Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Year: 2019

หน้าร้อนสานเข่งใส่หอม หน้าฝนสานตระกร้าเก็บเห็ด: วิชาของเด็กบ้านสันตับเต่า
Creative learningCharacter building
4 April 2019

หน้าร้อนสานเข่งใส่หอม หน้าฝนสานตระกร้าเก็บเห็ด: วิชาของเด็กบ้านสันตับเต่า

เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • การเรียนรู้นอกห้องเรียนของเยาวชน 6 คนจากชุมชนบ้านสันตับเต่า อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน กับโครงการอนุรักษ์งานจักสานที่เป็นภูมิปัญญาของผู้เฒ่าผู้แก่ในชุมชน
  • ครูของเด็กๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือปราชญ์ชุมชนและธรรมชาติในท้องที่
  • อุปสรรคทำให้คนแกร่งขึ้น ทั้งความกล้าแสดงออก การฝึกสมาธิผ่านการจักสานการทำงานร่วมกันเป็นทีม การทำงานแข่งกับเวลา แต่เหนืออื่นใด โครงการกลายเป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการใช้เวลาว่างของเยาวชนได้เป็นอย่างดี
ภาพ: พัชรี ชาติเผือก

ในยุคที่บรรจุภัณฑ์พลาสติกหาง่ายและทนทาน ไม่แปลกที่งานจักสานจะค่อยๆ เลือนหายไปจากวิถีของชุมชน ขณะเดียวกัน เมื่อเราหาความเพลิดเพลินจากโลกออนไลน์ได้ง่ายกว่าการพบปะเห็นหน้า ปัญหาการใช้เวลาว่างของเด็กๆ จึงเกิดขึ้น

นี่คือ 2 สถานการณ์ ที่ชุมชนบ้านสันตับเต่า อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน กำลังเผชิญอยู่ และก็คงดิ่งลงเรื่อยๆ ถ้าไม่มีตัวดึงกราฟให้กลับขึ้นมาอย่าง โครงการอนุรักษ์การจักสาน การประดิษฐ์ และงานฝีมือของ 6 สาว เลือดใหม่กลุ่มแรกของหมู่บ้าน ที่รวมกลุ่มกันพัฒนาบ้านเกิดด้วยการชุบชีวิตงานจักสายของผู้เฒ่าผู้แก่ให้กลับมาสวยสดใส-ไม่ล้าสมัย อีกครั้ง 

ทำไมต้องจักสาน

โครงการอนุรักษ์การจักสาน การประดิษฐ์ และงานฝีมือ เกิดจาก แม่แดง-มาลัย วงค์อำนาจ ที่ปรึกษาโครงการชักชวน 4 สาวในหมู่บ้าน คือ แพร-ศิริพร บังคมเนตร, แพรว-บุษยา สิทธิตัน, อิ๋ม-กนกวรรณ มูลนำ, และ นิ้ง-บุชายา กองมา ซึ่งเป็นลูกมือช่วยทำผลิตภัณฑ์สมุนไพรชุมชนอย่างสบู่ ยากันยุง ลูกประคบ ฯลฯ อยู่ก่อนแล้ว มารวมกลุ่มทำโครงการพัฒนาบ้านเกิดร่วมกัน ซึ่ง 4 สาวที่มีไฟอยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ ก็ชวนเพื่อนอีก 2 คน คือ บีม-อภิชญา มูลรัตน์ และ ทิพย์-ชรินทร์ทิพย์ หนานอิน มาร่วมทีมพร้อมทั้งแบ่งบทบาทหน้าที่กัน โดยให้นิ้งเป็นหัวหน้าโครงการ

เริ่มแรก สาวๆ สนใจเรื่องอาหาร เพราะเห็นเด็กหลายคนในหมู่บ้านมีภาวะอ้วนจากโภชนาการที่ไม่เหมาะสม จึงคิดรณรงค์เรื่องการกินผักและสมุนไพร แต่จากการประเมินแล้วพบว่ากระบวนการทำงานต้องใช้เวลานาน ทีมจึงพักประเด็นเรื่องอาหารไว้ก่อน แล้วหันมาจับเรื่องใกล้ตัวอย่างการจักสานแทน

“งานจักสานบ้านเรามีเยอะ ญาติหนูก็สานกล่องข้าว บ้านอื่นก็สานอย่างอื่น แต่มันไม่แพร่หลาย คนที่ทำเป็นคนแก่ คนในชุมชนก็ไม่ค่อยสนใจ เลยอยากอนุรักษ์และจะได้สอนน้องในชุมชนต่อด้วย” ทีมงานบอก

เมื่อได้หัวข้อ ทีมจึงลงพื้นที่เก็บข้อมูลปราชญ์ชุมชน ก่อนจะพบว่าในหมู่บ้านมีผู้รู้ด้านงานจักสานอยู่ถึง 11 คน มีภูมิปัญญางานจักสานที่หลากหลาย ทั้งก๋วยสลาก กล่องข้าว สานสุ่มไก่ ซุ้มทางมะพร้าว ดอกกุหลาบใบเตย เข่ง หิง (สวิง) กระด้ง เปาะเห็ด (ตระกร้าหาเห็ด) ข้อง และไซ ซึ่งส่วนใหญ่นี้ไม่มีผู้สืบทอดองค์ความรู้ต่อ

ทีมจึงรวบรวมกลุ่มเป้าหมายเป็นน้องๆ มัธยมต้นในหมู่บ้านจำนวน 10 คน (จากเยาวชนทั้งหมดของหมู่บ้าน 50 คน) โดยใช้วิธีการเชิงรุก บุกถามความสมัครใจถึงบ้าน

“จากนั้นเราก็ไปชี้แจงกับพ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) บอกว่าพวกหนูทำโครงการเรื่องนี้ ขอใช้สถานที่ศาลากลางหมู่บ้านเป็นที่จัดอบรม ซึ่งพ่อหลวงยินดี และบอกด้วยว่าโครงการนี้ดี” แพรบอกวิธีทำงาน

หัวร้อนก็จะทำ

เมื่อกลุ่มเป้าหมายพร้อม สถานที่พร้อม ทีมก็เริ่มเคลื่อนงานด้วยการไปเรียนรู้งานจักสานจากปราชญ์ชุมชน ฝึกทำกุหลาบใบเตย ซุ้มทางมะพร้าว กล่องข้าว และก๋วยสลาก ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกวัสดุไปจนถึงการสานออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ โดยไปเรียนรู้ที่บ้านปราชญ์ 1 วัน พร้อมเก็บองค์ความรู้ด้วยการถ่ายวิดีโอ แล้วกลับมาฝึกเพิ่มความชำนาญด้วยตัวเองที่บ้านแม่แดงอีก 3 วัน

“เราไปเรียนด้วยกันทั้งหมดเลยค่ะ เพราะถ้าเราไม่รู้เราก็ไปสอนไม่ได้ เราต้องเรียนรู้ก่อน ต้องทำได้ด้วย ไม่อย่างนั้นน้องเขาก็ไม่เชื่อ” ทีมงานเล่าถึงกระบวนการเรียนรู้

นอกจากจะเป็นการศึกษาภูมิปัญญาของชุมชนแล้ว ทีมยังได้ฝึกความอดทนและพยายามด้วย

“สานใบเตยเป็นดอกไม้ยากค่ะ ต้องใจเย็นๆ ทำจนหัวร้อน ไม่อยากทำแล้วก็มี แต่เห็นเพื่อนๆ ทำกันได้ก็ต้องพยายาม เพราะเราอยากทำให้ได้บ้าง” แพรเล่าพร้อมหัวเราะ

หลังจากมั่นใจในฝีมือตัวเองระดับหนึ่ง ทีมก็เริ่มกระบวนการจัดอบรมการสานใบมะพร้าวและใบเตยให้น้องๆ โดยเชิญปราชญ์มาร่วมสอน แม้ว่าผลที่ออกมาจะมีน้องหัวร้อนหรือหงุดหงิดกันบ้าง แต่ทุกคนก็ได้เรียนรู้หลักการสาน แม้จะยังไม่ค่อยสวยมากก็ตาม

เมื่อครั้งแรกสำเร็จด้วยดี การอบรมครั้งที่ 2 จึงตามมา โดยรอบนี้เป็นการสานก๋วยสลากและกล่องข้าว ซึ่งน่าสนใจตรงที่นอกจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นน้องๆ จากรอบแรกแล้ว ยังมีผู้ใหญ่เข้ามาร่วมเรียนรู้ด้วย

“น้องหายไปประมาณ 3-4 คนเพราะติดธุระ แต่มีผู้ใหญ่ประมาณ 10 คน มาดูแล้วก็มาทำด้วย เราก็เลยได้สอนให้เขาทำไปด้วย” ทีมงานเล่า

จากครั้งที่ 2 ต่อยอดสู่ครั้งที่ 3 ครั้งนี้พิเศษตรงที่เป็นการทำเพื่อใช้งานจริง ทีมร่วมกับน้องๆ ทำก๋วยสลากเพื่อใช้ในวันกินก๋วยสลาก งานนี้สร้างความแปลกประหลาดใจให้ผู้ใหญ่เป็นอย่างมาก เพราะทุกคนล้วนพกตะกร้าพลาสติกไปร่วมงาน มีแต่ทีมเท่านั้นมาพร้อมตะกร้าสานงานประณีต 

สานไป เติบโตไป

การทำก๋วยสลากไปวัดในครั้งนั้นถือเป็นการเปิดตัวโครงการของทีมกับชุมชนอย่างเป็นทางการ ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก ชี้วัดได้จากการจัดเวทีคืนข้อมูล ที่ตอนแรกทีมตั้งใจเพียงจะฉายวิดีโอสรุปงานให้ผู้ใหญ่บ้านดูเท่านั้น แต่ปรากฏว่ามีคนมาร่วมงานกว่า 40 คน

“เราเล่าที่มาของโครงการนี้ ให้ข้อมูลว่าบ้านเรามีปราชญ์ผู้รู้กี่คน ข้อดีข้อเสียของก๋วยสลากและกล่องข้าว เคล็ดลับการทำ เพื่อให้คนในชุมชนเห็นความสำคัญและอนุรักษ์ไว้ และก็ขอความคิดเห็นจากผู้ใหญ่ด้วยว่าโครงการของเราเป็นยังไงบ้าง ผู้ใหญ่ก็ชมว่าโครงการดี ทำดี มีคนบอกว่าเราสามารถทำเป็นสินค้าโอท็อป ลงขายในเฟซบุ๊คได้ด้วย” แพรเล่าขั้นตอนการคืนข้อมูล

แพรวเสริมว่า “สิ่งประดิษฐ์บางชนิดหาวัตถุดิบยาก เช่น ใบตาล ไม้ไผ่ ลุงคนหนึ่งที่เขาขายใบเปล่าๆ ก็บอกว่าถ้าไม่มีให้ไปเอาที่บ้านลุงได้นะ คือผู้ใหญ่สนับสนุนให้ทำ สนับสนุนกันเยอะมาก” และเสริมว่า ไม่ใช่เพียงทำเพื่อใช้ในโครงการเท่านั้น แต่ทีมยังต่อยอดงานจักสานไปสู่การใช้งานจริงในชุมชน รวมถึงสร้างรายได้จากภายนอกอีกด้วย

“ถ้ามีกิจกรรมในชุมชนเราก็จะมีส่วนร่วมด้วย อย่างสานใบมะพร้าว หรืออย่างไปงานที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์ลำพูน เขาก็สั่งทำซุ้มทางมะพร้าว ก็ได้ค่าจ้างมา” ทีมงานเล่าด้วยความภูมิใจ

ถือเป็นความสำเร็จของทีมในแง่ผลลัพธ์ของโครงการ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือความสำเร็จส่วนตัว ที่สมาชิกทีมแต่ละคนได้ฝึกฝนทักษะและประสบการณ์ในการทำงานจริง

“ทำโครงการกันมา 7 เดือน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็คือ เป็นคนตรงต่อเวลามากขึ้นค่ะ (หัวเราะ) แม่แดงนัดไปอบรม แต่ตื่นสายกัน แม่แดงก็บ่นว่าไปกับผู้ใหญ่ไม่ควรให้ผู้ใหญ่มารอ หลังจากนั้นก็ไม่สายกันอีกเลย” แพรวย้ำถึงความเปลี่ยนแปลง

อิ๋มเสริมว่า “จากเมื่อก่อนที่ไม่ค่อยคุยกับใคร เรียนอย่างเดียว ออกไปเที่ยวไม่ได้เพราะป้าหวง ไม่สนิทกับคนในชุมชนเท่าไหร่ พอได้มาทำโครงการก็ทำให้หนูกล้าแสดงออกมากขึ้น”

ขณะที่นิ้งเล่าถึงปัญหาที่ทีมประสบว่า “ปัญหาเกิดจากการบริหารจัดการหน้าที่ของสมาชิกในทีมได้ไม่ดีพอ โดยเฉพาะการมอบหมายหน้าที่ที่สมาชิกไม่ถนัด ส่วนปัญหาใหญ่ๆ ที่เจอก็นัดมาทำคลิปวิดีโอกัน แต่เพื่อนไม่ช่วยเลย เอาแต่เล่นเกมกัน ก็เลยเสียใจ ถอดใจจะไม่ทำแล้ว หรืออย่างให้ช่วยพิมพ์งาน เขาก็พิมพ์ได้ไม่ดี ก็ต้องมาไล่แก้ทุกอย่าง เหมือนทำเองหมดเลย”

แม้เด็กๆ จะท้อกับปัญหา แต่แม่แดงเล่าถึงความพยายามแก้ปัญหาของสมาชิกในทีมว่า “แม่แดงบอกเด็กๆ ว่า นิ้วมือคนเรายังไม่เท่ากันเลย ทุกคนจึงทำได้ไม่เหมือนกัน และเราจะเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ไม่ได้ น้องต้องดึงเอาความสามารถของแต่ละคนออกมา เก่งเรื่องไหนให้เขาทำเรื่องนั้นเขาถึงจะสนใจ และไม่ควรไปพูดลดทอนกำลังใจ มันไม่ดี ซึ่งสุดท้ายเด็กๆ เขาก็ช่วยดึงกันมาได้ค่ะ”

เพราะอุปสรรคทำให้คนแกร่งขึ้น เช่น สมาชิกทีมทุกคนที่ต่างก็เติบโตขึ้น ด้วยทักษะหลายๆ ด้านที่แต่ละคนได้เรียนรู้ ทั้งความกล้าแสดงออก การฝึกสมาธิผ่านการจักสานทำให้หลายคนนิ่งและใจเย็นขึ้น ได้ฝึกการทำงานร่วมกันเป็นทีม การทำงานแข่งกับเวลา แต่เหนืออื่นใดก็คือ โครงการได้กลายเป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการใช้เวลาว่างของเยาวชนได้เป็นอย่างดี

ชวนเพื่อนปลุกพลังด้านบวก

ที่ผ่านมาน้องๆ บ้านสันตับเต่าหลายคนจึงละลายเวลาที่มีอยู่ให้หมดไปด้วยการเล่นเกม ไม่มีกิจกรรมใดอื่นนอกบ้าน จนกระทั่งโครงการนี้เกิดขึ้น หลายคนจึงเหมือนถูกปลุกพลังด้านบวกที่มีอยู่ในตัว ให้ลุกขึ้นมาใช้เวลาในการพัฒนาชุมชน ด้วยการอนุรักษ์ภูมิปัญญาที่เป็นรากเหง้าของตัวเอง

“เมื่อก่อนเป็นคนที่ทำตัวไร้สาระค่ะ (ยิ้ม) ทำตัวไม่มีประโยชน์ อยู่บ้านไปวันๆ เที่ยวเตร่กับเพื่อนตามประสาวัยรุ่น แต่หลังจากได้มาทำโครงการ ก็รู้สึกว่าทำตัวมีประโยชน์มากขึ้น ได้รู้ศักยภาพตัวเองว่าตัวเองทำได้ ไม่ดูถูกตัวเองเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ได้รู้ว่าเราก็มีความสามารถค่ะ” แพรเล่าด้วยรอยยิ้ม

“ได้มาทำงานร่วมกับเพื่อนๆ จัดกิจกรรมกับคนในชุมชน ได้พบปะคนมากขึ้น ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ นอกจากการเรียนในโรงเรียนค่ะ แล้วก็ได้ความรู้ใหม่ๆ มากขึ้นด้วย เช่น การถ่ายภาพ การทำวิดีโอ ซึ่งนำมาใช้กับการทำโครงงานที่โรงเรียนได้ รู้อย่างนี้ออกจากบ้านมาตั้งนานแล้ว” บีมเสริมอย่างร่าเริง

ความเปลี่ยนแปลงของเด็กๆ คือผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ผลสัมฤทธิ์หลักของโครงการเองก็ได้ตามเป้าหมาย นั่นคือทำให้ชุมชนหันมาตระหนักและให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นมากขึ้น ผ่านทางกระบวนการเวที และเครื่องมือที่ช่วยให้ชุมชนเห็นถึงความเชื่อมโยงของภูมิปัญญากับวิถีแห่งธรรมชาติ 

“เราออกแบบและทำแผนที่หมู่บ้านด้วย บอกว่าบ้านเรามีอะไรบ้าง ใส่ตำแหน่งบ้านผู้รู้ สถานที่สำคัญ แล้วก็ทำปฏิทินซึ่งทำให้เห็นว่าเครื่องจักสานจะสอดคล้องกับฤดูกาลและกิจกรรมของหมู่บ้าน เวลาหน้าร้อนเขาจะสานเข่งไปใส่หอม หน้าฝนจะสานหิ้ง ไซ ตะกร้าเพาะเห็ด ตะกร้าใส่เห็ด หน้าหนาวก็จะเป็นก๋วยสลาก

และสิ่งที่ภูมิใจก็คือได้เห็นเอกลักษณ์ของชุมชนเราที่มีที่เดียว อย่างกล่องข้าวของที่อื่นเขาจะสานเป็นลายวน แต่บ้านเราสานแบบไขว้ขึ้น คือถ้าเห็นก็จะรู้เลยว่า นี่เป็นของที่สันตับเต่าค่ะ”  ทีมงานเล่าด้วยสีหน้าภูมิใจ

Tags:

active citizenproject based learningศิลปหัตถกรรมเกม

Author:

illustrator

กิติคุณ คัมภิรานนท์

Related Posts

  • Creative learningCharacter building
    นาฏลีลาผสานกลองปูจา เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ

    เรื่อง

  • Character buildingCreative learning
    ฟ้อนก๋ายลาย VS ตีกลองสะบัดชัย: แทคทีมโยงใจละอ่อนสู่ชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ออกจากป้อม ROV มานั่งล้อมวงเล่นดนตรีพื้นเมือง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Character buildingCreative learning
    หนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชุมชน : เด็กๆ สงสัย คิดค้น และเขียนด้วยตัวเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learningCharacter building
    ที่บ้านไม้สลี เด็กๆ ที่นี่ ปั่นฝ้าย ย้อมสี และทอผ้า ใส่กันเอง

    เรื่องและภาพ The Potential

การสื่อสารอย่างสันติไม่ใช่การต่อสู้ตอบโต้เพื่อเอาชนะ แต่กลับมาเข้าใจความต้องการของตัวเอง
How to enjoy life
3 April 2019

การสื่อสารอย่างสันติไม่ใช่การต่อสู้ตอบโต้เพื่อเอาชนะ แต่กลับมาเข้าใจความต้องการของตัวเอง

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • จะทำความเข้าใจคนที่เราโกรธ เกลียด ไม่ชอบ ไม่สนใจ ไม่แม้แต่อยากจะทำความเข้าใจ ได้อย่างไร?, บางครั้งเราอยากสื่อสารอย่างสันติกับคู่กรณีมาก แต่เค้าไม่ให้ความร่วมมือเลย แบบนี้จะทำอย่างไรดี, แม้เรา ‘เข้าใจ’ ความต้องการของเราและคู่กรณี แต่เป็นความเข้าใจของเราฝ่ายเดียว มันจะเปลี่ยนอะไรได้จริงหรือ?
  • คุยกับ ดร.ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ นักฝึกอบรมจาก Peace Academy และ จันทร์ทิพย์ ปิยะวรธรรม ผู้ก่อตั้ง ‘บ้านขวัญเอย’ ถึงกระบวนการภายใน ตั้งหลักทำความเข้าใจตัวเองก่อนเข้าใจคนอื่นผ่านกระบวนการสื่อสารอย่างสันติ

ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ผู้เขียนมีโอกาสร่วมเวิร์คช็อปสั้นๆ เพียง 3 ชั่วโมง (แต่เวิร์คช็อปมี 2 วันเต็ม) ในหัวข้อ ‘การสื่อสารอย่างสันติ เพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองและความแตกต่าง’ จัดโดยทีม โรงน้ำชา (Togetherness for Equility and Action – TEA)

จุดประสงค์เพียงว่า เพราะเคยแต่ศึกษาวิธีสื่อสารอย่างสันติเพียงหน้ากระดาษ (เพื่อเขียนงานชิ้น หยุดทำร้ายใจด้วยคำพูด เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการสื่อสารอย่างสันติ) เข้าใจหลักการเบื้องต้นและรู้ว่าจะสื่อสารออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนและลดความขัดแย้งอย่างไร แต่ถ้าคำพูดหรือพฤติกรรมที่แสดงออก เปรียบเป็นยอดของภูเขาน้ำแข็ง, การปรับใจ ปรับความคิด ทำความเข้าใจเจตนาและความต้องการของตัวเองอย่างจริงจัง เปรียบเป็นส่วนฐานของภูเขา เป็นการทำงานภายในตัวเอง ‘ก่อน’ จะสื่อสาร ซึ่งข้อนี้… อาจเป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่ามาก

การได้พบกับ ดร. ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ นักฝึกอบรมจาก Peace Academy ด้านการสื่อสารอย่างสันติและการพัฒนาจิตวิญญาณ ผู้เริ่มต้นนำแนวคิดนี้เข้ามาฝึกสอนให้กับผู้สนใจ และ จันทร์ทิพย์ ปิยะวรธรรม ผู้ก่อตั้ง ‘บ้านขวัญเอย’ ห้องเรียนด้วยกระบวนการศิลปะสร้างสรรค์เพื่อการเข้าใจตัวเอง ในฐานะกระบวนกรนำเวิร์คช็อปในวันนั้น เราจึงถือโอกาสเปิดวงสนทนาคุยสั้นๆ เรื่องการ ‘ปรับใจ’ หรือการทำงานภายใน ก่อนการสื่อสาร ด้วยคำถามไม่กี่ข้อ เช่น

เราจะทำความเข้าใจคนที่เราโกรธ เกลียด ไม่ชอบ ไม่สนใจ ไม่แม้แต่อยากจะทำความเข้าใจ ได้อย่างไร?, บางครั้งเราอยากสื่อสารอย่างสันติกับคู่กรณีของเรามาก แต่เค้าไม่ให้ความร่วมมือเลย แบบนี้จะทำอย่างไรดี หรือ แม้เรา ‘เข้าใจ’ ความต้องการของเราและคู่กรณี แต่เป็นความเข้าใจของเราฝ่ายเดียว มันจะเปลี่ยนอะไรได้จริงหรือ?

แม้เบื้องต้นเราอยากโฟกัสถึงกรณีความขัดแย้งในบ้านและโรงเรียน แต่ในเมื่อการสื่อสารคือชีวิต ประเด็นในบทความนี้จึงนำไปใช้ได้หลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในบ้าน รั้วโรงเรียน และ โลกของการทำงาน

การสื่อสารอย่างสันติ

‘การสื่อสารอย่างสันติ’ (nonviolent-communication) เรียกสั้นๆ ว่า NVC  คือวิธีสื่อสารด้วยความตระหนักรู้ว่า ‘ความรู้สึก’ และ ‘ความต้องการ’ ของตัวเองคืออะไร

ที่โกรธ ที่ไม่พอใจ หรือหลายครั้งเป็นความปั่นป่วนภายในที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ เกิดขึ้นเพราะความต้องการใดอย่างหนึ่งไม่ได้รับการตอบสนอง เมื่อความต้องการไม่ถูกตอบสนอง เราจึงเกิดความรู้สึกบางอย่างโดยเฉพาะความรู้สึกเชิงลบ (เช่น เพราะต้องการความเคารพจากเพื่อนร่วมงาน เมื่อถูกเพื่อนร่วมงานตำหนิซึ่งหน้า จึงรู้สึกโกรธและแค้นใจ)

เบื้องต้น การใช้ NVC ไม่ว่าจะเป็นการบอกความรู้สึกและความต้องการของตัวเอง หรือ เพื่อเป็นเครื่องมือรับฟังความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น ประกอบไปด้วย 4 อย่างคือ

การสังเกต (Observations): สังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น

ความรู้สึก (Feelings): เรารู้สึกอย่างไร

ความต้องการ (Needs): ที่รู้สึกอย่างนั้น เกิดจากความต้องการของเราในเรื่องอะไร

การร้องขอ (Requests): เราจะขอให้ผู้ฟัง ทำหรือตอบสนองในสิ่งที่เราต้องการอย่างไร

หากเปรียบคำพูดหรือการกระทำเป็นภูเขาน้ำแข็ง การ ‘พูดจา’ ด้วยภาษา NVC เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขา แต่การค้นว่าความรู้สึกหรือความต้องการ คือก้อนน้ำแข็งที่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำ อีกบทบาทหนึ่งของ NVC คือวิธีการเพื่อกลับไปตรวจทานความต้องการภายใน หรือเหตุผลลึกลงไปที่กำหนดพฤติกรรมของเรา

ข้างต้นคือหลักการ แต่วิธีค้นให้ลึกว่าความต้องการของเราต่อสถานการณ์นั้นๆ คืออะไร ทำได้หลากวิธี โดยเฉพาะการตั้งคำถามกับตัวเองหลากมิติ แต่ในเวิร์คช็อปที่โรงน้ำชา กิจกรรมหนึ่งที่ผู้เขียนเข้าร่วมคือ การตั้งวงสนทนาโดยใช้การ์ดคำศัพท์ ‘ความรู้สึก’ และ ‘ความต้องการ’ ซึ่งเรื่องเล่าในวง ถูกขอให้ระดับความแรงของปัญหาอยู่ในระดับ 3-4 (รุนแรงสูงสุดอยู่ที่ระดับ 10) วิธีการเล่นคือ ให้แต่ละคนเล่าเรื่องภายในที่ตัวเองรู้สึกติดค้าง หาคำตอบไม่ได้ สลัดไม่หลุด เมื่อเล่าจบ ให้ผู้เล่าหยิบการ์ด ‘ความรู้สึก’ ของตัวเองออกมา 3 ใบ หลังจากนั้นให้ผู้ฟังหยิบการ์ด ที่คิดว่าเป็น ‘ความต้องการ’ ของผู้เล่าออกมา เป็นการฝึกเพื่อรับฟังอย่างเข้าใจ

บทสรุปหนึ่งที่ผู้ร่วมเวิร์คช็อปช่วยกันสะท้อนคือ แม้ปัญหาของผู้เล่ายังไม่คลี่คลาย สถานการณ์ทุกอย่างยังอยู่คงเดิม แต่เมื่อป้ายความต้องการปรากฏ จังหวะที่ผู้ฟังแสดงความต้องการลึกๆ ของเจ้าของเรื่องออกมาได้ คล้ายว่าความหนักอกหนักใจคลี่คลาย ความทุกข์ร้อนใจกว่าครึ่งหายไปจริง

“พอค้นเจอว่าความต้องการของเรามีชื่อเรียกว่าอะไร ความเข้าใจก็เริ่มปรากฏ” หนึ่งในผู้ร่วมเวิร์คช็อปอธิบาย

และนี่คือหนึ่งใน ‘ฟังก์ชัน’ หรือ ‘ปรัชญา’ ของการสื่อสารสันติ ไม่ใช่แค่การสื่อสารที่ตรงไปตรงมาอย่างกรุณา แต่คือความเข้าใจตัวเองและคนอื่นด้วยว่า ที่รู้สึกแบบนั้น เพราะความต้องการอะไร และเมื่อเข้าใจ หลายครั้งความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและคนรอบข้างก็เปลี่ยนแปลง

กิจกรรมหนึ่งในเวิร์คช็อป คือการให้คนสองคนเอามือดันกันสองครั้ง ครั้งที่หนึ่งให้ดันหรือผลักกันอย่างไม่คิดอะไร ครั้งที่สอง ให้หนึ่งในสองคนนั้นยืนหยัดโดยคิดว่าตัวเองคือต้นไม้กำลังหยั่งรากยาวลึกลงดิน หลายคนสะท้อนว่าการผลักครั้งที่สอง ผู้ที่เป็นฝ่ายตั้งหลักนิ่งขึ้น มี reaction ต่อแรงผลักอย่างมั่นคงมากกว่า ในกิจกรรมนี้ คุณอธิบายว่ามันคือการ ‘ตั้งแกน’ มันคืออะไร?

จันทร์ทิพย์ :เวลาเราคุยกัน เค้าใส่ไป เราใส่มา มันคือการสู้กันในระดับหัว บางครั้งคล้ายว่าเราถูกดูดกลืนพลังงาน ใจเราสั่นไหว การตั้งแกนก็คือการกลับมา center ที่ตัวเอง มีสติ รับรู้ทุกส่วนในร่างกายของเรา ในขณะเดียวกันมันก็กลับไป connect ที่เจตจำนงค์ หรือ intension ของเราด้วย ถ้ามองที่ระดับของภูเขาน้ำแข็ง คล้ายว่าเรากลับไปมอง ไปเชื่อมว่าความต้องการของเราคืออะไร

จริงๆ แล้วมันก็เหมือนการกลับมาหาพลังที่เป็นศูนย์กลางของเรา คือ awareness กับระบบในร่างกาย กับความคิด ความรู้สึก ให้เจตจำนงค์มันหยั่งลง ชัดเจน มั่นคง

ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามสาดคำพูดและพลังงานลบใส่เรา ถ้ามัวแต่ตั้งแกน เราสู้เค้ากลับไปไม่ทัน?

ไพรินทร์ : NVC ไม่ใช่การการต่อสู้ ไม่ใช่การตอบโต้ เพราะแนวคิดการต่อสู้ คือ ‘ถ้าไม่สู้ ก็หนี’ ‘fight หรือ flight’ ถ้าเราด่า เท่ากับเรา fight เค้ากลับ ถ้าเราด่าไม่ไหว เซ็งมากแล้ว เราก็หนี ไม่ไปเผชิญหน้ากับเค้า NVC ไม่ใช่ทั้ง ‘fight หรือ flight’ แต่เป็นการกลับมาตระหนักรู้ถึงสิ่งที่สำคัญสำหรับเรา เป็นการสื่อสารแบบสันติวิธี ซึ่งไม่ใช่ ‘fight หรือ flight’

เช่น อย่างที่แชร์ในวงเวิร์คช็อป พี่มีปัญหากับแม่ แม่มาตัดต้นไม้ที่เค้าเห็นว่ามันไม่ให้ผลที่กินได้ ถ้าพี่จะสู้กลับ พี่ก็ไปว่าแม่ หรือไม่ก็เลิกคุยกับแม่ไปเลยเพราะเบื่อ ปล่อยให้แม่จัดการไปตามสบาย แต่สิ่งที่พี่ทำคือ ตั้งหลักก่อน กลับมา connect กับตัวเองว่าอะไรสำคัญสำหรับพี่ หนึ่งคือ พี่อยากทำให้บ้านร่มเย็น อยากให้แม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่พี่ทำว่ากำลังทำเพื่อช่วยให้บ้านร่มเย็น นี่คือแกนของพี่ “โอเค ชั้นทำเพื่อสิ่งนี้อยู่นะ ชั้นกำลังทำอะไรสักอย่างเพื่อครอบครัว” เมื่อระลึกถึงจุดนี้ ถ้าพี่ต่อว่าแม่กลับ มันจะไม่ใช่สิ่งที่พี่ตั้งใจจะทำจากการปลูกต้นไม้ และแม่จะไม่เข้าใจ ไม่เห็นคุณค่าการปลูกต้นไม้ของพี่

ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์หรือ

พี่กลับมาทำความเข้าใจ โทรฯ หาเพื่อนที่ให้ความเข้าใจกับพี่ได้ พอได้รับความเข้าใจ ตั้งหลักได้แล้ว มีแกนแล้วว่าเราทำเพื่อครอบครัว จากจุดนี้พี่กลับเข้าบ้านไปฟังแม่ได้แล้วว่า การดึงต้นไม้ทิ้งมันเป็นเพราะอะไร “อ๋อ… แม่อยากปลูกต้นไม้ที่กินได้” “อ๋อ แม่อยากทำให้ครอบครัวมีอาหารกิน ปลูกต้นไม้ที่ทุกคนกินได้” เฮ้ย… พอดูลงไป แม่มีความตั้งใจอยากทำอะไรเพื่อครอบครัวเหมือนเราเลย และเค้าอยากให้เราเห็นคุณค่าตรงนี้ด้วยเหมือนกัน พอเห็นแบบนี้ปุ๊บ ข้างในมันลดความเป็นศัตรูที่อยากเอาชนะแม่

แต่ความต้องการอยากจะได้ต้นไม้ต้นนั้นของเรา จะไม่ถูกตอบสนอง

ไพรินทร์ :และพี่ทำยังไงรู้มั้ย? พอเห็นความต้องการทั้งสองฝั่ง พี่อยากปลูกต้นไม้ให้ร่มเย็นเพื่อครอบครัว แม่อยากปลูกต้นไม้ที่มีผลเพื่อให้คนในครอบครัวกินได้ วันรุ่งขึ้นหลังจากเข้าใจตัวเอง มีหลักแล้ว พี่ไปพูดกับแม่ “เออแม่ ต้นตีนเป็ด ตัดแล้วก็แล้วไป เรามาปลูกมะม่วงกันดีมั้ย” พี่ได้ร่มเงาจากมะม่วง แม่ได้ผลจากมะม่วง วิน-วิน ทั้งสองฝั่ง

ไม่จำเป็นต้องตั้งแกนให้ได้ระหว่างที่คุยและสื่อสารกลับไปเดี๋ยวนั้น แต่กลับไปทำความเข้าใจตัวเอง ซึ่งอาจใช้เวลา?

จันทร์ทิพย์ :มีการตั้งแกนเพื่อสื่อสารกลับไปขณะนั้นด้วย เช่น ครั้งหนึ่งพี่ต้องดูแลหลานซึ่งเป็นลูกคุณอา เด็กๆ มีพี่น้อง 4 คน คนที่ต้องดูแลคือน้องสองคนสุดท้าย ป.4 กับ อนุบาล 3 วันนั้นพี่มาเวิร์คช็อปแบบนี้แหละ กลับถึงบ้านก็เหนื่อย อยากพัก ขณะที่กำลังนอนพัก เราได้ยินเสียงกรี๊ดจากเด็กๆ เค้ากำลังทะเลาะกัน ซึ่งในฐานะที่เราเคยเป็นครูมาก่อน มี mindset บางอย่างเกี่ยวกับการศึกษา การทะเลาะกันแบบนี้จึงเป็นสิ่งที่เราไม่โอเค ขณะนั้นเราเริ่มหงุดหงิด พอเดินเข้าไปหา เห็นตัวเล็กกำลังดึงผมคนพี่ เมื่อเห็นความรุนแรงก็ยิ่งปรี๊ด

พอปรากฏการณ์ตรงหน้าลากพาเราไป เราก็เริ่มเคลื่อนไหว แกนหรือความมั่นคงภายในเริ่มสั่นคลอน พี่ก็ไปแย่งของเล่นกับเค้า กลายเป็นเจ้าคนเล็กเปลี่ยนคู่มาทะเลาะกับพี่ต่อ ปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับแม่ลูกหลายบ้านมาก แม่ลูกทะเลาะกัน เราเข้าไปห้าม กลายเป็นการเปลี่ยนคู่ทะเลาะ ตอนพี่ต่อสู้กับเจ้าตัวเล็กนี่กลายเป็นสนามอารมณ์เลย
ขณะจับเค้าปิดประตูเพื่อ time out เค้าก็จะดึงประตูออก ขณะนั้นพี่รับรู้สภาวะบางอย่าง เกิด awareness เกิดสติ พี่คิดว่าแกนของพี่เริ่มปรากฏขึ้น พี่รับรู้ร่างกาย รับรู้อารมณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้น รู้แล้วว่าเรากำลังโกรธนี่นา ซึ่งมันง่ายมากในการรู้ว่าเรากำลังโกรธนะ แต่เจ้าตัวไม่รู้เพราะกำลังถูกพลังงานพัดพาเพื่อจะเอาประเด็นว่า “ต้องหยุดเด็กคนนี้ให้ได้” ไม่กลับไปที่ความรู้สึก เห็นแต่การกระทำว่าชั้นต้องหยุดเด็กคนนี้ให้ได้

แต่พอกลับไปที่ความต้องการว่า “ชั้นมาดูแลเด็กเหล่านี้เพราะชั้นต้องมาให้ความเข้าใจ ให้ความรัก แทนแม่ของเค้าที่เสียชีวิตไป แต่นี่ชั้นกำลังทำอะไรอยู่?” แล้วก็กลับมาตระหนักถึงแกนที่หยั่งลงไปถึงเป็นความหมายบางอย่างในชีวิตเรา ขณะนั้น ฟึ่บ! ความรู้สึกโกรธทั้งหลายมันหาย แล้วพอเกิด awareness ในตัวเอง ก็เกิด awareness ในคนข้างๆ

การเข้าใจตัวเองจนเกิด awareness ทันเวลา ต้องฝึกใช่มั้ย? จะเกิดกับคนที่ไม่ฝึกได้หรือเปล่า?

ไพรินทร์ : มันก็แล้วแต่นะ บางคนเค้ากลับไปมีสติได้เร็ว เป็นความสามารถของเค้าเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ายิ่งฝึกมากก็ยิ่งเก่งขึ้น เหมือนทางเดินบนสนามหญ้า เดินทางเดิมบ่อยๆ หญ้าก็เตียน เช่น เวลาใครว่ามาบ่อยๆ เราว่ากลับ ทางเดินนี้ก็กลายเป็นทางเดินที่ชัดเจน แต่ถ้าเราเริ่มฝึกทางใหม่ หญ้ายังรกครึ้ม ก็ต้องฝึกบ่อยๆ หญ้าจึงจะเตียน

จันทร์ทิพย์ ปิยะวรธรรม

จันทร์ทิพย์ : เวลามีเรื่องเข้ามา แทนที่จะเข้าทางเดิมก็เดินไปเข้าทางใหม่ แล้วทางเดินเก่าที่เราชอบเดินเวลาทะเลาะหรือเถียงกับเค้า ถ้าเราไม่กลับไปเดินทางนั้นบ่อยๆ หญ้ามันก็จะขึ้นรกปิดทางเดิมนั้น

ไพรินทร์ : แต่มันเกิดขึ้นได้กับบางคนไม่เคยฝึกนะ

ที่เคยรับรู้ มีคุณลุงคุณป้าคู่หนึ่ง ใช้ชีวิตด้วยกันมาก็ไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยว่ากันเลย ทั้งๆ ที่ไม่เคยเข้าเวิร์คช็อป เช่น ลุงทำแก้วแตก ป้าบอกว่าก็จะไม่ว่าลุง ให้เหตุผลว่า เพราะแก้วมันแตกแล้ว จะไปว่าคนอื่นทำไมให้ใจเค้าแตกด้วย

เราจะใช้ NVC กับคนที่ไม่รู้จัก NVC ได้มั้ย?

ไพรินทร์ :ใช้ได้นะ

แต่ขอให้ระลึกไว้ว่าเป้าหมายของ NVC ไม่ได้ทำเพื่อเปลี่ยนแปลงใครอีกคน แต่เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สร้าง connection ระหว่างกัน แม้เราอาจไม่เปลี่ยนเลยนะ แต่เราจะเข้าใจลงไปลึกๆ ว่า ที่เค้าเป็นแบบนี้เพราะอะไร?

แค่เราเข้าใจ ก็โอเคแล้วหรือ?

ไพรินทร์ : เมื่อกี๊ที่เราเล่นไพ่ สถานการณ์ข้างนอกของเรายังเหมือนเดิมเลย ปัญหายังไม่ได้รับการแก้เลย แต่พอเรามีความเข้าใจ ข้างในมันเปลี่ยน มาร์แชล โรเซนเบิร์ก (ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา NVC และนักไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระดับโลก) บอกว่า สิ่งแรกที่ต้องปล่อยวางในการฝึก NVC คือ ความคิดว่าเราจะทำให้คนอื่นเปลี่ยนได้

ตอนทำความเข้าใจเรื่องนี้ เราคิดว่าจะใช้การสื่อสารแบบ NVC เพื่อเปลี่ยนความคิด การกระทำคนอื่นได้?

ไพรินทร์ : แต่มันไม่มีทางที่เราจะเปลี่ยนคนอื่นได้ ถึงแม้เราพยายามแค่ไหน ดูตัวเราเอง แค่จะเปลี่ยนตัวเองยังยากเลย

จันทร์ทิพย์ : แต่ขณะที่เราฝึกไปเรื่อยๆ การใช้ชีวิตของเราจะเปลี่ยน การพูด การเผชิญกับปัญหาของเราจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในเวิร์คช็อปพูดกันว่า

“เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรใคร แต่โลกจะเปลี่ยนเมื่อไป เมื่อข้างในใจเราเปลี่ยนแปลง”

พอทำไปสักพัก เราจะเห็นว่าแม่เราเปลี่ยน แต่แม่ไม่ได้เปลี่ยนในแง่พฤติกรรมนะ ความรู้สึกของเราที่มีต่อแม่ต่างหากที่จะเปลี่ยนไป ด้วยความที่เราเข้าใจเค้าลึกลงไป จากเดิมที่เอะอะก็โกรธ เอะอะก็เถียง เราจะเริ่มเข้าใจ หรือมีความกรุณากับแม่มากขึ้น แล้วพอความคิดเราเปลี่ยน พลังงานเราเปลี่ยนนะ ท่าทีเปลี่ยน คำพูดเปลี่ยน บรรยากาศระหว่างกันเปลี่ยน การกระทำเปลี่ยนหมดเลย

พอเราเปลี่ยน มันก็เป็น action และ reaction พอเราขยับองศา สักพักเค้าจะงงๆ เช่น “ถ้าเป็นเมื่อก่อน ทะเลาะกับลูกประจำเพราะมันชอบบ่นแม่ แต่พักหลังลูกแปลกๆ นะ พูดอะไรลูกก็ไม่บ่นไม่อะไร” สักพักแม่ก็จะเริ่มใจเย็นได้มากขึ้น เพราะสนามพลังของเรากับแม่เปลี่ยน แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนเพราะเราบอกให้เค้าเปลี่ยน และเราก็ไม่รู้เลยว่าเค้าจะเปลี่ยนตอนไหน แต่เราจะใส่สนามพลังงานนี้ไปเรื่อยๆ สะสมไป แล้ววันหนึ่งเมื่อถึงเวลา เค้าอาจจะเปลี่ยน หรืออาจไม่เปลี่ยนเลยก็ได้ในชีวิตก็ได้นี้นะ เพราะเราเป็นแค่หนึ่งในปัจจัยของการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมดของเค้า

ในกรณีที่เรารู้วิธีทำความเข้าใจทั้งตัวเองและเค้า สร้างพื้นที่ เปลี่ยนอุณหภูมิหรือสนามพลังในบ้านได้ แต่เราโกรธมากจนไม่แม้แต่อยากจะเข้าใจ ทำได้มั้ย?

ไพรินทร์ : เวลาเราขึ้นไปเครื่องบิน หากเกิดเหตุฉุกเฉินแล้วมีสายออกซิเจนตกลงมา สิ่งแรกที่ต้องทำคือใส่สายออกซิเจนให้ตัวเองก่อนจะใส่ให้ใครอีกคน ‘ความเข้าใจ’ ก็คือออกซิเจน ถ้าข้างในเรามีออกซิเจนไม่พอ เราก็ไม่มีความสามารถจะไปช่วยคนอื่นได้ หลายคนมาทำงานเรื่องภายในกันมากก็เพื่อเติมออกซิเจนนะ เติมความเข้าใจให้ตัวเองก่อน มันไม่มีความสามารถนะถ้าเรายังเลือดอาบ แผลเปิดเหวะหวะ พอมีคนมาด่าเราแล้วเราจะแบบ โหย… ให้ความเข้าใจเค้าทันควันโดยที่เรายังไม่ได้ทำแผลให้ตัวเองเลย

อันนี้ก็เป็นตัวอย่างเว่อวังไปหน่อยนะ ตัวอย่างที่ใกล้ตัวมาหน่อย เช่น วันนี้ที่เราเล่นไพ่กัน มีคนมาเข้าใจเราว่าขณะนี้เราต้องการอะไร ข้างในเรามันก็เปลี่ยนจากการที่ได้รับความเข้าใจจากเพื่อน

ในระดับความบาดหมางทางใจ การทำความเข้าใจเค้าและเราเป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่ในกรณีที่ต้องการสื่อสารเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของคนตรงข้ามบางอย่าง จะทำหรือคิดอย่างไรดี

จันทร์ทิพย์ : เราอาจคิดว่ามันมีทางเดินแค่ทางเดียวเพื่อจะได้รับในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เช่น เราอยากจะบอกให้แม่หยุดพฤติกรรมนี้ วิธีการของเราคือพูดกับแม่ว่า ‘หยุด หยุดทำเถอะ หยุดบ่น’ แล้วเราก็คุ้นเคยกับวิธีการนี้ แต่ถ้าทำอย่างเดิมแล้วไม่ได้ผล แสดงว่าวิธีการนี้ทำต่อไปไม่ได้

แต่พอเรากลับไปที่ความต้องการ จะเห็นว่ามีวิธีการหลากหลายที่จะไปถึงความต้องการนั้น เช่น ถ้าเราชัดเจนว่าต้องการความสุขในบ้าน แล้วแม่ขี้โกรธ เราอาจลองพาแม่ไปข้างนอกบ้านบ้าง ไปผ่อนคลาย หรืออาจเปลี่ยนจากการพูดว่า “แม่อย่าทำแบบนี้” เป็น “วันนี้หรือตลอดทั้งอาทิตย์ชั้นจะชมแม่ ชั้นจะหาทุกจุด ไม่ให้พลาดแม้แต่จุดเดียว” มันมีวิธีอื่นๆ ที่จะสร้างความสุขได้หลากหลายแบบ เพียงแต่ให้รู้ชัดว่า “ความสุขคือความต้องการของเรา”

ทั้งหมดที่เราคุยกันเป็นความสัมพันธ์ภายในบ้าน ซึ่งความรุนแรงจากเต็ม 10 อาจอยู่แค่ระดับ 3 แต่ในระดับที่ใหญ่กว่านั้น NVC ทำงานได้ถึงระดับไหน?

ไพรินทร์ :มีอยู่เคสหนึ่งที่บราซิลเป็นการทำงานเยียวยาในกระบวนการยุติธรรม ลูกชายของผู้หญิงคนหนึ่งถูกวัยรุ่นฆ่า ผู้กระทำถูกตัดสินจำคุก แต่กระบวนยุติธรรมของเค้าเอาผู้กระทำออกมาคุยกับแม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกกระทำได้ ซึ่งเคสนี้ใช้ NVC ใช้การรับฟังและใช้ชุมชน มาร่วมรับฟังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย

กระบวนการไม่ได้หาว่าผู้กระทำผิดเพราะอะไร แต่มองลึกลงไปว่า “ที่ทำ ทำเพราะอะไร?” คนกลางช่วยให้ผู้กระทำเข้าใจตัวเองได้ จนมีออกซิเจนพอจะมาฟังแม่ของคนเค้าฆ่าได้ ในที่สุด ผู้กระทำสามารถฟังความรู้สึกของแม่ผู้ตายได้ด้วยว่า ในฐานะแม่ เค้ารู้สึกสูญเสียขนาดไหน เคสนี้จบที่สองคนนี้มีข้อตกลงกันว่า ทุกวันของสัปดาห์ซึ่งเป็นวันที่ลูกของผู้หญิงคนนี้ถูกฆ่า วัยรุ่นคนนี้จะออกจากคุกมานั่งกินน้ำชากับแม่ คือมันมีพลังเยียวยาได้ขนาดนั้น

แต่คนตรงกลางสำคัญ เพราะต้องทำให้บรรยากาศของชุมชน คนที่มาฟัง เข้าใจด้วย

ไพรินทร์ : มันไม่ใช่การตัดสินถูกผิด แต่เป็นบรรยากาศความเข้าใจลึกลงไปเรื่อยๆ จนเห็นความเป็นมนุษย์ในกันและกันได้ อันนี้แหละเป็นสิ่งที่มีศักยภาพในการเยียวยาลึกมาก

Tags:

การฟังและตั้งคำถามการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ดร.ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • 21st Century skills
    เป็นเด็กยิ่งต้อง ‘เถียง’ และเถียงอย่างสร้างสรรค์เพื่อเข้าใจตัวเองและคนอื่น

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    HEAR STRATEGY: เทคนิคง่ายๆ ฝึกทักษะการ ‘ฟัง’ ให้กับเด็กๆ

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    ‘THEORY U’ การฟัง 4 ระดับ: ลองเช็ค คุณ ‘ฟัง’ ระดับไหน

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • RelationshipTransformative learning
    ‘ณัฐฬส วังวิญญู’ โปรดใช้วิจารณญาณในการฟัง-ถาม-เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

นาฏลีลาผสานกลองปูจา เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ
Creative learningCharacter building
3 April 2019

นาฏลีลาผสานกลองปูจา เล่าเรื่องผ่านเสียงกลองและการร่ายรำ

เรื่อง

  • นาฏลีลาผสานกลองปูจา การแสดงแนวใหม่ที่สะท้อนถึงวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน ผสานการตีกลองปูจา ฟ้อนรำ และบทกลอน บทกลอนซึ่งเด็กๆ บ้านบวก ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ได้มาจากการเคาะบ้านสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ว่าเขาเคยใช้ชีวิตอย่างไร แล้วค่อยแปลงออกมาเป็นบทกลอน
  • “อยากใช้ความถนัดทางด้านการฟ้อนรำของเราเล่าวิถีชีวิตของชาวบ้าน” คือแนวคิดของเด็กๆ กลุ่มนี้
เรื่อง/ภาพ: พัชรี ชาติเผือก

บางคนใช้เพลงแร็พบอกเล่าว่าบ้านเมืองของตัวเอง “มีอะไร” แต่ที่บ้านบวก ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เด็ก ๆ บอกว่าการเล่าเรื่องด้วยการแร็พ -การด้นกลอนสด มักมีเนื้อหาของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา มุทะลุ เสียดสี เนื้อหามักมาจากความคับข้องใจที่เผชิญ- นั้นไม่ถนัด เพราะทักษะที่มีคือการร่ายรำผ่านบทเพลงและท่วงทำนองที่อ่อนช้อยงดงาม

แม้วิธีการเล่าจะต่างกัน แต่วิธีที่เหมือนกันคือต้องมีเนื้อหา (content)

ที่บ้านบวก เด็กๆ อย่าง เดียร์-จิณห์นิภา ธิกันงา, สายฟ้า-สิรภัทร หล้าเป็ง, ภูมิ-ภูวฤทธิ์ จี๋ภิโร,น้ำมนต์-ธัญญาภรณ์ สมฝั้น และน้องใหม่อย่าง แบม-พิมพ์ชนก หล้าแป้น ใช้เวลาลงพื้นที่ พกพาคำถามที่เตรียมมาอย่างดีเพื่อไปพูดคุยกับคนเฒ่าคนแก่ เก็บรวบรวมข้อมูลวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี นำเนื้อหามาสร้างสรรค์เป็นท่ารำสื่อสารให้คนอื่น ๆ ในชุมชนได้รับรู้ ชื่นชม และดำเนินรอยตามความงดงามของวิถีชุมชนภายใต้โครงการสืบสานนาฏลีลากลองปูจาของชุมชนบ้านบวก ตำบลดงดำ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

จุดเริ่มต้นของกลองปูจา

คำถามที่นำมาสู่การผสมผสานระหว่างกลองปูจาและนาฏลีลาของเด็กๆ ทีมบ้านบวก คือคำถามที่ว่า ‘หากนำเสียงกลองปูจามาผสมกับการรำจะออกมาเป็นอย่างไร?’ คำถามนี้เป็นจุดตั้งต้นในการฝึกตีกลองปูจา, คิดท่าฟ้อนรำ และ การแต่งบทกลอนประกอบทำนอง เป็นการรวมหลายศาสตร์เข้าไว้ด้วยกัน กลายเป็น ‘นาฏลีลาผสานกลองปูจา’ การแสดงแนวใหม่ที่สะท้อนถึงวิถีการดำเนินชีวิตของคนในชุมชน

“เราอยากใช้ความถนัดทางด้านดนตรีและการฟ้อนรำของเราเล่าวิถีชีวิตของชาวบ้าน”

เดียร์บอกแนวคิดการสื่อสารเรื่องราวของชุมชน และอธิบายว่ากว่าจะได้แนวคิดแบบนี้ สมาชิกในทีมและพี่เลี้ยงผ่านการถกเถียงเพื่อหาข้อสรุปกันพอสมควร เพราะเมื่อเริ่มต้นจะทำโครงการ เด็กๆ เลือกที่จะดำเนินรอยตามกิจกรรมที่ผู้ใหญ่นำร่องไว้ให้แล้ว นั่นคือเรื่องการดูแลผืนป่าและแหล่งน้ำ แต่ด้วยเงื่อนไขด้านเวลาที่มีแค่ 6 เดือน ทำให้ครูพี่เลี้ยงอย่าง ครูโย-โยทกา พิงคะสันต์ เห็นว่าควรทำโครงการที่ใกล้ตัวกับเด็กๆ มากกว่านี้

ซึ่งเรื่องที่เด็กๆ ถนัดและเห็นว่าใกล้ตัวที่สุดคือ “ดนตรีและการร่ายรำ”  

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นคนตีกลองปูจากันแล้ว กลองตั้งอยู่ที่โรงเรียนก็ไม่มีใครเอาไปทำอะไร เดิมทีกลองปูจาจะตีเพื่อบูชาและเป็นสัญญาณเรียกรวมคนมาที่วัดเท่านั้น ไม่มีการรำฟ้อนประกอบ เลยคิดกันว่าถ้านำมาตีประกอบการฟ้อน มันต้องสวยงามแน่นอน” เดียร์เล่าให้ฟัง

เปลี่ยนเรื่องเล่าเป็นบทกลอน แปลงบทกลอนเป็นท่ารำ

“เราไปนั่งพูดคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ ถามว่าสมัยก่อนแม่อุ้ยทำอะไรกันบ้าง? ส่วนใหญ่บอกว่ามักไปเก็บผักเก็บปลา เรานั่งฟังพร้อมกับจดบันทึก จากนั้นจึงนำข้อมูลทั้งหมดมาดู เรียบเรียง และทดลองเขียนเป็นบทกลอนสั้นๆ  ซึ่งยากเหมือนกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนข้อมูลเป็นบทกลอน เพราะต้องเขียนคำให้คล้องจองกัน พอแต่งเสร็จก็ต้องเอาให้ครูสมชาย (สมชาย ชัยอนันตยศ) ช่วยตรวจสอบอีกที

“การแปลงภาษาเป็นท่ารำก็ยากอีก เพราะไม่รู้ว่าจะใช้ท่าไหนให้เหมาะกับคำของเพลง อย่างท่อน ‘หลกเป็ดหลกไก่’ (ดึงขนเป็ดขนไก่) เราก็ทำท่าเหมือนกำลังหยิบ (จีบคว่ำ) คือเลือกท่าที่สื่อความหมายได้คล้ายกับคำให้มากที่สุด ใช้เวลาค่อนข้างนานเหมือนกันกว่าจะได้แต่ละท่า” เดียร์เล่าพลางทำท่าประกอบ

แม้จะยากลำบาก แต่พวกเธอก็ผ่านมาได้จากความมุ่งมั่นพยายามของทีมและความช่วยเหลือของทีมโคช ท้ายที่สุด เด็กๆ ก็แต่งเพลงที่สะท้อนเรื่องเล่าของชุมชนได้ 3 บทเพลง ประกอบด้วย

  • เพลงหลกเป็ด เล่าถึง พิธีเลี้ยงผีของชาวบ้านสมัยก่อน ชาวบ้านจะช่วยกันหลกเป็ด (ดึงขนเป็ด) นำมาประกอบในพิธี
  • เพลงย่าจุ่ม เล่าถึง วิถีชีวิตของคนทำนาสมัยก่อน
  • และ เพลงสาวเก็บผัก เล่าถึง การเก็บผักริมรั้วและจับปลาในคลองมาทำอาหารโดยไม่ต้องซื้อ

  —

หลกเป็ด หลกไก่ หลกเป็ด หลกไก่ หลกบ่อได้ ก๊าบตื้น ก๊าบตื้น ฟ้าบ่อฮ้อนฝนตึงบ่อตก โต้งวันตกบ่อได้ไถซักโม่งโต้งวันตกบ่อได้ไถซักโม่ง

—

ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ยะนาตังวันตก ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ย่าจุ้ม ยะนาตังวันตก โบกบ่อแล้วเหลือตี้ฮั่นสองโม่ง โบกบ่อแล้วเหลือตี้ฮั่นสองโม่ง

 —

สาวเก็บผัก สาวเก็บผัก สาวเก็บผัก แม่ฮ้างซ้อนกุ้ง สาวหัวยุ่ง เก็บบ่อหุ่งบ้านห่าง สาวหัวยุ่งเก็บบ่อหุ่งบ้านห่าง …

ขณะที่สาวๆ กำลังสาละวนอยู่กับการคิดท่ารำเพื่อให้เข้ากับเนื้อเพลง สายฟ้า เด็กหนุ่มผู้รับหน้าที่ตีกลองปูจาก็ต้องซ้อมตีกลองให้เขากับทำนองเช่นกัน

“ตอนที่ซ้อมตีใหม่ๆ ครูสมชายให้ฝึกตีกลองสะบัดชัยก่อน ตอนแรกตีได้แค่หลกเป็ดหลกไก่ แต่ตีได้ยังไม่สุดเพราะยังจำโน้ตไม่ค่อยได้ ส่วนกลองปูจาจะมีกลองเล็ก 3 ใบและกลองใหญ่ 1 ใบ วิธีสอนของครูคือ เขาจะเขียนโน้ตแปะไว้ให้ที่หน้ากลอง กลองเล็กจะเป็น 1 2 3  ส่วนกลองใหญ่แทนด้วย 0 ผมก็ฝึกตีตามนั้น เช่น หลกเป็ดหลกไก่ ก็ตี 1 2 3 0, 1 2 3 0” สายฟ้าอธิบาย

ด้านภูมิและเพื่อนสมาชิกที่ทำหน้าที่เล่นเครื่องดนตรีคุมจังหวะ เช่น ฆ้อง และฉาบก็ต้องซ้อมเล่นเพื่อคอยคุมจังหวะให้กลองปูจาและการฟ้อนนาฎลีลาสามารถเข้ากันได้ เมื่อต่างคนต่างซ้อมจนชำนาญจึงจับมาเล่นรวมกันเพื่อให้ผสมผสานกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน

หลังฝึกซ้อมจนชำนาญ ก็ได้เวลาที่กลองปูจา เครื่องดนตรีให้จังหวะ และเหล่านาฏลีลาจะได้มาซ้อมร่วมกันเพื่อให้ท่ารำและท่วงทำนองของดนตรีไปด้วยกันได้ ซึ่งในช่วงแรกๆ จังหวะของท่ารำและการตีกลองปูจายังจูนกันไม่ติด ยังตีฆ้องเพี้ยน ตีช้า ไม่ตรงกับจังหวะของกลองปูจา ต้องใช้เวลาจูนกันพักใหญ่ กว่าท่ารำ กลองปูจา ฆ้อง และฉาบจะผสมผสานกันจนลงตัว

สายฟ้าเล่าปัญหาในช่วงนั้นให้ฟังว่า “ตอนแรกๆ มีหงุดหงิดบ้าง เพราะฆ้องตีช้า ฉาบก็ตีเพี้ยน จนผมไม่มีสมาธิจะตีกลอง พอเขาตีช้าก็พาผมล่มไปด้วย พอเริ่มใหม่เขาก็ตีเร็วไปอีก ยิ่งตีก็ยิ่งเพี้ยน คนรำก็รำไม่ได้ มันส่งผลถึงกันเป็นลูกโซ่ ต้องซ้อมกันอยู่นานพอสมควรครับ กว่าจะจับจังหวะได้” สายฟ้าบอกว่าที่ผ่านสถานการณ์นั้นมาได้ ส่วนหนึ่งเพราะความตั้งใจที่อยากตีกลองปูจาให้ได้ เลยทำให้เขาอดทนหมั่นซ้อมอยู่เรื่อยๆ จนชำนาญ

เมื่อฝึกซ้อนจนชำนาญ ไม่มีเพี้ยนแล้ว ก็ถึงเวลาออกไปเล่าเรื่องราวของชุมชนผ่านการร่ายรำ

นาฏลีลา+กลองปูจา ความงดงามที่ลงตัว

เดียร์และน้ำมนต์บอกว่า ถึงวันนี้พวกเธอรู้สึกภูมิใจที่สามารถดึงเอกลักษณ์ของชุมชนมาเป็นการแสดงได้ เวลามีงานสำคัญตามประเพณีต่างๆ ชาวบ้านจะมาเชิญชวนให้พวกเธอไปแสดง ซึ่งถือเป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้น ที่ทำให้เด็กและผู้ใหญ่ได้มีโอกาสพูดคุยกัน

“ถ้าไม่มาเข้าร่วมโครงการก็คงใช้เวลาแว้นรถไปมา สลับกับรับจ้างเก็บลำใย แต่ตอนนี้เปลี่ยนจากแว้นรถมาแบ่งเวลาซ้อมตีกลองปูจาแทน” สายฟ้ายังบอกอีกว่าเขายังชักชวนก๊วนเพื่อนสายแว้นให้มาร่วมตีกลองปูจาด้วย

ส่วนเดียร์ที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างขี้อาย เวลารำจะตัวสั่นเกร็ง การได้หมั่นฝึกซ้อมทำให้เธอเกิดความมั่นใจ อาการสั่นหายไป กลายเป็นฟ้อนไปยิ้มไปด้วยความภาคภูมิใจในบทเพลงที่พวกเธอแต่งขึ้น

น้ำมนต์เองก็ได้ค้นพบศักยภาพของตัวเองจากการทำโครงการ คือ ทักษะการตัดต่อวิดีโอ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยลองทำ แต่เมื่อมีโอกาสได้เข้าอบรมทำให้เธอรู้สึกสนใจและกลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติม ตัดต่อวิดีโอได้ดีขึ้น ส่วนความกล้าแสดงออกก็มีมากขึ้น  จากเดิมที่ไม่ค่อยพูดกับใคร แต่การได้ลงพื้นที่พูดคุยกับกับชาวบ้านที่ต้องถามข้อมูล ทำให้ต้องกล้า ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ข้อมูล

ส่วนภูมิน้องคนเล็ก ที่พี่ๆ ต่างฝากความหวังไว้ให้สานต่อโครงการก็บอกว่า เขารู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่องงานเอกสารที่ทำเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น

“และทำได้ดีด้วย” พี่ ๆ ช่วยกันยืนยัน  

Tags:

เกมดนตรีศิลปะการแสดงactive citizenproject based learning

Author:

Related Posts

  • Creative learning
    สืบสานพิธีกรรมนางออ มนต์ขลังเสียงแคนที่เชื่อว่าช่วยขจัดปัดเป่าโรคได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    ตามรอย “มโนราห์” เบื้องหลังศิลปะและศรัทธาที่เป็นได้มากกว่าการร่ายรำ

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ The Potential

  • Creative learning
    สวนสายรุ้งแห่งวัฒนธรรม: มหกรรมเยาวชนชาติพันธ์ุตากที่เชื่อว่าทุกคนมี ‘สี’ เป็นของตัวเอง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    หน้าร้อนสานเข่งใส่หอม หน้าฝนสานตระกร้าเก็บเห็ด: วิชาของเด็กบ้านสันตับเต่า

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Character buildingCreative learning
    ฟ้อนก๋ายลาย VS ตีกลองสะบัดชัย: แทคทีมโยงใจละอ่อนสู่ชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

เคยเป็นลูกแบบไหน ก็จะเป็นแม่แบบนั้น
Family Psychology
2 April 2019

เคยเป็นลูกแบบไหน ก็จะเป็นแม่แบบนั้น

เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

  • ปม หรือ บาดแผลในใจ ทำให้เรามีบุคลิกนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือหลายๆ อย่าง) แต่เหตุการณ์เลวร้ายไม่ได้ทำลายแค่จิตใจ แต่กำหนดวิธีที่เราจะตอบสนองต่อโลกภายนอก ซึ่งหากคุณกำลังสวมบทเป็นผู้ปกครอง ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคุณ คนหนึ่งก็คือ ‘ลูก’
  • เหตุผลในทางจิตวิทยา พฤติกรรมที่คุณแสดงต่อลูกวันนี้ ก็มาจากปมหรือการถูกเลี้ยงดูในอดีต และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณและลูก จึงมีวิธีป้องกันตัวเองจากโลกภายนอก ด้วยวิธีที่คล้ายกัน
  • บทความโดย ญาดา สันติสุขสกุล กระบวนกรอบรมด้านพัฒนาจิตใจ อธิบายแบบแผนพฤติกรรมของคนผ่านทฤษฎีและเคสที่เธอเคยทำงานส่วนตัวด้วย

ในโต๊ะอาหารมื้อกลางวัน ฉันร่วมนั่งรับประทานอาหารกับแม่ลูกคู่หนึ่ง คุณแม่วัยสามสิบต้นๆ กับลูกสาววัยสามขวบ คุณแม่ตั้งใจให้ลูกทานข้าวเอง แต่ก็อยากให้ลูกระมัดระวังไม่ทำเม็ดข้าวหกเลอะเทอะ แต่ทุกคำที่เจ้าหนูตักข้าวเข้าปากก็ต้องมีเม็ดข้าวตกลงนอกชามเสมอ ทุกครั้งที่ลูกทำข้าวตก คุณแม่ก็จะบอก (ร่ายกับ) ลูกว่า

“ลูกคะ ชาวนาปลูกข้าวเหนื่อยนะกว่าจะได้มาแต่ละเม็ด”

ฉันเลยแอบแทรกบทสนทนาคู่แม่ลูก ด้วยการเล่นสมมุติกับเด็ก ให้เขาจินตนาการว่า เม็ดข้าวแต่ละเม็ดคือขบวนรถไฟและกำลังจะไปเที่ยว ระวังนะอย่าทำผู้โดยสารตกขบวน!

เจ้าหนูเริ่มยิ้ม เขาระวังมากขึ้นในการป้อนข้าวเข้าปาก ส่วนตัวคุณแม่นั่งทึ่งกับสิ่งที่เห็น

เมื่อได้จังหวะคุยเพื่อลงรายละเอียดกับคุณแม่ท่านนี้ก็พบว่า คุณแม่ถูกเลี้ยงดูจากแม่ที่เจ้าระเบียบ ครอบครัวมีฐานะไม่ร่ำรวย ตั้งแต่เด็กต้องช่วยแม่ทำงานต่างๆ เพื่อความอยู่รอด ไม่เคยมีช่วงวัยที่เล่นสนุกเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เธอบอกว่า “ตั้งแต่จำความได้ก็เป็นคนไม่ยิ้มแย้ม จริงจังกับชีวิตแทบทุกเรื่อง หลายครั้งคิด กังวลใจว่าจะเลี้ยงลูกได้ดีไหม ไม่อยากให้เขาเติบโตมาเป็นแบบตัวเองที่ขาดโอกาสในชีวิตมากมายเพียงเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงอยากให้ลูกได้คิดในแบบผู้ใหญ่ แต่ก็หลงลืมไปว่าลูกยังเล็กอยู่”

แม้บ้านจะเป็นสถานที่แรกที่เราทุกคนได้เรียนรู้ความสัมพันธ์มากมายในบ้าน แต่บ้านก็เป็นโรงเรียนแห่งแรกที่เราจะได้พบกับ ‘ปม’ (trauma) บาดแผลทั้งทางกายและใจ แม้บทบาทของผู้ปกครองหรือพ่อแม่เองต้องการปกป้องเด็กให้รอดพ้นจากความเจ็บปวดต่างๆ ก็ตาม แต่มันยังเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่า คุณเองก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สร้างปมภายในให้แก่เด็กด้วย

ปม หรือ บาดแผลในใจ ที่ทำให้เรามีบุคลิกนิสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือหลายๆ อย่าง) – นี่คือเรื่องที่หนึ่ง

และเมื่อชีวิตถูกขับเคลื่อนด้วยปมหรือบาดแผลในวัยเด็ก อิทธิพลจากอดีตย่อมส่งผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์ของเรา กระทบต่อคนข้างๆ ไปสู่ลูก สู่คนที่เรารักมากมาย – นี่คือเรื่องที่สอง

เมื่อชีวิตถูกอิทธิพลของ ‘ปม’ (trauma) เล่นงาน คุณก็เหมือนกับหุ่นที่คอยถูกชักใยได้ง่าย ทำให้คุณมีปฏิกิริยาตอบสนองกับคนรอบข้างอย่างชัดเจน เหตุการณ์ใหม่ก็พร้อมจะสร้างความตึงเครียด เชื้อเชิญให้คุณพบเจอกับความปั่นป่วนทั้งกายและจิตใจ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่มีใครเลยที่ชอบชุดประสบการณ์ที่ยากๆ ‘ดั่งวันฟ้าหม่น’ ตัวเราเองก็จะต่อต้านสิ่งที่เราไม่ชอบ เราจะสร้างป้อมปราการขวางกั้นเรากับความสัมพันธ์ต่างๆ เราเลือกจะทำสงครามกับตัวเอง

ป้อมปราการที่ว่า หลายคนเลือกใช้ความวิตกกังวลแทนการจัดการแก้ไขสถานการณ์ที่เหมาะสม (วิตกไปก่อน แก้ไขทีหลัง) หลายคนเลือกต่อสู้ดิ้นรนอย่างไม่ลดละ บางคนเลือกหลบหนีความท้าทายในวิกฤติชีวิตไปที่อื่น หรือไม่ก็พร้อม (ขอเวลา) จะสิ้นหวังท้อแท้และจมลงในความรู้สึกพ่ายแพ้ต่อหนทาง ปล่อยให้ตัวเองถูกครอบงำไปด้วยความไม่ปลอดภัย สุดท้าย เราจ่ายค่าเสียหายด้วยโรคภัยที่รุมเร้าที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง

ประเด็นก็คือ เหตุการณ์เลวร้ายไม่ได้แค่ทำลายจิตใจ แต่มันกำหนดวิธีที่เราจะตอบสนองต่อโลกภายนอก และหากคุณกำลังสวมบทเป็นผู้ปกครอง ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคุณ ส่วนหนึ่งก็คือลูก

เพื่อทำความเข้าใจว่า ‘ปม’ วัยเด็ก มีอิทธิพลต่อการกระทำและส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง และจะสร้างวงจรพฤติกรรมนั้นต่อลูกอย่างไร ขออธิบายผ่าน แบบแผนความสัมพันธ์ที่มั่นคงปลอดภัย (Secure Attachment) และแบบแผนความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง (Insecure Attachment) 3 อย่าง

แบบแผนความสัมพันธ์ที่มั่นคงปลอดภัย (Secure Attachment)

ในการเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ที่มั่นคงปลอดภัย เรามักนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ‘แม่’ และ ‘ลูก’ เป็นหลัก เป็นเช่นนั้นก็จริง แต่ส่วนใหญ่แล้ว เด็กจะรู้สึกถูกหล่อเลี้ยงจากความสัมพันธ์ที่มั่นคง เป็นพื้นที่ทางใจ ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่กับพ่อแม่แท้ๆ แต่อาจเป็นปู่ ย่า ตา ยาย ครู หรือผู้ใหญ่ใกล้ชิดสักคนที่พร้อมส่งความปรารถนาดีและแสดงออกให้เห็น รับรู้ ไม่ว่าจะผ่านสีหน้าแววตาที่มอบความวางใจ ทำให้เด็กรู้สึกว่าถูกรักอย่างสิ้นสงสัย มันคือคุณภาพของการดำรงอยู่ที่ช่วยให้คนคนนั้นเติบโตอย่างสมวัยได้เลยทีเดียว

แต่เฉพาะแบบแผนของความสัมพันธ์ที่มั่นคง คือท่าทีที่สงบ ผ่อนคลาย ยืดหยุ่น และปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้ เป็นสายสัมพันธ์ที่สร้างความสนิทสนมเป็นกันเองระหว่างผู้ปกครองกับลูก แต่สายสัมพันธ์ประเภทนี้ก็มาจากศักยภาพที่จะหยั่งถึงความรู้สึกของตัวเองและลูกได้ รวมถึงรับรู้ได้ถึงสภาวะความสัมพันธ์ที่ไม่อาจราบรื่นและเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นก็สามารถรื้อซ่อมความสัมพันธ์เป็น

เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมกับแม่หรือผู้ปกครองแบบนี้ก็จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีอารมณ์ที่มั่นคง ยอมรับอารมณ์ต่างๆ เป็น อบอุ่น ปลอดภัย มีความเรียบง่ายในการสัมพันธ์กับคนรอบๆ ข้าง เมื่อเกิดวิกฤติในชีวิต เด็กจะหาจุดสมดุลเพื่อฟื้นคืนกลับมาสู่ความเป็นปกติได้ หรือสายสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยสร้างการขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมั่นคง เขาหรือเธอจะเป็นต้นแบบของความมั่นคงทางจิตใจต่อไปในอนาคต

ทั้งหมดที่กล่าวไปคือรูปร่างหน้าตาของความสัมพันธ์ที่มั่นคง ส่วนแบบแผนความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง (Insecure Attachment) แบ่งย่อยออกเป็นอีก 3 แบบ คือ

วิตกกังวล (Anxiety)

เพิกเฉย (Avoidance)

เสียการควบคุม (Disorganization)

1. แม่ที่ ‘วิตกกังวล’ (Anxiety)

คนที่มักวิตกกังวล เติบโตมาจากเด็กที่ขาดการดูแลอย่างสม่ำเสมอ และไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน แต่เพื่อความอยู่รอดปลอดภัย ตอนเป็นเด็กเล็กจึงมักมีพฤติกรรมของการตรวจสอบและคอยเช็คความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับแม่หรือผู้ใหญ่ที่ดูแล ตรวจสอบว่าความสัมพันธ์นี้ปลอดภัยหรือไม่ คอยสำรวจสีหน้า ท่าที น้ำเสียงของผู้ดูแลเสมอๆ จึงส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่ไวและสร้างความหวาดระแวงไม่ว่าผู้ดูแลจะดีหรือร้ายก็ตาม

เมื่อโตขึ้น จึงกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ใส่ใจความรู้สึกของตัวเองเป็นหลัก เมื่อต้องสวมบทบาทเป็นแม่ จึงมีอารมณ์ที่ไม่มั่นคง เมื่ออารมณ์ดีก็ตอบสนองความต้องการของลูกได้ แต่หากวันใดอารมณ์เสียหรือหงุดหงิด ก็จะปิดกั้นตัวเองกับลูก และอาจร่วมถึงควบคุมอารมณ์ด้านร้ายของตัวเองไม่ได้

เพราะในอดีตของแม่ก็ไร้ที่พึ่งอย่างมั่นคงมาก่อน แม่จึงมีแนวโน้มที่จะมีความวิตกกังวลเป็นพื้นฐานและมองหาสิ่งอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์มาช่วยให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่ติดขัด ทำให้การตอบสนองต่อเด็กเป็นไปอย่างผิดที่ผิดทาง

เช่น หากเมื่อเด็กเกิดความปั่นป่วนแม่อาจจะตอบสนองลูกด้วยคำขู่หรือเงื่อนไขต่างๆ “ต่อไปแม่จะไม่รักนะ หากหนูทำตัวแบบนี้ แม่ชอบเด็กที่ว่านอนสอนง่าย” หรือสร้างให้เด็กเกิดความกลัวอย่างผิดๆ เพื่อยุติอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน เช่น “ถ้าหนูไม่หยุดร้องไห้ แม่จะเอาหนูไปให้คนเก็บขยะเลี้ยงต่อนะ”

ทั้งหมดนี้ย่อมส่งผลให้เด็กเกิดความหวาดระแวง เช่น เมื่อต้องการจะเดินหาคนเป็นแม่ เหมือนว่าขาข้างหนึ่งก้าวไปข้างหน้าแล้ว แต่อีกข้างกลับลังเลจะเข้าหาเพราะกลัวแม่ดุใส่ ตอนที่เด็กยังเล็ก (ยังไม่มีกระบวนการคิดและตระหนักรู้เช่นผู้ใหญ่) เมื่อเกิดความปั่นป่วนข้างใน เริ่มเรียกร้องความต้องการสักอย่าง และเมื่อแม่ไม่สงบมั่นคงพอ ก็รองรับอารมณ์ของเด็กได้ไม่ดีพอเช่นกัน

ในอารมณ์ขั้วบวก เด็กจะทำตัวน่ารักเพื่อเรียกร้องให้แม่เห็น หรือพยายามเอาอกเอาใจแม่เพื่อให้ได้มาซึ่งบางสิ่งบางอย่างที่เขาต้องการ ในขั้วอารมณ์ลบ เด็กจะทำตัวร้ายกาจ แสดงอารมณ์พลุ่งพล่านยากต่อการควบคุม ต้องใช้เวลานานกว่าเด็กจะกลับสู่อารมณ์สงบได้

ในกรณีเด็กที่ถูกเลี้ยงดูด้วยอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จากแม่เช่นนี้ เมื่อเกิดการกระทบกระเทือนจิตใจบ่อยๆ เด็กจะมีความไม่มั่นใจในตัวเอง ต้องคอยตรวจเช็คการยอมรับจากแม่หรือผู้ดูแลเสมอๆ ขาดความวางใจต่อสภาพแวดล้อม ไม่รู้สึกว่าโลกนี้มีที่ยืนหรืออยู่ได้อย่างปลอดภัย

อีกกรณีหนึ่งของคนเป็นแม่ที่มักวิตกหวาดระแวง แม่มักจะยอมจำนนต่อการเรียกร้องลูกเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้จบๆ ไป เช่น ลูกอยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ทั้งที่มีของเล่นมากมายแล้วที่บ้าน

เมื่อบอกลูกว่า “แม่ว่าของเล่นนี้หนูมีเยอะแล้วนะ” แต่เด็กกลับร้องไห้ดังขึ้น จนในที่สุดแม่ก็ยอม “อะๆๆ ครั้งนี้ชื้อให้ก็ได้” ตัวเด็กเองจะเรียนรู้วิธีการต่อรองกับแม่หรือผู้ใหญ่คนนั้นด้วยการใช้อารมณ์ต่างๆ

เมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะยึดความรู้สึกของตนเป็นหลักเช่นกัน เอาแต่ใจ มีแนวโน้มว่าชอบสิ่งไหนก็อยากจะครอบครอง หรือเกาะติดแจกับคนคนนั้นไม่ยอมให้คลาดสายตา หากไม่ได้ดั่งใจ อารมณ์ต่างๆ ก็จะถาโถมเข้าใส่ ทำให้จัดการสถานการณ์ไปด้วยความยุ่งเหยิง และอาจกลายเป็นคนไม่วางใจในความสัมพันธ์ เมื่อสัมผัสได้ถึงระยะห่างจากอีกฝ่าย ก็จะกังวลคิดมากไปไกลเกินเหตุ ต้องคอยตรวจเช็คความสัมพันธ์อยู่เรื่อยๆ

เช่น ในอดีตตอนที่เจนเป็นเด็กตัวน้อยที่น่ารักของแม่และพ่อ ตอนเป็นเด็กเธอชอบเต้นรำกระโดดไปมา เมื่อเห็นแม่ยิ้มหัวเราะตอบกลับมา เธอจะรู้สึกว่าแม่รักและเอ็นดู เป็นวันที่แม่เบิกบานใจ วันนั้นจะเป็นวันที่แม่ใจดีกับเธอมากเป็นพิเศษ รอยยิ้มของแม่มีความหมายสำหรับเธอมากเพราะเป็นภาพที่ตรึงใจ แต่ในวันที่แม่ป่วยด้วยโรคประจำตัว ปวดไมเกรน แม้แต่หน้า แม่ก็ยังไม่มองเธอ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ เจนมารู้ตอนโตว่า ทุกเช้าที่แม่ต้องไปทำงาน เจนจะคอยเกาะขาแม่ไว้อย่างแน่นเหนียวไม่ยอมให้ไปไหน เมื่อเจนโตเป็นผู้ใหญ่ เจนจึงจดจำแม่ในสองบุคลิก

แม้ปัจจุบันนี้ เวลาที่เจนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใคร ในใจของเจนจะรู้สึกไม่มั่นคง อยากอยู่ใกล้ๆ ด้วยตลอดเวลา แต่อีกใจก็กลัวว่าเขาจะไม่รักเธอไปนานๆ หรือแม้แต่ตอนที่แฟนของเจนนิ่งเฉย ก็จะให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่แม่เพิกเฉยต่อเธอ

ตัวอย่างของแม่ลูกอีกคู่ที่ดูมีความสัมพันธ์อันซับซ้อน คือบทบาทของแม่เลี้ยงเดี่ยว เลิกรากับสามีเพราะพบว่าเขามีสัมพันธ์กับหญิงอื่น เธอเลี้ยงลูกโดยไม่พึ่งพาสามีแต่อย่างใด ลูกชายได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากแม่ผู้เด็ดเดี่ยว มีอาชีพการงานที่มั่นคง เป็นผู้หญิงทำงานเก่งได้รับการยอมรับจากสังคม

แต่ในบทบาทของแม่ที่ใกล้ชิดลูกผู้เป็นดั่งดวงใจ เธอจะให้ลูกตามเธอไปทุกแห่ง ลูกชายมีนิสัยตามใจแม่ทุกอย่าง แต่จะมีพฤติกรรมที่แปลกๆ อยู่อย่างหนึ่งคือ จะคอยซบไหล่แม่อยู่เสมอๆ ประหนึ่งว่าร่างกายของเด็กผู้ชายคนนี้ไม่มีกระดูกสันหลัง จนเมื่อลูกชายเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แม่ส่งเขาไปเรียนต่อต่างเมือง และเธอเริ่มรู้สึกเหงา เป็นกังวลถึงลูกชายเสมอ เธอยอมรับว่าการมีลูกชายอยู่ใกล้ๆ เป็นเสมือนตัวแทนของคนรัก ซึ่งในตัวลูกเอง การทำตัวอ่อนแอไม่ใช่เพราะสึกว่าต้องพึ่งพาคนเป็นแม่เสียทั้งหมด แต่ก็เพื่อให้แม่ได้แสดงบทบาทของความเข้มแข็ง แท้ที่จริงแล้วลูกกลับรับรู้ได้ว่าแม่ต้องการยึดใครสักคนเป็นที่พักใจ

2. แม่ผู้ ‘เพิกเฉย’ (Avoidance)

คือแบบแผนของคนที่เอาเหตุผลและหลักการนำอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเจอกับสถานการณ์ก็จะสนใจข้อมูลมากกว่าการสัมผัสโดยตรง บ่อยครั้งก็อาจละเลยการใส่ใจเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและคนรอบข้างไป ไม่เห็นว่าอารมณ์มีสาระให้จับต้อง

แม่หรือผู้ดูแลเด็กแบบนี้มีแนวโน้มจะเชื่อตำราหรือองค์ความรู้มากกว่าจะเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง มีคุณแม่หลายคนที่เลี้ยงลูกด้วยตำรา เช่น แม่ลูกอ่อนคนหนึ่ง คุณแม่จะให้นมลูกทุก 4 ชั่วโมงตามตำราที่อ่านมา หากลูกร้องไห้เพราะหิวนมในช่วงนอกเวลาที่กำหนดไว้ ก็จะไม่ให้นมลูกจนกว่าจะครบ 4 ชั่วโมงก็เพราะต้องการยึดตามหลักการ

ชั่วขณะที่เด็กร้องไห้ก็ไม่รับรู้ว่าลูกต้องการอะไรกันแน่ หลักการบอกว่าหากอยากให้ลูกมีวินัย จึงปลูกฝังตั้งแต่เป็นทารกน้อย เมื่อคุณแม่รายนี้นำหลักการเดียวกันมาใช้กับเรื่องต่างๆ ของลูก แม่เองค่อยๆ ตัดการรับรู้ด้านจิตใจและสภาวะอารมณ์ความรู้สึกของเด็กไปทีละนิด จนขาดการเชื่อมโยงทางด้านจิตใจที่ละเอียดอ่อนต่อกัน จึงดูมีช่องว่างและระยะห่างในความสัมพันธ์ ไม่สนิทสนม ไม่ใกล้ชิด ไม่ค่อยมีท่าทีของการเล่นล้อ สิ่งที่น่ากลัวก็คือ การเล่นคือพื้นฐานของการกระตุ้นพัฒนาการในเด็กเล็กที่สำคัญอย่างยิ่งยวด

เมื่อแม่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ด้านจิตใจแล้ว ในมุมของเด็กเองก็จะค่อยๆ หยุดความพยายามในการสื่อสารช่องทางต่างๆ เช่น การร้องขอ การบอกความต้องการของตัวเอง การบอกความรู้สึก และจะทำตัวเสมือนว่าไม่มีปัญหาอะไร เด็กจะค่อยๆ ตัดอารมณ์ความรู้สึกของตนไปทีละเล็กละน้อย เพราะถึงแม้เขาจะพยายามสื่อสาร แต่ก็ดูไร้ประโยชน์ที่จะเรียกร้องให้แม่มาใส่ใจ เพราะแม่สนใจแต่เหตุผลเป็นใหญ่ เด็กอาจจะมีบุคลิกภาพที่นิ่งเฉย ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึก

ในฐานะนักบำบัดอิสระ หลายครั้งเราจะเจอกับเด็กแบบนี้ ซึ่งมีอายุเพียงไม่เท่าไร แค่ 8-10 ขวบ ก็ดูสงบนิ่งแบบผู้ใหญ่ ไม่ร้องไห้วอแว แต่ก็ไม่มีอารมณ์สนุกหรือหัวเราะขันออกมาได้อย่างอิสระ ดูไร้ชีวิตชีวา ผิดธรรมชาติของเด็กน้อยที่จะวิ่งเล่น สงสัยใคร่รู้ต่อสิ่งรอบตัว

เด็กหลายคนที่เติบโตมาด้วยกระบวนตัดความรู้สึกเหล่านี้ อาจกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับบางสภาวการณ์ หรือบางทีก็อาจจะไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด และมีแนวโน้มสร้างบุคลิกภาพที่ดูนิ่ง สุขุม ใช้เหตุและผลเป็นหลัก ไม่มีท่าทีของการแสดงออกทางสีหน้าหรือท่าทางที่บ่งบอกถึงความรู้สึกภายใน ดูมีระยะห่างกับผู้คน ดูเข้าถึงยาก ดูยากและสลับซับซ้อน

ภายนอกเขาหรือเธออาจดูว่าพึ่งพาตัวเองได้ ไม่เรียกร้องอะไรให้คนรอบข้างวุ่นวาย ไม่สุงสิงกับใครมาก แต่ภายในจิตใจกลับจะมีความรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ลึกๆ อาจจะโหยหาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจากอีกคนแต่แสดงออกไปไม่ได้เพราะสานความสัมพันธ์ไม่เป็น

ในมุมหนึ่ง บุคลิกภาพแบบนี้ถือว่าเป็นการปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวดหากความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นไปตามต้องการ การนิ่งเฉยจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เขาหรือเธอจะทำได้

ตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งต้องมารับบทเป็นพ่อและสามี ภรรยาของเขาเริ่มเรียกร้องให้เขามีเวลาเล่นกับลูกที่ยังเล็กบ้าง แต่เขากลับรู้สึกลำบากใจที่จะใกล้ชิดด้วย เพราะเวลาที่ลูกร้องไห้หรือมีความปั่นป่วนทางอารมณ์ เขาจะรู้สึกปั่นป่วนตามไปด้วยและอยากหลีกหนีไปให้ไกล ตัวเขาเองก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนี้

เมื่อฉันพูดคุยกับเขาถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับแม่ของเขา ก็จะได้ยินเขาพูดถึงแม่ว่า

“แม่เป็นคนนิ่งๆ ซึ่งบรรยากาศภายในบ้านตอนที่เขายังเด็กก็จะเงียบสงัดเป็นส่วนใหญ่ แต่ละคนจะมีมุมของตนเองที่ไม่ยุ่งกันมาก ผมไม่มีช่วงของความเป็นเด็กเท่าไหร่ รู้สึกได้เพียงว่า แม่กำลังมองผมในสายตาผู้ใหญ่คนหนึ่งมากกว่ามองมาที่เด็กน้อยนะ”

เขายอมรับว่า ในฐานะพ่อของลูกที่น่ารัก เขาเองรักลูก แต่ก็มีความไม่ชอบเด็กเล็กไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะไม่มีความถนัดที่จะใกล้ชิดกัน ซึ่งก็จะเป็นปัญหาให้ต้องทะเลาะกับภรรยาอยู่บ่อยๆ

3. แม่ผู้ ‘เสียการควบคุม’ (Disorganization)

ลักษณะของผู้ปกครองที่แสดงออกถึงการเสียการควบคุมทางอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะในเวลาที่เกิดความปั่นป่วนขึ้น มีแนวโน้มที่แม่เองจะทำร้ายเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ เนื่องจากไม่สามารถวางขอบเขตในการรับรู้อารมณ์ตัวเองได้ ไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกอะไร รู้แต่ว่าเกิดความปั่นป่วนจนระงับความรู้สึกลบไม่ได้

เพราะในส่วนลึกของผู้ปกครองเช่นนี้ เคยถูกกระทำจากผู้ปกครองของเขามาก่อน เคยเป็นเด็กที่ถูกเข้าหาด้วยความรุนแรง ครั้นในช่วงเป็นเด็กซึ่งยังปกป้องตัวเองไม่ได้ จึงไม่รับรู้ถึงการถูกรักและการได้รับความทะนุถนอมว่าเป็นเช่นไร ความเจ็บปวดหรือปมในอดีตยังคงค้างอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ มีแต่จะคอยปะทุออกเมื่อมีสถานการณ์ที่คล้ายคลึงอย่างในอดีตเกิดขึ้นอีก

สภาพจิตใจที่ไม่พร้อมจะดูแลเด็กแบบนี้ ย่อมส่งผลให้เด็กเกิดภาวะหวาดหวั่นใจได้เสมอ ซึ่งแม้จะมีสายใยผูกพันกับแม่ แต่ด้านที่หวาดกลัวก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กันด้วย เมื่อแบบแผนที่ถูกกระทบกระเทือนทางกายและใจเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำๆ จะส่งผลต่อพัฒนาการในเด็กเล็ก เช่น การพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดต่างๆ การสอดประสานของร่างกายเรื่องสมดุล เช่น เด็กที่เคยถูกเลี้ยงด้วยความกลัว แม่ที่คอยจับผิดลูกตลอดเวลา เลี้ยงลูกด้วยคำว่า ‘อย่า!’ ในบางรายของเด็กจะมีพัฒนาการเดินช้า เดินๆ แล้วสะดุดล้มทั้งที่ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง พูดติดอ่าง และอื่นๆ

หรือในแม่บางรายที่สอนลูกด้วยการลงโทษเสมอๆ ใช้คำขู่ ‘อย่านะ เดี่ยวจะตีเลย’ และเมื่อพูดจบแม่ก็ลงไม้ลงมือตีที่ร่างกาย เมื่อเด็กร้องไห้หนักขึ้นก็จะตีซ้ำ ตัวแม่เลยได้โอกาสในการระบายอารมณ์ความไม่พอใจของตัวเองลงไปที่เด็ก หรือในขณะที่เด็กร้องไห้เพราะอยากให้แม่อุ้มแต่แม่กำลังมีปากเสียงกับสามี แม่กลับไม่อุ้มไม่ปลอบประโลมเด็ก แต่เข้าหาด้วยการตีแรงๆ เพื่อห้ามให้หยุดร้อง ตะโกนใส่ลูกด้วยคำด่าทอ ในเวลาที่เด็กกำลังเล่นของบางอย่างและเกิดเสียงดัง แม่ตะโกนด่า ใช้อารมณ์ที่รุนแรง เหล่านี้คือแบบอย่างของการกระทำ ซึ่งทำให้เด็กรู้สึกได้ถึงการเป็น ‘เหยื่อ’

เมื่อเราได้ทำความเข้าใจถึงแบบแผนความสัมพันธ์ที่เราเคยได้รับการเลี้ยงดูมาจากผู้ปกครองแต่ละแบบในแต่ละคนแล้ว เราจะเห็นว่า อาจมีแบบแผนหลายแบบที่ตกมาอยู่ในจิตใจของเราได้ และกลายเป็นต้นแบบต่อไปในการที่เราจะกลายเป็นแม่พ่อในแต่ละแบบ ซึ่งในงานบำบัดนั้น เราสามารถทำความเข้าใจตัวเองและบำบัดจนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่แบบแผนความสัมพันธ์ที่ดีในแบบมั่นคงปลอดภัยได้

รื้อสร้างแบบแผนความสัมพันธ์ใหม่

อย่างที่เกริ่นในตอนต้นว่า ทุกแบบแผนความสัมพันธ์ที่บกพร่องนั้นสร้างใหม่ได้ เช่น ผู้ที่มีแบบแผนเพิกเฉย (Avoidance) ก็อาจเริ่มจากกลับมาเรียนรู้ที่จะตระหนักในความรู้สึกของตัวเองก่อนที่จะไปรับรู้คนอื่น เริ่มจากการฝึกรับรู้การมีอยู่กับร่างกายที่เชื่อมโยงกับหัวใจ รู้ร้อนรู้หนาวในตัวเอง จนเริ่มมีทักษะบอกความรู้สึกได้อย่างไม่เขินอาย จากนั้นจึงขยับไปที่การเดาว่าผู้คนแสดงออกในท่าทีต่างๆ นั้นเพราะมีความรู้สึกอย่างไร

ส่วนแบบ ลักปิดลักเปิด วิตกกังวล (Anxiety) ให้กลับมาให้ความสำคัญกับแกนของจิตใจภายใน วางขอบเขตให้กับพื้นที่ภายในให้ขยายออก และมีอาณาเขตที่จะดำรงอยู่กับใจตัวเองจนเจอสภาวะความนิ่งสงบ ในความเงียบสงบภายในจะช่วยให้คนที่วิตกกังวลสร้างความมั่นคงทางภาวะอารมณ์ และเรียนรู้จากผู้ใหญ่ที่เคยเข้ามามีบทบาทและคอยมอบความอบอุ่นอย่างเหมาะสมต่อคุณ ก็จงระลึกถึงภาพของคนผู้นั้นไว้เสมอๆ

และในคนแบบสุดท้าย เสียการควบคุม (Disorganization) จะต้องเน้นที่วิธีการดูแลด้วยความละเอียด อ่อนโยน อาจจะเริ่มต้นโดยการหาวิธีบำบัดในรูปแบบต่างๆ เช่น ศิลปะบำบัด การเดินในสวนสาธารณะที่มีพื้นที่โล่งกว้าง หรือหาคนที่จะคอยรับฟังเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ เรียนรู้วิธีการผ่อนคลายจิตใจจากความตึงเครียด เมื่อมีคนคอยรองรับดั่งมีภาชนะมารองรับอารมณ์ต่างๆ คนแบบเสียการควบคุมจะค่อยๆ รู้สึกวางใจและปลอดภัย เรียนรู้ที่จะกลับมารักร่างกายและจิตใจตนเอง

สำหรับท่านที่พร้อมแล้ว เริ่มทำ ‘แบบฝึกหัด’ ได้เลย

ขั้นที่หนึ่ง ‘เฝ้าสังเกต’

เริ่มทบทวนและเฝ้าสังเกตว่า เราได้มีแบบแผนความสัมพันธ์แบบใดบ้างกับลูกของเรา เรียนรู้ที่จะยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ให้ค่อยๆ สังเกตจนหาแบบแผนความสัมพันธ์หลักที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นประจำๆ

ขั้นที่สอง ‘ช้าลงแล้วลองทำความรู้จักกับพื้นฐานจิตใจของเรา’

ทำความรู้จักกับพื้นฐานจิตใจว่าในขณะที่เรากำลังเข้าสู่แบบแผนแต่ละแบบ เกิดความรู้สึกใดขึ้นบ้าง โดยอาจจะจดสถานการณ์และความรู้สึกต่างๆ ลงในสมุดบันทึก เฝ้าสังเกตในครั้งต่อๆ ไปว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่กระตุ้นให้เราคืบคลานเข้าสู่แบบแผนนั้นๆ มันคือการศึกษาองค์ประกอบของจิตใจเราว่าเป็นเช่นใดบ้าง เหมือนกับการภาพวาดสีน้ำซึ่งจะมีสีรองพื้นและสิ่งต่างๆ ปนกันอยู่

เราเริ่มแยกแยะถึงสีต่างๆ ของจิตใจเราได้ ก็ถือว่ามันคือการเรียนรู้ที่จะสำรวจตรวจตราจิตใจเรา ซึ่งจะค่อยๆ ช่วยให้เกิดการชะลอแรงขับที่อาจจะดำเนินไปอย่างเป็นอัตโนมัติ มีแม่หลายคนรู้สึกถึงความผิดที่หนักหนาเสมอ เมื่อลงไม้ลงมือตีลูกก็จะมีเสียงวิจารณ์ที่โบยตีตนเองตบท้ายเสมอๆ แต่ในขณะตีลูกตนก็จะไม่สามารถหยุดได้ทันการ

ขั้นที่สาม ‘พบเจอต้นตอและขอบคุณ’

เมื่อเราเริ่มสังเกตเห็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกลบภายใน ขอให้เรียนรู้ที่จะโอบกอดความรู้สึกที่โดดเดี่ยว โมโห น้อยใจ และอื่นๆ ไว้ภายในชั่วขณะ มีคุณคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในใจคุณ ใช้เวลาเพียงอึดใจกับการสูดลมหายใจเข้าลึกยาว คุณเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะโอบกอดเด็กน้อยที่ครั้งหนึ่งในอดีตเป็นคนที่เคยถูกทอดทิ้งหรือถูกกระทำ ซึ่งในช่วงขณะที่เราไม่ทอดทิ้งใจตัวเอง เราอาจจะพบเจอภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เราเคยประสบมา ก็ขอให้เราตระหนักถึงการระบุช่วงเวลาของภาพเหตุการณ์เหล่านั้น และกล่าวในใจตัวว่า…

“เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นในตอนที่ฉันยังเด็ก ซึ่งมันนานมาแล้ว และในตอนนี้ฉันได้รับรู้ความรู้สึกด้านนี้ของฉัน ขอบใจเรื่องราวในอดีตนะที่มาย้ำเตือนเพื่อไม่ให้ฉันลืม”

เพราะในอดีตขณะเป็นเด็กเล็ก คุณยังไม่สามารถตระหนักรู้ได้ถึงภาวะต่างๆ ไม่อาจเข้าใจจิตใจคนรอบๆ ข้าง และรวมถึงการเข้าใจสถานการณ์รอบข้างได้เทียบเท่ากับสติปัญญาของผู้ใหญ่ ความรู้สึกต่างๆ จึงถูกบีบอัดเป็นความทรงจำกลายเป็นบาดแผลในอดีต พร้อมที่จะปะทุขึ้นได้เสมอในยามที่เราแล่นเรือเข้าสู่ใจกลางคลื่นลมพายุ

ขั้นที่สี่ ‘สร้างต้นแบบแม่ใหม่ๆ’

ไม่เคยมีใครมากำหนดคุณได้ว่า คุณจะเป็นใคร มีท่าทีแบบไหน เพราะแท้จริงแล้วคุณมีด้านหนึ่งเป็นดั่ง ‘ผู้กำกับบทละครและตัวละคร’ เพียงแต่คุณอาจจะต้องหาข้อมูลเพิ่มอีกสักหน่อยว่า บทบาทการเป็นแม่หรือพ่อในแบบไหนที่คุณพอจะเป็นได้ หาต้นแบบที่คุณรู้สึกได้

แม่คนหนึ่งที่ฉันช่วยตั้งคำถามถึงต้นแบบในการเป็นแม่ที่เธอสนใจ เธอตอบว่าคือแม่ชีเทเรซา

“ฉันนึกถึงรอยยิ้มที่คุณแม่เทราซาซึ่งจะยิ้มให้กับเด็กเสมอๆ มันอบอุ่นมาก ในอดีตแม่ของฉันเองก็ไม่เคยยิ้มให้กับฉันเลย ฉันเลยอยากเป็นแบบคุณแม่เทราซา” แค่คำตอบสั้นๆ กับแววตาที่คุณแม่คนนี้ส่งมาทางดวงตาฉัน เพียงแต่ยิ้มที่มุมปาก ไม่กี่เสี้ยววินาที เธอก็ร้องไห้ ฉันให้เธอสบที่อกและกอดไว้แน่นๆ เธอเหมือนกลายเป็นเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้บนอกแม่ ผ่านไปหลายเดือนจนเธอกลับมาหาฉันอีกครั้ง

เธอบอกกับฉันว่า “ฉันคิดว่า ฉันยิ้มให้ลูกบ่อยขึ้น และมันสุขใจมากที่ได้สบตาลูก ถึงแม้จะเป็น 3 วินาที แต่มันทำให้ใจฉันอิ่มและอุ่นมากค่ะ”

ขั้นที่ห้า ‘ทางเลือกที่คุณอยากเดิน’

เมื่อคุณฝึกฝนที่จะทำความเข้าใจจิตใจมาระยะหนึ่ง คุณจะมีทักษะที่จะดำรงตนอยู่กับปัจจุบันขณะ แม้เพียงในเวลาอันสั้นนัก แต่แค่เพียงเสี้ยววินาที คุณอาจจะสามารถคาดเดาทิศทางต่างๆ ได้ว่า คุณทำแบบนี้แล้วจะเกิดอะไร ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วจะเกิดอะไร มันคือศักยภาพของการเพิ่มขีด ‘ความทานทน’ หรือการยับยั่งชั่งใจโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องกดทับอารมณ์ด้านลบทิ้งไปนะ เพียงแต่ชะลอ และเลือกเปลี่ยนทิศทางแค่นั้นเอง

Tags:

จิตวิทยาแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)

Author:

illustrator

ญาดา สันติสุขสกุล

Related Posts

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • Family PsychologyHealing the trauma
    ไม่เป็นไรถ้าจะมีวัยเด็กที่เจ็บช้ำ เรียนรู้จากมันเพื่อเป็นพ่อแม่ที่มั่นคงทางใจได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    บำบัดจิตใจปั่นป่วนของพ่อแม่ ด้วยทฤษฎีระบบครอบครัวภายใน (IFS)

    เรื่อง ญาดา สันติสุขสกุล

หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก
Early childhood
1 April 2019

หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

เรื่องและภาพ The Potential

ควบคุมตัวเองได้ดี-คิดยืดหยุ่นเป็น-มีความจำที่ดี นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ควรจะคาดหวังให้เกิดกับลูกมากกว่าสิ่งใด

หมอโอ๋ หรือ พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจ ‘เลี้ยงลูกนอกบ้าน’ อธิบายถึงวิธีเลี้ยงลูกที่มักคาดหวังให้ลูกโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบและมักคาดหวังกับตัวเองไปพร้อมๆ กัน โดยการพยายามไม่ให้ไม่สร้างปม หรือสร้างบาดแผลใดๆ ไว้ให้ลูก

แต่การที่พ่อแม่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูกนั้น แปลว่าพ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงลูก พ่อแม่ควรจะยอมรับความเป็นมนุษย์และเข้าใจความหลากหลายของเขา

“บางครั้งมันอาจจะไม่ใช่แบบที่เราชอบ แบบที่พ่อแม่ต้องการ แต่ลูกจะไปได้ดีในเส้นทางของเขา”

Tags:

พ่อแม่จิตวิทยาวินัยเชิงบวกโซเชียลมีเดียพญ.จิราภรณ์ อรุณากูรความปลอดภัยไซเบอร์

Author & Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Early childhood
    5 วิธี ลบคำพูดร้ายในใจเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    ทำไมลูกหายใจเข้าออกเป็น ‘IG’ (INSTAGRAM)

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • How to get along with teenager
    อินสตาแกรม 101: รู้ไว้ให้ ‘ลูก’ ใช้เป็น

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Family Psychology
    ทำไมพ่อกับแม่ถึงชอบแชร์เรื่องของหนู?

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

5 ไอเดียเตรียมพร้อม เมื่อลูกเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น
Family Psychology
1 April 2019

5 ไอเดียเตรียมพร้อม เมื่อลูกเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

pre-teen (พรีทีน) คือช่วงเวลาหนึ่งก่อนลูกจะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งเกิดขึ้นกับเด็กแต่ละคนในช่วงอายุไม่เท่ากัน เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของลูกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนบางอย่างในร่างกาย ส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของเขา

แต่การเปลี่ยนแปลงย่อมตามมาด้วยความสั่นคลอนเสมอ เริ่มต่อต้าน-พูดไม่ฟัง-อยากเป็นตัวของตัวเอง สัญญาณเหล่านี้บอกว่าลูกของคุณกำลังเริ่มโตเป็นวัยรุ่น

ในฐานะพ่อแม่หรือผู้ปกครอง…จะทำอย่างไรเมื่อเขากำลังอยู่ในช่วงพรีทีน ?

คลี่คลายด้วย 5 ไอเดีย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและใช้ตั้งหลักเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

อ่านบทความฉบับเต็มได้ ที่นี่

Tags:

พ่อแม่วัยพรีทีน (Preadolescence)

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • MovieDear Parents
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Creative learning
    แค่ไม่คิดว่ามันเป็นวิชา: 5 ห้องเรียนของบ้านเรียนทางช้างเผือก

    เรื่อง The Potential

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    วิรตี ทะพิงค์แก: ชวนคุณแม่ตั้งหลัก เมื่อลูกเข้าสู่วัยพรีทีน

    เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ บัว คำดี

เลี้ยงอย่างไรหลังหย่าร้าง : ลูกจะโอเคที่สุดเมื่อพ่อแม่ไม่ขัดแย้งกัน
Family Psychology
29 March 2019

เลี้ยงอย่างไรหลังหย่าร้าง : ลูกจะโอเคที่สุดเมื่อพ่อแม่ไม่ขัดแย้งกัน

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • สามีภรรยาเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อแม่เลิกไม่ได้ ทำอย่างไรให้ลูกโอเคที่สุดเมื่อบ้านไม่กลับไปเหมือนเดิม
  • แน่นอน ลูกได้รับผลกระทบ แต่เขาจะค่อยๆ ปรับตัวเมื่อพ่อแม่ร่วมมือกัน จับมือเป็นทีมเวิร์คช่วยประคับประคองให้ลูกใช้ชีวิตต่อไปได้โดยปราศจากปัญหา
  • เดินเว้นระยะเป็นคู่ขนาน ย่อมดีกว่าเดินด้วยกันแล้วทำร้ายซึ่งกันและกัน ความเป็น พ่อ-แม่-ลูก จะยังคงอยู่อย่างแข็งแรง

เมื่อความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ถึงทางตัน โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีลูกแล้ว คำถามที่อยู่ในใจคนเป็นพ่อแม่คำถามหนึ่ง น่าจะหนีไม่พ้น

“เลิกดีไหม หรือจะอยู่กันต่อไปเพื่อลูกดี?”

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางสถานการณ์ที่ชวนกระอักกระอ่วนนี้ หลายคู่ตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ แล้วก็ผ่านมาได้ด้วยการยังคง “ความเป็นพ่อแม่” ให้กับลูก หากลองนึกดูดีๆ เราเห็นตัวอย่างการตัดสินใจลักษณะนี้มากขึ้นผ่านสื่อ จากความสัมพันธ์ส่วนตัวของดารานักแสดงที่เลี่ยงการเป็นจุดสนใจจากสาธารณะไม่ได้ หลายคนจำใจต้องตอบคำถามผ่านการสัมภาษณ์ โดนวิพากษ์วิจารณ์บ้าง ให้กำลังใจบ้างแตกต่างกันไป

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังตัดสินใจ ข้อมูลต่อไปนี้จะช่วยให้เห็นข้อดี ข้อเสีย วิธีการรับมือและวิธีการพูดคุยกับลูกหากจำเป็นต้องมีการหย่าร้าง ซึ่งจะช่วยคุณให้รอด!

หรือหากความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ของคุณ มีความเข้าใจกันดี เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันและทำให้คุณเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกมากขึ้น!!

อยู่ด้วยกันหรือแยกกันอยู่…ทางไหน คือ ทางรอด

เอมี่ มอริน (Amy Morin) นักจิตอายุรเวท (psychotherapist) และอาจารย์มหาวิทยาลัยนอร์ธอีสเทิร์น  Northeastern University) เมืองบอสตัน (Boston) รัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) การพูดบนเวที TEDx Talk ของมอรินในหัวข้อ The Secret of Becoming Mentally Strong เป็น 1 ใน 50 TEDx ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เธอกล่าวถึงสุขภาพจิตของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการทะเลาะกันของพ่อแม่ไว้ในบทความ “How Parents Fighting Affects a Child’s Mental Health” ว่า

ความขัดแย้งที่รุนแรงในครอบครัว ส่งผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพจิตของเด็กอย่างแน่นอน ไม่ว่าจากการเห็นพ่อแม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน การขว้างปาสิ่งของ การทำร้ายร่างกาย การพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ด่าทอ การขู่ว่าจะออกจากบ้านหรือแยกทางกัน ไม่เว้นแม้แต่การนิ่งเงียบ หรือเดินหนีออกจากบทสนทนาแห่งความขัดแย้งตรงหน้า ที่เหมือนไม่ได้สร้างผลกระทบใดๆ หรือคล้ายจะเป็นทางออกทางหนึ่ง แต่วิธีการนี้กลับเป็นการตอบสนองที่สร้างพลังงานลบ ทำลายบรรยากาศและความอบอุ่นในครอบครัว

เด็กสามารถสัมผัสพลังงานลบนี้ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็กในระยะยาว  โดยเฉพาะช่วงอายุตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 19 ปี ซึ่งก็คือช่วงวัยรุ่นที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในการใช้ชีวิตนั่นเอง

นอกจากนี้ หากการเงียบไม่พูดไม่จาและเดินหนีจากปัญหาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง พฤติกรรมนี้จะกลายเป็นการแสดงตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับลูก ในระยะยาวจะทำให้ลูกขาดทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการควบคุมอารมณ์ต่ำ และไม่มีทักษะจัดการกับความขัดแย้ง

หลายคนอาจกำลังตั้งคำถามต่อว่า การมีพ่อแม่อยู่ด้วยกันก็ดีกว่าการแยกกันอยู่ไม่ใช่หรือ? เพราะยังรักษาความเป็นครอบครัวไว้ได้

ไม่เสมอไป!

แต่ละครอบครัวเมื่อมาใช้ชีวิตร่วมกัน ย่อมมีปัญหาต่างกันไป ผลการวิจัย ระบุว่า ความขัดแย้งในครอบครัวหรือชีวิตแต่งงานส่งผลกระทบด้านลบต่อสภาพจิตใจของลูก เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรรระวัง เพราะความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่ ทำให้…

หนึ่ง เด็กรู้สึกไม่ปลอดภัย (Kids are emotionally insecure.) เกิดความหวาดระแวงขณะใช้เวลาอยู่ร่วมกับพ่อแม่ เนื่องจากไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะทะเลาะกันอีกตอนไหน ความรู้สึกนี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับลูกด้วย เพราะพ่อแม่เองก็ต้องเผชิญหน้ากับความเครียด หากพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเอง และไม่สามารถแบ่งเวลาให้กับลูกได้อย่างมีคุณภาพ จะยิ่งสร้างบรรยากาศที่น่าอึดอัดในครอบครัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและความเป็นอยู่ของลูกอย่างแน่นอน

สอง ผลกระทบด้านสุขภาพจิตในระยะยาว (Long-Term Mental Health Effects)

มีการศึกษาช่วงปี 2012 เผยแพร่ในวารสารการพัฒนาเด็ก เรื่องผลกระทบด้านสุขภาพจิตในเด็กกรณีที่พ่อแม่มีปัญหาขัดแย้งกัน กลุ่มเป้าหมาย คือ ครอบครัวที่อาศัยในเขตตอนกลางฝั่งตะวันตกและทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา จำนวน 235 ครอบครัว แต่ละครอบครัวมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 40,000 – 60,000 ดอลล่าร์ต่อเดือน และมีลูกที่กำลังศึกษาอยู่ระดับอนุบาล

นักวิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลด้วยการถามคำถามยากๆ กับผู้ปกครอง ยกตัวอย่างเช่น เรื่องสถานการณ์การเงิน เพื่อสังเกตทีท่าว่าทั้งพ่อและแม่มีความคิดเห็นตรงกันหรือไม่ มากน้อยขนาดไหน

หลังจากนั้น 7 ปีจึงกลับมาสัมภาษณ์ครอบครัวกลุ่มเป้าหมายอีกครั้ง สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป คือ ลูกเติบโตขึ้นจากระดับอนุบาลมาสู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ครั้งนี้นักวิจัยทำการสำรวจด้วยการถามคำถามทั้งผู้ปกครองและลูก ได้ข้อสรุปว่าเด็กที่เติบโตขึ้นในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่ลงรอยกัน หรือทะเลาะกันบ่อยครั้ง ลูกจะมีอาการซึมเศร้า มีความวิตกกังวล และมีพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่า

และ สาม ความเสี่ยงต่อการใช้ชีวิตด้านอื่นๆ เช่น มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้น้อยลง ทำให้ผลการเรียนตกต่ำ เนื่องจากเด็กตกอยู่ในภาวะกดดัน มีความเครียดและหวาดกลัว ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ขาดปฏิภาณไหวพริบ ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ รวมไปถึงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ความก้าวร้าว การทะเลาะวิวาท สูบบุรี่ ติดเหล้า หรือการหันไปพึ่งพายาเสพติด เป็นต้น

เมื่อการดันทุรังอยู่ด้วยกันมีแต่จะสร้างผลเสีย แต่มอรินก็ไม่ปฏิเสธว่าการหย่าร้างส่งผลกระทบเชิงลบต่อเด็กเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม กุญแจสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ยังอยู่ที่ ‘พ่อกับแม่’ ที่แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว แต่คงต้องทำหน้าที่พ่อและแม่ เป็นทีมเวิร์คช่วยประคับประคองให้ลูกใช้ชีวิตต่อไปได้โดยปราศจากปัญหา

รู้ก่อนเพื่อรับมือกับการร้างลา

มอริน บอกว่า ปีแรกหลังการหย่าร้างเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุด

การหย่าร้างเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก 48% ของครอบครัวอเมริกันและอังกฤษกำลังเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน ผลการสำรวจพบว่า เด็กต้องอยู่กับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 16 ปี ช่วง 1 – 2 ปีแรกหลังพ่อแม่แยกทางกัน เด็กมักตกอยู่ในภาะซึมเศร้า ฉุนเฉียวง่าย มีความวิตกกังวล หวาดกลัว อึดอัดใจ สับสน และปฏิเสธทุกอย่างรอบตัว

สำหรับช่วงวัยเด็ก ในระยะแรกพวกเขาอาจเกิดความสับสนจากการตั้งคำถามว่า ทำไมต้องไปมาระหว่าง 2 บ้านเพื่ออยู่กับพ่อและแม่ หรือเกิดความวิตกกังวลว่าหากพ่อกับแม่ไม่รักกันแล้ว ต่อไปพ่อกับแม่จะไม่รักพวกเขาด้วย

สำหรับวัยประถมพวกเขามักโทษตัวเองว่า การที่พ่อกับแม่แยกทางกันเป็นความผิดของพวกเขา คงเป็นเพราะพวกเขาทำตัวไม่ได้หรือทำอะไรผิดสักอย่าง

ส่วนวัยรุ่นมักฉุนเฉียวและหงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โทษพ่อแม่ หรือคนใดคนหนึ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นต้นเหตุให้ครอบครัวล่มสลาย

นอกจากนี้ภาวะความเครียดจากการหย่าร้างทำให้พฤติกรรมของพ่อแม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยไม่รู้ตัวแต่ลูกสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยปละละเลย การไม่ดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร เช่น พ่อแม่อาจเคยเข้มงวดกับบางอย่าง แต่กลับปล่อยผ่านไม่สนใจระเบียบข้อนั้นอีก การแสดงความรักต่อลูกที่มีน้อยลง หรือเด็กหลายคนปรับตัวไม่ทัน เพราะอาจถึงกับต้องย้ายบ้าน เปลี่ยนโรงเรียน และเข้าอยู่ในสังคมใหม่ที่ไม่คุ้นเคย

สิ่งที่ต้องพึงระวังอีกอย่างหนึ่ง คือ เด็กที่เติบโตจากครอบครัวหย่าร้างมักเป็นคนที่ชอบความเสี่ยง นำไปสู่การอยากรู้อยากลองสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นโทษต่อตัวเอง เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ติดยาเสพติด และการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งอาจนำมาสู่ปัญหาคุณแม่วัยใส หรือการมีลูกในขณะที่ตัวเองยังไม่มีความพร้อมเพราะอายุยังน้อย ยังเรียนไม่จบ ไม่มีงานทำ และไม่มีวุฒิภาวะในการเลี้ยงดูลูก

ผลการสำรวจบอกว่า การใช้ชีวิตคู่โดยไม่ตั้งใจตั้งแต่อายุยังน้อย มีแนวโน้มแยกทางกันสูงนำมาสู่การหย่าร้างวนเป็นวัฎจักรปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สุด

คำถามต่อมา ลูกควรอยู่กับใคร

เมื่อคำตอบสุดท้าย คือ การหย่า คำถามต่อมาคือ ลูกควรจะอยู่กับใคร? ลูกควรจะอยู่กับแม่มากกว่าไหม? หรืออยู่กับใครดีกว่ากัน?

พ่อแม่มีความสามารถในการเลี้ยงลูกได้เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชาย ดังนั้นแทนที่ผู้ปกครองจะโฟกัสตามความเชื่อว่าลูกผู้หญิงควรอยู่กับแม่ ลูกผู้ชายควรอยู่กับพ่อ หรือลูกควรอยู่กับแม่มากกว่า ทั้งพ่อและแม่ถึงแม้หย่าร้างกันแล้ว ควรหันหน้าเข้าหากันเพื่อลูก ด้วยการให้ความสำคัญกับการแบ่งเวลาอยู่กับลูกเท่าๆ กัน

หลังการหย่า คุณภาพของเวลาที่พ่อแม่ใช้อยู่กับลูกมีความสำคัญมากกว่าระยะเวลา พ่อแม่บางคนอาจมีเวลาน้อย แต่หากได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณภาพในทุกๆ ครั้งที่เจอกัน คุณภาพของเวลาจะส่งผลต่อการปรับตัวของลูกได้ดี ยกตัวอย่างเช่น การใช้เวลาทำกิจกรรมร่วมกัน ได้พูดคุยสื่อสารระหว่างกัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความผูกพันและความเข้าใจระหว่างพ่อแม่กับลูกได้

ผลการศึกษาที่นำเสนอในวารสารการดูแลลูก (Journal of Custody Child) เกี่ยวกับการแบ่งบทบาทพ่อแม่ในการเลี้ยงดูลูก กรณีศึกษาเป็นกลุ่มผู้ปกครองที่ดำเนินการขอคำตัดสินทางกฎหมายจากศาล

การศึกษาโฟกัสไปที่ผลลัพธ์เรื่อง การปรับตัวของเด็กกับการแบ่งบทบาทหน้าที่ของผู้ปกครอง (Parent–child gender matching and child psychological adjustment after divorce) ซึ่งผู้เป็นพ่อมักได้รับคำตัดสินให้รับผิดชอบดูลูกผู้ชาย ส่วนแม่ให้ดูแลลูกผู้หญิง บทความนี้ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ราวท์เลดจ์ (Routledge) ของอังกฤษซึ่งเป็นที่ยอมรับในแวดวงวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ระบุว่า เทคโนโลยีช่วยให้ระยะห่างระหว่างพ่อแม่กับลูกลดลง เนื่องจากไม่ว่าลูกจะอยู่กับพ่อหรือแม่ ลูกสามารถติดต่อสื่อสารกับอีกฝ่ายหนึ่งได้ด้วยตัวเองผ่านเทคโนโลยี ในทางกลับกันผู้ปกครองก็สามารถใช้เทคโนโลยีพูดคุยสื่อสารกับลูกได้ตลอดเวลาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาสรุปว่า

การสานต่อความเป็นพ่อแม่ด้วยความร่วมมือที่ดีระหว่างผู้ปกครอง ด้วยการจับมือกันทำหน้าที่ดูแลลูก โดยไม่กีดกันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งภายหลังจากชีวิตคู่สิ้นสุดลง ส่งผลอย่างมากต่อพฤติกรรมและการปรับตัวของลูกในเชิงบวก เพราะความรู้สึกเชิงลบต่างๆ จะค่อยๆ คลี่คลาย เมื่อพวกเขาพบว่าบรรยากาศแห่งความตึงเครียดเวลาพ่อกับแม่ทะเลาะกัน หรืออยู่ด้วยกันนั้นหายไป

เช่นเดียวกับการศึกษาเรื่องสภาวะการณ์การเลี้ยงลูกหลังการหย่าร้าง ความขัดแย้ง และคุณภาพการเลี้ยงดูที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวของเด็ก (Latent Profiles of Postdivorce Parenting Time, Conflict, and Quality: Children’s Adjustment Associations) ในวารสารจิตวิทยาครอบครัว (Journal of Family Psychology) โดยสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association) ได้ผลลัพธ์ระบุว่า การเลี้ยงดูลูกหลังผู้ปกครองหย่ากัน ลูกจะปรับตัวได้ดีที่สุดเมื่อผู้ปกครองไม่มีความขัดแย้งระหว่างกัน

แม้ความสัมพันธ์จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถแบ่งเวลาและใช้เวลาร่วมกับลูกอย่างมีคุณภาพโดยไม่เกี่ยวข้องว่าใช้เวลานานแค่ไหน ผลการศึกษาย้ำว่า ต่อให้มีเวลาอยู่กับลูกมาก แต่พ่อแม่ไม่ร่วมมือกัน ไม่สามารถสร้างบรรยากาศที่ดีให้ลูกรู้สึกถึงความรักได้ นั่นเท่ากับไม่ได้ใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ เวลาที่ใช้ไปนั้นก็ไร้ความหมาย ดังนั้นกุญแจสำคัญในการเลี้ยงดูลูกหลังการหย่าร้างของทั้งพ่อและแม่ คือ การแบ่งเวลา และการใช้เวลาที่มีอย่างมีคุณภาพ

หย่าก็หย่า แต่ว่าจะบอกลูกยังไง?

มอริน ย้ำว่า ทีมเวิร์คระหว่างพ่อกับแม่เป็นเรื่องสำคัญ

แม้จะไม่ชอบหน้า ไม่อยากพูดจาปราศรัย ไม่อยากใช้เวลาร่วมกันมากขนาดไหน พ่อแม่ต้องคุยและตกลงกันให้เข้าใจถึงทิศทางการดูแลลูก ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งเวลา หากมีลูกมากกว่า 1 คน ใครจะเป็นคนดูแลลูกคนไหน โดยใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์เป็นที่ตั้ง

อย่าทะเลาะกันต่อหน้าลูก และอย่ายกภาระให้ลูกเป็นฝ่ายเลือกว่าอยากอยู่กับใครเด็ดขาด

กรณีที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าเพื่อคุยกับลูก พ่อแม่ต้องตกลงกันอย่างชัดเจนว่าจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไหน ให้คำพูดเป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยไม่โทษว่าเป็นความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง

หากตัดสินใจชัดเจนเรื่องการหย่า พ่อแม่สามารถชวนลูกคุยถึงเรื่องการแยกกันอยู่นี้ได้ 2 อาทิตย์ก่อนที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะย้ายออก ถ้ามีลูกหลายคนสามารถอธิบายให้ลูกฟังพร้อมๆ กันในคราวเดียว และบอกให้ครูประจำชั้นรู้ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน ที่ตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับลูก ทั้งนี้ เพื่อให้ครูช่วยสังเกตและคอยดูแลขณะอยู่ที่โรงเรียนได้อย่างถูกต้อง ไม่เผลอหรือพลาดพูดสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจเด็กอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ พ่อแม่ต้องให้เวลากับลูก ให้โอกาสเขาได้ถามในสิ่งที่สงสัยและค้างคาใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

ตัวอย่างคำพูดที่ใช้พูดกับลูก

ยกตัวอย่างเช่น

“พ่อกับแม่ตัดสินใจว่า เราจะไม่อยู่ด้วยกันแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแต่เราต้องตัดสินใจ พ่อกับแม่รักลูกมาก การที่พ่อแม่ไม่อยู่ด้วยกันไม่ใช่ความผิดของลูกนะ พ่อกับแม่ไม่ได้จะหนีไปไหน ลูกยังมีเราและยังอยู่กับเรา”

ระวังคำพูดที่ว่า “ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างโอเค” หรือ “อย่าร้องไห้นะลูก”

พ่อแม่สามารถสื่อสารกับลูกอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ลูกแสดงความรู้สึกออกมาได้อย่างเต็มที่“พ่อกับแม่รู้ว่าลูกรู้สึกกลัวมากตอนนี้”

“พ่อกับแม่รักลูกมาก เรารู้ว่าลูกเสียใจที่เราจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันอีก”

และเมื่อถึงเวลาต้องแยกจากกันจริง ๆ หลีกเลี่ยงความดราม่า เพราะนี่ไม่ใช่บทสรุปสุดท้ายของชีวิตความเป็นพ่อแม่ แต่เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ สิ่งที่ควรทำ คือ ให้แยกจากกันด้วยรอยยิ้ม ทำให้เกิดบรรยากาศผ่อนคลาย ให้ลูกสัมผัสได้ว่าไม่มีอะไรน่ากังวล หรือแม้กระทั่งนัดกันอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่าัสดยจะมารับลูกเมื่อไหร่ แล้วบอกให้ลูกรู้

เมื่อตัดสินใจเริ่มต้นชีวืตคู่กับใครสักคน คงไม่มีใครอยากให้เส้นทางความสัมพันธ์ เปลี่ยนจากการเดินทางไปด้วยกันมาสู่ทางแยก แต่เมื่อเลี่ยงไม่ได้พ่อแม่เองก็ต้องปรับจูนทางเดินชีวิตให้เป็นทางแยกที่วิ่งคู่ขนานกันไปให้ได้  พ่อและแม่ต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อลูก หากพ่อแม่ร่วมมือกัน จัดสรรเวลาให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้ใช้เวลากับลูกอย่างมีคุณภาพ และยังคงช่วยเหลือด้านการเงินให้ลูกตามสมควร โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา ปัญหา ปัจจัยเสี่ยงและผลกระทบทางสุขภาพจิตที่จะเกิดขึ้นกับลูกก็จะลดลงตามไปด้วย

อ้างอิง
https://www.tandfonline.com
https://psycnet.apa.org
https://www.verywellfamily.com
https://www.verywellfamily.com
https://www.verywellfamily.com/how-
https://link.springer.com

Tags:

แบบแผนทางความสัมพันธ์การเติบโตการหย่าร้างจิตวิทยา

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Book
    The Fall: การร่วงหล่นของตัวตน สู่การแตกสลาย และเผยโฉม “มนุษย์สองหน้า” ที่อยู่ภายใน

    เรื่อง เจษฎา อิงคภัทรางกูร

  • Relationship
    ทำไมเราถึงชอบเป็นผู้ให้และลำบากใจที่จะเป็นผู้รับ? ชวนมอง “การให้” ที่อนุญาตให้ผู้อื่นเป็นผู้ให้บ้าง

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ MACKCHA

  • Movie
    A BEAUTIFUL DAY IN THE NEIGHBORHOOD: วางสัมภาระในใจออกเดินทางใหม่เพื่อให้เข้าใจชีวิต

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • MovieHealing the trauma
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Family Psychology
    THEY ARE WHAT YOU TEACH ลูกพ่อแม่ชอบสั่ง ไม่ชอบสอน

    เรื่องและภาพ SHHHH

6 หัวใจสำคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก
Family Psychology
29 March 2019

6 หัวใจสำคัญ ของการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • รวมคำอธิบายไทยและเทศอย่างละเอียดว่าทำไมการเลี้ยงลูกถึงต้องใช้จิตวิทยาเชิงบวก
  • เพราะจิตวิทยาเชิงบวกเป็นหลักการที่ทำความเข้าใจกับสมองของมนุษย์ และปัจจัยต่างๆ อย่างบุคคลแวดล้อม ความสัมพันธ์ โดยเฉพาะกับการเลี้ยงเด็ก จิตวิทยาเชิงบวก จะเป็นไปตามพัฒนาการทางสมองของเด็กแต่ละช่วงวัย
  • พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่อยากปรับพฤติกรรมลูก บทความชิ้นนี้มี 6 วิธีเชิงบวกมาแนะนำ

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเลี้ยงลูกด้วยจิตวิทยาเชิงบวกได้รับความสนใจจากคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ที่อยากนำมาปรับใช้ในการเลี้ยงลูกกันมากขึ้น กุมารแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก รวมไปถึงเพจว่าด้วยการเลี้ยงลูกและหนังสือสำหรับพ่อแม่หลายต่อหลายเล่มต่างแนะนำว่า จิตวิทยาเชิงบวกคือหนทางที่ไม่เพียงสามารถเชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ผู้ปกครองและลูกอย่างได้ผล แนวทางนี้ยังมีงานวิจัยและหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผลอธิบายการแสดงออกทางพฤติกรรมและวิธีปรับพฤติกรรมของลูกซึ่งพ่อแม่สามารถปฏิบัติได้จริง

จิตวิทยาเชิงบวกคืออะไร

การเลี้ยงลูกเชิงบวกนั้นตั้งอยู่บนหลักจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) ซึ่งพัฒนามาจากจิตวิทยากระแสหลักโดย ศาสตราจารย์ มาร์ติน เซลิกแมน (Martin Seligman) ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการจิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology Center) และอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา จิตวิทยาดั้งเดิมนั้นเน้นเฉพาะอาการปัญหาของโรคกับวิธีรักษาเป็นหลัก ในขณะที่จิตวิทยาเชิงบวกแตกออกมาด้วยจุดประสงค์ที่จะนำหลักการอันเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์ และการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมาพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ให้เป็นคนดีและมีความสุข โดยโฟกัสไปที่จุดแข็งของบุคคลและปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพล เช่น พ่อแม่ เพื่อน ครู ชุมชนหรือสังคม ความสัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมเหล่านั้นจะส่งผลต่อความสุข การมองโลกในแง่บวก การปรับตัวยืดหยุ่น ความฉลาดทางอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น

ในขั้นแรก คุณพ่อคุณแม่ที่สนใจแนวทางนี้ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ‘เด็กไม่ใช่ผ้าขาว’ แต่คือผ้าที่จะเป็นสีอะไรก็ได้ เพราะพวกเขาแต่ละคนมีจุดอ่อน จุดแข็ง ความชอบ ลักษณะนิสัยความถนัดแตกต่างกัน จุดหมายของแนวทางนี้ไม่เพียงเพื่อสนับสนุนความถนัด ขับจุดเด่น หรือด้านดีของเขาให้สว่างไหวกลายเป็นคนเก่งเพียงอย่างเดียว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกจะเป็นไปอย่างผาสุก สุขภาวะทางกายใจของเขาบริบูรณ์ตามไปด้วย

เมื่อเข้าใจหลักการนี้ พ่อแม่จะไม่ยึดเอาความต้องการของตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่เปรียบเทียบความสามารถลูกเรากับเพื่อนๆ ของเขา แต่จะอยู่เคียงข้างสนับสนุนให้เขาหาจุดแข็งของตนเองด้วยความเข้าใจ และมองเห็นว่าชีวิตในแต่ละช่วงมีความหมายอย่างไร และต้องการเติมเต็มในด้านไหน นี่คือแนวทางของจิตวิทยาเชิงบวกซึ่งเชื่อว่าเมื่อส่งเสริมความถนัด และบ่มเพาะพัฒนาการทางจิตใจและอารมณ์ลูกให้ดี นิสัยใจคอและพฤติกรรมก็จะเจริญงอกงามในทางบวกเช่นกัน

ทำความเข้าใจที่มาของพฤติกรรมป่วนผ่านมุมมองของสมอง ฮอร์โมน และสิ่งแวดล้อม

รศ.นพ.สุริยเดล ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น แนะนำว่า การเลี้ยงลูกตามแนวทางนี้ พัฒนาการทางสมองของเด็กแต่ละช่วงวัยและอิทธิพลที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางความคิดของพวกเขาคือสิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองจำเป็นต้องรู้และเข้าใจ

ประการแรก: พัฒนาการที่ดีของลูกตั้งต้นจากสมองและปัจจัยส่งเสริมเชิงบวก

สมองของคนเราแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ สมองส่วนคิด สมองส่วนอารมณ์ และสมองส่วนสัญชาตญาณ สมองส่วนอารมณ์มีพลังมากที่สุดและทำงานร่วมกันกับสมองส่วนสัญชาตญาณเชิงอัตโนมัติเพื่อให้มนุษย์ดำรงชีวิตได้อย่างปลอดภัย เช่น ทารกเมื่อหิว กลัว หรือรู้สึกไม่ปลอดภัยก็ร้องไห้ สมองส่วนอารมณ์จึงเปรียบเสมือน ‘คันเร่ง’ ในรถที่กระตุ้นให้เราเกิดความอยาก อยากได้ อยากกิน อยากครอบครองข้าวของ ในขณะที่สมองส่วนคิดเป็นส่วนที่พิเศษสุดเพราะมีในมนุษย์เท่านั้น สมองส่วนนี้พัฒนาและฝึกฝนได้ ทำหน้าที่คอยยับยั้งชั่งใจ เปรียบเสมือน ‘เบรก’ ชะลอความเร็วหรือหยุดเมื่อคันเร่งกำลังผลักให้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง

การพัฒนาสมองส่วนความคิดนี้ให้งอกงามต้องอาศัยทฤษฎีนิเวศวิทยา (Ecological Theory) ของยูรี บรอนเฟนเบรนเนอร์ (Urie Bronfenbrenner) ควบคู่ไปด้วย บรอนเฟนเบรนเนอร์เป็นนักจิตวิทยาพัฒนาการชาวอเมริกันซึ่งเชื่อว่าพัฒนาการเด็กขึ้นอยู่กับบริบทที่ก่อขึ้นเป็นสภาพแวดล้อมรอบตัว หมายความว่า ลูกจะเป็นเด็กดีมีคุณภาพได้ สภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตต้องเอื้อให้เขาได้พัฒนาความคิด จริยธรรม และกล่อมเกลาพฤติกรรมให้เขารู้และทำสิ่งที่ถูกที่ควร

องค์ประกอบของระบบนิเวศที่จะไปกระตุ้นพัฒนาการที่ดีของลูกมีดังนี้

1. บ้าน – บรรยากาศในครอบครัวอบอุ่นเป็นมิตรกับลูก ลูกพูดคุยกับพ่อแม่ได้โดยไม่ต้องกลัว พ่อแม่ไม่เอาแต่สั่ง พอไม่ทำหรือผิดพลาดก็เฆี่ยนตี ลิดรอนความคิดเห็นและการแสดงออกของลูก รวมถึงบรรยากาศที่พ่อแม่และบุคคลในครอบครัวปฏิบัติต่อกัน

2. โรงเรียน – ต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิด ออกความเห็น เป็นตัวของตัวเอง ฝึกความกล้าหาญและรับผิดชอบในการตัดสินใจ ไม่ยัดเยียดกฎระเบียบให้เอาแต่ปฏิบัติตามคำสั่ง หรือสร้างบรรยากาศของการแข่งขันและกดดัน

3. เพื่อน – เพื่อนที่เขาคบเป็นอย่างไร

4. ชุมชน – ความเป็นอยู่ ผู้คนที่ครอบครัวคบหาสนิทสนม ค่านิยมที่บ้านหรือสังคม ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีที่ชุมชนยึดถือล้วนหล่อหลอมความคิด บุคลิกภาพ และการมองโลกของเขาในทางใดทางหนึ่ง

5. สภาวการณ์แวดล้อมอื่นๆ – เช่น การใช้เวลากับโซเชียลมีเดีย สื่อต่างๆ เกม ดนตรี ภาพยนตร์

เหล่านี้เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลกับพัฒนาการสมองส่วนคิดทั้งสิ้น ลูกที่เติบโตในระบบนิเวศที่อบอุ่น ได้รับการเอาใจใส่ที่เหมาะสม พัฒนาการสมองส่วนคิดก็จะแข็งแรง เวลาสมองส่วนอารมณ์และสัญชาตญาณกระตุ้นให้ทำบางสิ่งที่จะไปทำร้ายคนอื่น สมองส่วนคิดที่มีภูมิคุ้มกันนี้จะทำหน้าที่ยับยั้งสิ่งเหล่านั้นได้

ประการที่สอง: ฮอร์โมนมีผลกับพฤติกรรมของลูก

ลูกที่กำลังก้าวสู่วัยรุ่นจะกลายร่างจากเด็กที่เคยว่านอนสอนง่ายเป็นปีศาจตัวร้ายประจำบ้านทันที ลูกอารมณ์ร้อนและงี่เง่า เป็นเรื่องธรรมดาอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน และเอสโตรเจนที่หลั่งในช่วงวัยนี้แล้วไปสปาร์คสมองส่วนอารมณ์ให้รุนแรงปรู๊ดปร๊าดขึ้นกว่าเดิม 2-3 เท่า วัยรุ่นจึงเหมือนระเบิดถอดสลักที่พร้อมจะตูมตามได้ตลอดเวลา พวกเขาจะกล้าได้กล้าเสียกับสิ่งสุ่มเสี่ยงอันตราย และใช้อารมณ์กับทุกเรื่อง จุดต่างสำคัญในช่วงนี้จึงอยู่ที่สมองส่วนคิดของพวกเขาว่ามีเบรกติดตั้งไว้หรือไม่ ถ้าสมองส่วนคิดของพวกเขาถูกฟูมฟักขัดเกลามาในระบบนิเวศที่ดี สมองส่วนนี้จะมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะกระตุกให้เขาหยุดในจุดที่ควรหยุด

นอกจากฮอร์โมนทั้งสองแล้ว ยังมีฮอร์โมนอีกตัวชื่อ ออกซิโทซิน หรือเรียกเก๋ๆ ว่า ฮอร์โมนรัก ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น สาเหตุที่ถูกเรียกว่าฮอร์โมนรักก็เพราะสมองจะหลั่งออกมาเวลารู้สึกอยู่ในห้วงรัก เช่น ตอนออกเดทอย่างหวานแหววกับแฟน หรือขณะแสดงความรักความห่วงใยกันระหว่างพ่อแม่ลูก

ดร.ซาราห์ บารัคซ์ (Sarah Baracz) ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทจิตวิทยา (Neuropsychology) แห่งมหาวิทยาลัย Macquarie ร่วมกับนักวิจัยด้านประสาทวิทยาศาสตร์เชิงพฤติกรรม ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระบบการทำงานของฮอร์โมนตัวนี้กับพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดในวัยรุ่น พบว่า เด็กที่ได้รับการการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นจากพ่อแม่มีการหลั่งออกซิโทซินในระดับปกติ ซึ่งส่งผลดีต่อการทำงานของระบบสมองส่วนคิด ผลคือ เด็กมีความยั้งคิดและหักห้ามตนเองไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางได้ดีกว่า ในขณะที่เด็กที่เติบโตในสภาพแวดล้อมที่กดดัน เคร่งเครียด หรือหวาดกลัว มีการถดถอยของระดับการหลั่งฮอร์โมนตัวนี้ เด็กจะค่อยๆ เข้าสู่ภาวะบกพร่องในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มหันไปพึ่งยาเสพติดและเกิดภาวะบกพร่องทางจิตใจอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น วิตกจริต ควบคุมอารมณ์ไม่ได้

6 หลักการใช้จิตวิทยาเชิงบวกปรับพฤติกรรมลูก

แก้ไขยังไงดี ถ้าลูกดื้อและต่อต้าน

ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องตีให้แตกเสียก่อนว่า เด็กดื้อสำหรับพ่อแม่เป็นอย่างไร และขนาดไหนเรียกว่าเป็นปัญหา เด็กดื้อในที่นี้ไม่ได้หมายถึง เด็กที่ไม่ทำตามคำสั่งเมื่อพ่อแม่บังคับให้เขาเรียนในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ต้องเก่งในสิ่งที่เขาไม่ถนัด ห้ามไม่ให้ทำในสิ่งที่เขาชอบแล้วเขาต่อต้านฟูมฟาย หรือมีปัญหาเพราะสอบได้ที่โหล่ของห้อง เอาแต่เล่นฟิกเกอร์ ต่อโมเดล สนใจกีตาร์ อ่านการ์ตูนมากกว่าหนังสือสอบ พฤติกรรมที่เป็นปัญหาที่เรากำลังพูดถึงคือเด็กจัดการอารมณ์ของตนเองไม่ได้ มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงกับกับทั้งพ่อแม่หรือคนอื่น ไม่สามารถใช้เหตุผลในการตัดสินใจเกินกว่าจะรับได้ในวัยว้าวุ่น

ดร.เดวิด เจ ฮอว์ส (Dr. David J Hawes) ผู้อำนวยการคลินิกวิจัยพฤติกรรมเด็กแห่งศูนย์พัฒนาสมองและจิตใจ มหาวิทยาลัยซิดนีย์ และจิตแพทย์เฉพาะทางด้านปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมในเด็ก อธิบายถึงลักษณะของพฤติกรรมเชิงลบที่เข้าข่ายว่าเป็นปัญหา เช่น เกรี้ยวกราด (tantrums) ก้าวร้าว (aggression) และต่อต้าน (defiance) ไว้ดังนี้

1. ลูกแสดงพฤติกรรมลบเป็นประจำจนแทรกแซงความผาสุกของทุกคนในครอบครัว ถึงระดับที่ไม่อาจพูดคุยกันได้พร้อมหน้าหรือต้องงดปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน

2. เมื่อพฤติกรรมลบของลูกกระทบต่อสมาชิกในครอบครัวรุนแรง กระทบความสัมพันธ์ของพ่อแม่ หรือพี่น้องต้องมีปัญหาไปด้วย

3. เมื่อพฤติกรรมลบของลูกสร้างบาดแผลทางความรู้สึกอย่างใหญ่หลวง เกินกว่าจะรับมือด้วยวิธีที่ใช้เป็นปกติ

4. เมื่อลูกใช้พฤติกรรมลบยั่วยุให้ของพ่อแม่โมโหถึงขีดสุด เพื่อให้ลงโทษตัวเองหรือสร้างความเจ็บปวดทางใจ

เมื่อมาถึงจุดนี้ ได้เวลาที่พ่อแม่ต้องเยียวยาแก้ไขเขาแล้ว หนทางรักษาด้วยแนวทางจิตวิทยาเชิงบวกอาจเป็นยาขนานเอกที่พ่อแม่สามารถถอนพิษให้ลูกฟื้นจากความป่วยไข้ทางใจ

หลักสำคัญอันเป็นเสมือนยาครอบจักรวาลที่พ่อแม่ต้องมีไว้ประจำบ้านเสมอ คือ

1. ความอบอุ่นปลอดภัย และไว้วางใจระหว่างกัน ข้อนี้สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง วิธีคิด และคุณค่าความดีงามจะงอกงามขึ้นในใจเขาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าลูกได้รับความรัก ความเอาใจใส่เพียงพอหรือไม่ ความรู้สึกปลอดภัย มีคุณค่าในตัวเองจะเกิดขึ้น เมื่อพ่อแม่เปิดใจยอมรับในความชอบ ความต้องการของเขาด้วยความเข้าใจ อย่าทำให้บ้านเป็นที่ที่อยู่แล้วรู้สึกกดดัน หวาดกลัว

2. ค้นหาและโฟกัสที่จุดแข็งหรือด้านดีของลูกเป็นหลัก ให้พื้นที่กับด้านสว่างของเขาเป็นคำชมและกำลังใจในสิ่งที่เขาทำดี (positive reinforcement) ผศ.ดร.อุษณี โพธิสุข ผู้เขียนหนังสือ ‘เมื่อลูกรักมีปัญหา’ แนะนำวิธีเสริมจุดแข็งของลูกจากประสบการณ์ในการทำงานกับเด็กที่มีปัญหาระดับรุนแรงในโรงเรียนพิเศษสำหรับเด็กกลุ่มนี้และเป็นที่ปรึกษาให้พ่อแม่ผู้ปกครองมากว่า 20 ปี ไว้ดังนี้

  • เอ่ยขอบคุณเมื่อลูกช่วยงานบ้านหรือมีวินัยความเรียบร้อย ให้เขาเห็นคุณค่าความดีงามและรู้สึกบวกที่จะมีวินัยติดตัวไปในภายหน้า

“ขอบคุณมากจ้ะที่มีน้ำใจช่วยเก็บผ้าให้แม่”

“โอ้โห ลูกพับผ้าห่มเก็บเตียงซะเรียบร้อย เป็นเรื่องดีมากเลย แม่ชื่นใจจัง”

  • ให้รางวัลที่เขาชอบ อาจเป็นของโปรดหรือกิจกรรมที่เด็กสนใจ

“วันนี้ลูกน่ารักมาก ช่วยพ่อขนต้นไม้แล้วยังช่วยรดน้ำแปลงผักอีก เดี๋ยวเสร็จแล้วเราไปกินไอติมอร่อยๆ กันนะ”

“เดี๋ยวถ้าหนูทำการบ้านเสร็จแล้วเราค่อยไปเล่นแบดกัน”

  • กระตุ้นให้เขาลองลงมือทำในสิ่งที่ไม่มั่นใจ

“ถ้าอยากลงแข่งเต้น ก็เอาเลยลูก ไม่ลองไม่รู้นะ”

  • กระตุ้นให้เขาเรียนรู้ ทำในสิ่งที่ทำไม่เป็น และแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

“เย็บผ้าไม่ใช่เรื่องง่าย หนูลองทำตามที่เขาสอนในยูทูบดูสิ ทำเองหนูก็จะเก่งเองนะ”

  • ปลอบโยนเมื่อผิดพลาดและให้กำลังใจ

“ไม่เป็นไร ผิดเป็นครู พ่อเข้าใจว่าลูกท้อใจและชื่นชมในความพยายามของลูกมากเลยนะ”

ตรงข้ามกับการเสริมจุดแข็ง พ่อแม่ที่ใช้วิธีลงโทษ (punishment) ดุด่า บังคับ ยื่นข้อห้ามเด็ดขาดไม่ให้ทำสิ่งที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วย (negative reinforcement) หรือลิดรอนสิทธิบางอย่างที่เขาเคยได้ (extinction) เช่นยึดโน้ตบุ๊ค ในการรับมือพฤติกรรมไม่ได้อย่างใจของลูกโดยปราศจากการรับฟังปัญหาอย่างเข้าใจ ธรรมชาติการปกป้องตนเองของเขาจะตื่นตัวทันที พวกเขาจะทำสิ่งที่สวนทาง โกหกแอบทำโดยพ่อแม่ไม่รู้ หรือไม่ก็อาจระเบิดการต่อต้านและปิดกั้นตัวเองรุนแรงขึ้น

3. การสื่อสารในบ้านระหว่างพ่อแม่กับลูกต้องอยู่บนความเข้าใจและเมตตาธรรม ดร.โธมัส กอร์ดอน (Thomas Gordon) ผู้เขียนหนังสือ ‘P.E.T. Parenting Effective Training’ และเปิดคอร์สอบรม ‘ห้องเรียนพ่อแม่’ ในสหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยให้พ่อแม่เข้าใจลูกมากขึ้น เสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นจากการลดช่องว่างระหว่างวัย และบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างครอบครัว ชี้ว่ากุญแจที่จะไขประตูใจของลูกให้เปิดออกได้คือ การสื่อสารที่แสดงให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่ยอมรับและให้ความสำคัญกับปัญหาของเขา

  • ท่าทีที่แสดงออกถึงการยอมรับ เช่น พยักหน้าและสบตาระหว่างรับฟัง หรือ นิ่งฟังอย่างตั้งใจไม่ทำอย่างอื่นไปด้วย
  • คำพูดกระตุ้นหรือตอบสนองให้ลูกเล่าความคิด การตัดสินใจ แผนการ หรือความรู้สึก เช่น “อยากรู้ว่าลูกคิดยังไงตอนเพื่อนสารภาพกับหนูแบบนั้น” “ยังไงอีก เล่าต่อสิ พ่อกำลังฟัง” หรือ “ฟังเหมือนการประกวดเต้นนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับหนูมากเลย ไหน…เล่าให้ฟังหน่อยสิจ๊ะ”
  • รับฟังอย่างเข้าใจ ต้องมีคุณภาพและในเวลาที่เหมาะสมด้วย คือฟังเมื่อลูกพร้อมจะเล่าและเราพร้อมจะฟัง ไม่มีเวลาก็ต้องบอกตามตรง แล้วหาเวลาคุยกันใหม่ ขณะฟังให้ตัดความคิดการตัดสิน การวิจารณ์ คำเทศนา สั่งสอน คำแนะนำต่างๆ ไว้ก่อน แค่รับฟังจากมุมมองความรู้สึกของเขาจนจบ ให้เขาเห็นว่า เราไว้วางใจและยอมรับความรู้สึกของเขาไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ถูกผิดไม่สำคัญ กระตุ้นให้เขาคิดแก้ไข ตัดสินใจด้วยตนเองดูก่อน

ทั้งนี้ พ่อแม่สามารถศึกษาหลักการสื่อสารเพื่อยุติความขัดแย้ง หรือที่เรียกว่า การสื่อสารอย่างสันติ (Nonviolent Communication) เพิ่มเติมได้

4. สอนการควบคุมอารมณ์ (self-control) แต่ก่อนจะสอนลูกไม่ให้ใช้อารมณ์เหวี่ยงวีน พ่อแม่ต้องย้อนดูที่ตนเองก่อน เวลาโมโห ใช้อารมณ์คุยกับลูก แดกดัน ประชดประชันเสียดสีรึเปล่า หรือพ่อแม่บางคนเลือกที่จะเก็บซ่อนความโกรธ โมโหหรืออารมณ์ด้านลบทุกอย่างไม่ให้ลูกเห็นเลย เดินหนีทุกครั้งที่ตนหงุดหงิดหรือตอนลูกระเบิดอารมณ์

จอห์น แลมบี (John Lambie) อาจารย์สอนจิตวิทยามหาวิทยาลัย Anglia Ruskin สหราชอาณาจักร บอกว่าโลกแห่งความจริงหนึ่งที่ลูกต้องเรียนรู้คือ พวกเขามีโอกาสพบเจอคนที่กำลังหัวร้อน หรือตกอยู่ในอารมณ์เดือดพล่านเองได้เสมอ พ่อแม่ต้องดึงสติกับอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นและใช้โอกาสนี้แสดงวิธีการจัดการอารมณ์ให้พวกเขาดูเป็นตัวอย่าง

แลมบีเล่าว่า แม้แต่เด็กที่เพิ่งเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ก็สามารถเข้าใจการแสดงออกทางอารมณ์ของแม่ตนเองได้ ในการทดลองที่ให้แม่แสดงสีหน้านิ่งเฉย ไม่พูด ไม่ตอบสนอง เด็กน้อยสามารถสัมผัสความมาคุในบรรยากาศได้และรู้สึกเครียดจนต้องร้องไห้ออกมา

ดังนั้น การที่พ่อแม่จะปิดกั้นอารมณ์ด้านลบด้วยการทำเฉย วางหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเดินหนีลูกไปด้วยสีหน้าถมึงทึง ลูกจะสัมผัสได้ทันที การที่พ่อแม่ไม่แชร์อารมณ์เหล่านั้นทำให้เขารู้สึกไม่มีค่าและไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ดังนั้นทางที่ดีที่สุดเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังโมโหหรือเหนื่อยล้า สิ่งที่ควรทำคือ บอกความรู้สึกของตัวเองกับลูกไปตามตรงโดยไม่ใส่อารมณ์ว่าตอนนี้กำลังรู้สึกเหนื่อย เครียด เพราะอะไร และจะจัดการกับอารมณ์ตัวเองอย่างไร เช่น

“ตอนนี้แม่อารมณ์บ่จอยมากๆ เลย ยังไม่มีสมาธิคุยเท่าไหร่ ที่ทำงานแม่มีเรื่องวุ่นวายยังไกล่เกลี่ยไม่ได้เลย แม่ขออยู่ในห้องทำงาน โทรปรึกษากับ ผอ. สักชั่วโมงหนึ่งนะจ๊ะ เย็นนี้เราค่อยคุยกันหลังกินข้าวนะ”

“พ่อกำลังโมโหนะ เพิ่งรู้ว่าลูกไปบ้านป้าโดยไม่บอกก่อน บ้านเขาอยู่ไกลแล้วทางเข้าก็เปลี่ยวมาก พ่อเป็นห่วง เราจะคุยกันเรื่องนี้อีกทีหลังกินข้าว พ่ออยากฟังเหตุผลลูกตอนอารมณ์เย็นกว่านี้”

5. พ่อแม่ต้องตกลงเรื่องวินัยและกติกาในบ้านให้ไปทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่พ่อรับฟังและใช้ความเข้าใจ ให้อิสระในการคิด แต่แม่ไม่ยืดหยุ่นเข้มงวดทุกกระเบียด นอกจากลูกจะเกิดความสับสน เกิดการเลือกข้างและปิดกั้นแม่

6. คำนึงเสมอว่า ‘เด็กคือผ้าหลากสี’ อย่าเปรียบลูกของเรากับลูกของคนอื่น อย่ามองว่าเขาดีกว่าหรือด้อยกว่าพี่ หรือเพื่อนในชั้น พยายามทำความเข้าใจว่าแต่ละคนมีพื้นฐานอารมณ์ ความถนัดไม่เหมือนกัน เด็กแต่ละคนเหมือนสีคนละสี เฉดเข้มอ่อนคละกันไป บางคนว่านอนสอนง่าย ในขณะที่บางคนซน มีพลังล้นเหลือ พ่อแม่ต้องยืดหยุ่นปรับวิธีเลี้ยงดูให้เหมาะสมกับเขา

การเลี้ยงลูกเหมือนการฟูมฟักเมล็ดพันธุ์ให้เติบโตขึ้นด้วยการเอาใจใส่ รดน้ำเพิ่มใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืช และหาพื้นที่ที่เหมาะสมกับชนิดของเขา ต้นไม้บางต้นต้องปลูกลงกระถางชอบที่ร่ม ไม่ชอบแสงแดด บางต้นปลูกกลางแจ้งลงดิน พ่อแม่ต้องปรับกลยุทธ์ ยืดหยุ่นกันตามแต่ว่าเขามีจุดเด่นแบบไหน สถานการณ์เป็นอย่างไร ขอให้พ่อแม่ทุกคนวางใจเป็นกลางว่า ไม่มีวิธีเลี้ยงลูกวิธีไหนที่ดีที่สุด และไม่มีใครเลี้ยงลูกได้สมบูรณ์แบบที่สุด ความรู้และแนวทางการเลี้ยงลูกต่างๆ เป็นเครื่องมือเสริมหนึ่งที่พ่อแม่สามารถปรับใช้ตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ความรักความอบอุ่น ความเข้าใจ และสายใยในครอบครัวก็คือปัจจัยยืนหนึ่งที่ต้องมั่นคงเสียก่อน แสดงต้นแบบของคนมีวุติภาวะทางอารมณ์และจิตใจที่เป็นตัวอย่างให้เขาเห็น ลูกก็จะเติบโตขึ้นด้วยการมองโลกในแง่บวกและมีวุฒิภาวะทางอารมณ์จิตใจที่แข็งแรงตามไปด้วย

อ้างอิง:
Baracz, S., & Buisman-Pijlman, F. (2017, October 17). How childhood trauma changes our hormones, and thus our mental health into adulthood. Retrieved from The Conversation:https://theconversation.com/how-childhood-trauma-changes-our-hormones-and-thus-our-mental-health-into-adulthood-84689

Gordon, T. (1975). P.E.T. Parent Effectiveness Training : The Tested New Way to Raise Responsible Children. New York: New American Library.

Lambie, J. (2018, October 11). Should you hide negative emotions from children? Retrieved from The Conversation: https://theconversation.com/should-you-hide-negative-emotions-from-children-104710
โพธิสุข, อ. (2542). เมื่อลูกรักมีปัญหา. กรุงเทพมหานคร: Mother’s Digest.
รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี: จิตวิทยาเชิงบวก หรือ Positive Psychology ในการเลี้ยงดูเด็ก. (2016, September 3). Retrieved from Youtube: https://www.youtube.com/watch?v=_K3u0_oH9_U

Tags:

คาแรกเตอร์(character building)วินัยเชิงบวกพัฒนาการทางอารมณ์พัฒนาการพ่อแม่

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Related Posts

  • Family Psychology
    5 คำขู่ผิดๆ ของพ่อแม่ที่ทำให้เด็กโตมาไม่กล้าและขี้กลัว

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Character building
    สังคมแบบนี้ เด็กๆ ถึงจะ ‘อยู่ดีและมีความสุข’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skills
    10 ทักษะมนุษย์ต้องมี และ AI ก็ทำไม่ได้ในปี 2020

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Learning Theory
    งานบ้าน กับ การบ้าน ทำอะไรดี?

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Early childhood
    5 วิธีฝึกลูกให้รู้จัก โกรธ เศร้า เหงา กลัว

    เรื่อง ภาพ บัว คำดี

พ่อก็คือแม่ แม่ก็คือพ่อ อย่าเชื่อว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่ได้
Family Psychology
28 March 2019

พ่อก็คือแม่ แม่ก็คือพ่อ อย่าเชื่อว่าพ่อเลี้ยงลูกไม่ได้

เรื่องและภาพ KHAE

ผู้ชายไม่ได้อยากมีลูกเท่าผู้หญิง ?

ตามธรรมชาติแม่ดูแลลูกได้ดีกว่าพ่อ ?

พ่อก็คือพ่อ พ่อเป็นผู้ชาย ทำอะไรมากไม่ได้หรอก ?

นี่เป็นบางส่วนของความเชื่อผิดๆ แล้วสรุปเอาเองว่า ‘แม่จะเลี้ยงลูกได้ดีกว่าพ่อ’ แต่ในความจริงเป็นอย่างนั้นหรือไม่ เราอาจคิดผิดและเหมารวมเกินไป จนปล่อยให้พ่ออยู่นอกสายตา

อ่านบทความฉบับเต็มได้ ที่นี่

Tags:

มายาคติการเป็นแม่พ่อ

Author & Illustrator:

illustrator

KHAE

นักวาดลายเส้นนิสัยดี(ย้ำว่าลายเส้น)ผู้ชอบปลูกต้นไม้และหลงไหลไก่ทอดเกาหลี

Related Posts

  • Movie
    ‘Pieces of a Woman’ เศษเสี้ยวที่ปลิดปลิว เมื่อการคลอดลูกไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของเธอ

    เรื่อง ประจวบ วังใจ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    ลูกเกิดมาดี สวยงาม สมบูรณ์แบบแล้ว: ศุภฤทธิ์ ทวีเกียรติ พ่อเลี้ยงเดี่ยวของลูกที่มีความพิการ

    เรื่องและภาพ คชรักษ์ แก้วสุราช

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เอกชัย กล่อมเจริญ: คุณพ่อช่างไม้ เลี้ยงเดี่ยว พาลูกเที่ยวและสอนให้ลงมือทำ

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เกรียงไกร นิตรานนท์: คุณพ่อผู้ลาออกจากงานเพื่อเป็น FULL TIME DADDY

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    โละ 6 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับพ่อทิ้งไป อย่าให้พ่ออยู่นอกสายตา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

วิรตี ทะพิงค์แก: ชวนคุณแม่ตั้งหลัก เมื่อลูกเข้าสู่วัยพรีทีน
อ่านความรู้จากบ้านอื่น
27 March 2019

วิรตี ทะพิงค์แก: ชวนคุณแม่ตั้งหลัก เมื่อลูกเข้าสู่วัยพรีทีน

เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก ภาพ บัว คำดี

  • เรื่องเล่าจาก วิรตี ทะพิงค์แก นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ควบตำแหน่งแม่ของลูกชายวัย 10 ขวบ ช่วยถ่ายทอดวิชาแม่ให้เตรียมตัวตั้งหลักก่อนลูกถึงวัยพรีทีน
  • pre-teen คือช่วงเวลาก่อนลูกจะเป็นวัยรุ่น ซึ่งเกิดขึ้นกับเด็กแต่ละคนในช่วงอายุไม่เท่ากัน เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของลูกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนบางอย่างในร่างกาย
  • อย่าผูกตัวเองไว้กับการเป็นแม่เพียงอย่างเดียว,จัดระยะความไว้ใจใหม่, เปลี่ยนความสัมพันธ์เป็นแนวราบ, ฝึกจิตใจให้เป็นผู้เริ่มต้น,ระลึกว่าชีวิตเป็นของลูก นี่คือ 5 วิธีเตรียมพร้อมรับมือลูกพรีทีน

ทันที่รู้ว่ามีชีวิตน้อยๆ อยู่ในท้อง แม่ทุกคนตื่นเต้นและฝันจะเลี้ยงลูกให้ได้ดีที่สุดด้วยกันทั้งนั้น แต่ความยากของการเป็นแม่คือ ไม่เคยมีโรงเรียนไหนสอน ‘วิชาแม่’ มาก่อนในชีวิต ความเป็นแม่คือสิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้าอย่างที่คนไม่ได้มีความรู้ หรือหากจะมีอย่างเต็มที่ ก็คือประสบการณ์ในวัยเยาว์ที่ตัวเองได้เติบโตมา… ก็เท่านั้นเอง

ฉันเคยทำงานเป็นนักเขียนอยู่ที่นิตยสารชื่อดังแห่งหนึ่ง ตอนนั้นบริษัทกำลังโปรโมทให้เป็นผู้บริหาร แต่เพราะคิดว่าอยากมีครอบครัวที่มีเวลาอยู่ด้วยกันใกล้ชิดทั้งแม่ลูก ฉันเลือกหันหลังให้การเติบโตทางการงานแล้วย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อมีชีวิตครอบครัวเรียบง่าย แต่ชีวิตการเป็นแม่นั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย

บทเรียนแม่ ที่โรงเรียนไหนๆ ก็ไม่ได้สอน

ตั้งแต่ลูกเกิดมา ฉันไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มเลยสักคืน ลูกเป็นเด็กที่ค่อนข้างตื่นตัว นอนน้อยมากทั้งกลางวันและกลางคืน ต้องอุ้มอยู่เสมอ ที่สำคัญคือไม่ยอมให้ใครอุ้มเลยนอกจากแม่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลที่ฉันเลี้ยงลูกด้วยนมแม่หรือเปล่า ลูกจึงติดแม่มากถึงขีดสุด ฉันเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โดยกินจากเต้า ไม่ได้ปั๊มนมใส่ขวด และให้ลูกกินนมแม่จนถึงอายุ 3 ปี (หมายถึงกินอาหารตามวัยตามปกติ เพียงแต่เวลานอนยังกินนมแม่เวลาตื่น)

ข้อดีของการเลี้ยงลูกด้วยตัวเองโดยไม่มีพี่เลี้ยงเลยคือ เราได้เห็นพัฒนาการลูกอย่างชัดเจน ฉันส่งเสริมให้ลูกคุ้นเคยกับหนังสือตั้งแต่ยังเล็ก หาซื้อหนังสือผ้าที่ฉีกไม่ได้มาให้เขาเล่น อ่านหนังสือให้ฟังก่อนนอนทุกคืน คุยกับลูกตลอดเวลา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือลูกมีพัฒนาการดีมาก เร็วมาก โดยเฉพาะการพูด เขาพูดได้เร็ว พูดชัด คือพูดเป็นคำที่มีความหมายได้ตั้งแต่อายุ 9 เดือน พูดเป็นประโยคได้ตั้งแต่อายุ 1 ปี 2 เดือนพร้อมๆ กับที่วิ่งเล่นได้ไกล

ขณะที่เด็กหลายคนในวัยนี้ยังเพิ่งเริ่มตั้งไข่ เราเห็นพื้นนิสัยของลูก คือเป็นเด็กที่เรียนรู้ได้เร็ว อยากรู้อยากเห็น สนใจเรื่องกลไกต่างๆ ชอบลงมือทำ มีความโดดเด่นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ หยิบนั่นมาประกอบนี่ เป็นเด็กที่มีความโดดเด่นในการเรียนรู้ผ่านการใช้ร่างกายที่ชัดเจนมาก การมองเห็นบุคลิกลักษณะของลูกได้อย่างลึกซึ้งเป็นภาพสะท้อนของการมีเวลาดูแลลูกอย่างดีด้วยคุณภาพ ทำให้เราซึมซับทุกรายละเอียด

ไม่แปลกที่แม่จะเป็นเหมือนทุกอย่างในโลกใบนี้ของลูก และลูกก็เป็นเหมือนทุกอย่างในโลกใบนี้ของแม่ด้วยเช่นกัน

เด็กทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง

แต่แล้วความสั่นคลอนก็เริ่มมาเยือน

โดยปกติแล้วเด็กเล็กช่วงอายุ 0-7 ปี จะเป็นช่วงที่ติดแม่มาก อันนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะแม่เป็นแหล่งพึ่งพิงทั้งทางกาย (กินนม) และใจ (ความรู้สึกไว้วางใจมนุษย์และโลก) ช่วงขวบปีแรกของทารกเป็นช่วงเวลาการสร้างความรู้สึกไว้วางใจโลก (trust & attachment) ช่วง 1-3 ปี เป็นช่วงเวลาของการสร้างตัวตน (self) ช่วงวัย 4-6 ปี เป็นช่วงของการริเริ่มสิ่งใหม่ (self -esteem) หลังจากนั้นคืออายุ 7-14 ปี เด็กจะต้องเริ่มสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมาใหม่โดยไม่พึ่งพิงกับแม่อีก เพื่อพิสูจน์ความสามารถในการควบคุมตนเอง (self-control) ในกรณีเด็กหญิง แม่อาจเห็นความเปลี่ยนแปลงไม่ชัดเจนนัก (เพราะเด็กผู้หญิงจะยังมีแม่เป็นแบบอย่างไปอีกหนึ่งช่วงวัย) แต่สำหรับฉันที่มีลูกชาย การเปลี่ยนแปลงนี้มันเข้ามาเร็วมากจนเราไม่ได้ตั้งตัว

คำว่า pre-teen หรือช่วงเวลาก่อนเป็นวัยรุ่นเกิดขึ้นกับเด็กแต่ละคนในช่วงอายุไม่เท่ากัน ทั้งแนวคิดแบบวอลดอร์ฟเชื่อว่าวัย 9 ปี จะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของลูกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนบางอย่างในร่างกาย เขาจะเริ่มพยศ ต่อต้าน ไม่เหมือนลูกคนเดิมแบบที่เราคุ้นชินอีกต่อไป (แต่ก็ไม่ได้แปรปรวนถึงขั้นระดับวัยรุ่น) ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่ได้เตรียมใจรับรู้หรือรับมือกับเรื่องเหล่านี้มาก่อน

ฉันเองรู้สึกถึงความดื้อ ต่อต้านเล็กๆ จากลูกมาตั้งแต่ 7 ปี และพยายามทำความเข้าใจเพื่อปรับตัว เราสัมผัสได้ถึงความต้องการเป็นตัวของตัวเอง การต้องการระยะห่างจากแม่มากขึ้น และความอยากเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในตัวเขา บทเรียนแรกที่ฉันเรียนรู้คือ ลูกไม่ยอมให้กอดหรือหอมแก้มก่อนเข้าห้องในโรงเรียนอีกแล้ว เขาจะรู้สึกเขินๆ ที่แม่ยังทำเหมือนเขาเป็นเด็กต่อหน้าสาธารณชน แต่ถ้าเป็นการกอดหรือหอมกันแบบส่วนตัว เขาก็ยังเต็มใจให้ทำอยู่

อย่างไรก็ตาม ความต้องการการเป็นตัวของตัวเอง ระยะห่าง โดยเฉพาะการต้องการตัดสินใจด้วยตัวเอง ทำอะไรบางอย่างในแบบที่ไม่ต้องเชื่อฟังแม่อีกต่อไปแล้ว จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่จะเรียกการไม่เชื่อฟังนี้ว่าดื้อ แต่จริงๆ แล้วลูกแค่กำลังพยายามพิสูจน์การเป็นมนุษย์ที่โตขึ้นอีกขั้นหนึ่งด้วยตัวเองอยู่

ฉันกับลูกทะเลาะกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะลูกไม่อยากเชื่อฟังแม่ บางครั้งลูกก็อยากไปใกล้ชิดกับพ่อมากกว่า (เป็นไปตามวัยที่เด็กผู้ชายจะเริ่มเรียนรู้ความเป็นผู้ชายจากพ่อ) เรารู้สึกโดดเดี่ยว ถูกทิ้ง ไม่มีความสำคัญ ยิ่งเราอยากควบคุมทุกอย่างให้เป็นเหมือนเดิมมากเท่าไร เรายิ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่อต้านจากลูกมากขึ้นเท่านั้น

และนี่คือจุดแตกหักที่เปราะบางมากสำหรับคนเป็นแม่

พอเราทุ่มเทชีวิตทั้งหมดมาเพื่อทำหน้าที่เพียงประการเดียวคือ ‘แม่’ ลูกจึงเป็นเหมือนทั้งหมดทั้งมวลของชีวิต พอเราต้องเผชิญหน้าความจริงที่ทำให้เรารู้สึกว่า ‘เราไม่สำคัญอีกแล้ว’ หรือ ‘ลูกไม่ต้องการเราอีกแล้ว’ มันเป็นความรู้สึกที่ปวดใจมาก

เหมือนโลกทั้งใบจะพังครืนลงมา เหมือนคนอยู่ในภาวะซึมเศร้า คุ้มดีคุ้มร้าย เพราะพยายามจะมองหาสิ่งที่เรียกว่า ‘ตรงกลางระหว่างเรา’ ให้เจอ

แต่ฉันมาเรียนรู้ว่า เราจะไม่เจอสิ่งนั้นหรอก ตราบใดที่เรา-คนเป็นแม่ ยังมีความรู้สึกว่า มีแต่แม่เท่านั้นแหละที่รู้ดีที่สุด ทำได้ดีที่สุด เราจะไม่ไว้วางใจ (trust) คนอื่นเลย แม้แต่กระทั่งลูกของเราเอง ด้วยความรู้สึกลึกๆในใจว่า “เธอจะรู้ดีกว่าฉันได้ยังไง ฉันเป็นแม่เธอนะ”

ฉันเผชิญหน้ากับช่วงเวลานั้นอย่างทรมาน ตั้งคำถามกับการมีคุณค่าในตนเอง (นั่นคงเป็นภาวะซึมเศร้าแบบไม่รู้ตัว) และพบคำตอบว่า เราเกิดมามีคุณค่าในหลากหลายบทบาท ที่ไม่ใช่เพียงแค่การเป็นแม่อย่างเดียว หากเราลองขยับขยายตัวเองออกไปสู่บทบาทเดิมๆ ที่เราเคยทำได้ดี ทำได้เก่ง ความรู้สึกมีค่า ความเชื่อมั่นในตัวเองจะค่อยๆ กลับคืนมา

การปล่อยมือเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย มันต้องอาศัยความไว้วางใจต่อคนอื่น (ที่ดูแลลูก) ต่อลูก (ที่เชื่อว่าเขาโตขึ้นที่จะทำหลายอย่างเองได้) เป็นช่วงเวลาสำคัญที่แม่ทุกคนต้องกลับมารักตัวเองมากๆ หลังจากที่มอบพลังความรักทั้งหมดทุ่มเทไปให้ลูกแค่คนเดียวตลอดมา

ฉันกลับมาทำงานเขียนอีกครั้ง เป็นการรับงานแบบอิสระ ต้องออกเดินทางไปต่างจังหวัดบ้างเป็นครั้งคราว นั่นทำให้เราต้องทำใจปล่อยวางให้ได้ เชื่อมั่น ไว้วางใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้อย่างดีตามสมควร โดยไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบตามความคาดหวังของมนุษย์แม่

เมื่อมีระยะห่าง เกิดพื้นที่ให้ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองตามสมควร ความสัมพันธ์ของฉันกับลูกก็ค่อยๆ ดีขึ้น เราเรียนรู้ที่เป็นแม่ที่จัดการน้อยลง (แม่ของเด็กเล็ก) และเรียนรู้การเป็นแม่ที่เป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น (แม่ของเด็กโต) ทำให้เขาเชื่อใจ ไว้วางใจว่ามีอะไรสามารถบอกพ่อกับแม่ได้ เปิดโอกาสให้เขาตัดสินใจได้มากขึ้น ทำให้ทุกคนได้มีพื้นที่เติบโตในแบบของตัวเอง อยู่ร่วมกัน แต่ก็มีระยะห่างที่มองเห็นกันได้ ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกจึงเป็นความสัมพันธ์ที่สมดุลขึ้น คือพึ่งพิงน้อยลง พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น

สามเหลี่ยมของความรัก พ่อรักแม่ แม่รักพ่อ และพ่อแม่รักลูก

สำหรับฉัน สามีคือปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนผ่านไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์ชื่อดังเคยกล่าวว่า สามเหลี่ยมความรักที่สมดุลต้องเป็นสามเหลี่ยมคว่ำ คือพ่อรักแม่ แม่รักพ่อ เมื่อพ่อแม่รักกันมากพอ ความรักที่ส่งไปถึงลูกจึงจะเป็นรักที่สมดุล

ฉันเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้หญิงที่รับหน้าที่ดูแลลูกคนเดียว เนื่องจากสามีมีหน้าที่หาเงินเข้าบ้าน มันไม่ผิด แต่ก็ทำให้สมดุลครอบครัวหายไป ทำให้วงจรสามเหลี่ยมความรักในบ้านผิดเพี้ยน คือพอแม่เหนื่อยมากกับการดูแลลูกเพียงลำพัง แม่จะรู้สึกเป็นเจ้าของลูก จะรักลูกมากเป็นพิเศษ เบื่อหน่ายสามีกับการที่ไม่เคยยื่นมือช่วยเหลืออะไรเรื่องลูกเลย

นอกจากปล่อยให้เป็นหน้าที่แม่ ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเริ่มเหินห่าง ในวัยที่ลูกควรได้เรียนรู้ความเป็นผู้ชายจากพ่อ แต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดพ่อ วันหนึ่งเมื่อลูกชายอยากสร้างระยะห่างจากแม่ขึ้นมาจริงๆ ชีวิตของแม่จะพังทลายทันทีเพราะมีลูกเป็นทั้งหมดของชีวิต

เหล่านี้เป็นวงจรแห่งความทุกข์ เพราะฉะนั้นครอบครัวที่เป็นสุขและสมดุลจึงต้องเกิดจากความร่วมมือของทั้งสามีภรรยา ในบทบาทของทั้งพ่อและแม่ร่วมกัน สำคัญคือคนเป็นพ่อต้องมีส่วนร่วมในการดูแลลูกบ้าง เข้าใจ เห็นใจ สนับสนุน ให้เกียรติภรรยาในฐานะที่เป็นแม่ของลูก (ไม่ใช่พ่อเป็นใหญ่) เมื่อพ่อแม่รักกัน พ่อให้เกียรติแม่ แม่ให้เกียรติพ่อ พ่อแม่มีทิศทางในการเลี้ยงลูกสอดคล้องกัน ชีวิตครอบครัวจึงจะไม่สั่นคลอน

ตอนลูกเล็กช่วงแรกเกิดถึง 7 ปี ฉันมีหน้าที่ดูแลลูกเป็นหลัก พ่อของลูกอาจช่วยสนับสนุนอยู่ห่างๆ เพราะลูกยังต้องการแม่มากกว่า แต่เมื่อลูกเข้าสู่ช่วงวัยที่สองคือ 7-14 ปี พ่อคือกำลังสำคัญที่มีความหมายมาก สำหรับลูกชาย พ่อคือฮีโร่เสมอ พ่อทำอะไรก็ถูกต้องดีงามไปเสียหมด ในขณะที่แม่ทำอะไรก็ดูน่าเบื่อหน่ายไปทุกสิ่งเช่นกัน (ฮา) ความเป็นผู้ชายคือการได้ผจญภัย ได้เสี่ยง ได้ลุย ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการในวัยของเขาพอดี

ฉันและสามีเป็นคนชอบลุย เรานิยมการผจญภัยในธรรมชาติและเรียนรู้ผ่านการเดินทาง เราสองคนพาลูกไปออกค่ายอาสาพัฒนาด้วยกันในอำเภอห่างไกลที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างยากลำบากตั้งแต่อายุ 7 ปีและยังคงทำต่อเนื่องทุกปี (ปีนี้ลูก 10 ขวบแล้ว)

เราต้องการให้เขาเรียนรู้ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาพร้อมพรั่งกว่าคนอื่นอีกมายที่ยากไร้และขาดโอกาส การออกค่ายในชนบทมีความหมายมากสำหรับเด็กผู้ชายทุกคน ทั้งการเดินทางที่เปรียบเสมือนการผจญภัยในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย การอ่านแผนที่ เทคนิคการขับรถในเส้นทางสูงชัน การได้ก่อกองไฟ การได้ช่วยงานแบบผู้ชายๆ เช่นการก่อสร้าง การหัดใช้มีดพับเล็กๆ เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเสริมสร้างทักษะชีวิตพื้นฐาน หากยังเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเอง ทำให้ลูกตระหนักว่าตัวเองมีประโยชน์ต่อคนอื่น แม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เราก็สามารถหยิบยื่นความสามารถเพื่อช่วยเหลือคนอื่นได้ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการบ่มเพาะความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ (empathy) ไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะกลายเป็นคุณลักษณะที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับมนุษย์ในอนาคต ทั้งหมดนี้ เป็นการงานที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องร่วมมือกันทั้งพ่อและแม่

ตอนนี้ลูกชายของฉันมีอายุ 10 ปี เรา (แม่ลูก) จัดระยะกันได้ดีขึ้น เขามีความชอบที่ชัดเจนทางด้านการประดิษฐ์คิดค้น เรา (พ่อแม่) ส่งเสริมให้เขาได้เรียนรู้ มีพื้นที่ให้ทดลองได้อย่างอิสระ พ่อ-แม่-ลูก มีพื้นที่ของตัวเอง แต่ก็มีพื้นที่ร่วมกันด้วยในคราวเดียว พ่อแม่ยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูกที่ทำให้ลูกเชื่อใจ ไว้วางใจได้ที่บอกกล่าวเรื่องราวต่างๆ แต่ก็นั่นแหละนะ เส้นทางการเป็นวัยรุ่นของเขายังอีกยาวไกลนัก คงยากที่จะบอกว่าเราข้ามผ่านช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านนั้นมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ฉันเชื่อว่าเราจะผ่านไปได้อีก ไม่ว่าจะต้องเผชิญอะไรอีกก็ตาม

การมีจิตของผู้เริ่มต้น (beginner’s mind) คือสิ่งที่ฉันใช้ยึดถือในการใช้ชีวิต หลายเรื่องเราอาจเคยรู้ รู้ดี แต่ก็ต้องกลับมาทบทวนได้ว่าสิ่งที่เรารู้ อาจไม่เหมาะ ไม่สอดคล้องในตอนนี้ หากต้องเรียนรู้ใหม่ เริ่มต้นใหม่ และลองทำสิ่งใหม่ที่เราไม่เคยลองทำ การมีจิตใจเช่นนี้ จะทำให้พ่อแม่ผ่อนคลายจาก ‘ความเป็นพ่อเป็นแม่’ ในความหมายที่ว่า ต้องรู้ดีทุกเรื่อง ต้องทำถูกทุกเรื่อง ประสบการณ์ในอดีตไม่ได้ใช้ได้กับเหตุการณ์ในอนาคตเสมอไป จงเรียนรู้ที่จะเปิดกว้าง ยอมรับ เรียนรู้ และเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ชีวิตจะผ่อนคลายและเป็นสุข

หากเราเป็นพ่อแม่ที่ใจกว้างเพียงพอ ยอมรับความแตกต่างได้มากพอ เราจะมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นกับลูกเสมอไม่ว่าเขาจะอยู่ในช่วงวัยใดก็ตาม

5 ไอเดียตั้งหลักสำหรับแม่พรีทีน

อย่าผูกโยงตัวเองไว้กับการเป็นแม่เพียงอย่างเดียว

สิ่งนี้คือความเสี่ยงสูงสุด เป็นเรื่องที่ดีที่แม่หลายคนลาออกมาเลี้ยงลูกในช่วงลูกเกิดใหม่ แต่เมื่อลูกเริ่มโตขึ้น ดูแลตัวเองได้มากขึ้น เขาจะพึ่งพิงเราน้อยลง การที่แม่มีบทบาทหน้าที่อื่นๆ ทำในชีวิต เช่น กลับไปทำงานประจำ ทำงานอดิเรกที่หารายได้ได้ด้วย จะทำให้แม่ไม่เผชิญความสั่นไหวเมื่อลูกมีระยะห่างกับเรามากขึ้น หากยังสามารถมีความสุขกับบทบาทอื่นที่ตัวเองมีในชีวิต และรู้สึกมีคุณค่าในตนเองที่ยังคงพึ่งพาตนเองได้ทั้งใจเชิงเศรษฐกิจและจิตใจ นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการทำสิ่งใหม่ในชีวิตของคนเป็นแม่

จัดระยะใหม่และไว้ใจเพิ่มขึ้น

แม่ส่วนใหญ่ชอบควบคุมจัดการด้วยเจตนาที่ดี คืออยากให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ จนบางครั้งลงไปรับผิดชอบแทน ทำให้ลูกไม่รู้จักโต หรือ ทำให้ลูกเบื่อหน่ายเพราะอยากจัดการชีวิตตัวเองบ้าง (แบบใดแบบหนึ่ง) เมื่อลูกเริ่มเข้าสู่วัยพรีทีน แม่ต้องเริ่มจัดระยะห่างใหม่ เพิ่มความไว้วางใจในตัวลูก ให้ลูกรับผิดชอบชีวิตเล็กๆน้อยๆ ในขอบเขตของตัวเอง ยอมรับให้เกิดความผิดพลาดได้เพื่อเรียนรู้ความรับผิดชอบและพัฒนาการเป็นผู้ใหญ่ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ คิดเสมอว่ายอมให้ลูกเรียนรู้จากความผิดพลาดในเรื่องเล็กน้อยเสียตั้งแต่ตอนนี้ ย่อมดีกว่าให้เขาไปผิดพลาดเรื่องใหญ่อื่นๆในอนาคต

เปลี่ยนความสัมพันธ์เป็นแนวราบ

ตอนลูกยังเล็ก แม่อาจต้องจ้ำจี้จำไช คอยบอกทุกสิ่งทุกอย่างเพราะลูกยังคิดและตัดสินใจไม่ได้ แต่เมื่อลูกโตขึ้น เขาต้องการพิสูจน์ศักยภาพของตัวเอง เปิดโอกาสให้เขาคิด จงพูดให้น้อยลงและฟังให้มากขึ้น เปิดโอกาสให้ลูกมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น ผิดพลาดได้ และเรียนรู้จากความผิดพลาด คอยเติมเต็มและสนับสนุนอยู่ห่างๆ เมื่อเราให้เกียรติลูก ลูกจะให้เกียรติเรา หากิจกรรมครอบครัวทำร่วมกันที่ไม่ต้องพึ่งพิงกันและกันมากเกินไป หากสามารถมีพื้นที่ของตัวเองในการทำร่วมกันได้ เช่น ออกกำลังกาย ไปพิพิธภัณฑ์ ท่องเที่ยวธรรมชาติ เป็นต้น

มีจิตใจของผู้เริ่มต้นใหม่

พ่อแม่ต้องไม่ยึดติดกับสิ่งใด ตระหนักเสมอว่าทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ดีและถูกต้องในวันนี้ อาจไม่ใช่เรื่องดีและถูกต้องในอนาคต เรียนรู้ที่จะเปิดกว้าง ทบทวน เพื่อการก้าวเดินในทุกก้าวของชีวิต ลูกเป็นแบบหนึ่งในวัยหนึ่ง และจะเปลี่ยนไปอีกเรื่อยๆ ในวัยที่เขาต้องเติบโตขึ้น อย่าคาดหวังให้เขาต้องเหมือนเดิม คอยจัดระยะห่างระหว่างกันและกันเสมอเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้สมดุล

ระลึกเสมอว่าชีวิตเป็นของลูก

แม่ทุกคนรักลูกที่สุด หวังดีที่สุด แต่อย่าลืมว่าชีวิตเป็นของเขา อย่าหวังดีจนเอาชีวิตของเขามาใช้ ด้วยข้ออ้างของคำว่า ‘ความรัก’ จนลูกรู้สึกถูกบงการชีวิต  ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่คือชีวิตที่ได้เรียนรู้ บางครั้งถูก ผิด สมหวัง ผิดหวังปนๆ กันไป สำคัญที่สุดคือชีวิตที่ลูกได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง มีส่วนร่วมตัดสินใจ จัดการชีวิตตัวเองได้อย่างแท้จริง

Tags:

พ่อแม่วัยพรีทีน (Preadolescence)

Author:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • MovieDear Parents
    Gilmore girls – ซีรีส์ที่ทำให้อยากมีแม่แบบเพื่อน ให้อิสระ อยู่ตรงนั้นเพื่อให้คำปรึกษาและพึ่งพิง

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • How to get along with teenager
    รับมือวัยรุ่นยุค SEXTING: สื่อสารให้เข้าใจเรื่องความปลอดภัยของตัวลูกเอง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    5 ไอเดียเตรียมพร้อม เมื่อลูกเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • 21st Century skills
    ถึงเวลาปลูก ‘ฟาร์มคิดสร้างสรรค์’ โลกต้องการเด็กตั้งคำถามมากกว่าทำตามคำสั่ง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel