ ลูกไม่ใช่ตุ๊กตา เป็นคน ทำให้เราได้เห็นความตึงเครียดในความสัมพันธ์เเม่ลูกมาโดยตลอด มันไม่ได้ราบรื่นสวยงาม

ลูกที่โตมากับความรับรู้ว่า ‘ฉันเป็นเบอร์หนึ่ง’ ‘ฉันเป็นทุกอย่างของเเม่’ เขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างไร

เวลาที่คุณโตมาอย่างนี้ คุณคือศูนย์กลางจักรวาล เพราะสำหรับเเม่ ลูกคือศูนย์กลางของชีวิต คนอื่นไม่สำคัญ ลูกฉันสำคัญที่สุด

คน (ลูก) เเบบนี้เห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล จักรวาลมีอยู่เพื่อเสิร์ฟฉัน ลองคิดดูแล้วกันว่าโตขึ้นมาจะเป็นอย่างไร มันมีอันตรายหลายอย่าง จากการถูกให้ความสำคัญมากๆ ความสามารถในการจัดการชีวิตตัวเองไม่มี กิจวัตรเล็กน้อยไปจนถึงเรื่องใหญ่โตก็ทำไม่ได้ มันก็จะเป็นทุกข์กับตัวคนคนนั้นเเละคนอื่นรอบข้าง

เป็นไปได้ไหม ถ้ากรณีทุ่มเททุกสิ่งอย่าง ดีก็ดีไปเลย ถ้าเเย่คือก็เเย่สุดๆ

ดิฉันว่าอะไรที่มากเกินไปไม่มีอะไรดี อะไรที่มากเกินไปจะสร้างปัญหาอีกชุดหนึ่ง อย่างที่บอก น้อยเกินไปก็สร้างปัญหาอีกชุดหนึ่ง

แล้วพ่ออยู่ไหนในมายาคติของความเป็นเเม่

มายาคติความเป็นเเม่ยกการเลี้ยงดูเด็กให้เเม่นะคะ พ่อเป็นคนที่ออกไปทำมาหากิน ตามอุดมการณ์ผัวเมีย ก็คือเมียอยู่บ้าน ผัวออกไปทำมาหากินสร้างฐานะ หารายได้เพื่อเลี้ยงครอบครัว นั่นก็กลายเป็นหน้าที่ของผู้ชายไป ถ้าคุณยึดในแบบนี้มากๆ มันก็จะมีระยะห่างระหว่างพ่อลูก

พอมาถึงปลายศตวรรษที่ 20 คุณก็เริ่มมีอุดมการณ์ความเป็น ‘พ่อใหม่’ พ่อต้องใช้เวลากับลูก ต้องใกล้ชิด กลายเป็นพ่อแม่ช่วยกันเลี้ยง ซึ่งมึโอกาสเละไปอีกแบบได้เช่นกัน

เเล้วจะเลี้ยงอย่างไรกันดี

อย่างที่ดิฉันบอก ความพอดี ขณะนี้ที่คุณมาคุยกับดิฉันเพราะมันมีความไม่พอดี เพราะอุดมการณ์ที่พูดถึงความเป็นพ่อ ความเป็นแม่ มันสุดโต่งมากๆ เอาลูกเป็นศูนย์กลาง คือทุกอย่างในชีวิตมันพังหมดเลย มันเยอะไป

ไม่ว่าอย่างไรคนเมื่อกลายเป็นพ่อเป็นเเม่ เขาก็ยังเป็นอื่นๆ อยู่ด้วย ไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่งกลายเป็นแม่ก็เป็นแม่อย่างเดียว มันก็ยังเป็นอื่นๆ มีเเง่มุมอื่นๆ เช่นเดียวกับผู้ชาย

มันเป็นเรื่องของยุคสมัยด้วยไหมคะอาจารย์ สงสัยว่าสมัยก่อนพ่อแม่มีลูกหลายคน การเลี้ยงดูเลยเฉลี่ยๆ กัน เเต่ครอบครัวตอนนี้มีลูกแค่สองคนหรือคนเดียว มันอาจทำให้มายาคติความเป็นแม่ หรือลูกคือศูนย์กลางของจักรวาล ยิ่งรุนแรงขึ้น?

นอกจากจำนวนลูกเเล้วนะ ที่สำคัญมากคือการที่คุณได้รับข้อมูล ถูกกดดัน กำกับจากทุกฝ่าย ตั้งเเต่การศึกษา สื่อ หรืออะไรอื่นๆ ว่าความเป็นเเม่จะต้องเป็นอย่างนี้ ทีนี้ความเป็นเเม่ของคุณมันก็เลยเอ็กซ์ตรีม

ทีนี้พอแม่ลูกหนึ่งมาเจอกันเข้า มันถึงออกมาสภาพเกินพอดี และเนื่องจากปรากฏการณ์คนแต่งงานช้าลง มีลูกเองลำบากมากขึ้น หลายคนไปผ่านกระบวนการทำให้มีลูก ลูกยิ่งกลายเป็นศูนย์กลาง ลูกแก้วลูกนรกจึงเยอะมาก

เวลาจะพูดว่าปรากฏการณ์มันมาจากอะไร มันหลายองค์ประกอบมากๆ ทั้งนี้เพราะคุณเชื่อจริงจังว่าความเป็นเเม่ต้องเป็นแบบนี้ ครอบครัวที่สมบูรณ์ต้องเป็นเเบบนี้

เด็กที่โตมาอย่างเป็นศูนย์กลางจักรวาล เขาจะไปสร้างสังคมอย่างไร

ข้อสังเกตอย่างหนึ่ง อาจจะไม่ใช่ของดิฉันอย่างเดียว เเต่เป็นของหลายๆ คน พอคุณเป็นศูนย์กลางของจักรวาล คุณคิดว่าทุกอย่างมีอยู่เพื่อเสิร์ฟคุณ เพราะวิธีที่แม่คุณพ่อคุณเลี้ยงดูคุณมันเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างต้องเป็นอย่างที่คุณต้องการ แต่โลกนี้ไม่ได้มีอยู่เพื่อเสิร์ฟคุณ พอออกมานอกบ้านคุณเจอโลกที่มันเป็นอีกแบบ คนแบบนี้จะทำอย่างไร

จัดการดูเเลตัวเองไม่ได้?

(พยักหน้า) เราจัดการดูเเลตัวเองไม่ได้ แฮนเดิลความรู้สึกที่ไม่ได้อย่างใจไม่ได้ มันก็จะมีปัญหาขึ้นมาชุดหนึ่ง อาจจะเรียกว่าเป็นความเสี่ยง เพราะจะจัดการชีวิตตัวเองไม่ได้ในหลายๆ เเง่มุม รับความผิดหวังก็ไม่ได้ เช่น เรื่อง (เชิงอารมณ์) ที่คนรุ่นก่อนหน้านี้รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ คือมันก็เป็นทุกข์ของมนุษย์ ผู้ใหญ่จึงชอบพูดว่าทำไมคนรุ่นหลังจึงไม่อดทน

คุณไม่ได้ถูกเตรียมเพื่อที่จะอยู่กับโลกที่มันไม่ซัพพอร์ตคุณ โลกไม่ได้เสิร์ฟคุณนะ หลายคนต้องใช้เวลา บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไม่เรียนรู้ว่าโลกไม่ได้อยู่เพื่อเสิร์ฟคุณ

มันส่งผลต่อภาวะซึมเศร้าด้วยไหม

ซึมเศร้าเป็นโรคอะไรอย่างไร ดิฉันขอละไว้มันจะได้ไม่ต้องเถียงกัน เเต่เอาเป็นว่าการจัดการอารมณ์จัดการตัวตนของคนมันยากขึ้นได้ คือคุณไม่ได้คิดว่าการไม่ได้ การผิดหวังมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เเล้วก็ไปคาดหวังว่าทุกคนทุกอย่างในโลกนี้ต้องมีไว้เสิร์ฟคุณ แต่พอคุณออกไปอยู่ในโลกที่มันไม่ใช่อย่างนี้เลย คุณจะจัดการกับมันอย่างไร เอาเป็นว่าเเค่การจัดการกับความผิดหวังไม่ได้ มันเป็นทุกข์ใหญ่จริงๆ

พอลูกที่ไม่สามารถจัดการกับความผิดหวังของตัวเองได้ เจอกับแม่ที่ลูกเป็นศูนย์กลางทุกอย่าง จะช่วยกันได้ไหม หรือว่าพิงกันเเล้วล้มไปด้วยกันเลย

เวลาที่ลูกผิดหวัง จะคิดว่าตัวเองผิดหวังไม่เท่าไหร่ แต่กลัวพ่อแม่ผิดหวังมากกว่า หลายครั้งลูกไม่กล้าพูดเพราะกลัวพ่อแม่เสียใจ อันนั้นก็จะกลายเป็นปัญหาอีกชุด คือมาจากการที่คุณทุ่มเท คาดหวังกับลูกมากๆ จนตัวตนคุณหายไป ความสัมพันธ์ของมนุษย์มันเลยดูไม่ค่อยราบรื่นไปหมด

ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหากันในปัจจุบัน มีที่มาที่ไปจากเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน

คือคนเวลามีปัญหาความสัมพันธ์ ปัญหาความรัก ปัญหาหัวใจ หลักๆ เลยมาจากการไม่ได้ดั่งใจ มาจากไม่ได้หลายอย่าง เช่น กฎกติกามันบังคับคุณว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ พูดง่ายๆ ว่าความปรารถนาคุณวิ่งเข้าชนกำเเพง คุณก็ไม่ได้ดั่งใจ

เเละอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือในความรักความสัมพันธ์มันมักจะมีคนคนหนึ่งอยู่ด้วยในนั้นเสมอ เเละอีกหนึ่งคน มันก็เป็นคน คุณอาจจะรักเขา เเต่เขาไม่รักคุณเลย…ก็ได้ หรือ คุณรักเขาเเบบหนึ่ง เขารักคุณในเเบบที่ไม่ตรงกับที่ให้คุณรัก ความสัมพันธ์เริ่มไม่พร้อมกัน เลิกไม่พร้อมกัน ดำเนินไม่พร้อมกัน เป็นปัญหาหมด มันเป็นปัญหาความคาดหวัง

ทีนี้เวลาที่คุณเอาตัวคุณเป็นที่ตั้ง คุณก็จะไม่เห็นคนอีกคนหนึ่ง คุณจัดการตัวเองก็ไม่ได้ เเละบางทีคุณก็ไปลงที่อีกคนหนึ่ง กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ เพราะวิธีที่คุณเห็น ตัวคุณใหญ่มาก

การเห็นตัวเองสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง จึงก่อปัญหาภาพรวม?

พวกเราเห็นตัวเราจะต้องสำคัญที่สุดอยู่เเล้ว ทุกข์ของฉันสำคัญที่สุดในโลก ทุกข์คนอื่นกูไม่รู้สึก อันนี้เข้าใจได้ เเต่ว่าไอ้ที่มันดูยุ่งๆ ก็คือคุณเห็นเเต่ทุกข์ของคุณ เเละคุณไม่ได้เห็นว่าคนอื่นก็เป็นมนุษย์ที่มีปัญหาของเขาที่เขาเผชิญทุกข์ คือถ้าคุณเห็นตัวเองและเห็นคนอื่นได้ด้วย เรื่องหลายเรื่องจะไม่เป็นปัญหานะ หรือเป็นปัญหาบ้างเเต่มันจะไม่ใหญ่ขนาดนี้

คนที่เห็นทุกข์ตัวเองด้วย ทุกข์คนอื่นด้วย เขาอาจจะไม่ได้โตมาแบบศูนย์กลางจักรวาลหรือเปล่า

อันนี้ลำบาก เพราะว่าจริงๆ เราไม่มีหลักฐาน คือดิฉันไม่อยากให้เอาไปเชื่อมโยง แต่อยากพูดว่า เวลาที่คุณทำให้คนเห็นตัวเองใหญ่มากเยอะๆ มันมีความเสี่ยง เพราะในเมื่อคุณไม่เคยเห็นคนอื่น เเล้วอยู่ดีๆ จะเห็นคนอื่นขึ้นมาง่ายๆ หรือเปล่า ควรจะตั้งคำถามอย่างนี้มากกว่า

ตอนนี้มี how to ทฤษฎีเลี้ยงลูกต่างๆ เยอะเเยะ และพ่อแม่ทุกคนต่างไม่อยากให้ลูกเป็นศูนย์กลาง ขออนุญาตถามแบบกำปั้นทุบดินเลยว่าแล้วจะทำอย่างไรกันดี

จริงๆ เด็กรุ่นที่กำลังจะโตขึ้นมาเนี่ย เขาจะเจอกับลูกของเขาที่เป็นเเบบเดียวกัน อะไรที่เขาถูกปฏิบัติมา มันก็จะมาใช้กับคนรุ่นต่อไปไม่ได้ เพราะบริบทเปลี่ยนทุกความหมาย รูปแบบวิถีชีวิตเปลี่ยน ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยน การทำงานเปลี่ยน มันเปลี่ยนหมด มันไม่มีทางเอาของใครไปใช้กับใครได้ถูกต้องเเล้ว

how to อะไรทั้งหลายบางทีมันทำให้คุณมองไม่เห็นอะไรอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก คือ การเห็นใจตัวเอง และเห็นใจลูก เหมือนคุณทำขนมเค้ก มีวิธีการทำอย่างนี้ ก็ทำตาม แต่นี่มันคน เป็นคนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ตัวคุณก็คน ลูกคุณก็คน วิธีการเหล่านี่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของเราหรือเปล่า

ดิฉันกำลังสงสัยว่า how to ทั้งหลาย ความรัก ความสัมพันธ์ ความเป็นพ่อเป็นเเม่ เอาเข้าจริงๆ มันทำให้คุณไม่ได้หันมาเห็นความเป็นมนุษย์ของตัวเอง เห็นความเปราะบาง เห็นความปรารถนา เห็นความทุกข์ในบางเรื่อง รวมถึงความเป็นทุกข์ในตัวลูกคุณหรือแฟนคุณ มันมองข้ามเรื่องพวกนี้ไปเลย แล้วมุ่งไปหาความสมบูรณ์แบบ ซึ่งดิฉันก็กำลังสงสัยว่าคุณกำลังดีลกับมนุษย์ สร้างมนุษย์ที่เพอร์เฟ็คท์โดยมองไม่เห็นความเป็นมนุษย์กันอยู่หรือเปล่า

เช่น คุณ (แม่) จะเลี้ยงลูกได้คุณต้องมีความสุขเองให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้นคุณไปเลี้ยงคนอื่นให้มีความสุขไม่ได้ อันนี้มันสอดคล้อง หรือใกล้เคียงกับสิ่งที่เราคุยกันอยู่ไหม

คือดิฉันไม่รู้ว่าความสุขนั้นคืออะไร เพราะว่าความสุขของเเต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน เเต่ว่าเวลาคนเลือกที่จะเจริญพันธุ์ มันควรจะให้เป็นเจ้าตัวเขาเลือกที่จะเจริญพันธุ์เอง เเล้วก็ต้องรู้ว่ามีลูกขึ้นมาเนี่ยมันมีเเง่มุมทั้งสุขเเละทุกข์ มีปัญหาบางอย่างที่เราต้องแฮนเดิล เช่นนั้นเเล้วคุณเลือกจะเป็นเเม่ไหม

ถ้าเลือกจะเป็นเเม่แล้ว และคุณเลือกที่จะอยู่กับปัญหาหรืออยู่กับทุกข์พวกนั้นได้ ยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้ คุณจะโอเค เเล้วคุณจะจัดการกับชีวิตของคุณไปได้ในระดับหนึ่ง เพราะคุณเข้าใจว่าทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

อาจารย์คิดว่ามายาคติความเป็นเเม่ต่างๆ เหล่านี้จะยังอยู่อีกนานไหม

มันอยู่กับเราเเล้วมันทรงพลัง ขณะเดียวกันคนก็เถียงกับมัน เขย่ากับมัน ในโลกวิชาการตั้งคำถามมากมายกับมายาคติความเป็นเเม่หรือการเลี้ยงดูเด็ก เถียงกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว คือมันจะอยู่เเละทรงพลัง เเต่มันก็ถูกเขย่า และอาจแปรรูปไป ส่วนจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการเขย่าของคนจำนวนมาก

อาจารย์คิดว่าการเถียงเเละการตั้งคำถามกับมันส่งผลให้มายาคติความเป็นเเม่มันเคลื่อนหรือเปลี่ยนรูปแบบเดิมเยอะไหม

การเถียงและตั้งคำถามคือการเปลี่ยนโลก ไม่ใช่เฉพาะเรื่องความเป็นเเม่ เพราะคนเริ่มคิดใคร่ครวญถึงเรื่องๆ หนึ่ง เเล้วก็คุณตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ ต่อรอง เรื่องนั้นจะค่อยๆ เปลี่ยนไป ทีนี้เวลามันเปลี่ยนมันจะค่อยๆ เปลี่ยน โดยที่คุณไม่ได้รู้สึกว่ามันกำลังเปลี่ยน

ทวิตรักของอาจารย์ คำถามไหนมีเข้ามามากที่สุด

ถ้าเอาคำถามที่มีตลอดเวลา และมีเป็นระยะๆ คือคำถามว่าสถานการณ์เป็นอย่างนี้แปลว่าคนนี้เขาคิดอย่างไร ตกลงเขาชอบเราไหม แล้วหนูชอบเขาไหมคะ อ้าว จะรู้ไหมวะ (หัวเราะ) คือคุณกำลังถามว่าคนนี้รู้สึกอย่างไร แล้วดิฉันคือไม่รู้จักใครเลย

เขารู้สึกอย่างไร หนูชอบเขาไหม และควรจะทำอย่างไร สามชุดนี้ที่เข้ามาตลอดเวลา

ทำไมคำถาม 3 ชุดนี้ ถึงมีเข้ามาบ่อยมาก เพราะอะไร เขาไม่รู้จักตัวเอง?

จริงๆ เพราะประเด็นว่าด้วยเรื่องความรักโรเเมนติกมันถูกผูกพันกับเรื่องเพศ คือผู้หญิงควรทำอย่างไร ผู้ชายควรทำอย่างไร เพราะฉะนั้นมันมีความคลุมเครือสูง ความหมายเรื่องเพศอย่างที่คุณอยู่กับมัน มันไม่ได้ทำให้คุณทำอะไรตรงไปตรงมาเลยทีเดียว เพราะคุณบอกรักไปตรงๆ ก็ไม่ได้ เพราะกลัวการถูกปฏิเสธ มันจึงมีอะไรที่ไม่ชัดเจนคลุมเครือๆ เยอะ เลยเกิดคำถามซ้ำๆ ว่าอย่างนี้แปลว่าอะไร เพราะเจ้าตัวก็ไม่แน่ใจ

แล้วอาจารย์ตอบอย่างไร

เรื่องแบบนี้มันก็ต้องให้ประเมิน ชวนให้คิดไปด้วยกันว่าอย่างนี้แปลว่าอะไรได้บ้าง มันไปอย่างนี้ได้ แต่ไม่ใช่อย่างนี้ก็ได้ ซึ่งแปลว่าคุณจะเลือกคำแปลชุดไหน เช่น มีคนเคยถามเมื่อนานมาเเล้วว่า มีคนที่โทรมาหาทุกวันเลย คุยอย่างนี้ ตกลงเขาชอบหนูไหม มันชอบก็ได้ไม่ชอบก็ได้ถูกไหม คุณจะเลือกการตีความชุดไหนล่ะ สมมุติคุณเลือกว่า เขาชอบฉันเเน่เลย เเล้วคุณทำไปแบบหนึ่ง คุณก็รับความเสี่ยงที่ว่ามันอาจจะไม่ใช่ และไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์กับคนที่จริงๆ คุณก็ชอบเขาก็ได้ คือประเด็นไม่ได้อยู่ตรงที่ว่า แปลว่าอะไร ประเด็นอยู่ที่มีการตีความได้หลายอย่าง คุณจะเลือกการตีความแบบไหนและคุณรับได้ไหมว่าถ้าเลือกแบบนี้แล้วผลออกมาเป็นอย่างนั้น คือมันมีความเสี่ยงว่าการตีความที่คุณเลือกนั้นมันผิด

คำถามแบบไม่รูัจักตัวเองแบบนี้ มันมีโอกาสมาจากการเลี้ยงดูที่พ่อแม่คอยแต่เสิร์ฟให้หรือเปล่า

ไม่ๆ คือมันมีความเสี่ยงอยู่บางประการว่า ถ้าคุณไม่เคยต้องเลือกอะไรในชีวิต มันก็จะเลือกไม่ค่อยได้ และก็จะหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ คือมันไม่ได้เชื่อมโยงกันตรงๆ แต่มันมีความเสี่ยงที่จะเป็นเช่นนั้นได้

Tags:

จิตวิทยามายาคติการเป็นแม่ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Character building
    ‘บุคลิกภาพ’ สร้างได้? เข้าใจ 5 บุคลิกหลักจากมุมมองทางจิตวิทยา

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Healing the traumaFamily Psychology
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    ดนตรีแบบไหน เหมาะกับวัยลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ต้องเป็นแม่ที่มีความสุขที่สุดถึงจะเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้ BY ‘ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก’

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

5 คำขู่ผิดๆ ของพ่อแม่ที่ทำให้เด็กโตมาไม่กล้าและขี้กลัว
Family Psychology
21 March 2019

5 คำขู่ผิดๆ ของพ่อแม่ที่ทำให้เด็กโตมาไม่กล้าและขี้กลัว

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

รวมคำพูดฮิตติดปากที่พ่อแม่มักใช้ขู่เด็กให้เชื่อฟัง ซึ่งดูเหมือนว่าจะได้ผล เพราะลูกยอมหยุดและทำตาม แต่คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่ทางออกและวิธีแก้ไขที่สร้างสรรค์ เนื่องจากเป็นคำขู่ที่ไม่อยู่บนหลักเหตุและผล ซึ่งหากหลอกลูกด้วยคำขู่เช่นนี้บ่อยๆ อาจส่งผลให้เด็กขาดความมั่นคงทางอารมณ์ พูดง่าย ๆ ก็คือ ‘ขี้กลัว’ ‘ไม่กล้าตัดสินใจ’ ‘ไม่มั่นใจในตนเอง’ จนส่งผลมาจนถึงพฤติกรรมแสดงออกเมื่อเขาเติบโต

อ่านบทความเลี้ยงลูกเชิงบวกฉบับเต็มได้ ที่นี่ 

Tags:

พัฒนาการพ่อแม่วินัยเชิงบวกพัฒนาการทางอารมณ์

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Early childhood
    Play with your heart ‘เล่นอย่างอิสระ’ เรียนรู้และเติบโตอย่างมีคุณภาพ: ครูมอส- อนุพันธุ์ พฤกษ์พันธ์ขจี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Space
    เปลี่ยนสนามเด็กเล่นที่ไม่น่าเล่นและไม่ปลอดภัย มาเป็นผู้ช่วยให้เด็กพัฒนาสมวัย

    เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    6 หัวใจสำคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Early childhood
    KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง
Early childhood
21 March 2019

ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • การตี เป็นหนึ่งในการสร้างวินัยเชิงลบ นอกจากความกลัวแล้ว ลูกจะไม่มีทางเข้าใจเลยว่าทำไมถึงถูกตี
  • แม้การตีจะใช้ได้ผลในระยะสั้น (คือขู่ให้กลัว) แต่ในระยะยาวกลับส่งผลกระทบต่อจิตใจและทำลายความผูกพัน
  • มีการฝึกอีกหลายวิธีที่ดีกว่าการตี ทั้งยังเพิ่มความเข้าใจ ดึงลูกให้เข้ามาใกล้ๆ ถือเอาโอกาสนี้ปรับและเปลี่ยนวินัยพ่อแม่ไปในตัว

ไม่ใช่แค่ในสังคมไทย แต่เรื่องการลงโทษทางร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น การตี เป็นประเด็นถกเถียงมานานพอสมควรในแวดวงวิชาการทั่วโลก

‘รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี’ คือผลพวงจากฝั่งสนับสนุนที่ใช้การสอนแบบนี้มานานปี แต่อาจใช้ไม่ได้ในปัจจุบันนี้ เพราะเข้าข่ายวินัยเชิงลบ – ตีเพื่อให้กลัว แต่ไม่ได้สอนว่าทำไมถึงไม่ดีและไม่ควรทำ

จากการศึกษา วิธีการนี้ใช้ได้ผลในระยะสั้นเท่านั้น ระยะยาวกลับพบว่าการลงโทษด้วยการตี หรือการลงโทษทางร่างกาย (Physical Punishment) ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและสภาพจิตใจของเด็ก

บทความวิชาการ ‘The Strength of the Causal Evidence Against Physical Punishment of Children and Its Implications for Parents, Psychologists, and Policymakers’ เผยแพร่โดยสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association) ให้ข้อสรุปว่า แม้อยู่ท่ามกลางบริบทชุมชนที่แตกต่างกัน ต่างภาษา ต่างเชื้อชาติและวัฒนธรรม การลงโทษทางร่างกายส่งผลกระทบเชิงลบต่อเด็กในทุกสังคม ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของพ่อแม่ แต่เป็นเรื่องที่บุคคลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นครู นักจิตวิทยาครอบครัว หรือแม้กระทั่งหน่วยงานที่กำหนดนโยบายระดับชาติควรให้ความสำคัญ

ผลการศึกษาระบุชัดว่า เด็กที่เติบโตขึ้นในครอบครัวที่ใช้การลงโทษทางร่างกาย มีแนวโน้มที่จะมีอารมณ์ก้าวร้าว มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การมีปัญหาทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรง มีประสิทธิภาพการรับรู้และการเรียนรู้ต่ำ ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ปกครองค่อนข้างห่างเหิน อีกทั้งยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็กในระยะยาว การศึกษานี้จึงเป็นหลักฐานเชิงข้อมูลยืนยันกับผู้ปกครองว่า การตีไม่ใช่ทางออก

‘ตี’ หรือ ‘ไม่ตี’ แล้วจะลงโทษลูกด้วยวิธีไหน ถึงจะดี?

คำตอบ…ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจ

การลงโทษมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความขัดแย้ง ขุ่นเคืองใจ และปิดกั้นการเรียนรู้ ยิ่งเมื่อได้รับการลงโทษด้วยการตี จะกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านและตอบโต้ เนื่องจากสมองกลีบหน้า (Frontal cortex*) ได้รับการกระตุ้น แล้วเชื่อมโยงไปสู่กลไกการป้องกันตัวขั้นพื้นฐาน

นี่ยังไม่รวมความรู้สึกอับอาย ความโกรธ ความรู้สึกอดทนอดกลั้น จนนำไปสู่การหาวิธีการไม่ให้ถูกจับได้ เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกลงโทษ

บทความเเรื่อง ‘Spanking Is Ineffective and Harmful to Children, Pediatricians Group Says’ ใน เดอะนิวยอร์คไทม์ส โดย คริสตินา คารอน (Christina Caron) นำเสนอเรื่องราวของหมอและกุมารแพทย์รวม 67,000 คนในสหรัฐอเมริกาที่ลงความเห็นตรงกันถึงความไม่มีประสิทธิภาพและผลกระทบเชิงลบจากการลงโทษเด็กทางร่างกาย

ข้อมูลนี้เผยแพร่โดยสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatric) จากการศึกษาและวิจัยร่วม 20 ปี นำเสนอในวารสารกุมารแพทย์ (Jornal Pediatrics) เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

“หนึ่งในความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุด คือ ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแม่ ดังนั้นเราจึงไม่ควรสร้างให้เด็กเกิดความกลัว จากการใช้ความรุนแรงในการลงโทษ” โรเบิร์ต ดี. เซจ (Dr. Robert D. Sege) กุมารแพทย์ จาก Tufts Medical Center and the Floating Hospital for Children หนึ่งในศูนย์การแพทย์สำหรับเด็กในบอสตัน กล่าว

เซจ ย้ำผลลัพธ์จากการศึกษาว่า หากพ่อแม่ใช้ความรุนแรงลงโทษลูก จะส่งผลให้ลูกมีความก้าวร้าวและขาดความยับยั้งชั่งใจ สนับสนุนข้อมูลที่นำเสนอโดยสมาคมจิตวิทยาอเมริกันด้วยเหตุผลหนึ่งที่เหมือนกัน คือ ผลจากการตีส่งผลเชื่อมโยงกับการทำงานของสมอง

ผลกระทบจากการตีไม่ต่างจากผลที่เกิดกับเด็กที่ถูกทำร้ายร่างกายซ้ำๆ สมองส่วนหน้าที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างการรับรู้ทางสังคม รวมถึงสมองส่วนที่เชื่อมโยงการเรียนรู้จะไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เด็กเข้าสังคมยากและมีศักยภาพในการเรียนต่ำลง

อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้แล้วพ่อแม่บางคนหลีกเลี่ยงการลงโทษมาเป็น ‘การนิ่งเงียบ เฉยชา ไม่พูดไม่จา’ กับลูก ผลการศึกษาจากงานวิจัยเรื่อง ‘Not in Front of the Kids: Effects of Parental Suppression on Socialization Behaviors During Cooperative Parent–Child Interactions’ เผยแพร่โดยสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association) เกี่ยวกับการแสดงออกทางอารมณ์ของพ่อแม่ที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก บอกว่า หากพ่อแม่นิ่งเงียบ แอบซ่อนความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เลยเมื่อลูกกระทำความผิด ส่งผลให้ลูกมีความร่าเริงน้อยลง กลายเป็นเด็กเก็บกด และขาดความอบอุ่น เนื่องจากภาวะดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดการสื่อสารระหว่างกัน ท้ายที่สุดย่อมส่งผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัว ทำให้ลูกไม่กล้าพูดคุยอย่างเปิดเผยกับพ่อแม่ นอกจากนี้ยังกระทบต่อพัฒนาการและการแสดงออกทางอารมณ์ของลูกด้วย

การตีไม่ใช่ทางออกแรกและไม่ใช่ทางออกสุดท้าย

ฮีเธอร์ เทอร์เจียน (Heather Turgeon) นักจิตวิทยาอายุรเวท ที่มีความเชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและการเลี้ยงดูเด็ก เขียนถึงวิธีการรับมือเมื่อลูกไม่ได้อย่างใจไว้ได้อย่างน่าคิด บทความมีชื่อว่า ‘Which is Better, Rewards or Punishments? Neither.’ ในนิตยสารเดอะนิวยอร์คไทม์ส (The New York Times)

เธอบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นการหลอกล่อด้วยของรางวัล (rewards) หรือ การลงโทษ (punishments) ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่สร้างเงื่อนไขให้ลูกรู้สึกว่าพวกเขาจะได้รับความสนใจจากพ่อแม่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

แต่หากพ่อแม่ทำให้ลูกรู้สึกถึงความรักและสัมผัสได้ถึงการดูแลเอาใจใส่อย่างเปิดเผย วิธีการนี้ไม่สร้างเงื่อนไขใดๆ ให้ลูกต่อต้านหรือปฏิวัติพ่อแม่ได้เลย

รางวัลล่อตามีอิทธิพลต่อแรงจูงใจที่อาจชักพาไปสู่ความคิดผิดๆ

การดึงดูดใจด้วยสิ่งของเป็นการลงโทษแบบแอบแฝงอย่างหนึ่ง วิธีการนี้ดูอ่อนโยน น่ายอมรับมากกว่าการลงโทษ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของเด็กในระยะยาวได้ แถมยังส่งผลย้อนกลับสร้างพฤติกรรมที่ไม่น่ารักให้กับลูก

“ถ้าหนูทำตาม แล้วหนูจะได้รางวัลเป็นอะไร?”

ลองจินตนาการถึงประโยคสวนกลับนี้จากลูก เมื่อคุณแค่เอ่ยปากบอกให้ลูกรักษาความสะอาดห้องนอนหรือเก็บของให้เป็นระเบียบ

เจอแบบนี้พ่อแม่คงชะงัก

เทอร์เจียนบอกว่า นักจิตวิทยาเห็นพ้องต้องกันว่า การให้รางวัลผิดจังหวะ แทนที่จะเป็นแรงกระตุ้น กลับลดแรงจูงใจและความเพลิดเพลินตามธรรมชาติของเด็ก

ยกตัวอย่างเช่น การวิจัยกับเด็กที่ชอบวาดรูป เด็กกลุ่มที่รู้ว่าตัวเองจะได้ค่าตอบแทนในการวาด กลับวาดได้น้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับการชักชวนให้มาวาดเพื่อความสนุกสนานแต่ไม่ได้ค่าตอบแทน

เห็นได้ว่าการมีรางวัลเป็นของล่อตาล่อใจ ด้านหนึ่งทำลายความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เด็กไม่คิดอย่างลึกซึ้งและไม่ปล่อยให้จินตนาการโลดแล่นเพื่อมองหาความเป็นไปได้ในการสร้างชิ้นงาน

หากมองอีกมุมหนึ่งกับดักที่แท้จริงของเรื่องนี้อยู่ที่ผู้ใหญ่หรือเปล่า?

เพราะไม่ว่าจะเป็นการลงโทษหรือการให้รางวัล ต่างก็เกิดขึ้นจากสมมุติฐานเชิงลบของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็กว่า เด็กควรได้รับการดูแลและอบรมสั่งสอนจากผู้ใหญ่ เพื่อไม่ให้มีพฤติกรรมที่ไม่ดีและไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางแต่ปฏิบัติในทางที่ผิด แต่การดูแลที่ว่ากลับกลายร่างเป็น ‘การควบคุม’ เพราะขาดความเข้าใจ ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจถูกเรื่องการอบรมดูแลลูกเป็นเรื่องที่พ่อแม่ต้องเตรียมความพร้อมให้ตัวเองก่อน

เมื่อถึงคราวที่ลูกดื้อไม่อยู่ในระเบียบวินัยขึ้นมาจริงๆ พ่อแม่เปลี่ยนพฤติกรรมลูกได้จากการเปลี่ยนวิธีพูดและการแสดงออกของพ่อแม่เอง งานนี้ไม่มีการควบคุมใดๆ ไม่ต้องตี ไม่ต้องทำดีหลอกล่อ และไม่ต้องทำหน้าตาบึ้งตึงไม่พูดไม่จาใส่กัน

สิ่งแรกที่ผู้ปกครองควรทำ คือ เชื่อว่าเด็กมีศักยภาพในตัวเอง มีน้ำใจ มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความอดทน และสามารถทำงานอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้

หากพ่อแม่เชื่อแบบนี้ ความเชื่อนี้จะเปลี่ยนสายตาของพ่อแม่ที่ใช้มองลูก จากที่ไม่เคยฟัง ใช้อำนาจในการควบคุม พ่อแม่จะสามารถรับฟังลูกอย่างเข้าใจ และพูดคุยกับลูกได้อย่างมีเหตุผล

ต่อไปนี้เป็น 4 วิธีที่จะทำให้ผู้ปกครองเข้าใจลูกมากขึ้น และทำให้ลูกมีระเบียบวินัยได้โดยไม่ต้องตี

  • หนึ่ง มองให้ลึกถึงสาเหตุที่แท้จริง

ธรรมชาติแล้วเด็กๆ ไม่ตีพี่น้อง ไม่ทะเลาะกับเพื่อนที่เล่นด้วยกัน ไม่เฉยเมยหรือโมโหร้ายใส่พ่อแม่ หรือไม่ร้องไห้งอแง ชักดิ้นชักงอในร้านขายของเล่นโดยไม่มีเหตุผล พ่อแม่ช่วยลูกปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลักษณะนี้ได้ ด้วยการมองหาต้นเหตุที่แท้จริง พูดง่ายๆ คือ พ่อแม่ต้องรู้ใจลูก เช่น เอ่ยปากถามก่อนตำหนิหรือตีว่า “เป็นอะไรลูก?”

เมื่อถามแล้ว แน่นอนว่าลูกอาจไม่ตอบในครั้งแรก หรือไม่ตอบอะไรเลย แต่ยังคงร้องไห้หรือทำตัวไม่น่ารัก พ่อแม่ต้องใช้ความอดทนด้วยการถามซ้ำด้วยน้ำเสียงปกติ แล้วทำท่ารับฟังอย่างตั้งใจ ไม่ใส่อารมณ์ไปตามอารมณ์แปรปรวนของลูก

หรือขณะที่เดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ หากพ่อแม่รู้ว่าลูกจะร้องไห้โวยวายทุกครั้งเมื่อต้องกลับบ้าน วิธีการคือบอกให้ลูกรู้ก่อนล่วงหน้าก่อน 10, 5 หรือ 2 นาที ตามความเหมาะสม เพื่อให้ลูกปรับตัว

การร้องไห้ โวยวาย หรือแม้กระทั่งกรีดร้อง การดื้อไม่ฟังเหตุผล และการแสดงอาการโมโห เป็นการแสดงออกที่ไม่น่ารัก แต่จริงๆ แล้วลูกอาจกำลังหิวหรือเปล่า ลูกง่วงนอนเพราะนอนน้อยเกินไหม ลูกอยู่ในสถานที่ใหม่ซึ่งไม่คุ้นเคยหรือเปล่า หรือทำกิจกรรมมามากมายทั้งวันจนเหนื่อยแล้วก็เป็นไปได้

พ่อแม่ถามลูกได้เพื่อแสดงให้ลูกเห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใย ให้ลูกเปิดใจและไว้วางใจที่จะบอกความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องแสดงทีท่าฉุนเฉียววางทีท่าควบคุมลูก

อลิซาเบธ แพนท์ลีย์ (Elizabeth Pantley) ผู้เขียนหนังสือ ‘The No-Cry Discipline Solution’ ยกตัวอย่างพฤติกรรมของเด็กในวัยหัดเดินที่ยังไม่รู้ความนัก พวกเขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ จึงแสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา ตอนไหนอารมณ์ดีก็ยิ้มแย้มเฮฮา แต่ตอนจะร้องไห้ก็เต็มที่ โดยเฉพาะเวลารู้สึกเหนื่อย หิว เบื่อ และอึดอัด

เด็กมีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติตามพัฒนาการการเจริญเติบโต จึงทำให้พวกเขาแสดงอารมณ์เพื่อทดสอบการตอบสนองของพ่อแม่ จุดนี้เองที่พ่อแม่ต้องแสดงออกให้ถูกทาง

แทนที่จะพูดว่า

“ทำตัวดีๆ ลูก เล่นเบาๆ แบ่งเพื่อนด้วย ไม่งั้นแม่/พ่อ ไม่ให้ดูการ์ตูนนะ”

ลองพูดแบบนี้สิ

“แม่/พ่อ รู้ว่าลูกกำลังจะแบ่งของเล่นกับเพื่อน แม่/พ่อ รู้ว่าแรกๆ มันอาจจะยาก แล้วลูกก็ไม่ชอบ ลูกลองคิดดูสิว่าจะแบ่งของเล่นกับเพื่อนยังไงบ้าง น่าสนุกดีออก ถ้ามีอะไรให้แม่/พ่อ ช่วยก็บอกได้นะ”

หรือเมื่อลูกงอแงไม่ยอมเข้านอน

“ลูกอยากทำอะไรก่อน ระหว่างแปรงฟันหรือว่าจะใส่ชุดนอนก่อน?”

  • สอง กระตุ้นแทนให้รางวัล

แรงจูงใจเป็นเรื่องที่ดี ถ้าใช้คำพูดสร้างแรงจูงใจอย่างถูกต้อง

แทนที่จะพูดว่า

“ถ้าลูกทำความสะอาดห้องให้สะอาด เราจะออกไปสนามเด็กเล่นกัน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องไป”

ลองพูดแบบนี้สิ

“พอห้องลูกสะอาดแล้ว เราออกไปสนามเด็กเล่นกัน พ่อ/แม่รอได้ หรือถ้าลูกอยากให้พ่อ/แม่ ไปช่วยก็บอกนะ”

หรือขณะที่ผู้ปกครองกำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ ลองชวนลูกสั้นๆ ว่า

“พ่อ/แม่ เชื่อว่าลูกอยากช่วย เราเป็นทีมเดียวกัน”

  • สาม ‘ช่วย’ แทนที่จะ ‘ลงโทษ’

ไอเดียของการลงโทษ คือ การทำให้ลูกอยู่ในการควบคุม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวกลับเป็นการทำให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่พยายามทำร้ายตนเอง ในทางปฏิบัติพ่อแม่สามารถวางข้อตกลงและแนะนำลูกได้ โดยไม่จำเป็นต้องลงโทษ

แทนที่จะพูดว่า

“จะต้องให้พ่อ/แม่ พูดอีกกี่ครั้งว่าให้เล่นเบาๆ”

ลองพูดแบบนี้สิ

“ลูกเล่นแรงไปแล้ว พ่อ/แม่จะให้ลูกหยุดเล่นก่อน เพราะมันอันตราย ถ้าลูกนิ่งแล้วเรามาเล่นกันใหม่”

‘ไทม์ เอาท์’ (Time Out) สำหรับบทความนี้ขอเรียกว่า ‘พื้นที่พักใจ’ เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้ลูกสงบ แต่ต้องอาศัยการทำซ้ำๆ อาจฟังแล้วแปลกหู และไม่คุ้นเคยสำหรับวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกแบบไทยๆ แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย

พื้นที่พักใจเป็นการกำหนดพื้นที่สักส่วนหนึ่งในบ้าน ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูกสำหรับสงบสติอารมณ์ อาจเป็นบันไดบ้าน มุมบ้านส่วนใดส่วนหนึ่ง เมื่อลูกร้องไห้งอแงหรือทำความผิด ให้เขาได้ใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ของเขา โดยไม่มีผู้ใหญ่เข้าไปรบกวน

ระยะเวลาที่ใช้เทียบเคียงกับอายุของลูกได้ เช่น เด็กอายุ 3 ขวบ ให้ใช้เวลาในพื้นที่พักใจประมาณ 3 นาที เป็นต้น

  • สี่ เป็นทีมเดียวกันกับลูก

ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ขี้เกียจ โดยเฉพาะวัยเด็ก พ่อแม่สามารถให้พวกเขาทำโน่นทำนี่ได้ทั้งวัน หากทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการทำสิ่งนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่แกล้งหลอก เมื่อลูกเริ่มรู้ความ เป็นไปได้ตั้งแต่ช่วงเริ่มหัดเดิน พ่อแม่สามารถสื่อสารให้ลูกฟังได้ว่างานที่พ่อแม่ต้องรับผิดชอบมีอะไรบ้าง ในระยะแรกอาจเริ่มจากงานบ้าน พ่อแม่แจกแจงให้เห็นว่างานบ้านที่ต้องรับผิดชอบมีอะไร แล้วสิ่งไหนที่ลูกอยากทำ

การมีส่วนร่วมที่ว่านี้ทำให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนขึ้นหากทำขึ้นเป็นชาร์ต โดยระบุหน้าที่ของพ่อแม่ลงไปด้วย เมื่อใครทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อยก็ให้มาขีดเครื่องหมายว่าได้ทำงานตามมอบหมายแล้ว เมื่อลูกทำได้สำเร็จ (เหมือนพ่อแม่) พวกเขาจะเกิดความภาคภูมิใจ และเห็นคุณค่าในตัวเอง

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้แนวคิดปฏิเสธการตีนี้ได้รับการเผยแพร่และยอมรับจนเป็นมาตรฐานเดียวกันในสังคม พ่อแม่ ผู้ปกครอง นักจิตวิทยาครอบครัวก็ควรให้คำแนะนำและสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ไปพร้อมๆ กับภาครัฐหรือผู้กำหนดนโยบายที่จะต้องให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบเชิงลบจากการลงโทษลูกด้วยการตี และเสนอทางออกเพื่อแก้ปัญหาหากลูกไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัย

เห็นได้ว่าทางออกสำหรับการไม่ลงโทษ คือ การสื่อสารกับลูกอย่างถูกวิธี การเลี้ยงดูลูกจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เด็กแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการแตกต่างกันไป เด็กแต่ละคนเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่สื่อสารกับเขาไม่เหมือนกัน หากอยากให้ลูกเข้าใจพ่อแม่ พ่อแม่ต้องเป็นฝ่ายเข้าใจลูกก่อน และทำให้ลูกมั่นใจว่าพ่อแม่เป็นทีมเดียวกับเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม…

หมายเหตุ:
* Frontal cortex คือ กลีบหน้าผากส่วนหน้า สมองส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการวางแผน หรือโปรแกรมพฤติกรรมการรับรู้ที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก การตัดสินใจ และการควบคุมความประพฤติที่เกี่ยวข้องกับสังคม หน้าที่หลักของสมองส่วนนี้คือ การคิดและการกระทำที่เป็นไปตามเป้าหมายของแต่ละคน

อ้างอิง
https://www.verywellfamily.com 
https://www.nytimes.com
https://www.nytimes.com
https://www.psychologytoday.com
https://psycnet.apa.org
https://psycnet.apa.org
https://www.todaysparent.com
https://www.healthychildren.org/

Tags:

จิตวิทยาความรุนแรงวินัยเชิงบวกการลงโทษพ่อแม่

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Family Psychology
    ‘การตี’ วิธีลงโทษที่เด็กๆ อยากให้นึกถึงเป็นลำดับสุดท้ายเมื่อเขาทำผิด : ญา ปราชญา

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Early childhood
    5 วิธี ลบคำพูดร้ายในใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

ชีวิตปกติสุขของ ตุ๊ก ชนกวนัน: ไม่มีวันที่แม่ไม่ไหว แค่ไหนก็แค่นั้น
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
20 March 2019

ชีวิตปกติสุขของ ตุ๊ก ชนกวนัน: ไม่มีวันที่แม่ไม่ไหว แค่ไหนก็แค่นั้น

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • เสียงหัวเราะที่แทรกในบทสนทนาหลายครั้ง กระทั่งตอนเล่าเรื่องเปลี่ยนสถานะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ยืนยันได้ดีว่า ‘ตุ๊ก’ ชนกวนัน รักชีพ อยู่กับมันอย่างมีความสุขแค่ไหน
  • แม้จะมีวินาทีที่เศร้าบ้าง แต่เราต้องเข้าใจ คือหนึ่งในวิธีรับมือกับเรื่องใหญ่เรื่องเล็กที่พัดเข้ามาในชีวิต
  • นี่คือชีวิตปัจจุบันที่ ‘ปกติสุข’ ของคุณแม่ลูกสอง ที่ไม่ยอมแบ่งพื้นที่แม้เศษเสี้ยวให้ความเกลียดชัง ไม่มีวันที่ไม่ไหว และเข้าใจมากๆ ว่า ก็มันมีแค่นี้และควรอยู่อย่างมีความสุข

หลายคนรู้จัก ‘ตุ๊ก’ ชนกวนัน รักชีพ จากบทบาทนักแสดง นางแบบ พิธีกร หลายคนชอบเธอในบทบาทเกษตรกรอินทรีย์ มีแปลงนาและแบรนด์ข้าวอินทรีย์เป็นของตัวเอง และอีกหลายคนเช่นกัน นับถือหัวใจเธอในฐานะ ‘ซิงเกิลมัมสายสตรอง’

“แต่ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ว่าเขา (ลูก) ไม่เข้าใจนะ เราไม่ได้หลอกเขา ไม่ได้บอกว่า ‘แดดดี้ทำงาน ไปนอนบ้านอื่น’ ไม่มีแบบนี้ ทุกอย่างเป็นความจริง แต่เป็นความจริงที่ละมุนละม่อม และใช้ชีวิตทุกวันแบบ positive ไม่มีพลังงานของความเกลียดชัง ไม่ใช่แบบ ‘ก็เขาไม่อยู่หนิ แยกบ้าน’ ไม่… อยู่คนละบ้านก็คืออยู่คนละบ้าน และแม่ก็ดู ‘ปกติสุข’ ไม่ใช่มีความสุขนะ แต่มันมีแค่นี้และมีความสุข ไม่ใช่ตื่นมาแล้วเราจะแบบ “เฮ้อ ถ้าเรามีแดดดี้ก็จะมีคนเปลี่ยนไฟให้’ ไม่ไง เปลี่ยนไม่เป็นก็เรียกช่างมาเปลี่ยน

“หน้าที่เรา พื้นฐานที่สุดแค่ ‘everything will be ok’ ถ้าเราโอเค เขาก็โอเค เราไม่ได้ตื่นเต้นบ้าบอ แบบ ‘ไม่นะลูก ชีวิตลูกไม่ขาด’ หรือ ‘โอเคนะลูก แม่รักลูกก็พอ’ ไม่ใช่ และมันไม่ใช่การเพิกเฉย เราแค่ ‘เออ… เรื่องนี้หนูว่ายังไง’ หรือบางทีต้องเงียบ บางทีแค่ ‘ถ้าลูกรู้สึกยังไง บอกแม่นะ’ ‘หนูอยากให้แม่ช่วยอะไรไหม’ ‘ถ้าอยากได้อะไรบอกแม่นะ แม่อยู่ตรงนี้นะ แม่พร้อมเสมอ’ อะไรก็ได้ที่เหมาะกับสถานการณ์นั้น ให้เขารู้ว่าเรามั่นคง

“ถ้าเขารู้ว่าเราผ่านได้ เขาก็พร้อมจะผ่าน ให้เขารู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรกับเขา เราอยู่ตรงนี้”

อันที่จริงบทความนี้ไม่ได้พูดถึงเฉพาะมุมมอง ‘ซิงเกิลมัม’ หรือ ‘คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว’ แต่รวมถึงประเด็น ‘การเป็นแม่สไตล์คุณตุ๊ก’ คุณแม่สมัยใหม่ที่ไม่เน้นวิชาการกับลูกในช่วง 0-7 ปี แต่ให้เล่น ชวนกันปลูกข้าว ลงคอร์สเรียนทำขนมปัง เย็บผ้า หรือกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้มือ ผัสสะ จินตนาการ ร่างกาย และอื่นๆ อย่างที่เธออธิบายว่า

“ถ้ายังสร้างบ้านไม่เสร็จแล้วเข้ามาอยู่ เราก็อยู่ไม่ถนัด ช่างก็ทำงานไม่ถนัด อยู่ๆ ไปก็กลัวว่าปูนจะหล่น ตะปูจะหล่นใส่รึเปล่า เหมือนกับพัฒนาการร่างกายและสมองที่เด็กจะพร้อมสำหรับวิชาการหลัง 7 ขวบ ระหว่างนี้ให้เขาฟอร์มตัวไปก่อน ระหว่างที่ร่างกายและสมองกำลังฟอร์ม การที่เขาได้เห็นความงาม ความจริงตามธรรมชาติ ได้กลิ่นหอมของดอกไม้จริง ได้เห็นช้างแบบจริงๆ ไม่ใช่จากสารคดีในทีวี จนมันประทับตราตรึงเข้าไปในสัญชาตญาณของเขา มันต่างกัน และมันจะเป็นส่วนที่ทำให้ทุกอย่างเติบโตอย่างดีและมีความสุขด้วย”

ทั้งหมดนี้ไม่ได้จะบอกว่าคุณตุ๊กเป็นซูเปอร์วูแมน เป็นคุณแม่สายสตรองมากไปกว่าคุณแม่ท่านอื่น (เพราะขึ้นชื่อว่า ‘แม่’ ยืนหนึ่งเรื่องความแกร่งอยู่แล้ว!) หากเธอคือผู้หญิงธรรมดาที่ดำเนินชีวิตอย่าง ‘ปกติสุข’ และชวนอ่านความคิดการเป็น ‘แม่ครั้งแรก’ ของผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่ยังไม่ตั้งครรภ์ กระทั่งวันที่ลูกๆ ของเธอเกือบเข้าสู่วัย pre-teen หรือก่อนวัยรุ่นกันแล้ว!

ตุ๊ก ชนกวนัน กับ การเป็นแม่ครั้งแรก

ก่อนเป็นคุณแม่ คิดอยากเป็นคุณแม่ไหม อยากเป็นแบบไหน

ไม่คิด แต่ไม่ใช่เพราะไม่อยากมีลูกนะ แต่ถ้าต้องเป็นแม่ เคยอยากเป็นคุณแม่ full time ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีพี่เลี้ยง ทำงานบ้านเอง ทำกับข้าวเอง ทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นเลยไม่อยากมีลูกจากอะไรบางอย่างที่ทำให้เราเป็นแม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าเราไม่อยากทำอะไรเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ขนาดนั้น ยังเป็นนักแสดง (และเป็นคุณแม่) เหมือนตอนนี้มันก็ทำได้

คุณตุ๊กในวัย 29 ที่ยังไม่เป็นแม่ ตอนนั้นฝันว่าอยากเป็นแม่แบบไหน

ไม่ได้คิดเอาไว้ว่าอยากเป็นแบบไหน แต่คิดว่าอยากทำอะไรกับเขา คิดว่าเราจะซัพพอร์ตหรือให้ความสบายใจกับเขาได้แค่ไหนมากกว่า เวลาที่เขามีปัญหา อยากให้เขารู้ว่าเลือกจะคุยกับเราได้ เอาความคิดเราไปปรับใช้ในชีวิตเขาได้ ดำเนินชีวิตอย่างเชื่อมโยงกับเรา ไม่ได้ตัดสินใจคนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ จะใช้คำว่าอะไรดี (นิ่งคิด) อยากเลี้ยงให้เขามีความสุขกายสบายใจเพียงพอจะใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ให้มีทัศนคติที่ดี ให้มีคุณสมบัติในการเป็นมนุษย์ที่จะใช้ชีวิตแบบไหนก็ได้

เพราะเขาจะต้องเจอเรื่องราวในชีวิตประมาณล้านเรื่องอยู่แล้ว เราไม่รู้ว่าเขาจะเจออะไร แต่ให้เขาเลือกได้ว่าโหมดนี้เขาควรจะกล้าหาญ โหมดนี้ควรจะอ่อนโยน หรือโหมดนี้ควรจะมีคุณสมบัติอะไร มันคงไม่สมบูรณ์แบบ แต่อย่างน้อยอยากให้เขาได้มากที่สุด และเขาต้องใช้คาแรคเตอร์ของเขาเอง

พอรู้ว่าตั้งครรภ์ กลัวไหมกับความคิด ‘กำลัง’ จะเป็นแม่

ไม่กลัว จะสรุปให้คนอื่นฟังเสมอว่าคงเป็นคาแรคเตอร์ของความเอ๋อ พี่ตุ๊ก จันจิรา (จันจิรา จูแจ้ง) เคยบอกว่า “เธอเหมือนคนที่มีลูกบอลอยู่ในท้องแล้วทำตัวปกติ” แต่เหนื่อยนะ ชีวิตเปลี่ยน

ไม่กลัว และพร้อมที่จะใช้วิธีธรรมชาติที่สุดเท่าที่ความรู้ของเรามีในขณะนั้น เช่น ท้องแรกเรารู้เท่านี้ ท้องคนที่สอง (ความรู้) ก็เพิ่มไปอีก คนที่สองนี่คลอดธรรมชาติและแบบโบราณเลย ไม่ขึ้นขาหยั่ง มีเชือก คุณหมอนั่งอยู่ไกลประมาณเรากับคุณตอนนี้ (ระยะห่างราวหนึ่งโต๊ะกินข้าว) ปกติการคลอดคุณหมอต้องอยู่ใกล้ๆ เราใช่ไหม? แต่นี่ไม่ คลอดแบบให้สามีภรรยาซัพพอร์ตกัน คุณหมอแค่ยืนดูความเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น

วินาทีที่คลอดน้อง วินาทีเป็นแม่ครั้งแรก วันนั้นเป็นอย่างไร

ตอบแล้วจะดูตลก การเป็นคุณแม่มันต้องมีโมเมนต์น้ำตาไหลหรือรู้สึกนู่นนั่นนี่ใช่ปะ? เราน้ำตาไหลนะ แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบในหนังอะ สำหรับตุ๊ก วินาทีนั้นเป็นวินาทีรับผิดชอบ “โอเคไหมคะคุณหมอ” “ครบ 32 ไหมคะ?” “แล้วต้องทำยังไงต่อคะคุณหมอ” “ต้องอาบน้ำกี่โมง” “หัดกี่โมง” “schedule มีอะไรที่ต้องฝึกบ้าง จะได้เข้าไปตรงตามสูตร” เราจะซีเรียสบ้าบออะไรแบบนี้ กลัวจะพลาดมากกว่าหรือเป็นคนตลกก็ไม่รู้นะ

คุณแม่หลายคนกลัวว่าอาจทำขั้นตอนแรกไม่ถูกต้องตามวิธีที่ควรทำ?

ถูก และเราเป็นเพอร์เฟ็คชันนิสต์ด้วย จนมาท้องสองที่ความเป็นเพอร์เฟ็คชันนิสต์ลดลง และรู้แล้วว่าถ้าเราอยู่ในกระบวนการธรรมชาติ ยังไงมันก็ต้องดีเลยไม่กังวล การคลอดลูกมันมีอันตรายจริง แต่สุดท้ายเราจะคลอดจนได้ เลยไม่ได้กังวลใดๆ เอาแค่เช็คว่าลูกกลับหัว มดลูกเปิดตามเวลา แสดงว่าเราอยู่ในกระบวนการธรรมชาติและเราไม่มีอะไรผิดปกติ อีกอย่าง เราโชคดีด้วยที่การคลอดไม่มีปัญหา บางคนน้ำคร่ำไม่แตก บางคนมดลูกเปิด/ท้องไม่บีบ หรือ ท้องบีบ/มดลูกไม่เปิด ของเราเป็นไปตามธรรมชาติ เลยเหมือนได้ทำอะไรตามที่คิดคือคลอดธรรมชาติและไม่มีตัวช่วย

มีความรู้สึกหวาดกลัวจากภายในไหม เช่น ต้องเลี้ยงเขาไปอีกกี่ปี? ลูกออกมาเป็นตัวเป็นตนจริงๆ แล้วนะ

รู้สึกถึงความเป็นแม่มากกว่า เพราะตอนท้องยังไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองจะเป็นแม่จนคลอดออกมา “สิ่งมีชีวิตนี้เป็นของเราเหรอ” มันมีนิดหนึ่งนะ ความรักตอนนั้นก็ยังไม่เต็มเปี่ยมร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ค่อยๆ เพิ่มทุกวินาที การดูแล โอบอุ้ม ประคบประหงมในช่วงแรก (แพมเพอร์) ดูแล เอาเขานอน เอาเขากินนม ความรู้สึกมันเกิดจากการที่มือเราสัมผัสเนื้อตัวเขา ได้จับ ได้พลิกเจ้าก้อนกลมๆ นี้นอนคว่ำ เหล่านี้มันคือการสร้างความรัก เลยรู้สึกว่าความรู้สึกรักมันเกิดจากการได้เลี้ยงดู

ขวบปีแรกของการเป็นแม่ ทำอะไรบ้าง

ทำเองทั้งหมด ไม่มีใครมาทำแทนได้อยู่แล้ว เลี้ยงลูกเองเต็มเวลา ดูให้เขาเติบโตขึ้นจาก 1 วัน เป็น 1 เดือน เป็น 1 ปี การเลี้ยงเด็กเล็กไม่มีรายละเอียดอะไรมากนอกจากทำให้เขา ‘หลับ อิ่ม ยิ้ม’ ยิ้มที่แปลว่ามีความสุขและอุ่นพอ

จริงๆ ตอนนั้นเหนื่อยและวิตก เช่น วันหนึ่งลูกนอน 10 โมง อีกวันนอน 10 โมง 15 เราโทรฯ หาพี่หนิง ศรัยฉัตร (ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา) ว่าได้ไหม? พี่หนิงบอก “บ้าปะ 15 นาทีเอง” คือเราไม่เข้าใจอะไรเลย คิดว่ามันต้องเหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนกันจะเป็นอะไรรึเปล่า แล้วต้องรีบถามด้วยนะ กลัว ต้องแก้ไขเร็ว กลัวว่าถ้าช้าจะเนิ่นนาน

แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้แม่นและช่วยได้เยอะคือ คำจากแม่ แม่พูดกับเราตอนน้องแพรวหนึ่งเดือนว่า “เลี้ยงลูกนะ ไม่ได้ประกวด เลี้ยงด้วยหัวใจ” ได้ยินแล้วหายเหนื่อยเลย

ถึงได้บอกว่าจริงๆ แล้วแค่ ‘อิ่ม นอนหลับ ยิ้ม’ แต่เราต้องรู้หน้าที่ของเราด้วยนะว่าเราต้องให้อาหารหรือแพมเพอร์เขาตรงตามเวลา สร้างจังหวะ (rhythm) ของเขาให้โอเคและปลอดภัย พร้อมจะตื่นมาทุกวันด้วยความรู้สึกเสถียร แค่นั้น

พ่อแม่อยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุดสำหรับลูก แต่บางทีก็กลัว เอาตัวเองไปเปรียบกับแม่คนอื่น?

ไม่เป็นเลย ดีใจที่ตัวเองไม่เป็น พอไม่เป็นก็เลยโชคดีที่ไม่ต้องปรับทัศนคติเรื่องนี้ เช่น เขาบอกว่าถ้าจะให้ลูกเรียนวอลดอร์ฟ พ่อแม่ต้องไม่ตื่นเต้นนะเวลาไปบ้านเพื่อนแล้วลูกคนอื่นอ่านหนังสือออก น้องภูมิที่เห็นวิ่งๆ อยู่นี่ยังอ่านไม่ได้นะคะ แต่เราไม่ได้รู้สึกอะไร คือเป็นธรรมชาติของเราจริงๆ ที่จะไม่ซีเรียสกับอะไร

บางครั้งเพื่อนเราเป็นนะ เช่น ไลน์มาในกรุ๊ปว่า “ทำยังไงดี มีเด็กมาแย่งของเล่นลูก อยากจะสอนให้ลูกเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่ก็ไม่อยากให้ใครเอาเปรียบในสังคมปัจจุบัน จะสอนลูกยังไงดี?” สิ่งที่เราคิด ณ วินาทีนั้นคือ “เรื่องเล็กมากเลย ให้เด็กเคลียร์กันเองดีไหม?”

หรือถ้าเจอคุณแม่ที่แบบ “หยุดเลยนะ อ่านหนังสือเดี๋ยวนี้” ชีวิตเขาเปลี่ยนเลยนะ “ตายละ จันทร์ถึงศุกร์ต้องกวดวิชา” จะบอกว่าความกลัวของเรา หนึ่ง-ลึกๆ แล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นความต้องการของตัวเองทั้งหมดรึเปล่า ก็ต้องแยกอีกว่า เป็นเพราะปมวัยเด็กรึเปล่า? บางคนค้นพบเลยว่าที่ให้ลูกเล่นเปียโนเพราะชั้นอยากเป็นนักเปียโน ตอนเด็กไม่มีโอกาส สอง-เดี๋ยวพอเข้าสมาคมกับกลุ่มคุณแม่แล้วจะได้พูดคุยได้ หรือ บางทีก็เพราะรักลูกนั่นแหละ แต่บางทีต้องมาเคลียร์ให้ชัดเจนว่าเพราะลูก หรือจริงๆ แล้วเพื่อเรา

ที่น้องภูมิ (ลูกชายคนเล็ก) ยังอ่านหนังสือไม่ออก ไม่ใช่เพราะคุณไม่ส่งให้เข้าโรงเรียน แต่เพราะเชื่อว่าอายุ 0-7 ปีเป็นช่วงวัยที่ต้องเล่น ยังไม่เรียน อยากให้ช่วยขยายความตรงนี้

ไม่ใช่ว่าเราไม่กลัวเองโดยอัตโนมัติ แต่มีทฤษฎีหนึ่งที่ช่วยให้คุณแม่หายกังวลไปได้เปลาะหนึ่ง เขายกตัวอย่างง่ายมาก เช่น ถ้ายังสร้างบ้านไม่เสร็จแล้วเข้ามาอยู่ เราก็อยู่ไม่ถนัด ช่างก็ทำงานไม่ถนัด อยู่ๆ ไปก็กลัวว่าปูนจะหล่น ตะปูจะหล่นใส่รึเปล่า เหมือนกับพัฒนาการร่างกายและสมองที่เด็กจะพร้อมสำหรับวิชาการหลัง 7 ขวบ ระหว่างนี้ให้เขาฟอร์มตัวไปก่อน ระหว่างที่ร่างกายและสมองกำลังฟอร์ม การที่เขาได้เห็นความงาม ความจริง ตามธรรมชาติ ได้กลิ่นหอมของดอกไม้จริง ได้เห็นช้างแบบจริงๆ ไม่ใช่จากสารคดีในทีวี จนประทับตราตรึงเข้าไปในสัญชาตญาณของเขา มันต่างกัน และมันจะเป็นส่วนที่ให้ทำให้ทุกอย่างเติบโตอย่างดีและมีความสุขด้วย

เป็นช่วงเวลาที่เขากำลังทำงานกับสุนทรียศาสตร์?

ในเวลาที่เหมาะสมด้วยนะ หลายอย่างจะมาสุนทรียะตอนนี้ก็ไม่เท่าขวบปีแรกในตอนที่สัญชาตญาณดิบหรือความเป็นเมาคลีของลูกเราสูงสุด การเห็นของเขาในเวลานี้มันจะประทับเข้าไปข้างในจิตวิญญาณหรือพลังงานอะไรสักอย่าง ซึ่งมันพร้อมจะขับเคลื่อนและเรียนรู้จริงๆ ในวันที่มันสมควร

ถ้าตามอินสตาแกรมของคุณจะเห็นว่าคุณพาลูกทำกิจกรรมหลากหลายมาก ทำนา ทำขนมปัง ทำขนม เย็บผ้า พูดได้ไหมว่าเป็นความตั้งใจอยากสร้างประสบการณ์จริงให้เขาในช่วง 10 ปีแรก

ออกตัวก่อนว่ามันไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด แต่เผอิญว่าครอบครัวสะดวกแบบนี้ และบอกตัวเองว่า รู้ทั้งรู้ว่าไม่ตามตำราก็จะหยวน ซึ่งพูดตรงๆ ก็คือ พ่อแม่อยากไปเที่ยวด้วย (ยิ้ม) จริงๆ 7 ปีแรกจะอยู่บ้านทุกวันก็ได้ เพียงแต่ทำทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ ตอนเราเด็กๆ มันไม่ได้มีกิจกรรม play group อะไรนะ แค่ตื่นมาอยู่กับแม่ แม่ทำกับข้าวเราช่วยล้างจานล้างกระทะ แม่ซักผ้า เราก็ตากผ้าเก็บผ้า กล้ามเนื้อมัดเล็กใหญ่ได้ใช้กับงานบ้านหมด ตอนเย็นถ้าพ่อแม่ไปนา เราได้อยู่กับความอิสระของธรรมชาติ พ่อแม่จะเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ใช้หูฟังดนตรีธรรมชาติที่ไม่ผ่านเครื่องแปลงเสียง หูอันมหัศจรรย์ของเด็กได้ฟังดนตรีสดๆ โดยไม่ผ่านเครื่องแปลงเสียง ได้ใช้ศักยภาพสูงสุดในเวลานั้นจริงๆ หรือการฟังพ่อแม่อ่านนิทานโดยเห็นภาพขึ้นมาในหัว อันนั้นไม่ใช่เหรอที่กระตุ้นจินตนาการของเขา?

ลองเล่านิทานให้กับเด็ก 5 คนฟังสิ แต่ละคนคิดไม่เหมือนกันสักคน และนั่นหมายความว่ามันไม่มีการกำจัดความคิดด้วยว่าเจ้าหญิงต้องใส่กระโปรงบานยาวสีฟ้าหรือสีชมพู ผมต้องเป็นสีทองลอนๆ นะ เพราะถูกเลี้ยงมาแบบนั้น

อยากให้พูดถึงกิจกรรมของน้องๆ ในการทำขนมปัง เย็บผ้าด้วยตัวเองในวัยนี้

ถ้าตามไอเดียเลย พี่ตุ๊กอยากให้ลูกเติบโตมาในครอบครัวที่ “คุณแม่ทำขนมปัง คุณพ่อเล่นดนตรี ทำงานไม้กัน” อยากให้มีแบบนั้นมากเลย แต่แม่ทำอะไรไม่เป็นไง แต่เรามีพันธมิตรช่วยพาเขาทำจากของจริง และมันไม่ใช่แค่ทำขนมปังเป็น แต่การที่ลูกได้ดูขนมปังค่อยๆ ฟูขึ้นมา หรืออย่างการเย็บผ้า คนจะชมว่าลูกเราเป็นดีไซเนอร์ เรายินดีที่เขารักลูกเรานะ แต่ว่ามายด์เซ็ตของเราไม่ได้มองว่าเขาเป็นดีไซเนอร์

มันไม่ใช่ความตั้งใจ (ให้เขาเป็นแบบนั้น) ไม่ใช่การกดปุ่ม แต่เข้าใจว่าเขาควรได้รู้ ต้องได้ทำบางอย่าง ต้องได้สัมผัส รู้รสความเหนื่อยตามวัย หรืออย่างเช่น เขาจะรู้ว่า ไม่ใช่กลับบ้านมาแล้วโยนกระเป๋าแล้วออกไปเล่น เธอควรจะมาดูว่าแม่บ้านทำอะไร เธอกินข้าวควรจะล้างจานเอง แม่บ้านจะได้ไปพักบ้าง หรือควรจะรู้ว่า กลับมาบ้านแล้วรีบทำงานบ้านให้เสร็จนะ ถ้าช้า ทำไม่ทันเธอก็จะไม่ได้เล่น ห้าโมงออกไปเล่น หกโมงกลับมากินข้าวและเผื่อเวลาล้างจาน ถ้าล้างจานช้า นิทานก่อนนอนจะไม่ได้อ่าน คือให้เขาคิด วางแผน ไม่โอ้เอ้

เป็นคนชัดเจนเรื่องเวลา?

firm but kind – firm ชัดเจนให้เขารู้ว่าอะไรทำได้/ไม่ได้ แต่ก็ kind ถ่ายทอดทุกอย่างด้วยความอ่อนโยน ตุ๊กก็ทำไม่ได้ตลอดนะ มีเหนื่อย มีอึดอัด มีอารมณ์ แต่ก็ควบคุมให้ได้มากที่สุด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องเติบโตไปพร้อมกับเขาทุกวัน

เพื่อให้เขาได้แบบอย่างที่ดีเท่าที่เขาจะหาได้ในชีวิต เราคงไม่ได้ดีทั้งหมด แต่ดีที่สุดเท่าที่เราจะพัฒนาตัวเองทัน

เคยมีโมเมนต์ที่เหนื่อยมากๆ ไหม จัดการตัวเองอย่างไร

ไม่มีโมเมนต์ที่ไม่ไหว มนุษย์มีขีดจำกัดความอดทนได้มากกว่าที่คิดนะ มีแต่โมโหมากๆ แต่จัดการได้ ใช้หลายวิธีเลย อย่างตอนนี้น้องแพรวเป็นวัยรูบิคอน (Rubicon) หรือเป็นวัยแห่งความรู้สึก เราจะพูดความรู้สึกกับเขาตรงๆ เลย เช่น “แพรวทำแบบนี้ แม่เสียใจมากเลย” แต่ถ้าพูดแบบนี้กับภูมิ ภูมิยังไม่เข้าใจนะ

พูดตรงๆ กับลูกได้ ไม่อ้อมค้อม ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นแม่ที่ไม่ดี

พูดเลย “ทำแบบนี้แม่รู้สึกแย่นะ แม่อายที่ลูกพูดกับเพื่อนแม่แบบนั้น” บางทีคุณแม่กลัวว่าตัวเองจะเป็นแม่ที่ดุ กลัวเป็นแม่ใจร้าย ก็กลับไปที่เรื่องความกลัวสารพัด บางทีอ้อมค้อมจนลูกจับประเด็นไม่ได้ ตกลงแม่จะพูดอะไร?

แต่พูดในทาง positive นะคะ ไม่ใช่ด่าว่า แบบ “เสียใจจริงๆ เลยที่มีลูกอย่างแก” “ทำไมดื้ออย่างนี้” ไม่พูด แค่พูดความรู้สึกของเรา หรือ (เน้นเสียง) ดูที่กาละเทศะด้วยหรือเวลาอันเหมาะสมด้วย เช่น ตอนนั้นฝนมันตก แล้วแพรวกำลังเล่นโรลเลอร์เบลด เราบอกว่า “มันลื่นนะ” อีกไม่ถึงหนึ่งนาทีแพรวล้มเลย แล้วเขาพูดว่า “รู้งี้เชื่อแม่ก็ดี” เราไม่พูดอะไรต่อ เอาแค่นี้ pause ไว้ บางคนอาจบอก “นี่ ชั้นบอกเธอแล้ว” อย่างนี้พังเลย

ต้องมีจิตวิทยากับเขา?

บางอย่างเป็นเซนส์ของการเป็นแม่นะ ณ เวลานั้นแค่รู้สึกว่าเราจะเงียบ ให้ความเงียบเล่าเรื่อง เราอาจพูดคำอื่นก็ได้ที่เป็นการซ้ำเติม เช่น “ใช่ไหมลูก เห็นไหม ทีหลังเอาใหม่นะคะ” พูดแบบนี้ก็ได้ แต่เราเลือกจะไม่พูด การไม่พูด ณ เวลานั้นและในเหตุการณ์นั้น มันประทับลงไปลึกกว่า เพราะเขากำลังย่อยความรู้สึกของเขา แต่ในใจเราคือ “เห็นไหมล่ะ” (หัวเราะ)

บางคนบอก จะทำยังไงให้เขาเป็นคนแบบนี้ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ดูว่าตัวเองต้องปรับปรุงให้เป็นคนยังไง เพราะเขาจะเป็นทุกอย่างแบบที่เราเป็น บางทีหันไป กำลังจะอ้าปากว่าแต่ยังไม่ได้พูด แค่คิดในใจว่า “ทำแบบนี้นิสัยไม่ดีเลย” แต่นั่นมันนิสัยชั้นเลย คือตัวเองทุกอย่าง

อยากเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อไม่ต้องสอนเขา

สอนไม่ได้ด้วย เพราะเด็กในวัยนี้ เขาทำตามแบบอย่างอยู่แล้ว การปากเปียกปากแฉะสอนลูกในช่วง 7 หรือ 10 ปีแรก เสียเวลานะ ลูกจะเป็นอย่างที่คุณเป็น การเป็นแบบอย่างให้ลูกเรื่องหนึ่ง แต่เขาก็จะเป็นตัวเขาเองด้วย เขาจะย่อยสิ่งที่รับฟังหรือเรียนรู้จากคนอื่นมาอีกทีหนึ่ง เลยรู้สึกว่า ตัวเองจะเครียดไปรึเปล่า? เราเองก็งดงามขึ้นและทำเท่าที่ทำได้

ตุ๊ก ชนกวนัน ทำทุกอย่างให้ปกติสุข ถ้าเรามั่นคง ลูกก็โอเค

เดือนมีนาคม ถึงพฤษภาคม The Potential ตั้งใจทำประเด็นเรื่องจิตวิทยาครอบครัว หนึ่งในนั้นคือบทบาทการเป็นแม่ มายาคติการเป็นแม่ สำหรับคุณ… มีเรื่องไหนไหมที่คิดว่าคือมายาคติการเป็นแม่ เรื่องที่คนคาดหวังว่าคนเป็นแม่ต้องทำ แต่คุณรู้สึกว่าทำไม่ได้?

แม่คือมนุษย์คนหนึ่ง ลูกไม่ได้ขอมาเกิด เขาเกิดเพราะเราทำ ก็ต้อง on duty ถามว่าเสียสละไหม? ก็ต้องเสียสละนั่นแหละ เป็นแม่แล้วก็ต้องเป็นตลอดด้วย ลาออกไม่ได้ เราทำได้หมดถ้าเราอยากทำ แต่บางอย่างไม่จำเป็นต้องทำ

เช่น เตะฟุตบอลกับลูก ไม่ชอบก็ไม่เตะ และไม่คิดว่าตัวเองผิดด้วย ให้เขารอวันที่เจอพ่อแล้วก็เตะ บางคนคิดว่าซิงเกิลมัมต้องทำได้ทุกอย่าง ถ้าให้เตะฟุตบอลกับลูกจริงๆ ก็ทำได้ เช่น ถ้าไม่ทำแล้วลูกจะไม่หายจากโรคร้าย คือถ้าต้องเล่นก็เล่นได้ แต่มันไม่จำเป็น

นี่อาจเป็นหนึ่งในมายาคติซิงเกิลมัม คนชอบคิดว่าแม่เลี้ยงเดี่ยวต้องเหนื่อยยาก และต้องทำได้ทุกอย่าง

เหนื่อยแน่นอนแต่มันไม่ถึงกับชีวิต ซิงเกิลมัมผ่านแต่ละวันไปได้ยากกว่าคนที่มีสามี การรู้ว่ามีใครข้างๆ คอยซัพพอร์ตเราทางใจมันแตกต่างกันอยู่แล้ว แต่มันไม่มีอะ อย่าเปรียบเทียบ เพราะตอนนี้มีทางเลือกเดียว เราเปรียบเล่นๆ แต่มันไม่เป็นจริง แค่ไหนแค่นั้น ยอมรับเท่าที่ได้

สิ่งที่ยากของการเป็นซิงเกิลมัม มีอะไรบ้าง

อาจเริ่มเล่าว่า เพราะคุณพ่อแต่งงานหลายครั้ง หย่ากับคุณแม่ตอนตุ๊ก 6 ขวบ คิดมาตลอดว่าจะไม่ให้ลูกเป็นแบบเรา วันแรกที่เกิดเรื่องนี้รู้สึกว่า “เฮ้ย นี่เป็นอย่างเดียวที่ไม่อยากให้เกิด ไม่เอา ไม่เอาแบบตัวเอง” แต่ใช้เวลาคิดกี่นาทีไม่รู้ แล้วก็ “ช่างมันเหอะ” มันแค่เสียดายว่าไม่อยากให้เกิด อยากให้ลูกมีครอบครัวสมบูรณ์ อยากให้มีพ่อแม่ลูกน่ารักกุ๊กกิ๊กเหมือนในละคร แต่พอมันไม่ได้ก็แค่ทำใจ ไม่ได้ทำใจได้ด้วย (พูดเร็ว) แต่ตัดความรู้สึกนั้นแล้วโยนทิ้งทะเลไป ไม่อย่างนั้นเราจะย้ำคิดย้ำทำบ้าบออยู่ในหัวอยู่นั่นแหละ

แต่คนส่วนใหญ่กลัวว่าลูกจะขาด

ขาดก็ขาด เขาก็จะเป็นมนุษย์ที่ขาดเรื่องนี้ไป มันเป็นรูปธรรม จะมาเถียงว่า “เลี้ยงให้สมบูรณ์ เท่าคนที่มีพ่อ” ยอมรับเลยว่าไม่ใช่ เพียงแต่ว่า… อะไรที่ทำได้ก็ทำ ไม่ใช่ว่าขาดแล้วไปบ้าบออีก นึกออกปะ? ทำในสิ่งที่ทำได้

เราเข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับสรรพสิ่งในโลก ไม่ได้เกิดความสงสัยหรือตีโพยตีพายว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดกับฉัน พี่บ๊วยก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เราต้องเคารพการตัดสินใจ แค่ทำให้ดีที่สุด ไม่งั้นก็จะอิหลักอิเหลื่ออยู่อย่างนี้ fresh up ตัวเองขึ้นมาแล้วเดินทางใหม่

ในการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ หลายคนใช้ลูกเป็นเครื่องต่อรองความรัก

คำถามนี้อาจจะได้ประโยชน์ถ้าถามหลายๆ คน ตุ๊กตอบได้แค่ความจริงของตัวเอง ซึ่งมันไม่มีใครเหมือนกัน อันดับแรก พี่เอาลูกเป็นเซ็นเตอร์ที่ไม่อยากให้เขามีความเกลียดชังในหัวใจ เพราะมันจะเกิดกับเขาอยู่แล้วในเรื่องอื่น ซึ่งมันเป็นเรื่องของเขาในอนาคต แต่ในเมื่อเรื่องนี้เราเลือกได้และเราไม่ใส่ความเกลียดชังกับเขา ให้เขาเติบโตมาด้วยความรัก และเราแฮปปี้ด้วยว่าเราทำสำเร็จแล้ว เพราะเด็กๆ ติดพี่บ๊วยมาก นั่นแสดงว่าแม้แต่พลังงานของเราที่แผ่ออกไปมันไม่มีความเกลียดชัง เขาจะเติบโตมากับความรัก ยังอยู่ในวัยที่ควรได้รับความรัก เขามีสิทธิ์ได้รับความรักจากพ่อเชา จากคุณปู่คุณย่า ให้เขารับไป

สื่อสารกับลูกอย่างไรท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลง

ไม่รู้ว่าทำถูกรึเปล่านะคะ แต่ใช้วิธีนี้… ตอนนั้นเขาเล็กมาก น้องภูมิเพิ่งเกิด แพรวเพิ่งสามขวบ เด็กวัยนั้น เขาไม่น่าจะเข้าใจการสื่อสารแบบลายลักษณ์อักษร แต่เข้าใจว่านี่ (ความจริงในครอบครัวแบบนี้) คือโลกของเขา เราแค่ทำทุกอย่างให้เป็นปกติ จนเขาโต เริ่มเห็น เริ่มตื่นจากตัวเองและเห็นคนรอบข้าง เห็นว่าบ้านเราไม่เหมือนคนอื่น พ่อแม่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แค่นั้น เขาก็เห็นและเข้าใจ

แต่ก่อนหน้านั้นไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจนะ เราไม่ได้หลอกเขา ไม่ได้บอกว่า ‘แดดดี้ทำงานและไปนอนบ้านอื่น’ ไม่มี ทุกอย่างเป็นความจริง แต่เป็นความจริงที่ละมุนละม่อม และใช้ชีวิตทุกวันแบบ positive ไม่มีพลังงานของความเกลียดชัง

ไม่ใช่แบบ ‘ก็เขาไม่อยู่หนิ แยกบ้าน’ ไม่… อยู่คนละบ้านก็คืออยู่คนละบ้าน และแม่ก็ดู ‘ปกติสุข’ ไม่ใช่มีความสุขนะ แต่มันมีแค่นี้และมีความสุข ไม่ใช่ตื่นมาแล้วเราจะแบบ “เฮ้อ ถ้าเรามีแดดดี้ก็จะมีคนเปลี่ยนไฟให้’ ไม่ไง เปลี่ยนไม่เป็นก็เรียกช่างมาเปลี่ยน เขาจะไม่ฝันลอยแพว่านี่คือสุขที่สุดในโลก แต่มีความสุขแบบนี้ตามอัตภาพ เวลาแดดดี้มา… เขามีความสุขขึ้นแน่นอน แต่ไม่ได้บอกว่านี่คือสุขที่สุด แค่มีความสุขกว่าเดิม

มีโมเมนต์ที่รู้สึกว่ายากลำบากในการอธิบายเรื่องความสัมพันธ์กับลูกไหม

ไม่นานมานี้ตุ๊กบอกเขาด้วยความรู้เท่าที่มี คิดว่าคงต้องบอกเขานิดหนึ่ง แต่รู้เลยว่าตัดสินใจผิดเพราะบอกไปเขาก็ไม่เข้าใจ เขาเห็นว่าทุกอย่างเป็นแบบนี้ ปกติแบบนี้ก็พอแล้ว แต่แค่เข้าใจเพิ่มขึ้น หรือ เขาเริ่มสังเกตว่ามีเพื่อนที่เหมือนเขา เริ่มเห็นว่ามีเพื่อนที่ครอบครัวสมบูรณ์ และมีเพื่อนที่เหมือนเขาเลย เขาพูดด้วยความเศร้า มันเป็นวินาทีที่เศร้าแต่เขาก็ต้องเข้าใจ และเขาจะค่อยเข้าใจโลกใบนี้ขึ้นเรื่อยๆ

วันที่ลูกตั้งคำถาม คงเกิดความรู้สึกกับเราหลากหลาย ตอบคำถามและคลี่คลายความรู้สึกภายในตัวเองอย่างไร

รู้สึกมากเลย มีวันหนึ่งที่เขาถาม วันนั้นพี่ตุ๊กอยู่หลังพวงมาลัยรถ เขาบอกว่า “วันนี้เพื่อนหนูมาบอกว่าเราก็ขาดเหมือนกัน” ตุ๊กร้องไห้เลย แต่เขาไม่เห็นเพราะเขานั่งอยู่เบาะหลัง พอเขาไม่เห็นเรา มันก็เลยไม่ซับซ้อนว่าเราต้องทำหน้ายังไง แต่รู้สึกว่า “เฮ้ย ต้องตอบยังไงนะ”

สมองทำงานแรงมาก คิดหลายอย่างว่า เขาแค่จำคำมาพูดว่าขาด หรือเข้าใจว่าเขาขาด หรือแค่เพื่อนคนนั้นผ่านประสบการณ์ 1 2 3 4 มาคุยกับเขา แล้วเขาหยิบเอาคำนั้นมาสื่อสารกับเราว่า “เราก็ขาดเหมือนกัน” มันเป็นแค่ ขาด ‘ข-า-ด’ (สะกด) อาจไม่ได้เข้าใจความหมาย ในขณะที่เราประมวลผลในสมองว่าต้องตอบยังไงๆ เราก็หันไปถามเขาว่า “แล้วหนูว่ายังไงลูก” เขาตอบว่า “จำไม่ได้แล้ว” และก็เปลี่ยนเรื่อง เราไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนเรื่องเพราะลึกๆ เขาเฉไฉ หรือไม่ได้คิดอะไรจริงๆ หรือเปล่า แต่เท่าที่คุยกับหมอ หมอบอกว่าเขาไม่ลึกเท่าเราแน่นอน อาจเป็นประสบการณ์ที่เขาได้รับมาวันนั้น รู้เยอะรู้น้อยแต่ก็ได้รับๆ มา

หน้าที่เรา พื้นฐานที่สุดแค่ ‘everything will be ok’ ถ้าเราโอเค เขาก็โอเค เราไม่ได้ตื่นเต้นบ้าบอ แบบ ‘ไม่นะลูก ชีวิตลูกไม่ขาด’ หรือ ‘โอเคนะลูก แม่รักลูกก็พอ’ และมันไม่ใช่การเพิกเฉย เราแค่ ‘เออ… เรื่องนี้หนูว่ายังไง’ หรือบางทีก็ต้องเงียบ หรือบางทีแค่ ‘ถ้าลูกรู้สึกยังไง บอกแม่นะ’ ‘หนูอยากให้แม่ช่วยอะไรไหม’ ‘ถ้าอยากได้อะไรบอกแม่นะ แม่อยู่ตรงนี้นะ แม่พร้อมเสมอ’ อะไรก็ได้ที่เหมาะกับสถานการณ์นั้น ให้เขารู้ว่าเรามั่นคง ถ้าเขารู้ว่าเราผ่านได้ เขาก็พร้อมจะผ่าน

ทุกคนบอกว่าคุณคือคุณแม่สายสตรอง คิดแบบนั้นไหม?

มีคนบอกตั้งแต่วันแรกว่าเราเข้มแข็ง จน (ตอนนั้น) คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่พอเวลาผ่านไปแล้วเราเข้มแข็งขึ้นมาจริงๆ มองย้อนกลับไปวันแรกๆ เราไม่ได้เข้มแข็งเลย เหนื่อยนะ บางทีเพื่อนมาปรึกษา อยากฆ่าตัวตาย ซึมเศร้า นอนไม่หลับ เราไม่เคยมีโมเมนต์นั้นเลย รักในคุณสมบัติการหลับง่ายของตัวเอง ตอนที่เกิดปัญหา กินไม่ได้อยู่สิบวัน เฮ้ย… น้ำหนักลด พอกินได้ก็คิดว่า เอ๊ะ น่าจะลดอีกสักห้าโลนะ (หัวเราะ)

รักตัวเองรึเปล่าไม่รู้ แต่ยังหายใจได้ กินอิ่ม นอนหลับ สัญญาณชีพโอเค เท่านี้ก็ couldn’t ask for more จะขออะไรไปมากกว่านี้?

Tags:

ชนกวนัน รักชีพจิตวิทยามายาคติการเป็นแม่พ่อ

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ต้องเป็นแม่ที่มีความสุขที่สุดถึงจะเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้ BY ‘ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก’

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เอกชัย กล่อมเจริญ: คุณพ่อช่างไม้ เลี้ยงเดี่ยว พาลูกเที่ยวและสอนให้ลงมือทำ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เกรียงไกร นิตรานนท์: คุณพ่อผู้ลาออกจากงานเพื่อเป็น FULL TIME DADDY

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    พ่อก็คือแม่ แม่ก็คือพ่อ อย่าเชื่อว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่ได้

    เรื่องและภาพ KHAE

  • Family Psychology
    โละ 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับพ่อทิ้งไป อย่าให้พ่ออยู่นอกสายตา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’
Early childhood
19 March 2019

KIND BUT FIRM พ่อแม่ไม่ต้องดุด่าแต่ว่า ‘เอาจริง’

เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

เคยไหม…เจอปัญหาลูกติดเกม ติดโทรศัพท์ พอบอกให้เลิกเล่น ลูกก็เอาแต่พูดว่า ‘เดี๋ยวก่อนๆๆ’

เหตุการณ์เช่นนี้ อาจทำให้พ่อแม่รู้สึกโมโห ไม่พอใจ หงุดหงิด จนแสดงออกต่อลูกอย่างเกรี้ยวกราด ดุด่าลูก สั่งห้ามลูก สารพัดการแสดงออกอย่างหัวร้อน!

‘เมื่อดุลูก-ลูกกลัว-ยอมทำตามคำสั่ง’ แต่นั่นไม่ใช่การสร้างวินัยที่ยั่งยืน

Kind but firm คือเทคนิคฝึกวินัยเชิงบวก พ่อแม่ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน-ไม่ใช่แค่ขู่แต่ต้องเอาจริง

ผลลัพธ์ทั้งหมดทั้งมวลจะช่วยลดแรงปะทะ ลดความเครียด หลีกหนีความประสาทเสียให้พ่อแม่ และทำให้ลูกจะมี self control หรือการควบคุมตัวเองดีขึ้น

อ่านบทความวินัยเชิงบวกฉบับเต็มได้ ที่นี่

Tags:

ปฐมวัยวินัยเชิงบวกพัฒนาการทางอารมณ์พ่อแม่

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

BONALISA SMILE

Related Posts

  • Early childhoodEF (executive function)
    “อุ้มหนูหน่อย” = ลูกกำลังเสียเซลฟ์ พ่อแม่สร้างตัวตนให้ลูกได้ผ่านการเลี้ยงดู

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhoodBook
    THE HAPPIEST KIDS IN THE WORLD: อิสรภาพจากการได้เล่นอิสระ เคล็ดลับเด็กดัตช์แฮปปี้สุดๆ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • EF (executive function)
    ปนัดดา ธนเศรษฐกร: เลี้ยงลูกถึงใจ ด้วยวินัยเชิงบวก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

  • Early childhood
    ปล่อยให้ลูก โกรธ เศร้า เหงา กลัว เขาจะได้เติบโตทั้งตัวและหัวใจ

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

3 นักนวัตกรรมบนเวที THAILAND IT CONTEST FESTIVAL กับประสบการณ์ ‘เวที’ สร้างคนได้อย่างไร?
Creative learning
18 March 2019

3 นักนวัตกรรมบนเวที THAILAND IT CONTEST FESTIVAL กับประสบการณ์ ‘เวที’ สร้างคนได้อย่างไร?

เรื่อง

  • งานแถลงข่าวจัดงาน มหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 18 ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อดีตผู้เข้าร่วมประกวด 3 ท่านขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ บอกเล่าที่มาที่ไปกว่าจะเป็นพวกเขาในวันนี้
  • อัจฉริยะ ดาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท AIYA บริษัท Start up ผู้บุกเบิกเทคโนโลยี AI, ดร.รณพีร์ ชัยเชาวรัตน์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ภูมินทร์ ประกอบแสง ครูประจำสาขาวิชาไฟฟ้า วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ คือวิทยากร 3 คนบนเวที
  • ทั้งสามคนนี้ จะตอบคำถามที่ว่า ‘เวทีประกวดช่วยสร้างคนได้อย่างไร’ ได้ชัดเจน  
เรื่อง: รัตนภรณ์ แผลงชีพ
ภาพ: NECTEC

โอกาสที่เด็กคนหนึ่งได้รับ อาจเป็นประตูเริ่มต้นของการเดินทาง ได้ค้นพบโลกใบใหม่ และหนึ่งในโอกาสของเด็กสายไอที คือเวทีแข่งขัน มหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย (Thailand IT Contest Festival) ครั้งที่ 18 ประกอบด้วย การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย (NSC), การประกวดโครงงานของนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ (YSC) และ การประกวดวงจรอิเล็กทรอนิกส์รุ่นเยาว์ (YECC)

สนามประลองวิชาเหล่านี้ เปิดโอกาสให้เยาวชนทั่วประเทศได้มาปล่อยแสง สร้างโอกาส และสร้างคนมาแล้วมากมาย

ยืนยันได้จาก อดีตผู้เข้าร่วมประกวด 3 คน คือ อัจฉริยะ ดาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท AIYA บริษัท Start up ผู้บุกเบิกเทคโนโลยี AI, ดร.รณพีร์ ชัยเชาวรัตน์ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ภูมินทร์ ประกอบแสง ครูประจำสาขาวิชาไฟฟ้า วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ

ทั้งสามมาแชร์เรื่องราวของตัวเองและตอบคำถามนี้เอาไว้ในงานแถลงข่าวจัดงานมหกรรมประกวดเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา

เมื่อฟังจบ อาจกลับไปตอบคำถามข้างต้น และอาจเป็นแรงบันดาลใจของใครหลายคน รวมทั้งอาจมีหน่วยงานผู้เกี่ยวข้อง อยากสร้างพื้นที่ สร้างสนามประลองความรู้เพื่อสร้างคนคุณภาพให้กับประเทศ โดยเฉพาะโลกในยุค disruptive ต่อไป

อัจฉริยะ ดาโรจน์: สร้างตัวจากการแข่งขัน

“ผมชอบเขียนโปรแกรมมาก ชอบการแก้ปัญหา ถ้าโจทย์ไหนแก้ปัญหาด้วยสมองไม่ได้ ก็จะเขียนโปรแกรมขึ้นเพื่อแก้ปัญหามัน ถึงจุดหนึ่ง รู้สึกว่าผลงานเราก็น่าจะมีคนชอบ เลยเอาไปเอาประกวด

“ผมเคยเข้าประกวด NSC 2 ครั้ง ครั้งแรกตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 ผมร่วมกับเพื่อนๆ ทำโปรแกรมเครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อเพื่อคนพิการ แต่ไปได้แค่เข้ารอบชิงชนะเลิศหัวข้อเครื่องมือทางการแพทย์ พอถึงปี 4 ผมไม่ยอมแพ้ลองดูใหม่ คราวนี้เป็นโปรเจ็คท์จบของผมเอง สาขาคนพิการอีกเหมือนเดิม ชื่อโปรแกรมอิเล็กทรอนิกส์อ่านออกเสียงและส่งสัญญาณได้ด้วยเสียง เป็นผลงานที่ผมได้รับรางวัลรองชนะเลิศในโครงการ NSC ซึ่งผมภูมิใจมาก” 

นี่คือจุดเริ่มต้นการสร้างตัวของอัจริยะเมื่อ 15 ปีที่แล้ว

หลังจากนั้น ประสบการณ์เคยทำโปรแกรมดิกชันนารีอ่านออกเสียงฯ ก็ถูกดึงมาใช้อย่างถูกที่และถูกเวลา

“หลังเรียนจบผมได้ทำงานกับบริษัทซับคอนแทรคของ Nokia ตำแหน่งโปรแกรมเมอร์สเปเชียลลิสต์ ได้ร่วมงานกับคนฟินแลนด์ทำซอฟแวร์ชื่อ อีซี่ไทย เพราะมือถือ Nokia ไม่มีภาษาไทย จึงต้องติดซอฟต์แวร์ตัวนี้ จึงเป็นการใช้ความรู้ครั้งที่ผมทำดิกชันนารีอ่านออกเสียงที่มีแต่ภาษาไทยล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นการสังเคราะห์เสียง การเปลี่ยนเสียงให้กลายเป็น Text”

ด้วยความฝันที่อยากจะมีบริษัทเป็นของตัวเองก่อนอายุ 25 อัจฉริยะออกมาเปิดบริษัทของตัวเองในปี 2550 บวกกับผลงานดิกชันนารีที่เคยประกวด NSC ถูกเชิญไปจัดแสดง หนึ่งคำถามจากผู้ชมครั้งนั้นถามเขาว่า

“คุณทำซอฟแวร์แปลดิกชันนารีโดยไม่ต้องพิมพ์ได้ไหม?”

นี่คือแรงบันดาลที่อยากจะต่อยอดงานชิ้นนั้นขึ้นไปอีก หลังจากนั้น 1 ปี บริษัทคลอดลูกคนแรกในชื่อ MegaDict ซอฟต์แวร์ Dictionary ที่ใช้ง่ายและอ่านออกเสียงได้ด้วย แถมยังได้รางวัลชนะเลิศ Thailand ICT Awards 2008 หมวด Education and Training

“ผมเอาผลงานที่เคยส่ง NSC แล้วมาต่อยอดขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นผลงาน MegaDict สมัยนั้นขายเป็นซีดีวางขายตามพันทิป หรือออกบูธตามงานหนังสือต่างๆ ยอดขายกว่า 50,000 ก็อบปี้ ปีนั้นผมตั้งตัวได้จากผลงานที่ผมต่อยอดมาเรื่อยๆ”

ต่อมาในปี 2556 อัจฉริยะสร้างซอฟต์แวร์ในชื่อ Keng Thai เป็น Mobile Software โปรแกรมเขียนตัวอักษรภาษาไทย ลากตัวอักษรแข่งกับเพื่อนแล้วแชร์ในเฟสบุ๊คได้ ปัจจุบันยังเปิดให้ดาวน์โหลดในแอปสโตร์ มียอดดาวน์โหลดกว่าล้านดาวน์โหลด

เมื่อ 2 ปีที่แล้วอัจฉริยะก่อตั้งอีกหนึ่งบริษัทสตาร์ทอัพขึ้นมา 

“ผมทำซอฟต์แวร์ด้านการศึกษามาเป็นสิบปีก็รู้สึกเหนื่อย เลยทำธุรกิจเกี่ยวกับ Co-working Space ที่ขอนแก่นด้วย ทำไปทำมาก็เห็นว่าตัวเองก็บ่มเพาะสตาร์ทอัพอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่ทำไมต่างจังหวัดไม่มีสตาร์ทอัพที่เจ๋งๆ สักที เราเองก็อยู่ในวงการธุรกิจเทคโนโลยีมา อยากจะทำเองแต่ก็รู้สึกเหนื่อย แต่ก็ต้องตัดใจแล้วลองมาทำอีกสักครั้งหนึ่ง ก็เลยเกิดสตาร์ทอัพชื่อว่า AIYA

“ผมเอาสิ่งที่ผมเคยทำมาไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมตัดคำ เน้นหนักเรื่องการทำ Machine Learning, NLP, AI ที่เขาบอกกันว่า AI มันจะมาเนี่ยทำยังไงให้เอา AI มาใช้ได้ เรารู้ว่าเทคโนโลยีมันดีแต่ในโลกความเป็นจริง เราจะเอามันมาใช้ยังไง”

ความสำเร็จที่ได้มาคงไม่ใช่เพียงแค่ความบังเอิญ หรือโอกาสที่ผู้ใหญ่เปิดพื้นที่เพียงอย่างเดียว

“จริงๆ การประกวดมันก็ไม่ได้ง่าย สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือเราจะต้องทุ่มเวลาในการพัฒนาผลงาน ความยากในการพัฒนาคือส่วนหนึ่ง แต่นอกจากนั้นคือความยากในการนำเสนอ คุณจะต้องนำเสนอให้ผลงานนั้นมีคุณค่า และตอบโจทย์”

“ทุกอย่างที่เกิดขั้น มันมาสั่งสมจากความพยายาม NSC เป็นเวทีเดียวที่ทำให้รู้ว่าจริงๆ ผมมีศักยภาพแค่ขนาดไหน รู้ว่าเราอยู่ระดับไหน” เด็กที่เข้ามาประกวดผ่านความพยายามและอดทนมาก กว่าจะแก้แต่ละตัว กว่าที่โปรแกรมจะออกมาได้ ไม่ใช่อยู่ๆ เขียนเสร็จมันก็ทำงานออกมาได้เลย มันต้องทดลอง ถ้าเขียนโปรแกรมผิดมันก็จะ error แล้วก็ต้องหาจุดที่ผิดว่ามัน error ตรงไหน บางทีแก้ตรงนี้แล้วก็ยังไป error ตรงอื่นอีก แก้ไปแก้มาแก้ไปแก้มาอยู่อย่างนี้เป็นพันๆ หมื่นๆ รอบ นี่คือคนที่ผ่านเวที NSC”

ดร.รณพีร์ ชัยเชาวรัตน์: ทำมาแล้วจะเอาไปช่วยใคร?

สำหรับ รณพีร์ เมื่อครั้งยังเป็นเด็กมัธยมปลายสายวิทย์-คณิต และสนใจงานวิชาการ เขามีโอกาสเห็นรุ่นพี่เข้าร่วมโครงการ YSC มาบ้าง จนกระทั่งอยู่ ม.6 ปีสุดท้ายจึงมีสิทธิ์เข้าแข่งขัน

“ตอนนั้นเราชอบวิชาฟิสิกส์และเรียนจนแตกฉาน แต่มาเข้าใจภายหลังว่าจริงๆ แล้วในประเทศไทย Pure Science เป็นสิ่งสำคัญ แต่เทคโนโลยีก็สำคัญเช่นเดียวกัน อธิบายก่อนว่า จุดอ่อนระบบการศึกษาบ้านเรา ถ้าเป็นสายสามัญก็จะเรียนแต่วิชาการ สายอาชีพก็จะศึกษาเฉพาะเทคโนโลยี แต่มันยังไม่มีเด็กที่เอาสองอย่างนี้มารวมกัน ตัวเราเองก็รู้ว่าขาดสกิลช่างและการสร้าง

“ตอนนั้นอยู่ ม.6 อยากชนะการประกวด เลยรู้สึกว่าต้องทำอะไรที่มันเป็น engineer สักหน่อย ถ้าเป็นงาน pure science หรือเอาแต่ทฤษฎีฟิสิกส์มาแข่งยังไงก็ไม่ชนะ เราเองอยากเข้าคณะวิศวกรรม แต่ไม่เคยเขียนโปรแกรมหรือมีพื้นฐานด้านวิศวกรรมอะไรเลย การสมัคร YSC ทำให้มีเวลาทำผลงานส่งภายใน 3-6 เดือน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ได้ส่งผลงานด้วย แล้วได้เขียนโปรแกรมเป็นด้วย”

เริ่มต้นอย่างไร? – หลายคนอาจสังสัย

“หาโจทย์ง่ายๆ อย่างการดูรถเมล์วิ่งรอบอนุสาวรีย์ชัยฯ ความรู้เดิมของเราคือ เวลารถวิ่ง โค้งล้อซ้ายล้อขวาจะวิ่งเร็วไม่เท่ากัน ก็เลยหยิบปากกาขึ้นมาเขียนว่าเราจะทำอะไรได้จากความเร็วที่ต่างกัน ลองแก้สมการ คำนวณหารัศมีวงกลมได้จากระยะทางที่ล้อ 2 ข้างวิ่ง นี่เป็นพื้นฐานคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ แต่ยังไม่มีส่วนของ engineer ตอนนั้นเราเขียนโปรแกรมไม่เป็นเลย สมัยนั้นไมโครคอนโทรลเลอร์เป็นเรื่องที่ไกลตัวมากสำหรับเรา

“จากนั้นนั่งรถเมล์มาจากศาลายามาบ้านหม้อเพื่อมาถามว่าถ้าผมจะเริ่มเขียนโปรแกรมผมควรทำยังไงครับ? ซื้อของแบบนี้ต้องไปร้านไหน  ไปถามร้านหนังสือว่าควรอ่านเล่มไหน เขาก็ใจดีแนะนำเรา เราก็เอาหนังสือไปลองอ่านลองเขียนโปรแกรม สุดท้ายเราก็ชอบ ได้ผลงานทั้งส่วนที่เป็นทฤษฎี ส่วนที่เขียนโปรแกรม ได้สกิลการต่อวงจรที่ต้องใช้รองรับ และได้สกิล engineer เป็นของแถม”

ผลงานที่ได้จากความรู้ด้านวิชาการ ผสมผสานกับการเขียนโปรแกรม ได้รับรางวัลชนะเลิศ YSC ปี 2008 เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขัน Intel  ISEF ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา นับเป็นก้าวแรกที่ทำให้ ดร.รณพีร์ ได้เอาความสามารถของตัวเองมาสร้างคุณค่าให้กับคนอื่น

“ผมก็เหมือนเด็กทั่วไปที่อยากทำอะไรก็ทำ อยากเล่นของเล่นก็เล่น อยากเรียนรู้อะไรก็เรียน สิ่งที่เรามองข้ามไปคือประโยชน์ของงานที่เราจะทำ นี่คือสิ่งที่ YSC สอนเพื่อเตรียมงานไปแข่ง Intel ISEF

“งานที่ทำตอนนั้นก็เป็นเทคโนโลยีที่ไปต่อฟังก์ชันของรถยนต์ ช่วยในการสำรวจถนนของกรมทางหลวง ซึ่งเขาต้องวิ่งไปตามถนนเพื่อสำรวจเส้นทางว่าแต่ละช่วงมีทางโค้งมากน้อยแค่ไหน รถควรวิ่งเร็วเท่าไหร่เพื่อจะไม่หลุดโค้ง แล้วจึงทำป้ายเตือน สิ่งนี้มันติดตัวผมมาว่า

“ถ้าเราจะสร้างนวัตกรรมขึ้นมาจริงๆ ขั้นตอนแรกมันไม่ใช่แค่ความคิดว่าคุณอยากจะทำอะไร แต่จะสร้างสรรค์อะไรเพื่อไปช่วยใคร ตอบโจทย์ใคร”

จากรถเมล์วิ่งรอบอนุสาวรีย์ชัยฯ ต่อยอดไปสู่การเรียนต่อเรื่องรถยนต์ สู่ปริญญาตรี โท และเอกในเรื่องเดียวกัน รวมถึงศึกษาต่อสาขาหุ่นยนต์ที่ญี่ปุ่น จนนายรณพีร์มีตำแหน่ง ดร. นำหน้า  

“เพราะทำงานเรื่องเดียวมาตลอด ต่อยอดขึ้นมาเรื่อยๆ จากรถที่วิ่งรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มันไปผูกกับโจทย์อีกเรื่องหนึ่ง คือ ผู้ขับรถทุกคนจะรู้จักเบรก ABS ป้องกันการไถลของล้อ แต่ผมมองว่า ผมก็เป็นเด็กแว้นคนหนึ่งที่ชอบรถตอนมันดริฟต์ แต่ผมเป็นเด็กแว้นที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมมองว่าที่รถมันดริฟ เขาทำเอาสนุกหรือทำเพราะมันมีข้อดีในการดริฟต์ เราก็เอาความรู้ทางคณิตศาสตร์การเขียนโปรแกรมมาคำนวณหาอะไรบางอย่าง แล้วมันก็ตอบโจทย์ได้ว่า ถ้าเราควบคุมการไถลไปในโซนที่มันคุมยากหน่อย เราจะได้ benefit ของการเบรกหรือการเลี้ยวที่มากกว่านี้ ประยุกต์ได้กับ mobile platform หุ่นยนต์ที่เคลื่อนที่บนพื้น เป็นเทคโนโลยีที่นำมาประยุกต์ใช้กันได้”

งานของเราจะมีประโยชน์กับใคร? คือคำถามเมื่อครั้ง ดร.รณพีร์ ยังเข้าโครงการ YSC เข้ามาตอกย้ำและเป็นจุดเปลี่ยนความสนใจด้านเทคโนโลยี

“ในระยะเวลาสั้นๆ เทคโนโลยีที่เราสร้างมันถูกบรรจุอยู่ในรถยนต์ราคาแพง แต่รถยนต์ของไทยยังไม่มีเทคโนโลยีตัวนี้ คนที่จะได้กำไรจากเทคโนโลยีตัวนี้เป็นบริษัทรถยนต์จากต่างชาติ งานตรงนี้มันค่อนข้างเหนื่อย เราก็มามองว่าเราควรจะทุ่มความพยายามของเราไปเพื่อใคร? มันไปตอบโจทย์ให้กับเทคโนโลยีชั้นสูงสำหรับรถยนต์บางประเภท สำหรับคนที่มีเงินซื้อรถยนต์ราคาแพงเท่านั้นหรือเปล่า? หรือเราควรจะมาทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราจริงๆ

“ตอนไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็เลยพยายามผันตัวเองจาก Mobile Robot หรือ Auto Mobile ที่เป็นรถยนต์หรือหุ่นยนต์เคลื่อนที่ มาเป็น Wearable Robot หรือหุ่นยนต์ที่สวมใส่บนร่างกาย เพราะมองว่าที่เมืองไทย Infrastructure ต้องพึ่งหน่วยงานรัฐบาล หรือต้องใช้เงินทุนจำนวนสูงมาสนับสนุนบางครั้ง มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น เราอยากเห็นคนแก่หรือคนพิการเดินขึ้นรถประจำทางง่ายๆ ถ้าเราจะเปลี่ยนรถประจำทางทุกคันให้มีบันไดเตี้ยๆ เพื่อให้คนแก่คนพิการขึ้นง่ายๆ มันทำได้ยาก คนไม่สามารถหิ้ววีลแชร์ขึ้นรถได้ ผมเลยมองว่า wearable Robot คือหุ่นยนต์ที่สวมใส่บนร่างกายอาจจะตอบโจทย์ตรงนี้ ก็เลยเปลี่ยนสายมาทางหุ่นยนต์ที่สวมใส่บนร่างกาย หวังว่าจะเอามาประยุกต์ใช้กับผู้สูงอายุ หรือคนพิการที่มีความลำบากในการเคลื่อนไหว เพราะว่าประเทศไทยก็ก้าวเข้าสู่ aging Society แล้ว”

ปรมินทร์  ประกอบแสง (ครูต่าย): โอกาสจากครูที่สร้างให้

ปรมินทร์ หรือ ครูต่าย บอกว่า ด้วยความที่ตัวเองเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง พ่อแม่เป็นเกษตรกร จึงเห็นว่าความรู้และโอกาสที่เขาจะได้รับนั้นไม่มากเท่ากับเด็กในเมือง กระทั่งเมื่อได้สมัครเป็นพี่ ค่ายโครงการค่ายนักอิเล็กทรอนิกส์รุ่นเยาว์ (eCamp) ความคิดก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป 

“ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่ 2 ผมรู้จักค่ายอีแคมป์ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้จัก YECC ผมสมัครเป็นพี่ค่ายสอนน้องๆ ชั้นประถมและมัธยมต่อวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หลังจากได้สอนน้องๆ ก็เริ่มรู้ตัวว่าชอบการสอน ชอบการเป็นครู พี่ๆ จากค่ายอีแคมป์เข้ามาบอกว่ายังมีเวทีอื่นอีกนะ เป็นเวทีการประกวดสำหรับรุ่นพี่ชื่อว่า YECC ที่จะได้เปิดโลกของตัวเอง”

ครูต่ายจึงชวนรุ่นพี่ที่เรียนอยู่คณะเดียวกันมาทำเครื่องควบคุมโรงเพาะเห็ดเพื่อเป็นชิ้นงานส่งแข่งขัน YECC ได้ไอเดียมาจากการเห็นคุณป้าท่านหนึ่งมีปัญหาเห็ดในโรงเพาะเกิดไม่พร้อมกัน  

“ตอนนั้นก็ได้รู้จักการเขียนโปรแกรมบนไมโครคอนโทรลเลอร์เป็นครั้งแรก ได้ชิ้นงานส่งแข่งในเวทีของ YECC ตอนนั้นไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะได้รางวัล แค่รู้สึกว่าเราเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่มาหาประสบการณ์ เวทีนั้นเป็นเวทีที่ใหญ่มากสำหรับเรา แต่พอประกาศรางวัลแล้วมีชื่อผม ผมกับพี่ที่ทำงานด้วยกันยังแอบคิดว่าเลยว่ามันจะเป็นไปได้เหรอ เรามาถึงจุดนี้แล้วเหรอ ก็เลยลองมาศึกษาทางนี้ดู แล้วก็ลองไปเวทีอื่นต่อไป”

ความตื่นเต้นกับรางวัลและความสำเร็จยังไม่ทันหาย ก็ดูเหมือนว่าอีกหนึ่งโอกาสจะวิ่งเข้ามาโดยที่ครูต่ายไม่ทันตั้งตัว แต่ครูต่ายก็พร้อมที่จะไปต่อกับโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ และโอกาสดีๆ ที่เข้ามาอีกหลายระลอก

“หลังจากได้เข้า โครงการต่อกล้าฯ คราวนี้ได้รู้จักอะไรขึ้นเยอะเลย มีโค้ชมาเทรนให้ ไม่ว่าจะเป็นตัวชิ้นงานทางด้านซอฟต์แวร์ หรือฮาร์ดแวร์ให้งานของเราขายได้ จากเดิมเครื่องเพาะเห็ดที่เป็นเครื่องใหญ่ จะยกไปไหนก็เทอะทะ หลังจบต่อกล้าฯ หนึ่งปีผ่านไปมันสามารถเป็นชิ้นงานที่ถอดประกอบชิ้นส่วนได้ง่ายได้ บ้านไหนอยากปลูกเห็ดแต่ไม่มีความรู้เรื่องเห็ดก็ปลูกได้

“หลังจากจบเวทีต่อกล้าฯ ในปีนั้น สวทช. ติดต่อมาว่า สนใจเข้าโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนของรัฐบาลญี่ปุ่น หรือ JENESYS 2015 ไหม ผมก็เข้าไปดูรายละเอียดแล้วก็ตกลงไป เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปต่างประเทศ ผมเป็นเด็กบ้านนอก ฝันอยากขึ้นเครื่องบิน บอกแม่ว่าผมอยากขึ้นเครื่องบิน หยอดกระปุกทุกวันเพื่อที่จะได้มีโอกาสขึ้นเครื่องบิน ผมได้ไปญี่ปุ่นครั้งแรกโดยไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายสักบาท มันเป็นภาพที่ประทับใจมากสำหรับผมที่จำมาจนถึงทุกวันนี้ เพื่อนที่ไปด้วยมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ มีผมคนเดียวที่มาจากมหาวิทยาลัยเล็กๆ

“ในชิ้นงานเดิมนี้ ผมก็ได้เอาเข้าไปร่วมในโครงการเจ้าฟ้าไอที รัตนราชสุดา ผมอยากลองเอาชิ้นงานที่ผมได้ต่อยอดในโครงการต่อกล้าฯ มันจะไปได้ไกลแค่ไหน หลังจากนั้นพอประกาศรางวัลออกมาผมได้รางวัลดีเด่นด้านช่วยเหลือสังคม เริ่มรู้สึกว่าตัวเราก็ไม่ธรรมดา ที่มาได้ไกลขนาดนี้”

เบื้องหลังความสำเร็จและโอกาสที่ได้รับ ครูที่ปรึกษาของเขาคือคนที่อยู่เบื้องหลัง ต่อมาบทบาทความเป็นครูได้ส่งต่อมายังครูต่ายเมื่อได้มีโอกาสมาทำงานเป็นครู

“พอผมได้มาเป็นครู ผมจึงรู้ว่าเหตุผลที่ครูที่ปรึกษาของผมพาผมมาถึงจุดนี้ ทำไมต้องเข้มงวดกับผม ตามผมมาทำงานกับชิ้นงานนี้ ผมไปนอนที่บ้านครู ชิ้นงานก็ทำที่บ้าครู มีอะไรขาดเหลืออะไรก็บอกครู เขาก็ช่วยหาเต็มที่ ขอแค่ให้เราได้มา จนปัจจุบันผมได้เป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยเทคนิคบึงกาฬ ผมอยากเป็นอาจารย์แบบอาจารย์ท่านนี้ เป็นอาจารย์ที่สร้างคน  

“ผมมองแววตาของนักเรียนเวลาที่ผมสอน ผมจะสอนให้เด็กตื่นเต้น ให้เด็กรู้สึกว่ามันจะมีอะไรอีกต่อไป ในคาบนี้มันจะมีอะไรที่ตื่นเต้นอีก”

เทคนิคการสอนของครูต่ายคือการให้ลูกศิษย์ได้นำความรู้จากห้องเรียนมาทดลองสร้างผลงานจริงกับเรื่องใกล้ตัว บวกกับการสร้างบันดาลใจ และท้าทายความสามารถของเด็กๆ ซึ่งเด็กๆ ของครูต่ายได้พิสูจน์ฝีมือให้เห็นแล้ว

“ห้องน้ำแผนกไฟฟ้าเต็มไปด้วยระบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเป่ามือ ก็อกน้ำ โถปัสสาวะ ผมจะบอกนักเรียนให้ไปหาว่าเขาขายกันในราคาเท่าไหร่ นักเรียนกลับมาบอกว่า ‘อาจารย์ครับมันมีราคาหลายพันจนถึงหลักหมื่นเลยนะครับ’ แต่ผมชวนนักเรียนทำในราคาไม่ถึงพัน ในขณะที่ตอนนี้บึงกาฬเป็นจังหวัดใหม่ยังไม่มีสนามบิน ยังไม่มีห้างใหญ่ๆ แม้แต่โรงหนังก็ยังไม่มี ต่อไปเป้าหมายของผมจะเอาเด็กๆ อาชีวะกลุ่มนี้เข้ามาสู่เวทีนี้ให้ได้”

สามคนคุณภาพแบบนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีโอกาสให้เด็กได้ลองเรียนรู้  ฝึกฝน และทดลองลงมือทำ บวกกับมีพื้นที่ให้แสดงความสามารถ สั่งสมประสบการณ์ไปใช้ต่อยอดทำงานจริงในอนาคต  

และคำถามที่ว่า “เวทีประกวดช่วยสร้างคนได้อย่างไร” สามคนนี้ตอบไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้ว  

Tags:

Disruptionโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่นวัตกรNECTECภูมินทร์ ประกอบแสง

Author:

Related Posts

  • Creative learning
    ครูต่าย ภูมินทร์ ประกอบแสง : ให้แรงจูงใจเปลี่ยนเด็กเทคนิคเป็นนวัตกร

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์มณฑลี เนื้อทอง

  • Voice of New Gen
    นวัตกรตัวน้อย: ไม้ยืนต้น รากลึกและแข็งแรงจาก ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่’

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skillsVoice of New Gen
    ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

กรณีศึกษารัฐมิสซิสซิปปี้: วัยรุ่นซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่จะได้เข้ารักษา
Social Issues
18 March 2019

กรณีศึกษารัฐมิสซิสซิปปี้: วัยรุ่นซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่จะได้เข้ารักษา

เรื่อง The Potential

  • ปี 2017 วัยรุ่นในรัฐมิสซิสซิปปีกว่า 62 เปอร์เซ็นต์อยู่ในภาวะซึมเศร้า จำนวนนั้นกว่า 13,000 คนไม่ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
  • “รอคิวก่อน” คือคำตอบที่แม่ลูกสี่คนหนึ่งได้รับหลังจากแจ้งว่าลูกสาวมีความคิดฆ่าตัวตาย
  • คำถามที่น่าสนใจคือ การดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และภาวะซึมเศร้า แท้จริงแล้วเป็นของใคร

Her daughter was suicidal, but this mother was told the soonest she could get help was in six months – ลูกของเธออยากฆ่าตัวตาย แต่คนเป็นแม่ถูกบอกให้รออย่างน้อย 6 เดือนจึงจะถึงคิวได้รับการรักษา

คือพาดหัวบทความใน The Hechinger Report องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ติดตามประเด็นความเท่าเทียมและการศึกษา เผยแพร่ครั้งแรกเดือนมิถุนายน 2018 โดยแจ็คกี้ เมเดอร์ (Jackie Mader) นักข่าวประเด็นผู้หญิงและการศึกษา

เรื่องของเด็กผู้หญิงที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตายแล้วถูกบอกให้รอคิวก่อน เป็นเพียงประเด็นย่อยในบทความชิ้นนี้ แต่หลักใหญ่ใจความทั้งหมด เมเดอร์ต้องการเสนอประเด็น ‘เด็กที่ประสบภาวะซึมเศร้าในชนบท น้อยรายที่ได้เข้ารับการรักษา หรือได้รับคำปรึกษาอย่างจริงจัง’

ประชากรโลกที่ป่วยด้วยปัญหาทางจิตปี 2016 คือ ปัญหาทางจิตทั่วไป, ซึมเศร้า, วิตกกังวล, ไบโพลาร์, การกินผิดปกติ, จิตเภท, จิตเวชจากการดื่มสุรา, การใช้สารเสพติด – ที่มา: ourworldindata.org

จากการเก็บข้อมูลของ ourworldindata.org เรื่องประชากรโลกที่ป่วยด้วยปัญหาทางจิตปี 2016 ได้แก่ ปัญหาทางจิตทั่วไป, ซึมเศร้า, วิตกกังวล, ไบโพลาร์, การกินผิดปกติ, จิตเภท, จิตเวชจากการดื่มสุรา, การใช้สารเสพติด พบ 5 อันดับแรกคือ

  1. กรีนแลนด์ 22.14%
  2. ออสเตรเลีย 21.63%
  3. สหรัฐอเมริกา 21.56%
  4. นิวซีแลนด์ 21.28%
  5. อิหร่าน 19.936%

เมเดอร์ยกตัวอย่างของคุณแม่ลูกสี่ที่อาศัยในย่านชานเมืองของรัฐมิสซิสซิปปี เจนนิเฟอร์ ทาวน์เซน (Jennifer Townsend) เธอพบจดหมายของลูกสาวคนเล็กวัย 14 ปี วางแผนจะฆ่าตัวตาย ทาวน์เซนต้องการให้ลูกสาวเธอได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยโทรสายด่วนเข้าไปที่สำนักงานเทศบาลที่ทำงานด้านจิตวิทยาและได้รับคำตอบว่า อย่างเร็วที่สุด ลูกสาวของเธอจะต้องรอคิวรักษาราว 6 เดือน และถึงแม้เธอจะมีชื่อในรายการคนไข้แล้ว เธอจะได้พบคุณหมอเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น

“ฉันไม่คิดว่าการรักษาเดือนละครั้งจะเพียงพอ (…) ลูกสาวของฉัน เธอมีความคิดอยากฆ่าตัวตายแล้วนะ” ทาวน์เซนกล่าว อย่างไรก็ตาม โชคดีเป็นของครอบครัวทาวน์เซน เพราะเธอสมัครเข้ากลุ่มบำบัดอิสระซึ่งมีนักจิตวิทยาทำงานกับลูกสาววัย 14 ปีของเธอได้อย่างทันท่วงทีและทำได้สม่ำเสมอ

เมเดอร์ให้ข้อมูลว่ามิสซิสซิปปีคือหนึ่งในรัฐที่มีบริการด้านจิตเวชและบุคลากรด้านจิตเวชของรัฐ น้อยและเข้าถึงยากที่สุดของประเทศ รายงานจาก Mental Health America ปี 2017 ระบุว่า วัยรุ่นในรัฐมิสซิสซิปปีกว่า 62 เปอร์เซ็นต์อยู่ในภาวะซึมเศร้า จำนวนนั้นกว่า 13,000 คนไม่ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ หากคนไข้รายใดต้องการเข้าถึงการรักษาที่รวดเร็วและสม่ำเสมอ ต้องเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อเข้ารับคำปรึกษาจากสถาบันด้านจิตเวชเอกชน แน่นอนว่านั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้กับผู้มีรายได้น้อย แรงงานที่มีเวลาทำงานไม่ยืดหยุ่น หรือคิดหยาบๆ แค่เหตุผลว่า ‘ไม่มีรถ’ ทางเลือกนี้จึงต้องตัดทิ้งไป

นอกจากคำอธิบายที่ว่าบุคลากรและคลินิกด้านจิตเวชของรัฐมิซซิสซิปปี้มีน้อยและเข้าถึงยาก ยังรวมถึงเหตุผลจากกระทรวงสาธารณสุขลดงบประมาณด้านทรัพยากรบุคคลจิตเวชและเพิกถอนบริการด้านจิตเวชบางประการ หนึ่งในนั้นคือบริการให้คำปรึกษาด้านจิตเวชกับวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงไปด้วย

“นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้ปกครองถึงรายงานว่า ‘พวกเขาโทรไปที่คลินิกรัฐแล้ว แต่พวกเขาช่วยเหลือเราไม่ได้’ ” จอย ฮอจจ์ (Joy Hogge) ผู้อำนวยการบริหาร Families as Allies องค์กรไม่แสดงผลกำไรด้านจิตเวชแห่งรัฐมิสซิสซิปปี้

เป็นที่ทราบกันดีว่าความน่ากลัวของผู้ที่อยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้าซึ่งไม่ได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญมีความเสี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับความเศร้าที่ไม่มีทางออก มีปัญหาที่โรงเรียน เสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษากลางคัน ท้ายที่สุด มีความคิดเรื่องการฆ่าตัวตาย ทั้งเริ่มลงมือทดลอง และกระทำการจริงๆ ที่น่ากังวลมากกว่านั้น คือครอบครัวที่มีรายได้น้อยหรือไม่มีงานทำ – ซึ่งไม่ใช่เรื่องมีความเสี่ยง แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะเข้าสู่ระบบการรักษาได้

อย่างไรก็ตาม เมเดอร์พยายามสร้างทางเลือกและทำงานสื่อสารเพื่อผลักดันให้เกิดกลุ่มบำบัด กลุ่มให้ความช่วยเหลืออิสระ รวมทั้งสร้างองค์ความรู้เพื่อให้ครูและผู้ปกครอง ‘อ่าน’ เด็กๆ และหรือให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นได้เหมาะสม

หนึ่งในความเห็นที่น่าสนใจคือ ลาเบลลา เพลสตัน (Labella Preston) นักจิตวิทยาโรงเรียนของสถาบันด้านจิตวิทยา LifeHelp ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า ที่ครูไม่รู้ว่านักเรียนที่อยู่ในภาวะซึมเศร้ากำลังตกอยู่ในความเสี่ยง เป็นเพราะครูมักคิดว่านักเรียนแค่เงียบขรึม อาจเป็นบุคลิกที่ไม่สุงสิงกับใคร และขาดทักษะในการสังเกตว่าลักษณะแบบไหนที่เข้าข่ายซึมเศร้าแล้ว

ทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่คำถามที่น่าสนใจว่า การดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และภาวะซึมเศร้า แท้จริงแล้วเป็นของใคร แค่นักจิตวิทยาหรือคนที่อยู่รอบๆ โดยเฉพาะหน่วยงานทางสังคมที่เข้ามาช่วยจัดการ ประคับประคองภาวะป่วยไข้ทางจิตใจของเด็กและวัยรุ่นเป็นเรื่องสำคัญ

Fun Fact

หน่วยงานรัฐและเอกชนที่ให้บริการปรึกษาในไทย

สายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 ทั้งหมด 12 คู่สาย ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง โดยนักจิตวิทยาประมาณสามสิบคนสับเปลี่ยนกันมาทำหน้าที่

บริการทางเฟซบุ๊ก 1323 เพื่อให้คำปรึกษาทางแชต ให้บริการตั้งแต่เวลา 6.30 – 22.30 น. ไม่มีวันหยุด

สายด่วนสุขภาพจิต 1667 โดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงสายด่วนให้คำปรึกษาสะมาริตันส์ 02 713 6793 เวลา 12.00 – 22.00 โดยอาสาสมัครราวสามสิบคนหมุนเวียนให้บริการ เวลา 12.00 – 22.00 น.

เว็บไซต์ istrong.co ปรึกษาส่วนตัวกับนักจิตวิทยา / โค้ช ทางทางโทรศัพท์และพบเจอตัว (มีค่าบริการ)

หน่วยงานให้บริการทางสุขภาพจิตและจิตเวชในสังกัดกรมสุขภาพจิต https://www.dmh.go.th/service/

Tags:

ซึมเศร้าวัยรุ่นกลั่นแกล้ง(bully)ความเหลื่อมล้ำสหรัฐอเมริกา

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    การมีบ้านเมืองที่มองเห็นอนาคต : โลกใบใหม่ที่คนรุ่นใหม่วาดฝัน

    เรื่อง กุลธิดา ติระพันธ์อำไพ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Adolescent Brain
    หน้าจอกับสภาพจิต วัยรุ่นกับอาการซึมเศร้า ความเชื่อมโยงที่อธิบายได้ด้วยงานวิจัย

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • Creative learning
    “วิชาทักษะแห่งความสุข” มะขวัญ วิภาดา อาจารย์ที่พาไปเข้าใจความสุขบนโลกที่เศร้าลง

    เรื่อง กรกมล ศรีวัฒน์ ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • Dear Parents
    ผู้ใหญ่เครียด เด็กก็เครียด: ภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ สิ่งที่คุณพ่อ-คุณแม่และเด็กๆ ควรมีในปี 2020

    เรื่อง ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญา ภาพ ณัฐสุชา เลิศวัฒนนนท์

  • How to get along with teenager
    เข็นวัยแสบขึ้นภูเขาอย่างเข้าใจและให้เวลา: ‘หมอมิน’ พญ.เบญจพร ตันตสูติ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

“ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน
Family Psychology
12 March 2019

“ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ นอกจากเป็นกุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ยังควบตำแหน่งเจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกนอกบ้าน’ เพจเลี้ยงลูกที่พ่อแม่ควรติดตาม เพราะส่งเสริมการเลี้ยงลูกเชิงบวก
  • หัวใจของการเลี้ยงลูกเชิงบวก มี 4 ข้อ คือ เข้าใจธรรมชาติของตัวเด็ก มีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก ฝึกวินัยเชิงบวก และสื่อสารเชิงบวก ทั้งหมดทั้งมวลนี้หลักของการเลี้ยงลูกเชิงบวกที่สามารถอธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ทางสมองของมนุษย์
  • พ่อแม่ธรรมดาทุกคนทำได้ แค่เปิดใจและเข้าใจในความ ‘ไม่สมบูรณ์แบบ’ ของมนุษย์

ช่วงหลังๆ แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน พยายามเขียนเรื่องที่ตัวเอง ‘ใส่อารมณ์’ กับลูก เพื่อเตือนพ่อแม่ว่า “หมอก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง”

“ตอนหลังพยายามเขียนวีนบ่อยๆ เดี๋ยวคนคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องดีงาม วีนได้ เราเป็นมนุษย์ มีความรู้แต่ไม่มีสติไง” 

เสียงหัวเราะท้ายประโยคของหมอโอ๋ อาจไม่ต่างอะไรจากการให้อภัยตัวเองแล้วเดินหน้าต่อ เพราะหมอเชื่อว่าไม่มีพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ มีแต่พ่อแม่ธรรมดาและดีพอเพราะเรียนรู้อยู่เสมอ”

เรียนรู้ที่จะอยู่กับลูก สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย ‘จิตวิทยาเชิงบวก’ ที่ไม่ได้โลกสวยแต่คืออยู่กับความจริงและอ้างอิงได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ว่าด้วย ‘สมองของมนุษย์’

การเลี้ยงลูกเชิงบวกคืออะไร แล้วทำไมเราต้องเลี้ยงลูกเชิงบวก

การเลี้ยงลูกเชิงบวก คือ การเลี้ยงลูกที่อธิบายด้วยหลักวิทยาศาสตร์ทางสมองของมนุษย์ การเลี้ยงลูกเชิงบวกจะมีการทำความเข้าใจกับสมองของเด็ก สร้างความเข้าใจว่าสมองของเด็กก็มีข้อจำกัด เด็กไม่ได้เกิดมาแล้วจะเข้าใจหลักเหตุผลโดยทันที หรือรู้จักควบคุมอารมณ์ได้ดีแต่เล็กๆ ธรรมชาติของเด็กจะมีการพัฒนาสมองส่วนอารมณ์เร็วกว่าส่วนเหตุผล ซึ่งสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ถึงอายุ 25 ปี เพราะฉะนั้นการที่เราเข้าใจธรรมชาติของเด็ก ก็จะทำให้เรามีมุมมองต่อการเลี้ยงดูที่เปลี่ยนไป

การที่เราจะพูดว่าโตแล้วทำไมถึงคิดไม่ได้ สอนแล้วทำไมไม่จำ ก็จะทำให้คลี่คลายและเข้าใจการพัฒนาของสมองของลูกได้ ข้อจำกัดทางธรรมชาติเด็กจะใช้สมองส่วนอารมณ์มากกว่าใช้ส่วนเหตุผล หน้าที่ของพ่อแม่คือช่วยทำให้เขาใช้สมองส่วนเหตุผลให้มากขึ้น ควบคุมอารมณ์ให้ดีขึ้น ดังนั้นการเลี้ยงลูกเชิงบวก ก็คือการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก การฝึกวินัยเชิงบวกเพื่อกระตุ้นสมองส่วนคิดวิเคราะห์พัฒนาให้เร็วขึ้น จะได้ควบคุมสมองส่วนอารมณ์และสัญชาตญาณที่ทำให้เกิดการต่อต้าน เกิดความโกรธ ความอยากเอาคืนพ่อแม่

การเลี้ยงลูกเชิงบวก จึงประกอบไปด้วยเรื่องหลักๆ 4 เรื่อง

  • หนึ่ง คือการเข้าใจธรรมชาติของตัวเด็กว่าเด็กแต่ละคนเกิดมามีธรรมชาติที่ต่างกัน เด็กไม่ใช่ผ้าขาวแบบที่เราเชื่อกัน เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับศักยภาพหรือความเก่งหรือความบกพร่องบางอย่าง ซึ่งเรามีหน้าที่เข้าใจ
  • สอง คือการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก หรือหมายถึงการมอบเวลาคุณภาพให้กับลูก รับฟังเขา ใส่ใจเขา
  • สาม คือการฝึกวินัยเชิงบวก นั่นคือการทำอย่างไรเพื่อให้ลูกรู้กติกา รู้ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ โดยที่ไม่ใช้วิธีเชิงลบไปกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์ซึ่งจะก่อให้เกิดบาดแผลตามมา วินัยที่ดีคือวินัยที่เกิดจากการควบคุมตนเอง
  • สี่ คือการสื่อสารเชิงบวก หมายถึงการทำให้เกิดความรู้สึกดีต่อกัน ซึ่งถ้าเราศึกษาการเลี้ยงดูเชิงบวก จะเห็นว่าการเลี้ยงดูในวัฒนธรรมไทยส่วนใหญ่ จะเป็นในการเลี้ยงดูในเชิงลบ เมื่อทำผิดต้องดุ ต้องตำหนิ ต้องขู่ให้กลัว ต้องตีให้หลาบจำ ต้องเปรียบเทียบ คือต้องทำให้เจ็บปวดถึงจะได้เรียนรู้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดเพราะสมองไม่ได้ถูกพัฒนาในรูปแบบนั้น การทำให้ลูกเจ็บปวดมันมีสิ่งที่ต้องแลกตามมาด้วยเสมอ เด็กอาจจะพัฒนาความก้าวร้าว ความรุนแรง หรือติดอยู่กับความรู้สึกที่ตัวเองแย่ ไม่ได้เรื่อง ไม่มีศักยภาพ เด็กหลายคนอาจซึมเศร้าเพราะคิดว่าเราไม่ดีพอ ดังนั้นการเลี้ยงลูกมาในเชิงลบ ก็จะส่งผลลบต่อสมอง

ทุกการกระทำของพ่อแม่มีความสัมพันธ์กับจิตวิทยาของลูกโดยที่อาจไม่รู้ตัว

คำว่าจิตวิทยา มันคือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ พฤติกรรม ความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อกัน ส่วนคำว่าครอบครัวหมายถึงการอยู่ร่วมกัน การพึ่งพาอาศัยกัน เพราะฉะนั้นการที่เรามีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลามันเป็นเรื่องของจิตวิทยา

ดังนั้นคนที่มีองค์ความรู้ด้านจิตวิทยา เราจะใช้วิธีใดในการสร้างความสัมพันธ์กับลูก คุยกับลูก แก้ปัญหาให้ลูก ช่วยให้ลูกพัฒนาศักยภาพ หมอคิดว่าเรื่องของจิตวิทยาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวโดยที่เราอาจไม่รู้ตัวหรือรู้ตัวก็ได้ แต่ขึ้นอยู่กับว่านั่นคือจิตวิทยาเชิงบวกหรือเชิงลบเท่านั้นเอง

ช่วยยกตัวอย่าง การฝึกวินัยเชิงบวกหรือเชิงลบให้เห็นภาพหน่อย

เช่น เหตุการณ์ลูกไม่ยอมอาบน้ำ แม่หลายคนอาจจะแค่บ่น “ทำไมไม่ยอมลุกไปอาบน้ำสักที?”

หรือบางคนก็อาจจะถึงขั้นลงไม้ลงมือตีลูก “ทำไมป่านนี้ยังไม่ยอมอาบน้ำอีกเหรอ?” “บอกให้อาบน้ำตั้งนานแล้วทำไมไม่อาบ?”

ซึ่งวิธีนี้ ไม่ใช่วิธีทำให้เด็กอยากที่จะทำด้วยตัวเอง เด็กจะรู้สึกว่าจะทำอะไรก็ตามต้องเกิดจากการบังคับ หรือถูกสั่ง แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธี ให้ทางเลือกกับเขา เมื่อเห็นลูกไม่อาบน้ำ ก็เดินเข้ามาถามว่า “ลูกกำลังทำอะไรอยู่ ดูน่าสนุกจัง แต่เดี๋ยวเราต้องอาบน้ำกันแล้ว ลูกจะเล่น อีก 3 หรือ 5 นาทีดี?” เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับเขา ไม่ต้องทำให้เขารู้สึกว่าถูกสั่ง อาจจะเปลี่ยนคำพูดไปในเชิงถามว่า “ตอนนี้มันเวลาอะไรแล้วจ๊ะ เป็นเวลาที่ต้องทำอะไร อาบน้ำหรือเปล่า?” ให้ทางเลือกเพื่อให้เขาฝึกคิดด้วยตัวเอง นี่ก็คืออีกหนึ่งเทคนิคในการฝึกลูกให้ทำตามกติกาด้วยตัวเอง ไม่ใช่การถูกสั่งหรือบังคับให้ทำ

ยกตัวอย่างอีกอย่าง ปัญหาเด็กติดหน้าจอ เด็กติดเกม พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยวิธีเชิงลบ อาจจะตามใจลูก พอบอกให้ลูกเลิกเล่น กลัวลูกหงุดหงิดจึงปล่อยตามใจเรื่อยๆ เด็กก็จะเรียนรู้ไปว่าไม่ต้องมีกติกา การฝึกวินัยก็จะไม่เกิด

หรืออีกกรณีที่เดินเข้ามาดุด่าลูกบอกให้เลิกเล่นเกม ลูกก็จะเลิก แต่เลิกเพราะกลัว ความรู้สึกโกรธ ไม่พอใจ ลามไปถึงอาจจะทำให้เกิดวามรู้สึกไม่ชอบพ่อแม่ได้

อีกอย่างที่เจอบ่อยเลยคือการฝึกวินัยแบบใช้ปาก นั่นคือการบ่นๆๆๆ เสร็จหรือยัง ทำไมถึงยังไม่เลิกเล่นอีก พ่อแม่ทำงานมาเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว บ่นไปเรื่อย ลูกก็ไม่เลิก พ่อแม่ก็เดินกลับมาบ่นใหม่ เรียนรู้ได้ว่าแค่ทนๆ ฟังเสียงบ่น แต่ไม่ต้องเลิกก็ได้

ฉะนั้นวิธีการที่อยากให้พ่อแม่ฝึกคือวิธีการ Kind but Firm พ่อแม่ไม่ต้องใช้อารมณ์ ไม่ต้องดุด่า แต่ว่าเอาจริง ตกลงกติกากับลูกไว้ก่อนแล้วพอถึงเวลาก็เข้าไปบอกว่า “ลูกจะเล่นได้อีก 5 นาที ตามที่เราตกลงกันไว้ ถ้าลูกไม่เก็บแม่จะเป็นคนเก็บนะจ๊ะ” ทำตามที่ตกลงกันไว้ และพ่อแม่ต้องทำจริงไม่ใช่แค่ขู่ ถ้าเขายังไม่เลิกเราก็อาจจะเดินมาบอกลูกว่า เวลานี้ลูกต้องเก็บแล้ว ถึงลูกจะงอแง แต่เราต้องเก็บเพราะทำตามกติกาที่เราตั้งด้วยกันไว้ นี่ต่างหากคือการทำให้เด็กรู้จักควบคุมตัวเอง

ในช่วงแรกๆ เด็กอาจจะงอแงเป็นปกติ แต่เราก็ต้องฝึก ใช้วิธีนี้ฝึกเขาในทุกวัน วันนี้ยังไม่ได้ ก็เริ่มฝึกใหม่ในพรุ่งนี้ วิธีนี้จะช่วยให้เขามี self control หรือทักษะการควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น มากกว่าที่พ่อแม่ใช้ปากบ่น ใช้กำลังดุด่าหรือตี

วิธีนี้เอาไปใช้กับปัญหาโลกแตกอย่างการที่ลูกลงไปร้องดิ้นเมื่ออยากได้ของเล่นได้ไหม

ได้ เราควรคุยกับลูกตั้งแต่แรก เช่น “วันนี้เราจะไปซื้อของกันลูก แต่เราจะไปซื้อแค่ในซูเปอร์ฯ เราจะยังไม่ซื้อของเล่น เพราะว่าหนูเพิ่งซื้อไปหรืออะไรก็ตาม” ประเด็นอยู่ที่การคุยกับลูกก่อน ทำให้เขารู้ว่าวันนี้เราไม่ได้มาเพื่อซื้อของเล่น เมื่อลูกงอแงอยากได้ ลงไปดิ้นที่พื้น การตอบสนองของเด็กมักมาจากพฤติกรรมของผู้ใหญ่ ดังนั้นการที่เด็กลงไปร้องดิ้นแล้วเห็นพ่อแม่ใจอ่อน ยอมซื้อของเล่นให้ เขาก็จะลงไปร้องดิ้นที่พื้นเรื่อยๆ เพราะเขาเรียนรู้จากสิ่งที่เราตอบสนอง และวิธีนี้ทำให้เขาได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการ

หน้าที่ของเราง่ายๆ ก็คือสอนให้เขาดูว่าวิธีที่เขาทำมันไม่ได้ผล และพูดกับเขาดีๆ ว่า “แม่เข้าใจว่าหนูอาจจะเสียใจที่ไม่ได้ซื้อของเล่น” แสดงความเข้าใจเขา แล้วอาจจะถามว่า “หนูจะเดินห้างต่อไหมหรือจะไปนั่งร้องไห้ต่อในรถก่อน” ทำให้เขาเห็นจริงๆ ว่าเราจะไม่ใจอ่อนซื้อของให้เขา โดยที่เราไม่ต้องอารมณ์เสีย และไม่ต้องอาละวาด ไม่ต้องทำร้ายเขา

พ่อแม่ต้องฝึกจิตฝึกใจอย่างไรบ้าง เชื่อว่าทุกคนต้องอยากเลี้ยงลูกเชิงบวก แต่มันยากในการควบคุมตัวเอง

หมอเข้าใจและพูดอยู่เสมอว่า ‘การเลี้ยงลูกไม่ใช่แค่การพัฒนาแค่ลูก แต่มันคือการพัฒนาตัวพ่อแม่เองด้วย’ ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือการควบคุมใจของเราเอง มันอาจจะยากเพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งความคาดหวัง ทั้งอารมณ์ เราจะโมโหถ้าลูกไม่เป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น เรากังวลว่าเขาจะเป็นเด็กก้าวร้าว เด็กเอาแต่ใจ กลัวว่าตัวเองจะเลี้ยงลูกได้ไม่ดี รู้สึกผิด ความคิดเหล่านี้จะรบกวนให้เราไม่นิ่ง

เราจึงต้องหาทางออกโดยการใช้วิธีการควบคุมหรือจัดการ ทำให้ลูกเชื่อฟัง อยู่ในโอวาทเราให้ได้ เพื่อให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราเข้าใจเขาว่าในช่วงวัยของลูก เป็นช่วงที่เขายังฝึกตัวเองได้ไม่ดี สมองส่วนเหตุผลเขายังพัฒนาได้ไม่ดี มองให้มันเป็นเรื่องธรรมดามันก็จะทำให้เราสงบขึ้น

อย่ามองว่าเรื่องแบบนี้คือวิกฤติ ให้มองว่ามันคือโอกาสจะทำให้ลูกเราได้เรียนรู้ การที่เขาลงไปดิ้นเป็นโอกาสที่ทำให้เขารู้เลยว่ามันไม่ได้ผล และลูกเราจะพัฒนามากขึ้น มุมมองเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเรามองว่านี่คือความล้มเหลว รู้สึกมีอารมณ์ ทำให้เรารู้สึกโกรธ รู้สึกผิดหวัง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราปฏิบัติตัวออกมาได้ไม่ดี

การเลี้ยงลูกเชิงลบในอดีต อาจจะใช้ไม่ได้กับยุคนี้?

จริงๆ มันไม่ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าเราเข้าใจการทำงานของสมองมนุษย์ มันมีหลายอย่างที่ส่งผล หมอยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุตินิ้วโป้งมือของเราเป็นสมองอารมณ์ ซึ่งในวัยเด็กสมองส่วนนี้โตมาก แล้วอีกสี่นิ้วที่เหลือเป็นสมองส่วนเหตุผล ดังนั้นหน้าที่พ่อแม่คือการสร้างให้สมองส่วนเหตุผลพัฒนาได้ดี

แต่เวลาทำงานจริง เมื่อไรก็ตามที่สมองส่วนอารมณ์ถูกกระตุ้น สมองส่วนเหตุผลจะปิดการทำงาน เราจะสังเกตได้ว่าเมื่อเด็กร้องไห้ ต่อให้เราใช้เหตุผลมากแค่ไหน เขาก็ไม่เข้าใจ ยิ่งเราไปใช้วิธีเชิงลบ ใช้คำพูดแย่ๆ ใส่ลูก ลูกก็กลัว สมองส่วนอารมณ์ก็จะตอบสนองออกมาใน 3 รูปแบบ นั่นคือ

1. สู้ สู้กลับ ตีพ่อแม่ ก้าวร้าว อาละวาด

2. ถอยหนี กลัว ไม่เถียงแต่ว่าทำ ไม่เข้าไปยุ่ง โกหก ปกปิด

3. ยอม แต่การยอมนั้นแลกมากับความรู้สึกว่า ฉันไม่ได้เรื่อง ฉันทำไม่ได้ เมื่อเขาโตขึ้นมาในใจข้างในเขาอาจจะรู้สึกว่างเปล่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่มีจุดสูงสุด เพราะไม่พอใจกับตัวเอง ต้องคอยแน่ใจว่าเป็นที่รักของใครอยู่ไหม การเลี้ยงลูกเชิงลบจึงเป็นการทำร้าย self esteem ของเด็กโดยที่ไม่รู้ตัว

ซึ่งวิธีแสดงออกของเด็กมักจะมาในรูปแบบ 3 รูปแบบนี้ และมันส่งผลในระยะยาวแน่นอน แต่อาจจะมากน้อยต่างกันไป  

ดังนั้นจิตวิทยาเชิงบวก จะทำให้เด็กสามารถสงบสมองส่วนอารมณ์เพื่อเปิดสมองส่วนคิดให้มันเชื่อมต่อกัน พออารมณ์สงบ ส่วนคิดเปิดทำงาน เด็กก็ตอบสนองโดยการควบคุมตัวเองได้ดี

ปมอะไรบ้างที่พ่อแม่ยึดถือไว้แล้วทำให้ลูกเกิดปัญหา

เยอะเลยนะ หนึ่งในนั้นคือความสมบูรณ์แบบ พ่อแม่หลายคนคิดว่าการที่เป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวจะเป็นปมกับลูก

ถ้าเราพูดถึงครอบครัว หน้าตาของมันก็จะมีพ่อแม่ลูก ลูกคนเดียวก็ไม่พอ ต้องมีชาย 1 คน หญิง 1 คน นี่ถึงจะสมบูรณ์แบบ แต่จริงๆ แล้วครอบครัวที่สมบูรณ์มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคนในครอบครัว มันคือใครแค่คนเดียวที่เลี้ยงเด็กคนหนึ่งได้อย่างมีความสุขและเป็นไปตามศักยภาพเขา มันไม่มีหรอกพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบมีแต่พ่อแม่ธรรมดาๆ นี่แหละก็เลี้ยงลูกให้ดีได้ อีกปมหนึ่งที่พ่อแม่มี นั่นคือ การคาดหวังกับตัวเอง คาดหวังว่าฉันจะต้องเป็นนางฟ้าตลอดเวลา ฉันจะต้องไม่สร้างบาดแผลให้ลูก

พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูกเลย คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก ตราบใดที่เรามีปฏิสัมพันธ์กัน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบกัน หมอคิดว่าพ่อแม่มีหน้าที่ปลดปล่อยปมของตัวเอง โดยการยอมรับความเป็นมนุษย์ปกติ ยอมรับว่าเราผิดพลาด ล้มเหลว หรือทำอะไรไม่ถูกต้อง เด็กจะเรียนรู้ได้จากสิ่งเหล่านี้มากกว่าเสียอีก เรียนรู้จากพ่อแม่ที่ทำผิดพลาดและกล้าเดินมาขอโทษเขา ก้าวข้ามความผิดพลาดของตัวเองแล้วเริ่มใหม่

ดังนั้นที่มาของปมก็มาจากความคาดหวังทั้งนั้น คาดหวังจากตัวเอง และในตัวลูก เราอยากให้ลูกเป็นเด็กเรียบร้อย พูดเพราะ น่ารักว่าง่าย พูดอะไรแล้วทำตาม พูดคะพูดขาตลอด มันมีความน่ารักติดอยู่ในหัวของเราตลอดเวลา ซึ่งในความจริงเด็กทุกคนไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนั้น เด็กบางคนเกิดมากระโดดโลดเต้น เด็กบางคนเกิดมามีความคิดเป็นของตัวเอง เกิดมาเพื่อเถียง หมอคิดว่าความเข้าใจความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าเขามีคาแรคเตอร์ต่างกัน มันอาจจะไม่ใช่แบบที่เราชอบ แต่มันจะไปได้ดีในเส้นทางของเขา ปล่อยความคาดหวัง มันก็ช่วยลดปมให้คลี่คลายได้

พ่อแม่ที่ดีงาม เป็นยากไหม

ความเชื่อที่ว่า ลูกมาก่อน สามีมาก่อน ตัวเองมาทีหลัง เป็นเรื่องที่ผิดมาก เราไม่มีวันจะดูแลใครได้ดีเลยถ้าเราดูแลตัวเองได้ไม่ดี

นี่คือ fact การที่เราจะเป็นพ่อแม่ที่มีความสุข และทำให้ลูกมีความสุข ตัวเราเองต้องมีความสุขให้ได้ก่อน แทนที่เราจะทุ่มเทกับตัวลูกสุดๆ เราต้องทุ่มเทกับตัวเองด้วย การที่เราจะดูแลลูก อยู่กับความเหนื่อยยาก วันๆ ก็เอาแต่หงุดหงิด เมื่อลูกทำอะไรไม่ดีก็ผิดหวัง ชีวิตแบบนี้จะไม่สุขเลย จริงๆ แล้วควรจะกลับมาดูแลตัวเองให้ดี ออกกำลังกาย ออกไปช็อปปิ้ง ออกไปเจอเพื่อน ใช้ชีวิตให้เป็นปกติและธรรมดา จะช่วยมอบเวลาที่มีคุณภาพให้กับลูกได้มากกว่า

การที่พ่อแม่ออกไปเจอเพื่อน ออกไปช็อปปิ้ง แต่ในความเป็นจริง จะทำสิ่งเหล่านี้อย่างไรไม่ให้รู้สึกผิด

หลักๆ มันคือการสร้างความสมดุลนะ ไม่ได้แปลว่าเราจะเอาแต่ตัวเองก่อนตลอดเวลา มันอยู่กับการแบ่งเวลา การเลือก ถ้าเราไม่เลือกก็จะต้องอยู่ในวังวนนั้นตลอดเวลา รับส่งลูก ทำอาหาร แค่หาเวลาและเลือกทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ได้เลือกเพื่อตัวเราเอง ถ้าเราเครียด เราเศร้า เราไม่มีความสุข เราจะอยู่กับลูกอย่างมีความสุขไม่ได้เลย

พ่อแม่จะมีวิธีอย่างไรที่จะไม่ส่งต่อ pain point ไปถึงรุ่นลูก

เราต้องมีสติ รู้ตัว พ่อแม่ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่เลี้ยงดู การเป็นพ่อแม่มันเข้าไปจัดการความคิดของเราได้เยอะพอสมควร ตั้งแต่เราคิดว่าเราจะมีลูกเพื่ออะไร พ่อแม่บางคนมีลูกเพื่อเลี้ยงตัวเองยามแก่ ถ้าตั้งเป้าแบบนี้พ่อแม่เตรียมตัวรับความผิดหวังได้เลย ถ้าลูกเกิดเรียนไม่เก่งขึ้นมา เกิดมาสติปัญญาไม่ดี หรือโตมาเขาอยากทำอะไรตามใจตัวเองไม่มีเวลาดูแล เราพร้อมที่จะรับความผิดหวังไหม ดังนั้นแค่การตั้งเป้าว่าอยากให้เขามาเลี้ยงดูนี่ก็เป็น pain point แล้ว เราควรจะสร้างชีวิตหนึ่งเพื่อให้อะไร เพื่อให้เขารับใช้ชีวิตตัวเองหรือรับใช้เรา การที่เรามีความสุขจากการได้ดูแล ได้เลี้ยงดู มันก็พอเป็นคำตอบได้อยู่แล้ว ส่วนการที่เขากลับมาดูแลเรายามแก่นี่คือกำไร

ในความสัมพันธ์ของเรากับลูก ควรจะรักกันแบบไหนถึงจะไม่สร้าง pain point ให้เขา

เราควรจะรักด้วยความเข้าใจว่า ‘เราไม่ใช่เจ้าของชีวิตกันและกัน’ รักโดยเข้าใจธรรมชาติของกันและกัน บางอย่างของเขาอาจไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ แต่นั่นเป็นตัวเขา เรารักกันแบบที่เคารพการตัดสินใจ รักกันแบบที่ต้องถามตัวเองว่านี่เราไม่ได้รักแค่ตัวเองใช่ไหม บางคนรักลูกเพราะลูกน่ารัก พอลูกไม่น่ารักก็ไม่อยากจะรักลูก ถ้าเรารักเขาจริงๆ ไม่น่ารักอย่างไรก็รัก หมอเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนมีความรักแบบนี้กับลูก แต่พอรักมีการคาดหวัง หรือการรอหวังผลตอบแทนจากสิ่งที่ตั้งใจหรือทุ่มเทไป สิ่งเหล่านี้มันจะทำให้มองไม่เห็นความรักที่แท้จริง

แล้วในแง่สามี-ภรรยา เราควรจะรักกันแบบไหนเพื่อไม่ให้สร้าง pain point ให้ลูก

หลายคนเชื่อว่าการที่เรามีลูก เราควรทุ่มเวลาไปให้ลูก แต่จริงๆ ในทางทฤษฎีการที่เด็กคนหนึ่งจะโตมามีความสัมพันธ์ที่ดีได้ ไม่ได้มาจากความสัมพันธ์ที่พุ่งมาถึงเขาอย่างเดียว แต่เป็นเด็กที่ได้รับความสัมพันธ์จากพ่อแม่ที่มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และไม่น้อยไปกว่าความสัมพันธ์ที่ดีที่มีให้ลูก

หลายคนทุ่มเทเวลาไปให้ลูก จนทำให้ลืมความสัมพันธ์ระหว่างกัน

ระหว่างสามีภรรยา มันควรเป็นการ give มากกว่า take เมื่อคนสองคนมาอยู่ด้วยกันมักจะอยากได้นั่น อยากได้นี่ จนหลงลืมไปว่า เราให้อะไรกันหรือยัง

มันควรจะเป็นความรักที่เข้าใจธรรมชาติและปลดปล่อยตัวเองออกจากความสมบูรณ์แบบ ความรักที่ดีควรเป็นรักที่เข้าใจ ให้อภัย ปล่อยวางในบางเรื่อง

กรณีพ่อแม่ต่างคนต่างทุ่มเทให้ลูก จนรู้สึกได้ แล้วถ้าพ่อแม่มีปัญหากันจนเด็กรู้สึกได้ เด็กจะโทษตัวเองหรือไม่อย่างไร

พ่อแม่ทุ่มเทกับลูกเยอะ จนมีปัญหากัน ในเด็กที่โตหน่อย หลายคนจะมีความรู้สึกผิด และคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุ การที่ปฏิสัมพันธ์มีกันอยู่แค่นี้ เด็กรู้สึก หลายครั้งๆ พ่อแม่ก็มีปัญหากันด้วยเรื่องลูกนี่แหละ ด้วยความที่ไม่เข้าใจกันในวิธีการเลี้ยงดู ปัญหาของลูกทำให้เกิดการโต้เถียงกัน เด็กเองมีความรู้สึกผิดอยู่แล้ว

แต่ไม่ได้แปลว่า พ่อแม่จะต้องอยู่กันแบบไม่มีปัญหากัน เป็นไปไม่ได้ที่พ่อแม่จะอยู่กันแบบไม่มีปัญหา มันมีปัญหากันได้แต่ทำยังไงให้ลูกได้เห็นว่า เมื่อมีปัญหากัน ปัญหาจบด้วยการพูดคุยกัน เข้าใจกัน ให้อภัยกัน และด้วยความรักที่มีต่อกัน ทำให้ทุกคนได้ก้าวต่อ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ลูกจะได้เรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์ของพ่อแม่

โซเชียลมีเดียต่างๆ โพสต์ความสุขของพ่อแม่ เอาจริงๆ เหล่านี้ส่งผลต่อการเลี้ยงดูของพ่อแม่อย่างไร

มีๆ (ตอบทันที) เยอะมาก (ลากเสียงยาว) ปัจจุบันโซเชียลเข้ามามีผลต่อบทบาทของคนเป็นพ่อเป็นแม่ และลูก เปิดไปเห็นลูกคนนั้นทำอันนั้นได้ดี เห็นคนนี้ไปเรียนอันนั้น เราก็จะรู้สึกว่า ต้องทำบ้าง อยากไปบ้าง ทำไมลูกเราไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเขาบ้าง ทำไมลูกเขาอ่านออกแต่ลูกเรายังไก่กาอยู่เลย

หมอคิดว่านี่เป็นเรื่องที่เราต้องฝึกสติมากๆ ในการเสพสิ่งเหล่านี้

เด็กไม่มีแพทเทิร์นเลยว่าต้องทำแบบไหนถึงจะประสบความสำเร็จ แต่มันมีทฤษฎีจริงๆ ว่าเด็กจะประสบความสำเร็จจากคาแรคเตอร์อะไร ดังนั้น การที่ลูกคนอื่นเล่นเปียโนได้ ลูกเราเล่นไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าลูกเราจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เราสร้างบางสิ่งหรือยังที่จะเป็นคาแรคเตอร์ของเด็กที่จะประสบความสำเร็จ คือ

1. เด็กที่มีอารมณ์เชิงบวก ยิ้มแย้ม มีความสุข แบบนี้จะประสบความสำเร็จและมีความสุขกับชีวิตได้ง่าย

2. เด็กที่มีการจดจ่อใส่ใจกับงานอะไรบางอย่าง และทำมันสำเร็จ มีความรับผิดชอบ

3. เด็กที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน คนรอบตัว มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง

4. เด็กที่มีความรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีความหมาย เป็นที่รัก มีประโยชน์กับคนอื่น หรือเป็นความสุขของบางคน 

5. เด็กคิดเป็น

พ่อแม่สร้างแค่นี้ ไม่ต้องไปกังวลว่าใครเก่ง เป็นที่ 1 มันไม่ได้บอกอะไรเลย ตอนนี้เด็กเรียนแพทย์หลายคนเป็นซึมเศร้า มันไม่ได้มีอะไรบอกว่าถ้าลูกเราทำแล้วจะมีความสุขเหมือนอย่างเขา หลักมีแค่ ลูกเรา 1. ควบคุมตัวเองได้ไหม 2. คิดยืดหยุ่นเป็นหรือเปล่า 3. มีความจำที่ดีไหม 4. ถ้าทำได้เท่านี้ ชีวิตประสบความสำเร็จได้ จะเสพอะไรก็ควรชั่ง ว่าเราได้ประโยชน์หรือได้โทษจากมัน ถ้าเราได้ประโยชน์ เช่น เราส่องแล้วเห็นว่ามันมีบางอย่างพัฒนาลูกเราบ้าง เห็นวิธีการเลี้ยง เห็นวิธีคิด แล้วเอามาปรับกับเราได้ ก็เสพไป แต่ถ้าเราเสพแล้วเราเริ่มทุกข์ เห็นคนอื่นพาภรรยาไปดินเนอร์ ทำไมเราไม่เห็นมี แล้วมันเกิดความทุกข์ ก็ต้องเริ่มเลือกแล้วล่ะ หมอบอกเลยว่าต้องปิดโซเชียล

ลูกคุณไม่ได้ดีด้วยการถูกชื่นชมโดยใครในเฟซบุ๊ค หรือต้องมีอะไรไปอวดใคร ลูกคุณดีจากการเลี้ยงดูของคุณ เพราะฉะนั้นก็ต้องเลือก ถ้าไม่มีความสุขจากการเสพอะไรบางอย่าง ต้องหยุด

ถ้าเขาทุกข์ เขาไม่มาโพสต์โซเชียลหรอก?

ใช่ๆ โซเชียลมันไม่ใช่โลกที่อวดเรื่องทุกข์ มันถูกเอาไปเป็นพื้นที่อวดความสุข มันก็ไม่แปลกที่จะเปิดไปเจอนู่นนี่นั่น แต่เขาเลือกมาแล้วว่าเขาอยากบอกสิ่งนี้ ความทุกข์อีก 90 เปอร์เซ็นต์ เขาไม่ได้บอก หน้าที่ของเราคือเลือกรับและเสพแบบมีสติ ยินดีเมื่อเห็นความสุขของคนอื่น อย่ามีกิเลส อย่าเปรียบเทียบให้เกิดความทุกข์ น้อยเนื้อต่ำใจ

อย่างหมอเขียนเพจ หมอก็เขียนเวลาหมอทำได้ดี เวลาหมอวีนใส่ลูก หมอก็ไม่ได้เขียนตลอดมันก็ธรรมชาติ หมอก็ไม่รู้จะเขียนไปทำไม ก็เขียนก็ตอนเลี้ยงลูกเชิงบวกแล้วได้ผล คนก็อ่าน ตอนนี้หมอวีนก็เอามาเล่า คนก็ได้เรียนรู้ชีวิตจริง

ตอนหลังพยายามเขียนวีนบ่อยๆ เดี๋ยวคนคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องดีงาม วีนได้ เราเป็นมนุษย์ มีความรู้แต่ไม่มีสติไง (หัวเราะ)

ดังนั้นหมอคิดว่างานสำคัญของพ่อแม่คือหาความรู้แต่รู้แล้วไม่ทำก็ช่วยอะไรลูกไม่ค่อยได้ สำคัญที่สุดคือสติ เป็นงานที่สำคัญจริงๆ ถ้ามีเวลาควรทำ เหมือนการออกกำลังกาย แต่การฝึกสติเหมือนการออกกำลังใจ ฝึกบ่อยๆ ทำบ่อยๆ ก็ทำได้เก่งขึ้น สติมาไวขึ้น ก่อนจะพูดหรือหลุดคำแย่ๆ ไปกับลูก สร้างบาดแผลให้ลูก 

ดังนั้น เรียนรู้เรื่องหลักการเพื่อได้รู้ แต่จะทำได้ไหมขึ้นกับเรื่องการฝึกสติจริงๆ แล้วถ้าเราไม่ได้ฝึกสติมันจะออกมาเป็นวิธีเชิงลบหมดเลย เพราะเราเติบโตมาแบบนั้น เคยชินกับคำพูดแบบนั้น เราถูกใช้คำพูดแบบนั้นมา เราก็ใช้วิธีการแบบที่เราอยู่กับมันมา ฉะนั้นมันจึงต้องอาศัยสติขั้นสูงที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็นพ่อแม่เลี้ยงลูกเชิงบวก

คำพูดเชิงลบที่มักใช้สอนลูก ที่ผ่านมามีอะไรบ้าง

เยอะมาก คำพูดเชิงลบอยู่ในวัฒนธรรมตั้งแต่แรกเกิด เกิดมาเด็กก็ถูกชมว่าน่ารักไม่ได้ ต้องพูดว่าน่าเกลียด เศร้าไหมล่ะเกิดมาบนโลก มีแต่คนมาบอกว่าแกหน้าตาน่าเกลียดจังเลย ชมก็ไม่ได้เพราะมีความเชื่อ ชมเดี๋ยวผีมาลักไป อุ้มก็ไม่ได้ อุ้มเดี๋ยวติดมือ ต้องปล่อยร้อง ซึ่งผิดหลักการสุดๆ

เด็กขวบปีแรกเป็นวัยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ปีแรกตามหลักจิตวิทยาจะเป็นปีแห่งการสร้าง trust ความไว้เนื้อเชื่อใจว่าโลกปลอดภัย ร้องแล้วมีคนอุ้ม เปียกแล้วมีคนเปลี่ยนผ้าอ้อม หิวแล้วมีนมลอยใส่ปากทันที อันนี้จะสร้างความรู้สึกว่าโลกปลอดภัย ซึ่งสำคัญมากต่อการพัฒนาขั้นตอนต่อไปในชีวิต

ดังนั้นเด็กที่ฟอร์ม trust ไม่ดี ร้องก็ถูกปล่อยให้ร้อง ไม่มีใครมาอุ้ม จะโตมาเป็นเด็กยาก หวาดกลัว ระแวดระวัง กังวลเพราะถูกเลี้ยงดูมาแบบไม่ปลอดภัย อะไรก็น่ากลัวไปหมด ดังนั้นความเชื่อนี้เป็นความเชื่อเชิงลบที่อยู่ติดเรา อย่าชม เดี๋ยวเหลิง เดี๋ยวได้ใจ ทั้งที่จริงๆ เด็กเติบโตงดงามได้ด้วยคำชม เวลาชม สมองจะเบิกบานมีความสุข อยากทำอีก

หรือขู่ให้กลัว ดื้อเดี๋ยวหมอฉีดยา เดี๋ยวตำรวจมาจับ?

การทำให้เกิดความกลัว สามารถควบคุมได้สั้นๆ แต่เด็กไม่เรียนรู้เลยว่าทำไมต้องทำตัวดีๆ เวลาจะตรวจ เด็กรู้แต่ว่ากลัวก็เลยต้องหยุด พอถึงเวลาก็โดนฉีดยาจริงๆ เด็กก็จะสับสน ฉันดื้อเหรอ ทำไมฉันโดนฉีดยาล่ะ ฉันก็ไม่ได้ดื้อนะ เกิดความขัดแย้งอีก

คำขู่ คำหลอกทั้งหลาย เดี๋ยวตุ๊กแกกินตับ ร้องไห้เดี๋ยวซีอุยมากินตับ มันไปกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์ มีเด็กที่ยอมเพราะกลัวแต่ยอมแล้วไง กังวล ทีนี้จะออกไปไหนก็ไม่ได้ แม่หายไปก็ร้องเพราะกลัว เครียด สมองแห่งความเครียดก็เป็นสมองที่พัฒนาไม่ดี ฉะนั้นก็ต้องมามองว่า ทำให้ลูกทำในสิ่งที่เราต้องการ แต่ลูกสูญเสียอะไร และมีผลกระทบอะไรเกิดกับลูก เด็กบางคนโดนหลอกจนแม่หนีหายไปไม่ได้ ซึ่งลำบาก

ชมน่ารักไม่ได้ ผีมาลัก แม่ซื้อจะมาเอาตัวไป บางทีมันมาจากรากของการคิดว่าห้ามชมเดี๋ยวเด็กเหลิง

เด็กเมื่อเกิดความกลัว ความกล้าอยากทำอะไรก็ไม่มี สมมุติเราหลอกว่า เดี๋ยวซีอุยจะกินตับ มืดๆ ไม่กล้าออกจากบ้าน เสร็จแล้วเป็นปัญหาร้องโยเย กวน ขอให้อุ้ม แม่ก็หงุดหงิด ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง นำไปสู่ปัญหาอื่นๆ มากมายจากการพัฒนาไม่ได้ดีตามวัย

เรื่องอะไรที่คุณหมอให้คำปรึกษาบ่อยที่สุด

หลักๆ คือเรื่องการจัดการอารมณ์ของลูก ลูกอาละวาด โวยวาย ร้อง ไม่ฟัง ดื้อ พูดแล้วเถียง

ทางออกคือการจัดการอารมณ์ สมองของเด็กเป็นสมองอารมณ์เป็นหลัก จริงๆ เขามีความต้องการบางอย่างแต่เขาใช้วิธีอื่นไม่เป็น เรียนรู้ที่จะใช้อารมณ์ โวยวาย อาละวาด

วิธีการจัดการ อันดับแรกคือ ไม่ให้สิ่งที่เด็กต้องการ เช่น ลงไปอาละวาดอยากได้ของ พ่อแม่ไม่ควรหยิบยื่นของให้ เพราะเด็กจะรับรู้ว่าวิธีการนั้นจะคงอยู่ตามธรรมชาติ เพราะเด็กเรียนรู้จากการตอบสนองของผู้ใหญ่

อันดับสอง เข้าใจธรรมชาติของอารมณ์เด็ก เปรียบเทียบเหมือนกองไฟ เวลาไฟลุก การจะดับไฟ ทำได้ไม่กี่อย่างคือ หนึ่ง เอาน้ำดับ น้ำคือการกอด การทำให้สมองสงบ คำพูดแสดงความรู้สึกโกรธ โกรธใช่ไหมลูก หนูเศร้าเนอะ มา แม่อยู่นี่ ทำให้เกิดความสงบ

ประเด็นคือพ่อแม่ชอบเติมเชื้อเพลิง แค่นี้เอง ทำไมต้องร้องด้วย ทำไมเป็นเด็กงอแงอย่างนี้ ฉันเบื่อมากเลยนะ เลี้ยงลูกมาแล้วเป็นเด็กแบบนี้ อันนี้ยิ่งเติมเชื้อเพลิง ไฟเลยไม่ดับ ความเศร้าตอนแรกมันก็เลยทวีจากเชื้อเพลิงที่เติม

เช่น ลูกกำลังแย่งของอยู่ ก็ดึงออกมาจากพื้นที่ตรงนั้้น ลงไปร้องดิ้นหน้าร้าน ก็เอาออกมาจากร้าน สุดท้าย ไม่ทำอะไรเลย ไฟก็ดับ รอ ไม่ต้องทำอะไร กอดลูก ไม่ให้กอดก็นั่งข้างๆ ไม่มีเด็กคนไหนร้องไห้จนเสียชีวิต เขาจะได้เรียนรู้จากการจัดการอารมณ์ของเขา

ต่อมา ลูกมีทางเลือก อยากได้แล้วลงไปดิ้น โกรธแล้ว ทำอะไรได้ เช่น มานั่งกับแม่ตรงนี้ ขีดเขียนได้ แต่ปาของไม่ได้ คือมีทางเลือกให้ว่าถ้าไม่ทำอันนี้ จะทำอะไรได้บ้างที่จะแสดงความโกรธ

เด็กวัยรุ่นซึมเศร้ามากขึ้น มีความเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงลูกเชิงลบมากน้อยแค่ไหน

ซึมเศร้ามีหลายปัจจัย ปัจจัยหนึ่งก็คือ ปัจจัยทางสมองของเด็กเอง บางคนอาจมีความผิดปกติของสมองคือสารบางอย่าง เป็นกรรมพันธุ์ พ่อแม่ ปู่ย่าตายายเป็นซึมเศร้า ก็มีความเสี่ยงเยอะกว่าเด็กกลุ่มอื่น

ประการที่สอง การเลี้ยงดู ซึ่งมีผลอย่างแน่นอน

ที่เจอเยอะๆ เลยคือการเลี้ยงดูที่ถูกทอดทิ้ง มีพ่อแม่แต่ไม่มีใครใส่ใจ ไม่มีใครคุยด้วย ไม่มีเวลาคุณภาพ เลี้ยงลูกให้เงินกินข้าว มีที่ให้อยู่ แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ที่ดี เด็กก็จะรู้สึกไม่มีตัวตน ไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย

อีกแบบหนึ่ง การเลี้ยงดูเชิงลบที่ทำให้เกิดบาดแผล เช่น ตำหนิ ตบตี ต่อว่ารุนแรง ทำให้รู้สึกเกิดการเปรียบเทียบ การเลี้ยงดูที่ทำให้รู้สึกลดทอนคุณค่าของตัวเอง ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กพัฒนาเป็นโรคซึมเศร้าได้

เดี๋ยวนี้ไม่ได้เจอเฉพาะวัยรุ่น ในเด็กเล็กๆ เราก็เจอว่าซึมเศร้ามาตั้งแต่เด็กได้

อีกอันหนึ่ง สังคม สิ่งแวดล้อม เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดซึมเศร้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะปัจจุบัน สื่อเข้าถึงตัวเด็ก เพื่อน โรงเรียนก็เป็นปัจจัยสำคัญ โรงเรียนที่ไปแล้ว ฉันไม่เคยมีความหมายอะไร ครูก็ชมแต่เด็กเรียนเก่ง หรือถูกตีตราว่าอยู่ห้องบ๊วย ทั้งหมดพัฒนาความรู้สึกแย่กับตัวเองได้ หรือเพื่อน ที่มีการแกล้ง ล้อ รังแก ไซโคหรือไซเบอร์บุลลี่ พวกนี้ก็ส่งผลกระทบ

ที่สำคัญมากๆ เลยคือสื่อ มีบทบาทกับวัยรุ่นเยอะ สื่อเข้าถึงวัยรุ่นเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เปิดไปเจอดาราหุ่นดี เราหุ่นไม่ดีก็เครียด โดยเฉพาะในวัยที่กำลังพัฒนาความเป็นตัวตน อยากสวย ดูดี เปิดเฟซบุ๊คไปก็เจอเพื่อนคนนั้นก็ดี เพื่อนคนนี้มีพ่อแม่พาไปเที่ยว มีการเปรียบเทียบ

ไซเบอร์บุลลี่ผ่านโลกออนไลน์ก็เยอะมาก บางทีไม่ได้มาแบบโพสต์ด่ากัน แต่เป็นการบุลลี่กันในเชิงจิตวิทยา เช่น โพสต์ไปในกรุ๊ปไลน์ไม่มีใครตอบ แต่พอเพื่อนอีกคนโพสต์ มีคนเข้ามาตอบมาคุยเต็มเลย หรือโพสต์รูปลงไนเฟซบุ๊ค ไม่มีคนกดไลค์ หลายคนก็เครียดแล้ว หรือไลค์น้อยกว่ารูปเดิม พวกนี้มีผลกับความเศร้าของเด็กได้มาก

แต่หมอเชื่อว่าครอบครัวก็ยังเป็นหลักสำคัญ ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น รู้สึกตัวเองมีค่า มีความหมาย เป็นที่รักของพ่อแม่ มันก็จะเป็นเกราะป้องกันสำคัญ

ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นครอบครัวที่ครบพ่อแม่ลูก?

ไม่จำเป็น เป็นครอบครัวที่มีใครสักคนที่พร้อมและตั้งใจจะเลี้ยงดู ทำให้เขาเป็นเด็กที่มีความสุข แค่นี้ก็พอแล้ว

หรือว่าเราไม่ควรจะมีคำว่าพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา

หมอไม่เคยคิดว่าจะต้องนิยามคำว่าพ่อแม่ที่ดี แค่ติดกับคำว่าต้องเป็นพ่อแม่ที่ดี นี่ก็เป็นความทุกข์แล้วนะ แค่ต้องสงสัยว่าดีพอหรือยัง แค่นี้เรียกว่าดีไหม นี่เรียกว่าดีหรือเปล่า หมอว่ามันเป็นความทุกข์ของการเป็นพ่อแม่แล้วนะ

ที่สำคัญ ดีนี่มันต้องแลกกับอะไร คือเป็นคนดีมากๆ มันต้องแลกกับการไม่เป็นตัวเอง การต้องไม่ผิดพลาด ไม่ต้องหรอกเป็นพ่อแม่ธรรมดานี่แหละ เป็นพ่อแม่ที่ผิดพลาดได้ ทำไม่ถูกบ้าง มีงี่เง่า โมโห โกรธ ก็เป็นพ่อแม่ที่ปกติมนุษย์

พ่อแม่ที่ดีสำหรับหมอคือพ่อแม่ที่พัฒนาตัวเอง เป็นพ่อแม่ที่เรียนรู้ คอยประเมินตัวเองเสมอว่าเราโอเคหรือเปล่า ลูกโอเคไหม เรามีอะไรที่ต้องพัฒนา มีอะไรที่ต้องทำให้ดีขึ้น ให้เวลากับลูกเยอะพอหรือยัง หมอว่าพ่อแม่เหล่านี้คือพ่อแม่ที่ดีพอ

ความเป็นคนดี เป็นจิตวิทยาเชิงลบหรือเปล่า

มันเป็นเงื่อนไข มนุษย์ไม่มีใครดีทั้งหมด และไม่มีใครชั่วไปหมด มีดีไม่ดีผสมกัน แต่พอเราบอกว่าต้องดี ดีอะไร ดีแบบยุงไม่ตบหรือเปล่า มันก็มีคำว่าดีหลากหลายรูปแบบมาก ไม่มีใครดีพร้อม

เอาแค่ดีพอ แค่พัฒนาตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น กับตั้งใจจะเป็นกัลยาณมิตรของลูก คือ คนที่เอื้อเฟื้อต่อกันและไม่ทำร้ายกัน หมอว่าแค่นี้ดีพอแล้วนะ

แล้วคนที่คิดว่าตัวเองเป็นพ่อแม่ที่ดีมากแล้ว อันตรายไหม

ก็อันตรายเหมือนกันนะ พอเราคิดว่าเป็นพ่อแม่ที่ดีมากแล้ว มันก็จะไม่พัฒนาตัวเอง อะไรที่เราคิดว่าดีแล้ว พร้อมแล้ว เราก็ไม่หา ซึ่งมนุษย์ไม่มีใครเป็นอย่างนั้น มันไม่มีใครที่ดีพร้อม มันอาจจะดีในระดับหนึ่ง แต่อย่าคิดว่าตัวเองดีพร้อมเลย

ที่สำคัญ ความเป็นมนุษย์เปลี่ยนแปลงเสมอ ความเป็นพ่อแม่ของเราวันนี้ ก็ไม่ใช่ความเป็นพ่อแม่ของเราเมื่อ 3 ปีที่แล้ว หรืออาจไม่ใช่พ่อแม่ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความเป็นคนของเราเปลี่ยนแปลงเสมอเลย ดังนั้นถ้าเราไม่คอยที่จะตรวจตราตัวเองว่าเราเป็นยังไง 

หมอไม่เชื่อว่าพ่อแม่ควรรู้สึกว่าตัวเองดีแล้วและไม่พัฒนา พ่อแม่ควรประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลา และไม่ต้องดีพร้อม

สงสยว่าในอนาคต จิตวิทยาการเลี้ยงลูกเชิงบวกจะต้องเปลี่ยนไปจากนี้อีกหรือไม่

คิดว่าหลักของจิตวิทยาเชิงบวกไม่เปลี่ยนเพราะอธิบายได้ด้วยการทำงานของสมองมนุษย์ ซึ่งไม่เปลี่ยน มันเป็นแบบนี้แหละ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ 2500 กว่าปีที่แล้วก็ไม่เปลี่ยน คือ ‘สติมาปัญญาเกิด’ นักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่ามันอธิบายได้ว่าเมื่อสมองส่วนอารมณ์ทำงาน สมองส่วนคิดปิดทำการ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด คือถ้าสติเสีย ปัญญาไม่เกิด มันไม่เคยเปลี่ยน

แต่การเลี้ยงลูกเป็นศิลปะ มันจะเปลี่ยนแค่รายละเอียดของหลัก วิธี เทคนิค เช่น ต่อไปเราอาจไม่ค่อยสื่อสารกันผ่านคำพูดแล้ว ผ่าน text แต่หลักมันไม่เปลี่ยนเพราะนี่เป็นหลักทางวิทยาศาสตร์ที่มันอธิบายได้ด้วยหลักการพัฒนาของสมองมนุษย์จริงๆ  

นอกจากใช้สื่อสารกับลูกแล้ว เราจะใช้จิตวิทยาเชิงบวกสื่อสารกันเองอย่างไร ให้ไม่เกิดบาดแผล

การสื่อสารเชิงบวกเป็นทักษะที่เราควรฝึก มีหลายแบบ เริ่มตั้งแต่ฟังให้เป็น พ่อแม่ส่วนใหญ่ฟังไม่ค่อยเป็น ลูกพูดอะไรมาก็เตรียมสอน เหมือนโดนโปรแกรมมาว่าพ่อแม่มีหน้าที่สั่งสอนลูก จริงๆ ไม่ใช่ พ่อแม่มีหน้าที่รับฟัง และตั้งคำถามเพื่อให้ลูกคิด ซึ่งการคิดจะผ่านกระบวนการทำให้สมองจดจำ 

เรื่องการสื่อสารที่ต้องใช้คำพูด กระทั่งการออกคำสั่ง จริงๆ สั่งยังไงให้ลูกทำโดยที่ไม่รู้สึกว่าถูกสั่ง เป็นศิลปะ และเป็นหลักที่ใช้วิทยาศาสตร์อธิบาย เช่น ไม่กระโดด คำว่า ห้าม อย่า ไม่ ฯลฯ คำเหล่านี้ทำให้สมองทำงานไม่รู้เรื่อง แต่มีเทคนิคสั่งอย่างอื่นทำให้เด็กร่วมมือได้ง่ายกว่า นี่เป็นศิลปะ

หรือการแสดงความคิดเห็นหรือคุยกับลูก บ้านเราชอบใช้คำพูดเชิงลบ หรือ U message “ทำไมไม่รับสาย” แต่จริงๆ ความหมายเหมือนกันกับคำว่า “แม่/พ่อโทรติดต่อลูกไม่ได้เลย” ฝรั่งจะพูดแบบ I message เยอะ แต่เราจะแบบ ทำไมกลับบ้านดึก ทำไมกลับบ้านเอาป่านนี้ จริงๆ เราเป็นห่วงนะ แต่ชอบพูดในสิ่งที่ blame คนอื่น ทำให้เกิดความเจ็บปวด ทำให้รู้สึกแย่ ซึ่งเป็นคำพูดติดปากจริงๆ

จริงๆ การสื่อสารที่ใช้ I message หรือคำพูดจากตัวเรา เช่น “แม่เป็นห่วงมากเลย เห็นลูกบอกว่าลูกจะกลับตอนสองทุ่ม เกิดอะไรขึ้นเหรอลูก” ความหมายเดียวกันกับ “ทำไมกลับบ้านเอาป่านนี้” แต่พอสื่อสารคนละรูปแบบ ความรู้สึกต่างกัน ดังนั้นการสื่อสารเชิงบวกควรเป็นสิ่งที่ควรศึกษาเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์

ทุกคนใช้การสื่อสารแบบนี้ได้หมด จะฟังยังไงให้เหมือนเราฟังอยู่ จะพูดยังไงให้เขารับรู้สิ่งที่เรารู้สึก แบบที่เขาไม่รู้สึกว่าถูกตำหนิ ต่อว่า สั่งยังไงให้เด็กอยากทำตามโดยที่ไม่รู้สึกกดดัน รำคาญ หงุดหงิดใจที่มีคนมาสั่งทุกวัน วันละเป็นพันครั้ง อันนี้ต้องเรียนรู้

จะมีวิธีอะไรบ้าง ที่ดูแลใจพ่อแม่ ไม่ให้รู้สึกผิดว่าฉันแย่ ดีไม่พอ เพราะทุกคนก็อยากเลี้ยงลูกเชิงบวก

หมอว่าก็มองเป็นมนุษย์ธรรมดา การคาดหวังว่าเราจะต้องเป็นพ่อแม่แบบนี้แบบนั้น มันทำให้เราเจ็บปวด แต่ถ้าเรามองตัวเองอย่างเข้าใจในความเป็นมนุษย์ธรรมดาของเรา

ที่หลายครั้งมีข้อจำกัด มีเวลากับลูกไม่เยอะ ซื้อของให้ลูกได้แค่นี้ มองสิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นความธรรมดา มันก็เป็นแบบนี้แหละ และไม่ได้แปลว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่เรามอบให้ลูก ความไม่ได้ ไม่มี ไม่เป็น หลายครั้ง ก็เป็นจุดที่ทำให้ลูกพัฒนาไปได้ดีเหมือนกัน

เด็กที่อดใจอยู่กับความไม่ได้ อยากมีแล้วไม่ได้ ก็พัฒนาตัวตนในอีกรูปแบบหนึ่ง คือเข้าใจความเป็นมนุษย์ธรรมดาของตัวเองที่มีข้อจำกัดที่มีอารมณ์เป็นปกติ ที่จะหลุดปรี๊ด หลุดโมโห ใช้อารมณ์ เผลอตีได้ และให้อภัยตัวเอง

พ่อแม่ที่ไม่ให้อภัยตัวเองก้าวต่อยากมาก สิ่งที่ควรทำคือ กอดตัวเองว่าเราก็ธรรมดา เราก็ทำดีที่สุดแล้ว เราไม่เคยมีเจตนาไม่ดีกับลูกแต่เราเป็นมนุษย์ธรรมดาที่มีผิดมีพลาดแล้วก้าวต่อ อันนี้สำคัญคือการให้อภัยกับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง และอย่าคาดหวังว่าต้องสมบูรณ์แบบ เราเป็นพ่อแม่ปกติที่มีลูกประสบความสำเร็จและมีความสุขได้

พ่อแม่มัวไปแบกอะไรอยู่

แบกความคาดหวังไง ทั้งตัวเองและลูก ปู่ย่าตายาย โซเชียลด้วย เดี๋ยวนี้แค่ไม่มีเรื่องลูกโพสต์ในเฟซบุ๊คก็ทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรจะอวดเลย ต้องตั้งสติดีๆ เด็กไม่ได้เติบโตจากการที่พ่อแม่มีอะไรอวดบนเฟซบุ๊ค แต่เด็กเติบโตได้ดีเพราะพ่อแม่มีเวลาคุณภาพให้ พ่อแม่ฝึกวินัยเชิงบวก พ่อแม่สอน พาเล่นทำกิจกรรม หาประสบการณ์ที่สร้าง EF หมอว่าเท่านี้พอแล้ว

Tags:

จิตวิทยาวินัยเชิงบวกโซเชียลมีเดียพญ.จิราภรณ์ อรุณากูรความปลอดภัยไซเบอร์พ่อแม่

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Early childhood
    ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’

    เรื่อง

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Early childhood
    ยังตีอยู่ไหม เมื่อตีลูกให้จำ ทำลายความผูกพันและเพิ่มพฤติกรรมเสี่ยง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenager
    ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    ทำไมพ่อกับแม่ถึงชอบแชร์เรื่องของหนู?

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel